ผลของการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นร้แู บบเปิด (Open Approach) ร่วมกบั
สื่อ Plickers ทีม่ ผี ลต่อทกั ษะการคิดวเิ คราะหข์ องนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2
โรงเรียนบา้ นคอ้ ทอ่ นน้อย จังหวดั ขอนแก่น
คณะผวู้ จิ ยั
นางสาวกมลพรรณ สมบงั ใด รหัสนักศกึ ษา 603050179-3
นางสาวกติ ยิ วดี สรอ้ ยนาค รหสั นกั ศกึ ษา 603050335-5
นักศกึ ษาช้นั ปีท่ี 3 สาขาวิชาสงั คมศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์
อาจารย์ท่ีปรกึ ษา
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. จตภุ ูมิ เขตจตั รุ สั
รองศาสตราจารย์ ดร.อังคณา ตงุ คะสมติ
ผชู้ ่วยศาสตราจารยจ์ รรยา บุญมปี ระเสริฐ
รองศาสตราจารยเ์ พชรรัตน์ จงนมิ ติ รสถาพร
อาจารยณ์ ฐมน สุธนเกียรติกานต์
การวิจัยคร้ังน้เี ป็นสว่ นหนงึ่ ของรายวชิ า ED003003 การวิจยั ในชัน้ เรียนเพ่ือพฒั นาการเรียนรู้
และรายวิชา ED193004 การวจิ ัยนวัตกรรมทางสังคมศึกษา
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปีการศกึ ษา 2562
3
THE EFFECT OF OPEN APPROACH INNOVATION WITH PLICKERS MEDIA ON
ANALYTICAL THINKING SKILL FOR MATHAYOMSUKSA 2 OF BANKHOTHONNOI
SCHOOL, KHON KAEN
RESEARCHERS
MISS KAMONPHAN SOMBUNGDAI STUDENT ID 603050179-3
MISS KITIYAWADEE SOYNAK STUDENT ID 603050335-5
ADVISOR
ASST. PROF. JATUPHUM KETCHATTURAT
ASSOC. PROF. ANGKANA TUNGKASAMIT
ASST.PROF. JANYA BOONMEEPRASERT
ASSOC.PROF. PHETCHARAT JONGNIMITSATHAPORN
LECTURER NATTHAMON SUTHANAKIATTIKARN
A RESEARCH SUBMITTED IN PART OF ED003003 CLASSROOM RESEARCH FOR
LEARNING DEVELOPMENT AND ED193004 RESEARCH FOR INNOVATIONS IN
SOCIAL STUDIES FACULTY OF EDUCATION, KHON KAEN UNIVERSITY
2019
ก
กมลพรรณ สมบังใด,กิติยวดี สร้อยนาค (2563). การศึกษาผลของการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรแู้ บบ
เปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers ที่มีผลต่อทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย จังหวัดขอนแก่น (The effect of Open Approach
Innovation with Plickers Media on Analytical Thinking Skill for Mathayomsuksa 2 of
Bankhothonnoi School, Khon Kaen)
อาจารย์ทีป่ รึกษาวจิ ยั : ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรสั
รองศาสตราจารย.์ ดร.อังคณา ตงุ คะสมิต
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ จรรยา บุญมปี ระเสริฐ
รองศาสตราจารย์ เพชรรตั น์ จงนิมติ สถาพร
อาจารย์ ณฐมน สุธนเกยี รตกิ านต์
บทคดั ย่อ
การวจิ ัยในครัง้ นม้ี วี ัตถปุ ระสงค์ดังนี้ 1) เพือ่ ศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่
2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ
Plickers 2) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ด้วยการ
สอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers กาหนดเกณฑ์ผ่าน คือ
นักเรียนร้อยละ 70 มีคะแนนอยู่ในระดับดีขึ้นไป โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบ one shot case study
กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย จานวน 14 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ใน
การวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการออมและการลงทุน ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการ
เรียนรู้แบบเปิด ร่วมกับส่ือ Plickers จานวน 1 แผน เวลา 2 ช่ัวโมง แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ท่ี
คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยยึดตามองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ การวิเคราะห์ความสาคัญ การวิเคราะห์
ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์เชิงหลักการ และแบบประเมินความพึงพอใจ ประเมินท้ังหมด 3 ด้านคือ
ด้านเน้ือหา ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านครูผู้สอน ไปใช้ในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่า
ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อน
น้อย หลังจากได้เรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers พบว่า มีนักเรียน
ผ่านเกณฑ์ 5 คน คิดเป็นร้อยละ 38.46 ของนักเรียนท้ังหมด ซ่ึงต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนด คือ นักเรียนได้
คะแนนการคิดวิเคราะห์ร้อยละ 70 ขึ้นไป 2) ความพึงพอใจของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้าน
ค้อท่อนน้อย หลังจากเรียนรู้ด้วยการสอนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ
Plickers มคี วามพงึ พอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ค่าเฉล่ยี เทา่ กับ 4.79
ข
Kamonphan Sombungdai,Kitiyawadee Soynak ( 2020) . The effect of Open Approach
Innovation with Plickers Media on Analytical Thinking Skill for Mathayomsuksa 2 of
Bankhothonnoi School, Khon Kaen
Advisor : Asst. Prof. Jatuphum Ketchatturat
Assoc. Prof. Angkana Tungkasamit
Asst.Prof. Janya Boonmeeprasert
Assoc.Prof. Phetcharat Jongnimitsathaporn
Lecturer Natthamon Suthanakiattikarn
ABSTRACT
The purpose of this research were 1 ) To study analytical thinking skills of
Mathayomsuksa 2 students of Bankhothonnoi School by using Open Approach Innovation
with Plickers Media. The criteria was set at 70% of the students getting the score at a good
level or more. 2) To study the satisfaction of mathayomsuksa 2 students in Bankhothonnoi
School by using Open Approach Innovation with Plickers Media. The criteria was set at 70%
of the students getting the score at a good level or more. This research use One Shot Case
Study and the target group was 14 Mathayomsuksa 2 students of Bankhothonnoi School.
The research instruments consisted of a lesson plan on Savings and Investment by using
Open Approach with Plickers media, analytical thinking skills assessment form and a student
satisfaction assessment form for learning activities which are content analysis, learning
activities and instructor that was analyzed percentage, arithmetic mean and standard
deviation.
The results revealed that 1) Analytical thinking skills of mathayomsuksa 2 students
Bankhothonnoi School after using Open Approach with Plickers Media was found that 5
students passed the criteria, accounting for 38. 46 percent of all students. Which is lower
than the specified criteria, which means that students get analytical score of 70% or more
2) Satisfaction of mathayomsuksa students at Ban Kho Tonnoi School after using Open
Approach and Plickers media, the Overall satisfaction was at the " high" level equaling to
4.79
ค
กิตตกิ รรมประกาศ
รายงานวิจัยฉบับน้ีสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี เนื่องด้วยความอนุเคราะห์ในหลายด้านของท่านอาจารย์
ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จตุภูมิ เขตจัตุรัส อาจารย์ที่ปรึกษา ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญให้
คาแนะนาท่ีเป็นประโยชน์ ตลอดจนช่วยตรวจสอบแก้ไขเคร่ืองมือให้มีความสมบูรณ์มากย่ิงข้ึน จึง
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิง่ มา ณ โอกาสนี้
รองศาสตราจารย์ ดร. อังคณา ตุงคะสมิต อาจารย์ท่ีปรึกษาวิจัย ซึ่งกรุณาให้คาปรึกษาและ
ข้อเสนอแนะ รวมถงึ แนวทางในการทาวิจัยดว้ ยความเอาใจใส่อยสู่ มา่ เสมอ และเป็นแบบอยา่ งทด่ี ีแก่ศิษย์ ให้
มคี วามอดทนและมงุ่ ม่ันในการทางานมาโดยตลอด
ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ลัดดา ศิลาน้อย ที่ให้ความรู้และให้ข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ใน
การทาวจิ ัย ทาใหค้ ณะผูว้ จิ ยั สามารถทาการวิจัยได้สาเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดี
ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร. มณฑา ชุ่มสุคนธ์ ที่ได้ให้ความกรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ให้คาปรึกษา ช่วยเหลือ
แนะนาและตรวจแกไ้ ขเคร่ืองมอื ในการวจิ ัย ทาให้การวจิ ัยผา่ นไปได้ดว้ ยดี
ขอขอบพระคุณผู้อานวยการ และคณะครูทุกท่าน โดยเฉพาะว่าที่ร้อยตรีพิชัยวุฒิ ละมูลมอญ และ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือในการเก็บข้อมูลวิจยั ใน
ครั้งน้ี
ขอขอบพระคุณ นายพีรพัฒน์ บันลือหาญ ท่ีได้ให้ความช่วยเหลือ ให้คาแนะนา และอานวยความ
สะดวกในการเก็บขอ้ มลู วิจยั ในคร้งั นี้
ขอขอบคุณคณะผู้วิจัยท่ีช่วยกันดาเนินงานวิจัย แก้ปัญหา ให้กาลังใจ และช่วยเหลือกันจนการวิจัยใน
ครง้ั นี้ประสบความสาเร็จ
สุดท้ายนี้ คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณบิดา มารดา และครอบครัว ซึ่งเปิดโอกาสให้ได้รับการศึกษาเล่า
เรียน ตลอดจนคอยช่วยเหลือและให้กาลงั ใจคณะผจู้ ัดทาเสมอมา และขอขอบคุณผู้ท่ีให้ความช่วยเหลือด้าน
ตา่ งๆ ซ่งึ มิได้กลา่ วนามไว้ ณ ท่นี ด้ี ว้ ย
คณะผู้วจิ ัย
ง
สารบัญ
หนา้
บทคัดยอ่ ภาษาไทย ก
บทคดั ยอ่ ภาษาอังกฤษ ข
กิตติกรรมประกาศ ค
สารบญั ง
สารบัญ (ตอ่ ) จ
สารบัญตาราง ฉ
สารบัญรปู ภาพ ช
บทท่ี 1 บทนา 1
1. ท่ีมาและความสาคัญของปัญหา 1
2. คาถามการวิจยั 3
3. วัตถปุ ระสงค์ 3
4. ขอบเขตการวจิ ัย 3
5. นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 4
6. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 7
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ ง 8
1. พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ (ฉบับท่ี 2) 9
พ.ศ. 2545 และ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553
2. สาระและมาตรฐานการเรียนรใู้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม 11
3. หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นบา้ นคอ้ ท่อนน้อย 12
4. การจัดการเรียนการสอนแบบเปดิ (Open Approach) 15
5. สอ่ื Plickers 22
6. กจิ กรรมการจดั การเรียนรู้โดยใชก้ ารจดั การเรียนการสอนแบบเปดิ 24
(Open Approach) รว่ มกบั ส่อื Plickers
7. ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ 25
8. ความพงึ พอใจ 42
9. งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง 46
สารบัญ (ต่อ) จ
10. กรอบแนวคดิ การวิจยั หน้า
บทที่ 3 วิธกี ารดาเนินวิจยั 50
51
1. กลมุ่ เป้าหมาย 51
2. ตัวแปรในการวจิ ัย 51
3. ระเบียบวธิ ีวจิ ยั 51
4. เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั 52
5. การสรา้ งและการหาประสทิ ธิภาพของเคร่ืองมือ 52
6. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 59
7. การวเิ คราะห์ข้อมูล 59
8. สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล 60
บทที่ 4 ผลการวจิ ยั และอภปิ รายผล 61
1. ผลการวิจยั 61
2. อภปิ รายผล 69
บทที่ 5 สรุปผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ 72
1. สรุปผลการวจิ ยั 73
2. ข้อจากัด 73
3. ข้อเสนอแนะ 74
บรรณานกุ รม 75
ภาคผนวก 80
ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผเู้ ช่ยี วชาญ และหนงั สือราชการ 81
ภาคผนวก ข เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย 87
ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู 106
ภาคผนวก ง ภาพกจิ กรรม 115
ประวตั ผิ ูว้ ิจัย 124
ฉ
สารบญั ตาราง
หนา้
ตารางท่ี 1 แสดงขอ้ มูลพนื้ ฐานของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบ้านคอ้ ทอ่ นน้อย 61
ตารางที่ 2 แสดงคะแนนสอบกลางภาค รายวิชาสงั คมศกึ ษา ปีการศึกษา 2562 ภาคเรยี นที่ 2 62
ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นค้อทอ่ นน้อย
ตารางที่ 3 ผลการศกึ ษาการคิดวิเคราะหข์ องนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านคอ้ 63
ท่อนนอ้ ย ทเ่ี รยี นโดยใชก้ ารจดั การเรียนรแู้ บบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่อื Plickers
เร่ือง การออมและการลงทุน
ตารางท่ี 4 แสดงผลระดบั คุณภาพของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นคอ้ ท่อนน้อย 64
ทีเ่ รยี นโดยใช้การจดั การเรยี นรู้แบบเปิด (Open Approach) รว่ มกบั สื่อ Plickers เรอื่ ง
การออมและการลงทนุ
ตารางที่ 5 แสดงผลคะแนนเฉล่ยี ขององคป์ ระกอบของการคิดวเิ คราะห์ 3 ดา้ น ของนักเรียน 65
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ทเ่ี รยี นโดยใชก้ ารจัดการเรยี นรแู้ บบเปิด
(Open Approach) ร่วมกับส่อื Plickers เรอ่ื ง การออมและการลงทนุ
ตารางท่ี 6 แสดงผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี น 66
บา้ นค้อทอ่ นน้อยตอ่ การสอนโดยใช้การจัดการเรยี นร้แู บบเปดิ (Open Approach) รว่ มกบั
สอื่ Plickers
ช
สารบญั รูปภาพ
หนา้
ภาพที่ 1 แผนภาพแสดงกรอบแนวคดิ การวจิ ยั 50
ภาพท่ี 2 รูปแบบการวิจัย One Shot Case Study 51
ภาพที่ 3 แสดงขัน้ ตอนการสรา้ งและหาประสทิ ธภิ าพแผนการจัดการเรยี นรูเ้ รอ่ื งการออม 54
และการลงทนุ
ภาพท่ี 4 แสดงขน้ั ตอนการสร้างแบบประเมินทกั ษะการคิดวิเคราะห์ 56
ภาพท่ี 5 แสดงข้นั ตอนการสรา้ งและหาประสิทธภิ าพของแบบประเมินความพึงพอใจ 58
ภาพที่ 6 แผนภูมกิ ารแจกแจงคะแนนทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ของผ้เู รียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 64
โรงเรียนบา้ นค้อทอ่ นน้อย ที่เรียนโดยใชก้ ารจดั การเรียนร้แู บบเปิด (Open Approach)
ร่วมกับสือ่ Plickers เรือ่ ง การออมและการลงทุน
ภาพที่ 7 ครพู ดู คุยและช้แี จงกตกิ าในการรว่ มกิจกรรมการเรยี นการสอน 116
ภาพท่ี 8 นกั เรียนรบั ชมวีดิทัศนเ์ รอื่ ง Rethink คดิ ใหม่ ใชเ้ งนิ เป็น เห็นความสขุ 116
ภาพที่ 9 นกั เรียนรว่ มกนั ตอบคาถามจากการชมวีดทิ ศั น์เร่อื ง Rethink คดิ ใหม่ ใช้เงินเป็น 117
เหน็ ความสขุ
ภาพท่ี 10 ครูอธบิ ายความรู้ เรื่อง การออมและการลงทนุ ในชีวติ ประจาวนั 117
ภาพท่ี 11 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายในประเด็นความหมายและความสาคญั ของ 118
การออมและการลงทุน
ภาพท่ี 12 ครแู จกใบกิจกรรมและนักเรยี นทาใบกิจกรรมการออมและการลงทนุ ในชีวติ ประจาวัน 118
ภาพที่ 13 นักเรียนออกมานาเสนอใบกิจกรรมการออมและการลงทนุ ในชวี ติ ประจาวัน 119
ภาพท่ี 14 ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรปุ องค์ความรู้ท่ไี ด้จากการเรยี นเร่ืองการออมและ 119
การลงทนุ ในชีวิตประจาวัน
ภาพท่ี 15 มอบรางวัลใหน้ ักเรยี นท่มี ีคะแนนสะสมสงู สดุ ในการร่วมตอบคาถามตา่ ง ๆ 120
ภาพที่ 16 นักเรียนทาแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ 120
ภาพท่ี 17 ภาพผลงานนักเรียน 121
ภาพที่ 18 ภาพผลงานนักเรียน 122
ภาพท่ี 19 ภาพผลงานนกั เรยี น 123
1
บทท่ี 1
บทนา
1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ได้
ระบุความมุ่งหมายและหลักการไว้ในมาตราท่ี 6 ว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็น
มนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการ
ดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสขุ ” และกาหนดแนวทางจัดการศึกษาไว้ใน มาตรา 22 วา่
“การจัดการศึกษาต้องยึดหลกั วา่ ผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรยี นมี
ความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม
ศักยภาพ” (คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ, 2553)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้กล่าวถึง
ความสาคัญในการปรับปรุงหลักสูตรไว้ดังน้ี “การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องสอดคล้องกับการ
เปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่
เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพ่ือพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนของชาติให้สามารถเพ่ิมขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศ โดยการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพและมาตรฐาน
ระดับสากล สอดคล้องกับประเทศไทย 4.0 และโลกในศตวรรษที่ 21 จึงเห็นควรปรับปรุงหลักสูตรในกลุ่ม
สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ซึ่งมีความสาคัญต่อการพัฒนาประเทศ และเป็นรากฐานสาคัญท่ีจะช่วยให้มนุษย์มีความคิด
ริเร่มิ สร้างสรรค์ คิดอยา่ งมีเหตผุ ล เปน็ ระบบ สามารถวเิ คราะห์ปญั หาหรือสถานการณไ์ ด้อยา่ งรอบคอบและ
ถี่ถว้ น สามารถนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน ตลอดจนการใชเ้ ทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม” (กระทรวงศึกษาธกิ าร
, 2560)
สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เป็นวชิ าทวี่ า่ ดว้ ยการอยู่รว่ มกนั ในสงั คมที่มคี วามสมั พนั ธ์กันและ
มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย ชว่ ยให้ผู้เรียนสามารถปรับตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมือง
ดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสม ซ่ึงในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สาระเศรษฐศาสตร์ ยังคงยึดหลักการพัฒนาการ
เรียนรู้ตามธรรมชาติของกลุ่มสาระและพัฒนาการในการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน และได้กาหนดมาตรฐานการ
เรยี นรูแ้ ละตัวชีว้ ัดทีส่ อดคล้องกับระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียนระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น โดยผเู้ รียน
จะไดเ้ รียนรูเ้ กีย่ วกับการผลติ การแจกจา่ ย และการบริโภคสนิ ค้าและบริการ การบรหิ ารจดั การทรัพยากรที่มี
2
อยู่อย่างจากัดอย่างมีคุณภาพ การดารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนาหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ใน
ชวี ติ ประจาวนั (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2560)
การจัดการเรียนรู้วิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันน้ัน ครูและนักเรียนต่างมองว่าเป็นวชิ าที่เน้นบรรยาย
จดจา เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาเป็นหลัก ทาให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายในวิชาและนักเรียนยังขาดทักษะ
การคิดแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดวิเคราะห์เป็นสาคัญ ซ่ึงจากการสัมภาษณ์ครูผู้สอน
ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ในวันท่ี 18 ธันวาคม
พ.ศ.2562 พบว่า ปัญหาการจัดการเรียนการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ท่ีพบมากท่ีสุด คือ ผู้เรียนขาดทักษะใน
การคิดวิเคราะห์ ยังเน้นการท่องจาตามหนังสือ เม่ือมีการมอบหมายงานหรือมีการต้ังคาถามให้ผู้เรียนได้คิด
วิเคราะห์ด้วยตนเองแล้วนั้น ผู้เรียนไม่สามารถตอบได้ ซ่ึงปัญหานี้อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่สอดคล้องกับความถนัดของผู้เรียน ผู้เรียนมีปัญหาด้านการเรียนรู้ ผู้เรียน
ขาดการฝึกฝนด้านการคิดวิเคราะห์ การจัดการเรียนการสอนของครูไม่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ เป็น
ต้น ซ่ึงถ้าผู้เรียนขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ ย่อมส่งผลให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหา หรือตัดสินใจส่ิงต่าง ๆ ได้
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ซงึ่ อาจส่งผลกระทบต่อการดารงชีวติ ได้ เน่อื งจากผเู้ รยี นแตล่ ะคนมคี วามแตกต่างกันทั้ง
ทางดา้ นร่างกาย ด้านอารมณ์ ดา้ นสังคม ดา้ นสตปิ ัญญา และด้านบคุ ลกิ ภาพอื่น ๆ ซ่งึ ความแตกต่างดงั กล่าว
ล้วนส่งผลต่อการเรียนรู้ของบุคคลทั้งส้ิน ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเศรษฐศาสตร์ ครูผู้สอน
ควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ส่งเสริมให้ผู้เรียน
ค้นพบและได้แสดงออกถึงศักยภาพของตนเอง และเชื่อมโยงองค์ความรู้กับชีวิตประจาวัน รวมไปถึงฝึก
ทักษะการคิดวิเคราะหใ์ หแ้ ก่ผูเ้ รียน
จากการศึกษาเอกสารเทคนิคการสอนแบบต่าง ๆ พบว่า นวัตกรรมการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีทาให้นักเรียนมีวิถีและวิธีการเรียนรู้ท่ีแตกต่างหลากหลาย เป็นการ
พัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่างทั่วถึงเต็มศักยภาพของแต่ละคน ผู้เรียนได้ยกระดับความรู้ และ ระดับการ
เรียนรู้ร่วมกันผ่านการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ทาให้เกิดการเรียนรู้ในระดับสูงเกิดสมรรถนะฝังลึกท่ีจะเรียนรู้
แกป้ ญั หาและสรา้ งสรรค์ในเรื่องและ ในเงอ่ื นไขทต่ี นยังไม่เคยรู้จักได้ด้วยตนเองและโดยกระบวนการกลุ่มจน
เกิดการเปล่ียนแปลงภายในตนเอง (Transformative Learning) ร่วมกัน ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนเกิด อุปนิสัย
และความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชวี ติ (วิจารณ์ พานิช, 2557)
ส่ือ Plickers เป็นเคร่ืองมือสาคัญของครูที่ใช้ในระบบการประเมินผลนักเรียน เก็บข้อมูลนักเรียน
หรือใช้เป็นกิจกรรมเกมสาหรับการเรียนการสอนที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรขู้ องนักเรียน ให้มีความตื่นเต้นและ
ให้ความร่วมมือในการเรียนการสอนเป็นอย่างดี โดยครูสามารถเก็บและประมวลผลข้อมูลจากการเลือก
คาตอบในใบกระดาษคาตอบของนักเรียน ซ่งึ สามารถแสดงผลของคาตอบได้ทันทใี นระบบการจัดการของครู
3
ท่ีติดต้ังแอปพลิเคชันของ Plickers ซ่ึงครูสามารถแสดงการใช้งานงานระบบให้นักเรียนเห็น และอาจทาใหด้ ู
สนุกและน่าสนใจมากย่ิงข้ึนเมื่อแสดงผ่านหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ท่ีหน้าห้องเรียน และยังสามารถไป
ประยุกต์ในเรอื่ งอนื่ ๆ ไดอ้ ีกมากมาย เชน่ การเช็คช่ือหนา้ ชนั้ เรียน แบบสอบถาม โพลล์ เกม เป็นต้น
(ณฐั ดนัย เนยี มทอง, 2561)
จากความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาข้างตน้ คณะผู้วิจัยจงึ มีความสนใจในการนาจัดการเรียน
การสอนโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้แบบเปิด (OpenApproach) มาประยุกต์ใช้ร่วมกับส่ือ Plickers เพ่ือ
พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรียน โดยมีความคาดหวังว่านักเรียนท่ีเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียน บา้ นคอ้ ทอ่ นนอ้ ย ที่มีการจดั การเรยี นรูด้ ้วยนวตั กรรมการเรยี นร้แู บบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers จะมีทักษะการคิดวิเคราะห์ดีข้ึนและมีความพึงพอใจในนวัตกรรมการสอน
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้อยา่ งหลากหลาย สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ อนั จะเป็นประโยชน์สาหรับ
การเรียนตอ่ ในระดับสูงและการประกอบอาชพี ในอนาคตของผู้เรยี นต่อไป
2. คาถามการวจิ ัย
1. ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นคอ้ ทอ่ นน้อย ดว้ ยการสอน
โดยใช้การจดั การเรียนรแู้ บบเปิด (Open Approach) รว่ มกบั สอื่ Plickers อยู่ในระดบั ดีหรอื ไม่ อย่างไร
2. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นคอ้ ท่อนน้อย มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการ
สอนโดยการจดั การเรียนรู้แบบเปดิ (Open Approach) ร่วมกับสือ่ Plickers อยูใ่ นระดบั ใด
3. วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย
ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers โดยกาหนดเกณฑ์
ผ่าน คอื นกั เรียนรอ้ ยละ 70 มีคะแนนอยู่ในระดับดีขน้ึ ไป
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ด้วยการ
สอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers โดยกาหนดเกณฑ์ผ่าน คือ
นกั เรียนรอ้ ยละ 70 มีคะแนนอยใู่ นระดับมากขนึ้ ไป
4. ขอบเขตการวจิ ยั
การวิจัยในครั้งน้ีเป็นการวิจัยเพื่อการศึกษาทักษะการวิเคราะห์ของนักเรียน โดยมีขอบเขตการวจิ ัย
ดงั นี้
4
- กลุ่มเป้าหมาย
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านค้อท่อนน้อย ตาบลบ้านค้อ อาเภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น
จานวน 14 คน
- ตวั แปรที่ศึกษา
1. ตวั แปรตน้ ได้แก่ การจดั การเรียนรแู้ บบเปดิ (Open Approach) รว่ มกับส่ือ Plickers
2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรยี นที่มตี ่อการจัดการเรียน
การสอนแบบเปดิ (Open Approach) รว่ มกับส่อื Plickers
- เนื้อหาทใ่ี ช้ในการวจิ ยั
คณะผู้วิจัยดาเนินการวิจัยโดยใช้เน้ือหาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษาศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 สาระเศรษฐศาสตร์
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 การออมและการลงทุน เรอ่ื ง การออมและการลงทนุ ในชวี ิตประจาวนั
- ระยะเวลา
ดาเนนิ การวจิ ยั ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562
5. นยิ ามศัพท์เฉพาะ
5.1 การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ครูใช้โจทย์
สถานการณ์ ปัญหาปลายเปิดในการขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้
นาเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตน เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันในช้ันเรียน เพื่อเรียนรู้วิธีการคิดและ
วธิ ีการทาความเขา้ ใจทง้ั ของตนเองและของผู้อ่ืนร่วมกัน
ขน้ั ตอนของกระบวนการเรียนร้แู บบ Open Approach
ขั้นที่ 1 ข้ันนาเสนอปัญหาปลายเปดิ
ขั้นท่ี 2 ขนั้ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองของนักเรียน
ขั้นท่ี 3 ขั้นการอภปิ รายร่วมกนั ทั้งชน้ั และเปรยี บเทยี บ
ข้นั ท่ี 4 การสรุปโดยการเชื่อมโยงแนวคิดของนกั เรียนทเี่ กดิ ขึ้นในชน้ั เรียน
5.2 สื่อ Plickers เป็นเคร่ืองมือในการช่วยสอนสาหรับเก็บข้อมูลของผู้เรียน โดยจะมีกระดาษเป็น
โค้ดให้ผู้เรยี นถอื ซึง่ กระดาษดงั กล่าวจะมีด้านทีต่ า่ งกันทั้ง 4 ดา้ น และมีตวั เลขเฉพาะของผู้เรยี นแตล่ ะคนอยู่
ที่มุมกระดาษ ครูได้เปิดคาถามที่ได้สร้างข้ึนผ่านทางแอปพลิเคชันให้ผู้เรียนได้รับทราบ และร่วมกันตอบ
คาถามโดยการชูกระดาษโค้ดในด้าน A, B, C หรือ D ตามท่ีคิดว่าถูกต้อง จากน้ันครูจะใช้สมาร์ทโฟนเปิด
แอปแอปพลเิ คชนั เพ่อื ตรวจคาตอบและบนั ทกึ ลงในแอปพลเิ คชันไว้เพ่อื จัดเก็บข้อมูล
5
5.3 กิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers หมายถึง
การจดั การเรยี นรู้ทีส่ ังเคราะห์ขึ้นมาจากการนาข้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ Open Approach ร่วมกับ
สอื่ Plickers ซง่ึ สื่อจะชว่ ยกระตนุ้ ความคิดใหผ้ ู้เรียนได้มีการคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว โดยนามาเช่ือมโยงเข้า
กับเน้ือหาการเรียน เรื่อง การออมและการลงทุนในชีวิตประจาวัน รายวิชาเศรษฐศาสตร์นักเรียนระดับชั้น
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นค้อท่อนน้อย เพือ่ ให้นกั เรียนวิเคราะห์และอภิปรายเก่ียวกับประเด็นเหล่าน้ัน
โดยใช้ในขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรู้ 4 ข้ัน ดงั น้ี
ขั้นที่ 1 ขั้นนาเสนอปัญหาปลายเปิด ครูเปิดวิดีทัศน์ให้นักเรียนชม และมีการถามคาถาม โดยใช้สื่อ
Plickers ในการให้คะแนนรวมจากการตอบคาถามในสถานการณ์ตัวอย่างในวีดิทัศน์ เพื่อใช้สะสมคะแนน
คร้ังแรก
ขั้นที่ 2 ข้ันการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ครูอธิบายความรู้จากส่ือ Power Point เร่ือง การออมและ
การลงทุนในชีวิตประจาวัน และร่วมกันอภิปรายความหมายและความสาคัญของการออมและการลงทุน
จากนั้นครูถามคาถามอีกครั้งโดยใชส้ ือ่ Plickers ในการตอบคาถามหลงั เรยี นรู้ เร่ือง การออมและการลงทุน
ในชีวิตประจาวัน เพ่ือสะสมคะแนนคร้ังที่ 2 ต่อมานักเรียนทาใบกิจกรรมเรื่องการออมการลงทุนใน
ชีวติ ประจาวัน
ข้นั ที่ 3 ขัน้ อภิปรายร่วมกนั ท้ังชัน้ และเปรียบเทียบ ครูส่มุ นักเรียนออกมานาเสนอใบกิจกรรมเร่ืองการออม
และการลงทนุ ในชีวิตประจาวนั และใช้ Plickers ในการให้คะแนนสะสม จากน้นั รว่ มกนั อภิปรายในประเด็น
ตา่ ง ๆ ทอ่ี ยใู่ นใบกจิ กรรม
ข้ันที่ 4 ขั้นสรุปโดยการเช่ือมโยงแนวคิดของนักเรียนที่เกิดข้ึนในช้ันเรียน ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนา
ในประเด็นความสาคัญของการออมและการลงทุนอีกครั้ง และถามคาถาม โดยใช้ Plickers ในการเก็บ
คะแนนคร้ังสุดท้ายจากการสรปุ และเชือ่ มโยงแนวคดิ ทัง้ หมดทไี่ ด้เรยี นรู้
ซึง่ การจัดการเรยี นรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers ผเู้ รยี นแตล่ ะคนจะสามารถ
คิดวิเคราะห์ได้และมีความกระตือรือร้นในการทากิจกรรม นักเรียนเป็นผู้นาเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตน
และมีการส่งเสริมการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเพ่ือแลกเปล่ียนความรู้ และพัฒนาทักษะการคิด
วิเคราะหข์ องผูเ้ รียนไปพรอ้ ม ๆ กัน
5.4 ทักษะการคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาไตร่ตรองแก้ปัญหาที่แม่นยามี
ความละเอียดในการจาแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูลเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มี
ความสาคัญอย่างไร อะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล และที่เป็นอย่างนั้นอาศัยหลักการของอะไร ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นค้อท่อนน้อย ตาบลบ้านคอ้ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแกน่
6
5.5 แบบประเมินการคดิ วิเคราะห์ หมายถงึ ชดุ ขอ้ คาถามการประเมนิ การคิดสรา้ งสรรค์ของนักเรียน
ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย จากการเรียนเร่ืองการออมและการลงทุนใน
ชีวิตประจาวัน โดยใช้การจัดการเรียนการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers มี
ทั้งหมด 4 ระดับคุณภาพ 4 = ดีเย่ียม, 3 = ดี, 2 = พอใช้ และ 1 = ปรับปรุง ซ่ึงจาแนกองค์ประกอบของการ
คดิ วิเคราะห์ ดงั น้ี
1. การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ (analysis of element) หมายถึง การแยกแยะสิ่งท่ีกาหนดได้ว่า
อะไรสาคัญหรือจาเป็นหรือมบี ทบาทมากท่ีสุด ส่ิงใดเปน็ เหตุ สิง่ ใดเป็นผล
2. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (analysis of relationship) หมายถึง การค้นหาความสัมพันธ์
ย่อยๆ ของเร่อื งราวหรอื เหตุการณน์ ้ัน ๆ มีความเกี่ยวพัน สอดคลอ้ งหรือขัดแยง้ กนั อย่างไร
3. การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ (analysis of organizational principles) หมายถึง การค้นหา
เร่ืองราวและการทางานต่าง ๆ ของส่ิงเหล่าน้ันรวมกันจนดารงสภาพเช่นนั้นได้เน่ืองด้วยอะไร โดยยึดอะไร
เป็นหลัก เป็นแกนกลางมีหลักการอย่างไร มีเทคนิคหรือยึดถือคติใด มีสิ่งใดเป็นตัวเชื่อมโยง ยึดถือหลักการ
ใด
5.6 ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกทางบวก ความชอบ ความสุขใจต่อการจัดการเรียนรู้ หรือ
เป็นความรู้สึกท่ีพอใจต่อส่ิงท่ีทาให้เกิดความชอบ ความสบายใจ และเป็นความรู้สึกท่ีบรรลุถึงความต้องการ
ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นค้อท่อนน้อย
5.7 แบบประเมินความพึงพอใจ หมายถึง ชุดคาถามแสดงความรู้สึกต่อการจัดการเรียนรู้ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่มีต่อการเรียนเร่ือง การออมและการลงทุนใน
ชีวิตประจาวัน โดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers โดย
ลักษณะเปน็ มาตรประมาณคา่ 5 ระดับ ประกอบด้วย 3 ดา้ น ดงั น้ี
5.7.1 ด้านเนือ้ หา คอื ความรู้สกึ ชอบหรือความพงึ พอใจเกย่ี วกบั เนื้อหาทใ่ี ชใ้ นการจดั การเรียนรู้ว่ามี
ความน่าสนใจและเข้าใจได้ง่าย มีความเหมาะสมกับระดับชั้นท่ีสอน และสามารถนามาประยุกต์ใช้ใน
ชวี ติ ประจาวันได้
5.7.2 ดา้ นกจิ กรรมการเรียนรู้ คอื ความรู้สกึ ชอบหรอื ความพึงพอใจเก่ียวกับกจิ กรรมการเรยี นรู้การ
ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการทางานกลุ่มและมีแลกเปล่ียนความรู้ความคิดเห็นของ
สมาชิกภายในกลุ่ม มีความสนุกสนาน น่าสนใจ และเวลาในการจดั กจิ กรรมมคี วามเหมาะสม
5.7.3 ด้านครูผู้สอน คือ ความรู้สึกชอบหรือความพึงพอใจเกี่ยวกับครูผู้สอนมีบุคลิกภาพท่ีดี ใช้
ภาษาที่งา่ ยต่อความเขา้ ใจ และเปดิ โอกาสให้นกั เรียนไดซ้ กั ถาม แลกเปลยี่ นความรู้
7
6. ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รบั
1. ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ตามแนวคิดการจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกบั ส่ือ Plickers
2. ผู้เรียนได้ฝึกการทางานกลุ่มร่วมกัน ตามแนวคิดการจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open
Approach) รว่ มกบั สือ่ Plickers
3. ผู้เรียนมกี ารแลกเปลี่ยนและเรยี นร้รู ว่ มกนั มปี ฏิสมั พนั ธต์ ่อกนั
4. ผู้เรียนสามารถแสดงออกถงึ ความคดิ ได้หลายแง่มุม มคี วามแปลกใหมไ่ ปจากเดมิ
5. ผู้เรียนแต่ละคนมีทกั ษะการแก้ปญั หาของตนได้ตามสถานการณ์
6. ครูได้แนวทางและแนวคิดการจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ
Plickers
8
บทท่ี 2
วรรณกรรมและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง
การวิจัยเร่ืองการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาระเศรษฐศาสตร์ เร่ือง การออมและ
การลงทุน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย คณะผู้วิจัยได้ศึกษาวรรณกรรม
และงานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง เสนอตามลาดับหวั ข้อดงั ต่อไปน้ี
1. พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิม่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553
2. สาระและมาตรฐานการเรยี นรใู้ นกล่มุ สาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
3. หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านค้อทอ่ นน้อย
3.1 วิสัยทศั น์
3.2 หลกั การ
3.3 จดุ หมาย
3.4 สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
3.5 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
4. การจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach)
4.1 ความหมายของ Open Approach
4.2 แนวคิดเก่ยี วกับ Open Approach
4.3 ขนั้ ตอนของ Open Approach
4.4 บทบาทสาคัญของครูในการจัดการเรียนรแู้ บบเปิด Open Approach
4.5 ประโยชนข์ อง Open Approach
5. ส่ือ Plickers
5.1 ความหมายของสื่อ Plickers
5.2 ประโยชนข์ องสื่อ Plickers
5.3 การจดั การเรียนรรู้ ว่ มกับส่อื Plickers
6. กิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับ
ส่ือ Plickers
7. ทกั ษะการคิดวิเคราะห์
9
7.1 ความหมายของการคดิ วเิ คราะห์
7.2 ลกั ษณะของการคดิ วเิ คราะห์
7.3 องค์ประกอบของการคดิ วิเคราะห์
7.4 กระบวนการคิดวิเคราะห์
7.5 การจดั การเรียนเรียนรเู้ พ่ือพฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์
7.6 เทคนคิ วิธกี ารสอนสร้างเสริมทกั ษะการคดิ วิเคราะห์
7.7 พฤติกรรมท่บี ง่ ช้ีการคดิ วเิ คราะห์
8. ความพึงพอใจ
8.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
8.2 ทฤษฎเี ก่ียวกับความพงึ พอใจ
8.3 แนวคดิ เก่ียวกับความพึงพอใจ
8.4 การวัดความพึงพอใจ
9. งานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง
9.1 งานวิจัยในประเทศ
9.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ
10. กรอบแนวคิดการวจิ ยั
โดยมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบบั ท่ี 3)
พ.ศ. 2553
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2542) ไดก้ าหนดพระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิม่ เติม
(ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ.2553 ซึ่งกาหนดแนวทางการจดั การศึกษาไว้ในหมวด 4 แนวการ
จัดการศึกษา ดังนี้
มาตรา 23 การจัดการศึกษา ท้ังการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม
อัธยาศยั ต้องเน้นความสาคญั ทงั้ ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของ
แต่ละระดบั การศกึ ษาในเรื่องตอ่ ไปน้ี
1) ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ครอบครัว ชุมชน ชาติ
และสังคมโลก รวมถึงความรู้เก่ียวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข
10
2) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมท้ังความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์
เร่ืองการจัดการ การบารุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
ย่งั ยนื
3) ความรู้เก่ียวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ ภูมิ
ปัญญา
4) ความรู้ และทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เนน้ การใชภ้ าษาไทยอย่างถูกต้อง
5) ความรู้ และทกั ษะในการประกอบอาชีพและการดารงชวี ติ อย่างมีความสุข
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องดาเนินการ
ดงั ตอ่ ไปนี้
1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของนักเรียนโดยคานึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบคุ คล
2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อ
ป้องกันและแกไ้ ขปญั หา
3) จัดกิจกรรมให้นักเรยี นได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติใหท้ าได้ คิดเป็น ทาเป็น รัก
การอา่ นและเกิดการใฝ่รอู้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง
4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้ง
ปลูกฝังคณุ ธรรม คา่ นิยมท่ีดงี ามและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวชิ า
5) ส่งเสริมสนับสนนุ ให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม ส่ือการเรยี น และอานวยความ
สะดวกเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของ
กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและนักเรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง
วิทยาการประเภทต่าง ๆ
6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา
ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่อื ร่วมกนั พฒั นานักเรียนตามศักยภาพ
มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินนักเรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของนักเรียน ความ
ประพฤติ การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการ
สอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษาให้สถานศึกษาใช้วิธีการท่ีหลากหลายในการ
จัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ และให้นาผลการประเมินนักเรียนตามวรรคหน่ึงมาใช้ประกอบการพิจารณา
ดว้ ย
11
จากการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545
และ (ฉบับที่3) พ.ศ. 2553 พบว่า การจัดการเรียนรู้ควรยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยจัดเนื้อหาสาระและ
กจิ กรรมใหส้ อดคล้องกับความสนใจและความถนัดของนักเรยี นโดยคานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝกึ
ทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและ
แก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อร่วมกันพัฒนานักเรียนตามศักยภาพ
เปน็ สว่ นสาคัญ
2. สาระและมาตรฐานการเรียนร้ใู นกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ไว้ดังนี้
สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ
ศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดม่ัน และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่าง
สันติสุข
มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนกั และปฏบิ ตั ติ นเปน็ ศาสนกิ ชนที่ดี และธารงรกั ษา พระพุทธศาสนา
หรอื ศาสนาท่ตี นนับถือ
สาระท่ี 2 หน้าทพ่ี ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชีวิตในสงั คม
มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมท่ีดีงาม และธารง
รกั ษาประเพณแี ละวฒั นธรรมไทย ดารงชีวติ อยรู่ ่วมกันในสงั คมไทย และสังคมโลกอยา่ งสันตสิ ขุ
มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจบุ ัน ยึดมั่น ศรัทธาและธารง รักษา
ไว้ซ่ึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใช้
ทรพั ยากรทมี่ ีอย่จู ากดั ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทงั้ เข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือการ
ดารงชวี ิตอย่างมีดุลยภาพ
มาตรฐาน ส 3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และ
ความจาเป็นของการร่วมมือกนั ทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก
12
สาระท่ี 4 ประวตั ิศาสตร์
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสาคญั ของเวลาและยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์สามารถ ใช้
วิธกี ารทางประวตั ศิ าสตรม์ าวิเคราะหเ์ หตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ อย่างเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และ
การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสาคัญและสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่
เกิดขึน้
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจ
และธารงความเป็นไทย
สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์
มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซ่ึงมีผลต่อกัน
และกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนท่ีและเคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา วิเคราะห์ สรุป และใช้
ขอ้ มลู ภูมสิ ารสนเทศอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิด การ
สร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสานึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากร และส่ิงแวดล้อม เพ่ือการพัฒนาท่ี
ยง่ั ยืน
จากการศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรม พบว่า ในสาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ จะต้องจัดการเรียนรู้โดยให้นักเรยี นมีความเข้าใจลักษณะของโลก
ทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพส่ิงซ่ึงมีผลต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และ
เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา วิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และ
เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ีก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มี
จติ สานกึ และมสี ว่ นร่วมในการอนุรักษ์ทรพั ยากร และส่ิงแวดล้อม เพอ่ื การพฒั นาท่ยี ั่งยนื
3. หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนบ้านค้อทอ่ นน้อย
โรงเรยี นบ้านคอ้ ท่อนน้อย (2551) ได้กาหนดหลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นคอ้ ทอ่ นนอ้ ยไวด้ ังนี้
3.1 วสิ ัยทัศน์
หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่ึงเป็น
กาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้านรา่ งกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมอื ง
ไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข มี
ความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด
13
ชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม
ศักยภาพ
3.2 หลักการ
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นบา้ นคอ้ ท่อนน้อย พุทธศักราช 2551 มหี ลกั การที่สาคัญดงั น้ี
1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น
เป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็น
ไทยควบคู่กับความเปน็ สากล
2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค
และมีคุณภาพ
3) เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้
สอดคลอ้ งกับสภาพและความต้องการของท้องถ่นิ
4) เป็นหลกั สูตรการศึกษาทีม่ โี ครงสร้างยดื หยนุ่ ท้งั ด้านสาระการเรียนรูเ้ วลาและการจัดการเรยี นรู้
5) เป็นหลกั สตู รการศึกษาท่เี นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ
6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
3.3 จุดหมาย
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มี
ปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับ
ผเู้ รียนเมือ่ จบการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ดงั น้ี
1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถือ ยึดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
2) มคี วามรู้ ความสามารถในการสือ่ สาร การคดิ การแก้ปญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทกั ษะชีวิต
3) มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทีด่ ี มีสขุ นสิ ยั และรักการออกกาลังกาย
4) มีความรกั ชาติ มีจติ สานกึ ในความเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ยึดมัน่ ในวถิ ีชีวติ และการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ
5) มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์ และพัฒนาส่ิงแวดล้อม มี
จติ สาธารณะทม่ี งุ่ ทาประโยชนแ์ ละสร้างส่งิ ท่ีดงี ามในสังคม และอยู่รว่ มกนั ในสังคมอยา่ งมคี วามสุข
14
3.4 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นบ้านคอ้ ทอ่ นน้อย พุทธศกั ราช 2551 มุง่ พัฒนาผูเ้ รียนให้มีคณุ ภาพตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ ซ่ึงการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิด
สมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดังนี้
1) ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจน
การเลือกใชว้ ธิ กี ารสอ่ื สารท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ โดยคานงึ ถงึ ผลกระทบทีม่ ีตอ่ ตนเองและสงั คม
2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดเป็นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้างสรรค์องค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพอ่ื การตัดสินใจเกย่ี วกบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ที่เผชิญได้
อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และ
การเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ
แก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้ึนต่อตนเอง สังคมและ
ส่งิ แวดล้อม
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน
ชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย
การสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเล่ียงพฤติกรรมไม่พึง
ประสงคท์ ่ีส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อน่ื
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การ
ทางาน การแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสมและมคี ุณธรรม
3.5 คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
หลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย พุทธศกั ราช 2551 มุ่งพัฒนาผเู้ รยี นให้มีคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพล
โลก ดงั นี้
15
1) รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2) ซือ่ สตั ยส์ ุจริต
3) มีวินัย
4) ใฝเ่ รียนรู้
5) อย่อู ยา่ งพอเพยี ง
6) ม่งุ มั่นในการทางาน
7) รักความเปน็ ไทย
8) มีจิตสาธารณะ
จากการศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย พบว่า ส่วนสาคัญในกระบวนการ
จัดทาหลักสูตรคือต้องให้นักเรียนเกิดทักษะในการส่ือสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการ
แก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้
เป็นคนดี มีปญั ญา มคี วามสขุ มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชพี
4. การจดั การเรยี นการสอนแบบเปิด (Open Approach)
4.1 ความหมายของ Open Approach
Nohda, 1986 (อ้างถึงใน ตติมา ทิพย์จนิ ดาชัยกุล, 2557) ไดใ้ ห้ความหมายวา เป็นวิธีการสอนหน่ึง
ท่ีเนนผู้เรยี นเป็นสาคัญ เปน็ การจัดการเรียนการสอนทีใ่ หผ้เู รียนได้ปฏิบตั ิลงมือทาด้วยตนเอง เป็นการสอนท่ี
ใหผ้ ูเรยี นแสวงหาความรู ดว้ ยตนเองและสามารถแกปญหาไดห้ ลากหลาย หรือพัฒนาไปเปน็ ปญหาใหม่
Tejima, 1997 (อ้างถึงใน สุภาภรณ์ อุ้ยนอง, 2561) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้
ปัญหาปลายเปิด (Open-ended problems) ซึ่งเป็นปัญหาชนิดที่มีคาตอบ หรือมีแนวทางในการแก้ปัญหา
ได้หลากหลาย การพิจารณาคาตอบ ของปัญหาปลายเปิดไม่ใช่ตัดสินเฉพาะความถูกผิดของคาตอบ หรือ
ตัดสินโดยคนส่วนมากว่าถูกหรือผิดแต่จะมีการพิจารณาถึง เหตุผลว่ามีความสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด
การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีเนน้ การใช้ปัญหาปลายเปิดจึงเป็นกิจกรรมหนงึ่ ท่ีสามารถตอบสนองตอ่
ความคิดท่ีหลากหลายของนักเรียนได้เนื่องจากกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นการใช้ปัญหาปลายเปิด
สามารถจัดกิจกรรมท่ีเปน็ การบูรณาการเนื้อหาหลาย ๆ เรื่อง เข้าไว้ในกจิ กรรมเดยี วกันได้ ซึง่ เป็นการจดั สรร
เนื้อหาโดยการเน้นกิจกรรมให้สอดคล้องกับเวลาที่มีอยู่นอกจากนี้ สื่อการสอนท่ีใช้จะเป็นลักษณะของการ
ดึงเอากระบวนการคิดของนักเรียนออกมา ทาให้สามารถศึกษากระบวนการคิดของนักเรียนแต่ละคน และ
ส่งเสรมิ ให้มีการพฒั นาดา้ นการให้เหตผุ ลของนกั เรียนไดเ้ ป็นอยา่ งดยี ิง่ อกี ดว้ ย
16
ไมตรี อินทรป์ ระสิทธิ์ (2547) การสอนแบบเปิด หมายถงึ กระบวนการจัดกจิ กรรมหรือสถานการณ์
ตา่ ง ๆ ให้มีลกั ษณะเปน็ ปญั หาแบบเปิดกระตุ้นให้นักเรยี นได้คิด
นชุ นาฎ มว่ งมุลตรแี ละคณะ (2549) ให้ความหมายของวิธีการแบบเปิด หมายถงึ กิจกรรมการเรียน
การสอนท่ีอาศัยทักษะกระบวนการคิดค่อนข้างมากท้ังของครูผู้สอนและของนักเรียนซ่ึงจะเน้นในเร่ืองการ
เปิดความคิดของผู้เรียนได้คิดกว้าง คิดหลากหลาย และคิดสร้างสรรค์มากที่สุดเท่าท่ีจะสามารถทาได้ตาม
บริบทของเนื้อหา ดังน้ันกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะนามาใช้น้ีจะเป็นกิจกรรมท่ีหลากหลายทั้งเกม กรณี
ตวั อยา่ ง บทความ ขา่ ว ฯลฯ
ปนัดดา นามวิจิตร (2557) ได้ใหความหมายวา วิธีการแบบเปิด คือ กระบวนการ แกปัญหาที่เปิด
กว้างในการหาคาตอบและสามารถมีคาตอบท่ถี ูกตองได้หลากหลาย
วจิ ารณ์ พานิช (2557) กล่าววา่ Open Approach เป็นกระบวนการเรียนรู้ทท่ี าใหน้ ักเรียนมวี ิถีและ
วิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างหลากหลาย เป็นการพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่างท่ัวถึงเต็มศักยภาพของแต่ละ
คน ผู้เรียนได้ยกระดับความรู้ และ ระดับการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทาให้เกิดการเรียนรู้
ในระดับสูงเกิดสมรรถนะฝงั ลกึ ที่จะเรียนรู้แก้ปญั หาและสร้างสรรค์ในเรื่องและ ในเงื่อนไขท่ีตนยังไม่เคยรจู้ ัก
ได้ด้วยตนเองและโดยกระบวนการกลุ่มจนเกิดการเปล่ียนแปลงภายในตนเอง (Transformative Learning)
ร่วมกนั ซ่ึงจะทาใหผ้ ู้เรยี นเกิด อปุ นสิ ยั และความสามารถในการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ อันเป็นภารกจิ หลกั ประการ
หนง่ึ ของโรงเรียนเพลินพัฒนาท่จี ะทาใหน้ กั เรียนเปน็ ผู้มคี วามสามารถในการเรยี นรู้ตลอดชีวติ
ลัดดา ศิลาน้อย (2558) Open Approach คือ การจัดการเรียนรู้ท่ีครูใช้โจทย์สถานการณ์ ปัญหา
ปลายเปิดในการขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้นาเสนอวิธีการ
แก้ปัญหาของตน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในช้ันเรียน เพื่อเรียนรู้วิธีการคิดและวิธีการทาความ
เข้าใจทั้งของตนเองและของผู้อ่ืนร่วมกัน
สรุปได้ว่า วิธีการแบบเปิด (Open Approach) เป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้
นักเรียนได้มีประสบการณ์หลากหลายกับปัญหาปลายเปิดที่มีลักษณะหลายๆ คาตอบอันเกิดจาก
กระบวนการแก้ปัญหาหลากหลายวิธีท่ีนักเรียนคิดออกมาไม่ใช่ครูเป็นผู้บอกคาตอบ โดยผู้เรียนจะแสวงหา
ความรู้และลงมือปฏิบัติหรือกระทาจริง จนเกิดความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งกิจกรรมที่นามาใช้จะเป็นกิจกรรมที่
หลากหลายท้ังเกม กรณตี ัวอยา่ ง บทความ ข่าว ฯลฯ
4.2 แนวคดิ เกย่ี วกบั Open Approach
ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ (2547) ได้กล่าวว่า การสอนวิธีแบบเปิดมีจุดมุ่งหมายเพื่อให นักเรียนเรียนรู
โดยเกิดการเรียนรู้ในแนวทางที่ตอบสนองความสามารถของพวกผู้เรียนควบคูไปกับการตัดสินใจด้วยตนเอง
และสามารถขยายหรือเพ่ิมเติมของกระบวนการและผลท่ีเกิดข้ึนได้ ดังนั้นครูตองพยายามทาความเขาใจ
17
แนวคิดของนักเรียนใหมากท่ีสุด โดยเปิดโอกาสใหนักเรียนได้อภิปรายรวมกับ เพ่ือน ๆ หรือโดยอาศัยการ
ชี้แนะจากครู การสอนโดยใชวิธีการแบบเปิดมุ่งเนนที่จะเปิดใจนักเรียน มากกว่าการสอนเน้ือหาใหครบการ
สอนโดยใชวธิ ีการแบบเปิดยึดหลกั ความสัมพนั ธ์ 3 ประการ
1. ความเป็นอสิ ระตอกจิ กรรมของนักเรียน คอื ครใู หความเป็นอิสระในการจัดกิจกรรมแก นกั เรียน
โดยไม่เขาแทรกแซงถาไมม่ ีความจาเป็น
2. ธรรมชาติของความรู คือ ความรู้ในเรื่องหนึ่ง ๆ ที่มีความสาคัญมากทาให้เกิดความรูใน ลักษณะ
ท่วั ๆ ไปมากข้ึนเทานนั้
3. การตัดสินใจของครูภายในห้องเรียน คือ อิสระในการคิดของนักเรียนทาให้ครูตองเผชิญกับ
แนวคดิ ของนกั เรยี นท่คี รูไม่ได้คาดคดิ มาก่อน ในลกั ษณะนี้ครูตองมลี ักษณะในการท่ีจะทาใหแนวคดิ เหลา่ นน้ั
ไดม้ ีบทบาทอย่างเต็มท่ีในชน้ั เรียน และพยายามอย่างจริงจังวาทาอย่างไร เพ่อื ใหนักเรียนคน อนื่ ๆ เขาใจได้
อย่างแท้จริง เก่ียวกับแนวคิดท่ีไม่ได้คิดมาก่อน และการเปิดความคิดของผู้เรียนน้ันจะเน้นการเปิดความคิด
ไดห้ ลากหลาย คดิ อย่างสร้างสรรคเทาที่ความสามารถจะทาได้
สรปุได้ว่า การสอนโดยใชวิธีการแบบเปิด เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เนนให้ผู้เรียนได้คิด และ
หาแนวทางในการแก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้ผูเรียนกลาที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองเรียนรู ตาม
ศักยภาพท่ีตนเองมี เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูซ่ึงกันและกันเพื่อตอบสนองความแตกต่างของแต่ละบุคคล
โดยอาศัยครคู อยช้แี นะแนวทาง
4.3 ขนั้ ตอนของ Open Approach
Nohda (2000, อางถึงใน ตติมา ทิพยจินดาชัยกุล, 2557) ได้นาขั้นตอนการจัดการ เรียนรูโดยใช
วิธีการแบบเปดิ 3 ข้ันตอนดงั น้ี
1. กาหนดปัญหา คือ ข้ันตอนที่ใหผู้เรียนได้เผชิญกับปญหา ซ่ึงลักษณะของปญหาอยู่ใน รูปแบบ
สถานการณ โดยผู้สอนไม่ชี้แนะแนวทางในการแกปัญหา
2. แก้ป ญหา คือ ขั้นตอนที่ให ผู้เรียนคิดหาวิธีท่ีหลากหลายเพื่อนาไปสู่การแก ปัญหา ซ่ึง
ความสามารถในการแกปญั หาข้นึ อยู่กับความสามารถและประสบการณของแต่ละบุคคล โดยครูคอย กระต้นุ
เพื่อใหผ้ ู้เรยี นนาวิธกี ารแก้ปัญหานนั้ นามาบูรณาการเขาดว้ ยกันได้
3. ขยายปัญหา คอื ขน้ั ตอนสุดท้ายทไ่ี ดเ้ รยี นขยายข้ันเดิมไปสู่ขนั้ ตอนใหมไ่ ด้ โดยอาศยั พ้นื ฐาน จาก
ปญั หาเดมิ และคิดหาวิธีแกปญหาใหม่
ไมตรี อนิ ทรประธ์ิ (2547) การจัดการเรียนการสอนมี 4 ข้ันตอน ดงั น้ี
1. การนาเสนอปัญหาปลายเปิด เป็นขั้นตอนท่ีใหนักเรียนพบกับปญหาปลายเปิด โดยนักเรียนต้อง
ทาปญหานน้ั ใหเป็นของนักเรียนเองใหได้
18
2. การเรียนรูด้วยตนเอง เป็นข้ันท่ีผู้เรียนตองเรียนรูด้วยตนเอง (เพียงคนเดียว) ในการ แกปัญหา
แลวมาร่วมการเรยี นรู้รว่ มกับผู้อ่ืน
3. การอภิปรายท้ังชั้นและการเปรียบเทียบ เป็นขั้นที่นักเรียนนาเสนอแนวคิดกับเพื่อนๆ เพื่อใหคน
อ่นื ๆ ได้เขาใจถงึ แนวคดิ นนั้ ๆ
4. การสรปุ โดยเชอื่ มโยงแนวคิดของนกั เรยี นม่ีเกิดขึ้น เป็นขน้ั ขยายแนวคดิ ตา่ ง ๆ ท่ีได้ และ สามารถ
นามาเชื่อมโยงกับแนวคิดท่ีเกิดข้ึนได้ท่ีเกิดข้ึนภายในหองเรียน ซ่ึงข้ันการเรียนรูด้วยตนเองและ ขั้นอภิปราย
สามารถยอนกลบั กลับไปกลับมาได้
ยุพาพกั ตร์ สะเดา (2555) โดยการสอนแบบวิธกี ารเรียนแบบเปิดน้ัน มี 4 ข้นั ตอน ดังน้ี
1. ขั้นนาเสนอปัญหาต่อช้ันเรียน โดยเน้นวิธีการแบบเปิด (Open Approach) ซ่ึงมีลักษณะของ
การเปิด 3 ลักษณะคือ กระบวนการเปิด (แนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้องน้ันมีหลายแนวทาง) ผลลัพธ์
เปิด (คาตอบถูกต้องหลายคาตอบ) แนวทางการพัฒนาเปิด (สามารถพัฒนาไปเป็นปัญหาใหม่ได้) เม่ือได้
สถานการณป์ ญั หาแลว้ ครูใชใ้ บกจิ กรรมใหน้ กั เรยี นทาในหอ้ งเรยี นโดยทาเป็นกลมุ่ ๆ 3 – 5 คน
2. ขน้ั ลงมือทากจิ กรรมและเรยี นรู้ด้วยตนเอง (การนาเสนอแผนการสอนไปใช)้ (Reaearch) เมอ่ื ได้
ใบกิจกรรมนักเรียนในกลุ่มก็จะช่วยกันคิดหาวิธีของแต่ละคนเสร็จแล้วก็จะคุยกันในกลุ่มเพ่ือหาข้อสรุปและ
เหตุผลท่ีได้คาตอบมาอยา่ งนีเ้ พราะอะไรมีวิธีการอยา่ งไร เสร็จแล้วก็จะนาเสนอหน้าชน้ั ให้เพ่ือนรับทราบถงึ
แนวความคิดของกลมุ่
3. ขั้นอภิปรายและเปรียบเทียบร่วมกันทั้งช้ันเรียน (สะท้อนผลการอภิปรายเก่ียวกับการสอน
Lesson Discussion) เม่ือนักเรียนได้คาตอบพร้อมกับเหตุผลแนวคิดและวิธหี าคาตอบก็จะนาเสนอหน้าช้นั
เรียนเพื่อให้เพ่ือนได้รับทราบถงึ วิธีการคิดของนักเรียน หลังจากนั้นครูร่วมอภปิ รายเพื่อพัฒนาไปเป็นปญั หา
ใหม่ เพ่อื นามาพฒั นาต่อไป
4. ข้ันสรุปบทเรียนจากการเช่ือมโยงแนวคิดของนักเรียนที่เกิดขั้นในช้ันเรียน (การสรุปผลการ
เรียนรู้) (Consolidation of Learning) ข้ันสุดท้ายของกิจกรรมที่ครูและนักเรียนเรียนรู้ร่วมกันเพื่อหา
ข้อสรุปของบทเรียนท่ีมีความเหมือนและแตกต่างในการหาคาตอบของแต่ละกลุ่มเพ่ือท่ีจะสรุปเป็นแนวคิด
ร่วมกนั
วิจารณ์ พานิช (2557) การจัดการเรียนรตู้ ามแนวคิด Open Approach งานสาคญั ของครูในชน้ั
เรียน มดี งั ตอ่ ไปนี้
1. ข้ันแนะนา
2. ขัน้ เปดิ ประเด็นโจทย์
3. ขั้นแก้ปัญหาและ/หรือสรา้ งสรรค์
19
4.ขั้นนาเสนอความรู้และแลกเปล่ยี นเรยี นรู้
5. ขั้นสรุป
กระบวนการเรียนรู้ Open Approach ในแตล่ ะข้นั ตอนเป็นดังน้ี
1) ข้ันแนะนาเป็นช่วงเวลาท่ีครูช่วยสร้างภาวะพร้อมเรียนรู้การซึมซับคุณค่าแรงบันดาลใจ และ
จดุ มุ่งหมาย เพอื่ เป็นการเปดิ ประตูใจ จนิ ตนาการและการลงมือกระทาให้เกิดกับผู้เรียน
- ภาวะพร้อมเรยี นรู้ คือภาวะที่จิตใจ ประสาทสมั ผสั และ รา่ งกายของผู้เรียนอยใู่ นภาวะทม่ี ีความต่ืน
ท่ัวพร้อมผ่อนคลายดาเนนิ อยูใ่ นสมดลุ ท่ดี ี
- การซึมซับคุณค่า หมายถึง การให้ประสบการณ์แก่ ผู้เรียนในการซึมซับความดี ความงาม ความ
จรงิ ของสิง่ ท่ีกาลงั จะเรียน เปน็ การเรยี นร้อู ย่างลกึ ซ้งึ ผ่าน สภาพแวดล้อม บรรยากาศ และกจิ กรรมบางอย่าง
โดย ไมต่ อ้ งผ่านการคิดอย่างเปน็ ลาดบั
- แรงบันดาลใจคือแรงจูงใจแรงศรัทธาในการเรียนรู้ใน การแก้ปัญหาและในการสร้างสรรค์ส่ิงท่ี
กาลงั จะเรยี น
- จุดมุ่งหมาย คือ เป้าหมายที่ท้าทายและภาพจินตนาการที่ชัดเจนของผู้เรียนท่ีจะบรรลุผลสัมฤทธิ์
ในสิ่งนน้ั
2) ข้ันเปิดประเด็นโจทย์ เมื่อผู้เรียนมีแรงขับเชิงบวกในการเรียนรู้ เนื่องจากการมีภาวะพร้อม
เรียนรู้การซึมซับคุณค่า เกิดแรงบันดาลใจและการมีจดุ มุ่งหมายที่ชดั เจน ก็เป็นช่วงเวลาท่ีเหมาะสมท่ีผเู้ รียน
จะตอ้ งเผชิญกับเงื่อนไขหรอื โจทย์หรอื ขอ้ จากดั ท่ีมีความเหมาะสม
ข้ันเปิดประเด็นโจทย์จึงเป็นช่วงเวลาที่ครูแจกเง่ือนไข หรือโจทย์ สาหรับแก้ปัญหา และ/หรือ
สร้างสรรคท์ ีเ่ หมาะสมใหแ้ ก่ผูเ้ รียน และเมือ่ แรงขบั พบกบั เง่ือนไข หรอื โจทย์หรอื ข้อจากดั ท่เี หมาะสม จะเกิด
เปน็ ความพยายามในการจัดการกับเง่ือนไขน้นั ๆ จนก้าวผ่านไปส่ผู ลสัมฤทธ์ิท่ีมุง่ หมาย และในกระบวนการน้ี
ผู้เรียนจะสร้างความรู้ความสามารถชุดใหม่ขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งส่ิงนี้คือหลักการพื้นฐานของ “Active
Learning” และ “Constructionism” ทุกประเภท
โจทย์ของ Open Approach มลี ักษณะสาคญั ดงั นี้
1. เป็นสถานการณห์ รอื เงอื่ นไขทผ่ี เู้ รยี นยังไมเ่ คยพบมาก่อน
2. เป็นสถานการณห์ รือเงอื่ นไขทผ่ี เู้ รียนยังไม่มคี วามรู้ความสามารถเพยี งพอทีจ่ ะ
แกป้ ญั หาหรอื สร้างสรรค์ตามเงือ่ นไขของโจทย์ไดท้ นั ที
3. มีความสัมพนั ธอ์ ยา่ งแนบแน่นกับความรคู้ วามสามารถท่ผี เู้ รียนสะสมอยใู่ นตวั มี
ความยากพอเหมาะและนาไปสู่ การสร้างความรู้ความสามารถชุดใหม่ กล่าวคือ ถ้าผู้เรียนนาความรู้
ความสามารถท่ีสะสมอยู่มาใช้ ในกระบวนการลองผิดลองถูกเปลี่ยนมุมมองและหาทางให้สุดความสามารถ
20
(Heuristics) กจ็ ะสามารถแกโ้ จทย์หรอื สร้างสรรค์ภายใต้เงื่อนไขของโจทย์นั้นได้ และพรอ้ มกันนน้ั ผู้เรียนก็ได้
สร้างความรู้ความสามารถชุดใหม่ข้ึน ซึ่งเป็นการต่อยอด สังเคราะห์ หรือ ยกระดับข้ึนจากความรู้
ความสามารถเดมิ ทสี่ ะสมมา
4. มคี วามน่าสนใจเชื้อเชิญและทา้ ทายใหผ้ ู้เรียนเขา้ ไปแก้ปัญหาหรอื สรา้ งสรรคภ์ ายใต้
เง่ือนไขนนั้
5. มีลักษณะเปิดกว้างให้ผู้เรียนทดลองและค้นคว้า วิธีการที่หลากหลายและผลลัพธ์ที่อาจ
แตกตา่ งแต่ก็ ยงั สามารถกากบั ทิศทางและขอบวงของการเรยี นรู้ใหเ้ ป็นไปตามแผนการเรยี นรูไ้ ด้
3) ข้ันแก้ปัญหาและ/หรือสร้างสรรค์ เป็นช่วงเวลาท่ีผู้เรียนลงมือแก้ปัญหาและ/หรือสร้างสรรค์
ภายใต้เงื่อนไขของโจทย์ที่ได้มา (โดยมากมักเป็นงานเดี่ยวหรืองานกลุ่มขนาดเล็กเพ่ือให้ผู้เรียนได้เผชิญกับ
เงื่อนไขของโจทย์ด้วยตนเองอย่างทั่วถึง) เมื่อผู้เรียนกาลังต่อสู้หรือจัดการกับเงื่อนไขหรือโจทย์ที่กาลังเผชิญ
ด้วยแรงขับเชงิ บวกนน้ั ผู้เรยี นกาลังสรา้ งความรู้ความสามารถชุดใหม่ขน้ึ ด้วยตนเอง
4) ขั้นนาเสนอและแลกเปล่ียนเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ผู้เรียนได้นาเสนอวิธีการ และผลของการ
แก้ปัญหา และ/หรือ การสร้างสรรค์ของตนกับเพ่ือน และพร้อมกันน้ันก็เป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้วิธีการ
และผลลัพธ์ท่ีแตกต่างกันเพื่อร่วมกันศึกษา เปรียบเทียบ พิจารณา ประเมิน รวมถึงจัดระเบียบวิธีการและ
ผลลัพธ์ท่ีแตกต่างเหล่าน้ันขั้นนาเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นการเปิดศักยภาพ และ สมรรถภาพของ
ผู้เรียนทุกคนเข้าหากัน หลอมรวมศักยภาพ และ สมรรถภาพของผู้เรียนทุกคนสู่การเรียนรู้ร่วมกัน เรียนรู้
วิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ท่ีก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงภายในตัวของผู้เรียนอีก
ดว้ ย
5) ข้นั สรุป เปน็ ชว่ งเวลาที่ผูเ้ รยี นแลกเปลี่ยนเรียนรูเ้ พื่อสังเคราะห์ และยกระดับความร้ใู หมร่ ว่ มกัน
ลัดดา ศิลาน้อย และอังคณา ตุงคะสมิต (2558) ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Open
Approach มีขน้ั ตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ข้นั นาเสนอปัญหาปลายเปิด เปน็ การกาหนดสถานการณแ์ รกโดยใชส้ ื่อท่ีหลากหลายร่วมกับ
คาถามเพ่ือตรึงความสนใจในเร่ืองที่จะเรียนรู้ กระตนุ้ ให้เกิดความคดิ เชน่ เพลง หรือวดี ทิ ศั น์ ที่เกีย่ วกับเรื่อง
ทจ่ี ะสอน และตง้ั คาถามเพือ่ ให้ผ้เู รียนเกิดความคิดที่หลากหลาย
ขั้นท่ี 2 ข้ันการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน เป็นการกาหนดกิจกรรมให้นักเรียนได้คิดหาคาตอบ
ด้วยวิธีการต่าง ๆ จากสถานการณ์ปัญหาแรกด้วยกระบวนการคิดของตนเอง โดยครูคอยสนับสนุน จาก
แนวคิดหรือคาตอบของผู้เรียนแต่ละคนครูจะกาหนดสถานการณ์ที่ 2 ท่ีสัมพันธ์กับสถานการณ์ที่ 1 ซึ่งจะ
เน้นส่ือในรูปแบบต่างๆ เช่น ข่าว วีดิทัศน์ เพ่ือให้เห็นความหลากหลายของเนื้อหา ผู้เรียนตอบประเด็น
21
คาถามในสถานการณ์ท่ี 2 โดยมีครูคอยกระตุ้นให้เกิดความม่ันใจในทุก ๆ คาตอบ และเชื่อมโยงคาตอบท่ี
หลากหลาย และพยายามรวบรวมคาตอบนนั้ ไปสู่สถานการณ์ที่ 3
ขัน้ ท่ี 3 ขั้นการอภิปรายรว่ มกนั ทั้งชนั้ และเปรียบเทยี บ ในขั้นนีใ้ ห้แบง่ ผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย คละ
ความสามารถกัน ต้ังชื่อกลุ่มและให้ครูกาหนดสถานการณ์ปัญหาในรูปแบบของกรณีตัวอย่าง บทความสั้นๆ
สรปุ ข่าว สถานการณจ์ าลอง ที่เชอื่ มโยงสอดคล้องกบั สถานการณ์ท่ี 1 และ 2 ใหผ้ ูเ้ รียนได้อภปิ รายคาตอบใน
กลุ่มอยา่ งกวา้ งขวาง หลากหลาย โดยครูคอยกระตุน้ เสริมแรงผู้เรียน จากน้ันใชเ้ ทคนคิ การร่วมมอื กนั เรียนรู้
จับสลากกลุ่ม จับสลากหมายเลขนักเรียนแต่ละกลุ่ม เพ่ือสุ่มนาเสนอคาตอบในภาพรวม เพ่ือให้ผู้เรียน
อภปิ รายคาตอบในช้ันเรยี นพรอ้ มเปรียบเทียบคาตอบ และวธิ ีการแกป้ ัญหาของทั้ง 3 สถานการณ์
ขั้นท่ี 4 การสรุปโดยการเช่ือมโยงแนวคิดของนักเรียนท่ีเกิดข้ึนในช้ันเรียน ในข้ันน้ีเป็นการสรุป
เช่ือมโยงความคิด แนวคาตอบ หรือวิธีการแก้ไขปัญหาของผู้เรียนท้ังชั้น ครูจะใช้ประเด็นคาถามเสริมมา
พูดคุย จนมีความเข้าใจท่ีชัดเจน ซ่ึงครูต้องใช้กระบวนการเสริมแรงผู้เรียนในคาตอบตลอดเวลา ครูและ
นักเรียนร่วมกันกาหนดวิธีการสรุปเช่อื มโยงความคิดของนักเรียนด้วยช้ินงานรูปแบบต่าง ๆ โดยนาเสนอใน
ชนั้ เรยี น
สาหรับการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้นาขั้นตอนของลัดดา ศิลาน้อย และอังคณา ตุงคะสมิต เป็นแนวทาง
ในการจัดการเรียนการสอนที่ได้ครอบคลุมขั้นตอนอย่างชัดเจนรวมทั้งผู้เรียนได้ เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์
ในกระบวนการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพและ
มคี วามสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
4.4 บทบาทสาคัญของครูในการจดั กระบวนการเรยี นรแู้ บบเปดิ Open Approach
วิจารณ์ พานิช (2557) กล่าวว่าบทบาทสาคัญของครูในการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ Open
Approach มดี ังนี้
1. เปดิ ประตูผู้เรียนสกู่ ารเรียนรู้ทขี่ บั เคล่อื นดว้ ยตัวผูเ้ รียนเอง
2. ส่งเสริมดูแลเอาใจใส่ให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาและ/หรือสร้างสรรค์ ภายใต้เงื่อนไขของโจทย์อย่าง
ทั่วถึงและต่อเนื่องโดยการหล่อเลี้ยงแรงขับจับประเด็นต้ังคาถามเพ่ิมลดหรือปรับประสบการณ์ สนับสนุน
อานวยความสะดวกดูแลความเรียบร้อย แนะนา ช่วยเพ่ิมลดหรือปรับทรัพยากรฯลฯเพ่ือให้ผู้เรียนได้นา
ความรู้ความสามารถ ท่ีสะสมอยู่ออกมาใช้ให้มากท่ีสุดจนเกิดการสร้างความรู้ความสามารถชุดใหม่ข้ึน
(constructionism) จากการลองผดิ ลองถูกเปลย่ี นมุมมองและหาทางให้ถงึ ท่สี ดุ ด้วยตนเอง(heuristics) และ
พร้อม ๆ กันนั้นครูยังช่วยจัดวางวิธีบันทึกความคิดความรู้สึก ความเข้าใจ บันทึกวิธีการ บันทึกผลลัพธ์ท่ี
สัมพันธก์ บั วิธีการชว่ ยตั้งคาถามช่วยตั้งประเด็นให้ผู้เรียน สงั เกตเห็นและประเมินวิธสี รา้ ง ความเข้าใจและวิธี
ทาของตนเองในการแกป้ ัญหาหรือการ สรา้ งสรรคน์ นั้ ๆ (metacognition)
22
3. ประเมินผู้เรียนในขณะเรียนรู้ โดยการมีสติต้ังใจฟังสังเกตและรู้สึก อย่างละเอียดอ่อนฉับไวและ
แม่นยา เพ่ือหย่ังให้ถึงภาวะการนาความรู้ความสามารถออกมาใช้ ภาวะการสร้างความรู้ความสามารถชุด
ใหม่แรงบันดาลใจวิถีการเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ อาการเข้าใจ ขอบเขตและคุณภาพของความเข้าใจพลัง
ความสามารถและ ข้อจากัดของผู้เรียนแต่ละคนในขณะที่กาลังเรียนรู้ผ่านการแก้โจทย์ หรือการสร้างสรรค์
ภายใต้เง่ือนไขของโจทย์ เปน็ การประเมนิ เพอ่ื พฒั นาอย่างฉบั พลันทันทีไม่ใชก่ ารประเมินเพอ่ื ตดั สนิ
4. ตอบสนองต่อผลการประเมินน้ันอย่างเหมาะสมและทันเวลา โดยการต้ังคาถามจับประเด็นให้
คาแนะนา ให้ตัวอย่างอานวยความช่วยเหลือฯลฯท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคนอย่างสงบ มีสติในจังหวะท่ี
เหมาะสมทนั ทว่ งทีเพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนหลุดจากภาวะติดขัดหรือการเขา้ ใจผดิ หรือชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเข้าสกู่ ารเรียนรู้
ทก่ี วา้ งขวาง ลกึ ซง้ึ มากขน้ึ และดาเนนิ การแก้ปัญหาหรือสร้างสรรคต์ ่อไปได้อยา่ งราบรืน่
5. ขับเคลื่อนและปรับพฤติกรรมผู้เรียนด้วยวิธีการเชิงบวก เม่ือมีผู้เรียนบางคนท่ีไม่อยู่ในภาวะ
พร้อมเรียนหรือติดขัดอย่างมากหรือมีพฤติกรรมที่ไม่สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ หรือรบกวนการเรียนรู้ของเพื่อน ครู
จะขับเคล่ือนและปรับพฤติกรรมผู้เรียนน้ันด้วยวิธีการเชิงบวก ทั้งน้ี เพ่ือรักษาแรงจูงใจด้านบวกของผู้เรียน
คนนน้ั และรกั ษา บรรยากาศเชิงบวกของชั้นเรยี นเอาไวใ้ หต้ ่อเน่อื ง
4.5 ประโยชน์ของ Open Approach
นักเรยี นได้ใชกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เน่ืองจากผลจากการคดิ และการ แกปัญหา
นนั้ ครไู ม่จากดั วิธีการ ครูไมไ่ ด้ตัดสินเฉพาะความถูกผิดของคาตอบ หรือตดั สินโดยคนสวนใหญ่วาถูกหรือผิด
แต่จะมีการพิจารณาถึงเหตผุลว่ามีความสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี
เนนการใชปัญหาปลายเปิดจงึ เปน็ อกี กิจกรรมหนึ่งท่ีสามารถตอบสนองตอความคิดที่หลากหลายของนักเรียน
ได้
5. สอ่ื Plickers
5.1 ความหมายของสอ่ื Plickers
Preedee Rirkvaleekul (2560) กล่าวว่า Plickers (Paper + Clicker) เป็นเครื่องมือในการช่วย
สอนสาหรับเก็บข้อมูลของนักเรียน โดยจะมีกระดาษเป็นโค้ดให้นักเรียนถือ ซ่ึงกระดาษดังกล่าวจะมีด้านท่ี
ต่างกนั ท้งั 4 ดา้ น และมีตัวเลขเฉพาะของนักเรียนแต่ละคนอยทู่ มี่ ุมกระดาษ
เมื่อครูได้เปิดคาถามท่ีได้สร้างข้ึนผ่านทาง plickers.com ให้นักเรียนได้รับทราบ และร่วมกันตอบ
คาถามโดยการชูกระดาษโค้ดในด้าน A, B ,C หรือ D ตามที่คิดว่าถูกต้อง จากนั้นครูจะใช้สมาร์ทโฟนเปิด
แอป Plickers เพื่อเชือ่ มโยงขอ้ มลู จากเว็บ plickers.com แล้วเปดิ กล้องเพือ่ สแกนโคด้ ท่ีนกั เรียนถอื
23
ผลลัพธ์ คือ จะมีการแสดงผลของคาตอบตามที่โค้ดท่ีนักเรียนถือในทันที โดยระบบจาทาการเก็บ
รวบรวมเป็นสถติ ไิ วใ้ นเวบ็ plickers.com เพื่อใหค้ รไู ด้นาไปพฒั นาสอ่ื การเรียนการสอนต่อไป
ณัฐดนัย เนียมทอง (2561) กล่าวว่า Plickers เคร่ืองมือสาคัญของครูท่ีใช้ในระบบการประเมินผล
นักเรียน เก็บข้อมูลนักเรียน หรือใช้เป็นกิจกรรมเกมสาหรับการเรียนการสอนก็ได้ด้วยเช่นเดียวกัน การ
ประยุกต์ใช้งานของ Plickers สามารถเก็บและประมวลผลข้อมูลจากการเลือกคาตอบในใบกระดาษคาตอบ
ของนักเรียน ซ่ึงสามารถแสดงผลของคาตอบได้ทันทีในระบบการจัดการของครูท่ีติดต้ังแอปพลิเคชันของ
Plickers ซ่ึงครูสามารถแสดงการใช้งานงานระบบให้นักเรียนเห็น และอาจทาให้ดูสนุกและน่าสนใจมาก
ย่ิงขึ้นเมื่อแสดงผ่านหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่หน้าห้องเรียน จากกิจกรรมตัวอย่างแบบน้ีเราจะเห็นได้ว่า
เปน็ ลกั ษณะที่เรียกวา่ เปน็ กจิ กรรมแบบ active learning แนน่ อนวา่ แอปพลิเคชนั นี้ยงั สามารถไปประยุกต์
ในเร่อื งอื่น ๆ ได้อีกมากมาย เชน่ การเช็คช่อื หนา้ ชน้ั เรียน แบบสอบถาม โพลล์ เกม เป็นต้น
สรุปไดว้ ่า Plickers เปน็ ส่อื ในยุค 4.0 ซ่ึงเปน็ อปุ กรณน์ อกจากกระดาษคาตอบที่สามารถดาวน์โหลด
ได้ฟรีจากเว็บไซต์ท่ีให้บริการ สามารถร่วมกิจกรรมในชั้นเรียนร่วมกับครูที่สามารถใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
และครูสามารถใช้ในระบบการประเมินผลนักเรียน เก็บข้อมูลนักเรียน หรือใช้เป็นกิจกรรมเกมสาหรับการ
เรยี นการสอนกไ็ ด้ด้วย
5.2 ประโยชน์ของสื่อ Plickers
ประโยชน์ของ Plickers ในด้านการจดั การเรียนการสอน (ต่อครผู ู้สอน)
1. ชว่ ยให้ครผู ้สู อนประหยัดเวลาในการเช็คช่อื นักเรียน
2. ช่วยให้ครูผู้สอนได้เรียนรู้เเละพัฒนาตนเองในด้านการใช้เทคโนโลยีรูปเเบบใหม่ท่ีส่งผลต่อการ
จัดการเรียนการสอนอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
3. ช่วยให้ครูผู้สอนบรรลุผลสาเร็จในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื่องจาก เด็กจะมีความสุข
เเละใหค้ วามร่วมมอื ในการทากจิ กรรมได้อยา่ งเต็มความสามารถ
ประโยชนข์ อง Plickers ในดา้ นการจดั การเรยี นการสอน (ต่อนักเรยี น)
1. ชว่ ยใหน้ ักเรยี นเกิดความกระตือรอื ร้นในการมาโรงเรียนเเละการทากจิ กรรมการเรยี นรู้
2. ช่วยใหน้ กั เรียนได้ฝึกการใช้เทคโนโลยคี วบคู้ไปกับการเรียนไดอ้ ยา่ งมีคณุ ภาพ
3. ชว่ ยใหน้ ักเรียนมคี วามสุขกับการเรียนเเละมีความมงุ่ มัน่ สนใจการเรียนมากย่งิ ขน้ึ
5.3 การจัดการการเรียนรรู้ ว่ มกับส่ือ Plickers
Plickers ไม่ใช่เครื่องมือรูปแบบใหม่ ในต่างประเทศได้มีการทดลองสร้างคลาสด้วย Plickers อย่าง
น่าสนใจ และคาสาคัญก็คือ “การประยุกต์” สาหรับใช้ในห้องเรียน น่ันคือส่ิงที่การเรียนการสอนยุค 4.0 นี้
ควรจะเป็น
24
จะเห็นได้ว่านักเรียนไทยอาจจะยังไม่คุ้นชินกับการนาเทคโนโลยีมาผนวกเข้ากับกับการสอน ถึงแม้
จะเป็นเพียงส่วนหน่ึงก็ตาม แต่พวกเขาได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะสามารถปรับตัว
ไดใ้ นที่สุด
Plickers เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ เพราะถ้าหากเปรียบเทียบครู 1 คน ต่อปริมาณนักเรียนแล้วน้ัน
ยอมรับว่าอตั ราสว่ นโดยมากยังเปน็ 1:30 หรอื 1:50 อยู่ ซึง่ เปน็ เรือ่ งยากที่ครจู ะเกบ็ รวบรวมทุกรายละเอียด
ของนักเรียนไดด้ ว้ ยตัวเอง
ดังน้ันการใช้การในหลักคณิตศาสตร์ร่วมกับการเก็บข้อมูลเชิงสถิติจากเคร่ืองมือที่มีอยู่มากมายใน
ปัจจุบัน อย่างเช่น Plickers นั้น มาเป็นตัวช่วยจะทาให้ครูสามารถวเิ คราะห์และพัฒนาการเรียนการสอนให้
ทันตอ่ การเคลื่อนตวั ไปของโลกนี้ไดด้ ีย่งิ ขึ้น
6. กิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ
Plickers
การจดั การเรียนรูท้ ส่ี ังเคราะห์ขน้ึ มาจากการนาขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ Open Approach ร่วมกับ
สื่อ Plickers ซง่ึ สือ่ จะช่วยกระต้นุ ความคิดให้ผู้เรยี นได้มีการคิดวเิ คราะหอ์ ย่างรวดเร็ว โดยนามาเชือ่ มโยงเข้า
กับเน้ือหาการเรียนเพ่ือให้นักเรียนวิเคราะห์และอภิปรายเก่ียวกับประเด็นเหล่าน้ัน โดยใช้ในขั้นตอนการ
จัดการเรียนรู้ 4 ขน้ั ได้แก่
ขั้นที่ 1 ขั้นนาเสนอปัญหาปลายเปิด ใช้สื่อ Plickers ในการให้คะแนนรวมจากการตอบคาถามใน
สถานการณ์ที่ครผู ู้สอนไดย้ กตัวอย่างจากสถานการณ์ในขนั้ ท่ี 1 เพือ่ ใชส้ ะสมคะแนนครงั้ แรก
ขั้นท่ี 2 ข้นั การเรยี นร้ดู ้วยตนเองของนกั เรียน ใช้สอ่ื Plickers ในการตอบคาถามหลังเรียนรู้ เร่ือง การออม
และการลงทุนในชวี ิตประจาวนั เพอ่ื สะสมคะแนนครง้ั ที่ 2
ข้ันที่ 3 ขั้นอภิปรายร่วมกันทั้งช้ันและเปรียบเทียบ ใช้ Plickers ในการให้คะแนนสะสม จากการนาเสนอ
งานหน้าชัน้ เรียน
ข้ันท่ี 4 ขั้นสรุปโดยการเช่อื มโยงแนวคิดของนักเรียนท่ีเกิดขึ้นในชั้นเรียน ใช้ Plickers ในการเก็บคะแนน
จากการสรปุ และเช่ือมโยงแนวคิดทั้งหมดท่ไี ด้เรียนรู้
ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้
นาเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตน และมีการส่งเสริมการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยน
ความรู้ และพฒั นาทักษะการคิดวเิ คราะห์ของผเู้ รียนไปพร้อม ๆ กัน
25
7. ทักษะการคิดวเิ คราะห์
7.1 ความหมายของทกั ษะการคดิ วิเคราะห์
การคิดวเิ คราะห์ (Critical Thinking) พจนานกุ รมฉบับเฉลมิ พระเกียรตพิ ทุ ธศกั ราช 2530 คาวา่ คดิ
หมายถึง นึกคิด ระลึก ตรึกตรอง ส่วนคาว่า วิเคราะห์ หมายถึงว่า ดู สังเกต ใคร่ครวญ อย่างละเอียดรอบ
ครอบในเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยหาส่วนดี ส่วนบกพร่อง หรือจุดเด่นจุดด้อยของเรื่องน้ัน ๆ แล้ว
เสนอแนะส่งิ ท่ดี ีทท่ี ี่เหมาะสมอย่างยุติธรรม มนี กั การศกึ ษาหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการคดิ ไว้ดงั น้ี
Bloom, 1656 (อ้างถึงใน ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ, 2539) ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์
เป็นความสามารถในการแยกแยะเพ่ือหาส่วนย่อยของเหตกุ ารณ์เรื่องราวหรือเน้ือหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วย
อะไร มีความสาคัญอยา่ งไร อะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล และทเี่ ป็นอยา่ งน้ันอาศัยหลักการของอะไร ทกั ษะการ
คดิ วิเคราะห์มี 3 ลักษณะ คอื
1. การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ (analysis of element) หมายถึง การแยกแยะสิ่งท่ีกาหนดได้ว่า
อะไรสาคัญหรือจาเป็นหรือมีบทบาทมากที่สุด ส่ิงใดเป็นเหตุ ส่ิงใดเป็นผล ซ่ึงการคิดวิเคราะห์ความสาคัญน้ี
จะประกอบไปด้วย “การวิเคราะห์ชนิด” เป็นการวินิจฉัยว่าสิ่งน้ันหรือเหตุการณ์นั้น จัดเป็นชนิดหรือ
ลักษณะใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น “วิเคราะห์ส่ิงสาคัญ” เป็นการวินิจฉัยว่าส่ิงใดสาคัญหรือไม่สาคัญ
การค้นหาสาระสาคัญ ขอ้ ความหลกั ข้อสรปุ จุดเด่นหรอื จุดดอ้ ย ของสง่ิ ตา่ ง ๆ และ “วเิ คราะหเ์ ลศนัย” เป็น
การมุ่งค้นหาสิ่งแอบแฝงหรืออยู่เบ้ืองหลังของสิ่งที่เห็น อาจไม่ได้บ่งบอกตรง ๆ แต่มีร่องรอยของความเป็น
จริงซ้อนอยู่
2. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (analysis of relationship) หมายถึง การค้นหาความสัมพันธ์
ย่อย ๆ ของเร่ืองราวหรอื เหตุการณ์นน้ั ๆ มีความเก่ียวพัน สอดคล้องหรือขัดแย้งกันอยา่ งไร ได้แก่ วิเคราะห์
ชนิดของความสัมพันธ์ วิเคราะห์ขนาดของความสัมพันธ์ วิเคราะห์ข้ันตอนความสัมพันธ์ วิเคราะห์
จุดประสงค์ของความสัมพันธ์ วิเคราะห์สาเหตุของความสัมพันธ์ และวิเคราะห์แบบความสัมพันธ์ในรูป
อุปมาอปุ ไมย
3. การคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ (analysis of organizational principles) หมายถึง การค้นหา
โครงสร้างระบบ และส่ิงของเร่ืองราวและการทางานต่าง ๆ ว่า ส่ิงเหล่าน้ันรวมกันจนดารงสภาพเช่นน้ันได้
เน่ืองด้วยอะไร โดยยึดอะไรเป็นหลัก เป็นแกนกลางมีหลักการอย่างไร มีเทคนิคหรือยึดถือคติใด มีสิ่งใดเป็น
ตัวเชื่อมโยง ยึดถือหลักการใด การวิเคราะห์หลักการเป็นการวิเคราะห์ท่ีถือว่ามีความสาคัญท่ีสุด การจะ
วิเคราะห์ได้ดี จะต้องมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ได้ดี
เสียก่อน เพราะผลจากความสามารถในการวิเคราะห์องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์จะทาให้
26
สามารถสรปุ เปน็ หลักการได้ประกอบดว้ ย “วิเคราะหโ์ ครงสรา้ ง” เปน็ การค้นหาโครงสร้างของสิ่ง “วิเคราะห์
หลักการ” เป็นการแยกแยะเพือ่ ค้นหาความจริงของสงิ่ ต่าง ๆ แล้วสรุปหลกั การเป็นคาตอบได้
Dewey ,1933 (อ้างถึงในชานาญ เอ่ียมสาอาง, 2539) ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ หมายถึง
การคิดอย่างใคร่ครวญ ไตร่ตรอง โดยอธบิ ายขอบเขตการคดิ วิเคราะห์ว่าเป็นการคิดทีเ่ ร่ิมต้นจากสถานการณ์
ท่มี คี วามยงุ่ อยาก และสน้ิ สุดลงด้วยสถานการณ์ทมี่ คี วามชดั เจน
Russel, 1956 (อ้างถึงใน วิไลวรรณ ปิยะปกรณ์, 2540) ให้ความหมายการคิดวเิ คราะห์เปน็ การคดิ
เพ่ือแก้ปัญหาชนิดหนึ่งโดยผู้คิดจะต้องใช้การพิจารณาตัดสินในเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
การคิดวิเคราะห์จึงเป็นกระบวนการประเมินหรือการจัดหมวดหมู่โดยอาศัยเกณฑ์ท่ีเคยยอมรับกันมาแต่
กอ่ นๆ แลว้ สรปุ หรือพิจารณาตดั สิน
Ennis. (1985) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ เป็นการประเมินข้อความได้ถูกต้อง เป็นการ
คดิ แบบตรึกตรองและมีเหตผุ ล เพือ่ การตดั สนิ ใจก่อนท่ีจะเชอื่ หรือก่อนทีจ่ ะลงมอื ปฏบิ ตั ิ
Watsan and Glaser (1964) ใหค้ วามหมายของการคดิ วิเคราะห์วา่ เปน็ ส่งิ ทเ่ี กิดจากสว่ นประกอบ
ของทัศนคติ ความรู้และทักษะ โดยทัศนคติเป็นการแสดงออกทางจติ ใจ ต้องการสืบค้นปัญหาท่ีมีอยู่ ความรู้
จะเกี่ยวข้องกับการใช้เหตุผลในการประเมินสถานการณ์การสรุปความอย่างเท่ียงตรงและการเข้าใจในความ
เป็นนามธรรม สว่ นทกั ษะจะประยุกตร์ วมอยู่ในทศั นคติและความรู้
สมจิต สวธนไพบูลย์ (2541) การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดพิจารณาอย่างรอบ
ครอบโดยใชเ้ หตุผล ประกอบการตดั สนิ ใจ
ชัยอนนั ต์ สมทุ วณชิ (2542) ใหค้ วามหมายของการคิดวเิ คราะห์ คือการแสวงหาข้อเท็จจริงดว้ ยการ
ระบุ จาแนก แยกแยะ ข้อมูลในสถานการณ์ท่ีเป็นแหล่งคิดวิเคราะห์ ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น
หรือจดุ เดน่ จดุ ดอ้ ย ในสถานการณ์เปน็ การจดั ข้อมูลให้เปน็ ระบบเพือ่ ไปใช้เปน็ พื้นฐานในการคิดระดับอนื่ ๆ
อรพรรณ พรสีมา (2543) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ เป็นทักษะการคิดระดับกลางซ่ึงจะต้องได้รับ
การพัฒนาต่อจากทักษะการคิดพื้นฐาน มีการพัฒนาแง่มุมของข้อมูลโดยรอบด้านเพื่อหาเหตุผลและ
ความสมั พันธ์ระหว่างองค์ประกอบตา่ ง ๆ
ราชบัณฑิตยสถาน (2546) ให้ความหมายคาว่า “คิด” หมายความว่า ทาให้ปรากฏเป็นรูป หรือ
ประกอบให้เป็นรูปหรือเป็นเร่ืองขึ้นในใจ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง คาดคะเนคานวณ มุ่ง จงใจ ตั้งใจ ส่วนคาว่า
“วิเคราะห์” มีความหมายว่าใคร่ครวญ แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ ดังน้ันคาว่า คิดวิเคราะห์
จึงมีความหมายว่า เป็นการใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่างละเอียดรอบคอบแยกเป็นส่วน ๆ ในเรื่องราวต่าง ๆ
อยา่ งมีเหตุผล โดยหาจดุ เดน่ จุดดอ้ ยของเรื่องนน้ั ๆ และเสนอแนะสิ่งที่เหมาะสมอย่างมีความเป็นธรรมและ
เป็นไปได้ ดังน้ันการพัฒนาคุณภาพการคิดวิเคราะห์จึงสามารถกระทาได้โดยการฝึกทักษะการคิดและให้
27
นักเรียนมีโอกาสได้คิดวิเคราะห์ สามารถเสนอความคิดของตนและอภิปรายร่วมกันในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
สมา่ เสมอ โดยครแู ละนักเรียนต่างยอมรับเหตุผลและความคดิ ของแต่ละคน โดยเชือ่ วา่ ไม่มีคาตอบท่ีถูกต้อง
เพียงคาตอบเดยี ว
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2546) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นความสามารถในการ
จาแนกแจกแจงและแยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดส่ิงหน่ึงหรือเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งซ่ึงอาจจะเป็นวัตถุ
สิ่งของ เร่ืองราว หรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหา
สาเหตุที่แทจ้ รงิ ของสิ่งทเ่ี กดิ ขนึ้
สุวิทย์ มูลคา (2547)ให้ความหมายของการวิเคราะห์และการคิดวิเคราะห์ว่าการวิเคราะห์
(Analysis) หมายถึง การจาแนก แยกแยะองค์ประกอบของส่ิงใดสิ่งหน่ึงออกเป็นส่วน ๆ เพ่ือค้นหาว่ามี
องค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง ทามาจากอะไร ประกอบขึ้นมาได้อย่างไรและมีความเช่ือมโยงสัมพันธ์กัน
อยา่ งไร การคิดวเิ คราะห์ (Analytical thinking) หมายถึงความสามารถในการจาแนก แยกแยะองคป์ ระกอบ
ต่าง ๆ ของส่ิงใดส่ิงหน่ึงซึ่งอาจจะเป็นวัตถุสิ่งของ เร่ืองราว หรือเหตุการณ์และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
ระหวา่ งองคป์ ระกอบเหลา่ นนั้ เพือ่ คน้ หา สภาพความเป็นจริงหรือสงิ่ สาคัญของสิ่งทก่ี าหนดให้
ชาตรี สาราญ (2548) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์คือ การรู้จัก
พิจารณา ค้นหาใคร่ครวญ ประเมินค่าโดยใช้เหตุผลเป็นหลักในการหาความสัมพันธ์เช่ือมโยง หล่อหลอม
เหตกุ ารณท์ ี่เกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างสมบูรณแ์ บบอย่างสมเหตสุ มผลก่อนทีจ่ ะตดั สินใจ
สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ว่าเป็นการระบุ
เรื่องหรือปัญหา จาแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูลเพื่อจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ ระบุเหตุผลหรือเช่ือมโยง
ความสัมพันธ์ของข้อมูล และตรวจสอบข้อมูลหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอในการตั ดสินใจ/
แกป้ ญั หา/คดิ สรา้ งสรรค์
นักการศึกษาและนักวิจัยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับความหมายของการคิดวิเคราะห์ที่
สอดคล้องกัน คือ การคิดวิเคราะห์หมายถึง การพิจารณาส่ิงต่าง ๆ ในส่วนย่อย ๆ ซึ่งประกอบด้วยการ
วิเคราะหเ์ นือ้ หา ดา้ นความสัมพันธ์และด้านหลักการจัดการโครงสร้างของการสือ่ ความหมาย และสอดคล้อง
กับกระบวนการคดิ วิเคราะห์ทางวทิ ยาศาสตร์ คอื การคดิ จาแนก รวบรวมเป็นหมวดหมู่ และจบั ประเด็นต่าง
ๆ เช่ือมโยงความสัมพันธ์ ดังน้ัน การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นทักษะการคิดท่ีสามารถพัฒนาให้เกิดกับผู้เรียนได้
และใหค้ งทนจนถงึ ระดบั มหาวิทยาลัย เพือ่ ให้นักเรียนสามารถคิดไดด้ ้วยตัวเอง เกิดความสาเรจ็ ในการเรียนรู้
เพราะการเรียนรู้ที่ดีต้องเป็นเรื่องของการรู้จักคิด ผู้วิจัยจึงสนใจพัฒนารูปแบบการสอนท่ีส่งเสริมการคิด
วิเคราะห์ เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนคิดเป็น เรียนรู้เป็น สามารถจาแนก ให้เหตุผล จับประเด็นเช่ือมโยง
ความสมั พนั ธ์ ตดั สนิ ใจและแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ได้ จากข้อมูลที่ไดร้ ับการพนิ ิจพจิ ารณา
28
7.2 ลกั ษณะของการคิดวเิ คราะห์
ทิศนา แขมมณีและคณะ (2544) ได้กาหนดขอบเขตของทักษะการคิดวิเคราะห์ไว้ว่าทักษะการคิด
วเิ คราะห์ประกอบด้วยทกั ษะยอ่ ย 6 ทกั ษะคอื
1. การรวบรวมขอ้ มลู ท้ังหมดมาจัดระบบหรอื เรียบเรยี งให้ง่ายแกก่ ารทาความเข้าใจ
2. การกาหนดมิติหรือแง่มุมทีจ่ ะวิเคราะหโ์ ดยอาศยั องคป์ ระกอบ ท่มี าจากความรู้หรอื ประสบการณ์
เดมิ และการค้นพบลกั ษณะหรือกลมุ่ ของข้อมูล
3. การกาหนดหมวดหมูใ่ นมติ ิหรือแงม่ มุ ท่จี ะวเิ คราะห์
4. การแจกแจงข้อมูลท่ีมีอยู่ลงในแต่ละหมวดหมู่ โดยคานึงถึงความเป็นตัวอย่างเหตุการณ์ การเปน็
สมาชิก หรอื ความสัมพันธเ์ กี่ยวขอ้ งโดยตรง
5. การนาเสนอข้อมูลท่ีแจกแจงเสรจ็ แล้วในแต่ละหมวดหมมู่ าจดั ลาดบั
6. การเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างหรอื แต่ละหมวดหมู่ ในแง่ของความมาก – น้อยความสอดคล้อง-
ความขัดแยง้ ผลทางบวก-ทางลบ ความเป็นเหตุ-เปน็ ผล ลาดับความตอ่ เน่อื ง
เสง่ียม โตรัตน์ (2546) กล่าวถึง ลักษณะของการคิดวิเคราะห์ของการคิดวิเคราะห์ ไว้ว่า การคิด
วิเคราะห์ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 องค์ประกอบ คือ ทักษะในการจัดระบบข้อมูล ความเช่ือถือได้
ของข้อมูล และการใช้ทักษะเหล่านั้นอย่างมีปัญญาเพื่อการช้ีนาพฤติกรรมดังนั้น การคิดวิเคราะห์จึงมี
ลักษณะต่อไปนี้
1. การคิดวเิ คราะห์จะไมเ่ ปน็ เพียงการรู้หรือการจาข้อมูลเพียงอย่างเดียว เพราะการคิดวิเคราะห์จะ
เปน็ การแสวงหาข้อมลู และการนาขอ้ มลู ไปใช้
2. การคิดวิเคราะห์ไม่เพียงแต่การมีทักษะเท่าน้ัน แต่การคิดวิเคราะห์จะต้องเก่ียวกับการใช้ทักษะ
อยา่ งตอ่ เน่ือง
3. การคดิ วิเคราะหไ์ ม่เพยี งแต่การฝกึ ทักษะอยา่ งเดียวเท่าน้ัน แตจ่ ะต้องมที กั ษะที่จะต้องคานงึ ถึงผล
ทยี่ อมรบั ได้
เกรียงศักดิ์ เจรญิ วงศศ์ ักด์ิ (2546) กลา่ วถึง ลกั ษณะของการคิดวเิ คราะหแ์ ละกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับ
การคิดวิเคราะห์ไว้ว่า การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นการคิดวิเคราะห์แตกต่างไปตามทฤษฎี การ
เรียนรู้ โดยท่ัวไปสามารถแยกแยะกิจกรรมทีเ่ กยี่ วข้องกบั การคิดวิเคราะห์ ไดด้ งั น้ี
1. การสงั เกต จากการสงั เกตขอ้ มลู มาก ๆ สามารถสร้างเปน็ ข้อเท็จจรงิ ได้
2. ข้อเท็จจริง จากกการรวบรวมข้อเท็จจริง และการเชื่อมโยงข้อเท็จจริงบางอย่างที่ขาดหายไป
สามารถทาให้มกี ารตคี วามได้
3. การตีความ เป็นการทดสอบความเทีย่ งตรงของการอ้างองิ จึงทาให้เกดิ การตัง้ ขอ้ ตกลงเบื้องตน้
29
4. การตง้ั ข้อตกลงเบื้องต้น ทาให้สามารถมีความคดิ เหน็
5. ความคิดเห็น เป็นการแสดงความคิดจะตอ้ งมหี ลักและเหตุผลเพอื่ พัฒนาข้อวิเคราะห์
นอกจากนั้น เป็นกระบวนการท่ีอาศัยองค์ประกอบเบ้ืองต้นทุกอย่างร่วมกัน โดยท่ัวไปนักเรียนจะไม่เห็น
ความแตกต่างระหว่างการสังเกตและข้อเท็จจริง หากนักเรียนเข้าใจถึงความแตกต่างก็จะทาให้นักเรียนเร่ิม
พัฒนาทักษะการคดิ วิเคราะห์ได้
สุวิทย์ มูลคา (2548) ได้จาแนกลกั ษณะของการคิดวเิ คราะห์ ไว้เปน็ 3 ดา้ น คอื
1. การวิเคราะห์สว่ นประกอบ เป็นความสามารถในการแยกแยะค้นหาส่วนประกอบท่ีสาคัญของส่งิ
หรือเรื่องราวต่าง ๆ เชน่ การวิเคราะหส์ ว่ นประกอบของพชื หรือเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ตัวอย่างคาถาม เช่น อะไร
เป็นสาเหตสุ าคญั ของการระบาดไข้หวดั นกในประเทศไทย
2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ของส่วนสาคัญต่าง ๆ โดย
ระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล หรือความแตกต่างระหว่างข้อโต้แย้งที่
เกย่ี วข้องและไมเ่ ก่ียวขอ้ ง ตวั อยา่ งคาถาม เช่น การพฒั นาประเทศกับการศึกษามีความสัมพันธก์ นั อยา่ งไร
3. การวิเคราะห์หลักการ เปน็ ความสามารถในการหาหลักความสัมพันธ์สว่ นสาคัญในเร่ืองนั้น ๆ ว่า
สมั พนั ธก์ ันอยู่โดยอาศยั หลักการใด ตัวอยา่ งคาถาม เช่น หลกั การสาคญั ของศาสนาพทุ ธ ได้แก่อะไร
จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์น้ันจะต้องกาหนดสิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ กาหนดจุดประสงค์ท่ีต้องการจะวิเคราะห์
แล้วจึงวิเคราะห์อย่างมีหลักเกณฑ์ โดยใช้วิธีการพิจารณาแยกแยะ เทคนิควิธีการในการวิเคราะห์ เพื่อ
รวบรวมประเด็นสาคัญหาคาตอบให้กับคาถาม โดยมีลักษณะของการคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ วิเคราะห์
ความสาคัญและวิเคราะหห์ ลักการของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
1. การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ได้แก่ การเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจสอบแนวคิดสาคัญและความเปน็
เหตุเป็นผล แล้วนามาหาความสัมพันธแ์ ละขอ้ ขดั แย้งในแต่ละสถานการณไ์ ด้
2. การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ ได้แก่ การจาแนกแยกแยะความแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริงและ
สมมติฐานแลว้ นามาสรปุ ความได้
3. การคิดวิเคราะห์หลักการ ได้แก่ การวิเคราะห์รูปแบบ โครงสร้าง เทคนิค วิธีการและการ
เชอ่ื มโยงความคดิ รวบยอด โดยสามารถแยกความแตกตา่ งระหว่างข้อเทจ็ จรงิ และทศั นคตขิ องผู้เขยี นได้
ไพรนิ ทร์ เหมบุตร (2549) กล่าวถึง ลักษณะของการคดิ วเิ คราะห์ประกอบดว้ ย 4 ประการ คอื
1. การมีความเข้าใจ และให้เหตุผลแก่ส่ิงท่ีต้องการวิเคราะห์ เพ่ือแปลความสิ่งน้ัน ซึ่งขึ้นอยู่กับ
ความรู้ ประสบการณ์ และค่านิยม
2. การตีความ ความรู้ ความเข้าใจ ในเร่อื งท่ีจะวิเคราะห์
30
3. การชา่ งสังเกต ชา่ งถาม ขอบเขตของคาถาม ยึดหลัก 5 W 1 H คอื ใคร (Who) อะไร (What) ที่
ไหน (Where) เมอื่ ไร (When) อย่างไร (How) เพราะเหตุใด (Why)
4. ความสัมพนั ธเ์ ชงิ เหตผุ ล ใช้คาถามคน้ หาคาตอบ หาสาเหตุ หาการเชอ่ื มโยง สง่ ผลกระทบ วิธีการ
ข้นั ตอน แนวทางแกป้ ญั หา คาดการณ์ขา้ งหน้าในอนาคต
สรุปได้ว่า ลักษณะของการคิดวิเคราะห์เพ่ือให้เกิดการคิดแบบเป็นระบบจะปรกอบไปด้วยการคิด
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ และการคิดวิเคราะห์หลักการ เพราะเป็นพื้นฐานของ
การคดิ วิเคราะห์ นาสู่การเขา้ ใจ ตีความ และความมเี หตมุ ผี ลจนเกิดเป็นความคดิ เห็นของตนเองได้
7.3 องค์ประกอบของการคดิ วิเคราะห์
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2548) กล่าวว่า องค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์
ประกอบดว้ ย
1. การตีความ ความเข้าใจ และให้เหตุผลแก่สิ่งที่ต้องการวิเคราะห์เพื่อแปลความของส่ิงน้ันข้ึนกับ
ความรูป้ ระสบการณแ์ ละค่านิยม
2. การมีความรู้ความเข้าใจในเรอื่ งทีจ่ ะวิเคราะห์
3. การชา่ งสังเกต สงสัย ชา่ งถาม ขอบเขตของคาถาม ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการคิดเชิงวิเคราะหจ์ ะยึดหลัก
5 W 1 H คือ ใคร (Who) อะไร (What) ทไ่ี หน (Where) เม่ือไร (When)ทาไม (Why) อยา่ งไร (How)
4. การหาความสมั พันธเ์ ชิงเหตุผล (คาถาม) ค้นหาคาตอบไดว้ ่า อะไรเป็นสาเหตุใหเ้ ร่ืองนั้นเช่ือมกับ
สิ่งน้ีได้อย่างไร เรื่องนี้ใครเก่ียวข้อง เม่ือเกิดเรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างไรมีองค์ประกอบใดบ้างท่ีนาไปสู่สิ่งน้ัน
มีวิธีการ ขั้นตอนการทาให้เกิดสิ่งนี้อย่างไร มีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง ถ้าทาเช่นน้ีจะเกิดอะไรขึ้นใน
อนาคต ลาดับเหตกุ ารณ์นี้ดูวา่ เกดิ ขน้ึ ได้อย่างไรเขาทาสิง่ นี้ได้อย่างไร สิง่ นเี้ ก่ยี วขอ้ งกับสิ่งทีเ่ กดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร
การคิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการที่ใช้ปัญญา หรือใช้ความคิดนาพฤติกรรม ผู้ท่ีคิดวิเคราะห์เป็น จึง
สามารถใช้ปัญญานาชีวิตได้ในทุก ๆ สถานการณ์ เป็นบุคคลที่ไม่โลภไม่เห็นแก่ตัวไม่ยึดเอาตัวเองเป็น
ศูนย์กลาง มีเหตุผล ไม่มีอคติ มีความยุติธรรม และพร้อมที่จะสร้างสันติสุขในทุกโอกาส การคิดวิเคราะห์
จะต้องอาศัยองค์ประกอบที่สาคัญสองเร่ือง คือ เร่ืองความสามารถในการให้เหตุผลอย่างถูกต้องกับเทคนิค
การตง้ั คาถามเพ่อื ใชใ้ นการคิดวเิ คราะห์ ซึง่ ทงั้ สองเร่อื งมคี วามสาคัญต่อการคดิ วเิ คราะห์เปน็ อย่างยิง่
(วนชิ สธุ ารัตน์. 2547)
ความสามารถในการให้เหตุผลอย่างถูกต้อง การท่ีจัดให้เรื่องของการให้เหตุผลอย่างถูกต้องว่ามี
ความสาคญั ก็เน่ืองจากในเร่ืองของการคิดการใช้ปัญญาทงั้ หลายนน้ั เร่ืองของเหตุผลจะต้องมีความสาคญั ถา้
เหตุผลท่ีให้ในเบ้ืองแรกไม่ถูกต้อง หรือมีความคลุมเครือไม่ชัดเจนแล้ว กระบวนการคิดก็จะมีความไม่ชัดเจน
ตามไปด้วยการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกันย่อมไม่สามารถกระทาได้ และมีผลสืบเนื่องต่อไปคือ ทาให้
31
การสรุปประเด็นที่ต้องการท้ังหลายขาดความชัดเจน หรืออาจผิดพลาดตามไปด้วย ความสามารถในการให้
เหตผุ ลอย่างถกู ต้องประกอบด้วย (Center for Critical Thinking. 1996 อา้ งถงึ ใน วนชิ สุธารัตน.์ 2547)
1. วัตถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายของการใหเ้ หตุผล วัตถุประสงคแ์ ละเปา้ หมายของการให้เหตผุ ลต้องมี
ความชัดเจนโดยปกติการให้เหตุผลในเรื่องต่าง ๆบุคคลจะต้องให้เหตุผลท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือ
เป้าหมายของเร่ืองนั้น เช่นในการเขียนเรยี งความ งานวิจัย การอภิปราย ฯลฯถ้าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
ที่กาหนดไว้มีความชัดเจน การให้เหตุผลก็จะเป็นเร่ืองง่าย แต่ถ้าไม่ชัดเจน หรือมีความสลับซับซ้อน จะต้อง
ทาให้ชัดเจนการให้เหตุผลก็จะเป็นเรื่องง่าย หรืออาจจะต้องแบ่งแยกออกเป็นข้อย่อย ๆ เพื่อลดความ
สลับซับซ้อนลง และนอกจากน้ีเป็นเป้าหมายจะต้องมีความสาคัญและมองเห็นว่าสามารถจะทาให้สาเร็จได้
จริง ๆ
2. ความคิดเหน็ หรือกรอบความจริงที่นามาอ้าง เม่อื มีการให้เหตุผล ตอ้ งมีความคิดเหน็ หรือกรอของ
ความจริงที่นามาสนับสนุน ถ้าสิ่งท่ีนามาอ้างมีข้อบกพร่อง การให้เหตุผลก็จะผิดพลาดหรือบกพร่องตามไป
ด้วย ความคิดเห็นท่ีแคบเฉพาะตัว ซ่ึงอาจเกิดจากอคติหรือการเทียบเคียงท่ีผิด ทาให้การให้เหตุผลทาได้ใน
ขอบเขตอนั จากดั เทีย่ งตรง และมีเสถียรภาพ
3. ความถูกต้องของส่ิงที่อา้ งอิง การอา้ งอิงข้อมูล ขา่ วสาร เหตกุ ารณ์ หรอื สง่ิ ตา่ ง ๆ มหี ลักการอยู่ว่า
ส่ิงท่ีนามาอ้างจะต้องมีความชัดเจน มีความสอดคล้อง และมีความถูกต้องแน่นอนถ้าสิ่งที่นามาอ้างผิดพลาด
การสรุปผลหรือการสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ท่ีเป็นผลสืบเนื่องย่อมผิดพลาดด้วย ส่ิงที่ต้องระมัดระวังก็คือ ต้อง
เข้าใจข้อจากัดของข้อมูลต่าง ๆ ลองหาข้อมูลอื่น ๆ ท่ีมีลักษณะตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกับข้อมูลท่ีเรามีอยู่
บ้างว่ามีหรือไม่และก็ต้องแน่ใจว่าข้อมูลที่ใช้อ้างนั้นมีความสมบูรณ์เพียงพอด้วยข้อมูลข่าวสารที่ไม่มีความ
ถูกตอ้ ง มีการบิดเบือนหรือการนาเสนอเพียงบางสว่ นและปิดบังหรือมเี จตนาปล่อยปละละเลยในบางส่วนทา
ใหก้ ารนาไปอา้ งองิ หรือเผยแพร่ขาดความสมบรู ณ์กอ่ ให้เกิดความได้เปรยี บเสยี เปรียบหรอื สร้างความเสียหาย
ต่อบุคคลองค์การหรือสังคมได้ดังน้ันการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะนาไปใช้
ประโยชนใ์ นการอา้ งอิงทกุ ๆ เรือ่ งจึงเป็นเรอื่ งทีค่ วรจะกระทาดว้ ยความรอบคอบและระมัดระวงั เป็นอย่างยงิ่
4. การสร้างความคิดหรือความคิดรวบยอด การให้เหตุผลจะต้องอาศัยการสร้างความคิดหรือ
ความคิดรวบยอด ซึ่งมีตัวประกอบท่ีสาคัญคือทฤษฎี กฎ หลักการ อันเป็นตัวประกอบสาคัญของการสร้าง
ความคิดหรือความคิดรวบยอดถ้าหากเข้าใจผิดพลาดในเร่ืองของทฤษฎี กฎ หรือหลักการต่าง ๆ ดังท่ีกล่าว
มาแล้ว การสร้างความคิดหรือความคิดรวบยอดก็จะผิดพลาด การให้เหตุผลก็จะไม่ถูกต้องด้วย ดังนั้นเม่ือ
สร้างความคิดหรือความคิดรวบยอดข้ึนมาได้แล้ว จะต้องแสดงหรืออธิบาย เพ่ือบ่งบอกออกมาให้ชัดเจน
ลักษณะของความคิดรวบยอดท่ีดีจะต้องมีความกระจ่างมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์มีความลึกซึ้ง และมีความ
เปน็ กลางไมโ่ นม้ เอยี งไปทางใดทางหน่งึ
32
5. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเหตผุ ลกับสมมติฐาน การใหเ้ หตุผลข้ึนอยู่กบั สมมตฐิ านเม่ือใดมีการกาหนด
สมมติฐานข้ึนมาในกระบวนการแก้ปัญหา ต้องแน่ใจว่าสมมุติฐานนั้น กาหนดขึ้นจากส่ิงที่เป็นความจริงและ
จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ ความบกพร่องในการให้เหตุผลสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลไปติดยึดในสมติฐานที่
ตั้งข้ึน จนทาให้ความคิดเห็นโน้มเอียงหรือผิดไปจากสภาพที่ควรจะเป็น สมมติฐานที่ดีจะต้องมีความชัดเจน
สามารถตดั สินใจ และมีเสถียรภาพเช่นเดียวกัน
6. การลงความเห็น การให้เหตุผลในทุก ๆ เร่ือง จะต้องแสดงถึงความเข้าใจด้วยการสรุปและให้
ความหมายของข้อมูล ลักษณะการให้เหตุผลนั้นโดยธรรมชาติจะเป็นกระบวนการต่อเน่ืองท่ีเช่ือมโยงกันอยู่
ระหวา่ งเหตกุ ับผล เชน่ เพราะว่าสงิ่ น้เี กิดส่งิ นั้นจึงเกิดข้นึ หรือเพราะวา่ สง่ิ นเ้ี ป็นอย่างนี้ส่ิงทีเ่ กดิ ข้ึนจากส่ิงน้ีจึง
เปน็ อย่างนัน้ ถ้าความเขา้ ใจในข้อมูลเบ้ืองต้นผิดพลาดการให้เหตุผลย่อมผิดพลาดดว้ ย ทางออกท่ีดีก็คือ การ
ลงความเห็นจะทาได้ก็ต่อเมอ่ื มหี ลักฐานบ่งบอกอย่างชดั เจน จะตอ้ งตรวจสอบความเห็นน้ันสอดคล้องหรือไม่
สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านข้อไหนและมีอะไรเป็นตวั ชี้นาอยู่อีกบา้ ง ซงึ่ อาจทาใหก้ ารลงความเหน็ ผิดพลาด
7. การนาไปใช้ เม่ือมีข้อสรุปแล้วจะต้องมีการนาไปใช้หรือมีผลสืบเนื่อง จะต้องมีความคิดเห็น
ประกอบว่าข้อสรุปที่เกิดข้ึนน้ัน สามารถนาไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ควรจะนาไปใช้ลักษณะใดจึงจะถูกต้อง
ลักษณะใดไม่ถูกต้อง โดยพยายามคิดถึงทุกสิ่งที่อาจเป็นผลต่อเนื่องท่ีสามารถเกิดข้ึนได้ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
การคิดวิเคราะห์ที่ดีหรือมีมาตรฐาน ในอันดับแรกจะต้องรู้จักการให้เหตุผลที่ถูกต้อง ซึ่งต้องอาศัย
องค์ประกอบหลายอย่าง ตามที่ได้แสดงรายละเอียดมาแล้ว เรื่องที่สาคัญและเป็นหัวใจของการคิดวิเคราะห์
อีกเร่ืองหน่ึงก็คือ เทคนิคการตั้งคาถาม เพ่ือการวิเคราะห์เป็นการบอกให้ทราบว่า นักคิดวิเคราะห์จะต้องใช้
คาถามอย่างไร เพอ่ื เปน็ การนาความคดิ ไปส่เู ปา้ หมายทีต่ อ้ งการ ซึ่งมรี ายละเอียดต่าง ๆ ดงั น้ี
เทคนิคการตั้งคาถามเพ่ือการคิดวิเคราะห์ เป็นเร่ืองท่ีมีความสาคัญพอๆ กับความสามารถในการให้
เหตุผลอย่างถูกต้อง การต้ังคาถามท่ีดีจะช่วยส่งเสริมให้การใช้เหตุผลเป็นไปด้วยความสะดวก มีระบบและ
ชว่ ยแกป้ ัญหาได้ นกั คดิ วิเคราะหต์ ้องมีความสามารถในการตงั้ คาถามหลายๆ แบบ คาถามที่ต้องการคาตอบ
กว้างๆ ต้องการหลายๆ คาตอบ คาถามต้องการคาตอบเดียวแต่มีความลึกซ้ึง ลักษณะคาถามที่จะช่วยใหค้ ดิ
หาเหตผุ ลในระดับลึก หรือมีเหตุผลจากการใชป้ ัญญาของการคิดวิเคราะห์นั้น จะตอ้ งมคี ุณสมบตั ิ 8 ประการ
(Center for Critical Thinking, 1996 อา้ งถงึ ใน วนิช สธุ ารตั น.์ 2547) ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ความชดั เจน (Clarity) ความชัดเจนของปัญหาเป็นจุดเรมิ่ ตน้ สาคัญของการคิด เช่น ตวั อย่างของ
ปัญหาที่ตงั้ ขน้ึ มาเพื่อตรวจสอบความชดั เจน เชน่ ยังมีเรื่องอะไรอีกในส่วนน้ที ่ีเรายังไมร่ ูส้ ามารถยกตัวอย่างมา
อ้างองิ ไดห้ รือไม่ สามารถอธิบายขยายความสว่ นน้ันให้มากข้นึ ได้หรอื ไม่
33
2. ความเที่ยงตรง (Accuracy) เป็นคาถามที่บอกว่าทุกคนสามารถตรวจสอบได้ถูกต้องตรงกัน
หรอื ไม่ เชน่ จริงหรือ เปน็ ไปได้หรือ ทาไมถึงเป็นไปได้ สามารถตรวจสอบไดห้ รือไม่ตรวจสอบอย่างไร เราจะ
หาขอ้ มูลหลกั ฐานได้อยา่ งไร ถ้าตรงน้ันเป็นเรอ่ื งจริงเราจะทดสอบมนั ได้อย่างไร
3. ความกระชับ ความพอดี (Precision) เป็นความกะทัดรัด ความเหมาะสม ความสมบูรณ์ของ
ข้อมูล เช่น จาเป็นตอ้ งหาข้อมลู เพิ่มเติมในเร่อื งนอี้ ีกหรอื ไม่ ทาให้ดดู กี วา่ นี้ได้อีกหรือไม่ ทาให้กระชบั กว่านไี้ ด้
อกี หรือไม่
4. ความสัมพันธ์เกีย่ วขอ้ ง (Relevance) เป็นการตั้งคาถามเพื่อคดิ เชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ เชน่ สงิ่
น้ันเกย่ี วข้องกับปัญหาอย่างไร มันเกิดส่งิ ต่าง ๆ ขน้ึ ตรงน้ันไดอ้ ย่าง ผลทีเ่ กดิ ข้ึนตรงน้ัน มนั มที ่มี าอย่างไร ตรง
ส่วนนน้ั ช่วยใหเ้ ราเข้าใจอะไรไดบ้ ้าง
5. ความลึก (Depth) หมายถึงความหมายในระดับท่ีลึกความคิดลึกซ้ึง การต้ังคาถามที่สามารถ
เช่ือมโยงไปยังการคิดหาคาตอบที่ลึกซึ้ง ถือว่าคาถามน้ันมีคุณค่าย่ิง เช่น ตัวประกอบอะไรบ้างที่ทาให้ตรงน้ี
เป็นปัญหาสาคัญ อะไรท่ีทาให้ปัญหาเรื่องน้ีมันซับซ้อน สิ่งใดบ้างที่เป็นความลาบากหรือความยุ่งยากท่ีเรา
จะตอ้ งพบ
6. ความกว้างของการมอง (Breadth) เป็นการทดลองเปล่ียนมุมมอง โดยให้ผู้อ่ืนช่วยเช่น จาเป็น
จะต้องมองส่ิงน้ีจากด้านอื่น คนอื่น ด้วยหรือไม่ มองปัญหานี้โดยใช้วิถีทางอ่ืน ๆ บ้างหรือไม่ ควรจะให้
ความสาคัญของความคิดเหน็ จากบคุ คลอื่นหรือไม่ ยังมีขอ้ มูลอะไรในเรอ่ื งนี้อีกหรือไมท่ ี่ไม่นามากลา่ วถงึ
7. หลักตรรกวิทยา (Logic) มองในด้านของความคิดเห็นและการใช้เหตุผล เช่นทุกเร่ืองท่ีเรารู้ เรา
เข้าใจตรงกันหมดหรือไม่ ส่ิงท่ีพูดมีหลักฐานอ้างอิงหรือไม่ สิ่งที่สรุปน้ันเป็นเหตุผลที่สมบูรณ์หรือไม่ ส่ิงท่ี
กล่าวอา้ งมีขอบข่ายครอบคลุมรายละเอียดท้งั หมดหรือไม่
8. ความสาคัญ (Significance) ซึง่ หมายถงึ การตงั้ คาถามเพื่อตรวจสอบว่าสงิ่ เหล่าน้ันมีความสาคัญ
อย่างแท้จริงหรือไม่ ท้ังน้ีเนื่องจากในบางครั้งพบว่า ความสาคัญเป็นสิ่งท่ีเราต้องการจะให้เป็นมากกว่าเป็น
ความสาคัญจริง ๆ เช่น ส่วนไหนของความจริงที่สาคัญที่สุด ยังมีเร่ืองอื่น ๆ ที่มีความสาคัญอยู่อีกหรือไม่ นี่
คือปัญหาท่สี าคัญที่สุดในเรอ่ื งนใี้ ช่หรือไม่ ตรงนเี้ ปน็ จดุ สาคญั ทคี่ วรใหค้ วามสนใจหรอื เปล่า
ดังน้ันจะเห็นได้ว่า การคิดวิเคราะห์จะเกิดความสมบูรณ์ได้นั้น นอกจากจะต้องอาศัยความสามารถ
ในการให้เหตุผลอย่างถูกต้องแล้ว เรื่องของเทคนิคการตั้งคาถามเพ่ือการวิเคราะห์ก็มีความสาคัญท่ีไม่ย่ิง
หยอ่ นกวา่ กัน โดยทอ่ี งค์ประกอบท้ังสองสว่ นน้ีจะทางานประสานสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนในทุก ๆ ขั้นตอน
ของกระบวนการคิดวิเคราะห์ ส่วนประกอบทั้งสองส่วนจะต้องไปด้วยกัน คุณค่า ความสวยงาม ความลงตัว
รวมท้ังประโยชนอ์ ยา่ งสมบรู ณจ์ ึงจะเกิดขนึ้ ได้
34
7.4 กระบวนการคิดวเิ คราะห์
ธิชฟานฑ์ โส๊ะ (2554) กระบวนการคิดวิเคราะห์ เป็นการแสดงให้เห็นจุดเริ่มต้น ส่ิงที่สืบเน่ืองหรือ
เช่ือมโยงสัมพันธ์กันในระบบการคิด และจุดส้ินสุดของการคิด โดยกระบวนการคิดวิเคราะห์มีความ
สอดคล้องกับองค์ประกอบเรื่องความสามารถในการให้เหตุผลอย่างถูกต้อง รวมท้ังเทคนิคการตั้งคาถาม
จะต้องเขา้ ไปเก่ียวข้องในทกุ ๆ ขัน้ ตอน ดงั น้ี
ข้ันที่ 1 ระบุหรือทาความเข้าใจกับประเด็นปัญหา ผู้ที่จะทาการคิดวิเคราะห์จะต้องทาความเข้าใจ
ปัญหาอย่างกระจ่างแจ้ง ด้วยการตั้งคาถามหลายๆ คาถาม เพื่อให้เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ท่ีกาลังเผชิญอยู่นั้น
อย่างดที ีส่ ดุ ตัวอยา่ งคาถาม เช่น ปัญหานเี้ ป็นปญั หาที่สาคญั ท่สี ดุ ของบา้ นเมอื งใช่หรือไม่ (ความสาคัญ) ยังมี
ปัญหาอ่ืน ๆ ที่สาคัญไม่ย่ิงหย่อนกว่ากันอีกหรือไม่ (ความสาคัญ) ทราบได้อย่างไรว่าเรื่องน้ีเป็นปัญหาท่ี
สาคญั ที่สดุ (ความชัดเจน)
ขน้ั ท่ี 2 รวบรวมข้อมูลท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั ปัญหา ในข้ันนผี้ ู้ท่ีจะทาการคดิ วิเคราะห์ จะตอ้ งรวบรวมข้อมูล
จากแหล่งต่าง ๆ เช่น จากการสังเกต จากการอ่าน จากข้อมูลการประชุม จากข้อเขียน บันทึกการประชุม
บทความ จากการสมั ภาษณ์ การวิจัย และอ่ืน ๆ การเกบ็ ข้อมลู จากหลายๆ แหล่ง และดว้ ยวิธกี ารหลายๆ วธิ ี
จะทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทสี่ มบรู ณ์ ชัดเจน และมีความเทยี่ งตรงคาถามทีจ่ ะต้องต้งั ในตอนน้ี ได้แก่
เราจะหาข้อมูลให้ครบถว้ นโดยวิธใี ดได้อีกบ้างและหาอย่างไร (เทยี่ งตรง)
ขอ้ มลู นม้ี คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ปัญหาอยา่ งไร (ความสัมพันธ์เกีย่ วข้อง)
จาเปน็ ตอ้ งหาข้อมูลเพม่ิ เตมิ ในเร่อื งใดอกี บ้าง (ความกระชับพอดี)
ข้ันท่ี 3 พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล หมายถึงผู้ที่คิดวเิ คราะห์พิจารณาความถูกต้องเที่ยงตรง
ของสิ่งที่นามาอ้าง รวมทั้งการประเมินความพอเพียงของข้อมูลท่ีจะนามาใช้ คาถามที่ควรจะนามาใช้
ในตอนนีไ้ ด้แก่
ขอ้ มลู ท่ไี ด้มามคี วามเปน็ ไปได้มากน้อยเพยี งไร (ความเทยี่ งตรง)
เราจะหาหลักฐานได้อยา่ งไรถ้าขอ้ มลู ท่ไี ด้มาเปน็ เร่ืองจรงิ (ความเท่ียงตรง)
ยังมีเรื่องอะไรอีกในสว่ นนี้ท่ียังไม่รู้ (ความชดั เจน)
ยงั มีข้อมลู อะไรในเร่อื งน้อี ีกทยี่ ังไมน่ ามากลา่ วถึง (ความกว้างของการมอง)
ขน้ั ที่ 4 การจัดขอ้ มลู เขา้ เป็นระบบ เป็นขนั้ ท่ีผู้คดิ จะต้องสร้างความคดิ ความคดิ รวบยอด หรือสร้าง
หลักการขึ้นให้ได้ด้วยการเริ่มต้นจากการระบุลักษณะของข้อมูล แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น จัดลาดับ
ความสาคัญของข้อมูล พิจารณาขีดจากัดหรือขอบเขตของปัญหารวมท้ังข้อตกลงพ้ืนฐาน การสังเคราะห์
ขอ้ มลู เขา้ เปน็ ระบบและกาหนดข้อสนั นิษฐานเบื้องต้นคาถามทีค่ วรนามาใชใ้ นตอนน้ีไดแ้ ก่
ขอ้ มลู ส่วนนเี้ กยี่ วข้องกบั ปัญหาอย่างไร (ความสัมพนั ธเ์ กย่ี วข้อง)
35
จาเปน็ ต้องหาข้อมูลเพม่ิ เติมในเรอ่ื งน้ีอีกหรอื ไม่ จากใครทีใ่ ด (ความกวา้ งของการมอง)
อะไรบ้างท่ที าใหก้ ารจัดขอ้ มูลในเร่ืองน้ีเกดิ ความลาบาก (ความลึก)
จะตรวจสอบได้อยา่ งไรว่าการจดั ขอ้ มลู มีความถูกต้อง (ความเทย่ี งตรง)
สามารถจัดข้อมูลโดยวธิ ีอ่นื ไดอ้ กี หรือไม่ (ความกวา้ งของการมอง)
ข้ันท่ี 5 ต้ังสมมติฐาน เป็นขั้นที่นักคิดวิเคราะห์จะต้องนาข้อมูลท่ีจัดระบบระเบียบแล้วมาต้ังเป็น
สมมติฐานเพื่อกาหนดขอบเขตและการหาข้อสรุปของข้อคาถาม หรือปัญหาที่กาหนดไว้ซ่ึงจะต้องอาศัย
ความคิดเชื่อมโยงสัมพันธ์ในเชิงของเหตุผลอย่างถูกต้อง สมมติฐานที่ต้ังขึ้นจะต้องมีความชัดเจนและมาจาก
ขอ้ มลู ทถ่ี กู ต้องปราศจากอคติหรือความลาเอียงของผู้ทเ่ี ก่ยี วข้องคาถามทค่ี วรนามาใชใ้ นตอนนี้ไดแ้ ก่
ถ้าสมมติฐานทตี่ ้งั ข้ึนถูกต้อง เราจะมวี ธิ ีตรวจสอบไดอ้ ย่างไร (ความเทย่ี งตรง)
สามารถทาให้กระชับกว่านไี้ ด้อีกหรือไม่ (ความกระชบั ความพอดี)
รายละเอยี ดแต่ละส่วนเก่ียวขอ้ งกับปัญหาอย่างไร (ความสมั พนั ธ์เกี่ยวข้อง)
ข้ันที่ 6 การสรุป เป็นขั้นตอนของการลงความเห็น หรือการเช่ือมโยงสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับผล
อย่างแท้จริง ซึ่งผู้คิดวิเคราะห์จะต้องเลือกพิจารณาเลือกวิธีการที่เหมาะสมตามสภาพของข้อมูลท่ีปรากฏ
โดยใช้เหตุผลทั้งทางตรรกศาสตร์ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ตามสภาพที่เป็น
จริงประกอบกนั คาถามทคี่ วรนามาถามได้แก่
เราสามารถจะตรวจสอบไดห้ รอื ไม่ ตรวจสอบอย่างไร (ความเทีย่ งตรง)
ผลท่ีเกดิ ขึ้นมันมีท่ีมาอยา่ งไร (ความสัมพันธ์เกี่ยวขอ้ ง)
ขอ้ สรุปนี้ทาให้เราเขา้ ใจอะไรไดบ้ า้ ง (ความสัมพนั ธเ์ กีย่ วข้อง)
ส่ิงทส่ี รปุ น้นั เปน็ เหตผุ ลท่สี มบูรณห์ รือไม่ (หลกั ตรรกวทิ ยา)
ขน้ั ท่ี 7 การประเมนิ ข้อสรปุ เป็นข้ันสุดทา้ ยของการคดิ วิเคราะห์ เป็นการประเมินความสมเหตสุ มผล
ของการสรุป และพิจารณาผลสืบเน่ืองที่จะเกิดข้ันต่อไป เช่น การนาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง หรือ
การแกป้ ัญหาท่ีเกดิ ขน้ึ จรงิ ๆ คาถามทค่ี วรนามาถามไดแ้ ก่
สว่ นไหนของขอ้ สรุปทม่ี คี วามสาคัญที่สุด (ความสาคญั )
ยังมขี อ้ สรุปเร่ืองใดอกี ที่ควรนามากล่าวถงึ (ความกว้างของการมอง)
ถา้ นาเรือ่ งนไ้ี ปปฏบิ ตั ิจะมปี ัญหาอะไรเกิดข้นึ บา้ ง (ความกวา้ งของการมอง)
อะไรจะทาให้ปญั หามคี วามซับซ้อนยิง่ ขึ้น (ความลกึ )
ประเวศ วะสี (2561) กระบวนการคิด ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนผู้เรียนให้เกิดทักษะ แต่มีความ
จาเป็นต้องฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนแล้วค่อยพัฒนาการคิดระดับที่สูงขึ้น ต้องมีการฝึกทางปัญญาเป็น
36
พื้นฐานให้คิดวิเคราะห์ เช่น ให้สังเกตและจดบันทึก ฟังและจดบันทึก การตั้งคาถาม การตอบคาถาม และมี
ขอ้ เสนอแนะอน่ื ๆ เช่น การให้คาถามทาไม การฝกึ ทาผังมโนทศั น์ (mind mapping) เปน็ ตน้
สรุปได้ว่ากระบวนการคิดวิเคราะห์มีความสาคัญอย่างย่ิงสาหรับการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของมนุษย์
การคิดวิเคราะห์เป็นจะช่วยให้มนุษย์มองเห็นปัญหา ทาความเข้าใจปัญหา รู้จักปัญหาอย่างแท้จริง และจะ
สามารถแก้ปญั หาท้งั หลายได้ ท้ังนี้ตอ้ งใชเ้ วลาในการฝึกฝนเพื่อพฒั นาการคิดในระดับที่สูงข้นึ ด้วย
7.5 การจดั การเรียนรู้เพื่อพฒั นาทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์
แนวคดิ เก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ เพอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ ตามพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 มีผู้ศึกษาวิธีและเทคนิคการสอนพัฒนาทักษะ
การคิดวิเคราะห์ได้เน่ืองจากวิธีการคิดวิเคราะห์มีการปฏิบัติตามหลักการเป็นข้ันตอนอย่างมีระบบและมี
ความสาคญั อย่างย่งิ อีกทั้งทักษะการคดิ วิเคราะหเ์ ป็นทักษะของการนาไปปรบั แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ในการดาเนิน
ชีวิตประจาวันของมนษุ ย์ มีนกั วิชาการทศี่ ึกษาข้อมลู จากอดีตจนถึงปจั จุบันไดอ้ ธิบายไวห้ ลายประเด็นดังน้ี
Jarolimek (อา้ งถงึ ใน อาร์ม โพธิพ์ ฒั น์, 2550) ไดก้ ล่าวว่า วิธกี ารคิดวเิ คราะหส์ ามารถสอนไดเ้ พราะ
เป็นเรื่องความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่เกิดข้ึนจากกิจกรรมทางสมองตามทฤษฎีของ Bloom ว่าด้วยการ
อธิบายขั้นตอนและการเริ่มจากความรู้ความเข้าใจ การนาไปใช้ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของการสอนให้เกิดพุทธิ
พิสัยระดับต่า ส่วนที่อยู่ในระดับสูงคือ การวิเคราะห์การสังเคราะห์ และการประเมินผลในส่วนของการ
วเิ คราะหย์ ังไดแ้ ยกแยะพฤติกรรมการเรียนรูค้ ือความสามารถท่ีจะนาความคิดต่าง ๆ มารวมกนั เพ่อื นเกดิ มโน
ทัศนใ์ หม่ๆ เพ่ือให้เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ
สุมน อมรวิวัฒน์ (2541) ได้กล่าวว่า วิธีการคิดวิเคราะห์เป็นการพัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์ท่ี
สอดคล้องกับทางวิทยาศาสตร์ท่ีเน้นถึงกระบวนการการคิดเพื่อแก้ปัญหาการคิดวิพากษ์วิจารณ์ การคิด
ตีความ การคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ การคิดแบบย้อนทวนการคิดจาแนกแยกแยะ การคิดเชื่อมโยง
สัมพันธ์และการคิดจัดอันดับ Gagne (อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2544 : 16) กล่าวถึง การเรียนรู้
ที่เป็นทักษะทางปัญญาประกอบด้วย 4 ทักษะย่อยซ่ึงแต่ละระดับเป็นพ้ืนฐานของกันและกันตามลาดับซ่ึง
เปน็ พ้นื ฐานของการเรยี นรู้ท่เี ป็นการเชื่อมโยงส่ิงเร้ากับการตอบสนองและความต่อเนื่องของการเรียนรู้ต่าง ๆ
เป็นลกู โซ่ซ่ึงทักษะย่อยแตล่ ะระดบั ได้แก่
1. การจาแนกแยกแยะ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะคุณสมบัติทางกายภาพของวัตถตุ ่าง
ๆ ที่รับรูเ้ ข้ามาวา่ เหมือนหรือไมเ่ หมอื นกนั
2. การสร้างความคิดรวบยอด หมายถึง ความสามารถในการจัดกลุ่มวัตถุหรือส่ิงต่าง ๆ โดยระบุ
คุณสมบตั ริ ่วมกันของวัตถุสิ่งนั้น ๆ ซ่งึ เป็นคุณสมบตั ิที่ทาให้กลุ่มวัตถหุ รือส่ิงต่าง ๆ เหลา่ น้นั ต่างจากกลุ่มวัตถุ
หรือสิง่ อนื่ ๆ ในระดับรปู ธรรม และระดับนามธรรมทีก่ าหนดข้ึนในสังคมหรอื วัฒนธรรมต่าง ๆ
37
3. การสร้างกฎ หมายถึง ความสามารถในการนาความคิดรวบยอดต่าง ๆ มารวมเป็นกลุ่ม ต้ังเป็น
กฎเกณฑข์ ้นึ เพ่ือใหส้ ามารถสรุปอา้ งองิ และตอบสนองต่อส่ิงเร้าตา่ ง ๆ ได้อยา่ งถูกต้อง
4. การสร้างกระบวนการหรือกฎขั้นสงู หมายถึงความสามารถในการนากฎหลาย ๆข้อท่ีสัมพันธ์กนั
มาประมวลเข้าด้วยกัน ซ่ึงนาไปสคู่ วามรู้ความเข้าใจทซ่ี ับซ้อนยิ่งข้ึนประเวศ วะสี (อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี,
2548 : 301-302) ได้กลา่ ววา่ ในการเรยี นร้ตู อ้ งให้นักเรยี นไดม้ โี อกาสฝกึ คิด ฝกึ ต้งั คาถาม เพราะคาถามเป็น
เครื่องมือในการได้มาซึ่งความรู้ควรให้ผูเ้ รียนฝกึ การ ถาม-ตอบ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความกระจ่างในเร่ือง
ท่ีศึกษารวมท้งั ได้ฝึกการใช้เหตผุ ล การวิเคราะห์และการสังเคราะห์ ฝึกค้นหาคาตอบจากเร่อื งทเ่ี รยี น
วีระ สุดสังข์ (2550) ได้กล่าวไว้ว่า วิธีการคิดสามารถฝึกสมองให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ให้
พัฒนาขึ้น สามารถฝึกตามขัน้ ตอนไดด้ ังนี้
1. กาหนดส่ิงที่ต้องการวิเคราะห์ เป็นการกาหนดวัตถุ สิ่งของ เร่ืองราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ข้ึนมา
เพ่อื เปน็ ตน้ เรอ่ื งทีจ่ ะใช้วิเคราะห์
2. กาหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการกาหนดประเด็นสงสัยจากปัญหาหรือส่ิงท่ีวิเคราะห์
อาจจะกาหนดเป็นคาถามหรือกาหนดวัตถุประสงคก์ ารวเิ คราะห์ เพือ่ คน้ หาความจริงสาเหตหุ รือความสาคญั
3. กาหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์ เพื่อใช้แยกส่วนประกอบของสิ่งท่ีกาหนดให้ เช่นเกณฑ์ในการ
จาแนกสิง่ ทมี่ คี วามเหมอื นกันหรอื แตกตา่ งกนั
4. กาหนดการพิจารณาแยกแยะ เป็นการกาหนดการพินิจพิเคราะห์ แยกแยะ และกระจายสิ่งท่ี
กาหนดให้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคาถาม 5 W 1 H ประกอบด้วย What(อะไร) Where (ที่
ไหน) When (เมื่อไร) Why (ทาไม) Who (ใคร) และ How (อย่างไร)
5. สรปุ คาตอบ เปน็ การรวบรวมประเดน็ ท่สี าคัญเพ่ือหาข้อสรุปเป็นคาตอบหรือตอบปัญหาของสิ่งที่
กาหนดให้
สรุปได้ว่าการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ทาได้โดยการดาเนินการจัดการเรียนรู้ เทคนิคการสอน
ตามขั้นตอนอย่างมีระบบจะช่วยให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ประสบผลสาเร็จตามความมุ่งหมายซ่ึงใน
ขณะเดียวกันกระบวนการทางสมองมีการปฏบิ ตั ิตามลาดับขั้นตอน เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้
มกี ารเช่อื มโยงสิ่งเร้ากบั การตอบสนองของการคดิ โดยฝกึ คดิ ฝกึ ต้งั คาถาม กาหนดสิ่งทต่ี ้องการวเิ คราะห์ การ
คิดตีความ การคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์การคิดแบบย้อนทวน การคิดจาแบบแยกแยะ การคิดเชื่อมโยง
สัมพนั ธ์และการคิดจัดอนั ดบั เป็นการปฏิบัติตามหลกั การเป็นข้ันตอนคือ การกาหนดปญั หาหรือวตั ถุประสงค์
กาหนดหลกั การพจิ ารณาแยกแยะและสรปุ หาคาตอบ
38
7.6 เทคนคิ วธิ ีการสอนสร้างเสรมิ ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์
มีนักวชิ าการกล่าวถึงเทคนคิ การสอนให้นักเรยี นคดิ วิเคราะห์ ไว้ดงั น้ี
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546) กล่าวโดยสรุปว่า เทคนิคการต้ังคาถามอยู่ในขอบข่าย “5 Ws
1H” การคดิ เชิงวเิ คราะห์แท้จริงคือการตอบคาถามที่เก่ียวข้องกับความสงสยั ใครร่ ู้ของผู้ถาม เมื่อเหน็ ส่ิงหนึ่ง
ส่ิงใดแล้ว อยากรู้เกี่ยวกับสิ่งน้ันมากขึ้นในแง่มุมต่าง ๆ เพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงใหม่ๆ ความเข้าใจใหม่ๆ อันเป็น
ประโยชน์ต่อการอธิบาย การประเมินการแก้ปัญหาขอบเขตของคาถามเชิงวิเคราะห์และการตัดสินใจที่
รอบคอบมากข้ึน ขอบเขตของคาถามเชิงวิเคราะห์เก่ียวกับการจาแนกแจกแจงองค์ประกอบและการหา
ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างเรื่องท่ีวิเคราะห์ โดยใช้คาถามในขอบข่าย “ 5 Ws 1H” เพื่อนาไปสู่การ
ค้นหาความจรงิ ในเรอื่ งนนั้ ๆ ทุกแง่ทกุ มมุ โดยต้ังคาถาม ใคร (Who) ... ทาอะไร (What) ... ท่ไี หน (Where)
... เมื่อไร (When) ...อยา่ งไร (How) ... เพราะเหตใุ ด...ทาไม (Why)
อเนก พ.อนุกูลบุตร (2547) กล่าวไว้ดังนี้ การสอนให้คิดแบบวิเคราะห์ มุ่งหมายให้นักเรียนคิดออ
ย่างแยกแยะได้ และคิดได้อย่างคล่องแคล่ว หรือมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ได้ขั้นแรก ครูผู้สอนต้องรู้จัก
ความคิดแบบวิเคราะห์น้ีอย่างดีเสียก่อน ข้ันต่อ ๆ ไปจึงผสานการคิดแบบน้ีเข้าไปในกระบวนการเรียนการ
สอนไมว่ า่ จะใช้ระเบียบวธิ สี อน เทคนิคการสอนแบบใด โดยแบ่งแนวทางการคิดในรูปกจิ กรรมหรือคาถามให้
พัฒนาการคิดแบบวิเคราะห์ข้ึนในตัวนกั เรียน การสอนการคิดวเิ คราะหป์ ระกอบด้วย
1. การสอนการคิดวิเคราะห์แยกองค์ประกอบ (Analysis of elements) มุ่งให้นักเรียนคิดแบบ
แยกแยะวา่ สง่ิ สาเร็จรปู หนง่ึ มีองค์ประกอบอะไร มแี นวทางดังน้ี
1.1 วิเคราะห์ชนิด โดยมุ่งให้นักเรียนคิดและวินิจฉัยว่า บรรดาข้อความ เรื่องราวเหตุการณ์
ปรากฏการณ์ใด ๆ ท่ีพิจารณาอยู่นั้น จัดเป็นชนิดใด ประเภทใด ลักษณะใด ตามเกณฑ์หรือหลักการใหม่ที่
กาหนด เช่น เสียชีพอย่าเสียสัตย์ ให้นักเรียนคิด (ช่วยกันคิด) ว่าเป็นข้อความชนิดใด และเพราะอะไรตาม
เกณฑท์ ี่กาหนดให้ใหมเ่ หมือนในตารา จุดสาคัญของการสอนให้คิดแบบวิเคราะห์ชนิดก็คือ ตอ้ งให้เกณฑ์ใหม่
และบอกเหตผุ ลทจี่ ัดชนิดตามเกณฑใ์ หม่ที่กาหนด
1.2 วิเคราะห์สิ่งสาคญั มุง่ ใหค้ ิดแยกแยะและวินิจฉยั ว่าองคป์ ระกอบใด สาคัญหรือไม่สาคัญ เช่น ให้
ค้นหาสาระสาคัญ แกน่ สาร ผลลพั ธ์ ข้อสรปุ จุดเดน่ จดุ ด้อย
1.3 วเิ คราะห์เลศนัย ม่งุ ใหค้ ดิ คน้ หาสิ่งท่ีพรางไว้ แฝงเรน้ อยู่มิไดบ้ ่งบอกไว้ตรง ๆ แตม่ ีรอ่ งรอยส่งให้
เห็นว่ามีความจรงิ น้นั ซ่อนอยู่
2. การสอนการคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of relationships) มุ่งให้นักเรียนคิดแบบ
แยกแยะว่า มีองค์ประกอบใดสัมพันธ์กัน สัมพันธ์กันแบบใด สัมพันธ์ตามกันหรือกลับกัน สัมพันธ์กันสูงต่า
เพียงไร มแี นวทางดังนี้
39
2.1 วิเคราะห์ชนิดความสัมพันธ์ มุ่งให้คิดแบบค้นหาชนิดของความสัมพันธ์ว่าสัมพันธ์แบบตามกัน
กลับกันไม่สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ระหวา่ งองค์ประกอบกับองค์ประกอบองค์ประกอบกับเรื่องท้ังหมด เช่น
มงุ่ ให้คดิ แบบคน้ หาความสมั พันธร์ ะหว่าง
สิง่ ใดสอดคลอ้ ง กบั ไมส่ อดคล้องกบั เร่อื งน้ี
คากลา่ วใดสรุปผิด เพราะอะไร ข้อเทจ็ จริงใดไมส่ มเหตุสมผลเพราะอะไร
ขอ้ ความในยอ่ หนา้ ที่... เกย่ี วขอ้ งอยา่ งไรกับข้อความทั้งเรือ่ ง
รอ้ ยละกบั เศษส่วน ทศนิยม เหมือนและตา่ งกนั อยา่ งไรบ้าง
2.2 วิเคราะหข์ นาดของความสัมพันธ์ โดยมงุ่ ใหค้ ดิ เพอื่ คน้ หาขนาด ระดบั ของความสัมพันธ์ เช่น สงิ่
น้ีเกยี่ วข้องมากท่สี ุด (น้อยทสี่ ดุ ) กับสงิ่ ใด
2.3 วิเคราะห์ขั้นตอนของความสัมพันธ์ มุ่งให้คิดเพื่อค้นลาดับขั้นของความสัมพันธ์ในเร่ืองใดเรื่อง
หนึ่ง ท่เี ปน็ เรอ่ื งแปลกใหม่ เชน่
สง่ิ ใดเปน็ ปฐมเหตุ ตน้ กาเนดิ ของปัญหา เรอ่ื งราว เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์
สิ่งใดเป็นผลทตี่ ามมา ผลสุดท้ายของเร่ืองราว เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์
2.4 วิเคราะห์วัตถุประสงค์และวิธีการ มุ่งให้คิดและค้นว่าการกระทา พฤติกรรมพฤติการณ์ มี
เปา้ หมายอะไร เช่น ให้คิดและค้นหาว่า
การกระทาน้นั เพ่ือบรรลผุ ลอะไร ผลคอื เกิดวินยั ในตนเอง
ความไพเราะของดนตรีขึ้นอยู่กบั อะไร ขึน้ อยู่กบั จงั หวะ
ความตอนท.ี่ ..เก่ยี วขอ้ งอย่างไรกบั วัตถปุ ระสงค์ของเรื่อง ผลคือสนบั สนุน หรอื ขยายความ
2.5 วิเคราะห์สาเหตุและผลที่เกิดตามมา มุ่งให้คิดแบบแยกแยะให้เห็นความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ซ่ึง
เปน็ ยอดปรารถนาประการหนง่ึ ของการสอนใหค้ ิดเปน็ คือ คดิ หาเหตแุ ละผลไดด้ ีเช่น ใหค้ ิดและค้นหาว่า
ส่ิงใดเปน็ ผลของ... ( สาเหตุ) สิ่งใดเปน็ เหตขุ อง... (ผล)
ตอนใดเป็นสาเหตทุ สี่ อดคล้องกบั .... เปน็ ผลขดั แยง้ กับขอ้ ความ ....
เหตกุ ารณค์ ใู่ ดสมเหตสุ มผล เปน็ ตวั อย่างสนบั สนุน
2.6 วิเคราะห์แบบความสัมพันธ์ โดยให้ค้นหาแบบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ส่ิงแล้วบอกแบบ
ความสัมพันธ์นั้น หรือเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์คู่อ่ืน ๆ ที่คล้ายกัน ทานองเดียวกันในรูปอุปมาอุปไมย
เชน่ เซนตเิ มตร : เมตร อธิบายได้ว่า เซนตเิ มตรเปน็ สว่ นย่อยของเมตรเพราะฉะนั้นเซนติเมตร : เมตร คลา้ ย
กับ ลูก : แม่
3. การสอนคิดวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Organizational Principles ) มุ่งให้นักเรียนคิด
อย่างแยกแยะจนจับหลักการได้ว่า สิ่งสาเร็จรูปคุมองค์ประกอบต่าง ๆ อยู่ในระบบใด คือหลักการอะไร
40
ข้ันตอนการวิเคราะห์หลักการต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้ันต้น คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบ และวิเคราะห์
ความสัมพันธ์เสียก่อน กล่าวคือ ต้องแยกแยะส่ิงสมบูรณ์หรือระบบให้เห็นว่าองค์ประกอบสาคัญมีหน้าที่
อย่างไร และองค์ประกอบเหล่านั้นเก่ียวข้องพาดพิง อาศัยสัมพันธ์กันอย่างไร พิจารณาจนรู้ความสัมพันธ์
ตลอดจนสามารถสรุป จับหวั ใจ หรอื หลกั การไดว้ ่าการท่ที กุ สว่ นเหลา่ น้ันสามารถทางานร่วมกัน เกาะกลมุ่ กัน
คุมกันจนเป็นระบบอยู่ได้ เพราะหลักการใด ผลท่ีได้เป็นการวิเคราะห์หลักการ (principle) ซ่ึงเป็นแบบ
วเิ คราะหก์ ารสอนให้คิดแบบวิเคราะหห์ ลักการเนน้ การสอนวิเคราะหด์ ังนี้
3.1 วิเคราะห์โครงสร้าง มุ่งให้นักเรียนคิดแบบแยกแยะแล้วค้นหาโครงสร้างของสิ่งสาเร็จรูปนั้น ไม่
วา่ จะเป็นปญั หาใหม่ เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ ขอ้ ความ การทดลอง เช่น
การคน้ คว้านี้ (ทดลอง เน้อื เรอ่ื งน้ี การพสิ จู น)์ ดาเนินการแบบใด
คาตอบคอื นิยามแล้วพสิ ูจน์- ต้งั สมมติฐานแลว้ ตรวจสอบ
ขอ้ ความนี้ (คาพดู จดหมาย รายงาน) มีลกั ษณะใด โฆษณาชวนเช่อื
เร่ืองน้ีมกี ารนาเสนอเช่นไร – ขใู่ หก้ ลวั แลว้ ลอ่ ใหห้ ลง
3.2 การวิเคราะห์หลักการ มุ่งให้นักเรียนคิดแบบแยกแยะแล้วค้นหาความจริงแม่บทของสิ่งน้ัน
เรื่องราวนัน้ สิง่ สาเรจ็ รปู นนั้ โดยการคดิ หาหลกั การ เชน่ หลกั การสาคัญของเรอ่ื งนม้ี ีว่าอย่างไร- ยึดความเสมอ
ภาคระเบียบวิธีวิทยาศาสตร์เหตุการณ์ครั้งน้ีลุกลามมากขึ้น (สงบ รุนแรง) เน่ืองจากอะไรคาโฆษณา
(แถลงการณ์ การกระทา) ใช้วิธีใดจงู ใจใหค้ วามหวัง
ชาตรี สาราญ (2548) ได้กล่าวถึง เทคนิคการปูพื้นฐานให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ได้ สามารถสรุป
รายละเอียด ดงั นี้
1. ครูจะต้องฝกึ ใหเ้ ดก็ หดั คดิ ตัง้ คาถาม โดยยึดหลกั สากลของคาถาม คอื ใคร ทาอะไร ทีไ่ หน เมื่อไร
เพราะเหตุใด อย่างไร โดยการนาสถานการณ์มาให้นักเรียนฝึกค้นคว้าจากเอกสารที่ใกล้ตัว หรือสิ่งแวดล้อม
เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนตั้งคาถามเอง โดยสอนวธิ ตี งั้ คาถามแบบวิเคราะห์ในเบื้องตน้ ฝกึ ทาบอ่ ย ๆ นักเรียนจะ
ฝึกได้เอง
2. ฝึกหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล โดยอาศัยคาถามเจาะลึกเข้าไป โดยใช้คาถามท่ีช้ีบ่งถึงเหตุและ
ผลกระทบที่จะเกิด ฝึกจากการตอบคาถามง่าย ๆ ที่ใกล้ตัวนักเรียนจะช่วยให้เด็ก ๆ นาตัวเองเช่ือมโยงกับ
เหตุการณ์เหล่านั้นได้ดี ท่ีสาคัญครูจะต้องกระตุ้นด้วยคาถามย่อยให้นักเรียนได้คิดบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย เป็น
คนชา่ งคิด ช่างถาม ช่างสงสยั ก่อน แลว้ พฤตกิ รรมศึกษาวิเคราะห์กจ็ ะเกดิ ขนึ้ แก่นักเรียน
สุวิทย์ มูลคา (2548) ได้กล่าวถึงเทคนิคการวิเคราะห์ไว้ดังนี้ การคิดวิเคราะห์เป็นการใช้สมองซีก
ซ้ายเป็นหลัก เน้นคิดเชิงลึกจากเหตุไปสู่ผลเช่ือมโยงความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล เชิงเง่ือนไข การจัดลาดับ
ความสาคัญ และเชิงเปรียบเทียบ แต่เทคนิคที่ง่ายคือ 5 W 1H เป็นที่นิยมใช้คาตอบ What (อะไร) Where