The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เหมาะสำหรับครูผู้สอน อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาวิชาชีพครูสำหรับการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางด้านการทดสอบ การวัด และการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน

หนังสือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เหมาะสำหรับครูผู้สอน อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาวิชาชีพครูสำหรับการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางด้านการทดสอบ การวัด และการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

Keywords: เครื่องมือประเมินการเรียนรู้,การทดสอบ การวัด และการประเมินผลการเรียนรู้

คานา

หนงั สือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผูเ้ รียนเล่มน้ี เป็ นผลผลิตจาก “โครงการวิจยั
สร้างความเข้มแข็งด้านการประเมินผู้เรี ยนในศตวรรษที่ 21 สาหรับครู ประจาการในภูมิภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ” มีเป้าหมายเพื่อบริการความรู้เชิงวิชาการสู่ชุมชนและสร้างชุมชนการเรียนรู้ทาง
วชิ าชีพ (Professional Learning Community) ดา้ นการวดั และประเมินผลการศึกษา

หนงั สือเล่มน้ีไดร้ วบรวมองค์ความรู้และตวั อยา่ งดา้ นการประเมินการเรียนรู้ของผูเ้ รียน เน้ือหา
สาระประกอบดว้ ย แนวคิดสาคญั ของการประเมินผลการเรียนรู้ วิธีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้
ข้นั ตอนการออกแบบและพฒั นาเครื่องมือการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั และ
มาตรฐานการประเมิน ผูอ้ ่านสามารถทาความเขา้ ใจไดจ้ ากตวั อยา่ ง เพ่ือนาแนวคิด หลกั การไปประยุกตใ์ น
การทางานได้

หวงั เป็ นอย่างย่ิงวา่ หนงั สือเล่มน้ีจะเป็ นประโยชน์ต่อผศู้ ึกษาคน้ ควา้ และนาไปใชป้ ระโยชน์ได้
อยา่ งมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรัส
กมุ ภาพนั ธ์ 2560

อีเมลต์ ิดต่อ: [email protected]



สารบัญเนื้อหา

บทท่ี หน้า
1 แนวคดิ สาคัญของการประเมินผ้เู รียน………………..………………………………. 1
1.1 แนวคิดการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)…………………..….. 1
1.2 แนวคิดการประเมินการเรียนรู้ (Learning Assessment)…….....................……….. 4
1.3 แนวคิดการประเมินท่ีสมดุล (Balanced Assessment)…………………………….. 7
สรุป…………………………………………………………………………………… 10
ประเดน็ อภิปราย……………………………………………………………………… 10
2 วธิ ีการและเคร่ืองมือประเมนิ ผลการเรียนรู้…………………………………………… 11
2.1 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้…………………………… 11
2.2 ประเภทวธิ ีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้………………………………. 14
2.2.1 การสงั เกต (Observation)………………………………………………. 14
2.2.2 การสมั ภาษณ์ (Interview)……………………………………………….… 16
2.2.3 การใชค้ าถาม (Questioning)…………………………………………… 19
2.2.4 การสอบถาม (Questionnaire)………………………………………...... 21
2.2.5 การตรวจผลงาน……………………………………………………….. 22
2.2.6 การรายงานตนเอง (Self-Report)……………………………………… 23
2.2.7 การเขียนสะทอ้ นการเรียนรู้ (Journals)………………………………… 23
2.2.8 การประเมินดว้ ยขอ้ สอบ (Testing)……………………………………. 24
2.2.9 การประเมินโดยเพอ่ื น (Peer assessment)……………………………… 47
2.2.10 การประเมินภาคปฏิบตั ิ (Performance Assessment)…………………. 48
2.2.11 การประเมินจากแฟ้มสะสมผลงาน…………………………………… 54
2.2.12 การประเมินโดยใชก้ ิจกรรมโครงงาน………………………………… 57
สรุป…………………………………………………………………………………… 62
ประเด็นอภิปราย……………………………………………………………………… 62
3 ข้ันตอนการออกแบบและพัฒนาเครื่องมือการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้………… 63
ข้นั ท่ี 1 กาหนดจุดมุ่งหมายของการใชเ้ คร่ืองมือวดั และประเมินผล…………………... 64
ข้นั ท่ี 2 กาหนดขอบเขตและออกแบบแผนการวดั และประเมิน………………………. 64
ข้นั ที่ 3 กาหนดรายละเอียดเครื่องมือ ..................................……………….…………. 68
ข้นั ท่ี 4 สร้างเครื่องมือ………………………………………………………………… 75
แบบทดสอบ………………………………………………….……………… 75
แบบวดั …………………………………………………….………………… 79
แบบประเมิน………………………………………………………………… 81
ข้นั ที่ 5 การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้……………. 85

บทที่ หน้า
5.1 การตรวจสอบคุณภาพรายขอ้ ………………………………………………… 85
แบบทดสอบ………………………………………………….……………… 85
แบบวดั …………………………………………………….………………… 91
แบบประเมิน………………………………………………………………… 92
5.2 การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือท้งั ฉบบั …………….……………………….. 93
การตรวจสอบความตรง (Validity)………………………………..…………. 93
การตรวจสอบความเท่ียง (Reliability)…………………………….………… 100
ข้นั ที่ 6 ปรับปรุงคุณภาพ และเตรียมเครื่องมือก่อนนาไปใชจ้ ริง……………………… 109
สรุป…………………………………………………………………………………… 109
ประเด็นอภิปราย……………………………………………………………………… 109
4 การให้ข้อมูลย้อนกลบั ………………………………………………………………… 110
4.1 เป้าหมายของการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ……………………………………………… 110
4.2 ข้นั ตอนของกระบวนการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ……………………………………… 111
4.3 วธิ ีการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั …………………………………………………………. 114
4.4 สิ่งสาคญั เกี่ยวกบั การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั …………………………………………. 115
สรุป…………………………………………………………………………………… 115
ประเดน็ อภิปราย……………………………………………………………………… 115
5 มาตรฐานการประเมิน………………………………………………………………… 116
มาตรฐานการประเมินในช้นั เรียน (Classroom Assessment Standard)…………. 116
สรุป…………………………………………………………………………………… 119
ประเด็นอภิปราย……………………………………………………………………… 120
บรรณานุกรม…………………………………………………………………………. 121

ตารางท่ี สารบัญตาราง หน้า

1.1 ลกั ษณะของการประเมินจาแนกตามวตั ถุประสงค.์ ..................................................... 4

2.1 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเคร่ืองมือประเมินการเรียนรู้ตามวตั ถุประสงคข์ องการ

ประเมิน……………………………………………………………………………... 11
2.2 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ตามมิติของสิ่งที่มุง่ วดั และ
ประเมิน……………………………………………………………………………... 13
2.3 ตวั อยา่ งคาถามท่ีช่วยกระตุน้ ความคิดผเู้ รียน……………………………….………... 20

2.4 บริบทสาหรับการประเมินทางวทิ ยาศาสตร์ (PISA)………………………………… 39
3.1 ตวั อยา่ งแผนการวดั และประเมินผลในช้นั เรียน วชิ า ชีววทิ ยา ระดบั ช้นั ม.4………... 65
3.2 แผนการทดสอบวชิ าการวดั และประเมินผลการศึกษา……………………………... 66
3.3 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดแบบทดสอบท่ีครูผสู้ อนสร้างเอง……………….... 68

3.4 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดแบบทดสอบมาตรฐาน........................................... 69
3.5 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดของการวดั ตวั แปรทกั ษะการเรียนรู้…………….... 72
3.6 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดของการประเมินทกั ษะปฏิบตั ิการทาโครงงาน…... 74
3.7 ตวั อยา่ งแบบวดั เจตคติตอ่ การเรียนวชิ าสถิติทางการศึกษา ใชม้ าตรวดั 4 ระดบั …..... 80
3.8 ตวั อยา่ งการกาหนดน้าหนกั ความสาคญั แต่ละประเดน็ เท่ากนั ……………………..... 82
3.9 ตวั อยา่ งการกาหนดน้าหนกั ความสาคญั ของเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยก
องคป์ ระกอบ…………………………………………………………….…………... 83
3.10 ผลการสอบแบบทดสอบอตั นยั 5 ขอ้ ของผสู้ อบกลุ่มสูงและกลุ่มต่า………………... 89
3.11 ตวั อยา่ งผลการประเมินทกั ษะการปฏิบตั ิเพอื่ ใชค้ านวณดชั นีความยากของงาน…...... 92

3.12 ตวั อยา่ งการออกแบบการตรวจสอบความตรงตามเน้ือหาของขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ.. 94
3.13 ตวั อยา่ งการออกแบบการตรวจสอบความตรงตามเน้ือหาของแบบวดั นิสยั ทางการ
เรียน………………...………………...………………...…………….……………... 94
3.14 ตวั อยา่ งการออกแบบการตรวจสอบความตรงตามเน้ือหาของเกณฑ์การให้คะแนน
แบบรูบริกส์ ทกั ษะการเป่ าขลุ่ย ………………...……………………….…………... 95
3.15 ตวั อยา่ งการคานวณดชั นีความสอดคลอ้ งของผปู้ ระเมิน…………………………...... 107

3.16 เกณฑพ์ ิจารณาสัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์ (rxy, ) ในการตรวจสอบความตรง……...... 108
3.17 เกณฑพ์ จิ ารณาสัมประสิทธ์ิความเที่ยง (rtt , KR20, Cronbach, , rcc) …………….... 108
3.18 เกณฑพ์ จิ ารณาความสอดคลอ้ งระหวา่ งผปู้ ระเมิน (Interrater Reliability, Kappa,

RAI) ………………………………………………………………………………... 108

สารบญั ภาพ

ภาพท่ี หน้า
1.1 โมเดลความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการเรียนรู้กบั การประเมินตามสภาพจริง……………….. 2
1.2 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการประเมินการเรียนรู้แต่ละแบบ……………………………… 4
1.3 ลกั ษณะสาคญั ของการประเมินเพ่ือการเรียนรู้………………………………………… 6
1.4 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเป้าหมายการประเมินการเรียนรู้แต่ละแบบ…………………… 8

2.1 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้ตามมิติของผปู้ ระเมินและ
ผถู้ ูกประเมิน………………………………………………………………….………. 12

2.2 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ตามมิติของการแสดงผล
การเรียนรู้และหลกั ฐานการเรียนรู้ของผเู้ รียน…………………….......................……. 13

2.3 ตวั อยา่ งแบบสงั เกตเพ่อื ประเมินพฤติกรรมการทางานร่วมกนั …………..……………. 15
2.4 ตวั อยา่ งแบบสัมภาษณ์…………………………………………………………………. 18
2.5 ตวั อยา่ งแบบสอบถามสภาพครอบครัว……………………………………………….. 21
2.6 แบบสอบถามความสนใจและประสบการณ์……………………………………….…. 21
2.7 ตวั อยา่ งแบบบนั ทึกคะแนนเพ่ือประเมินผลงานนกั เรียน………………………...……. 22
2.8 ตวั อยา่ งแบบเขียนรายงานตนเอง……………………………………………...………. 23
2.9 ตวั อยา่ งแบบเขียนสะทอ้ นการเรียนรู้………………………………………….………. 23
2.10 ตวั อยา่ งขอ้ สอบแบบเลือกตอบเชิงซอ้ น………………………………………………. 31
2.11 ตวั อยา่ งขอ้ สอบ O-NET ระดบั ช้นั ม.3 วชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี ปี 2554….. 32
2.12 สมรรถนะของการรู้เร่ืองคณิตศาสตร์…………………………………………………. 37
2.13 ตวั อยา่ งแบบประเมินเพือ่ นร่วมงานในกลุ่ม……………………………………..……. 47
2.14 ตวั อยา่ งขอ้ สอบการเขียนเล่าเรื่องจากภาพ……………………………………….……. 49
2.15 ตวั อยา่ งแบบบนั ทึกการสังเกตช้นั เรียนท่ีใชก้ ารสอนแบบเปิ ด (Open Approach)…….. 49
2.16 ตวั อยา่ งแบบตรวจสอบรายการสาหรับประเมินทกั ษะการขบั รถยนต…์ ……………… 50
2.17 ตวั อยา่ งแบบประเมินคา่ สาหรับประเมินทกั ษะการตีลูกเหนือศีรษะในกีฬาแบดมินตนั . 50
2.18 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบองคร์ วมเพื่อประเมินทกั ษะการเขียน………………………. 52
2.19 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบเพื่อประเมินทกั ษะการเขียน…………….. 52
2.20 ตวั อยา่ งเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบองคร์ วมเพ่ือประเมินพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียน

จากแฟ้มสะสมผลงาน…………………………………………………………………. 55

2.21 ตวั อยา่ งเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบเพ่ือประเมินคุณภาพการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียนจากแฟ้มสะสมผลงาน………………………………………………………….. 55

ภาพท่ี หน้า
2.22 ตวั อยา่ งแบบประเมินโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทสิ่งประดิษฐ…์ …………………. 58
3.1 ข้นั ตอนการออกแบบและพฒั นาคร่ืองมือการวดั และประเมินผลการเรียนรู้………….. 63
3.2 แผนการวดั และประเมิน รายวชิ า…………………………………………………….... 67
3.3 ตวั อยา่ งลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ (item specificatyion) รูปแบบปรนยั แบบหลาย

ตวั เลือก…………………………………………………………………..…...………. 75
3.4 ตวั อยา่ งลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ (item specificatyion) รูปแบบอตั นยั เขียนตอบ… 76
3.5 เกณฑก์ ารพิจารณาขอ้ สอบของสถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)………. 78

3.6 เกณฑก์ ารพิจารณาคุณภาพรายขอ้ ………………………………………………….…. 85
3.7 แสดงตวั อยา่ งการคานวณคา่ ความยากและอานาจจาแนกของขอ้ สอบ……………….. 86
3.8 กราฟพิจารณาการคดั เลือกขอ้ สอบจากผลการวิเคราะห์ขอ้ สอบรายขอ้ ………………. 90
3.9 แสดงการจาแนกคะแนนกลุ่มสูงและกลุ่มต่าที่ทาแบบวดั เจตคติในขอ้ ท่ี I…………… 91
4.1 รูปแบบการประเมินระหวา่ งเรียนท่ีมีประสิทธิภาพโดยใชเ้ ทคนิคการใหข้ อ้ มูล

เพอื่ พฒั นานกั เรียน……………………………………………………………………. 112
4.2 การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ตามข้นั ตอนของกระบวนการจดั การเรียนรู้………………………. 113



1 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั รุ สั 1

บทที่ 1

แนวคดิ สำคญั ของกำรประเมนิ ผู้เรียน

ในศตวรรษที่ 21 การประเมินผูเ้ รียนตอ้ งสร้างความสมดุลในการประเมิน มีความครอบคลุม รอบดา้ น
และตามสภาพจริง มีความเช่ือมโยงกบั การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ที่มีความหลากหลายและตอบสนอง
ความตอ้ งการของผูเ้ รียนมากยง่ิ ข้ึน ดงั น้นั การศึกษาแนวคิดที่สาคญั ของการประเมินผลการเรียนรู้แนวใหม่
ซ่ึงเป็ นท้งั เป้าหมายและลักษณะสาคญั ของกระบวนการประเมิน จึงมีความสาคญั อย่างยิ่งต่อผูส้ อนเพื่อ
นาไปใชเ้ ป็นแนวทางในการออกแบบการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนตอ่ ไป

ในบทน้ีนาเสนอสาระสาคญั เก่ียวกบั แนวคิดการประเมินผลการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ แนวคิดการประเมิน
ตามสภาพจริง แนวคิดการประเมินการเรียนรู้ และแนวคิดการประเมินท่ีสมดุล ซ่ึงเป็ นแนวคิดสาคญั ของการ
ประเมินในศตวรรษที่ 21

1.1 แนวคดิ กำรประเมนิ ตำมสภำพจริง (Authentic Assessment)

การประเมินตามสภาพจริง เป็ นกระบวนการคน้ หาศกั ยภาพหรือคุณลกั ษณะท่ีแทจ้ ริงของผูเ้ รียน
ดว้ ยเครื่องมือและวิธีการวดั และประเมินที่หลากหลาย รอบดา้ น คลาดเคลื่อนน้อยที่สุด มีการเก็บรวบรวม
ขอ้ มูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากกระบวนการเรียนรู้ การทางาน การปฏิบตั ิงาน และผลผลิตท่ีไดจ้ าก
กระบวนการเรียนรู้ในสภาพที่สอดคลอ้ งกบั ชีวิตจริง โดยใชเ้ รื่องราว เหตุการณ์ สภาพจริงหรือคลา้ ยจริงเป็ น
ส่ิงเร้าใหเ้ ดก็ ตอบสนอง แลว้ นาขอ้ มูลสู่การตีค่าหรือประเมินค่า การประเมินตามสภาพจริงเป็ นกระบวนการ
ที่ตอ้ งทาควบคู่ไปกบั กระบวนการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Learning) ที่ผูเ้ รียนตอ้ งใชก้ ระบวนการ
(process) การปฏิบตั ิกิจกรรม (performance) เพ่ือสร้างความรู้ และชิ้นงานดว้ ยการบ่มเพาะนิสัย คุณลกั ษณะท่ี
พึงประสงคค์ ่านิยมที่ดีงามไปดว้ ย

การประเมินตามสภาพจริง เป็ นกระบวนการรวบรวมหลกั ฐานขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ต่างๆตามสภาพ
จริงเก่ียวกบั การเรียนรู้ของผูเ้ รียน เพ่ือระบุและวินิจฉยั ปัญหาการเรียนรู้และให้ขอ้ ติชมที่มีคุณภาพแก่ผเู้ รียน

เพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ให้ดีข้ึน โดยวิธีการประเมินที่หลากหลายและเพื่อให้เขา้ ใจการเรียนรู้ของผูเ้ รียนใน
แง่มุมต่างๆอยา่ งรอบดา้ น อนั จะนาไปสู่การปรับการเรียนและเปลี่ยนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน

ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการเรียนรู้ตามสภาพจริกบั การประเมินตามสภาพจริง เชื่อมโดยกนั ดว้ ยภาระ
งานและเครื่องมือที่ใชใ้ นการประเมินที่มีความหลากหลายและรอบดา้ น ซ่ึงเป้าหมายสาคญั เพื่อคน้ หาและ
พฒั นาศกั ยภาพและคุณลกั ษณะของผเู้ รียนใหไ้ ดม้ ากท่ีสุด ดงั แผนภาพโมเดลความสัมพนั ธ์ ภาพที่ 1.1

ลกั ษณะสาคญั ของการประเมินตามสภาพจริง มีสาระสาคญั ดงั น้ี (Burke, Fogarty and Belgrad 1994
อา้ งถึงใน ทววี ฒั น์ วฒั นกลุ เจริญ, 2547)

2 วิธกี ารและเคร่อื งมือประเมนิ การเรยี นรูของผูเ รยี น

2

กำรเรียนรู้ตำมสภำพจริง

กระบวนการเรียนรู้ในสภาพที่สอดคลอ้ งกบั ชีวติ จริง เร่ืองราว เหตกุ ารณ์ สภาพจริง
หรือคลา้ ยจริงเป็นสิ่งเร้าใหเ้ ด็กตอบสนอง

กระบวนการ การปฏิบตั ิ/การแสดง ความรู้ ชิ้นงาน

แบบสมั ภาษณ์ แบบบนั ทึกการเรียนรู้ แบบสงั เกต แบบทดสอบ แบบประเมนิ ชิ้นงาน
แบบประเมิน แบบสมั ภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์ แบบบนั ทึกการเรียนรู้

แบบสอบถาม แบบสงั เกต แบบประเมนิ การปฏิบตั ิ แบบสอบถาม

กำรประเมนิ ตำมสภำพจริง

กระบวนการคน้ หาศกั ยภาพหรือคุณลกั ษณะที่แทจ้ ริงของผเู้ รียน ดว้ ยเคร่ืองมือและ
วิธีการวดั และประเมินที่หลากหลาย รอบดา้ น คลาดเคลื่อนนอ้ ยที่สุด

ภำพท่ี 1.1 โมเดลความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการเรียนรู้กบั การประเมินตามสภาพจริง

ที่มา: พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ และ พะเยาว์ ยนิ ดีสุข, (2558)

1) งำนทีป่ ฏบิ ตั ิเป็ นงำนทม่ี ีควำมหมำย (Meaningful Task)
งานที่ให้ผูเ้ รียนปฏิบตั ิตอ้ งเป็ นงานที่สอดคล้องกบั ชีวิตในชีวิตประจาวนั เป็ นเหตุการณ์จริง

มากกวา่ กิจกรรมที่จาลองข้ึนเพื่อใชใ้ นการทดสอบ
2) เป็ นกำรประเมินรอบด้ำนด้วยวธิ ีกำรทหี่ ลำกหลำย (Multiple Assessment)
เป็ นการประเมินผูเ้ รียนทุกด้าน ท้งั ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะนิสัย โดยใช้

เคร่ืองมือท่ีเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั วธิ ีแห่งการเรียนรู้ และพฒั นาการของผเู้ รียน เนน้ ใหผ้ ูเ้ รียนตอบสนองดว้ ย
การแสดง สร้างสรรค์ ผลิต หรือทางาน ในการประเมินตอ้ งประเมินหลายๆ คร้ังดว้ ยวิธีการท่ีหลากหลายและ
เหมาะสม เนน้ การลงมือปฏิบตั ิมากกวา่ การประเมินความรู้

3) ผลผลติ มีคุณภำพ (Quality Products)
ผูเ้ รียนจะมีการประเมินตนเองตลอดเวลา และพยายามแกไ้ ขจุดด้อยของตนเองจนกระทงั่ ได้

ผลงานท่ีผลิตข้ึนอยา่ งมีคุณภาพ ผูเ้ รียนเกิดความพึงพอใจในผลงานของตนเอง มีการแสดงผลงานของผเู้ รียน
ต่อสาธารณชน เพื่อเปิ ดโอกาสให้ผูอ้ ื่นไดเ้ รียนรู้และช่ืนชมจากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ผูเ้ รียนมี
โอกาสเลือกปฏิบัติงานได้ตามความพึงพอใจ นอกจากน้ียงั จาเป็ นต้องมีมาตรฐานของงานหรือสภาพ
ความสาเร็จของงานท่ีเกิดจากการกาหนดร่วมกันระหว่างผูส้ อน ผูเ้ รียน และอาจรวมถึงผูป้ กครองด้วย
มาตรฐานหรือสภาพความสาเร็จดงั กล่าวจะเป็นสิ่งท่ีช่วยบ่งบอกวา่ งานของผเู้ รียนมีคุณภาพอยใู่ นระดบั ใด

3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั รุ สั 3
4) ใช้ควำมคดิ ระดับสูง (Higher – Order Thinking)

ตอ้ งพยายามใหผ้ เู้ รียนแสดงออก หรือ ผลิตผลงานข้ึนมา ซ่ึงเป็ นผลงานท่ีเกิดจากการคิดวิเคราะห์
สังเคราะห์ ประเมินทางเลือก ลงมือกระทา ตลอดจนการใชท้ กั ษะการแกป้ ัญหาเมื่อพบปัญหาที่เกิดข้ึน

5) มปี ฏิสัมพนั ธ์ทำงบวก (Positive Interaction)
ผูเ้ รียนตอ้ งไม่รู้สึกเครียด หรือเบื่อหน่ายต่อการประเมิน ผูส้ อน ผูป้ กครอง และผูเ้ รียนตอ้ งเกิด

ความร่วมมือท่ีดีต่อกนั ในการประเมิน และการใชผ้ ลการประเมินแกไ้ ขปรับปรุงผเู้ รียน
6) งำนและมำตรฐำนต้องชัดเจน (Clear Tasks and Standard)
งานและกิจกรรมที่จะใหผ้ เู้ รียนปฏิบตั ิตอ้ งมีขอบเขตที่ชดั เจน สอดคลอ้ งกบั จุดหมายหรือสภาพท่ี

คาดหวงั ท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดพฤติกรรมดงั กล่าว
7) มกี ำรสะท้อนตนเอง (Self Reflections)
ตอ้ งมีการเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น หรือเหตุผลต่อการแสดงออก การ

กระทา หรือผลงานของตนเองวา่ ทาไมถึงปฏิบตั ิ ไมป่ ฏิบตั ิ ทาไมถึงชอบ ทาไมถึงไม่ชอบ
8) มีควำมสัมพนั ธ์กบั ชีวติ จริง (Transfer into Life)
ปัญหาที่เป็ นส่ิงเร้าให้ผู้เรียนได้ตอบสนอง ต้องเป็ นปัญหาท่ีสอดคล้องกับชีวิตประจาวนั

พฤติกรรมที่ประเมินตอ้ งเป็ นพฤติกรรมที่แทจ้ ริง ที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวนั ท้งั ที่โรงเรียนและที่บา้ น ดงั น้นั
ผปู้ กครองผเู้ รียนจึงนบั วา่ มีบทบาทเป็นอยา่ งยงิ่ ในการประเมินตามสภาพท่ีแทจ้ ริง

9) เป็ นกำรประเมินอย่ำงต่อเน่ือง (Ongoing or Formative)
ตอ้ งประเมินผูเ้ รียนตลอดเวลา และทุกสถานที่อย่างไม่เป็ นทางการ ซ่ึงจะทาให้เห็นพฤติกรรมท่ี

แทจ้ ริง เห็นพฒั นาการ คน้ พบจุดเด่นและจุดดอ้ ยของผูเ้ รียน
10) เป็ นกำรบูรณำกำรควำมรู้ (Integration of Knowledge)
งานที่ให้ผูเ้ รียนลงมือปฏิบตั ิน้นั ควรเป็ นงานที่ตอ้ งใชค้ วามรู้ ความสามารถและทกั ษะท่ีเกิดจาก

การเรียนรู้ในสหสาขาวิชา ลกั ษณะสาคญั ดงั กล่าวจะช่วยแก้ไขจุดอ่อนของการวดั และประเมินแบบเดิมท่ี
พยายามแยกยอ่ ยจุดประสงคอ์ อกเป็ นส่วน ๆ เรียนรู้ และประเมินเป็ นเร่ือง ๆ ดงั น้นั ผเู้ รียนจึงขาดโอกาสที่จะ
บูรณาการความรู้และทกั ษะจากวิชาต่างๆ เพ่ือใช้ในการปฏิบตั ิงานหรือแก้ปัญหาท่ีพบ ซ่ึงสอดคล้องกบั
ชีวติ ประจาวนั ที่งานแตล่ ะงาน หรือปัญหาแต่ละปัญหาน้นั ตอ้ งใชค้ วามรู้ ความสามารถ และทกั ษะจากหลายๆ
วชิ ามาช่วยในการทางานหรือแกไ้ ขปัญหา

กล่าวโดยสรุปได้ว่า การประเมินตามสภาพจริง เป็ นแนวคิดของการประเมินที่สอดคลอ้ งกบั แนว
ปฏิรูปการศึกษาท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็ นสาคญั เนน้ พฒั นาการของผูเ้ รียน เป็ นการประเมินดว้ ยวิธีการที่หลากหลาย
เพ่ือให้ได้ผลการประเมินท่ีสะทอ้ นความสามารถที่แท้จริงของผูเ้ รียน จึงควรใช้การประเมินภาคปฏิบัติ
(Performance assessment) ร่วมกบั การประเมินดว้ ยวิธีการอื่น ภาระงาน (Tasks) ควรสะทอ้ นสภาพความเป็ น
จริง หรือใกลเ้ คียงกบั ชีวิตจริงมากกวา่ เป็ นการปฏิบตั ิกิจกรรมทวั่ ๆ ไป ดงั น้นั การประเมินสภาพจริงจะตอ้ ง
ออกแบบการจดั การเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกัน และกาหนดเกณฑ์การประเมิน (Rubrics) ให้
สอดคลอ้ งหรือใกลเ้ คียงกบั ชีวติ จริง

4 วิธกี ารและเครื่องมอื ประเมนิ การเรยี นรูของผเู รยี น 4

1.2 แนวคดิ กำรประเมนิ กำรเรียนรู้ (Learning Assessment)

การเรียนรู้สามารถประเมินไดใ้ น 3 ลักษณะ ได้แก่ การประเมินผลการเรียนรู้ (Asessment of
Learning-AOL) การประเมินเป็ นการเรียนรู้ (Assessment As Learning-AAL) และการประเมินเพื่อการเรียนรู้
(Assessment for Learning-AFL) ลกั ษณะของแตล่ ะแบบสรุปไดด้ งั ตารางท่ี 1.1 แต่ละแบบมีความสัมพนั ธ์ท่ีอิง
อาศยั ระหวา่ งกนั ซ่ึงส่งผลต่อท้งั ตวั ผเู้ รียน และครูผสู้ อน ภายใตบ้ ริบทช้นั เรียน ดงั ภาพท่ี 1.2

ตำรำงที่ 1.1 ลกั ษณะของการประเมินจาแนกตามวตั ถุประสงค์
ลกั ษณะของกำรประเมนิ วตั ถุประสงค์

การประเมินผลการเรียนรู้ ครูผสู้ อนใชใ้ นการตดั สินระดบั ความสาเร็จของผเู้ รียน (level of achievment) ตามเกณฑ์
(Asessment of Learning-AOL) มาตรฐานท่ีกาหนดไว้ เช่น การตดั เกรด การตดั สินผา่ น-ไม่ผา่ น เป็นตน้ จากร่องรอย
หลกั ฐานการเรียนรู้ของผเู้ รียน (evidence of learning) ตวั อยา่ งเครื่องมือ เช่น
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ แบบประเมนิ ทกั ษะ แบบประเมินผลงาน เป็ นตน้

การประเมินเป็ นการเรียนรู้ ครูผสู้ อนเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชเ้ คร่ืองมือในการกากบั ติดตามการเรียนรู้ (monitor)
(Assessment As Learning- ของตวั ผเู้ รียนเอง และตรวจสอบตนเองวา่ อยใู่ นระดบั ใดของความสาเร็จ (milestone) เพ่อื
AAL) ไปใหถ้ ึงจุดมงุ่ หมายท่ีกาหนดไว้ ตลอดจนการปรับปรุงใหช้ ้นั เรียนมีประสิทธิภาพมาก
ข้ึน ตวั อยา่ งเช่น แบบรายงานตนเอง แบบตรวจสอบรายงาน แบบสะทอ้ นผลการเรียนรู้
แบบประเมินตนเอง เป็นตน้

การประเมินเพอื่ การเรียนรู้ ครูผสู้ อนใชก้ ระบวนการประเมินในการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั (feedback) เพื่อปรับปรุงและ
(Assessment for Learning- พฒั นาการเรียนรู้ของผูเ้ รียนให้ไปถึงจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ตามศกั ยภาพของแต่ละ
AFL) บุคคล ผา่ นกิจกรรมตา่ งๆท่ีใหน้ กั เรียนมีโอกาสไดแ้ สดงพฤติกรรมการเรียนรู้ ทกั ษะการ
ปฏิบตั ิต่างๆ เช่น การใชค้ าถาม การสงั เกต การสมั ภาษณ์ เป็ นตน้

การประเมินผลการเรียนรู้
(Asessment of Learning-AOL)

นกั เรียน
ครูผสู้ อน
บริบทช้นั เรียน

การประเมินเพอื่ การเรียนรู้ การประเมินเป็ นการเรียนรู้
(Asessment for Learning-AFL) (Asessment as Learning-AAL)

ภำพท่ี 1.2 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการประเมินการเรียนรู้แตล่ ะแบบ

5 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรัส 5

กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ (Assessment for Learning-AfL) เป็ นเป้าหมายสาคญั ของการประเมิน
ผเู้ รียน ซ่ึงเป็นกระบวนการคน้ หาและแปลความหมายหลกั ฐานร่องรอยการเรียนรู้ของผเู้ รียนเพ่ือนามาใชใ้ น
การตดั สินใจในเรื่องท่ีไดเ้ รียนรู้และส่ิงที่ยงั ไม่ไดเ้ รียนรู้ ความตอ้ งการท่ีจะเรียนรู้ และวธิ ีที่ดีท่ีสุดที่จะไปถึง
ความตอ้ งการเรียนรู้เหล่าน้นั (Assessment Reform Group, 2002) งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การประเมินในช้นั
เรียนท่ีผา่ นมาไดแ้ สดงให้เห็นวา่ การประเมินเพ่ือการเรียนรู้เป็ นการประเมินที่แนวทางท่ีทรงพลงั (Powerful
ways) ในการปรับปรุงการเรียนรู้ และเพิ่มมาตรฐานยง่ิ ข้ึน (raising standards) การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ มี
10 ลกั ษณะสาคญั ดงั ภาพท่ี 1.3

Assessment Reform Group (2002: 2-3) ไดน้ าเสนอหลกั การ 10 ประการของการประเมินเพื่อการ
เรียนรู้ ที่สอดคลอ้ งกบั หลกั ทางทฤษฎีจิตวทิ ยาการเรียนรู้และแรงจูงใจการเรียนรู้ ดงั น้ี

หลกั กำรท่ี 1 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ ควรเป็ นส่วนหน่ึงในกำรวำงแผนกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
ทีม่ ีประสิทธิผล (Assessment for learning should be part of effective planning of teaching and learning)
การวางแผนของครูควรเปิ ดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดท้ ราบขอ้ มูลเกี่ยวกบั เป้าหมายของการเรียนรู้ ควรมีกลยุทธ์
เพื่อใหม้ น่ั ใจวา่ ผูเ้ รียนเขา้ ใจในเป้าหมายท่ีพวกเขาตอ้ งดาเนินการให้สาเร็จ ตลอดจนเขา้ ใจในเกณฑ์ท่ีจะใช้
ในการประเมินการทางานของพวกเขา วธิ ีการท่ีผเู้ รียนจะไดร้ ับการสะทอ้ นผลงาน วธิ ีการท่ีพวกเขาจะเป็ น
ส่วนหน่ึงในการประเมินผลการเรียนรู้และวธิ ีการท่ีพวกเขาจะช่วยทาใหเ้ กิดความกา้ วหนา้ ต่อไปในอนาคต

หลกั กำรท่ี 2 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ควรมุ่งเน้นเกีย่ วกบั วิธีกำรเรียนรู้ของผู้เรียน (Assessment
for learning should focus on how students learn) กระบวนการเรียนรู้เป็ นส่ิงสาคญั ของท้งั ผเู้ รียนและครู การ
วางแผนการประเมินควรเนน้ ใหผ้ เู้ รียนไดต้ ระหนกั ถึงกระบวนการเรียนรู้ (How) ของตนเองพอๆกบั สิ่งท่ีเขา
ไดเ้ รียนรู้ (what)

หลกั กำรท่ี 3 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ควรได้รับกำรยอมรับให้เป็ นศูนย์กลำงของกำรกิจกรรมใน
ห้องเรียน (Assessment for learning should be recognized as central to classroom practice) มีกิจกรรมหลาย
อยา่ งที่ครูและผเู้ รียนดาเนินกิจกรรมในหอ้ งเรียนร่วมกนั เช่น การกาหนดภาระงาน คาถามของผเู้ รียนท่ีแสดง
ใหเ้ ห็นถึงความรู้ ความเขา้ ใจและทกั ษะของพวกเขา สิ่งท่ีผเู้ รียนพดู และปฏิบตั ิจากการสงั เกต การตีความและ
การตดั สินจะช่วยให้เห็นถึงวธิ ีการเรียนรู้ของผเู้ รียนท่ีสามารถปรับปรุงได้ กระบวนการประเมินเหล่าน้ีเป็ น
ส่วนท่ีสาคญั ของกิจกรรมในช้นั เรียนในแต่ละวนั และเกี่ยวขอ้ งท้งั ครูและผูเ้ รียนในการสะทอ้ นผลการ
ทางาน การพดู คุย และการตดั สินใจดาเนินกิจกรรมต่างๆ

หลักกำรท่ี 4 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ควรถือเป็ นทกั ษะทสี่ ำคัญของวชิ ำชีพครู (Assessment for
learning should be regarded as a key professional skill for teachers ) ครูผสู้ อนจะตอ้ งมีความเชี่ยวชาญท้งั
ในดา้ นความรู้และทกั ษะเพ่ือใช้ในการวางแผนสาหรับประเมิน การสังเกตการเรียนรู้ การวิเคราะห์และ
ตีความหลกั ฐานการเรียนรู้ การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั และสนบั สนุนผเู้ รียนในการประเมินตนเอง ครูผสู้ อนควร
ไดร้ ับการสนบั สนุนในการพฒั นาทกั ษะเหล่าน้ีต้งั แต่เริ่มตน้ และพฒั นาสู่ความเป็นมืออาชีพอยา่ งต่อเนื่อง

6 วิธีการและเครือ่ งมือประเมนิ การเรยี นร้ขู องผูเ้ รียน 6

แสดงใหเ้ ห็นถึง เป็ นส่วนหน่ึงของ มงุ่ เนน้ วธิ ีการ
สมั ฤทธิผล แผนการสอนท่ีมี เรียนรู้ของผเู้ รียน

ท้งั หมดของผเู้ รียน ประสิทธิผล เป็นศนู ยก์ ลาง
พฒั นา ของกิจกรรมใน
ความสามารถใน กำรประเมนิ เพื่อ
การประเมิน กำรเรียนรู้ ช้นั เรียน
ตนเอง เป็นทกั ษะทาง
กระตนุ้ และสร้าง วชิ าชีพท่ีสาคญั
ช่วยใหผ้ เู้ รียนรู้ แรงจงู ใจ ตระหนกั รู้ถึง
วิธีการปรับปรุง ผลกระทบจากผล
การประเมิน
ให้ดียง่ิ ข้ึน
ส่งเสริม

ใหเ้ กิดความเขา้ ใจ
ถึงเป้าหมายและ
เกณฑก์ ารตดั สิน

ภำพท่ี 1.3 ลกั ษณะสาคญั ของการประเมินเพ่ือการเรียนรู้
หลกั กำรที่ 5 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ควรไวต่อควำมรู้สึกของผู้ถูกประเมินและเป็ นกิจกรรมเชิง
สร้ำงสรรค์เพรำะกำรประเมินจะมีผลกระทบทำงอำรมณ์ (Assessment for learning should be sensitive and
constructive because any assessment has a emotional impact) ครูควรตระหนกั เก่ียวกบั ผลกระทบของ
ขอ้ เสนอแนะ คะแนน เกรดที่มีความเช่ือถือได้ ยุติธรรมในการสะทอ้ นผลการทางานของทุกคนอย่างเท่า
เทียม การใหข้ อ้ เสนอแนะท่ีไมเ่ ป็นการทาลายจิตใจและเป็นไปเพือ่ สร้างสรรค์
หลกั กำรที่ 6 กำรประเมนิ เพ่ือกำรเรียนรู้ควรให้ควำมสำคัญกับแรงจูงใจของผู้เรียน (Assessment for
learning should take account of the importance of learner motivation) การประเมินตอ้ งช่วยส่งเสริม
แรงจูงใจในการเรียนรู้โดยให้ความสาคญั กบั ความกา้ วหน้าและความสาเร็จมากกว่าความลม้ เหลว การ
เปรียบเทียบกบั ผูอ้ ื่นท่ีประสบความสาเร็จมากกว่าไม่น่าเป็ นการสร้างแรงจูงใจให้ผูเ้ รียนและยงั เป็ นส่ิงที่ยงั
สามารถบน่ั ทอนความกา้ วหนา้ ของกระบวนการเรียนรู้ การสร้างแรงจูงใจจะช่วยใหเ้ กิดความกระตือรือร้น
และสร้างโอกาสเพ่ือพฒั นาตนเองของผเู้ รียน
หลกั กำรที่ 7 กำรประเมินเพ่ือกำรเรียนรู้ควรเป็ นกำรส่งเสริมควำมรับผิดชอบในเป้ำหมำยของกำร
เรียนรู้และกำรร่วมกนั ทำควำมเข้ำใจในเกณฑ์กำรตัดสินซึ่งเป็ นสิ่งท่ีผู้เรียนจะถูกประเมิน (Assessment for
learning should promote commitment to learning goals and a shared Understanding of the criteria by
which they are assessed) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสาหรับการเรียนรู้ท่ีมุ่งในการจดั อนั ดบั ของผเู้ รียนจึงมี

7 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรัส 7

ความจาเป็ นในการทาเขา้ ใจเป้าหมายการเรียนรู้ที่จะบรรลุผล สร้างความเขา้ ใจและความรับผดิ ชอบต่อผลที่
ตามมา เปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายและระบุเกณฑ์ที่ใช้สาหรับการประเมิน
ความกา้ วหนา้ ควรส่ือสารใหเ้ กิดความเขา้ ใจในเกณฑก์ ารประเมินระหวา่ งครูและผเู้ รียนโดยเป็ นคาที่เขา้ ใจ
ง่าย เขา้ ใจตรงกนั ควรจดั ตวั อยา่ งของเกณฑท์ ่ีสามารถพบไดใ้ นการปฏิบตั ิกิจกรรม และส่ิงที่ผเู้ รียนสนใจ

หลกั กำรที่ 8 ผู้เรียนควรได้รับคำแนะนำเพ่ือช่วยให้เกดิ กำรปรับปรุงตนเอง (learners should receive
constructive guidance about how to improve) ผเู้ รียนจาเป็ นที่จะตอ้ งไดร้ ับขอ้ มูลและคาแนะนาเพ่ือวาง
แผนการเรียนรู้ในข้นั ต่อไป ครูควรมองหาจุดแข็งในตวั ผูเ้ รียนและช่วยในการพฒั นาขอ้ ดอ้ ยต่างๆของผูเ้ รียน
ตลอดจนแนะนาวิธีการท่ีพวกเขาจะจัดการปัญหาเหล่าน้ัน พร้อมท้งั เปิ ดโอกาสสาหรับผูเ้ รียนในการ
ปรับปรุงงานของพวกเขา

หลกั กำรท่ี 9 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้เป็ นกำรพฒั นำควำมสำมำรถผู้เรียนในกำรประเมินตนเอง
เพื่อให้พวกเขำมีควำมสำมำรถในกำรสะท้อนผลกำรทำงำนและกำรจัดกำรตนเองได้ (Assessment for
learning develops learners’ capacity for self-assessment so that they can become reflective and self -
managing) เพ่ือช่วยให้ผูเ้ รียนมีความสามารถในการคน้ หาและสร้างทกั ษะ ความรู้ และความเขา้ ใจใหม่ๆได้
ดว้ ยตนเอง ดงั น้นั ครูควรเปิ ดโอกาสให้พวกเขาไดส้ ะทอ้ นผลการทางานของตนเองและวางแผนการเรียนรู้
ในข้นั ต่อไปตามความตอ้ งการและความสามารถในการเรียนรู้ของผเู้ รียนแต่ละคนผา่ นกระบวนการพฒั นา
ทกั ษะการประเมินตนเองของนกั เรียน

หลักกำรที่ 10 กำรประเมินเพื่อกำรเรียนรู้ควรแสดงให้เห็นสัมฤทธิผลท้ังหมดของผู้เรียน
(Assessment for learning should recognize the full range of achievements of all learners) การประเมินผลเพื่อ
การเรียนรู้ควรใชเ้ พื่อเสริมสร้างโอกาสในการเรียนรู้ในทุกดา้ นของกิจกรรมการศึกษาของผูเ้ รียน ควรทาให้
ผเู้ รียนทุกคนประสบผลสาเร็จที่ดีท่ีสุดและไดร้ ับการยอมรับจากความสามารถและพยายามของพวกเขาเอง

1.3 แนวคดิ กำรประเมนิ ทส่ี มดุล (Balanced Assessment)

การประเมินทางการศึกษาที่สมดุล เป็ นแนวคิดของการประเมินท่ีให้สารสนเทศเกี่ยวกบั ความรู้
ความสามารถของผูเ้ รียนท่ีเพียงพอแก่ผูท้ ี่เกี่ยวขอ้ งทุกฝ่ าย เพื่อใหผ้ เู้ ก่ียวขอ้ งสามารถปรับปรุงการเรียนการ
สอน เพ่ือนาไปสู่การพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียน (สังวร งดั กระโทก, 2556) ผูเ้ กี่ยวขอ้ งกบั การจดั การศึกษาที่
สาคญั ไดแ้ ก่ นกั เรียน ครู ผบู้ ริหารโรงเรียน ผปู้ กครอง และผบู้ ริหารเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เป็ นตน้ ดงั น้นั การ
ประเมินทางการศึกษาตอ้ งให้สารสนเทศท่ีถูกตอ้ งแก่บุคคลเหล่าน้ี การจะไดข้ อ้ มูลที่ถูกตอ้ งและเพียงพอ
ข้ึนอยกู่ บั การออกแบบการประเมินที่ตอ้ งหลากหลาย และมีความสมดุล

การประเมินทางการศึกษาที่ให้ขอ้ มูลเพ่ือพฒั นาการศึกษา สังวร งดั กระโทก (2556) ไดเ้ สนอไวว้ า่
ควรประกอบดว้ ยวธิ ีการประเมินสามแบบตามเป้าหมายของการประเมิน คือ การประเมินเพื่อพฒั นาหรือการ
ประเมินในช้นั เรียน (classroom assessment หรือ formative assessment) การประเมินเพ่ือช้ีวดั

8 วธิ กี ารและเครือ่ งมอื ประเมนิ การเรียนรูข องผเู รียน 8

(interimassessment หรือ benchmark assessment) และการประเมินเพ่ือสรุปรวม (summative assessment)
แตล่ ะแบบตอ้ งสัมพนั ธ์เช่ือมโยงกนั ดงั ภาพท่ี 1.4

การประเมินระหวา่ งช่วงเวลา
(Interim Asessment)

นกั เรียน
ครูผสู้ อน
บริบทช้นั เรียน

การประเมินเพอื่ พฒั นา การประเมินเพอ่ื สรุปรวม
(Formative Assessment) (Summative Asessment)

ภำพที่ 1.4 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเป้าหมายการประเมินการเรียนรู้แต่ละแบบ

1) กำรประเมินเพื่อพัฒนำ (formative assessment) หรือกำรประเมินในช้ันเรียน (classroom
assessment) ท่ีจดั ทาโดยครูและนกั เรียนในระหวา่ งการเรียนการสอน เพื่อให้ไดข้ อ้ มูลสาหรับปรับปรุงการ
สอนของครู และปรับปรุงผูเ้ รียน การท่ีจะทาให้การประเมินประสบความสาเร็จตอ้ งเกิดจากความร่วมมือ
ของครูกบั นกั เรียน กล่าวคือ ภายหลงั จากการประเมิน ครูตอ้ งให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ที่ชดั เจนแก่นกั เรียน และ
ตอ้ งกระตุน้ ให้นกั เรียนรับผิดชอบการเรียนของตนเองโดยใชว้ ิธีการประเมินตนเองวา่ ทาไดต้ ามเป้าหมาย
ของการเรียนรู้หรือไม่ ถา้ ยงั ไม่สาเร็จ นกั เรียนตอ้ งร่วมมือกบั ครูเพื่อให้ทราบวา่ ตอ้ งทาอะไรบา้ งเพื่อให้
สามารถแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของนกั เรียน ท้งั น้ีครูก็อาจตอ้ งปรับเปล่ียนการสอนจนกระทง่ั นกั เรียนสามารถ
เขา้ ใจหรือรอบรู้ตามวตั ถุประสงค์

William, D. (2011) อา้ งถึงใน วิจารณ์ พานิช (2557) ไดน้ าเสนอยุทธศาสตร์ในการใชก้ ารประเมิน
เพ่ือพฒั นา (Formative Assessment) ใหเ้ กิดผลเตม็ ท่ี 5 ยทุ ธศาสตร์ ดงั น้ี

(1) กาหนดวตั ถุประสงคแ์ ละเกณฑค์ วามสาเร็จในการเรียนรู้
(2) หาหลกั ฐานของความสาเร็จในการเรียนรู้
(3) ใหค้ าแนะนาป้อนกลบั เพอ่ื การเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิผล
(4) นกั เรียนเป็นครูซ่ึงกนั และกนั
(5) นกั เรียนเป็นเจา้ ของการเรียนรู้ของตน
2) กำรประเมินเพื่อสรุปรวม (summative assessment) เป็ นการประเมินท่ีใชห้ ลงั การเรียนการสอน
การประเมินแบบน้ีใชเ้ พื่อประเมินความรู้ของนกั เรียนวา่ นกั เรียนมีความรู้ความสามารถเพียงใด โดยทวั่ ไป
คนส่วนใหญ่เขา้ ใจวา่ การประเมินเพื่อสรุปรวมใชส้ าหรับการตดั เกรด หรือคดั เลือกผเู้ รียน เท่าน้นั ทวา่

9 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรัส 9

ปัจจุบนั น้ีการประเมินเพ่ือสรุปรวมไดถ้ ูกนาไปใชส้ าหรับการประเมินเพื่อประเมินคุณภาพการจดั การศึกษา
ของโรงเรียน หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบการศึกษาอ่ืนๆ มากยง่ิ ข้ึน การประเมินเพื่อสรุปรวมที่ใชใ้ นการ
ประเมินคุณภาพการศึกษาเป็นการประเมินมีลกั ษณะเป็ นการประเมินการศึกษาในภาพรวมท่ีดาเนินงานโดย
บุคคลภายนอกโรงเรียน ผลการประเมินจะถูกนาไปใชเ้ พ่ือกาหนดคุณภาพของบุคคลากรและหน่วยงานท่ี
รับผดิ ชอบกบั การจดั การศึกษา ไมใ่ ช่การประเมินนกั เรียนรายบุคคล

3) กำรประเมินระหว่ำงช่วงเวลำ (interim assessment) เป็ นการประเมินเพ่ือกากบั ติดตามผล
การศึกษาการศึกษา อาจเรียกอีกอยา่ งให้เขา้ ใจง่ายๆ วา่ เป็ นการประเมินเพ่ือช้ีวดั ผลการปฏิบตั ิงาน การ
ประเมินแบบน้ีมีลกั ษณะของการประเมินท่ีอยูร่ ะหวา่ งการประเมินในช้นั เรียน และการประเมินเพ่ือสรุป
รวม กล่าวคือ ไม่ใช่การประเมินท่ีดาเนินการโดยครูในระหวา่ งการสอน แต่ก็ไม่ใช่การประเมินหลงั สิ้นสุด
ภาคการศึกษา หากแต่เป็นการประเมินในระหวา่ งท่ีมีการเรียนการสอนโดยบุคคลอื่นท่ีไมใ่ ช่ครู และเป็ นการ
ประเมินการศึกษาในภาพรวม ไม่ใช่การประเมินนกั เรียนเป็ นรายบุคคล โดยส่วนใหญ่ ผูท้ ่ีดาเนินการ
ประเมินเพ่ือช้ีวดั คือ หน่วยงานภายนอกที่รับผิดชอบการจดั การศึกษา เช่น เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ
หน่วยงานจากส่วนกลาง เป็ นตน้ นอกจากน้ี การประเมินเพื่อช้ีวดั จะมีการประเมินเป็ นระยะๆ อาจจะทุก
เดือน หรือทุกสองเดือนในระหวา่ งท่ีมีการเรียนการสอน ซ่ึงต่างจากการประเมินเพื่อสรุปรวมท่ีมีการ
ประเมินคร้ังเดียว

การประเมินท่ีสมดุลตอ้ งใหข้ อ้ มูลสาหรับการปรับปรุงการศึกษาแก่ผทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งทุกฝ่ ายไดใ้ ช้
ร่วมกนั การใชผ้ ลการประเมินในช้นั เรียน ผลการประเมินเพื่อสรุปรวม และผลการประเมินเพื่อช้ีวดั ของ
ผเู้ กี่ยวขอ้ งท้งั หลาย จะเอ้ือใหม้ ีขอ้ มูลท่ีหลากหลายสาหรับการพฒั นาคุณภาพการศึกษา การออกแบบการ
ประเมินที่สมดุลจะมีคุณภาพเพยี งใด ข้ึนอยกู่ บั ประเด็นที่สาคญั ตอ่ ไปน้ี

(1) การประเมินท้งั สามแบบตอ้ งประเมินเป้าหมายหรือมาตรฐานเดียวกนั มีความสอดคลอ้ งกนั มี
เป้าหมายของการใช้ผลการประเมินร่วมกนั จึงจะทาให้ระบบการประเมินมีประสิทธิภาพ ดงั น้นั การ
ประเมินระดบั ช้นั เรียน การประเมินเพ่ือช้ีวดั และการประเมินระดบั ชาติ ตอ้ งสอดคลอ้ งกนั ท้งั ในดา้ น
กระบวนการ และการนาผลการประเมินไปใช้

(2) ครูตอ้ งจดั การเรียนการสอนตามมาตรฐาน การจะดูว่าครูดาเนินการจดั การเรียนการสอน
สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานหรือไม่ ควรมีการประเมินเป็นระยะๆ วธิ ีการประเมินความสอดคลอ้ งของการจดั การ
เรียนการสอนกบั มาตรฐาน อาจดาเนินการโดยสถานศึกษา หรือเขตพ้ืนที่การศึกษา โดยใชห้ ลกั การของการ
ประเมินความสอดคล้องของ Porter (2006) ซ่ึงเป็ นการประเมินการปฏิบตั ิของครูเทียบกบั มาตรฐาน
หลกั สูตร การประเมินการสอนของครูมกั จะประเมินจากเวลาที่ครูสอน และความลึกของเน้ือหาท่ีครูสอน
นกั เรียน ผลการประเมินนาไปใชใ้ นการคานวณดชั นีความสอดคลอ้ ง ดชั นีความสอดคลอ้ งท่ีเขา้ ใกลศ้ ูนย์
แสดงวา่ การปฏิบตั ิน้นั สอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน

(3) เคร่ืองมือประเมินตอ้ งวดั เน้ือหาที่กาหนดในมาตรฐาน และสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องการ
ประเมินและการเรียนการสอนของครู การตรวจสอบว่าเคร่ืองมือประเมินของครู หรือแบบทดสอบของ

10 วิธกี ารและเครื่องมือประเมินการเรียนรขู้ องผ้เู รยี น 10

หน่วยงานต่างๆ สอดคลอ้ งกนั ระดบั ใด ควรมีการตรวจสอบอยา่ งเป็ นระบบ ดว้ ยวิธีการที่เหมาะสม เช่น
วธิ ีการตรวจสอบความสอดคลอ้ งของเครื่องมือประเมินกบั มาตรฐาน เช่น วธิ ีการของ Porter (2006) และ
Webb (2002) ซ่ึงเป็ นการประเมินขอ้ สอบที่พฒั นาข้ึนแต่ละมาตรฐานเทียบกบั มาตรฐานในหลกั สูตร การ
ประเมินจะเน้นวดั ความครอบคลุมของเน้ือหาท่ีประเมิน และความลึกของขอ้ สอบเทียบกบั มาตรฐาน
หลกั สูตร การประเมินการสอนเช่นน้ีมกั จะทาโดยผเู้ ช่ียวชาญ ผลการประเมินนาไปใชใ้ นการคานวณดชั นี
ความสอดคลอ้ ง ดชั นีความสอดคลอ้ งที่เขา้ ใกลศ้ ูนยแ์ สดงวา่ การปฏิบตั ิน้นั สอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน

(4) เครื่องมือประเมินมีคุณภาพตามมาตรฐานของการวดั และการทดสอบทางการศึกษา ท้งั ในดา้ น
ความตรง ความเท่ียง รวมถึงความสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน หลกั สูตร และการจดั การเรียนการสอนของครู
หากเครื่องมือไม่มีคุณภาพ จะทาใหป้ ระเมินและวนิ ิจฉยั ผลของการจดั การศึกษาผดิ พลาด

(5) นักเรียนมีโอกาสไดเ้ รียนรู้สาระท่ีกาหนดในมาตรฐาน ครูควรกาหนดเวลาการสอนให้
ครอบคลุมทุกมาตรฐานการศึกษาเพื่อใหน้ กั เรียนมีโอกาสไดเ้ รียนรู้ตามมาตรฐาน

(6) มีการรายงานขอ้ มูลหรือผลการประเมินท่ีเขา้ ใจง่าย และทนั เวลา เพ่ือใหผ้ ใู้ ชเ้ ขา้ ใจ และสามารถ
นาไปใชไ้ ดท้ นั เวลา

(7) การวดั และประเมินผเู้ รียนตอ้ งมีความหลากหลาย มีการใชว้ ิธีการประเมินหลายรูปแบบ ไม่ใช้
วธิ ีการใดวธิ ีการหน่ึงมากเกินไป เพือ่ ใหส้ ามารถวเิ คราะห์และวนิ ิจฉยั ผเู้ รียนไดถ้ ูกตอ้ งมากข้ึน

สรุป

แนวคิดของการประเมินผลการเรียนรู้ เป็ นท้งั เป้าหมายและลกั ษณะสาคญั ของกระบวนการรวบรวม
และเรียบเรียงขอ้ มูลสารสนเทศท่ีเก่ียวกบั การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ของผูเ้ รียนจากพฤติกรรมเดิม
ไปสู่พฤติกรรมใหม่ท่ีค่อนขา้ งถาวรอยา่ งเป็ นระบบ ซ่ึงตอ้ งเช่ือมโยงกบั กระบวนการจดั ประสบการณ์เรียนรู้
สาหรับใชใ้ นการตดั สินใจเก่ียวกบั ผูเ้ รียน ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ไปยงั ผูเ้ รียนเก่ียวกบั ความกา้ วหนา้ จุดเด่น จุดดอ้ ย
ใชต้ ดั สินประสิทธิภาพในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้และความเพียงพอของหลกั สูตร ตลอดจนใชช้ ้ีแนะนโยบาย
การศึกษาที่เกี่ยวขอ้ ง การประเมินตามสภาพจริง การประเมินเพื่อการเรียนรู้ การประเมินที่สมดุล เป็ นแนวคิด
สาคญั ของการประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนท่ีสัมพนั ธ์กบั การจดั ประสบการณ์เรียนรู้ในปัจจุบนั ท่ีเรียกว่า
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การนาแนวคิดเหล่าน้ีไปใชน้ ้นั ควรคานึงถึงเป้าหมายของการพฒั นาเป็ นสาคญั

ประเดน็ อภปิ รำย

1. เป้าหมายของการพฒั นาผเู้ รียนในแตล่ ะแนวคิดการประเมิน
2. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งแนวคิดการประเมินผลการเรียนรู้ กบั การจดั ประสบการณ์เรียนรู้
3. บทบาทของครูผสู้ อนในการนาแนวคิดการประเมินผลการเรียนรู้ไปใช้
4. สิ่งสนบั สนุนในแต่ละแนวคิดของการประเมินผลการเรียนรู้
5. วธิ ีการ เทคนิค เครื่องมือท่ีจะนามาใชใ้ นแตล่ ะแนวคิดของการประเมินผลการเรียนรู้

11 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรัส 11

บทท่ี 2

วธิ ีกำรและเคร่ืองมือประเมนิ กำรเรียนรู้

เมื่อการเรียนการสอนถูกกาหนดด้วยกิจกรรม ผลงาน ภาระงานท่ีให้ผูเ้ รียนปฏิบัติเพื่อแสดง
พฒั นาการของผลการเรียนรู้ในรายวชิ าที่เรียน ครูผสู้ อนตอ้ งใช้วิธีการและเครื่องมือในการพิสูจน์หลกั ฐาน
การเรียนรู้ (Evidence of Learning) เพ่ือแสดงให้เห็นผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนท่ีเป็ นรูปธรรมที่สัมพันธ์
โดยตรงกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ของรายวิชา ในการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียน ครูผูส้ อน
สามารถตดั สินใจเลือกใชว้ ธิ ีการและเคร่ืองมือที่หลากหลาย เหมาะสม ครอบคลุมรอบดา้ น สอดคลอ้ งกบั ผล
การเรียนรู้ เพ่ือใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีสะทอ้ นความรู้ความสามารถและศกั ยภาพของผเู้ รียนท่ีแทจ้ ริง

ในบทน้ีนาเสนอสาระสาคญั เก่ียวกบั การเลือกใชว้ ธิ ีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้ ประเภท
ของวธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้แบบตา่ งๆ

2.1 กำรเลือกใช้วธิ ีกำรและเคร่ืองมือประเมนิ กำรเรียนรู้

2.1.1 เลือกใช้ตำมวตั ถุประสงค์ของกำรประเมิน ครูผสู้ อนสามารถเลือกใชว้ ิธีการและเครื่องมือโดย
พิจารณาจากวตั ถุประสงคข์ องการประเมินวา่ เป็นการพฒั นาหรือการสรุปตดั สินผล ดงั ตารางท่ี 2.1

ตำรำงท่ี 2.1 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ตามวตั ถุประสงคข์ องการประเมิน
กำรประเมนิ เพื่อพฒั นำ กำรประเมนิ เพื่อสรุปตดั สิน
(Formative Assessment) (Summative Assessment)

การประเมินเพือ่ การเรียนรู้ การประเมินเป็ นการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้
(Assessment for Learning-AFL) (Assessment As Learning-AAL) (Asessment of Learning-AOL)
วตั ถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงและพฒั นาการ เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดต้ รวจสอบ เพ่ือตดั สินระดบั ความสาเร็จของผเู้ รียน
เรียนรู้ของผเู้ รียนใหไ้ ปถึง ตนเองวา่ อยใู่ นระดบั ใด เพ่ือไป (level of achievment) ตามเกณฑ์
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ตาม ใหถ้ ึงจุดม่งุ หมายที่กาหนดไว้ มาตรฐานท่ีกาหนดไว้ เช่น การตดั เกรด
ศกั ยภาพของแต่ละบคุ คล การตดั สินผา่ น-ไม่ผา่ น เป็ นตน้

กระบวนกำร ครูผสู้ อนใชก้ ระบวนการ/ ครูผสู้ อนเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียน ครูผสู้ อนนาร่องรอยหลกั ฐานการ
กิจกรรมการประเมินผา่ น ไดใ้ ชเ้ คร่ืองมือในการกากบั เรียนรู้ของผเู้ รียน (evidence of
กิจกรรมการเรียนรู้ตา่ งๆ ติดตามการเรียนรู้ (monitor) learning) มาตดั สินระดบั คุณภาพตาม
เพื่อใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ของตวั ผเู้ รียนเอง วา่ อยใู่ นข้นั ใด เกณฑม์ าตรฐานความสาเร็จท่ีกาหนด
(feedback) ไปยงั ผเู้ รียน แลว้ ของความสาเร็จ(milestone) ไว้

เครื่องมือ ตวั อยา่ งเช่น การใชค้ าถาม การ ตวั อยา่ งเช่น แบบรายงานตนเอง ตวั อยา่ งเช่น แบบทดสอบวดั
สงั เกต การสมั ภาษณ์ กิจกรรม แบบตรวจสอบรายงาน แบบ ผลสมั ฤทธ์ิ แบบประเมินทกั ษะ แบบ
การเรียนรู้ เป็นตน้ สะทอ้ นผลการเรียนรู้ แบบ ประเมินผลงาน เป็ นตน้
ประเมินตนเอง เป็นตน้

12 วิธีการและเครอ่ื งมอื ประเมินการเรียนรูของผูเรยี น 12

2.1.2 เลือกใช้ตำมบทบำทผ้ปู ระเมนิ และผ้ถู ูกประเมนิ แบง่ ได้ 4 ลกั ษณะดงั ภาพ 2.1
1) ครูผสู้ อนประเมินตวั นกั เรียนไดโ้ ดยตรง เช่น การสังเกต การสมั ภาษณ์ การใชค้ าถาม
2) นกั เรียนใชเ้ คร่ืองมือประเมินตนเอง เช่น การรายงานตนเอง การเขียนสะทอ้ นผลการเรียนรู้
3) ครูผสู้ อนประเมินผลงานนกั เรียนไดโ้ ดยตรง เช่น การตรวจผลงาน แฟ้มสะสมผลงาน
4) ครูผสู้ อนใชเ้ คร่ืองมือประเมินผลงานนกั เรียน เช่น การประเมินภาคปฏิบตั ิ โครงงาน

 การสงั เกต นักเรียน  การสอบถาม
 การสมั ภาษณ์ 12  การรายงานตนเอง
 การใชค้ าถาม  การเขียนสะทอ้ นผล
 การประเมินโดยเพ่ือน
ครูผ้สู อน
เครื่องมือประเมิน

 การตรวจผลงาน 34  การประเมินดว้ ยขอ้ สอบ
 การประเมินโดยใช้ ผลงำน  การประเมินภาคปฏิบตั ิ
 การประเมินโดยใช้กิจกรรม
แฟ้มสะสมผลงาน
โครงงาน

ภำพที่ 2.1 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ตามบทบาทของผปู้ ระเมินและผถู้ ูกประเมิน

2.1.3 เลือกใช้ตำมลกั ษณะกำรแสดงผลกำรเรียนรู้และหลกั ฐำนกำรเรียนรู้ของผู้เรียน
การเลือกใช้วธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ตามลกั ษณะการแสดงผลการเรียนรู้

และหลกั ฐานการเรียนรู้ของผเู้ รียน อาจพิจารณาไดต้ ามภาพที่ 2.2
กำรแสดงผลกำรเรียนรู้ของผู้เรียน จาแนกได้ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี
(1) แบบเลือกคำตอบ เป็ นการแสดงผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนดว้ ยวิธีการเลือกคาตอบ จาก

สถานการณ์ คาถาม ตวั เลือกที่ผสู้ อนเป็นผูก้ าหนด เช่น แบบเลือกตอบ แบบถูกผดิ เป็นตน้
(2) แบบสร้ำงคำตอบ เป็นการแสดงผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนดว้ ยวิธีการที่ผเู้ รียนเขียนแสดง

คาตอบ แสดงความคิดเห็น ลงมือปฏิบตั ิ สร้างผลงาน ผลผลิตดว้ ยตวั ผเู้ รียนเอง
หลกั ฐำนกำรเรียนรู้ จาแนกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
(1) ผลผลติ เช่น รายงานที่เป็ นรูปเล่ม สิ่งประดิษฐ์ แบบจาลอง แผนภูมิ แฟ้มสะสมงาน ผงั

มโนทศั น์ การเขียนอนุทิน การเขียนความเรียง คาตอบที่ผเู้ รียนสร้างเอง โครงงาน ฯลฯ
(2) ผลกำรปฏิบัติ เช่น การรายงานดว้ ยวาจา การสาธิต การทดลอง การปฏิบตั ิการภาคสนาม

การอภิปราย การจดั นิทรรศการ การสังเกตพฤติกรรมผเู้ รียนของครู รายงานการประเมินตนเองของผเู้ รียน ฯลฯ

13 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตรุ ัส 13

ภำพที่ 2.2 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ตามมิติของการแสดงผลการเรียนรู้และ
หลกั ฐานการเรียนรู้ของผเู้ รียน

แบบเลือกคำตอบ ผลผลติ แบบสร้ำงคำตอบ
กำรปฏบิ ัติ

-แบบเลือกตอบ (มากกวา่ 2 ตวั เลือก) -เขียนบทความ/ทางานสร้างสรรค์ -การนาเสนอดว้ ยวาจา
-แบบถูก-ผดิ -เขียนรายงานสะทอ้ นการเรียนรู้ -การอา่ นร้อยกรอง
-แบบจบั คู่ -เขียนตอบแบบส้นั ๆ -การโตว้ าที/การอภิปราย
-แบบเติมคา -ทาตาราง/แผนภูมิ/กราฟ -การแสดงละคร/เตน้ รา
-การแสดงดนตรี/กีฬา
-แสดงนิทรรศการ
-แฟ้มแสดงหลกั ฐานการเรียนรู้ -การวาดภาพ/การสาธิต
-ทาโครงงาน/โครงการ

การต้งั คาถาม
การสงั เกตอยา่ งเป็ นทางการ/ไม่เป็ นทางการ

การพดู คุย/สอบถามระหวา่ งครูผสู้ อน นกั เรียน

2.1.4 เลือกใช้ตำมส่ิงทมี่ ุ่งวดั และประเมนิ
การเลือกใช้วธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ตามสิ่งท่ีมุ่งวดั และประเมิน เป็ นการ

พจิ ารณาถึงคุณลกั ษณะ องคป์ ระกอบของส่ิงที่มุ่งวดั และประเมิน รวมท้งั การแสดงพฤติกรรมของผูเ้ รียนต่อสิ่ง
ที่มุ่งวดั และประเมินน้นั อาจพิจารณาไดต้ ามตารางที่ 2.2

ตำรำงที่ 2.2 การเลือกใชว้ ธิ ีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้ตามส่ิงท่ีมุง่ วดั และประเมิน
ส่ิงทมี่ ่งุ วดั และประเมนิ แบบจำกดั แบบเสนอ แบบ แบบส่ือสำร
คำตอบ คำตอบ ปฏบิ ตั งิ ำน ส่วนบุคคล
(เนน้ เลือก (เน้นเขียน (เน้นลงมือทำ)
คาตอบ) คำตอบ)

คุณธรรม จริยธรรม เหมาะสม

ความรู้ เหมาะสม เหมาะสม

ทกั ษะทางปัญญา เหมาะสม เหมาะสม

ทกั ษะความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลและความรับผดิ ชอบ เหมาะสม เหมาะสม

ทกั ษะการวเิ คราะห์เชิงตวั เลข สื่อสาร และเทคโนโลยี เหมาะสม เหมาะสม เหมาะสม

วธิ ีการเรียนรู้ เหมาะสม เหมาะสม

14 วิธกี ารและเครือ่ งมือประเมินการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น 14

2.2 ประเภทวธิ กี ำรและเครื่องมือประเมนิ ผลกำรเรียนรู้
2.2.1 กำรสังเกต (Observation)

การสังเกตเป็นวธิ ีการรวบรวมขอ้ มูลผเู้ รียนโดยการเฝ้าดูพฤติกรรมของผเู้ รียน ซ่ึงจากการสังเกตของ
ครูผู้สอน จะสามารถเห็นพฤติกรรมของผูเ้ รียนเป็ นรายบุคคลหรื อความสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่ม สะท้อน
ความสามารถในดา้ นความรู้ ทกั ษะ ความรู้สึกและคุณลกั ษณะไดอ้ ยา่ งชดั เจน

การสงั เกตหากแบ่งดว้ ยวธิ ีการใชเ้ ครื่องมือ แบง่ ได้ 2 วธิ ี ดงั น้ี
แบบท่ี 1 กำรสังเกตอย่ำงไม่เป็ นทำงกำร เป็ นการสังเกตพฤติกรรมท่ีไม่ไดก้ าหนดไวล้ ่วงหนา้ เช่น
การสังเกตพฤติกรรมของผเู้ รียนระหวา่ งการเล่น ระหวา่ งการเล่านิทานหรือเหตุการณ์อ่ืนๆ ท่ีเกิดข้ึนโดยมิได้
คาดคะเน โดยหลงั เสร็จสิ้นกิจกรรมผสู้ อนสามารถจดบนั ทึกส้ันๆ ไวไ้ ด้
แบบที่ 2 กำรสังเกตอย่ำงเป็ นทำงกำร เป็นการสงั เกตอยา่ งมีจุดมุง่ หมายและไดว้ างแผนกาหนดการไว้
ก่อนการสงั เกต มีเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการสังเกตที่ไดเ้ ตรียมการไวแ้ ลว้ เช่น แบบสารวจรายการ แบบมาตรประมาณค่า
ระเบียนพฤติการณ์ หรือเครื่องมืออื่นๆ สาหรับการบนั ทึกอยา่ งเป็นระบบ
การใชว้ ธิ ีการสงั เกตในการประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนท้งั อยา่ งที่เป็ นทางการ ไม่เป็ นทางการ มี
หลกั การที่สาคญั ดงั น้ีคือ
1. ควรวางแผนเป็นข้นั ตอนในการสงั เกต โดยยดึ จุดมุ่งหมายเป็นเกณฑ์
2. การสังเกตคร้ังหน่ึงๆ ควรสงั เกตเพยี งบุคคลเดียวในแตล่ ะสถานการณ์
3. ควรสังเกตสถานการณ์แวดลอ้ มท่ีเกิดข้ึน เพอื่ ประกอบการพจิ ารณาพฤติกรรมที่เกิดข้ึนดว้ ย
4. ควรสงั เกตในหลายๆ สถานการณ์ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจพฤติกรรมโดยละเอียด
5. การสังเกตผเู้ รียนในสถานการณ์เดียว ควรสังเกตหลายๆ คร้ัง
6. การสงั เกตที่ดีควรมีการบนั ทึกทุกคร้ัง
7. ในขณะสังเกตควรทาใจใหเ้ ป็นกลาง
การสงั เกตหากแบ่งตามบทบาทผสู้ งั เกต แบ่งได้ 2 แบบ ดงั น้ี
แบบที่ 1 กำรสังเกตแบบไม่มสี ่วนร่วม เป็นการสังเกตท่ีผูส้ ังเกตไม่ไดม้ ีส่วนร่วมกบั กิจกรรมของผทู้ ี่
ถูกสังเกต เช่น อาจารยน์ ิเทศสังเกตการสอนของนกั ศึกษาฝึกประสบการณ์วชิ าชีพครู เป็นตน้
แบบที่ 2 กำรสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็ นการสังเกตที่ผสู้ ังเกตเป็ นส่วนหน่ึงในกิจกรรม หรือไดร้ ่วม
ทากิจกรรมกบั ผทู้ ี่ถูกสังเกต เช่น ครูผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกนั ของนกั เรียน เป็นตน้

15 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตุรสั 15
ภำพท่ี 2.3 ตวั อยา่ งแบบสังเกตเพือ่ ประเมินพฤติกรรมการทางานร่วมกนั

แบบสังเกตเพ่ือประเมนิ พฤตกิ รรมกำรทำงำนร่วมกนั
รายวิชา……………………………………….เร่ืองที่เรียน……………….………..……ระดบั ช้นั …………..
วนั เดือนปี ..........................................................ประเมิน.....................................................................................

คำชีแ้ จง ใส่เครื่องหมายลงในรายการท่ีแสดงพฤติกรรม และใส่เคร่ืองหมาย  ลงในช่องที่ไมไ่ ด้
แสดงพฤติกรรม

รำยกำรพฤตกิ รรม ระดบั คุณภำพ

่รวมแ ่บงก ุ่ลมด้วยความเต็มใจ 210
่รวมเ ืลอกผู้นาด้วยความเต็ม
ท่ี ชื่อ – สกลุ ใัรจบ ัฟงความ ิคดเ ็หนสมา ิชก
ีมกระบวนการทางานเ ็ปน
่ร้ขัวนมตกัอนนแสดงความ ิคดเ ็หน
ป ิฏบั ิตบทบาท ี่ทได้ ัรบ
่รมวอมบปห ัรมบายป ุรงงานด้วยความ
เพต็อมใใจจกับความสาเ ็รจของงาน
ุ่มงมั่นทางานให้สาเ ็รจ
นาม ิตของก ุ่ลมไปป ิฏบั ิต

รวมคะแนน

หมำยเหตุ
1. การใหค้ ะแนน  ให้ 1 คะแนน  ให้ 0 คะแนน
2. การสรุปผลการประเมินใหเ้ ป็นระดบั คุณภาพ 0, 1, 2 กาหนดเกณฑไ์ ดต้ ามความ
เหมาะสมหรืออาจใชเ้ กณฑด์ งั น้ี
ปฏิบตั ิ 8 รายการข้ึนไป ใหร้ ะดบั คุณภาพ 2 (ดีเยย่ี ม)
ปฏิบตั ิ 6 – 7 รายการ ใหร้ ะดบั คุณภาพ 1 (ดี)
ปฏิบตั ิ 5 รายการลงมา ใหร้ ะดบั คุณภาพ 0 (ควรปรับปรุง)

16 วธิ กี ารและเครือ่ งมือประเมนิ การเรียนร้ขู องผเู้ รียน 16

2.2.2 กำรสัมภำษณ์ (Interview)

การสัมภาษณ์ เป็ นวิธีการรวบรวมขอ้ มูลผูเ้ รียนโดยการพูดคุย สอบถาม ซ่ึงจากการสัมภาษณ์ของ
ครูผสู้ อน จะสามารถเขา้ ใจอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของผเู้ รียนได้ การสัมภาษณ์สามารถสะทอ้ นถึงความสามารถ
ในดา้ นความรู้ ทกั ษะทางการพดู และคุณลกั ษณะได้ การสัมภาษณ์มี 2 แบบ ดงั น้ี

1) กำรสัมภำษณ์แบบมีโครงสร้ำง เป็ นลกั ษณะของการสัมภาษณ์ท่ีผูส้ ัมภาษณ์ไดก้ าหนด
ประเด็นคาถามท่ีตอ้ งการไวแ้ ล้วล่วงหน้าอย่างชัดเจน ท้งั น้ีลกั ษณะของคาถามท่ีมีเป้าหมายของการไดม้ าซ่ึง
ขอ้ มูลหรือคาตอบจากผูใ้ ห้สัมภาษณ์ในลกั ษณะที่เป็ นขอ้ เท็จจริงมากกว่าความคิดเห็นหรือความรู้สึก ท้งั น้ี
ผูส้ ัมภาษณ์อาจส่งคาถามหรือประเด็นการสัมภาษณ์ให้กบั ผูใ้ ห้สัมภาษณ์ล่วงหน้าได้ เพ่ือให้ผูใ้ ห้สัมภาษณ์
สามารถศึกษาหรือเตรียมตวั การใหข้ อ้ มูลไดถ้ ูกตอ้ ง และครอบคลุมตามประเด็นการสมั ภาษณ์

2) กำรสัมภำษณ์แบบไม่มีโครงสร้ำง เป็ นลกั ษณะของการสัมภาษณ์ โดยผูส้ ัมภาษณ์ไดก้ าหนด
วตั ถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ไวอ้ ยา่ งชดั เจน แต่ลกั ษณะของคาถามหรือประเด็นการสัมภาษณ์จะถูกกาหนด
เอาไวอ้ ยา่ งคร่าวๆ และสามารถยืดหยุน่ ไดใ้ นขณะที่ทาการสัมภาษณ์ ลกั ษณะของขอ้ มูลที่เหมาะกบั การใชว้ ิธีการ
สัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง จะเกี่ยวขอ้ งกบั การแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก หรือทศั นคติเกี่ยวกบั เรื่องท่ี
ตอ้ งการสัมภาษณ์ โดยทวั่ ไปแลว้ การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง ผูส้ ัมภาษณ์อาจแจง้ ถึงประเด็นการสัมภาษณ์
ตอ่ ผใู้ หส้ ัมภาษณ์อยา่ งคร่าวๆ วา่ จะพูดคุยในเรื่องใดบา้ ง ผสู้ ัมภาษณ์จึงตอ้ งเตรียมตวั อยา่ งดี และทาความเขา้ ใจใน
วตั ถุประสงคข์ องการสัมภาษณ์เป็ นอยา่ งดี

ข้นั ตอนทว่ั ไปของกำรสัมภำษณ์
ข้นั ท่ี 1 กำรเตรียมกำรสัมภำษณ์ มีแนวปฏิบตั ิดงั น้ี

1.1 กาหนดจุดประสงคใ์ หแ้ น่ชดั วา่ อะไรที่ตอ้ งการรู้ เพ่ืออะไร เพราะจะช่วยให้เตรียมคาถามได้
รัดกมุ

1.2 การเตรียมคาถาม ควรเป็ นคาถามที่มุ่งจะให้ไดค้ าตอบตามจุดมุ่งหมาย และเป็ นคาถามท่ีจะ
ช่วยกระตุน้ ใหผ้ รู้ ับการสัมภาษณ์ตอบไดอ้ ยา่ งไมต่ ิดขดั

1.3 เลือกสถานที่หรือจดั สถานที่ใหเ้ หมาะสม ตอ้ งไม่มีเสียงอึกทึก มีลกั ษณะเป็ นสัดส่วน ไม่มี
บุคคลภายนอกมารบกวน

1.4 จดั เวลาใหเ้ หมาะสมแก่การสมั ภาษณ์
1.5 ผสู้ มั ภาษณ์ตอ้ งทาตวั ให้ปลอดจากภารกิจ
ข้นั ที่ 2 กำรสร้ำงควำมสัมพนั ธ์กบั ผู้รับกำรสัมภำษณ์
2.1 ควรเตรียมบรรยากาศท่ีเหมาะสม ให้การตอ้ นรับดว้ ยความอบอุ่น สร้างความเป็ นกนั เอง
โดยเริ่มสนทนาในหวั ขอ้ ทว่ั ๆ ไปก่อนจึงเร่ิมคาถามที่เตรียมไว้
2.2 ผสู้ มั ภาษณ์ควรแสดงความเป็นมิตร ใหเ้ กียรติ มีลกั ษณะท่าทางเปิ ดเผย ใชค้ าพูดท่ีเหมาะสม
ไม่พูดย้าคาพดู ท่ีดูรุนแรง แสดงความสนใจและต้งั ใจฟัง และสรุปการสมั ภาษณ์ไปในทางบวก

17 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั รุ สั 17

ข้นั ท่ี 3 กำรดำเนินกำรสัมภำษณ์
3.1 ดาเนินการสัมภาษณ์ตามแนวคาถามหรือประเด็นท่ีเตรียมไว้
3.2 ผสู้ ัมภาษณ์ควรตระหนกั อยูต่ ลอดเวลาถึงวตั ถุประสงคข์ องการสัมภาษณ์ เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มูล

อยา่ งครบถว้ น
3.3 อยา่ เร่งรัด หรือมุ่งเนน้ ประเด็นการสัมภาษณ์เพื่อใหไ้ ดค้ าตอบหรือขอ้ มูลจนเกินไป เพราะ

อาจสร้างความอึดอดั แก่ผใู้ หส้ ัมภาษณ์ได้
ข้นั ท่ี 4 กำรยตุ กิ ำรสัมภำษณ์
4.1 ในการยุติการสัมภาษณ์ พยายามให้ผูถ้ ูกสัมภาษณ์สรุปส่ิงท่ีเขารู้สึกและคิด ขณะให้

สัมภาษณ์ เมื่อยตุ ิการสมั ภาษณ์ควรพูดแบบนุ่มนวลใหร้ ู้สึกมีความจริงใจต่อกนั
4.2 เม่ือสิ้นสุดการสัมภาษณ์ตอ้ งรีบบนั ทึกผลทนั ที หากทิ้งไวน้ านอาจจะลืมขอ้ มูล และทาใหม้ ี

การตีความผิดพลาดได้
บุคคลทคี่ วรสัมภำษณ์
การสัมภาษณ์ในฐานะของวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียน ผูส้ อนในฐานะของผูส้ ัมภาษณ์ควร

คานึงถึงกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวขอ้ งดงั น้ี
1) ครูทีป่ รึกษำ เป็ นบุคคลหน่ึงท่ีสามารถให้ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ผเู้ รียนท่ีตนเองรับผิดชอบได้ ผสู้ อนบางท่าน

สามารถที่จะรู้ถึงประวตั ิความเป็ นมาของผูเ้ รียนเป็ นอยา่ งดี ดงั น้นั การสัมภาษณ์ผูส้ อนจึงเป็ นขอ้ มูลท่ีน่าสนใจ
การสัมภาษณ์น้นั อาจจะออกแบบสัมภาษณ์หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนซ่ึงกนั และกนั เวลาในการสัมภาษณ์จะข้ึนอยู่
กบั เวลาวา่ ง เวลารับประทานอาหารกลางวนั

2) เพื่อนผู้เรียน เป็ นบุคคลอีกกลุ่มหน่ึงที่มีความใกลช้ ิดกบั ผูเ้ รียน เพื่อนจะมีความสนิทสนมกนั มาก จะ
รู้ขอ้ มูลที่หลากหลาย ขอ้ มูลที่สัมภาษณ์จากกลุ่มเพื่อนผูเ้ รียนสามารถรู้จุดเด่นจุดดอ้ ย ส่วนใดควรแกไ้ ข ผเู้ รียนมี
ความบกพร่องดา้ นใดบา้ ง ผสู้ อนสามารถสัมภาษณ์ในชวั่ โมงสอนหรือเวลาท่ีเหมาะสมได้

3) ผ้ปู กครอง เป็นบุคคลท่ีมีบทบาทต่อการเรียนรู้ของผูเ้ รียนมากที่สุด ครูผสู้ อนควรสัมภาษณ์ผปู้ กครอง
เพ่อื นาขอ้ มูลท่ีไดม้ าประกอบในการประเมินไดเ้ ป็ นอยา่ งดี

18 วธิ กี ารและเครอื่ งมือประเมินการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น 18

ภำพที่ 2.4 ตวั อยา่ งแบบสัมภาษณ์
แบบสัมภำษณ์

กำรสัมภำษณ์คร้ังที่………….
ช่ือผถู้ ูกสมั ภาษณ์…………………………………………….อาย…ุ ……….ปี ช้นั ………………
วนั ท่ี………เดือน……….…….พ.ศ…………สถานท่ี………………..……เวลา……………..น.

จุดมุ่งหมำยของกำรสัมภำษณ์
1. เพือ่ พฒั นาวธิ ีการจดั การเรียนรู้วชิ าคณิตศาสตร์สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4

ประเด็นในกำรสัมภำษณ์
1. นกั เรียนคิดวา่ คณิตศาสตร์มีความสาคญั ต่อนกั เรียนหรือไม่ อยา่ งไร
2. วธิ ีการเรียนแบบใดท่ีนกั เรียนชอบมากท่ีสุด และเพราะเหตุใด
3. นกั เรียนคิดวา่ ครูคณิตศาสตร์ควรสอนอยา่ งไรใหน้ กั เรียนเกิดความเขา้ ใจและนาความรู้ไปใชไ้ ด้
4. หอ้ งเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ควรมีบรรยากาศอยา่ งไร ที่จะช่วยส่งเสริมสนบั สนุนการเรียนรู้ของ
นกั เรียน
5. สื่อการเรียนรู้แบบใดท่ีควรนามาใชใ้ นหอ้ งเรียนคณิตศาสตร์

สรุปผลกำรสัมภำษณ์
1. เจตคติของนกั เรียนท่ีมีต่อวชิ าคณิตศาสตร์………………………………………………………
2. วธิ ีการเรียนที่เหมาะสมกบั ผเู้ รียน……………………………………………………………….
3. บทบาทการสอนของครูคณิตศาสตร์……………………………………………………………
4. บรรยากาศการเรียนรู้……………………………………………………………………………
5. สื่อการเรียนรู้……………………………………………………………………………………

ข้อสังเกตของผ้สู ัมภำษณ์
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
ข้อเสนอแนะ
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………….ผสู้ มั ภาษณ์

19 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตุรสั 19

2.2.3 กำรใช้คำถำม (Questioning)

การใช้คาถามเป็ นวิธีการท่ีช่วยให้ผูส้ อนสามารถประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนได้ง่ายที่สุด
โดยเฉพาะดา้ นความรู้และความคิดของผเู้ รียน อีกท้งั เป็ นวิธีการท่ีทาไดอ้ ยา่ งไม่เป็ นทางการ Clarke (2005)
ไดเ้ สนอวธิ ีการฝึกถามใหม้ ีประสิทธิภาพ 5 วธิ ี ดงั น้ี

วิธีท่ี 1 ให้คำตอบท่ีเป็ นไปได้หลำกหลำย เป็ นวิธีที่ง่ายท่ีสุดในการเร่ิมตน้ เปล่ียนการถาม
แบบความจาให้เป็ นคาถามที่ตอ้ งใชก้ ารคิดบา้ งเพราะมีคาตอบที่เป็ นไปไดห้ ลายคาตอบ (แต่พึงระวงั วา่ การ
ใช้คาถามหมายความว่าผูเ้ รียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเขา้ ใจพ้ืนฐานตามตวั ช้ีวดั ท่ีกาหนดให้เรียนรู้
มาแลว้ ) คาถามแบบน้ีทาใหผ้ เู้ รียนตอ้ งใชก้ ารตดั สินใจวา่ คาตอบใดถูก หรือใกลเ้ คียงท่ีสุดเพราะเหตุใด และ
ที่ไมถ่ ูกเพราะเหตุใด นอกจากน้ี การใชค้ าถามแบบน้ีจะทาให้ผูเ้ รียนเรียนรู้ยงิ่ ข้ึนอีกหากมีกิจกรรมใหผ้ เู้ รียน
ทาเพอ่ื พิสูจนค์ าตอบ

วิธีท่ี 2 เปล่ียนคำถำมประเภทควำมจำให้เป็ นคำถำมประเภทที่ผู้เรียนต้องแสดงควำม
คิดเห็นพร้อมเหตุผล การใช้วิธีน้ีจะตอ้ งให้ผูเ้ รียนไดอ้ ภิปรายกนั ผูเ้ รียนตอ้ งใชก้ ารคิดท่ีสูงข้ึนกวา่ วิธีแรก
เพราะผูเ้ รียนจะตอ้ งยกตวั อย่างสนบั สนุนความเห็นของตน เมื่อให้ประโยคที่ผูเ้ รียนจะตอ้ งสะทอ้ นความ
คิดเห็น ผเู้ รียนจะตอ้ งปกป้องหรืออธิบายทศั นะของตน การฝึ กดว้ ยวิธีการน้ีบ่อย ๆ จะเป็ นการพฒั นาผเู้ รียน
ใหเ้ ป็นผฟู้ ังท่ีดี มีจิตใจเปิ ดกวา้ งพร้อมรับฟัง และเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นโดยผา่ นกระบวนการอภิปราย ครู
ใชว้ ิธีการน้ีกดดนั ให้เกิดการอภิปรายอย่างมีคุณภาพสูงระหว่างเด็กต่อเด็ก และให้ขอ้ มูลเพื่อการพฒั นาแก่
ทุกคนในช้นั เรียน

วิธีที่ 3 หำสิ่งตรงกันข้ำม หรือสิ่งท่ีใช่/ถูก สิ่งท่ีไม่ใช่/ผิด และถามเหตุผล วธิ ีการน้ีใชไ้ ดด้ ี
กบั เน้ือหาท่ีเป็ นขอ้ เท็จจริง เช่น จานวนในวิชาคณิตศาสตร์ การสะกดคา โครงสร้างไวยากรณ์ในวิชาภาษา
เป็ นตน้ เมื่อไดร้ ับคาถามว่าทาไมทาเช่นน้ีถูก แต่ทาเช่นน้ีผิด หรือทาไมผลบวกน้ีถูก แต่ผลบวกน้ีผิด หรือ
ทาไมประโยคน้ีถูกไวยากรณ์แต่ประโยคน้ีผิดไวยากรณ์ เป็ นตน้ จะเป็ นโอกาสให้ผูเ้ รียนคิดและอภิปราย
มากกวา่ เพยี งการถามวา่ ทาไมโดยไมม่ ีการเปรียบเทียบกนั และวธิ ีการน้ีจะใชก้ บั การทางานคู่มากกวา่ ถามท้งั
หอ้ ง แลว้ ใหย้ กมือตอบ

วิธีท่ี 4 ให้คำตอบประเด็นสรุปแล้วตำมด้วยคำถำมให้คิด เป็ นการให้ผูเ้ รียนตอ้ งอธิบาย
ขยายความเพ่มิ เติม

วธิ ีที่ 5 ต้ังคำถำมจำกจุดยืนที่เห็นต่ำง เป็ นวิธีท่ีตอ้ งใชค้ วามสามารถมากท้งั ผูส้ อนและ
ผูเ้ รียน เพราะมีประเด็นที่ตอ้ งอภิปรายโตแ้ ยง้ เชิงลึกเหมาะที่จะใช้อภิปรายในประเด็นท่ีเก่ียวกบั สภาพ
เศรษฐกิจ สังคม ปัญหาสุขภาพ ปัญหาเชิงจริยธรรม เป็นตน้

ตวั อยา่ งการต้งั คาถามตามเป้าหมายของการจดั การเรียนรู้และชนิดคาถาม ดงั ตารางท่ี 2.2

20 วิธกี ารและเครอ่ื งมือประเมนิ การเรียนรขู้ องผู้เรยี น 20

ตำรำงท่ี 2.3 ตวั อยา่ งคาถามท่ีช่วยกระตุน้ ความคิดผเู้ รียน
ชนิดคำถำม เป้ำหมำย ตัวอย่ำง
สารวจ ตรวจหาขอ้ เทจ็ จริงและความรู้ มีหลกั ฐานจากผลการวิจยั สนับสนุน...
พ้นื ฐาน อยา่ งไรบา้ ง
ทา้ ทาย สารวจหาขอ้ สมมติฐาน ขอ้ สรุป และ มีอยา่ งอื่นอีกบา้ งไหม ที่เราควรทา
ขอ้ ตีความ
เปรียบเทียบ ถามเพอ่ื เปรียบเทียบประเด็นหลกั เปรียบเทียบระหวา่ ง......กบั ..........
แนวความคิด หรือประเด็น เป็นอยา่ งไร
วนิ ิจฉยั แจกแจงหาแรงกระตุน้ หรือสาเหตุ ทาไม....
ถามหาการดาเนินการ หาขอ้ สรุป หรือขอ้ ปฏิบตั ิ เพอื่ สนองตอ่ ....สิ่งที่.....ควรทาคือ......
เหตุและผล ถามความสัมพนั ธ์เชิงเหตุและผล ถา้ ....เกิดข้ึน จะเกิดอะไรข้ึนตามมา
ระหวา่ งแนวความคิด การกระทา หรือ
เหตุการณ์
การขยายผล ขยายการอภิปราย มีแนวทาง หรือความคิดเพิ่มเติมอย่างไร
บา้ ง
สมมติฐาน เสนอเปล่ียนแปลงขอ้ เทจ็ จริงหรือ สมมติว่า....เกิดข้ึน ผลจะเป็ นอยา่ งเดิม
ประเด็น หรือไม่
ลาดบั ความสาคญั เสาะหาประเดน็ ท่ีสาคญั ที่สุด จากที่เราหารือกันมา เรื่องไหนสาคัญ
ท่ีสุด
สรุป ใหข้ อ้ สงั เคราะห์ เราไดข้ อ้ สรุปอยา่ งไรบา้ ง
ปัญหา ทา้ ทายผเู้ รียนใหห้ าทางแกป้ ัญหา จะเกิดอะไรข้ึน ถา้ ....
สมมติ หรือปัญหาจริง (ควรมีหลายคาตอบ)
ตีความ ช่วยใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจความหมายหลาย จากสิ่งท่ีเราได้เห็น ได้ยิน หรือได้อ่าน
ความหมายของแตล่ ะเรื่อง ตีความไดว้ า่ อยา่ งไร
ประยกุ ต์ ตรวจหาความสัมพนั ธ์และขอให้ เม่ือรู้เช่นน้ีแลว้ จะทาอยา่ งไรตอ่ ไป
ผเู้ รียนเช่ือมโยงทฤษฎีเขา้ กบั ปฏิบตั ิ
ประเมิน ใหผ้ เู้ รียนไดป้ ระเมินและตดั สินใจ อนั ไหนดีกว่า ขอ้ เปรียบเทียบน้ีสาคญั
อยา่ งไร จะทาอะไรต่อ
ตรวจสอบความแม่นยา ใหผ้ เู้ รียนไดต้ รวจสอบความถูกตอ้ ง เรารู้ได้อย่างไร ข้อมูลหลักฐานเป็ น
ของถอ้ ยคา ขอ้ โตแ้ ยง้ และขอ้ สรุป อยา่ งไร หลกั ฐานน่าเชื่อถือแค่ไหน
และเพอื่ วเิ คราะห์ความคิด และทา้ ทาย
สมมติฐานของตนเอง

21 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจตั ุรัส 21

2.2.4 กำรสอบถำม (Questionnaire)

การสอบถามเป็ นวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลที่ผเู้ รียนสามารถตอบขอ้ มูลไดด้ ว้ ยตนเอง ในการจดั การ
เรียนการสอน ผสู้ อนสามารถใชก้ ารสอบถามในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากผูเ้ รียน ผปู้ กครอง ซ่ึงอาจจะเป็ น
ขอ้ มูลเก่ียวกบั ความรู้สึก ความสนใจ ขอ้ มูลพ้ืนฐานในดา้ นต่างๆ ซ่ึงการสอบถามอาจใชเ้ คร่ืองมือประกอบ
ในหลายลกั ษณะ ดงั ภาพท่ี 2.5 และภาพ 2.6

ภำพท่ี 2.5 ตวั อยา่ งแบบสอบถามสภาพครอบครัว
แบบสอบถำมสภำพครอบครัว

คำชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนเขียนเติมขอ้ ความต่อไปน้ีตามความเป็นจริง
1. ชื่อผเู้ รียน…………………………………………………………………………………
2. ชื่อบิดา………………………………อาชีพ………………รายได/้ เดือน…………….บาท
3. ชื่อมารดา……………………………อาชีพ………………รายได/้ เดือน…………….บาท
4. จานวนพี่นอ้ ง(รวมตวั ผเู้ รียน)…………………….คน ชาย…………คน หญิง……..คน
5. ที่อยปู่ ัจจุบนั ของผเู้ รียน……………………………………………………………………
6. ปัจจุบนั อาศยั อยกู่ บั ……………………………………………………………………......

ฯลฯ

ภำพที่ 2.6 แบบสอบถามความสนใจและประสบการณ์

แบบสอบถำมควำมสนใจและประสบกำรณ์

ช่ือ…………………………………………….ช้นั …………………………………
คำชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนอา่ นขอ้ ความที่กาหนดแลว้ ขีดเคร่ืองหมาย  ใน  ท่ีสอดคลอ้ งกบั การปฏิบตั ิ
ของผเู้ รียน
1. ขา้ พเจา้ ชอบใชเ้ วลาวา่ งดว้ ยการ
 อ่านหนงั สือ  ดูโทรทศั น์  เล่นกีฬา
 นอน

 อื่น ๆ (โปรดระบุ)…………………………………..

2. ขา้ พเจา้ ชอบอา่ นหนงั สือประเภท  ชอบทุกประเภท  ไมช่ อบเลย

 นวนิยาย  การ์ตูน
3. ขา้ พเจา้ เล่นดนตรี
 ไม่เป็น
 เป็น

ฯลฯ

22 วธิ ีการและเครอ่ื งมอื ประเมินการเรียนรขู้ องผูเ้ รียน 22

2.2.5 กำรตรวจผลงำน

การตรวจผลงานเป็ นวิธีการที่ผูส้ อนใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนได้ ซ่ึงอาจเป็ น
การตรวจสอบความถูกตอ้ งของแบบฝึ กหัด ผลการปฏิบตั ิงาน ผลผลิตชิ้นงาน ภาระงาน โครงงาน ฯลฯ
ครูผสู้ อนสามารถตรวจสอบความคลาดเคลื่อนมโนมติ (misconcept) จากผลงานของผเู้ รียนได้ ผลการตรวจ
สามารถสะทอ้ นกลบั ไปยงั ผเู้ รียนใหไ้ ดป้ รับปรุงผลงาน รวมท้งั สะทอ้ นผลกลบั มาที่ครูผสู้ อนให้ไดป้ รับปรุง
การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนของตนเองได้

หลกั เกณฑ์ในกำรตรวจผลงำน
1) ครูผู้สอนไม่จำเป็ นต้องนำผลงำนทุกชิ้นมำประเมิน อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานที่ดีที่สุดของผูเ้ รียน
และบอกความสามารถของผูเ้ รียนได้ เป็ นการรู้จุดแข็งจุดอ่อนของผูเ้ รียน เพ่ือสร้างแรงกระตุน้ ให้ผูเ้ รียน
พยายามผลิตงานท่ีดีๆ ออกมา
2) ชิ้นงำนแต่ละชิ้นทน่ี ำมำประเมนิ ไม่จำเป็ นต้องเป็ นเรื่องเดียวกนั

2.1 อาจจะประเมินชิ้นงานที่ผเู้รียนทาข้ึนเองนอกเหนือจากที่ผสู้ อนกาหนดให้ ผลงานที่หลากหลายจะ
ทาใหค้ รูผสู้ อนรู้จกั ผเู้ รียนมากข้ึน และประเมินความสามารถของผูเ้ รียนตามสภาพท่ีแทจ้ ริงไดแ้ ม่นยาย่งิ ข้ึน

2.2 เกณฑใ์ นการประเมิน ตอ้ งใชว้ ิธีที่หลากหลายและบอกความหมายของเกณฑก์ ารประเมินแก่
ผถู้ ูกประเมินทราบดว้ ย

ภำพท่ี 2.7 ตวั อยา่ งแบบบนั ทึกคะแนนเพือ่ ประเมินผลงานนกั เรียน
แบบบันทกึ คะแนนเพื่อประเมนิ ผลงำนนักเรียน
รายวชิ า.............…………………………………..เร่ือง..............………………………ช้นั ปี ....……
หน่วยการเรียนรู้ท่ี……………………เรื่อง……………………….ผลงาน/ชิ้นงาน…………………
เลขที่ ชื่อ-สกลุ จุดเด่น ข้อควร คะแนน ผลประเมนิ
ปรับปรุง

เกณฑ์กำรประเมนิ
8 – 10 คะแนน ดี
5 – 7 คะแนน พอใช้
0 – 4 คะแนน ปรับปรุง

23 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั ุรสั 23

2.2.6 กำรรำยงำนตนเอง (Self Report)

การรายงานตนเองเป็ นการใหผ้ ูเ้ รียนเขียนบรรยายหรือตอบคาถามส้ันๆ หรือตอบแบบทดสอบถาม
ที่ผสู้ อนสร้างข้ึน เพ่อื สะทอ้ นถึงการเรียนรู้ของผูเ้ รียนท้งั ความรู้ ความเขา้ ใจ วิธีคิด วิธีทางาน ความพอใจใน
ผลงาน ความตอ้ งการพฒั นาตนเองใหด้ ีข้ึน
ภำพที่ 2.8 ตวั อยา่ งแบบเขียนรายงานตนเอง

แบบเขียนรำยงำนตนเอง
คำชี้แจง ใหผ้ เู้ รียนเลือกงานเขียนชิ้นที่ผเู้ รียนตอ้ งการใหผ้ สู้ อนประเมินแลว้ ตอบคาถามต่อไปน้ี

1. ทาไมผเู้ รียนจึงเลือกงานชิ้นน้ี
………………………………………………………………………………………………………………

2. จุดเด่นของงานชิ้นน้ีคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………………

3. จากงานชิ้นน้ีผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ งเกี่ยวกบั เร่ืองที่เรียน
………………………………………………………………………………………………………………

4. ถา้ ไดท้ างานชิ้นน้ีต่อ ผเู้ รียนจะทาใหด้ ีข้ึนไดอ้ ยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………

5. ผเู้ รียนจะใหร้ ะดบั คะแนนผลงานน้ีเท่าไร พร้อมท้งั บอกเหตุผลดว้ ย
………………………………………………………………………………………………………………

2.2.7 กำรเขยี นสะท้อนกำรเรียนรู้ (Journals)

การเขียนสะทอ้ นการเรียนรู้เป็ นรูปแบบการบนั ทึกการเขียนอีกรูปแบบหน่ึงท่ีให้ผูเ้ รียนเขียนตอบ
กระทู้ หรือคาถามของครูผสู้ อน ซ่ึงจะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความรู้ ทกั ษะท่ีกาหนดในตวั ช้ีวดั การเขียนสะทอ้ น
การเรียนรู้น้ีนอกจากทาให้ผูส้ อนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยงั ใช้เป็ นเคร่ืองมือประเมิน
พฒั นาการดา้ นทกั ษะการเขียนไดอ้ ีกดว้ ย
ภำพท่ี 2.9 ตวั อยา่ งแบบเขียนสะทอ้ นการเรียนรู้

แบบเขยี นสะท้อนกำรเรียนรู้
คำชีแ้ จง จากการเรียนบทน้ี ใหน้ กั เรียนเขียนสะทอ้ นผลการเรียนรูด้ งั ตอ่ ไปน้ี

1. นกั เรียนไดร้ ับความรู้และทกั ษะอะไรบา้ ง และจะนาไปใชป้ ระโยชน์อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………

2. ส่ิงที่นกั เรียนชอบมากท่ีสุดจากการเรียนวชิ าน้ี
………………………………………………………………………………………………………………

3. นกั เรียนคิดวา่ มีอะไรบา้ งท่ีตอ้ งปรับปรุงการเรียนในคร้ังน้ี
………………………………………………………………………………………………………………

24 วิธีการและเครื่องมือประเมนิ การเรียนรขู้ องผ้เู รียน 24

2.2.8 กำรประเมนิ ด้วยข้อสอบ (Testing)

การประเมินดว้ ยขอ้ สอบยงั เป็ นวิธีการประเมินที่มีความจาเป็ นในการวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
โดยเฉพาะในเรื่องความรู้และพฒั นาการความรู้ เพราะเป็ นวิธีท่ีสามารถประเมินสัมฤทธ์ิไดด้ ี และเป็ นวิธีท่ี
ผสู้ อนใชเ้ ป็นส่วนใหญ่

ประเภทของข้อสอบ

1) แบบทดสอบประเภทเขยี นตอบ (Supply Type)
(1) แบบทดสอบอตั นยั ไม่จากดั คาตอบ (Essay-Extended Response)
(2) แบบทดสอบอตั นยั จากดั คาตอบ (Essay-Restricted Response)
(3) แบบทดสอบตอบส้ัน (Short Answer)
(4) แบบทดสอบเติมคาใหส้ มบูรณ์ (Completion)

2) แบบทดสอบประเภทเลือกตอบ (Selection Type)
(1) แบบทดสอบถูก-ผดิ (True-False)
(2) แบบทดสอบจบั คู่ (Matching)
(3) แบบทดสอบหลายตวั เลือก (Multiple-Choice)

คำถำมตำมระดับข้นั ของสมรรถภำพสมอง

ชวาล แพรัตกุล (2520 อา้ งถึงใน ไพศาล สุวรรณนอ้ ย, 2558) ไดน้ าเสนอตวั อยา่ งการถามตามท่ี Bloom
(1956) ไดแ้ บง่ ระดบั ข้นั ของสมรรถภาพสมองไว้ ดงั น้ี
1.00 คำถำมประเภทควำมรู้ควำมจำ

1.10 คำถำมด้ำนควำมรู้ในเนื้อเรื่อง การถามถึงเร่ืองราวและความจริง ความสาคญั ต่างๆ ของเน้ือหาน้นั
1.11 คาถามเกี่ยวกบั ศพั ทแ์ ละนิยาม ถามความหมายของศพั ท์ คาจากดั ความของคาและความหมาย

ของสญั ลกั ษณ์ หรือภาพ อกั ษรยอ่ และเครื่องหมายต่างๆ ในวชิ าน้นั
- ถามชื่อ เช่น ใครเป็นผคู้ น้ พบจุลชีวนั
- ถามคาแปล เช่น ... มีความหมายเหมือนกบั - ตรงกบั - คลา้ ยกบั - ทานองเดียวกบั -
ใกลเ้ คียงที่สุดกบั อะไร
- ถามความหมาย เช่น ยาท่ีมีภาพหวั กะโหลกและกระดูกไขวห้ มายความวา่ อะไร
- ถามตวั อยา่ ง เช่น อาหารใดเป็ นพวกโปรตีน
- ถามตรงขา้ ม เช่น ตึงตรงขา้ มกบั คาใด

1.12 คาถามเกี่ยวกบั สูตร กฎ ความจริง ความสาคญั
- ถามสูตร กฎ เช่น การหาพ้นื ท่ีของรูปสี่เหล่ียมมุมฉาก ตอ้ งใชส้ ูตรใด

25 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจตั ุรสั 25

- ถามเน้ือหา เช่น ลกั ษณะอาการใดท่ีแสดงวา่ ออกกาลงั กายมากเกินไป
- ถามขนาดจานวน เช่น ผวิ หนงั ส่วนใดบางที่สุด
- ถามสถานที่ เช่น อวยั วะใดดูดอาหารไปเล้ียงร่างกาย
- ถามเวลา เช่น คนเราจะหยดุ เจริญเติบโตเมื่ออายกุ ี่ปี
- ถามคุณสมบตั ิ เช่น เมื่อหลบั สนิทหวั ใจทางานอยา่ งไร
- ถามวตั ถุประสงค์ เช่น เราฝึกหดั พลศึกษาไปทาไม
- ถามสาเหตุ และ ผลท่ีเกิดข้ึน เช่น การกล้นั ปัสสาวะจะใหโ้ ทษแก่อวยั วะใดมาก
- ถามประโยชน์และคุณโทษ เช่น การเล่นฟุตบอล ดีกวา่ การวงิ่ เล่นในขอ้ ใด
- ถามหนา้ ที่ เช่น สมองเล็กท่ีทา้ ยทอย ทาหนา้ ที่อะไร
1.20 คำถำมด้ำนวธิ ีดำเนินกำร ถามวธิ ีประพฤติปฏิบตั ิ และ วธิ ีดาเนินการในกิจการงาน และเรื่องราวตา่ งๆ
1.21 ถามเก่ียวกบั ระเบียบแบบแผน
- ถามแบบแผนแบบฟอร์ม เช่น ในหอ้ งอาหารควรประดบั ดว้ ยภาพใด
- ถามธรรมเนียม ประเพณี วฒั นธรรม เช่น ขอ้ ใดเป็นมารยาทในการดูกีฬา
1.22 ถามเก่ียวกบั ลาดบั ข้นั และแนวโนม้
- ถามลาดบั ข้นั เช่น การช่วยคนเป็นลมควรทาอะไรก่อน
- ถามแนวโนม้ เช่น โรคชนิดใดมีแนวโนม้ สูงข้ึน ในระยะ 2-3 ปี น้ี
1.23 ถามเกี่ยวกบั การจดั ประเภท
- ถามชนิดประเภท เช่น ปอดเป็นอวยั วะระบบใด
- ถามเขา้ พวก เช่น น้าเหงื่อมีลกั ษณะคลา้ ยกบั อะไร
- ถามตา่ งพวก เช่น อวยั วะชนิดใดเป็นคนละประเภทกบั หวั ใจ
1.24 ถามเกี่ยวกบั เกณฑ์ เช่น การพกั ผอ่ นที่ดีมีลกั ษณะอยา่ งไร
1.25 ถามเกี่ยวกบั วธิ ีการ
- ถามวธิ ี เช่น ขอ้ ใดเป็ นการกาจดั ขยะที่ผดิ วธิ ี
- ถามการปฏิบตั ิ เช่น เม่ือใชเ้ ทอร์โมมิเตอร์ตรวจไขจ้ ะตอ้ งปฏิบตั ิอยา่ งไร
- ถามเปรียบเทียบ เช่น วธิ ีช่วยหายใจวธิ ีใดท่ีมีประสิทธิภาพมากที่สุด
1.30 คำถำมด้ำนควำมรู้รวบยอด
1.31 ถามเกี่ยวกบั หลกั วิชาและการขยายหลกั วิชา ถามให้บอกคติหรือหวั ใจท่ีเป็ นหลกั วิชาของ
เรื่องราวน้นั ถามลกั ษณะ หรือคุณสมบตั ิที่เป็ นความจริงทวั่ ไปของเรื่องน้นั หรือถามให้เอาคติหรือหลกั การ
น้นั ไปเกี่ยวขอ้ งกบั สภาพอื่นอีกแห่งหน่ึง เช่น วิตามินและเกลือแร่เหมือนกนั ในเร่ืองใด ความเร็วในการเตน้
ของหวั ใจข้ึนอยกู่ บั อะไร
1.32 ถามเกี่ยวกบั ทฤษฎีและโครงสร้าง ถามเก่ียวกบั คติและหลกั การจากของหลายส่ิง หลายเน้ือหา
ที่สัมพนั ธ์กนั เป็นพวกเดียวกนั และอยใู่ นสกลุ เดียวกนั ดว้ ย เช่น การชงั่ ตวง วดั มีหลกั การใดที่เหมือนกนั

26 วิธีการและเคร่ืองมือประเมินการเรยี นร้ขู องผู้เรียน 26

2.00 คำถำมประเภทควำมเข้ำใจ
เป็ นการถามความสามารถในการผสมแล้วขยายความรู้ความจาให้ไกลออกไปจากเดิมอย่าง

สมเหตุสมผล
2.10 คำถำมด้ำนกำรแปลควำม
1) ถำมให้แปลควำมหมำยของคำและข้อควำม
- ถามใหแ้ ปลความหมายของคาตามนยั ของเร่ือง เช่น คาช้ีแจง อ่านกลอนน้ีแลว้ ตอบคาถามขอ้ 1-2
"ท่านเจา้ ขาฉนั พาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนใหเ้ ป็นแก่นสาร"
(1) คาวา่ "ทา่ น" ในท่ีน้ีหมายถึงใคร
(ผมู้ ีอายุ - ผมู้ ีเงิน - ผทู้ รงศีล - ผมู้ ีพระคุณ)
(2) ตอ้ งการใหผ้ ใู้ ดเป็นแก่นสาร
(ฉนั - เจา้ - ท่าน - เด็ก)
- ถามใหแ้ ปลความหมายของกลุ่มคา เช่น ที่วา่ เมืองไทยเป็ น "อู่ขา้ วอูน่ ้า" น้นั หมายความวา่ อะไร
(มีอาหาร - มีทรัพยากรมาก - มีแมน่ ้าหลายสาย - มีการเกษตรมาก - มีพ้ืนท่ีอุดมสมบูรณ์)
- ถามใหย้ กตวั อยา่ งที่แปลกใหม่ เช่น สิ่งใดเป็นสาธารณสมบตั ิ
(ป้ายช่ือบา้ น - ป้ายถนน - ป้ายร้านคา้ - ป้ายโฆษณา)
- ถามใหเ้ ปรียบเปรย เช่น การกินอาหารเปรียบไดก้ บั ขอ้ ใด
(การแกร้ ถยนต์ - การตีราคารถยนต์ – การทดลองเคร่ืองยนต์ – การรักษาเคร่ืองยนต์ –
การตรวจสอบเคร่ืองยนต)์
2) แปลควำมหมำยของภำพและสัญลกั ษณ์
- ถามใหแ้ ปลความหมายของภาพและวตั ถุส่ิงของ เช่น ภาพน้ีเป็นตวั อยา่ งของอะไร (ความซุกซน -

ความหลงลืม - ความโง่เขลา - ความเลินเล่อ- ความประมาท)
- ถามใหแ้ ปลความหมายของสญั ลกั ษณ์ สูตร กฎ กราฟ และตาราง เช่น เครื่องหมายครุฑหมายถึง

อะไร (อานาจสูงสุด - มีฤทธ์ิมาก ...)
- ถามใหแ้ ปลความหมายของพฤติกรรมและพฤติการณ์ เช่น การเตน้ ของชีพจรคือการกระเทือนของ

อะไร (ปอด – หวั ใจ – เส้นโลหิตดา – เส้นโลหิตแดง - ลมหายใจเขา้ )
3) แปลถอดควำม
- ใหถ้ อดความตา่ งลกั ษณะ เช่น ขอ้ ใดคลา้ ยกบั "นกั ปราชญร์ ู้พล้งั " ? (พอ่ แม่ตีลูก - ครูบวกเลขผดิ -

นกั เรียนทะเลาะกนั – หวั หนา้ ช้นั หนีโรงเรียน)
- ใหถ้ อดความตา่ งภาษา เช่น ใหแ้ ปลความหมายของคาและขอ้ ความจากภาษาหน่ึงไปเป็นอีกภาษา

หน่ึง เช่น จากภาษาไทยเป็นภาษาองั กฤษ

27 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรัส 27

2.20 คำถำมด้ำนกำรตคี วำม
1) ตีควำมหมำยของเร่ือง เช่น ผลการทดลองน้ี (การกระทา,ปฏิบตั ิ) อาจสรุปไดเ้ ช่นไร? (- แสงเป็น

พลงั งาน)
2) ตีควำมหมำยของข้อเทจ็ จริง เช่น "วฒั นาตอ้ งการทดลองเก่ียวกบั ชีวติ ของยงุ เขาจบั ยงุ 10 ตวั มา

ขงั ไวใ้ นกล่องมุง้ ลวด 2 วนั ปรากฏวา่ ยงุ ตายไป 5 ตวั "
- การท่ียุงตาย แสดงใหเ้ ห็นสภาพของอะไร (การอดน้า – อดอาหาร – ขาดอากาศ – กล่องเล็กคบั

แคบ – ไมท่ ราบสาเหตุ)
- ทาไมยงุ อีก 5 ตวั จึงไม่ตาย (แขง็ แรง–อายมุ าก–ตวั โตกวา่ –เป็นยงุ อายนุ อ้ ย–ไมท่ ราบสาเหตุแน่ชดั )

2.30 คำถำมด้ำนกำรขยำยควำม
1) ขยายความแบบจินตภาพ เช่น เหตุการณ์ (การกระทาน้ี, เร่ืองราวน้ี) เกิดข้ึนที่ไหน (...ในป่ า...)
2) ขยายความแบบพยากรณ์ เช่น เราอาจคาดเร่ืองตอนจบไดว้ า่ อยา่ งไร (...พระเอกไดแ้ ต่งงาน...)
3) ขยายความสมมติ เช่น ถา้ ใชน้ ้าแขง็ แทนน้าธรรมดา ผลการทดลองจะเป็ นเช่นไร (...พืชตาย...)
4) ขยายความแบบอนุมาน เช่น เม่ือเกิดน้าท่วมในเมืองนานๆ จะเกิดโรคชนิดใดตามมา (โรคตา –

โรคปอด – โรคทอ้ งร่วง – โรคไขจ้ บั สัน)

3.00 คำถำมประเภทกำรนำไปใช้
เป็นการถามความสามารถในการนาเอาความรู้และความเขา้ ใจในเร่ืองราวใดๆ ไปแกป้ ัญหาที่แปลก

ใหม่ ทานองน้นั ของเรื่องน้นั ได้
1) ถำมควำมสอดคล้องระหว่ำงหลกั วชิ ำกบั กำรปฏิบตั ิ
- ถามความสอดคลอ้ งระหวา่ งหลกั วชิ ากบั ตวั อยา่ งของจริง เช่น อาหารชนิดใดทาจากพืช? (นมสด –

ไข่ตุ่น – ลูกชิ้นปิ้ ง – ลอดช่อง) นกั เรียนสามารถช่วยชาติไดโ้ ดยวิธีใด? (ต้งั ใจเรียน – ไปทาบุญที่วดั –
ช่วยงานพอ่ แม่ – เอ้ือเฟ้ื อคนชรา)

- ถามความสอดคลอ้ งระหวา่ งตวั อยา่ งกบั ตวั อยา่ ง เช่น ชาวนาขายขา้ วเปลือกใชว้ ธิ ีการวดั อยา่ ง
เดียวกบั การขายอะไร? (การขายไก่ – การขายผา้ – การขายกาแฟ – การขายน้าตาล)

2) ถำมขอบเขตของหลกั วชิ ำและกำรปฏบิ ัติ
- ถามขอบเขตและเงื่อนไขของหลกั วชิ าและการปฏิบตั ิ เช่น สูตรน้ี (กฎ, หลกั , คติ) ใชไ้ ดด้ ี (หรือ
เป็นจริง) ในเรื่องใด ?
- ถามขอ้ ยกเวน้ ของหลกั วชิ าและการปฏิบตั ิ เช่น อาหารทาใหร้ ่างกายเติบโตและดารงชีวติ อยไู่ ด้
ยกเวน้ กรณีใดตอ่ ไปน้ี? (...อาหารไมส่ ะอาด - อาหารไม่มีคุณค่า - กินมากๆ ...)
3) ถำมให้อธิบำยหลกั วชิ ำ
- ถามใหอ้ ธิบายเรื่องราว ปรากฏการณ์และการกระทาต่างๆ ตามหลกั วชิ าวา่ มีเหตุผล หรือ
หลกั วชิ าใด เช่น เหตุใดจึงสูบน้ามนั ข้ึนไดส้ ูงกวา่ น้า ? (...เพราะน้ามนั เบากวา่ น้า...)

28 วธิ ีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ การเรียนรขู้ องผ้เู รียน 28

4) ถำมให้แก้ปัญหำ เป็นข้นั นาความรู้ไปใชใ้ นสภาพจริงกนั โดยตรง โดยการต้งั คาถามเป็นเรื่องราว
หรือเหตุการณ์สมมติใดๆ ก็ไดแ้ ลว้ ใหต้ อบแกป้ ัญหาเหล่าน้นั ดว้ ยความคิดของตนเอง ไมม่ ีการแนะสูตร กฎ
หรือแง่คิดใดๆ ให้

- ถามใหแ้ กป้ ัญหาเฉพาะหนา้ เช่น ถา้ ขาดแคลนเน้ือสัตว์ ควรทดแทนดว้ ยอาหารชนิดใด? (ถวั่ – งา
– เผอื ก – มนั – ขา้ วโพด)

- ถามใหแ้ กป้ ัญหาตามหลกั วชิ า เช่น เด็กผอมแกร็น ควรซ้ืออะไรรับประทาน? (ถว่ั ตม้ – ออ้ ยควน่ั –
มนั แกว)

5) ถำมเหตุผลของกำรปฏิบตั ิเร่ืองน้ันๆ ควรปฏิบัตอิ ย่ำงไร และเพรำะเหตุใดจึงปฏบิ ัติเช่นน้ัน
- ถามใหต้ รวจสอบแกไ้ ข เช่น เรื่องน้นั ส่ิงน้ีควรทาอะไรก่อน (หลงั ) จึงจะถูกตอ้ ง เพราะเหตุใด การ
ปฏิบตั ิน้ี (วธิ ีทา) ยงั ผดิ สูตร กฎ หรือหลกั การใด เพราะอะไร?
- ถามใหว้ นิ ิจฉยั คดั เลือก เช่น เดก็ ท่ีหายป่ วยใหม่ๆ ควรออกกาลงั โดยวธิ ีใด เพราะเหตุใด? (เดินเล่น
เพื่อใหเ้ หน่ือยนอ้ ย - กระโดดเชือก เพื่อใหก้ ลา้ มเน้ือแขง็ แรง)

4.00 คำถำมประเภทวเิ ครำะห์
เป็ นการถามความสามารถในการแยกส่ิงสาเร็จรูปออกเป็ นส่วนยอ่ ยๆตามหลกั การและกฎเกณฑ์ท่ี

กาหนดให้ เพื่อคน้ หาความจริงต่างๆ ที่ซ่อนแฝงอยภู่ ายในเรื่องราวน้นั
4.10 วเิ ครำะห์ควำมสำคญั
- ถามให้วเิ คราะห์ชนิด เช่น การทดลองน้ี มีลกั ษณะใด? (เชื่อได้ - น่าสงสัย - ยงั ไม่รัดกุม - กากวม)

คากล่าวน้ีเป็นประเภทใด? (ตวั อยา่ ง - ขอ้ เทจ็ จริง - ความเห็น) ขอ้ ความน้ีมีความบกพร่องชนิดใด? (ใชค้ าผิด
- ไวยากรณ์ผดิ - สานวนไม่ดี - เปรียบเทียบผดิ )

- ถามใหว้ เิ คราะห์ส่ิงสาคญั เช่น ขอ้ ความน้ี กล่าวถึงสิ่งใดที่สาคญั ท่ีสุด? เรื่องน้ีให้คติ (ความคิด, คาสอน)
วา่ อย่างไร? ปัจจยั สาคญั ที่มีอิทธิพลต่อเรื่องน้ี คืออะไร? ความมุ่งหมายสาคญั ของเรื่องน้ีคืออะไร? ที่ทา
เช่นน้นั เพ่ือใหเ้ กิดอะไร? สิ่งน้ีมีประโยชน์สาคญั (คุณ , โทษ) ในดา้ นใด?

- ถามใหว้ เิ คราะห์เลศนยั เช่น ขอ้ ความน้ี กล่าวเป็ นนยั พาดพิงถึงใคร? การทดลองน้ีไม่ผิด แต่มี
แนวโนม้ เช่นไร (...ลาเอียง...)

4.20 วิเครำะห์ควำมสัมพันธ์ เช่น ขอ้ ความน้ีเกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั อะไรมากที่สุด ความตอนใด
กล่าวถึงสาเหตุของเรื่อง เขาหวงั อะไรจากการกระทาเช่นน้นั อะไรคือผลข้นั ตน้ ของงานน้ี

4.30 วเิ ครำะห์หลกั กำร
- วิเคราะห์โครงสร้าง เช่น บ่อ สระ ทะเล มีส่ิงใดแตกต่างกนั ? (น้า - รส - ใส - คล่ืน - ขนาด)
แมเ่ หล็กธรรมชาติกบั แม่เหล็กไฟฟ้า มีส่ิงใดตา่ งกนั ? (จานวนข้วั - แรงดูดผลกั - ความเขม้ ของสนาม)
- วเิ คราะห์หลกั การ เช่น คาสรุปน้ี ยงั ไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด? (..ถือวา่ เด็กเก่งเท่ากนั ..) ชาดกน้ีถือ
วา่ การกระทาใดเป็นเลิศ? (การใหท้ าน – การอดกล้นั - การสันโดษ ...)

29 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตรุ สั 29

5.00 คำถำมประเภทสังเครำะห์
เป็ นการถามความสามารถในการรวบรวมสิ่งต่างๆ ต้งั แต่สองชนิดข้ึนไป เพื่อให้กลายเป็ นสิ่ง

สาเร็จรูปข้ึนใหม่ ที่มีลกั ษณะแปลกไปจากส่วนประกอบยอ่ ยของเดิม
5.10 สังเครำะห์ข้อควำม
- สังเคราะห์ขอ้ ความโดยการพูด เช่น ให้แสดงความคิดเห็นอิสระของตนต่อเร่ืองราวที่กาหนดให้

ช้ีแจง ขยายความของเร่ืองใดๆ ใหก้ ระจ่างชดั กวา่ เดิม ใหส้ รุปสิ่งท่ีเป็ นแก่นสารหวั ใจของเร่ืองโดยภาษาของ
ตนเอง หาขอ้ ยตุ ิจากการอภิปราย การวจิ ารณ์ เปรียบเทียบความดีงาม เด่นดอ้ ยของเร่ืองตา่ งๆ

- สังเคราะห์ขอ้ ความโดยการเขียน ใหเ้ ขียนตอบบรรยายเร่ืองราวต่างๆ เช่น ให้แสดงความคิดเห็นวา่
เหมาะสม หรือดีเลวเพยี งใด ใหข้ ยาย สรุป และเปรียบเทียบสิ่งน้นั กบั อะไรอื่นอีกอยา่ งหน่ึง

- สังเคราะห์ขอ้ ความจากการแสดง ใชร้ ูปภาพ หรือวตั ถุสิ่งของ เสียง หรือ การแสดงเป็ นตน้ เร่ือง
โดยนาสิ่งน้นั มาให้ดู แลว้ ให้แต่ละคนพูดหรือเขียนบรรยายเร่ืองราวตามภาพท่ีเห็นน้นั หรือใหแ้ สดงความ
คิดเห็นตอ่ ส่ิงน้นั

5.20 สังเครำะห์แผนงำน เป็ นการกาหนดแนวทางและข้นั ตอนของการปฏิบตั ิงานใดๆ ล่วงหนา้
เพื่อให้การดาเนินงานราบร่ืน และบรรลุผลตรงตามเกณฑ์ และมาตรฐานที่กาหนดไว้ เช่น ควรใชว้ ิธีใด
ตรวจสอบข้นั ตน้ วา่ ดอกกหุ ลาบท่ีเราซ้ือจากตลาดยงั มีชีวติ อยู?่ (...เมื่อแช่น้ากา้ นจะยาวข้ึน...) ในการทดลอง
หาความหนาแน่นของน้าแขง็ เราตอ้ งระวงั เรื่องใดเป็นพิเศษ?

5.30 สังเครำะห์ควำมสัมพนั ธ์ เอาความสาคญั และหลกั การต่างๆ มาผสมใหเ้ ป็นเร่ืองเดียวกนั ทาให้
เกิดเป็นส่ิงสาเร็จรูปใหมๆ่ ที่มีความสัมพนั ธ์แปลกไปจากเดิม เช่น คนท่ีไมล่ กั ขโมยเป็ นคนดี แต่ถา้ จะใหด้ ีย่ิง
ข้ึน เขาจะตอ้ งปฏิบตั ิอะไรอีก? (อาชีพสุจริต - ไม่โลภมาก - มีความสัตย์ ...) สูตรสาหรับหาพ้ืนที่ของรูป
สามเหลี่ยมมาจากสูตรการหาพ้ืนท่ีของรูปใด? (สี่เหล่ียมจตั ุรัส – สี่เหล่ียมผนื ผา้ – ส่ีเหลี่ยมดา้ นขนาน ...)

6.00 คำถำมประเภทประเมินค่ำ
เป็ นการถามการตีราคาต่างๆ โดยสรุปอยา่ งมีหลกั เกณฑ์วา่ ส่ิงน้นั มีคุณค่าดี - เลว หรือเหมาะควร

อยา่ งไร
6.10 ประเมินค่าโดยเกณฑ์ภายใน ประเมินสิ่งใดๆ โดยใชข้ อ้ เท็จจริงต่างๆ เท่าที่ปรากฏอยูใ่ น

เร่ืองราวน้นั เองมาเป็นหลกั ในการพจิ ารณา
- ถามใหป้ ระเมินความถูกตอ้ งเที่ยงตรงของเร่ือง เช่น ยกเอาส่ิงใดสิ่งหน่ึงมาเป็นตน้ เร่ือง แลว้ ถามวา่

สอดคลอ้ งกบั เกณฑแ์ ละมาตรฐานเร่ืองน้นั หรือไม่? ไดผ้ ลตามเป้าหมายมากนอ้ ยเพยี งใด? เชื่อถือไดม้ ากนอ้ ย
เพียงใด? มีความเด่น-ดอ้ ยเห็นชดั ท่ีสุดในดา้ นใด?

- ประเมินความเป็นเอกพนั ธ์ของเร่ือง เช่น ความตอนตน้ กบั ตอนทา้ ยของเร่ืองน้นั รับกนั หรือขดั แยง้
กนั ?

- ประเมินความสมบูรณ์ ถูกตอ้ งของขอ้ มูล เช่น มีความถูกตอ้ ง เหมาะสม และเชื่อถือไดเ้ พยี งใด?

30 วิธีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ การเรยี นรู้ของผเู้ รียน 30

- ประเมินความเหมาะสม และประสิทธิภาพของวิธีการ และการปฏิบตั ิ เช่น วธิ ีใดถูกตอ้ ง ดี - เลว
กวา่ วธิ ีอ่ืน ในแง่ใด?

- ประเมินความสมเหตุสมผลของผลลพั ธ์ ผลสรุป ผลลพั ธ์ เช่น ผลสรุปที่ได้ มีเหตุผลเพียงพอแลว้
หรือไม่ เพียงใด เพราะอะไร? การตีราคาเรื่องน้นั โดยใชเ้ กณฑน์ ้นั ๆเขา้ จบั เป็ นการถูกตอ้ งเหมาะสมหรือไม่?
การติ - ชม เหล่าน้นั ควรรับฟังหรือไม่ เพราะเหตุใด?

6.20 ประเมนิ ค่ำโดยเกณฑ์ภำยนอก การตีราคาโดยใชเ้ กณฑอ์ ่ืนๆ ท่ีอยภู่ ายนอกเร่ืองราวน้นั แตท่ วา่
สัมพนั ธ์กบั เร่ืองน้นั มาเป็นหลกั ในการวนิ ิจฉยั ตดั สิน

- ประเมินโดยสรุป ถา้ ยดึ สิ่งน้ีเป็ นหลกั จะตอ้ งช้ีขาดวา่ เร่ืองน้นั ผิด หรือถูก เพราะเหตุใด? สิ่งน้ี (การ
กระทาน้ี) มีประโยชนต์ อ่ สงั คมในดา้ นใด?

- ประเมินโดยเปรียบเทียบ สีดาดีกวา่ รจนาในดา้ นใด? รูปภาพแรกมีลกั ษณะใดเด่นชดั กวา่ รูปภาพ
หลงั ? (สี - เส้น - แบบ - ความหมาย)

- ประเมินกบั มาตรฐาน นาฬิกาเรือนน้ีดีหรือไม่ (ดี เพราะเดินตรงกบั สัญญาณวทิ ยุ) การกระทาน้ี
สอดคลอ้ งกบั หลกั การใด? (สันโดษ - ประชาธิปไตย)

- ประเมินความเด่นดอ้ ย ความเห็นที่วา่ ...... มีลกั ษณะเด่นในทางใด และดอ้ ยในทางใด? ...... ถูกตอ้ ง
ดีในแง่ใด แตผ่ ดิ ในแง่ใด?

รูปแบบของข้อสอบในศตวรรษท่ี 21

รูปแบบขอ้ สอบปัจจุบนั มีรูปแบบท่ีปรับเปลี่ยนไปไม่ไดม้ ีเพียงคาตอบเดียวเหมือนเช่นในอดีต ใน
การทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติข้นั พ้ืนฐาน (Ordinary National Educational Test หรือ ONET)
โครงการประเมินผลนกั เรียนระดบั นานาชาติ ท่ีวดั ความรู้และทกั ษะของนกั เรียนอายุ 15 ปี ดา้ นการอ่าน
คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ท่ีเรียกวา่ Program in International Student Assessment หรือ PISA มุ่งวดั
ประเมินถึงสมรรถนะ (competency) ของผเู้ รียน ในการเช่ือมโยงความรู้ การนาความรู้ไปใชใ้ นสถานการณ์
ต่างๆในชีวติ และโลกปัจจุบนั ที่อยใู่ นศตวรรษท่ี 21 ชนาธิป ทุย้ แป (2554 ) ไดส้ รุปรูปแบบของขอ้ สอบไว้ 3
รูปแบบ ดงั น้ี

1. ข้อสอบแบบเลือกตอบ มี 4 รูปแบบ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1.1 แบบมีคำตอบถูกคำตอบเดียว (Multiple choice: MC) เป็ นขอ้ สอบที่มีตวั เลือก (คาตอบ)

หลายตวั เลือก แตม่ ีคาตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งคาตอบเดียว
ตวั อย่ำงข้อสอบ

หนูนิดเล้ียงปลาสลิดจานวนมากไวท้ ่ีบา้ น หนูนิดควรทาอยา่ งไรที่เป็ นการเพ่ิมมูลค่าของปลาสลิด ท่ี
จะทาใหห้ นูนิดสามารถเกบ็ ปลาสลิดไวข้ ายไดน้ านที่สุด

ก. ถนอมอาหารเป็ นปลาสลิดแดดเดียว

31 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจตั ุรัส 31

ข. ถนอมอาหารเป็ นปลาสลิดหมกั เกลือ

ค. ถนอมอาหารเป็ นปลาสลิดแหง้

ง. ถนอมอาหารเป็ นปลาสลิดกรอบ
1.2 แบบเลือกคำตอบถูกได้หลำยคำตอบ (Multiple-selection/Multiple response: MS) เป็ น
ขอ้ สอบที่มีหลายตวั เลือก (คาตอบ) และมีคาตอบถูกมากกวา่ 1 ตวั เลือก
ตวั อย่ำงข้อสอบ ขอ้ ใดเป็นกีฬาบุคคลประเภทคู่ (ตอบได้ 2 คาตอบ)
ก. เปตองประเภทชายคูแ่ ละหญิงคู่
ข. แบดมินตนั ประเภทชายคู่และหญิงคู่
ค. เซปักตะกร้อประเภทชายคู่และหญิงคู่
ง. วอลเลยบ์ อลชายหาดประเภทชายคูแ่ ละหญิงคู่
1.3 แบบเลือกตอบเชิงซ้อน (Complex multiple choice: CM) เป็นขอ้ สอบท่ีมีคาถามยอ่ ยรวม
อยใู่ นขอ้ เดียวกนั โดยขอ้ คาถามแต่ละขอ้ จะถามขอ้ คิดเห็น หรือขอ้ เทจ็ จริง หรือขอ้ สรุปจากเร่ืองท่อี ่าน
ตัวอย่ำงข้อสอบ
ครูสมชายวดั ส่วนสูงนกั เรียนชาย หญิง ไดค้ ่าเฉลี่ยส่วนสูงของนกั เรียนเรียนชาย 165 ซม. ค่าเฉลี่ย
ส่วนสูงนกั เรียนหญิง 155 ซม. ต่อมา มีนกั เรียนมาเขา้ ใหม่ 2 คน เม่ือวดั ส่วนสูงแลว้ พบวา่ ค่าเฉล่ียส่วนสูง
ของนกั เรียนหญิง และนกั เรียนชายไมเ่ ปล่ียนแปลง
ภำพที่ 2.10 ตวั อยา่ งขอ้ สอบแบบเลือกตอบเชิงซอ้ น
ข้อสรุป ควำมเป็ นไปได้

1.นกั เรียนท่ีเขา้ มาใหมเ่ ป็ นนกั เรียนชายท้งั 2 คน □ได้ □ไมไ่ ด้

2.นกั เรียนชายท่ีเขา้ มาใหม่ 2 คน มีส่วนสูง 160 ซม.และ 170 ซม. □ได้ □ไมไ่ ด้

3.นกั เรียนหญิงที่เขา้ ใหม่ 2 คน มสี ่วนสูง 155 ซม.ท้งั สองคน □ได้ □ไมไ่ ด้

4.นกั เรียนท่ีเขา้ มาใหม่ เป็ นชาย 1 คน สูง 165 ซม. และหญิง 1 คน สูง 160 ซม. □ได้ □ไมไ่ ด้

1.4 แบบกลุ่มคำตอบสัมพันธ์ (Responses related: RR) เป็ นขอ้ สอบที่ให้ตอบมากกว่า 1 ขอ้
สาหรับ 1 สถานการณ์ที่กาหนดให้ และคาถามแต่ละขอ้ จะเป็ นเง่ือนไขใหน้ กั เรียนคิดต่อเน่ือง และสัมพนั ธ์กนั
โดยคาตอบขอ้ แรกจะเป็ นขอ้ มูลที่ใชใ้ นการตอบคาถามต่อไปได้ มี 2 แบบ ดงั น้ี

1.4.1 แบบคำถำมสัมพันธ์ เป็ นคาถามในเหตุการณ์ที่ต่อเน่ืองกนั ส่วนมากจะมีคาถาม 2
คาถามในเหตุการณ์/สถานการณ์และผตู้ อบตอ้ งตอบใหถ้ ูกตอ้ งท้งั 2 คาถามจึงจะไดค้ ะแนน
ตวั อย่ำงข้อสอบ
Situation: Ben tells Rose that he is going to a stationery shop.

Rose: I need some writing paper,..A..

Ben: …B….
Rose: That’s all. Thanks.

32 วิธกี ารและเครือ่ งมือประเมินการเรยี นร้ขู องผ้เู รยี น 32

A. 1. Have you get some?
2. Do you buy some writing paper?
3. Can you buy me some, please?
4. Have you bought some writing paper?

B. 1. All right. Anything else?
2. I think I can. Any more?
3. Sure, I should buy it.
4. Of course, I must buy some more.
(ตอ้ งตอบถูกท้งั สองขอ้ จึงจะไดค้ ะแนน ตอบถูกขอ้ เดียวไม่ไดค้ ะแนน)
1.4.2 แบบคำตอบสัมพนั ธ์ เป็ นลกั ษณะการจบั คูค่ าตอบท่ีสัมพนั ธ์กนั /เกี่ยวขอ้ งกนั /เป็ น

เรื่องเดียวกนั จบั คูถ่ ูกตอ้ งกี่คู่ ก็ไดค้ ะแนนเทา่ น้นั

ภำพที่ 2.11 ตวั อยา่ งขอ้ สอบ O-NET ระดบั ช้นั ม.3 วชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี ปี 2554
ใหเ้ ลือกเทคนิคการโฆษณาใหส้ ัมพนั ธ์กบั ตวั อยา่ งการโฆษณา (จบั คู่ 5 คู)่
เทคนิคกำรโฆษณำ ตวั อย่ำงกำรโฆษณำ
........1.รับประกนั A.ภราดร ศรีชาพนั ธ์ ใชแ้ ตผ่ ลิตภณั ฑข์ อง Ecco
........2.เปรียบเทียบกากวม B.ทนั ตแพทย์ 4 ใน 5 คน แนะนายาสีฟัน “ขาวสะอาด”
........3.คนเด่นคนดงั เป็ นคน C. ผงซกั ฟอก “ขาวบริสุทธ์” ซกั คราบไขมนั และสิ่งสกปรกไดด้ ีกวา่
แนะนา D.แบตเตอรี่ยหี่ อ้ “ทนทาน” รับประกนั ตลอดอายกุ ารใชง้ าน หากไม่พอใจ
........4.ตวั เลขสถิติสร้างความ คุณภาพยนิ ดีคืนเงิน
น่าเชื่อถือ E.จากผลการวจิ ยั ทางการแพทยม์ ากวา่ 15 ปี เพยี งรับประทานผลิตภณั ฑม์ ะรุม
........5.ใชห้ ลกั วทิ ยาศาสตร์มา ก่อนอาหารคร่ึงชวั่ โมง อาหารที่คณุ รับประทานเขา้ ไป จะไมท่ าใหน้ ้าหนกั ตวั
กล่าวอา้ ง คุณเพม่ิ ข้ึน
(ตอบถูก 2 ขอ้ ได้ 1 คะแนน ตอบถูก 3 ขอ้ ได้ 2 คะแนน ตอบถกู 4 ขอ้ ข้ึนไป ได้ 4 คะแนน)

2. ข้อสอบแบบเขียนตอบ ซ่ึงแบ่งเป็ น 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ (สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลย,ี 2554)

2.1 กำรเขียนคำตอบแบบปิ ด (Closed constructed)/กำรเขียนตอบส้ันๆ (Short answer) เป็ น
คาตอบที่นักเรียนตอ้ งเขียนตอบอย่างที่คาถามคาดหวงั ไว้ ถา้ ตอบอย่างอ่ืน จะไม่มีคะแนนให้(เพราะ
คาตอบที่ถูกตอ้ งมีคาตอบเดียว แต่นักเรียนตอ้ งเขียนตอบ แทนท่ีจะมีตวั เลือกให้กากบาด จึงมีลกั ษณะ
เดียวกบั ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ)

2.2 กำรเขียนคำตอบแบบเปิ ด (Open constructed) เป็ นขอ้ สอบที่ตอ้ งการให้นกั เรียนสร้าง
คาตอบเองจากความรู้และประสบการณ์ของนกั เรียน ไม่จากดั วา่ จะตอ้ งตอบแบบใด ซ่ึงในคาถามเดียวกนั
นกั เรียนแต่ละคน อาจจะใชเ้ หตุผลที่แตกต่างกนั คาตอบแบบน้ี จึงตอ้ งมีแนวการให้คะแนน และเกณฑก์ าร
ใหค้ ะแนน (PISA เรียกรหสั คะแนน) เพ่อื ผใู้ หค้ ะแนนจะไดต้ ดั สินใจใหค้ ะแนนไดอ้ ยา่ งเป็นธรรม

33 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตรุ ัส 33

กรอบโครงสร้ำงข้อสอบโครงกำรประเมนิ ผลนักเรียนระดบั นำนำชำติ (PISA)

กำรประเมินกำรรู้เรื่องกำรอ่ำน
การรู้เร่ืองการอ่าน (Reading Literacy) เป็น ความรู้และทกั ษะท่ีจะเขา้ ใจเรื่องราวและสาระของส่ิงที่

ไดอ้ า่ น คิดวเิ คราะห์ แปลความ ตีความ ประเมินสาระท่ีไดอ้ า่ นและสะทอ้ นออกมาเป็นความคิดของตน
ในการสร้างขอ้ สอบวดั การอ่านแต่ละข้อ PISA กาหนดกรอบองค์ประกอบสาคญั สาหรับการ

พจิ ารณาการเขียนขอ้ สอบ 4 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ (สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย,ี 2554)
1) บริบท/สถำนกำรณ์/เหตุกำรณ์ (Situation) หมายถึง เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวขอ้ งกบั

ชีวิตประจาวนั ที่เป็ นสถำนกำรณ์จริง หรือนอกห้องเรียน เพ่ือเป็ นการวดั วา่ นกั เรียนสามารถนาความรู้ไปใช้
ในชีวติ จริงไดห้ รือไม่ อยา่ งไร ซ่ึงอาจจะจาแนกได้ 4 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

1.1) บริบทส่วนตัว เป็ นสถานการณ์ที่เก่ียวขอ้ งกบั ส่ิงที่ต้งั ใจใหต้ อบสนองความสนใจส่วนตวั
ของแต่ละคน ท้งั ในทางปฏิบตั ิ และทางสติปัญญา และรวมท้งั สิ่งท่ีต้งั ใจเขียนเพ่ือเช่ือมโยงความสัมพนั ธ์
ระหว่างคนหน่ึงกบั อีกคนหน่ึงดว้ ย เช่น จดหมายส่วนตวั นวนิยาย อตั ชีวประวตั ิ สิ่งที่มีเน้ือหาสาระท่ีอ่าน
เพ่อื ความสนุก/ความอยากรู้ส่วนตวั รวมท้งั สุขภาพส่วนตวั กิจกรรมสันทนาการ และการพกั ผอ่ น

1.2) บริบทสำธำรณะ เป็ นสถานการณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กิจกรรมสังคมที่ใหญ่ข้ึน รวมท้งั เอกสาร
ของทางการ และสาระขอ้ มูลท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์สาธารณะ ซ่ึงเน้ือความจะไม่อา้ งถึงคนใดคนหน่ึง
โดยเฉพาะ เช่น ประกาศของทางราชการ มติการประชุม ข่าว เวบ็ ไซต์ เวบ็ บล็อก ฯลฯ

1.3) บริบทกำรงำนอำชีพ เป็ นสถานการณ์ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การหางาน การทางาน การทาอาชีพ
ฯลฯ ซ่ึงเป็นลกั ษณะการอา่ นเพื่อทา (Reading to do)

1.4) บริบทกำรอ่ำนเพื่อกำรศึกษำ เป็นการอา่ นเพื่อหาสาระ ขอ้ มูล เพ่ือการเรียนรู้/เพ่ือการศึกษา
ซ่ึงส่ือท่ีอ่านมกั กาหนดโดยผูส้ อน เน้ือหาสาระมีจุดมุ่งหมายเฉพาะทาง เป็ นการอ่านเพ่ือเรียนรู้ (Reading to
learn)

2) โครงสร้ำงทำงภำษำ หมายถึง ขอ้ ความที่ใหอ้ ่านมีลกั ษณะอยา่ งไรบา้ ง ในท่ีน้ี หมายถึง ขอ้ ความ
5 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

2.1) กำรพรรณนำ (Description) เป็นขอ้ ความท่ีใชเ้ พอ่ื บอกลกั ษณะของสิ่งใดสิ่งหน่ึง หรือเป็ น
การบอกเล่าเพอื่ ตอบคาถามวา่ “อะไร”

2.2) กำรบรรยำย (Narration) เป็ นขอ้ ความที่บอกเล่าถึงสิ่งใดส่ิงหน่ึง เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง หรือ
เป็นการตอบคาถาม “เมื่อไร” หรือ “มีลาดบั ก่อนหลงั อยา่ งไร” “ทาไมคนในเน้ือเร่ืองจึงทาอยา่ งน้นั ” ฯลฯ

2.3) กำรบอกเล่ำ หรืออธิบำย (Exposition) เป็ นขอ้ ความท่ีมีสาระเรื่องราวแบบประสม ที่เกิด
จากการเรียบเรียงแนวความคิดให้สามารถวิเคราะห์ได้ เป็ นการอธิบายว่าองค์ประกอบของแต่ละส่วนมี
ความสมั พนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั อยา่ งไร หรือเป็นการตอบคาถาม “อยา่ งไร”

2.4) กำรโต้แย้ง (Argumentation) เป็ นข้อความที่เสนอปัญหา หรื อโจทย์ในลักษณะท่ีช้ี
ความสัมพนั ธ์ระหว่างแนวคิดต่าง ๆ หรือเป็ นการบอกเหตุผลวา่ ทาไม เพราะเหตุใด ซ่ึงจาแนกเป็ น การบอก
กล่าวเพือ่ ชกั ชวนใหค้ ลอ้ ยตาม หรือบอกกล่าวเพือ่ ต้งั ประเดน็ ใหม้ ีการแสดงความคิดเห็นถกเถียง โตแ้ ยง้ กนั

34 วิธีการและเคร่อื งมือประเมินการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น 34
2.5) คำส่ัง (Instruction) เป็นขอ้ ความที่ช้ีบอกวา่ ตอ้ งทาอะไร ทาอยา่ งไร เพ่ือการปฏิบตั ิภารกิจ

ใดภารกิจหน่ึงให้เสร็จสิ้น หรืออาจจะเป็ น กฎ ระเบียบ กติกา และสถานะท่ีถูกกาหนดไวใ้ ห้ปฏิบตั ิจากผูท้ ี่มี
อานาจหนา้ ท่ี

3) รูปแบบของข้อสอบ (Text format) มี 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
3.1) ข้อควำมต่อเนื่อง หมายถึง ส่ิงที่เขียนเป็นเร่ืองราวต่อเนื่องกนั อาจจะแบ่งเป็ นหวั ขอ้ หรือยอ่

หนา้ กไ็ ด้ แตเ่ ป็นเรื่องเดียวกนั
3.2) ข้อควำมไม่ต่อเนื่อง หมายถึง ขอ้ สอบท่ีมีรูปภาพ ตาราง แบบฟอร์ม หรือกราฟท่ีมีการ

บรรยาย/อธิบายประกอบ)
3.3) แบบผสม เป็ นขอ้ ความที่เป็ นเรื่องราวต่อเน่ือง และมีรูปภาพ ตาราง แบบฟอร์ม หรือกราฟ

ประกอบ
4) กลยทุ ธ์กำรอ่ำน หรือการอ่านในแง่มุมต่าง ๆ หมายถึง กลยุทธ์ทางการคิด หรือการใชส้ ติปัญญา

ท่ีผูอ้ ่านใชใ้ นการพิจารณาขอ้ ความท่ีอ่าน เพื่อให้เขา้ ไปถึงเป้าหมายของการอ่าน ซ่ึง PISA หวงั ใหน้ กั เรียน
แสดงความสามารถอยา่ งกระชบั ในภาพรวม 3 ลกั ษณะ ดงั น้ี

4.1) กำรเข้ำถึงและค้นคืนสำระ (Access and Retrieve) เป็ นการวดั ความสามารถในการอ่าน
ของนกั เรียนเพื่อคน้ หาสาระ ขอ้ มูล/ขอ้ เท็จจริงต่าง ๆ ที่ผูอ้ ่านจาเป็ นตอ้ งรู้เป็ นประจา เช่น หมายเลขโทรศพั ท์
ราคาส่ิงของ วนั เวลาของการแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ฯลฯ ซ่ึงผูอ้ ่านตอ้ งการเฉพาะข้อมูลหรือสาระท่ีต้องการ
เทา่ น้นั จากบทความท่ีอ่าน โดยมองขา้ มสาระอื่น ๆ ไป

4.2) กำรบูรณำกำรและตคี วำม (Integrate and interpret) เป็นการวดั ความสามารถในการขยาย
ความคิดจากการอ่านเฉพาะหนา้ พฒั นาไปสู่การเขา้ ใจสิ่งท่ีอ่านให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน ซ่ึงตอ้ งใชท้ กั ษะความเขา้ ใจ
อยา่ งมีตรรกะ(Logical understanding) เช่น ใหบ้ อกสาระที่เหมือนกนั หรือขดั แยง้ กนั แตกต่างกนั ให้บอกความ
ต้งั ใจของผเู้ ขียนขอ้ ความ ซ่ึงนกั เรียนตอ้ งระบุหรือแสดงประจกั ษพ์ ยานที่ใชใ้ นการอา้ งน้นั ดว้ ย

4.3) กำรสะท้อนและกำรประเมิน (Reflect and evaluate) เป็ นการใหน้ กั เรียนสะทอ้ นและ
ประเมินขอ้ ความท่ีอ่าน โดยอาจจะให้สะทอ้ นและประเมินเน้ือหาสาระ และใหส้ ะทอ้ นและประเมินโครงสร้าง
ของขอ้ ความที่อ่าน

กำรสะท้อนและประเมินข้อควำมท่ีอ่ำน นกั เรียนตอ้ งสามารถใช้ความรู้ภายนอกมาเชื่อมโยงกบั
สาระในข้อความท่ีอ่านเฉพาะหน้า นักเรียนต้องรู้จักประเมินสาระท่ีกล่าวอ้างในข้อความน้ัน โดย
เปรียบเทียบกบั ความรู้ในโลกของความเป็ นจริงท่ีตนเองอยู่ เช่น ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นต่อส่ิงท่ีอ่าน
(นกั เรียนตอ้ งสร้างความเขา้ ใจก่อนว่า ขอ้ ความน้นั บอกอะไร และมีความต้งั ใจอยา่ งไร แลว้ นามาเทียบกบั
ความรู้หรือความเช่ือของตน หรือเทียบกบั ขอ้ ความท่ีปรากฏอ่ืน ๆ นกั เรียนตอ้ งแสดงหลกั ฐานหรือเหตุผล
สนบั สนุนประกอบ

กำรสะท้อนและประเมินโครงสร้ำงของข้อควำมท่ีอ่ำน เป็ นขอ้ สอบที่ตอ้ งการใหน้ กั เรียนพิจารณา
เฉพาะคุณภาพ และความเหมาะสมของการเขียน(ไม่ติดยึดกับสาระท่ีอ่าน) ซ่ึงนักเรียนตอ้ งมีความรู้ใน
โครงสร้างของขอ้ ความท่ีอ่าน เขา้ ใจศิลปะการเล่าเรื่องลาดบั เร่ืองราวของงานเขียน และความสละสลวยของ
ภาษาหรือการใชภ้ าษา จึงจะสามารถประเมินงานเขียนได้

35 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั รุ ัส 35

กำรประเมินกำรรู้เร่ืองคณติ ศำสตร์
กำรรู้เรื่องคณิตศำสตร์ (Mathematics literacy) คือ ความสามารถในการท่ีจะระบุ บอก และเขา้ ใจ

บทบาทของคณิตศาสตร์ที่มีในโลก เพ่ือให้สามารถตดั สินใจและตอบสนองต่อชีวิตของแต่ละบุคคล เป็ น
พลเมืองที่มีความคิด มีความห่วงใย และสร้างสรรคส์ งั คม

ความรู้ทางคณิตศาสตร์ ไม่จากดั อยเู่ พียงรู้นิยาม ขอ้ เท็จจริง และวิธีการแกป้ ัญหาโจทยค์ ณิตศาสตร์
แต่ PISA เน้นย้าการใชค้ ณิตศาสตร์ในการตอบสนองสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลกอย่างคิดวิเคราะห์ มองหา
ความสัมพนั ธ์ และแปรผนั ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย

กระบวนกำรทำงคณติ ศำสตร์
ข้นั ที่ 1 จำกปัญหำทม่ี ีอยู่ในโลกจริง (นกั เรียนตอ้ งแปลจากปัญหาจริงไปเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดย

1) ระบุคณิตศาสตร์ที่ใชไ้ ดก้ บั ปัญหาน้นั
2) แสดงปัญหาในรูปแบบที่แตกตา่ งออกไป รวมท้งั จดั แนวคิดคณิตศาสตร์ที่เก่ียวขอ้ ง และระบุ
ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ที่สอดคลอ้ งเหมาะสม
ข้นั ที่ 2 จัดให้อย่ใู นรูปแบบตำมแนวคดิ ของคณติ ศำสตร์ โดย
1) ทาความเขา้ ใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาษาของปัญหาในโลกจริง กบั ภาษา สญั ลกั ษณ์ สูตร
ทางคณิตศาสตร์
2) มองหารูปแบบความสมั พนั ธ์ และแบบรูปทางคณิตศาสตร์
3) มองหาลกั ษณะของปัญหาในเชิงคณิตศาสตร์
ข้นั ท่ี 3 ค่อย ๆ ตดั ข้อเทจ็ จริงทเ่ี ป็ นปัญหำในโลกจริงออกไปก่อน โดย
1) นาคณิตศาสตร์เขา้ มาเช่ือมโยงกบั ปัญหา เช่น การสร้างขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ การทาใหเ้ ป็นโจทย์
คณิตศาสตร์ การลงขอ้ สรุป
2) แปลปัญหาใหเ้ ป็นโจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์
ข้นั ที่ 4 แก้ปัญหำคณติ ศำสตร์
1) การใชแ้ ละการแสดงแทนเปล่ียนกลบั ไปมา
2) การใชส้ ญั ลกั ษณ์ กฎ ภาษาเฉพาะทาง และการทาโจทยค์ ณิตศาสตร์
3) ใช้ ปรับตวั แบบทางคณิตศาสตร์ ผสมผสานและบูรณาการตวั แบบ
4) ใหค้ วามเห็น สนบั สนุน โตแ้ ยง้
5) สรุปการแกโ้ จทย์
ข้นั ท่ี 5 แปลผลจำกกำรแก้ปัญหำคณติ ศำสตร์ให้กลบั เป็ นปัญหำในสถำนกำรณ์จริง รวมถึงระบุขอ้ จากดั ของ
การแกป้ ัญหาน้นั ๆ ดว้ ย
1) เขา้ ใจวา่ คณิตศาสตร์ ทาไดแ้ คไ่ หน และมีขอ้ จากดั อยา่ งไร
2) คิด สะทอ้ นถึงขอ้ อภิปราย โตแ้ ยง้ และหาคาอธิบายถึงความใชไ้ ดข้ องผลการแกโ้ จทย์

36 วิธีการและเครอ่ื งมอื ประเมินการเรยี นรูข้ องผู้เรียน 36

3) ส่ือสารท้งั กระบวนการคิดและผลท่ีได้
4) วพิ ากษต์ วั แบบและขอ้ จากดั

สมรรถนะทำงคณติ ศำสตร์ (Mathematical competencies)
สมรรถนะทางคณิตศาสตร์ เป็ นส่ิงสาคญั ท่ีทาให้มีความสามารถคิดเชิงคณิตศาสตร์ได้ ซ่ึงแต่ละคน

จะมีสมรรถนะในระดบั ท่ีแตกต่างกนั PISA เลือกใช้ 8 สมรรถนะ ดงั น้ี
1) กำรคิดและใช้เหตุผล (Thinking and reasoning) เป็ นความสามารถในการต้งั คาถาม รู้คาตอบทาง

คณิตศาสตร์ บอกความแตกต่างของขอ้ ความ(เช่น นิยาม ทฤษฎี conjecture สมมติฐาน ตวั อยา่ ง ฯลฯ) รวมท้งั
ความเขา้ ใจและการใชข้ อ้ จากดั ทางคณิตศาสตร์

2) กำรสร้ำงข้อโต้แย้ง (Argumentation) เป็ นความสามารถท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ความเขา้ ใจการพิสูจน์ทาง
คณิตศาสตร์ เขา้ ใจวา่ การพิสูจน์ แตกต่างจากการใชเ้ หตุผลอยา่ งไร สามารถติดตาม และประเมินการโตแ้ ยง้
ทางคณิตศาสตร์แบบตา่ ง ๆ มีความรูสึกถึงความจริง(อะไรเกิดข้ึนได/้ ไม่ได้ และทาไม) รวมท้งั สามารถสร้าง
และแสดงการโตแ้ ยง้ โดยใชเ้ หตุผลทางคณิตศาสตร์

3) กำรสื่อสำร (Communication) เป็ นความสามารถที่จะทาให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจตน โดยวิธีการต่าง ๆ บน
พ้นื ฐานของคณิตศาสตร์ ท้งั การพูดและการเขียน และสามารถเขา้ ใจการสื่อสารของผอู้ ื่นดว้ ยเช่นกนั

4) กำรสร้ำงตัวแบบ (Modeling) เป็ นการวางโครงสร้างของสถานการณ์ที่จะตอ้ งนามาสร้างเป็ นตวั
แบบ(Model) การแปลความจริงใหเ้ ขา้ สู่โครงสร้างทางคณิตศาสตร์ การประเมินความน่าเช่ือถือของตวั แบบ
วิเคราะห์ วิจารณ์ตวั แบบ และผลที่เกิดขน้ การสื่อสารแนวคิดของตวั แบบและผล(รวมท้งั ขอ้ จากดั ) การ
ติดตามและควบคุมกระบวนการของการสร้างตวั แบบ

5) กำรต้ังปัญหำและกำรแก้ปัญหำ (Problem posing and solving) เป็นความสามารถในการต้งั คาถาม
การสร้างปัญหาทางคณิตศาสตร์ และการนิยาม ปัญหาคณิตศาสตร์แบบตา่ ง ๆ และการแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์
แบบต่าง ๆ ดว้ ยวธิ ีการที่หลากหลาย

6) กำรแสดงเครื่องหมำยแทน (Representation) เป็ นการแปลงรหัส (Decoding) และการเขา้ รหัส
(Encoding) การแปลความ การตีความ และการบอกความแตกต่างของการแสดงเคร่ืองหมายของคณิตศาสตร์
แบบต่าง ๆ และความสัมพนั ธ์ระหว่างการแสดงเครื่องหมายแทนแบบต่าง ๆ การเลือกและการเปลี่ยน
ระหว่างรูปแบบต่าง ๆ ของการแสดงเครื่องหมายแทน(Representation) ให้สอดคล้องกบั สถานการณ์และ
จุดประสงค์

7) กำรใช้สัญลักษณ์ ภำษำ และกำรดำเนินกำร (Using symbolic, language and operation) เป็ นการ
แปลรหสั การตีความสัญลกั ษณ์ ภาษาคณิตศาสตร์ และความเขา้ ใจการเชื่อมโยงของภาษาคณิตศาสตร์กบั
ภาษาธรรมดา การแปลความจากภาษาธรรมดาไปเป็ นสัญลกั ษณ์/ภาษาคณิตศาสตร์ สามารถจดั การกับ
ประโยคหรือพจนท์ ่ีมีสัญลกั ษณ์และสูตร ความสามารถในการใชต้ วั แปร การแกส้ มการ และการคานวณ

37 ผชู วยศาสตราจารย ดร.จตุภมู ิ เขตจัตุรัส 37

8) กำรใช้ตัวช่วยและเครื่องมือ (Using aids and tools) เป็ นความสามารถในการรับรู้ และ
ความสามารถในการใชต้ วั ช่วยและเคร่ืองมือ (รวมท้งั เคร่ืองมือเทคโนโลยสี ารสนเทศ) ท่ีช่วยกิจกรรมต่าง ๆ
ทางคณิตศาสตร์ รวมถึงความรู้ถึงขอ้ จากดั ของเครื่องมือน้นั ๆ ดว้ ย

ในการตอบขอ้ สอบคร้ังหน่ึง ๆ นกั เรียนจะแสดงหลายสมรรถนะ ซ้อนกนั อยู่ (ไม่สามารถประเมิน
แต่ละสมรรถนะโดด ๆ ได)้ แต่พอจะจดั กลุ่มสมรรถนะไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่

1) กลุ่มทำใหม่/สร้ำงใหม่ (Reproduction cluster) เป็ นการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ทั่วไปตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ของหลกั สูตรสถานศึกษาท่ีครูคณิตศาสตร์ปฏิบตั ิเป็ นปกติ ซ่ึงนกั เรียนตอ้ งใช้สมรรถนะ
ทางคณิตศาสตร์ทุกสมรรถนะขา้ งตน้ ในการแกป้ ัญหาโจทยค์ ณิตศาสตร์

2) กลุ่มกำรเช่ือมโยง (Connection cluster) เป็ นการต่อยอดจากกลุ่มทาใหม่ โดยประยุกตใ์ ชแ้ กป้ ัญหา
ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากเดิม และไม่พบบ่อย ๆ แต่เน้ือหาของปัญหายงั คงเกี่ยวพนั กบั สมรรถนะของกลุ่ม
ทาใหม่/สร้างใหมบ่ า้ งบางส่วน

3) กลุ่มกำรสะท้อนและสื่อสำร (Reflection and communication cluster) มีเรื่องการคิดไตร่ตรอง
สะทอ้ นกลบั ท่ีนกั เรียนตอ้ งใชแ้ กป้ ัญหารวมอยูด่ ว้ ย ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั ความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ใน
การแกป้ ัญหา และใชก้ ลยทุ ธ์น้นั ในการแกป้ ัญหาตามสถานการณ์ของปัญหาน้นั และมกั มีองคป์ ระกอบที่เพ่ิม
มากข้ึน หรือซบั ซอ้ นข้ึน หรือมีความหมายใหม่ มากกวา่ กลุ่มการเชื่อมโยง

สรุป แนวโนม้ ของการรู้เร่ืองคณิตศาสตร์ คือ ตอ้ งสามารถนาปัญหาจริง ๆ ท่ีพบในโลกมาคิดในเชิง
ของคณิตศาสตร์ สามารถแกป้ ัญหาในเชิงของคณิตศาสตร์ โดยใชค้ วามรู้คณิตศาสตร์ และแปลงการแกป้ ัญหา
คณิตศาสตร์ไปตอบปัญหาโลกของความเป็ นจริ งอีกต่อหน่ึง

ภำพท่ี 2.12 สมรรถนะของการรู้เร่ืองคณิตศาสตร์

กำรรู้เร่ืองคณิตศำสตร์

กลุ่มทำใหม่ กล่มุ กำรเชื่อมโยง กลุ่มกำรสะท้อนและส่ือสำร
การใชส้ ญั ลกั ษณ์ นิยาม เช่ือมโยงโลกจริงกบั การต้งั และแกป้ ัญหาที่ซบั ซอ้ น
การสะทอ้ นและมองเห็น
มาตรฐาน สญั ลกั ษณ์และโครงสร้าง
การคานวณตามแบบท่ี คณิตศาสตร์ ความสมั พนั ธ์
การแกป้ ัญหาแบบมาตรฐาน
คุน้ เคย การแปลความ/ตีความ การใชว้ ธิ ีการที่เป็ นความคิด
วธิ ีทาตามแบบที่คุน้ เคย วธิ ีทาที่รู้แลว้ แต่เพ่ิมความ ริเร่ิม
การแกป้ ัญหาเลียนแบบเดิมๆ ซบั ซอ้ นข้ึน
การใชว้ ธิ ีการที่ซบั ซอ้ น

การลงขอ้ สรุป

38 วิธกี ารและเครื่องมือประเมนิ การเรยี นรู้ของผเู้ รียน 38

กำรประเมินกำรรู้เร่ืองวทิ ยำศำสตร์
กำรรู้เร่ืองวิทยำศำสตร์ (Scientific literacy) หมายถึง ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ (Scientific

knowledge) ซ่ึงเป็ นควำมรู้วทิ ยำศำสตร์ (ความรู้เรื่องของโลกธรรมชาติในสาขาฟิ สิกส์ เคมี ชีววิทยา โลก
และอวกาศ รวมท้งั วทิ ยาศาสตร์ท่ีเป็นพ้นื ฐานของเทคโนโลย)ี และควำมรู้เกยี่ วกับวทิ ยำศำสตร์ (ความรู้ดา้ น
กระบวนการคน้ ควา้ ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific inquiry) และการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ (Scientific
explanation) ในการประเมินการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ PISA ให้ความสาคญั ของวิทยาศาสตร์ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั
สถานการณ์ หรือบริบทในชีวติ จริง คือ ประเมินวา่ นกั เรียนสามารถนาความรู้ความสามารถดา้ นวทิ ยาศาสตร์
ไปใชใ้ นชีวติ จริง และในอนาคตอยา่ งไร
สมรรถนะทำงวทิ ยำศำสตร์

1) กำรระบุประเด็นทำงวิทยำศำสตร์ (Identify scientific issues-ISI) เป็ นความสามารถในการ
แยกแยะประเด็น หรือเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ออกจากประเด็นเร่ืองอ่ืน ๆ (รู้วา่ ประเด็นปัญหา หรือคาถาม
ใดสามารถตรวจสอบไดท้ างวทิ ยาศาสตร์)ซ่ึงประเด็นทางวิทยาศาสตร์ เป็ นสิ่งที่ตอบดว้ ยประจกั ษพ์ ยานทาง
วทิ ยาศาสตร์ โดยใชส้ มรรถนะทางวทิ ยาศาสตร์

2) กำรอธิบำยปรำกฏกำรณ์ในเชิงวทิ ยำศำสตร์ (Explain phenomena scientifically-EPS) เป็ นการใช้
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีสมเหตุสมผลกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึง การบรรยาย การตีความ
ปรากฏการณ์ และคาดการณ์หรือพยากรณ์ การเปลี่ยนแปลงท่ีอาจจะเกิดข้ึน วา่ มีความสมเหตุสมผล หรือมีความ
เป็นไปไดห้ รือไม่

3) กำรใช้ประจักษ์พยำนทำงวิทยำศำสตร์ (Using scientific evidence-USE) ตอ้ งการให้รู้ความหมาย
และความสาคญั ของสิ่งที่พบจากการคน้ ควา้ ทางวิทยาศาสตร์ และนามาใชเ้ ป็ นพ้ืนฐานของการคิด การลง
ขอ้ สรุป การบอกเล่า และการส่ือสาร ซ่ึงตอ้ งใชค้ วามรู้ท้งั เก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ หรือทางวิทยาศาสตร์ หรือท้งั
สองอยา่ งมาสรุป นกั เรียนตอ้ งรู้วา่ แต่ละกรณีตอ้ งใชป้ ระจกั ษพ์ ยานใดมาแสดง แลว้ สร้างขอ้ สรุป คือนกั เรียน
ตอ้ งรู้วา่ ตอ้ งใช้ประจกั ษพ์ ยานใด แลว้ สร้างขอ้ สรุปที่สมเหตุสมผล และส่ือสารขอ้ สรุปอยา่ งชดั เจนให้แก่
ผูร้ ับข่าวสารให้เขา้ ใจได้ รวมถึงการแสดงออกว่ามีความเขา้ ใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ คือ สามารถนา
แนวคิด (Concept) ทางวทิ ยาศาสตร์ เช่น การเลือกขอ้ สรุปจากหลาย ๆ ตวั เลือก การให้เหตุผลสนบั สนุนหรือ
คดั คา้ นขอ้ สรุปในเชิงที่อา้ งอิงถึงวิธีการไดม้ าของขอ้ สรุปน้นั ๆ การระบุขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ที่นาไปสู่ขอ้ สรุป
และการสะท้อนถึงความสาคัญของพฒั นาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคม ไปใช้ได้ใน
สถานการณ์ตา่ ง ๆ
ลกั ษณะกำรรู้เร่ืองวทิ ยำศำสตร์

1) มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และใช้ความรู้น้ันระบุปัญหา หาความรู้ใหม่ อธิบายปรากฏการณ์
วทิ ยาศาสตร์ และลงขอ้ สรุปจากหลกั ฐาน หรือประจกั ษพ์ ยาน เดี่ยวกบั ประเดน็ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั วทิ ยาศาสตร์

2) มีความเขา้ ใจในลกั ษณะเด่นของวิทยาศาสตร์ ในฐานะที่เป็ นความรู้ และการคน้ หาความรู้
รูปแบบหน่ึงของมนุษย์

39 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตุรัส 39

3) มีความตระหนักรู้ว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถสร้างสรรค์วสั ดุ สติปัญญา และ
สิ่งแวดลอ้ มทางวฒั นธรรม

4) มีความเตม็ ใจท่ีจะผกู พนั กบั ประเด็นปัญหาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์ และผกู พนั กบั แนวคิดทาง
วทิ ยาศาสตร์ และเป็นพลเมืองท่ีมีความคิดและรับผดิ ชอบ

กรอบกำรประเมนิ กำรรู้เรื่องวทิ ยำศำสตร์
1) บริบทของกำรประเมิน –การรับรู้สถานการณ์ในชีวติ ที่เก่ียวขอ้ งกบั วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
2) สมรรถนะทำงวิทยำศำสตร์ –การใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ในการระบุประเด็นทางวิทยาศาสตร์

(Identifying scientific issues) การอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ (Explain phenomena
scientifically) และการใชป้ ระจกั ษพ์ ยานทางวทิ ยาศาสตร์ (Using scientific evidence)

3) ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ –ความรู้โลกธรรมชาติ (ความรู้วิทยาศาสตร์) กบั ความรู้ที่เก่ียวขอ้ งกบั
ความรู้วทิ ยาศาสตร์น้นั ๆ (ความรู้เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์)

4) เจตคติเชิงวิทยำศำสตร์ –การตอบสนองต่อวิทยาศาสตร์ด้วยความสนใจ สืบหาความรู้ทาง
วทิ ยาศาสตร์ และแสดงความรับผดิ ชอบต่อส่ิงต่าง ๆ เช่น รับผดิ ชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม

ตำรำงที่ 2.4 บริบทสาหรับการประเมินทางวทิ ยาศาสตร์ (PISA)
บริบท ระดบั ส่วนตวั ระดบั ชุมชน ระดบั โลก
(ตวั เอง ครอบครัว เพื่อน) โรคระบาด การระบาดขา้ ม
ขา้ มประเทศ
สุขภาพ สุขภาพ อุบตั ิเหตุ การควบคุมโรค สุขภาพชุมชน การ ทรัพยากรที่เกิดใหมไ่ ดแ้ ละ
โภชนาการ เลือกอาหาร ไม่ได้ ระบบของธรรมชาติ
ทรัพยากร การใชว้ สั ดุ การใชพ้ ลงั งาน การรักษาจานวนประชากรใหค้ งที่ การเพม่ิ ของประชากร
ธรรมชาติ คุณภาพชีวติ ความมน่ั คง การผลิตและ ความหลากหลายทางชีววทิ ยา
การกระจายอาหาร ความยง่ั ยนื ของระบบนิเวศ
พฤติกรรมเป็ นมิตรกบั การกระจายของประชากร การทิ้งขยะ การเกิดการสูญเสียผวิ ดิน
คุณภาพ ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม อากาศใน การเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ
สิ่งแวดลอ้ ม ส่ิงแวดลอ้ ม ผลกระทบของสงคราม
ทอ้ งถ่ิน
อนั ตราย อนั ตรายจากธรรมชาติและ การเปลี่ยนแปลงกะทนั หนั การสูญพนั ธุ์ของสิ่งมีชีวติ การ
พษิ ภยั คนทาข้ึน (แผน่ ดินไหว คล่ืนยกั ษ์ พาย)ุ การ สารวจอากาศ การเกิดจกั รวาล
เปล่ียนแปลงชา้ ๆ(การกดั เซาะ การ
ตกตะกอน) การประเมินความเส่ียง
ขอบเขตของ ความสนใจในการอธิบาย วสั ดุใหม่ ๆ เคร่ืองมือและกระบวนการ
วทิ ยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ งานอดิเรก ใหม่ การดดั แปลงพนั ธุกรรม
และเทคโนโลยี เก่ียวกบั วทิ ยาศาสตร์ การ เทคโนโลยอี าวธุ การคมนาคมขนส่ง
กีฬาและเทคโนโลยสี ่วนตวั


Click to View FlipBook Version