The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เหมาะสำหรับครูผู้สอน อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาวิชาชีพครูสำหรับการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางด้านการทดสอบ การวัด และการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน

หนังสือวิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เหมาะสำหรับครูผู้สอน อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาวิชาชีพครูสำหรับการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางด้านการทดสอบ การวัด และการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

Keywords: เครื่องมือประเมินการเรียนรู้,การทดสอบ การวัด และการประเมินผลการเรียนรู้

40 วิธีการและเครอื่ งมอื ประเมินการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น 40
ตัวอย่ำงข้อสอบกำรรู้เรื่องด้ำนกำรอ่ำน

มำซอนโด
ดว้ ยความละลานตาของสิ่งประดิษฐ์ท่ีน่าพิศวง ชาวเมืองมาซอนโดไม่รู้ดว้ ยซ้าวา่ ความมหัศจรรยน์ ้นั เร่ิมตน้ จาก
ตรงไหน พวกเขายอมอดหลบั อดนอนท้งั คืนเพอ่ื จอ้ งดูหลอดไฟสีนวลท่ีมีกระแสไฟป้อนมาจากเครื่องป่ันไฟท่ีออร์เรเลียโน
ทริสเต บรรทุกมากบั รถไฟเที่ยวท่ีสอง และพยายามทนเพอ่ื ใหค้ ุน้ กบั เสียง ตูม ตูม ของเครื่องประหลาดนนั่ ต่อมาพวกเขา
ก็เร่ิมไม่พอใจกบั การชมภาพยนตร์ ท่ีเคล่ือนไหวเหมือนมีชีวติ ที่ ดอน บรูโน เครสปี พอ่ คา้ ผรู้ ่ารวยนามาฉายในโรงฉายท่ีมี
ช่องขายตว๋ั ทาเป็ นหวั สิงโตเพราะวา่ ตวั ละครที่ตายและถูกฝังแลว้ ในเรื่องหน่ึง ซ่ึงพวกเขาไดเ้ ศร้าโศกและเสียน้าตาไปอยา่ ง
มากกลบั มีชีวติ ข้ึนมาและกลายเป็ นชาวอาหรับในเร่ืองใหม่ ผชู้ มตอ้ งจ่ายเงินสองเซ็นตาโวเป็ นค่าตวั๋ เขา้ ชมเพ่อื ร่วมเสียใจกบั
ความทุกขย์ ากของตวั ละคร พวกเขาไม่ยอมถูกหลอกให้ดูของไม่จริงอีกต่อไป จึงแสดงความโกรธดว้ ยการทุบทาลายเกา้ อ้ี
ดอน บรูโน เครสปี ไดข้ อร้องใหน้ ายกเทศมนตรีช่วยประกาศวา่ ภาพยนตร์เป็ นเพียงภาพลวงตา ไม่ควรนามาเป็ นอารมณ์
และไม่มีค่าควรแก่การท่ีผชู้ มจะระเบิดความโกรธแคน้ จากคาช้ีแจงที่เตือนสติน้ีเองทาใหห้ ลายคนรู้สึกวา่ ตนตกเป็ นเหย่ือ
ของธุรกิจหนงั เร่ จึงตดั สินใจไม่ดูภาพยนตร์อีก เพราะคิดวา่ ตวั เองก็มีความทุกขย์ ากมากเกินกวา่ ท่ีจะไปร้องไหก้ บั ส่ิงที่เป็ น
เพียงภาพลวงตาเหลา่ น้นั
ขอ้ ความขา้ งตน้ ตดั มาจากนวนิยาย ซ่ึงส่วนหน่ึงของเน้ือเรื่องกล่าวถึงรถไฟและไฟฟ้า ท่ีเพิ่งนาเขา้ มาใช้ รวมท้งั
โรงภาพยนตร์ที่เพ่ิงเปิ ดเป็ นแห่งแรกในเมืองสมมติแห่งหนื่ง ช่ือวา่ เมือง มาซอนโด
จงตอบคาถามต่อไปน้ีโดยใชเ้ น้ือเร่ืองขา้ งบน
คำถำม : ลกั ษณะอยา่ งใดของภาพยนตร์ ท่ีทาใหค้ นในเมืองมาซอนโดโกรธแคน้
ลกั ษณะเฉพำะของข้อสอบ
กลยทุ ธ์การอ่าน : การบูรณาการและตีความ
โครงสร้างขอ้ เขียน : การบรรยาย
รูปแบบถอ้ ยความ : ถอ้ ยความต่อเนื่องกนั
บริบท : ส่วนตวั
รูปแบบของขอ้ สอบ : สร้างคาตอบแบบอิสระ
กำรให้คะแนน
คะแนนเตม็
รหัส 2: อา้ งถึง ความเป็ นนิยายของภาพยนตร์ หรือโดยเฉพาะตวั นกั แสดงท่ีตายแลว้ จะปรากฏตวั ข้ึนมาใหม่อีก อาจคดั ลอก
ประโยคท่ีสามจากเน้ือเร่ืองมาโดยตรง (“...เพราะวา่ ตวั ละครที่ตายและถูกฝังแลว้ ในเร่ืองหน่ึง ซ่ึงพวกเขาไดเ้ ศร้าโศกและเสีย
น้าตาไปอยา่ งมาก กลบั มีชีวติ ข้ึนมาและกลายเป็ นชาวอาหรับในเรื่องใหม่…”) หรือในขอ้ ความสุดทา้ ย (“ส่ิงท่ีเป็ นเพียงภาพ
ในจินตนาการเท่าน้นั ”)

คนท่ีพวกเขาคิดวา่ ตายไปแลว้ กลบั มามีชีวติ อีก
พวกเขาคิดวา่ ภาพยนตร์เป็ นเร่ืองจริงแต่กลบั ไมใ่ ช่
พวกเขาคิดวา่ คนในภาพยนตร์แกลง้ ตาย และพวกเขาถกู หลอกเหมือนคนโง่
ตวั ละครที่ที่ตายและถูกฝังแลว้ ในภาพยนตร์เรื่องหน่ึง กลบั มีชีวติ ข้ึนมาอีกในภาพยนตร์เร่ืองต่อมา
พวกเขาไมเ่ ขา้ ใจวา่ ภาพยนตร์เป็ นนวนิยายที่แตง่ ข้ึน
เพราะวา่ นกั แสดงที่ตายในภาพยนตร์เรื่องก่อนกลบั มาเป็นตวั ละครอีกตวั ในภาพยนตร์เรื่องตอ่ มา
คนดูเลยคิดวา่ อารมณ์ของพวกเขาถกู ปลน้ เอาไป [ส่วนเนือ้ หาทั้ง 2 และ 1]

41 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรัส 41

พวกเขาคิดวา่ ตวั เองกม็ ีความทกุ ขย์ ากมากเกินกวา่ ท่ีจะไปร้องไหก้ บั สิ่งท่ีเป็ นเพียงการแกลง้ ทาของคน
เหลา่ น้นั [แสดงว่าเข้าใจชัดเจนว่า “นวนิยายที่แต่งขึน้ ” มผี ลทาให้คนโกรธแค้น แม้ว่าจะเกินไปหน่อย]
เพราะวา่ นกั แสดงที่ตายและถกู ฝังในภาพยนตร์เรื่องก่อนกลบั มาเป็ นตวั ชาวอาหรับ [ได้คะแนนเตม็
อย่างเฉียดฉิวเพราะมคี วามเฉพาะเจาะจงมากไป]
ได้คะแนนบำงส่วน
รหัส 1: อา้ งถึง ความหลอกลวงหรือเลห่ ์เหล่ียม หรือความคาดหวงั ของผดู้ ูที่ถกู ทาลายลง อาจอา้ งคาวา่ “สิ่งหลอกลวง” หรือ
“เหยอ่ื ของธุรกิจหนงั เร่” โดยตรง
พวกเขาคิดวา่ กาลงั ถกู หลอก
เพราะวา่ พวกเขารู้สึกวา่ เสียเวลาและอารมณ์ไปอยา่ งไมม่ ีประโยชน์
พวกเขารู้สึกวา่ ตวั เองตกเป็ นเหยอื่ ของธุรกิจหนงั เร่
พวกเขาจะไมอ่ ดทนกบั ส่ิงหลอกลวงตอ่ ไป
เพราะพวกเขาจ่ายเงินสองเซ็นตาโวเป็ นคา่ ตว๋ั เขา้ ชมส่ิงหลอกลวงซ่ึงเขาทนไมไ่ ด้ [อาจคัดลอก
บางส่วนมาจากบรรทัด 7-8 ในเรื่อง ไม่ได้พูดตรงถึงการหลอกลวงโดยเฉพาะ]
เพราะพวกเขาไมค่ ิดวา่ จะเป็ นอยา่ งน้ี [เป็ นการพดู ถึงการหลอกลวง (ท่ัวๆ ไป)]
ไม่ได้คะแนน
รหัส 0: ใหค้ าตอบท่ีไมเ่ พียงพอ หรือไม่ตรงประเด็น
พวกเขาโกรธ บรูโน เครสปี
พวกเขาไม่ชอบภาพยนตร์ท่ีนามาฉาย
พวกเขาตอ้ งการเงินคืน
พวกเขาคิดวา่ พวกเขาตกเป็ นเหยอื่
พวกเขาเป็ นคนรุนแรง
พวกเขาโง่
พวกเขาแสดงความรู้สึกของตนเอง
เพราะพวกเขาจ่ายเงินสองเซ็นตาโวแตไ่ ม่ไดส้ ่ิงท่ีตอ้ งการ [ คาว่า “ส่ิงท่ีตอ้ งการ” กว้างเกินไป]
หรือ: แสดงถึง ความไม่เขา้ ใจ ในเน้ือหาที่อา่ น หรือใหค้ าตอบท่ีไมม่ ีเหตผุ ลหรือที่ไมเ่ กี่ยวขอ้ ง
พวกเขารู้สึกวา่ ไม่ควรยงุ่ กบั ปัญหาผอู้ ื่น [ผิด คนเราต้องการย่งุ กบั ปัญหาจริงๆ ของคนอ่ืน]
เป็ นวธิ ีที่พวกเขาประทว้ งการเสียเงินโดยเปลา่ ประโยชน์
พวกเขาโกรธท่ีตอ้ งมาดูคนตายและถูกฝัง [อ้างประโยคท่ีทาให้คิดว่า “พวกเขาไม่ชอบเห็นคนตายใน
ภาพยนตร์” – เป็ นการแปลความที่ไม่ถกู ]
รหสั 9: ไม่ตอบ

42 วธิ ีการและเคร่ืองมือประเมนิ การเรยี นร้ขู องผเู้ รียน 42

ตัวอย่ำงข้อสอบกำรรู้เร่ืองด้ำนคณติ ศำสตร์
ตวั อย่ำงท่ี 1 กำรจ่ำยเงนิ ตำมพืน้ ที่
ผคู้ นท่ีอาศยั ในอพาร์ตเมนทแ์ ห่งหน่ึงตดั สินใจที่จะซ้ืออาคารที่เขาอาศยั อยทู่ ้งั อาคาร ผอู้ าศยั ท้งั หมดจะนาเงินมา
รวมกนั ในรูปแบบที่วา่ แตล่ ะคนจะจ่ายเงินตามสดั ส่วนของขนาดอพาร์ตเมนทข์ องเขาตวั อยา่ งเช่น ชายคนหน่ึงท่ีอาศยั ในอ
พาร์ตเมนทท์ ่ีมีขนาดพ้นื ท่ี 1 ใน 5 ของพ้ืนที่ของอพาร์ตเมนทท์ ้งั หมด เขาจะตอ้ งจ่ายเงิน 1 ใน 5 ของราคาอาคารหลงั น้ี
จงวงกลมรอบล้อมคำว่ำ “ถูก” หรือ “ไม่ถูก” ในแต่ละประโยคต่อไปนี้
ประโยค ถูก / ไม่ถูก

ผทู้ ี่อาศยั ในอพาร์ตเมนทท์ ่ีมีพ้นื ที่มากสุดจะจ่ายเงินสาหรับแต่ละตารางเมตรของอพาร์ตเมนทม์ ากกวา่ ถูก / ไม่ถูก
ผทู้ ่ีอาศยั ในอพาร์ตเมนทท์ ่ีมีพ้นื ที่นอ้ ยที่สุด

ถา้ เราทราบพ้ืนท่ีของอพาร์ตเมนทส์ องแห่ง และราคาของอพาร์ตเมนทแ์ ห่งหน่ึงแลว้ เราสามารถ ถกู / ไม่ถกู
คานวณราคาของอพาร์ตเมนทแ์ ห่งที่ 2 ได้

ถา้ เรารู้ราคาของอาคาร และจานวนเงินท่ีเจา้ ของแต่ละคนจ่ายแลว้ เราสามารถคานวณพ้ืนท่ีท้งั หมด ถูก / ไม่ถกู
ของอพาร์ตเมนทไ์ ด้

ถา้ ราคารวมของอาคารไดส้ ่วนลด 10% แลว้ เจา้ ของอพาร์ตเมนทแ์ ตล่ ะคนจะจ่ายเงินนอ้ ยลง10% ถูก / ไม่ถกู

ลกั ษณะเฉพำะของข้อสอบ
สมรรถนะ : การเชื่อมโยงความรู้
เน้ือหา : การเปลี่ยนแปลงและความสมั พนั ธ์
สาขาวชิ า: ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม
บริบท : โลก
รูปแบบของขอ้ สอบ : เลือกตอบแบบเชิงซอ้ น

ตวั อย่ำงที่ 2 กำรสนบั สนุนประธำนำธิบดี
ในประเทศเซดแลนด์ มีการสารวจความเห็นเกี่ยวกบั การสนบั สนุนประธานาธิบดีในการเลือกต้งั ที่กาลงั จะมาถึง

หนงั สือพมิ พส์ ่ีฉบบั แยกกนั สารวจความเห็นทวั่ ประเทศ ปรากฎผลการสารวจดงั น้ี
หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ท่ี 1: 36.5% (ทาแบบสารวจในวนั ท่ี 6 มกราคม ใชก้ ลุ่มตวั อยา่ ง 500 คน โดยสุ่มจากประชากรท่ี

มีสิทธิเลือกต้งั )
หนงั สือพิมพฉ์ บบั ท่ี 2: 41.0% (ทาแบบสารวจในวนั ที่ 20 มกราคม ใชก้ ลุ่มตวั อยา่ ง 500 คน โดยสุ่มจากประชากร

ที่มีสิทธิเลือกต้งั )
หนงั สือพิมพฉ์ บบั ท่ี 3: 39.0% (ทาแบบสารวจในวนั ที่ 20 มกราคม ใชก้ ลุ่มตวั อยา่ ง 1000 คน โดยสุ่มจากประชากร

ท่ีมีสิทธิเลือกต้งั )
หนังสือพิมพฉ์ บบั ที่ 4: 44.5% (ทาแบบสารวจในวนั ท่ี 20 มกราคม ใชก้ ลุ่มตวั อยา่ ง 1000 คน โดยผอู้ ่าน

หนงั สือพมิ พโ์ ทรศพั ทเ์ ขา้ มาออกเสียง)
คำถำม

ผลสารวจของหนงั สือพิมพฉ์ บบั ใด น่าจะพยากรณ์ระดบั การสนบั สนุนประธานาธิบดีไดด้ ีท่ีสุด ถา้ การเลือกต้งั จะ
มีข้ึนในวนั ท่ี 25 มกราคม จงใหเ้ หตุผลสองขอ้ เพ่ือสนบั สนุนคาตอบดว้ ย

43 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจตั รุ สั 43

ลกั ษณะเฉพำะของข้อสอบ
สมรรถนะ : การเชื่อมโยงความรู้
เน้ือหา : ความไม่แน่นอน
สาขาวชิ า: สถิติ
บริบท : สาธารณะ
รูปแบบของขอ้ สอบ : สร้างคาตอบแบบอิสระ

กำรให้คะแนน
คะแนนเตม็
รหัส 2: หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ที่ 3 การสารวจฯ เป็ นปัจจุบนั มากกวา่ เป็ นการสุ่มตวั อยา่ งขนาดใหญ่กวา่ และถามเฉพาะผมู้ ีสิทธ์ิ
เลือกต้งั (ใหเ้ หตผุ ลอยา่ งนอ้ ยสองเหตผุ ล) ไม่สนใจขอ้ มลู เพ่ิมเติม (รวมถึงขอ้ มูลท่ีไม่เก่ียวขอ้ งหรือไมถ่ กู ตอ้ ง)

หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ท่ี 3 เพราะวา่ เขาไดส้ ุ่มเลือกประชาชนที่มีสิทธ์ิลงคะแนนมากกวา่
หนงั สือพิมพฉ์ บบั ท่ี 3 เพราะวา่ เขาไดถ้ าม 1000 คน โดยการสุ่มเลือก และดาเนินการในวนั ท่ีใกลก้ บั วนั
เลือกต้งั ดงั น้นั ผมู้ ีสิทธ์ิเลือกต้งั มีเวลาท่ีจะเปลี่ยนใจนอ้ ยลง
หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ที่ 3 เพราะวา่ พวกเขาถกู สุ่มเลือก และต่างมีสิทธ์ิลงคะแนน
หนงั สือพิมพฉ์ บบั ที่ 3 เพราะวา่ เขาสารวจจานวนประชาชนมากกวา่ และใกลว้ นั เลือกต้งั มากกวา่
หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ที่ 3 เพราะวา่ คนท้งั 1000 คนถูกสุ่มเลือก
ได้คะแนนบำงส่วน
รหัส 1: หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ที่ 3 พร้อมเหตุผลหน่ึงขอ้ หรือไม่มีคาอธิบาย
หนงั สือพิมพฉ์ บบั ท่ี 3 เพราะวา่ วนั สารวจใกลว้ นั เลือกต้งั มากกวา่
หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ที่ 3 มีคนถูกสารวจมากกวา่ ฉบบั ท่ี 1 และ 2
หนงั สือพมิ พฉ์ บบั ที่ 3
ไม่ได้คะแนน
รหสั 0: คาตอบอ่ืนๆ
หนงั สือพิมพฉ์ บบั ที่ 4 การท่ีมีประชาชนมากกวา่ ยอ่ มหมายถึงผลที่แน่นอนกวา่ และคนที่โทรศพั ท์
เขา้ มาออกเสียง จะตอ้ งพิจารณาการออกเสียงของเขาเป็ นอยา่ งดีแลว้
รหัส 9: ไม่ตอบ

44 วิธีการและเครื่องมือประเมินการเรียนรขู องผูเรยี น 44
ตวั อย่ำงข้อสอบกำรรู้เรื่องด้ำนวทิ ยำศำสตร์

จงอ่ำนข้อควำมต่อไปนแี้ ล้วตอบคำถำม
ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก : เรื่องจริงหรือนวนยิ ำย?
ส่ิงท่ีมีชีวติ ตอ้ งการพลงั งานในการดารงชีวิต และพลงั งานสาหรับสิ่งมีชีวติ บนโลกมาจากดวงอาทิตย์ ซ่ึงแผ่มาใน
อวกาศไดเ้ พราะร้อนมาก แตพ่ ลงั งานที่มาถึงโลกมีสดั ส่วนเพียงเลก็ นอ้ ยเท่าน้นั
บรรยากาศของโลกทาตวั เหมือนผา้ ห่มคลุมป้องกนั ผิวโลกของเรา คอยป้องกนั การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซ่ึง
จะเกิดข้ึนหากโลกน้ีไมม่ ีอากาศ
พลงั งานท่ีแผ่มาจากดวงอาทิตยส์ ่วนใหญ่จะผ่านบรรยากาศของโลก โลกจะดูดซบั พลงั งานไวบ้ างส่วน และ
สะทอ้ นพลงั งานบางส่วนกลบั ไป พลงั งานที่สะทอ้ นกลบั น้ีบางส่วนจะถูกดูดซบั โดยช้นั บรรยากาศ
ผลที่เกิดข้ึนคือ หากไม่มีบรรยากาศดงั กล่าว อุณหภูมิโดยเฉลี่ยเหนือผิวโลกจะสูงกวา่ ที่เป็ นอยนู่ ้ีทาให้บรรยากาศ
ของโลกเกิดผลทานองเดียวกบั เรือนกระจก จึงเรียกวา่ “ปรากฏการณ์เรือนกระจก”
ปรากฏการณ์เรือนกระจกน้ี มีการกล่าวถึงกนั มากในศตวรรษที่ 20
อุณหภูมิโดยเฉล่ียของบรรยากาศของโลกไดเ้ พิ่มสูงข้ึนจริง หนงั สือพิมพแ์ ละวารสารต่างๆ มกั บอกวา่ ตวั การ
สาคญั ท่ีทาใหอ้ ุณหภูมิเพ่มิ ข้ึนในศตวรรษท่ี 20 คือ การเพิ่มข้ึนของคาร์บอนไดออกไซด์
นกั ศึกษาชื่ออจั ฉริยะ สนใจท่ีจะศึกษาความสมั พนั ธท์ ี่อาจเป็ นไปไดร้ ะหวา่ งอณุ หภูมิเฉล่ียของบรรยากาศของโลก
และ ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซดท์ ่ีถกู ปลอ่ ยออกมาบนโลก
เขาคน้ พบกราฟ 2 รูป ในหอ้ งสมุดดงั ต่อไปน้ี

อจั ฉริยะสรุปจากกราฟสองรูปน้ีวา่ อุณหภูมิเฉลี่ยของบรรยากาศของโลกท่ีสูงข้ึน เป็ นเพราะคาร์บอนไดออกไซด์
ถูกปลอ่ ยออกมาสู่โลกเพ่มิ มากข้ึน

45 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจัตรุ สั 45

คำถำม: ขอ้ มูลส่วนใดของกราฟที่สนบั สนุนการสรุปของอจั ฉริยะ
ลกั ษณะเฉพำะของข้อสอบ

สมรรถนะ : การใชป้ ระจกั ษพ์ ยานทางวทิ ยาศาสตร์
ความรู้ : การอธิบายเชิงวทิ ยาศาสตร์ (ความรู้เกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์)
การใชค้ วามรู้: ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม
สถานการณ์ : โลก
รูปแบบของขอ้ สอบ : สร้างคาตอบแบบอิสระ
กำรให้คะแนน
คะแนนเตม็ (Level 3)
รหัส 11: อา้ งถึงการเพ่ิมของอณุ หภมู ิและคาร์บอนไดออกไซดท์ ่ีปลอ่ ยออกมา(โดยเฉล่ีย)

ขณะที่มีการปล่อยกา๊ ซ CO2 เพมิ่ ข้ึน อณุ หภูมิกจ็ ะเพิ่มข้ึนดว้ ย
กราฟท้งั 2 เพมิ่ ข้ึนเรื่อยๆ
เพราะวา่ กราฟท้งั 2 เริ่มสูงข้นึ ในปี ค.ศ. 1910
อุณหภมู ิเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ เมื่อมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกมา
เสน้ กราฟสูงข้ึนไปดว้ ยกนั
ทุกๆ อยา่ งเพิม่ ข้ึน
ยงิ่ มีการปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซดม์ ากข้ึน อุณหภมู ิก็จะสูงข้ึนไปดว้ ย
รหัส 12: อา้ งถึง (โดยทวั่ ไป) ความสมั พนั ธ์ในเชิงบวกของอุณหภมู ิและคาร์บอนไดออกไซดท์ ี่ปลอ่ ยออกมา
[หมายเหต:ุ รหสั น้ีมุง่ หมายที่จะจบั คาเฉพาะท่ีนกั เรียนใชเ้ ช่น “ความสมั พนั ธ์ดา้ นบวก” “รูปร่างคลา้ ยกนั ”หรือ “มี
สดั ส่วนโดยตรง” ถึงแมว้ า่ จะไม่ตรงกบั คาตอบที่ใหม้ าขา้ งล่าง แต่กแ็ สดงถึงความเขา้ ใจในระดบั ที่พอจะให้
คะแนนได]้
ปริมาณของ CO2 และอุณหภูมิเฉล่ียของโลกเป็ นสดั ส่วนโดยตรง
ท้งั สองมีรูปทรงคลา้ ยกนั แสดงวา่ มีความสมั พนั ธ์
ไม่ได้คะแนน
รหัส 01: อา้ งถึงการเพมิ่ ข้ึนของอุณหภูมิ (โดยเฉลี่ย) หรือการปล่อยกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
อณุ หภมู ิสูงข้ึน
คาร์บอนไดออกไซดเ์ พม่ิ ข้นึ
แสดงใหเ้ ห็นถึงอณุ หภมู ิท่ีเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว
รหสั 02: อา้ งถึงอุณหภูมิและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยไม่มีคาอธิบายธรรมชาติของความสมั พนั ธใ์ หก้ ระจ่าง
การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (กราฟ 1) มีผลต่ออณุ หภูมิของโลกท่ีสูงข้ึน (กราฟ2)
คาร์บอนไดออกไซดเ์ ป็ นสาเหตุหลกั ที่ทาใหข้ องอุณหภูมิของโลกเพิม่ ข้ึน หรือ: คาตอบอื่นๆ
คาร์บอนไดออกไซดถ์ กู ปล่อยออกมาสูงกวา่ อุณหภมู ิของโลกโดยเฉลี่ย
[หมายเหตุ : คาตอบไม่ถูกตอ้ ง เพราะตอบในเชิงที่วา่ ปริมาณของ CO2 ที่ปล่อยออกมา และอุณหภูมิกาลงั เพิ่ม
สูงข้ึน มากกวา่ ท่ีจะตอบวา่ เพิม่ ข้ึนท้งั สองอยา่ ง]
การเพิม่ ข้ึนของคาร์บอนไดออกไซดใ์ นหลายปี ที่ผา่ นมา เกิดข้ึนเนื่องจากอณุ หภูมิของบรรยากาศสูงข้ึน
วธิ ีท่ีเสน้ กราฟลากสูงข้ึน
มีการเพ่ิมข้ึน
รหัส 99: ไมต่ อบ

46 วิธกี ารและเครอื่ งมอื ประเมนิ การเรยี นรู้ของผู้เรยี น 46

กำรตรวจให้คะแนนข้อสอบ

ในการประเมินการเรียนรู้ที่ใชข้ อ้ สอบเขียนตอบ โดยเฉพาะแบบอตั นยั จะใหส้ ารสนเทศของผเู้ รียน
ท่ีบ่งช้ีถึงความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ไดด้ ี ในขณะเดียวกนั ก็มีจุดอ่อนในเรื่องการตรวจให้
คะแนนท่ีไม่เป็ นปรนยั ที่ผสู้ อนตอ้ งมีวธิ ีการตรวจให้คะแนนที่น่าเช่ือถือ ซ่ึงวิธีการตรวจใหค้ ะแนนท่ีใชก้ นั
อยู่ ไดแ้ ก่ (1) วธิ ีการกาหนดคา่ คะแนน (2) วธิ ีแบง่ กลุ่ม ดงั น้ี

1) วธิ ีกำรตรวจให้คะแนนแบบกำหนดค่ำคะแนน ประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่
(1) เฉลยคาตอบที่ครอบคลุมลักษณ์ที่สาคญั ไวล้ ่วงหน้าในแต่ละขอ้ คาถาม และกาหนด

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนของเน้ือหาสาคญั ในแต่ละส่วนยอ่ ยของแต่ละขอ้ ไว้
(2) ตรวจขอ้ สอบจากการอ่านและให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กาหนด โดยเริ่มจากขอ้ สอบขอ้

เดียวกนั ของผเู้ รียนท้งั หมด เมื่อใหค้ ะแนนครบทุกคนแลว้ จึงทาการตรวจขอ้ สอบต่อไป
(3) รวมคะแนนท้งั หมดทุกขอ้ ของแตล่ ะคน

2) วธิ ีกำรตรวจให้คะแนนแบบแบ่งกล่มุ ประกอบดดว้ ย 3 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่
(1) อ่านคาตอบท้งั หมดแลว้ แบง่ กระดาษคาตอบเป็นประเภทๆพร้อมท้งั กาหนดเกรดให้เป็ น

กองๆ ถา้ ไมแ่ น่ใจวา่ จะใหอ้ ยเู่ กรดใดใหท้ าเคร่ืองหมายไม่แน่ใจไว้
(2) อ่านคาตอบท้งั หมดซ้าอีกคร้ังหน่ึง โดยเฉพาะกระดาษคาตอบที่มีเครื่องหมายไม่แน่ใจ

ซ่ึงตอ้ งอ่านดว้ ยความต้งั ใจ ในการอ่านคร้ังที่สอง กระดาษคาตอบอาจเปลี่ยนกองได้
(3) กาหนดเกรดจากตวั อกั ษรหรือตวั เลขในแต่ละกองที่แบ่งไว้

ขอ้ สอบอตั นยั เป็ นวิธีการประเมินที่มีคุณค่าชนิดหน่ึงแต่มีจุดอ่อนในเร่ืองการให้คะแนน ดงั น้นั ใน
การนาไปใชต้ อ้ งทาใหก้ ารใหค้ ะแนนมีความเชื่อถือมากที่สุด

สาหรับขอ้ สอบแบบหลายตวั เลือก (Multiple Choices) ที่มีผสู้ อนนิยมใชม้ าก เนื่องจากสามารถวดั
ไดค้ รอบคลุมเน้ือหา วดั ผลิตผลทางการเรียนไดต้ ้งั แต่ความจา ถึงวเิ คราะห์ สงั เคราะห์และประเมินค่า รวมท้งั
การตรวจใหค้ ะแนนมีความเป็นปรนยั แต่มีจุดอ่อน คือ ไม่สามารถวดั การเสนอความคิดและทกั ษะการเขียน
ได้ และเปิ ดโอกาสให้มีการเดา จากขอ้ จากดั ดงั กล่าว นกั วิชาการจึงได้ศึกษาหาวิธีการแกป้ ัญหา เพื่อลด
โอกาสในการเดา และเพ่ิมสารสนเทศเก่ียวกบั การตอบขอ้ สอบใหม้ ากท่ีสุด โดยใชว้ ธิ ีการให้คะแนนความรู้
บางส่วนของผสู้ อบแสดงถึงตาแหน่งจริงของความรู้ของผตู้ อบ ซ่ึงมีส่วนช่วยลดความคลาดเคลื่อนจากแหล่ง
การเดาสุ่มของผูต้ อบลง ทาให้คะแนนมีความเมี่ยงมากข้ึน ในขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อความตรงของ
กระบวนการวดั ดว้ ย จากการศึกษาวิธีการให้คะแนนบางส่วนสรุปเป็ นประเด็นใหญ่ๆได้ 4 วิธี ดงั น้ี (Simon,
Budescu และ Nevo 1997)

(1) การใหน้ ้าหนกั แก่ขอ้ สอบท่ีแตกต่างกนั (Differential Item Weighting)
(2) การใหน้ ้าหนกั แก่ตวั เลือกท่ีแตกตา่ งกนั (Differential Option Weighting)
(3) การเปล่ียนแปลงของโครงสร้างของขอ้ สอบ (Changing the Item Structure)
(4) การเปลี่ยนแปลงวธิ ีการตอบ (Changing the Response Method)

47 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรสั 47

2.2.9 กำรประเมนิ โดยเพื่อน (Peer assessment)

การประเมินโดยเพือ่ นเป็นวธิ ีการประเมินอีกรูปแบบหน่ึงที่น่าจะนามาใชเ้ พื่อพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ ขา้ ถึง
คุณลกั ษณะของงานท่ีมีคุณภาพ เพราะการที่ผูเ้ รียนจะบอกไดว้ ่าชิ้นงานน้ันเป็ นเช่นไร ผูเ้ รียนตอ้ งมีความ
เขา้ ใจอยา่ งชดั เจนก่อนวา่ เขากาลงั ตรวจสอบอะไรในงานของเพ่ือน ดงั น้นั ผสู้ อนตอ้ งอธิบายผลที่คาดหวงั ให้
ผเู้ รียนทราบก่อนท่ีจะลงมือประเมิน

การท่ีจะสร้างความมน่ั ใจวา่ ผเู้ รียนเขา้ ใจการประเมินรูปแบบน้ี ควรมีการฝึกผเู้ รียนโดยผสู้ อนอาจหา
ตวั อย่าง เช่น งานเขียน ให้นกั เรียนเป็ นกลุ่มตดั สินใจวา่ ควรประเมินอะไร และควรใหค้ าอธิบายเกณฑท์ ี่บ่ง
บอกความสาเร็จของภาระงานน้นั จากน้นั ใหน้ กั เรียนประเมินภาระงานเขียนน้นั โดยใชเ้ กณฑท์ ี่ช่วยกนั สร้าง
ข้ึน หลงั จากน้นั ครูตรวจสอบการประเมินของนกั เรียนและให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั แก่นกั เรียนท่ีประเมินเกินจริง
ตวั อยา่ งเครื่องมือของวธิ ีการน้ี ดงั ภาพท่ี 2.13
ภำพท่ี 2.13 ตวั อยา่ งแบบประเมินเพ่ือนร่วมงานในกลุ่ม

แบบประเมินเพ่ือนร่วมงำนในกลุ่ม
ช่ือผปู้ ระเมิน................................................................รหสั ...................กลมุ่ ท่ี....................................
วนั ที่ประเมิน................................................................ประเดน็ การทางานกลมุ่ ..................................

พฤติกรรม ช่ือเพอื่ นร่วมงานในกลมุ่

1. มีน้าใจ
2. ทางานค/ู่ กลุ่มไดด้ ี
3. มีความรับผดิ ชอบงานในส่วน

ที่ไดร้ ับมอบหมาย

4. รับฟังและยอมรับความคิดเห็น
ของเพ่อื นร่วมกลุ่ม

5. ความมีมารยาท (ไม่แสดง
พฤติกรรมท่ีรบกวนผอู้ ่นื )

รวมคะแนน
แนวทางการประเมิน นกั เรียนประเมินพฤติกรรมและความร่วมมือของเพอื่ นทุกคนในกลมุ่ ของตน โดยมีเกณฑ์
การใหค้ ะแนนดงั น้ี 0 = ไม่พบเลย , 1 = บางคร้ัง , 2 = ส่วนใหญ่ , 3 = ตลอดเวลา

การใช้การประเมินโดยเพ่ือนอย่างมีประสิทธิภาพ จาเป็ นต้องสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ท่ี
สนบั สนุนใหเ้ กิดการประเมินรูปแบบน้ี กล่าวคือ ผูเ้ รียนตอ้ งรู้สึกผอ่ นคลาย เช่ือใจกนั และไม่อคติ เพื่อการ
ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั จะไดซ้ ื่อตรง เป็ นเชิงบวกท่ีให้ประโยชน์ ผูส้ อนที่ให้ผูเ้ รียนทางานกลุ่มตลอดภาคเรียน
แลว้ ใชเ้ ทคนิคเพ่ือนประเมินเพ่ือนเป็ นประจา จะสามารถพฒั นาผูเ้ รียนให้เกิดความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั อนั
จะนาไปสู่การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ที่เก่งข้ึนได้

48 วธิ ีการและเครอ่ื งมือประเมินการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น 48

2.2.10 กำรประเมนิ ภำคปฏบิ ตั ิ (Performance Assessment)

การประเมินภาคปฏิบตั ิเป็ นวิธีการประเมินงานหรือกิจกรรมท่ีผูส้ อนมอบหมายให้ผูเ้ รียนปฏิบตั ิงาน
เพอื่ ใหท้ ราบถึงผลการพฒั นาผูเ้ รียน การประเมินลกั ษณะน้ี ผสู้ อนตอ้ งเตรียมสิ่งสาคญั 2 ประการ คือ ภาระงาน
(Tasks) หรือกิจกรรมท่ีจะให้ผูเ้ รียนปฏิบตั ิ และเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (Scoring Rubrics) การประเมินภาคปฏิบตั ิ
อาจจะปรับเปล่ียนไปตามลกั ษณะงานหรือประเภทกิจกรรม ดงั น้ี

1) ภำระงำนหรือกจิ กรรมท่เี น้นข้ันตอนกำรปฏิบัติ /กระบวนกำร (Process) และผลงำน (Output)
เช่น การทดลองวทิ ยาศาสตร์ การจดั นิทรรศการ การแสดงละคร แสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การ
ประดิษฐ์ การสารวจ การนาเสนอ การจดั ทาแบบจาลอง เป็ นตน้ ผูส้ อนจะตอ้ งสังเกตและประเมินวิธีการ
ทางานท่ีเป็นข้นั ตอนและผลงานของผเู้ รียน

2) ภำระงำนหรือกิจกรรมท่ีมุ่งเน้นทกั ษะหรือควำมชำนำญ (Skill) เช่น ทกั ษะการเล่นกีฬา ทกั ษะ
การใชค้ อมพิวเตอร์ ทกั ษะการพูดภาษาต่างประเทศ ทกั ษะการอ่าน ทกั ษะการเขียน ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์
ทกั ษะการคิด เป็นตน้ ผสู้ อนตอ้ งสงั เกตและประเมินทกั ษะวา่ ไดต้ ามมาตรฐานหรือระดบั ที่ตอ้ งการหรือไม่

3) ภำระงำนหรือกจิ กรรมทม่ี ุ่งเน้นกำรสร้ำงลักษณะนิสัย (Attribute) เช่น การรักษาความสะอาด
การรักษาสาธารณสมบตั ิ/ส่ิงแวดลอ้ ม กิจกรรมหนา้ เสาธง เป็ นตน้ จะประเมินดว้ ยวธิ ีการสังเกต จดบนั ทึก
เหตุการณ์เก่ียวกบั ผเู้ รียน

4) ภำระงำนท่ีมีลักษณะเป็ นโครงกำร/โครงงำน (Project) เป็ นกิจกรรมที่เน้นข้นั ตอนการปฏิบตั ิ
(Process) และผลงาน (Product) ท่ีตอ้ งใชเ้ วลาในการดาเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็ นระยะๆ เช่น ระยะ
ก่อนดาเนินโครงการ/โครงงาน โดยประเมินความพร้อมการเตรียมการและความเป็ นไปไดใ้ นการปฏิบตั ิงาน
ระยะระหวา่ งดาเนินโครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบตั ิจริงตามแผน วธิ ีการและข้นั ตอนท่ีกาหนดไว้
และการปรับปรุงระหวา่ งการปฏิบตั ิ สาหรับระยะสิ้นสุดการดาเนินโครงการ/โครงงาน โดยการประเมินผล
งาน ผลกระทบ และวธิ ีการนาเสนอผลการดาเนินโครงการ/โครงงาน

5) ภำระงำนที่เน้นผลผลิตชิ้นงำน (Product) เช่น การจดั ทาแผนผงั แผนท่ี แผนภูมิ กราฟ ตาราง
แผนผงั ความคิด ผลิตภณั ฑ์ ภาพวาด งานเขียน เป็นตน้ อาจประเมินเฉพาะคุณภาพของผลงานได้

ในการประเมินภาคปฏิบตั ิ ครูผูส้ อนตอ้ งสร้างเคร่ืองมือเพื่อใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบ
สังเกต แบบสมั ภาษณ์ แบบประเมิน แบบมาตรประมาณค่า แบบบนั ทึกพฤติกรรม แบบตรวจสอบรายงาน
แบบบนั ทึกผลการปฏิบตั ิ เป็นตน้ และควรมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เพ่อื นาไปใชใ้ นการประเมินตดั สินต่อไป

วธิ ีกำรและเคร่ืองมือทใี่ ช้ในกำรประเมนิ ภำคปฏบิ ัติ ดงั รายละเอียดตอ่ ไปน้ี
1) กำรทดสอบ เป็นการใชแ้ บบทดสอบชนิดที่ให้นกั เรียนสร้างคาตอบหรือผลิตผลงานท่ีเป็ นการวดั
ทกั ษะการเขียน เช่น ขอ้ สอบอตั นยั ชนิดเขียนตอบ ขอ้ สอบท่ีวดั การคิดข้นั สูงชนิดเป็ นสถานการณ์ ซ่ึงจะมี
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบรูบริกส์เพื่อวดั ระดบั ความสามารถในการเขียนและการคิด ตวั อยา่ งเครื่องมือของ
วธิ ีการน้ี ดงั คาส่งั และภาพท่ี 2.14

49 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรสั 49
คาสงั่ จงเขียนเล่าเรื่องจากภาพดว้ ยตวั บรรจงคร่ึงบรรทดั โดยใชภ้ าษาไทยมาตรฐาน (ภาษาไทยกลาง) ไม่เขียน
เป็ นบทร้อยกรอง และไม่ตอ้ งต้งั ช่ือเรื่อง ความยาว 4-7 บรรทดั ถา้ เขียนเกิน 7 บรรทดั จะตรวจถึงบรรทดั ที่ 7
เทา่ น้นั

ภำพท่ี 2.14 ตวั อยา่ งขอ้ สอบการเขียนเล่าเร่ืองจากภาพ

(ท่ีมา: สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ) องคก์ ารมหาชน)

2) กำรสังเกตและจดบันทึก เป็ นการสังเกตก่อนแลว้ จดบนั ทึกเหตุการณ์ย่อย การจดบนั ทึกควร
บนั ทึกใหเ้ ร็วที่สุดเท่าท่ีจะทาได้ บนั ทึกเหตุการณ์ท่ีมีความหมาย มีสารสนเทศเพียงพอที่จะทาความเขา้ ใจได้

ในภายหลงั การปฏิบตั ิท่ีจาเป็นตอ้ งใชก้ ารสงั เกตและจดบนั ทึกอยา่ งรวดเร็ว เช่น การเล่นขิม การวา่ ยน้า การ
ทาอาหาร การสอนของครูในช้นั เรียน ฯลฯ รายการปฏิบตั ิในแต่ละข้นั ตอนเป็ นอย่างไร ตอ้ งบนั ทึกไว้
ตวั อยา่ งเครื่องมือของวธิ ีการน้ี ดงั ภาพที่ 2.15
ภำพที่ 2.15 ตวั อยา่ งแบบบนั ทึกการสังเกตช้นั เรียนท่ีใชก้ ารสอนแบบเปิ ด (Open Approach)
แบบบนั ทกึ กำรสังเกตช้ันเรียนทใ่ี ช้กำรสอนแบบเปิ ด (Open Approach)

ชื่อครูผสู้ อน.....................................................................................ช้นั เรียน..................................................................
วนั เดือนปี ที่สงั เกต...........................................................................ชื่อผสู้ งั เกต..............................................................

รายการท่ีสงั เกต ผลจากการสงั เกต

1. ข้นั นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด
2. นกั เรียนเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
3. ข้นั นาเสนอและอภิปรายร่วมกนั ท้งั ช้นั
4. ข้นั สรุปบทเรียน

3) กำรตรวจสอบรำยกำรปฏิบัติ (Checklist) เป็ นการใชแ้ บบตรวจสอบรายการจากพฤติกรรมหรือ
ลกั ษณะท่ีบ่งช้ีทกั ษะหรือผลการปฏิบตั ิสาคญั ที่ตอ้ งการวดั /ทดสอบ เพื่อใหผ้ ปู้ ระเมินระบุวา่ พฤติกรรมหรือ
ลกั ษณะน้นั ๆเกิดข้ึนหรือไม่ เช่น การพิมพด์ ีด การนาเสนอรายงาน การอ่านทานองเสนาะ การขบั รถยนต์
ฯลฯ ขอ้ ดีของวธิ ีการน้ีคือ สร้างง่าย ง่ายตอ่ การใชง้ าน แตม่ ีขอ้ จากดั ที่ไม่ไดแ้ สดงระดบั ท่ีชดั เจนของคุณภาพ
หรือความสมบูรณ์ของพฤติกรรมหรือลกั ษณะของทกั ษะที่ตอ้ งการประเมิน จึงเหมาะกบั ทกั ษะการปฏิบตั ิที่

50 วิธีการและเคร่ืองมอื ประเมนิ การเรียนรูข้ องผ้เู รียน 50

มีขอ้ รายการหรือข้นั ตอนการปฏิบตั ิท่ีชดั เจนตายตวั เหมาะกบั การนาไปใชก้ บั ผูร้ ับการประเมินที่มีช่วงอายุ
นอ้ ย เช่น นกั เรียนอนุบาล ประถมศึกษา ที่ไม่จาเป็ นตอ้ งมีพฤติกรรมท่ีซบั ซ้อนมากนกั ตวั อยา่ งเคร่ืองมือ

ของวธิ ีการน้ี ดงั ภาพท่ี 2.16
ภำพท่ี 2.16 ตวั อยา่ งแบบตรวจสอบรายการสาหรับประเมินทกั ษะการขบั รถยนต์
แบบตรวจสอบรำยกำรสำหรับประเมนิ ทกั ษะกำรขบั รถยนต์

ช่ือ-นามสกลุ .........................................................................................เลขประจาตวั ประชาชน.....................................
วนั เดือนปี ที่ทดสอบ......................................................ชื่อผปู้ ระเมนิ ..............................................................................

ขอ้ รายการปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิ ไม่ปฏิบตั ิ

1. คาดเขม็ ขดั นิรภยั

2. ขบั รถเพ่ือเคล่ือนที่ไปขา้ งหนา้ ภายในช่องทางเดินรถที่กาหนด

3. ใหส้ ญั ญาณไฟแก่รถคนั อื่นๆ เม่ือจะเล้ียว

4. ปฏิบตั ิตามสญั ญาณไฟจราจร

5. ถอยหลงั เขา้ จอดรถในช่องจอดรถที่กาหนด

6. จอดรถขนานเสน้ ขอบทางตามระยะห่างท่ีกาหนด

ที่มา: กมลวรรณ ตงั ธนกานนท์ (2559)
4) กำรประเมินตำมมำตรประมำณค่ำ (Rating Scale) เป็ นการใชม้ าตรประมาณค่าในการระบุระดบั
คุณภาพหรือความสมบูรณ์ของทกั ษะหรือผลการปฏิบตั ิน้นั ๆ ของผูร้ ับการประเมินวา่ อยใู่ นระดบั ใด ขอ้ ดีของ
วธิ ีน้ีคือ ใช้เวลาสร้างไม่นาน มีการกาหนดระดบั คุณภาพท่ีละเอียดกว่าแบบตรวจสอบรายการ แต่มีขอ้ จากดั
คือ แต่ละระดบั ไม่มีการกาหนดคาบรรยายพฤติกรรมหรือลกั ษณะของทกั ษะที่ประเมินทาให้ขาดความเป็ น
ปรนยั และขาดความเท่ียงระหวา่ งผูป้ ระเมินได้ ตวั อยา่ งเครื่องมือของวธิ ีการน้ี ดงั ภาพท่ี 2.17

ภำพที่ 2.17 ตวั อยา่ งแบบประเมินค่าสาหรับประเมินทกั ษะการตีลูกเหนือศีรษะในกีฬาแบดมินตนั
แบบประเมนิ ทกั ษะกำรตลี ูกเหนือศีรษะในกฬี ำแบดมนิ ตนั

ช่ือผเู้ รียน.................................................................................ช้นั ....................................................................
วนั เดือนปี ................................................................................ผปู้ ระเมิน..........................................................

คาช้ีแจง ใหท้ าเคร่ืองหมาย ตรงกบั ระดบั การปฏิบตั ิของผเู้ รียนในแต่ละรายการ

พฤติกรรม ระดบั การปฏิบตั ิ

ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรุง

1. เคลื่อนไหวเทา้ อยา่ งคลอ่ งแคลว่ ไปที่จุดที่จะตีลูก

2. ไหล่ต้งั ฉากกบั เนต
3. หนั ไมเ้ พอ่ื เตรียมตีลกู เหนือศีรษะ

4. ไมส้ มั ผสั ลูกขนไก่ในขณะท่ีแขนอยเู่ หนือศีรษะ

5. สะบดั ขอ้ มือเมื่อลกู ขนไก่สมั ผสั ไม้

6. ปรับสมดุลการทรงตวั ของร่างกาย

ท่ีมา: กมลวรรณ ตงั ธนกานนท์ (2559)

51 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจตั รุ ัส 51

5) กำรประเมินตำมเกณฑ์กำรให้คะแนนแบบรูบริกส์ (scoring rubrics) เป็ นการกาหนดแนวทางการ
ใหค้ ะแนนผลงาน ทกั ษะ กระบวนการปฏิบตั ิงาน ถือเป็ นเครื่องมือสาคญั ของการประเมินภาคปฏิบตั ิ เกณฑ์
การใหค้ ะแนนจะเป็นแนวทางของผสู้ อนในการใหค้ ะแนน โดยเกณฑท์ ่ีผสู้ อนพฒั นาข้ึนจะสัมพนั ธ์เชื่อมโยง
กบั จุดประสงคก์ ารเรียนการสอนที่ไดก้ าหนดไวใ้ นแตล่ ะวชิ า ผลของการใหค้ ะแนนตามเกณฑ์การประเมินท่ี
ผูส้ อนพฒั นาข้ึนจึงเป็ นเคร่ืองยืนยนั คุณภาพของผเู้ รียนตามมาตรฐาน และนอกจากเกณฑ์การให้คะแนนจะ
เป็นเครื่องมือในการประเมินแลว้ ยงั สามารถใชเ้ ป็ นเคร่ืองมือในการสอนอีกดว้ ย เพราะเกณฑ์เปรียบเสมือน
เป้าหมายในการเรียนที่ผูเ้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้ และทาให้ผูส้ อน และบุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ ง รู้วา่ ผูเ้ รียนทาอะไรได้
บา้ ง และรู้อะไรบา้ ง

องค์ประกอบของการเกณฑ์ประกอบไปดว้ ย 2 ส่วนสาคญั คือ ส่วนแรก คือเกณฑ์ท่ีใช้พิจารณา
ชิ้นงานหน่ึงๆ เช่น ส่ิงประดิษฐ์ 1 ชิ้น อาจมีแนวทางหรือองคป์ ระกอบที่จะใชพ้ ิจารณา เช่น จุดมุ่งหมายของ
สิ่งประดิษฐ์ ความคิดริเร่ิม ความแขง็ แรง การนาไปใช้ ความสวยงาม ส่วนท่ีสอง ไดแ้ ก่ คาอธิบายถึงระดบั
คุณภาพของแต่ละแนวทาง ซ่ึงอาจเรียงลาดบั ต้งั แตด่ ีมากไปจนถึงตอ้ งปรับปรุง

รูปแบบของเกณฑ์กำรให้คะแนน สามารถจาแนกได้ 2 ประเภท ดงั น้ี
1) เกณฑ์กำรให้คะแนนแบบองค์รวม (Holistic Rubrics) เป็ นหลกั เกณฑ์และแนวทางการใหค้ ะแนน
โดยพิจารณาจากภาพรวมของชิ้นงาน โดยจะมีคาอธิบายลกั ษณะของงานในแต่ละระดบั ไวอ้ ย่างชัดเจน
เกณฑ์การให้คะแนนในภาพรวมน้ีเหมาะท่ีจะใช้ในการประเมินทักษะการเขียน เพราะสามารถท่ีจะ
ตรวจสอบความต่อเนื่อง ความคิดสร้างสรรค์ และความสละสลวยของภาษาท่ีเขียนได้ แนวการใหค้ ะแนน
แบบองค์รวมค่อนขา้ งง่ายในการสร้างและการใช้ และมีประโยชน์ในการใช้ประเมินการปฏิบตั ิงานท่ีมี
กระบวนการซบั ซ้อนมากๆ เกินกวา่ จะแยกแยะเป็ นดา้ นต่างๆ ได้ อยา่ งไรก็ตาม สิ่งท่ีตอ้ งระมดั ระวงั และ
ควรให้พิจารณาอย่างรอบคอบในการสร้างเกณฑ์การประเมินในภาพรวม คือ การกาหนดเกณฑ์หรือ
คาอธิบายคุณภาพงานที่ตอ้ งการอย่างชดั เจน และสามารถแสดงความถึงมาตรฐานได้ เพราะการกาหนด
เกณฑ์ท่ีหละหลวมอาจทาให้ขาดความตรงและความลาเอียงในการประเมินได้ ขอ้ จากดั อีกประการหน่ึงคือ
เกณฑก์ ารประเมินแบบในภาพรวมน้ีใหข้ อ้ มูลกวา้ งๆ อาจจะยากสาหรับผูเ้ รียนที่จะทราบจุดบกพร่องที่ตอ้ ง
แกไ้ ขปรับปรุง (กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2546 ; แฮร์ริส และ ดกั ลาส อี, 2546)
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบองคร์ วมส่วนใหญ่จะใช้ 3-6 ระดบั แต่ท่ีนิยมใชก้ นั มาก คือ เกณฑ์การให้
คะแนน 3 ระดบั เน่ืองจากง่ายต่อการกาหนดรายละเอียดซ่ึงจะยดึ เกณฑ์ค่าเฉล่ีย สูงกวา่ ค่าเฉล่ีย และต่ากวา่
คา่ เฉล่ีย ซ่ึงง่ายตอ่ การตรวจใหค้ ะแนน เน่ืองจากงานมีความแตกต่างกนั อยา่ งเห็นไดช้ ดั แต่ถา้ จะใช้ 5 หรือ 6
ระดบั ความแตกต่างระหวา่ งระดบั จะแตกต่างกนั เพียงเล็กนอ้ ยซ่ึงทาให้ยากต่อการตรวจคะแนน ตวั อย่าง
ของเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบองคร์ วม ดงั ภาพที่ 2.18

52 วธิ ีการและเครื่องมอื ประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรยี น 52

ภำพที่ 2.18 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบองคร์ วมเพ่อื ประเมินทกั ษะการเขียน

ระดบั คะแนน ลกั ษณะของงำน

3 - เขียนไดต้ รงประเด็นตามท่ีกาหนดไว้
(ดี) - เขียนไม่วกวนมีการจดั ระบบงานเขียน เช่น มีคานา เน้ือหา และบทสรุปอยา่ งชดั เจน

- ภาษาท่ีใชถ้ กู ตอ้ ง เช่น ตวั สะกดและไวยากรณ์มีความถกู ตอ้ งสมบูรณ์ ทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจง่าย
- มีแนวคิดที่น่าสนใจ
- ใชค้ าศพั ทท์ ี่เหมาะสม
- ภาษาสละสลวย

2 - เขียนไดต้ รงประเดน็ ตามท่ีกาหนดไว้
(ผา่ น) - มีการจดั ระบบการเขียน เช่น มีคานา เน้ือหา และบทสรุป

- ใชค้ าศพั ทเ์ หมาะสม
- ภาษาท่ีใชท้ าใหผ้ อู้ ่านเกิดความสบั สน
1 - เขียนไมต่ รงประเดน็
(ตอ้ งปรับปรุง) - ไมม่ ีการจดั ระบบการเขียน
- ภาษาที่ใชท้ าใหผ้ อู้ า่ นเกิดความสบั สน
- ใชค้ าศพั ทเ์ หมาะสม
0 - ไม่มีผลงาน

ท่ีมา: สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2553)

2) เกณฑ์กำรให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบ (Analytic Rubrics) เป็ นหลกั เกณฑแ์ ละแนวทางการ
ใหค้ ะแนนโดยพิจารณาจากแต่ละส่วนของงาน ซ่ึงแต่ละส่วนจะตอ้ งกาหนดแนวทางการใหค้ ะแนนโดยมีคา
นิยามหรือคาอธิบายลกั ษณะของงานในส่วนน้ันๆ ในแต่ละระดบั ไวอ้ ย่างชัดเจน และสามารถกาหนด
น้าหนกั คะแนนของแต่ละส่วนแยกจากกนั ได้ น้าหนกั คะแนนแต่ละส่วนอาจแตกต่างกนั ตามความสาคญั ท่ี
ตอ้ งการเน้น เกณฑ์การให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบเป็ นเคร่ืองมือที่มีประโยชน์ในการประเมินสิ่งท่ี
คาดหวงั จากงานเป็ นดา้ นๆ และทาให้รู้วา่ ตอ้ งแกไ้ ขปรับปรุงจุดใด ตวั อยา่ งของเกณฑ์การให้คะแนนแบบ
แยกองคป์ ระกอบ ดงั ภาพท่ี 2.19

ภำพท่ี 2.19 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบเพ่อื ประเมินทกั ษะการเขียน
ระดบั คะแนน
ประเดน็ 4 32 1 0
ไมม่ ีผลงาน
1. รูปแบบ - องคป์ ระกอบ - องคป์ ระกอบ -องคป์ ระกอบ - องคป์ ระกอบ
ครบ มีคานา ไมค่ รบ มีเน้ือ ไมค่ รบ มีแต่ ไมค่ รบ
เน้ือเร่ือง สรุป เรื่อง ขาด เน้ือเรื่องที่ เน้ือเรื่องไม่
ครบและ คานา หรือสรุป สมบูรณ์ ขาดคา สมบูรณ์
สมบูรณ์ นาและสรุป

ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั ุรสั 53

53

ประเดน็ 4 ระดบั คะแนน 1 0
32 - เขียนเร่ืองไม่ ไมเ่ ขียน
2. เน้ือเร่ือง - เขียนเรื่องได้ - เขียนเร่ืองได้ - เขียนเรื่องได้ ตรงกบั ชื่อเรื่อง หรือเขียน
ตรงกบั ช่ือเร่ือง ตรงกบั ช่ือเรื่อง ตรงกบั ช่ือเรื่อง - เรียงลาดบั ไม่ได้
- เรียงลาดบั - เรียงลาดบั - เรียงลาดบั เหตกุ ารณ์วกวน ใจความ
เหตุการณ์ได้ เหตกุ ารณ์ได้ เหตกุ ารณ์ หลายตอน
อยา่ งตอ่ เนื่อง อยา่ งต่อเน่ือง วกวนบางตอน - ไมม่ ีการ ไม่มีผลงาน
ชดั เจน - สอดแทรก - ไมม่ ีการ สอดแทรก หรือ เขียน
- สอดแทรก แนวคิดที่เป็ น สอดแทรก แนวคิดท่ีเป็ น ผิดมาก
แนวคิด ท่ีเป็ น ประโยชน์ แนวคิดท่ีเป็ น ประโยชน์ สบั สน
ประโยชนใ์ นเชิง ประโยชน์ - เขียนสะกด อ่านไมไ่ ด้
สร้างสรรค์ คาผดิ เกินกวา่ ใจความ
3.การใชภ้ าษา - เขียนสะกดคา - เขียนสะกดผิด - เขียนสะกดคาผิด 10 แห่ง ไม่มีผลงาน
ถูกตอ้ ง ไมเ่ กิน 5 คา ไม่เกิน 10 คา - ใชถ้ อ้ ยคาไม่ หรืองาน
- ใชส้ านวนถอ้ ยคา - ใชส้ านวนถอ้ ยคา - ใชถ้ อ้ ยคา ไม่ เหมาะสมหลาย สกปรก
ถูกตอ้ งเหมาะสม ถูกตอ้ งเหมาะสม เหมาะสมบางแห่ง แห่ง ตวั หนงั สือ
สละสลวยงดงาม - สื่อความหมายได้ - สื่อความหมาย - ส่ือความหมาย อ่านยากมาก
เชื่อมโยงภาษาได้ ไมช่ ดั เจนบางตอน ไดไ้ ม่ชดั เจน
ดี - มีรอยขีดฆ่า
- ส่ือความหมายได้ มากกวา่ 5 แห่ง
ชดั เจน - ตวั หนงั สือ
4.นิสยั ท่ีดี - สะอาดเรียบร้อย - สะอาดเรียบร้อย - มีรอยลบ ขีดฆ่า อา่ นยาก
ในการเขียน - ตวั หนงั สือ แตม่ ีรอยลบ ขดู ไมเ่ กิน 5 แห่ง
อ่านง่าย สวยงาม ฆ่าไม่เกิน 3 แห่ง - ตวั หนงั สืออ่าน
- ทนั เวลา - ตวั หนงั สืออ่าน ยาก
ง่าย
ที่มา: สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553)

เกณฑ์กำรตดั สิน 4 ระดบั ระดบั คณุ ภำพ
ช่วงคะแนน
13 – 16 คะแนน อยใู่ นระดบั ดีมาก
9 – 12 คะแนน อยใู่ นระดบั ดี
5 – 8 คะแนน อยใู่ นระดบั พอใช้
0 – 4 คะแนน อยใู่ นระดบั ควรปรับปรุง
สรุปผลกำรตดั สินคุณภำพ
นกั เรียนตอ้ งไดร้ ะดบั “ดี” ข้ึนไป จึงจะถือวา่ ผา่ นการประเมิน

54 วธิ กี ารและเครือ่ งมอื ประเมนิ การเรียนรู้ของผเู้ รยี น 54

2.2.11 กำรประเมนิ จำกแฟ้มสะสมผลงำน

การประเมินจากแฟ้มสะสมผลงาน เป็ นวิธีการประเมินท่ีสนบั สนุนการเรียนของผเู้ รียนที่มีความสนใจ
ความถนดั และมีพฒั นาการที่แตกต่างกนั ให้สามารถพฒั นาและเกิดการเรียนรู้มากท่ีสุดเต็มตามศกั ยภาพของ
ผูเ้ รียนแต่ละคน แฟ้มสะสมผลงานแบ่งไดเ้ ป็ น 2 ลกั ษณะ คือ แฟ้มสะสมงานที่เก็บงานที่ดีที่สุด (อาจมีหลาย
ชิ้น) กบั แฟ้มสะสมงานท่ีแสดงความกา้ วหนา้ ทางการเรียนรู้ แต่ละชนิดที่รายละเอียดดงั น้ีคือ (กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ, 2546)

ลักษณะแรก เป็ นแฟ้มสะสมผลงำนที่เก็บงำนที่ดีทส่ี ุด (Best-work Portfolio) มุ่งเนน้ การนาเสนอ
เพอ่ื การประเมินผลผลิตข้นั สุดทา้ ยท่ีดีท่ีสุดของผเู้ รียน ตวั อยา่ งเช่น แฟ้มสะสมผลงานดา้ นศิลปะ แฟ้มสะสม
ผลงานเขียน แฟ้มสะสมผลงานการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ ผเู้ รียนจะตอ้ งสร้างสรรคแ์ ฟ้มสะสมผลงานท่ีดี
ท่ีสุดเพื่อประเมินตามรายวชิ าหรือเพ่ือการรับรอง หรือเพ่ือจดั ลาดบั ช้นั เรียน ผเู้ รียนจาเป็ นตอ้ งเรียนรู้ในการ
สร้างสรรค์งานท่ีดีท่ีสุดท่ีจะถูกเก็บไวใ้ นแฟ้มว่าควรทาอย่างไร ทกั ษะต่างๆ ท่ีจะใช้จดั แฟ้มสะสมผลงาน
ผูเ้ รียนจาเป็ นตอ้ งเรียนรู้ในการตดั สินใจวา่ อะไรที่เขาทดลองใชใ้ นการสื่อสารหรือการคิดภาพความสาเร็จ
ของแฟ้มสะสมผลงานอยูใ่ นลกั ษณะใด การเลือกแผน่ ชิ้นงานต่างๆ ท่ีจะบรรจุลงในแฟ้มสะสมผลงาน การ
นาเสนอแผ่นชิ้นงานที่ไดเ้ ลือกไวอ้ ย่างไรจึงจะดีท่ีสุด และที่สาคญั คุณภาพของแผ่นชิ้นงานน้ันตรงหรือ
สอดคลอ้ งกบั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนท่ีจะนามาใชป้ ระเมิน ส่ิงเหล่าน้ีเป็นสิ่งท่ีผเู้ รียนจาเป็นตอ้ งเรียนรู้

ลกั ษณะที่สอง เป็ นแฟ้มสะสมผลงำนทีแ่ สดงควำมก้ำวหน้ำทำงกำรเรียนรู้และกำรเจริญเติบโตทำง
ปัญญำ (Growth and Learning-Process Portfolio) แฟ้มสะสมผลงานลกั ษณะน้ีมิไดเ้ นน้ หรือให้ความ
สนใจที่ผลผลิตที่ทาสาเร็จ แตส่ นใจที่ข้นั ตอนการทาผลงาน ในทางกลบั กนั เราใชแ้ ฟ้มสะสมผลงานเพื่อเป็ น
การบอกกล่าวการเรียนรู้ของผเู้ รียนและความกา้ วหนา้ ของการคิด การวินิจฉนั การเรียนรู้และการคิดส่ิงที่ยาก
ช้ีแนะการเรียนรู้และการคิดใหม่ๆ ผูเ้ รียนปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์ที่เช่ือถือไดใ้ นการตดั สินใจวา่ อะไรควรจะ
บรรจุอยใู่ นแฟ้มสะสมผลงานน้ีและเรียนรู้การใชแ้ ฟ้มเพ่อื ความเขา้ ใจ และประเมินความกา้ วหนา้ ของตนเอง
ดว้ ยตวั ผเู้ รียนเอง

กำรประเมินแฟ้มสะสมผลงำน ตอ้ งพิจารณาวตั ถุประสงคใ์ นการจดั ทาแฟ้มสะสมผลงานเป็ นหลกั
ตวั อยา่ งเช่น ตอ้ งการดูภาพรวมของพฒั นาการดา้ นต่างๆของผูเ้ รียนจากแฟ้มสะสมผลงาน อาจใช้เกณฑ์การ
ให้คะแนนแบบองค์รวมเพ่ือประเมิ น แฟ้ มสะสมผลงานแส ดงความก้าวหน้าทางการเรี ยนรู้ แล ะการ
เจริญเติบโตทางปัญญา ดงั ภาพที่ 2.20 หรือ ตอ้ งการตดั สินคุณภาพการเรียนรู้ในแต่ละส่วนของผูเ้ รียนจาก
แฟ้มสะสมผลงาน อาจใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบเพอ่ื ประเมินแฟ้มสะสมผลงานที่ดีเย่ียม
ดงั ภาพที่ 2.21

55 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั ุรสั 55

ภำพที่ 2.20 ตวั อย่างเกณฑ์การให้คะแนนแบบองค์รวมเพ่ือประเมินพฒั นาการเรียนรู้ของผูเ้ รียนจากแฟ้ม
สะสมผลงาน

พฒั นำกำร คุณลกั ษณะของแฟ้มสะสมผลงำน

กา้ วหนา้ ยอดเยย่ี ม แสดงความกา้ วหน้าอยา่ งต่อเนื่อง จากตอนเร่ิมตน้ ถึงปัจจุบนั พฒั นาจากการอ่าน/เขียนแคบๆ
(4 คะแนน) ไปสู่ความสามารถในการอ่าน/เขียนในหวั ขอ้ ที่หลากหลาย สามารถสังเกตและใหค้ าแนะนาต่อ
การเปลี่ยนแปลงในงานของตนเองท้งั ในช้นั เรียนและนอกช้นั เรียน
กา้ วหนา้ มาก ผเู้ รียนไดข้ ยายการใชภ้ าษาและรู้คาศพั ท์ท่ีกวา้ งข้ึน สามารถทางานไดโ้ ดยมีอิสระในการอ่าน/
(3 คะแนน) เขียนมากยงิ่ ข้ึน งานมีคุณภาพต่างจากระยะแรก แต่ไม่เท่าประเภทกา้ วหนา้ ยอดเยยี่ ม

กา้ วหนา้ บา้ ง งานเขียนของผูเ้ รียนสอดคลอ้ งกนั ตลอดและเขา้ ใจง่ายแต่เน้ือเรื่องและเน้ือหายงั คงเหมือนเดิม
(2 คะแนน) ผูเ้ รียนอ่านเพื่อความเข้าใจและพอใจในปริมาณท่ีไม่มาก มีชิ้นงานที่หลากหลายน้อยและ
ประยกุ ตส์ ู่ชีวติ ประจาวนั ไดน้ อ้ ย

กา้ วหนา้ นอ้ ย พอร์ตโฟลิโอมีชิ้นงานนอ้ ย กา้ วหนา้ นอ้ ยดา้ นการอา่ นเขียน ความต้งั ใจในการอา่ น/เขียนมีนอ้ ย
(1 คะแนน)

ไม่กา้ วหนา้ พอร์ตโฟลิโอไมม่ ีขอ้ มลู เพยี งพอที่จะประเมินเป็ นเพยี งแฟ้มรวมงาน
(0 คะแนน)

ท่ีมา: เอมอร จงั ศิริพรปกรณ์ (2551)

ภำพท่ี 2.21 ตวั อยา่ งเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบเพ่ือประเมินคุณภาพการเรียนรู้ของผเู้ รียนจาก
แฟ้มสะสมผลงาน
แบบประเมนิ แฟ้มสะสมผลงำนดเี ด่น
ชื่อ.................................................................นามสกลุ ...............................................................
ผปู้ ระเมิน  ตนเอง  เพ่อื น  ครูผสู้ อน
คาช้ีแจง ใหผ้ ปู้ ระเมินทาเครื่องหมาย ลงในช่องระดบั คุณภาพของผลงานตามเกณฑก์ ารประเมินแฟ้มสะสมผลงานดีเด่น
ในแตล่ ะองคป์ ระกอบท่ีประเมิน

องค์ประกอบทปี่ ระเมนิ ระดบั คณุ ภำพ
432 1

1.ความสอดคลอ้ งระหวา่ งผลงานกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

2.รูปลกั ษณ์ของแฟ้มสะสมผลงาน

3.การจดั ระบบแฟ้มสะสมผลงาน

4.การเช่ือมโยงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผลงานในแฟ้มสะสมผลงาน

นกั เรียนไดค้ ะแนนแฟ้มสะสมผลงานดีเด่น......................คะแนน
โดยภาพรวม แฟ้มสะสมผลงานดีเด่นของนกั เรียนมีคุณภาพอยใู่ นระดบั
จุดเด่นของแฟ้มสะสมผลงานดีเด่นน้ี คือ
จุดดอ้ ยของแฟ้มสะสมผลงานดีเด่นท่ีควรปรับปรุงคือ
ลงชื่อ..........................................................................ผปู้ ระเมิน

56 วธิ ีการและเคร่อื งมือประเมนิ การเรยี นรขู้ องผู้เรยี น 56

เกณฑ์กำรประเมนิ แฟ้มสะสมผลงำนดเี ด่นของนกั เรียน
(ใชร้ ่วมกบั แบบประเมินแฟ้มสะสมผลงานดีเด่น)

องคป์ ระกอบที่ ระดบั คุณภาพ/คุณลกั ษณะของแฟ้มสะสมผลงานดีเด่น
ประเมิน
4321
1.ความสอดคลอ้ ง
ระหวา่ งผลงานกบั แฟ้มมีผลงานตรงตาม แฟ้มมีผลงานตรงตาม แฟ้มมีผลงานตรงตาม แฟ้มมีผลงานตรงตาม
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
2.รูปลกั ษณ์ของแฟ้ม ต้งั แต่ 90%ข้ึนไป ต้งั แต่ 75-89% ต้งั แต่ 50-74% ต่ากวา่ 50%
สะสมผลงาน
สวยงาม สะอาด แสดง สะอาด แสดงใหเ้ ห็น สะอาด แต่ไม่แสดงให้ ไมส่ ะอาด แฟ้มไม่
3.การจดั ระบบแฟ้ม ใหเ้ ห็นถึงความคิด ถึงความคิดสร้างสรรค์ เห็นถึงความคิด แสดงใหเ้ ห็นถึง
สะสมผลงาน แต่ยงั ไม่แสดงใหเ้ ห็น สร้างสรรค์ และ
สร้างสรรคแ์ ละ ความคิดสร้างสรรค์
4.การเช่ือมโยง เอกลกั ษณ์หรือลกั ษะ ถึงเอกลกั ษณ์หรือ เอกลกั ษณ์หรือ และเอกลกั ษณ์หรือ
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง นิสยั ของเจา้ ของแฟ้ม ลกั ษณะนิสยั ของ ลกั ษณะนิสยั ของ ลกั ษณะนิสยั ของ
ผลงานในแฟ้มสะสม เจา้ ของแฟ้ม เจา้ ของแฟ้ม เจา้ ของแฟ้ม
ผลงาน
ผลงานในแฟ้มเป็ น ผลงานในแฟ้มส่วน ผลงานในแฟ้มส่วน ผลงานในแฟ้มไมเ่ ป็ น
ลาดบั อา่ นแลว้ เขา้ ใจ ใหญ่เป็ นลาดบั อา่ น ใหญ่ปะปนกนั อ่าน ลาดบั ผลงานปะปน
ง่าย ไมส่ บั สน แลว้ พอเขา้ ใจ แลว้ เขา้ ใจยาก กนั อ่านแลว้ สบั สน
หรือเขา้ ใจไขวเ้ ขว

ผลงานในแฟ้มสะสม ผลงานในแฟ้มสะสม ผลงานในแฟ้มสะสม ผลงานในแฟ้มสะสม
ผลงานมีความสมั พนั ธ์ ผลงานมีความสมั พนั ธ์ ผลงานมีความสมั พนั ธ์ ผลงานมีความสมั พนั ธ์
เช่ือมโยงกนั ต้งั แต่ 90 เชื่อมโยงกนั 50-74% เชื่อมโยงกนั 75-89% เช่ือมโยงกนั ต่ากวา่
% ข้ึนไป 50%

เกณฑ์กำรตดั สินคุณภำพแฟ้มสะสมผลงำนดเี ด่นโดยภำพรวม
คะแนน ระดบั คุณภาพ
4 -7 ควรปรับปรุง
8 -10 พอใช้

11-13 ดี
14 -16 ดีมาก

57 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตรุ สั 57

2.2.12 กำรประเมนิ โดยใช้กจิ กรรมโครงงำน

การจดั เรียนรู้ดว้ ยโครงงานเป็นหลกั การปฏิรูปการเรียนรู้ท่ีเชื่อมนั่ ในศกั ยภาพ การเรียนรู้ของผเู้ รียน
ภายใตห้ ลกั การจดั การเรียนรู้ที่ยึดผเู้ รียนเป็ นศูนยก์ ลางและสอดคลอ้ งกบั สภาพจริงในทอ้ งถิ่น กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ (2546) กมลวรรณ ตงั ธนกานนท์ (2559) ไดก้ าหนดแนวทางการประเมินจากโครงงาน
ไวด้ งั น้ี

หลกั กำรสำคญั ของกำรประเมนิ จำกโครงงำน
1) โครงงานน้นั ตรงตามเป้าหมายการเรียนรู้ที่สาคญั ของหลกั สูตร
2) ผเู้ รียนแตล่ ะคนไดท้ างานหรือชิ้นงานดว้ ยตวั เขาเอง
3) ผูเ้ รียนแต่ละคนมีความเท่าเทียมกนั ในการใช้ทรัพยากรท่ีจาเป็ นต่อการเกิดผลสาเร็จระดบั ยอด
เยย่ี มจากการประเมิน
4) เราสามารถควบคุมความลาเอียงหรืออคติของเราที่จะเกิดข้ึนกบั ชนิดต่างๆ ของชิ้นงาน และมี
ความยตุ ิธรรมต่อการประเมินโครงงานที่ทาเสร็จแลว้ เป็นอยา่ งดีของแต่ละโครงการ
กำรวำงแผนกำรประเมนิ จำกโครงงำน
1) การแสดงออกอยา่ งชดั เจน เป็ นการนิยามเป้าหมายการเรียนรู้ท่ีสาคญั สาหรับโครงงานท่ีจะตอ้ ง
จดั เตรียมข้ึน
2) กาหนดคุณลกั ษณะเฉพาะและคุณภาพของโครงงานที่สาเร็จที่เชื่อมโยง ตรงเขา้ สู่เป้าหมายของ
การเรียนรู้ที่เราจะทาการประเมินและประเมินผเู้ รียนเฉพาะคุณภาพเหล่าน้ีเทา่ น้นั
3) นิยามระดบั คุณภาพต่างๆ อย่างต่อเน่ืองสาหรับแต่ละคุณลกั ษณะ ใช้ผูเ้ รียนเป็ นที่ต้งั ในการ
กาหนดมาตรการวดั คุณภาพน้ี
4) นิยามการใหค้ ะแนน (Scoring Rubric) ท่ีจะใชส้ าหรับประเมินแต่ละคุณลกั ษณะของโครงงาน
ของผเู้ รียนแตล่ ะคน
5) กาหนดน้าหนกั (Weight) ในแต่ละคุณลกั ษณะ เพอื่ คิดคานวณเกรดของโครงงาน
6) จากดั ทรัพยากรท่ีนามาใช้กบั โครงงานจนเสร็จสมบูรณ์ ถ้าผูเ้ รียนมีความสามารถได้มาซ่ึง
ทรัพยากรอยา่ งมากมายและหลากหลาย
ข้อเสนอแนะเกย่ี วกบั กำรประเมินจำกโครงงำน
1) ควรมีความชดั เจนในผลผลิตต่างๆ ที่จะยอมรับเพ่ือให้เกิดความมนั่ ใจวา่ ผเู้ รียนแต่ละคนมีความ
เขา้ ใจอยา่ งละเอียดลออโดยตลอดท้งั เป้าหมายของโครงงาน (เป้าหมายการเรียนรู้ที่จะทาการประเมิน) และ
สิ่งที่เรายอมรับของโครงงานโดย

1.1) อธิบายเก่ียวกบั ตวั อย่างโครงงานท่ีมีคุณภาพระดบั สูงที่เราไดเ้ ก็บรวบรวมจากผูเ้ รียนรุ่น
ก่อนๆ

1.2) ช้ีแจงกบั ผูเ้ รียนเกี่ยวกบั รายละเอียดของส่ิงที่เรายอมรับในวิถีทางของโครงงาน กระบวน
ต่างๆ และเป้าหมายหลกั ของโครงงาน

1.3) หลีกเลี่ยงการพรรณนารูปร่าง ลกั ษณะ ผลงาน มากเกิดความจาเป็ น ซ่ึงอาจจะทาใหผ้ ูเ้ รียน
แอบขโมยความคิดโดยมิไดต้ ้งั ใจ

58 วิธกี ารและเครื่องมือประเมนิ การเรยี นร้ขู องผ้เู รยี น 58

2) ใหค้ วามแจ่มชดั ในมาตรฐานต่างๆ ที่เราจะใชป้ ระเมินโครงงาน อธิบาย ช้ีแจง และอนุญาตให้
ผเู้ รียนจดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนท่ีเราจะใหป้ ระเมินโครงงาน

3) กาหนดวนั การส่งโครงงาน กาหนดวนั เวลาที่แน่นอน ซ่ึงจะตอ้ งใหเ้ วลาเพียงพอต่อการใหผ้ ูเ้ รียน
สามารถพฒั นาโครงงานและไดโ้ ครงงานท่ีสาเร็จสมบูรณ์ท่ีเป็ นจริง อยา่ งไรก็ตาม เราสามารถกาหนดเป็ น
ช่วงเวลาส้ันๆ ท่ีเพยี งพอในการปฏิบตั ิการทุกข้นั ตอน และเปิ ดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนทางานเร่ือยไป ตอ้ งไม่มีการ
เสียเวลา และงานเสร็จทนั ตามเวลาท่ีกาหนด

4) ใหม้ ีการรายงานความกา้ วหนา้ ของโครงงาน สาหรับโครงงานที่ใชเ้ วลามาก ควรมีการกาหนดวนั
เช่น หน่ึงสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ ผเู้ รียนตอ้ งรายงานความกา้ วหนา้ ของโครงงาน เช่น ทุกวนั ศุกร์ ส่ิงน้ีจะ
ช่วยให้ผูเ้ รียนทางานโครงการอย่างต่อเน่ืองเร่ือยไป และเป็ นการยอมรับวา่ เรากาลงั ประเมินกระบวนการ
ทางานของพวกเขา และสิ่งน้ีจะทาให้โครงงานกา้ วหนา้ ข้ึน จนไดโ้ ครงงานท่ีเสร็จสมบูรณ์ในท่ีสุด การทา
เช่นน้ีจะเป็ นการเตรียมพร้อมระวงั เมื่อเกิดปัญหาข้ึนกบั ผเู้ รียนหรือเมื่อผูเ้ รียนมีความตอ้ งการ ผูส้ อนจะไป
ช่วยเหลือในระหวา่ งดาเนินโครงงาน
ภำพที่ 2.22 ตวั อยา่ งแบบประเมินโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทส่ิงประดิษฐ์

แบบประเมนิ โครงงำนวทิ ยำศำสตร์ ประเภทสิ่งประดษิ ฐ์
ช่ือโครงงาน…………………………………………………………………………………………………………………
คณะผจู้ ดั ทาโครงงาน................................................................................................................................................................
คะแนนทไ่ี ด้
กำรประเมนิ รำยกำรประเมนิ 5 4 3 2 1 นำ้ หนัก คะแนน

1.ความคิดริเริ่ม 1.1 ความแปลกใหมข่ องปัญหา 15
สร้างสรรค์ 1.2 ความน่าสนใจ 15
1.3 วธิ ีการดาเนินการ 15
2. วธิ ีการศึกษา 2.1 การกาหนดวตั ถุประสงค์ 15
คน้ ควา้ 2.2 การต้งั สมมุติฐาน 15
2.3 การทางานอยา่ งมีข้นั ตอน 15
2.4 การใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อุปกรณ์ 15
3. เน้ือหา สาระและ 3.1 เน้ือหาสาระถกู ตอ้ ง 15
ประโยชน์ 3.2 ผลที่ไดจ้ ากการศึกษา 15
3.3 การนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 15
3.4 หลกั ฐานการเก็บขอ้ มูล 15
4. การทารายงาน 4.1 ความถกู ตอ้ งของแบบฟอร์ม 15
4.2 การใชภ้ าษา การใชศ้ พั ทท์ ี่ถูกตอ้ ง 15
4.3 ขอ้ มูลถกู ตอ้ ง อา้ งอิงตามหลกั การ 15
4.4 การอภิปรายผลและสรุปผล 2 10
5. การแสดงโครงงาน 5.1 ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 2 10
และการนาเสนอ 5.2 การตอบขอ้ ซกั ถาม 2 10
รวม 100

59 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจัตุรสั 59

เกณฑ์กำรให้คะแนนโครงงำนวทิ ยำศำสตร์ประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ ระดบั คะแนน
รำยกำรประเมนิ
1. ควำมคดิ สร้ำงสรรค์
5….เป็ นเรื่อง/วธิ ีใหม/่ ต่อยอดเรื่องเดิมท่ีน่าสนใจ สามารถเชื่อมโยงไปสู่
ความสาเร็จสร้างสรรคน์ วตั กรรมดีเยย่ี ม
1.1 ความแปลกใหม่ของปัญหา 4....เป็ นเรื่อง/วธิ ีใหม/่ ต่อยอดเร่ืองเดิมที่น่าสนใจ สามารถเชื่อมโยงไปสู่
(การต้งั ปัญหา)
ความสาเร็จสร้างสรรคน์ วตั กรรมได้
3... เป็ นเร่ืองใหม/่ วธิ ีใหม่ และน่าสนใจ
2... เป็ นเร่ืองใหม่/วธิ ีใหม่ แตไ่ มน่ ่าสนใจ
1... ไมใ่ ช่เรื่อง/วธิ ีใหม่

1.2 วธิ ีการดาเนินงาน 5... ใชเ้ ทคนิค วเิ คราะห์การออกแบบ/พฒั นาตน้ แบบอยา่ งเหมาะสม ใชง้ าน
ไดจ้ ริง สามารถพฒั นาตอ่ ยอดไดอ้ ยา่ งดีเยยี่ ม
4... ใชเ้ ทคนิค วเิ คราะห์การออกแบบ/พฒั นาตน้ แบบอยา่ งเหมาะสม ใชง้ าน
ไดจ้ ริง สามารถพฒั นาตอ่ ยอดได้
3…ใชเ้ ทคนิคออกแบบยงั ไม่เหมาะสม ใชง้ านไดจ้ ริง พฒั นาตอ่ ยอดได้
2... ขาดเทคนิคช่วยในการออกแบบ แตย่ งั ใชง้ านไดจ้ ริง พฒั นาตอ่ ยอดไมไ่ ด้
1... ขาดเทคนิค ใชง้ านไมไ่ ด้ ออกแบบและพฒั นาตอ่ ยอดไมไ่ ด้

2. วธิ ีกำรศึกษำค้นคว้ำ 5... เขียนจดุ ประสงคต์ รงประเด็น ชดั เจน รัดกมุ ถกู ตอ้ งครบถว้ นสอดคลอ้ ง
กบั ช่ือเรื่องไดอ้ ยา่ งดีเยย่ี ม
2.1 การกาหนดจุดประสงค์ 4... เขียนจุดประสงคต์ รงประเด็น ชดั เจน รัดกมุ ถกู ตอ้ งครบถว้ นสอดคลอ้ ง

กบั ชื่อเรื่อง
3... เขียนจุดประสงคต์ รงประเด็น ชดั เจนแตไ่ ม่รัดกมุ สอดคลอ้ งกบั ชื่อเร่ือง
2... เขียนจุดประสงคต์ รงประเด็น ไม่ชดั เจน แต่สอดคลอ้ งกบั ชื่อเร่ือง
1... เขียนจดุ ประสงคไ์ มต่ รงประเด็น ไม่สอดคลอ้ งกบั ช่ือเร่ือง

2.2 การต้งั สมมตุ ิฐาน 5... ต้งั สมมุติฐานไดส้ อดคลอ้ งกบั ปัญหา มีการศึกษา วเิ คราะห์ปัญหา
ประกอบการต้งั สมมุติฐานไดอ้ ยา่ งดีเยยี่ ม
4... ต้งั สมมตุ ิฐานไดส้ อดคลอ้ งกบั ปัญหา มีการศึกษา วเิ คราะห์ปัญหา
ประกอบการต้งั สมมุติฐาน
3... ต้งั สมมุติฐานไดส้ อดคลอ้ งกบั ปัญหา แตข่ าดการศึกษา วเิ คราะห์ขอ้ มูล
จากการศึกษาประกอบการต้งั สมมุติฐาน
2…ต้งั สมมุติฐานไดส้ อดคลอ้ งกบั ปัญหาบางส่วน มีการศึกษาขอ้ มลู
ประกอบการต้งั สมมุติฐานเลก็ นอ้ ย
1…ต้งั สมมตุ ิฐานไม่สอดคลอ้ งกบั ปัญหา
2.3 การทางานอยา่ งมีข้นั ตอน 5... มีการวางแผน การจดั ลาดบั การทางาน การแบ่งงานอยา่ งชดั เจน ใชท้ กั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไดอ้ ยา่ งดีเยยี่ ม
4... มีการวางแผน การจดั ลาดบั การทางาน การแบ่งงานอยา่ งชดั เจน ใช้

ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

60 วิธกี ารและเครื่องมือประเมินการเรยี นรูข้ องผู้เรียน 60

รำยกำรประเมนิ ระดบั คะแนน
3…มีการวางแผน การจดั ลาดบั การทางาน การแบ่งงานไม่ชดั เจน ใช้
2.4 การใชเ้ ครื่องมือ วสั ดุ อุปกรณ์
อยา่ งเหมาะสม ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2…มีการวางแผน ไมม่ ีการจดั ลาดบั การทางาน การแบ่งงานอยา่ งชดั เจน ใช้
3. เนื้อหำ สำระ และประโยชน์
3.1 เน้ือหาสาระถกู ตอ้ ง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3.2 ผลท่ีไดจ้ ากการศึกษา 1…ไมม่ ีการวางแผน การจดั ลาดบั การทางาน การแบ่งงานอยา่ งชดั เจนและ
3.3 การนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
3.4 หลกั ฐานการเกบ็ ขอ้ มลู ไม่ใชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
5…มีการใชเ้ ครื่องมือ วสั ดุ อุปกรณ์ อยา่ งถูกตอ้ งและประยกุ ตใ์ ชว้ สั ดุ

ทดแทนอยา่ งเหมาะสมดีเยยี่ ม
4…มีการใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อุปกรณ์ อยา่ งถกู ตอ้ งและประยกุ ตใ์ ชว้ สั ดุ

ทดแทนอยา่ งเหมาะสม
3…มีการใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อปุ กรณ์ อยา่ งถกู ตอ้ งและประยกุ ตใ์ ชว้ สั ดุ

ทดแทนบางส่วน
2…มีการใชเ้ ครื่องมือ วสั ดุ อปุ กรณ์ ไมถ่ ูกตอ้ งและประยกุ ตใ์ ชว้ สั ดุ

ทดแทนบางส่วน
1…มีการใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อปุ กรณ์บางส่วน
5...มีการจดั กระทาเน้ือหาสอดคลอ้ งกบั เร่ือง ถูกตอ้ ง สมบูรณ์ครบถว้ นดีเยย่ี ม
4...มีการจดั กระทาเน้ือหาสอดคลอ้ งกบั เรื่อง ถูกตอ้ ง สมบูรณ์ครบถว้ น
3...มีการจดั กระทาเน้ือหาสอดคลอ้ งกบั เร่ือง ถูกตอ้ ง ไม่สมบูรณ์ครบถว้ น
2...มีการจดั กระทาเน้ือหาสอดคลอ้ งกบั เร่ือง ไม่ถูกตอ้ ง
1...มีการจดั กระทาเน้ือหาไมส่ อดคลอ้ งกบั เรื่อง
4...ผลจากการศึกษาน่าเชื่อถือ 100%
4...ผลจากการศึกษาน่าเช่ือถือ 80%
3...ผลจากการศึกษาน่าเช่ือถือ 60%
2...ผลจากการศึกษาน่าเช่ือถือ 40%
1...ผลจากการศึกษาไมน่ ่าเช่ือถือ

5...ทดลองการใชง้ านไดจ้ ริง ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ งหลากหลายดีเยย่ี ม
4...ทดลองการใชง้ านไดจ้ ริง ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดอ้ ยา่ งหลากหลาย
3...ทดลองการใชง้ านไดจ้ ริง ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดไ้ มอ่ ยา่ งหลากหลาย
2...ทดลองการใชง้ านไดแ้ ต่ไม่แขง็ แรง ประยกุ ตไ์ ดไ้ มห่ ลากหลาย
1...ใชง้ านไม่ได้
5...มีร่องรอย หลกั ฐานการเกบ็ ขอ้ มูลอยา่ งสมบูรณ์ ครบถว้ นดีเยยี่ ม
4...มีร่องรอย หลกั ฐานการเกบ็ ขอ้ มูลอยา่ งสมบูรณ์ ครบถว้ น
3...มีร่องรอย หลกั ฐานการเกบ็ ขอ้ มลู ไม่สมบูรณ์ แต่มีครบถว้ น
2...มีร่องรอย หลกั ฐานการเก็บขอ้ มูลบางส่วน
1...ไม่มีร่องรอย หลกั ฐานการเก็บขอ้ มลู

61 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรสั 61

รำยกำรประเมนิ ระดบั คะแนน
4. กำรทำรำยงำน 5...มีองคป์ ระกอบของการรายงานครบถว้ นไดม้ าตรฐาน เรียงตามลาดบั ดีเยย่ี ม
4.1 ความถกู ตอ้ งของแบบฟอร์ม 4...มีองคป์ ระกอบของการรายงานครบถว้ นไดม้ าตรฐาน เรียงตามลาดบั
รายงาน 3...มีองคป์ ระกอบของการรายงานครบถว้ นไดม้ าตรฐาน ไม่เรียงตามลาดบั
4.2 การใชภ้ าษา การใชศ้ พั ทท์ าง 2...มีองคป์ ระกอบของการรายงานไม่ครบถว้ น เรียงตามลาดบั
วทิ ยาศาสตร์ 1...มีองคป์ ระกอบของการรายงานไม่ครบถว้ น ไม่เรียงตามลาดบั
5...เลือกใชค้ าถูกตามหลกั ภาษา กระชบั รัดกมุ ไมใ่ ชค้ าฟ่ มุ เฟื อย พมิ พ์
4.3 ขอ้ มูลถกู ตอ้ ง อา้ งอิงตาม
หลกั การ ถูกตอ้ งท้งั หมดอยา่ งดีเยยี่ ม
4...เลือกใชค้ าถูกตามหลกั ภาษา กระชบั รัดกมุ ไมใ่ ชค้ าฟ่ มุ เฟื อย พิมพ์
4.4 การอภิปรายและสรุปผล
5. กำรแสดงโครงงำนและกำรนำเสนอ ถูกตอ้ งท้งั หมด
3...เลือกใชค้ าถกู ตามหลกั ภาษา กระชบั รัดกมุ มีคาฟ่ มุ เฟื อย พิมพถ์ กู ตอ้ ง
5.1 ความคิดริเริ่มสร้างสรรคข์ อง
การจดั แสดงโครงงาน ท้งั หมด
2...เลือกใชค้ าไม่ถูกตามหลกั ภาษา มีคาฟ่ มุ เฟื อย พิมพผ์ ดิ 1-9 คา
1...เลือกใชค้ าไม่ถูกตามหลกั ภาษา พิมพผ์ ิดมากกวา่ 10 คาข้ึนไป
5...มีการอา้ งอิงหลกั การ ทฤษฎีจากแหลง่ ขอ้ มูลหลากหลาย ถูกตอ้ งดีเยยี่ ม ใน
การเขียนบรรณานุกรมถูกตอ้ งตามหลกั สากล
4...มีการอา้ งอิงหลกั การ ทฤษฎีจากแหลง่ ขอ้ มูลหลากหลาย ถูกตอ้ ง เขียน

บรรณานุกรมถกู ตอ้ งตามหลกั สากล
3...มีการอา้ งอิงหลกั การ ทฤษฎีจากแหล่งขอ้ มลู ไมห่ ลากหลาย เขียน

บรรณานุกรมถูกตอ้ งตามหลกั สากล
2...มีการอา้ งอิงหลกั การ ทฤษฎีจากแหล่งขอ้ มูลไมห่ ลากหลาย เขียน

บรรณานุกรมไม่ถกู ตอ้ งตามหลกั สากล
1...ไมม่ ีการอา้ งอิงหลกั การ ทฤษฎีจากแหล่งขอ้ มูลหลากหลาย เขียน

บรรณานุกรมไม่ถูกตอ้ งตามหลกั สากล
5...มีการวเิ คราะห์และสรุปผลไดส้ อดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู อยา่ งดีเยยี่ ม
4...มีการวเิ คราะห์และสรุปผลไดส้ อดคลอ้ งกบั ขอ้ มูล
3...มีการวเิ คราะห์และสรุปผลสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลบางส่วน
2...มีการวเิ คราะห์แตส่ รุปผลไมส่ อดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู
1...ขาดการวเิ คราะห์แตม่ ีการสรุปผลขอ้ มูล
5...บอร์ดไดม้ าตรฐาน ใชเ้ ทคนิคเรื่องสีในการตกแต่งอยา่ งเหมาะสม หวั ขอ้

มองเห็นชดั เจน ประณีต สวยงาม นาเสนออยา่ งเป็ นข้นั ตอนท่ีดีเยย่ี ม
4...บอร์ดไดม้ าตรฐาน ใชเ้ ทคนิคเร่ืองสีในการตกแต่งอยา่ งเหมาะสม หวั ขอ้

มองเห็นชดั เจน ประณีต สวยงาม นาเสนออยา่ งเป็ นข้นั ตอน
3...บอร์ดไดม้ าตรฐาน ใชเ้ ทคนิคเร่ืองสีในการตกแตง่ อยา่ งเหมาะสม หวั ขอ้

มองเห็นชดั เจน ไม่ประณีต สวยงาม นาเสนออยา่ งเป็ นข้นั ตอน
2...บอร์ดไดม้ าตรฐาน ใชเ้ ทคนิคเร่ืองสีในการตกแตง่ ไม่เหมาะสม หวั ขอ้

มองเห็นไมช่ ดั เจน ไม่ประณีตสวยงาม นาเสนอไม่เป็นข้นั ตอน
1...บอร์ดไมไ่ ดม้ าตรฐาน ใชเ้ ทคนิคเร่ืองสีในการตกแตง่ บา้ ง นาเสนอไม่

เป็ นข้นั ตอน

62 วิธีการและเคร่อื งมือประเมินการเรียนรขู้ องผเู้ รียน 62

รำยกำรประเมนิ ระดบั คะแนน
5.2 การตอบขอ้ ซกั ถาม 5...มีความเขา้ ใจโครงงานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบา้ ง อะไรท่ียงั ไมไ่ ด้

ทาและจะทาอะไรในข้นั ตอ่ ไป การอธิบายมีเหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตร์
สนบั สนุนร่วมดว้ ย พดู ชดั เจน เสียงดงั ทุกคนร่วมมือกนั ทาหนา้ ท่ีของตน
ไดอ้ ยา่ งดีเยยี่ ม
4...มีความเขา้ ใจโครงงานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบา้ ง อะไรท่ียงั ไม่ได้
ทาและจะทาอะไรในข้นั ต่อไป การอธิบายมีเหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตร์
สนบั สนุนร่วมดว้ ย พดู ชดั เจน เสียงดงั ทุกคนร่วมมือกนั ทาหนา้ ท่ีของตน
3...มีความเขา้ ใจโครงงานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบา้ ง อะไรท่ียงั ไม่ได้
ทาและจะทาอะไรในข้นั ต่อไป ขาดเหตุผลสนบั สนุน พดู จาฉะฉาน เสียง
ดงั ทุกคนร่วมมือกนั ทาหนา้ ที่ของตน
2...มีความเขา้ ใจโครงงานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบา้ ง ขาดเหตผุ ล
สนบั สนุน พดู จาฉะฉาน แต่ละคนทาหนา้ ที่ของตน เขา้ ใจโครงงานไม่
ครบทุกส่วน
1...มีความเขา้ ใจโครงงานของตนไม่ครบทุกส่วน บางคนปฏิบตั ิหนา้ ท่ีไม่
เตม็ ท่ี

สรุป

วธิ ีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย การสังเกต การสัมภาษณ์ การใชค้ าถาม

การสอบถาม การตรวจผลงาน การรายงานตนเอง การเขียนสะทอ้ นการเรียนรู้ การประเมินดว้ ยขอ้ สอบ การ
ประเมินโดยเพ่ือน การประเมินภาคปฏิบตั ิ การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้กิจกรรม
โครงงาน เป็ นตน้ การเลือกใช้วิธีการและเคร่ืองมือประเมินผลการเรียนรู้เหล่าน้ี ครูผูส้ อนตอ้ งคานึงถึง
จุดมุ่งหมาย ความสอดคลอ้ งกบั แนวคิดการวดั และการประเมิน และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้เป็ นสาคญั แนว
ทางการตดั สินใจอาจเลือกใชต้ ามวิธีการและเคร่ืองมือของผปู้ ระเมินและผถู้ ูกประเมิน เลือกใชต้ ามลกั ษณะ
การแสดงผลการเรียนรู้และหลกั ฐานการเรียนรู้ของผเู้ รียน หรือเลือกใชต้ ามส่ิงที่มุ่งวดั และประเมิน โดยมี
ความหลากหลาย เหมาะสม ครอบคลุม รอบด้าน สอดคล้องกับตวั ช้ีวดั /มาตรฐานการเรียนรู้ และใช้
กระบวนการเก็บร่องรอยหลกั ฐานขอ้ มูลท่ีเชื่อถือไดเ้ พ่ือให้ไดข้ อ้ มูลที่สะทอ้ นความรู้ความสามารถและ
ศกั ยภาพของผเู้ รียนอยา่ งแทจ้ ริง

ประเด็นกำรอภิปรำย

1. หลกั เกณฑใ์ นการเลือกวธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้
2. รูปแบบ/เทคนิค/วธิ ีการจดั การเรียนรู้ท่ีสอดคลอ้ งกบั วธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้
3. การมีส่วนร่วมของผเู้ รียนในการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
4. สิ่งสนบั สนุนในการเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้
5. ความคุม้ ค่าของการเลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้

63 ผชู วยศาสตราจารย ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตุรสั 63

บทท่ี 3

ข้นั ตอนกำรออกแบบและพฒั นำเคร่ืองมือ
กำรวดั และประเมินผลกำรเรียนรู้

หากผูส้ อนต้องการออกแบบและสร้างเครื่องมือการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง
(Teacher-made test) ควรศึกษาข้นั ตอนสาคญั ของการออกแบบและสร้างเครื่องมือการวดั และประเมินผล
การเรียนรู้ การสร้างผงั เคร่ืองมือ (Test blueprint) การนาเครื่องมือท่ีพฒั นาข้ึนไปทดลองใช้ (Try out) การหา
คุณภาพเคร่ืองมือ และการปรับปรุงก่อนนาไปใช้จริง เพื่อให้เครื่องมือน้ันมีคุณภาพและสะทอ้ นความรู้
ความสามารถที่แทจ้ ริงของผเู้ รียนได้

ในบทน้ีนาเสนอสาระสาคัญเก่ียวกับข้ันตอนการออกแบบและพัฒนาครื่ องมือการวดั และ
ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละประเภทอยา่ งละเอียด โดยมีลาดบั ข้นั ตอนการนาเสนอ ดงั ภาพที่ 3.1

ข้นั ท่ี 1 กาหนดจุดมุง่ หมายของการใชเ้ ครื่องมือวดั และ
ประเมินผล

ข้นั ที่ 2 กาหนดขอบเขตและออกแบบแผนการวดั และ
ประเมินผล

ข้นั ที่ 3 การกาหนดรายละเอียดเคร่ืองมือ

ข้นั ท่ี 4 สร้างเคร่ืองมือ

ข้นั ท่ี 5 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ

ข้นั ที่ 6 ปรับปรุงคุณภาพ และเตรียมเครื่องมือก่อนนาไปใชจ้ ริง
ภำพที่ 3.1 ข้นั ตอนการออกแบบและพฒั นาคร่ืองมือการวดั และประเมินผลการเรียนรู้

64 วธิ ีการและเครือ่ งมือประเมินการเรยี นร้ขู องผเู้ รียน 64

ข้นั ท่ี 1 กำหนดจุดมุ่งหมำยของกำรใช้เครื่องมือวดั และประเมนิ ผล

ในการออกแบบการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ผูส้ อนควรทราบหรือกาหนดจุดมุ่งหมายของ
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ให้ชดั เจนวา่ ตอ้ งการดาเนินการเพื่ออะไร การกาหนดจุดมุ่งหมายท่ีชดั เจน
จะช่วยให้ผูส้ อนสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การวดั และประเมินผลไดเ้ หมาะสม ถูกตอ้ ง และมี
ความแม่นยามากข้ึน จุดมุง่ หมายโดยทวั่ ไป มีดงั ต่อไปน้ี

1) เพื่อพัฒนำผู้เรียน มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพฒั นาผลการเรียนรู้ พฤติกรรม ทกั ษะการปฏิบตั ิ รวมไป
ถึงวธิ ีการเรียนรู้ของผเู้รียน โดยเคร่ืองมือตอ้ งแสดงใหเ้ ห็นวา่ ผูเ้ รียนจะตอ้ งไปปรับปรุงตนเองในเรื่องใดบา้ ง เร่ือง
ใดที่ทาได้ดีแลว้ และมีเร่ืองใดที่ยงั ทาไดไ้ ม่ได้ เครื่องมือที่ใช้ควรมีความหลากหลาย วดั ไดค้ รอบคลุมผลการ
เรียนรู้ท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดข้ึนกบั ผเู้ รียน และมีลกั ษณะตามสภาพจริง

2) เพ่ือตัดสินผลกำรเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสรุปคุณภาพของผูเ้ รียนว่าบรรลุตามจุดประสงค์
การเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั มาตรฐานการเรียนรู้หรือไม่ ระดบั ใด โดยนาขอ้ มูลจากส่วนต่างๆมาใช้ในการตดั สินผล
ข้นั สุดทา้ ยในรูปของเกรด เช่น A – F หรือ 1.00 – 4.00 หรือในรูปของคุณภาพ เช่น ดีมาก ดี ผา่ น ไม่ผา่ น หรือ ได้
ตก เคร่ืองมือที่ใชค้ วรมีความเป็ นมาตรฐาน วดั ไดค้ รอบคลุมผลการเรียนรู้ท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดข้ึนกบั ผูเ้ รียน

3) เพื่อจัดตำแหน่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบความรู้ความสามารถของผูเ้ รียนก่อนท่ีจะเรียนรู้
เพ่ือจะได้ทราบว่าผูเ้ รียนมีพ้ืนความรู้ความสามารถอยู่ในระดบั ใด หากพบว่าไม่มีความรู้ความสามารถหรือ
พ้ืนความรู้ไม่พอ ก็จะตอ้ งปรับพ้ืนฐานก่อน แต่ถา้ มีพ้ืนความรู้ดีแลว้ ก็ไม่จาเป็ นตอ้ งเรียนเน้ือหาความรู้น้นั ซ้าๆ
อีก เคร่ืองมือท่ีใชค้ วรวดั ไดค้ รอบคลุมสิ่งที่เป็ นพ้ืนฐานจาเป็ นท่ีผูเ้ รียนตอ้ งมีมาก่อน

4) เพื่อคัดเลือก มีจุดมุ่งหมายเพื่อคดั เลือก โดยมีเกณฑ์การตดั สินผลและมีผลการตดั สินเป็ น
เข้าเกณฑ์หรือไม่ จะรับ กบั ไม่รับเข้าศึกษาต่อ หรือเข้ารับทุน หรือเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของโรงเรียน
หน่วยงานต่างๆ เครื่องมือที่ใชค้ ดั เลือกตอ้ งมีความยาก เน่ืองจากตอ้ งการคนเก่ง

5) เพ่ือวินิจฉัย มีจุดมุ่งหมายเพ่ือคน้ หาวา่ การที่ผูเ้ รียนเก่งหรืออ่อนเป็ นเพราะเหตุใด และเก่งหรือ
อ่อนในเรื่องใด เพ่ือหาสาเหตุในการพฒั นาปรับปรุงการเรียนการสอนให้เหมาะกบั ผูเ้ รียน เคร่ืองมือท่ีใช้ควร
สามารถจาแนกไดว้ า่ ผเู้ รียนรู้ถูกหรือรู้ผดิ จุดบกพร่องใดท่ีควรไดร้ ับการพฒั นา

6) เพ่ือพยำกรณ์ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็ นการคาดคะเนล่วงหนา้ วา่ อนาคตจะสามารถเรียนไดส้ าเร็จ
หรือไม่ หรือควรเรียนต่ออะไร หรือประกอบอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสมกบั ความสามารถของตนเอง เคร่ืองมือที่
ใชค้ วรมีความตรงเชิงทานาย (Predictive Validity)

ข้นั ที่ 2 กำหนดขอบเขตและออกแบบแผนกำรวดั และประเมนิ

1) สิ่งทีต่ ้องกำรวดั และประเมิน เป็ นการพิจารณาถึงขอบเขตของส่ิงที่ตอ้ งการวดั และประเมินวา่
ครอบคลุมเน้ือหาสาระ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั สมรรถนะ ตวั ช้ีวดั มาตรฐานการเรียนรู้ จุดประสงค์
การเรียนรู้ใด ตามท่ีระบุไวใ้ นหลกั สูตร

65 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจตั รุ ัส 65

2) วิธีกำรและเครื่องมือ ภายใตข้ อบเขตของสิ่งที่ตอ้ งการวดั และประเมิน ผสู้ อนตอ้ งคิดวางแผนถึง
วธิ ีการวดั ให้สอดคลอ้ งและครอบคลุมตามส่ิงท่ีตอ้ งการวดั เช่น ใช้วิธีการทดสอบ การประเมินภาคปฏิบตั ิ
การประเมินแฟ้มสะสมงาน การสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรม เป็ นตน้ กรณีท่ีใชก้ ารทดสอบ ผูส้ อนอาจ
ตอ้ งวางแผนไวล้ ่วงหนา้ เก่ียวกบั รูปแบบของแบบทดสอบ (test formats) เช่น จะใชแ้ บบทดสอบอิงกลุ่มหรือ
อิงเกณฑ์ แบบทดสอบขอ้ เขียนหรือปฏิบตั ิ แบบเขียนคาตอบหรือเลือกตอบ แบบทดสอบความเร็วหรือ
ความสามารถ แบบทดสอบเป็นกลุ่มหรือเป็นรายบุคคล

3) สัดส่วนของคะแนน เป็ นการกาหนดสัดส่วนคะแนนตามวธิ ีการวดั เช่น สัดส่วนการประเมิน
ระหวา่ งภาคและปลายภาค กาหนดเป็นร้อยละ 70: 30 โดยระหวา่ งภาค ประกอบไปดว้ ยการทดสอบยอ่ ยร้อย

ละ 10 การประเมินภาคปฏิบตั ิร้อยละ 30 การประเมินแฟ้มสะสมงานร้อยละ 20 การสังเกตพฤติกรรมร้อยละ
10 ส่วนปลายภาคใชก้ ารทดสอบร้อยละ 30 เป็นตน้

4) จำนวนคร้ัง หมายถึง การคิดวางแผนเกี่ยวกบั จานวนคร้ังในการวดั และประเมินผลผูเ้ รียนดว้ ย
วิธีการวดั ต่างๆ เช่น มีการทดสอบก่อนเรียนโดยไม่นาผลการประเมินมาคิดเป็ นสัดส่วนการประเมิน การ
ทดสอบยอ่ ยร้อยละ 10 แบ่งเป็ นการทดสอบจานวน 3 คร้ังๆ ละ 30 นาที หรือมีการทดสอบยอ่ ยเมื่อสิ้นสุด
หน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วย หรือการสังเกตพฤติกรรม ให้มีการบนั ทึกผลการสังเกตพฤตกิ รรมทุกคาบการ
สอน และมีการสรุปผลการสงั เกตพฤติกรรมเดือนละ 1 คร้ัง เป็นตน้

ตัวอย่ำงที่ 1 แผนการวดั และประเมินผลในช้นั เรียน วชิ า ชีววทิ ยา ระดบั ช้นั ม.4 แสดงใหเ้ ห็นความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งช่วงเวลา วธิ ีการวดั เครื่องมือ จานวนคร้ังและร้อยละของคะแนน ดงั ตารางท่ี 3.1
ตำรำงท่ี 3.1 ตวั อยา่ งแผนการวดั และประเมินผลในช้นั เรียน วชิ า ชีววทิ ยา ระดบั ช้นั ม.4
ช่วงเวลำ วธิ ีวดั ผล เคร่ืองมือวดั ผล จำนวนคร้ัง ร้อยละของคะแนน

ระหวา่ งภาค 1. การทดสอบ 1.1) แบบทดสอบจุดประสงค์ 15
1.1) จุดประสงค์ 5
1.2) กลางภาค 1.2) แบบทดสอบกลางภาค 1 20
2. การสงั เกต
2.1) การร่วมกิจกรรม 2.1) แบบสงั เกตการร่วมกิจกรรม 15 5
2.2) พฤติกรรม 2.2) แบบสงั เกตพฤติกรรม 15 5
3. การสมั ภาษณ์ 3. แบบสมั ภาษณ์ 25
4. การประเมินผลงาน
4.1) แบบฝึ กหดั 4.1) แบบประเมินผลงาน 55
4.2) แฟ้มสะสมผลงาน 4.2) แบบประเมินแฟ้มสะสมผลงาน 2 5

4.3) โครงงาน 4.3) แบบประเมินโครงงาน 1 10

ปลายภาค การทดสอบ แบบทดสอบปลายภาค 1 30

66 วธิ ีการและเครอื่ งมอื ประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรยี น 66

ตัวอย่ำงท่ี 2 แผนการทดสอบวิชาการวดั และประเมินผลการศึกษา แสดงให้เห็นความสัมพนั ธ์ระหว่าง
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ความสาคญั วธิ ีการและเครื่องมือ ช่วงเวลาและร้อยละของคะแนน
ตำรำงที่ 3.2 แผนการทดสอบวชิ าการวดั และประเมินผลการศึกษา
ระดบั ทดสอบยอ่ ย 1 สอบ ทดสอบยอ่ ย 2 สอบ
หน่วย จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ความสาคญั ขอ้ เขียน ปฏิบตั ิ กลางภาค ขอ้ เขียน ปฏิบตั ิ ปลายภาค
ท่ี

1 บอกหลกั การและแนวทางใน 3/ /
การวดั และประเมินผลการ
เรียนรู้ได้ 2/ / /
อธิบายความหมายและ
ประเภทของการวดั และ 2 // /
ประเมนิ ผลได้
3//
2 อธิบายการวดั ผลการเรียนรู้
ตามแนวปฏิรูปการศึกษาได้ 1 / // /

3 เปรียบเทียบความแตกต่าง 3 //
ของการสร้างเคร่ืองมือ วดั ผล
การเรียนรู้ได้ 4/

4 สร้างแบบทดสอบวดั เลือกตอบ แบบสอบ เลือกตอบ/ เลือกตอบ แบบสอบ เลือกตอบ/
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนได้ ปฏิบตั ิ ความเรียง ปฏิบตั ิ ความเรียง
10 10 30 10 10 30
5 วเิ คราะหค์ ุณภาพของขอ้ สอบ 33 8 12 12 16
ตามทฤษฎีคะแนนจริงแบบ
ด้งั เดิมได้

6 ตรวจสอบคุณภาพของ
แบบทดสอบตามทฤษฎี
ทดสอบแบบด้งั เดิมได้

รูปแบบการสอบ

ความสาคญั เป็ นร้อยละ
สปั ดาห์ที่สอบ

ท่ีมา: เอมอร จงั ศิริพรปกรณ์ (2551)

ตัวอย่ำงท่ี 3 แผนการวดั และประเมินท่ีใชก้ ารประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็ นฐานใน
การออกแบบ จะคานึงถึง “การประเมินเพื่อพฒั นาการเรียนรู้” ใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือท่ีหลากหลาย รอบดา้ น
มีเป้าหมายท่ีคุณภาพของผูเ้ รียนเป็ นสาคญั รวมท้งั ใช้เงื่อนไขความสาเร็จของการประเมินผูเ้ รียนเป็ นสิ่ง
ขบั เคล่ือนในการวดั และประเมินผลมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงที่สุด ดงั แนวทางในการนาไป
ออกแบบแผนการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ในแผนภาพท่ี 3.2

67
ภำพท่ี 3.2 แผนกำรวดั และประเมิน รำยวชิ ำ...............................................................................................................................................................ระดบั ช้ัน.................................................
ชื่อผ้สู อน..............................................................................................สปั ดาห์ท่ีสอนท้งั หมด............สปั ดาห์ จานวนชวั่ โมงสอนต่อสปั ดาห์...........ชว่ั โมง
จานวนหน่วยกิต..............หน่วย จานวนหน่วยการเรียนรู้ท้งั หมด.............หน่วย จานวนแผนการสอน..............แผน สดั ส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค ต่อ ปลายภาค ........... : ………
มาตรฐานการเรียนรู้ท่ีเกี่ยวขอ้ ง..................................................................................................................................................................................................................................................
ตวั ช้ีวดั การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวขอ้ ง......................................................................................................................................................................................................................................................
ประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ (Assessment of Learning)
คะแนนเกบ็ คะแนนสอบ คะแนนสอบ กำรตดั เกรด คณุ ภำพผ้เู รียน
ระหว่ำงเรียน กลำงภำค ปลำยภำค (นาคะแนนแตล่ ะส่วนมารวมกนั (เม่ือเรียนวชิ าน้ีแลว้ ผเู้ รียนเกิด
รายการ คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ อยา่ งไร และเทียบเกณฑใ์ ด) การพฒั นาสิ่งใดเด่นชดั ที่สุด)
 สอบจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (Unit Test) จานวน........จุดประสงค์
 แบบฝึ กหดั (Practice) จานวน..........แบบฝึ ก
 ใบงาน/ใบกิจกรรม (Worksheet) จานวน.......คร้ัง
คำถำม:
 ชิ้นงานยอ่ ย (Tasks) จานวน.......ชิ้น
ในแผนภมู ิ
 รายงาน (Report) จานวน........เล่ม
 โครงงาน (Project) จานวน.........โครงงาน
 อ่ืนๆ (ระบุ)....................................................................................
รวม
ประเมินเพื่อพฒั นำกำรเรียนรู้ (Assessment for Learning) เง่ือนไขควำมสำเร็จของกำรประเมินผ้เู รียน ผชู วยศาสตราจารย ดร.จตุภมู ิ เขตจตั รุ สั 67
(เทคนิคและกระบวนการประเมินที่จะช่วยใหก้ ารเรียนรู้ของผเู้ รียนดียง่ิ ข้นึ ไม่ไดเ้ นน้ การเกบ็ คะแนน) (สิ่งท่ีจะทาใหก้ ารทดสอบและประเมินผลของผเู้ รียนมปี ระสิทธิภาพและสาเร็จตามเป้าหมาย)
 สมั ภาษณ์................................................เพ่อื ....................................................................................................  เครื่องมือมีการหาคุณภาพ...................................................................................................
 สงั เกต.....................................................เพื่อ....................................................................................................  ใชเ้ ทคนิคการสอนและการประเมินที่มปี ระสิทธิภาพ.........................................................
 บนั ทึก.....................................................เพื่อ....................................................................................................  ใชเ้ ทคโนโลยสี นบั สนุนการประเมิน.................................................................................
 ใชก้ ิจกรรม.............................................เพอื่ ....................................................................................................  ใชก้ ารสะทอ้ นผล (Reflection) พร้อมใหข้ อ้ มลู ป้อนกลบั (Feedback)……………………
 อื่นๆ (ระบุ).......................................................................................................................................................  อ่ืนๆ (ระบุ).........................................................................................................................

68 วิธกี ารและเครื่องมอื ประเมนิ การเรียนรู้ของผเู้ รียน 68

ข้นั ที่ 3 กำหนดรำยละเอยี ดเครื่องมือ
การกาหนดรายละเอียดเคร่ืองมือเป็ นการแสดงให้เห็นความสัมพนั ธ์ของจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม กบั เน้ือหาวิชา ท่ีตอ้ งการจะวดั หรือตอ้ งการสอบ การกาหนดรายละเอียดเครื่องมือเป็ นการ
สร้างความมน่ั ใจให้แก่ผูส้ อนวา่ จะมีการวดั และประเมินผลครอบคลุมในทุกตวั ช้ีวดั ในแต่ละรายวชิ า และ
ยงั มีความสาคญั ในแง่ของการวิเคราะห์การสอนและการสอบใหส้ อดคลอ้ งกบั ตวั ช้ีวดั ของหลกั สูตร
ตัวอย่ำงกำรกำหนดรำยละเอยี ดของแบบทดสอบ (Test)
แบบทดสอบท่ีครูผู้สอนสร้ำงเอง (Teacher – made test) การกาหนดรายละเอียดของ
แบบทดสอบ (Test Specification) มีข้นั ตอนหลกั ดงั น้ี
1) ระบุเน้ือหาลงในตารางในแนวนอนทางด้านซ้ายมือ ส่วนจุดประสงค์การเรียนรู้หรือ
พฤติกรรมที่ตอ้ งการวดั นามาบรรจุลงในตารางตามแนวต้งั
2) วเิ คราะห์วา่ ในแต่ละเน้ือหามีจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ีวดั พฤติกรรมการเรียนรู้ระดบั ใดบา้ ง
3) กาหนดน้าหนกั ในแตล่ ะช่อง โดยพิจารณาวา่ เน้ือหาในแต่ละเรื่องมีน้าหนกั ความสาคญั อยูท่ ่ี
พฤติกรรมการเรียนรู้ระดบั ใด จานวนเท่าไร สาหรับการกาหนดน้าหนกั อาจทาเป็ นตารางร้อย หรือ
ตารางพนั โดยกาหนดผลรวมของน้าหนกั มีค่าเท่ากบั 100 หรือ 1000 ตามลาดบั เพื่อให้มีความสะดวก
ต่อการนาไปใชก้ าหนดสัดส่วนขอ้ คาถาม หรือนาไปคิดจานวนขอ้ สอบในเน้ือหาส่วนยอ่ ยน้นั ๆ
4) จดั อนั ดบั ความสาคญั ของเน้ือหาและพฤติกรรมที่ตอ้ งการวดั ตามน้าหนกั รวมที่ได้
5) กาหนดจานวนข้อสอบในแต่ละเซลล์ โดยเทียบจากจานวนข้อรวมท้งั หมด ถ้าต้องการ
ขอ้ สอบรวม 50 ขอ้
จานวนขอ้ ในแต่ละช่อง = ตวั เลขในช่อง × จานวนขอ้ รวมท้งั หมด
100
เช่น เน้ือหาบทท่ี 5 ในพฤติกรรมความเขา้ ใจ = 2 × 50 = 1 ขอ้
100
การกาหนดรายละเอียดแบบทดสอบที่ครูสร้างเอง ดงั ตวั อยา่ งในตารางที่ 3.3
ตำรำงที่ 3.3 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดแบบทดสอบท่ีครูผสู้ อนสร้างเอง

พฤติกรรม พทุ ธิพสิ ัย รวม อนั ดบั
เน้ือหา สาคญั
เวลา ความจา
(คาบ) ความเข้าใจ
นาไปใช้
ิวเคราะ ์ห
สังเคราะ ์ห
ประเ ิมนค่า

บทที่ 1 หลกั การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 3 2 2 4 2 - - 10 3
บทที่ 2 การประเมินผลการเรียนรู้ 2 1 132- -8 5
บทที่ 3 เครื่องมือวดั ผลการเรียนรู้ 2 1 131- -8 5
บทท่ี 4 การสร้างแบบทดสอบ 6 2 3 7 5 1 2 20 1
บทที่ 5 การวเิ คราะหค์ ุณภาพของขอ้ สอบ 3 1 222119 4

69 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตรุ สั 69

พฤติกรรม พทุ ธิพสิ ัย รวม อนั ดบั

เน้ือหา เวลา สาคญั
ความจา
บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพของ (คาบ) ความเข้าใจ
แบบทดสอบ นาไปใช้
ิวเคราะ ์ห
บทที่ 7 แนวคิดพ้ืนฐานของ IRT สังเคราะ ์ห
บทท่ี 8 การวดั พฤติกรรมดา้ นจิตพิสัย ประเ ิมนค่า
บทท่ี 9 การวดั ทกั ษะการปฏิบตั ิ
บทที่ 10 การตดั เกรด 4 - 3 4 4 2 2 15 2

รวม 1 1 11- - -3 6
อนั ดบั ความสาคญั 3 - 221-29 4
ที่มา: เอมอร จงั ศิริพรปกรณ์ (2551) 3 - 141119 4
3 1 221119 4
30 9 18 32 19 6 9 100

4 31254

สำหรับแบบทดสอบมำตรฐำน (Standardized Test) ท่ีขอ้ สอบออกอิงตามหลกั สูตรท่ีมีมาตรฐาน
การเรียนรู้และตวั ช้ีวดั กาหนดไวช้ ดั เจน ดงั ตวั อยา่ ง รายละเอียดแบบทดสอบของสถาบนั ทดสอบทาง
การศึกษาแห่งชาติ ที่แจง้ ใหก้ บั สถานศึกษาทราบขอบเขตของการออกขอ้ สอบ ดงั ตารางท่ี 3.4
ตำรำงที่ 3.4 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดแบบทดสอบมาตรฐาน
สำระ มำตรฐำน ตวั ชีว้ ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง จำนวน คะแนน
ข้อสอบ

การอ่าน ท 1.1 ป.6/2 อธิบาย การบอกความหมายของบทร้อยแกว้ 10 25.00
ความหมายของคา และบทร้อยกรองประกอบดว้ ย
ประโยค และขอ้ ความท่ี -คาท่ีมีพยญั ชนะควบกล้า คาที่มี
เป็ นโวหาร อกั ษรนา คาที่ตวั การันต์ คาที่มาจาก
ภาษาต่างประเทศ อกั ษรยอ่ และ

เคร่ืองหมายวรรคตอน วนั เดือน ปี
แบบไทย ขอ้ ความที่เป็ นโวหารตา่ งๆ
สานวนเปรียบเทียบ

ป.6/4 แยกขอ้ เท็จจริง การอา่ นจบั ใจความจากส่ือต่างๆ เช่น
และขอ้ คิดเห็นจากเร่ือง เรื่องส้นั ๆ นิทานและเพลงพ้นื บา้ น
ท่ีอา่ น บทความ พระบรมราโชวาท สารคดี
ป.6/5 อธิบายการนา เรื่องส้นั งานเขียนประเภทโนม้ นา้ ว
ความรู้และความคิดจาก บทโฆษณา ขา่ ว และเหตกุ ารณ์สาคญั
เร่ืองที่อ่านไปตดั สินใจ
แกป้ ัญหาในการดาเนิน
ชีวติ

70 วิธกี ารและเครอ่ื งมอื ประเมนิ การเรียนรขู้ องผเู้ รยี น 70

สำระ มำตรฐำน ตวั ชีว้ ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง จำนวน คะแนน
ข้อสอบ
ป.6/7 อธิบาย การอ่านขอ้ มลู จากแผนผงั แผนที่
ความหมายของขอ้ มูล แผนภมู ิ และกราฟ 2 5.00
จากการอา่ น แผนผงั 5 12.50
แผนท่ี แผนภูมิ และ
กราฟ 10 25.00

การเขียน ท 2.1 ป.6/6 เขียนจดหมาย การเขียนจดหมายส่วนตวั
ส่วนตวั -จดหมายขอโทษ จดหมายแสดง

ความขอบคุณ
จดหมายแสดงความเห็นใจ จดหมาย
แสดงความยนิ ดี

การฟัง การดู ท 3.1 ป.6/2 ต้งั คาถามและ การพดู แสดงความรู้ ความเขา้ ใจใน
และการพดู ตอบคาถามเชิงเหตผุ ล จุดประสงคข์ องเร่ืองท่ีฟังและดจู าก
จากเร่ืองที่ฟังและดู ส่ือต่างๆ ไดแ้ ก่ สื่อสิ่งพมิ พ์ ส่ือ
อิเลก็ ทรอนิกส์

ป.6/3 วเิ คราะห์ความ การวเิ คราะห์ความน่าเชื่อถือจากการ
น่าเช่ือถือจากการฟัง ฟังและดูส่ือโฆษณา
และดูส่ือโฆษณาอยา่ งมี
เหตผุ ล

หลกั การใช้ ท 4.1 ป.6/1 วเิ คราะห์ชนิด ชนิดและหนา้ ที่ของคา
ภาษาไทย และหนา้ ที่ของคาใน -คานาม คาสรรพนาม คากริยา คา
ประโยค วเิ ศษณ์ คาบุพบท คาเชื่อม คาอุทาน

ป.6/2 ใชค้ าได้ คาราชาศพั ท์ ระดบั ภาษา ภาษาถ่ิน
เหมาะสมกบั กาลเทศะ
และบุคคล

ป.6/3 รวบรวมและบอก คาท่ีมาจากภาษาต่างประเทศ
ความหมายของคา
ภาษาต่างประเทศที่ใช้
ในภาษาไทย

ป.6/4 ระบุลกั ษณะของ กลมุ่ คา หรือวลี ประโยคสามญั
ประโยค ประโยครวม ประโยคซอ้ น

ป.6/5 แต่งบทร้อยกรอง กลอนสุภาพ

ป.6/6 วเิ คราะห์และ สานวนท่ีเป็นคาพงั เพยและสุภาษิต
เปรียบเทียบสานวนท่ีเป็ น
คาพงั เพยและสุภาษิต

71 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรสั 71

สำระ มำตรฐำน ตวั ชี้วดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง จำนวน คะแนน
วรรณคดีและวรรณกรรม เช่น ข้อสอบ 12.50
วรรณคดีและ ท 5.1 ป.5/2 ระบุความรู้และ -นิทานพ้ืนบา้ น นิทานคติธรรม เพลง
วรรณกรรม ขอ้ คดิ จากการอา่ น พ้นื บา้ น วรรณคดีและวรรณกรรมใน 5 80
วรรณคติและ บทเรียนและตามความสนใจ
วรรณกรรมที่สามารถ วรรณคดีและวรรณกรรม เช่น 32
นาไปใชใ้ นชีวติ จริง -นิทานพ้ืนบา้ นทอ้ งถิ่นตนเองและ
ทอ้ งถิ่นอื่น
ป.6/1 แสดงความ -นิทานคติธรรม เพลงพ้นื บา้ น
คิดเห็นจากวรรณคดี วรรณคดี และวรรณกรรมในบทเรียน
หรือวรรณกรรมที่อ่าน และตามความสนใจ

ป.6/3 อธิบายคุณคา่ ของ
วรรณคดีและ
วรรณกรรมที่อา่ นและ
นาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น
ชีวติ จริง

รวม

ที่มา: สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

ตัวอย่ำงกำรกำหนดรำยละเอียดของแบบวัด (Scale) ส่วนใหญ่แลว้ จะเป็ นการวดั ดา้ นจิตพิสัย
(Affective Domain) มีข้นั ตอนสาคญั ดงั น้ี

1) ศึกษาทฤษฎีท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ตวั แปรท่ีตอ้ งการวดั แลว้ นิยามเชิงปฏิบตั ิการในลกั ษณะที่เป็ น
พฤติกรรมวดั ได้

2) วเิ คราะห์นิยามเชิงปฏิบตั ิการเพอ่ื กาหนดคา/ขอ้ ความที่แสดงถึงพฤติกรรมบง่ ช้ีท่ีสาคญั
3) กาหนดน้าหนักความสาคญั ของแต่ละองค์ประกอบ โดยให้รวมท้งั หมดเท่ากบั 100 %
จากน้ันพิจารณาว่าองค์ประกอบใดของตวั แปรที่มีความสาคัญที่สุด ท้งั น้ีหากไม่ทราบอาจให้ทุก
องคป์ ระกอบมีสดั ส่วนเทา่ กนั ก่อนได้
4) เขียนพฤติกรรมบ่งช้ี (item) ในแต่ละองค์ประกอบโดยยึดหลกั การที่ว่าขอ้ ความแสดง
พฤติกรรมน้นั ตอ้ งมีความชดั เจน เฉพาะเจาะจง มีความเป็ นปรนยั และมีเอกภาพ สอดคลอ้ งกบั นิยาม
ความหมายในแต่ละองคป์ ระกอบของตวั แปรท่ีตอ้ งการวดั
5) กาหนดรูปแบบของมาตรการวดั (Scale) ที่สอดคลอ้ งกบั ระดบั พฤติกรรม เช่น 3 ระดบั 4
ระดบั 5 ระดบั และสอดคลอ้ งกบั ระดบั ในเชิงทฤษฎีของตวั แปรดงั กล่าว
6) นาโครงสร้างของรายละเอียดแบบวดั ที่ไดไ้ ปจดั ทาเป็ นเคร่ืองมือต่อไป

72 วธิ กี ารและเคร่ืองมือประเมนิ การเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น 72

ตำรำงท่ี 3.5 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดของการวดั ตวั แปรทกั ษะการเรียนรู้
ทกั ษะกำรเรียนรู้ (Learning Skills) หมายถึง คุณลกั ษณะนิสัยของผเู้ รียนในการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ประสบความสาเร็จ
ในการเรียน และการทางาน มีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ความใฝ่ รู้ใฝ่ เรียน นิสยั ทางการเรียน ความรับผิดชอบ และ
การกากบั ตนเอง
องค์ประกอบ นิยำม จำนวนข้อ ร้อยละ พฤตกิ รรมบ่งชี้
1.ความใฝ่ เรียนรู้ คุณลกั ษณะที่แสดงออกถึง 5 ขอ้ 20% (1) สนใจเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ตา่ งๆ
(Putting effort ความต้งั ใจ เพยี รพยายามในการ (2) ชอบแสวงหาความรู้จากแหลง่ เรียนรู้
persistently) เรียน แสวงหาความรู้จากแหลง่ ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรียนอยา่ ง
เรียนรู้ ท้งั ภายในและภายนอก สม่าเสมอ
โรงเรียน (3) สามารถเลือกใชส้ ่ืออยา่ งเหมาะสม

2.นิสยั ทางการ คุณลกั ษณะท่ีแสดงออกถึง 13 ขอ้ (4) มีการบนั ทึกความรู้ วเิ คราะหข์ อ้ มูล
เรียน ความประพฤติท่ีดีในการเรียนที่ สรุปเป็นองคค์ วาม รู้ นาไป
(study habit) ผเู้ รียนกระทาอยา่ งสม่าเสมอจน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั ผอู้ ่นื
เคยชิน ไดแ้ ก่ พฤติกรรมในการ
เรียน และพฤติกรรมการสอบ (5) สามารถถ่ายทอด เผยแพร่ และ
นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้

50% (1) มีสมาธิจดจ่อในส่ิงท่ีเรียนในช้นั ไดด้ ี
(2) มีนิสยั รักการอ่าน

(3) จดบนั ทึกการเรียนไดด้ ี
(4) ทบทวนบนั ทึกการเรียนอยา่ ง

สม่าเสมอ
(5) คน้ หาประเดน็ ที่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจ แลว้ ถาม

ครู หรือผปู้ กครอง หรือคน้ หา
แหล่งขอ้ มลู ท่ีจะช่วยใหไ้ ดค้ าตอบที่
ชดั เจน
(6) รู้แหลง่ คน้ ควา้ สืบคน้ ท่ีดีที่สุดของแต่
ละวชิ าท่ีเรียน
(7) ทาการบา้ นท่ีไดร้ ับมอบหมายทุกชิ้น
อยา่ งต้งั ใจและส่งทนั กาหนดเวลา
(8) วางแผนเวลาการอา่ นหนงั สือไดอ้ ยา่ ง
ลงตวั และเหมาะสม

(9) จดั การเวลาในการสอบไดด้ ี

(10) จดสรุปยอ่ ที่ไดผ้ ล

(11) ใชก้ ลยทุ ธก์ ารเรียนที่ปรับเปล่ียนให้
เหมาะสมไปตามแต่ละวชิ า

(12) ฝึ กทาขอ้ สอบเก่า

(13) มีเทคนิคในการทาขอ้ สอบ

73 ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตรุ สั 73

องค์ประกอบ นยิ ำม จำนวนข้อ ร้อยละ พฤตกิ รรมบ่งชี้
3.ความรับผดิ ชอบ คุณลกั ษณะที่แสดงออกถึง 3 ขอ้ 10% (1) ทางานที่ไดร้ บั มอบหมายในช้นั เรียน
(Responsibility) ความเอาใจใส่ จดจ่อต้งั ใจ 5 ขอ้ 20%
มุง่ มน่ั ตอ่ หนา้ ที่การเรียนอยา่ ง และการบา้ นไดเ้ สร็จส่งทนั ภายใน
เตม็ ความสามารถเพ่อื ให้ 26 ข้อ 100% เวลากาหนด
บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายท่ี (2) จดั การพฤติกรรมการทางานของ
กาหนด ตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
(3) เติมเตม็ ศกั ยภาพตนเองใหไ้ ปถึง
4.การกากบั ตนเอง คุณลกั ษณะท่ีแสดงออกถึงการ เป้าหมายภายใตส้ ิ่งแวดลอ้ มการ
(Self-Regulation) ควบคุมความคิด ความรู้สึก เรียนรู้ที่จดั ให้
(1) กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของ
และการกระทาของตนเองดว้ ย ตนเอง และกากบั ติดตาม
ความต้งั ใจ ความกา้ วหนา้ เพ่อื ใหบ้ รรลุตาม
เป้าหมายน้นั
(2) คน้ หาสิ่งที่จะมาช่วยเหลือเม่ือมีความ
จาเป็ น
(3) ประเมินและสะทอ้ นจุดแขง็ ความ
ตอ้ งการ และความสนใจของตนเอง
(4) ระบุโอกาสในการเรียนรู้ ทางเลือก
และกลยทุ ธ์ท่ีจะทาใหไ้ ปถึงเป้าหมาย
ท่ีวางไว้
(5) มีความอดทนพยายามเมื่อตอ้ งเผชิญ
กบั ส่ิงที่ทา้ ทาย

รวม

ตัวอย่ำงกำรกำหนดรำยละเอียดของกำรประเมินทกั ษะปฏิบัติ เพื่อประเมินทางดา้ นทกั ษะการ
ปฏิบตั ิ มีข้นั ตอนสาคญั ดงั น้ี

1) ศึกษาและทาความเขา้ ใจทฤษฎีและแนวคิดท่ีเก่ียวกบั ทกั ษะการปฏิบตั ิที่ตอ้ งการประเมิน
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ความหมายและองคป์ ระกอบของทกั ษะการปฏิบตั ิท่ีตอ้ งการวดั

2) กาหนด วิเคราะห์เพื่อแยกองค์ประกอบของทกั ษะการปฏิบตั ิท่ีตอ้ งการประเมินว่าการ
ประเมินทกั ษะน้นั เนน้ ที่กระบวนการ หรือผลงาน หรือท้งั สองส่วน

3) กาหนดน้าหนักความสาคญั ของแต่ละองค์ประกอบ โดยให้รวมท้งั หมดเท่ากบั 100 %
จากน้ันพิจารณาว่าองค์ประกอบใดของตัวแปรที่มีความสาคัญท่ีสุด ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับลักษณะของ
องคป์ ระกอบที่ประเมินที่เป็ นกระบวนการหรือผลงาน เช่น ความถูกตอ้ งในการปฏิบตั ิหรือแสดงทกั ษะ
น้ัน ความคล่องแคล่วในการปฏิบตั ิ ความถูกต้องของผลงาน จานวนคร้ัง ระยะทาง เวลาในการ
ปฏิบตั ิงาน เป็นตน้

74 วธิ ีการและเครือ่ งมือประเมนิ การเรยี นรขู้ องผู้เรยี น 74

4) กาหนดรายการประเมินที่สามารถวดั ระดบั คุณภาพหรือระดบั คะแนนของลกั ษณะการปฏิบตั ิ
หรือผลการปฏิบตั ิทกั ษะน้นั ในแต่ละมิติหรือองคป์ ระกอบท่ีประเมิน โดยทวั่ ไปในการประเมินทกั ษะ
การปฏิบตั ิมกั จะกาหนดใหจ้ านวนระดบั คะแนนหรือระดบั คุณภาพของลกั ษณะการปฏิบตั ิหรือผลการ
ปฏิบตั ิมีจานวน 4 ถึง 6 ระดบั ซ่ึงตอ้ งสมั พนั ธ์กบั การกาหนดน้าหนกั ความสาคญั ในขอ้ ก่อนหนา้ น้ีเพราะ
จะไปสัมพนั ธ์กบั การกาหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (Scoring Rubrics) ต่อไป

5) นาโครงสร้างของรายละเอียดแบบประเมินท่ีไดไ้ ปจดั ทาเป็นเครื่องมือต่อไป
ตำรำงท่ี 3.6 ตวั อยา่ งตารางกาหนดรายละเอียดของการประเมินทกั ษะปฏิบตั ิการทาโครงงาน
องค์ประกอบ ร้อยละของ รำยกำรประเมนิ นำ้ หนัก คะแนน
คะแนน
15
1. ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 15% 1.1 ความแปลกใหม่ของปัญหา
15
1.2 ความน่าสนใจ
15
1.3 วธิ ีการดาเนินการ
15
2. วธิ ีการศึกษา คน้ ควา้ 20% 2.1 การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์
15
2.2 การต้งั สมมุติฐาน
2.3 การทางานอยา่ งมีข้นั ตอน 15

2.4 การใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อปุ กรณ์ 1 5
15
3. เน้ือหา สาระและประโยชน์ 20% 3.1 เน้ือหาสาระถูกตอ้ ง
15
3.2 ผลท่ีไดจ้ ากการศึกษา
15
3.3 การนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
15
3.4 หลกั ฐานการเก็บขอ้ มลู
15
4. การทารายงาน 25% 4.1 ความถูกตอ้ งของแบบฟอร์ม
1 5
4.2 การใชภ้ าษา การใชศ้ พั ทท์ ี่ถกู ตอ้ ง
1 5
4.3 ขอ้ มูลถูกตอ้ ง อา้ งอิงตามหลกั การ
2 10
4.4 การอภิปรายผลและสรุปผล
2 10
5. การแสดงโครงงานและการ 20% 5.1 ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
2 10
นาเสนอ 5.2 การตอบขอ้ ซกั ถาม

รวม 100% 100

75 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั รุ สั 75

ข้นั ท่ี 4 สร้ำงเครื่องมือ
กำรสร้ำงเคร่ืองมือประเภทแบบทดสอบ (Test) มีข้นั ตอนที่สาคญั ดงั น้ี
(1) กำหนดลักษณะเฉพำะของข้อสอบ (Item specification) เป็ นรายละเอียดของขอ้ สอบใน
แต่ละเน้ือหาว่าวดั ตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั หลักฐานร่องรอย รูปแบบขอ้ สอบ ระดับ
พฤติกรรมดา้ นพุทธิพิสัย ระดบั ความยากของขอ้ สอบ โมเดลขอ้ สอบ และสถานการณ์ที่ใชข้ องขอ้ สอบ
วา่ เป็นอยา่ งไร ดงั ตวั อยา่ งลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ ตอ่ ไปน้ี
ภำพท่ี 3.3 ตวั อยา่ งลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ (item specificatyion) รูปแบบปรนยั แบบเลือกตอบ
มำตรฐำนกำรเรียนรู้
ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาไปใชต้ ดั สินใจแกป้ ัญหาใน
การดาเนินชีวติ และมีนิสยั รักการอา่ น
(Learning Standard)

ตวั ชี้วดั (Indicator) ป. 6/4 แยกขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คดิ เห็นจากเร่ืองท่ีอ่าน

หลกั ฐำนร่องรอย มีความสามารถในการแยกแยะขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คิดเห็น

(Evidence Required)

รูปแบบข้อสอบ  เลือกตอบ  เติมคาตอบส้นั  เขียนตอบ
(Allowable Item Types)

ระดบั พฤตกิ รรมด้ำนพทุ ธิ จุดมุ่งหมายทางการศึกษาของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy)
พสิ ัย  จา  เขา้ ใจ  ประยกุ ตใ์ ช้  วเิ คราะห์  ประเมินคา่  สร้างสรรค์
(Target Cognitive Levels)

ระดบั ควำมยำกของข้อสอบ  ง่าย  ปานกลาง  ยาก
(Level of Difficulty)
โมเดลข้อสอบ
สถานการณ์ (Prompts & Stimuli)
กาหนดบทความ/เรื่องส้นั ๆ ประเภทร้อยแกว้ ท่ีเหมาะสมในระดบั ช้นั ป.6 ความยาวไม่
(Item Model) เกิน 8 บรรทดั

คาถาม
ตอบคาถามจากเร่ืองที่อ่าน โดยแยกแยะเป็ นขอ้ เทจ็ จริงหรือขอ้ คิดเห็น
คาตอบ
คาตอบถูกประกอบดว้ ยขอ้ เทจ็ จริงหรือขอ้ คิดเห็น
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ตอบถูกให้ 2.5 คะแนน
ตอบผิดให้ 0 คะแนน
สถำนกำรณ์ทใ่ี ช้
บทความ/เรื่องส้นั ๆ ประเภทร้อยแกว้ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ตวั นกั เรียนหรือครอบครัว ท่ี
(Allowable Stimuli) เหมาะสมในระดบั ช้นั ป.6 ความยาวไม่เกิน 8 บรรทดั

ท่ีมา: สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

76 วธิ กี ารและเครือ่ งมือประเมนิ การเรยี นรู้ของผเู้ รียน 76

ภำพท่ี 3.4 ตวั อยา่ งลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ (item specificatyion) รูปแบบอตั นยั เขียนตอบ
มำตรฐำนกำรเรียนรู้
ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเรื่องราวใน
รูปแบบตา่ งๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งมี
(Learning Standard) ประสิทธิภาพ

ตวั ชีว้ ดั (Indicator) ป.6/8 เขียนเร่ืองตามจินตนาการและสร้างสรรค์
ป.6/2 เขียนส่ือสารโดยใชค้ าไดถ้ กู ตอ้ งชดั เจน และเหมาะสม

หลกั ฐำนร่องรอย เขียนเล่าเร่ืองราวจากภาพท่ีกาหนดให้ ใชค้ วามสามารถในการเขียนสื่อสารโดยใชค้ า
ประโยคไดถ้ กู ตอ้ งชดั เจน และเหมาะสม เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น เขียน
(Evidence Required) เร่ืองจามจินตนาการอยา่ งสร้างสรรค์

รูปแบบข้อสอบ  เลือกตอบ  เติมคาตอบส้นั  เขียนตอบ
(Allowable Item Types)
ระดบั พฤตกิ รรมด้ำนพทุ ธิ จุดมงุ่ หมายทางการศึกษาของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy)
พสิ ัย  จา  เขา้ ใจ  ประยกุ ตใ์ ช้  วเิ คราะห์  ประเมนิ ค่า  สร้างสรรค์
(Target Cognitive Levels)
ระดบั ควำมยำกของข้อสอบ  ง่าย  ปานกลาง  ยาก
(Level of Difficulty)

โมเดลข้อสอบ สถานการณ์ (Prompts & Stimuli)
กาหนดภาพท่ีมีความคมชดั จานวน 1 ภาพ ท่ีนกั เรียนระดบั ช้นั ป.6 สามารถนาเสนอ
(Item Model) แนวคิดที่น่าสนใจ

คาถาม
เป็ นคาสงั่ ใหเ้ ขียนเรื่องตามจินตนาการและสร้างสรรคจ์ ากภาพท่ีกาหนดใหม้ ีความยาว
จานวน 5-7 บรรทดั (เวลาที่ใชใ้ นการทดสอบ 15 นาที)
คาตอบ
เขียนเลา่ เร่ือง/เล่าเหตุการณ์/เลา่ พฤติกรรมหรือความรู้สึก/เล่านิทานท่ีแสดงแนวคิด
สาคญั ของภาพที่กาหนดให้ มคี วามยาวจานวน 5-7 บรรทดั )
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
คะแนนเตม็ 10 คะแนน แบง่ เป็ น 3 ส่วน คือ
(1) เขียนเป็นเร่ืองและมีความยาวตรงตามคาสงั่ (1 คะแนน)
(2) เน้ือหา (นาเสนอแนวคดิ สาคญั ของภาพได้ มีการเรียงลาดบั ความคิด และการ
เชื่อมโยงความคิด) (4 คะแนน)
(3) ภาษา (การสะกดการันต์ และการใชเ้ ครื่องหมาย การใชค้ า/ถอ้ ยคาสานวน

สถำนกำรณ์ทใ่ี ช้ ประโยค และวรรคตอนถกู ตอ้ ง) (5 คะแนน)

เป็ นภาพถา่ ย/ภาพวาด เกี่ยวกบั คน สตั ว์ สิ่งของ สถานที่ท่ีนกั เรียนระดบั ช้นั ป.6 สามารถ
(Allowable Stimuli) นาเสนอแนวคิดสาคญั ของภาพได้ โดยตอ้ งหลีกเลี่ยงการใชภ้ าพท่ีมีลิขสิทธ์ิ

ที่มา: สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

77 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตรุ สั 77

(2) เขียนข้อสอบ เป็ นการร่างข้อสอบ (item) ตามลักษณะเฉพาะของข้อสอบ (item
specificatyion)ที่ไดว้ างไว้ ขอ้ แนะนาในการเขียนขอ้ สอบ คือ ควรเขียนขอ้ สอบเผื่อไวป้ ระมาณ 25 %
ของขอ้ สอบที่ตอ้ งสร้าง การวดั ผลสัมฤทธ์ิแบบอิงกลุ่มควรเขียนขอ้ สอบให้มีความยากง่ายปานกลาง
เพ่ือใหส้ ามารถจาแนกผเู้ รียนได้ ส่วนการวดั ผลสัมฤทธ์ิแบบอิงเกณฑ์ ควรเขียนขอ้ สอบให้สอดคลอ้ งกบั
ระดบั พฤติกรรมในจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ีกาหนดไวห้ รือไม่

ตัวอย่ำงกำรเขียนข้อสอบรูปแบบปรนัยแบบเลือกตอบ ตามลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ (item
specificatyion) (ภาพท่ี 3.3)

คาช้ีแจง ให้นกั เรียนอ่านเน้ือเร่ืองแลว้ ตอบคาถามจากเรื่อง โดยเลือกคาตอบจากตวั เลือกท่ี
ถูกตอ้ ง

ชมพู่ตอ้ งการเปล่ียนช่ือ เพราะมีเพื่อนคนหน่ึงบอกวา่ ให้พระเปล่ียนชื่อแลว้ เรียนเก่งข้ึน แต่
คุณพอ่ และคุณแม่ของชมพคู่ ิดวา่ พอ่ แม่ยอ่ มรักและปรารถนาดีต่อลูก คิดต้งั ชื่อลูกดีแลว้ จึงขอให้ครูมะลิ
วลั ยช์ ่วยอธิบายเรื่องน้ีให้เด็กๆฟัง ชมพู่ก็ไม่คิดเปลี่ยนชื่ออีก เพราะเห็นวา่ เพ่ือนคนท่ีเปล่ียนชื่อยงั เรียน
ไม่ดีเหมือนเดิม ซ่ึงชมพูค่ ิดถูกตอ้ งแลว้ เพราะคนเราไม่ควรเช่ืออะไรง่ายๆ และถา้ เปล่ียนช่ือแลว้ แต่ยงั
ปฏิบตั ิตนเหมือนเดิมยอ่ มไม่มีอะไรดีข้ึน

คาถาม ขอ้ ใดเป็นขอ้ เทจ็ จริง
ตวั เลือก

1. ชมพูไ่ ม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆโดยที่ยงั ไมพ่ สิ ูจน์
2. พอ่ แมท่ ุกคนยอ่ มรักลูกและคิดต้งั ช่ือลูกอยา่ งดีแลว้
3. ชมพูต่ อ้ งการเปล่ียนชื่อ เพราะกลวั ช่ือเดิมเป็นกาลกิณี
4. คุณพอ่ และคุณแมข่ องชมพขู่ อใหค้ รูมะลิวลั ยอ์ ธิบายเร่ืองการต้งั ช่ือ
เฉลย ขอ้ 4.
ตัวอย่ำงกำรเขียนข้อสอบรูปแบบอัตนัยแบบเขียนตอบ ตามลกั ษณะเฉพาะของขอ้ สอบ (item
specificatyion) (ภาพที่ 3.4)
คาสัง่ จงเขียนเล่าเร่ืองจากภาพดว้ ยตวั บรรจงคร่ึงบรรทดั โดยใชภ้ าษาไทยมาตรฐาน (ภาษาไทย
กลาง) ไม่เขียนเป็ นบทร้อยกรอง และไม่ตอ้ งต้งั ชื่อเรื่อง ความยาว 4-7 บรรทดั ถา้ เขียนเกิน 7 บรรทดั จะ
ตรวจถึงบรรทดั ท่ี 7 เทา่ น้นั

78 วิธกี ารและเคร่อื งมือประเมนิ การเรยี นร้ขู องผ้เู รียน 78

(3) ทบทวนข้อสอบ โดยผูเ้ ขียนและผูอ้ ่ืน หลังจากท่ีสร้างขอ้ สอบไประยะหน่ึง ผูเ้ ขียนควร
ทบทวนขอ้ คาถามและตวั เลือกว่ามีความถูกตอ้ งเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์และพฤติกรรมท่ี
ตอ้ งการวดั หรือไม่ เม่ือมีขอ้ บกพร่องควรปรับปรุงก่อน แลว้ จึงนาไปให้เพ่ือนผูส้ อนหรือทีมผสู้ อนวชิ า
เดียวกันทบทวน หรืออาจเรียกว่าเป็ นการ “วิพำกษ์ข้อสอบ” ร่วมกันอีกคร้ัง โดยอาจใช้เกณฑ์การ
พจิ ารณาขอ้ สอบร่วมในการวพิ ากษ์ ดงั ภาพท่ี 3.5
ภำพท่ี 3.5 เกณฑก์ ารพิจารณาขอ้ สอบของสถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

1.ข้อสอบวดั ตรงตำมสมรรถนะทมี่ ่งุ วดั ตำมคุณภำพผู้เรียน
1.1 ตรงตามสาระท่ีตอ้ งการวดั
1.2 ตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง
1.3 ตรงตามระดบั การคิด/พฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีตอ้ งการวดั

2. คณุ ภำพของ “สถำนกำรณ์”
2.1 เป็ น  เหตุการณ์ (event)  เร่ืองราว  Case  ตาราง/กราฟ  เง่ือนไข ท่ีเป็ นสถานการณ์

ชีวติ จริง ท่ีมีเหตุมีผลช่วยกระตุน้ ใหค้ ิด และน่าสนใจ มีขอ้ มูลหรือเงื่อนไขที่ครบถว้ น รัดกุม เพียงพอเพ่ือใหม้ ี
คาตอบของขอ้ คาถามเพียงคาตอบเดียว

2.2 สะทอ้ นมาตรฐาน ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลางที่มงุ่ วดั
3. คณุ ภำพของ “คำถำม”

3.1 มีความเป็นปรนยั (ผตู้ อบเขา้ ใจคาถามตรงกบั ผเู้ ขียนขอ้ สอบ)
3.2 เป็นประโยคคาถามท่ีมีความสมบูรณ์
3.3 มีการขีดเสน้ ใตค้ า/ขอ้ ความปฏิเสธ เช่น ไม่มี ยกเวน้
3.4 กะทดั รดั และชดั เจน (ไมม่ คี าฟ่ มุ เฟื อย)
3.5 ไม่มีคา/ขอ้ ความที่ช้ีแนะคาตอบ
3.6 ไม่มีประโยคปฏิเสธและประโยคปฏิเสธซอ้ นปฏิเสธ
3.7 ใชภ้ าษาท่ีเหมาะสมกบั ผสู้ อบ
4. คณุ ภำพของ “ตวั เลือก”
4.1 ตวั เลือกแต่ละตวั มีความเป็ นเอกพนั ธ์ (Homogeneous)
4.2 เรียงลาดบั อยา่ งมีระบบ เช่น ความยาวของขอ้ ความ/ลาดบั ตวั อกั ษร/จานวนตวั เลข/ระยะเวลา
หรือลาดบั ตามเหตุการณ์
4.3 ไม่มีคา/ขอ้ ความซ้าๆ ในตวั เลือกทุกตวั
4.4 มีคาตอบที่ถกู ตอ้ งเพยี งคาตอบเดียว และมีคาอธิบายหรือที่มาตามหลกั วชิ า โดยคาตอบไม่
แปรเปล่ียนตามเวลา และปราศจากขอ้ โตแ้ ยง้
4.5 มีคาอธิบายหรือที่มาของตวั ลวงแต่ละตวั อยา่ งถูกตอ้ งตามหลกั วชิ า (ผอู้ า่ นไดเ้ กิดการเรียนรู้)/มี
เหตผุ ลและไมม่ ีขอ้ โตแ้ ยง้

ท่ีมา: สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

79 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจัตุรสั 79
(4) บรรณำธิกำรข้อสอบ เม่ือไดข้ อ้ สอบครบตามท่ีไดป้ รับปรุงแกไ้ ขแล้ว การตรวจสอบและ
จดั เรียงขอ้ สอบใหม้ ีประสิทธิภาพ ตอ้ งคานึงถึงการแบ่งหมวดหมู่ของขอ้ สอบตามรูปแบบของขอ้ สอบ
เช่น ขอ้ สอบถูกผิด ควรถามนามาก่อนขอ้ สอบหลายตวั เลือก ส่วนการเรียนเน้ือหาน้นั อาจจะเรียงตาม
หน่วยที่เรียนตามความยากง่าย โดยเรียงจากขอ้ ง่ายไปขอ้ ยาก

กำรสร้ำงเคร่ืองมือประเภทแบบวดั (Scale)
ตวั อยา่ งข้นั ตอนการสร้างเครื่องมือวดั เจตคติ (Attitude) ที่ใชม้ าตรวดั แบบลิเคิร์ท (Likert’s Scale)
ตามข้นั ตอนดงั น้ี
1) เลือกช่ือเป้ำเจตคติ (Attitude Object) เช่น เจตคติต่อคณิตศาสตร์ หรือเจตคติต่ออาชีพครู
หรือต่อมหาวทิ ยาลยั เป็นตน้ เป้าของเจตคติอาจจะเป็ นคน วตั ถุ ส่ิงของ องคก์ ร สถาบนั อาชีพ วิชา ยิง่ มี
ความเฉพาะเจาะจงยงิ่ ดี ยงิ่ กาหนดช่วงเวลาดว้ ยแลว้ การแปลผลก็จะทาใหม้ ีความหมายดีข้ึน
2) เขียนข้อควำมแสดงควำมรู้สึกต่อเป้ำเจตคติ โดยวิเคราะห์แยกแยะดูให้ครอบคลุม
ลกั ษณะของขอ้ ความควรเป็นดงั น้ี
ก. เป็นขอ้ ความท่ีแสดงความเชื่อและรู้สึกต่อเป้าท่ีตอ้ งการ
ข. ไมเ่ ป็นการแสดงถึงความเป็ นจริง
ค. มีความแจ่มชดั ส้ัน ใหข้ อ้ มูลพอตดั สินได้
ง. ไมก่ ากวม ครอบคลุมท้งั ทางดีและไมด่ ี หรือท้งั บวกและลบ
จ. ควรหลีกเล่ียงคาปฏิเสธซอ้ น ขอ้ ความอา้ งอิงในอดีตที่ผา่ นมา ขอ้ ความท่ีมีคาว่า
ท้งั หมด, เสมอๆ, ไมเ่ คย, ไม่มีเลย, เพียงเท่าน้นั
ฉ. ขอ้ ความเดียวควรมีความเชื่อ ความรู้สึกเดียว
3) กำรกำหนดระดบั กำรวดั ควำมรู้สึก โดยกาหนดระดบั การวดั (Scale) อาจเป็ น 3 ระดบั
4 ระดบั 5 ระดบั หรือ 6 ระดบั ตามความเหมาะสมของเป้าหมายที่ตอ้ งการวดั ในกรณีรู้จกั และมี
ประสบการณ์ต่อเป้าของเจตคติทุกคนแลว้ เช่น เจตคติต่อวิชาที่เรียน ระดบั การวดั ควรเป็ นแบบคู่ (4
หรือ 6 ระดบั ) ไม่ควรมีตรงกลาง เพราะเป็ นไปไม่ไดท้ ่ีจะไม่เกิดความรู้สึก หรือไม่แน่ใจ ตวั อยา่ งการ
เขียนระดบั การแสดงออกในมาตรวดั แบบลิเคิร์ท ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี
3 ระดบั 4 ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ
[ ] เห็นดว้ ย [ ] เห็นดว้ ยอยา่ งมาก [ ] เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ่ [ ] เห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ
[ ] ไมแ่ น่ใจ [ ] เห็นดว้ ย [ ] เห็นดว้ ย [ ] เห็นดว้ ยมาก
[ ] ไมเ่ ห็นดว้ ย [ ] ไมเ่ ห็นดว้ ย [ ] ไมแ่ น่ใจ
[ ] ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งมาก [ ] ไมเ่ ห็นดว้ ย [ ] เห็นดว้ ย
[ ] ไม่เห็นดว้ ย
[ ] ไมเ่ ป็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ [ ] ไม่เห็นดว้ ยมาก
[ ] ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ

80 วิธีการและเครือ่ งมอื ประเมินการเรียนรู้ของผเู้ รยี น 80

3 ระดบั 4 ระดบั 5 ระดับ 6 ระดับ
[ ] ชอบ [ ] ชอบมาก [ ] ชอบท่ีสุด [ ] ชอบที่สุด

[ ] เฉยๆ [ ] ชอบ [ ] ชอบมาก [ ] ชอบมาก
[ ] ไมช่ อบ [ ] ไม่ชอบ
[ ] ไมช่ อบเลย [ ] เฉยๆ [ ] ชอบ
[ ] ไม่ชอบอยา่ งมาก [ ] ไมช่ อบ
[ ] ไม่ชอบมากที่สุด [ ] ไมช่ อบอยา่ งมาก
[ ] ไม่ชอบมากที่สุด
ตำรำงท่ี 3.7 ตวั อยา่ งแบบวดั เจตคติต่อการเรียนวชิ าสถิติทางการศึกษา ใชม้ าตรวดั 4 ระดบั

ระดบั ความรู้สึก

ประเด็น เห็นดว้ ย เห็นดว้ ย ไม่เห็นดว้ ย ไมเ่ ห็นดว้ ย

อยา่ งมาก อยา่ งมาก

1. สถิติเป็ นเรื่องที่เขา้ ใจยาก *

2. การเรียนสถิติช่วยพฒั นาความคิดใหม้ ีเหตุผล

3. การเรียนสถิติเป็ นเร่ืองของคนท่ีเก่งคานวณ *

4. การเรียนสถิติทาใหร้ ู้สึกทอ้ แทใ้ นการเรียน *

5. สถิติเป็ นเรื่องง่ายไม่ซบั ซอ้ น

6. การเรียนสถิติทาใหเ้ สียเวลา *

7. เรียนสถิติแลว้ รู้สึกสนุกสนานมีชีวติ ชีวา

8. สถิติไมม่ ีประโยชนต์ อ่ สาขาวชิ าท่ีเรียน *

9. เรียนสถิติแลว้ รู้สึกกระตือร้นที่จะเรียนรู้

10. ผสู้ อนทาใหก้ ารเรียนสถิติไมน่ ่าเรียน *

หมายเหตุ * ขอ้ ความที่เป็ นทางลบ

4) กำรให้นำ้ หนักคะแนน ใหต้ วั เลขเรียงคา่ ตามลาดบั ความสาคญั ของตวั เร้าหรือตวั เลือก จะใช้
0, 1, 2, 3, 4, หรือ 1, 2, 3, 4, 5 หรือ -2, -1, 0, 1, 2 ก็ไดท้ ้งั น้นั 3 แบบน้ีสัมพนั ธ์เป็ น 1.00 คือ
ตัวเดียวกันน่ันเอง เพียงแต่เอาตัวคงท่ีบวกหรือลบออกเท่าน้ัน ตัวเลขแบบน้ีคะแนนเฉล่ียจะ
เปลี่ยนแปลง แตค่ วามแปรปรวนคงที่
ข้อควำมทำงบวก คะแนน ข้อควำมทำงลบ คะแนน
เห็นดว้ ยอยา่ งมาก 4 เห็นดว้ ยอยา่ งมาก 1

เห็นดว้ ย 3 เห็นดว้ ย 2
ไม่เห็นดว้ ย ไมเ่ ห็นดว้ ย
2 3

ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งมาก 1 ไมเ่ ห็นดว้ ยอยา่ งมาก 4

81 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตุรัส 81

กำรสร้ำงเกณฑ์กำรให้คะแนนสำหรับเครื่องมือประเภทแบบประเมิน
ข้ันตอนกำรสร้ำงเกณฑ์กำรให้คะแนน ปรับปรุงจาก กมลวรรณ ตงั ธนกานนท์ (2559) ท่ีได้
เสนอแนวทางการสร้างเกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบองคอ์ งคป์ ระกอบเพ่ือนาไปใชใ้ นแบบประเมินทกั ษะ
การปฏิบตั ิ ประกอบดว้ ย 7 ข้นั ตอนหลกั ดงั น้ี
1. ศึกษำและทำควำมเข้ำใจทฤษฎีและแนวคิดเก่ียวกับทักษะกำรปฏิบัติที่ตอ้ งการประเมิน
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ความหมายและองคป์ ระกอบของทกั ษะการปฏิบตั ิที่ตอ้ งการวดั
2. กำหนดส่ิงท่ตี ้องกำรประเมิน ผลการเรียนรู้ หรือจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ีคาดหวงั ในข้นั ตอน
น้ี ผูป้ ระเมินต้องกาหนดว่าส่ิงที่สาคญั และจาเป็ นต้องประเมินตามจุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่
กาหนดไวค้ ืออะไร การประเมินทกั ษะน้นั เนน้ ท่ีกระบวนการปฏิบตั ิงาน หรือผลการปฏิบตั ิงาน หรือท้งั
กระบวนการปฏิบตั ิงานและผลการปฏิบตั ิงาน
3. กำหนดประเด็นกำรประเมิน โดยพิจารณาจากมิติหรือองคป์ ระกอบสาคญั ของกระบวนการ
ปฏิบตั ิงาน หรือผลการปฏิบตั ิงาน ในการประเมินท่ีเน้นกระบวนการปฏิบตั ิงานอาจกาหนดมิติหรือ
องคป์ ระกอบที่ประเมิน เช่น ความถูกตอ้ งในการปฏิบตั ิหรือแสดงทกั ษะน้นั ความคล่องแคล่วในการ
ปฏิบตั ิ ส่วนในการประเมินท่ีเน้นผลการปฏิบตั ิงานอาจกาหนดมิติหรือองค์ประกอบที่ประเมิน เช่น
ความถูกตอ้ งของผลการปฏิบตั ิ จานวนคร้ัง ระยะทาง เวลา ในการปฏิบตั ิงานในทกั ษะน้นั ท้งั น้ีในทกั ษะ
ที่แตกต่างกนั มิติหรือองคป์ ระกอบที่เหมาะสมในการวดั กอ็ าจจะมีความแตกตา่ งกนั ไปได้
4. กำหนดจำนวนระดับคะแนนหรือระดับคุณภำพของลกั ษณะการปฏิบตั ิหรือผลการปฏิบตั ิ
ทกั ษะน้นั ในแต่ละมิติหรือองค์ประกอบท่ีประเมิน ซ่ึงสามารถกาหนดระดบั คะแนนในลกั ษณะเชิง
ปริมาณหรือคุณภาพก็ได้ ตวั อยา่ งเช่น ในเชิงปริมาณอาจกาหนดเป็ นระดบั คะแนน 4 3 2 และ 1
ตามลาดบั ส่วนในเชิงคุณภาพอาจกาหนดเป็ นระดบั ดีมาก ดี พอใช้ และปรับปรุงตามลาดบั โดยทวั่ ไป
ในการประเมินทกั ษะการปฏิบตั ิมกั จะกาหนดให้จานวนระดบั คะแนนหรือระดบั คุณภาพของลกั ษณะ
การปฏิบตั ิหรือผลการปฏิบตั ิมีจานวน 4 ถึง 6 ระดบั (Johnson, Penny and Gordon, 2009)
5. กำหนดคำอธิบำยลกั ษณะกำรปฏิบัติหรือผลกำรปฏิบัติของเกณฑ์แต่ละระดับ หากเป็ นไปได้
ควรจดั หาหรือคดั เลือกตวั อยา่ งการปฏิบตั ิงานหรือผลการปฏิบตั ิที่มีลกั ษณะครอบคลุมองคป์ ระกอบหรือ
มิติท่ีตอ้ งการประเมินท้งั ตวั อย่างการปฏิบตั ิงานหรือผลงานที่มีคุณภาพอยู่ในระดบั สูง กลาง และต่า
ระดบั คุณภาพละ 3 ตวั อยา่ งข้ึนไป คาอธิบายลกั ษณะการปฏิบตั ิงานหรือผลงานในเกณฑ์แต่ละระดบั อาจ
มีลกั ษณะเป็ นคาอธิบายในเชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ หรือผสมผสาน คาอธิ บายเชิงปริมาณและ
คุณภาพเขา้ ดว้ ยกนั ก็ได้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ธรรมชาติของการปฏิบตั ิหรือผลงานท่ีไดจ้ ากทกั ษะน้นั ๆ เพ่ือให้
เกณฑ์การให้คะแนนไม่ซบั ซ้อนจนเกิดความไม่สะดวกในการนาไปใช้ เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบแยก
องคป์ ระกอบไม่ควรพฒั นาเกณฑท์ ี่มีมากกวา่ 6 องคป์ ระกอบ หรือ 6 มิติ
6. กำหนดคะแนนเต็มและจุดตดั คะแนนเพื่อตัดสินคุณภำพ ข้นั น้ีเป็ นการกาหนดคะแนนเต็ม
ของการประเมิน ท่ีตอ้ งนาคะแนนท่ีไดไ้ ปใชก้ าหนดจุดตดั คะแนนเพื่อตดั สินคุณภาพ สาหรับกรณีที่เป็ น

82 วิธกี ารและเครอ่ื งมือประเมนิ การเรียนรขู้ องผเู้ รยี น 82

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบ ในข้นั น้ีจะสัมพนั ธ์กบั ข้นั ท่ี 3 และ 4 ที่มีความสัมพนั ธ์กบั
การกาหนดคะแนนเตม็ ของการประเมิน ดงั น้ี

คะแนนเตม็ = จานวนประเดน็ ประเมิน x จานวนระดบั คะแนน

ตวั อยา่ งเช่น มีประเด็นประเมิน 5 ประเด็น ระดบั คะแนน 4 ระดบั คะแนนเตม็ จะมีค่าเท่ากบั 20

คะแนน

สาหรับการกาหนดน้าหนักความสาคญั จะกาหนดเม่ือแต่ละประเด็นประเมินมีน้าหนัก
ความสาคญั แตกต่างกนั เน่ืองจาก การปฏิบตั ิงานหรือผลงานในแต่ละประเด็นมีความยากง่าย คุณค่า
ประโยชน์แตกต่างกนั อาจกาหนดคะแนนไม่เท่ากนั ในแต่ละประเด็นประเมินได้ น้าหนกั ความสาคญั มี
ความสมั พนั ธ์กบั คะแนนเตม็ ดงั น้ี
น้าหนกั ความสาคญั = คะแนนเตม็ ท่ีตอ้ งการ / คะแนนเตม็ ท่ีไมถ่ ่วงน้าหนกั
ตวั อยา่ งเช่น หากตอ้ งการคะแนนเต็ม 50 คะแนนจากการประเมินใน 5 ประเด็นการประเมิน
และระดบั คะแนนเป็ น 4 ระดบั คะแนนที่ไม่ถ่วงน้าหนักจะมีค่าเท่ากบั 20 คะแนน ดงั น้นั น้าหนัก
ความสาคญั เท่ากบั 50 / 20 = 2.5
กรณีท่ี 1 หำกน้ำหนักควำมสำคัญแต่ละประเด็นเท่ำกัน ใช้ค่าน้าหนกั ความสาคญั คูณในทุก
ประเด็นประเมิน คะแนนเตม็ ของแตล่ ะประเด็นประเมินจะมีค่าเทา่ กนั คือ 10 คะแนน (4 คะแนน x 2.5)
ตำรำงที่ 3.8 ตวั อยา่ งการกาหนดน้าหนกั ความสาคญั แตล่ ะประเด็นเท่ากนั
ประเด็นการ ระดบั คะแนน น้าหนกั คะแนนเตม็
ประเมิน 1 คะแนน
4 3 2

ประเดน็ ท่ี 1 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 2.5 10

ประเด็นท่ี 2 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 2.5 10

ประเด็นท่ี 3 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 2.5 10

ประเดน็ ที่ 4 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 2.5 10

ประเดน็ ที่ 5 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 2.5 10
รวมคะแนน 12.5 50

กรณีที่ 2 หำกนำ้ หนักควำมสำคัญแต่ละประเด็นไม่เท่ำกัน แต่ผูส้ อนตอ้ งการให้คะแนนเต็มที่
ถ่วงน้าหนกั แลว้ เป็นจานวนเตม็ และง่ายตอ่ การนาไปกาหนดจุดตดั คะแนนเพือ่ ตดั สิน

ตวั อยา่ งเช่น ตอ้ งการใหค้ ะแนนเตม็ เท่ากบั 50 คะแนน
กาหนดสดั ส่วนร้อยละของแต่ละประเดน็ ประเด็น รวมแลว้ ได้ 100 %
น้าหนกั ความสาคญั รวม = คะแนนเตม็ ที่ตอ้ งการ / ระดบั คะแนน = 50 / 4 = 12.5
นาสดั ส่วนร้อยละเทียบบญั ญตั ิไตรยางศก์ บั น้าหนกั ความสาคญั รวม แลว้ คิดน้าหนกั คะแนนใน
แต่ละประเด็นการประเมิน ไดผ้ ลลพั ธ์ดงั ตารางที่ 3.9

83 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ ูมิ เขตจตั ุรสั 83

ตำรำงท่ี 3.9 ตวั อยา่ งการกาหนดน้าหนกั ความสาคญั ของเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบ
ประเด็นการ ระดบั คะแนน ร้อยละ น้าหนกั คะแนนเตม็
ประเมิน คะแนน
4 3 2 1

ประเดน็ ท่ี 1 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 10 1.25 5

ประเด็นท่ี 2 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 20 2.50 10

ประเด็นท่ี 3 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 30 3.75 15

ประเด็นท่ี 4 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 10 1.25 5

ประเดน็ ท่ี 5 คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย คาอธิบาย 30 3.75 15

รวมคะแนน 100 12.5 50

กำรกำหนดจุดตดั คะแนน อาจใชแ้ นวทางของการตดั สินผลแบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์ ดงั น้ี
กำรตดั สินแบบองิ กลุ่มโดยใช้คะแนนพสิ ัย เป็ นการเทียบผลการปฏิบตั ิหรือผลงานภายในกลุ่มที่
ประเมิน มีข้นั ตอนดงั น้ี
1)กาหนดความกวา้ งของอนั ตรภาคช้ัน โดยนาคะแนนสูงสุดลบดว้ ยคะแนนต่าสุดของเกณฑ์
การใหค้ ะแนนแลว้ หารดว้ ยจานวนระดบั คุณภาพ
2) แบ่งช่วงคะแนนตามความกวา้ งท่ีไดจ้ ากข้นั ท่ี 1 และกาหนดคุณภาพในแตล่ ะช่วงคะแนน
ตวั อยา่ งเช่น คะแนนสูงสุด เท่ากบั 20 คะแนนต่าสุด เท่ากบั 5 ตอ้ งการคุณภาพจานวน 4 ระดบั
ดงั น้นั ความกวา้ งของอนั ตรภาคช้นั เท่ากบั (20-5)/4 = 3.75 ประมาณ 4
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
17 – 20 ดีมาก
13 – 16 ดี
9 – 12 พอใช้
5 – 8 ปรับปรุง
กำรตัดสินแบบอิงเกณฑ์โดยใช้ร้อยละของคะแนน เป็ นการเทียบกบั มาตรฐานการเรียนรู้หรือ
ร้อยละของการตดั เกรด มีข้นั ตอนดงั น้ี
1) กาหนดร้อยละคะแนนท่ีแสดงถึงมาตรฐานของการปฏิบตั ิงาน เช่น ร้อยละ 80 ข้ึนไป อยูใ่ น
ระดบั ดีมาก เป็นตน้

2) คิดคะแนนตามช่วงของร้อยละและกาหนดคุณภาพในแตล่ ะช่วงคะแนน
ตวั อยา่ งเช่น คะแนนเตม็ เท่ากบั 20 คะแนน
ร้อยละ ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
80 ข้ึนไป 16 – 20 ดีมาก
70 – 79.99% 14 – 15 ดี

60 – 69.99% 12 – 13 พอใช้
ต่ากวา่ 60% 5 – 11 ปรับปรุง

84 วิธกี ารและเครอ่ื งมอื ประเมนิ การเรียนร้ขู องผ้เู รียน 84

7. นำร่ำงเกณฑ์กำรให้คะแนนทีพ่ ฒั นำขึน้ ไปพิจำรณำร่วมกบั ผู้เรียน เพื่อให้ไดข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั
เกี่ยวกบั ความเขา้ ใจของผูเ้ รียนท่ีมีต่อร่างเกณฑ์การให้คะแนนท่ีพฒั นาข้ึน เน่ืองจากความเขา้ ใจของ
ผเู้ รียนเกี่ยวกบั เกณฑก์ ารให้คะแนน และส่ิงที่ผเู้ รียนจะไดร้ ับการประเมินเป็ นส่ิงสาคญั ในการนาเกณฑ์
การให้คะแนนไปใช้ ข้นั ตอนน้ียงั เป็ นประโยชน์ต่อผูเ้ รียนด้วย เน่ืองจากการพิจารณาเกณฑ์การให้
คะแนนจะช่วยให้ผูเ้ รียนสามารถวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของการปฏิบตั ิงานหรือผลงานในด้าน
ทกั ษะการปฏิบตั ิของตนเองไดด้ ียง่ิ ข้ึน

เทคนิคกำรสร้ำงเกณฑ์กำรให้คะแนน
1. จำนวนระดบั เกณฑ์กำรให้คะแนน ผูส้ อนอาจสุ่มตวั อยา่ งผลงานของผเู้ รียนมาตรวจ แลว้ แยก
เป็น 3 กอง เป็นงานท่ีมีคุณภาพดี ปานกลาง และไมด่ ี แลว้ ตรวจสอบลกั ษณะที่เป็ นตวั แยกระหวา่ งงานที่
มีคุณภาพไม่ดี ลกั ษณะเหล่าน้ีจะมาเป็นรายละเอียดของแตล่ ะระดบั
2. กำรเขยี นคำอธิบำยคุณภำพของแต่ละระดับเกณฑ์กำรให้คะแนน

เทคนิควิธีที่ 1 กาหนดรายละเอียดข้นั ต่าไวท้ ่ีระดบั 1 แลว้ เพิ่มลกั ษณะสาคญั ๆ สูงข้ึนมาที
ละระดบั เช่น การประเมินทกั ษะการเขียน ในองคป์ ระกอบดา้ น “เน้ือหา” สามารถกาหนดไดด้ งั น้ี

ระดบั ที่ 1 เน้ือหาที่เขียนสอดคลอ้ งกบั เน้ือเร่ือง
ระดบั ท่ี 2 เน้ือหาท่ีเขียนสอดคลอ้ งกบั เน้ือเร่ืองและลาดบั เรื่องไดไ้ ม่วกวน
ระดบั ที่ 3 เน้ือหาท่ีเขียนสอดคลอ้ งกบั เน้ือเร่ือง ลาดบั เร่ืองไดช้ ดั เจน สอดแทรกสาระ
บางอยา่ ง ทาใหเ้ รื่องน่าสนใจและอา่ นแลว้ เกิดจินตนาการ
เทคนิควธิ ีที่ 2 กาหนดตวั แปรยอ่ ยที่มีน้าหนกั เท่ากนั ทุกตวั แลว้ ระบุวา่ ตวั แปรหายไป
เท่าไร ระดบั คะแนนกล็ ดหลนั่ ตามลาดบั เช่น การประเมินการจดั ทารายงาน อาจมีประเด็นของรูปแบบ
ท่ีตอ้ งมี ปก คานา สารบญั การอา้ งอิง และบรรณานุกรม โดยอาจกาหนดเกณฑ์การประเมินในด้าน
“รูปแบบ” ของการเขียนรายงานไดด้ งั น้ี
ระดบั 4 มีครบคือ ปก คานา สารบญั การอา้ งอิง บรรณานุกรม
ระดบั 3 ขาด 1 ลกั ษณะ
ระดบั 2 ขาด 2 ลกั ษณะ
ระดบั 1 ขาด 3 ลกั ษณะ
เทคนิควธิ ีท่ี 3 การเขียนรายละเอียดในเชิงปริมาณ เช่น “การใชภ้ าษา”
ระดบั 1 ภาษาผดิ พลาดไมเ่ กิน 50 % แตย่ งั สื่อความหมายได้
ระดบั 2 ภาษาถูกตอ้ ง 50 – 70 % และสื่อความหมายได้
ระดบั 3 ภาษาถูกตอ้ ง 71 – 89 % เช่ือมโยงภาษาไดด้ ี
ระดบั 4 ภาษาถูกตอ้ ง 90 – 100 % ภาษาสละสลวย

85 ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจตั ุรสั 85

ข้นั ที่ 5 กำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่องมือวดั และประเมนิ ผลกำรเรียนรู้
5.1) กำรตรวจสอบคุณภำพรำยข้อ
คุณภาพรายขอ้ เป็ นการพิจารณาถึงความยาก และอานาจจาแนก ของเคร่ืองมือที่สร้างข้ึน เพื่อ
เป็นสารสนเทศในการนาไปปรับปรุงคุณภาพในข้นั ต่อไป
สำหรับแบบทดสอบปรนัยแบบหลำยตัวเลือก
แบบองิ กลุ่ม (Norm Referenced Test)
การวเิ คราะห์จะแยกกลุ่มผสู้ อบออกแบบกลุ่มสูงกบั กลุ่มต่าตามลาดบั คะแนนท่ีเรียงจากนอ้ ยไป
มาก แลว้ นาผลการตอบคาตอบถูกของแต่ละกลุ่มมาวิเคราะห์ สาหรับการแบ่งกลุ่มผูส้ อบออกเป็ นกลุ่ม
สูงและกลุ่มต่าน้ัน จะใช้จานวนเท่าใด ข้ึนอยู่กบั ผูว้ ิเคราะห์และขนาดของกลุ่มผูส้ อบ กรณีผูส้ อบมี
จานวนน้อยๆ อาจจะแบ่งคร่ึง 50% แต่ถ้ากลุ่มผูส้ อบมีจานวนมากข้ึน อาจจะแบ่งกลุ่มสูง กลุ่มต่า
ออกเป็น 33% หรือ 27% หรือ 25% ข้ึนอยกู่ บั จานวนของผสู้ อบวา่ มีขนาดมากเท่าใด

การคานวณความยากของขอ้ สอบ (p) p  R H _+__R L
NH + NL

อานาจจาแนกของขอ้ สอบ (r) r  R H  R L หรือ R H  R L
NH NL

เมื่อ RH จานวนผตู้ อบถูกในกลุ่มสูง RL จานวนผตู้ อบถูกในกลุ่มต่า
NH จานวนผตู้ อบท้งั หมดในกลุ่มสูง NL จานวนผตู้ อบท้งั หมดในกลุ่มต่า

เกณฑ์กำรพจิ ำรณำคุณภำพรำยข้อ ความหมาย
ภำพท่ี 3.6 เกณฑก์ ารพิจารณาคุณภาพรายขอ้ ง่ายมาก
ค่อนขา้ งง่าย
ค่าความยากของขอ้ สอบ ที่ใชไ้ ดอ้ ยรู่ ะหวา่ ง 0.2 ถึง 0.8 ยากง่ายปานกลาง
เกณฑพ์ จิ ารณา คอ่ นขา้ งยาก
0.80 – 1.00 ยากมาก
0.60 – 0.79
0.40 – 0.59 ความหมาย
0.20 – 0.39 ดีมาก
0 – 0.19 ดี
พอใชไ้ ด้
คา่ อานาจจาแนก ที่ใชไ้ ด้ ต้งั แต่ 0.2 ข้ึนไป ค่อนขา้ งต่า ควรปรบั ปรุง
เกณฑพ์ จิ ารณา ต่ามาก ควรปรับปรุง
0.60 – 1.00
0.40 – 0.59
0.20 – 0.39
0.10 – 0.19
0 – 0.09

86 วิธกี ารและเครื่องมือประเมินการเรียนรู้ของผเู้ รยี น 86

สาหรับตวั ลวงหรือตวั เลือกท่ีไม่ใช่คาตอบถูก มีเป้าหมายเพ่ือให้ผูเ้ รียนที่ไม่รู้จริง ไม่แม่นใน
เน้ือหาเลือกตอบ ตวั ลวงที่มีประสิทธิภาพในการลวงผูส้ อบ ใช้วิธีการคานวณเหมือนกบั ตวั เลือกถูก
เกณฑป์ ระสิทธิภาพตวั ลวงน้นั ควรมีค่าไม่ต่ากวา่ 0.05 จึงจะถือวา่ มีประสิทธิภาพในการลวงผสู้ อบไดด้ ี
ส่วนค่าอานาจจาแนกของตวั ลวงน้ัน มีความหมายว่า ตวั ลวงท่ีดีควรลวงกลุ่มอ่อนไปตอบ
มากกวา่ ลวงกลุ่มเก่ง ดงั น้นั สมการในการคานวณตวั ลวงจะแตกต่างจากตวั ถูก ดงั น้ี

rw  RL RH หรือ RL RH
NH NL

ตวั ลวงที่ดีควรมีคา่ อานาจจาแนกไมต่ ่ากวา่ 0.05

ภำพที่ 3.7 แสดงตวั อยา่ งการคานวณคา่ ความยากและอานาจจาแนกของขอ้ สอบ

กล่มุ ผลการตอบ (* ตวั ถกู )

กข ค* ง

กลุม่ สูง 3 2 15 0

กลมุ่ ต่า 12 3 3 2
คณุ ภำพข้อสอบ พจิ ารณาตวั ถกู คือ ขอ้ ค
ความยากของขอ้ สอบ = (15+3)/40 = 0.45 ขอ้ สอบมคี วามยากง่ายปานกลาง
อานากจาแนกของขอ้ สอบ = (15-3)/20 = 0.60 ขอ้ สอบมีอานาจจาแนกดีมาก

คณุ ภำพตวั ลวง พจิ ารณาจาก ขอ้ ก ข และ ง
ประสิทธิภาพตวั ลวง ก = (3+12)/40 = 0.65 ตวั ลวงมีประสิทธิภาพ
อานาจจาแนกตวั ลวง ก = (12-3)/20 = 0.45 อานาจจาแนกตวั ลวงใชไ้ ด้
ประสิทธิภาพตวั ลวง ข = (2+3)/40 = 0.12 ตวั ลวงมีประสิทธิภาพ
อานาจจาแนกตวั ลวง ข = (3-2)/20 = 0.05 อานาจจาแนกตวั ลวงใชไ้ ด้
ประสิทธิภาพตวั ลวง ง = (0+2)/40 = 0.05 ตวั ลวงมีประสิทธิภาพ
อานาจจาแนกตวั ลวง ง = (2-0)/20 = 0.10 อานาจจาแนกตวั ลวงใชไ้ ด้

แบบองิ เกณฑ์ (Criterion Referenced Test)
การวิเคราะห์ขอ้ สอบอิงเกณฑ์ไม่เนน้ หาค่าความยากของขอ้ สอบ ขอเพียงให้ผสู้ อบสามารถทา
ขอ้ สอบไดถ้ ึงเกณฑก์ ็เพยี งพอแลว้ ดงั น้นั การวเิ คราะห์ขอ้ สอบแบบอิงเกณฑจ์ ะเนน้ ท่ีคา่ อานาจจาแนก ท่ี
สามารถจาแนกผสู้ อบออกเป็นกลุ่มรอบรู้และไมร่ อบรู้ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
อานาจจาแนกของขอ้ สอบแบบอิงเกณฑ์ คือ ประสิทธิภาพของขอ้ สอบแต่ละขอ้ ที่สามารถ
จาแนกกลุ่มผูเ้ รียนออกเป็ นกลุ่มรอบรู้และไม่รอบรู้ วธิ ีการคานวณหาอานาจจาแนกมีอยหู่ ลายวธิ ี ดงั จะ
ไดน้ าเสนอตอ่ ไปน้ี

87 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จตภุ มู ิ เขตจัตุรัส 87

ดชั นี B ของเบรนนอน (Brennan)
เบรนนอน ไดพ้ ฒั นาสูตรอานาจจาแนก เรียกวา่ Discrimination Index B มีสูตรดงั น้ี

B H  L
NH NL

เม่ือ B คือ ดชั นีคา่ อานาจจาแนก
H คือ จานวนผเู้ รียนในกลุ่มรอบรู้ท่ีตอบขอ้ สอบขอ้ น้นั ถูก
L คือ จานวนผเู้ รียนในกลุ่มไม่รอบรู้ที่ตอบขอ้ สอบขอ้ น้นั ถูก
NH คือ จานวนผเู้ รียนในกลุ่มรอบรู้ท้งั หมด
NL คือ จานวนผเู้ รียนในกลุ่มไม่รอบรู้ท้งั หมด

การแบ่งผูเ้ รียนออกเป็ นกลุ่มรอบรู้และไม่รอบรู้ ให้ยึดคะแนนจุดตดั เป็ นหลกั และแน่นอนว่า
จานวนผเู้ รียนในกลุ่มรอบรู้และไม่รอบรู้อาจไม่เทา่ กนั ได้

ดัชนีควำมไว (Sensitivity Index) เป็ นการวิเคราะห์โดยใชค้ วามแตกต่างระหวา่ งการสอบก่อน
สอนและการสอบหลงั สอน

วธิ ีของคอกซ์ และวำกสั (Cox and Vargas) เป็ นการหาอานาจจาแนกโดยอาศยั การสอบก่อน
สอนและหลงั สอน โดยการคานวณหาความแตกต่างระหวา่ งสัดส่วนของผเู้ รียนท่ีตอบถูกก่อนสอนและ
ตอบถูกหลงั สอน

วธิ ีของป็ อปแฮม (Popham)
1) Pretest-Posttest Differences

Dppd  Ppost  Ppre

เม่ือ Dppd คือ ความแตกต่างของกลุ่มก่อนสอนและกลุ่มหลงั สอน
Ppost คือ สดั ส่วนของผตู้ อบถูกหลงั สอน
Ppre คือ สัดส่วนของผตู้ อบถูกก่อนสอน

2) Uninstructed versus instructed group differences

Duigd  Pi  Pu

เม่ือ Duigd คือ อานาจจาแนกของกลุ่มไดร้ ับการสอนกบั กลุ่มทีไ่ มไ่ ดร้ ับการสอน
Pi คือ สดั ส่วนการตอบถูกของผไู้ ดร้ ับการสอน
Pu คือ สัดส่วนการตอบถูกของผไู้ ม่ไดร้ ับการสอน

กำรแปลควำมหมำยค่ำอำนำจจำแนก
ค่าอานาจจาแนกแบบอิงเกณฑ์ จะมีค่าอยูร่ ะหวา่ ง -1.00 ถึง 1.00 เหมือนกบั ค่าอานาจจาแนกแบบ
อิงกลุ่ม และมีการแปลความหมายคลา้ ยคลึงกนั ดงั น้ี

88 วธิ กี ารและเครือ่ งมอื ประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน 88

ค่ำอำนำจจำแนก กำรแปลควำมหมำย
1.00 จาแนกผรู้ อบรู้และไม่รู้ไดถ้ ูกตอ้ งทุกคน
0.50 - 0.99 จาแนกผรู้ อบรู้และไมร่ ู้ไดถ้ ูกตอ้ งเป็ นส่วนใหญ่
0.20 - 0.49 จาแนกผรู้ อบรู้และไมร่ ู้ไดถ้ ูกตอ้ งบางส่วน
0.00 - 0.19 จาแนกผรู้ อบรู้และไมร่ ู้ไดถ้ ูกตอ้ งนอ้ ยมากหรือไมจ่ าแนก

ค่าอานาจจาแนกท่ีติดลบ แสดงว่า ขอ้ สอบจาแนกผูร้ อบรู้และไม่รอบรู้ไดใ้ นทางกลบั กนั อาจ
หมายถึง ขอ้ สอบง่ายหรือยากเกินไป ผเู้ รียนรู้มาแลว้ หรือผสู้ อนสอนไม่ตรงตามจุดประสงคท์ ี่ต้งั ไว้ หรือ
ขอ้ สอบไม่ชดั เจน พิมพผ์ ดิ เฉลยผดิ ตรวจผดิ เป็นตน้

เกณฑข์ องคา่ อานาจจาแนกท่ียอมรับวา่ ขอ้ สอบน้นั มีคุณภาพสามารถจาแนกไดก้ ็คือ 0.20 ข้ึนไป

แบบทดสอบแบบอตั นัย
การวเิ คราะห์ขอ้ สอบอตั นยั ยงั คงใชค้ ่าความยากและอานาจจาแนกเหมือนกบั แบบทดสอบหลาย
ตวั เลือกในกรณีแบบอิงกลุ่ม แต่มีสมการในการคานวณค่าความยากและอานาจจาแนก ดงั น้ี

ความยากของขอ้ สอบ p  S H  S L  (2NX min )
2N ( X max  X min )

อานาจจาแนกของขอ้ สอบ r  SH  SL

N ( X max  X min )

เม่ือ SH แทน ผลรวมของคะแนนในกลุ่มสูง
SL แทน ผลรวมของคะแนนในกลุ่มต่า
N แทน จานวนผสู้ อบในกลุ่มเก่งหรือกลุ่มอ่อน
Xmax แทน คะแนนสูงสุดในขอ้ น้นั
Xmin แทน คะแนนต่าสุดในขอ้ น้นั

ตวั อย่ำงคำนวณ
แบบทดสอบอตั นยั จานวน 5 ขอ้ นาคะแนนรวมมาแบ่งเป็ นกลุ่มสูงและกลุ่มต่า กลุ่มละ 27% ได้
กลุ่มละ 10 คน โดย 10 คนแรกคือกลุ่มสูง และ 10 คนถัดมาคือ กลุ่มต่า มีผลคะแนนและผลการ
วเิ คราะห์ขอ้ สอบ ดงั ตารางท่ี 3.10

89 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จตุภมู ิ เขตจัตุรัส 89

ตำรำงที่ 3.10 ผลการสอบแบบทดสอบอตั นยั 5 ขอ้ ของผูส้ อบกลุ่มสูงและกลุ่มต่า
ลำดบั ท่ี ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อท่ี 4 ข้อท่ี 5 คะแนนรวม

1 22 10 39 23 39 133
147
2 33 10 42 20 42 150
156
3 44 13 37 23 33 134
113
4 33 18 36 25 44 133
132
5 23 10 40 41 20 104
115
6 22 4 23 42 22 55
63
7 33 14 24 39 23 52
33
8 22 13 30 37 30 38
57
9 23 8 19 27 27 43
24
10 30 10 23 29 23 42
53
11 28 10 3 11 3
2137.02
12 23 8 12 17 3 88.85

13 13 11 17 2 9

14 14 3 4 9 3

15 14 12 3 6 3

16 12 15 6 16 8

17 12 13 14 0 4

18 8 0 4 8 4

19 16 2 7 15 2

20 8 3 9 23 10

ความแปรปรวน 93.92 22.87 189.83 161.29 210.67

คะแนนเฉล่ีย 21.65 9.35 19.60 20.65 17.60

ผลรวมกลุ่มสูง 285 110 313 306 303

ผลรวมกล่มุ ต่า 148 77 79 107 49

คะแนนสูงสุด 44 18 42 42 44

คะแนนต่าสุด 8 0 3 0 2

ความยาก (p) 0.38 0.52 0.43 0.49 0.37

อานาจจาแนก(r) 0.38 0.18 0.60 0.47 0.60


Click to View FlipBook Version