การศกึ ษาวิจัยการสำรวจและจดั เก็บขอ้ มลู กลุ่มชาตพิ ันธก์ุ ะเหรย่ี ง
และขอ้ มลู มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของกล่มุ ชาติพนั ธ์ใุ นพื้นท่ีจังหวดั สโุ ขทยั
สำนักงานวัฒนธรรมจงั หวัดสโุ ขทยั
ศนู ย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ศมส.) กระทรวงวฒั นธรรม
THE RESEARCH SURVEY AND DATA COLLECTION KAREN ETHNIC AND DATA
OF INTANGIBLE CULTURAL HERITAGE OF ETHNIC GROUP IN SUKHOTHAI PROVINCE
SUKHOTHAI PROVINCE CULTURAL OFFICE
PRINCESS MAHA CHAKRI SIRINDHORN ANTHROPOLOGY CENTRE
(PUBLIC ORGANISATION) MINISTRY OF CULTURE
บทคัดย่อ
คำสำคัญ : วิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธ์ุ, มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม, กลุ่มชาติพันธุ์
กะเหรี่ยงจังหวัดสโุ ขทัย
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุโขทัย : การศึกษาวิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์
กะเหร่ยี งและข้อมลู มรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์ในพ้ืนท่ีจงั หวัดสุโขทัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่
จังหวัดสุโขทัยสำหรับสนับสนุนการพัฒนาฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ ๒) เพื่อสำรวจและจัดเก็บข้อมูลมรดก
ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยสำหรับเตรียมขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรม ๓) เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และการส่งเสริมการท่องเที่ยว
เชิงวัฒนธรรมในชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยอาศัยกระบวนการวิจัย
เชิงปฏิบัติการ (PAR) เก็บรวบรวมข้อมลู ด้วยวิธกี ารสมั ภาษณ์เชิงลึก และสนทนากลุม่ มีวธิ กี ารดำเนินการวิจัย ดังนี้
1) การคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลหลัก 2) การร่วมคิด วิเคราะห์วัฒนธรรมที่ปรากฏในชุมชน และ ๓) การร่วมกัน
ติดตาม และประเมินผล เครื่องมือวิจัยคือประเด็นการสัมภาษณ์ และประเด็นการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูล
หลักแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้นำทางการ กลุ่มผู้นำท้องถิ่น และกลุ่มสมาชิกในชุมชน จำนวน ๓0 คน
เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนกรกฎาคม 256๔- เดือนกันยายน 256๔ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลทไ่ี ดจ้ ากการศึกษา สรปุ ได้ดงั นี้
1. วัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยแบ่งได้ดังนี้ ๑) มรดกทางวัฒนธรรม ได้แก่ โบราณสถาน
โบราณวัตถุ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 2) อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ได้แก่ การแต่งกาย
และภาษา 3) ภมู ปิ ญั ญาและเทคโนโลยี ได้แก่ ท่ีอยอู่ าศยั ขนบธรรมเนยี มประเพณี อาหารทอ้ งถนิ่ สมุนไพร
รักษาโรค/สาธารณสุขแบบดงั้ เดมิ ๔) ศิลปะการดนตรี การละเลน่ ศลิ ปหัตถกรรม และการทำมาหากนิ
2) เส้นทางการทอ่ งเทย่ี วเชิงวฒั นธรรมของชาวกะเหร่ียงในจงั หวัดสุโขทยั
Abstract
Keyword : THE RESEARCH SURVEY AND DATA COLLECTION KAREN ETHNIC GROUP, DATA OF
INTANGIBLE CULTURAL HERITAGE, ETHNIC IN SUKHOTHAI PROVINCE
SUKHOTHAI PROVINCE CULTURAL OFFICE : THE RESEARCH SURVEY AND DATA
COLLECTION KAREN ETHNIC GROUP AND DATA OF INTANGIBLE CULTURAL HERITAGE OF
ETHNIC GROUP IN SUKHOTHAI PROVINCE
The purposes of this research were to: 1) survey and data collection Karen ethnic in
Sukhothai province for support database development ethnic group 2) survey and data of
intangible cultural heritage of ethnic group in Sukhothai province for register wisdom
inheritance cultural 3 ) publicize and publicize data of ethnic group and promote tourism
cultural ethnic group in Sukhothai province. A qualitative research was conducted
1 ) selecting the main informants 2 ) participating to analysis of cultural presence in the
community 3) monitoring and evaluation. Interview guidelines and guideline for focus group
discussion were used as research instruments. Key informants were 3 0 people who were
divided into three groups : the official leaders, the local leaders, and members of the
community. The data was collected during July 2021 – September 2021. Content analysis
was used to analyze the collected data. The results of the study could be concluded as
follows :
1. The cultures of Karen in Sukhothai province 1) cultural heritage ancient remains,
antiques and natural resources 2) cultural identity clothing and language 3) wisdom and
technology housing, traditional customs, regional food, original herbal treatments, musical
and amusement arts, handicrafts, and livelihood.
2. The travel route cultural of ethnic group in Sukhothai province.
จ
กิตตกิ รรมประกาศ
การศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาวิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและข้อมูล
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย : ตามโครงการฟื้นฟูวิถีชีวิต
ชาวกะเหร่ยี งจงั หวดั สุโขทัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซ่ึงได้ดำเนนิ การสำเร็จลุลว่ งดว้ ยดี เน่ืองจาก
ได้รับการชี้แนะและการให้คำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ผู้วิจัยต้องขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
มา ณ โอกาสนี้
ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายธีรวัฒน์ ชื่นดวง ที่ปรึกษาวัฒนธรรมกะเหรี่ยงในพื้นที่
ไทย-พม่า นายสมชาย เดือนเพ็ญ ผู้ทรงคุณวุฒิหน่วยศิลปกรรม และสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุโขทัย ได้กรุณาตรวจ
เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ให้ข้อคิดเห็น และแนะนำแนวทางในการดำเนินการวิจัย ทำให้งานวิจัยครั้งนี้
สำเรจ็ ลลุ ่วงอยา่ งมคี ุณภาพ ผวู้ จิ ัยขอกราบขอบคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบคุณ นายอำเภอศรีสัชนาลัย นายกองค์การบรหิ ารส่วนตำบลบ้านแก่ง นายกองค์การบริหาร
ส่วนตำบลแม่สำ ผู้ใหญ่บ้านบ้านห้วยหยวก ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่สาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตำบลบ้านท่าโพธิ์ สมาชิกในชุมชนกะเหรีย่ งจังหวัดสุโขทัยตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ร่วมแรงร่วมใจ
ขับเคลื่อนการศึกษาวิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย จนประสบความสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ
รกั ชาติพันธ์ุ และรากเหง้าของตนเอง
ขอขอบคุณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ศสม.) กระทรวงวัฒนธรรม
ที่สนับสนุนงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุโขทัย ดำเนินการ
ศกึ ษาวจิ ัยเร่ืองการศกึ ษาวิจยั การสำรวจและจัดเก็บข้อมลู กลุ่มชาตพิ นั ธุ์กะเหร่ยี ง และข้อมลู มรดกภูมิปัญญา
ทางวฒั นธรรมของกลุม่ ชาติพันธใ์ุ นพน้ื ท่จี ังหวัดสุโขทัย
ผลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์
วัฒนธรรมกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัย ไม่ให้สูญหายไปจากสังคมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรวดเรว็
อีกทั้งส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนกะเหรี่ยงได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอนุรักษ์วัฒนธรรมอันเป็นรากฐาน
ของตนเอง และได้รับประโยชน์จากการวิจัยครั้งนี้ไม่มากก็น้อย ซึ่งจะช่วยธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมกะเหรี่ยง
ใหย้ ง่ั ยืนในสงั คมไทยสบื ไป
สำนกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั สโุ ขทัย
สารบัญ
บทท่ี หนา้
บทคัดย่อภาษาไทย........................................................................................................................................ค
บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ................................................................................................................................... ง
กติ ติกรรมประกาศ.........................................................................................................................................จ
สารบัญ ..........................................................................................................................................................ฉ
สารบญั ตาราง...............................................................................................................................................ฌ
สารบญั ภาพ..................................................................................................................................................ญ
บทที่ ๑ บทนำ............................................................................................................................................ ๑
ความสำคัญและความเป็นมา .............................................................................................................. ๑
ขอบเขตการศึกษาและวิจัยการดำเนินงาน.......................................................................................... ๒
ผลประโยชน์ท่ีจะได้รบั ........................................................................................................................ ๔
กรอบแนวคดิ การวิจยั .......................................................................................................................... ๕
บทท่ี ๒ แนวคดิ และงานศกึ ษาท่ีเกยี่ วขอ้ ง.................................................................................................. ๖
แนวคิดทฤษฎบี รบิ ททางสังคมและวฒั นธรรม..................................................................................... ๖
แนวคิดทฤษฎมี รดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม...................................................................................... ๘
อัตลกั ษณล์ กั ษณ์ทางวัฒนธรรม.........................................................................................................๑๓
การกระจายของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ...........................................................................................................๑๕
การตงั้ ถ่นิ ฐานและการกระจายตวั ของประชากรกะเหร่ียง ................................................................๑๖
งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้อง............................................................................................................................๑๘
บทที่ ๓ วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ัย .......................................................................................................................๒๔
พ้นื ที่ศกึ ษาวจิ ยั ..................................................................................................................................๒๔
กลุม่ เป้าหมายในการวิจัย ..................................................................................................................๒๕
ช
ข้ันตอนการดำเนินการวจิ ัย ...............................................................................................................๒๖
เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ัย....................................................................................................................๓๑
การสรา้ งเครือ่ งมอื การทดสอบคณุ ภาพและความนา่ เชื่อของข้อมูล...................................................๓๑
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ...........................................................................................................................๓๑
การตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมลู ...............................................................................................๓๑
แผนการดำเนนิ การวจิ ยั .....................................................................................................................๓๒
บทที่ ๔ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ................................................................................................................๓๔
บรบิ ททางสังคม ................................................................................................................................๓๔
สถานท่ีตัง้ ของหม่บู ้านหว้ ยหยวก ......................................................................................................๓๖
ขอ้ มูลมรดกทางวฒั นธรรม................................................................................................................๓๙
อตั ลักษณท์ างวฒั นธรรม ...................................................................................................................๕๔
ศกึ ษาเสน้ ทางการท่องเท่ยี วภายในชมุ ชนกะเหรย่ี งของจังหวดั สโุ ขทยั ..............................................๘๒
เส้นทางการท่องเที่ยวภายในชุมชนกะเหร่ยี งบ้านหว้ ยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง
อำเภอศรีสัชนาลยั จงั หวัดสุโขทัย.....................................................................................................๘๒
เส้นทางการท่องเท่ยี วภายในชมุ ชนกะเหร่ียงบ้านแมส่ าน หม่ทู ่ี ๖ ตำบลแมส่ ำ อำเภอศรสี ชั นาลัย
จังหวดั สุโขทยั ...................................................................................................................................๘๓
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ............................................................................................๘๖
สรุปผลการวจิ ัย .................................................................................................................................๘๖
บริบททางสงั คม ................................................................................................................................๘๖
อตั ลกั ษณ์มรดกทางวัฒนธรรม..........................................................................................................๘๗
ขอ้ มลู มรดกทางภมู ปิ ัญญา ................................................................................................................๘๘
เสน้ ทางการทอ่ งเทีย่ วเชงิ วัฒนธรรม..................................................................................................๘๘
อภปิ รายผลการวิจยั ..........................................................................................................................๘๙
ขอ้ เสนอแนะของการวจิ ัย..................................................................................................................๙๓
ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย...................................................................................................................๙๓
ซ
ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ัยครัง้ ต่อไป ................................................................................................๙๓
บรรณณานุกรม...........................................................................................................................................๙๔
ภาคผนวก ...................................................................................................................................................๙๕
ภาคผนวก ก เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย.............................................................................................๙๖
ภาคผนวก ข รายช่อื ผู้ทรงคุณวุฒติ รวจเคร่ืองมือวจิ ัย ...................................................................๑๐๘
ภาคผนวก ค ผรู้ ว่ มดำเนนิ การวิจัยการสำรวจและจดั เกบ็ ขอ้ มลู กลุ่มชาตพิ ันธ์กุ ะเหรี่ยง และขอ้ มลู
มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของกล่มุ ชาติพนั ธใ์ุ นพื้นทจ่ี งั หวดั สโุ ขทัย.........................................๑๑๐
สารบญั ตาราง
เรือ่ ง หนา้
ตารางที่ 1 ตารางแผนการดำเนินการวจิ ยั .................................................................................................๓๒
ตารางท่ี 2 ประชากรบา้ นห้วยหยวก.........................................................................................................๓๗
ตารางท่ี 3 จำนวนประชากรบา้ นแมส่ าน หมู่ท่ี ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรสี ัชนาลัย จงั หวดั สโุ ขทยั ............๓๙
สารบญั ภาพ
ภาพท่ี หนา้
ภาพที่ ๑ กรอบแนวคิดงานวจิ ยั ....................................................................................................................๕
ภาพที่ ๒ แผนท่อี ำเภอศรีสชั นาลยั ............................................................................................................๒4
ภาพท่ี ๓ ข้นั ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ...................................................................................................๒๗
ภาพที่ ๔ ขน้ั ตอนการดำเนินการวจิ ยั .........................................................................................................๓๐
ภาพที่ ๕ การศึกษาวิจยั การสำรวจและจดั เกบ็ ข้อมลู กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์กะเหรย่ี งจังหวัดสุโขทัย......................๓๔
ภาพท่ี ๖ แผนที่แบ่งอาณาเขต อำเภอศรสี ัชนาลยั จังหวัดสโุ ขทยั .............................................................๓๕
ภาพที่ ๗ แผนทอ่ี าณาเขตบ้านห้วยหยวก..................................................................................................๓๗
ภาพท่ี ๘ แผนท่อี าณาเขตบา้ นแม่สาน.......................................................................................................๓8
ภาพที่ ๙ โรงเรยี นบ้านแมส่ าน...................................................................................................................40
ภาพที่ ๑๐ อาคารด้งั เดมิ โรงเรียนบ้านห้วยหยวก......................................................................................41
ภาพที่ ๑๑ อาคารใหมโ่ รงเรียนบา้ นหว้ ยหยวก..........................................................................................41
ภาพท่ี ๑๒ ศาลพระองคเ์ จา้ วิภาวดรี งั สติ (บ้านแม่สาน) ...........................................................................๔2
ภาพท่ี ๑๓ ศาลพระองคเ์ จ้าวภิ าวดรี งั สิต (บ้านห้วยหยวก) ......................................................................๔2
ภาพที่ ๑๔ อาศรมพระธรรมจารกิ บา้ นแมส่ าน..........................................................................................๔3
ภาพท่ี ๑๕ อาศรมพระธรรมจารกิ บ้านห้วยหยวก......................................................................................๔3
ภาพที่ ๑๖ หนว่ ยศกึ ษาการพฒั นาการอนุรกั ษต์ น้ น้ำแม่สาน.....................................................................๔4
ภาพที่ ๑๗ หน่วยศกึ ษาการพฒั นาการอนรุ กั ษต์ น้ นำ้ ห้วยท่าแพ................................................................๔4
ภาพที่ ๑๘ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลแมส่ ำ...............................................................................................๔5
ภาพที่ ๑๙ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลบ้านแก่ง..........................................................................................๔6
ภาพที่ ๒๐ โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบลบ้านสะพานยาว..................................................................๔6
ภาพที่ ๒๑ โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตำบลป่าคา...................................................................................๔6
ภาพท่ี ๒๒ เขาผาชอ่ ..................................................................................................................................๔7
ภาพท่ี ๒๓ นำ้ ออกรู...................................................................................................................................๔7
ภาพที่ ๒๔ น้ำตกผาช่อ..............................................................................................................................๔8
ภาพท่ี ๒๕ รอยพระพุทธบาทห้วยแหง้ ......................................................................................................๔8
ภาพที่ ๒๖ ถำ้ ขุนห้วยแหง้ .........................................................................................................................๔9
ภาพท่ี ๒๗ พระธาตุสุวรรณคีรี...................................................................................................................49
ภาพที่ ๒๘ เรือนพลับพลาจำลอง...............................................................................................................50
ฎ
ภาพท่ี ๒๙ ปางควายแมส่ าน......................................................................................................................50
ภาพที่ ๓๐ สวนกาแฟพระราชทาน............................................................................................................51
ภาพท่ี ๓๑ นาขน้ั บนั ได..............................................................................................................................51
ภาพที่ ๓๒ ลานเฮลคิ อปเตอร์พระที่นงั่ ลงจอด...........................................................................................51
ภาพท่ี ๓๓ นำ้ ตกปากะญอ........................................................................................................................52
ภาพท่ี ๓๔ หว้ ยหรอื ลำน้ำห้วยในพน้ื ทบี่ า้ นห้วยหยวก...............................................................................๕2
ภาพท่ี ๓๕ ลานกางเตน็ ทห์ น่วยศึกษาการพัฒนาการอนุรกั ษ์ต้นนำ้ ห้วยท่าแพ..........................................๕3
ภาพที่ ๓6 น้ำตกห้วยผา...........................................................................................................................๕3
ภาพที่ ๓7 ดอยโฉโ่ จ.................................................................................................................................๕3
ภาพที่ ๓8 การแตง่ กายของกะเหรยี่ ง........................................................................................................๕4
ภาพท่ี ๓9 การแตง่ กายของกะเหรีย่ งผูช้ ายวยั เดก็ ....................................................................................๕5
ภาพที่ 40 การแตง่ กายของกะเหร่ยี งสุโขทยั ผู้ชายวยั หนุม่ จนถึงวัยสูงอายุ................................................55
ภาพที่ 41 การแตง่ กายของกะเหรี่ยงจงั หวดั สุโขทัยผู้หญงิ วัยเด็ก.............................................................๕6
ภาพที่ ๔2 การแต่งกายของกะเหรี่ยงจงั หวดั สโุ ขทยั ผู้หญิงวัยสาวจนถึงวยั สงู อายุ.....................................๕7
ภาพที่ ๔3 สรอ้ ยคอและต่างหูของกะเหรี่ยงจังหวดั สุโขทัย........................................................................๕7
ภาพที่ ๔4 ท่ีอยู่อาศยั แบบดัง้ เดิม..............................................................................................................59
ภาพท่ี ๔5 ทอ่ี ยอู่ าศัยแบบสมัยใหม่...........................................................................................................59
ภาพที่ ๔6 ซอเจดีย์ทราย..........................................................................................................................62
ภาพท่ี ๔7 ทำบุญบงั้ ไฟ.............................................................................................................................62
ภาพท่ี 48 การเลย้ี งผเี พ่อื การเกษตรกรรม................................................................................................63
ภาพที่ 49 บา้ นเลี้ยงผี และเตาเลยี้ งผี.......................................................................................................64
ภาพท่ี 50 ปล้องยาสบู และย่ามประจำตวั .................................................................................................๖4
ภาพที่ ๕1 นกโทะ๊ ซ.ู ..................................................................................................................................๖5
ภาพท่ี 52 หลามบอน................................................................................................................................66
ภาพท่ี 53 การทำหลามข้าว......................................................................................................................๖6
ภาพท่ี 54 แกงเหลือง................................................................................................................................๖6
ภาพที่ 55 ขา้ วต้มห่อใบดอกไมก้ วาด........................................................................................................๖7
ภาพท่ี 56 ผลติ ภัณฑ์ชุมชนปกาเกอะญอ.................................................................................................๖7
ภาพที่ 57 ลายตาสามช่อง (ตะเซอโฉ๊ะ)....................................................................................................๖8
ภาพที่ 58 ลายปีกค้างคาว (ตะปล่าเดะ) ลายขาไก่ (ตะชอข้อ) ลายข้อต่อ (ตะเซเค) ลายตาสามช่อง
(ตะเซอโฉ๊ะ)……………………………………………………………………………………………………………………………......๖8
ฏ
ภาพท่ี 59 ลายเกีย่ วลายตาสามช่อง (ตะอกู ว่ั ตะเซอโฉะ๊ )........................................................................๖8
ภาพที่ ๖0 ลายปีกค้างคาว (ตะปล่าเดะ) ลายตาสามชอ่ ง (ตะเซอโฉะ๊ ) ลายพนั เกรียว(ตะอูบ)ี ลายเกย่ี ว
(ตะอกู วั่ )..………………………………………………………………………………………………………………………..…….......๖8
ภาพที่ ๖1 ลายยกปอกนำ้ เต้า (นโิ บ๊ะฮอะทหี ลูห่ ่า) ลายจกปอกนำ้ เต้า (อทู หี ลหู่ า่ )...................................69
ภาพท่ี 62 ลายยกปอกน้ำเต้าไมม่ ีจก (นโิ บ๊ะฮอะทหี ล่หู ่า).........................................................................69
ภาพท่ี 63 ลายยกขาไก่ ไมม่ จี ก (นโิ บะ๊ ฮอะตะ)........................................................................................69
ภาพท่ี 64 ลายยกแทงเก่ยี ว (นโิ บะ๊ ฮอะตะแฉะกั่ว)...................................................................................69
ภาพที่ 65 ลายครกนอ้ ย (นิโบะ๊ ฮอะชะโพ)................................................................................................69
ภาพท่ี 66 ลายยกแทงเกี่ยว ลายจกตาสามชอ่ ง (นิโบะ๊ ฮอะตะแฉะกั่ว อตู ะเซอโฉะ๊ )................................69
ภาพท่ี 67 ลายตาสามชอ่ ง (ตะเซอโฉะ๊ ) ลายดอกหมอน ลายขอ้ ตอ่ (ตะเซเค) ลายกา้ งปลา (ยะค)ี ..........69
ภาพที่ 68 เชโปร่.......................................................................................................................................69
ภาพที่ 69 กระด้ง......................................................................................................................................71
ภาพท่ี 70 กระบงุ ......................................................................................................................................72
ภาพท่ี 71 ระบำซอ...................................................................................................................................73
ภาพท่ี 72 ฟ้อนดาบฟ้อนเจงิ .....................................................................................................................74
ภาพที่ 73 เคร่อื งเปา่ เขาควาย..................................................................................................................75
ภาพท่ี 74 ฆอ้ ง (โม)..................................................................................................................................75
ภาพที่ 75 กลอง (เดอ่ )..............................................................................................................................75
ภาพท่ี 76 ฉาบ (ช๊วั ะ)...............................................................................................................................76
ภาพท่ี 77 เตหนา่ )....................................................................................................................................76
ภาพที่ 78 หมูยาง……………………………………………………………………………………………………..……………….79
ภาพที่ 79 การเลยี้ งวัวควาย......................................................................................................................79
ภาพที่ 80 ไก่พนั ธ์ุพ้นื บ้าน.........................................................................................................................80
ภาพท่ี 81 ต้นสกั ใหญ่…………………………………………………………………………………………………………….……80
ภาพที่ 82 ตน้ โพธิ์ใหญ่..............................................................................................................................80
ภาพที่ 83 นายวฒั นา คา้ งคีรี....................................................................................................................81
ภาพท่ี 84 แผนท่ที อ่ งเทย่ี วบ้านห้วยหยวก................................................................................................82
ภาพท่ี 85 แผนทที่ ่องเทย่ี วบ้านแม่สาน.....................................................................................................83
บทท่ี ๑
บทนำ
ความสำคญั และความเปน็ มา
ประเทศไทยเป็นประเทศทีม่ กี ลมุ่ คนหลายเผา่ พนั ธุ์หลายวฒั นธรรมอาศยั อยรู่ ว่ มกันมาเป็นเวลานาน
เชน่ กลุ่มชาตพิ ันธ์ุท่ีอยบู่ นพ้ืนท่ีสูงหรอื ที่เรยี กกันวา่ ชาวไทยภูเขา ได้แก่ ปกาเกอะญอ มง้ ละวา้ เม่ียน อาข่า
ลีซู เป็นต้น ชาวกะเหรี่ยงที่เรียกตัวเองว่าปกาเกอะญอ ซึ่งได้ให้ความหมายตรงกับคำว่าคนหรือมนุษย์
เป็นกลุ่มชนเผ่าชาติพันธุ์หนึ่งท่ีได้ตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นชุมชน หมู่บ้านในเขตแดนการปกครองของประเทศไทย
กะเหรี่ยงหลักที่อยู่อาศัยในเขตแดนการปกครองของประเทศไทย ประกอบด้วย ปกาเกอะญอ 4 กลุ่มหลัก
คือ 1) จกอร์/สะกอร์ 2) โพล่ง/โปว์ 3) กแบ/คะยา 4) ปะโอ/ต้องสู้ กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุม
พื้นที่ 16 จังหวัดในประเทศไทย คือ ภาคตะวันตก 7 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และภาคเหนือ 9 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร
สุโขทัย ตาก แพร่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย รวมประชากรทั้งหมดในปี พ.ศ. 256๔
จำนวน 1,9๙๓ หมบู่ า้ น ๖๙,๓๕๓ หลงั คาเรอื น ๓๕๒,๒95 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 46.80 ของจำนวนประชากร
กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย (ชาวกะเหรี่ยง. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. 2021, เข้าถึงได้จาก
https://th.wikipedia.org/wiki. อินเทอร์เน็ต. เข้าถึงเมื่อ 15 ตุลาคม 2564) กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงหรือชนเผ่า
เหล่านี้เป็นกลุ่มคนทีม่ ีความผูกพัน และเคารพทะนุถนอมตอ่ แผ่นดิน ป่าไม้ สายน้ำ และขุนเขา เป็นผู้ใช้ชีวิต
สัมพันธก์ ับธรรมชาติ มีความเข้าใจ และได้ส่ังสมความรู้เกี่ยวกับเรือ่ งป่าไม้ น้ำ จนกลายเปน็ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม
ที่สืบทอดต่อ ๆ กันมา กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” มีเอกลักษณ์การดำรงความ
เป็นเผ่าพันธุ์ได้เนื่องจากการปฏิบัติตามประเพณี วัฒนธรรมของตนเอง การดำรงชีวิตอยู่กับป่า การใช้
ทรัพยากรธรรมชาติโดยตรง มีความสัมพันธ์กับดิน น้ำ ป่า มาอย่างยาวนาน มีภูมิปัญญาในด้านการจัดการ
ทรพั ยากรธรรมชาติ และระบบนเิ วศน์จากวิถชี ีวติ ทีม่ คี วามเรยี บง่าย การปฏิบตั ิตามจารีตประเพณขี องกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
ที่มีมาอย่างสืบเนื่องต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น จากกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การพัฒนาของภาครัฐเข้ามาสู่
ชุมชนในปัจจุบัน ทำให้เกิดผลกระทบวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่จะต้องปรับตัวตามกระแส
การพัฒนาที่หลังไหลเข้ามาในชุมชน คนกะเหรี่ยงที่เคยมีเอกลักษณ์วิถีการดำรงชีพที่โดดเด่น ในเรื่องประเพณี
วัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุดมการณ์ ความเชื่อ และวิธีคิดตามประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของคน
กะเหรี่ยงมาโดยตลอดก็มีอันต้องผันแปรหรือค่อย ๆ สูญหายไปจากชุมชนบ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง
อำเภอศรสี ัชนาลยั จังหวัดสุโขทยั และกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ยง ณ บ้านแม่สาน หมู่ท่ี ๖ ตำบลแมส่ ำ อำเภอศรีสัชนาลยั
จังหวัดสุโขทัย เนื่องจากเป็นชุมชนกะเหรี่ยงยังคงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมมีระบบความเชื่อ
ประเพณี วัฒนธรรมดั้งเดิม มีการปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่นโดยใช้สถานศึกษา “โรงเรียนบ้านห้วยหยวก
๒
และโรงเรยี นบา้ นแม่สาน” เปน็ กลไกอย่างหน่ึงที่ชว่ ยสง่ เสริมสนับสนุน และฟ้ืนฟูสบื สานด้านการศึกษาให้แก่
เด็ก เยาวชนในหมู่บ้านไมว่ ่าจะเป็นดา้ นภาษา วัฒนธรรม และประเพณีของกะเหรยี่ งในชุมชน เพอ่ื รว่ มกันรักษา
คุณค่าอตั ลักษณก์ ลุม่ ชาตพิ ันธุข์ องตนเองไว้
การสำรวจและจัดเก็บข้อมูลในลักษณะการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ทางผู้จัดทำได้ศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ
และลงพื้นที่สำรวจข้อมูลและสถานการณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย คือ กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
ณ บ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย และกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
ณ บา้ นแม่สาน หมทู่ ่ี ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสชั นาลยั จังหวดั สโุ ขทัย
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพื่อสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยสำหรับสนับสนุนการพัฒนา
ฐานข้อมลู กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
๒. เพื่อสำรวจและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธ์ุกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัย
สำหรับเตรียมขึ้นทะเบยี นมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
๓. เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและการส่งเสริมการท่องเที่ยว
เชิงวฒั นธรรมในกล่มุ ชาตพิ ันธก์ุ ะเหรี่ยงจงั หวัดสโุ ขทัย
ขอบเขตการศึกษาและวจิ ัยการดำเนนิ งาน
ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา
๑. ทำการศึกษาข้อมูลในลักษณะการศึกษาวิจัยจากเอกสารและลงพ้ืนที่สำรวจข้อมูลและสถานการณ์
ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เกี่ยวกับการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ระบุการตั้งถิ่นฐาน
ของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์ โดยระบุในระดบั หมู่บา้ น
๒. บริบททางสังคม และวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ เขียนอธิบายสภาพของชุมชนชาติพันธุ์
ประกอบด้วย ๑) ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ๒) จำนวนประชากรชาติพันธุ์ ๓) ประวัติศาสตร์ของกลุ่ม
ชาตพิ ันธุ์ ๔) การประกอบอาชีพของชมุ ชนชาติพนั ธุ์ ๕) สถานการณ์ของชมุ ชนกล่มุ ชาติพันธ์ุ
๓. อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม อธิบายอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๑) การแต่งกาย
และภาษา ๒) ภูมิปัญญาและเทคโนโลยี ๓) ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารท้องถิ่น สมุนไพรรักษาโรค
และสาธารณสขุ แบบด้งั เดมิ ๔) ศิลปะการดนตรแี ละการละเลน่ ศิลปหตั ถกรรม และการทำมาหากนิ
๔. เสน้ ทางการทอ่ งเท่ยี วเชิงวัฒนธรรมของชาวกะเหรย่ี งในจังหวดั สุโขทยั
ขอบเขตด้านพนื้ ท่ี
ทำการศกึ ษาขอ้ มลู ในลกั ษณะการวจิ ยั จากเอกสารและลงพน้ื ทีส่ ำรวจข้อมลู กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
กะเหรีย่ งในจังหวัดสุโขทัย
๓
ขอบเขตดา้ นผ้ใู ห้ขอ้ มลู สำคัญ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงสำรวจ (Survey Research) เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์
และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยใช้วิธีสำรวจการสัมภาษณ์
แบบเจาะลึก (In-depth Interview) และวิธีการสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า (Face to face interview) โดยผู้วิจัย
สัมภาษณ์ผู้ถูกสัมภาษณ์ซึ่งเผชิญหน้ากันเสมอ และจดบันทึกคำตอบลงในแบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม
(Focus Group Discussion) ดังนั้น ได้กำหนดให้มี กลุ่มเป้าหมายในการเข้าร่วมกระบวนการวิจัย แบ่งออกเป็น
๔ กลุ่ม คือ
๑. กลุ่มผู้ร่วมวิจัย ได้แก่ ผู้วิจัย ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน เจ้าอาวาสหรือพระในวัดประจำหมู่บ้าน
และผ้เู ก่ียวข้องในพื้นที่
๒. ผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่สมาชิกชุมชนกะเหรี่ยงบ้านห้วยหยวกและบ้านแม่สาน ประกอบด้วย
ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาสหรือพระในวัดประจำหมู่บ้าน นักการภารโรงโรงเรียนบ้านห้วยหยวก ครูโรงเรียน
บ้านห้วยหยวก ครูโรงเรียนบ้านแม่สาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยหยวก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแม่สาน
เจ้าหน้าท่ีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแก่ง เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สำ ผู้อำนวยการ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านท่าโพธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านแม่สำ
ผอู้ ำนวยการโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตำบลป่าคา และสมาชิกในชมุ ชน
๓. กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน เด็ก และเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านแม่สาน
และกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุกะเหรย่ี งบ้านห้วยหยวก อำเภอศรสี ชั นาลัย จังหวัดสโุ ขทัย
๔. กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิได้แก่ ครูผู้ทรงคุณวุฒิที่ยังมีชีวิตอยู่ในโรงเรียนบ้านห้วยหยวกและโรงเรียน
บา้ นแมส่ าน ผูส้ ูงอายทุ ่ีเช่ยี วชาญด้านการทอผา้ ภายในหมู่บา้ น พอ่ หลวงหรอื แมห่ ลวงภายในหมบู่ า้ น
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
การปลูกข้าวไร่ หมายถึง การปลูกข้าวบนที่ดอน และไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าวที่ปลูก
ก็เรียกว่า ข้าวไร่ พื้นที่ดอนส่วนมาก เช่น เชิงภูเขามักจะไม่มีระดับ คือ สูง ๆ ต่ำ ๆ จึงไม่สามารถไถเตรียมดิน
และปรับระดบั ไดง้ า่ ย ๆ เหมอื นกบั พน้ื ที่ราบ ภมู ปิ ญั ญาการปลูกขา้ วไร่ หมายถึง ความรู้ ความเช่ือ ความคิด
ความสามารถในการปลูกข้าวบนที่ดอน ที่สูง และไม่มีน้ำขังในพืน้ ที่ปลูก ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้เรยี นรู้
มาจากปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้อง อันเป็นศักยภาพ และความสามารถด้านวิธีการ ด้านการสร้างเครื่องมือต่าง ๆ
เพื่อใช้ประโยชนใ์ นการดำรงชีวิตให้มีความอยู่รอดอยา่ งมนั่ คง
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง หมายถึง ประชากรในชุมชนเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (กะเหรี่ยงขาว)
ในจงั หวดั สุโขทัย
โบราณสถาน หมายถึง ศาสนสถาน และสถานศึกษา ในพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยง อำเภอศรีสัชนาลัย
จงั หวดั สุโขทยั
๔
ผลประโยชน์ทจ่ี ะไดร้ ับ
๑. ภูมิปัญญาของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในจังหวัดสุโขทัยได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกภูมิปัญญา
ทางวฒั นธรรมของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์
๒. ข้อมูลภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงในจังหวัดสุโขทัยได้รับการเผยแพร่ข้อมูล
สสู่ าธารณชนไดอ้ ย่างกว้างขวาง
๓. ประชาสัมพันธแ์ หลง่ ทอ่ งเทยี่ วเชิงวัฒนธรรมของชาวกะเหรย่ี งใหเ้ ปน็ ทรี่ ู้จกั ของนักทอ่ งเท่ยี ว
๔. ได้เสน้ ทางการท่องเทย่ี วของชาวกะเหร่ียงในจังหวัดสโุ ขทัยให้เป็นที่สนใจของนักทอ่ งเทย่ี ว
ขอบเขตการวจิ ัย
๑. ทำการศึกษาข้อมูลในลักษณะการศึกษาวิจัยจากเอกสาร ลงพื้นที่สำรวจข้อมูล และสถานการณ์
ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เกี่ยวกับการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ระบุการตั้งถิ่นฐาน
ของกลมุ่ ชาติพนั ธโุ์ ดยระบุในระดบั หมู่บ้าน
๒. บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ เขียนอธิบายสภาพของชุมชนชาติพันธ์ุ
ประกอบดว้ ย ๑) ลกั ษณะทางกายภาพของพ้นื ท่ี ๒) จำนวนประชากรชาติพันธ์ุ ๓) ประวัตศิ าสตรข์ องกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ
๔) การประกอบอาชพี ของชมุ ชนชาติพนั ธุ์ ๕) สถานการณข์ องชมุ ชนกล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ
๓. อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม อธิบายอตั ลักษณ์ของกล่มุ ชาติพันธ์ุ ประกอบดว้ ย ๑) ดา้ นวรรณกรรม
พน้ื บา้ น และภาษา ๒) ศลิ ปะการแสดง ๓) แนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณแี ละเทศกาล ๔) ความรู้
และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล
๔. เส้นทางการทอ่ งเที่ยวเชงิ วฒั นธรรมของชาวกะเหร่ยี งในจงั หวดั สุโขทยั
๕
กรอบแนวคิดการวจิ ัย
ศึกษาวิจัยการสำรวจและจดั เก็บ
ขอ้ มูลกลมุ่ ชาติพันธ์ุกะเหรีย่ ง
บริบททางสงั คม ข้อมูลมรดกภมู ิปัญญา
เปดิ เวทกี ารประชมุ
ขอ้ มูลมรดกทาง
วฒั นธรรม
อตั ลักษณท์ างวฒั นธรรม
ศกึ ษาวิจัยการสำรวจและจดั เกบ็ เสน้ ทางการทอ่ งเทยี่ วเชงิ
ข้อมูลกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์กะเหรีย่ ง วัฒนธรรม
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวจิ ัย
บทที่ ๒
แนวคิดและงานศกึ ษาทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
ในการศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย” ผู้วิจัยได้ทบทวน
วรรณกรรม ทั้งเอกสาร ตำรา หนงั สอื แนวคิดทฤษฎี ตลอดจนงานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้องในด้านการวิจยั เชิงสำรวจ
ซึ่งผ้วู จิ ัยไดศ้ กึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี ที่เก่ยี วขอ้ งดังน้ี
๑. แนวคดิ ทฤษฎีบริบททางสงั คมและวฒั นธรรม
๒. แนวคดิ ทฤษฎมี รดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
๓. อตั ลักษณล์ กั ษณท์ างวฒั นธรรม
๔. การกระจายของกลุ่มชาติพนั ธุ์
๕. งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
แนวคดิ ทฤษฎบี รบิ ททางสงั คมและวัฒนธรรม
โดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงจำเป็นต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นชุมชน
เมื่อทุกคนอยู่ร่วมกันจึงต้องมีการปฏิสัมพันธ์กันมีแนวทางในการดำเนินชีวิตร่วมกัน ซึ่งมีการจัดระบบ
และมีกติกาของสังคมที่ต้องปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้สมาชิกของสังคมนั้น ๆ ดำรงอยู่อย่างสงบเรียบร้อย
และมีการปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมาในสังคมนั้น ๆ (วิทยา บุษบงค์, ๒๕๔๗, หน้า ๔๕) คนในสังคมนั้น
เมื่อมีการอยู่ร่วมกัน จำเป็นต้องมีระเบียบแบบแผนหรือแนวทางทีค่ นในสงั คมยึดเปน็ หลกั ปฏิบัติ ซึ่งเรียกว่า
“วัฒนธรรม” วัฒนธรรม คือ การศึกษาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ของกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตแตกต่างกันและดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมวัฒนธรรมเป็นการพยายามทำความเข้าใจ
ความหลากหลายของวัฒนธรรม ผ่านการศึกษาความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่มีความสลับซับซ้อน และสนใจ
กระบวนการสร้างความหมายทางวฒั นธรรมทีผ่ กู ตดิ อยู่กับบรบิ ทเฉพาะพื้นท่ีและมีการคล่คี ลายเปลยี่ นแปลง
ในมิตทิ างประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาต่าง ๆ การทมี่ นุษย์อยรู่ ่วมกันเปน็ หมคู่ ณะเป็นสงั คมมีปฏิสัมพนั ธ์ตอ่ กัน
ก่อให้เกิด “วัฒนธรรม” ที่เป็นวิถีชีวิตของคนในสังคม เป็นแบบแผนการประพฤติปฏิบัติ และแสดงออก
ซ่ึงความรู้สกึ นึกคิดในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ท่สี มาชกิ ในสังคมเดียวกันสามารถเข้าใจซาบซง้ึ ยอมรบั และใช้ปฏิบัติ
ร่วมกนั จะนําไปสู่การพัฒนาระหว่างมนุษยก์ ับมนษุ ย์ มนษุ ยก์ บั สังคม และมนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ มที ัง้ สาระ และรูปแบบ
ที่เป็นระบบความคิด โครงสร้างทางสังคมสถาบันตลอดจนแบบแผน และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น
กล่าวไดว้ ่าวฒั นธรรมจะทำให้เกดิ การเรียนรู้เขา้ ใจถึงภมู ิปญั ญาท้องถิน่ การรคู้ ณุ ค่าของวัฒนธรรม และนาํ ไปปรับใช้
เพ่ือใหเ้ กดิ การพฒั นาท่ยี ั่งยนื (สรรเกียรติ กุลเจริญ, 2558, หนา้ 1-5)
๗
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ ที่มนุษย์ประดิษฐ์สร้างขึ้น
และที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านบทบรรทัดฐาน และระบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในสังคม
นั้น ๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็มีผลกระทบด้านต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมาด้วย ส่งผลต่อการ
เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบหลายด้าน ในส่วนผลกระทบด้านวัฒนธรรม เช่น ความเช่ือ
จารีตประเพณีลดความเข้มข้นลง จริยธรรมและคุณธรรมของชาวบ้านลดต่ำลง เป็นต้น (สรรเกียรติ กุลเจริญ,
2558, หน้า 1-5) วัฒนธรรมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด เนื่องจากปัญหา
ที่มนุษย์ประสบอยู่ในสังคมเป็นประจำประกอบกับมีความต้องการจะปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเอง และครอบครัว
ให้มีสภาพดีขึ้นกว่าเดิม จะเห็นว่าวัฒนธรรมกับสังคมต้องไปด้วยกันเสมอ มีผลเกี่ยวเนื่องกันโดยเฉพาะ
ในระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับโครงสร้าง ของสังคม
ด้วย เช่น การรับเอาแบบอย่างความเป็นอยู่ในเรื่องอาหารการกิน การแต่งกาย การพักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ โดยสิ่ง
เหล่านี้ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเว้นเสียแต่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม มีผลสะท้อนให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงในระบบความสัมพันธ์ของบุคคลแตกต่างไปจากที่เคยเป็นอยู่มาแต่เดิม (สรรเกียรติ
กลุ เจรญิ , 2558, หน้า 15)
ในประเทศไทยภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมในสังคมไทยโดยทั่วไป
ในขณะนี้ก็อาจกล่าวได้วา่ การเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมหรอื การเปลี่ยนแปลง
จากสังคมชาวนามาเป็นสังคมกรรมกร เป็นไปในลักษณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมปรับตัวไม่ทันเพราะเป็น
การเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่มีค่านิยมทางวัฒนธรรมที่เน้นการทำตัวเองให้กลมกลืนกับจักรวาล และการ
สร้างดุลยภาพระหว่างความตอ้ งการทางวัตถุกับทางจติ ใจที่มีผลทำให้ผู้คนต้องพึ่งพากนั เอง และร่วมมือกนั
อนุรักษ์ทรัพยากร และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมาเป็นสังคมสมัยใหม่ที่มีแต่ความต้องการทางวัตถุ
การเป็นปจั เจกบคุ คล และสรา้ งคา่ นิยมทางวัฒนธรรมท่เี น้นการควบคุมจกั รวาลแทนผลท่เี ห็นในปัจจุบันก็คอื
การใชเ้ ทคโนโลยีทางวิทยาศาสตรเ์ พอื่ การผลติ ผลิตผลทางเศรษฐกิจจนเกินความจำเป็นทำใหท้ รัพยากรธรรมชาติ
และสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่พอจะเหลือไว้ให้คนในรุ่นหลัง ๆ ได้ดำรงอยู่อย่างราบรื่นนั้น หมดสิ้นไปโดย
ไม่จําเป็น วิวัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครองของสังคมโลก จะต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่
มีมนุษย์เกิดขึ้นในโลก โดยอาศัยจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาทิ เครื่องมือ เครื่องใช้โบราณสถาน
โบราณวัตถุ และหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ถูกค้นพบ ทำให้เราสามารถทำความเข้าใจถึงรูปแบบ
การดำเนินชีวิต กฎระเบียบ ความเชื่อ ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ดงั กล่าว ทำใหน้ ักประวัติศาสตร์แบง่ ยุคสมยั เหตกุ ารณ์ในอดีตออกเป็นสมัยตามเคร่ืองมอื เคร่ืองใช้ คอื ยุคหนิ
และยุคโลหะ ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักการใช้ตัวอักษร ถูกกําหนดให้เป็นสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งเริ่มข้ึน
เมื่อประมาณ 5,000 ปี ล่วงมาแล้ว จากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรทำให้เราได้ทฤษฎีวิวัฒนาการ
ทางสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื งการปกครองของสงั คมโลกได้ชัดเจนมากขน้ึ
๘
บริบทที่สำคัญของการปรับตัวของชาวเขาหรือชาวกระเหรี่ยง ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย
มีภูมิประเทศประกอบไปด้วยหุบเขาสลับซับซ้อนอุดมไปด้วยความหลากหลายของระบบนิเวศ
ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของคนกลุ่มต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่
ราบ และบนท่สี ูงตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ ท่ีผ่านมาการศกึ ษางานวจิ ัยทางด้านสงั คมศาสตร์ไม่ว่าจะเป็น
งานวิจัยทางด้านสังคมวิทยา มนุษยวิทยา หรือการศึกษาชนกลุ่มน้อยบนที่สูง ซึ่งได้รับการขนานนามว่า
ชาวเขา มักเป็นการศึกษาวิจัยที่ได้รับการชี้นําด้วยมโนทัศน์ของเรื่องวัฒนธรรมกล่าวคือการมอง
“วัฒนธรรม” การมองในแง่ของวิถีชีวิตความเชื่อขนบธรรมเนียม ประเพณีของกลุ่มหนึ่งในลักษณะ
ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และแตกต่างจากคนกลุ่มอื่น ๆ วัฒนธรรมของกลุ่มชนหนึ่งจึงถูกมองในลักษณะ
ที่ถูกกาํ หนดใหต้ ายตัว เชน่ หมู่บ้าน ชนเผา่ ชนชาติ (ยศ สันสมบัติ, 2551, หน้า 8-9)
กะเหรี่ยงเป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยกระจายกันอยู่ในภาคเหนือ
ตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเรื่อยลงมาตามชายแดนภาคตะวันตกไปทางจังหวัดตาก
และกาญจนบุรี ชาวกะเหรี่ยงได้ตั้งรกรากเป็นชุมชน สร้างครอบครัวตั้งถิ่นฐานทำมาหากินมีการใช้
ชวี ติ ประจำวันรว่ มกับคนไทยมาเปน็ ระยะเวลาทีย่ าวนาน และเม่อื ความเจริญดา้ นเทคโนโลยีไดก้ ระจายเข้าสู่
หมู่บ้านชาวกะเหรย่ี งในชมุ ชนต่าง ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และชวี ิตความเป็นอยู่ แต่สถาบัน
ครอบครัวของชาวกะเหรี่ยงในแต่ละชุมชนก็ยังคงประเพณีวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของตนเอาไว้ในชุมชน
ในหมูบ่ ้านทต่ี นเองอาศัยอยู่ได้ เหตใุ ดจึงเปน็ เช่นน้ัน ท้งั ๆ ท่สี ภาพแวดลอ้ มโดยท่วั ไปได้เปลี่ยนแปลงไปตาม
กาลเวลา และเทคโนโลยีที่เข้ามาสู่ชุมชนเป็นอย่างมาก แต่ชุมชนและครอบครัวชาวกะเหรี่ยงก็ยังคงอัตลักษณ์
ของตนเองไวไ้ ด้ ดรัณ ยทุ ธวงษ์สขุ (2557 อา้ งถงึ ใน ชุดประสานงานโครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชดําริ, 2552)
แนวคดิ ทฤษฎีมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
ความหมายของวัฒนธรรม วัฒนธรรมคือการรวมของพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
ในสังคมต่าง ๆ นั้น ย่อมเกิดจากการเรียนรู้นำไปสู่การถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อ ๆ ไป ซึ่งจะใช้ระบบ
สัญลักษณ์ และการเลียนแบบเป็นสื่อแห่งการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม นักวิชาการด้านวัฒนธรรมหลายท่าน
ได้ใหค้ วามหมาย และคำนิยามคำว่า “วัฒนธรรม” ซง่ึ สามารถอธบิ ายได้ ดงั น้ี
ราชบัณฑิตยสถาน (2542) อธิบายความหมายของคำว่า วัฒนธรรมไว้ว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่ทำ
ความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมในการแต่งกาย วิถีชีวิตของหมู่คณะ
เช่น วฒั นธรรมพน้ื บ้าน วฒั นธรรมชาวเขา
สาโรช บัวศรี (2542) ได้กล่าวว่า วัฒนธรรมนับเป็นสิ่งที่มีความสลับซับซ้อนทางวัตถุ อารมณ์
และสติปัญญาโดยหลอมรวมประกอบกันเป็นสังคม ทั้งนี้วัฒนธรรมไม่ได้เจาะจงเพียงแค่ ศิลปะ
และวรรณกรรมเท่านั้น หากแต่มีความหมายที่รวมถึงค่านิยมสิทธิต่าง ๆ ของคนในสังคม ขนบธรรมเนียม
ประเพณี และความเชือ่ ต่าง ๆ อีกด้วย ทำใหว้ ฒั นธรรมได้หมายรวมถึงความดงี าม ความงาม และความเจรญิ
๙
ในชีวิตมนุษย์โดยจะปรากฏให้เห็นในลักษณะของรูปธรรมต่าง ๆ ตลอดจนได้สืบทอดมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน
ซ่ึงวฒั นธรรมจะถูกปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลง และสรา้ งสรรค์ขนึ้ ไปตามยุคสมยั
เฉลียว บุรีภักดี (2545) กล่าวว่า วัฒนธรรม คือวิถีการดำเนินชีวิตในทุก ๆ มิติของคนในสังคม
อันรวมถึงการปฏิบัติหรือการกระทำต่าง ๆ นับตั้งแต่วิธีการกินการอยู่ วิธีการแต่งกาย วิธีการอยู่ร่วมกัน
ของคนในสังคมตลอดจนวิธีการแสดงความสุขทางใจก็นับเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ซึ่งอาจจะนำมา
จากทรัพยากรทางธรรมชาติหรือการประดษิ ฐส์ ร้างสรรค์ขึน้ มาใหมก่ ็ตาม
สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2547) กล่าวว่า วัฒนธรรม หมายถึง แนวทางของการแสดงออกของมนุษย์
ที่จะต้องเริ่มจากบุคคลเป็นผู้คิดขึ้นหรือปฏิบัติกระทำเป็นต้นแบบแล้วได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่
ในสังคม และถูกถา่ ยทอดสืบมาจากการศึกษาความหมายของวฒั นธรรมสามารถสรปุ ไดว้ า่ วัฒนธรรม คือวิถี
การดำรงชีวิตของคนในสังคมอันหมายรวมถงึ พฤติกรรม ความคิด ขนบธรรมเนียมประเพณี จารีต พิธีกรรม
และความเชื่อที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมจนเกิดการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นเพื่อตอบสนอง
ความต้องการร่วมกันของคนในสังคม และมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมไปตามบริบท และสภาพแวดล้อม
ในแตล่ ะท้องถิ่น
มายอร์ (Mayor, 2002) กล่าวว่า องค์การการศึกษาวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติ
(UNESCO) จำแนกออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี
วัฒนธรรมสาขาที่ 1 มรดกทางวัฒนธรรม คือ ผลงานทุกแขนงทั้งหมดอันแสดงออกถึงจิตวิญญาณ
ของชนชาติ และแสดงถึงแกน่ สารทางคา่ นยิ มท่ีทำใหช้ วี ิตมคี วามหมายอนั หมายรวมถงึ เรอ่ื งต่าง ๆ ดังน้ี
1. มรดกทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณ
และค่านิยมในการดำรงชีวิตของมนุษย์ซึ่งผลงานที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นสามารถมองเห็นและ สัมผัสได้
และอาจจะสมั ผัสไม่ได้ โดยเกดิ จากการสร้างสรรคข์ องมนษุ ย์ในสงั คมหรือกล่มุ คนในชาติซ่งึ ผา่ นกระบวนการ
ทางภาษา ความเชื่อ ขนบธรรมเนยี มประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวตั ถุต่าง ๆ ทีป่ รากฏในสังคม
2. ทุกกลุ่มชนชาติ มีสิทธิ บทบาทหน้าที่ในการดูแล และอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของตนเอง
อันเนื่องมาจากสังคมมีความตระหนักและเล็งเห็นคุณค่าความสำคัญของมรดกทางวั ฒนธรรมอันเป็นแหล่ง
ทรัพยากรท่มี ีคุณคา่ ทสี่ ามารถสร้างสรรคว์ ฒั นธรรมของกลมุ่ ชนชาติของตน
3. มรดกทางวัฒนธรรม มักจะเกิดความเสียหายหรือการถูกทำลายด้วยฝีมือของมนุษย์ในสังคม
ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม
ให้กลายเป็นสังคมเมือง จากสังคมเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมตลอดจนความก้าวล้ำ
ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความเจริญก้าวหน้า สามารถเข้ามาทำลายมรดกทางวัฒนธรรมได้ทั้งสิ้น
นอกจากนี้มรดกทางวัฒนธรรมสามารถถูกทำลายด้วยการล่าอาณานิคม การติดต่อคา้ ขายธุรกิจกับต่างชาติ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคมด้านประวัติศาสตร์ทำให้การอนุรักษ์
และภาคภูมิใจในรากเหง้าวัฒนธรรมของตนเองจะทำให้ประชาชนในสังคมปกป้องแสดงออกถึงความเป็นตัวตน
๑๐
ทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้จึงนับเป็นการยืนยันให้คนในสังคมเกิดความเชื่อมั่นและยกย่องเอกลักษณ์
ในวฒั นธรรมของตนเองในสงั คมโลกอย่างภาคภูมิใจ
4. การมอบคืนงานที่เป็นต้นแบบดั้งเดิมทางศลิ ปวัฒนธรรมทีถ่ ูกยึดไปโดยไม่ชอบธรรม นับว่าเป็น
กระบวนการพื้นฐานของการสร้างสัมพันธภาพที่ดีของทุกชนชาติบนโลก ซึ่งเป็นการพยายามที่จะแก้ไข
ปัญหา โดยการสร้างเครื่องมือและข้อตกลงร่วมกันทำให้เกิดความเข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพทางการ
ดำเนินงานด้านวัฒนธรรมของทุกชนชาติ
วัฒนธรรมสาขาที่ 2 อัตลักษณ์ของวัฒนธรรม คือ วัฒนธรรมทุกรูปแบบเป็นตัวแทนลักษณะ
ทที่ รงคณุ คา่ เป็นหนง่ึ เดียวที่ไม่มีส่งิ ใดมาทดแทนได้ซงึ่ วัฒนธรรมด้านนี้จะกอ่ ให้เกดิ การเปน็ ส่วนร่วมส่วนหน่ึง
ในมรดกแหง่ มวลมนุษยชาติ ซ่ึงสามารถแยกประเด็นได้ ดังนี้
1. วัฒนธรรมในสังคมทุกรูปแบบที่สามารถเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่า และความเป็นหนึ่ง
เดียวกันของสังคม อาจจะปรากฏอยู่ในรูปแบบของจารีตประเพณีหรือการแสดงออกทางวัฒนธรรม
ของแต่ละสังคมบนโลก ซึ่งเป็นวิถีการดำรงอยู่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่สามารถสื่อออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
แก่สังคมโลก
2. การมั่นคงในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติของตน ทำให้เป็นเสมือนการยืนหยัด
ในความเป็นอิสระของชนชาติของตนเอง ทั้งนี้ในทางตรงกันข้ามหากมีการครอบงำด้วยอำนาจในรูปแบบต่าง ๆ น้ัน
จะส่งผลกอ่ ใหเ้ กดิ การตอ่ ต้านและเกดิ ความเสียหายของความเป็นเอกลกั ษณภ์ ายในชาตไิ ด้
3. อัตลักษณข์ องวัฒนธรรมนั้น นับเป็นสมบัตอิ นั ล้ำค่าของแตล่ ะชนชาติที่จะสร้างความภาคภมู ใิ จ
ให้แก่มนุษยชาติแต่ละสังคม ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำให้คนในชาติย้อนกลับไปเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์
เพื่อยอมรับ และสร้างความเกื้อกูลให้เกิดขึ้นกับคนในกลุ่มสังคมเดียวกันด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่ม
ชนตนเองซง่ึ เป็นการสร้างสรรค์ และสนับสนุนใหก้ ระบวนการส่งเสริมดา้ นวัฒนธรรมดำเนนิ ไปได้อย่างตอ่ เนือ่ ง
4. วัฒนธรรมบนโลกล้วนทำให้เกิดการร่วมเป็นหนึ่งของคนในแต่ละสังคม ซึ่งมนุษย์แต่ละสังคม
ย่อมมีเอกลกั ษณ์ของวัฒนธรรมตนเอง ซ่ึงเป็นการสรา้ งพลังจิตวญิ ญาณของคนในชาติ การสรา้ งใหค้ นในชาติ
ตระหนัก และเล็งเห็นคุณค่าความสำคัญของวัฒนธรรมตนเองมากขึ้น ผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรม
ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น จารีต ประเพณี ค่านิยม เป็นต้น ทั้งนี้วัฒนธรรมจึงเป็นการหมายรวมถึงการที่มนุษย์
ได้สนทนาตอบโต้แลกเปลี่ยนทัศนคติ ประสบการณ์ ความคิด ที่เกิดจากการสั่งสม และเข้าใจในคุณค่า
ของผู้อื่นด้วย ทั้งนี้การแยกตัวออกจากสังคมเปรียบเสมือนกับการทำให้วัฒนธรรมเกิดความเหี่ยวเฉา
และเสอ่ื มโทรมจนไปถึงการสูญสลายไปในทีส่ ุด
5. ในความเปน็ สากลนั้น ไม่สามารถสรุปได้ว่าความจรงิ ที่อย่ใู นรูปของนามธรรมน้ันเป็นวัฒนธรรม
แบบใดแบบหนึ่ง หากแต่เป็นความจรงิ ทลี่ ้วนเกดิ ข้ึนจากการสั่งสมประสบการณ์ของคนในสังคม โดยในแต่ละชนชาติ
ย่อมมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ทั้งน้ีทำให้เห็นว่าเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมในสังคมโลกนั้นไม่สามารถ
แยกออกจากความหลากหลายทางวฒั นธรรมได้
๑๑
6. คุณสมบัติที่มีเฉพาะตนนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คนในแต่ละสังคมปิดบัง หากแต่จะต้องเป็นสิ่งที่สร้าง
คุณคา่ เพิม่ ความสำคัญให้แก่สังคม ทำให้ค่านยิ มของวฒั นธรรมตนกา้ วสคู่ า่ นยิ มโลกเปน็ สากลท่ีจะสรา้ งความเข้าใจ
และทำให้คนในชาติมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมจึงเป็นการหลอมรวม
และเป็นการยอมรับการแสดงออกที่มีความหลากหลายในสังคม ซึ่งสังคมทุกแห่งบนโลกนี้ย่อมมีประเพณี
จารีตที่แตกต่างกันออกไปก็ย่อมดำรงจารีตเหล่านั้นให้คงอยู่เคียงข้างกันไป นับเป็นการส่งเสริมความมั่นคง
ในการดำเนนิ ชวี ติ ใหม้ คี วามเขม้ แข็งบนความแตกตา่ งทางวัฒนธรรม
7. เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม นับเป็นหน้าที่ของชมุ ชนทุกแห่งบนโลกที่จะต้องดูแลรักษาอนุรักษ์ไว้
ให้คงอยู่ และได้รับการปกป้องคุ้มครอง เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติในสังคมโลก จะต้องมี
นโยบายทางวัฒนธรรมที่จะต้องปกป้องคุ้มครอง เพื่อเป็นการเสริมสร้างแรงจูงใจ และเพิ่มความสำคัญ
ของวัฒนธรรมให้คนในสังคมตระหนักถึงความเป็นรากเหง้าของตน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ
ให้เกิดขึน้ กับคนในวฒั นธรรมชนกลุม่ น้อยทัง้ หลายบนโลก ซึ่งรวมไปถึงวัฒนธรรมอื่น ๆ ในสังคมทีถ่ ูกละเลย
เพิกเฉย ทอดทิ้ง อันเป็นการทำลาย และนับเป็นความสูญเสียของมนุษยชาติโดยรวม ในการนี้คนในแต่ละชนชาติ
จะต้องมีความเสมอภาค และมีศักดิ์ศรีของวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับ ชุมชนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม
จะต้องม่ันคงดูแลรกั ษาวัฒนธรรมของตนไว้ให้เป็นทีป่ ระจักษ์ และได้รับการยอมรบั จากชมุ ชนอื่น ๆ สรุปได้
ว่าในทุก ๆ สังคมบนโลกย่อมมีวัฒนธรรมเฉพาะตน โดยคนในสังคมจะเป็นผู้กำหนดวัฒนธรรม และให้การ
ยอมรับร่วมกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมของแต่ละสังคม และเมื่อคนในสังคมยอมรับใน
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมแล้วนั้น จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา และถึงแม้ว่าวัฒนธรรม
จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมก็ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้คนในสังคมสามารถดำรงชีวิต
ด้วยความรักสามัคคเี ปน็ หนึง่ เดียวกันอนั จะนำไปสกู่ ารพฒั นาต่อไป
วัฒนธรรมสาขาที่ 3 ภูมิปัญญาและเทคโนโลยี คือ ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์
และเทคนิคอันเกิดจากการสร้างสมประสบการณ์จนเกิดเป็นองค์ความรู้ มีการสืบทอด ปรับปรุงและพัฒนา
สบื ตอ่ กนั มาจนสามารถใช้ในการแก้ไขปญั หาความทกุ ข์ยากของคนในอดตี ซึ่งสามารถแบ่งออกเปน็ 3 ระดบั
ดงั น้ี
1. ภูมิปัญญาชาวบ้าน นับเป็นความรู้และประสบการณ์ของคนในสังคมที่ใช้ใน การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
เพอื่ นำไปสกู่ ารพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มคี วามสุข ซง่ึ เป็นการพัฒนาคณุ ภาพทาง วัฒนธรรม 5 หมวด คือ
1.1 ความสุขอันเกิดจากการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งหมายถึงการมีความสมบูรณ์ในการมีปัจจัย
ในการดำเนนิ ชีวติ ในสงั คม
1.2 มีการศึกษาดีโดยสามารถใชช้ ีวติ อยูร่ ่วมกับคนตา่ งกล่มุ ต่างชนเผา่ ได้ ซง่ึ จะต้องเคารพ
และให้เกียรตวิ ถิ ีชีวิต และการดำรงอยขู่ องคนในแต่ละสงั คมดว้ ยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
1.3 การมีศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม เป็นการดำเนินชีวติ ในสงั คม โดยไม่เบยี ดเบียน
ซึ่งกันและกัน
๑๒
1.4 การมคี วามมน่ั คง ครอบครวั มีความอบอนุ่ ชุมชนมคี วามเข้มแขง็ สงั คม มีความสงบสขุ รักใคร่
สามคั คมี ีความเปน็ น้ำหนึง่ ใจเดียวกัน
1.5 การมศี ลิ ปะ การสรา้ งสรรค์ชุมชนใหส้ วยงาม ทรัพยากรธรรมชาติไม่โดนทำลาย บา้ นเมือง
นา่ อยอู่ าศัย
2. ภมู ิปญั ญาไทย สามารถแบง่ เปน็ หมวดหมูไ่ ด้ ดงั นี้
2.1 นับเป็นเรื่องราวของความรู้ที่มีการสืบทอดผ่านทางสถาบันศาสนา โดยมีพราหมณ์
เป็นเสมือนเทพเจา้ แหง่ ความรใู้ นสาขาวิชาตา่ ง ๆ ยกตวั อยา่ ง เชน่ การช่างศิลป์ การดนตรี นาฏศิลป์ เป็นตน้
๒.๒ องค์ความรู้ที่ในสังคมแต่ละสังคมได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นด้วยประสบการณ์ที่สั่งสม
เชน่ ด้านการเกษตรกรรม ดา้ นหตั ถกรรม เปน็ ตน้
๒.๓ องค์ประกอบของความรูท้ ีเ่ ก่ียวข้องกบั การดำรงชีวิต และศิลปะการป้องกันตนเองใน
การดำเนนิ ชีวิตในสังคม
๒.๔ องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่คนในสังคมได้สั่งสมมาจากประสบการณ์นั้น จะถูกถ่ายทอด
และมีการบนั ทึกไว้ในรปู แบบของตำรา แผ่นหิน ใบลาน เช่น ภาพตำราแพทยโ์ บราณท่ีมีการบันทึกภาพไวท้ ี่
วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คราราม เป็นตน้
๓. ภูมิปัญญาชาตินับเป็นการจัดหมวดหมู่ภูมิปัญญาไทยโบราณ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น
๗ สาขา ดังนี้
๓.๑ วิชาวทิ ยะ วศิ วะ ไสยะ และโหราศาสตร์ คือ การคำนวณสง่ิ ต่าง ๆ โดยอาศยั หลักการ
ทางโหราศาสตร์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ตามแนวทางของไสยศาสตร์ อาทิ ยันต์ เวทมนตร์ คาถาต่าง ๆ
๓.๒ วิชาอาชีวศาสตร์ คือ วิชาที่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากินของคนในสังคมเป็นการ
ปฏิบัติตามประเพณีตั้งแต่อดีต เช่น การเพาะปลูก หว่านไถ จับปลา ล่าสัตว์ โดยมีการใช้เวทมนตร์เข้ามาช่วย
เชน่ การใชค้ าถาเรียกปลา เป็นตน้
๓.๓ วิชายุทธศาสตร์ คือ วิชาทีเ่ กี่ยวข้องกับการต่อสู้เพ่ือป้องกันตนเอง เช่น การเรยี นวิชา
มวย กระบกี่ ระบอง ฟันดาบ มวยปล้ำ เปน็ ต้น
๓.๔ วิชาธรรมศาสตร์ คือ วิชาที่ว่าด้วยกฎหมาย หลักธรรมในศาสนา และจารีตประเพณี
โดยมีการจัดระเบียบระบบกฎหมายให้เป็นหมวดหมู่ ตลอดจนการลงโทษการกระทำความผิดของคน
ในสังคม
๓.๕ วิชาแพทย์ศาสตร์ และการพยาบาล คือ วิชาที่เกี่ยวข้องกบั การรักษาชีวติ คนในสังคม
มกี ารจัดตั้งแพทย์ประจำบ้าน และโรงพยาบาล นับเปน็ ศาสตรแ์ หง่ การรกั ษาสุขภาพของคนในชุมชน
๓.๖ วิชาภาษาศาสตร์ และการคำนวณ คือ วิชาที่มีความเกี่ยวข้องกับการเขียน การอ่าน
การคำนวณ
๑๓
๓.๗ วิชาศิลปะ และดุริยางคศาสตร์ คือ วิชาการสอนวิชาทางด้านการชา่ ง และเทคโนโลยี
ด้านนาฏศิลป์ และการละคร ซึ่งนับเป็นวิชาชีพที่สำคัญในการสืบทอดด้านการช่างสาขาต่าง ๆ ที่เรียกว่า
“ชา่ งสบิ หมู”่
วัฒนธรรมสาขาที่ 4 สิทธิมนุษยชนและระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือ วัฒนธรรม
ที่พึงปรารถนาในสังคมร่วมสมัย โดยอาศัยเหตุที่วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์จึงไม่สามารถแยกคนออก
จากวัฒนธรรม ดังนั้นทุกคนจะต้องมีส่วนเข้าไปกำหนดรูปแบบวิถีชีวิตตนเอง และรูปแบบวิถีชีวิตที่ดีที่สุด
คือ การดำรงชีพในฐานะมนษุ ยชนท่ีเทา่ เทียมกัน ซ่งึ จะต้องคำนงึ ถึงปจั จัยพ้นื ฐาน 4 ประการ ดังนี้
1. สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เป็นการเคารพ การยอมรับในด้านความเสมอภาคของคนในสังคม
ซึง่ นับเปน็ ปัจจัยทส่ี ำคญั ของการพัฒนาชุมชน และประเทศชาตโิ ดยคนในสงั คม ทกุ สังคมจะตอ้ งมกี ารดำเนนิ
ชีวิตที่บูรณาการทางกาย จิตใจ ภูมิปัญญา จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นพื้นฐานของศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
ในสังคม ท้งั นีร้ วมถึงสทิ ธิในด้านสุขภาพ การศึกษา การงาน การพฒั นาสงิ่ แวดล้อม และสิทธใิ นการตัดสินใจ
ด้วยตนเองทน่ี บั วา่ เป็นประโยชนร์ ว่ มกัน
2. การปกป้อง และความเสมอภาคของชนกลุ่มน้อย เป็นการยกระดับความเสมอภาคให้กับชนกลุ่มน้อย
ให้มีสิทธิเสมอภาคเท่ากับคนในสังคมอื่น ๆ ในสังคม ตลอดจนการได้รับสิทธิที่เป็นผลประโยชน์อันพึง
จะไดร้ ับเท่าเทียมกบั คนในสงั คมอน่ื ๆ
3. สิทธิเสรีภาพพื้นฐานของมนุษย์อันประกอบไปด้วย สิทธิในการตัดสินใจของตนเอง สิทธิในการ
ป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติทางเผ่าพันธุ์ และสีผิว สิทธิสตรีสิทธิเยาวชน สิทธิในการห้ามมีการเกณฑ์
แรงงานหรอื แรงงานบังคับ สิทธิมนษุ ยชนในการบริการความยุติธรรม หรือการถูกกกั ขงั
วัฒนธรรมจึงเป็นการแสดงออกถึงลักษณะของความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบ แบบแผน
ส่งผลให้เห็นถึงความปรองดองกลมเกลียวของคนภายในชาติที่มีศีลธรรมอันดีงามในสังคม และประเทศ
โดยในการดำรงอยู่ของวิถีชีวิตในแต่ละสังคมของมนุษย์นั้นย่อมเป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน
ท่มี ีความสำคญั ต่อความอยู่รอดในสังคม การสืบทอดตระกลู และกลุ่มชาตพิ นั ธุ์นนั่ เอง
อัตลกั ษณล์ ักษณ์ทางวฒั นธรรม
นางสาวจิราภรณ์ กาญจนสุพรรณ (2562) อัตลักษณ์ คือ การนิยามตนเองหรือรู้สึกว่าตนเอง
เป็นใครโดยการระบุว่าตัวเองมีลักษณะบางประการที่ทำให้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของกลุ่มโดยเฉพาะ
และแตกต่างจากกลุ่มอื่น โดยอัตลักษณ์เป็นปริมณฑลที่เชื่อมต่อระหว่างปัจเจกชน และโครงสร้าง
กล่าวคือ ในด้านหน่ึงอัตลักษณ์คือความเป็นปัจเจกที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์กับสังคม สังคมกำหนดบทบาท
หน้าท่ี และคุณค่าที่ติดตัวมากับสถานภาพอัตลักษณ์จึงเกี่ยวกับการใช้สัญลักษณ์ ซึ่งในแง่มุมอื่น ๆ
ของอัตลักษณ์ยังได้เชื่อมโยงกับภายในตัวเรา ทั้งด้านความคิด ความรู้สึก อันเนื่องมาจากคนในสังคม
๑๔
จะให้ความหมายหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบความหมายให้มีความเชื่อมโยงกับโลกสามารถแบ่งอัตลักษณ์
ออกเป็น 2 ระดบั คอื อัตลักษณ์ บคุ คล และอตั ลักษณท์ างสังคม
อภิญญา เฟื่องฟูสกุล (2546) ได้กล่าวว่า อัตลักษณ์ คือ สิ่งที่มีลักษณะเฉพาะหรือมีคุณสมบัติ
ของคนหรือสิ่งหนึง่ ซึ่งมีความโดดเด่นและมีความแตกต่างไปจากส่ิงอื่น ๆ แต่ในปัจจบุ ัน ความหมายของคำ
นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) โดยทำให้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับ
การมองโลกแหง่ การเขา้ ถงึ ความจริงของส่ิงต่าง ๆ มากยิ่งข้ึน ตลอดจนมีความเชื่อว่า อัตลักษณ์นัน้ คือความ
จริงที่เป็นแกนหลักของคนในสังคม ซึ่งวิธีคิดในยุคแห่งกระแสการรื้อถอนความคิดความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
กับคุณสมบัติของแก่นในปัจเจกภาพน้ัน ทำให้ความเป็นปัจเจกกลายเป็นส่ิงท่ีมีนิยาม หมายถึงการเคล่ือนท่ี
หรือการเลื่อนไหลปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคม และยุคสมัย โดยอัตลักษณ์นั้นนับเป็นมโนทัศน์
ท่ีมคี วามสมั พันธ์กับสาขาวชิ าหลากหลายดา้ นทัง้ ในทาง สงั คมศาสตรม์ านุษยวทิ ยา จิตวทิ ยา ทำใหอ้ ัตลกั ษณ์
จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นสิ่งท่ี เชื่อมโยงระหว่างขั้วทั้งสอง นอกจากนี้อัตลักษณ์ยังเป็น
ปจั เจกทมี่ ีความเช่ือมต่อและมคี วามสัมพันธก์ ับสังคม
ประสิทธิ์ลีปรีชา (2547) กล่าวว่า อัตลักษณ์ (Identity) ได้มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน
คือ Identitas ซึ่งเดิมนั้นได้ใช้คำว่า Idem จะมีความหมายว่าเหมือนกัน (The same) ทั้งนี้ในพื้นฐาน
ภาษาอังกฤษนั้น คำว่า อัตลักษณ์ได้มีความหมาย 2 ประการ คือ 1. ความเหมือน และการมีลักษณะ
เฉพาะที่มีความแตกต่างกันออกไป อันหมายถึงการตีความหมายเหมือนกันบนฐานของความสัมพันธ์
2. การเปรียบเทียบระหว่างคนหรือสิ่งต่าง ๆ ในสองมุม กล่าวคือ การมีความคล้ายคลึง และการมีความ
แตกต่าง สามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. อัตลักษณ์ความเป็นปัจเจก (Individual Identity)
และอัตลักษณ์ร่วมของกลุ่ม (Collective Identity) ซึ่งในระดับความเป็นปัจเจกนั้น หมายถึง ในความเป็น
บุคคลหนึ่ง ๆ นั้นอาจมีหลากหลายอัตลักษณ์อยู่ในตัวตน ส่วนอัตลักษณ์ร่วมของกลุ่มนั้น หมายถึง การอยู่
ร่วมกันของกลุ่มคนจนเกิดเป็นอัตลักษณ์ที่มีความหลอมรวมก่อให้เกิด ความสงบสุขของการอยู่ร่วมกัน
ของคนในสังคม โดยไม่สามารถแบ่งแยกออกจากการปฏิบัตหิ รือการกระทำที่ละท้ิงสถานภาพของความเป็น
ปจั เจกในกลุ่มได้
จากการศึกษาความหมายของอัตลักษณ์ ผู้วิจัยพอจะสรุปได้ว่า “อัตลักษณ์” ย่อมมีความหมาย
ที่ครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่เชื้อชาติ เพศ สีผิว ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสังคม และยุคสมัย ปัจจุบันมีการ
เปลยี่ นแปลง และความคลุมเครือของการแสดงออกของอัตลกั ษณใ์ นกล่มุ ชนตา่ ง ๆ ในสังคม อนั เกิดจากการ
ไดร้ บั อิทธิพลของการเปิดรับวฒั นธรรมของกลมุ่ ชนเผ่าท่ีมีความคดิ ว่า กลุ่มชนเผ่าตนอยู่เหนอื กวา่ กลมุ่ ชนเผ่า
อื่น ๆ จึงได้มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของตน โดยไม่มีความเข้าใจในความเป็นมา
ของวัฒนธรรมนั้น ๆ ส่งผลให้ผู้ที่รับวัฒนธรรมเกิดการตีความหมายที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ส่งผลให้เกิดการดูหม่ิน
ทางวฒั นธรรมในดา้ นการเหยยี ดสีผิว และการดูถกู ชนชน้ั ตามมา
๑๕
การกระจายของกลุ่มชาติพันธ์ุ
แนวนโยบายและการปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชาวกะเหรี่ยง (๒๕๕๔) คำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำที่
คนภาคกลางใชเ้ รยี ก สนั นษิ ฐานว่ามีท่ีมาจาก “ภาษามอญ” ว่า “เกรี่ยง”
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงพอจำแนกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มกะเหรี่ยงที่เรียกตนเองว่า
“ปกาเกอะญอ” หรือ “จกอ” ซึ่งชาวต่างประเทศมักจะออกเสียงว่า “สกอว์” (Sgaw karen) และกลุ่ม
ตัวเองที่เรียกว่า “โพล่ง” หรือ “โผล่ว” นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นๆที่มีความคล้ายคลึงกันบ้าง ในทางภาษา
และวัฒนธรรม เช่น กยาห์ หรือ บะแว กะยัน หรือปะด่อง (ที่ถูกเรียกว่ากะเหรี่ยงคอยาว) ปะโอ หรือต่องสู้
ซงึ่ กลุ่มต่าง ๆ เหล่านีม้ จี ำนวนไม่มากนัก
บทบาทของกะเหรีย่ งตอ่ สังคมไทยในอดีต โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ที่เป็นปกาเกอะญอ และโพล่งได้ช่ือว่า
เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย และประเทศพม่ามานานเป็นหลายร้อยปีแล้ว โดยอาศัย
หลักฐานจดหมายเหตุหริภุญไชยซึ่งเป็นอาณาจักรมอญโบราณ Chares F. Keyes (๑๙๗๙) พบว่ามีการ
กล่าวถึงกะเหรี่ยงว่าตั้งถิ่นฐานอยู่ในป่าใกล้เคียงกับ ลัวะ รอบ ๆ เมืองเชียงใหม่ที่เก่าแก่ประมาณพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๓ ส่วนหลักฐานที่เก่าแก่ของกะเหรี่ยงในภาคกลางอาจจะไม่ชัดเจนเท่า แต่นักวิชาการหลายคน G.H. Luce,
(๑๙๕๙) ไดร้ ะบวุ ่ามกี ะเหรีย่ งอยู่ในพ้ืนทภ่ี าคกลางทางดา้ นตะวนั ตกเปน็ เวลาหลายร้อยปมี าแลว้ เชน่ กนั
บทบาทของกะเหรีย่ งในสังคมไทย ปรากฏชดั เจนในหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา
เช่นในปี พ.ศ. ๒๑๔๒ ผู้นำกะเหรี่ยงมีตำแหน่งเรียกว่า แสนภูมิโลกาเพชร ได้เข้าร่วมกับกองทัพสยาม
เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพไปตีหงสาวดี และตองอู นอกจากนี้ในต้นรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
กะเหรี่ยงบริเวณอำเภอสังขละบุรีได้ทำหน้าที่สอดแนมการเคลื่อนไหวของพม่า และแจ้งข่าวให้ฝ่ายสยาม
ในคราวสงคราม ๙ ทัพและศึกท่าดินแดงในปี พ.ศ. ๒๓๒๙-๒๕๒๙ เป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญทาง
ประวัติศาสตร์ที่ทำให้สยามเตรียมรับกองทัพพม่า และมีชัยในเวลาต่อมา (หม่องต่อ, ๒๕๔๕) และประมาณ
ในปี พ.ศ. ๒๓๓๔ รายงานของนักสำรวจชาวอังกฤษได้ระบุว่ามีเจ้าเมืองศรีสวัสด์ิ ชื่อพระศรีสวัสด์ิ
และกะเหรี่ยงเมืองศรีสวัสดิ์มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับไพร่ในสมัยนั้น ต่อจากนั้นไม่นานมีผู้นำกะเหรี่ยง
ขอตั้งรกรากที่เมืองสังขละบุรี เขตติดต่อพม่าด้านด่านเจดีย์สามองค์ และกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ซึ่งมีขุนสุวรรณ
เป็นผู้นำร่วมกับมอญได้ช่วยจับกุม และขับไล่หน่วยลาดตระเวนของพม่าในปี พ.ศ. ๒๓๖๕ (สมภพ ลาชโรจน์,
๒๕๒๖) และในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ มีหลักฐานว่ากะเหรี่ยงได้ทำหน้าที่ในการดูแลชายแดนโดยการส่งข่าว
ให้กบั เจา้ เมอื งหรอื แม่ทัพไทย รวมท้งั ทำหน้าท่สี ่งส่วยใหร้ ัฐเหมือนไพรไ่ ทยท่ัว ๆ ไปดว้ ย
ภายหลังจากที่ประเทศพม่าได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เริ่มมีการสำรวจอณาเขตเพื่อปักปันดินแดนระหว่างสยามกับอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๔๐๗
กม็ กี ะเหรี่ยงบางสว่ นที่ไมย่ อมตกอย่ใู นความปกครองของอังกฤษ และไดข้ อยา้ ยเขา้ มาอาศัยอย่ใู นฝ่งั ไทย
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปฏริ ูประบบราชการ และการปกครองแบบเทศาภิบาล
พระยาวรเดชศักดาวุธข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลราชบุรีได้เข้าไปสำรวจ และเยี่ยมเยียน
๑๖
ชุมชนกะเหรี่ยงในจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี ได้รายงานต่อพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงดำรง
ราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยว่ากะเหรี่ยงในชุมชนดังกล่าวสนใจ และยินยอมที่จะอยู่ภายใต้
การปกครองของไทย และให้ความร่วมมือเสมอมา ผู้นำกะเหรี่ยงท่านหนึ่งคือ พระศรีสุวรรณเจ้าเมืองสังขละบุรี
ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอสังขละบุรี ได้รวบรวมคนกะเหรี่ยงสร้างสถานีตำรวจโดยไม่ขอรับ
คา่ ตอบแทนจากทางการ (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, ๒๔๔๓)
อาจกล่าวได้ว่าในอดีตโดยเฉพาะในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กะเหรี่ยงภาคกลางทางตะวันตก
ได้แสดงความจงรักภักดีต่อรัฐไทย และทำหน้าที่เหมือนคนไทยโดยทั่วไป ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือน
กองกำลงั ทีด่ แู ลชายแดนไทยใหม้ ีความม่นั คงปลอดภยั
ส่วนในทางภาคเหนือในสมัยของพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๓๕๖) กะเหรี่ยงได้ทำหน้าที่เป็น
กองกำลังรักษาความปลอดภัยชายแดนให้กับเมืองเชียงใหม่ และลำพูน คล้าย ๆ กับในภาคกลางแต่ในบางครั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยง และเจ้าเมืองเชียงใหม่ไม่ได้ราบรื่นนกั เพราะกะเหร่ียงในบางท้องถิ่นรู้สกึ ว่า
ถูกเก็บส่วยมากเกินไป อย่างไรก็ตามเจ้าเมืองเชียงใหม่ในระยะต่อมาได้รับรู้ถึงคุณค่าของกะเหรี่ยงที่มีต่อ
ล้านนาทั้งในด้านความมั่นคง และด้านเศรษฐกิจ โดยการส่งส่วยผลผลิต และแรงงานให้กับฝ่ายปกครอง
ของลา้ นนา (R. Renard, ๑๙๘๖)
การตัง้ ถน่ิ ฐานและการกระจายตัวของประชากรกะเหรี่ยง
กะเหรี่ยงต้ังถิ่นฐานทำมาหากนิ อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ๙ จังหวัดคือ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่
ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร แพร่ และสุโขทัย และในพื้นที่ภาคกลางด้านตะวันตก รวม ๖ จังหวัด
คอื อทุ ัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบรุ ี และประจวบคีรีขันธ์ รวมเปน็ ๑๕ จังหวัด
จากการสำรวจของ วุฒิ บุญเลิศ (๒๕๔๕) พบว่าทุกจังหวัดมีทั้งปกาเกอะญอ และโพล่งตั้งถิ่นฐาน
บ้านเรือนอย่มู ีท้ังทีอ่ ยุ่แยกตามเขตพ้นื ท่ีอำเภอ และท่ีอยู่ร่วมอำเภอเดยี วกนั มหี ลกั ฐานทบี่ ่งช้ีว่ามีการอพยพ
หรือถูกอพยพเคลือ่ นย้ายภายในจังหวัด ข้ามจังหวดั และข้ามประเทศ เช่น ปกาเกอะญอในจังหวัดเชียงราย
บางส่วนอพยพมาจากแม่ฮ่องสอน ส่วนโพล่งในจังหวัดเชียงรายอพยพมาจากลำพูน และลำปาง ส่วนกะเหรี่ยง
แม่ฮอ่ งสอนท่ีเปน็ ปกาเกอะญอ โพล่งตง้ั ถน่ิ ฐานในท่ที ี่เปน็ ดอย และทร่ี าบเชงิ เขาคล้าย ๆ กนั โพล่งในจังหวัด
เชียงใหม่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบต่ำกว่าพื้นที่ที่ปกาเกอะญอตั้งถิ่นฐานอยู่ และโพล่งบางส่วนได้มีการอพยพไปไว้
ที่ดอยเต่าอำเภอฮอด เพราะเป็นพื้นที่น้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนภูมิพล กล่าวโดยรวมจากหลักฐานโบราณ
มีชุมชนกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในภาคเหนือมานานประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ ปี หรือมากกว่านั้น แต่ชุมชนกะเหรี่ยง
ในปัจจุบันมีอายุอย่างมากไม่เกิน ๔๐๐ ปี ทั้งนี้อาจเกี่ยวกับวิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียน และระบบความเชอื่
ในการย้ายหมูบ่ ้านเม่อื ชุมชนต้องเผชิญกบั ภัยพิบัติตา่ ง ๆ
การตั้งถิ่นฐานในป่า จากงานศึกษาด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงพบว่า
กะเหรี่ยงมักนิยมตั้งถิ่นฐานในป่าตั้งแต่อดีต ดังคำกล่าวที่ว่า “ที่ไหนมีป่าที่นั่นมีกะเหรี่ยง” และที่ไหนมีกะเหรี่ยง
๑๗
ที่นั่นมีป่า เพราะป่ามิใช่เพียงเป็นพื้นที่ทำมาหากินแต่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่กะเหรี่ยงต้องปกปักรักษา
ดังที่ ศคิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า “คนกะเหรี่ยงคิดว่าเขา
ขอธรรมชาติอาศัยอยู่” การทำไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าคนกะเหรี่ยงมีวิถี
การดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับระบบนิเวศของธรรมชาติ ที่สำคัญคือความสุขของคนกะเหรี่ยงก็คือ
การไดอ้ อกไปเฝ้าไร่ ด้วยวิถีเช่นนี้จึงเป็นคำตอบท่วี ่าทำไมบริเวณทีม่ ชี ุมชนกะเหรย่ี งปา่ จึงยังสมบรู ณ์อยู่
ตัวอย่างป่าสำคัญที่กะเหรี่ยงได้อยู่อาศัยเป็นพื้นที่ทำกิน ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ห้วยขาแข้ง
ทุ่งใหญ่นเรศวร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เขตรักษาพันธุ์สัตว์แม่ตื่น อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง
อุทยานแหง่ ชาติกยุ บุรี อทุ ยานแห่งชาติแมย่ ม อทุ ยานแห่งชาตศิ รสี ัชนาลัยเป็นตน้
ถึงแม้จะมีการเรียกชาวกะเหรี่ยงในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไป แต่ชาวกะเหรี่ยง จังหวัดสุโขทัย
จัดว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในกลุ่มชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับอิทธิพลจากพม่าและมอญเป็นอย่างมาก ทำให้
มีวัฒนธรรม รูปแบบการดำเนินชีวิตที่มีความใกล้เคียง และคล้ายคลึงกับกะเหรี่ยง ในแถบจังหวัดเดียวกัน
และมีการรับวัฒนธรรมจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ มาผสมผสานในรูปแบบ และลักษณะที่ใกล้เคียงกันในกลุ่ม
กะเหรี่ยงแตล่ ะภูมภิ าค
กลุ่มชาวกะเหรี่ยงที่ปักหลักอาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดสุโขทัยนั้น ครั้นในอดีตได้อพยพมาจาก
จังหวัดลำพูนของประเทศไทย เนื่องจากได้ถูกรุกรานจากคนไทย เพื่อการปล้นสดม และถูกขับไล่ออกจาก
พื้นที่เพื่อครอบครองที่ทำกิน จนได้พลัดถิ่นฐานมาถึงตำบลบ้านปากคะยาง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
จนเป็นทีม่ าของคำว่า “บ้านยาง” ในสมยั นนั้ และยังถูกรุกรานโดยคนไทยเร่อื ยมา จนได้มาต้ังรกรากถ่ินฐาน
ท่ีบ้านห้วยหยวก และบ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยจนปัจจุบัน (สัมภาษณ์ นางณปภัส
คา้ งคีร.ี ผใู้ หญ่บ้านบา้ นห้วยหยวก)
ชาวกะเหรี่ยงในจังหวัดสุโขทัยได้มีความโดดเด่นในด้าน วัฒนธรรม ด้วยความโด่นเด่นทางด้าน
วัฒนธรรม อาทิ การแต่ง กาย ภาษา อาหาร ศิลปะการดนตรี และขนบธรรมเนยี ม ประเพณี พิธีกรรมน้เี อง
ชาวกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยจึงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่มีความเข้มแข็งในวัฒนธรรมของตนเอง
และมกี ารปรบั เปล่ียน รูปแบบวัฒนธรรมใหส้ อดคลอ้ งกับสงั คมทุกยคุ สมยั
จากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับบริบทของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ทำให้เห็นว่ากลุ่ม ชาติพันธุ์
กะเหรย่ี งจงั หวัดสุโขทยั ไดอ้ าศัยตงั้ รกรากถน่ิ ฐานอยู่ในพ้ืนท่ีแห่งนม้ี าเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งมีท่ีอยู่อาศัย
จารีตประเพณี การแต่งกาย ระบบครอบครัว การละเล่น ดนตรีภูมิปัญญาในการ ดำรงชีพ และความเชื่อ
เกี่ยวกับผีต่าง ๆ เช่น ผีต้นไม้ ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ เป็นต้น ตลอดจนวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์
และสืบทอดจากบรรพบุรุษในอดีตมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน จากการประพฤติปฏิบัติและร่วมกันดำรงรักษา
วัฒนธรรมดั้งเดิมไว้อย่างเหนี่ยวแน่น จนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่มีความเข้มแข็งตั้งแต่อดีตมาจนถึง
ปัจจุบัน ผู้วิจัยได้นำผลการศึกษาด้านบริบทของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่ม ชาติพันธุ์
๑๘
กะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยมาเป็นข้อมูลพ้ืนฐาน ในการศึกษาวัฒนธรรมกะเหรี่ยงในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย
จังหวดั สุโขทัย เพือ่ นำไปสู่การสรา้ งกจิ กรรมอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมกะเหรยี่ งต่อไป
งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง
จากการศกึ ษางานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้องในด้านงานวิจัยทางวัฒนธรรมชาติพนั ธ์กุ ะเหรี่ยง และการอนุรักษ์
วฒั นธรรม มดี ังนี้
วุฒิสิทธิ์ จีระกมล (๒๕๕๓) การศึกษาวิจัยเรื่องดนตรีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลยั
จังหวัดสุโขทัย พบว่า บรรพบุรุษของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สาน ได้อยู่อาศัยมากว่า ๔๐๐ ปีแล้ว
ด้วยภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การดำรงชีวิต จึงทำให้มีการก่อต้ังชุมชนขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแล
ของภาครัฐในเรื่องสิ่งของอุปโภค บริโภค และการศึกษา ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับ
การนับถือผี ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ชนเผ่าต่าง ๆ ในประเทศไทย ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สาน
มีขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนกับชาวไทยทัว่ ไป คือ พิธงี านข้ึนปีใหม่ (สงกรานต)์ เมื่อถงึ วันสำคัญบรรดา
ลูกหลานชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่สานจะรวมตัวกันรดน้ำดำหัวเพื่อแสดงความกตัญญู และขอพรจาก พ่อ แม่
ญาติผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ และมีการขับร้องเพลงซอซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการแพร่กระจายของวัฒนธรรม
มาจากชาวไทยภาคเหนือ และมการใชเ้ ครอ่ื งดนตรีตา่ ง ๆ มาใชใ้ นการประกอบการร้อง โดยการสืบทอดเป็น
การสืบทอดมาตั้งแต่อดีต การสืบทอดดนตรีจะเป็นการสืบทอดแบบปากเปล่าไม่มีการจดบันทึก ส่วนเครื่อง
ดนตรีที่ใช้ในหมู่บ้านแม่สานจะเป็นเครื่องดนตรีที่จัดซื้อมาจากที่อื่นไม่ได้ผลิตขึ้นมาเอง เพราะขาดช่างที่มี
ทักษะในการทำเครือ่ งดนตรี ซึ่งแตกต่างจากชาวเขาเผ่าอื่น ๆ ที่สามารถผลิตเครื่องดนตรีเองไดจ้ ากผลผลิต
จากธรรมชาติ เครื่องดนตรีที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่สานใช้ในการประกอบพิธี และประกอบการร้องเพลง
ได้แก่ ซึง จหวะ โม และเด่อ โดยจะใช้ซึงเป็นเครื่องดนตรีดำเนินทำนองวงดนตรีที่ใช้ประกอบในงานปีใหม่
(สงกรานต์) ประกอบด้วยวงซอเจดีย์ทราย วงซอพื้นบ้าน และวงบรรเลงประกอบการรำเจิง และรำดาบ
บทเพลงที่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สานใช้ในงานปีใหม่ (สงกรานต์) มี ๓ บทเพลง คือ ๑) บทเพลงกร่งกร่งตุง
เป็นบทเพลงที่เล่าถึงนิทานพื้นบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สาน ใช้เล่นในงานทั่วไปมีเสียงเครื่องดนตรี
ซึ่งเป็นตัวดำเนินทำนองควบคู่ไป ๒) บทเพลงซอเจดีย์ทราย ท่อนที่ ๑-๓ เป็นการกล่าวเชิญเทวดาลงมา
จากสวรรค์เพื่อมาให้พรแก่ชาวบ้านและส่งเทวดากลับมาสู่สวรรค์ ๓) บทเพลงดนตรีประกอบ การรำเจิง
และรำดาบ โดยจะไม่มีเสียงดำเนินทำนองมีเพียงเสียงประกอบการให้จังหวะจากเครื่องดนตรี จหวะ เด่อ
และโม บทเพลงของดนตรีในพิธีกรรมของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สาน ที่ยังคงถือปฏิบัติกันอยู่ใน
ปจั จุบัน คือ พิธีการแตง่ งานและพธิ ีศพ ดังน้ี ๑) พธิ ีแตง่ งาน จะมีการใชเ้ ครือ่ งดนตรปี ระกอบจงั หวะในขบวน
แห่สินสอดของเจ้าบ่าว และมีการขับร้องเพลงในขบวน เมื่อถึงบ้านเจ้าสาวก็จะมีการขับร้องซอตอบโต้กัน
ระหว่างฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง ๒) พิธีงานศพ ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สานจะให้ความสำคัญในพิธีศพ
มากเหมือนกับชาวเขาเผ่าอื่นๆ โดยจะมีการขับร้องเพลงซอในพิธีงานศพเพื่อส่งวิญญาณของผู้เสียชีวิต
๑๙
เพื่อให้วิญญาณไปสู่สุขติ หนุ่มสาวที่ไปร่วมงานพิธีก็จะมีการร้องเพลงซอเช่นกัน แต่จะเป็นการขับร้องเพลง
ซอเพื่อเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานานของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านแม่สาน
การขับร้องเพลงซอเจดีย์ทรายของชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่สานจะกระทำกันในช่วงหัวค่ำของวันสงกรานต์
หรือวันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปี ถือว่าเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมานาน แต่ในปัจจุบันกลับไม่ค่อยมีการ
ปฏิบัติสืบทอดกันมา จะเป็นการนำวงดนตรีสากลมาแสดงเพื่อความสนุกสนานหรือใช้เครื่องขยายเสียง
ในการขับร้องเพลงแทนการขับร้องซอเจดีย์ทราย และจากแนวคิดเกี่ยวกับการกลมกลืนทางวัฒนธรรม
จะเห็นได้ว่า อิทธิพลจากสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้ความสนใจในดนตรีของชาวไทยในพื้นราบมากกว่า
ความสนใจในวัฒนธรรมดนตรีของชาวเขาเผ่าของตนเอง นอกจากนี้การถ่ายทอดทางดนตรีของชาวเขาเผ่า
กะเหรี่ยงบ้านแม่สานเป็นเพียงการถ่ายทอดด้วยปากเปล่า ไม่ได้มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
และไม่ได้ถ่ายทอดแบบวงกว้างจำกัดอยู่แค่เพียงพ่อสู่ลูก หรือคนที่สนใจจริงๆ ก็ไปอาศัยจดจำจากผู้อาวุโส
ภายในหมบู่ ้าน เมอ่ื ขาดความเอาใจใส่ในการถา่ ยทอดวัฒนธรรมดนตรปี ระจำเผา่ ของตวั เองใหแ้ ก่ลูกหลานใน
หมู่บ้านแล้ว เมื่อนักดนตรีอาวุโสได้เสียชีวิตลงจึงทำให้ขาดผู้สืบทอด บทเพลงบางบทเพลงได้หายสาบสูญไป
เครื่องดนตรีบางชนิดขาดผู้มีทักษะในการบรรเลง เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความชำรุดก็ไม่มีผู้ที่จะสามารถดูแล
ซอ่ มแซมได้ ทำให้พิธีกรรมบางอยา่ งลดบทบาทความสำคญั ของดนตรีลง ซึ่งไมไ่ ดถ้ ือปฏิบตั ิเหมือนดังอดตี
นฤมล ลภะวงศ์ (๒๕๕๗) การศึกษาวิจัยเรื่องกระบวนการจัดการเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านหนองมณฑา (มอวาคี) ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่
พบว่า ภายในชุมชนมีระบบการปกครอง และโครงการสร้างความสัมพันธ์ของคนในชุมชนที่เหนียวแน่น
จึงทำให้คนในชุมชนเกิดความตระหนักรักในความเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง เกิดความต้องการและพยายาม
ที่จะรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอเอาไว้ท่ ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ทางสังคมในปัจจุบัน โดยใช้โรงเรียนบ้านมอวาคีเป็นกลไกในการถ่ายทอดวิถีชีวิตแบบปกาเกอะญอรกั ษาอัตลกั ษณ์
ทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม มีผู้อาวุโสในชุมชนเป็นผู้ถ่ายทอด ให้แก่เด็ก นักเรียน เช่น ภาษา การแต่งกาย นิทาน
บทธา การสืบทอดในเรื่องการทอผา้ การทำนา การทำ ไร่หมนุ เวยี น ฯลฯ
เกศศิริ วงศ์สองชั้นและคณะ (๒๕๖๐) จากการศึกษาปัจจัยและลักษณะการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
ของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประเพณีชนเผ่าปกาเกอะญอ
หรอื ชาวกะเหร่ียงนำ้ ตกน้ัน โดยทวั่ ไปแล้วอาจมกี ารเปล่ียนแปลงไปเพราะสังคมในทุกวันน้ีรบั วัฒนธรรมจาก
ภายนอกเขา้ มาใช้จึงทำให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นช้าหรอื เร็วน้นั
มักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้อง อย่างเช่น การพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีการสื่อสารทีใ่ หม่ ๆ
ที่มีให้พบเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้จะเห็นว่ามีความทันสมัยมากขึ้นจึงทำให้ชาวบ้านเปลี่ยนทัศนคติความเช่ือ
แบบเดิม และหันไปหาค่านิยมแบบใหม่แทน เพื่อต้องการที่จะไม่ให้คนอื่นมองว่าตนเองล้าหลังไม่ทันสมัย
ด้านการศึกษาของเด็กในหมู่บ้านที่สว่ นใหญ่จะเข้ามาศึกษาโรงเรียนในตัวเมืองร่วมกับเด็กคนไทย จึงซึมซับ
สิ่งที่พบเห็นเป็นประจำและเกิดความคิดสร้างสิ่งใหม่ ๆ กับตนเองมากขึ้นจากเดิมในเรื่องในเรื่องต่าง ๆ
๒๐
ทั้งความเป็นอยู่ การแต่งกาย ภาษา และวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่ายุคสมัยใหม่การสื่อสาร
ทางเทคโนโลยีและปัจจัยสุดท้ายนั้นอาจรวม ไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม
เช่น สภาพดินฟ้าอากาศที่ทำให้เกิดความแห้งแร้ง จึงทำใหช้ าวบ้านคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ มาเพื่อแก้ปัญหาและรบั
สง่ิ ใหม่ ๆ จากภายนอกเข้ามามบี ทบาทในหมู่บา้ นอย่างเหน็ ได้ชดั อกี ด้วย
แนวทางการสืบทอด และอนุรักษ์วิถีชีวิตของวัฒนธรรมในหมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตกนั้นได้มีการ
เปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่ การแต่งกาย ภาษา และวัฒนธรรม
ได้เปลี่ยนไปไปตามยุคตามสมัยเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงก็มีหลายสาเหตุ
ทั้งการแพร่กระจายวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาสูภ่ ายในหมู่บ้าน และการมีเงื่อนไขระหว่างคนในหมู่บ้าน
กับภาครัฐที่จะต้องมีข้อตกลงในเรื่องของการใช้พื้นที่ป่า การเรียนรู้ที่มีมากขึ้นของเยาวชน เช่น เด็ก
และเยาวชนมีการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาของเทคโนโลยีเช่น การติดต่อสื่อสารกันโดยใช้
โทรศัพท์ การเข้าถึงของอินเตอร์เน็ต และการวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมซึ่งก็เป็นปัจจัยทั้งสิ้น ที่มาของการ
เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวกะเหรีย่ งแต่หากวัฒนธรรมกะเหรี่ยงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปทั้งหมดแต่หากแต่
เปลี่ยนไปในแนวลูกผสมคือการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมกะเหรี่ยงและวัฒนธรรมอื่นเพื่อการปรับตัว
และเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสังคมไม่ให้เกิดความล้าหลัง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
ในระดับหนึ่ง แต่หากเด็กในปใจจุบันนั้นยังไม่ค่อยสนใจวัฒนธรรมกะเหรี่ยงสนใจแต่วัฒนธรรมภายนอก
อย่างเดียว ในอนาคตวัฒนธรรมกะเหรี่ยงคงเลือนหายไปเป็นแน่แท้ ความเป็นโลกสมัยใหม่กําลังจะท้าทาย
แนวความคิดเรื่องของวัฒนธรรม และทุบทำลายความเป็นอัตลักษณ์ของชาวบ้านกระเหรี่ยงน้ำตก
การขบั เคลือ่ นของสงั คมท้งั ในเรื่องของผู้คน การขายวัฒนธรรม และในเร่อื งของการเปลยี่ นแปลงทางวฒั นธรรม
ณัฎฐ์ชรัชช์ สาระหงส์ (๒๕๖๑) การศึกษาวิจัยเรือ่ ง ศักยภาพทางวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ :
พลวัตการจดั การทอ่ งเที่ยวทางวฒั นธรรมโดยชมุ ชน จังหวดั แม่ฮ่องสอน ผลจากการศกึ ษาพบวา่ ๑) ชาวปกาเกอะญอ
มีนิสัยรักสันโดษ เรียบง่าย มีภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทำการเกษตรแบบพอเลี้ยงตัวได้
เพาะปลูกพืชพรรณต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นอาหารโดยไม่ต้องพึ่งพาสังคมภายนอกมากนัก เห็นได้จากการที่
ชาวปกาเกอะญอในเขตท่ีสงู จะทำไร่หมุนเวียนโดยไม่ถางป่าจนไม่เหลือไม้ใหญ่ แล้วปลกู พชื เชิงเด่ียว เช่นกับ
คนกลมุ่ อื่นหรือเกษตรกรในเขตพ้นื ราบซง่ึ มงุ่ เน้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกจิ ตามแนวคดิ ทุนนิยมเสรีเป็นสำคัญ
๒) ศักยภาพทางวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอน้ัน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนท่ีต้องใชเ้ วลาในการศึกษาเรียนรู้
จดจํา และลงมือปฏิบัติเพือ่ ใหเ้ กิดความรู้ความเข้าใจ แม้ว่าชุมชนปกาเกอะญอจะยังคงความสามารถในการ
สืบทอดองค์ความรู้ และวิธีการในการดำรงชีวิตบนพื้นฐานของปัจจัยสี่ไว้ได้ก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกจิ สังคม และวัฒนธรรมภายนอกสง่ ผลต่อชุมชนในหลายสว่ น เช่น ๒.๑) ดา้ นที่อย่อู าศยั จากการ
ที่ลูกหลานซึ่งไปทำงานหรือเรียนหนังสือนอกหมู่บ้านนำกลับมาถ่ายทอดความคิดภายในครอบครัว ประกอบกับ
เมื่อมีการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยว จะต้องพักค้างคืน การมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับ
นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้หญิง เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัสดุซึ่งจะนำมาใช้สร้างบ้านหลังใหม่
๒๑
หรือซ่อมแซมบ้าน และการจัดพื้นที่ใช้สอยในตัวบ้าน เช่น มีการกั้นห้องที่ด้านล่างของตัวบ้านเพิ่มขึ้นตาม
แบบบ้านสมัยใหม่ เพื่อจะได้จัดที่นอนให้เพื่อนของลูกหลานหรือนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นคนนอกวัฒนธรรมได้
สะดวกขึ้น แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้าสู่ชุมชนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับ
สถานภาพทางสังคมให้เป็นที่ยอมรับของคนภายนอกไม่ให้ถูกมองหรือประเมินว่าเป็นผู้ที่ ยังไม่พัฒนา
ซึ่งเป็นมายาคติที่ถูกปลูกฝังมาในสังคมไทย และเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้คนต่างวัฒนธรรมมาโดยตลอด
๒.๒) ด้านเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงในช่วงอายุที่อายุ 35-40 ปี ขึ้นไปจะยังคงมีความสามารถในการทอผ้าด้วยกี่เอว
แต่กลับหดหายไปจากกลุ่มหญิงสาวรุ่นใหม่จากการที่คนรุ่นใหม่ต้องออกไปเรียนหนังสือนอกหมู่บ้าน
ประกอบกบั การท่ผี ้คู นส่วนใหญใ่ นสังคมภายนอกยังยึดโยงอยกู่ บั ความคิดวา่ กะเหร่ียงคือชนกลมุ่ นอ้ ยที่ตัดไม้
ทำลายป่า เป็นพลเมืองชั้นรองไม่เป็นที่ยอมรับว่ามีความเท่าเทียมกับผู้ที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่กล้าที่จะแสดงตัวตน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาหญิงสาวรุ่นใหม่เริ่มทอดทิ้งวัฒนธรรมเดิม
ของตนทีละน้อย ๒.๓) ด้านอาหาร การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมมีผลกระทบต่อการปรับเปล่ยี น
วัตถุดิบ และวิธีประกอบอาหารของชาวปกาเกอะญอ แม้ว่าจะยังคงรักษาชนิด และวัตถุดิบในพื้นที่มา
ประกอบอาหารได้เหมือนที่ผ่านมาก็ตาม แต่เมื่อเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านมีความสะดวกมากขึ้นทำให้ชาวบ้าน
สามารถเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้อหาสินค้า และอาหารได้ง่ายขึ้น ประกอบกับการรับ แลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมด้านอาหารจากกลุ่มชาติพันธ์ุอ่ืนทีอ่ ยู่ใกล้เคยี งบ้างหรือจากลูกหลานทีไ่ ปเรียนหนังสือหรือทำงาน
นอกหมู่บ้าน จึงเกิดการดัดแปลงวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารไปบ้าง แสดงให้เห็นถึงการยอมรับความ
แตกต่างทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น และแผ่ขยายไป ๒.๔) การยอมรับการรักษาพยาบาลด้วยการแพทย์แผน
ปจั จบุ นั ทดแทนการใช้สมุนไพรตามภูมิปญั ญาเดิม แมว้ ่าจะทำให้ชีวิตง่ายข้ึน สะดวกสบายขึ้น แต่กลับทำให้
การถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญาในด้านการรักษาด้วยสมุนไพรรวมถึงการใ ช้พืชสมุนไพรมาประกอบเป็น
อาหารเริ่มหดหายไปจากชุมชน ๒.๕) ศักยภาพทางวัฒนธรรมในการสร้างความมั่นคงของกลุ่มสังคมนั้น
ระบบความเชือ่ ศาสนา ยังคงมคี วามสำคัญในการยดึ โยงผูค้ นในสังคมเข้าด้วยกัน แต่ความเป็นตัวตนของคน
ผู้อยู่กับธรรมชาติโดยการพึ่งพาอาศัยกันยังคงอยู่ในสํานึกของชาวปกาเกอะญอไม่ได้เลือนหายไป การกระทำ
หรือพิธีกรรม บางส่วนที่ไม่ขัดแย้งกับความเชื่อใหม่ที่ยังคงปรากฏให้เห็นได้ ๓) การจัดการท่องเที่ยวทาง
วัฒนธรรมโดยชุมชนปกาเกอะญอ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจุดประสงค์เพื่อให้นักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นคนนอก
วัฒนธรรมได้เข้าใจ และยอมรับวิถีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และการ
ทดลองปฏิบัติในสถานการณ์จรงิ ซึ่งมีความแตกต่างกันตามบริบทพื้นทีแ่ ละวิถีชวี ติ ไม่ใช่การตอบสนองความ
ต้องการของนักท่องเที่ยว โดยคำสั่งหรือตามความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจนําเที่ยวซึ่งเป็นคนนอก
วัฒนธรรม การจัดการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมโดยชุมชนของชาวปกาเกอะญอในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น
มีความแตกต่างกันใน ๓ ลักษณะ คือ มีการจัดการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมโดยชุมชนในระดับชัดเจน
ระดับเดินกระบวน และระดับก่อตัว ซ่ึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ได้แก่ความพร้อมของชุมชน
การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจจากองค์กรพี่เลี้ยง และการหนุนเสริมจากองค์กรภายนอก โดยที่ความสำเร็จ
๒๒
ของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมโดยชุมชนจะเกิดขึ้นได้เมื่อชุมชนต้องเป็นผู้ตัดสินใจ และเป็นผู้ดำเนินการ
ด้วยตัวชุมชนเอง หน่วยงานภายนอกเป็นผู้ให้การสนับสนุนให้ชุมชนดําเนินงานด้วยตัวชุมชนเอง โดยไม่มุ่ง
ผลสำเร็จที่รายได้จากการทอ่ งเทยี่ วเป็นสำคญั ไม่เชน่ นนั้ แลว้ นอกจากจะไม่บรรลวุ ตั ถุประสงคข์ องการเรียนรู้
ร่วมกัน การตระหนกั ถงึ คุณค่าของวัฒนธรรมกลมุ่ ชนแลว้ ยงั จะกลายเป็นการ สัน่ คลอนวัฒนธรรมชุมชนจาก
การแสวงหาประโยชน์เชิงพาณชิ ย์หรอื การก้าวล่วงในวัฒนธรรมท่แี ตกต่าง
จิราภรณ์ กาญจนสุพรรณ (๒๕๖๒) การศึกษาวิจัยเรื่อง วัฒนธรรมกะเหรี่ยงและการเปลี่ยนแปลง
ของชุมชนกะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรี ผลจากการศึกษาพบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงอำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี
มีทนุ ทางวัฒนธรรมชมุ ชนที่ดงี าม จำนวนมาก ทง้ั ในดา้ นโบราณสถาน โบราณวัตถุ แหล่งทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม การแต่ง กาย ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรม ศิลปหัตถกรรม ดนตรี และการละเล่น
ตลอดจนการดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมของชาวกะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรี ซึ่งนับเป็นวัฒนธรรมแสดงให้เห็น
ถึงความงดงาม และเสน่ห์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรีที่มีการสืบทอดจากบรรพบุรุษมาสู่
ลูกหลานชาวกะเหรี่ยงในยุคสมัยปัจจุบัน โดยวัฒนธรรมไม่ได้เจาะจงเพียงแค่ศิลปะและวรรณกรรมเท่าน้ัน
หากแต่มีความหมายที่รวมถึงค่านิยมสิทธิต่าง ๆ ของคนในสังคมขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อต่าง ๆ
อีกด้วย ทำให้วัฒนธรรมได้หมายรวมถึงความดีงาม ความงาม และความเจริญในชีวิตมนุษย์โดยจะปรากฏ
ให้เห็นในลักษณะของรูปธรรมต่าง ๆ ตลอดจนได้สืบทอดมาจนถึงคนในรุ่นปัจจุบัน ซึ่งวัฒนธรรมจะถูก
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และสร้างสรรค์ขึ้นไปตามยุคสมัย จากการที่วัฒนธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตาม
กาลเวลา และยุคสมัย ย่อมรวมไปถงึ วัฒนธรรมในกลุ่มชาติพนั ธุก์ ะเหรี่ยงจังหวดั ราชบุรที ่ีมีการเปล่ียนแปลง
ไปตามกาลเวลา เน่อื งจากสภาพสังคม และความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบนั ที่เข้ามามบี ทบาทต่อการ
ดำรงชีวิตของคนกะเหรี่ยงในจังหวัดราชบุรี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมดังกล่าวได้นำมาซึ่งการ
เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมภายในชุมชน ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างของชาวกะเหรี่ยงได้ถูกปรับเปลี่ยน
ดัดแปลง และบางอย่างได้ถูกกลืนกลายไปตามยุคสมัย เช่น ที่อยู่อาศัยของชาวกะเหรี่ยง ภาษากะเหรี่ยง
การแต่งกายกะเหรี่ยง ขนบธรรมเนียม ประเพณีกะเหรี่ยง อาหารท้องถิ่น และการใช้สมุนไพรในการรักษา
โรค เป็นต้น ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมดังกล่าว ย่อมมาจากปัจจัยในด้านสังคม เศรษฐกิจ
ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับเป็นปัจจัยหลกั ทีส่ ่งผลใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมขน้ึ
ภายในชมุ ชนกะเหรย่ี งจังหวดั ราชบุรโี ดยเฉพาะอย่างยิ่งการไหลบ่าของวฒั นธรรมภายนอกที่เข้ามามีอิทธิพล
ต่อการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรี ซึ่งเข้ามาสร้างความสะดวกสบาย และสร้างคุณภาพชีวิต
ของคนกะเหรี่ยงให้มีวิถีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เช่น เส้นทางการคมนาคม เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ระบบทาง
การศึกษาตลอดจนการบริหารจัดการชุมชนด้วยโครงสร้างระบบรัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ชุมชน
กะเหรี่ยงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น โดยการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมกะเหรี่ยงจังหวัด
ราชบุรีทำให้เห็นว่านอกจากการรับวัฒนธรรมภายนอกที่เข้ามามีบทบาทต่อวิถีการ ดำรงอยู่ขางชาวกะเหรี่ยง
จังหวัดราชบุรีอย่างรวดเร็วแล้วนัน้ ในพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรีในปัจจุบัน เริ่มมีกลุ่มคนภายนอก
๒๓
เข้าไปอยู่อาศัยมากขึ้นเพื่อประกอบธุรกิจ และการโยกย้ายถิ่นฐานของบุคคลในท้องถิ่นอื่น ๆ มาตั้งรกราก
ในพื้นที่กะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรีทำให้ในพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยงจังหวัดราชบุรีมีความหลากหลายทางกลุ่ม
ชาติพันธ์ุมากขึ้น เช่น ยวน มอญ ลาว เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึง ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างได้ถูกผสมผสาน
ดัดแปลงขึ้นมาใหม่ เช่น วัฒนธรรมด้านอาหาร ชาวกะเหรี่ยงเริ่มมีการนำน้ำปลาร้าเข้ามาเป็นส่วนประกอบ
ในการปรุงอาหาร โดยใสน่ ้ำปลาร้าในแกงหนอ่ ไม้ปา่ ซึ่งปัจจุบันจะลักษณะเหมือนแกงเปอะหรือแกงผักรวม
ของทางภาคอีสาน ด้วยเหตุนี้การที่มีบุคคลในกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เข้ามาอาศัยในพื้นที่ชุมชนกะเหรี่ยงน้ัน
ย่อมเปน็ อกี หนง่ึ ปจั จัยที่นำมาสูก่ ารเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรมอีกดว้ ย
บทที่ ๓
วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย
ในการวิจัยเรื่องการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดก
ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยตามโครงการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง
จังหวัดสุโขทยั ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ใชว้ ิธวี ิจยั เชงิ สำรวจเพ่ือเขา้ ถึงบริบทของชุมชน อัตลักษณ์
ทางวัฒนธรรม ข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง และเพื่อสำรวจเส้นทาง
การท่องเทยี่ วเพือ่ สง่ เสริมการท่องเท่ยี วภายในจงั หวัดสโุ ขทัย ซ่งึ มีรายละเอียดของการดำเนินการวจิ ัย ดงั น้ี
พน้ื ทศ่ี กึ ษาวิจยั
พื้นที่ในการศึกษาการวิจัยเชิงสำรวจและจัดเกบ็ ข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหร่ียงและข้อมูลมรดกภูมปิ ัญญา
ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นท่ีจังหวดั สุโขทัยตามโครงการฟื้นฟูวิถชี ีวิตชาวกะเหรีย่ งจังหวัดสุโขทยั
ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธ์ุกะเหร่ียง
บ้านแม่สาน หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย และกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านห้วยหยวก
หมู่ท่ี ๕ ตำบลบา้ นแก่ง อำเภอศรสี ัชนาลัย จังหวดั สโุ ขทัย
ภาพท่ี 2 แผนทีอ่ ำเภอศรสี ัชนาลยั
ทม่ี า : สำนักงานโยธาธกิ ารและผงั เมอื งจงั หวดั สโุ ขทยั กรมโยธาธกิ ารและผังเมอื งกระทรวงมหาดไทย
๒๕
กลมุ่ เป้าหมายในการวิจยั
ผใู้ ห้ข้อมูลหลักในการวจิ ยั แบง่ ออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ
๑. กลุ่มผู้นำท้องถิ่น คือ กลุ่มผู้นำที่ชุมชนยอมรับนับถือ และมีความรู้ในข้อมูลต่าง ๆ ของชุมชน
ตลอดจนมีความสำคัญในการรับรู้สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน และมีบทบาทสำคัญในการ
ขับเคลื่อนด้านการพัฒนาของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ตำบลละ ๕ คน
รวมทั้งสิ้น ๑๐ คน ซึ่งใช้สำหรับการศึกษาการวิจัยเชิงสำรวจ และจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
และข้อมูลมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยตามโครงการฟื้นฟูวิถีชีวติ
ชาวกะเหรย่ี งจงั หวัดสโุ ขทัย
๒. กลุ่มผู้นำทางการ คือ กลุ่มผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งโดยหน่วยงานภาครัฐในบ้านแม่สาน หมู่ที่ ๖
ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย และบ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย
จังหวัดสุโขทัย ประกอบไปด้วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ตัวแทนจากภาครัฐ องค์กรเอกชน ฯลฯ
จำนวนตำบลละ ๑๐ คน รวมทั้งสิ้น ๒๐ คน ซึ่งผู้ใหข้ ้อมลู หลักกลุ่มนี้ใช้สำหรับการศึกษาการวจิ ัยเชงิ สำรวจ
และจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นท่ี
จงั หวัดสุโขทัยตามโครงการฟ้นื ฟูวิถชี ีวิตชาวกะเหรีย่ งจังหวัดสุโขทยั
๓. กลมุ่ สมาชิกกะเหรยี่ งในจงั หวัดสโุ ขทัย จำนวน ๒ ตำบล ในอำเภอศรสี ัชนาลยั จำนวนตำบลละ ๑๕ คน
รวมทง้ั สิ้น ๓๐ คน มารว่ มศกึ ษาการวิจัยเชงิ สำรวจ จัดเก็บขอ้ มูลกลุ่มชาติพันธก์ุ ะเหรย่ี ง และขอ้ มลู มรดกภูมิ
ปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยตามโครงการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ย ง
จังหวัดสุโขทยั
การกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักจากสมาชิกในชุมชนกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัย โดยกระบวนการวิจัย
เชิงสำรวจตั้งแต่การเริ่มตั้งประเด็นในการศึกษา โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ และสนทนากลุ่มด้วยวิธีการวิจัยเชิงสำรวจ
โดยให้สมาชิกในชุมชนช่วยกันบอกเล่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมภายในชุมชนของตนเองที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
และวัฒนธรรมที่ใกล้จะสูญหายหรือสูญหายไปแล้ว จากนั้นเปิดเวทีประชาคมเพื่อร่วมเสนอการให้ข้อมูล
เพื่อเผยแพร่ และนำไปสู่การจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ของกลุ่มชาติพันธใ์ุ นพื้นท่ีจังหวัดสโุ ขทัย จากน้ันเมอ่ื ไดข้ อ้ มลู ต่าง ๆ ท่ไี ด้สำรวจแลว้ นนั้ จะรว่ มกนั ดำเนินการ
ตามแผนงานที่ได้ร่วมกันคิดไว้ โดยจะมีตัวแทนชาวกะเหรี่ยงทั้ง ๒ ตำบล ในอำเภอศรีสัชนาลัย ตำบลละ ๑๕ คน
เข้าร่วมเปิดเวทีประชาคมเพื่อร่วมเสนอการให้ข้อมูลเพื่อเผยแพร่ และนำไปสู่จัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์
กะเหรี่ยง และข้อมลู มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ใุ นพื้นท่ีจังหวัดสโุ ขทยั
๒๖
ขั้นตอนการดำเนินการวจิ ยั
ในการศกึ ษาวจิ ยั ครงั้ นี้ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาสำรวจ จดั เก็บขอ้ มลู กลมุ่ ชาติพันธก์ุ ะเหร่ียง และขอ้ มลู มรดก
ภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพนั ธใุ์ นพน้ื ที่จังหวดั สุโขทัยโดยมวี ิธกี ารดำเนนิ การ ดงั น้ี
การศึกษาเอกสาร
๑. เอกสารทางประวัตศิ าสตรก์ ลุ่มชาติพันธก์ุ ะเหรีย่ ง
๒. งานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั วฒั นธรรมกะเหรยี่ ง
๓. เอกสารกึ่งวิชาการ ได้แก่ บทความในวารสาร แผ่นพับประชาสัมพันธ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ
วัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ ในอำเภอศรสี ชั นาลยั จงั หวดั สโุ ขทัย
๔. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด ทฤษฎีทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งผ่านกระบวน
การศึกษาจากนักวชิ าการ นกั วิจยั ชาวไทย และชาวตา่ งประเทศ เพื่อนำมาใชเ้ ป็นแนวทางในการศึกษาวิจยั
การสำรวจและจดั เกบ็ ข้อมลู มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
ขั้นตอนที่ ๑ ทำการศึกษาข้อมูลในลักษณะการศึกษาวิจัยจากเอกสารสำคัญต่าง ๆ จากเอกสาร
ข้อมลู งานวจิ ัยอ่ืน ๆ เพอ่ื ศึกษาเป็นแนวทางในการทำงานประกอบในการลงสำรวจพน้ื ทีเ่ พ่ือเก็บขอ้ มูล
ขั้นตอนที่ ๒ ลงพื้นที่สำรวจข้อมูล และสถานการณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่ม
ชาติพันธใ์ุ นพน้ื ที่จังหวดั สุโขทยั (กลุ่มชาตพิ ันธก์ุ ะเหร่ียง ณ บ้านห้วยหยวก หมทู่ ี่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง และบา้ นแม่สาน
หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลนี้ ผู้วิจัยจะทำ
การประสานงานกับแกนนำชุมชน และสมาชิกในชุมชนอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ตลอดจนบุคคล
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนกะเหรี่ยงเพื่อขอความร่วมมือในการให้ข้อมูล โดยจะมี
หนงั สอื ราชการพรอ้ มแบบสมั ภาษณ์สง่ ไปยังกลมุ่ ผู้ให้ขอ้ มูลหลัก จำนวน ๑5 ท่าน ซงึ่ จะใช้การบันทึกข้อมูล
และบนั ทึกภาพจากการสมั ภาษณพ์ ดู คุย การสังเกตการณ์ และการสนทนากลุ่ม
การเผยแพรป่ ระชาสมั พนั ธ์ขอ้ มลู ชาติพนั ธ์กุ ะเหรีย่ งในจงั หวดั สุโขทยั
๑. จดั ทำเปน็ เอกสาร/หนงั สอื เผยแพร่ประชาสัมพันธ์
๒. ถ่ายทำเป็นคลิปวีดโี อพร้อมตัดต่อความยาวไมเ่ กิน ๕ นาที ในการประชาสัมพันธ์การท่องเท่ยี ว
เชงิ วฒั นธรรมตามชอ่ งทางตามสื่อต่างๆ
๒๗
ขั้นตอนการศึกษาสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง
วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ในพื้นทจ่ี งั หวัดสโุ ขทยั ดงั แผนภาพท่ี ๓
ขน้ั ตอนที่ ๑ • ศกึ ษาเอกสาร
- ข้อมูลและสถานการณข์ องกลุ่มชาตพิ นั ธุ์ในพน้ื ทจี่ งั หวัดสโุ ขทัย
- บรบิ ททางสงั คมและวัฒนธรรมของชุมชนชาติพนั ธุ์
- อัตลักษณท์ างวฒั นธรรม
- เส้นทางการทอ่ งเทีย่ ว
ข้นั ตอนที่ ๒ • สำรวจและจัดเก็บข้อมูลมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม
- ทำการศกึ ษาข้อมลู ในลกั ษณะการศกึ ษาวจิ ัยจากเอกสารสำคญั ตา่ ง ๆ
•- ศลกึงพษน้ืาทเอีส่ กำสราวรจข้อมลู และสถานการณข์ องมรดกภมู ปิ ัญญา
- บขทเสอ้รา้นิบมงทวลูทัฒาแทงลนากะงธาสสรรรงัถทคมา่อมนงอแกเัตทลาลร่ยีะักณววษฒั ข์ ณนอท์งธกราลรงมวุ่มัฒขชอานตงธชพิ รมุ รนั ชมธนุใ์ นชพาต้นื ิพทันจ่ี ธัง์ุหวัดสุโขทัย
--- อัตลักษณท์ างวัฒนธรรม
ขน้ั ตอนท่ี ๓ - เส้นทางการท่องเที่ยว
• เผยแพรป่ ระชาสัมพนั ธ์ขอ้ มูลชาติพนั ธุ์
- จจภัดัดาพททำำทเเี่ปป3น็น็ เคขอล้นักปิ ตสวอาีดรนีโ/กอหาพนรรังเ้อกสมบ็อื ตเรผดัวยบตแร่อพวคมรว่ปขารมอ้ ะมยชาลู าวสสไำมัมรเ่พวกนัจินแธ๕์ละนจาดั ทเีกบ็
•-
•- ศขแทึกลำ้อกษะมาเาูลรผเศมยอึกรแกษดพสากราขภข่รอ้ มอู้ มมิปลู ลูญัในตญลาักมาษชทณอ่ างงะทวกาาัฒรงศนอกึื่นธษรๆราวมจิ ยั จากเอกสารสำคญั ตา่ งๆ
ภาพท--•-ี่ ๓ ขอบลเจทเขสผ้อัตัดงราั้นน้ยพิบมลงทตทแวกัืนู้ลทำอฒัพาแษเททนปงลรนณ่ีสากกน็่ปะงธำาาท์เสสรรรอราระงัวถทเกงคมชจกา่อสวมนขบ็าัฒงาอส้อแกรเรตัทนวลมมัา/ลบรธีย่หะูลพักณรววรแนันษรัฒวลงัข์ มธมณสะนอ์ขขอืสท์งธอ้้อเถกราผมมาลรงยูลนูลมว่มุ แชัฒกขชพาาอานรตรตงธป่ณชพิพิ รรมุ ์ขนัรนั ะชมอธธชนงุ์ใุ์ านมชสพารมั ตดื้นพกิพทันภันจ่ี ธมูธัง์ ์ุปิหัญวัดญสาุโขทยั
--
-- เจสัด้นททำาเงปกน็ าครลทิป่อวงดีเทโี อ่ียพวร้อมตดั ต่อความยาวไมเ่ กนิ ๕ นาที
และเผยแพรข่ อ้ มลู ตามชอ่ งทางอื่นๆ
ภาพที่ 4 ขัน้ ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
• ศเผกึ ยษแาพเอรก่ปสราะรชาสมั พันธ์ข้อมลู ชาติพนั ธ์ุ
- ขจอ้ดั มทลูำแเปลน็ ะเสอถกาสนากรา/รหณนัง์ขสอืองเกผลยุ่มแชพารตป่ พิ รนั ะธชใุ์ านสพัมื้นพทันจ่ี ธัง์ หวดั สุโขทยั
-• บจภดัราบิพททำทเท่ีป5า็นงคสขลงั ัน้ คิปตมวอแีดนลโี กอะาพวรัฒรเอ้กนมบ็ ธตรรดัวรบตมรอ่ขวคอมวงขชาม้อุ มยชาูลนวสชไำามรต่เวกพิ จนิ นั แธ๕ล์ุ ะนจาัดทเีกบ็
- อแขัตล้อละมเกั ลูผษมยณรแดพ์ทกราภ่ขงวมอู้ ัฒมิปลูนญั ตธญรารมามชทอ่ างงทวาัฒงนอ่ืนธรๆรม
- ทำการศกึ ษาขอ้ มูลในลกั ษณะการศกึ ษาวจิ ยั จากเอกสารสำคญั ต่างๆ
๒๘
ผู้วิจยั ใช้วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
ของกลุม่ ชาตพิ ันธุใ์ นพนื้ ทีจ่ ังหวดั สโุ ขทัย ดังนี้
๑. การสัมภาษณ์เชิงลึก
การสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยได้ใช้ลักษณะของการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ซึ่งใช้แบบสัมภาษณ์
เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยจะมีประเด็นคำถามสำหรับศึกษาจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ และข้อมูล
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งจะมีการเก็บรวบรวมข้อ มูล
ด้วยการบันทกึ เสยี ง และการบนั ทกึ ภาพ
ผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วยแกนนำชุมชน ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การ
บริหารส่วนตำบล ครูในโรงเรียน นักเรียน นักการภารโรง และสมาชิกกะเหรี่ยงในชุมชน โดยผู้วิจัยประสานงาน
ไปยังบุคคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการนัดเวลาในการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก โดยส่งหนังสือแจ้ง
วัตถุประสงค์ในการทำงานวิจัยให้ผู้ให้ข้อมูลได้รับทราบ และขอความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์พร้อมกับ
ส่งแบบสอบถามให้กับผู้ให้ข้อมูลหลักล่วงหน้า ตลอดจนขออนุญาตบันทึกเสียง และภาพเมื่อทำการ
สัมภาษณ์ โดยการเข้าถึงชุมชนด้วยวิธีการอ้างอิงต่อเนื่องปากต่อปาก หรือวิธีดำเนินการแบบ Snowball
Sampling Technique ซึ่งเป็นการเดินเข้าหา แนะนำตนเอง เรียนรู้บันทึก และขอการอ้างอิงหรือข้อสอบ
สัมภาษณ์คำแนะนำต่อไป ทั้งนี้แหล่งการอ้างอิงหรือคำแนะนำที่ซ้ำบ่อย ๆ นั้น จะมีความเป็นกลุ่มแกนนำ
หรอื เป็นกลมุ่ ตวั แทนทมี่ ีความเปน็ ผนู้ ำโดยธรรมชาติ
๒. การสนทนากลมุ่
ในการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยใช้วัฒนธรรม
มาเป็นฐานสำคัญในการสร้างกิจกรรมการอนุรักษ์วัฒนธรรมกะเหรี่ยงในชุมชนนั้น ผู้วิจัยดำเนินการสนทนา
กลมุ่ เพ่ือใหเ้ กิดกระบวนการร่วมคดิ และแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ดังนี้
ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จำนวน ๓๐ คน ประกอบด้วย แกนนำชุมชน ผู้นำด้านการศึกษา ผู้นำด้านศาสนา
นักวิชาการด้านวัฒนธรรม และสมาชิกกะเหรี่ยงบ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง และบ้านแม่สาน
หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เพื่อให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น และวางแผน
การดำเนินงานเพ่ือนำไปสู่แนวทางการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรนำไปสู่การฟนื้ ฟูวถิ ชี วี ิตชาวกะเหรี่ยง
๓. การสงั เกต
ผู้วิจยั ได้ใชว้ ิธีการในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดว้ ยการสงั เกตซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดังน้ี
การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participatory Observation) ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการทำการสังเกต
ในรายละเอียดต่าง ๆ ตามปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่วิจัย ซึ่งสามารถใช้วิธีการสังเกตด้วยมุมมอง
ของคนภายนอก โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมแบบคนภายในชุมชน ทั้งนี้จะทำให้ผู้วิจัยได้ทราบเรื่องราว
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น พฤติกรรมของคนกะเหรี่ยงในชุมชนเมื่อดำเนินการทำกิจกรรมทางวัฒนธรรม
๒๙
การแสดงออกทางสังคมของคนกะเหรี่ยงในชุมชน เป็นต้น ซึ่งจะต้องใช้วิธีการสังเกตแล้วนำมาวิเคราะห์
ประกอบกบั การสมั ภาษณเ์ พ่ือให้ได้ขอ้ มูลต่าง ๆ อย่างครบถว้ น และชัดเจน
การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participatory Observation) ผู้วิจัยได้เข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรม
ของชุมชนกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยเช่น กิจกรรมทางสำคัญของชุมชนกะเหรี่ยง ขนบธรรมเนียมประเพณี
พิธีกรรมต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยใช้ วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้วิจัยมีความเข้าใจในวัฒนธรรม
กะเหร่ียง เพื่อนำขอ้ มูลต่าง ๆ มาร่วมวิเคราะหก์ ารอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมในชมุ ชนอยา่ งเหมาะสม และสอดคลอ้ ง
กับบริบทของชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความคุ้นเคย สร้างการยอมรับ และความไว้วางใจในตัวผู้วิจัย
กับคนกะเหร่ียงในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลยั จังหวดั สโุ ขทยั
๔. การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วม
ในการดำเนินการวิจัยเพ่ือจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ผู้วิจัยจะใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory
Action Research: PAR) โดยคัดเลือกสมาชิกจากชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
ท้งั ๒ ตำบล โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการทัง้ หมด ๕ ลำดบั ขน้ั ตอน ดังน้ี
๑. ช่วงระยะเวลาก่อนดำเนินการวิจัย นักวิจัยคัดเลือกพื้นที่เพื่อทำการศึกษา และลงพื้นที่วิจัย
เพอื่ ทำการสร้างความคนุ้ เคย และสร้างไมตรีท่ีดีกบั คนกะเหรีย่ งในชุมชน
๒. ช่วงระยะดำเนินการวิจัย นักวิจัยคัดเลือกแกนนำชุมชนท่ีมีจิตอาสาเป็นผู้แทนของแต่ละชุมชน
ในพื้นท่ีบ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง และบ้านแม่สาน หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสัชนาลัย
จังหวัดสุโขทัย ผู้แทนชุมชน และนักวิจัยร่วมกันคิดวิเคราะห์สำรวจจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏภายในชุมชน
โดยวิธีการจดั การประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นของคนในชุมชน และใช้วิธีการสนทนาสอบถาม ผสมผสาน
กับการสังเกตเพื่อสำรวจ จัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ของกลุม่ ชาตพิ ันธ์ใุ นพน้ื ทจ่ี งั หวัดสโุ ขทยั
๓. ช่วงระยะเวลาวางแผนการดำเนินงาน นักวิจัย และผู้ร่วมดำเนินการวิจัยร่วมกันหาแนวทาง
ในการจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์
ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยร่วมกับคนในชุมชน ทั้งนี้เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการเปิดการประชุม
เพือ่ แสดงความคิดเห็นของคนในชุมชนในขนั้ ตอนที่ 2 มาเข้าพจิ ารณาเพ่ือค้นหาแนวทางในการจดั เก็บข้อมูล
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
ร่วมกัน อีกทั้งทำความเข้าใจ และตัดสินใจเลือกวิธีแนวทางในการจัดเก็บข้อมูลที่สมาชิกในกลุ่มมีความเห็น
และเหมาะสมมากที่สุด หลังจากน้ันจะต้องดำเนินการจัดทำแผนดำเนินการปฏิบัติงานในกิจกรรมต่าง ๆ
ทเ่ี กิดข้ึนตามแนวทางท่ีตง้ั วางไว้
๓๐
๔. ช่วงระยะเวลาการปฏิบัติเป็นขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยตามแผนงานกิจกรรม
ที่ได้วางไว้ ทั้งนี้สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ และมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการดำเนินงาน
ตามความต้องการของสมาชิกในกลุ่มที่ได้ผลสรุปมาจากการเปิดการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
รว่ มกนั ประเมนิ ผลการจดั กิจกรรม และการอภปิ รายกลุ่ม
๕. ช่วงระยะเวลาติดตามประเมินผล เป็นกระบวนการติดตาม และประเมินผลหลังเสร็จส้ิน
การจดั เกบ็ ขอ้ มลู กลุม่ ชาติพนั ธก์ุ ะเหรย่ี ง และขอ้ มูลมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่
จังหวัดสุโขทัย ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงสำรวจตามแผนการดำเนินงานวิจัย การวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมลู
ที่ได้จากการดำเนินงานวิจัยที่เกิดขึ้น เพื่อสรุปเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการทำวิจัยในครั้งนี้ทั้งนี้สามารถ
อธบิ ายขนั้ ตอนในการดำเนินการวิจัยดว้ ยแผนภาพได้ ดงั นี้
๑. กอ่ นดำเนนิ การวจิ ัย
- คดั เลอื กพ้นื ที่
- ลงพนื้ ท่ีชุมชนสานไมตรี
๒. การดำเนินการวจิ ัย
- เขา้ ถงึ ขอ้ มูลหลัก
- สำรวจและจัดเกบ็ ขอ้ มลู
๓. การวางแผนดำเนินการวิจยั
- ประชุมหาแนวทาง
- วางแผนการดำเนนิ งาน
๔. การปฏิบัติ
- จดั ทำแผนงาน
- สรปุ ผลงาน
๕. การติดตามประเมนิ ผล
- ตดิ ตามผลการวิจัย
- สรปุ เป็นองคค์ วามรู้
ภาพท่ี ๔ ขั้นตอนการดำเนนิ งานวจิ ยั
๓๑
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
ในการวจิ ัยคร้งั น้ี ผวู้ ิจยั ไดส้ ร้างเครอื่ งมือที่ใช้ในการทำวจิ ยั ดงั น้ี
1. ประเด็นการสมั ภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) และการสนทนากลุ่มในด้านจัดเก็บข้อมลู
กลุ่มชาตพิ ันธก์ุ ะเหร่ยี งและข้อมลู มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพืน้ ที่จงั หวดั สโุ ขทัย
2. ประเดน็ การจัดเวทีประชมุ ในชมุ ชนกะเหร่ยี งเพื่อรว่ มหาแนวทางการจัดเก็บขอ้ มูลกลุ่มชาติพันธ์ุ
กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ในพืน้ ทจ่ี ังหวดั สโุ ขทยั
3. ประเด็นการสนทนากลุ่มสรุปผลการจัดกิจกรรมวิจัยเชิงสำรวจเพื่อจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธ์ุ
กะเหร่ยี ง และขอ้ มูลมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลมุ่ ชาติพันธุใ์ นพ้ืนท่จี งั หวดั สโุ ขทัย
การสร้างเครอ่ื งมือการทดสอบคณุ ภาพและความนา่ เชอ่ื ของขอ้ มูล
ในการศึกษาวิจยั ครงั้ นี้ ผวู้ ิจยั ไดส้ รา้ ง และพัฒนาเครอ่ื งมอื โดยมกี ารดำเนนิ การตามขั้นตอน ดังนี้
1. ศกึ ษากรอบแนวคิดในการวิจัยเพอ่ื กำหนดประเดน็ ท่ีจะถามในเครอื่ งมอื วจิ ยั
2. การสร้างเครอื่ งมอื วจิ ัยใหค้ รอบคลุมประเด็นทตี่ อ้ งการศกึ ษา
3. การตรวจสอบความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา โดยนำแบบสัมภาษณ์หรือประเด็น
การสนทนากลุ่มไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ท่าน ตรวจสอบความตรงของเครื่องมือวิจัยก่อนนำไปใช้
ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
4. การปรับปรงุ แบบสมั ภาษณ์ตามที่ผู้ทรงคณุ วฒุ แิ นะนำ
5. การจัดพิมพ์แบบสัมภาษณ์ หลังจากที่ได้ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วนำส่งตรวจสอบคุณภาพ
จากผทู้ รงคุณวฒุ ิพจิ ารณา หากได้เครื่องมอื ที่ได้คุณภาพเหมาะสมจงึ นำไปเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมลู
1. การวิเคราะห์ผลจากการศึกษาเอกสารการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม โดยการ
วเิ คราะหเ์ นือ้ หา (Content Nalysis) และการสังเคราะหข์ อ้ มูลจากการดำเนินการวิจัยเชงิ ปฏิบัติการ
2. การสังเคราะห์ผลการวิจัยเชิงสำรวจ และการวิจัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพ่ือทำการสรปุ
องค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินการวิจัย ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องและเหมาะสมในการจัดเก็บข้อมูล
กลมุ่ ชาติพันธกุ์ ะเหรยี่ ง และข้อมูลมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมของกลุม่ ชาตพิ นั ธุใ์ นพ้นื ทจ่ี ังหวดั สุโขทยั
การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในการวิจัยเรื่อง “การสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธ์ุ
กะเหรีย่ ง และข้อมลู มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของกลมุ่ ชาตพิ ันธใุ์ นพื้นทจ่ี ังหวัดสโุ ขทัย” ซึง่ เปน็ งานวจิ ยั
คุณภาพซ่งึ จะใช้วิธีการตรวจสอบขอ้ มูล ดังนี้
๓๒
1. อยู่ในพื้นที่ในระยะเวลาต่อเนื่อง โดยผู้วิจัยจะทำการฝังตัวอยู่ในพื้นที่เป็นระยะเวลา ๓ เดือน
จนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมกะเหรี่ยงจังหวัดสุโขทัยอย่างละเอียด จากการสังเกต สัมภาษณ์เชิงลึก
และสนทนากลุ่มตลอดระยะเวลาการอยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะเลือกใช้วิธีเก็บข้อมูลตามความเหมาะสมของสถานการณ์
จนไดข้ อ้ มูลต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ และเปา้ หมายของการศกึ ษาวจิ ัยคร้ังนี้
2. ผู้ให้ข้อมูลร่วมตรวจสอบ โดยการเปิดเวทีเพื่อให้สมาชิกกะเหรี่ยงในชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง
มีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลตลอดจนนำข้อมูลทางวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่ได้ร่วมกันศึกษามาร่วมกันคดิ
ร่วมกันใหข้ ้อมูลเพ่ือจดั เก็บขอ้ มลู กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลมุ่
ชาตพิ ันธใุ์ นพ้ืนท่จี งั หวดั สโุ ขทัย
แผนการดำเนินการวิจยั
ในการศึกษาวจิ ยั ครั้งน้ี ผ้วู ิจัยได้วางแผนการดำเนินการวจิ ยั โดยกำหนดระยะเวลาในการ ดำเนินงาน
ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัยในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ – กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
รวมทงั้ หมด ๓ เดอื น ซ่งึ มีรายละเอยี ดดังตารางท่ี 1 ดังน้ี
ตารางที่ 1 ตารางแผนการดำเนนิ การวจิ ัย
การดำเนนิ การวิจยั ปี ๒๕๖๔
กรกฎาคม สงิ หาคม กนั ยายน
๑. การศึกษา เอกสารและ ทบทวน วรรณกรรม แนวคิด
ทฤษฎี และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง
2. การลงพน้ื ที่ เพอ่ื ทำการ สำรวจพื้นทีแ่ ละ ข้อมลู เบื้องต้น
3. การดำเนนิ การวิจัย ด้วยวิธกี ารวจิ ัยเชงิ สำรวจ
4. การจัดเวทีการประชุมชุมชนเพื่อดำเนินการวิจัยเชิง
ปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นรว่ ม (PAR)
5. การดำเนินการจัดกิจกรรมจากการจัดเวทีการประชุม
การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนร่วม (PAR)
6. การสรปุ ประเมินผล และถอดบทเรียนจากการการวจิ ยั
7. การจัดทำร่างแนวทางในการการสำรวจและจัดเก็บ
ข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและข้อมูลมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรมของกลมุ่ ชาติพันธ์ใุ นพนื้ ทจี่ ังหวดั สุโขทัย
๓๓
ตารางที่ 1 (ตอ่ )
การดำเนินการวิจัย ปี ๒๕๖๔
กรกฎาคม สิงหาคม กนั ยายน
8. การดำเนินการสนทนากลุ่มเพื่อร่วมกัน พิจารณาและ
ประเมนิ แนวทางการสำรวจ และจดั เก็บขอ้ มลู กลุ่มชาติพันธ์ุ
กะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ
กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุในพน้ื ทจ่ี งั หวัดสโุ ขทัย
9. การสรุป และการจัดทำรายงาน ผลการวจิ ัย
10. การเผยแพร่ และนำเสนองานวจิ ัยต่อสาธารณชน
บทที่ ๔
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
การศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาวิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และข้อมูล
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
โดยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นกระบวนการสำคัญในการดำเนินงานวิจัย เพื่อนำไปสู่ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ซึง่ ประกอบไปดว้ ย
๑. การศึกษาวิจัยการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและข้อมูลมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาตพิ นั ธก์ุ ะเหรี่ยงจังหวัดสโุ ขทยั
๒. ศึกษาเสน้ ทางการท่องเท่ยี วภายในชมุ ชนกะเหรีย่ งของจงั หวดั สุโขทัย
บริบทของชุมชนกะเหรยี่ ง
บรขิบอ้ ทมขลู อกงชลุมุ่มชชนากตะพิ เหนั รธย่ี ุ์ ง
บรเิบสน้ททขอางกชาุมรชทนอ่ กงะเทเหี่ยรวย่ี ง
บริบททางสงั คม อตัวลฒั กั นษธณรรท์ มาขงอ้ มูลกลุม่ ชาติพทนัขาธ้อง์ุ ภมลููมมิปรัญดญกา เสน้ ทาง
การท่องเที่ยว
บรบิ ทของชุมชนกะเหรี่ยง
ภาสพภำศรทากึวพ่ี จ๕ษทาแี่ ว3กลิจ5าะัยรจกศัดกาึกเารกษร็บาวิจยั การสำรอวัตจลแักลษะณจบ์ทัดราเเบิงสกน้ทบ็ ทขขอาอ้งงกชมามุ ูลรชทกน่อลกงมุ่ ะเทชเหอ่ยีารัตวตี่ยลพิงกั ันษธณ์ุก์ทะาเงหรยี่ งจังหวดัเสสน้ โุ ทขาทงกยั ารทอ่ งเท่ยี ว
ขอ้ มลู กกาลรมุ่ ศชึกาษตาิพวันิจธัย์ุ การสำรวจวแฒั ลนะธจรัดรมเก็บข้อมูลกลุ่มชาตวฒัิพนันธธรุ์กรมะเหรี่ยง และข้อมูลมรดกภูมิปัญญา
กปทภะารายเะงหใวกกสนรัฒอะุโี่ยชขบเงนุมหทจดชธรสัยัง้วนีย่รังหบยครงกรวจมมะิบ๑ัดังเขทสห)หทอุโบวรขางดั่ียรงทกงิบัยลขทอุ่ม๓ทงช)จาางัองตหสัติพวังลดัคักันสอมษธตัโุวขณุข์ใลัฒอนทกั์ทนงษพยั ธาชณสรงืุ้นมรวาบบ์ทชมทมัฒรราเเนบิิบงาสสี่ขจนรน้น้กทท้อังธถททมขขะหรอออาาูลเรวหงงงกธมกกชชัดิบลราากุมมุมุ่ี่สยารรชชะชยททงุโนนเาจรขอ่่อหตกกางงังทรพิะะเเยหทท่ียเเัทนัยหหลวี่ย่ียขงธารรไะววจอ้ัดง์ุี่ยี่ยดเภมงัสองง้แหูมลู ุยีโมปิบวขดรญััด่ทงไดสดญปัยกโุ้ารขด๒ะทงั เ)นัยดขี้ ็น้แอศลมะึกูลษม๔เสรา)้นดอเทสกอา้นทกงทกาเปางารภง็นทกูมอ่ า๔ิปงรเัญททป่ยี่อญรวงะาเทขเดี่ยอ็นวง
บริบภศกึทาพษททาาบวี่ง3ริจสิบัย6งั ทกคทามกราางรสังคมของชุมชนกะเหรี่ยงบจรังบิขหทอ้วมขัดอลู สงกุโชลขุม่มุทชชัยนาตกใิพะนเนักหอธารัตว์ุรี่ยลฒั ศงักนึกษธษณราร์ทบมารงิบทของชุมชเนสน้กะทเาหงรกี่ายรงทจ่อังงหเวทัด่ียสว ุโขทัย
นั้นสผำูร้ววิจจัยไแดล้ทะำจกัดาเรกศ็บึกษาเอกสาร (สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอศรีสัชนาลัย, 2564) และการลงสำรวจพื้นท่ี
อัตลกั ษณบท์ ราเบิงสน้ททขอางกชาุมรชทนอ่ กงะเทเหย่ี รวี่ยง
ข้อมลู กลมุ่ ชาติพันธ์ุ วฒั นธรรม
กะเหรย่ี งจงั หวดั
เส้นทางการทอ่ งเที่ยว
สุโขทยั บริบทของชุมชนกะเหอรัตวย่ีลฒั งกั นษธณรร์ทมาง
๓๕
ในเขตบ้านแม่สาน หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สำ และเขตบ้านห้วยหยวก ตำบลบ้านแก่ง หมู่ที่ ๕ อำเภอศรีสชั นาลยั
จงั หวดั สุโขทยั สรุปขอ้ มลู ดา้ นบรบิ ททางสังคมของชุมชนกะเหรยี่ งไดด้ งั นี้
สภาพภมู ปิ ระเทศ
อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นอำเภอท่ีมีลักษณะภูมิประเทศพื้นที่ทั้งหมดเป็นภูเขา
ท่รี าบเอยี ง ทรี่ าบล่มุ และสลบั กับเนนิ เขา
สภาพภมู ิอากาศ
ลกั ษณะสภาพภมู อิ ากาศในอำเภอศรสี ัชนาลัย จงั หวัดสโุ ขทยั ในฤดูหนาวจะมสี ภาพ อากาศที่หนาว
เย็นจัด เนื่องจากพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัยเป็นพื้นที่ที่มีเขาสูงมีลักษณะเป็นป่าเขา และป่าไม้จำนวนมาก
ทำให้มีอากาศหนาวเย็น ส่วนในฤดูร้อนจะมีสภาพอากาศที่ไม่ร้อนมากทำให้สภาพภูมิอากาศในแถบ
อำเภอศรสี ัชนาลยั จงั หวดั สุโขทยั เหมาะแก่การเพาะปลูกพชื และพันธุ์ไม้ทีช่ อบอากาศเยน็
ทตี่ ้ังและอาณาเขต
อำเภอศรสี ัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นพืน้ ทท่ี ่กี ลมุ่ ชนกะเหรย่ี งอาศยั อยู่จำนวน ๒ ตำบล
โดยมที ต่ี งั้ และอาณาเขตทีต่ ดิ ตอ่ กับพน้ื ที่อื่น ๆ ดังน้ี
ทิศเหนือ มีอาณาเขตตดิ ต่อกบั อำเภอวงั ชน้ิ และอำเภอเด่นชยั (จังหวดั แพร่)
ทิศตะวนั ออก มีอาณาเขตตดิ ตอ่ กบั อำเภอลบั แล และอำเภอตรอน (จังหวัดอตุ รดติ ถ์)
ทิศใต้ มีอณาเขตตดิ ต่อกบั อำเภอศรนี คร อำเภอสวรรคโลก และอำเภอทุ่งเสลยี่ ม
ทศิ ตะวันตก มีอาณาเขตติดตอ่ กับอำเภอเถนิ (จังหวดั ลำปาง)
ภาพท่ี ๖ แผนทีแ่ บง่ อาณาเขตอำเภอศรีสัชนาลยั จังหวดั สุโขทยั
ทีม่ า : สำนักงานพัฒนาชมุ ชนอำเภอศรสี ัชนาลัย (256๔)
๓๖
จำนวนประชากร
กลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มีจำนวน 93,520 คน
(สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอศรีสัชนาลัย, 256๓) โดยประกอบไปด้วยประชากรที่เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุ
กะเหรย่ี งเท่ากบั รอ้ ยละ ๑ ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอำเภอศรีสชั นาลัย จงั หวัดสุโขทยั
ประวัติความเปน็ มาของหมู่บา้ นหว้ ยหยวก
บ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย (กลุ่มกิจการพิเศษ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุโขทัย) เดิมทีเป็นพื้นที่ที่ชาวกะเหรี่ยงหรือกาเกอะญอได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ชาวกะเหรี่ยงที่มาอาศัยบ้านห้วยหยวกนี้อพยพมากจากจังหวัดลำพูน เนื่องจากถูกรุกรานประกอบกับชาวกะเหรี่ยง
เปน็ ผู้รักสงบไม่ตอ่ สู้ จงึ อพยพมาทีบ่ ้านปากคะยาง ตำบลบ้านแกง่ อำเภอศรสี ัชนาลัย จงั หวดั สโุ ขทัย ซ่ึงเป็น
ท่ีมาของคำวา่ “ยาง” (บ้านของยาง) และได้อพยพมาอยูท่ ่ีบา้ นห้วยมะนาวจนถงึ บ้านปา่ คา และเนอื่ งจากถูก
“คนเมือง” ซึ่งหมายถึง “คนเหนือ” รุกรานมาเป็นโจรผู้ร้ายปล้นวัวควายของชาวกะเหรี่ยงเพื่อนำไปขาย
มีการรุกรานพื้นที่ชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านป่าคา มีการนำเอายาเบื่อใส่ในบ่อน้ำของหมู่บ้านให้กะเหรี่ยงกิน
ซึ่งมีชาวกะเหรี่ยงตายกันเป็นเบือ จากนั้นได้อพยพจนมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านห้วยหยวกนี้ได้ประมาณ ๑๐๐ กว่าปี
และยังมีคนไทยตามเข้ามาปล้นวัวควายในหมู่บ้านห้วยหยวกเรื่อยมา ในสมัยก่อนชาวกะเหรี่ยงจะไม่มี
บัตรประชาชนแต่จะใช้เหรียญชาวเขาแทนบัตรประชาชน โดยการห้อยคอ และถ่ายรูปเป็นหลักฐาน
การประกอบอาชีด้วยการทำเกษตรกรรม โดยวิธีทำไร่หมุนเวียน โดยแบ่งพื้นที่เป็น ๔ แปลง ปีที่ ๑ ทำแปลงที่ ๑
ปีที่ ๒ ทำแปลงที่ ๒ ทิ้งให้แปลงที่ ๓ และ ๔ ฟื้นฟูตามสภาพหมุนเวียนกันไป ทำให้พื้นที่ที่ไม่ได้ประกอบ
อาชีพการเกษตรไดม้ ีการฟ้ืนฟูความอดุ มสมบูรณ์อย่างรวดเร็วโดยทีไ่ มต่ ้องย้ายพื้นท่ีอ่ืนเรื่อย ๆ ปัจจุบันทาง
ราชการได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการตั้งหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่มีการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค และบางส่ิง
บางอย่างก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่นเทคโนโลยี การแต่งกาย วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ภาษาพูด
ภาษาเขียน เนอ่ื งจากมกี ารเปลย่ี นแปลงโดยการรบั วฒั นธรรมภายนอกเข้ามา
บ้านห้วยหยวกส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงหรือปกาเกอะยอ ได้อพยพมาจากที่อื่น เดิมที่บ้านห้วยหยวก
เป็นหมู่ที่ ๗ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย แต่ต่อมามกี ารเรยี งลำดับหมู่บ้านใหม่ โดยหมู่บ้าน
ห้วยหยวกไดถ้ กู แบง่ เป็นหมูท่ ี่ ๕ ตำบลบา้ นแกง่ อำเภอศรสี ัชนาลยั จงั หวดั สุโขทัย จนถงึ ปัจจบุ ัน ปี ๒๕๖๔
สถานทต่ี ้งั ของหมู่บา้ นหว้ ยหยวก
บ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย นั้นมีระยะการเดินทาง
ห่างจากตัวจังหวัดสุโขทัย เดินทางไปตามเส้นทาง สวรรคโลก-ศรีสัชนาลัย ระยะทางประมาณ 68 กิโลเมตร
เดินทางไปตามถนน สายอำเภอศรีสัชนาลัย–บ้านแก่ง-บ้านห้วยหยวก ใช้ถนนหมายเลข ๑๒๙๔ ระยะทาง
ประมาณ ๔๑ กโิ ลเมตร ใชเ้ วลาประมาณ ๕๗ นาที ซึ่งสามารถเดินทางไดโ้ ดยรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ได้
อย่างสะดวก สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเชิงเขา มีลำห้วยผ่านบรรจบกันหลายสาย คือ ห้วยหยวก
ห้วยตุ้ม ห้วยตอง และห้วยปูน มีสภาพภูมิอากาศที่เย็นสภาพแวดล้อมปกคลุมไปด้วยป่าภูเขา โดยปัจจุบัน
๓๗
บริเวณรอบทางการสัญจรจะประกอบอาชีพเกษตรกร และสวนยางพาราโดยรอบ มีพื้นที่รับผิดชอบรวม
๑,๕๐๐ ไร่ โดยมีพื้นที่ทำเกษตรกรรม ประมาณ ๑,๒๐๐ ไร่ มีพื้นที่อยู่ประมาณ ๓๐๐ ไร่ โดยมีที่ต้ัง
และอาณาเขตท่ีตดิ ตอ่ กับพนื้ ที่อ่ืน ๆ ดงั น้ี
ทิศตะวันออก มอี าณาเขตตดิ กับ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลยั จงั หวดั สโุ ขทัย
ทิศตะวันตก มีอาณาเขตติดกบั อำเภอเถนิ จังหวดั ลำปาง
ทศิ เหนือ มอี าณาเขตติดกบั ตำบลแมส่ ำ อำเภอศรีสัชนาลยั จงั หวัดสุโขทยั
ทศิ ใต้ มีอาณาเขตตดิ กบั ตดิ กบั หมทู่ ี่ ๖ ตำบลบา้ นแกง่ อำเภอศรีสัชนาลยั จังหวดั สุโขทยั
ภาพท่ี ๗ แผนทอ่ี าณาเขตบา้ นหว้ ยหยวก
ที่มา : โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบลปา่ คา (๒๕๖๔)
จำนวนครัวเรือน และประชากรบา้ นห้วยหยวก
โดยปัจจุบันมีประชากรบ้านห้วยหยวก หมู่ที่ ๕ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
มีจำนวน ๓๘๑ คน แยกเปน็ เพศชาย ๑๘๗ คน เพศหญิง ๑๙๔ คน ดังตารางท่ี 2 ตอ่ ไปนี้
ตารางท่ี 2 ประชากรบ้านหว้ ยหยวก
ประชากรบา้ นห้วยหยวก
อายุ เพศชาย เพศหญิง รวม
ตำ่ กวา่ 1 - 19 ปี 93
๒๐ - ๓๙ ปี 40 53 127
40 – 59 ปี 118
60 – 79 ปี 61 66 38
80 ปีขนึ้ ไป 5
รวมจำนวนประชากร 62 56 381
20 18
41
187 194
๓๘
จำนวนครัวเรือน ๑๐๑ ครัวเรือน, (รายงานประชากรแยกตามกลุ่มอายุ/เพศ รายหมู่บ้าน โรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพตำบลปา่ คา อำเภอศรีสชั นาลัย จังหวดั สโุ ขทยั วนั ที่พิมพ์รายงาน ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔)
ประวัติความเปน็ มาของหมูบ่ ้านแมส่ าน
หมู่บ้านแม่สาน หมู่ที่ ๖ ตำบลแม่สำ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ได้ก่อตั้งเป็นหมู่บ้าน
เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๓๙๐ (กลุ่มกิจการพิเศษ สำนักงานวฒั นธรรมจงั หวดั สุโขทัย) โดยประมาณเพราะไดข้ ้อมลู
จาก ท่านผู้เฒ่าอายุ ๑๐๑ ปี เป็นผู้ยืนยัน ตามคำบอกเล่าสืบกันมาว่า ได้มีชาย ๓ คน เป็นพี่น้องกัน คนโต
ชื่อว่า นายก้าง คนรองชื่อว่า นายคี ส่วนน้องชายคนเล็กชื่อนายลี สันนิษฐานว่ามาจากอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
เนื่องจากครั้งหนึ่งสมัยที่ข้าวยากหมากแพงประกอบกับโจรผู้ร้ายชุกชุม ประชากรในหมู่บ้านเคยอพยพ
ไปอาศัยอยู่ที่จังหวัดลำพูนมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะอพยพกลับมาใหม่ นายก้าง เป็นคนที่สร้างหมู่บ้านแม่สาน
ไปทางใต้ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ปัจจุบันคือบ้านห้วยหยวก ส่วนน้องชายคนเล็กได้ปลูกบ้านห่างจากบา้ นแมส่ าน
ไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร ปัจจุบันคือบ้านป่าคา ทั้งสามคนพี่น้องสามารถปลูกบ้านคนละ ๑ หลัง แต่ว่า
ทั้งสามยังไม่มีนามสกุลใช้ และไม่มีผู้นำในการปกครอง จนถึงปัจจุบันคนในหมู่บ้านแม่สานร้อยละ ๙๐
ใชน้ ามสกลุ เดียวกนั คือ “ค้างคีรี” ในปจั จบุ ัน
สถานท่ีต้ังของหมู่บ้านแมส่ าน
บา้ นแม่สานตง้ั อย่ทู ี่ หมู่ท่ี ๖ ตำบลแมส่ ำ อำเภอศรสี ัชนาลัย จังหวัดสุโขทยั มรี ะยะทางการเดินทาง
ห่างจากตัวเมืองสุโขทัย เดินทางไปตามเส้นทางอำเภอสวรรคโลก-ศรีสัชนาลัย ระยะทางประมาณ ๘๗.๔
กิโลเมตร ใช้ถนนหมายเลข ๑๐๑ เดินทางไปตามถนนสายอำเภอศรีสัชนาลัย-ตำบลแม่สำ-บ้านแม่สาน
ระยะทางประมาณ ๕๑ กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ ๕๗ นาที ซึ่งสามารถเดินทางได้โดยรถจักรยานยนต์
หรือรถยนต์ได้อย่างสะดวก มีทางราบ ทางชัน และทางโค้งสลับกัน สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาและผืนป่าไม้
ทีอ่ ุดมสมบูรณ์ โดยมีทต่ี งั้ และอาณาเขตท่ตี ิดต่อกับพนื้ ท่ีอ่ืน ๆ ดังน้ี
ทศิ ตะวนั ออก มีอาณาเขตติดตอ่ กับพ้ืนที่ตดิ กบั อำเภอศรสี ชั นาลัย
ทิศตะวนั ตก มอี าณาเขตติดตอ่ กับพน้ื ที่ติดกบั อำเภอเถิน จงั หวดั ลำปาง
ทศิ เหนอื มีอาณาเขตตดิ ตอ่ กับพื้นท่ีตดิ กับอำเภอวงั ชิ้น จังหวดั แพร่
ทิศใต้ มอี าณาเขตตดิ ต่อกบั พ้ืนท่ีติดกับบา้ นหว้ ยหยวก อำเภอศรสี ชั นาลยั จังหวดั สุโขทัย
ภาพที่ ๘ แผนท่อี าณาเขตบา้ นแม่สาน
ทม่ี า : โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านแม่สำ (๒๕๖๔)