The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

MSE2816 หลักการบรรเลงกลองชุด (ฉบับไม่ใส่แผนบริหารการสอน)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Music Edu. RERU., 2023-10-21 10:43:41

MSE2816 หลักการบรรเลงกลองชุด

MSE2816 หลักการบรรเลงกลองชุด (ฉบับไม่ใส่แผนบริหารการสอน)

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หลักการบรรเลงกลองชุด อำนาจ ถามะพันธ์ ศป.ม. (ดุริยางคศิลป์) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด 2565


คำนำ เอกสารประกอบการสอนวิชา MSE2816 หลักการบรรเลงกลองชุด (Principles of Performing Drum set) เล่มนี้ ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนสำหรับนักศึกษาที่สนใจเลือก เรียนรายวิชาเลือกเสรี หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีศึกษา (หลักสูตรปรับปรุง 2562) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด กลุ่มรายวิชาเอกเลือกเสรี โดยมีคำอธิบายรายวิชา ดังนี้ “ภูมิหลังของเครื่องดนตรี หลักการบรรเลงโดยทั่วไป หลักการอ่านและบันทึกโน้ตของเครื่องดนตรี ลักษณะทางกายภาพเครื่องดนตรี การดูแลรักษาเครื่องดนตรี ท่าทางในการบรรเลง เทคนิคเฉพาะของ เครื่องดนตรี บทเพลงปฏิบัติพื้นฐานโดยทั่วไป” รายวิชาดังกล่าวนี้ มีจุดมุ่งหมายสำคัญให้นักศึกษามี เข้าใจในหลักการบรรเลงกลองชุดที่ใช้กระบวนการด้านปฏิบัติเป็นสื่อ โดยผู้สอนได้กำหนดขอบเขต เนื้อหาของวิชาดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 7 บท ได้แก่องค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกลองชุด ทฤษฎีดนตรีสากล เกี่ยวกับการบรรเลงกลองชุด พื้นฐานการปฏิบัติกลองชุด พื้นฐานการปฏิบัติกลองชุด การฝึกปฏิบัติรูดิ เมนท์ (Rudiments) ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน (Rock) และปฏิบัติ จังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐาน ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า MSE2816 หลักการบรรเลงกลองชุด (Principles of Performing Drum set) เล่มนี้จะช่วยให้การเรียนการสอนในรายวิชากลุ่มวิชาเอกเลือกปฏิบัติให้มีความสมบูรณ์ เพิ่มมากขึ้น และช่วยเผยแพร่ส่งเสริมความรู้ด้านการบรรเลงกลองชุดให้แก่ผู้สนใจ หากมีข้อบกพร่อง ผิดพลาดประการใดที่เกิดขึ้นจากเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ และจะนำข้อผิดพลาดไปปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไป อำนาจ ถามะพันธ์ พฤศจิกายน 2565


ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญภาพ จ แผนการสอนประจำรายวิชา ช แผนการสอนประจำบทที่ 1 บทที่ 1 องค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกลองชุด ประวัติกลองชุด เทคนิคการเลือกกลองชุด ส่วนประกอบกลองชุด การดูแลรักษาและการตั้งเสียงกลองชุดเบื้องต้น สรุป คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง 1 3 3 6 10 24 26 26 27 แผนการสอนประจำบทที่ 2 บทที่ 2 ทฤษฎีดนตรีสากลเกี่ยวกับการบรรเลงกลองชุด การบันทึกโน้ตสากลเบื้องต้น จังหวะ ประเภทของดนตรี คุณสมบัติการเป็นมือกลอง สรุป คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง 28 30 30 36 42 45 46 46 49 แผนการสอนประจำบทที่ 3 บทที่ 3 พื้นฐานการปฏิบัติกลองชุด พื้นฐานการจับไม้กลอง พื้นฐานการปฏิบัติ Snare Drum พื้นฐานการปฏิบัติBass Drum พื้นฐานการปฏิบัติ Hi - Hat สรุป 48 50 52 56 59 62 62


ค สารบัญ (ต่อ) คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง หน้า 62 62 แผนการสอนประจำบทที่ 4 บทที่ 4 การฝึกปฏิบัติโน้ตกลองขั้นพื้นฐาน การฝึกปฏิบัติโน้ตกลองในอัตราส่วนโน้ตตัวดำ การฝึกปฏิบัติโน้ตกลองในอัตราส่วนโน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น การฝึกปฏิบัติโน้ตกลองในอัตราส่วนโน้ตตัวเขบ็ตสองชั้น การฝึกปฏิบัติโน้ตกลองในอัตราส่วนโน้ตสามพยางค์ สรุป คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง 63 65 65 67 68 70 71 72 72 แผนการสอนประจำบทที่ 5 บทที่ 5 การฝึกปฏิบัติรูดิเมนท์ (Rudiments) ส่วนประกอบสำคัญของการฝึกปฏิบัติรูดิเมนท์ การฝึกปฏิบัติรูดิเมนท์ (Daily Rudiment workout) ซิงเกิลสโตรคโรล (Single Stroke Rolls) ดับเบิลสโตรคโรล (Double Stroke Rolls) ดิดเดิล (Diddle) แฟลม (Flams) แฟลมแอ็คเซนต (Flam Accent) และแดรก (Drag) สรุป คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง 74 76 76 76 77 83 88 97 102 102 102 แผนการสอนประจำบทที่ 6 บทที่ 6 ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน (Rock) ประวัติแนวดนตรีร็อก ปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีร็อก ปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อก ปฏิบัติบทเพลงกลองชุดแนวดนตรีร็อก สรุป 104 106 106 107 109 111 114


ง สารบัญ (ต่อ) คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง หน้า 114 115 แผนการสอนประจำบทที่ 7 บทที่ 7 ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐาน (Blues & Shuffles) ประวัติแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล ปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล ปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล ปฏิบัติบทเพลงกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล สรุป คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิง 116 118 118 119 121 123 126 126 127


จ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1. 1. กลองชุด 3 2. 2. กลองชุดแบบมาตรฐาน 7 3. 3. กลองชุดสไตล์ฟิวชั่น 8 4. 4. กลองชุดสไตล์ร็อค 8 5. 5. กลองชุดสไตส์ป๊อป/แจ๊ส 9 6. 6. สแนร์กลองชุด 10 7. 7. ชั้นเนื้อไม้กลองชุด 7 ชั้น 11 8. 8. bearing edge 11 9. 9. Reinforcement 12 10. ลักษณะไม้กลองต่าง ๆ 13 11. ลักษณะ ชื่อตำแหน่งในไม้กลอง 14 12. ชนิด ขนาด เบอร์ไม้ 15 13. รูปร่างของหัวของไม้กลองชุด 16 14. หัวสามเหลี่ยม 1 (The triangular head) 16 15. หัวไม้ลักษณะสามเหลี่ยมมีพื้นที่สัมผัส 16 16. หัวกลม (The round head) 17 17. หัววงรี (The oval head) 17 18. ไม้กลองชุดขนาด 2B 58 5A และ 7A 18 19. ไม้แส้ 18 20. 21. 22. ไม้แท่ง Rutes กระเดื่อง (Pedal) (CYMBALS) UFIP CYMBALS 19 20 20 23. ฉาบ Crash UFIP 18 21 24. ฉาบ Ride UFIP 20 Medium Ride 21 25. ฉาบ Hi - Hat 2 ใบประกบกัน UFIP 14 21 26. ฉาบ Splash Ufip 12" 22 27. ฉาบ China UFIP 16" FX Fast China 22 28. ขาตั้งชนิดต่าง ๆ (Hardware) 22


ฉ ภาพที่ หน้า 29. ขาตั้งฉาบแบU Straight Stands 23 30. ขาตั้งฉาบแบบ Boom Stands 23 31. ขาตั้งไฮแฮท แบบ Double - Braced Leg 24 32. ขาตั้งสแนร์แบบ Double - Braced Leg 24 33. รูปแบบหลักขึงกลองชุด 25 34. กุญแจกลอง (Drum key) 26 35. บรรทัดห้าเส้น 30 36. โน้ตในบรรทัดห้าเส้น 31 37. เส้นน้อย 31 38. เส้นกั้นห้อง 31 39. กุญแจเสียง 32 40. โน้ตในกุญแจซอล 32 41. โน้ตในกุญแจฟา 32 42. กุญแจโดในบรรทัดห้าเส้น 33 48. โน้ตเอ็นฮาร์โมนิค (Enharmonic) 35 49. การเรียกชื่อโน้ต 36 50. ลักษณะของตัวโน้ต และตัวหยุด (Note and Rest) 37 51. การเปรียบเทียบค่าของตัวโน้ต 38 52. การโยงเสียง (Tie note) 39 53. โน้ตประจุด (Dot note) 39 54. การเปรียบเทียบกลุ่มโน้ต 3 พยางค์ (Triplets) 40 55. เส้นกั้นห้องคู่ (Double bar) 41 56. เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) 41 57. ดนตรีคลาสสิก 43 58. ดนตรีแจ๊ส 44 59. ดนตรีร็อค 44 60. ดนตรีโฟล์คซองของอเมริกา 45 61. การจับไม้กลองชุดทั้ง 2 รูปแบบ 50 62. ตำแหน่งการจับไม้กลองแบบ Matched Grip 51 63. การจับไม้กลองแบบ Matched grip ทั้ง 2 มือ 51


ช ภาพที่ หน้า 64. ลักษณะการจับไม้กลองแบบ Traditional Grip 52 65. Snare Drum 52 66. ลักษณะการปฏิบัติ Snare Drum 53 67. การปฏิบัติในรูปแบบ Full Stroke 54 72. การเหยียบกระเดื่องทั้ง 2 รูปแบบ 57 73. การเหยียบกระเดื่องแบบยกส้นเท้า (Heel Up) 58 74. การเหยียบกระเดื่องแบบวางเท้าราบ (Heel Down) 58 75. ขาตั้งและฉาบ Hi - Hat 59 76 การปฏิบัติ Hi - Hat โดยใช้ไหล่ไม้ในการตี 60 77. การปฏิบัติ Hi - Hat โดยใช้หัวไม้ในการตี 60 78. การจับไม้กลองของเทคนิคนี้ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้ง 78 79. การวางไม้กลองทำมุม 45 องศาลงบนกลองสแนร์ 79 80. การปล่อยให้ไม้กลองเด้งแบบธรรมชาติกลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น 79 81. 82. 83. 84. 85. 86. การจับไม้กลองด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งโดยกนิ้วทั้งสองแบบหลวม ๆ ไม่แน่น จนเกินไป การวางไม้กลองทำมุม 45 องศาลงบนกลองสแนร์ การปล่อยให้ไม้กลองเด้งแบบธรรมชาติกลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น ปฏิบัติในรูปแบบ T - Tap Stroke ปฏิบัติในรูปแบบ F - Full Stroke ปฏิบัติที่พร้อม ๆ กันด้วยมือทั้งสองข้างซึ่งเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย 84 85 85 98 98 98


3 บทที่ 1 องค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกลองชุด กลองชุด ความเป็นมาของกลองชุด ที่เรารู้จักเรียกกันว่า American Drum Set ก่อนมาเป็น กลองชุด ที่เราได้เห็นอยู่ในยุคปัจจุบัน เรียกอีกชื่อว่า Standard Drum Set ซึ่งการทำความเข้าใจใน องค์ประกอบต่าง ๆ ของกลองชุดและการเรียนรู้หลักการตั้งเสียงกลองชุดจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการการ เลือกซื้อกลองชุดรวมไปถึง การเลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับตัวผู้เรียน ย่อมเป็นผลดีต่อตัว ผู้เรียนในอนาคตอีกด้วย ภาพที่ 1.1 กลองชุด ที่มา: http://drumset.premier - percussion.com 1.1 ประวัติกลองชุด กลองจัดเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในจำพวกเครื่องดนตรีทั้งหมด กลองเป็นเครื่องดนตรีชิ้น แรก ๆ ถูกที่สร้างขึ้นมาก่อนเครื่องดนตรีที่เป็นทำนองหลัก เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มของเพอร์ คัสชั่นหรือกลุ่มเครื่องกระทบ โดยใช้บรรเลงเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาหรือพิธีกรรมความเชื่ออื่น ๆ ของแต่ละชนชาติ หรือใช้เพื่อเป็นสัญญาณในการออกรบตามการศึกสงคราม เป็นต้น ทศ พนมขวัญ (2557) สมัยโบราณประเทศแรกที่ใช้กลองมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคือประเทศจีน ส่วนชาวแอฟ ริกันใช้วิธีขุดดินให้เป็นหลุมลึก แล้วเอาหนังสัตว์มาขึงให้ตึงเพื่อใช้ในพิธีกรรมและให้จังหวะในการเต้น หรือเพื่อเป็นการให้สัญญาณบอกเหตุด้วยเช่นกัน


4 ส่วนฉาบ ประเทศที่เริ่มผลิตฉาบอาจเป็นประเทศจีนเช่นกัน ต่อมาจีนได้เปิดเส้นทางสายไหม หรือ Silk Road มีการทำการค้ากับประเทศต่าง ๆ จนสุดเส้นทางสายไหมที่ประเทศตุรกี โดยตุรกีได้มี การเริ่มสร้างฉาบขึ้นมาแต่หลังประเทศจีนพอสมควรส่วนยุคที่สองคือชวงล่าอาณานิคม ทหารในทวีป ยุโรปเริ่มมีการใช้กลองในการนำหน้าขบวนทหารกันมาหลายร้อยปีแล้ว กลองชุดมีต้นกำเนิดมาจาก Vaudeville ในเมืองนิวออร์ลีนส์ โดยเมืองนี้มีคนกลุ่มใหญ่อยู่ 3 สัญชาติ คือ แอฟริกัน ยุโรป และละตินอเมริกัน ส่วนชนชาติอื่นรวมถึงคนจีนอพยพมีอยู่ประปราย ประเพณีของชาวนิวออร์ลีนส์ เมื่อมีคนเสียชีวิตจะมีวงดนตรีบรรเลงส่งศพไปถึงป่าช้าโดยประกอบไป ด้วยผู้บรรเลงทรัมเป็ต แซ็กโซโฟน ทรอมโบน สแนร์ดรัม เบสดรัม และฉาบ มาถึงยุคปลายศตวรรษที่ 18 เข้าศตวรรษที่ 19 เริ่มมีคนนำกลองจากหลาย ๆ แหล่งมารวมเข้าไว้ด้วยกัน คือ เบสดรัมและสแนร์ ที่มา: จากยุโรป ฉาบที่มา: จากตุรกีและจีน ส่วนทอมหรือฟลอร์ทอม ในยุคแรกใช้กลองจีนของชาวจีน อพยพนำมาด้วยโดยวางกับขาตั้ง ส่วนกระเดื่องกลอง หรือ Bass Drum Pedal นั้น ในยุคแรกจะเรียก กันว่า Kickdrum เพราะยังต้องใช้ปลายรองเท้าจิกไปที่หนัง กลอง โดยเริ่มมีการคิดค้นและออกแบบ กระเดื่องกลองครั้งแรกประมาณปลายศตวรรษที่ 18 เช่นกัน บริษัทที่สร้างกลองชุดออกมาเป็นธุรกิจจริงจังเริ่มต้นที่บริษัท Ludwig & Ludwig Co. ซึ่งได้ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1909 และเป็นบริษัทแรกที่ประดิษฐ์กระเดื่องกลองสำหรับใช้กับกลองชุดเป็นบริษัท แรกและตามมาด้วย บริษัทอย่าง Leedy Drum, Slingerland โดยบริษัท Ludwig ได้มีการผลิตสแนร์ ดรัมที่เป็นตำนานอย่าง Ludwig Black Beauty Snare Drum, Gretsch anu Slingerland lawan Snare Radio King Solid Maple Shell และบริษัท Leedy Drum ได้คิดค้นหนังกลองในแบบ Floating Drum Head ขึ้นมา ซึ่งก็เป็นต้นแบบของหนังกลองชุดในยุคปัจจุบัน โดยในช่วงยุคแรกหนัง กลองจะผลิตมาจากหนังสัตว์เท่านั้น ก่อนจะมาเป็นหนังที่ผลิตจากพลาสติกไมล่า ที่ใช้ในยุคปัจจุบัน บริษัท Gretsch จึงได้คิดค้นระบบการปรับหนังกลองขึ้นใหม่ เป็นแบบปรับแรงดึง 3 ทิศทางของหนัง (Three Way Tensioning System) ที่ใช้ในกลองสแนร์ Gladstone ในยุค แรก ๆ หลังยุคสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขนาดของกลองชุดถูกกำหนดให้มีมาตรฐานขึ้น ส่วนขาไฮแฮทนั้นมีการสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1926 โดยประมาณ ความเป็นมาครั้งแรกของไฮแฮทในกลองชุดคือ ในปี ค.ศ. 1918 Baby Dodds (Warren “baby” Dodds Circa ช่วง ค.ศ. 1898 - 1959) ซึ่งเป็นมือกลองของวง Louis Armstrong ได้ลอง โมดิฟายด์อุปกรณ์เครื่องดนตรีของทหารมาใช้และเอาฉาบใบใหญ่มาใช้ตีคุมจังหวะ จึงเป็นที่มา: ของ ฉาบไรด์ (Ride Cymbal) ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เวลาต่อมาบริษัท Ludwig ได้ออกแบบขาไฮแฮทรุ่น แรกมาให้ Dodds ได้ทดลองใช้ เพราะขณะที่เขาตีจังหวะสวิงอยู่นั้นเท้าซ้ายของเขาเหยียบเคาะพื้นไว้ ตลอดเวลา ในที่สุดจากนั้นจึงพัฒนามาเป็นไฮแฮทใน ยุคปัจจุบันโดยได้มีการบันทึกไว้ว่า (Warren “baby” Dodds) เป็นมือกลองแจ๊สคนแรกของโลกที่ใช้เทคนิค Triplet ในการสร้างจังหวะสวิงและเป็น


5 คนแรก ๆ ที่นำฉาบไชน่ามาใช้กับวงดนตรีแจ๊ส ในยุคบุกเบิก Ginger : Baker นั้นได้รับการบันทึกไว้ว่า เป็นมือกลองร็อคคนแรกที่นำเบสดรัม 2 ใบ มาใช้กับดนตรีร็อค ส่วน Louie Ellson ได้รับการบันทีกไว้ ว่าเป็นมือกลองแจ๊สคนแรกที่นําเบสดรัม 2 ใบ มาใช้กับดนตรีแจ๊ส สมศักดิ์ สร้อยระย้า (2538) กลองชุดเป็นชื่อเรียกในภาษาไทยมีความหมายถึงกลองหลายใบ มารวมกัน ภาษาอังกฤษใช้ Team Drum หรือ Jazz Drum คำว่า แจ๊ส หมายถึงดนตรีแจ๊สซึ่งใช้กลอง ชุดร่วมบรรเลงจึงเรียกว่า Jazz Drum และยังมีชื่อเรียกกลองชุดเป็นภาษาอังกฤษว่า Dance Drumming หมายถึง กลองชุดใช้บรรเลงจังหวะเต้นรำ โดยกลองจัดเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดใน จำพวกเครื่องดนตรีทั้งหมด ในอดีตมนุษย์ซึ่งหนังสัตว์บนรูกลวงของท่อนไม้และตีหนังสัตว์ด้วยนิ้วและมือ จากการศึกษา ประวัติศาสตร์พบว่าคนบรรเลงกลองพื้นเมืองจะบรรเลงกลองเป็นจังหวะสำหรับการเต้นระหว่างเผ่าแต่ ปัจจุบันพบว่าการบรรเลงกลองชุดจะเด่นที่สุดในส่วนของนักดนตรีสำหรับการเต้นรำคนบรรเลงกลอง พยายาม ปรับปรุงวิธีการบรรเลงโดยบรรเลงตามจังหวะที่ได้ยินแล้วนำมาปรับปรุงโดยการคิดค้นระบบ ใหม่ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นระบบที่ได้ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกโดยการบันทึกอัตราส่วนของจังหวะกลองในบท เพลงในการบันทึกบทเพลง นั้นประกอบไปด้วยทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ ทำให้ดนตรีมี การประสานเสียงกลมกลืนและเพิ่มความไพเราะมากยิ่งขึ้น การริเริ่มการพัฒนากลองชุดเป็นครั้งแรก การพัฒนาจังหวะโดยเริ่มจากบทเพลงจังหวะวอลซ์ โดยในระหว่างปี ค.ศ. 1890 - 1910 นักบรรเลง กลองชุดเริ่มแยกออกจากแบบดั้งเดิม โดยพยายามที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกที่เป็นอิสระของดนตรี แทนแบบเดิม ๆ ซึ่งได้มีการแสดงความก้าวหน้าของนักตีกลองชุดคือมีการเติมความสนุกสนานลงในช่วง ปลายเพลงหรือต้นประโยคเพลง แล้วจึงบรรเลงตามเพลงที่กำหนด ซึ่งเป็นเพียงการบรรเลงให้ถูกต้อง ตามจังหวะบทเพลงเท่านั้น สร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจภายในโดยตรงของนักตีกลองชุด ระหว่างปี ค.ศ. 1910 - 1920 จังหวะแร็กไทม์ได้รับความนิยมเพราะเป็นจังหวะใหม่และน่า ตื่นเต้น ลักษณะจังหวะแร็กไทม์เป็นจังหวะเร็วและรวบรัด ชวนให้เต้นรำสนุกสนานเป็นที่ชื่นชอบของ ชนผิวดำ แต่นักกลองส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าปฏิเสธของใหม่ โดยตระหนักถึงรูปแบบจังหวะของ ดนตรีอิสระและเรียก กลุ่มนักบรรเลงกลองชุดจังหวะแร็กไทม์ว่าเป็นของปลอม เพราะบรรดานัก บรรเลงกลองชุดรุ่นใหม่บรรเลงโดยใช้ความจำและบรรเลงอย่างอิสระโดยไม่ใช้โน้ตเพลง ถึงแม้ว่าจะเป็น การบรรเลงโดยปราศจากตัวโน้ต แต่ผู้บรรเลงสามารถอ่านและเข้าใจอารมณ์ของดนตรีได้เป็นอย่างดี ที่ สำคัญคือสามารถบรรเลงได้อย่างดีเยี่ยม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ปี ค.ศ. 1920 ดนตรีแจ๊สเริ่มได้รับ ความนิยมอย่างช้า ๆ บรรดานักบรรเลงกลองชุดรุ่น เก่าที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงการบรรเลงจำต้องยอม พ่ายแพ้แก่นักบรรเลงกลองชุดรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียง จังหวะการบรรเลงค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงบ้าง เล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและรสนิยมของผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตามนักบรรเลงกลอง ควรต้องทราบเกี่ยวกับการรัว การทำเสียงให้สั่นสะเทือนและความรู้เกี่ยวกับหนัง กลองหรือแผ่น


6 พลาสติกที่จะทำให้กลองขึงตึงพอดีไม่หย่อนหรือตึงจนเกินไป นักบรรเลงกลองที่ดีและเก่งที่มีความรู้ รอบตัวมักหางานได้ง่าย แต่ผู้ที่มีความรู้อย่างดีเรื่องเครื่องเคาะตีทั้งหมดจึงสามารถได้งานที่ดีกว่า ต่อมาในปี ค.ศ. 1928 - 1935 เป็นยุคของซิมโพนิค - แจ๊ส จังหวะของดนตรีมีทั้งจังหวะเร็ว แล้วช้า การ บรรเลงจังหวะช้าเริ่มมีการใช้แปรงลวดหรือภาษาของมือกลองเรียกว่า “แส้” นักบรรเลง กลองต้องเรียนรู้เกี่ยวกับแปรงลวดวิธีการใช้และวิธีการบรรเลงและนักบรรเลงกลองต้องเป็นผู้ที่ตั้ง จังหวะในบทเพลง พร้อมทั้งยึดจังหวะให้มั่นคง เครื่องดนตรีอื่น ๆ ปฏิบัติตามจังหวะกลองชุด ปี ค.ศ. 1935 จังหวะแบบใหม่ที่มีชื่อว่า สวิง เริ่มแพร่หลายช่วงตอนต้นของปี บทเพลงทุกเพลงต้องมีกลองชุด เข้าร่วมบรรเลงด้วยเสมอ นับเป็นครั้งแรกที่นักบรรเลงกลองชุดเข้าถึงจุดสุดยอดซึ่งมีความสำคัญมาก จัดอยู่ในระดับสูงสุดเพราะไม่มีงานไหนจะสมบูรณ์แบบ ถ้าขาดกลองชุดและการบรรเลงเดี่ยว ถึงขนาด นักบรรเลงกลองชุดที่เก่ง ๆ มีชื่อเสียงได้นำชื่อของตนเองมาตั้งเป็นชื่อของวงดนตรี ในยุคนี้จึงถือว่าเป็น ยุคของนักบรรเลงกลองชุดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ดนตรีเป็นสิ่งหนึ่งที่มีส่วนช่วยในกิจกรรมครั้งนี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง รสนิยม ของคนทั่วไปเริ่มเปลี่ยนแปลง ดนตรีแบบคอมโบ เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นักบรรเลงกลอง ชุดหน่ายจากการบรรเลงจังหวะเก่า ๆ มีการริเริ่มจังหวะใหม่ ๆ โดยใช้กลองใหญ่ช่วยเน้นจังหวะ เรียกว่า บ่อพ เริ่มเบื่อ (Bop) หลังจากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ยุคของการบรรเลงอย่างอิสระและเสรี ผสมผสาน กับรูปแบบของจังหวะใหม่ล่าสุดที่เรียกว่าเทคนิคการบรรเลงด้วยนิ้วมือ (Finger Drumming Techniques) คือการบรรเลงที่ใช้เทคนิคที่ ใช้นิ้วมือทั้ง 2 ข้างโดยใช้ไม้ตีกลองตีฉาบด้านมือขวา ซึ่งเป็น การรักษาจังหวะให้มั่นคงและแน่นอน แล้วเปลี่ยนมือขวามาตีไฮแฮทซึ่งอยู่ด้านซ้ายมืออย่างต่อเนื่อง เท้าขวาเหยียบกระเดื่องกลองใหญ่ เน้นเสียงหนักแน่นมั่นคง มือซ้ายตีกลองเล็กและฉาบอย่างอิสระโดย การเน้นเสียง เช่น การตีเน้นเสียงที่ริมขอบกลาง หรือการตีหนัก ๆ ที่กลางกลอง เทคนิคการบรรเลง กลองชุดเหล่านี้ เพื่อให้สอดคล้องกับทำนองของบทเพลง ผู้ที่บรรเลงและมีเทคนิคการบรรเลงด้วยนิ้วมือ ได้ดีคือ โจ โจนส์ เขาใช้มือขวาตีที่หัวฉาบ มือซ้ายที่ขอบฉาบอย่างชำนาญและเชี่ยวชาญ จากประวัติที่ได้ศึกษาทำให้รู้และเข้าใจมากขึ้นก่อนการเริ่มต้นเรียนรู้หรือก่อนการเริ่มต้นปฏิบัติ จริง การที่ผู้เรียนได้ซึมซับประวัติศาสตร์ก่อนเรียนสามารถทำให้ผู้เรียนได้เข้าถึงกลองชุดมากยิ่งขึ้น อีก ทั้งยังเริ่มทำความเข้าใจและเรียนรู้ถึงการเลือกซื้อกลองชุด รวมไปถึงการเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อทำ ให้ผู้เรียนได้กลองชุดที่ตรงตามงบประมาณและความต้องการมากที่สุด 1.2 เทคนิคการเลือกกลองชุด กลองชุดที่ดีที่สุดสำหรับผู้เรียนคือกลองชุดที่มีความเหมาะสมกับผู้เรียนมากที่สุด ซึ่งขึ้นอยู่กับ ความชอบส่วนบุคคล และวิธีที่สามารถทำให้รู้ว่ากลองชุดแบบไหนที่ผู้เรียนเหมาะสม คือการฝึกปฏิบัติ และลองบรรเลง รวมไปถึงการตั้งค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ การเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ ที่สำคัญของกลองชุด


7 นอกจากนี้การเรียนรู้ให้ทราบถึงความแตกต่างระหว่างกลองอะคูสติกและกลองอิเล็กทรอนิกส์หรือ กลองไฟฟ้าเป็นตัวช่วยให้ ผู้เรียนสามารถเลือกกลองชุดที่ดีที่สุดสำหรับงบประมาณและความต้องการ ของผู้เรียนได้ การกำหนดขนาดและลักษณะของกลองชุด กลองชุดพื้นฐานมักเหมาะสำหรับมือกลองผู้ เริ่มต้นและ มีราคาไม่แพงมากนัก การกำหนดขนาดและลักษณะของกลองมักเรียกชื่อตามสไตล์ของ เพลงที่เหมาะสมที่สุด แต่กลองที่ดีต้องมีความหลากหลายเพียงพอที่สามารถบรรเลงได้หลากหลายสไตล์ ที่แตกต่างกันอย่างมากมาย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีการผลิตกลองชุดในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ยกตัวอย่างได้ ดังต่อไปนี้ กลองชุดแบบมาตรฐาน (Standard) ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลอง 5 ใบ ได้แก่ Snare Drum, Tom 1, Tom 2, Floor Tom และ Bass Drum ในกลองชุดแบบมาตรฐาน (Standard) กลอง ทอมมีขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลางและความลึกที่มา: กกว่ากลองชุดสไตล์ฟิวชั่น (Fusion) เล็กน้อย กลอง ชุดแบบมาตรฐานนี้ เหมาะสมและมักใช้กับมือกลองเริ่มต้นเพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับมือใหม่ ที่ต้องการฝึกเล่นและเรียนรู้ กลองชุด ภาพที่ 1.2 กลองชุดแบบมาตรฐาน ที่มา: www.guitarcenter.com


8 กลองชุดสไตล์ฟิวชั่น (Fusion) ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลอง 5 - 6 ใบ ได้แก่ Snare Drum, Torn 1, Tom 2, Floor Tom (1 ห รือ 2 ใบ ) และ Bass Drum - กลอ งชุด สไต ล์นี้ มี องค์ประกอบที่คล้ายกับกลองชุด แบบมาตรฐาน (Standard) แตกต่างกันที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง และความลึกของกลองทอมสโตลินี น้อยกว่า แบบมาตรฐาน เหมาะสมและมักใช้กับแนวดนตรีประเภท Funk, Pop, Hip - hop, R&B และ Rock เป็นต้น ภาพที่ 1.3 กลองชุดสไตล์ฟิวชั่น ที่มา: www.guitarcenter.com กลองชุดสไตล์ร๊อค (Rock) ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกลอง 4 ใบ ได้แก่ Snare Drum, Tom 2, Floor Tom และ Bass Drum กลองชุดสไตล์นี้มักมีกลองทอมขนาดที่ใหญ่กว่ากลองชุดแบบมาตรฐาน (Standard) ทำให้เสียงที่เกิดขึ้นเหมาะสมกับเพลงร็อค อีกทั้งยังคงสามารถปรับได้ตามความต้องการ เพื่อให้เข้ากับเพลงประเภทอื่นได้อีกด้วย ภาพที่ 1.4 กลองชุดสไตล์ร็อค ที่มา: www.newcastledrum.co.uk


9 กลองชุดสไตล์ป๊อป/แจ๊ส (Pop/Jazz) นิยมเรียกกลองสไตล์นี้ว่า ชุดป๊อปหรือชุดแจ๊ส ประกอบไป ด้วยกลอง 4 ใบ ได้แก่ Snare Drum, Tom 2, Floor Tom และ Bass Drum โดยมักมี ขนาดที่เล็กและให้โทน เสียงที่สูงกว่าปกติ ภาพที่ 1.5 กลองชุดสไตส์ป๊อป/แจ๊ส ที่มา: www.guitarcenter.com จากตัวอย่างการเช็ตกลองชุดสไตล์ต่าง ๆ โดยอ้างอิงจากจำนวนกลองความลึก และขนาดของ เส้นผ่านศูนย์กลางที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเหมาะสมกับแนวเพลงต่าง ๆ ทั้งนี้ผู้เรียนสามารถเพิ่มหรือลด จำนวนอุปกรณ์ได้ตามความต้องการ อย่างไรก็ตามการเลือกกลองให้เหมาะสมกับผู้เรียนควรเลือกตาม แนวทางที่ผู้เรียนชอบ ควรปรับอุปกรณ์เพิ่มลด ให้เป็นสไตล์และเหมาะสมกับแนวเพลงนั้น ๆ ชนิด/ประเภทของวัสดุที่ใช้ในการสร้างกลอง มีวัสดุและไม้หลากหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้ สร้างกลอง ซึ่งแต่ละชนิดมักมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองซึ่งมีผลต่อการนำาไปใช้งานในแบบต่าง ๆ ไม้ที่พบมากที่สุดมีดังนี้ ไม้เมเปิล (Maple) นิยมใช้โดยทั่วไปในการผลิตกลองมีความอเนกประสงค์ สามารถใช้งานได้ หลากหลาย ให้เสียงที่ดี มีเสียงก้องกังวาน (Resonance) จึงทำให้ไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก ไม้เบิร์ช (Birch) เป็นอีกไม้ที่นิยมมากสำหรับผลิตกลอง ไม้เบิร์ชมีระดับเสียงที่ต่ำและให้ ความถี่สูง ทำให้เหมาะสำหรับการบันทึกและการใช้งานในสตูดิโอ ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับ การเล่นสดอีกด้วย ไม้ผสม (Hybrid) เป็นไม้ที่ผสมผสานกันของเปลือกไม้ 2 ชนิด โดยส่วนใหญ่มักเป็นการผสม ระหว่าง ไม้เมเปิ้ลและไม้มะฮอกกานี หรือการผสมระหว่างไม้เบิร์ชและวอลนัท การรวมกันของไม้สอง ชนิดที่มีคุณสมบัติทำให้เกิดเสียงจึงทำให้สามารถสร้างเสียงที่แปลกใหม่มากยิ่งขึ้น


10 ไม้อื่น ๆ (Other woods) ได้แก่ ไม้มะฮอกกานี ไม้โอ๊ค ไม้เชอร์รี่ ไม้วอลนัท ไม้ป็อป ลาร์ ไม้บีช ไม้ต้น หัวใจสีม่วง ไม้ต้นแอช ไม้บูบิงก้าและไม้ไผ่ ไม้แต่ละชนิดเหล่านี้ล้วนมีเสียงที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัว วัสดุที่ไม่ใช่ไม้ (Non - wood shells) นอกจากไม้กลองยังสามารถทำมาจากวัสดุได้ อีกหลากหลาย ประเภท ได้แก่ เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง อะคริลิค และไฟเบอร์กลาส วัสดุเหล่านี้ล้วน มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนกันกับไม้แต่ละชนิดที่มีเสียงเฉพาะ เช่นกลองเหล็กจะทำให้มี เสียงที่ดังมาก กลองอะคริลิคเสียงมีความกังวาน ส่วนกลองไฟเบอร์กลาสทำให้ควบคุมเสียงได้ง่าย 1.3 ส่วนประกอบกลองชุด มีส่วนประกอบดังนี้ 1.3.1 กลองสแนร์ การเลือกกลองสแนร์ให้เหมาะสมกับเสียงที่ต้องการมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการ เลือกกลองแบบอื่น ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางความลึก วัสดุ เนื้อไม้เหล่านี้ล้วนมีผลกับการให้เสียง ทั้งสิ้น ขนาดของกลองสแนร์ที่พบมากที่สุดและนิยมใช้กันอย่างหลากหลาย คือ 14x5.5" และ 14x6.5" ส่วนการดูคุณสมบัติของไม้หรือวัสดุที่ใช้ทำกลองสแนร์สามารถอ้างอิงได้เหมือนกับการดูวัสดุของกลอง แบบอื่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ภาพที่ 1.6 สแนร์กลองชุด ที่มา: www.musicradar.com ชั้นไม้ตัวกลองส่วนใหญ่ทำมาจากชั้นของแผ่นไม้บาง ๆ 6 - 9 ชั้นด้วยกัน สำหรับรุ่น กลางและสูงจำนวนของชั้นไม้ไม่ระบุชัดเจน การเพิ่มชั้นไม้เข้าไปทำให้ตัวกลองหนาขึ้นซึ่งเป็นการเพิ่ม ความถี่สูงให้กับเสียงเทียบกับตัวกลองที่มีความหนาเท่ากัน กลองที่มีชั้นไม้มากเสียงจึงยิ่งแห้งแน่นและ ตอบสนองน้อยกว่า ในทางกลับกันตัวกลองแข็ง ๆ ที่ทําจากไม้แผ่นเดียวจะตอบสนองได้มากกว่า


11 ภาพที่ 1.7 ชั้นเนื้อไม้กลองชุด 7 ชั้น ที่มา: รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ ทางเลือกอื่นในการทําตัวกลอง บริษัทเล็ก ๆ บางบริษัท เช่น Brady, Tamburo, Le Soprano, Troyan ใช้วิธีการต่อเป็นขั้นในการทำตัวกลองแบบเดียวกันกับการผลิตคองก้าหรือถังไม้ โดยปกติแล้วตัวกลองแบบนี้จะมีความหนามากกว่าตัวกลองแบบ Plywood แต่ไม่เสมอไป The bearing edge เป็นตัวยึดหนังกลองรูปทรงของขอบนี้ โดยปกติจะโค้งทำมุม 45 องศาซึ่งมีผลต่อเสียงค่อนข้างมาก ขอบที่แหลมมากทำให้เสียงกลองแหลมและใสมาก ขอบที่โค้ง กลมทำให้เสียงที่กลมนุ่ม และ ตอบสนองน้อยกว่า ขอบแบบคมพบเห็นได้ในกลองราคาแพง ๆ เท่านั้น เนื่องจากใช้เวลาในการทำนานกว่าแต่ ไม่ว่ารูปทรงจะเป็นอย่างไร bearing edge ควรต้องเท่ากันและ ได้ระดับพอดี ภาพที่ 1.8 bearing edge ที่มา: รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ


12 Reinforcement hoops กลองบางใบมีห่วงไม้พิเศษติดเพิ่มไว้ด้านในใกล้ๆ กับ bearing edge เมื่อก่อนห่วงไม้นี้ทำหน้าที่เป็นห่วงเสริมใช้ยึดเพื่อรักษาตัวกลองไม่ให้เสียรูป แต่ใน ปัจจุบันห่วงมีความกว้าง ประมาณ 1 นิ้วนี้ใช้เพื่อทำเสียง ดังนั้นจึงเรียกกันว่า sound ring หรือ sound focus ring ขอบนี้จะเพิ่มความ หนากับตัวกลองซึ่งคอยเพิ่มการกระแทกและความถี่สูงด้วยเล็กน้อย ภาพที่ 1.9 Reinforcement ที่มา: รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ กลองเคลือบ กลองในราคาที่ไม่สูงมากนัก ส่วนใหญ่มีการคลุมพลาสติกมาให้ ซึ่ง สามารถกันรอยขีดข่วน การชนและการกระแทกอื่น ๆ ได้ดีกว่าเคลือบแลคเกอร์ ควรเช็คให้ดีๆ ว่าที่ เคลือบนั้นพอดีและคลุมรอบตัวกลองตลอดทั้งหมด ตะเข็บควรจะอยู่ใต้คู่ lug พอดี แลคเกอร์และแว็กซ์ส่วนกลองที่ไม่ได้คลุมพลาสติกมามักมีการเคลือบเงาหรือแลค เกอร์ใสมาให้ หรือ อีกแบบหนึ่งคืออาจมีการลงสีหรือเคลือบด้านด้วยแว็กซ์ หรือน้ำมันซึ่งทำให้เนื้อไม้ กลองดูด้านๆ ไม่เงา กลองแพงมักมีการเคลือบหลายครั้งซึ่งดูสวยงามและคงทนมากกว่า กลมและเรียบเนียน โดยปกติแล้วตัวกลองเป็นตัวกำหนดคุณภาพของเสียงกลอง ดูได้ จากการที่หนังกลองสามารถสะเทือนได้อย่างอิสระเท่าที่ควรเป็นไปได้ การทำอย่างนั้นได้ตัวกลองต้อง กลม และ เรียบได้ระดับเท่ากันพอดี ไม่อย่างนั้นแล้วเสียงกลองอาจแข็งเกินไปหรือไม่สามารถปรับแต่ง เสียงได้เลยด้วยซ้ำ ตัวกลองควรมีขนาดเล็กกว่าที่ขนาดที่ควรเป็นสักเล็กน้อย 1.3.2 ไม้ตีกลองชุด ไม้ตีกลองประเภทต่าง ๆ ที่มือกลองสามารถเลือกได้และการเลือกไม้กลองที่ เหมาะสมสำหรับความต้องการของผู้เรียน เป็นสิ่งสำคัญในการเป็นมือกลองที่ประสบความสำเร็จ การ เลือกไม้ตีกลองของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นที่การให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้เริ่มต้น ไม้ตีกลองเรียนรู้เกี่ยวกับ ลักษณะของไม้ประกอบด้วยวัสดุที่แตกต่างกันและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ไม้ตีกลองบางส่วนอาจ เหมาะสำหรับกลองไฟฟ้า และบางส่วนอาจเหมาะสำหรับกลองชุดอะคูสติก นอกจากนี้การ ใช้ไม้ตีกลองที่หลากหลายในขณะที่ฝึกบนแผ่น ฝึกช่วยในการปรับปรุงแง่มุมต่าง ๆ ของการตีกลอง การ


13 เลือกไม้ตีกลองสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากมีหลากหลายในตลาดในขณะที่เลือกไม้ตีกลอง มือกลองแต่ละ คนควรมุ่งเน้นไปที่วัสดุของไม้ ขนาดของไม้ และปลายไม้ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ควรศึกษาเรียนรู้ เกี่ยวกับลักษณะของไม้ ภาพที่ 1.10 ลักษณะไม้กลองต่าง ๆ ที่มา: www.kirstein.de/en/Drums - Percussion การเลือกวัสดุของไม้ตีกลอง ไม้ที่ใช้กันทั่วไปสำหรับไม้ตีกลองคือ ไม้ฮิกคอรี ไม้เมเปิ้ล ไม้โอ๊ค ไม้แปลกใหม่หรือไม้ สังเคราะห์ทดแทนชนิดไม้กลองที่นิยมใช้ ได้แก่ - ไม้อีกคอรี มีลักษณะค่อนข้างแข็งและหนาแน่น สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ - ไม้เมเปิ้ล มีลักษณะนุ่มและหนาแน่นน้อยกว่าไม้ฮิกคอรี ดังนั้นจึงมีน้ำหนักที่เบา เหมาะกับระดับการเล่นที่เงียบกว่า - ไม้โอ๊ค เป็นไม้หนาแน่นและเป็นไม้ที่ทนทานที่สุดจากสามประเภทหลัก หากผู้เรียน เป็นมือกลองที่ผ่านการตีอย่างหนักหน่วงมาแล้ว สามารถเพิ่มความท้าทายได้โดยการเปลี่ยนไม้ตีกลองที่ มีความหนาแน่นขึ้น ลักษณะของไม้ตีกลองชุด โดยปกติแล้วขนาดของไม้ตีกลองเป็นการรวมกันของตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งตัวเลขที่ ใช้โดยทั่วไปมักใช้ตั้งแต่ขนาด 2 - 9 โดยเป็นตัวบ่งบอกขนาดของไม้กล่าวคือยิ่งจำนวนตัวเลขน้อย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของไม้แท่งนั้นใหญ่ขึ้น และตัวอักษรส่วนใหญ่มักใช้ตัวอักษร A, B และ S มี ความสำคัญในการบ่งบอกถึงน้ำหนักของไม้ตีกลอง ตัวอักษร A ย่อมาจาก orchestra ไม้ชนิดนี้จะใช้ ในวง orchestra และเป็นไม้ที่มีขนาดเล็กตัวอักษร B ย่อมาจาก Band หรือวงดนตรี มีน้ำหนักกว่า A แต่เบากว่า S เหมาะสำหรับการเล่นวงดนตรีคอนเสิร์ต ตัวอักษร S เป็นไม้ที่มีน้ำหนักมากที่สุดมีขนาดใหญ่หรือเรียกว่าไม้กลอง street ส่วนใหญ่จะใช้ กับวงขนาดใหญ่เช่นวงโยธวาทิต


14 ด้วยข้อมูลนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า 2B เป็นไม้หนัก 5A เป็นขนาดกลาง และ 7A เป็นไม้ตีกลองที่ มีน้ำหนักเบา แต่ละประเภทนี้หมาะสำหรับประเภทการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามไม้ตีกลอง ขนาด5A มักถูกนำมาใช้ในระดับสากลเป็นส่วนใหญ่ Butt Shaft/Body Shoulder Taper Tip Diameter Length ภาพที่ 1.11 ลักษณะ ชื่อตำแหน่งในไม้กลอง ที่มา: www.elephantdrums.co.uk ส่วนท้ายของไม้กลองชุด (Butt) ส่วนท้ายหรือส่วนก้นของไม้ (Butt) มีน้ำหนักมากกว่าและอยู่ตรงข้ามกับส่วนปลาย (Tip) ทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงสมดุลน้ำหนักกับปลายไม้และเป็นจุดที่ใช้วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของไม้ ไม้ตีกลองที่มีลักษณะความหนาแน่นสูงจะทำให้เกิดเสียงที่ดังกว่าไม้ที่มีลักษณะบางหรือมีความ หนาแน่นที่น้อยกว่า กล่าวคือไม้ตีกลองที่มีความหนาแน่นสูงทำให้เกิดเสียงดัง ไม้ตีกลองที่มีความ หนาแน่นต่ำทำให้เกิดเสียงที่เบากว่า ส่วนปลายไม้ของกลองชุด (Tip) ส่วนปลายของไม้ (Tip) คือส่วนที่มักใช้ในการตีกลอง โดยผู้เรียนสามารถเลือก คุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ทำส่วนปลายของไม้ได้ ไม่ว่าจะทำมาจากไม้หรือทำจากไนลอน ซึ่งขึ้นอยู่กับ ความชอบส่วนบุคคลและสไตล์ของเพลงที่ต้องการเล่น ส่วนคอ (Neck) ส่วนไหล่ (Shoulder) ส่วนคอดเรียว (Taper) ของไม้กลองชุด ส่วนคอ (Neck) เป็นบริเวณใต้ส่วนปลายของไม้ที่คอดเรียว (Taper) ออกไปที่ไหล่ไม้ (Shoulder) มักใช้สำหรับกำหนดความอ่อนนุ่มของเสียง กล่าวคือ ความยาวระหว่างส่วนคอส่วนไหล่ และส่วนคอดเรียวของไม้


15 กลองมีผลต่อเสียงและความรู้สึกของไม้กลองในขณะบรรเลง เช่น หากส่วนคอดเรียว (Taper) ของไม้มี ระยะที่สั้นจะทำให้เสียงที่ตีมีลักษณะแข็งทื่อฟังแล้วไม่ละมุนเท่าไม้ที่มีส่วนคอดเรียว (Taper) ที่ยาวกว่า ภาพที่ 1.12 ชนิด ขนาด เบอร์ไม้ ที่มา: www.mandydrums.com รูปร่างของหัวของไม้กลองชุด (Tip shapes) รูปร่างของหัวถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการ กำหนดเสียงที่ตกกระทบลงบนหน้ากลองหรือฉาบต่าง ๆ - หัวดรอป (drop) - ให้เสียงที่มีความนุ่มลึก - หัวบาร์เรล (barre) - ให้เสียงสัมผัสที่ดี เหมาะสำหรับใช้ที่สถานการณ์ที่ต้องการให้เสียงดัง - หัวบอล (ball) - ให้เสียงที่ใสและชัดเจน - หัวลูกโอ๊ก (acorn) - ให้เสียงที่เรียบ มีความเป็นธรรมชาติสูง เหมาะมากสำหรับการเล่น - หัววงรี (oval) - ให้เสียงในระดับเสียงกลาง มีความคล้ายคลังกับหัวดรอป - ประเภทของหัวไม้เหล่านี้สามารถแบ่งเป็นกลุ่มตามหลักการเรขาคณิต ได้ 3 กลุ่ม คือ ทรง กลม ทรงวงรีและทรงสามเหลี่ยม การมีรูปทรงที่ต่างกันส่งผลให้เสียงและสัมผัสในการตีแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปทรงที่สัมผัสกับกลองและฉาบ โดยยิ่งถ้าหัวไม้กลองใหญ่ขึ้นหน้าสัมผัสมากขึ้นก็จะ ให้เสียงที่หนาและใหญ่ส่วนหัวไม้กลองที่มีขนาดเล็กก็จะให้เสียงที่คมชัดและมีทิศทางมากกว่า


16 ภาพที่ 1.13 รูปร่างของหัวของไม้กลองชุด ที่มา: www.thomann.de.gb หัวสามเหลี่ยม (The triangular head) ภาพที่ 1.14 หัวสามเหลี่ยม 1 (The triangular head) ที่มา: www.thomann.de.gb หัวไม้ลักษณะสามเหลี่ยมมีพื้นที่สัมผัสที่น้อยมาก มีความถี่สูงทำให้ได้เสียงที่ชัดเจน แต่การมีจุด สัมผัสที่น้อยมีการตีที่ตำแหน่งเดิมซ้ำ ๆ จึงทำให้ไม้เกิดการสึกหรอได้ง่าย จึงแนะนำให้ใช้วัสดุที่มีความ แข็งไม้ชนิดที่ทนทาน ไนลอน หรือคาร์บอน เป็นต้น ภาพที่ 1.15 หัวไม้ลักษณะสามเหลี่ยมมีพื้นที่สัมผัส ที่มา: www.thomann.de.gb


17 การเปลี่ยนมุมไม้ในการเล่น มุมแบน ทำให้มีพื้นที่สัมผัสมากขึ้นเสียงจึงมีความกว้างและนุ่มนวลชั้น หัวกลม (The round head) ภาพที่ 1.16 หัวกลม (The round head) ที่มา: www.thomann.de.gb หัวไม้ลักษณะวงกลมมักมีพื้นที่สัมผัสเดียวกันโดยไม่ขึ้นอยู่กับมุมที่เล่น ให้เสียงที่ชัดเจน หัววงรี (The oval head) ภาพที่ 1.17 หัววงรี (The oval head) ที่มา: www.thomann.de.gb หัวไม้ลักษณะวงรีมีพื้นที่สัมผัสมากกว่าหัววงกลมแต่น้อยกว่าหัวสามเหลี่ยมในการเล่นมุมแบน ให้เสียงที่หนาและใหญ่กว่าหัวกลมและหัวสามเหลี่ยม อีกทั้งยังสามารถกำหนดทิศทางได้ดีกว่าหัว สามเหลี่ยม การไม้ตีกลองชุดกับประเภทสไตล์เพลง สำหรับผู้ที่เริ่มต้นในเส้นทางการตีกลองที่กำลังฝึกฝนหลากหลายแนวเพื่อค้นหาสไตล์ ในแบบที่ตนเองถนัดและชื่นชอบซึ่งแน่นอนว่าการฝึกฝน เรียนรู้ หลากหลายประเภทแทนการมุ่งเน้นไป ในทิศทางหรือรูปแบบเดียวนั้นมักทำให้ผู้เรียนสามารถมีทักษะและเทคนิคที่เหมาะสมกับผู้เรียนได้ขนาด ไม้กลองที่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นนั้น คือ ไม้ตีกลองขนาด 5A เพราะมีขนาดและน้ำหนักที่พอเหมาะ สำหรับการเริ่มต้นที่ดี สามารถใช้กับทั้งชุดกลองอะคูสติกและชุดกลองไฟฟ้าอีกทั้งยังเหมาะกับสไตล์ ดนตรีที่ค่อนข้างกว้างและใช้งานได้หลากหลายในสถานการณ์การเล่นต่าง ๆ ไม้ตีกลองชุดสำหรับการบรรเลงสไตล์ร็อค (Rock) เป็นสไตล์เพลงประเภทที่ต้องการความหนักแน่นในการตีแต่ไม่ฟังดูรุนแรงจนเกินไป เหมาะสำหรับไม้ตีกลองขนาด 28 หรือ 58 โดยไม้กลองขนาด 2B นั้นเหมาะสมมากสำหรับการสร้าง เสียงที่ดัง ๆ ในขณะที่เล่นกลอง แต่อาจไม่เหมาะสมมากนักกับผู้เรียนที่ต้องการในด้านของความเร็ว


18 ดังนั้นเพื่อให้ได้การผสมผสานที่ในด้านพลังและความเร็ว ไม้ตีกลองขนาด 5B จึงเป็นตัวเลือกที่ดีและ เมาะสมที่สุดสำหรับการบรรเลงกลองสไตล์เพลงนี้ ส่วนไม้ตีกลองขนาด 2B เหมาะสำหรับสไตล์ร็อค คลาสสิค ไม้ตึกลองชุดสำหรับการบรรเลงสไตล์แจ๊ส (Jazz) เพลงสไตล์แจ้ส คือบทเพลงที่มีการบรรเลงด้วยความอ่อนนุ่ม ฟังแล้วรู้สึกเพลิดเพลิน โดยการบรรเลงกลองชุดสไตล์นี้หลายครั้งที่มีการเคลื่อนที่ไปรอบ 1 กลองชุดอย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม้ กลองชุดที่เหมาะสมที่สุดควรมีขนาดที่เล็กและน้ำหนักที่เบาเพื่อการคล่องตัวที่สมบูรณ์ แนะนำไม้ตี กลองขนาด 7A สำหรับการตีกลองแจ๊สแต่หากผู้บรรเลงไม่ถนัดก็สามารถใช้ไม้ตีกลองขนาด 5A เป็นอีก หนึ่งตัวเลือกได้เช่นกัน ภาพที่ 1.18 ไม้กลองชุดขนาด 2B 58 5A และ 7A ที่มา: www.sonomusic.com ไม้บรรเลงกลองชุดประเภทอื่น ๆ มีดังนี้ ไม้แส้ ภาพที่ 1.19 ไม้แส้ ที่มา: www.mandydrums.com ไม้แส้เป็นไม้ตีกลองที่เงียบที่สุด มีความอ่อนนุ่ม ช่วยเพิ่มอรรถรส เพิ่มมิติความหลากหลายใน การเล่นและ การรับชมโดยสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อสร้างสรรค์เสียงต่าง ๆ ที่แปลก


19 ใหม่ตามที่ผู้บรรเลงต้องการได้ส่วนใหญ่มักใช้ในการบรรเลงสไตล์แจ๊ส ลักษณะส่วนปลายของไม้ตีกลอง แบบไม้แส้โดยทั่วไปประกอบด้วย พลาสติก ลวด วัสดุที่มีไนลอนหรือโลหะเป็นส่วนประกอบมัดรวมกัน ตรงส่วนปลายเรียกว่า แปรง โดยทั่วไปแล้วไม้แส้สามารถแบ่งได้เป็น 2ประเภทหลัก ๆ คือ ไม้แส้กลอง แบบยืด - หดได้ มีการปรับการกระจายแปรงได้ ส่วนอีกประเภทคือไม้แส้กลองแบบยืด - หดไม่ได้ มีการ กระจายของแปรงที่คงที่ไม่สามารถปรับได้ ไม้แท่ง Rutes ภาพที่ 1.20 ไม้แท่ง Rutes ที่มา: www.mandydrums.com ไม้แท่งหรือเรียกอีกอย่างว่า Rutes ถูกสร้างขึ้นโดยการรวมไม้หลายแท่งเข้าด้วยกัน ซึ่ง คุณสมบัติของไม้ชนิดนี้คือสามารถปรับโทนเสียงโดยการเปลี่ยนตำแหน่งของไม้ตามความสร้างสรรค์ บรรเลง ไม้ชนิดนี้ให้เสียงที่เสียงนุ่มกว่าไม้แบบมาตรฐาน และให้เสียงที่ดังกว่าไม้แส้ ซึ่งได้รับการยอมรับ อย่างชื่อเสียงโดยการเล่นบรรเลงวงออเคสตร้า อีกทั้งยังให้โทนเสียงที่สว่างกว่าไม้ชนิดอื่น 1.3.3 กระเดื่อง (Pedal) กระเดื่อง (Pedal) คืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเหยียบเพื่อให้ตัวกระเดื่องกระทบกับ เบสดรัม ซึ่งมีการออกแบบที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย มีทั้งแบบกระเดื่องเดี่ยวและกระเดื่องคู่ สำหรับผู้เริ่มต้นอาจไม่ง่ายนักในการแยกประสาทสัมผัสระหว่างมือและเท้า ดังนั้นการเลือกกระเดื่อง ควรเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานของผู้บรรเลง


20 ภาพที่ 1.21 กระเดื่อง (Pedal) ที่มา: https://www.thomann.de/gb 1.3.4 ฉาบ (CYMBALS) ฉาบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับกลองชุด มักใช้เป็นตัวเคาะคุมจังหวะอีกทั้งยัง เอาไว้ใช้ในการส่งเข้าท่อนเพลงอื่น ๆ หรือเพื่อทำให้อารมณ์เพลงมีความน่าสนใจมากขึ้น ภาพที่ 1.22 ฉาบ (CYMBALS) UFIP CYMBALS ที่มา: www.musicradar.com โดยทั่วไปแล้วฉาบสร้างขึ้นจากโลหะ (Alloy) และสัมฤทธิ์ (Bronze) แบบ B8 คือ เป็นทองแดง (copper) 92% และดีบุ (Tin) 8% แต่ในฉาบที่มีราคาสูงมักมีส่วนผสมเป็นแบบ B20 หมายความว่า มีส่วนผสมของทองแดง (Copper) 80% และดีบุ (Tin) 20% ซึ่งฉาบที่ส่วนผสมเป็นแบบ B8 มีความถี่สูงและเสียงที่ใสกว่าฉาบที่มา: ส่วนเป็นแบบ B8 ประเภทฉาบที่นิยมใช้มี ดังนี้ ฉาบ (Crash) ลักษณะเป็นฉาบฝาเดียว มักใช้บรรเลงตอนเริ่มท่อนเพลงใหม่ หรือตอน จบท่อนเพลง เพื่อต้องการสร้างสีสัน ความสนุกสนาน สร้างจุดเด่นให้กับเพลง หรือแม้แต่การใช้เป็น จังหวะหลักในบางเพลงสไตล์เพลงอีกด้วย


21 ภาพที่ 1.23 ฉาบ Crash UFIP 18 ที่มา: www.thomann.de\gb ฉาบ Ride ลักษณะเป็นฝาเดียว ใช้ตีคลอในขณะบรรเลงบทเพลงเมื่อต้องการให้เสียงฉาบดัง ค้างอย่างต่อเนื่อง โดยปกติแล้วฉาบ Ride มีขนาดที่ใหญ่กว่า Crash ภาพที่ 1.24 ฉาบ Ride UFIP 20 Medium Ride ที่มา: www.thomann.de\be ฉาบ Hi - Hat ลักษณะเป็นฉาบ 2 ใบประกบกัน โดยทั่วไปนิยมใช้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 14 - 15 นิ้วมีหน้าที่เป็นจังหวะให้กระชับ ภาพที่ 1.25 ฉาบ Hi - Hat 2 ใบประกบกัน UFIP 14 ที่มา: www.thomann.de\be


22 ฉาบ Splash ลักษณะเป็นฉาบฝาเดียว ขนาดเล็กประมาณ 9 - 12 นิ้ว ใช้ตีในส่วนที่ต้องการ เน้นเสียงฉาบ ทำให้บทเพลงที่บรรเลงมีสีสันมากขึ้น ภาพที่ 1.26 ฉาบ Splash Ufip 12" ที่มา: www.thomann.de/gb ฉาบ China มีลักษณะหงายหรือกลับด้านจากฉาบอื่น ๆ ให้เสียงที่กังวาน อีกทั้งยังได้รับความ นิยมสูงมากเนื่องจากมีลักษณะเสียงที่แตกต่างจากฉาบประเภทอื่น ๆ ภาพที่ 1.27 ฉาบ China UFIP 16" FX Fast China ที่มา: www.thomann.de/gb 1.3.5 ขาตั้งชนิดต่าง ๆ (Hardware) มีดังนี้ ภาพที่ 1.28 ขาตั้งชนิดต่าง ๆ (Hardware) ที่มา: รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ


23 ฮาร์ดแวร์เป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึงขาตั้งและอุปกรณ์โลหะต่าง ๆ ที่ใช้ยืดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ กลองชุดซึ่งรวมถึงขาตั้งฉาบ, ขาตั้งไฮแฮท, ขาตั้งสแนร์, ขาตั้งกลองทอม และแขนฉาบ โดยมาตรฐาน แล้วกลองชุดควรมีขาตั้งฉาบไม่ว่าจะเป็นขาตั้งแบบ Staight Stands หรือขาตั้งแบบ Boom Stands ถึงจะเป็นกลองชุดที่สมบูรณ์สำหรับผู้เริ่มต้น ภาพที่ 1.29 ขาตั้งฉาบแบU Straight Stands ที่มา: www.musicsupport.shop ภาพที่ 1.30 ขาตั้งฉาบแบบ Boom Stands ที่มา: www.tama.com


24 ขาตั้ง Hi - Hat มีทั้งแบบ 2 หรือ 3 ขา ซึ่งแบบ 2 ขาช่วยให้ตั้งค่าได้ง่ายขึ้นเมื่อใช้งานร่วมกับ กระเดื่องคู่ ภาพที่ 1.31 ขาตั้งไฮแฮท แบบ Double - Braced Leg ที่มา: sparedrum.com ขาตั้งสแนร์กลองชุดจำเป็นต้องมีขาตั้งแบบพิเศษเฉพาะ เนื่องจากต้องมีการปรับขนาด องศา ทิศทางและความสูงให้เหมาะสมกับตัวผู้บรรเลง ภาพที่ 1.32 ขาตั้งสแนร์แบบ Double - Braced Leg ที่มา: https://www.woodbrass.com


25 1.4. การดูแลรักษาและการตั้งเสียงกลองชุดเบื้องต้น มีเนื้อหาดังนี้ 1.4.1 การดูแลรักษากลอง การดูแลรักษากลองชุดอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจะทำให้กลอง แลดูใหม่ และใช้งานได้นาน มีขั้นตอนการดูแลรักษาดังนี้ - ตัวกลองและอุปกรณ์ที่เป็นโครเมี่ยมทุกชิ้นจะต้องหมั่นปัดฝุ่นเป็นประจำ โดยใช้ แปรงปัดที่มีขนอ่อน - หาน้ำมันหล่อลื่นแบบที่ใช้หยอดจักรเย็บผ้า ทาบาง ๆ ตามเกลียวของน็อตยึดขอบ กลอง เพื่อให้ขันได้ง่ายเวลาปรับหน้ากลอง - ไม่ควรจับฉาบในขณะที่มือมีเหงื่อ - ไม่ควรขัดฉาบด้วยน้ำยาขัดทองเหลือง เพราะจะเป็นการทำลายร่องเสียงบนตัวฉาบ ทำให้เสียงของฉาบเปลี่ยนไป - ทำความสะอาดส่วนที่เป็นโครเมี่ยมด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ แล้วเช็ดให้แห้ง - ทำความสะอาดและหยอดน้ำมันหล่อลื่นตรงส่วนเคลื่อนที่ของกระเดื่อง และแป้น เหยียบ ไฮแฮท 1.4.2 การตั้งเสียงกลองเบื้องต้น โดยทั่วไปแล้วกลองแต่ละใบในกลองชุดมีจำนวนหลักกลอง (Lug) ที่ใช้ในการตั้งความ ตึงของหนัง กลองไม่เท่ากัน ยิ่งจำนวนหลักกลอง (Lug) มาก ยิ่งทำให้การดึงหนังกลองมีความละเอียด มากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อความหลากหลายของเสียงที่เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบเห็นมักเป็น 6 หลัก 8 หลัก 10 หลัก และ 12 หลัก ภาพที่ 1.33 รูปแบบหลักขึงกลองชุด ที่มา: https://www.woodbrass.com


26 ภาพที่ 1.34 กุญแจกลอง (Drum key) ที่มา: www.gear4music.com จากตัวอย่างข้างต้น ให้ผู้เรียนฝึกตั้งหลักกลอง (Lugs) ตามลำดับหมายเลข โดยมีข้อสังเกต คือ เมื่อผู้เรียนเริ่มตั้งที่หลักกลอง (Lugs) ที่หลักใดหลักหนึ่ง หลักต่อไปจะต้องติดตรงข้ามกันเสมอ ซึ่งตัวไข ที่ใช้มีชื่อ เรียกว่ากุญแจกลอง (Drum key) สรุป สำหรับในบทเรียนแรก เนื้อหาเน้นที่ความรู้ในเรื่องของประวัติที่มา: ของกลองชุดเพื่อให้ผู้เรียน เช้าใจความเป็นมาของเครื่องดนตรีที่ผู้เรียนกำลังจะได้ศึกษาในหนังสือเล่มนี้ เมื่อผู้เรียนทราบถึงที่มา: ของเครื่องดนตรีแล้วการเลือกซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในส่วนของกลองใบต่าง ๆ ฉาบ หรือแม้กระทั่ง อุปกรณ์ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญต่อผู้เรียน เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกเครื่องดนตรี ที่มีความเหมาะสมกับตัวผู้เรียนในส่วนของไม้กลองที่เปรียบเสมือนอาวุธคู่กายที่มีความสำคัญมากที่สุด ในการตีกลอง ดังนั้นผู้เรียนต้องศึกษาให้เข้าใจเพื่อเลือกได้อย่างเหมาะสมกับตัวผู้เรียนเนื้อหาในบท ต่อไป ส่วนบทที่ 2 ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ในเรื่องของสัดส่วนตัวโน้ตและทฤษฎีดนตรีที่มือกลองทุกคนควรรู้ รวมไปถึงการปูพื้นฐานการอ่านโน้ตกลองชุด คำถามท้ายบท 1. กลองชุดมีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง จงอธิบายพอสังเขป 2. กลองชุดที่เหมาะสมกับผู้เรียนควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง 3. กลองชุดมาตรฐานประกอบไปด้วยอะไรบ้าง จงอธิบายพอสังเขป 3. วัสดุที่นำมาใช้ในการสร้างกลองมีกี่ประเภท อะไรบ้าง พร้อมอธิบาย 5. ประเภทของหัวไม้กลองตามหลักเรขาคณิต แบ่งได้กี่ประเภท อะไรบ้าง 6. ฮาร์ดแวร์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง จงอธิบายพอสังเขป 7. การตั้งเสียงกลองชุดมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง จงอธิบายพอสังเขป


27 เอกสารอ้างอิง ทศ พนมขวัญ. (2557). ประวัติกลองชุด Drum Note Magazine, Vol.24. กรุงเทพฯ: เลย์โปรเชสการพิมพ์. รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2560). เทคนิคการบรรเลงกลองชุดสไตล์แจ๊ส. กรุงเทพฯ : ออฟเซ็ทพลัส. รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2565). ศาสตร์การเรียนรู้การบรรเลงกลองชุด. กรุงเทพฯ : เมตตา พริ้นติ้ง. สมศักดิ์ สร้อยระย้า. (2538). เครื่องเคาะตี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. Elephant Drums. (2016). Which drumsticks are best for a beginner. www.elephantdrums.co.uk/blog/guides-and-resources/drumsticksbest-for-beginner. Guitarcenter. (2020). How to Choose the Best Drum Set | A Beginner's Guide, www.guitarcenter.com/riffs/buying-guides/drums/how-to-shop-for– drum-set.


28 แผนการสอนประจำบทที่ 2 ทฤษฎีดนตรีสากลเกี่ยวกับการบรรเลงกลองชุด หัวข้อเนื้อหาประจำบท 1. การบันทึกโน้ตสากลเบื้องต้น 2. จังหวะ 3. ประเภทของดนตรี 4. คุณสมบัติการเป็นมือกลอง วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อนักศึกษาได้เรียนจบบทที่ 1 นักศึกษาจะมีความสามารถ ดังนี้ 1. มีความเข้าใจและสามารถบันทึกโน้ตสากลเบื้องต้นอย่างถูกต้อง 2. อธิบายเกี่ยวกับจังหวะได้อย่างถูกต้อง 3. อธิบายประเภทของดนตรีได้อย่างถูกต้อง 4. อธิบายคุณสมบัติการเป็นมือกลองได้อย่างถูกต้อง กิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้ 1. บรรยายเนื้อหา โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์นำเสนอประกอบคำอธิบาย 2. ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้นักศึกษาอภิปรายหน้าชั้นเรียน 3. แนะนำเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกโน้ตสากลเบื้องต้น จังหวะ ประเภทของ ดนตรีคุณสมบัติการเป็นมือกลอง 4. ปฏิบัติการบันทึกโน้ตสากลเบื้องต้น 5. สรุปประเด็นสำคัญของการเรียนและมอบหมายงานแบบฝึกหัด สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หลักการบรรเลงกลองชุด 2. ใช้โปรแกรมนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ 3. ปฏิบัติจังหวะประกอบการนำเสนอ


29 การวัดและการประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรมผู้เรียน 1.1 ความตรงต่อเวลาในการเข้าเรียน และการส่งงานที่มอบหมาย 1.2 การตอบสนองของผู้เรียนระหว่างเรียน 1.3 การมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของผู้เรียนในระหว่างเรียน 2. ประเมินผลงานที่มอบหมาย 2.1 แบบฝึกหัดท้ายบท


30 บทที่ 2 ทฤษฎีดนตรีสากลเกี่ยวกับการบรรเลงกลองชุด 2.1 การบันทึกโน้ตสากลเบื้องต้น มีเนื้อหาดังนี้ การอ่านและการบันทึกโน้ตดนตรีเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ศึกษาดนตรีจะต้องมีความรู้และความ เข้าใจ ถือว่าเป็นก้าวแรกของการเรียนดนตรีสากลหรือดนตรีตะวันตก องค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บรรทัดห้าเส้น ชื่อตัวโน้ต กุญแจประจำหลัก ฯลฯ เปรียบเหมือนกับตัวอักษรประเภทหนึ่ง ซึ่งสัญลักษณ์ ที่ใช้จะมีหลักการเขียนและการอ่านที่เป็นสากล ซึ่งไม่ว่านักดนตรีชาติไหนก็สามารถสื่อให้เข้าใจตรงกัน ได้ 2.1.1 บรรทัดห้าเส้น (Staff, Stave) การบันทึกตัวโน้ตดนตรีสากลเพื่อบอกระดับความสูง - ต่ำของเสียง จะต้องมีบรรทัด ห้าเส้นสำหรับกำหนดตำแหน่งของตัวโน้ต จะประกอบด้วยเส้นตรงตามแนวนอนขนานกัน 5 เส้น และ อยู่ห่างเป็นระยะเท่ากันเป็นจำนวน 4 ช่อง การนับเริ่มต้นเส้นล่างสุดเป็นเส้นที่ 1 แล้วนับขึ้นมา ตามลำดับไปจนถึงเส้นที่ 5 เช่นเดียวกับการนับช่องจะเริ่มจากการนับช่องล่างสุดเป็นช่องที่ 1 แล้ว เรียงลำดับขึ้นไปจนครบ 4 ช่อง ภาพที่ 2.1 บรรทัดห้าเส้น ที่มา: : อำนาจ ถามะพันธ์ การบันทึกโน้ตบนบรรทัดห้าเส้นสามารถบันทึกได้ 2 ลักษณะคือ หัวโน้ตวางอยู่บนเส้น (On a line) และ หัวโน้ตวางอยู่ในช่องระหว่างเส้น (In a space) เมื่อบันทึกโน้ตใด ๆ ลงบนบรรทัดห้า เส้น ก็จะทำให้รู้ระดับเสียงว่าสูงหรือต่ำเมื่อนำโน้ตมาเรียงลำดับกัน จะบันทึกสลับกันไประหว่างโน้ต คาบเส้นกับโน้ตในช่องได้ดังนี้


31 ภาพที่ 2.2 โน้ตในบรรทัดห้าเส้น ที่มา: : อำนาจ ถามะพันธ์ และเมื่อไล่ลำดับโน้ตให้สูงขึ้นหรือต่ำลงจนสุดบรรทัดห้าเส้นแล้วสำมารถไล่โน้ตให้สูงขึ้นหรือ ต่ำลงได้อีกโดยจะใช้เส้นน้อย (Leger line หรือ Ledger lines) เป็นตัวกำหนดตำแหน่ง การบันทึกจะมี ลักษณะเป็นเส้นตรงแนวนอนขนาดสั้น มีความยาวกว่าตัวโน้ตเล็กน้อย วางขนานกับบรรทัดห้าเส้น มี ตำแหน่งอยู่เหนือหรือใต้บรรทัดห้าเส้น ระยะห่างระหว่างช่องเท่ากับระยะห่างของบรรทัดห้าเส้น ในกำ รเขียนเส้นน้อยที่มา: กกว่า 1 เส้นต้องรักษาระดับเส้นที่ 1 23 ตรงกัน เพื่อง่ายต่อการอ่าน ภาพที่ 2.3 เส้นน้อย ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ 2.1.2 เส้นกั้นห้อง (Bar line) เส้นกั้นห้องคือเส้นที่ขีดขวางบรรทัดห้าเส้นลงมากั้นตัวโน้ตเมื่อครบจังหวะ ซึ่งมี ความสัมพันธ์กับเครื่องหมายกำหนดจังหวะ เช่น ถ้าเครื่องหมายกำหนดจังหวะ กำหนดให้มีโน้ตในแต่ ละห้องได้2 จังหวะเมื่อเขียนตัวโน้ตครบทุก ๆ 2 จังหวะก็จะเขียนเส้นกั้นห้อง 1 เส้น วิธีการเขียนที่ ถูกต้องคือการเขียนขวางบรรทัดห้ำเส้น ไม่เลยขึ้นด้านบนหรือเลยลงไปด้านล่างของบรรทัดห้าเส้น ภาพที่ 2.4 เส้นกั้นห้อง ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


32 2.1.3 กุญแจ (Clef) กุญแจเป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีที่จะกำหนดชื่อตัวโน้ตบนบรรทัดห้าเส้น ตำแหน่งใน การบันทึกจะอยู่ตอนต้นของบรรทัดห้าเส้น ทุก ๆ บรรทัดหากไม่กำหนดกุญแจ โน้ตที่บันทึกบนบรรทัด ห้าเส้นจะสามารถเป็นตัวโน้ตใด ๆ ก็ได้ ไม่สามารถอ่านเสียงได้ แต่จะทราบเพียงความต่างของระดับ เสียงของตัวโน้ตว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าเท่านั้น กุญแจมีรูปร่าง 3 ลักษณะดังนี้ ภาพที่ 2.5 กุญแจเสียง ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ กุญแจซอล (G clef หรือ Treble clef) เป็นกุญแจประเภทเคลื่อนที่ไม่ได้หัวกุญแจ ซอล ต้องมีตำแหน่งอยู่บริเวณคาบเส้นที่ 2 ของบรรทัดห้าเส้น โน้ตตัวใดที่อยู่ตำแหน่งคาบเส้นที่ 2 จะมี ชื่อว่า ซอล (G) ภาพที่ 2.6 โน้ตในกุญแจซอล ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ กุญแจฟา (F clef หรือ Bass clef) หัวกุญแจอยู่คาบเส้นที่ 4 และมีจุด 2 จุดอยู่ ระหว่าง ช่องที่ 3และ4 ของบรรทัดห้าเส้น โน้ตตัวใดที่อยู่ตำแหน่งนี้ จะมีชื่อว่า ฟา (F) ภาพที่ 2.7 โน้ตในกุญแจฟา ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


33 กุญแจโด (C clef หรือ Alto clef) เป็นกุญแจที่สามารถเคลื่อนที่ได้ มีหัวกุญแจคาบ อยู่บนเส้นใดของบรรทัดห้าเส้นโน้ตที่อยู่ตรงตำแหน่งนี้จะมีชื่อว่า โด (C) เมื่อกุญแจนี้ย้ายตำแหน่งไปอยู่ ในเส้นอื่น ชื่อที่ของกุญแจก็จะเปลี่ยนไป ภาพที่ 2.8 กุญแจโดในบรรทัดห้าเส้น ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ โน้ตโดกลาง Middle C เนื่องจากเสียงโน้ตดนตรีมีเสียงทั้งหมด 7 เสียง แต่มีความสูง ต่ำอยู่หลายระดับ จึงทำให้ต้องกำกับระดับของเสียงตัวโน้ตชัดเจน ภาพที่ 2.9 โน้ตโดกลาง Middle C ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ ระดับเสียงที่อยู่ตรงกลาง คือเสียง C4 ซึงเป็นเสียงกึ่งกลางของกุญแจซอลที่เหมาะกับ การใช้กับเครื่องเสียงสูง และกุญแจฟาที่เหมาะกับการใช้เสียงที่ต่ำ และมีประโยคในการย้ายโน้ตไปใน กุญแจอื่น ๆ เพื่อที่จะให้มีระดับเสียงที่เท่าเดิม ภาพที่ 2.10 ระดับเสียงที่อยู่ตรงกลาง ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


34 2.1.4 เครื่องหมายแปลงเสียง (Accidental) ในหนึ่งช่วงคู่แปดของดนตรีสากลสามารถแบ่งระยะของเสียงได้เป็น12 เสียงเท่า ๆ กัน ซึ่งเป็นรูปแบบการตั้งเสียงแบบตะวันตก(Modern Western tuning system) หรือเรียกว่า Equal temperament คือ ในช่วง 1 คู่แปด (Octave) ระยะห่างระหว่างเสียง (เมื่อไล่จากคีย์สีขาวและคีย์สี ดำ) จะห่างทีละครึ่งเสียง (Half step) ภาพที่ 2.11 หนึ่งช่วงคู่แปดของดนตรีสากล ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ การทำให้ระดับเสียงของตัวโน้ตสูงขึ้นหรือต่ำลงทีละครึ่งเสียง ต้องใช้เครื่องหมายแปลงเสียง เป็นตัวกำหนด ซึ่งจะเขียนกำกับไว้หน้าตัวโน้ตหรือหลังกุญแจประจำหลัก ในการบอก สัญลักษณ์ที่ใช้มี อยู่ 5 ชนิด คือเครื่องหมายคือ เครื่องหมายชาร์ป (#) เครื่องหมายแฟลต (b) เครื่องหมายดับเบิ้ลชาร์ป (x) เครื่องหมายดับเบิ้ลแฟลต (bb) และเครื่องหมายเนเชอรัล (♮) ภาพที่ 2.12 เครื่องหมายแปลงเสียง ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


35 เครื่องหมายแปลงเสียงมีผลในการใช้โน้ตในระดับเสียงเดียวกันที่อยู่ในช่วงคู่แปดเดียวกัน และ ภายในห้องเดียวเท่านั้น เครื่องหมายแปลงเสียงจะไม่มีผลการใช้ในห้องถัดไป แต่จะมีผลกับโน้ตที่มี เครื่องหมายโยงเสียงที่มีระดับเสียงเดียวกันทั้งห้องถัดไป ภาพที่ 2.13 โน้ตในเครื่องหมายแปลงเสียง ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ โน้ตเอ็นฮาร์โมนิค (Enharmonic) นอกจากโน้ตที่อยู่บนคีย์สีดำที่ใช้เครื่องหมายแปลงเสียงได้ โน้ตทุก ๆ ตัวก็สามารถใช้เครื่องหมายแปลงเสียงได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้โน้ตบางตัวอาจเขียนต่างกันแต่ เสียงเดียวกัน เช่นโน้ตตัว D# มีเสียงเดียวกับโน้ตตัว Eb เป็นต้น ซึ่งลักษณะโน้ตแบบนี้จะเรียกว่าโน้ต เอ็นฮาร์โมนิค (Enharmonic) ภาพที่ 2.14 โน้ตเอ็นฮาร์โมนิค (Enharmonic) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ 2.1.5 การเรียกชื่อตัวโน้ต ระบบการเรียกชื่อโน้ตสากลที่นิยมใช้จะมี 2 แบบคือ ระบบโซ - ฟา (So - Fa system)และระบบตัวอักษร (Letter system) ทั้งสองระบบใช้แทนกันได้ใช้เรียกชื่อตัวโน้ตที่มีทั้งหมด


36 7 ตัวได้และเมื่อเรียกชื่อโน้ตตามลำดับครบทั้ง 7 ตัวแล้ว ก็สามารถวนต่อไปได้โดยนำโน้ตตัวที่ 1 มา เรียงลำดับต่อจากโน้ตตัวที่ 7 เรื่อยไป ทั้งขาขึ้นและขาลง ตามที่ผู้ประพันธ์เพลงต้องการ การเรียกชื่อ โน้ตระบบโซ - ฟา เป็นการเรียกชื่อตัวโน้ตที่เรียงลำดับจากโน้ตต่ำไปสูง มีชื่อเรียกดังต่อไปนี้โด (Do) เร (Re) มี(Mi) ฟา (Fa) ซอล (Sol) ลา (La) ที(Ti) การเรียกชื่อโน้ตระบบตัวอักษร เป็นระบบเรียกชื่อตัว โน้ตที่เรียงลำดับจากโน้ตต่ำไปสูง ดังนี้เอ(A) บี(B) ซี(C) ดี(D) อี(E) เอฟ(F) จี(G) ตารางการเรียกชื่อตัวโน้ต ภาพที่ 2.15 การเรียกชื่อโน้ต ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ 2.2 จังหวะ (Rhythm) มีเนื้อหาดังนี้ จังหวะ หมายถึง ช่วงเวลาที่ดำเนินอยู่ในขณะที่บรรเลงดนตรี จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อจบบทเพลง นั้น ๆ แล้ว จังหวะมีหน้าที่คอยควบคุมการเคลื่อนที่ของทำนองและแนวประสานเสียงต่าง ๆ ให้มี ความสัมพันธ์กัน การเดินของจังหวะจะดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ จึงเปรียบเทียบจังหวะเหมือนกับเป็น เวลาหรือชีพจรของดนตรีจังหวะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของดนตรี และเป็นทักษะขั้นพื้นฐานของผู้ เล่นดนตรี จังหวะที่ควรทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง ได้แก่ 2.2.1 จังหวะเคาะ (Beat) เป็นหน่วยบอกช่วงเวลาของดนตรี ปฏิบัติโดยการเคาะจังหวะให้ ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอขณะที่เล่นดนตรี จนกว่าจะจบบทเพลง 2.2.2 จังหวะทำนอง (Rhythm) เป็นช่วงเวลาที่เสียงดังออกมา มีทั้งเสียงสั้นเสียงยาวสลับกัน ไป หรือบางครั้งอาจสลับด้วยความเงียบด้วยก็ได้ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปแล้วแต่บทเพลง ความสั้นยาว


37 ของจังหวะทำนองใช้จังหวะเคาะเป็นเครื่องวัดความสั้นยาวของเสียง หรือความเงียบในจังหวะทำนอง นั้น สามารถเขียนบันทึกได้ โดยใช้สัญลักษณ์ที่เรียกว่า “ตัวโน้ตและตัวหยุด (Note and Rest)” 2.2.3 โน้ต (Note) โน้ต คือสัญลักษณ์ที่ใช้บันทึกแทนเสียงดนตรี ซึ่งแสดงถึงความสั้นยาวและ ความสูงต่ำของเสียงดนตรี ตัวโน้ตเปรียบเหมือนกับตัวอักษรที่ใช้บันทึกแทนภาษาพูดคนที่เล่นดนตรี เป็นแต่ไม่สามารถอ่านโน้ตได้ก็เหมือนกับคนที่พูดได้แต่อ่านหนังสือไม่ออกย่อมขาดการพัฒนา และไม่มี ความก้าวหน้าเพราะไม่สามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ทฤษฎีดนตรีเกี่ยวกับโน้ตที่ควรรู้และ นำมาใช้ในการปฏิบัติดนตรี มีดังนี้ การอ่านโน้ต ต้องมีการศึกษาเล่าเรียนเหมือนกับการอ่านหนังสือถ้าอ่านโน้ตได้ก็สามารเล่น ดนตรีได้ถูกต้อง เมื่อมีขลุ่ยอยู่เลาหนึ่งก่อนที่จะเป่าออกมาเป็นเพลงได้นั้น เราต้องเคยฟังทำนองเพลงมา ก่อน แต่ถ้าเราอ่านโน้ตได้ก็สามารถเป่าขลุ่ยตามโน้ตเพลงได้เลย เสียงขลุ่ยที่ออกมาเป็นเพลงได้นั้น ประกอบด้วย ความสั้นยาว ของเสียงหรือจังหวะ ความสูงต่ำของเสียง หรือระดับเสียง ถ้ามีความเข้าใจ ใน 2 ข้อนี้ ก็สามารถอ่านโน้ตได้เร็วขึ้น เพราะโน้ตจะบันทึกรวมทั้ง 2 ข้อนี้ไว้ด้วยกันดังแสดงใน ภาพประกอบ 2 โดยที่ “ตัวโน้ต” เป็นสัญลักษณ์ที่บักทึกแทนความสั้นยาวของเสียง ส่วน “ตัวหยุด” เป็นสัญลักษณ์ที่บักทึกแทนความสั้นยาวของความเงียบ ภาพที่ 2.16 ลักษณะของตัวโน้ต และตัวหยุด (Note and Rest) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


38 การเปรียบเทียบค่าของตัวโน้ต ดังแสดงในภาพประกอบ 3 โดยที่ 1) โน้ตตัวขาว มีค่าเท่ากับ ½ ของโน้ตตัวกลม 2) โน้ตตัวดำ มีค่าเท่ากับ ¼ ของโน้ต ตัวกลม 3) โน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น มีค่าเท่ากับ 1/8 ของโน้ตตัวกลม 4) โน้ตตัวเขบ็ตสองชั้น มีค่าเท่ากับ 1/16 ของโน้ตตัวกลม 5) ส่วนตัวหยุด ให้เปรียบเทียบค่าเหมือนกับตัวโน้ต ภาพที่ 2.17 การเปรียบเทียบค่าของตัวโน้ต ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ กล่าวโดยสรุป โน้ตเป็นสัญลักษณ์บันทึกความสั้นยาวของในทางดนตรีเปรียบเหมือนการอ่าน หนังสือ นักดนตรีทุกคนต้องรู้จักการอ่านโน้ตค่าของตัวโน้ต เพราะถ้านักดนตรีไม่รู้จักค่าของตัวโน้ตอ่าน โน้ตไม่ออกก็เหมือนกับคนที่พูดได้แต่อ่านไม่ออกนั่นเอง 2.2.4 การโยงเสียงและโน้ตประจุด (Tied note and Dot note) โดยปกติแล้วค่าความยาวของโน้ต (คำว่า โน้ต ในที่นี้มีความหมายรวมไปถึงตัวโน้ต และตัวหยุด) จะลดลงครึ่งหนึ่งไปตามลำดับ เช่น โน้ตตัวขาวยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวกลม โน้ตตัว ดำยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวขาว โน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้นยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำเป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มค่าความยาวของโน้ตให้มีความแตกต่างกัน ดังนี้


39 เพิ่มค่าความยาวของโน้ตให้เพิ่มขึ้นเท่ากับโน้ตสองตัวรวมกันโดยใช้เครื่องหมายโยง เสียง (Tie) เขียนโยงเสียงโน้ตสองตัวรวมกันให้เขียนเครื่องหมายโยงเสียงกำกับไว้บนหัวตัวโน้ตเท่านั้น ไม่ให้เขียนบนหางตัวโน้ต หรือส่วนตัวหยุดไม่ต้องใช้เครื่องหมายโยงเสียง ดังแสดงในภาพประกอบ 4 ภาพที่ 2.18 การโยงเสียง (Tie note) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ เพิ่มค่าความยาวของโน้ตให้เพิ่มขึ้นอีกครึ่งหนึ่ง โดยใช้เครื่องหมาย “จุด (Dot)” ประ ไว้ทีหลังตัวโน้ตหรือตัวหยุด เรียกว่า โน้ตประจุด 1 (Dotted note)ซึ่งเครื่องหมายจุดจะมีค่าเท่ากับ ครึ่งหนึ่งของตัวโน้ต ดังแสดงในภาพประกอบ 5 ภาพที่ 2.19 โน้ตประจุด (Dot note) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


40 กล่าวโดยสรุปการเพิ่มค่าของตัวโน้ตเพิ่มได้ด้วยการโยงเสียงของโน้ตในระดับเสียงเดียวกันและ การเพิ่มค่าของตัวโน้ตโดยการประจุดเขาไป เพื่อเพิ่มความยาวของเสียง ให้ได้ตามอารมณ์เพลงที่ ผู้ประพันธ์ได้กำหนดไว้2.2.4 โน้ต 3 พยางค์ (Triplets) โน้ต 3 พยางค์ โดยปกติแล้ว ถ้าแบ่งโน้ตตัว กลมออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน จะได้โน้ตตัวขาว 2 ตัว ถ้าแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน จะได้โน้ตตัว ดำ 4 ตัว ถ้าแบ่งออกเป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กัน จะได้โน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้น 8 ตัว และถ้าแบ่งออกเป็น 16 ส่วน เท่า ๆ กันจะได้โน้ตเขบ็ตสองชั้น 16 ตัว นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กันได้อีก เรียกว่า โน้ตสามพยางค์ (Triplet) โดยสังเกตจากเลข 3 ที่เขียนกำกับไว้บนกลุ่มของโน้ต ดังนั้นสามารถ แบ่งโน้ตออกเป็น 3 ส่วน 5 ส่วน 6 ส่วน หรือ 7 ส่วน ก็ได้ ซึ่งโน้ตที่แบ่งส่วนไม่ปกติเหล่านี้จะเขียนตัว เลขที่แบ่งส่วนกำกับไว้บนกลุ่มโน้ตเสมอ ดังแสดงในภาพประกอบ 2.20 ภาพที่ 2.20 การเปรียบเทียบกลุ่มโน้ต 3 พยางค์ (Triplets) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ กล่าวโดยสรุป โน้ตสามพยางค์เป็นกลุ่มโน้ตที่รวมกัน 3 ตัว และเล่นในอัตรา 1 จังหวะต่อโน้ต สามตัว ถามห้องหนึ่งมี 4 จังหวะจะเล่นโน้ตทั้งหมด 12 ตัว การนำโน้ตสามพยางค์มาใช้นั้นสามารถ นำมาใช้ได้กับการเล่นในอัตราจังหวะธรรมดา อัตราจังหวะผสมก็ได้ แล้วแต่การประพันธ์เพลงของผู้แต่ง และทำนองเพลง 2.2.5 ห้องเพลง (Measure) ในการบันทึกโน้ตดนตรีจะต้องแบ่ง staff ออกเป็นส่วน ๆ เท่า ๆ กัน ด้วยเส้นกั้นแต่ละห้องในแนวดิ่งที่เรียกว่า Bar line โดยที่ผลรวมของจังหวะทั้งหมด ในแต่ละห้อง ต้องมีความยาวหรือจังหวะเท่ากัน และ 1 ห้อง จะเรียกว่า 1 Bar ในการเคาะ จังหวะจะมีการเน้น จังหวะ หนัก - เบา สลับกันไปเป็นกลุ่ม ๆ ดังนี้ - กลุ่มละ 2 จังหวะ หนัก เบา หนัก เบา หนัก เบา หนัก เบา จังหวะเคาะ 1 2 1 2 1 2 1 2 - กลุ่มละ 3 จังหวะ หนัก เบา เบา หนัก เบา เบา หนัก เบา เบา จังหวะเคาะ 1 2 3 1 2 3 1 2 3 - กลุ่มละ 4 จังหวะ (จังหวะหนักที่ 3 เบากว่าจังหวะหนักที่ 1) หนัก เบา หนัก เบา หนัก เบา หนัก เบา หนัก เบา หนัก เบา จังหวะเคาะ 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4


41 ในการบันทึกโน้ตเพลง ต้องจัดกลุ่มตัวโน้ตออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามการเน้นจังหวะ หนัก - เบา ของจังหวะเคาะ โดยใช้เส้นตรงตั้งฉาก ซึ่งเรียกว่า เส้นกั้นห้อง (Bar line) กั้นไว้หน้าจังหวะเน้นของแต่ ละกลุ่ม (ยกเว้นการเน้นครั้งแรก เมื่อจบท่อนเพลงให้กั้นด้วยเส้นคู่และถ้าจบบทเพลงให้กั้นด้วยเส้นคู่ เส้นคู่ทั้ง 2 แบบนี้ เรียกว่า เส้นกั้นห้องคู่ (Double bar) ดังแสดงในภาพประกอบ ภาพที่ 2.21 เส้นกั้นห้องคู่ (Double bar) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์ สรุปได้ว่าในการบันทึกโน้ตดนตรีจะต้องแบ่งบรรทัด 5 เส้น ออกเป็น ส่วน ๆ เท่า ๆ กัน ด้วยเส้นกั้นแต่ละห้องในแนวดิ่งที่เรียกว่า Bar line โดยที่ผลรวมของจังหวะทั้งหมดในแต่ละห้องต้องมี ความยาวหรือจังหวะเท่ากัน 2.2.6 เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) เครื่องหมายประจำจังหวะ คือ กลุ่มของ โน้ตที่เกิดจากการแบ่งห้องเพลงตามจังหวะเคาะนั้น ในแต่ละเพลงสามารถแบ่งออกเป็นห้องละ 2 จังหวะ 3 จังหวะ หรือ 4 จังหวะ แตกต่างกันไป และมีการกำหนดตัวโน้ตเป็นเกณฑ์ในการเคาะจังหวะ ด้วยซึ่งกำหนดโดยเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายเลขเศษส่วนแต่ไม่ขีดเส้นคั่น เรียกว่าเครื่องหมาย ประจำจังหวะ เช่น 2/2 2/4 3/4 4/4 6/8 9/16 12/8 2/16 เป็นต้น ดังแสดงในภาพประกอบ ภาพที่ 2.22 เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature) ที่มา: อำนาจ ถามะพันธ์


42 2.2.7 อัตราจังหวะแบ่งได้ 3 แบบ คือ อัตราจังหวะธรรมดา อัตราจังหวะผสมและอัตราจังหวะ ซ้อนดังนี้ - อัตราจังหวะธรรมดา เป็นอัตราจังหวะที่มีชีพจรจังหวะเป็นโน้ตชนิดใดก็ได้ ที่ไม่ใช่โน้ตประ จุด สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. อัตราจังหวะสองธรรมดา (Simple duple time) อัตราจังหวะที่มี 2 ชีพจรจังหวะ ในแต่ละห้อง เช่น 2/2, 2/4, 2/8 (เป็นเลข 2 กำกับข้างบน) 2. อัตราจังหวะสามธรรมดา (Simple triple time) อัตราจังหวะที่มี 3 ชีพจรจังหวะ ในแต่ละห้อง เช่น 3/2, 3/4, 3/8 (เป็นเลข 3 กำกับข้างบน) 3. อัตราจังหวะสีธรรมดา (Simple Quadruple Time) อัตราจังหวะที่มี 4 ชีพจร จังหวะในแต่ละห้อง เช่น 4/2, 4/4, 4/8 (เป็นเลข 4 กำกับข้างบน) - อัตราจังหวะผสม เป็นอัตราจังหวะที่มีชีพจรจังหวะเป็นโน้ตประจุดชนิดใดก็ได้ ซึ่งตัว โน้ตเหล่านี้สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 3 ชีพจรจังหวะย่อยได้ (หาร 3 ลงตัว) แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. อัตราจังหวะสองผสม (Compound duple time) อัตราจังหวะที่มี 2 ชีพจร ของตัวโน้ตประจุด เช่น 6/4, 6/8, 6/16 (เป็นเลข 6 กำกับข้างบน) 2. อัตราจังหวะสามผสม (Compound triple time) อัตราจังหวะที่มี 3 ชีพจรของตัว โน้ตประจุด เช่น 9/4, 9/8, 9/16 (เป็นเลข 9 กำกับข้างบน) 3. อัตราจังหวะสี่ผสม (Compound quadruple time) อัตราจังหวะที่มี 4 ชีพจร ของตัวโน้ตประจุด เช่น 12/4, 12/8, 12/16 (เป็นเลข 12 กำกับข้างบน) - อัตราจังหวะซ้อน (Complex time) เป็นอัตราจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอเช่น 5/4, 7/8, 11/16 เป็นต้น ไม่มีหลักที่แน่นอน ชีพจรจังหวะจะเกิดขึ้นที่ใดในห้องเพลงโดยผู้ประพันธ์จะบอกไว้ที่ เครื่องหมายกำหนดจังหวะที่เลขตัวบนว่าชีพจรจังหวะควรอยู่อย่างไร เช่น 5(342)/4 หมายถึง ใน 5 จังหวะจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะมี 3 จังหวะและกลุ่มที่สองมี 2 จังหวะ หรืออาจมี 3 กลุ่ม เช่น 7(2+2+3)/8 หมายถึง ใน 7 จังหวะ จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจะมี 2 จังหวะ กลุ่มที่สองมี 2 จังหวะ และกลุ่มที่สามมี 3 จังหวะ กล่าวโดยสรุป จังหวะเป็นองค์ประกอบดนตรีในแนวนอน ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ข้อแรกของผู้เรียนดนตรีที่จะต้องทำความเข้าใจจนสามารถปฏิบัติจังหวะตามโน้ตได้ ตัวโน้ตและตัวหยุด เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เขียนบันทึกความสั้นยาว ของจังหวะทำนอง โดยใช้จังหวะเคาะเป็นเครื่องวัดอัตรา ความสั้นยาว เมื่อเข้าใจเรื่องจังหวะก็สามารถเรียนรู้ดนตรีได้ดีขึ้น 2.3 ประเภทของดนตรี ประเภทของดนตรี ดนตรีสากลนั้นสามารถแบ่งออกได้หลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภท ของดนตรีล้วนมีความสำคัญและความน่าสนใจเท่า ๆ กัน ซึ่งในความหลากหลายทางศิลปะและ


43 วัฒนธรรมนั้นสามารถทำให้เกิดองค์ความรู้เพื่อศึกษาและพัฒนาต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด โดยเราสามารถ แบ่งประเภทดนตรีได้ดังนี้ 2.3.1 ดนตรีคลาสสิก (Classic music) หมายถึงดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศทางแถบ ทวีปยุโรป ใช้เครื่องดนตรีที่บรรเลงในวงออร์เคสตร้าเป็นส่วนใหญ่ มีแบบแผนกฎเกณฑ์รวมถึงแนวคิด ทางการประพันธ์เพลงที่ชัดเจน ดนตรีคลาสสิกนั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ทำให้เกิดการศึกษาการแสดงและข้อถกเถียงมากมาย เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งและเข้าใจถึงดนตรี ชนิดนี้ได้มากที่สุด ภาพตัวอย่าง ดนตรีคลาสสิก ภาพที่ 2.23 ดนตรีคลาสสิก ที่มา: Free Music Public Domain 2.3.2 ดนตรีแจ๊ส (Jazz music) หมายถึงดนตรี ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วง ปีค.ศ.1900 ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ คนผิวสีเพราะเอกลักษณ์ทางดนตรีที่มีการผสมผสานของดนตรี พื้นเมืองแจกทวีปแอฟริกาและดนตรีคลาสสิกของยุโรป อีกทั้งเนื้อหาของบทเพลงยังเกี่ยวกับ ชีวิตของ คนผิวสีในสมัยนั้นด้วย จุดเด่นของดนตรีแจ๊สนั่นคือ การด้นสด (Improvisation) และยังคงใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องดนตรีที่ต่างออกไปจากดนตรีคลาสสิกเข้ามาผสมผสานได้อย่างลงตัว ทำให้เกิด กระแสความนิยมในดนตรีชนิดที่รวดเร็วไปทั่วโลกในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีผลทำให้เกิดดนตรีสมัยนิยมใน ช่วงเวลาต่อมาอีกด้วย ภาพตัวอย่างดนตรีแจ๊ส


Click to View FlipBook Version