94 1. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 และจังหวะที่ 3 2. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 จังหวะที่ 2 จังหวะที่ 3 และจังหวะที่ 4 3. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 + และจังหวะที่ 2 + 4. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 + และจังหวะที่ 3 + 5. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 ตัว + ของจังหวะที่ 2 และจังหวะที่ 3 จากโน้ตข้อที่ 6 ถึงโน้ตข้อที่ 10 แบบฝึกหัดในรูปแบบมือ Double Paradiddle ได้มีการ พัฒนาโน้ตให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นโดยการเพิ่ม Ghost Note ลงไปในรูปแบบมือ Double Paradiddle เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำการปฏิบัติรูปแบบมือจนสามารถปฏิบัติได้อย่างง่ายดายและ นำไปพัฒนาต่อยอดความซับซ้อนของโน้ตและทำให้จังหวะมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น 5.5.8 Paradiddle - diddle
95 จากตัวอย่างการปฏิบัติ Paradiddle - diddle มีความคล้ายคลึงกับตัวอย่างที่ 2 โดย มีการปฏิบัติที่อยู่บนพื้นฐานของสามพยางค์ (Triplet) เช่นกันแต่ในตัวอย่างข้อนี้ มีความแตกต่างคือ การตีแบบ ขวา ซ้าย ขวา ขวา ซ้ายซ้าย, ขวา ซ้าย ขวา ขวา ซ้ายซ้าย (R LR R LL, R L R R LL) อีกทั้ง ยังแตกต่างในเรื่องของรูปแบบการการตีที่มีแค่การตีแบบ D - Down Stroke, U - Up Stroke และ T - Tap Stroke ซึ่งไม่มีการตีแบบ F - Full Stroke และไม่มีเครื่องหมาย Accent ผู้เรียนควรฝึกปฏิบัติตามตัวอย่างทั้งสามข้อข้างต้นนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและสามารถจำรูปแบบมือ ในแต่ละตัวอย่างได้ แนะนำให้ฝึกด้วยการใช้เครื่องเคาะจังหวะ (Metronome) ในความเร็วที่ 90 bpm โดยเริ่มฝึกจาก Single Paradiddle ตามด้วย Double Paradiddle และจบด้วย Paradiddle - diddle ผู้เรียนควรให้เวลากับการฝึกฝนเพื่อการพัฒนาทักษะที่ดียิ่งขึ้น 5.5.9 ฝึกควบคุมการปฏิบัติ Paradiddle Diddle ในอัตราโน้ตเขบ็ตหกพยางค์เขบ็ตสองชั้นบน Time Signature 4/4 ปฏิบัติ Groove Paradiddle Diddle ในอัตราส่วนโน้ตหกพยางค์เขบ็ตสองชั้น บน Hi - Hat โดยจังหวะที่ 2 และจังหวะที่ 4 ปฏิบัติที่ Snare Drum 1. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 และจังหวะที่ 3 2. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1, จังหวะที่ 2 จังหวะที่ 3 และจังหวะที่ 4 3. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1, ตัว + ของจังหวะที่ 2 และจังหวะที่ 3 4. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 และจังหวะที่ 3 + 5. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 + และจังหวะที่ 3 +
96 จากโน้ตข้อที่ 1 ถึงโน้ตข้อที่ 5 แบบฝึกหัดในรูปแบบมือ Paradiddle Diddle เพื่อให้ผู้เรียนได้ สามารถจดจำรูปแบบมือในการปฏิบัติ Paradiddle Diddle ให้เกิดเป็นจังหวะได้อย่างสมบูรณ์และ สามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้อย่างง่ายดาย 5.5.10 ปฏิบัติ Groove Paradiddle Diddle ในอัตราส่วนโน้ตหกพยางค์เขบส่อง การแทรก Ghost Note ที่ตัว Trip ของทุกจังหวะ และตัว Trip - let ของทุกจังหวะ 1. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 และจังหวะที่ 3 2. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1, จังหวะที่ 2 จังหวะที่ 3 และจังหวะที่ 4 3. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 ตัว + ของจังหวะที่ 2 และจังหวะที่ 3 4. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 + และจังหวะที่ 3 + 5. ปฏิบัติ Bass Drum ในจังหวะที่ 1 ตัว + ของจังหวะที่ 2 และตัว + ของจังหวะที่ 3 จากโน้ตข้อที่ 6 ถึงโน้ตข้อที่ 10 แบบฝึกหัดในรูปแบบมือ Paradiddle Diddle ได้มีการพัฒนา โน้ตให้มีความซับซ้อนและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นโดยการเพิ่ม Ghost Note ลงไปในรูปแบบมือ Paradiddle Diddle ที่มือซ้าย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำการปฏิบัติรูปแบบมือจนสามารถปฏิบัติได้ อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ
97 5.6 แฟลม (Flams) แฟลมแอ็คเซนต (Flam Accent) และ แดรก (Drag) การตั้งชื่อแฟลม (Flams) นั้นถูกตั้งชื่อขึ้นจากเสียงที่เป็นการลงลักษณะไม้แบบเหลื่อมกัน จึง เกิดเป็นคำว่า “แฟลม” หากผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจในการปฏิบัติการตีรูปแบบนี้ซึ่งจะทำให้ได้ เสียงการที่มีน้ำหนัก มีความคมชัดและมีพลังมากขึ้น รูเมนท์แฟลมประกอบไปด้วยเป็นการรวมตัวกัน ของ Ghost Note กับโน้ตหลัก (Primary Note) จากตัวอย่าง แสดงให้เห็นถึงลักษณะรูดิเมนท์แฟลมแบบมาตรฐานทั่วไป ที่มีโน้ตสองกลุ่ม รวมกันทั้งหมดเป็นสี่ตัวโน้ต โดยมีโน้ตตัวสองตัวที่มีตัวโน้ตด้านหน้าเป็นโน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้นซึ่งเรียกว่า Ghost Note สำหรับช่องว่างระหว่างตัวโน้ตหรือระยะเวลาในการนับระหว่างโน้ตทั้งสองที่นำมารวมกัน นั้น ไม่สามารถเขียนหรือนับได้ เนื่องจากการบรรเลงในรูปแบบนี้จะให้ความรู้สึกในการตีพร้อม ๆ กัน ด้วยมือทั้งสองข้างซึ่งเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย โดย Ghost Noteเป็นโน้ตที่ตีกระทบกลองก่อน แล้วจึง ตามด้วยโน้ตหลัก (Primary Note) สำหรับผู้เริ่มต้นอาจพบเจอกับอุปสรรคในการปฏิบัติรูดิเมนท์แฟลม เพื่อให้ได้เสียงที่ดีและถูกต้องบทเรียนนี้จึงได้แนะนำเทคนิคพิเศษในการฝึกปฏิบัติรูดิเมนท์แฟลม 3 ขั้นตอน ดังนี้ขั้นตอนที่ 1 : ใช้มือขวาจับไม้กลอง ปฏิบัติในรูปแบบ T - Tap Stroke เริ่มต้นโดยการยก ไม้เตรียมในตำาแหน่งระดับต่ำ ภาพที่ 5.7 ปฏิบัติในรูปแบบ T - Tap Stroke ที่มา: รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ
98 ขั้นตอนที่ 2 ใช้มือซ้ายจับไม้กลอง ปฏิบัติในรูปแบบ F - Full Stroke เริ่มต้นโดยการยกไม้ เตรียมในตำาแหน่งระดับสูง ภาพที่ 5.8 ปฏิบัติในรูปแบบ F - Full Stroke ที่มา: รุ่งเกียรติ ศิริวงษ์สุวรรณ ขั้นตอนที่ 3: ตีลงบนกลอง โดยตีพร้อม ๆ กันด้วยมือทั้งสองข้างซึ่งเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย ภาพที่ 5.9 ปฏิบัติที่พร้อม ๆ กันด้วยมือทั้งสองข้างซึ่งเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย ที่มา: รุ่งเกียรติ ศิริวงษ์สุวรรณ การฝึกด้วยวิธีการทั้ง 3 ขั้นตอนนี้สามารถทำให้ผู้เรียนปฏิบัติรูดิเมนท์แฟลม เพื่อบรรลุใน เป้าหมายของการฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากตัวอย่างก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าโน้ตทั้งสองกลุ่มมี การใช้มือที่แตกต่างกัน ดังนี้ กลุ่มที่1 ใช้มือขวาเป็น Ghost Note มือซ้ายเป็นโน้ตหลัก (Primary Note) จากนั้น ตามด้วย กลุ่มที่2 ที่ใช้มือซ้ายเป็น Ghost Note มือขวาเป็นโน้ตหลัก (Primary Note)
99 ในการฝึกปฏิบัติทุกรูปแบบ ผู้เรียนอาจพบเจอปัญหาหรืออุปสรรคกับมือข้างที่ไม่ถนัด หาก ผู้เรียนมีความถนัดมือข้างขวาย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างมากที่ผู้เรียนอาจมีปัญหากับการควบคุมมือ ข้างซ้าย วิธีการแก้คือให้ผู้เรียนขยันฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความพยายามและให้เวลากับสิ่งที่กำลัง ฝึกฝน ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายและก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี ในการฝึกปฏิบัติรูดิเมนท์แฟลม แนะนำให้มีการนับจังหวะ “1, 2, 3, 4” ไปด้วยในขณะฝึกและควรใช้ เครื่องเคาะจังหวะ (Metronome) เพื่อพัฒนาสมดุลจังหวะการตี โดยเริ่มต้นในความเร็วที่ 60 bpm, 80 bpmและ110 bpm. 5.6.1 แฟลมแอ็คเซนต (Flam Accent) แฟลมแอ็คเซนต (Flam Accent) คือ รูดิเมนท์แฟลมที่อยู่บนพื้นฐานของสามพยางค์ (Triplet) จากตัวอย่างประกอบด้วยโน้ต 2 กลุ่มที่แต่ละกลุ่มมี 3 ตัวโน้ต โดยเริ่มต้นด้วยการตีแบบFlam แล้วตามด้วยการตีแบบ Single Stroke สองตัวโน้ต และมีเครื่องหมาย Accent อยู่บนหัวของตัวโน้ต หลัก (Primary Note) ในแต่ละกลุ่ม นั่นหมายความว่าต้องเน้นเสียงที่โน้ตตัวนั้นให้ดังกว่าโน้ตตัวอื่น ๆ สำหรับการฝึกฝนแนะนำให้ผู้เรียนมีการนับจังหวะ “1, 2, 3, 1, 2, 3” ไปด้วยสำหรับผู้เริ่มต้นอาจมี ความรู้สึกว่าการบรรเลงในรูปแบบนี้มีความยากพอสมควร แต่หากผู้เรียนมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยสิ่งสำคัญในการฝึกรูดิเมนท์แต่ละ รูปแบบ ผู้เรียนไม่ควรเร่งความเร็วจนเกินไป ควรเริ่มจากอัตราความเร็วช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็ว ขึ้นตามลำดับ ทำให้สมองของผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ พัฒนา จดจำ จนเกิดเป็นทักษะที่ผู้เรียนมีความ ชำนาญ 5.6.2 แฟลมแท็ป (Flam Tap) แฟลมแท็ป (Flam Tap) คือ รูปแบบรูดิเมนท์ที่อยู่บนพื้นฐานของโน้ตเขบ็ตสองชั้น จากตัวอย่างนี้ประกอบด้วยโน้ต 2 กลุ่มที่แต่ละกลุ่มมี 4 ตัวโน้ต ซึ่งมีการที่เป็นรูปแบบ Double Stroke: ขวา ขวา ซ้าย ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ซ้าย (RRLL, RRLL) โดยการปฏิบัติรูดิเมนท์ Flam Tap ไม่ได้มีการตีเพียงแค่รูปแบบDouble Stroke เพียงอย่างเดียวเพราะใน 1 กลุ่มมี Ghost Note 2 ตัว โน้ตเพิ่มเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ 1 และตำแหน่งที่ 3 ของแต่ละกลุ่ม อีกทั้งในตำแหน่งที่ 1 และตำแหน่ง ที่ 3 ยังมีเครื่องหมาย Accent เพิ่มเข้ามาอีกด้วย สิ่งสำคัญในการฝึก ผู้เรียนต้องมีความผ่อนคลาย ไม่
100 จับไม้กลองแน่นจนเกินไป ผ่อนไหล่ ใช้ข้อมือในการตี โดยให้มีความสมดุลระหว่างการใช้มือและไม้ กลอง ควรใช้เครื่องเคาะจังหวะ (Metronome) เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกปฏิบัติด้วยความเร็วที่ สม่ำเสมอ ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอย่อมส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะและพัฒนาการที่ ดีขึ้นอย่างแน่นอน 5.6.3 แดรก (Drag) รูดิเมนท์แดรก (Drag) เกิดจากการตีพร้อม ๆ กันคล้ายลักษณะของแฟลม แต่มีการตี Ghost Note ในรูปแบบ Double Stroke แล้วจึงตามด้วยการตีโน้ตหลัก (Primary Note) ที่มีเสียงดัง กว่า ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง รูดิเมนท์แดรก (Drag) มีลักษณะคล้ายกับรูดิเมนท์แฟลม ไม่สามารถบอก ช่องว่างหรือระยะเวลาในการนับระหว่าง Ghost Note กับโน้ตหลัก (Primary Note) ที่นำมารวมกันได้ เนื่องจากการบรรเลงในรูปแบบนี้มีการตีพร้อม ๆ กันด้วยมือทั้งสองข้างซึ่งเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อยThe Drag จากตัวอย่าง ควรปฏิบัติ Ghost Note สองตัวแรกของทั้งสองกลุ่มอย่างรวดเร็วและ นุ่มนวล แล้วจึงปฏิบัติโน้ตหลัก (Primary Note) ด้วยเสียงที่ดังกว่า ให้ปฏิบัติในกลุ่มแรกโดยใช้มือซ้าย เป็น Ghost Note ส่วนมือขวาเป็นโน้ตหลัก (Primary Note) : ซ้ายซ้าย ขวา (LL R) จากนั้นปฏิบัติ กลุ่มที่สองโดยใช้มือขวาเป็น Ghost Note ส่วนมือซ้ายเป็นโน้ตหลัก (Primary Note) : ขวาขวา ซ้าย (RR L) The Single Drag Tap จากตัวอย่าง ให้ปฏิบัติ ซ้ายซ้าย ขวา ซ้าย (LL RL) แล้วตามด้วย ขวาขวา ซ้าย ขวา (RR LR) การฝึกปฏิบัติมีประโยชน์อย่างมาก ทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปสร้างสรรค์ Filt - in ได้อย่างหลากหลาย เพราะรูเมนท์ไม่เป็นเพียงแค่การฝึกแยกเดี่ยว ๆ แต่เป็นการผสมผสานรูปแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้ มีความสนุกสนานในการฝึกฝน ซึ่งรูเมนท์แดรก (Drag) มีมากมายหลายรูปแบบ โดยในตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นรูดิเมนท์แดรก (Drag) ที่มีความซับซ้อนมายิ่งขึ้น
101 Double Drag Tap Single Ratamacue Double Ratamacue Triple Ratamacue Single Dragadiddle ตัวอย่างต่อไปนี้ เกิดจากการผสมผสานรวมกันของรูดิเมนท์แดรก (Drag) กับรูดิเมนท์อื่น ๆ ได้แก่Paradiddle เป็นต้น ผู้เรียนควรฝึกฝนรูดเมนท์เหล่านี้จนเกิดทักษะและมีความชำนาญ Drag Paradiddle 1 Drag Paradiddle 2
102 สรุป เนื้อหาหลักในบทนี้ คือ การปฏิบัติ Rudiments หรือรูปแบบมือที่หลากหมายทั้ง Single Stroke Roll, Double Stroke Roll, Single Paradiddle, Double Paradiddle, Paradiddle Diddle, Flame, Drag เป็นต้น รูปแบบมือทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเลงกลองชุด ไม่ว่า ผู้เรียนจะชอบเพลงแนวไหน ชอบการบรรเลงลักษณะใด ล้วนต้องผ่านการปฏิบัติ Rudiments ด้วยกัน ทั้งสิ้น และเมื่อผู้เรียนต้องการที่จะฝึกฝนให้ชำนาญและพัฒนาต่อยอดความรู้ไปในเชิงลึกหรือเจาะจง มากกว่านี้ ผู้เรียนจำเป็นต้องปฏิบัติ Rudiments ให้ได้หลายหลายยิ่งขึ้น และฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ จนถึงขั้นที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และจังหวะในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ เพื่อให้ บรรเลงกลองชุดได้ คำถามท้ายบท 1. Rudiments คืออะไร 2. Single Stroer Roll วิธีปฏิบัติอย่างไร 3. Flame แตกต่างจาก Drag อย่างไร จงอธิบาย พอสังเขป 4. Paradiddle Double ต้องใช้รูปมือแบบไหน 5. Double Stroke - Roll แตกต่างกับ Paradiddle - Doubleแบบไหน เอกสารอ้างอิง ทศ พนมขวัญ. (2557). ประวัติกลองชุด Drum Note Magazine, Vol.24. กรุงเทพฯ : เลย์โปรเชสการพิมพ์ รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2560). เทคนิคการบรรเลงกลองชุดสไตล์แจ๊ส. กรุงเทพฯ : ออฟเซ็ทพลัส. รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2565). ศาสตร์การเรียนรู้การบรรเลงกลองชุด. กรุงเทพฯ : เมตตา พริ้นติ้ง. สมศักดิ์ สร้อยระย้า. (2538). เครื่องเคาะตี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. Joel Rothman. (1983). Basic Drumming.J.R. Publications, Ft.Lauderdale. Florida. Janne Metsapelto (2015). Drum Course for Beginners. London N1 9PE United Kingdom. Learn to play drums. (2008). Bass Drum Technique. Learntoplaydrums.com/bass - drum-technique. Rod Morgenstein, Rick Mattingly (1997). The Drumset Musician.Hal Leonard. USA.
103 Sandy Feldstein, Dave Black (N.P.. Drum Method Book 1. Van Nuys. USA. Thomann. (2018). The shape of the head, www.thomann.de/gb/onlineexpert_ page_drumsticks the shape_of_the_head.html _____ . (2019). WHAT YOU SHOULD KNOW ABOUT KICK DRUM PEDALS, www.thomann.de/blo/en/what-you should knoW-about-kickdrum–pedals.
104 แผนการสอนประจำบทที่ 6 ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน (Rock) หัวข้อเนื้อหาประจำบท 1. ประวัติแนวดนตรีร็อก 2. ปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีร็อก 3. ปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อก 4. ปฏิบัติบทเพลงกลองชุดแนวดนตรีร็อก วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อนักศึกษาได้เรียนจบบทที่ 1 นักศึกษาจะมีความสามารถ ดังนี้ 1. มีความเข้าใจและอธิบายประวัติแนวดนตรีร็อกได้ 2. สามารถปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีร็อกได้ 3. สามารถปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกได้ 4. สามารถปฏิบัติบทเพลงชุดแนวดนตรีร็อกได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้ 1. บรรยายเนื้อหา โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์นำเสนอประกอบคำอธิบาย 2. ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้นักศึกษาอภิปรายหน้าชั้นเรียน 3. แนะนำเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน 4. ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน 5. สรุปประเด็นสำคัญของการเรียนและมอบหมายงานแบบฝึกหัด สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หลักการบรรเลงกลองชุด 2. ใช้โปรแกรมนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ 3. ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน
105 การวัดและการประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรมผู้เรียน 1.1 ความตรงต่อเวลาในการเข้าเรียน และการส่งงานที่มอบหมาย 1.2 การตอบสนองของผู้เรียนระหว่างเรียน 1.3 การมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของผู้เรียนในระหว่างเรียน 2. ประเมินผลงานที่มอบหมาย 2.1 แบบฝึกหัดท้ายบท
106 บทที่ 6 ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐาน (Rock) 6.1 ประวัติแนวดนตรีร็อก (Rock Music History) ร็อก (อังกฤษ: Rock) แนวเพลงที่ได้รับความนิยม มีต้นกำเนิดจากดนตรีร็อกแอนด์โรลใน สหรัฐอเมริกาในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และเริ่มพัฒนาสู่แนวเพลงหลายแขนงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และช่วงหลังจากนั้น โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ดนตรีร็อกมีต้นกำเนิดจาก ร็อกแอนด์โรลของยุค 1940 และ 1950 มีอิทธิพลมาจากแนวเพลงบลูส์ ริทึมแอนด์บลูส์ และคันทรี ดนตรีร็อกยังนำมาสู่แนวเพลงอื่น ๆ ได้แก่อิเล็กทริกบลูส์ และโฟล์ก และมีอิทธิพลร่วมมาจากดนตรีแจ๊ส ดนตรีคลาสสิก และแหล่งดนตรีอื่น ๆ ด้านดนตรี ดนตรีร็อกมีศูนย์กลางที่กีตาร์ไฟฟ้า มักจะเป็นส่วน หนึ่งของวงดนตรีร็อกที่มีกีตาร์เบสไฟฟ้าและกลอง ปกติแล้ว เพลงที่เป็นดนตรีร็อกจะมีอัตราจังหวะ 4/4 ใช้รูปแบบท่อนเวิร์ส - คอรัส แต่เพลงประเภทนี้มีความหลากหลายมากขึ้น เนื้อเพลงมักเน้นย้ำเรื่อง ของความรักใคร่ เช่นเดียวกับเพลงป็อป แต่ก็กล่าวถึงเนื้อหาอื่นที่มักเน้นเรื่องสังคมหรือการเมือง นัก ดนตรีเพศชายผิวขาวถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเนื้อหาต่าง ๆ มากมายในเพลงร็อกดนตรีร็อกมัก เต็มไปด้วยเสียงกีตาร์แบบแบ็กบีตจากส่วนจังหวะของกีตาร์เบสไฟฟ้า กลองและคีย์บอร์ด อย่าง ออร์แกน เปียโน หรือตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ก็มีการใช้เครื่องสังเคราะห์เสียง ร่วมไปกับกีตาร์ และคีย์บอร์ด ยังมีการใช้แซกโซโฟน และฮาร์โมนิกาในแบบบลูส์ก็มีใช้บ้างในท่อนโซโล่ ในรูปแบบร็อก บริสุทธิ์แล้ว ใช้ 3 คอร์ด จังหวะแบ็กบีตที่แข็งแรงและหนักแน่น รวมถึงมีเมโลดีติดหูในช่วงปลายคริสต์ ทศวรรษ 1960 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เพลงร็อกพัฒนาจนแตกแยกย่อยเป็นหลายแนวเพลง และ เมื่อรวมกับเพลงโฟล์กแล้วจึงเป็น โฟล์กร็อก รวมกับบลูส์เป็น บลูส์- ร็อก รวมกับแจ๊ซเป็น แจ๊ซ - ร็อก ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ร็อกยังเกี่ยวข้องกับเพลงโซล ฟังก์และละติน เช่นเดียวกันในยุคนี้ร็อกยังได้ เกิดแนวเพลงย่อยอีกหลายแนวเช่น ซอฟต์ร็อก เฮฟวีเมทัล ฮาร์ดร็อก โพรเกรสซีฟร็อกและพังก์ร็อก ส่วนแนวเพลงย่อยร็อกที่เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1980 เช่น นิวเวฟ ฮาร์ดคอร์พังก์และอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก ในยุคคริสต์ทศวรรษ 1990 แนวเพลงย่อยที่เกิดเช่น กรันจ์ บริตป็อป อินดี้ร็อกและนูเมทัลมีวงร็อก ส่วนใหญ่ประกอบด้วย สมาชิกที่เล่นกีตาร์ไฟฟ้า นักร้องนำ กีตาร์เบสและกลอง ก่อตั้งเป็นวง 4 ชิ้น มี บางวงที่มีสมาชิกน้อยกว่าหรือมากกว่า ตำแหน่งเล่นดนตรีบางคนก็ทำหน้าที่ร้องก็มี ในบางครั้งอาจเป็น วง 3 คนหรือวงดูโอซึ่งอาจมีนักดนตรีเสริมเข้ามาอย่างกีตาร์ริธึมหรือคีย์บอร์ด บางวงดนตรีอาจมีการใช้ เครื่องดนตรีสายอย่างไวโอลิน เชลโล หรือเครื่องเป่าอย่าง แซกโซโฟน ทรัมเปต หรือ ทรอมโบน แต่มีวง ไม่มากนักที่ใช้ดนตรีร็อกในช่วงแรก ๆ มีความเกี่ยวข้องต่อการเคลื่อนไหวของวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวใน สหรัฐอย่างมากโดยมีเนื้อหาเสียดสีหรือสะท้อนการเมือง เพศ คติชน เชื้อชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการ ต่อต้านระบบทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิง
107 6.2 ปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีร็อก (Learn & Master Drums - Lesson Book) ร็อก (Rock) หรือ ร็อกแอนด์โรล (Rock”n Roll) เป็นดนตรีที่ประกอบด้วย กีตาร์ กีตาร์เบส กลอง เป็นเครื่องดนตรีหลัก รูปแบบดนตรีง่าย ๆ เน้นความหนักแน่นในเนื้อหาที่ต้องการสื่อ และความ สนุกสนาน ดนตรี Rock มีรากฐานมาจากดนตรีบลูส์ (Blues) แต่มาปรับเปลี่ยนให้ฟังง่ายเล่นง่าย กว่าเดิม เพราะตัดตัวโน๊ตบางตัวออก ก่อนจะพัฒนามาเป็นแนวดนตรี Hard Rock เป็นดนตรีที่หนัก หน่วง และ Soft Rock เป็นร็อกที่นุ่มนวลกว่า สำหรับกลองนั้น การเล่นร็อกถือเป็นจังหวะที่หลาย ๆ คนสามารถบรรเลงได้ในการตีกลองเพลงร็อกพื้นฐานนั้นผูฝึกต้องตีจังหวะ 4/4 ให้เป็นก่อน นั่นคือการ เคาะไฮแฮท 4 ครั้ง และตีกลองสแนร์ 1 ครั้ง โดยเหยียบกระเดื่องในช่วง 4 ครั้งที่ตีไฮแฮทนั้น หรืออาจ กล่าวได้ว่าการตีกลองเพลงร็อกนั้นมีพื้นฐานของจังหวะดิสโก้และยังคล้ายกันกับการตีกลองดนตรีแนว อื่น ๆ ด้วย โดยในบางครั้งอาจจะดูต้องค่าตัวโน๊ตประกอบ หรือบางครั้งอัตราจังหวะกลองเพลงร็อก อาจจะเป็น 2/4 แต่ค่าพื้นฐานส่วนใหญ่จะเป็น 4/4 6.2.1 ปฏิบัติPatterns Beat กลองชุดแนวดนตรีร็อก รูปแบบของจังหวะ (Rhythm Pattern) หมายถึง ลักษณะของกลุ่มจังหวะ ที่มี ลักษณะต่าง ๆ กัน ซึ่งอาจเป็นลักษณะ ที่มีความสม่ำเสมอหรือไม่เสมอก็ได้ ทำนองเพลง (melody) ท่วงทำนองของการบรรเลงเครื่องดนตรี โน้ตดนตรีต่าง ๆ ที่เรียง จัดระบบความยาว – สั้นโน้ตตาม จังหวะดนตรีให้ฝึกการตีกลอง Patterns Beat กลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐานตามโน้ตที่ให้ ให้ฝึก แต่ละจังหวะต่อไปนี้โดยเริ่มต้นความเร็วที่ 60 bpm จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มจังหวะอย่างให้เร็วขึ้น 70 80 90 100 110 120 bpm ตามลำดับ
108 6.2.2 ปฏิบัติGrooves Beat กลองชุดแนวดนตรีร็อก ในการตีกลอง Grooves เป็นการเล่นวลีซ้ำ ๆ ที่กำหนดและรักษาจังหวะและจังหวะ ของท่อนนั้น ๆ ตั้งแต่ 2 ห้องเพลงขึ้นไป เพื่อนให้จังหวะของกลองกลมกลืนไปกับบทเพลงนั้น ๆ ให้ฝึก การตีกลอง Grooves Beat กลองชุดแนวดนตรีร็อกขั้นพื้นฐานตามโน้ตที่ให้ ให้ฝึกแต่ละจังหวะต่อไปนี้ โดยเริ่มต้นความเร็วที่ 60 bpm จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มจังหวะอย่างให้เร็วขึ้น 70 80 90 100 110 120 bpm ตามลำดับ
109 6.3 ปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อก ในหัวข้อนี้จะได้เรียนรู้เกี่ยวการใส่ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกทั้ง 5 รูปแบบ และทำการฝึกให้ เกิดความคล่องแคล่วและชำนาญ ซึ่งลูกส่งที่ใช้ในการเรียนรู้นี้เป็นลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกที่ได้รับ ความนิยมเป็นอย่างมาก และสามารถนำไปเป็นพื้นฐานการพัฒนาลูกส่งเพิ่มเติมขึ้นต่อไปอีกได้ในการใส่ ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกนั้น มักจะนิยมใช้ในการเชื่อมท่อนเพลงจากท่อนหนึ่งไปสู่อีกท่อนหนึ่ง โดย พื้นฐานแล้วมักจะมีจิตวิทยาให้ผู้ฟังรู้สึกเข้าสู่ท่อนเพลงใหม่ การส่งกลองกลองส่วนใหญ่ในเพลง ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการ: ท่อนพัก ( พัก คือ ในจุดที่เราไม่เล่น) Groove และ Fill การใส่ลูกส่งกลองไม่จำเป็นต้องซับซ้อนมากก็ได้ให้ขึ้นอยู่กับประเภทหรือสไตล์ของเพลง การส่งกลองที่
110 ดีอาจเป็นช่วงพักยาวก่อนที่จะกลับเข้าสู่ Grooveให้ฝึกการตีลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกทั้ง 5 รูปแบบ ตามโน้ตที่ให้ โดยฝึกแต่ละจังหวะต่อไปนี้โดยเริ่มต้นความเร็วที่ 60 bpm จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มจังหวะ อย่างให้เร็วขึ้น 70 80 90 100 110 120 bpm ตามลำดับ 6.3.1. ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกแบบที่ 1 การใส่ลูกส่งขั้นพื้นฐาน ลูกส่งกลองนี้มีสแนร์ กลองและฟลอร์ทอมสร้างขึ้นจากจังหวะสามและสี่ที่ส่วนท้ายของจังหวะที่ 4 วิธีหนึ่งในการทำ ความคุ้นเคยกับลูกส่งนี้ในตอนแรกให้ฝึกเล่นเฉพาะมือซ้าย (ส่วนกลองสแนร์) สิ่งนี้จะทำให้รู้สึกสบาย กับอารมณ์เพลงและจังหวะก่อนที่จะเพิ่มฟลอร์ทอมเข้าไปทีหลัง 6.3.2. ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกแบบที่ 2 ส่วนโน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้น ลูกส่งกลองนี้มีความยาก ขึ้นกว่าลูกที่ 1 เล็กน้อย ซึ่งได้แทรกส่วนโน้ตเขบ็ตสองชั้นหากเป็นมือกลองที่ถนัดขวาแนะนำให้เริ่ม จังหวะนี้ด้วยมือซ้ายหรือเล่นจังหวะที่สองด้วยมือขวาในจังหวะสี่ สิ่งนี้จะทำให้การฝึกลูกส่งง่ายมากขึ้น 6.3.3. ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกแบบที่ 3 ส่วนโน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้นและเทคนิคแฟลม (Flams) คือลักษณะการตีสองมือพร้อมกัน แต่ตำแหน่งไม้สูงไม่เท่ากัน เช่น ถ้าโน้ตบอกให้แฟลมมือขวา เราก็ยก มือขึ้นทั้งสองข้าง โดยให้มือขวาสูงกว่ามือซ้ายแล้วตีลงไปพร้อมกัน 6.3.4. ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกแบบที่ 4 ส่วนโน้ตเขบ็ตสองชั้น มีค่า 1/4 จังหวะ หรือ เท่ากับครึ่งหนึ่งของโน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้นนั่นเอง เมื่อรวมกันสี่ตัวจะเท่ากับหนึ่งจังหวะ นี่เป็นอีกส่งกลอง ทั่วไป ผู้เล่นอาจใช้กลองสแนร์ หรือจะสามารถย้ายไปที่กลองชุดใดก็ได้ในกลองชุด (หรือแม้แต่แยก
111 ระหว่างใบกลอง) และการใช้มือเบื้องต้นคือตีสลับละหว่าขวากับซ้าย RLRL (หากผู้เรียนเป็นผู้เล่นที่ถนัด ขวา) 6.3.5. ลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีร็อกแบบที่ 5 ส่วนโน้ตเขบ็ตสองชั้นแบบเต็มห้อง ให้ผู้ฝึกปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับลูกส่งข้อที่ 4 ทุกประการ แตกต่างเพียงต้องปฏิบัติโน้ตเขบ็ตสองชั้นให้เต็มห้องคือ 4 จังหวะ 6.4 ปฏิบัติบทเพลงกลองชุดแนวดนตรีร็อก ในบทที่ 6 นี้ จะเป็นการฝึกปฏิบัติบทเพลงแนวดนตรีร็อกในระดับเริ่มต้นไปจนถึงปานกลาง ผู้ ฝึกควรศึกษาตำแหน่งและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของโน้ตดลองชุดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อน ดังรายละเอียด ด้านล่างตำแหน่งของโน้ตกลองในบรรทัด 5 เส้น
112 สัญลักษณ์ทางดนตรีต่าง ๆ ในบทเพลง
113 เพลง Skysurfer ประพันธ์โดย Colin Woolway ในบทเพลงนี้เป็นบทเพลงสไตล์ดนตรีร็อก ซึ่งมีกระสวนจังหวะไม่ซับซ้อน ในส่วนของจังหวะ กลองชุดจะประกอบไปด้วยโน้ตตัวดำและตัวเขบ็ต 1 ชั้นเป็นหลัก ซึ่งมีจังหวะยกไม่มากนัก บทเพลงมี
114 จำนวนทั้งหมด 27 ห้องเพลง และมีจำนวน 3 ท่อนเพลง สังเกตสิ้นสุดท่อนเพลงได้จากได้จากเส้น กั้นห้องคู่ ซึ่งบทเพลงนี้มีความเร็วปานกลางที่ 100 Bmp เหมาะสำหรับผู้ฝึกหัดกลองชุดระดับพื้นฐาน สรุป แนวดนตรีร็อกเป็นแนวเพลงดนตรีที่ได้รับความนิยมและทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ดนตรี ร็อกได้สร้างความสุขให้กับผู้คนทั่วโลกมานานหลายทศวรรษและจะยังคงได้รับความนิยมต่อไปอีกหลาย ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีการฝึกกลองจังหวะร็อกเป็น วิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะการตีกลองของผู้เรียน การฝึกกลองจังหวะร็อกสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่ ดีที่สุดคือหาเพลงที่ผู้เรียนชอบแล้วฝึกเล่นตามเพลงนั้น ผู้เรียนสามารถหาเพลงจังหวะร็อกมากมายทาง ออนไลน์หรือในหนังสือเพลงเมื่อผู้เรียนเลือกเพลงแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องฝึกเล่นตามจังหวะอย่างถูกต้อง จังหวะที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกสไตล์ดนตรี แต่สิ่งสำคัญสำหรับเพลงจังหวะร็อกโดยเฉพาะคือเพลง จังหวะร็อกมักจะมีจังหวะที่เร็วและซับซ้อนเมื่อผู้เรียนฝึกเล่นตามจังหวะได้อย่างถูกต้องแล้ว ผู้เรียน สามารถเริ่มเพิ่มรายละเอียดให้กับการเล่นของผู้เรียนได้ ผู้เรียนสามารถลองเล่นด้วยมือที่แตกต่างกัน หรือลองใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การตีกลองสองมือหรือการตีกลองด้วยเท้าเดียว ผู้เรียนสามารถทดลองกับ สิ่งต่าง ๆ จนกว่าผู้เรียนจะพบเสียงที่ผู้เรียนต้องการการฝึกกลองจังหวะร็อกเป็นประจำเป็นวิธีที่ดีในการ พัฒนาทักษะการตีกลองของผู้เรียน และการเรียนรู้ที่จะเล่นเพลงจังหวะร็อกต้องใช้เวลาสักครู่ทุกวันเพื่อ ฝึกฝน พอเวลาผ่านไปผู้เรียนจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ผู้เรียนได้รับ คำถามท้ายบท 1. ดนตรีร็อกพัฒนามาจากแนวดนตรีใดบ้าง 2. ดนตรีร็อกมีรูปแบบย่อยอะไรบ้าง 3. อะไรคือประโยชน์ของการฝึกกลองชุดจังหวะร็อก 4. มีวิธีใดบ้างในการฝึกกลองชุดจังหวะร็อก 5. มีวิธีใดบ้างในการฝึกกลองชุดลูกส่งร็อก 6. บทเพลงดนตรีร็อกที่ให้ฝึกมีกี่ท่อนเพลงและประกอบไปด้วยตัวโน้ตใดเป็นหลัก
115 เอกสารอ้างอิง ทศ พนมขวัญ. (2557). ประวัติกลองชุด Drum Note Magazine, Vol.24. กรุงเทพฯ : เลย์โปรเชสการพิมพ์ รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2560). เทคนิคการบรรเลงกลองชุดสไตล์แจ๊ส. กรุงเทพฯ : ออฟเซ็ทพลัส. รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2565). ศาสตร์การเรียนรู้การบรรเลงกลองชุด. กรุงเทพฯ : เมตตา พริ้นติ้ง. สมศักดิ์ สร้อยระย้า. (2538). เครื่องเคาะตี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. Joel Rothman. (1983). Basic Drumming.J.R. Publications, Ft.Lauderdale. Florida. Janne Metsapelto (2015). Drum Course for Beginners. London N1 9PE United Kingdom. Learn to play drums. (2008). Bass Drum Technique. Learntoplaydrums.com/bassdrum-technique. Rod Morgenstein, Rick Mattingly (1997).The Drumset Musician.Hal Leonard. USA. Sandy Feldstein, Dave Black (N.P.. Drum Method Book 1. Van Nuys.USA. Thomann. (2018). The shape of the head, www.thomann.de/gb/onlineexpert_ page_drumsticks the shape_of_the_head.html ______. (2019). WHAT YOU SHOULD KNOW ABOUT KICK DRUM PEDALS, www.thomann.de/blo/en/what-you should know-about-kickdrum-pedals.
116 แผนการสอนประจำบทที่ 7 ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐาน (Blues & Shuffles) หัวข้อเนื้อหาประจำบท 1. ประวัติแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล 2. ปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล 3. ปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล 4. ปฏิบัติบทเพลงกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อนักศึกษาได้เรียนจบบทที่ 1 นักศึกษาจะมีความสามารถ ดังนี้ 1. มีความเข้าใจและอธิบายประวัติแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลได้ 2. สามารถปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลได้ 3. สามารถปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลได้ 4. สามารถปฏิบัติบทเพลงชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้ 1. บรรยายเนื้อหา โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์นำเสนอประกอบคำอธิบาย 2. ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้นักศึกษาอภิปรายหน้าชั้นเรียน 3. แนะนำเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล ขั้นพื้นฐาน 4. ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐาน 5. สรุปประเด็นสำคัญของการเรียนและมอบหมายงานแบบฝึกหัด สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หลักการบรรเลงกลองชุด 2. ใช้โปรแกรมนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ 3. ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐาน
117 การวัดและการประเมินผล 1. สังเกตพฤติกรรมผู้เรียน 1.1 ความตรงต่อเวลาในการเข้าเรียน และการส่งงานที่มอบหมาย 1.2 การตอบสนองของผู้เรียนระหว่างเรียน 1.3 การมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของผู้เรียนในระหว่างเรียน 2. ประเมินผลงานที่มอบหมาย 2.1 แบบฝึกหัดท้ายบท
118 บทที่ 7 ปฏิบัติจังหวะและลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐาน (Blues & Shuffles) 7.1 ประวัติแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล (Blues & Shuffles Music History) ดนตรีบลูส์เป็นรูปแบบของดนตรีสมัยใหม่ที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 บลูส์มีพื้นฐานมาจากดนตรีพื้นบ้านแอฟริกันอเมริกันซึ่งผสมผสานกับองค์ประกอบของดนตรียุโรป บลูส์มีลักษณะเฉพาะด้วยการใช้คอร์ดบลูส์ จังหวะบลูส์ และรูปแบบการร้องประสานบลูส์บลูส์ถือ กำเนิดขึ้นในชุมชนแอฟริกันอเมริกันทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ดนตรี พื้นบ้านแอฟริกันอเมริกันมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาบลูส์ ดนตรีพื้นบ้านแอฟริกันอเมริกันมักเป็น ดนตรีที่ไพเราะและแสดงออกซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ของชาวแอฟริกันอเมริกันที่ตกเป็นทาส ดนตรีพื้นบ้านแอฟริกันอเมริกันยังใช้เครื่องมือที่เรียบง่าย เช่น กีตาร์ ฮาร์โมนิก้า และเปียโนในช่วง ปลายศตวรรษที่ 19 ดนตรีพื้นบ้านแอฟริกันอเมริกันเริ่มผสมผสานกับองค์ประกอบของดนตรียุโรป สิ่งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากชาวแอฟริกันอเมริกันเริ่มได้รับการศึกษาและสัมผัสกับวัฒนธรรมยุโรปมากขึ้น ดนตรี ยุโรปได้เพิ่มองค์ประกอบใหม่ ๆ ให้กับบลูส์ เช่น การใช้คอร์ดที่ซับซ้อนและรูปแบบการประสานที่ ซับซ้อนมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บลูส์เริ่มได้รับความนิยมในหมู่ชาวอเมริกันผิวขาว สิ่งนี้เกิดขึ้น เนื่องจากบลูส์เริ่มแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา บลูส์ยังเริ่มได้รับความนิยมในหมู่นัก ดนตรีชาวอเมริกันผิวขาว ซึ่งเริ่มผสมผสานบลูส์กับรูปแบบดนตรีอื่น ๆ เช่น แจ๊สและบลูส์และชัฟเฟิล แอนด์โรลบลูส์ได้พัฒนาและเติบโตมาตลอดหลายศตวรรษ และปัจจุบันเป็นรูปแบบดนตรีที่ได้รับความ นิยมไปทั่วโลก บลูส์มีอิทธิพลต่อรูปแบบดนตรีอื่น ๆ มากมาย เช่น แจ๊ส ร็อคแอนด์โรล บลูส์ร็อค บลูส์ โซล และบลูส์ฟังก์ บลูส์เป็นรูปแบบดนตรีที่ทรงพลังซึ่งสามารถแสดงออกถึงอารมณ์ที่หลากหลาย เช่น ความรัก ความเศร้า ความหวัง ความสิ้นหวัง และความสุข นักดนตรีบลูส์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ บีบีคิงส์, แมดดี้ วอเทอร์ส, เอ็มมิเทิล เฟลมิง, จอห์น ลี ฮูคเกอร์, โรเบิร์ต จอห์นสัน, หลุยส์ เป็นต้นชัฟเฟิล (Blues shuffle) เป็นรูปแบบดนตรีที่ทรงพลังและทรงอิทธิพลซึ่งได้สร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อวงการ ดนตรีบลูส์เป็นรูปแบบดนตรีที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ และยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้นัก ดนตรีรุ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ บลูส์ชัฟเฟิลเป็นจังหวะที่มีลักษณะเฉพาะด้วยโน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้นแบบสวิงก์ มัน เป็นหนึ่งในจังหวะที่พบบ่อยที่สุดในดนตรีบลูส์และยังใช้ในแนวเพลงอื่น ๆ เช่น แจ๊สร็อคและฟังก์บลูส์ ชัฟเฟิลมีต้นกำเนิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในชุมชนชาวแอฟริกันอเมริกันของมิสซิสซิปปี้เดลต้า เชื่อกัน ว่าพัฒนามาจากรูปแบบจังหวะของการตีกลองแอฟริกัน ซึ่งชาวแอฟริกันที่ถูกกดขี่นำเข้ามาในประเทศ สหรัฐอเมริกา บลูส์ชัฟเฟิลเล่นใน 4/4 จังหวะ แต่มีความรู้สึกแบบสวิงก์ซึ่งหมายความว่าโน้ตเขบ็ตหนึ่ง ชั้นเล่นเป็นโน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้นแบบสวิงก์ สิ่งนี้ทำให้จังหวะมีความรู้สึกแบบซินโคเปตซึ่งเป็น
119 ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของบลูส์ชัฟเฟิล นักดนตรีบลูส์กลุ่มแรก ๆ ที่ใช้บลูส์ชัฟเฟิล ได้แก่ โรเบิร์ต จอห์นสัน, มัดดี วอเทอร์ส และฮูวลิง วูล์ฟ นักดนตรีเหล่านี้ช่วยทำให้บลูส์ชัฟเฟิลเป็นที่นิยมและตั้งแต่ นั้นมาก็กลายเป็นส่วนสำคัญของดนตรีบลูส์บลูส์ชัฟเฟิลยังใช้ในแนวเพลงอื่น ๆ ของดนตรี ตัวอย่างเช่น มันเป็นจังหวะที่พบบ่อยในดนตรีแจ๊สและถูกใช้โดยศิลปินเช่นไมล์ส ดีวีส์และจอห์น คอลเทรน บลูส์ ชัฟเฟิลยังใช้ในดนตรีร็อคและถูกนำเสนอในเพลงโดยศิลปินเช่นเดอะโรลลิ่งสโตนส์และเล็ด ซีเพลน บลูส์ ชัฟเฟิลเป็นจังหวะที่หลากหลายที่สามารถใช้ในบริบททางดนตรีที่หลากหลาย เป็นจังหวะที่ทรงพลังและ แสดงออกซึ่งสามารถเพิ่มพลังงานให้กับชิ้นดนตรีได้มาก ตัวอย่างของบลูส์และชัฟเฟิล - บลูส์ชัฟเฟิลในดนตรีบลูส์: "Sweet Home Chicago" โดย Robert Johnson - ชัฟเฟิลในดนตรีแจ๊ส: "So What" โดย Miles Davis - บลูส์ชัฟเฟิลในดนตรีร็อค: "Whole Lotta Love" โดย Led Zeppelin 7.2 ปฏิบัติจังหวะกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล พื้นฐานจังหวะกลองชุดบลูส์และชัฟเฟิล การตีจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลขั้นพื้นฐานประกอบไป ด้วยกลองเบสดรัมบนจังหวะ 1 และ 3 และกลองสแนร์บนจังหวะ 2 และ 4 ผู้เรียนสามารถเพิ่ม ไฮ - แฮต ในทุกจังหวะ ในการฝึกจังหวะพื้นฐาน ให้เริ่มเล่นช้า ๆ ด้วยความเร็วที่ผู้เรียนสามารถตีได้อย่าง สบาย เมื่อผู้เรียนเชี่ยวชาญจังหวะพื้นฐานแล้ว ผู้เรียนสามารถเริ่มค่อย ๆ เพิ่มความเร็วได้ การฝึกจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลกับเมโทรโนมจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เมโทรโนมจะช่วย ผู้เรียนรักษาจังหวะที่สม่ำเสมอและพัฒนาฝีมือของผู้เรียน ซึ่งแบ่งจัวหวะบลูส์และชัฟเฟิลออกเป็น รูปแบบดังนี้ 7.2.1 จังหวะ (Slow Blues) เป็นจังหวะพื้นฐานที่ทุกมือกลองควรรู้ จังหวะนี้ใช้กับเพลงบลูส์ ส่วนใหญ่และสามารถปรับให้เข้ากับเพลงประเภทอื่น ๆ อีกมากมายได้จังหวะ Slow Blues สามารถ ปฏิบัติโดยใช้มือขวาตีกลองสแนร์บนจังหวะ 2 และ 4 และมือซ้ายตีกลองเบสบนจังหวะ 1 และ 3 เมื่อ ผู้เรียนเชี่ยวชาญจังหวะพื้นฐานแล้ว ให้ผู้เรียนเริ่มทดลองกับรูปแบบต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ผู้เรียน สามารถเล่นลูกเล่นบนกลองสแนร์หรือลูกเล่นบนกลองเบสดรัม
120 ขั้นตอนในการฝึกเล่นจังหวะ Slow Blues - ตั้งตำแหน่งการตีกลองของผู้เรียนให้ถูกต้อง - ตั้งเมโทรนอมไว้ที่ 120 BPM - ตีกลองสแนร์ด้วยมือขวาบนจังหวะ 2 และ 4 - ตีกลองเบสด้วยมือซ้ายบนจังหวะ 1 และ 3 - ฝึกจังหวะจนกว่าผู้เรียนจะเชี่ยวชาญ 7.2.2 จังหวะบลูส์ชัฟเฟิล (Blues Shuffle) จังหวะกลองบลูส์แบบชัฟเฟิลเป็นจังหวะที่ คลาสสิกและได้รับความนิยมซึ่งใช้กับเพลงบลูส์มายาวนาน จังหวะนี้เล่นด้วยลูกซิงโกเปชันโดยการตัด จังหวะจังหวะที่ 2 ของโน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นสามพยางค์ออก ทำให้เป็นจังหวะที่สนุกสนานและท้าทายผู้ ฝึก ขั้นตอนในการฝึกตีกลอง Blues Shuffle ได้แก่ - ตั้งตำแหน่งการตีกลองของผู้เรียนให้ถูกต้อง - ตั้งเมโทรนอมไว้ที่ 120 BPM - ตีกลองสแนร์ด้วยมือขวาบนจังหวะ 2 และ 4 - ตีกลองเบสด้วยมือซ้ายบนจังหวะ 1 และ 3 - ฝึกจังหวะจนกว่าผู้เรียนจะเชี่ยวชาญ มีเคล็ดลับในการเล่นจังหวะกลองบลูส์แบบชัฟเฟิลเพิ่มเติมเพื่อให้การฝึกเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ - ผ่อนคลายและปล่อยให้จังหวะเข้าถึงความรู้สึกของผู้เรียน - ฟังเมโทรนอมเพื่อให้แน่ใจว่ารักษาจังหวะไว้ได้ - ใช้ไม้กลองที่เบากว่าปกติเพื่อทำให้ได้เสียงจังหวะเบาที่ขึ้น - การใช้มือควบคุมไม้กลองที่เบาและผ่อนคลาย - ฝึกฝนทุกวันเพื่อปรับปรุงความแม่นยำ
121 7.2.3 จังหวะฮาฟ - ไทม์ ชัฟเฟิล (Half - time Shuffle) จังหวะกลองแบบ Half - time Shuffle เป็นจังหวะที่มีความยอดเยี่ยมที่ควรเรียนรู้และเป็นที่แพร่หลายในเพลงบลูส์ การเล่นครั้งแรก อาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อย แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียรฝึกฝนก็จะทำให้การเล่น จังหวะ Half - time Shuffle ง่ายขึ้น ซึ่งฝึกตีจังหวะพื้นฐานได้ตามโน้ตด้านล่าง เคล็ดลับในการเล่นจังหวะ Half - time Shuffle ได้แก่ - เริ่มต้นอย่างช้า ๆ อย่าพยายามเล่นจังหวะที่มีความเร็วในตอนแรก ให้เริ่มต้นอย่าง ช้า ๆ และค่อย ๆ เพิ่มความเร็วเมื่อผู้เรียนคุ้นเคยกับจังหวะมากขึ้น - ฟังต้นเพลงฉบับจังหวะ Half - time Shuffle - ฝึกฝนกับเมโทรนอม ซึ่งเมโทรนอมจะช่วยให้ผู้เรียนรักษาจังหวะที่สม่ำเสมอได้*** เมื่อผู้เรียนเชี่ยวชาญจังหวะ Half - time Shuffle พื้นฐานแล้ว ผู้เรียนสามารถเริ่มทดลองกับจังหวะอื่น รูปแบบต่าง ๆ ได้ จำทำให้ผู้เรียนเชี่ยวชาญจังหวะ Half - time Shuffle นี้ได้ 7.3 ปฏิบัติลูกส่งกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล ลูกส่งกลองชุดแบบบลูส์และชัฟเฟิล เป็นรูปแบบของการเล่นกลองที่มักใช้เพื่อเพิ่มสีสันและ ความสนใจให้กับบทเพลง สามารถเรียบให้ง่ายหรือซับซ้อนก็ได้ และสามารถเล่นบนส่วนใดของกลองชุด ก็ได้ส่วนประเภทของลูกส่งกลองชุดแบบบลูส์และชัฟเฟิล มีประเภทต่าง ๆ ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ - ลูกส่งกลองชุดแบบพื้นฐาน คือลูกส่งกลองชุดที่เรียบง่ายและง่ายต่อการเริ่มต้น ลูกส่งกลอง ชุดพื้นฐานมักจะใช้โน้ตพื้นฐาน เช่น โน้ตัวดำและโน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น - ลูกส่งกลองชุดแบบขั้นสูง คือลูกส่งกลองชุดที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และต้องใช้เทคนิคที่ สูงขึ้นด้วย ลูกส่งกลองชุดขั้นสูงมักจะใช้โน้ตที่หลากหลาย เช่น การรัว การแฟลม เป็นต้น - ลูกส่งกลองชุดสไตล์แบบเฉพาะ คือมีลูกส่งกลองชุดสไตล์เฉพาะที่ใช้ในบลูส์และชัฟเฟิล ผู้ เล่นมักจะใช้โน้ตและเทคนิคที่เฉพาะเจาะจงกับสไตล์บลูส์และชัฟเฟิลเฉพาะ เช่น บลูส์ชัฟเฟิลชิคาโก วิธี ที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ลูกส่งกลองชุดแบบบลูส์และชัฟเฟิล คือการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผู้เรียนสามารถ เริ่มต้นฝึกฝนกับเพลงบลูส์สไตล์คลาสสิกก่อน หรือผู้เรียนสามารถลองสร้างลูกส่งกลองชุดของผู้เรียนเอง เมื่อผู้เรียนฝึกฝนลูกส่งกลองชุดกลองแบบบลูส์และชัฟเฟิลแล้ว จากนั้นให้เน้นที่จังหวะและอารมณ์ พยายามสร้างจังหวะที่แน่นและอารมณ์ที่คล้อยตามบทเพลงนั้น ๆ
122 7.3.1. แบบฝึกหัดที่ 1 เป็นส่งกลองชุดแบบบลูส์และชัฟเฟิล ที่ใช้ส่วนโน้ตสามพยางค์เขบ็ตหนึ่ง ชั้นเต็ม 4 จังหวะโดยไม่มีโน้ตตัวหยุด ซึ่งในจังหวะแรกจะเป็นสแนร์ จากนั้นในจังหวะต่อไปจะสลับ ระหว่างกระเดื่องและทอมใบต่าง ๆ ในการฝึกเริ่มแรกให้ฝึกกับเมโทรโนมอย่างช้า ๆ จากนั้นให้ตีจังหวะ หลักมา 1 ห้องเพลงก่อนแล้วค่อยปฏิบัติลูกส่ง แล้วให้เพิ่มความเร็วของเมโทรโนมจาก 80 – 120 bpm ดังโน้ตด้านล่าง 7.3.2. แบบฝึกหัดที่ 2 เป็นส่งกลองชุดแบบบลูส์และชัฟเฟิล ที่ใช้ส่วนโน้ตสามพยางค์เขบ็ตหนึ่ง ชั้นในจังหวะที่ 1 3 และ 4 ซึ่งในจังหวะแรกแจะเป็นแสนร์สลับกับกระเดื่องซึ่งกระเดื่องจะอยู่ในจังหวะ ที่ T (2 T P) ส่วนจังหวะที่ 3 กระเดื่องจะอยู่จังหวะที่ 3 (3 T P) และในจังหวะที่ 4 นั้น กระเดื่องจะอยู่ จังหวะที่ T (4 T P) ในการฝึกเริ่มแรกให้ฝึกกับเมโทรโนมอย่างช้า ๆ จากนั้นให้ตีจังหวะหลักมา 1 ห้อง เพลงก่อนแล้วค่อยปฏิบัติลูกส่ง แล้วให้เพิ่มความเร็วของเมโทรโนมจาก 80 – 120 bpm ดังโน้ต ด้านล่าง 7.3.3. แบบฝึกหัดที่ 3 เป็นส่งกลองชุดแบบบลูส์และชัฟเฟิล ที่ใช้ส่วนโน้ตสามพยางค์เขบ็ตหนึ่ง ชั้นเต็ม 4 จังหวะโดยไม่มีโน้ตตัวหยุด ซึ่งเป็นการตีทอมและแสนร์สลับกับกระเดื่อง แต่ในลูกส่งนี้จะเพิ่ม อัตราส่วนโน้ตเขบ็ต 2 ชั้นสามพยางค์เข้าไปในจังหวะที่ 3 และ 4 ในการฝึกเริ่มแรกให้ฝึกกับเมโทรโน มอย่างช้า ๆ จากนั้นให้ตีจังหวะหลักมา 1 ห้องเพลงก่อนแล้วค่อยปฏิบัติลูกส่ง แล้วให้เพิ่มความเร็วของ เมโทรโนมจาก 80 – 120 bpm ดังโน้ตด้านล่าง
123 7.4 ปฏิบัติบทเพลงกลองชุดแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล ในบทที่ 7 นี้ จะเป็นการฝึกปฏิบัติบทเพลงแนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลในระดับเริ่มต้นไปจนถึง ปานกลาง ผู้ฝึกควรศึกษาตำแหน่งและสัญลักษณ์ต่างๆ ของโน้ตดลองชุดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อน ดัง รายละเอียดด้านล่าง ตำแหน่งของโน้ตกลองในบรรทัด 5 เส้น สัญลักษณ์ทางดนตรีต่างๆ ในบทเพลง
124 เพลง Hazi Taxi ประพันธ์โดย Jason Woolley
125
126 ในบทเพลงนี้เป็นบทเพลงสไตล์ดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล สังเกตได้จากตัวกำหนด Tempo หัวเพลง ซึ่งมีกระสวนจังหวะไม่ซับซ้อน ในส่วนของจังหวะกลองชุดจะประกอบ ไปด้วยโน้ตตัวดำและตัวเขบ็ต 1 ชั้นสามพยางค์เป็นหลัก ซึ่งมีจังหวะยกไม่มากนัก บทเพลงมีจำนวน ทั้งหมด 44 ห้องเพลง และมีจำนวน 3 ท่อนเพลง แบะมีท่อนย้อน D.S. al Coda อยู่ที่ห้อง 35 โดยให้ ย้อนมาเล่นห้องที่ 6 อีกครั้งไปจนถึงห้องที่ 31 แล้วให้ลงไปเล่นที่ Coda ล่าง สังเกตสิ้นสุดท่อนเพลงได้ จากได้จากเส้นกั้นห้องคู่ ซึ่งบทเพลงนี้มีความเร็วที่ค่อนข้างเร็วที่ 140 Bmp เหมาะสำหรับผู้ฝึกหัดกลอง ชุดระดับพื้นฐาน สรุป แนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลเป็นแนวเพลงดนตรีที่ได้รับความนิยมและทรงอิทธิพลมากที่สุดใน โลก ดนตรีบลูส์และชัฟเฟิลได้สร้างความสุขให้กับผู้คนทั่วโลกมานานหลายทศวรรษและจะยังคงได้รับ ความนิยมต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี การฝึกกลองจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะการตีกลองของผู้เรียน การ ฝึกกลองจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่ดีที่สุดคือหาเพลงที่ผู้เรียนชอบแล้วฝึก เล่นตามเพลงนั้น ผู้เรียนสามารถหาเพลงจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลมากมายทางออนไลน์หรือในหนังสือ เพลงเมื่อผู้เรียนเลือกเพลงแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องฝึกเล่นตามจังหวะอย่างถูกต้อง จังหวะที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับทุกสไตล์ดนตรี แต่สิ่งสำคัญสำหรับเพลงจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลโดยเฉพาะคือเพลงจังหวะบลูส์ และชัฟเฟิลมักจะมีจังหวะที่เร็วและซับซ้อนเมื่อผู้เรียนฝึกเล่นตามจังหวะได้อย่างถูกต้องแล้ว ผู้เรียน สามารถเริ่มเพิ่มรายละเอียดให้กับการเล่นของผู้เรียนได้ ผู้เรียนสามารถลองเล่นด้วยมือที่แตกต่างกัน หรือลองใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การตีกลองสองมือหรือการตีกลองด้วยเท้าเดียว ผู้เรียนสามารถทดลอง กับสิ่งต่าง ๆ จนกว่าผู้เรียนจะพบเสียงที่ผู้เรียนต้องการการฝึกกลองจังหวะบลูส์และชัฟเฟิลเป็นประจำ เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะการตีกลองของผู้เรียน และการเรียนรู้ที่จะเล่นเพลงจังหวะบลูส์ และชัฟเฟิลต้องใช้เวลาสักครู่ทุกวันเพื่อฝึกฝน พอเวลาผ่านไปผู้เรียนจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ผู้เรียน ได้รับ คำถามท้ายบท 1. แนวดนตรีบลูส์และชัฟเฟิล มีความแตกต่างกันอย่างไร 2. อธิบายขั้นตอนในการฝึกเล่นจังหวะ Slow Blues ได้แก่ 3. ดนตรีบลูส์เป็นรูปแบบของดนตรีสมัยใหม่ที่มีต้นกำเนิดในสมัยใด 4. อธิบายขั้นตอนในการฝึกตีกลอง Blues Shuffle ได้แก่
127 เอกสารอ้างอิง ทศ พนมขวัญ. (2557). ประวัติกลองชุด Drum Note Magazine, Vol.24. กรุงเทพฯ : เลย์โปรเชสการพิมพ์ รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2560). เทคนิคการบรรเลงกลองชุดสไตล์แจ๊ส. กรุงเทพฯ : ออฟเซ็ทพลัส. รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2565). ศาสตร์การเรียนรู้การบรรเลงกลองชุด. กรุงเทพฯ : เมตตา พริ้นติ้ง. สมศักดิ์ สร้อยระย้า. (2538). เครื่องเคาะตี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. Joel Rothman. (1983). Basic Drumming.J.R. Publications, Ft.Lauderdale. Florida. Janne Metsapelto (2015). Drum Course for Beginners. London N1 9PE United Kingdom. Learn to play drums. (2008). Bass Drum Technique. Learntoplaydrums.com/bassdrum-technique. Rod Morgenstein, Rick Mattingly (1997). The Drumset Musician.Hal Leonard. USA. Sandy Feldstein, Dave Black (N.P. Drum Method Book 1. Van Nuys. USA. Thomann. (2018). The shape of the head,www.thomann.de/gb/onlineexpert_ page_drumsticks the shape_of_the_head.html _____. (2019). WHAT YOU SHOULD KNOW ABOUT KICK DRUM PEDALS, www.thomann.de/blo/en/what-you should knoW-about-kick-drumpedals.
128 บรรณานุกรม ทศ พนมขวัญ. (2557). ประวัติกลองชุด Drum Note Magazine, Vol.24. กรุงเทพฯ:เลย์โปรเชสการพิมพ์ ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2540), สังคีตนิยมความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. _____. (2552). พจนานุกรมศัพท์ดุริยางคศิลป์, พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. _____. (2555). พจนานุกรมศัพท์ดุริยางคศิลป์. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เกศกะรัต. รุ่งเกียรติ สิริวงษ์สุวรรณ (2560). เทคนิคการบรรเลงกลองชุดสไตล์แจ๊ส. กรุงเทพฯ : ออฟเซ็ทพลัส. _____. (2565). ศาสตร์การเรียนรู้การบรรเลงกลองชุด. กรุงเทพฯ : เมตตา พริ้นติ้ง. สมศักดิ์ สร้อยระย้า. (2538). เครื่องเคาะตี. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. Elephant Drums. (2016). Which drumsticks are best for a beginner. www.elephantdrums.co.uk/blog/guides-and-resources/drumsticksbest-for-beginner. Guitarcenter. (2020). How to Choose the Best Drum Set | A Beginner's Guide, www.guitarcenter.com/riffs/buying-guides/drums/how-to-shop-fordrum-set. Joel Rothman. (1983). Basic Drumming.J.R. Publications, Ft.Lauderdale. Florida. Janne Metsapelto (2015). Drum Course for Beginners. London N1 9PE United Kingdom. Learn to play drums. (2008). Bass Drum Technique. Learntoplaydrums.com/bass-drumtechnique. Rod Morgenstein, Rick Mattingly (1997). The Drumset Musician.Hal Leonard. USA. Sandy Feldstein, Dave Black (N.P. Drum Method Book 1. Van Nuys. USA. Thomann. (2018). The shape of the head, www.thomann.de/gb/onlineexpert_ page_drumsticks the shape_of_the_head.html _____. (2019). WHAT YOU SHOULD KNOW ABOUT KICK DRUM PEDALS, www.thomann.de/blo/en/what-you should know- about-kick-drum-pedals.