The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ผลของการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (open approach) ร่วมกับสื่อ plickers ที่มีผลต่อทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย จังหวัดขอนแก่น

คณะผู้วิจัย
น.ส.กมลพรรณ สมบังใด
น.ส.กิติยวดี สร้อยนาค
นศ.ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาสังคมศึกษา

Keywords: การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (open approach),สื่อ plickers,ทักษะการคิดวิเคราะห์

41

(ท่ีไหน) When (เม่ือไร) Why (ทาไม) Who (ใคร) How(อย่างไร) ชัดเจนในแต่ละเร่ือง ทาให้เกิดความ
ครบถว้ นสมบรู ณ์ นิยมใชเ้ ทคนคิ คาถามในชว่ งตน้ หรอื ช่วงเริม่ ต้น การคิดวิเคราะห์

นอกจากนี้ ไพรินทร์ เหมบุตร (2549) ได้บอกวิธีการและขั้นตอนในการฝึกคิดวิเคราะห์
ประกอบดว้ ย 6 ขัน้ คือ

1. ศึกษาขอ้ มูลหรือสิ่งท่ีต้องการวเิ คราะห์
2. กาหนดวตั ถุประสงค์ / เปา้ หมายของการคิดวเิ คราะห์
3. แยกแยะแจกแจงรายละเอียดสิ่งของท่ตี ้องการวเิ คราะห์
4. ตรวจสอบโครงสร้างหรือความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคป์ ระกอบใหญ่และยอ่ ย
5. นาเสนอขอ้ มูลการคิดวเิ คราะห์
6. นาผลมาวิเคราะห์ไปใช้ประโยชนต์ ามเป้าหมาย
Bloom. (1961: 56 อ้างถึงใน ประทีป ยอดเกตุ, 2550) ได้จาแนกจุดมุ่งหมายของการศึกษาด้าน
การคดิ ตอนตน้ และไดเ้ รียบเรยี งลาดับพฤติกรรมที่เกดิ ข้ึนง่ายไปสู่พฤตกิ รรมทซ่ี ับซ้อนมีอยู่ 6 ระดับข้ัน ดงั น้ี
ระดับความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้ การคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่าจากการศึกษา
เทคนคิ การสอนทางการคิดวิเคราะห์
สรุปได้ว่า เทคนิคในการสอนคิดวิเคราะห์ ครูผู้สอนจะต้องเข้าใจความคิดแบบวิเคราะห์ จึงนาไป
ผสานเทคนิค คาถาม “5W 1H”โดยการเปิดโอกาสให้เดก็ ต้ังคาถามตามเทคนิคดังกล่าวบ่อย ๆ จนเป็นนิสยั
เปน็ คนชา่ งคิด ช่างถามช่างสงสัย แล้วพฤติกรรมวิเคราะหก์ ็จะเกดิ ขน้ึ กบั นักเรยี น เพือ่ นาไปสูก่ ารคน้ หาความ
จรงิ ในเร่อื ง
7.7 พฤตกิ รรมทบ่ี ่งชีก้ ารคิดวิเคราะห์
พฤตกิ รรมของคนท่ีบง่ ช้ีถึงคณุ ลกั ษณะการคิดวิเคราะห์มดี งั ต่อไปน้ี
ดิลก ดิลกานนท์ (2543) ได้กล่าวไว้ว่า การฝึกให้คนมีพฤติกรรมท่ีบ่งช้ีทักษะการคิดวิเคราะห์ควรมี
ลักษณะท่ีรู้จักคิดและตัดสินใจได้อย่างมีระบบ แนวทางการฝึกทาได้โดยให้พิจารณาจากเร่ืองราวหรือ
เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ทงั้ ที่เปน็ เร่ืองจรงิ และสมมติใหผ้ ู้เรียนได้มีโอกาสคิดวเิ คราะห์ตามลาดับข้ันตอน
1. วิเคราะห์ว่าอะไรคือปัญหา ข้ันนี้ผูเ้ รียนตอ้ งรวบรวมปัญหา หาข้อมูลพร้อมสาเหตุของปัญหาจาก
การคดิ การถาม การอา่ น หรือพจิ ารณาจากขอ้ เท็จจรงิ น้นั ๆ
2. กาหนดทางเลือก เพ่ือหาสาเหตุของปัญหานั้นได้แล้ว ผู้เรียนจะต้องหาทางเลือกท่ีจะแก้ปัญหา
โดยพิจารณาความเป็นไปได้และข้อจากัดต่าง ๆ ทางเลือกท่ีจะแก้ปัญหานั้นไม่จาเป็นต้องมีทางเลือกทาง
เดยี ว อาจมหี ลายๆ ทางเลอื ก

42

3. ทางเลือกท่ีเหมาะสมท่ีสุด เป็นทางเลือกท่ีจะแก้ปัญหาน้ัน โดยมีเกณฑ์การตัดสินใจที่สาคัญ คือ
ผลได้ ผลเสยี ท่ีจะเกิดข้นึ จากทางเลือกนนั้ ซ่ึงจะเกดิ ข้นึ ในดา้ นสว่ นตวั สงั คมและสว่ นรวม

4. ตัดสินใจ เมื่อพิจารณาทางเลือกอย่างรอบคอบในขั้นที่ 3 แล้วตัดสินใจเลือกทางเลือกท่ีดีที่สุด
หลังจากท่ีผู้เรียนได้รับการฝึกคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจ เลือกท่ีจะแก้ปัญหาในสถานการณ์ น้ัน ๆ แล้ว
ผู้เรียนได้มีโอกาสเสนอความคิดและมีการอภิปรายร่วมกันในกลุ่ม ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืนซ่ึง
บางคร้ังจะมีความขัดแย้งข้ึนผู้ท่ีจะประสานความเข้าใจในกลุ่มช่วงแรก ๆ ครูต้องแนะนา และสังเกตการณ์
อยู่ห่างๆ จะพบว่าผู้เรียนจะมีพฤติกรรมที่มีการทางานอย่างมีระบบและเป็นผู้ท่ีมีความรอบคอบ มีเหตุมีผล
แก้ปัญหา ตัดสนิ ใจกับปญั หาตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจ

8. ความพึงพอใจ
8.1 ความหมายของความพึงพอใจ
นักวชิ าการได้ให้ความหมายของความพงึ พอใจตา่ ง ๆ สรปุ ได้ดงั นี้
ดิเรก ฤกษ์สาหร่าย (2428) ได้ใหค้ วามหมายว่า ความพงึ พอใจ หมายถึง ทัศนคตทิ างบวกของบุคคล

ที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความรู้สึกหรือทัศนคติที่ดีต่องานที่ทาของบุคคล ที่มีต่องานในทางบวกความสุขของ
บุคคลอันเกิดจากการปฏิบัติงานและได้รับผลเป็นท่ีพึงพอใจ ทาให้บุคคลเกิดความกระตือรือร้น มีความสุข
ความมุ่งม่ันที่จะทางาน มีขวัญและมีกาลังใจ มีความผูกพันกับหน่วยงาน มีความภาคภูมิใจในความสาเร็จ
ของงานที่ทา และส่ิงเหล่านี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทางาน ส่งผลต่อถึง
ความกา้ วหนา้ และความสาเรจ็ ขององค์การอีกดว้ ย

ฉตั รชยั ลมิ พรจิตวิไล (2532) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ ความพงึ พอใจหมายถึงความรสู้ ึกหรือทัศนคติของ
บุคคลท่ีมตี อ่ สง่ิ หนงึ่ หรอื ปจั จัยต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้อง ความรู้สึกพอใจจะเกิดขนึ้ เม่ือความต้องการของบุคคลได้รับ
การตอบสนองหรือบรรลุจุดมุ่งหมายในระดับหนึ่ง ความรู้สึกดังกล่าวจะลดลงหรือไม่เกิดข้ึน หากความ
ต้องการหรือจดุ มงุ่ หมายน้นั ไมไ่ ด้รบั การตอบสนอง

ทวีพงษ์ หินคา (2541) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่าเป็นความชอบของบุคคลที่มีต่อสิ่ง
หนึ่งส่ิงใด ซึ่งสามารถลดความตึงเครียดและตอบสนองความต้องการของบุคคลได้ ทาให้เกิดความพึงพอใจ
ต่อสงิ่ น้นั

ธนียา ปัญญาแก้ว (2541) ใหค้ วามหมายวา่ เปน็ ส่ิงทีท่ าใหเ้ กิดความพึงพอใจที่เก่ยี วกับลักษณะของ
งาน ปจั จัยเหลา่ นน้ี าไปสูค่ วามพอใจในงานทที่ า ได้แก่ ความสาเรจ็ การยกย่อง ลกั ษณะงาน ความรบั ผดิ ชอบ
และความก้าวหน้า เม่ือปัจจัยเหล่าน้ีอยู่ต่ากว่า จะทาให้เกิดความไม่พอใจงานท่ีทา ถ้าหากงานให้

43

ความก้าวหน้า ความท้าท้าย ความรับผิดชอบ ความสาเร็จและการยกย่องแก่ผู้ปฏิบัติงานแล้ว พวกเขาจะ
พอใจและมีแรงจูงใจในการทางานเป็นอย่างมาก

วิรฬุ พรรณเทวี (2542) กลา่ วว่า ความพึงพอใจเป็นความรสู้ ึกภายในจิตใจของมนุษย์ท่ีไมเ่ หมือนกัน
ซ่ึงเป็นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะคาดหมายกับสิ่งหน่ึงส่ิงใดอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมีความต้ังใจมากและได้รบั
การตอบสนองด้วยดี จะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างย่ิง
เม่อื ไมไ่ ดร้ บั การตอบสนองตามท่ีคาดหวงั ไว้ ทั้งนีข้ ึ้นอยกู่ ับสิ่งท่ตี นต้ังใจไวว้ า่ จะมีมากหรือน้อย

Carnpbell (1976 อ้างถึงใน วาณี ทองเสวต, 2548) กลา่ วว่า ความพึงพอใจเป็นความรูส้ กึ ภายในที่
แต่ละคนเปรียบเทียบระหว่างความคิดเห็นต่อสภาพการณ์ท่ีอยากให้เปน็ หรือคาดหวงั หรือรู้สึกว่าสมควรจะ
ไดร้ บั ผลที่ไดจ้ ะเป็นความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจเปน็ การตดั สนิ ของแตล่ ะบคุ คล

Domabedian (1980 อ้างถึงใน วาณี ทองเสวต, 2548) กล่าวว่า ความพึงพอใจของผู้รับบริการ
หมายถึง ผู้บริการประสบความสาเร็จในการทาให้สมดุลระหว่างสิ่งท่ีผู้รับบริการให้ค่ากับความคาดหวังของ
ผู้รับบรกิ าร และประสบการณน์ นั้ เปน็ ไปตามความคาดหวงั

จากความหมายข้างต้น สรุปความหมายของความพึงพอใจได้วา่ เป็นความรู้สึกเฉพาะของบุคคลต่อ
ส่ิงใดส่ิงหนึ่งในทางบวก เช่น ชอบใจ มีความสุข สบายใจ หรือเกิดความรู้สึกท่ีพอใจกับสิ่งนั้นเพราะตรงกับ
ความต้องการหรอื ความคาดหวังของตนเอง

8.2 ทฤษฎเี กี่ยวกับความพึงพอใจ
Kotler and Armstrong (2002) กล่าวว่า พฤติกรรมของมนุษย์เกิดข้ึนต้องมีสิ่งจูงใจ (motive)
หรอื แรงขบั ดัน (drive) เป็นความตอ้ งการที่กดดนั จนมากพอท่จี ะจูงใจให้บุคคลเกดิ พฤติกรรมเพ่ือตอบสนอง
ความต้องการของตนเอง ซ่ึงความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการบางอย่างเป็นความ
ต้องการทางชีววิทยา(biological) เกิดขึ้นจากสภาวะตึงเครียด เช่น ความหิวกระหายหรือความลาบาก
บางอย่าง เป็นความต้องการทางจิตวิทยา ( psychological) เกิดจากความต้องการการยอมรับ
(recognition) การยกย่อง (esteem) หรือการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน (belonging) ความต้องการส่วนใหญ่
อาจไม่มากพอท่จี ะจูงใจให้บคุ คลกระทาในชว่ งเวลาน้ัน ความตอ้ งการกลายเปน็ สง่ิ จูงใจ เมื่อได้รับการกระตุ้น
อย่างเพียงพอจนเกิดความตึงเครียด โดยทฤษฎีท่ีได้รับความนิยมมากที่สุด มี 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีของอับรา
ฮัม มาสโลว์ และทฤษฎขี องซิกมันด์ ฟรอยด์
8.2.1 ทฤษฎีแรงจงู ใจของมาสโลว์ (Maslow’s theory motivation)
อับราฮัม มาสโลว์ (A.H.Maslow) ค้นหาวิธีท่ีจะอธิบายว่าทาไมคนจึงถูกผลักดันโดยความต้องการ
บางอย่าง ณ เวลาหนึ่ง ทาไมคนหนึ่งจึงทุ่มเทเวลาและพลังงานอย่างมากเพื่อให้ได้มาซึ่งความปลอดภัยของ
ตนเองแต่อีกคนหนึ่งกลับทาสิ่งเหล่านั้น เพ่ือให้ได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อ่ืน คาตอบของมาสโลว์ คือ

44

ความต้องการของมนุษย์จะถูกเรียงตามลาดับจากสิ่งท่ีกดดันมากท่ีสุดไปถึงน้อยที่สุด ทฤษฎีของมาสโลว์ได้
จดั ลาดบั ความต้องการตามความสาคญั คือ

1.) ความต้องการทางกาย (physiological needs) เป็นความต้องการพ้ืนฐาน คือ อาหาร ท่ีพัก
อากาศ ยารกั ษาโรค

2.) ความต้องการความปลอดภยั (safety needs) เป็นความต้องการที่เหนือกว่า ความตอ้ งการเพื่อ
ความอย่รู อด เปน็ ความตอ้ งการในดา้ นความปลอดภยั จากอันตราย

3.) ความต้องการทางสงั คม (social needs) เป็นการตอ้ งการการยอมรบั จากเพื่อน
4.) ความต้องการการยกย่อง (esteem needs) เป็นความต้องการการยกย่องส่วนตัว ความนับถือ
และสถานะทางสังคม
5.) ความต้องการให้ตนประสบความสาเร็จ (self – actualization needs) เป็นความต้องการ
สูงสุดของแต่ละบคุ คล ความต้องการทาทุกสิง่ ทุกอยา่ งได้สาเร็จ
บุคคลพยายามที่สร้างความพึงพอใจให้กับความต้องการท่ีสาคัญท่ีสุดเป็นอันดับแรกก่อนเม่ือความ
ตอ้ งการน้ันไดร้ บั ความพงึ พอใจ ความตอ้ งการน้นั ก็จะหมดลงและเป็นตัวกระตุน้ ให้บุคคลพยายามสรา้ งความ
พึงพอใจให้กับความต้องการท่ีสาคัญที่สุดลาดับต่อไป ตัวอย่าง เช่น คนที่อดอยาก (ความต้องการทางกาย)
จะไม่สนใจต่องานศิลปะช้ินล่าสุด (ความต้องการสูงสุด) หรือไม่ต้องการยกย่องจากผู้อ่ืน หรือไม่ต้องการ
แม้แต่อากาศที่บริสุทธ์ิ (ความปลอดภัย) แต่เม่ือความต้องการแต่ละขั้นได้รับความพึงพอใจแล้วก็จะมีความ
ตอ้ งการในข้ันลาดบั ตอ่ ไป
8.2.2 ทฤษฎแี รงจูงใจของฟรอยด์
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( S. M. Freud) ตั้งสมมุติฐานว่าบุคคลมักไม่รู้ตัวมากนักว่าพลังทางจิตวทิ ยามสี ่วน
ช่วยสร้างให้เกิดพฤติกรรม ฟรอยด์พบว่าบุคคลเพ่ิมและควบคุมสง่ิ เร้าหลายอย่าง สิ่งเร้าเหล่าน้ีอยนู่ อกเหนือ
การควบคุมอย่างส้ินเชิง บุคคลจึงมีความฝัน พูดคาที่ไม่ตั้งใจพูด มีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและมีพฤติกรรม
หลอกหลอนหรอื เกิดอาการวติ กจริตอย่างมาก
ศริ ิโสภาคย์ บูรพาเดช (2550) กลา่ วถึง ทฤษฎีแสวงหาความพึงพอใจไว้ว่า บุคคลพอใจจะกระทาส่ิง
ใดที่ให้ความสุข และจะหลีกเลี่ยงไม่กระทาส่ิงท่ีเขาจะได้รับความทุกข์หรือความลาบาก อาจแบ่งประเภท
ความพึงพอใจกรณนี ไ้ี ด้ 3 ประเภท
1. ความพอใจด้านจติ วิทยา (Psychological Hedonism) เป็นทรรศนะของความพอใจจะพยายาม
แสวงหาความสขุ ส่วนตวั หรือหลกี เลย่ี งความทกุ ขใ์ ด

45

2. ความพอใจเกี่ยวกับตนเอง (Egoistical Hedonism) เป็นทรรศนะของความพอใจว่ามนุษย์จะ
พยายามแสวงหาความสุขส่วนตัว แต่ไม่จาเป็นว่าการแสวงหาความสุขจะต้องเป็นธรรมชาตขิ องมนุษย์เสมอ
ไป

3. ความพอใจเกย่ี วกบั จริยธรรม (Ethical Hedonism) ทรรศนะนี้ถอื วา่ มนษุ ยแ์ สวงหาความสุขเพ่ือ
ประโยชน์ของมวลมนษุ ยห์ รอื สงั คมท่ีตนเองเป็นสมาชิกอยู่ และจะเป็นผู้ได้รบั ประโยชน์นีผ้ ู้หน่งึ ดว้ ย

8.3 แนวคิดเกี่ยวกบั ความพงึ พอใจ
Shelly (2553 อ้างถึงใน ประกายดาว ดำรงพนั ธ,์ 2536) ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับความพึงพอใจ ว่า
ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกสองแบบของมนุษย์ คือ ความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกทางลบ ความรู้สึก
ทางบวกเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วจะทาให้เกิดความสุข ความสุขน้ีเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากความรู้สึก
ทางบวกอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นความรู้สึกที่มีระบบย้อนกลับความสุขสามารถทาให้เกิดความรู้สึกทางบวก
เพ่ิมขึน้ ไดอ้ ีก ดังนนั้ จะเหน็ ได้ว่าความสุขเปน็ ความรู้สกึ ทีส่ ลบั ซับซอ้ นและความสุขนจี้ ะมีผลต่อบุคคลมากกว่า
ความรสู้ กึ ในทางบวกอ่นื ๆ
สุเทพ พำนิชพนั ธุ์ (2541) ได้สรุปว่า สิ่งจูงใจท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือกระตุ้นให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ มี
ด้วยกนั 4 ประการ คือ
1) ส่ิงจูงใจท่ีเป็นวัตถุ (material inducement) ได้แก่ เงิน สิ่งของ หรือสภาวะทางกายที่ให้แก่ผู้
ประกอบกจิ กรรมต่าง ๆ
2) สภาพทางกายที่พึงปรารถนา (desirable physical condition) คอื สง่ิ แวดล้อมในการประกอบ
กิจกรรมตา่ ง ๆ ซึ่งเป็นสงิ่ สาคญั อย่างหนงึ่ อนั ก่อใหเ้ กดิ ความสุขทางกาย
3) ผลประโยชน์ทางอุดมคติ (ideal benefaction) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ท่ีสนองความต้องการของ
บคุ คล
4) ผลประโยชน์ทางสังคม (association attractiveness) หมายถึง ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับผู้
ร่วมกิจกรรม อันจะทาให้เกิดความผูกพัน ความพึงพอใจและสภาพการร่วมกัน อันเป็นความพึงพอใจของ
บุคคลในด้านสังคมหรือความมั่นคงในสังคม ซึ่งจะทาให้รู้สึกมีหลักประกันและมีความมั่นคงในการประกอบ
กจิ กรรม
แน่งน้อย พงษ์สามารถ (2551) มีความเห็นว่าความพึงพอใจ คือ ท่าทีทั่ว ๆ ไปท่ีเป็นผลมาจากทา่ ที
ทมี่ ตี อ่ สิ่งต่าง ๆ 3 ประการ คอื
1) ปัจจัยเกยี่ วกบั กิจกรรม
2) ปจั จยั เกี่ยวกับบุคคล
3) ลักษณะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกล่มุ

46

สรุปได้ว่า แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ คือ พฤติกรรมท่ีเป็นความรู้สึกท่ีมีความสุขสามารถทาให้
เกิดความรสู้ ึกทางบวกเพ่ิมข้นึ ไดอ้ ีก โดยเกิดจากส่ิงกระต้นุ และปจั จยั ตา่ ง ๆ

8.4 การวัดความพงึ พอใจ
ภณิดา ชัยปัญญา (2541 อ้างถึงใน วรันธร ปรุงเรณู, 2558) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดความพึงพอใจนั้น
สามารถทาได้หลายวธิ ีดงั ต่อไปนี้
1. การใชแ้ บบสอบถาม โดยผูอ้ อกแบบสอบถาม ตอ้ งการทราบความคิดเห็นซ่ึงสามารถกระทาได้ใน
ลักษณะกาหนดคาตอบให้เลือกหรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าวอาจถามความพอใจในด้านต่าง ๆ
เพ่ือให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีท่ีต้องการข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมาก ๆ วิธีน้ีนับเป็น
วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวัดทัศนคติ ซ่ึงที่นิยมใช้ใน
ปัจจุบันวิธีหนึ่ง คือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความท่ีแสดงถึงทัศนคติของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งเร้า
อย่างใดอย่างหน่ึงที่มีคาตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 คาตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย
และน้อยที่สุด
2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผวู้ ิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพดู คุย โดยมีการเตรยี มแผนงาน
ล่วงหน้า เพือ่ ให้ไดข้ อ้ มูลท่เี ปน็ จรงิ มากที่สุด
3. การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ
แสดงออกจากการพดู จา กริยา ท่าทาง วิธนี ้ีต้องอาศัยการกระทาอยา่ งจริงจงั และสงั เกตอย่างมรี ะเบยี บแบบ
แผน วธิ ีนี้เปน็ วิธกี ารศกึ ษาทเ่ี กา่ แก่ และยงั เป็นทีน่ ิยมใชอ้ ยา่ งแพร่หลายจนถึงปัจจบุ ัน
จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจ สรุปได้ว่าการวัดความพึงพอใจเป็นการบอกถึงความชอบของ
บคุ คลท่ีมตี อ่ สิ่งหน่งึ สงิ่ ใด ซงึ่ สามารถวดั ไดห้ ลายวิธี ไดแ้ ก่ การใชแ้ บบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสังเกต
เปน็ ต้น

9. งานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้อง
9.1 งานวิจัยในประเทศ
สุภาภรณ์ แน่นอุดร (2550: บทคัดยอ) ศึกษาการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรูด้วยวิธีแบบเปด

(Open Approach) ในกลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย หน่วยการเรียนรู ชอนกลางเพ่ือสุขภาพ ชั้น
ประถมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนบานบึงเนียมบึงใครนุน ผลการวิจัยพบวา นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผ่านเกณฑที่กาหนด คือนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 79.88 และจานวนนักเรียนร้อยละ 85.00 มี
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนต้ังแตร่ อ้ ยละ 75 ขึ้นไป

47

นภาพร วรเนตรสุดาทพิ ย์ และคณะ (2552) ศึกษาเรอ่ื ง การศกึ ษาช้นั เรยี น (Lesson study) และ
วิธีการแบบเปิด (Open approach) : กรณีศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์)
ระดบั ประถม ผลการวิจยั พบวา่ นักเรียนมีอิสระในการคิดหาคาตอบด้วยตนเอง เกดิ ทักษะกระบวนการคิด มี
ความคิดท่ีหลากหลาย คิดเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์และคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหา มี
ระบบการทางานเปน็ กลุ่ม ยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผู้อ่ืน มคี วามสขุ ในการทากิจกรรม

ดนัย ถนอมจิตร (2553) ศึกษาเร่ือง การจัดการเรียนรู้โดยเน้นคาถามปลายเปิด เพ่ือส่งเสริม
ความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนวชิรวิทย์ ฝ่ายมัธยม
จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า ด้านความคิดคล่อง ครูควรสร้างความคุ้นเคยในการตอบคาถาม
ปลายเปิดให้กับนักเรียนก่อน โดยใช้คาถามชี้นา กระตุ้น และเสริมแรงทางบวกด้านความคิดยืดหยุ่น ครู
ยกตัวอย่างคาตอบท่ีหลากหลาย เปิดโอกาสให้นักเรียน ได้อภิปราย เน้นกิจกรรมกลุ่ม และการอภิปราย
ร่วมกัน ด้านความคิดริเร่ิม ครูควรช้ีให้นักเรียน สังเกตคาตอบท่ีหลากหลาย แล้วกระตุ้นให้นักเรียนคิดหรือ
อาจยกตวั อย่างคาตอบท่ีแสดงถึง ความคดิ ริเริ่ม ด้านความคิดละเอียดลออ ครคู วรยา้ ให้นักเรียนตระหนักถึง
ความสมเหตุสมผลหรืออาจยกตัวอยา่ งของคาตอบที่แสดงถึงความละเอยี ดลออและไมล่ ะเอยี ดลออ

ณิศรา สุทธิสังข และคณะ (2555) ศึกษากรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีในการวิเคราะห กระบวนการ
นามธรรม เพื่อสร้างความคิดรวบยอดของนักเรียนในช้ันเรียนท่ีใชการศึกษาชั้นเรียนและ วิธีการแบบเปิด
ผลการวิจัยพบวา นักเรียนมีความต้ังใจและความมุ่งมั่นในการแกปญหา ตระหนักถึง การใชวิธีการและ
เคร่ืองมือตา่ ง ๆ ในการแกปัญหา สงผลให้เกดิ การเรียนรูดว้ ยตนเองและมองเห็น คุณคา่ จากวธิ กี ารแกปญหา

ตติมา ทิพยจินดาชัยกุล (2557) ศึกษาผลการจัดการเรียนรูโดยใชวิธีการแบบเปิด เร่ืองทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 3 ผลการวิจัยพบวา ความสามารถในการแก
ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และความสามารถในการใชเหตุผลทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนได้รับกิจกรรมการ
เรียนรูโดยใชวิธกี ารแบบเปิด อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 และความสามารถในการแกปญั หาสูงกว่า
เกณฑร้อยละ 70 โดยมคี ะแนนเฉล่ยี รอ้ ยละ 75.37

มะลิวรรณ ทบบุญ (2557) ศึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของ นักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่เรียนด้วยวิธีการแบบเปิด (Open approach) ผลการวิจัยพบว า นักเรียนมี
ความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณกับคาถามปลายเปิด ซึ่งสามารถใหเหตผลุ ประกอบในการแสดง
ความคิดเห็นได้ดีที่สุดในการให คานิยามของปัญหา และนักเรียนมีความสามารถในการคิดอย่างมี
วิจารณญาณอยู่ในระดบั ดี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 86.50

ณรงค์ฤทธ์ิ นาคเม้า (2561) ศึกษาความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้
โปรแกรม Plickers ชว่ ยสอนเร่อื งฟิสกิ ส์อะตอม หวั ข้อ การทดลองของทอมสนั มิลลแิ กน และรทั เทอรฟ์ อร์ด

48

ของนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 นตท.มีความพึ่งพอใจเป็นส่วนมากคิด
เป็น ร้อยละ ๘๕.๗ หวั ขอ้ ท่ี นตท.มีความพึงพอใจสูงสดุ คอื นตท.มบี ทบาทในการเรียนการสอนมากยิ่งข้ึนกับ
การจัดการเรียนการสอนแบบใช้โปรแกรม Plickers ชว่ ยสอน

กานต ทิพยาไกรศรี (2561) การประยุกตใชโปรแกรมสาเร็จรูป Plickers ในการเช็คชอ่ื เพอื่ ปรบั ตัว
เขาสู่การเรียนการสอนในยุค 4.0 ผลการศึกษา พบวา นักศึกษามีความพึงพอใจตอการเช็คช่ือโดยใช
โปรแกรม Plickers อยูในระดับมากที่สุด ( ̅ = 4.12, S.D.= 0.68) ดังน้ัน การประยุกตใชโปรแกรม
สาเร็จรูป Plickers ในการเช็คชื่อมีความเหมาะสมมากที่จะนามาประยุกตใช และมีความทันสมัยเขากับต
การเรยี นการสอนในศตวรรษที่ 21 อีกทัง้ ยังสามารถนาไปใชไดก้ บั ทกุ รายวชิ า

9.2 งานวิจัยต่างประเทศ
Groot (1999, อางถึงใน ลัดดา ศิลาน้อย และคณะ, 2550) ศึกษาการใชวิธีแบบเปิด (Open
Approach) และการเขียนบันทึก โดยใชกระบวนการเชิงปฏิบัติการในการวิจัย รายวิชาคณิตศาสตร์
ผลการวิจัยพบวา การใชคาถามปลายเปิดและการเขียนบันทึกผลการเรียนรู้ท่ีมีตอความเขาใจในวิชา
คณิตศาสตร์ ในเรื่องความสามารถในการคิด ทัศนคติ สงผลใหนักเรียนมีทัศนคติทสี่ งู ขน้ึ
Conway (1999, อางถึงใน ตติมา ทิพย์จินดาชัยกุล, 2557) ศึกษาการวัดความสามารถในการแก
ปัญหาปลายเปิด จากการวัด ลักษณะด้านการคิด 3 ลักษณะ คือ ความคิดคลอง ความคิดยืดหยุน และ
ความคิดริเริ่ม จากการวิจัย พบวา การสอนในการแก้ปญหาปลายเปิดสามารถวัดทักษะในการแกปัญหาได้
จากการคดิ ทง้ั 3 ลกั ษณะ
Tougaw (1994, อางถงึ ใน พัทธยากร บุสสยา, 2559) ศึกษาผลจากการเรยี นโดยใชวธิ แี บบเปิด ทมี่ ี
ผลตอพฤติกรรมการ แกปญหา และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบวา นักเรียนท่ีได้รับการเรียน
โดยใชวิธีแบบเปดิ มเี จตคตติ อการเรยี นท่ีสูงขึ้นในการแกปัญหา
ลี และคณะ (Lee et al., 2003 อางถึงใน พัทธยากร บุสสยา, 2559) ศึกษาเร่ือง การพัฒนา
แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแทจอน จานวน 409 คน และกลุ่มอาสาสมัครจาก Hanbat National
University in Daejeon จานวน 53 คน ซ่ึงในการวิจัยครั้งนี้ใช้ปัญหาปลายเปิดจานวน 5 ข้อ ผลการวิจัย
พบว่า แบบทดสอบสาหรับความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์และการแก้ปัญหา สามารถท่ีจะนามาใช้ใน
โรงเรียนเพื่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้เพราะสามารถกระตุ้นให้นักมีการคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์
และความคิดที่แตกต่างนอกจากน้ีการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้ท่ีเปิดกว้างสามารถช่วย ให้

49

นกั เรียนพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณติ ศาสตร์ของพวกเขา วิธีการเรียนการสอนน้ีจะสง่ เสริมให้นักเรียน
ไดแ้ กป้ ญั หาท่ที ้าทายและได้พฒั นาความคดิ ของนักเรียนอีกดว้ ย

ควอน, จุง และจี (Kwan, Jung, & Jee, 2006, อางถึงใน ไมตรี อินทรประสิทธิ์, 2547 ) ศึกษา
เรื่อง ผลการใช้กระบวนการแบบ ปลายเปิดที่มีต่อการคิดย่างอิสระในวิชาคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า
ปัญหาปลายเปิดสามารถทา ให้นักเรียนได้คาตอบต่าง ๆ หรือวิธีการต่าง ๆ ที่หลากหลาย นอกจากนี้ยัง
สามารถนาไปสู่การพัฒนาความสามารถในการส่ือสารทางคณิตศาสตร์ในระหว่างการพดูคุยหา ข้อสรุปที่
แตกต่างกันของนักเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาประโยชน์จากปัญหาปลายเปิดนั่นคือทาให้
นักเรียนทุกคนไม่ว่าจะเก่งหรืออ่อนในวิชาคณิตศาสตร์สามารถที่จะลองและค้นหาคาตอบของตัวเองเพ่ือ
แก้ปญั หาตามความสามารถของตนเองอย่างอิสระและนี่คือเหตุผลท่ีปญั หาปลายเปดิ สามารถนามาใช้ได้ง่าย
สาหรับการเรียนการสอนที่นักเรยี นมคี วามแตกตา่ งกัน

จากการศึกษางานวิจัยท้ังในและต่างประเทศ การใชวิธีการสอนวิธีแบบเปิดส่งผลใหผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนสูงข้ึน นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาดีข้ึน ซึ่งการสอนวิธีแบบเปิด
เป็นการสอนทเี่ นนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ใหนักเรียนคิดเป็น แกปัญหาเป็น ให้เป็นคนชา่ งสังเกต ช่าง
สงสยั และพยายามหาขอสรุปเพือ่ เกดิ ความคดิ รวบยอดในเร่ืองทศี่ ึกษา

10. กรอบแนวคดิ วจิ ัย

50

จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง ด้วยการสอนโดยใชร้ ปู แบบการ
จัดการเรยี นรู้แบบเปดิ (Open Approach) ร่วมกับสอ่ื Plickers สาหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรียนบา้ นคอ้ ท่อนน้อย สามารถสรปุ เปน็ กรอบแนวคิดการวจิ ยั ได้ดงั น้ี

ตัวแปรต้น

การจดั การเรยี นรแู้ บบเปิด ตัวแปรตาม
(Open Approach)
ทักษะการคิดวเิ คราะห์
ข้นั ที่ 1 ข้ันนาเสนอปัญหาปลายเปิด 1. การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ
ข้ันที่ 2 ขัน้ การเรยี นรู้ด้วยตนเองของนกั เรยี น 2. การคิดวิเคราะหค์ วามสมั พันธ์
ขั้นที่ 3 ขัน้ การอภิปรายรว่ มกันทัง้ ชั้นและเปรยี บเทียบ 3. การคดิ วิเคราะหเ์ ชิงหลกั การ
ข้นั ท่ี 4 การสรปุ โดยการเชื่อมโยงแนวคดิ ของนักเรียนท่ี
เกดิ ขึ้นในชนั้ เรียน

สือ่ Plickers ความพึงพอใจของนกั เรยี นที่มี
ขน้ั ที่ 1 ใช้ส่อื Plickers ในการให้คะแนนรวมจากการ ต่อการจดั การเรยี นรู้แบบเปดิ
ตอบคาถามในสถานการณท์ ่ีครูผู้สอนไดย้ กตัวอย่างจาก (Open Approach) ร่วมกับสื่อ
สถานการณ์ในขั้นท่ี 1 เพ่อื ใชส้ ะสมคะแนนคร้งั แรก Plickers
ขน้ั ที่ 2 ใชส้ ื่อ Plickers ในการตอบคาถามหลังเรียนรู้
เรือ่ ง การออมและการลงทนุ ในชวี ิตประจาวัน เพื่อสะสม
คะแนนครัง้ ที่ 2
ขนั้ ท่ี 3 ใช้ Plickers ในการให้คะแนนสะสม จากการ
นาเสนองานหน้าชน้ั เรียน
ขน้ั ท่ี 4 ใช้ Plickers ในการเก็บคะแนนจากการสรุปและ
เช่อื มโยงแนวคดิ ท้ังหมดที่ไดเ้ รียนรู้

ภาพที่ 1 แผนภาพแสดงกรอบแนวคดิ การวจิ ยั

บทที่ 3

51

วธิ ดี าเนินการวิจยั

การวิจัยเรื่องการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาระเศรษฐศาสตร์ เร่ือง การออมและ
การลงทุน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย คณะผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัย
ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. กลุ่มเป้าหมาย
กลมุ่ เปา้ หมายท่ใี ช้ในการวิจัยคือ นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาชั้นปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นค้อท่อนน้อย ตาบล
บ้านค้อ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวนนักเรียน 14 คน โดยวิธีการ
เลอื กเป้าหมายอย่างเจาะจง

2. ตัวแปรท่ที าการวจิ ยั
ตัวแปรตน้ ไดแ้ ก่ การจดั การเรียนรแู้ บบเปิด (Open Approch) รว่ มกับสอื่ Plickers
ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียน
การสอนแบบเปดิ (Open Approch) รว่ มกบั ส่ือPlickers

3. ระเบียบวธิ ีวิจยั
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยก่อนการทดลอง (Pre-Experimental Research) ซึ่งคณะผู้วิจัยใช้
รูปแบบการทดลองหนึ่งคร้ังกับกลุ่มเป้าหมาย (One shot case study) เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ ดังน้ี
(Cambell and Stanley,1969)

สญั ลกั ษณ์ในการทดลอง

XO

ภาพที่ 2 รูปแบบการวิจัย One Shot Case Study
โดยกาหนดให้

X แทน การจดั การเรียนรู้แบบเปิด (Open Approch) ร่วมกับส่ือPlickers
O แทน ทักษะการคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรียน

4. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจัย

52

สาหรับการวิจัย เร่ือง การศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2
โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย จังหวัดขอนแก่น โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับ
ส่ือ Plickers คณะผู้วิจยั ได้กาหนดเคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั ดงั นี้

4.1 แผนการจัดการเรยี นรู้เรื่องการออมและการลงทุน ด้วยการสอนโดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบ
เปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อน
น้อย กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษาศาสนาวัฒนธรรม สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ ที่ 3 การ
ออมและการลงทุน เร่ืองการออมและการลงทุนในชีวิตประจาวัน จานวน 1 แผนการเรียนรู้ ระยะเวลา 2
ชวั่ โมง

4.2 แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกบั สอื่ Plickers สาหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นคอ้ ทอ่ นน้อย

4.3 แบบประเมินความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกบั ส่ือ Plickers สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบา้ นคอ้ ท่อนน้อย ทีม่ ีต่อการ
เรยี นเรอ่ื งการออมและการลงทนุ ในชีวติ ประจาวนั

5. การสรา้ งและหาประสิทธภิ าพของเครอ่ื งมือ
การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพของเครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั มดี งั นี้
5.1 แผนการจดั การเรียนรู้เรอ่ื งการออมและการลงทุน ด้วยการสอนโดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบ
เปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อน
น้อย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาวัฒนธรรม สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การ
ออมและการลงทุน เร่ืองการออมและการลงทุนในชีวิตประจาวัน จานวน 1 แผนการเรียนรู้ ระยะเวลา 2
ชว่ั โมง ซึ่งมีข้ันตอนการสร้างและหาคุณภาพของเคร่ืองมือ ดังน้ี
1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach)
ร่วมกบั ส่ือ Plickers
2. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชั้น
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นค้อท่อนน้อย
3. ศึกษาแนวทางการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับสอื่ Plickers
4. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด คาอธิบายรายวิชา และหน่วยการเรียนรู้ เพ่ือจัดทา
แผนการเรยี นรู้

53

5. ดาเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach)

รว่ มกบั ส่ือ Plickers จานวน 1 แผนการเรยี นรู้ ระยะเวลา 2 ชว่ั โมง

6. นาเสนอแผนการจัดการเรียนรู้กับอาจารย์ท่ีปรึกษาเพ่ือตรวจสอบความถูกต้องและให้

ขอ้ เสนอแนะเพ่อื ปรบั ปรุงแกไ้ ข

7. ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามคาแนะนาของอาจารย์ที่ปรึกษา โดยปรับเคร่ืองมือให้

สอดคลอ้ งกับแผนการจัดการเรียนรูแ้ ละปรบั ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกบั นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ

8. นาแผนการจัดการเรียนรู้ที่แก้ไขแล้ว เสนอผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน ซ่ึงเป็นอาจารย์ในกลุ่มสาระการ

เรียนร้สู ังคมศกึ ษาท่มี ีความเชย่ี วชาญในเนื้อหาวิชาและการสอนเปน็ อย่างดี เพอ่ื ประเมินความเหมาะสมและ

ความสอดคล้องของเนื้อหา จุดประสงค์ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้และการวัด

ประเมนิ ผล พร้อมทงั้ ใหข้ อ้ เสนอแนะเพือ่ ปรบั ปรุงแก้ไขต่อไป โดยใชห้ ลกั เกณฑก์ ารประเมินค่า 5 ระดับ (บญุ

ชม ศรีสะอาด, 2545) คือ เหมาะสมมากท่ีสุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย และ

เหมาะสมนอ้ ยท่สี ดุ

9. นาแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้มาหาคะแนนเฉลี่ยรายข้อ และคะแนนเฉลี่ยท้ังฉบับ แล้ว

แปลความหมายข้อมูล โดยใช้เกณฑ์ ดังนี้
เหมาะสมมากทีส่ ุด มีค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 4.51-5.00 คะแนน

เหมาะสมมาก มคี า่ เฉลยี่ เท่ากับ 3.51-4.50 คะแนน

เหมาะสมปานกลาง มคี ่าเฉล่ียเทา่ กับ 2.51-3.50 คะแนน

เหมาะสมน้อย มคี ่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.51-2.50 คะแนน

เหมาะสมน้อยท่สี ุด มีคา่ เฉลีย่ เท่ากับ 1.00-1.50 คะแนน

(บุญชม ศรสี ะอาด, 2545)

โดยแผนการจดั การเรียนรตู้ ้องมีค่าเฉลยี่ ต้ังแต่ 3.51 ขน้ึ ไป จงึ จะถือวา่ นาไปใช้ได้

10. ปรบั ปรงุ แก้ไขตามคาแนะนาของผเู้ ชีย่ วชาญ

11. นาแผนการจดั การเรยี นรู้ไปใชก้ ับกลุ่มเป้าหมาย นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาช้ันปีที่ 2 โรงเรยี นบ้าน

คอ้ ทอ่ นนอ้ ย ตาบลบา้ นคอ้ อาเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น จานวนนกั เรยี น 14 คน

การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการออมและการลงทุน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด

(Open Approach) ร่วมกบั สอ่ื Plickers สามารถสรปุ เป็นลาดับขั้นตอนการสรา้ งและหาประสิทธิภาพได้ดัง

แผนภาพ

1. ศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ที่เกีย่ วข้องกับการจดั การเรยี นรู้แบบเปดิ (Open Approach) ร่วมกบั สอื่ Plickers

2. ศกึ ษาหลกั สูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชัน้ มัธยมศึกษา
ปที ี่ 2 โรงเรยี นบา้ นค้อทอ่ นน้อย

54

3. ศึกษาแนวทางการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรูแ้ บบเปดิ
(Open Approach) รว่ มกบั ส่ือ Plickers

4. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชว้ี ดั คาอธบิ ายรายวชิ า และหนว่ ยการเรียนรู้ เพื่อจดั ทา
แผนการจัดการเรียนรู้

5. ดาเนนิ การเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
6. นาเสนอแผนการจัดการเรียนรู้กับอาจารย์ท่ปี รกึ ษาเพ่ือตรวจสอบความถูกต้องและให้

ข้อเสนอแนะเพื่อปรบั ปรุงแกไ้ ข
7. ปรบั ปรุงแก้ไขแผนการจดั การเรยี นรู้ตามคาแนะนาของอาจารย์ที่ปรึกษา

8. นาแผนการจดั การเรียนรทู้ ่ีแกไ้ ขแล้ว เสนอผู้เชีย่ วชาญ 3 ท่าน
9. นาแบบประเมนิ แผนการจัดการเรยี นรู้มาหาคะแนนเฉล่ียและ

แปลความหมายข้อมูล
10. ปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญ
11. นาแผนการจัดการเรยี นรู้ไปใชก้ บั กลมุ่ เปา้ หมาย
ภาพท่ี 3 แสดงขน้ั ตอนการสรา้ งและหาประสิทธภิ าพแผนการจัดการเรียนรเู้ ร่ืองการออมและการลงทุน

55

5.2 แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาหรบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย มขี นั้ ตอนการ
สรา้ งและหาประสทิ ธิภาพเครือ่ งมอื ดงั นี้

1. ศกึ ษาทฤษฎี หลกั การที่เกีย่ วข้องกบั ทักษะการคดิ วเิ คราะห์
2.กาหนดกรอบคาถามเพอื่ ประเมินทักษะการคิดวเิ คราะหข์ องนักเรยี นท่ใี ช้การจัดการเรียนการสอน
ดว้ ยการจัดการเรียนร้แู บบเปิด (Open Approach) ร่วมกบั สอ่ื Plickers
3. สร้างแบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ ตามกรอบที่กาหนด จานวน 3 ข้อ ได้แก่ การคิด
วิเคราะห์ความสาคัญ, การคิดวิเคราะห์ความสมั พันธ์ และการคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ โดยข้อคาถามท่ีเป็น
แบบมาตราสว่ นประมาณค่า 4 ระดับ โดยอธบิ ายไดด้ ังนี้

4 หมายถึง ดีมาก
3 หมายถึง ดี
2 หมายถงึ พอใช้
1 หมายถึง ปรบั ปรุง
4. นาแบบประเมนิ ทักษะการคิดวิเคราะห์ เสนอตอ่ อาจารย์ท่ปี รึกษาเพ่ือพิจารณาความถูกต้องและ
เสนอแนะแนวทางแก้ไข
5. นาแบบประเมินทักษะการคดิ วเิ คราะห์ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ทา่ น เพื่อตรวจสอบความ
ถูกต้องของเคร่ืองมืออีกคร้ัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบ และให้แก้ไขปรับปรุงในด้านการใช้ภาษาให้
เหมาะสมมากขึ้น
6. แก้ไขปรบั ปรุง และเสนอตอ่ ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบความถกู ตอ้ งอกี คร้งั
7. นาแบบประเมนิ ทักษะการคดิ วเิ คราะห์ไปใช้เกบ็ รวบรวมข้อมูลกับนักเรยี นกล่มุ เป้าหมาย
แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อน
น้อย ในการจดั การเรยี นรโู้ ดยการเรยี นรูแ้ บบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สามารถสรุปเป็น
ลาดบั ข้นั ตอนการสร้างและหาประสิทธภิ าพได้ ดังแผนภาพ

56

1. ศกึ ษาทฤษฎี หลักการ ท่เี ก่ียวข้องกับทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์

2. กาหนดกรอบคาถามเพื่อประเมินทักษะการคดิ วเิ คราะห์ของนักเรยี น


3. สร้างแบบประเมนิ ทักษะการคดิ วเิ ครลา้ ะห์ ตามกรอบที่กาหนด จานวน 3 ข้อ


4. สรา้ งเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring นRuาbrics) ของรายการประเมินแต่ละข้อ

าแ

5. เสนอต่ออาจารยท์ ีป่ รึกษา เพ่อื พจิ ารณปาลค้ วามถูกต้องและเสนอแนะแนวทางแก้ไข
รวั

6. แก้ไขปรบั ปรุง และเสนอต่อผ้เู ชย่ี บนวาชาญตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
ปม
ราุ

7. นาไปใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขงปอ้ มลู กับนักเรยี นกลมุ่ เปา้ หมาย
ภาพที่ 4 แสดงขั้นตอนการสร้ากแงรบแ้ั บบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์
ปAเกAริจppรียะกppนสรrrooริทเรมaaธ่ือccิภ152แhhง...าล4ก))พศกะรารกึาเแดว่่วครหษา้บมมอรนาน่อืกกบอทดคบังับมปฤมรกสสษแูผรรือ่ือ่ือู้สลฎอะดอบเะPีหPมังนlกคlลนiiินccักาา้ีkkถรคกeeลาาวrrมรsงsาทททสมเ่เีี่ปเุนากพปห็นยี่ใ็นึงนรรวคพับาขชวย้อนอีวาขงกัิตใม้กอเจปครบัตยีิดราแดนะมเบ้หวชจจบย็นน้ัุดาปกทมวมไใเสรขหรแรไกงขปัานี่ธัม็ุ่ง้ะุ้ หยรีตเมสมสม่อนิศาอากยรึกคนาะษวรโ3าเสาดศมปอดยรพีท้นาใษึงนช่ีดพ2ฐ้ก้วคอศยโาือใรากรจงสาจดเตรรั้าดยีจรนกนัด์ เามนบกรีข้ือา้าเั้นรหนรเคีาตยรอ้ียนอดทนน้ราอ่รู้นแกนู้แกบานบารบ้รอบสเมยเรปปีส้าิทดิ่ดวงี่มนแ((ีตรOOล่วอ่ ะppมกหeeใานnnาร
3. สร้างแบบประเมินความพึงพอใจตามกรอจใบท่ีกาหนด จานวน 10 ข้อ โดยข้อคาถามท่ีเป็นแบบ
มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลสิเหค้ ริ ท์ 5 ระดับ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545)

มเ
บสู
รร็
ณจ์

57

5 หมายถึง ความพงึ พอใจมากที่สดุ

4 หมายถึง ความพึงพอใจมาก

3 หมายถงึ ความพงึ พอใจปานกลาง

2 หมายถงึ ความพึงพอใจนอ้ ย

1 หมายถงึ ความพึงพอใจนอ้ ยทีส่ ดุ

จากแบบประเมินความพึงพอใจตามกรอบคาถามท่ีกาหนดขึ้น คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยรายข้อ อธิบาย

ไดด้ ังน้ี

ความพึงพอใจมากท่สี ดุ มีคา่ เฉลยี่ เท่ากับ 4.51-5.00 คะแนน

ความพึงพอใจมาก มคี ่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.51-4.50 คะแนน

ความพงึ พอใจปานกลาง มคี ่าเฉล่ยี เท่ากบั 2.51-3.50 คะแนน

ความพึงพอใจน้อย มีค่าเฉลยี่ เท่ากบั 1.51-2.50 คะแนน

ความพึงพอใจน้อยท่ีสุด มีค่าเฉลย่ี เท่ากับ 1.00-1.50 คะแนน

4. นาแบบประเมินความพงึ พอใจเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพจิ ารณาความถกู ต้องและเสนอแนะ

แนวทางแกไ้ ข แลว้ นามาปรับปรงุ แก้ไขให้เสรจ็ สมบรู ณ์

5. นาแบบประเมนิ ความพึงพอใจเสนอต่อผเู้ ชี่ยวชาญ จานวน 3 ทา่ น เพอ่ื ตรวจสอบความเที่ยงตรง

ของเครื่องมือ แล้วนามาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ IOC (Index of Item Objectives

Congruence) โดยกาหนดเกณฑ์การพิจารณา คอื

+1 หมายถงึ เหน็ วา่ สอดคล้อง

0 หมายถงึ ไมแ่ นใ่ จ

-1 หมายถงึ เห็นวา่ ไม่สอดคลอ้ ง

การวิเคราะห์ข้อมูลความเหมาะสมสอดคล้องของแบบแบบประเมินความพึงพอใจโดยใช้ดัชนีความ

สอดคล้อง (IOC) คานวณคา่ ตามสตู ร

IOC  R
N
 R = ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เชย่ี วชาญ

N = จานวนผเู้ ชยี่ วชาญ

ถ้าไดค้ ่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67 ขึน้ ไปถือวา่ อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้

6. วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องของเคร่ืองมือ IOC จากผู้เชี่ยวชาญท้ัง 3 ท่าน โดยค่าดัชนี

ความสอดคลอ้ งของเครื่องมอื IOC ของเกณฑก์ ารประเมินความพงึ พอใจมที ัง้ หมด 10 ขอ้

58

7. นาแบบประเมนิ ความพึงพอใจไปใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู กับนักเรียนกลมุ่ เป้าหมาย
การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกบั สือ่ Plickers สาหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบา้ นค้อทอ่ นน้อย ท่มี ีต่อการ
เรียนเรื่องการออมและการลงทุนในชีวิตประจาวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ สามารถสรุปเป็นลาดับขั้นตอน
การสร้างและหาประสทิ ธิภาพไดด้ งั แผนภาพ

1. ศกึ ษาทฤษฎี หลักการทเ่ี ก่ียวข้องกบั แบบประเมนิ ความพึงพอใจ

2. กาหนดกรอบคาถามทเี่ ปน็ ความคดิ เหน็ ที่มีต่อการสอนด้วยการจัดการเรียนรแู้ บบเปิด
(Open Approach) ร่วมกบั ส่ือ Plickers เปน็ รายขอ้ ตามจุดมุ่งหมาย 3 ดา้ น

3. สร้างแบบประเมินความพึงพอใจ จานวน 10 ข้อ ข้อคาถามที่เป็นแบบมาตราส่วน
ประมาณคา่ 5 ระดับ ตามวิธขี องลิเคริ ์ท

4. เสนอต่ออาจารยท์ ีป่ รึกษา แลว้ นามาปรับปรงุ แก้ไขใหเ้ สร็จสมบรู ณ์

5. เสนอตอ่ ผ้เู ชีย่ วชาญ จานวน 3 ทา่ นเพื่อตรวจสอบความเท่ยี งตรงของเคร่ืองมือ

6. วิเคราะหห์ าค่าดัชนคี วามสอดคล้องของเคร่ืองมือ IOC

7. นาไปใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กบั นักเรยี นกลุม่ เป้าหมาย
ภาพท่ี 5 แสดงขนั้ ตอนการสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพของแบบประเมนิ ความพึงพอใจ

59

6. การเก็บรวบรวมข้อมูล
คณะผู้วิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจ ด้วย
การสอนโดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้แบบเปดิ (Open Approach) รว่ มกับสือ่ Plickers ดงั นี้
1. ขออนญุ าตผบู้ ริหารโรงเรยี นบ้านคอ้ ทอ่ นน้อยในการเก็บรวบรวมข้อมลู
2. ดาเนินการจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้เร่ืองการออมและการลงทุน โดยใช้
การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนา และวัฒนธรรม สาหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 จานวน ระยะเวลา 2 ช่วั โมง
3. ขณะดาเนินการจัดการเรียนรู้ คณะผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินทักษะการคิด
วิเคราะห์ โดยการสงั เกตุการตอบคาถาม ซงึ่ ใช้แบบประเมินทกั ษะการคิดวิเคราะห์ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
4. เม่ือจัดกิจกรรมการเรียนรู้เสร็จแล้วให้นักเรียนทาแบบประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อการที่มีต่อ
การเรียนเรื่องการออมและการลงทุน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ
Plickers สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การออมและการลงทนุ เรอื่ งการออมและการลงทุน
ในชีวิตประจาวนั

7. การวเิ คราะห์ข้อมลู

การวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจของนักเรียน ด้วยการสอน

โดยใช้การเรียนร้แู บบเปดิ (Open Approach) คณะผู้วิจยั ได้ดาเนินการ ดังตอ่ ไปนี้

7.1 วเิ คราะห์ขอ้ มลู เชิงปริมาณ

1.วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยนามาหาค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย

เพ่ือใช้สรุปผลการศึกษาวิจัยด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อ

ท่อนน้อย โดยกาหนดเกณฑ์ผ่าน คือ นักเรียนร้อยละ 70 มีคะแนนอยู่ในระดับดีขึ้นไป หรือมีคะแนนอยู่

ในชว่ ง 7 - 9 คะแนน

2. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินความพึงพอใจ โดยนาข้อมูลมาหาค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย ซึ่ง

กาหนดเกณฑก์ ารแปลผลค่าเฉลี่ยดังน้ี (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545)

คา่ เฉลยี่ ความหมาย

4.51 - 5.00 มากทสี่ ุด

3.51 - 4.50 มาก

2.51 - 3.50 ปานกลาง

1.51 - 2.50 นอ้ ย

1.00 - 1.50 น้อยทส่ี ดุ

60

7.2 วเิ คราะหข์ อ้ มูลเชิงคุณภาพ
คณะผ้วู จิ ยั ไดท้ าการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ดว้ ยการวเิ คราะห์เน้ือหา (content analysis) จาก
ข้อเสนอแนะในแบบประเมินความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านค้อท่อนน้อย ท่ีมีตอ่ การ
เรยี นเร่ืองการออมและการลงทุน

8. สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู
คณะผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ การศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยการจัดการ
เรยี นรู้แบบเปดิ (Open Approach) ร่วมกับส่อื Plickers ดงั นี้
8.1 คา่ ความเท่ียงตรง (Validity Value) เป็นคา่ สถติ ใิ นการหาคุณภาพของเคร่ืองมือเก็บรวบรวม
ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ แบบประเมินความพึงพอใจ ซึ่งสถติ ิท่ีหาค่าความเที่ยงตรงคือการหาค่าความสอดคล้องระหว่าง
ข้อคาถามกับวัตถุประสงค์หรือเน้ือหา (IOC) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) โดยให้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 คน
เป็นผู้ตรวจสอบ แลว้ นาผลคะแนนทไี่ ดจ้ ากผ้เู ชี่ยวชาญมาคานวณหาคา่ IOC
8.2 ค่าสถิตพิ ืน้ ฐาน

1) ค่ารอ้ ยละ (Percentage)
2) คา่ เฉล่ยี (Mean)
3) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน

61

บทท่ี 4
ผลการวิจยั และอภิปรายผลการวจิ ยั

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ท่ีเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach)
ร่วมกับสื่อ Plickers กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เร่ือง การออมและการลงทุน
นาขอ้ มลู มาวิเคราะหต์ ามลาดับข้ันตอน ดงั นี้

1. ข้อมลู พน้ื ฐานของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านคอ้ ท่อนน้อย
2. ผลการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย
ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers เรื่อง การออมและการ
ลงทุน
3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่เรียนโดยใช้การ
จัดการเรียนรแู้ บบเปิด (Open Approach) รว่ มกับสอื่ Plickers เร่อื ง การออมและการลงทนุ
โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้

1. ข้อมลู พ้ืนฐานของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นค้อทอ่ นนอ้ ย

จากการศึกษาข้อมูลบริบทของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย จังหวัด

ขอนแก่น ไดแ้ บง่ เปน็ 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ ด้านจานวนนักเรยี น และดา้ นผลการเรยี น สรุปไดด้ ังตอ่ ไปนี้

1.1 ด้านจานวนนกั เรยี น

จากการรวบรวมข้อมลู พ้นื ฐานของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นคอ้ ท่อนน้อย ดา้ น

จานวนนักเรยี น ปรากฏดงั ตารางต่อไปนี้

ตารางที่ 1 แสดงขอ้ มลู พื้นฐานของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านคอ้ ท่อนนอ้ ย

นักเรียน จานวน (คน) ร้อยละ

ชาย 8 61.54

หญงิ 5 38.46

รวม 13 100

จากตารางท่ี 1 พบวา่ นกั เรยี นกลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คดิ เปน็ ร้อยละ 61.54

62

1.2 ด้านผลการเรยี น

จากการศึกษารวบรวมข้อมูลผลการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อน

น้อย ในการสอบกลางภาค รายวิชาสังคมศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2562 ภาคเรียนท่ี 2 ปรากฏดังตารางตอ่ ไปนี้

ตารางที่ 2 แสดงคะแนนสอบกลางภาค รายวิชาสังคมศึกษา ปีการศึกษา 2562 ภาคเรียนท่ี 2 ของนักเรียน

ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านคอ้ ทอ่ นน้อย

เลขท่ี คะแนนสอบเต็ม 20 คิดเปน็ รอ้ ยละ แปลผล

คะแนน

15 25 ไม่ผา่ น

2 16 80 ผ่าน

34 20 ไมผ่ ่าน

4 10 50 ผ่าน

5 14 70 ผ่าน

6 13 65 ผ่าน

7 17 85 ผ่าน

86 30 ไม่ผ่าน

9 14 70 ผ่าน

10 9 45 ไมผ่ ่าน

11 10 50 ผา่ น

12 4 20 ไมผ่ ่าน

13 14 70 ผ่าน

14 16 80 ผ่าน

คะแนนเฉลย่ี 10.85 คะแนน (รอ้ ยละ 54.25)

รวม นักเรยี นทผี่ า่ นเกณฑ์ 9 คน (ร้อยละ 64.29)

นกั เรียนที่ไมผ่ ่านเกณฑ์ 5 คน (รอ้ ยละ 35.71)

จากตารางท่ี 2 พบว่า มีจานวนนักเรียนทั้งหมด 14 คน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน มีนักเรียนได้

คะแนนสูงสุดคือ 17 คะแนน มีนักเรียนได้คะแนนต่าสุดคือ 4 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 10.85 คิดเป็นร้อยละ

52.12 และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนด จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 64.29 มีนักเรียนท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ท่ี

กาหนด 5 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 35.71

63

2. ผลการศึกษาการคิดวิเคราะห์ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่
เรยี นโดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบเปิด (Open Approach) รว่ มกบั สอื่ Plickers เรื่อง การออมและการ
ลงทุน

ผลการศึกษาทักษะการทางานกลุ่มของนักเรียนหลังจากได้เรียนในรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ
เปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers ซึ่งได้จากแบบประเมินผลงานในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่
คณะผู้วิจัยสร้างข้ึนโดยมีจานวน 3 ข้อ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ความสาคัญ การคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์
และการคิดวิเคราะห์เชิงหลักการ โดยมีเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ มที ้ังหมด 4 ระดับคณุ ภาพ 4 = ดีเย่ียม, 3 = ดี,
2 = พอใช้ และ 1 = ปรับปรุง โดยท่ีนักเรียนร้อยละ 70 จะต้องผ่านเกณฑ์อยู่ในระดับดีข้ึนไป ผลท่ีได้จาก
การศกึ ษาสามารถวเิ คราะหไ์ ด้ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี

ตารางท่ี 3 ผลการศึกษาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่
เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เรื่อง การออมและการ
ลงทุน
จานวนนกั เรยี น คะแนนเตม็ คะแนนสงู สุด คะแนนตา่ สดุ คะแนนเฉลีย่ S.D.

ท้ังหมด
(คน)
13 12 10 3 6.23 2.20
จากตารางท่ี 3 พบว่า มีจานวนนักเรียนท้ังหมด 13 คน จากคะแนนเต็ม 12 คะแนน มีนักเรียนได้
คะแนนสูงสุด คือ 10 คะแนน มีนักเรียนได้คะแนนต่าสุด คือ 3 คะแนน มีคะแนนเฉลี่ย 6.23 คะแนน และ
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 2.20

64

ตารางที่ 4 แสดงผลระดับคุณภาพของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่เรียนโดย

ใชก้ ารจัดการเรียนร้แู บบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เรอ่ื ง การออมและการลงทนุ

จานวน จานวนนกั เรียนในเกณฑ์ จานวนนกั เรียนท่ี จานวนนกั เรียนที่

นักเรียน ระดับคุณภาพ 4 ระดบั ผ่านเกณฑ์ ไม่ผา่ นเกณฑ์

ทงั้ หมด จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ

(คน) ดี ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ (คน) (คน)

เย่ียม

13 1 4 6 2 5 38.46 8 61.54

จากตารางท่ี 4 พบว่า มีจานวนนกั เรยี นอยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก 1 คน ระดับดี 4 คน จงึ สรปุ ไดว้ า่

จานวนนักเรยี นท่ีผ่านเกณฑ์อยู่ในระดับดแี ละดีมาก จานวน 5 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 38.46 ซง่ึ ตา่ กวา่

เกณฑ์ท่ไี ด้กาหนดไวค้ อื นักเรียนร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์อย่ใู นระดับดีขึน้ ไป

ภาพที่ 6 แผนภูมิการแจกแจงคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้าน
ค้อท่อนน้อย ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เร่ือง การ
ออมและการลงทุน

จากภาพที่ 6 พบว่า ผเู้ รียนทงั้ หมด 14 คน ขาดไป 1 คน คงเหลือผเู้ รยี น 13 คน มกี ารกระจายของ
คะแนน ซึ่งมีนักเรียนที่ได้คะแนนมากท่ีสุด คือ 10 คะแนน จานวน 1 คน และคะแนนต่าสุด คือ 3 คะแนน
จานวน 1 คน และคะแนนทีน่ กั เรียนได้ซา้ กันมากท่สี ดุ คือ 5 คะแนน เปน็ จานวน 4 คน

65

ตารางที่ 5 แสดงผลคะแนนเฉลี่ยขององค์ประกอบของการคิดวเิ คราะห์ 3 ด้าน ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษา

ปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ

Plickers เรอื่ ง การออมและการลงทุน

องคป์ ระกอบของ คะแนน คะแนน คะแนน คะแนน S.D. คิดเป็น

การคดิ วิเคราะห์ เตม็ สูงสุด ตา่ สดุ เฉลีย่ ร้อยละ

การคดิ วิเคราะห์ความสาคัญ 4 4 1 2.57 1.22 64.25

การคดิ วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ 4 3 1 1.57 0.85 39.25

การวิเคราะหเ์ ชิงหลักการ 4 4 1 1.64 1.01 41.00

จากตารางที่ 5 พบว่า คะแนนเฉลี่ยขององค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์ด้านการคิดวิเคราะห์

ความสาคัญมีคะแนนเฉล่ียสูงสุด คือ 2.57 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานที่ 1.22 คิดเป็นร้อยละ 64.25

และด้านการวิเคราะห์ความสมั พันธ์มีคะแนนเฉลี่ยต่าสุด คือ 1.57 มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานที่ 0.85 คิดเป็น

รอ้ ยละ 39.25

66

3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบ้านค้อทอ่ นน้อย ทเี่ รียนโดยใช้การ
จัดการเรียนรูแ้ บบเปิด (Open Approach) รว่ มกบั ส่อื Plickers เรือ่ ง การออมและการลงทุน

คณะผู้จดั ทาไดน้ าแบบประเมนิ ความพึงพอใจด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เรื่อง การออมและการลงทุน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรยี นบา้ นคอ้ ท่อนนอ้ ย จากการเรยี นเร่อื ง การออมและการลงทุน ซ่งึ เปน็ มาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั
โดยแบ่งเป็นดา้ นการประเมินทัง้ หมด 3 ดา้ นคอื ด้านเน้ือหา ดา้ นกจิ กรรมการเรยี นรู้ และดา้ นครูผ้สู อน ไปใช้
ในการเกบ็ ข้อมูล ซง่ึ ไดผ้ ลดังนี้

ตารางที่ 6 แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย

ตอ่ การสอนโดยใชก้ ารจัดการเรยี นร้แู บบเปดิ (Open Approach) ร่วมกบั สื่อ Plickers

กิจกรรม ระดับความพึงพอใจ คะแนน S.D. การแปลผล

5 4 3 2 1 เฉลย่ี

มาก มาก ปาน น้อย นอ้ ย

ที่สุด กลาง ท่สี ดุ

1. ดา้ นเนื้อหา 4.79 0.50 มากที่สดุ

1.1 เนื้อหามคี วามน่าสนใจและ 84.62 7.69 7.69 0 0 4.77 0.59 มากทีส่ ุด
เขา้ ใจได้งา่ ย 92.31 7.69 0 0 0 4.92 0.28 มากทส่ี ุด
76.92 15.39 7.69 0 0 4.69 0.63 มากท่สี ุด
1.2 เน้อื หามคี วามเหมาะสมกับ
ระดับชั้นทส่ี อน 4.75 0.64 มากท่ีสดุ

1.3 เน้ือหาสามารถนามา
ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวันได้

2. ด้านกิจกรรมการเรียนรู้

2.1 กจิ กรรมทาให้ผู้เรยี นเกิดการ 92.31 7.69 0 0 0 4.92 0.28 มากท่ีสุด
คดิ วิเคราะห์ 0 0 4.46 0.88 มาก

2.2 กจิ กรรมส่งเสรมิ ทกั ษะการใช้ 69.23 7.69 23.08
เทคโนโลยี

67

กจิ กรรม ระดับความพึงพอใจ คะแนน S.D. การแปลผล

2.3 กจิ กรรมมีความสนกุ สนาน 5 4 3 2 1 เฉลีย่
และน่าสนใจ
2.4 เวลาในการจัดกจิ กรรมมี มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย
ความเหมาะสม
3. ดา้ นครผู ้สู อน ท่ีสุด กลาง ท่ีสุด

92.31 0 0 7.69 0 4.77 0.83 มากทส่ี ดุ

92.31 0 7.69 0 0 4.85 0.55 มากท่ีสุด

4.85 0.38 มากทส่ี ุด

3.1 ครูผสู้ อนมบี คุ ลิกภาพทดี่ ี 100 0 0 0 0 5.00 0 มากทสี่ ดุ

3.2 ครูผู้สอนใชภ้ าษาทงี่ ่ายต่อ 84.61 15.39 0 0 0 4.85 0.38 มากทส่ี ุด
ความเขา้ ใจ 84.61 0 15.39 0 0 4.69 0.75 มากท่สี ุด

3.3 ครูผู้สอนเปดิ โอกาสให้ รวมท้ังหมด 4.79 0.51 มากทส่ี ดุ
นกั เรียนได้ซักถาม แลกเปล่ียน
ความรู้

จากตารางท่ี 6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย มีความพึงพอใจต่อการ
จัดการเรียนการสอนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่อื Plickers เรือ่ ง การออม
และการลงทุน โดยภาพรวมในระดับพึงพอใจมากท่ีสุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.79 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน
พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียมากที่สุดคือ ด้านครูผู้สอน โดยมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.85 อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก
ทส่ี ุด และเมื่อพจิ ารณาเป็นรายข้อทุกด้าน พบว่า ขอ้ ท่มี คี ่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ขอ้ 3.1 ครผู สู้ อนมีบุคลิกภาพ
ทด่ี ี มีคะแนนเฉล่ีย 5.00 อยูใ่ นระดับความพงึ พอใจมากทสี่ ุด

68

การวิเคราะหข์ ้อมลู เชงิ คุณภาพ
คณะผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ จากข้อเสนอแนะในแบบประเมินความพึงพอใจ
ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers เร่ือง การออมและ
การลงทนุ สาหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ทม่ี ตี ่อการเรียนเรื่องการออมและ
การลงทุน โดยนกั เรยี นมีข้อเสนอแนะ ดังน้ี
“ดี”
“สนุก”
“มีความสขุ ”
“อยากให้คุณครมู าอีก”
“อยากใหค้ รมู าอีกครับ”
“อยากใหค้ รูมาสอนอกี ”
“อยากให้มีแบบนอี้ ีกเยอะๆ”
“สนุกมาก ได้ความรู้ ไดเ้ ล่นเกม”
“อยากใหค้ รมู าอีกและมีความสขุ มาก”
“สนกุ สนาน เขา้ ใจง่าย ได้ความรู้มากขนึ้ ”
“อยากให้ครมู าสอนอกี และหาเกมสนกุ ใหเ้ ลน่ มากขึน้ ”
“สนุกและได้ความรู้เกยี่ วกบั การออมและการประหยัด และอยากให้คณุ ครูมาอีก”
“มคี วามสขุ สนุกสนาน ครสู อนเขา้ ใจง่าย ไดเ้ รียนรเู้ รอื่ งตา่ ง ๆ สามารถนาไปใช้ชีวติ ประจาวัน”
ดังน้ัน ข้อเสนอแนะของนักเรียนในแบบประเมินความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการ
เรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เร่ือง การออมและการลงทุน สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ที่มีต่อการเรียนเร่ืองการออมและการลงทุน โดยรวมแล้ว
สามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการสอนมีความสนุกสนาน เรื่องที่สอนมีความง่ายจึงทาให้นักเรียนสามารถเข้าใจ
ไดง้ ่าย และควรมกี ารจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนแบบน้ีอกี

69

อภปิ รายผลการวิจัย
การวิจัยครั้งน้ีเป็นการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้รูปแบบ

การจัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาระเศรษฐศาสตร์ เร่ือง การออม
และการลงทุน สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อทอ่ นนอ้ ย สามารถอภปิ รายผลได้ ดงั นี้

1. ทกั ษะการคิดวิเคราะห์
จากผลการวจิ ัยพบว่า นักเรยี นระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านคอ้ ทอ่ นนอ้ ย จานวน 13 คน
ที่ผ่านเกณฑ์มีจานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 38.46 ซึ่งต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ คือ นักเรียนร้อยละ 70 ผ่าน
เกณฑ์อยู่ในระดับดีข้ึนไป ซึ่งไม่สอดคล้องกับมะลิวรรณ ทบบุญ (2557) ที่ได้ศึกษาความสามารถในการคิด
อย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยวิธีการแบบเปิด (Open Approach)
ผลการวิจัยพบวา นักเรียนมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณกับคาถามปลายเปิด ซึ่งสามารถให
เหตผุลประกอบในการแสดงความคิดเหน็ ได้ดีที่สุดในการใหคานยิ ามของปัญหา และนักเรียนมคี วามสามารถ
ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 86.50 ท้ังนี้ผลการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์
โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ท่ีต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนด อาจเนื่องมาจากระยะเวลาในการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนมีค่อนข้างจากัด ทาให้ไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพมากพอ จากแนวคิดของ ประเวศ วะสี (2550) ที่กล่าวว่า กระบวนการคิดต้องใช้เวลาในการ
ฝึกฝนผู้เรียนให้เกิดทักษะ โดยจาเป็นต้องพัฒนาทักษะการคิดวเิ คราะหก์ ่อน แล้วจึงพัฒนาการคิดในระดบั ที่
สูงขึ้นไป รวมไปถึงผู้เรียนบางคนมีความบกพร่องด้านการเรียนรู้ (LD) คือ ด้านการอ่านและการเขียน จาก
แนวคิดของ มนัท สูงประสิทธ์ิ (2561) กล่าวว่า เด็กท่ีมีความบกพร่องด้านการเขียนมักจะพบร่วมกับความ
บกพร่องด้านการอ่าน คือ บกพร่องในการจาพยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคา ส่งผลให้จับ
ใจความเรื่องท่ีอ่านไม่ได้ เรียงลาดับตัวอักษรผิด และเขียนผิด ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ใช้แบบประเมินโดยการให้
นักเรียนทาใบงานเป็นการเขียนตอบ ส่งผลให้มีนักเรียนบางคนไม่สามารถเขียนตอบเป็นประโยคได้แต่
สามารถตอบเป็นคาได้ และทาให้ได้คะแนนน้อยจากการตรวจใบงานโดยใช้การตรวจแบบ Rubrics score
จึงทาให้นักเรียนไม่สามารถสรุปองค์ความรู้และเขียนอธิบายในการเรียน เรื่อง การออมและการลงทุน ได้ดี
เท่าที่ควร และสง่ ผลให้ทักษะการคดิ วิเคราะห์ของนักเรยี นต่ากวา่ เกณฑ์ท่กี าหนดไว้
แต่จากการสังแกตการตอบคาถามของนักเรียนในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน พบว่า
นักเรยี นสามารถตอบคาถามไดด้ ี มีเหตผุ ล มีความคิดสร้างสรรค์ ให้ความร่วมมอื ในการทากิจกรรมเป็นอย่าง
ดี อีกทั้งผลของการตอบคาถามใน Application Plickers ซึ่งไม่มีส่วนในการคิดคะแนน นักเรียนสามารถ

70

ตอบคาถามได้อย่างถูกต้อง และสามารถอธิบายเหตุผลเพ่ิมเติมได้อย่างหลากหลาย ซึ่งสอดคล้อง ปนัดดา
นามวจิ ติ ร (2557) ได้กลา่ วไว้วา วธิ ีการแบบเปิด คือ กระบวนการ แกปญั หาที่เปิดกวา้ งในการหาคาตอบและ
สามารถมีคาตอบท่ถี กู ต้องได้หลากหลาย

2. ความพึงพอใจของนกั เรยี น
จากผลการวิจัย พบว่า นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนนอ้ ย มีความพึงพอใจต่อ
การจัดการจัดการเรียนสอนแบบเปดิ (Open Approach) ร่วมกบั ส่ือ Plickers โดยรวมอยู่ในระดบั มากที่สุด
(x̅ = 4.79) ซึ่งด้านท่ีนักเรียนมีความพึงพอใจโดยเฉล่ียสูงสุด คือ ด้านครูผู้สอน (x̅ = 4.85) และรายการที่
นักเรียนมีความพึงพอใจโดยเฉลี่ยสูงสุด คือ ครูผู้สอนมีบุคลิกภาพที่ดี (x̅ = 5.00) นอกจากนี้ยังสามารถทา
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากข้อเสนอแนะของนักเรียนไดว้ า่ นักเรยี นมีความสุขในการเรียนรู้ โดยมอง
ว่ากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers มี
รูปแบบการสอนท่ีสนุกสนาน เรื่องท่ีสอนมีความง่ายจึงทาให้นักเรยี นสามารถเข้าใจได้ง่าย และควรมีการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนแบบน้ีอีก โดยการเกิดความพึงพอใจในการเรียนนั้นส่วนหน่ึงมาจากการ
ตอบสนองความต้องการของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีความต้องการตามลาดับข้ันของมาสโลว์
(Maslow, 1970) ที่กล่าวว่า มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีสิ้นสดุ โดยความต้องการในแต่ละข้ันจะ
มีความสาคญั มากน้อยเพยี งใดยอ่ มขึ้นอยู่กับความพงึ พอใจที่ได้รบั การตอบสนองความต้องการในลาดบั นนั้ ๆ
และสอดคล้องกับเฮอร์เบิร์ก (1959) ที่ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ทาให้เกิดความพึงพอใจ คือ ปัจจัยกระตุ้น และ
ปัจจัยค้าจุน ท้ังด้านความสาเร็จของการงาน การได้รับการยอมรับนับถือ ความรับผิดชอบ และ
ความก้าวหนา้ ของตาแหน่งการงาน โดยการท่นี กั เรียนได้เรียนรจู้ ากการจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ซึ่งไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ (2547) กล่าวว่าเป็นกระบวนการ
จัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มีลักษณะเป็นปัญหาแบบเปิดกระตุ้นให้นักเรียนได้คิด ร่วมกับสื่อ
Plickers ที่เป็นส่ือแปลกใหม่ในการกระตนุ้ ใหน้ ักเรียนกระตือรือรน้ และให้ความสนใจในการทากิจกรรม จึง
ทาให้นักเรียนประสบความสาเร็จในการทางาน รวมทั้งได้รับการยอมรับนับถือจากครูผู้สอน จึงส่งผลให้เกิด
ความพึงพอใจขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ณรงค์ฤทธิ์ นาคเม้า (2561) ศึกษาความพึงพอใจในการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรม Plickers ช่วยสอน เร่อื งฟสิ กิ ส์อะตอม หัวข้อ การทดลองของ
ทอมสัน มิลลิแกน และรัทเทอร์ฟอร์ด ของนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 2 ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา
2561 ผลการวิจัยพบวา นตท.มีความพึงพอใจเป็นส่วนมากคิดเป็น ร้อยละ 85.7 หัวข้อที่ นตท.มีความพึง
พอใจสูงสุดคือ นตท.มีบทบาทในการเรียนการสอนมากยิ่งข้ึนกับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้โปรแกรม
Plickers ช่วยสอน

71

และผลงานวจิ ัยของ กานต์ ทพิ ยาไกรศรี (2561) ศึกษาการประยุกตใชโปรแกรมสาเร็จรปู Plickers
ในการเช็คชื่อ เพื่อปรับตัวเขาสู่การเรียนการสอนในยุค 4.0 ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อ
การเช็คชื่อโดยใชโปรแกรม Plickers อยูในระดับมากท่ีสุด (x̅ = 4.12, S.D.= 0.68) และเห็นว่า Plickers มี
ความทันสมัย เขา้ กบั ศตวรรษที่ 21

72

บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย และขอ้ เสนอแนะ

การวิจัยเร่ืองการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การออมและ
การลงทนุ สาหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านคอ้ ทอ่ นน้อย สรุปผลการวิจยั ดังตอ่ ไปน้ี

การวิจัยเรื่องการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์และความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การออมและ
การลงทุน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะ
การคิดวิเคราะห์ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ด้วยการสอนโดยใชก้ ารจัดการ
เรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers โดยกาหนดเกณฑ์ผ่าน คือ นักเรียนร้อยละ 70 มี
คะแนนอยู่ในระดับดีขึ้นไป และเพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อ
ท่อนน้อย ด้วยการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers โดย
กาหนดเกณฑผ์ ่าน คอื นักเรยี นร้อยละ 70 มคี ะแนนอยู่ในระดบั ดขี ึน้ ไป

โดยมีกลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศกึ ษา 2562 โรงเรียนบ้านค้อทอ่ นนอ้ ย ตาบลบ้านคอ้ อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน่ จานวน 14 คน เปน็
เพศชาย 8 คน และเพศหญิง 5 คน โดยใช้การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยก่อนการ
ทดลอง (Pre-Experimental Research) ซึ่งคณะผู้วิจัยใช้รูปแบบการทดลองหน่ึงครั้งกับกลุ่มเป้าหมาย
(One shot case study) โดยมีตัวแปรในการวจิ ยั ดงั นี้ ตวั แปรตน้ ไดแ้ ก่ การจัดการเรยี นรูแ้ บบเปดิ (Open
Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์ และความพึงพอใจของนักเรียน
ท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย
คร้ังน้ี ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ และแบบประเมินความพึงพอใจ
ด้วยการสอนโดยใชก้ ารจดั การเรียนรแู้ บบเปิด (Open Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers สาหรับนักเรียนชนั้
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นบ้านค้อทอ่ นน้อย ทีม่ ตี อ่ การเรียนเร่ืองการออมและการลงทนุ ในชีวิตประจาวัน

การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยมา
วเิ คราะห์ข้อมูล ดงั น้ี การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ วเิ คราะห์ข้อมูลจากแบบประเมนิ ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์
โดยนามาหาคา่ ร้อยละ และคา่ เฉลี่ย เพ่ือใช้สรุปผลการศึกษาวจิ ัยด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ของนกั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย โดยกาหนดเกณฑ์ผ่าน คือ นักเรียนร้อยละ 70 มีคะแนนอยู่ใน

73

ระดบั ดขี น้ึ ไป วิเคราะห์ขอ้ มลู จากแบบประเมินความพงึ พอใจ โดยนาขอ้ มูลมาหาค่าร้อยละ และค่าเฉล่ยี การ
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คณะผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ จากข้อเสนอแนะในแบบ
ประเมินความพึงพอใจ ด้วยการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับ
ส่ือ Plickers สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย ท่ีมีต่อการเรียนเรื่องการออม
และการลงทนุ

สรปุ ผลการวจิ ัย
3.1 นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านค้อท่อนน้อย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง

การออมและการลงทุน หลังจากการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับสื่อ Plickers นักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์มีจานวน 5 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 38.46 ซึ่งต่ากว่า
เกณฑท์ ไ่ี ด้กาหนดไวค้ ือ นักเรยี นร้อยละ 70 ผา่ นเกณฑ์อย่ใู นระดับดขี ึน้ ไป

3.2 นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนบา้ นคอ้ ทอ่ นน้อย มีความพงึ พอใจต่อการจดั กิจกรรมการ
เรียนรูโ้ ดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนรูแ้ บบเปดิ (Open Approach) รว่ มกับส่ือ Plickers เรอื่ ง การออมและ
การลงทุนโดยรวมอยู่ในระดบั มากท่ีสุด มีคา่ เฉลย่ี เท่ากบั 4.79 เมอ่ื พจิ ารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ ดา้ นทีม่ ี
คา่ เฉล่ยี มากทส่ี ดุ คือ ด้านครูผู้สอน โดยมีค่าเฉลีย่ เท่ากบั 4.85 อยใู่ นระดับความพึงพอใจมากท่ีสุด และเม่ือ
พจิ ารณาเปน็ รายข้อทกุ ดา้ น พบวา่ ข้อทมี่ คี ่าเฉล่ียมากท่ีสุดคอื ข้อ 3.1 ครผู ู้สอนมบี ุคลิกภาพทดี่ ี มีคะแนน
เฉลย่ี 5.00 อยูใ่ นระดับความพงึ พอใจมากท่สี ดุ นอกจากนี้ยงั สามารถสรปุ ข้อมูลเชิงคุณภาพได้วา่ นักเรียนมี
ความสขุ ในการเรียนรู้ โดยมองว่ากิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers มรี ูปแบบการสอนท่ีสนุกสนาน เรอ่ื งทีส่ อนมีความง่ายจงึ ทาใหน้ ักเรียน
สามารถเขา้ ใจไดง้ ่าย และควรมีการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแบบนอี้ ีก

ขอ้ จากดั ในการวจิ ยั
1. ถึงแม้โรงเรียนจะมีเทคโนโลยีที่เพียงพอต่อการสอนของครู ได้แก่ WIFI จอทีวีท่ีสามารถเช่ือมต่อ

กับโน๊ตบคุ๊ ของครู แตเ่ น่ืองจากบรบิ ทโรงเรยี นไม่อนุญาตให้นักเรยี นนาเครื่องมอื สื่อสารมาใช้ทีโ่ รงเรยี น จึงทา
ให้ไม่สามารถนาสื่อเทคโนโลยีท่ีหลากหลายและนักเรียนสามารถมีส่วนร่วมมากกว่าน้ีมาใช้ได้ เช่น Kahoot
สื่อ AR เป็นตน้

2. คณะผ้วู ิจัยไม่ทราบข้อมลู พนื้ ฐานของนกั เรียนมากพอ จงึ อาจทาให้ใช้การประเมินไมเ่ หมาะสมกับ
นักเรียน ซ่ึงเป็นเหตุให้การประเมินไม่ผ่านวัตถุประสงค์ กล่าวคือคณะผู้วิจัยได้ใช้แบบประเมินโดยการให้

74

นักเรียนทาใบงานเป็นการเขียนตอบ ซ่ึงมีนักเรียนบางคนไม่สามารถเขียนตอบเป็นประโยคได้แต่สามารถ
ตอบเปน็ คาได้ และทาใหไ้ ดค้ ะแนนน้อยจากการตรวจใบงานโดยใชก้ ารตรวจแบบ Rubrics score
ขอ้ เสนอแนะ

1. ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื นาผลการวจิ ยั ไปใช้
1.1 จากการวิจัยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open
Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ เน่ืองจากทักษะ
การคิดวิเคราะห์เป็นทักษะท่ีต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน และผู้เรียนบางคนมีความบกพร่องด้านการอ่าน
และการเขียน ดังน้ันครูผู้สอนหรือหน่วยงานที่เก่ียวข้องสามารถนาผลการวิจัยไปใช้เพ่ือพัฒนาส่วนท่ี
บกพร่องของผเู้ รียนต่อไป
1.2 จากการวิจัยพบว่าผู้เรียนให้ความสนใจในการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) ร่วมกับส่ือ Plickers เพราะรูปแบบการสอนท่ีแปลกใหม่
สาหรับผู้เรียน ดังน้ันหากจะนาวิจัยไปใช้ควรวิเคราะห์ถึงสภาพบริบท หรือสภาพปัญหาของนักเรียน และ
ของโรงเรยี นวา่ มคี วามเหมือนหรอื แตกตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร
1.3 ควรศึกษาและทาความเข้าใจเก่ียวกับการจัดการเรียนสอนแบบเปิด (Open Approach) และ
แอพพลิเคชั่น Plickers ให้มากยิ่งข้ึน เพ่ือให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม และมี
ประสทิ ธิภาพ
2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั ต่อไป
2.1 ควรมีการศกึ ษารูปแบบการจัดการเรยี นสอนแบบเปิด (Open Approach) รว่ มกบั สอ่ื
อน่ื ๆ เช่น ส่อื แอนนิเมชั่น สอื่ AR เปน็ ต้น
2.2 ควรมีการศึกษารูปแบบการประเมนิ ผลให้เหมาะสมกับผู้เรยี นมากย่ิงขึน้ เชน่ เปลี่ยนจากการเขียน
คาตอบ เป็นการทาแบบทดสอบท่ีมตี วั เลือกใหเ้ ลือกตอบ เปน็ ต้น

75

บรรณานกุ รม

กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2542). พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแกไ้ ขเพ่มิ เติม (ฉบับท่ี
2) พ.ศ. 2544. กรงุ เทพฯ:คุรุสภา

กานต ทิพยาไกรศรี. (2561). การประยุกตใชโปรแกรมสาเร็จรูป Plickers ในการเช็คชอ่ื เพอ่ื ปรับตัวเข้า
สู่การเรียนการสอนในยุค 4.0 (วิชา นป 211 ความรูพ้นื ฐานดานนวัตกรรมทางการประมง)
สืบค้นเม่อื 14 กุมภาพันธ์ 2563, จาก
https://erp.mju.ac.th/openFile.aspx?id=MzM1NjA3&method=inline

เกรยี งศักดิ์ เจรญิ วงศ์ศักดิ์. (2543). ลายแทงนกั คดิ . กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์ซัคเซสมีเดยี .
จตุภูมิ เขตจตั รุ สั . (2562). การวจิ ัยชั้นเรียน (Classroom Research) : กระบวนการสรา้ งความรู้

เพ่ือใช้พฒั นาการเรยี นการสอน. ขอนแกน่ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.
ฉตั รชยั ลิมพรจติ วิไล. (2548). ความพงึ พอใจทม่ี ีต่อการท่องเที่ยวชายหาดบางแสน จังหวดั ชลบรุ ี ของ

นักทอ่ งเที่ยวไทย. ปรญิ ญานิพนธว์ ิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการ.
ชัยอนันต์ สมุทวณชิ . (2542). กระบวนการคดิ กับการประกันคุณภาพการศึกษา. วารสารวิชาการ ปที ่ี 10

ฉบบั ท่ี 3 กรกฎาคม - กันยายน 2550
ชาตรี สาราญ. (2548). “สอนให้ผเู้ รียนคิดวิเคราะห์อย่างไร” สานปฏริ ปู .
ชานาญ เอีย่ มสาอาง. (2539). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นและการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ

ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ท่ีเรยี นวิชาสังคมศึกษา โดยการสอนแบบสืบสวนเชงิ
นิตศิ าสตร์กับการสอนตามคูม่ อื ครู. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ : บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทาลัย
ศรีนครนิ ทรว์ ิโรฒ.
ณรงคฤ์ ทธ์ิ นาคเมา้ . (2561). การศกึ ษาความพึงพอใจในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช้
โปรแกรม Plickers ช่วยสอนเรอ่ื งฟสิ ิกส์อะตอม หัวข้อ การทดลองของทอมสัน มิลลิแกน และ
รัทเทอร์ฟอรด์ ของนกั เรยี นเตรียมทหารช้นั ปีท่ี ๒ ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๑, สืบค้นเม่ือ
14 กุมภาพนั ธ์ 2563, จาก
http://www.afaps.ac.th/~edbsci/website/news/public/PR00056.pdf
ณฐั ดนัย เนยี มทอง. (2561). ครไู ทย 4.0 ใช้ “Plickers”. สบื คน้ เม่ือ 14 กมุ ภาพันธ์ 2563, จาก
http://www.impressionconsult.com/i/ครไู ทย-4-0-ใช้-plickers/
ณิศรา สทุ ธิสังข.์ (2555). กระบวนการนามธรรมของนกั เรยี นในชน้ั เรยี นท่ีใช้การศึกษาชั้นเรยี นและ
วิธีการแบบเปดิ ด้วยวิธกี ารแยกและสรา้ งจานวนเพือ่ เตรียมเคร่ืองมือในการสร้างความคิดรวบ
ยอดเรอื่ งจานวน. วารสารวชิ าการศึกษาศาสตร์.

76

บรรณานกุ รม (ตอ่ )

ดนยั ถนอมจติ ร. (2553). การจัดการเรียนรู้ โดยเน้นการใชค้ าถามปลายเปดิ เพ่ือส่งเสรมิ ความคดิ
สรา้ งสรรค์ทางคณิตศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียนวชิรวทิ ย์ ฝา่ ยมธั ยม
จงั หวัดเชียงใหม่. วทิ ยานิพนธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ , สาขาวิชาคณติ ศาสตรศ์ กึ ษา, บัณฑติ
วิทยาลยั , มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.

ดเิ รก ฤกษส์ าหร่าย. (2528). ทฤษฎคี วามพงึ พอใจ. สบื คน้ เมื่อ 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2563, จาก
http://www.research.doae.go.th/textbook.

ดิลก ดลิ กานนท.์ (2543). การฝกึ ทกั ษะการคิดเพ่ือสง่ เสริมความคดิ สร้างสรรค์. ปรญิ ญานพิ นธ์.
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

ตตมิ า ทพิ ย์จนิ ดาชยั กลุ . (2557). ผลการจัดกิจจกรมการเรยี นรโู้ ดยใช้วธิ แี บบเปิด (Open
Approach) ที่มีผลต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการให้เหตุผลในทาง
คณิตศาสตร์ เร่ือง ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3.
ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การมธั ยมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวโิ รฒ

ทวีพงษ์ หินดา. (2541). ความพงึ พอใจของประชาชนต่อการบริหารงานสขุ าภบิ าลตาบลริมใต้ อาเภอแม่
รมิ จงั หวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการเมืองการปกครอง, บณั ฑติ
วทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่.

ทศิ นา แขมมณี. (2545). กล่มุ สัมพันธ์เพ่อื การทางานและการจัดการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : นิชิน แอด
เวอรไ์ ทซ่ิงกรปุ๊ .

ธนยี า ปัญญาแก้ว. (2541). ปัจจัยทม่ี ีอิทธพิ ลต่อความพึงพอใจในงานของขา้ ราชการครู จังหวดั
เชยี งใหม่, วทิ ยานพิ นธ์รัฐศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการเมืองและการปกครอง, บัณฑิตวิทยาลยั ,
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่

ธิชฟานฑ์ โสะ๊ . (2554). Analysis thinking. คน้ เม่อื 5 มกราคม 2563, จาก https://tishafan-
analysisthinking.blogspot.com/

นภาพร วรเนตร, สุดาทพิ ย์และคณะ. (2552). การศึกษาชั้นเรยี น (Lesson study) และวิธีการแบบเปิด
(Open approach) :กรณศี ึกษามหาวิทยาลยั ขอนแก่น (ศึกษาศาสตร)์ ระดับประถม.วารสาร
การศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่

นุชนาฎ มว่ งมุลตรแี ละคณะ. (2549). การพัฒนาแผนการเรียนรู้ด้วยวิธี LESSON STUDY กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โดยใช้นวัตกรรมแบบ

77

บรรณานกุ รม (ต่อ)

OPEN APPROACH. นวัตกรรมการเรยี นการสอน Journl of Learning and Teaching
Innovation.
บุญชม ศรสี ะอาด. (2545). การวจิ ยั เบอ้ื งต้น. พิมพค์ รั้งท่ี 7. กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาสน์ .
ปนดั ดา นามวิจติ ร. (2557). การพัฒนาความสามารถด้านการคิดวเิ คราะหข์ องนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่
3 ที่เรียนรดู้ ้วยวิธีการแบบเปิด (Open approach). วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร
มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.
ประกายดาว ดารงพนั ธ.์ (2536). ความพงึพอใจของลูกคา้ ทม่ี ีต่อการให้บริการดา้ นสินเช่ือ : กรณีศึกษา
ศูนยธ์ ุรกจิสะพานขาวธนาคารกรงุ ไทยจากดั (มหาชน). วิทยานพิ นธ์ปริญญาวทิ ยาศาสตร
มหาบณั ฑิต (เศรษฐศาสตรธ์ ุรกิจ) มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์
ประทีป ยอดเกตุ. (2550). การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรียนรวู้ ิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสรมิ ความสามารถใน
การคดิ วิเคราะหส์ าหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (หลักสตู รและการ
สอน). พิษณุโลก: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภัฏพิบูลสงคราม
ประเวศ วะสี. (2550). การฝึกฝน. วารสารวิชาการ ปีที่ 10 ฉบับท่ี 3 กรกฎาคม - กนั ยายน 2550
ปลายฟา้ . (2560). ประโยชน์ของ Plickers. คน้ เมอื่ 5 มกราคม 2563, จาก
https://plickersthai.blogspot.com/2017/10/plickers_94.html?fbclid=IwAR2GPH9ZBlhI
RLRYdHenXK1VLKx-v3Nrw_OL89ea4-BLCNy8X_-FfkOao4Y
พทั ธยากร บสุ สยา. (2559). ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้วธิ ีการแบบเปิด ท่ีมตี อ่ ความสามารถ
ในการแก้ปัญหาและความคดิ สร้างสรรค์ทางคณติ ศาสตร์ของนกัเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5.
วทิ ยานิพนธ์ตามหลักสตู รการศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวชิ าการสอนคณิตศาสตร์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา.
ไพรินทรเ์ หมบุตร. (2549). การใชส้ อื่ การสอน. (ออนไลน)์ . แหล่งที่มา : http://rs,kpp1eds,
orgpairin/work.
มะลวิ รรณ ทบบุญ. (2557). ความสามารถในการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี
6 ทเ่ี รียนด้วยวธิ กี ารแบบเปิด (Open Approach). วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตร
มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
มนทั สูงประสทิ ธ์ิ. (2561). โรคบกพร่องทางการเรยี นรู้. สืบคน้ เม่อื 14 กมุ ภาพันธ์ 2563, จาก
https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/child/09042014-
ไมตรี อินทรประสิทธิ์. (2547). การสอนโดยใช้วิธีการแบบเปดิ ในชั้นเรยี นญป่ี ุน่ . KKU Journal of
Mathematics Education.

78

บรรณานกุ รม (ตอ่ )

ยุพาพักตร์ สะเดา. (2555). พัฒนากจิ กรรมการเรยี นการสอนภาษาไทยดว้ ยกระบวนการ Lesson Study
หรรษานาพา Open Approach (รปู แบบการสอนแบบเปิด). วารสารวชิ าการ ปีท่ี 15 ฉบับท่ี 3.

ราชบัณฑติ ยสถาน. (2542). พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร: นานมบี ุคส์
ลดั ดา ศิลาน้อย. (2549). ปัญหาปลายเปิด Open Approach ในนวตั กรรมการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้

สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. วารสารศกึ ษาศาสตร์. มหาวิทยาลัยขอนแกน่ .
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2543). เทคนคิ การวัดผลการเรียนรู้. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ :

ชมรมเดก็ .
วนชิ สุธารัตน.์ (2547). ความคดิ และความคิดสรา้ งสรรค.์ กรุงเทพมหานคร : สวุ ีริยาสาส์น.
วาณี ทองเสวต. (2547). ความพงึ พอใจของผใู้ ช้บรกิ ารห้องสมดุ วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการณุ ย.์

รายงานการวิจัย ฝ่ายบรกิ ารทางการศึกษา วทิ ยาลยั พยาบาลเกอื้ การุณย์.
วจิ ารณ์ พานชิ . (2557). Open Approach วธิ ปี ระยุกตก์ ารจดั การเรียนรู้แบบ Active Learning สู่

การเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21. คน้ เมื่อ 5 มกราคม 2563, จาก
http://www.plearnpattana.ac.th/m465/index.php?option=com_content&task=vie
w&id=3729&Itemid =73&fbclid=IwAR1M49R4kJwB3mh0M-
วริ ุฬ พรรณเทว.ี (2542). ความพงึ พอใจของประชาชนต่อการให้บรกิ ารของหนว่ ยงานกระทรวง
มหาดไทยในอาเภอเมือง จงั หวดั แม่ฮ่องสอน. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขา
การบริหารการศึกษาบณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยเชยี งใหม.่
วิไลวรรณ ปิยะปกรณ.์ (2535). การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตรท์ กั ษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตรแ์ ละความสามารถในการคิดวเิ คราะห์วิจารณ์ของนกั เรียน ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี
1 ทเี่ รยี นด้วยการจดั กจิ กรรมการสอนเพอ่ื พัฒนากระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ. ปรญิ ญา
นิพนธก์ ศ.ม. (การมธั ยมศึกษา). กรุงเทพมหานคร: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.
วีระ สุดสงั ข์. (2550). การคิดวิเคราะหค์ ิดอย่างมีวจิ ารณญาณและคิดสร้างสรรค.์ กรุงเทพมหานคร:
สุวรี ยิ าสาสน.์
สภุ าภรณ์ อุย้ นอง. (2561). วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนแบบเปิด (open approach). คน้ เม่อื 5
มกราคม 2563, จาก https://supapornouinong.blogspot.com/2018/04/open-
approach.html?fbclid=IwAR1-2bCJvzGrjjYe-xHN5EBnCiI5gNlZsgR1XtmN42jkHy
สุเทพ พานิชพันธ.ุ์ (2541). สิ่งจงู ใจทใ่ี ชเ้ ป็นเครื่องมอื กระตุ้นใหบ้ คุ คลเกิดความพงึ พอใจ. กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ด
ยคู ชนั่ .

79

บรรณานกุ รม (ตอ่ )

สุมน อมรววิ ัฒน์. (2541). “ทาไมตอ้ งปฏริ ปู การเรยี นรู้” ในเอกสารประกอบการนาเสนอแนวคดิ และ
แนวทางเรอื่ ง “การปฏิรูปการเรียนรู้ตามแนวคิด 5 ทฤษฎี”. กรงุ เทพมหานคร: สานกั งาน
คณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ.

สุวิทย์ มูลคา. (2548). กลยทุ ธ์การสอนคดิ วิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ดวงกมลสมัย.
สมจติ สวธนไพบูลย.์ (2546). รายงานการวิจัยและพัฒนาชุดกิจกรรมการจัดกระบวนการเรยี นรู้ที่เน้น

ผู้เรยี นเป็นสาคัญด้วยกิจกรรมหลากหลาย. กรงุ เทพมหานคร: ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์ศึกษา.
มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.
เสง่ียม โตรัตน.์ (2546). การสอนเพ่อื สง่ เสริมทักษะการคดิ วเิ คราะห์. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ศลิ ปากร.
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาต.ิ (2545). พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542
และที่แกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545. กรงุ เทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
แหง่ ชาติ
สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร.
(2547). การบรู ณาการหลกั สูตร และการเรยี นการสอนโดยเนน้ ผูเ้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง.
กรุงเทพมหานคร: ท.ี พี.พริ้น.
___________. (2549). แนวทางการจัดการเรยี นรูเ้ พือ่ พัฒนาทักษะการคดิ วเิ คราะห.์ พิมพ์คร้ังที่ 2.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.
อเนก พ. อนุกลู บุตร. (2547). การคิดวเิ คราะห์. วงการคร.ู
อังคณา ตุงคะสมติ . (2562). การวิจัยนวตั กรรมทางสังคมศกึ ษา (Research for Innovation in
Social Studies). ขอนแกน่ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .
อารม์ โพธพิ์ ัฒน.์ (2550). การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคดิ วเิ คราะหข์ อง
นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ที่ไดร้ ับการสอนโดยใช้ชดุ กิจกรรมการเขยี นผังมโนมต.ิ
มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ
อรพรรณ พรสมี า. (2543). การคดิ . กรุงเทพฯ : สถานบันพัฒนาการคิด.
Ennis, R.H. (1985). A logical basis for measuring critical thinking skill. Educational
Leadership.
Wattson, G. and Glaser, E.M. (1964). Wattson-Glaser Critical Thinking Appraisal Manual.
New York: Harcourt, Brace and World.

80

ภาคผนวก

81

ภาคผนวก ก

ประกอบด้วย
- รายชอื่ ผเู้ ชย่ี วชาญ
- หนงั สือแตง่ ต้งั ผู้เชีย่ วชาญ
- หนังสือขออนุญาตเกบ็ รวบรวมข้อมลู

82

1. รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ประจาสาขาวิชาการวัดและประเมินผลการศึกษา
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
1) ผศ.ดร.จตภุ มู ิ เขตจตั รุ ัส อาจารยป์ ระจาวิชาสาขาสังคมศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น
2) ผศ.ดร.มณฑา ชมุ สุคนธ์ ครชู านาญการ หัวหนา้ ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนบา้ นคอ้ ทอ่ นน้อย
จังหวัดขอนแกน่
3) ว่าทรี่ ้อยตรี พชิ ยั วุฒิ ละมูลมอญ

83

2. หนังสือแตง่ ตงั้ ผเู้ ช่ียวชาญ

84

85

86

3. หนังสืออนญุ าตเกบ็ รวบรวมข้อมูล

87

ภาคผนวก ข
เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวิจัย

ประกอบดว้ ย
- แผนการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ ง การออมและการลงทุนในชีวิตประจาวัน
- แบบประเมนิ ทักษะการคดิ วิเคราะหจ์ ากใบงาน
เรอ่ื ง การออมและการลงทุนในชีวิตประจาวนั
- แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ

88

1. แผนการจดั การเรยี นรู้

แผนการจัดการเรียนรู้โดยใชน้ วตั กรรมการเรียนรแู้ บบเปิด (Open Approach) รว่ มกบั สอื่ Plickers

กลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2

รายวิชา ส22101 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เวลา 20 ช่ัวโมง

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เรือ่ ง การออมและการลงทุน เวลา 2 คาบ

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 เรือ่ ง การออมและการลงทุนในชีวิตประจาวนั เวลา 100 นาที

วันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2563 เวลา 9.00-11.00 น. ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562

โรงเรียนบ้านคอ้ ท่อนน้อย

ผูส้ อน 1. นางสาวกมลพรรณ สมบงั ใด

2. นางสาวกิตยิ วดี สรอ้ ยนาค

….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชีว้ ัด

มาตรฐาน ส 3.1 เขา้ ใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรใรการผลิตและการบรโิ ภค การใช้ทรัพยากรอยา่ ง
มปี ระสทิ ธิภาพและคุ้มคา่ รวมทงั้ เขา้ ใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพยี ง เพื่อการดารงชวี ติ อยา่ งมีดุลยภาพ
ตวั ชีว้ ัด ส 3.1 ม. 2/1 วิเคราะหป์ จั จัยท่มี ผี ลต่อการลงทุนและการออม
สาระสาคญั

การออม คือ รายไดเ้ ม่ือหักรายจา่ ยแล้วจะมสี ่วนซึง่ เหลืออยู่ ส่วนของรายได้ทีเ่ หลืออยู่ซ่ึงไมไ่ ดถ้ ูก
ใชส้ อยออกไปน้เี รียกวา่ เงินออม การลงทนุ คือ การนาเงินที่เก็บสะสมไปสรา้ งผลตอบแทนทสี่ ูงกวา่ การออม
ปจั จุบัน ให้ได้รบั ผลตอบแทนจากการใชจ้ า่ ยนน้ั ในอนาคต

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
เมือ่ นักเรยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรยี นรเู้ รือ่ ง การออมและการลงทนุ ในชวี ิตประจาวนั นกั เรียนสามารถ
1. อธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการออมและการลงทนุ ได้ (K)
2. วิเคราะห์สาเหตแุ ละแก้ไขปัญหาตา่ งๆ ดา้ นการออมและการลงทุนได้ (P)
3. ตระหนกั และเหน็ ความสาคัญของการออมและการลงทนุ (A)

สาระการเรียนรู้
การออม

89

คือ รายไดเ้ มอื่ หักรายจ่ายแลว้ จะมสี ่วนซึ่งเหลืออยู่ ส่วนของรายได้ทเ่ี หลืออยู่ซ่ึงไม่ได้ถูกใช้สอยออกไปนี้
เรียกว่าเงินออม โดยท่ัวไปการออมจะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อบุคคลน้ันมีรายได้มากกว่าการจ่ายของตนเอง
นอกจากน้ันการลดรายจ่ายลงด้วยการรู้จักใช้จ่ายเท่าท่ีจาเป็นและเหมาะสมก็จะทาให้มีการออมเกิดข้ึนได้
เชน่ กัน
ความสาคัญของการออมเงนิ

1. ช่วยใหค้ รวั เรอื นมีความมัน่ คง
2. ช่วยใหค้ รัวเรอื นมีรายไดม้ ากขนึ้ โดยการนาเงินไปฝากธนาคารหรือ สถาบนั การเงนิ การซื้อพนั ธบัตร
รัฐบาล หรอื การซอ้ื หนุ้ ในธรุ กิจตา่ งๆ จะทาให้ไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากดอกเบย้ี เงนิ ปันผลหรือกาไร
3. ช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชพี ให้สูงขน้ึ โดยอาจนาเงินออมไปซ้ือบ้าน รถยนต์ อปุ กรณ์ตา่ งๆ
เปน็ ต้น ซึ่งจะช่วยอานวยความสะดวกสบายในชีวติ ประจาวัน เงินออมของประชาชนส่วนหนง่ึ รัฐบาลจะ
นาไปใชพ้ ัฒนาประเทศในดา้ นต่างๆ
4. ช่วยในการพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ
5. ช่วยลดปญั หาการพ่งึ พาต่างประเทศ การพยายามสง่ เสริมการออมของคนไทย จะช่วยลดปญั หาการ
พึง่ พาเงินลงทนุ จากตา่ งประเทศได้อกี ทางหนึง่
ปญั หาการออมในสังคมไทย
1. ประชากรไทยส่วนใหญ่มีรายไดต้ ่า
2. ประชากรขาดความร้เู ร่ืองการออม และการลงทุน
3. สถาบนั การเงินส่วนใหญ่กระจกุ ตัวอยู่ในเมือง
4. ภาวะเศรษฐกิจตกต่า
5. ประเทศไทยประสบปัญหาช่องว่างของการออม คือ ปริมาณเงนิ ออมยังมีน้อย เมอื่ เทยี บกบั ปริมาณ
เงิน ทีต่ ้องการลงทุนในแตล่ ะปี การวา่ งงาน เปน็ สาเหตหุ น่ึงที่ทาให้คนไทยมเี งินออมนอ้ ย
หลกั ในการออม ผบู้ รโิ ภคจะตอ้ งปฏิบตั ติ ามหลักการออมทรัพย์ดังน้ี
1. ตอ้ งร้จู กั เพม่ิ พนู รายได้ ผู้บรโิ ภคตอ้ งมีความกระตือรือรน้ ขยันขันแข็ง มานะอดทนในการประกอบ
สมั มาชีพ รู้จักคิดหาทางเพ่ิมพูนรายได้ตลอดเวลา เพราะผู้มรี ายไดม้ าก และรูจ้ กั ประหยัดการใช้จา่ ย ยอ่ มมี
โอกาสเกบ็ ออมได้มากกวา่ ผูม้ ีรายไดน้ อ้ ย หรืออาจจะกลา่ วไดว้ ่า ครอบครัวหารายได้มากเท่าไรก็มีโอกาส
ประหยดั เงินได้มากเท่าน้นั
2. ตอ้ งปลูกผงั นสิ ัยการเก็บออม ผูบ้ รโิ ภคควรต้องพยายามฝึกฝนตัวเองให้มีความสามารถท่ีควบคมุ การ
ใช้จ่ายของตน ฝึกเก็บออมเงนิ อยา่ งสม่าเสมอจนเคยชนิ เปน็ นสิ ยั
ปัจจัยในการออม

90

1. ผลตอบแทนที่ผอู้ อมไดร้ ับจากการออม
2. มลู คา่ ของอานาจซือ้ ของเงินในปัจจบุ นั
3. รายไดส้ ว่ นสทุ ธิบคุ คล
การลงทุน หมายถึง การนาเงนิ ที่เกบ็ ออมไปสร้างผลตอบแทน ให้งอกเงยมากกว่าเงนิ ออม
ความสาคัญของการลงทุน
1. ทาให้ผลู้ งทนุ ได้รบั ผลตอบแทน ในรูปแบบของดอกเบยี้ และเงินปนั ผลสงู กวา่ เงินออม
2. ช่วยให้ธุรกจิ ตา่ งๆ ขยายกิจการและดาเนินการผลติ ได้มากขึ้น ทาใหเ้ กดิ การจ้างงานมากข้ึน
เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีการขยายตวั
3. ชว่ ยใหร้ ัฐบาลมเี งินทนุ ไปใช้ในการพฒั นาประเทศ โดยการนาเงินงบประมาณที่ได้จาก การจัดเก็บ
ภาษี ไปใชใ้ นการพฒั นาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทางเศรษฐกิจ
หลักทค่ี วรคานงึ ถึงในการลงทุน
1. ความปลอดภัยของเงินลงทนุ คานึงโอกาสทีจ่ ะได้รบั เงินต้นคืนพร้อมทง้ั ผลตอบแทนที่คาดคะเนไว้
2. ความเหมาะสม คานึงถึงความรูค้ วามสามารถของผู้ลงทุนสภาพแวดลอ้ มและความเป็นไปได้ในทาง
เศรษฐกจิ
3. การเปลีย่ นแปลงมลู ค่า การคาดคะเนถงึ มลู ค่าของสนิ ทรัพย์ที่จะเพิ่มขน้ึ หรือลดลง จากเงนิ ที่ลงทนุ ไป
4. เสถยี รภาพของรายได้ ลงทนุ ในหลกั ทรัพยท์ ีใ่ หร้ ายไดส้ มา่ เสมอในระยะยาวมีความม่ันคง
5. ความคลอ่ งตวั ในการซ้ือขาย หลกั ทรัพย์ท่ีซอื้ มาสามารถนาไปซ้ือขายในตลาดไดง้ า่ ยและรวดเรว็ มาก
น้อยเพยี งใด
ปัจจยั ที่มผี ลต่อการลงทุนของบคุ คล
1. อายขุ องผลู้ งทนุ ผลู้ งทนุ ท่ีมอี ายุน้อยหรืออายุระหว่าง 25 – 40 ปี มักจะมีความกล้าเสี่ยงในการ
ลงทนุ ท่ใี หผ้ ลตอบแทนสงู ในขณะท่ผี ู้ลงทุนซ่งึ มีอายรุ ะหวา่ ง 40 – 50 ปี อาจสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ท่ใี ห้
รายได้ประจาหรือรายไดท้ ีส่ ม่าเสมอ
2. ภาระและหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ
3. สุขภาพของผูล้ งทนุ ผ้ลู งทุนทม่ี สี ุขภาพไม่สมบรู ณ์ย่อมต้องการรายไดท้ เ่ี กดิ ข้นึ ในปัจจุบันมากกว่าหวงั
ผลประโยชนท์ ีจ่ ะเกิดขน้ึ ในอนาคต
4. นิสยั สว่ นตวั ของผ้ลู งทุน
5. ความจาเป็นของผลู้ งทนุ แต่ละราย
เอกสารอ้างอิง
ชยั วฒั น์ องั คตรรี ัตน์. (2560). การออมและการลงทุน. สบื ค้นเม่ือวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2563 จาก,


Click to View FlipBook Version