The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยืน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กองทุนสิ่งแวดล้อม, 2022-08-05 00:04:38

จุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยืน

จุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยืน

จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้
สู่ชมุ ชนย่ังยนื

โดยกองทุนส่ิงแวดลอ้ ม

บนั ทึกองค์ความรู้ บทเรียน และผลสำ� เรจ็ จากโครงการ
ดา้ นการสง่ เสริมและรกั ษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
ทีไ่ ด้รบั การสนบั สนุนจากกองทุนสง่ิ แวดล้อม ในชว่ งปี 2556-2560

จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้
สชู่ มุ ชนยั่งยืน

โดยกองทนุ สงิ่ แวดลอ้ ม

จุดประกาย 1
ขยายองคค์ วามรู้ สูช่ มุ ชนยง่ั ยืน

จุดประกาย ขยายองคค์ วามรู้ สูช่ มุ ชนยงั่ ยนื โดยกองทุนสง่ิ แวดล้อม

จัดท�ำโดย กองบริหารกองทนุ สิ่งแวดลอ้ ม ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม
อาคารทิปโก้ 2 ชนั้ ที่ 16 เลขที่ 118/1 ถนนพระรามท่ี 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรงุ เทพฯ 10400
โทรศัพท/์ โทรสาร: 02 265 6600 E-mail: [email protected]
Facebook: กองทุนส่งิ แวดล้อม สผ. , Website: http://envfund.onep.go.th/

กองบริหารกองทุนส่งิ แวดลอ้ ม

คณะท่ีปรึกษา ดร.พิรุณ สยั ยะสทิ ธิพ์ านชิ
นายมนตส์ ังข์ ภศู่ ริ ิวัฒน ์
นายจิรวฒั น์ ระติสนุ ทร

บรรณาธิการ ดร.ณัฏฐนิช อัศวภษู ติ กุล

ผู้เรยี บเรียง นางอศั นี กุลประดิษฐ์ ดร.กัญญาวีณ์ ลำ�่ สนั
นางรพพี ร ขันโอฬาร นางสาวพชิ ชาภัทร์ กลุ มา
ดร.กติ ตศิ ักดิ์ พฤกษก์ านนท ์ นางสาวณฐั นันท์ ทะแดง
นางสาวสุวรรณา จันทรไพฑูรย ์ นางสาววรรณนิภา บญุ มา
นายโฆสติ ชโู ต นางสาวสรุ างคนางค์ ทุมรตั น์

การอา้ งองิ สำ� นกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม. 2565. จดุ ประกาย ขยายองคค์ วามรู้
สู่ชมุ ชนย่งั ยนื . กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ. 132 หนา้
เ รยี บเร ียง
ออกแบบ มลู นธิ สิ ถาบันสิง่ แวดล้อมไทย
พิมพ์เมื่อ [email protected]
กรกฎาคม 2565 จ�ำนวน 500 เลม่
จดั พิมพ ์
บรษิ ัทสำ� นักพมิ พ์สอ่ื ตะวนั จำ� กัด

จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่ังยืน

นับวันทรัพยากรธรรมชาติในพ้ืนท่ีต่าง ๆ ได้ถูกน�ำไปใช้ประโยชน์จนเกินขีดจ�ำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพการเปล่ียนแปลงการใช้ท่ีดินจากสภาพทางธรรมชาติไปเป็นพื้นท่ีเกษตรกรรม ท่ีอยู่อาศัย
และสงิ่ ปลกู สรา้ งสามารถพบเหน็ ไดท้ วั่ ไป อกี ทง้ั ยงั มภี ยั คกุ คามจากมลพษิ ภยั ธรรมชาติ และการเปลย่ี นแปลง
สภาพภมู ิอากาศ ท�ำให้ทรพั ยากรธรรมชาติมีความเสอ่ื มโทรมและไมส่ ามารถฟนื้ ฟไู ดด้ ว้ ยตวั เอง
กองทนุ สง่ิ แวดลอ้ มซงึ่ เปน็ มาตรการทางการเงนิ ทจ่ี ดั ตงั้ ขน้ึ ตามพระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพ
ส่งิ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้ส่งเสรมิ การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม โดยชมุ ชน
มาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยสนบั สนนุ สว่ นราชการ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และองคก์ รเอกชนดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม
ด้วยการจุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนย่ังยืน จนสามารถสร้างผลงานและความส�ำเร็จ
กระจายในพ้ืนที่ตา่ ง ๆ
ความรู้ ประสบการณ์ และบทเรียนอันทรงคุณค่าเหล่านั้น ได้ท�ำการรวบรวมโดยกองบริหารกองทุน
สิ่งแวดล้อม ร่วมกับมูลนิธิสถาบันส่ิงแวดล้อมไทย และองค์กรที่ด�ำเนินโครงการ สะท้อนให้เห็นถึง
ความส�ำเร็จในการฟื้นฟู และรักษาระบบนิเวศตั้งแต่ป่าต้นน้�ำ ระบบเกษตรกรรม ระบบนิเวศเมือง
แหล่งน�้ำจืดในแผ่นดิน เช่ือมโยงระบบนิเวศชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นบทเรียนที่ล้�ำค่าควรเผยแพร่
และขยายผลสู่ชุมชนและผู้ท่ีสนใจ เพ่ือร่วมกันฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
ใหเ้ อือ้ ประโยชน์ตอ่ ชุมชนอย่างย่ังยนื

กองบรหิ ารกองทนุ สิ่งแวดล้อม
สำ� นักงานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม

จุดประกาย 3
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนยงั่ ยืน

สารบัญ 5
11
1. บทน�ำ
2 . แนะนำ�โครงการและผลงานเด่น 15
กรณีภาคเหนือ 29
43
กรณภี าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 47
กรณีภาคกลาง
กรณภี าคใต ้ 51

3. องค์ความรู้ บทเรียน และผลส�ำ เร็จในการจัดการ 53
ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม 58
62
การจัดการปา่ ไมโ้ ดยใชภ้ มู ิปญั ญาท้องถ่นิ 64
68
การจัดการไฟป่าและหมอกควัน 72
การลดผลกระทบภัยธรรมชาติ 78
การจดั การลมุ่ นํา้ อย่างมสี ว่ นรว่ ม 82
การอนรุ ักษ์ชนิดพันธส์ุ ำ�คัญ 84
การส่งเสริมเกษตรกรรมย่ังยนื
การรกั ษานเิ วศประวตั ศิ าสตร์ 89
การจดั การพ้นื ที่สเี ขยี วในเมอื ง
การฟ้ืนฟแู ละอนรุ กั ษส์ ตั วน์ ้ํา 91
96
4. องคค์ วามรู้ บทเรยี น และผลส�ำ เร็จของกระบวนการจดั การ 100
ท รพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 105
การพฒั นาเครอื ข่ายการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม 109
111
การสือ่ สารสร้างความตระหนัก
การพฒั นาแหลง่ เรยี นรู้ 115
การพัฒนาหลกั สตู รทอ้ งถ่นิ 125
การพฒั นาเคร่อื งมอื และกลไกการจดั การทรัพยากรท้องถนิ่
การพัฒนาความร่วมมือชุมชน รัฐ และเอกชน

5. บทสรปุ

6. องคก์ รดำ�เนนิ งานและผใู้ ห้ข้อมลู

4 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนยั่งยนื

ส่วนท่ี 1

บทนำ�

จุดประกาย 5
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนยงั่ ยืน

6 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยง่ั ยนื

จากความรู้ ความเข้าใจ สูก่ ารอนรุ ักษ์

การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเพ่ิมมากข้ึน ตามความต้องการท้ังอุปโภค

และบริโภคในครัวเรือน และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ท�ำให้มีการใช้ประโยชน์อย่างเข้มข้น เกิดปัญหาเดิมซ�้ำ ๆ
และรุนแรงข้ึน อาทิ การบุกรุกและแผ้วถางป่าเพื่อการเกษตรซ่ึงใช้สารเคมีอย่างต่อเนื่อง การเข้าไปใช้ประโยชน์
มากจนเกินก�ำลังผลิตของป่า เกิดการพังทลายของพื้นท่ีริมตลิ่ง แหล่งน้�ำธรรมชาติมีความเส่ือมโทรม ท�ำให้ถ่ินที่อยู่
อาศยั ตามธรรมชาติของพชื สัตว์ และจลุ นิ ทรียล์ ดลง ส่งผลให้ชนดิ พนั ธ์บุ างชนดิ สญู หายไป
หลายพ้ืนท่ีมีความต่ืนตัวต่อปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงหันมาร่วมคิดและวางแผนเพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหา
ขณะที่ภาครัฐมีการออกนโยบายเพ่ือลดผลกระทบท่ีเกิดข้ึนต่อส่ิงแวดล้อมท้ังทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งเน้น
การส่ือสารเพ่ือให้เกิดองค์ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมด้วยการ
มสี ่วนรว่ มของทุกภาคส่วน
ส�ำหรับกิจกรรมโครงการด้านการส่งเสริมและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ที่ด�ำเนินงานโดยองค์กร
ต่าง ๆ ด้วยการสนับสนุนเงินอุดหนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม ได้เป็นส่วนหน่ึงในการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม
ของประเทศ ส่งผลให้หลายพื้นท่ีลงมืออนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในท้องถ่ินตนเอง
เกดิ ความรว่ มมอื ระหว่างภาคสว่ น และขยายองคค์ วามร้สู ู่สาธารณชนมากข้นึ ตามล�ำดบั

จุดประกาย 7
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนยั่งยืน

2

กระบวนการ 1
ถอดบทเรยี น
องค์ความรู้
และผลสำ�เรจ็

3

สมั ภาษณ์ผู้รบั ผดิ ชอบ
โครงการ

ศึกษาข้อมูลโครงการ สำ� รวจพื้นท่ี
และองค์กร ด�ำเนินงาน และประชมุ กลมุ่ ยอ่ ยผเู้ กย่ี วขอ้ ง

6 5 4

ขสจยุดูช่ มุาปยชรสอขนะจกู่ชงยยดุ ุมาคาั่งปยชยค์ ยสรขนอวืนู่ชจะยงกามุดุ างั่มคาชปยยยร์คนรอู้ืนวยะงกาคมา์คยรวู้ ามโดยกองทุนสโดงิ่ ยแกวดองลท้อุนมสง่ิ แวดลอ้ มอาคารทปิ โโกท้ 2รศชพั ั้นสทท�ำ์/นี่โ1ทกั 6รงอสำเาลนาคขรนา:ทรโ0่ียท12บิป1Fำโ2a8โกกยท6c/อ้แ1e5ร2งศลbบถ6ชัพะoน6รัน้แoท0ิหนสทผk/์0ำ�ำพโ:่ีนรนท1จรกทกE6กัระัดอรอ-สรงทองmเัพงาำาลทา�ำทมรนยขaคโนุ:ทุนำดiนทาlส0ก:่ีรยสโ่ีง่ิ621ยทรe่งิแF1ธบnิปแแ2วa8รโvวำโขด6cทร/กfยกeดว5ล1uมร้แอbงลอ้2ศnช6พถลoงมอ้พัd6ชำบนญoะมท0.ต้ันสแsนรkา0์/แิทaผ:ิหผพไสโrล.กท่ีทำน,aำ�ร1EอะรรนะbทW6จ-เสงกสขmรกัuรัดทe่ิงาเอาตงพัnลทรแุนabมงำพข@:ยiวสทำ�sทนlญท0:iำโดง่ิoุนt่ีนด2่ีกแee6าลn1สโยวไรn:ยอ้2e1่งิแทดธvh6บ8มpแขลรft5/กำ.วuวรtอ้g1ยpรงดnม6oมกพงุแถ:ลd6ชอ./เtลสญน0/อ้ท.ำงhseผะน0บมตพาaแ.nพไ,rริแฯผทavEิหWรลfbน-ะ1ำuะเmeuทขร0รสnbาnกต4รaจ่ิงdมs@พัiอพ0ดัแli.ทt:oง0ยทวญoe่ีeทnำด�ำ:6nาnุนeกโลhไevดแpรสทt้อpfขยธt.ิง่uมg.pวรกแgnoง:รoรว/dพ.ม/งุt.ด.tehญเชshลทna/ำา้อพrvตไaมfทฯแิbuลunเ1ขะnd0ตส@.4oพิ่ง0onแญ0neวาepดไp.ทลg.้อogกมo.tร.hุงthเ/ทพฯ 10400 สรุปผลตรวจทานขอ้ มูลรว่ มกัน ถอดบทเรยี น องค์ความรู้
ง่ั ยนื รู้โดยกองทุนสิง่ แวดลอ้ มFacebook: กองทุนสิง่ แวดลอ้ ม สผ., Websiกtอeงท:ุนhสง่ิtแtวpด:ล/้อ/มenvfunกอdงกท.อนุoงสทnิง่ ุนแeสวดง่ิpแลว.อ้ gดมoล้อ.มth/ กองทนุ สงิ่ แวดล้อม และผลส�ำเร็จ
จดุ ประกาย ขยายองค์ความรู้ สชู่ มุ ชนยัง่ ยนื
กองทุนสิง่ แวดล้อม กองทุนสงิ่ แวดล้อม จดุ ประกาย ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนย่ังยืน

จดุ ประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนยงั่ ยนื

บดทำ้ี่ไนั ดนท้รกกึ ับำอกรงสำคร่ง์คสเสวนรำบั มิมสแรทดนู้ลบี่ไบ้ำุนะดันนทรจร้ทกกัเับำรกึ ำษกกยีอรกำำนสงทอรคง่ สแงรเค์ ทสพันลทวดรุนะับย่ไีำบมิดำ้ผสำสมนัน้รแลก่งินรับกทลแสรู้นุ บกำะึกธวำ� จรำรรอทดเรสำรักรงลเจ็กส่งรมษค้อเจยีกนช์คสำมำนอบัทวำรกงิมสตำใรแโทนมนแแิพัคลนุรชลนุลรยะู้สะ่วะงจำบผรง่ิกสงำกทลกัแปกำงิ่รสเษวรแกรีธำ�2ดียำวอรเ5ทลนรดรง5มจ็ทรอ้ลแ6ัพจชมนุ้อล-ำยำสม2ะใกตำิง่5นผกโแิแ6คชลรวล0สรว่ธดะงรำ�งลสกรเปร้องิ่มำีจ็แมร2ชจว5ำใำด5ตนกล6ิแชโ้อ-คลว่ 2มระง5งสป6กิง่ี 02ำแร5ว5ด6ล-้อ2ม560

เผยแพร่ องคค์ วามรู้
บทเรยี น และความสำ� เรจ็

8 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู มุ ชนยัง่ ยืน

บนั ทกึ องคค์ วามรู้

องคค์ วามรแู้ ละความสำ� เรจ็ จากการดำ� เนนิ งานโครงการดา้ นการสง่ เสรมิ และรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม

ทไ่ี ดร้ บั การสนบั สนนุ เงนิ อดุ หนนุ จากกองทนุ สงิ่ แวดลอ้ มซงึ่ ดำ� เนนิ การในชว่ งปี2556-2563 จำ� นวน 18 โครงการ ไดถ้ กู หยบิ ยก
ข้ึนมาถอดบทเรยี น องคค์ วามรู้ และผลสำ� เร็จการดำ� เนนิ งาน โดยกองบริหารกองทุนสง่ิ แวดล้อม สำ� นักงานนโยบาย
และแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม และมลู นธิ สิ ถาบนั สงิ่ แวดลอ้ มไทย เพอื่ ถา่ ยทอดและเผยแพรแ่ กท่ กุ ภาคสว่ น
ใหไ้ ดร้ บั รู้ เข้าใจ และตระหนักถงึ ความสำ� คัญและรว่ มมอื กันรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
กระบวนการรวบรวม บนั ทกึ และถา่ ยทอดองคค์ วามรู้และความสำ� เรจ็ จากการดำ� เนนิ โครงการตา่ ง ๆ เรมิ่ จากการศกึ ษาขอ้ มลู
โครงการ และผลการด�ำเนินงานจากโครงการที่สามารถเป็นต้นแบบ น�ำไปต่อยอด ขยายผล รวมทั้งเกิดประโยชน์
ต่อผู้สนใจ โดยพิจารณาใหค้ รอบคลมุ ประเดน็ การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละครอบคลมุ ภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของประเทศ
จากนนั้ ทำ� การศกึ ษารายละเอียดโครงการ สัมภาษณ์ผู้รับผิดชอบ ส�ำรวจพื้นที่และเยี่ยมชมกิจกรรม จัดการประชุม
กลุ่มย่อยกับผู้เกี่ยวข้องและผู้ได้รับประโยชน์ ด�ำเนินการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อถอดบทเรียนและ
องค์ความรู้ รวมท้ังร่วมกันตรวจทานข้อมูลเพื่อให้มีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นท่ียอมรับร่วมกัน แล้วท�ำการสรุป
ข้อมูล จัดท�ำสอื่ ประชาสัมพนั ธเ์ พือ่ เผยแพรอ่ งคค์ วามรู้ บทเรียน และความส�ำเรจ็ ทมี่ คี ณุ ค่าเหลา่ นั้น

ขอ้ คน้ พบ

การด�ำเนินโครงการด้านการส่งเสริมและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการสนับสนุน

เงินอุดหนุนจากกองทุนส่ิงแวดล้อม สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ท้ังชุมชน องค์กรปกครอง
สว่ นท้องถ่นิ สถาบันการศกึ ษา หนว่ ยงานราชการ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ท่ีมีความเกีย่ วขอ้ งในการดูแล
รกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตใิ นพนื้ ที่ เกดิ ความรว่ มมอื ในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มใหม้ คี วามยงั่ ยนื
ผ่านกิจกรรมท่ีร่วมกันออกแบบกลไก มาตรการ ในการป้องกัน รักษาพื้นท่ีป่า แหล่งน�้ำ และทรัพยากรในท้องถิ่น
โดยตระหนกั วา่ ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ โดยรอบยงั ตอ้ งพงึ่ พงิ ทรพั ยากรจากปา่ และธรรมชาตใิ นการดำ� รงชวี ติ อกี ทง้ั มกี ารสอื่ สาร
ให้มคี วามเขา้ ใจให้ตรงกนั จะช่วยสร้างความร่วมมอื ในการอนรุ ักษแ์ ละฟืน้ ฟูทรัพยากรไดม้ ากข้นึ

องคค์ วามรทู้ ค่ี น้ พบจากการตดิ ตามความสำ� เรจ็ และความยง่ั ยนื ของโครงการในแตล่ ะพนื้ ที่ พบวา่ มกี ารใหค้ วามสำ� คญั
กบั การมสี ว่ นรว่ มของภาคสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง จากพน้ื ทปี่ า่ ตน้ นำ้� บนเทอื กเขาสงู สลู่ มุ่ นำ้� ลำ� นำ�้ สาขา ปา่ เบญจพรรณ ปา่ เตง็ รงั

จดุ ประกาย 9
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนย่ังยืน

สพู่ ้ืนท่รี าบลุ่มภาคกลางและพ้ืนที่ชุม่ น้ำ� ชายฝ่ังทะเล โดยเชื่อมโยงกบั นโยบายของประเทศและการลดผลกระทบต่อ
ผคู้ นท่พี ่งึ พาทรพั ยากรเหลา่ น้ัน
หลายโครงการมุ่งเน้นการท�ำงานด้านสิทธิในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชมุ ชน น�ำไปสู่การฟน้ื ฟู อนุรักษแ์ ละ
ใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน บางโครงการเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม เช่น การแก้ปัญหา
หมอกควนั จากไฟปา่ หรอื การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดลอ้ มโดยการสง่ เสรมิ การทำ� เกษตรอนิ ทรยี ์ และวนเกษตร
บางโครงการเน้นไปที่การอนุรักษค์ วามหลากหลายของพชื และสัตวน์ ำ้� ในพืน้ ท่ขี องตน เป็นตน้

…..เช่ือมโยงการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม กับสขุ ภาพ รายได้
และความกินดอี ยู่ดี รวมถึงการสืบสานประวัติศาสตร…์

ขณะทบี่ างโครงการเหน็ ความสำ� คญั ในการนำ� ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ มาเชอื่ มโยงกบั ธรรมชาตเิ พอื่ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ กย่ี วขอ้ งตระหนกั
ถงึ คณุ คา่ ของสง่ิ ทตี่ นมี นำ� ไปสกู่ ารรกั ษาธรรมชาตแิ ละสบื สานประวตั ศิ าสตร์ และหลายโครงการมกี ารใชภ้ มู ปิ ญั ญาพนื้ บา้ น
เพอื่ เปน็ ฐานในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ ซ่ึงไดบ้ ันทึก ถา่ ยทอด เผยแพร่ความรเู้ หลา่ นน้ั ให้คงอยู่สูค่ นร่นุ หลงั
ปจั จยั ความสำ� เรจ็ ทส่ี ำ� คญั ไดแ้ ก่ การสง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มของภาคสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การสรา้ งและเสรมิ ความเขม้ แขง็
ของภาคเี ครอื ขา่ ย และการพฒั นาศกั ยภาพของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี หลกั ในโครงการ ไมว่ า่ จะเปน็ ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
กลุม่ สตรี ผู้สูงอายุ กลุม่ เยาวชน หรอื เจา้ หนา้ ท่ีขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ การดำ� เนินงานของหลายโครงการ
น�ำไปสู่ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างย่ังยืน หรือการด�ำเนินงานในชุมชนเมือง ซึ่งมีกิจกรรมที่เช่ือมโยง
ภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาสงั คมเข้าด้วยกนั จนน�ำไปสูก่ ารจดั การเมอื งทค่ี �ำนึงถงึ ผู้อยู่อาศยั และผมู้ าเยือน
เนื้อหาในหนังสือเล่มน้ี นอกจากเป็นการทบทวนความส�ำเร็จท่ีผ่านมาของโครงการด้านการส่งเสริมและรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ยังได้น�ำเสนอกิจกรรมเด่นของแต่ละพื้นท่ีด�ำเนินโครงการตลอดจนได้รวบรวม
ข้อจ�ำกัด ข้อพึงระวัง รวมท้ังความท้าทายและแนวทางการพัฒนาสู่ความย่ังยืน เพื่อให้สามารถน�ำไปปรับใช้ให้
เหมาะสมกับสถานการณข์ ้างหน้าและความเปล่ียนแปลงใหม่ ๆ อย่างรอบคอบและมีประสิทธภิ าพ

10 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนย่ังยืน

ส่วนที่ 2

แนะน�ำ โครงการ
และผลงานเด่น

จดุ ประกาย 11
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยงั่ ยืน

12 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

3 กรณภี าคเหนือ
1) โครงการพฒั นาเครอื ขา่ ยเกษตรอนิ ทรียพ์ ืน้ ท่ี
5 1 ตน้ นำ�้ แมฮ่ าว อ.แม่แตง จ.เชยี งใหม่
2 2) โครงการเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการอนรุ กั ษต์ ้นไม้ใหญ่
และการจัดการพ้ืนทส่ี เี ขยี วเมอื งเกา่ เชียงใหม่
64 3) โครงการพฒั นาศกั ยภาพเครอื ขา่ ยทรพั ยากร
ล่มุ น้ำ� แม่แตงตอนบน อ.เวยี งแหง จ.เชยี งใหม่
7 4) โครงการจัดการไฟป่าต�ำบลสบเต๊ียะ แม่สอย
และบ้านแปะ อ.จอมทอง จ.เชยี งใหม่
9 5) โครงการจดั การทรัพยากรธรรมชาตปิ า่ ไม้
อ.กลั ยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่
16 15 13 12 6) โครงการพัฒนากระบวนการ กลไกข้อตกลงร่วม
10 8 และการจัดการพนื้ ทเ่ี กษตรในเขตปา่ ตน้ นำ้�
14 ต.ปางหนิ ฝน จ.เชียงใหม่
11 7) โครงการเสริมสรา้ งศกั ยภาพองคก์ รชมุ ชน
อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
18 17 กรณีภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ
8) โครงการจดั การพ้ืนทล่ี ่มุ น้ำ� ล�ำเซบาย จ.ยโสธร
9) โครงการอนรุ กั ษ์และฟ้นื ฟทู รพั ยากรธรรมชาติ
ดนิ น�ำ้ ปา่ ตน้ นำ�้ พงุ จ.เลย
10) โครงการอนรุ ักษ์และฟืน้ ฟูความหลากหลายทางชวี ภาพ
ในพน้ื ท่ีป่าใหญ่โคกจกิ -ตาลอก อ.พยคั ฆภูมิพสิ ยั
จ.มหาสารคาม
11) โครงการฟน้ื ฟแู ละอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ
ในลำ� หว้ ยทบั ทัน จ.สุรนิ ทร์
12) โครงการสง่ เสริมศักยภาพปา่ แหง่ การเรียนรู้ จ.ร้อยเอ็ด
13) โครงการเสรมิ สร้างกระบวนการมีสว่ นร่วมการบรหิ าร
จดั การฐานทรพั ยากรดนิ น้�ำ ปา่ อ.แวงนอ้ ย จ.ขอนแก่น
14) โครงการอนรุ กั ษแ์ ละใช้ประโยชนจ์ ากปา่ ชุมชน
อาลอ-โดนแบน จ.สุรนิ ทร์

กรณีภาคกลาง
15) โครงการฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและความหลากหลาย
ทางชวี ภาพของพันธ์ุข้าวพืน้ บ้าน จ.สพุ รรณบรุ ี
16) โครงการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพเครอื ขา่ ยปา่ ชมุ ชน จ.กาญจนบรุ ี

กรณีภาคใต้
17) โครงการจดั การพ้นื ท่ชี ุ่มน้�ำอ่าวบ้านดอนอย่างยั่งยนื
จ.สรุ าษฎรธ์ านี
18) โครงการฟืน้ ฟพู ลับพลงึ ธารพชื อาศัยถนิ่ เดียวในโลก
ที่ใกลส้ ูญพันธใุ์ น จ.ระนอง และ จ.พังงา

จดุ ประกาย 13
ขยายองค์ความรู้ สูช่ ุมชนยงั่ ยนื

14 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

กรณีภาคเหนือ

1 การพฒั นาเครือขา่ ยเกษตรอนิ ทรียพ์ นื้ ท่ีตน้ นำ�้ แมฮ่ าว

อำ�เภอแมแ่ ตง จงั หวัดเชยี งใหม่

การพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ในพ้ืนท่ีต้นน้�ำแม่ฮาวได้ริเร่ิมข้ึน

หลังจากส้ินสุดการฝึกอบรมโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์
ท่ีสนับสนุนโดยหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ซ่ึงถือเป็นต้นทุนเดิมที่มีการ
ดำ� เนนิ งานอยแู่ ลว้ นำ� มาสกู่ ารพฒั นายกระดบั เครอื ขา่ ยใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื

มูลนิธิพัฒนาศักยภาพชุมชน และสถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน
ด�ำเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ เพ่ือรักษาทรัพยากร
ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมพื้นที่ต้นน�้ำแม่ฮาว ระหว่างปี 2556-2559
โดยมงุ่ เนน้ พฒั นาศกั ยภาพขององคก์ รชุมชนโดยกระบวนการมีส่วนร่วม
สรา้ งระบบเกษตรกรรมทย่ี ั่งยืนแบบครบวงจรอยา่ งเปน็ รูปธรรม มกี ล่มุ เปา้ หมายเป็นเกษตรกร แกนน�ำชุมชน โดยมี
หน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานด้านการเกษตร และสาธารณสุข ในต�ำบลสบเปิง
และตำ� บลปา่ ยาง อำ� เภอแมแ่ ตง จงั หวดั เชยี งใหม่ ชว่ ยใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงวถิ กี ารผลติ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ปฏเิ สธการใช้
สารเคมีทุกชนิดในการเพาะปลูก และรู้จักแก้ปัญหาแบบองค์รวม เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่ม
เครอื ข่ายและการพึ่งพิงตนเองของเกษตรกร อีกท้ังยังเกอ้ื กูลผบู้ รโิ ภคท่ีต้องการอาหารปลอดภยั

ผลงานเด่น

เกษตรอินทรีย์วิถียั่งยืน โดยการประยุกต์ใช้กลไกนิเวศธรรมชาติอย่างสมดุลและการสร้างความหลากหลาย
ทางชีวภาพในระบบการเกษตร ไดแ้ ก่ สรา้ งการหมุนเวียนธาตอุ าหารในดิน การสร้างความอุดมสมบรู ณ์ของดนิ
และความหลากหลายในระบบนเิ วศ การอนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟนู เิ วศการเกษตร และการพงึ่ พาตนเองดา้ นปจั จยั การผลติ
ส่งต่อเร่ืองของการอนุรักษ์ให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นลูกหลานของสมาชิกในกลุ่มให้กลับคืนถ่ิน ด้วยแนวคิด
การสร้างงานให้กับคนในท้องถ่ินบนรากฐานของทรัพยากรที่มี และน�ำความรู้มาต่อยอดงานแปรรูปผลผลิต
ทางการเกษตร เชน่ ชารางจดื ขา้ วกลอ้ ง กลว้ ยฉาบ นำ�้ เตา้ หู้ ขนมทองเอกคนิ าโกะ ขา้ วเกรยี บวา่ วงาแผน่ ดบิ เปน็ ตน้

จุดประกาย 15
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยนื

สรา้ งความม่ันคงด้านการผลิต ผ่านกจิ กรรมการเก็บเมล็ดพันธุพ์ ชื ทอ้ งถิ่นเอง และการเพาะขยายกลา้ พนั ธพุ์ ชื
ซ่ึงเมล็ดพันธุ์ที่เก็บรวบรวมไว้น้ันจะน�ำมาหมุนเวียนเพาะปลูกในรอบต่อไป รวมท้ังการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์
อินทรยี ์ระหวา่ งสมาชิก เพือ่ เปน็ การอนุรกั ษช์ นิดพนั ธพุ์ ้นื บ้านอีกทางหนึง่
สร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชนเกษตรอินทรีย์ โดยวางแผนปลูกพืชผัก ผลไม้ และการเลี้ยงสัตว์
(ปลา ไก่ สกุ ร) ในทดี่ นิ ทำ� กนิ ของตนเอง ใหส้ ามารถใหผ้ ลผลติ ไดต้ ลอดทงั้ ปเี สมอื นวา่ มีตลาดอยู่ใกล้บ้าน ผลผลิต
ทเี่ กบ็ หาได้นนั้ สามารถน�ำไปแลกเปลีย่ นกับเครือญาติและแบง่ ปนั เพ่ือนบ้านใกล้เคยี ง
พฒั นารปู แบบวถิ เี กษตรอนิ ทรยี ท์ ส่ี มั พนั ธก์ บั วฒั นธรรม ยดึ มนั่ หลกั การความพอเพยี งในการทำ� เกษตรอนิ ทรยี ์
เป็นสำ� คญั คือ กินทุกอยา่ งที่ปลกู ปลกู ทุกอยา่ งที่กิน ส่วนที่เหลือนำ� ไปแบง่ ปันและขาย รวมไปถงึ การแบ่งปนั
ความรู้ด้านการผลิตแบบอินทรีย์และการแลกเปล่ียนปัจจัยการผลิตระหว่างเกษตรกรท่ีท�ำแบบอินทรีย์
สร้างความใส่ใจต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงความส�ำคัญของทรัพยากรดิน น�้ำ ป่า
ซงึ่ เปน็ ปจั จยั การผลิตอาหารและแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนของชุมชน และยังคงวิธีการผลิตแบบอินทรีย์ ท่ีช่วยฟื้นฟู
คุณภาพดินใหเ้ หมาะกับการเพาะปลกู เพื่อส่งผลให้ส่ิงมชี ีวติ ทง้ั พชื และสตั ว์ในระบบนเิ วศสามารถอย่รู ว่ มกนั ได้
ในระบบเกษตรแบบผสมผสาน

ปจั จัยสคู่ วามส�ำเร็จ

• การพัฒนารูปแบบการตลาดเกษตรอินทรีย์และขอใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้กับผลผลิตของตน
•• เป็นการเพม่ิ ชอ่ งทางการตลาด เพมิ่ ความเชื่อถือให้กับผบู้ รโิ ภค และเพ่มิ ปริมาณการขายได้

การตดิ ต่อโดยตรงกบั ผู้แปรรปู สินค้าเกษตรอนิ ทรยี ์ ท�ำให้เกษตรกรมแี หล่งรับซอื้ ผลผลติ ทแี่ นน่ อน
การเปล่ียนแปลงวิถีการผลิตอย่างต่อเนื่องและเห็นผลในระยะยาว น�ำไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษาดูงาน

• ถ่ายทอดและแลกเปล่ียนองค์ความร้ดู า้ นการผลติ ดา้ นการแปรรูป กบั ผูเ้ กีย่ วขอ้ งหลายกลุ่ม

เกษตรกรเรียนรู้ที่จะลดและเลิกใช้สารเคมี โดยหาความรู้ผ่านการฝึกอบรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

• เพ่อื ให้รู้จักและเข้าใจการท�ำเกษตรอินทรยี ์ และมัน่ คงในวิถีทางท่กี า้ วเดนิ

เครือข่ายเกษตรอินทรีย์บ้านดอนเจียง มีวิธีการบริหารจัดการกลุ่มที่เน้นความเท่าเทียมและเสมอภาค
ในการทำ� งานรว่ มกนั จนเกดิ เปน็ เครือข่ายทเ่ี ข้มแข็ง เข้าใจในปญั หาและม่งุ มน่ั ในการแก้ไขปัญหารว่ มกัน

16 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนย่งั ยืน

2 การเพ่ิมประสิทธภิ าพการอนรุ ักษต์ น้ ไม้ใหญ่
และการจัดการพื้นท่สี ีเขียว เมอื งเก่าเชยี งใหม่

การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดปัญหา

ด้านการจราจร มลพิษทางน�้ำ และทางอากาศ รวมถึง
ปญั หาด้านสิ่งแวดล้อมจากการขยายตัวของที่อยู่อาศัย
การขาดแคลนพน้ื ทสี่ เี ขยี ว มลภาวะทางอากาศจากฝนุ่ ควนั
และความสั่นสะเทือนจากการจราจร และการก่อสร้าง
ซ่ึงปัจจัยท่ีกล่าวมายังส่งผลให้ต้นไม้ใหญ่ในเขตเมืองเก่า
เชยี งใหมอ่ ยใู่ นภาวะวกิ ฤต ขาดการดแู ลรกั ษาอยา่ งถกู วธิ ี
และขาดการเชอ่ื มโยงกับการวางแผนพัฒนาเมอื ง

มลู นิธิพัฒนาภาคเหนอื รว่ มกับเครอื ขา่ ยเชียงใหม่ เขียว สวย หอม ได้ดำ� เนินโครงการเพมิ่ ประสิทธิภาพการอนุรักษ์
ต้นไม้ใหญ่ และการจัดการพื้นที่สีเขียวเมืองเก่าเชียงใหม่ตามแนวคิดนิเวศประวัติศาสตร์อย่างมีส่วนร่วม ระหว่างปี
2556-2558 โดยมุ่งส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรภาคีในการฟื้นฟูอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่
และพน้ื ทสี่ เี ขยี วในพน้ื ทชี่ มุ ชนนำ� รอ่ ง 5 ชมุ ชน ไดแ้ ก่ ชมุ ชนพนั อน้ บา้ นปงิ เชยี งมน่ั พวกแตม้ และนนั ทาราม และถนนสาย
ต้นยางนา เขตเทศบาลต�ำบลยางเน้ิง และน�ำองค์ความรู้หมอต้นไม้มาเพ่ิมประสิทธิภาพและศักยภาพในการอนุรักษ์
ฟน้ื ฟู ดแู ลตน้ ไม้ มกี ลมุ่ เปา้ หมายเปน็ คณะทำ� งานอนรุ กั ษต์ น้ ไมใ้ หญท่ ม่ี าจากหลากหลายภาคสว่ นใชแ้ นวคดิ "นเิ วศประวตั ศิ าสตร"์
เปน็ เครอ่ื งมอื สำ� หรบั กระบวนการสรา้ งความภมู ใิ จและสำ� นกึ รกั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มแกช่ มุ ชน เครอื ขา่ ย และประชาชน ทำ� ให้
เกิดคณะท�ำงานระดับชุมชนเร่ืองการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่และหมอต้นไม้และอาสาสมัครรุ่นใหม่เข้ามาหนุนเสริม
ด้านการดูแลรักษาต้นไม้ น�ำไปสูก่ ารผลกั ดันข้อเสนอการจดั การสงิ่ แวดลอ้ มและพัฒนาเมืองเชียงใหม่

ผลงานเดน่

การจดั การพน้ื ทสี่ เี ขยี วตามแนวคดิ นเิ วศประวตั ศิ าสตร์ สรา้ งความภาคภมู ใิ จใหค้ นในชมุ ชน เหน็ ความสำ� คญั
ของพน้ื ทนี่ เิ วศเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั วถิ ชี วี ติ ประวตั ศิ าสตร์ ภมู ปิ ญั ญา และวฒั นธรรมของชมุ ชน
ชาวลา้ นนา โดยรว่ มกนั สำ� รวจสภาพและสขุ ภาพของตน้ ไมใ้ หญใ่ นเขตเมอื งเกา่ เพอ่ื วางแผนการฟน้ื ฟบู ำ� รงุ รกั ษา

จดุ ประกาย 17
ขยายองค์ความรู้ สชู่ มุ ชนยัง่ ยืน

อยา่ งมสี ว่ นรว่ ม กรณที ต่ี อ้ งตดั ตน้ ไมใ้ หญจ่ ะมผี เู้ ชย่ี วชาญดำ� เนนิ การรว่ มกบั เจา้ หนา้ ทเี่ พอ่ื ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั วชิ าการ
และแตง่ ตงั้ คณะทำ� งานทม่ี าจากชมุ ชน ภาคประชาสงั คม และสอ่ื มวลชน เพอ่ื รว่ มกนั วางแผนและดำ� เนนิ งานจดั การ
ตน้ ไมใ้ หญข่ องเมอื ง รวมถงึ วางแผนงานและงบประมาณในการอบรมเจา้ หนา้ ทใ่ี หม้ คี วามรู้ ทกั ษะ และมเี ครอ่ื งมอื
ทเ่ี หมาะสม รวดเรว็ เพยี งพอ
สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจบริการและโรงแรมในการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ กรณีตัวอย่าง
โรงแรมแทมมารนิ วลิ เลจ ทมี่ ตี น้ มะขามยกั ษท์ ใ่ี หร้ ม่ เงากบั พนื้ ทมี่ าเปน็ เวลากวา่ 200 ปี เปรยี บเสมอื น “ใจบา้ น”
ซ่ึงสอดคล้องกับความเช่ือล้านนา ผู้ประกอบการเคารพการอยู่ร่วมกับต้นไม้ใหญ่และส่งพนักงานไปอบรม
การเปน็ “รกุ ขกร” เพอ่ื กลบั มาดแู ลและอนรุ กั ษต์ น้ ไมใ้ หญอ่ ยา่ งถกู วธิ ี
เชอ่ื มรอ้ ยความรว่ มมอื ทกุ ภาคสว่ น ขบั เคลอ่ื นประเดน็ การจดั การรว่ มดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ฟน้ื ฟแู ละสง่ เสรมิ แนวคดิ
นิเวศประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ เกิดการจัดการพื้นที่สีเขียวโดยพิจารณาปัจจัยสภาพแวดล้อมต่อการพัฒนา
ภายใตบ้ รบิ ทพนื้ ทว่ี า่ งของเมอื งทย่ี งั คงหลงเหลอื อยู่ และสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาเมอื ง โดยอาศยั หลกั การ
มสี ว่ นรว่ มของประชาชนในกระบวนการพฒั นาทกุ ขนั้ ตอน
พฒั นาศกั ยภาพหมอตน้ ไมห้ รอื รกุ ขกร ผซู้ ง่ึ เขา้ ใจธรรมชาตแิ ละเมอื ง สง่ เสรมิ ใหม้ บี ทบาทในการฟน้ื ฟอู นรุ กั ษ์
ต้นไม้ใหญ่และพ้ืนที่สีเขียว พัฒนาศักยภาพของหมอต้นไม้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งต่อองค์ความรู้ให้กับ
กลมุ่ อาสาสมคั รหมอตน้ ไม้ เยาวชนหมอตน้ ไมอ้ าสา มหาวทิ ยาลยั การไฟฟา้ สว่ นภมู ภิ าค และองคก์ รปกครอง
สว่ นทอ้ งถนิ่ เพอื่ ทำ� หนา้ ทส่ี านตอ่ การดแู ลรกั ษาตน้ ไมใ้ หญ่

ปจั จัยสู่ความส�ำเรจ็

• การสร้างความเข้าใจและตระหนัก โดยการส่งเสริมกระบวนการท�ำงานอย่างมีส่วนร่วมของผู้คนในการช่วยดูแล
• เปน็ หู เป็นตา และสร้างกลไกใหท้ กุ คนรู้สกึ เปน็ เจ้าของ

การสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปทุกเพศวัย เข้าร่วมอบรม “หมอต้นไม้” เพื่อน�ำความรู้ในเทคนิคและวิธีการ

• ตดั แต่งไปใช้ในการดูแลรกั ษาและอนรุ ักษต์ น้ ไมใ้ หญท่ อี่ ยู่ในชุมชนและเขตเมอื ง

การประสานงานเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมจากหลายภาคส่วน เพ่อื รว่ มกนั ผลักดันการจัดการสงิ่ แวดลอ้ มในพ้นื ท่ี

• เมืองเชยี งใหม่ และก�ำหนดทศิ ทางของการอนุรักษ์และพฒั นาอยา่ งสอดคล้องกัน

การเคารพและอยูร่ ่วมกบั ธรรมชาติอยา่ งกลมกลนื เช่น ในกรณขี องผปู้ ระกอบการโรงแรมแทมมารินและโรงแรม
อน่ื ๆ ท่ีดำ� เนินธุรกจิ ควบคู่ไปกบั การอนรุ กั ษ์ธรรมชาติ เปน็ ตน้

18 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่งั ยนื

3 การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายทรัพยากรลุ่มน้�ำแม่แตงตอนบน

อ�ำเภอเวียงแหง จังหวดั เชียงใหม่

เมอ่ื กระแสทนุ นยิ มเรมิ่ เขา้ มาในพนื้ ท่ี สง่ ผลใหอ้ ำ� เภอ

เวียงแหงมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้านโดยเฉพาะการใช้
ทดี่ นิ และการใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรธรรมชาติ แตเ่ นอ่ื งจาก
ขาดแผนการจัดการในพ้ืนท่ีท่ีชัดเจน ชุมชนยังไม่เข้าใจ
สิทธิในการใช้ประโยชน์่ทรัพยากรธรรมชาติ รวมท้ัง
การท�ำงานของเครอื ข่ายองคก์ รชาวบา้ นที่ไมต่ อ่ เน่อื ง

มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ด�ำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายทรัพยากรลุ่มน้�ำแม่แตงตอนบน
ระหว่างปี 2557-2559 โดยมงุ่ เสรมิ สร้างศักยภาพเครอื ขา่ ยในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม และยก
ระดบั องคค์ วามรสู้ กู่ ารจดั ทำ� แผนยทุ ธศาสตรเ์ ครอื ขา่ ยองคก์ รชาวบา้ น พฒั นากลไกความรว่ มมอื ระหวา่ งเครอื ขา่ ยชมุ ชน
กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพ้ืนที่อ�ำเภอเวียงแหง ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู ป้องกัน
และดแู ลรกั ษาอยา่ งต่อเนือ่ ง โดยกลมุ่ เครอื ข่ายทรพั ยากรล่มุ น�้ำแม่แตงตอนบนและคนในทอ้ งถิ่น

ผลงานเด่น

จากความขัดแย้งกลับสู่ความร่วมมือ ในอดีตมีข้อพิพาทเร่ืองป่าไม้และท่ีดินระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าท่ีรัฐ
อยา่ งรุนแรง อกี ท้งั มปี ัญหาโครงการเหมอื งถา่ นหนิ ลกิ ไนต์ ทำ� ใหค้ นในพนื้ ท่มี คี วามตน่ื ตวั เกดิ เปน็ “เครอื ข่าย
ทรพั ยากรลมุ่ นำ้� แมแ่ ตงตอนบน” รว่ มกนั แกไ้ ขปญั หาความเสอ่ื มโทรมและขอ้ จำ� กดั ในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ
ในพื้นท่ี ปรับกระบวนการท�ำงานใหม่และหันมาสร้างความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม
องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และชมุ ชน

จดุ ประกาย 19
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยั่งยืน

ทะเบยี นประวตั กิ ารใชท้ ด่ี นิ รายแปลง เปน็ เครอ่ื งมอื แกป้ ญั หาการบกุ รกุ พนื้ ทป่ี า่ ไม้ รวมถงึ การวางระบบการผลติ
ทางการเกษตร การจดั การนำ�้ และการจดั การไฟปา่ ทำ� ใหเ้ กษตรกรมคี วามมน่ั คงในทดี่ นิ ทำ� กนิ มกี ารจดั การพนื้ ที่
การเกษตรทยี่ งั่ ยนื และสามารถเขา้ ถงึ การสนบั สนนุ ตา่ ง ๆ จากภาครฐั
การฟน้ื ฟลู ำ� นำ้� แมแ่ ตงเพอื่ หลอ่ เลยี้ งชมุ ชน เนน้ ใหท้ กุ ครวั เรอื นรจู้ กั ใชน้ ำ�้ อยา่ งรคู้ ณุ คา่ มกี ารตอ่ ทอ่ สง่ นำ้� จากปา่
ตน้ นำ้� มากกั เกบ็ เพอ่ื ผลติ นำ้� ประปาใหช้ มุ ชนใชป้ ระโยชนก์ วา่ 400 ครวั เรอื น โดยกำ� หนดคา่ นำ�้ เปน็ อตั รากา้ วหนา้
ทำ� ใหผ้ ใู้ ชต้ ระหนักว่าน้�ำมตี ้นทุนในการผลิตและจดั การ
กลไกความร่วมมือระดับต�ำบล โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นตัวเช่ือมประสานในการท�ำงานร่วมกับ
ภาคสว่ นตา่ ง ๆ รวมไปถงึ การออกแบบการทำ� งานทมี่ คี วามหลากหลายเพอื่ ใหเ้ กดิ รปู ธรรมในการจดั การและแกไ้ ข
ปญั หาในระดบั พน้ื ที่
ธรรมนญู ทอ้ งถนิ่ ลมุ่ นำ้� แมแ่ ตงตอนบน สนบั สนนุ และเสรมิ สรา้ งความเขม้ แขง็ ใหเ้ กดิ การพฒั นาขบวนองคก์ รชมุ ชน
เพอื่ ใหเ้ ปน็ กลไกสำ� คญั ในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม โดยมงุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ พลงั ในการสรา้ งแนวทาง
ใหมๆ่ ในการจดั การทรพั ยากรใหเ้ กดิ ความยง่ั ยนื ปจั จยั สคู่ วามสำ� เรจ็

ปจั จัยสู่ความส�ำเร็จ

• การจัดท�ำข้อมูลทะเบียนประวัติการใช้ที่ดินรายแปลง เป็นกุญแจส�ำคัญท่ีช่วยคล่ีคลายความขัดแย้ง สร้างความ

ม่ันคงในท่ีดินและสิทธิท�ำกิน ท�ำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ และเป็นข้อมูลสนับสนุน

• การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของเกษตรกรโดยรวม

การสรา้ งความรว่ มมอื ของชมุ ชนและหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาขอ้ เสนอในการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ

• โดยชมุ ชน และได้รบั การขบั เคลื่อนใหเ้ กิดการจัดการและแก้ไขปัญหาเชงิ นโยบาย

การสรา้ งทศั นคตขิ องชมุ ชนตอ่ แนวทางการจดั การปา่ ตน้ นำ�้ โดยผนู้ ำ� ชมุ ชนและสมาชกิ นำ� ความเชอ่ื และภมู ปิ ญั ญา
ทอ้ งถิน่ มาปรบั ใชแ้ ละเช่ือมโยงกับการดำ� เนินงานและแก้ไขปญั หา

20 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู ุมชนยงั่ ยืน

4 การจดั การไฟปา่ ต�ำบลสบเตี๊ยะ แม่สอย และบา้ นแปะ

อ�ำเภอจอมทอง จงั หวัดเชียงใหม่

หลายชุมชนในต�ำบลสบเต๊ียะเคยเข้าร่วม

ก า ร วิ จั ย ก า ร ล ด ป ริ ม า ณ เ ชื้ อ เ พ ลิ ง แ ล ะ
กระบวนการเรียนรู้เพ่ือแก้ไขปัญหาไฟป่า
โดยคณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่
ต่อมาได้ขยายการด�ำเนินงานไปยังพื้นท่ีอื่น
ซงึ่ มปี ระสบการณก์ ารจดั การไฟปา่ ทแี่ ตกตา่ ง
กัน หรือยังมีการใช้ไฟเพ่ือหารายได้จากการ
เกบ็ หาของปา่
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด�ำเนินโครงการวิจัยการสร้างกระบวนการเรียนรู้และถอดบทเรียนจากการจัดการไฟป่า
เพอื่ แกไ้ ขปญั หาหมอกควนั ระหวา่ งปี 2557-2559 มงุ่ สรา้ งกระบวนการเรยี นรใู้ นการจดั การไฟปา่ โดยการมสี ว่ นรว่ ม
ของภาคีเครือข่าย และประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์จากวิธีจัดการไฟแบบต่าง ๆ ถอดบทเรียนและ
องค์ความรู้จากการจัดการไฟป่าแบบมีส่วนร่วม เพื่อขยายผลและเผยแพร่ให้แก่ชุมชนอ่ืนและนำ� เสนอเป็นนโยบาย
สาธารณะ โดยมกี ลมุ่ เปา้ หมายเปน็ ชมุ ชน องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ อทุ ยานแหง่ ชาตอิ อบหลวง และสถานคี วบคมุ
ไฟป่าในการรว่ มกนั ตัดสินใจและจดั การแกไ้ ขปัญหาทเี่ กิดขึน้

ผลงานเดน่

การบริหารจัดการเช้ือเพลิง อาศัยคณะกรรมการหมู่บ้านและส่ือสารผ่านเวทีประชาคมหมู่บ้าน ขออนุญาต
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการลดปริมาณเชื้อเพลิงและความรุนแรงของไฟป่าที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการชิงเผา
ในพื้นที่ซึ่งมักเกิดไฟป่า โดยเฉพาะป่าเต็งรังที่พรรณไม้บางชนิดทนต่อไฟป่า สามารถแตกยอดแตกหน่อใหม่
ต้งั จดุ เฝา้ ระวังไฟปา่ ในพืน้ ทีต่ ้นน้ำ� ใช้เคร่อื งเปา่ ลมชว่ ยทนุ่ แรงในการท�ำแนวกันไฟ โดยรวมตวั กนั ท�ำแนวกนั ไฟ
รวมท้งั จัดเวรยามผลัดเปลี่ยนกันเฝา้ ระวงั ไฟป่า

จดุ ประกาย 21
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนยั่งยืน

วธิ กี ารชงิ เผาทเี่ หมาะกบั ปา่ เตง็ รงั เรม่ิ จากการกำ� หนดขอบเขตพนื้ ทรี่ ว่ มกนั ระหวา่ งตวั แทนชมุ ชนและเจา้ หนา้ ที่
ประเมนิ ปริมาณเชือ้ เพลิง ประชุมหารือก�ำหนดวันชิงเผาส�ำหรับหมู่บ้านที่มีความพรอ้ มดา้ นเชอื้ เพลงิ และคอย
ควบคมุ ไฟภายในแปลงชงิ เผาโดยการทำ� แนวกันไฟ เพอ่ื กันไฟลามและดบั ให้สนทิ
การสรา้ งฝายเพอ่ื การจดั การนำ้� โดยสรา้ งฝายแมว้ จากวสั ดธุ รรมชาติ บรเิ วณตอนบนของลำ� หว้ ย เพอ่ื ชะลอนำ้�
สร้างความชุ่มช้ืน และดักตะกอน กรณีฝายชะลอน�้ำแบบก่ึงถาวร ที่ใช้หินก่อและคอนกรีตผสมดินหรือทราย
สร้างบริเวณตอนกลางของลำ� ห้วย เพือ่ ดกั ตะกอนและเก็บกกั น้ำ� สว่ นฝายชะลอน�้ำแบบถาวร เป็นฝายคอนกรตี
เสริมเหล็ก สรา้ งตอนปลายของล�ำหว้ ย เพอ่ื กกั เก็บน�ำ้ ไวใ้ ช้ชว่ งฤดแู ล้ง
การฟน้ื ฟแู ละอนรุ กั ษป์ า่ ลมุ่ นำ�้ แมส่ อย จากการทช่ี มุ ชนตดั ไมฟ้ นื ขายเปน็ จำ� นวนมากในอดตี ทำ� ใหป้ า่ เสอ่ื มโทรม
ระบบนิเวศเปล่ียนแปลง เกิดความแห้งแล้ง น�้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
ทำ� ใหช้ มุ ชนหนั มาอนรุ ักษป์ ่าต้นนำ�้ อย่างจรงิ จงั คอยเฝา้ ระวงั ไฟป่าและการบุกรกุ ปา่

ปัจจยั สูค่ วามส�ำเร็จ

• การน�ำศาสตร์หลายแขนงมาปรับใช้ในการจัดการไฟป่าหลายรูปแบบ ไม่ว่าการท�ำแนวกันไฟด้วยแนวถนน
• หรือการใชส้ ่ิงท่มี ีอยู่แลว้ ตามธรรมชาติ เชน่ ลำ� หว้ ย แนวเขตหนิ เปน็ ตน้

การสื่อสารสองทางที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้น�ำชุมชนและสมาชิกในชุมชน ท�ำให้เกิดความไว้วางใจและปฏิบัติ

• ตามกฎระเบียบของชมุ ชน และเป็นการปลกู จติ ส�ำนกึ ในการเปน็ ผู้ดแู ลปา่ รว่ มกัน

ความตระหนักถึงผลกระทบจากการบุกรุกท�ำลายป่าต้นน้�ำ ปัญหามลพิษทางอากาศและหมอกควัน และปัญหา

• ดา้ นศักยภาพของชุมชนและการสนับสนุนจากหน่วยงานทุกภาคสว่ นท่เี ก่ยี วข้อง

การประเมินผลกระทบทเี่ กิดขึ้น โดยเก็บขอ้ มูลเพอ่ื ศกึ ษาวิจัยอย่างตอ่ เนอื่ ง มกี ารพจิ ารณาตวั แปรอ่ืน ๆ ในช่วง
การจดั การไฟปา่ ซ่งึ อาจอยูน่ อกเหนือการควบคุม เชน่ ลม ฝุ่นละออง เปน็ ตน้

22 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยงั่ ยนื

5 การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติป่าไม้

อ�ำเภอกลั ยาณิวัฒนา จังหวดั เชยี งใหม่

สภาพพื้นท่ีอ�ำเภอกัลยาณิวัฒนา เป็นภูเขาสลับ

ซับซ้อนท่ีปกคลุมด้วยป่าไม้ มีพ้ืนที่ป่าสนสองใบและ
สนสามใบผนื ใหญท่ สี่ ดุ ในไทย แตใ่ นอดตี ทผี่ า่ นมา พบวา่
พน้ื ทป่ี า่ สนลดจำ� นวนลงจากการถกู บกุ รกุ แผว้ ถางเพอ่ื ใช้
เปน็ ทที่ ำ� กนิ ทอ่ี ยอู่ าศยั และการทอ่ งเทย่ี ว สง่ ผลกระทบ
ต่อระบบนิเวศดิน น้�ำ ป่า รวมทั้งวิถีชุมชนและกลุ่ม
ชาติพนั ธุใ์ นพื้นท่ี

สมาคมปกาเกอะญอเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ด�ำเนินโครงการชุมชนปกาเกอะญอจัดการทรัพยากร
ธรรมชาติป่าไม้ อ�ำเภอกัลยาณิวฒั นา ระหว่างปี 2559-2562 มุง่ สรา้ งความเขม้ แข็งขององคก์ รชมุ ชนในการป้องกัน
ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้ในท้องถ่ิน สร้างกฎระเบียบในการดูแลรักษาป่า รวมถึงพัฒนากลไก
ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ และด้วยกระบวนการจัดการร่วมท่ีพัฒนาเป็น "ข้อบัญญัติท้องถิ่น"
เพื่อการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ ท่จี ะน�ำไปสู่การอนุรักษ์และใช้ประโยชนร์ ่วมกันอย่างย่งั ยืน โดยมีกลมุ่ เปา้ หมาย
ประกอบด้วย คณะกรรมการหมู่บ้านด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มแกนน�ำสตรี เยาวชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ภาคธุรกจิ เอกชน ในพ้นื ทต่ี ำ� บลบา้ นจนั ทร์ และตำ� บลแจม่ หลวง อ�ำเภอกลั ยาณวิ ัฒนา จังหวดั เชียงใหม่

ผลงานเด่น

การประสานงานและความร่วมมืออย่างเป็นระบบ ในระดับชุมชนได้น�ำหลักในการบริหารจัดการหมู่บ้าน
โดยคณะกรรมการหมู่บ้าน มาร่วมกันพัฒนาหมู่บ้าน ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในด้านต่าง ๆ ระดับต�ำบล
ได้มีการจัดต้ังคณะกรรมการจัดท�ำข้อบัญญัติท้องถ่ิน เพ่ือหนุนเสริมความเข้มแข็งในการด�ำเนินงานขององค์กร
ในพื้นที่และพัฒนากลไกความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการขับเคลื่อน
การท�ำงานในระดบั พ้ืนที่ อ�ำเภอ ต�ำบล หมบู่ ้านให้เปน็ รปู ธรรม

จุดประกาย 23
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชมุ ชนยง่ั ยืน

การบูรณาการภูมิปัญญาปกาเกอะญอกับหลักสูตรท้องถิ่น มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนาและจัดท�ำ
หลักสูตรส่ิงแวดล้อมท้องถิ่น เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนในพ้ืนท่ีมีความรู้ท้ังทางวิชาการ วิชาชีพ ความภาคภูมิใจ
ในวัฒนธรรมของกลุ่มชน รู้จักและรักษ์ป่า สอนให้เห็นคุณค่าในวิถีชีวิตของปกาเกอะญอ และน�ำมาใช้
ในการด�ำเนนิ ชวี ติ ท่ีพึง่ พงิ ดแู ลรักษาทรัพยากรธรรมชาติเพ่อื การใช้ประโยชน์อยา่ งยัง่ ยนื
กลไกการมสี ว่ นรว่ มในการจดั การปา่ ไม้ ขบั เคลอ่ื นการดำ� เนนิ งานใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวพระราชดำ� รติ ามศาสตร์
พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีกลไกส�ำคัญคือ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเป็นภาคี
ที่ร่วมวางแผนการจัดระเบียบท่ีดินออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพ่ือจ�ำแนกท่ีดินท�ำกินและท่ีอยู่อาศัยของชุมชน
ออกจากเขตปา่ สงวนแห่งชาติ ปา่ ใช้สอย ป่าชุมชน และท�ำประวัตกิ ารใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ รายแปลง

ปจั จยั สคู่ วามส�ำเรจ็

• การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งมสี ว่ นรว่ ม โดยการจดั ตง้ั คณะกรรมการอำ� นวยการขบั เคลอื่ น
• การดำ� เนนิ งานทงั้ ในระดบั อ�ำเภอและระดับจังหวัด

การใช้หลักสูตรท้องถ่ินในการเรียนการสอน เพ่ือสร้างความตระหนักและความส�ำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น

• วฒั นธรรม จารีต ประเพณใี หก้ ับเยาวชน เปน็ การรักษาภูมิปญั ญาท้องถ่ินใหค้ งอยู่สืบไป

การลดการบุกรุกพ้ืนที่ป่า โดยสร้างความเข้าใจระหว่างชุมชนกับภาครัฐให้มากข้ึน ทั้งในระดับพ้ืนที่และระดับ

• ผู้บริหาร ท�ำให้ชมุ ชนสามารถอย่รู ่วมกับป่าได้

การประสานงาน เพอื่ สร้างการมีสว่ นร่วมของทกุ หนว่ ยงานทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ท้งั ภาครฐั เอกชน รฐั วสิ าหกิจ กำ� นัน และ
ผู้ใหญบ่ า้ น ตงั้ แตเ่ ริม่ ดำ� เนนิ โครงการ ท�ำใหเ้ กดิ กระบวนการท�ำงานทีเ่ ป็นแบบแผนและชัดเจน

24 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สูช่ ุมชนย่งั ยืน

6 การพฒั นากระบวนการ กลไกขอ้ ตกลงรว่ ม และการจดั การพน้ื ท่ี
เกษตรในเขตปา่ ต้นนำ้� อ�ำเภอแม่แจ่ม จังหวดั เชยี งใหม่

ความไม่ชัดเจนด้านสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน ในพื้นท่ีชุมชนซ่ึงตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน

แห่งชาติ เช่น กรณีอ�ำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ท�ำให้การขับเคลื่อนงานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
มีขอ้ จ�ำกัด และมชี ่องว่างในการทำ� งานระหว่างชมุ ชนกับหนว่ ยงานภาครัฐ และถกู จ�ำกัดโดยกฎหมาย
มลู นธิ เิ พอ่ื การพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื (ภาคเหนอื ) ดำ� เนนิ โครงการพฒั นากระบวนการและกลไกขอ้ ตกลงรว่ มเพอื่ แกไ้ ขปญั หา
การบุกรุกพ้ืนท่ีป่าและการจัดการพ้ืนที่เกษตรในเขตป่าต้นน้�ำ ระหว่างปี 2560-2563 โดยมุ่งสนับสนุนให้เกิดการ
ประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน�้ำต�ำบลปางหินฝน สนับสนุนการจัดท�ำข้อบัญญัติ
ทอ้ งถน่ิ ดา้ นการจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม รวมถงึ ปรบั ปรงุ ระบบการเกษตร การบรหิ ารจดั การทด่ี นิ
และแหล่งน้�ำให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการจัดการป่าต้นน้�ำท่ียั่งยืน มีกลุ่มเป้าหมายคือ องค์กรชุมชนและ
คณะกรรมการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มระดบั หมบู่ า้ น และเจา้ หนา้ ทหี่ นว่ ยงานภาครฐั ทเี่ กย่ี วขอ้ งในพนื้ ที่
การดำ� เนนิ งานทผี่ ่านมาทำ� ให้เกิดกลไกการท�ำงานทชี่ ัดเจนเพอ่ื แก้ไขปัญหาทรพั ยากรในพ้ืนท่ี

จุดประกาย 25
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู มุ ชนยัง่ ยนื

ผลงานเดน่

แม่แจม่ โมเดล รูปแบบการจดั การทดี่ นิ และป่าไม้ ระบบเกษตรยั่งยืน กับการแก้ไขปญั หาไฟปา่ และหมอกควัน
โดยลดการใช้สารเคมี ฟื้นฟูป่าต้นน้�ำ ผ่านการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในรูปแบบคณะท�ำงานและภาคี
เครอื ขา่ ย นอกจากน้ี มกี ารส่งเสริมการปลกู พืชอย่างครบวงจร ตงั้ แต่พชื ระยะสั้น กลาง ยาว ไปถงึ การแปรรูป
และการตลาดโดยชุมชนบริหารจัดการกันเอง
ขอ้ มลู และแนวเขตการใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ รายแปลง โดยจดั ตง้ั “ศนู ยภ์ มู สิ ารสนเทศเชงิ ภมู ศิ าสตรเ์ พอื่ การจดั การ
ทรัพยากรธรรมชาติโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน” ข้ึน มีการจัดท�ำแนวเขตรายแปลง ออกทะเบียนประวัติ
การใชป้ ระโยชนท์ ด่ี ิน มีขอ้ ตกลงใช้ที่ดนิ รว่ มกันว่าจะไม่ขาย ไม่ขยาย และไมบ่ ุกรุกปา่
กลไกการจัดการทรัพยากรต�ำบลปางหินฝน มีกลไกการท�ำงาน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับอ�ำเภอ ระดับต�ำบล
และระดับชุมชน โดยชุมชนร่วมกันก�ำหนดกติกาการจัดการและใช้ประโยชน์จากป่า และป้องกันการบุกรุกป่า
น�ำไปส่ขู ้อบญั ญัตทิ อ้ งถิน่ ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการท�ำการเกษตร ในพ้ืนท่ีต�ำบลปางหินฝน จากเดิมท�ำไร่หมุนเวียน บางส่วนเปล่ียน
มาเป็นการทำ� เกษตรแบบผสมผสานในไร่หมุนเวยี นเดิม และบางสว่ นลดพนื้ ท่ไี ร่หมุนเวียน

ปจั จัยสูค่ วามส�ำเรจ็

• กลุ่มผู้น�ำชุมชนและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องพร้อมปรับเปล่ียนวิธีคิดและวิธีการท�ำงานเพื่อน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลง
• ทด่ี ีข้นึ

การจัดทำ� ฐานข้อมูลสารสนเทศทางภมู ิศาสตร์และฐานขอ้ มลู ทดี่ นิ ของชมุ ชนในพ้ืนท่ี เปน็ สิ่งจุดประกาย กระตุ้น
ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเล็งเห็นความส�ำคัญ และน�ำไปสู่การจัดท�ำข้อบัญญัติท้องถิ่นเร่ืองการจัดการ

• ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อม

การจัดท�ำข้อมูลแนวเขตทะเบียนประวัติการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซ่ึงได้รับการรับรองข้อมูลโดยองค์การบริหาร

• ส่วนต�ำบลปางหนิ ฝน จำ� นวน 9 หมูบ่ ้าน

การเช่ือมโยงเครือข่ายกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง น�ำไปสู่การบริหารจัดการพ้ืนที่เกษตรและพ้ืนท่ีป่าไม้ร่วมกัน
ให้เกิดประสทิ ธิภาพย่ิงข้นึ โดยมีองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน เป็นเจ้าภาพหลักรว่ มกนั

26 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู ุมชนย่ังยืน

7 การเสรมิ สร้างศักยภาพองคก์ รชมุ ชน

อ�ำเภออมก๋อย จงั หวดั เชยี งใหม่

อ�ำเภออมก๋อยเป็นพ้ืนท่ีเส่ียงต่อการเกิดไฟป่าใน

ล�ำดับต้น ๆ ของภาคเหนือ อีกท้ังยังมีข้อจ�ำกัดในด้าน
จ�ำนวนเจ้าหน้าที่รัฐท่ีรับผิดชอบไม่เพียงพอ มาตรการ
แก้ไขปัญหาไฟป่าที่ยังคงมุ่งเน้นให้ชุมชนงดการเผา
โดยไม่ค�ำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละพ้ืนท่ี ท�ำให้
การแกไ้ ขปัญหายังไมเ่ กิดขึ้นอยา่ งเปน็ รปู ธรรม

มูลนิธเิ พอื่ การพฒั นาท่ีย่งั ยนื (ภาคเหนือ) ด�ำเนนิ โครงการเสรมิ สร้างศกั ยภาพองค์กรชุมชนเพอ่ื บริหารจัดการไฟป่า
หมอกควนั อยา่ งมสี ว่ นรว่ ม อำ� เภออมกอ๋ ย ระหวา่ งปี 2560-2563 มงุ่ เสรมิ สรา้ งศกั ยภาพของชมุ ชนในดา้ นการจดั การ
ไฟป่าให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและระบบนิเวศของพื้นที่ เพ่ือให้สามารถเป็นพื้นท่ีต้นแบบหรือพื้นที่เรียนรู้
ดา้ นการพฒั นาความรว่ มมอื ระหวา่ งชมุ ชน ภาครฐั และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ รวมถงึ ยกระดบั นโยบายทอ้ งถนิ่
และเชอื่ มโยงกบั ยทุ ธศาสตรจ์ งั หวดั ใหส้ นบั สนนุ กระบวนการจดั การไฟปา่ โดยมกี ลมุ่ เปา้ หมายเปน็ ชมุ ชนทเี่ ปน็ ตวั แทน
ในการเฝ้าระวังพ้ืนท่ี ป่าเตง็ รัง ปา่ เบญจพรรณ พ้ืนที่การเกษตร และพ้ืนท่ปี า่ อนรุ ักษ์ ท�ำใหเ้ กดิ รูปแบบการบริหาร
จดั การไฟปา่ และหมอกควนั ท่เี หมาะสมกบั พืน้ ที่ทกุ สภาพป่า

ผลงานเด่น

จากปัญหาสู่ความตระหนักรู้ของชุมชน เดิมพ้ืนที่ป่าบางส่วนถูกบุกรุกแผ้วถางเพ่ือปลูกข้าวไร่ ล่าสัตว์ป่า
และมกี ารใช้ไฟเผาเพอื่ เก็บหาของป่า เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำ� ปา่ และดิน ชุมชนจึงหันมาใหค้ วามส�ำคัญกับ
การฟน้ื ฟทู รัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม มกี ารจัดแบง่ โซนพนื้ ทใี่ หส้ อดคลอ้ งกบั การใช้ประโยชน์

จดุ ประกาย 27
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู มุ ชนย่งั ยนื

การจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาวปกาเกอะญอ แบ่งเป็นการจัดการป่าแบบดั้งเดิม โดยใช้ความเช่ือ
และกฎระเบียบที่สืบทอดกันมาในชุมชน และการจัดการป่าแบบสมัยใหม่ มีการบ�ำรุงรักษาต้นไม้ และฟื้นฟู
สภาพปา่ เชน่ การปลูกซ่อมเสรมิ การท�ำแนวกันไฟ การทำ� ฝายชะลอนำ�้ เปน็ ต้น
กลุ่มคนฮกั อมกอ๋ ย เป็นการรวมตัวของผูน้ �ำในพ้นื ท่ี ประกอบด้วยสมาชกิ สภาองค์การบริหารส่วนตำ� บล กำ� นัน
ผู้ใหญ่บ้าน และภาคีทเี่ กยี่ วข้องในระดบั อำ� เภอ ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา วางแผน และตดิ ตามการแก้ไขปัญหา
ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม จากพื้นท่ตี น้ น้�ำ กลางนำ้� และปลายน�ำ้
การบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันโดยชุมชน มี 3 รูปแบบ ได้แก่ ไฟท่ีจ�ำเป็นในพ้ืนที่การท�ำเกษตร
หมุนเวียน ไฟที่จ�ำเป็นในพ้ืนที่ป่าเต็งรัง และการป้องกันไฟในพื้นท่ีป่าอนุรักษ์ ด�ำเนินงานโดยอาศัย
ความรู้และประสบการณ์ของชุมชน การบูรณาการการท�ำงานกับหลายหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง มีการทบทวน
และปรับปรงุ วิธกี ารจัดการในขน้ั ตอ่ ไป ท�ำให้การทำ� งานสอดคล้องกับสถานการณอ์ ยู่เสมอ

ปัจจยั สคู่ วามส�ำเร็จ

• ข้อบัญญัติท้องถิ่นเร่ือง “การจัดการไฟป่าและหมอกควัน” ท�ำให้มีการท�ำงานที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับ
• บริบทพน้ื ที่ และเชอ่ื มโยงตอ่ แผนระดบั จังหวดั

ข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ “ข้อมูลแผนท่ี” เป็นเคร่ืองมือส�ำคัญในการดูแลและจัดการทรัพยากรของชุมชน

• ช่วยบรรเทาและคลีค่ ลายความขดั แยง้ ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ กับชุมชน

กฎระเบียบและข้อตกลงเร่อื งการใช้ประโยชน์และการดูแลจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ มของชุมชน

• รวมถึงการจดั การไฟป่า และการจดั การพื้นทีท่ ำ� กนิ ทีช่ ัดเจน

การดำ� เนินงานน�ำรอ่ งในพน้ื ทปี่ ่าเตง็ รังและป่าเบญจพรรณ พ้นื ทีไ่ รห่ มุนเวยี น และพ้ืนที่ป่าอนุรกั ษ์ ท�ำใหเ้ หน็ ภาพ
ทีช่ ัดเจนถึงสาเหตขุ องการเกิดไฟป่า และเกิดการจดั การท่เี หมาะสมกับแต่ละพ้ืนท ่ี

28 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนยั่งยนื

กรณภี าคตะวันออกเฉยี งเหนือ

8 การจัดการพ้นื ทล่ี ่มุ น�ำ้ ล�ำเซบาย

จังหวดั ยโสธร

ปญั หาการเปลย่ี นแปลงการใชป้ ระโยชน์

ท่ีดินในการเกษตร ซ่ึงใช้การเผาเพื่อ
ความสะดวกในการเก็บเกี่ยวและเตรียม
พ้ืนท่ีปลูก ท�ำให้เกิดไฟลุกลามเข้าไปใน
บริเวณพื้นที่ลุ่มน�้ำล�ำเซบายตอนบนที่เป็น
ป่าต้นน�้ำ อกี ทง้ั มกี ารเขา้ ไปเกบ็ หาของปา่
ในป่าบุ่งป่าทามมากเกินไป ส่งผลต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติในพน้ื ที่

สมาคมภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน ด�ำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นเพ่ือการจัดการพ้ืนที่
ลุ่มน้�ำล�ำเซบาย ในพื้นท่ีจังหวัดยโสธร ระหว่างปี 2556-2559 เพื่อสร้างจิตส�ำนึก ถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญา
ท้องถิ่นในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ป่าและน�้ำอย่างย่ังยืนไปสู่คนรุ่นหลัง กลุ่มเป้าหมายของโครงการเป็นชุมชน
ในพ้ืนท่ีลุ่มน�้ำล�ำเซบายตอนบนและตอนกลาง โรงเรียน และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน อ�ำเภอค�ำเขื่อนแก้ว
จงั หวดั ยโสธร ซงึ่ ประสบความสำ� เรจ็ ในการอนรุ กั ษส์ ตั วน์ ำ�้ ในทอ้ งถนิ่ โดยการทำ� วงั ปลา จดั ทำ� ฐานการเรยี นรใู้ นปา่ บงุ่
ป่าทามของชมุ ชน เกิดเปน็ องคค์ วามรูข้ องครภู มู ิปัญญากับการอนุรกั ษล์ ุ่มน้ำ� ล�ำเซบาย

ผลงานเด่น

ปา่ บงุ่ ปา่ ทาม เขตทร่ี าบนำ้� ทว่ มถงึ ทสี่ ำ� คญั ของทอ้ งถน่ิ ติดลำ� นำ้� เปน็ ปา่ ทมี่ คี วามอดุ มสมบรู ณท์ ง้ั พชื และสตั ว์
สมาชิกชุมชนเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ตลอดปี จึงเห็นความส�ำคัญในการอนุรักษ์ไว้เพ่ือให้เยาวชน คนรุ่นหลัง
ตระหนกั วา่ ทอ้ งถน่ิ ตนเองมที รพั ยากรธรรมชาตทิ อ่ี ดุ มสมบรู ณ์ เกดิ เปน็ โครงการเยาวชนอนรุ กั ษป์ า่ ทาม ทำ� ฐาน
การเรยี นรปู้ า่ ทามในพนื้ ทปี่ า่ ภหู มากยาง โดยมผี นู้ ำ� ชมุ ชนและปราชญช์ าวบา้ นรว่ มเปน็ วทิ ยากรประจำ� ฐาน

จุดประกาย 29
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู มุ ชนยง่ั ยนื

วังปลา แหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่น จากการจับปลาที่มากเกินไปและจับในช่วงปลาขยายพันธุ์ในฤดู
วางไข่ ทำ� ใหป้ ลาบางชนดิ ลดลงและพบเหน็ ไดย้ าก ชมุ ชนจงึ รเิ รม่ิ สำ� รวจและจดั ทำ� วงั ปลาในตำ� บลนาแก โดยรว่ ม
หารือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกระเบียบช่วงเวลาในการจับปลา รณรงค์ไม่ให้จับปลาบริเวณวังปลา
เพอ่ื เปน็ การอนรุ กั ษป์ ลาในระยะวางไขแ่ ละอนบุ าลสตั วน์ ำ้� วยั ออ่ น และบำ� รงุ รกั ษาวงั ปลารว่ มกนั
ความรู้ภูมิปัญญาคู่ป่าท้องถิ่น มีการรวบรวมภูมิปัญญาท้องถ่ินเก่ียวกับป่าบุ่งป่าทาม วังปลา และวิธีการ
ดแู ลรกั ษาทรพั ยากรปา่ ไมท้ อี่ ยรู่ อบ ๆ ชมุ ชน จดั ทำ� เปน็ หนงั สอื เรอ่ื ง “ปา่ ทามลำ� เซบาย” และ “ครภู มู ปิ ญั ญา
ของชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ลมุ่ นำ้� ลำ� เซบาย” ทกี่ ลา่ วถงึ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เกย่ี วกบั ลมุ่ นำ้� ลำ� เซบายและปา่ ทามทร่ี วบรวมได้
จากนกั วชิ าการ ผอู้ าวโุ ส ปราชญช์ าวบา้ น หมอสมนุ ไพรพนื้ บา้ น เพอื่ ถา่ ยทอดใหช้ มุ ชน คนรนุ่ หลงั และสงั คม
ในวงกวา้ งตอ่ ไป

ปัจจัยสูค่ วามส�ำเรจ็

• การสร้างต้นแบบท่ีดี เช่น การท�ำวังปลา เกิดการเรียนรู้และปรับเปล่ียนลักษณะวิธีการให้เหมาะสมกับพ้ืนท่ี
• เพือ่ น�ำไปใช้เปน็ ตน้ แบบในพ้นื ท่อี ่นื ๆ ได้

การถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินของผู้สูงอายุ ปราชญ์ชาวบ้าน และหมอสมุนไพรพ้ืนบ้าน ท�ำให้มีโอกาส

•• ไดเ้ ผยแพรภ่ มู ปิ ัญญาท่ีส่งั สมมา และเกิดความภาคภมู ใิ จ

การเผยแพรค่ วามร้ภู มู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ สู่สาธารณะ เปดิ โอกาสใหผ้ รู้ ู้ในชุมชนไดเ้ ข้ารว่ มถา่ ยทอดองคค์ วามรู้
การพัฒนาเครือข่ายเพอ่ื การอนรุ ักษ์และนำ� ความรู้ความสามารถไปตอ่ ยอดเป็นวิทยากรท้องถนิ่

30 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

9 การอนรุ ักษ์และฟน้ื ฟูทรพั ยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ� ป่า ต้นนำ�้ พุง

จังหวัดเลย

การทำ� เกษตรกรรมเชงิ เดย่ี วทมี่ งุ่ ผลติ เพอื่ ขาย ทำ� ให้

เกิดการเปล่ียนแปลงการใช้ที่ดินที่สร้างความเสียหาย
ต่อระบบนิเวศในพื้นที่ต้นน�้ำพุง ซึ่งมีความส�ำคัญ
ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของชมุ ชนในอำ� เภอดา่ นซา้ ย ประกอบกบั
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เคยเกิดข้ึนหลายคร้ัง จึงจ�ำเป็น
ทีจ่ ะตอ้ งเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือในพน้ื ท่ี

สมาคมเพ่ือการอนุรักษ์และพัฒนาเทือกเขาเพชรบูรณ์ ได้ด�ำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพองค์กรชุมชน
เพือ่ การอนุรกั ษ์และฟืน้ ฟทู รพั ยากรธรรมชาติดิน น�้ำ ปา่ ต้นน�ำ้ พงุ ระหวา่ งปี 2558-2561 เพอ่ื ส่งเสริมการท�ำระบบ
เกษตรกรรมที่สอดคล้องต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศ ตลอดจนเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้การอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติผ่านส่ิงแวดล้อมศึกษาร่วมกับทุกภาคส่วน ท�ำให้เกษตรกรในพ้ืนท่ีมีความรู้ความเข้าใจ
และลงมือท�ำร่วมกัน มีบุคคลต้นแบบในการอนุรักษ์ดิน น้�ำ ป่า ท่ีสมาชิกในชุมชนยึดถือเป็นตัวอย่าง
ในการด�ำเนนิ งาน

ผลงานเด่น

ฟน้ื ฟรู ะบบนเิ วศปา่ รกั ษานำ�้ และปอ้ งกนั ดนิ ชะลา้ งพงั ทลาย บรเิ วณรอบปา่ ชมุ ชนในอำ� เภอดา่ นซา้ ย สว่ นใหญ่
เปน็ พนื้ ทท่ี ำ� เกษตรพชื เชงิ เดยี่ ว มกี ารไถเตรยี มพนื้ ทป่ี ลกู ตลอดทงั้ ปี ทำ� ใหห้ นา้ ดนิ ถกู ชะลา้ งพงั ทลายลงไปทบั ถม
บรเิ วณร่องเขาในพ้นื ท่ีปา่ ชมุ ชน ชมุ ชนจงึ ร่วมกนั ปลูกปา่ ในพ้นื ที่ต้นน�้ำบรเิ วณปา่ สะนาแปและปา่ ซำ� เตย โดยใช้
ไผ่หก ไผบ่ ง และไผก่ ิมซงุ ซ่งึ เป็นพชื น�ำในการยึดเกาะหน้าดิน แลว้ ปลูกไม้ท้องถน่ิ ท่ีมีรากหย่ังลึกตาม เพอ่ื ฟื้นฟู
ป่าใหก้ ลับมาคลา้ ยระบบนเิ วศดงั้ เดิมใหม้ ากทส่ี ุด

จุดประกาย 31
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยงั่ ยนื

ป่าดงหอ ภูมิปัญญากับการอนุรักษ์นิเวศป่าไม้ ชุมชนท�ำการคัดเลือกพื้นที่ป่าที่มีที่ต้ังเหมาะสม ส่วนใหญ่
เป็นพ้ืนท่ปี ่าดอน มีตน้ ไม้ใหญ่ ไว้เปน็ ปา่ ทางวัฒนธรรมตามความเชอ่ื ท้องถนิ่ มีกฎเกณฑ์การเขา้ ไปใช้ประโยชน์
ที่เข้มงวดซ่ึงต้องได้รับการอนุญาตจากกวนจ�้ำ (กวน คือผู้รู้เร่ืองในการท�ำพิธี ส่วน จ้�ำ คือร่างทรง) ร่วมกับ
การอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าไม้ให้สมบูรณ์และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรมพรรณไม้พ้ืนบ้าน ท�ำให้สามารถรักษา
ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าในท้องถิน่ ไวไ้ ด้เป็นอยา่ งดี
นำ� ปา่ มาไวใ้ นบา้ น กบั การเกษตรทอ่ี นรุ กั ษด์ นิ และนำ�้ ดว้ ยแปลงเกษตรแบบผสมสานและวนเกษตร เพอ่ื ฟ้นื ฟู
คุณภาพดนิ ทเ่ี สื่อมลงจากการท�ำเกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นเวลานาน ผ่านการปลูกไม้เศรษฐกิจและไม้ผล แทรกใน
พื้นที่หรือตามหัวไร่ปลายนา ขุดสระและจัดการระบบน้�ำในสวนเกษตร และพัฒนาแปลงเกษตรกรรมต้นแบบ
เป็นแหลง่ เรียนรู้
ไผ่และดีก้ัง แหล่งอาหารพื้นบ้าน ป้องกันการพังทลายของดิน เกษตรกรปลูกไผ่และไม้ยืนต้นตามริมตล่ิง
ล�ำน้�ำพุงเพ่ือช่วยยึดเกาะดิน และต่อมาได้ปลูกต้นดีก้ังและต้นอีรอกที่เป็นสมุนไพรพ้ืนบ้านและเป็นท่ีนิยม
ในตลาด ซง่ึ นอกจากสรา้ งรายไดแ้ ล้วยงั ชว่ ยปกคลมุ หน้าดินและลดการพงั ทลายของดิน

ปัจจัยสคู่ วามส�ำเร็จ

• การมีกฎระเบียบในการใช้ประโยชน์และการแบ่งปันผลผลิตจากป่าชุมชน น�ำมาใช้สอยในครัวเรือน ไม่เก็บเกิน
• ก�ำลังผลิต ของปา่ ชมุ ชน

การน�ำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาบูรณาการร่วมกับเทคโนโลยี เกิดเป็นนวัตกรรม “ตะบันน้�ำ” ใช้ในการผันน้�ำ

• จากท่ตี ่ำ� ไปยงั ท่ีสูงเพอื่ ใช้ในพ้ืนท่กี ารเกษตรของชมุ ชน

การมีกลุ่มผู้น�ำท่ีเข้มแข็งและมีการประสานงานกับภาคส่วนที่เก่ียวข้อง ใส่ใจในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูล�ำน้�ำพุง

• และป่าชุมชน นำ� ไปสูก่ ารจัดตัง้ สภาองค์กรชุมชนทมี่ าจากแกนน�ำในหลายระดบั

การมรี ายไดจ้ ากพชื อาหารและอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื พน้ื บา้ น โดยการปลกู สมนุ ไพรและพชื กนิ ได้ ทชี่ ว่ ยยดึ หนา้ ดนิ
และเป็นการสรา้ งรายได้ใหก้ บั ชุมชน

32 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยง่ั ยนื

10 การอนรุ กั ษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
ในพนื้ ทปี่ า่ ใหญโ่ คกจกิ -ตาลอก อ�ำเภอพยคั ฆภมู พิ สิ ยั จงั หวดั มหาสารคาม

ผนื ปา่ ใหญโ่ คกจกิ -ตาลอกเปน็ พนื้ ทส่ี าธารณประโยชน์

ขนาดใหญ่ มเี นอ้ื ทเี่ กอื บ 4 พนั ไร่ ถอื เปน็ แหลง่ อาหาร
ทส่ี ำ� คญั ของชมุ ชนโดยรอบ แตก่ ารเขา้ ไปใชป้ ระโยชน์
เก็บหาของป่าบางชนิดมากเกินไป ท�ำให้เสี่ยงต่อ
การสูญเสียชนิดพันธุ์ส�ำคัญของพื้นที่ ระบบนิเวศ
เปลี่ยนแปลง จึงต้องเสริมสร้างความรู้แก่ชุมชน
เพ่อื ร่วมกันอนรุ ักษป์ ่าผนื น้ี

สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ด�ำเนินโครงการเสริมสร้างพลังชุมชนเพ่ือการอนุรักษ์
และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพ้ืนท่ีป่าใหญ่โคกจิก-ตาลอก ระหว่างปี 2558-2561 เพ่ือศึกษา
ส�ำรวจ และวิเคราะห์ข้อมูล ด้านทรัพยากรชีวภาพ วิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ิน รวมถึงประเมินมูลค่า
ทางเศรษฐกิจจากข้อมูลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพ ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานท้องถ่ินที่เกี่ยวข้องในต�ำบล
เม็กด�ำและหนองบัว อ�ำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ท�ำให้ชุมชนเล็งเห็นความส�ำคัญในการอนุรักษ์ป่า
และได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ มีแปลงส�ำรวจและศึกษามูลค่าจากการใช้ประโยชน์จากป่า
อีกทัง้ จัดท�ำเอกสารเผยแพรอ่ งค์ความรใู้ หก้ ับชุมชนและบุคคลภายนอกท่สี นใจ

ผลงานเดน่

ศนู ย์เรียนรู้ความหลากหลายทางชวี ภาพปา่ ใหญโ่ คกจิก-ตาลอก จดั ตั้งขึน้ ทโี่ รงเรยี นบ้านเมก็ ดำ� เม่อื ปี 2561
โดยความร่วมมือจากทีมวิชาการของสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช ครู ผู้น�ำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน และหน่วยงาน
ท้องถน่ิ ร่วมกนั สรา้ งองค์ความรูเ้ พอ่ื ถา่ ยทอดสเู่ ยาวชนในระบบการศึกษา ได้เรียนรู้ดว้ ยตนเอง ลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ

จดุ ประกาย 33
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนยัง่ ยนื

จากการเข้าเรียนรู้ในป่า สู่การจัดการและอนุรักษ์พรรณพืช สมุนไพร และสัตว์ในพื้นท่ีป่า บูรณาการเข้ากับ
หลักสูตรสิ่งแวดล้อมศกึ ษาของโรงเรยี น
การสำ� รวจเพื่อติดตามความเปลยี่ นแปลงความหลากหลายทางชีวภาพ ท�ำการส�ำรวจพรรณไม้ ส�ำรวจสตั ว์
โดยการวางแปลงตามหลักวิชาการ การสัมภาษณ์ผู้น�ำท้องถิ่น ร่วมกันส�ำรวจและเก็บข้อมูลต้นไม้ใหญ่
ในแปลง พบพืชและสัตว์ 14 กลุ่ม ไดแ้ ก่ พชื อาหาร เหด็ สมุนไพร มนั ผลไม้ เครอ่ื งเทศ เชอ้ื เพลิง หัตถกรรม
ปลา สัตว์สะเทินน้�ำสะเทนิ บก สตั ว์เลอื้ ยคลาน สัตวเ์ ล้ยี งลูกด้วยนม สตั วป์ กี แมลงและแมง มกี ารนำ� ขอ้ มูลไป
จัดท�ำป้ายติดตั้งในบริเวณป่าและบันทึกไว้ พร้อมใช้ข้อมูลการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจจากป่า ให้องค์การ
บริหารสว่ นตำ� บลเม็กด�ำและหนองบัว นำ� ไปใช้วางแผนพัฒนาท้องถ่ิน
การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจจากความหลากหลายทางชีวภาพ ใช้การสัมภาษณ์ด้วยแบบสอบถาม
จากครัวเรอื นกล่มุ ตัวอยา่ งในต�ำบลเม็กดำ� และหนองบวั โดยในปี 2559 มีมูลคา่ จากการใช้ประโยชนจ์ ากปา่ รวม
2.4 ลา้ นบาท ส่วนปี 2560 มมี ูลคา่ จากการใช้ประโยชนจ์ ากปา่ รวม 4.2 ลา้ นบาท และมูลค่าดา้ นปริมาณไม้
1.5 พันล้านบาท สะท้อนถึงมูลค่าในด้านของผลผลิตในรูปของของป่าและปริมาณไม้ที่จะย่ิงมีมากข้ึน
ในอนาคตจากระบบนเิ วศของปา่ ที่สมบูรณ์ขึ้น

ปัจจยั สู่ความส�ำเรจ็

• การสร้างองค์ความรู้ที่ถกู ต้องให้กับชมุ ชนเปา้ หมาย ใชข้ ้อมูลวิชาการด้านความหลากหลายทางชวี ภาพใหเ้ ห็นถงึ
• ความส�ำคญั ของระบบนเิ วศป่า การศกึ ษาและส�ำรวจอย่างมสี ่วนรว่ มสู่การจัดการท่เี หมาะสม

การส่ือสารและความรว่ มมอื ระหว่างเครือข่ายชุมชนและตำ� บลในการพ่ึงพงิ และใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ จากเดมิ ทีม่ ี
เพียงชุมชนบริเวณรอบป่าเท่าน้ันท่ีร่วมกันอนุรักษ์และยึดถือกฎระเบียบ ท�ำให้ได้รับความร่วมมือเพิ่มข้ึน
จากชมุ ชนอ่นื

34 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชมุ ชนยงั่ ยืน

11 การฟนื้ ฟแู ละอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นล�ำหว้ ยทับทัน

จังหวัดสรุ ินทร์

ล�ำห้วยทับทันไหลผ่านใจกลางต�ำบลศรีสุข อ�ำเภอ

ศรณี รงค์ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ความยาวประมาณ 13 กโิ ลเมตร
ลำ� หว้ ยแหง่ นเ้ี คยมพี ชื และสตั วท์ สี่ มบรู ณ์ ตอ่ มาถกู บกุ รกุ
จนตื้นเขิน มีการจับปลาในฤดูวางไข่ ท�ำให้ปลาท่ีเป็น
ชนิดพันธุ์เฉพาะถ่ินหายไป อีกท้ังป่ากุดหวายที่เช่ือมต่อ
กับล�ำห้วยทับทันถูกท�ำลาย จากการบุกรุกเข้าไป
ล่าสัตว์ป่า จึงจ�ำเป็นต้องป้องกันและอนุรักษ์ฐาน
ทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชุมชน
องค์การบริหารส่วนต�ำบลศรีสุข ด�ำเนินโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในล�ำห้วยทับทัน โดยการ
มีส่วนร่วมของประชาชน และชุมชนท้องถ่ินต�ำบลศรีสุข ระหว่างปี 2560-2562 เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ
และความเขม้ แขง็ ในการอนรุ กั ษล์ ำ� หว้ ยทบั ทนั อกี ทงั้ รว่ มหาแนวทางฟน้ื ฟพู น้ื ทร่ี มิ ตลง่ิ ปา่ ชมุ ชน และสตั วน์ ำ�้ ทอ้ งถน่ิ
ให้กลับมาดังเดิม ร่วมกับชุมชนสองฝั่งล�ำห้วยทับทันและภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้อง จากการด�ำเนินงานระยะ 2 ปีนี้
ทำ� ใหม้ แี นวเขตพนื้ ทชี่ ดั เจนสามารถปอ้ งกนั การบกุ รกุ เพมิ่ เตมิ ชมุ ชนสองฝง่ั ลำ� หว้ ยมคี วามเขา้ ใจในการอนรุ กั ษล์ ำ� นำ�้
และปา่ เพิม่ มากขึน้ อกี ท้ังสนใจเข้ารว่ มการดำ� เนินงานอย่างสม่ำ� เสมอ

ผลงานเด่น

การจดั ทำ� แนวเขตทช่ี ดั เจน องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลศรสี ขุ ผนู้ ำ� ชมุ ชน เจา้ ของทดี่ นิ และหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ประชมุ รว่ มกนั และสำ� รวจทด่ี นิ ทำ� กนิ ทต่ี ดิ กบั ลำ� หว้ ย จดั ทำ� เปน็ แผนทแี่ ละแนวเขตทชี่ ดั เจน และเหน็ ชอบรว่ มกนั
ให้ปักแนวเขตพื้นท่ีทั้งสองขา้ งล�ำห้วย ระยะทาง 5 กิโลเมตร โดยได้รบั ความร่วมมอื จากเจา้ ของทีด่ ินทีอ่ ยู่ตดิ กบั
ล�ำห้วย ซึ่งได้ชว่ ยกนั ปลูกต้นไผแ่ ละหญา้ แฝกเพอื่ ช่วยยึดหนา้ ดิน

จุดประกาย 35
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนยั่งยนื

วังปลา ภูมิปัญญาเช่ือมการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้�ำท้องถิ่น จากการใช้ยาเบื่อจากรากต้นหางไหล ส่งผลต่อ
ระบบนเิ วศและทำ� ใหป้ ลาทอ้ งถ่นิ บางชนิดสูญหายไป เชน่ ปลาค้าว เปน็ ตน้ โครงการจึงจัดเวทที �ำความเขา้ ใจ
เร่ืองการจับสัตว์น้�ำ ส�ำรวจจุดจัดท�ำวังปลา จ�ำนวน 30 จุด โดยใช้ไม้ไผ่ เพื่อให้ปลาสามารถเข้าไปหลบภัย
โดยมคี ณะกรรมการชมุ ชนและสมาชกิ ในชุมชนชว่ ยกนั สอดสอ่ งดูแล
ฐานข้อมูล แหล่งรวมความรู้เร่ืองสัตว์น้�ำและพรรณไม้ท้องถิ่น จากการส�ำรวจและรวบรวมข้อมูล
ชนดิ พรรณไม้ สตั วป์ า่ ในพนื้ ทป่ี า่ กดุ หวายและลำ� หว้ ยทบั ทนั โดยสมาชกิ ในชมุ ชน เยาวชน รว่ มกบั องคก์ รปกครอง
ส่วนท้องถิ่นต�ำบลศรีสุข และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์
รวมถึงปราชญ์ชาวบ้าน ท�ำให้มีฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของล�ำห้วยทับทันและป่ากุดหวาย
สำ� หรบั น�ำไปใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป
ก�ำหนดกฎระเบียบคุ้มครองล�ำห้วยและป่าไม้ในท้องถิ่น ร่วมกันท�ำวังปลาในล�ำห้วยทับทัน และก�ำหนด
เขตและจดั ท�ำป้ายแสดงเขตอนรุ ักษพ์ ันธุ์สัตว์น้�ำ จัดทำ� ข้อบญั ญัตทิ ้องถิ่นวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั ฟ้นื ฟู และอนุรกั ษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมต�ำบลศรีสุข โดยก�ำหนดบทลงโทษส�ำหรับผู้กระท�ำผิด พร้อมจัดท�ำป้าย
ประชาสมั พันธ์ และขอความร่วมมืองดจับสัตว์น�้ำในบรเิ วณเขตพ้นื ที่ทกี่ �ำหนด

ปัจจัยสูค่ วามส�ำเรจ็

• การมีนักวิชาการมาให้ความรู้และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่รับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่ ท�ำให้เกิด
• ความรว่ มมือในการทำ� งาน

การมีผู้นำ� ท่เี ข้มแขง็ ในการทำ� งาน สอื่ สารประชาสมั พันธ์ให้สมาชกิ ในชมุ ชนรบั ทราบอย่างสม�่ำเสมอ ท�ำให้ชมุ ชน

• มีความเขา้ ใจและเช่ือมนั่ เกดิ ความหวงแหนในทรพั ยากรทอ้ งถน่ิ

การท่ีล�ำห้วยมีระบบนิเวศดีข้ึนและปลาท้องถ่ินกลับมาอีกครั้ง ชุมชนเห็นถึงผลส�ำเร็จนี้จึงมีการต่อยอด
องค์ความรใู้ หก้ บั ชุมชนอืน่ ๆ เพอ่ื ร่วมกนั อนรุ ักษล์ �ำหว้ ยทับทัน

36 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนยั่งยนื

12 การสง่ เสริมศักยภาพป่าแหง่ การเรียนรู้

จงั หวดั ร้อยเอ็ด

ปา่ ชมุ ชนดอนหนองโจน อำ� เภอปทมุ รตั ต์ ปา่ โคกใหญ่

ค�ำปลาก้ัง อ�ำเภอโพนทอง และป่าดงหนองเอียด
อำ� เภอจตรุ พกั ตรพมิ าน ในจงั หวดั รอ้ ยเอด็ มคี วามสำ� คญั
ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของชมุ ชนบรเิ วณโดยรอบมาตง้ั แตอ่ ดตี
แตก่ ารเพม่ิ ประชากรไดท้ ำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงการใช้
ทด่ี นิ พบปญั หาการเผาเพอื่ บกุ เบกิ พนื้ ทร่ี อบปา่ เพอื่ ปลกู
ข้าวและพืชเศรษฐกจิ มกี ารน�ำขยะไปทง้ิ ในปา่ ซงึ่ สง่ ผล
ตอ่ ระบบนเิ วศในพน้ื ทแ่ี ละการใชป้ ระโยชนข์ องชมุ ชน
มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท ด�ำเนินโครงการส่งเสริมศักยภาพป่าแห่งการเรียนรู้เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
อย่างมีส่วนร่วม ระหว่างปี 2560-2562 โดยบูรณาการร่วมกับภูมิปัญญาท้องถ่ินในพื้นท่ี 3 อ�ำเภอท่ีด�ำเนินการ
ด้วยการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โรงเรียน และหน่วยงานอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ท�ำให้เกิดการบูรณาการจากป่าชุมชนมาจัดท�ำป่าแห่งการเรียนรู้ และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ รวมถึงส่ือสาร
สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่นผ่านหนังประโมทัยซึ่งเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้าน
และนิทรรศการภาพถา่ ยเล่าเรอื่ งราวของปา่ ชุมชน

ผลงานเด่น

ป่าแห่งการเรียนรู้ในชุมชน จากการร่วมส�ำรวจป่าโดยปราชญ์ชาวบ้านได้น�ำความรู้เกี่ยวกับป่าชุมชน
มาจัดท�ำเส้นทางศึกษาธรรมชาติพร้อมฐานเรียนรู้ให้แก่เยาวชนในท้องถิ่น โดยมีป้ายส่ือความหมายระบบนิเวศ
ป่าและน�้ำ โดยเส้นทางจะมีลักษณะเดินมาบรรจบกัน น�ำเสนอระบบนิเวศป่าด้ังเดิมและภูมิปัญญาท้องถ่ิน
กบั การอนรุ ักษป์ ่า ซง่ึ ทกุ วนั น้ชี ุมชนยังมคี วามเชอ่ื ในเร่ืองปโู่ จนทเ่ี ป็นสงิ่ ศักดิ์สิทธิ์ทช่ี ่วยรกั ษาและดแู ลป่าแห่งน้ ี

จุดประกาย 37
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนยัง่ ยืน

หนังประโมทัย เรื่องเล่าเพ่ือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน การแสดงหนังประโมทัย
ศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่สะท้อนถึงชีวิตและวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน ต่อมาสมาชิกที่สืบทอดการแสดงเริ่มมีจ�ำนวน
ลดลง ผู้นำ� ชุมชนเหน็ ถงึ ความสำ� คญั จงึ ต่อยอดศลิ ปะพื้นบ้านนีร้ ่วมกับการอนรุ กั ษป์ ่าชุมชน เร่ืองท่งุ กลุ าร้องไห้
โดยเร่ิมจากกลุ่มเยาวชนที่มีความสนใจ เร่ิมแรกได้จัดแสดงให้กับกลุ่มผู้ปกครองและได้รับการตอบรับที่ดี
จึงได้นำ� การแสดงชดุ นี้ไปเผยแพรใ่ นชุมชนและให้บุคคลภายนอกไดร้ บั รู้
กีฏวิทยาพื้นบ้านกับการอนุรักษ์ป่าและการเกษตร จากการวางแปลงส�ำรวจและติดตามแมลงระยะยาว
พบวา่ ในแตล่ ะฤดกู าลมแี มลงไมน่ อ้ ยกวา่ 318 ชนดิ จงึ ไดน้ ำ� มาจดั ทำ� เปน็ ฐานขอ้ มลู และหนงั สอื “แมลงแหง่ ชวี ติ
วิถีเรียนรู้จากทุ่งกุลาถึงป่าชุมชน” นอกจากนั้นยังได้ส�ำรวจและประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์จากป่า
และแมลงใน 3 ชมุ ชน พบวา่ มมี ลู คา่ เฉพาะแมลงรวม 2.2 ล้านบาท แล้วตอ่ ยอดด้วยการส�ำรวจแมลงในนาข้าว
ซึ่งพบแมลงบางชนิดในแปลงนาเกษตรอินทรีย์เท่านั้น ท�ำให้เกษตรกรตระหนักถึงความส�ำคัญของแมลง
ในระบบนิเวศเกษตรอินทรีย์

ปัจจัยสู่ความส�ำเรจ็

• การมีครู ผู้น�ำชุมชน และผู้ปกครอง ร่วมสนับสนุนและผลักดันเยาวชนการท�ำกิจกรรมศึกษาความรู้ป่าชุมชน
• ทำ� ให้เกิดความสนใจและกระตือรอื รน้ ในการสร้างความตระหนักให้กับบุคคลภายนอก

การลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ รว่ มสำ� รวจความหลากหลายของแมลงในระบบนเิ วศปา่ และนาขา้ วไดร้ บั ความสนใจอยา่ งมาก

• โดยเฉพาะกล่มุ เยาวชน อีกทั้งไดเ้ ห็นว่าป่าชมุ ชนของตนเองมคี วามหลากหลายทางชวี ภาพสูง

การอบรมท�ำความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานท้องถ่ินและชุมชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ได้รับความสนใจ
และความรว่ มมอื จากสมาชกิ ในชมุ ชน เกดิ กลมุ่ และอาสาสมคั รเฝา้ ระวังและปอ้ งกันไฟปา่ จาก 3 ต�ำบล

38 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยงั่ ยืน

13 การเสริมสรา้ งกระบวนการมีส่วนรว่ มการบรหิ ารจัดการ
ฐานทรัพยากรดนิ นำ�้ ปา่ อ�ำเภอแวงน้อย จังหวดั ขอนแก่น

การเพ่มิ ขน้ึ ของประชากรและการยา้ ยถิ่นฐาน ทำ� ให้

ความต้องการใช้ประโยชน์จากป่าภูถ้�ำภูกระแตเพ่ิมข้ึน
ขณะที่ป่าชุมชนสาธารณประโยชน์ยังขาดการดูแล
ประกอบกับเขตพ้ืนที่อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น
มีภาวะฝนแล้งซ�้ำซากประสบปัญหาภัยแล้ง และมีการ
ปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างต่อเน่ือง จนเกิดภาวะดินเส่ือม
คุณภาพ และมีปัญหาดินเค็ม ไม่สามารถเพาะปลูกพืช
ให้มคี ณุ ภาพได้
สมาคมเพ่ือนภู ได้ด�ำเนินโครงการเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนรว่ มในการบริหารจัดการฐานทรพั ยากรดนิ น�ำ้ ปา่
อ�ำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น ระหว่างปี 2560-2563 ร่วมกับกลุ่มเกษตรกรในชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน
และสถาบันการศึกษาในอ�ำเภอแวงน้อย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และภาคี
เครือข่ายในการจัดการทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน�้ำ รวมทั้งขยายเครือข่ายด้านการเกษตรกรรมยั่งยืนให้ท่ัวถึง
ท�ำให้ผู้น�ำชุมชน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เกษตรกร และสมาชิกชุมชนเข้ามาร่วมกิจกรรม ส่งผลให้
มีแนวเขตป่าไม้และท่ีดินท�ำกินที่ชัดเจน ไม่มีการบุกรุกเพื่อครอบครอง เกิดความตระหนักในปัญหาของ
ทรัพยากรธรรมชาตใิ นท้องถน่ิ ของตนเอง

ผลงานเดน่

แนวเขตป่าชัดเจน สู่การฟืน้ ฟู อนรุ กั ษป์ ่า การจัดทำ� แนวเขตปา่ ให้ชดั เจนร่วมกับชุมชน เป็นกิจกรรมแรก ๆ
ท่ีดำ� เนินการ โดยตัวแทนชุมชน เจ้าหน้าทอี่ งคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ และหนว่ ยงานป่าไม้ ร่วมเดินส�ำรวจตาม
แนวเขตพน้ื ทป่ี า่ แลว้ นำ� แผนทจ่ี ากการสำ� รวจนำ� เสนอในทป่ี ระชมุ ประชาคมหมบู่ า้ นและตำ� บลเพอื่ ใหก้ ารรบั รอง
ก่อนส่งตอ่ ให้หนว่ ยงานทอ้ งถิน่ ด�ำเนนิ การต่อไป และสื่อสารใหผ้ ทู้ เ่ี ก่ยี วข้องทราบถึงเขตป่าชุมชน

จดุ ประกาย 39
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนย่ังยืน

การต้ัง “ทีมส�ำรวจ” ปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม จัดการอบรมเพ่ิมความรู้และทักษะในการใช้เครื่องมือ
ทางภูมิศาสตร์และการจัดท�ำแผนท่ีให้แก่ผู้น�ำชุมชน สมาชิกองค์การบริหารส่วนต�ำบล เทศบาล ตัวแทนคณะ
กรรมการหมบู่ า้ น และกลมุ่ สตรี เกดิ เปน็ กลมุ่ ปฏบิ ตั กิ ารสำ� รวจระดบั ตำ� บล แลว้ คดั เลอื กทมี สำ� รวจ ประกอบดว้ ย
หัวหน้าทีม ผู้บันทึกข้อมูล ผู้บันทึกพิกัดทางภูมิศาสตร์ ผู้วาดแผนท่ี และผู้เก็บภาพ เพื่อร่วมส�ำรวจแนวเขต
และจดั ทำ� ขอ้ มลู ความหลากหลายทางชวี ภาพป่าชมุ ชนแตล่ ะหม่บู ้าน
คันคูใหญ่ล้อมนา แก้ปัญหาดินเค็ม แนวคิดการท�ำคันนาจากเล็กให้ใหญ่ข้ึน เพ่ิมพื้นท่ีปลูกไม้ยืนต้นได้
หลายชนิด เพ่ือประโยชน์ในการเก็บน้�ำและเพ่ิมความชุ่มช้ืนให้ดิน ช่วยลดความเค็มลงได้ ท�ำให้ปลูกพืช
ได้หลายอย่าง เกษตรกรในเขตพ้ืนที่ทยอยท�ำคันคูใหญ่เพ่ิมเติม มีบ่อเล้ียงปลา และปลูกต้นไม้ อาทิ มะพร้าว
กล้วย ยางนา ประดู่ สะเดา ผกั สวนครัว ทำ� ให้ไดป้ ระโยชน์มากขึ้น
วทิ ยุชุมชน 96.75 MHZ สถานีวทิ ยคุ นรกั ษป์ า่ ประชาสัมพนั ธ์เร่อื งการร่วมสำ� รวจแนวเขตปา่ และที่ดนิ ท�ำกิน
ผ่านหอกระจายข่าวของแต่ละชุมชน ย้�ำให้ผู้ท่ีมีแนวเขตที่ดินท�ำกินติดพ้ืนที่ป่ารับทราบและเข้าร่วมการส�ำรวจ
ต่อมาตั้งเป็นส่ือวิทยุชุมชน ‘สถานีวิทยุคนรักษ์ป่า’ ออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูล
การบรหิ ารจดั การปา่ ไมแ้ ละแหลง่ นำ�้ ความรดู้ า้ นการสำ� รวจความหลากหลายทางชวี ภาพในปา่ ชมุ ชนไปเผยแพร่
และเพ่ือสร้างความตระหนักในการอนรุ ักษ์ป่าชุมชนในท้องถิน่

ปจั จัยส่คู วามส�ำเรจ็

• การส�ำรวจแนวเขตพื้นท่ีป่าและท่ีดินท�ำกินท�ำให้สมาชิกในชุมชนได้ลงไปปฏิบัติและเห็นสภาพพ้ืนที่จริงร่วมกัน

ท�ำให้ผู้น�ำในแต่ละชุมชนเกิดความตระหนักในการอนุรักษ์และอยากมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่าชุมชนรอบหมู่บ้าน

• จึงทำ� ให้มีการรว่ มกนั ทำ� แนวกันไฟและปลกู ป่าเสรมิ ตลอดปี

การสือ่ สารอย่างต่อเน่ือง มกี ารให้ความรู้และชแี้ จงรายละเอยี ดต่าง ๆ แก่ชุมชนอยา่ งสม�ำ่ เสมอ สร้างความไว้ใจ
และเช่ือมัน่ ในการด�ำเนนิ งาน ทำ� ให้เกดิ ความรว่ มมือในการจดั การทรัพยากรในทอ้ งถน่ิ

40 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนยง่ั ยนื

14 การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากปา่ ชุมชนอาลอ-โดนแบน

จงั หวัดสุรินทร์

การเข้าไปใช้ประโยชน์ในป่าชุมชนอาลอ-โดนแบน

ทม่ี ากขนึ้ และขาดการดแู ลรกั ษา สง่ ผลใหป้ า่ เรมิ่ เสอ่ื มโทรม
อกี ทงั้ มกี ารลกั ลอบตดั ไม้ บกุ รกุ พน้ื ทปี่ า่ เพอ่ื เปน็ ทท่ี ำ� กนิ
มีการเผาป่าเพ่ือเก็บหาของป่าและล่าสัตว์ กลุ่มอนุรักษ์
ป่าชุมชนในพ้ืนที่เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงร่วมกัน
หาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป

องค์การบริหารส่วนต�ำบลนาดี จังหวัดสุรินทร์ ด�ำเนินโครงการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมป่าชุมชนอาลอ-โดนแบน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนท้องถิ่นต�ำบลนาดี
ในปี 2561-2563 เพ่ือให้คนในท้องถ่ินเกิดความตระหนักในการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนอย่างย่ังยืน และอนุรักษ์
ความหลากหลายทางชีวภาพในป่า พร้อมสรา้ งความรว่ มมอื กับสถานศึกษาและหนว่ ยงานรัฐทีเ่ ก่ยี วข้อง ในพนื้ ทปี่ ่า
ชุมชนอาลอ-โดนแบน 4 ชุมชน ท�ำให้สมาชิกในชุมชน และภาคส่วนต่าง ๆ เกิดจิตส�ำนึกในการอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในชุมชนท้องถ่นิ มากข้นึ อีกท้งั ได้พฒั นาจัดตัง้ ศนู ย์การเรียนรแู้ ละเสน้ ทางศกึ ษา
ธรรมชาตใิ ห้เยาวชนในทอ้ งถน่ิ และบุคคลภายนอกได้เขา้ มาเรียนรแู้ ละศึกษาดงู านที่ปา่ แห่งนี้

ผลงานเดน่

เส้นทางศึกษาธรรมชาติและฐานเรียนรู้ในป่า ซึ่งมีทั้งพรรณไม้และสมุนไพรพื้นบ้านที่หลากหลาย ได้รับการ
พัฒนาให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ทางธรรมชาติ มีการรวบรวมองค์ความรู้ส�ำคัญในระบบนิเวศป่า โดยผู้น�ำชุมชน
ปราชญ์ชาวบ้านน�ำส�ำรวจพ้ืนท่ีป่า จัดท�ำเป็นฐานเรียนรู้ระบบนิเวศป่า จิตวิญญาณการรักษาป่า หยูกยาป่า
พื้นบ้าน และสายน้�ำแห่งชีวิต โดยมีผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน หมอยาพ้ืนบ้าน และสมาชิกในชุมชนเป็นวิทยากร
ประจ�ำฐาน

จดุ ประกาย 41
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชมุ ชนย่ังยืน

“ความเชื่อและจิตวิญญาณป่า” ชุมชนต�ำบลนาดีมีความเชื่อในศาลตายายและผีปู่ตาท่ีเป็นบรรพบุรุษ
ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาป่า และสามารถบันดาลให้เกิดความเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ท้ังด้านธรรมชาติ
และความเจ็บป่วย เชื่อว่าหากผู้ใดที่เข้าป่าอาลอ-โดนแบนแล้วประพฤติตนไม่เหมาะสม ผีปู่ตาก็จะลงโทษ
ผู้นั้น ซงึ่ ท�ำให้เกิดการก�ำหนดกฎระเบียบในการใชป้ ระโยชน์จากปา่ ตามมา
ยุวชนคนรักษ์ป่า เร่ิมจากการอบรมให้ความรู้ด้านวิธีการศึกษาและส�ำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของ
ชนิดไม้และสัตว์ในป่าชุมชน จัดกิจกรรมการเรียนรู้นอกสถานที่ ต่อมาได้ต้ังกลุ่มยุวชนรักษ์ป่าเพ่ือร่วมส�ำรวจ
ขอ้ มูลความหลากหลายของชนิดพรรณไม้ สมนุ ไพร สตั ว์ป่า แมลง และสตั วน์ ำ�้ นำ� มาจดั ทำ� เปน็ ฐานข้อมลู
เครือข่ายการจัดการป่าอย่างมีส่วนร่วม องค์การบริหารส่วนต�ำบลนาดีเป็นพ่ีเลี้ยงร่วมสนับสนุนการจัดการ
ป่าชุมชนไปยังท้องถิ่นอ่ืน ๆ มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดสุรินทร์ร่วมให้ความรู้ด้านกฎหมาย ร่วมวิเคราะห์ปัญหา
ที่เกิดขึ้นในป่าอาลอ-โดนแบนในช่วงท่ีผ่านมา เป็นที่มาของการจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังป่าและแหล่งน�้ำ
“คณะพทิ กั ษป์ า่ ” ทค่ี อยลาดตระเวนและเฝ้าระวังป่า โดยเฉพาะในชว่ งหน้าแลง้ ท่ีอาจจะเกดิ ไฟปา่

ปจั จัยสคู่ วามส�ำเร็จ

• การน�ำความรู้มาพัฒนาจัดท�ำศูนย์การเรียนรู้และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และสนับสนุนให้เยาวชนเข้ามา
• มสี ่วนรว่ ม

การพัฒนาทักษะแกนน�ำชุมชนในการถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญาท้องถ่ินที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์ป่าไม้

• ท�ำให้สามารถเผยแพรอ่ งคค์ วามร้ตู า่ ง ๆ ให้กบั เยาวชนในทอ้ งถ่นิ และบุคคลภายนอกได้เป็นอยา่ งดี

การต้งั กฎระเบยี บ กติกา และบทลงโทษสำ� หรบั ผูก้ ระทำ� ผดิ ในการเข้าไปใชป้ ระโยชนใ์ นป่า ท�ำให้คณะกรรมการ
ปา่ ชมุ ชนมเี คร่อื งมอื ในการดำ� เนนิ การได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

42 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ มุ ชนยง่ั ยืน

กรณีภาคกลาง

15 การฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและความหลากหลายทางชีวภาพ
ของพันธ์ุข้าวพืน้ บา้ น จงั หวดั สุพรรณบุรี

การฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและความหลากหลาย

ทางชวี ภาพของพนั ธข์ุ า้ วพน้ื บา้ นในระบบเกษตรอนิ ทรยี ์
เป็นการต่อยอดงานอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน
ของมูลนิธิข้าวขวัญ เพ่ือขยายแนวคิดการท�ำนาอินทรีย์
อย่างยั่งยืน ให้ปรับเปล่ียนมาใช้พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน
และการเปล่ียนระบบการผลิตท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม
อยา่ งครบวงจร

มูลนิธิข้าวขวัญ ได้ด�ำเนินโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์ข้าวพ้ืนบ้าน
ในระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม พื้นที่น�ำร่องจังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างปี 2558-2560 มุ่งพัฒนา
องค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรในพ้ืนท่ีจังหวัดสุพรรณบุรี 4 อ�ำเภอ ได้ร่วมกันฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและ
เพ่ิมความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์ข้าวพ้ืนบ้าน รวมถึงส่งเสริมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของ
ภาคีภาคประชาชนและภาครัฐ พร้อมการก�ำหนดยุทธศาสตร์และแผนแม่บทในการปกป้องพันธุกรรมข้าว
ให้กับเกษตรกร โดยเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงท�ำให้ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวพ้ืนเมืองที่เหมาะสมกับบริบทพ้ืนท่ี
นำ� ไปสู่การท�ำเกษตรวถิ อี ินทรยี ์ วิถีฟ้ืนฟู และเปน็ มิตรกบั สง่ิ แวดลอ้ ม

ผลงานเดน่

วิถีท�ำนาอินทรีย์ท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดและเลิกใช้สารเคมีในการท�ำนา เพ่ือพ่ึงพาตนเองมากข้ึน
โดยมีการบ�ำรุงดิน เลือกพันธุ์ข้าวท่ีเหมาะสม ใช้เครือหางไหลในการป้องกันก�ำจัดแมลงศัตรูพืช ใช้จุลินทรีย์
จาวปลวกชว่ ยยอ่ ยสลายฟางขา้ วแทนการเผา จากเดมิ ท�ำนาปลี ะ 3 คร้ัง ลดเหลอื ทำ� นาแบบประณตี 1 ครง้ั ตอ่ ปี

จดุ ประกาย 43
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนย่งั ยนื

ขา้ วพนั ธด์ุ แี ละเหมาะกบั บรบิ ทพนื้ ท่ี เกษตรกรเรยี นรวู้ ธิ คี ดั เลอื กพนั ธข์ุ า้ ว เรมิ่ จากเอาพนั ธข์ุ า้ วลกู ผสมทร่ี วบรวม
กวา่ 280 สายพนั ธุ์ ไปทดลองปลกู ในพนื้ ท่ตี นเอง โดยเลือกสายพันธุ์ทช่ี อบ ท�ำใหไ้ ดพ้ นั ธุ์ข้าวขาวตาเคลือบนิ่ม
1 ใน 3 สายพันธุ์ส�ำคัญท่ีโครงการและเกษตรกรได้ร่วมกันทดลอง เปรียบเทียบท้ังวิธีการผลิต ผลผลิต
และให้โรงสีในจงั หวดั รว่ มคัดเลอื กเพือ่ สร้างโอกาสทางการตลาด
การสืบสานและฟื้นวิถีชาวนาดั้งเดิม ให้ความเคารพบรรพบุรุษ รักษาพิธีแรกไถ ท�ำขวัญข้าว แพ้ท้องข้าว
แสดงเต้นก�ำร�ำเคียว และรักษาพันธุกรรมข้าวให้เป็นแบบอย่างให้กับเกษตรกรในพื้นท่ีใกล้เคียง ริเริ่มสร้าง
ตลาดข้าวพืน้ บ้านอินทรยี ์ ใหผ้ ู้บรโิ ภคได้เข้าถึงมากข้ึน
การเรียนรู้และฝึกฝน ตั้งแต่ทักษะการสังเกต การจดบันทึก และการสรุปบทเรียน ในแต่ละกิจกรรม
เพื่อให้เข้าใจข้อมูลร่วมกันอย่างถูกต้อง รวมถึงการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้และผลผลิตสู่สาธารณะ
สร้างความร่วมมือระหวา่ งเกษตรกรและภาคตี ่าง ๆ ในการอนรุ กั ษ์พันธุกรรมขา้ วพน้ื บ้าน

ปจั จยั สูค่ วามส�ำเรจ็

• การเรียนรู้วิถีดั้งเดิมจากพันธุ์ข้าว มีส่วนส�ำคัญในการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตเพ่ือลดต้นทุนและแก้ปัญหา
• ในการผลิต

การปรับปรุงและคัดพันธุ์ข้าว ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมการท�ำนาแบบอินทรีย์หรือปรับตัวได้เฉพาะท้องถิ่น

• ใหผ้ ลผลิตสงู และมีคุณภาพ ทนตอ่ โรคและสภาพอากาศท่เี ปลย่ี นแปลง อันเปน็ การลดความเสย่ี งของเกษตรกร

การสรา้ งเครอื ขา่ ยความรว่ มมอื ระหวา่ งเกษตรกรในแตล่ ะอำ� เภอ ทำ� ใหเ้ กดิ การแลกเปลยี่ นความรแู้ ละประสบการณ์
ระหว่างกัน ช่วยขับเคลื่อนการฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์ข้าวพ้ืนบ้าน
ในระบบเกษตรอินทรีย์

44 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยัง่ ยนื

16 การเสรมิ สร้างศกั ยภาพเครอื ขา่ ยปา่ ชมุ ชน

จังหวัดกาญจนบุรี

ปัญหาการลักลอบตัดไม้ท�ำลายป่า การบุกรุก

พ้ืนท่ีป่าเพ่ือใช้เป็นที่ดินท�ำกินในจังหวัดกาญจนบุรี
เนื่องมาจากแนวเขตพ้ืนที่ป่าท่ีไม่ชัดเจน ประชาชน
ไม่เข้าใจกฎหมายและนโยบายของภาครัฐ แม้มี
เครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดกาญจนบุรี แต่ยังขาด
การวางแผนและขาดความรว่ มมอื ในการจดั การปา่ ชมุ ชน
ในแตล่ ะอำ� เภอ

สภาองค์กรชุมชนต�ำบลหนองโรง จังหวัดกาญจนบุรี ด�ำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายป่าชุมชน
จังหวัดกาญจนบุรี ในการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างย่ังยืน ระหว่างปี 2560-2563 มุ่งสร้างจิตส�ำนึกให้ชุมชน
สร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความส�ำคัญและเกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่น โดยการสร้างการมีส่วนร่วมและขยายผลเครือข่ายจัดการป่าชุมชนท่ีครอบคลุมระดับ
หมูบ่ ้าน ตำ� บล และอ�ำเภอ ในพ้นื ที่ปา่ ชมุ ชน 50 แห่ง ในอ�ำเภอพนมทวน ไทรโยค เลาขวัญ หนองปรอื บอ่ พลอย
ศรีสวสั ด์ิ ห้วยกระเจา ท่ามว่ ง ทองผาภูมิ และด่านมะขามเตีย้ จังหวัดกาญจนบุรี ท�ำให้สมาชิกเครอื ข่ายปา่ ชุมชน
ไดร้ บั องค์ความรแู้ ละยงั เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้แนวทางในการฟ้ืนฟู อนรุ ักษป์ า่ ชุมชนระหวา่ งอ�ำเภออกี ดว้ ย

ผลงานเดน่

การจัดการพ้ืนท่ีและรักษาป่าโดยชุมชน ป่าชุมชนบ้านห้วยสะพานสามัคคี อ�ำเภอพนมทวน ร่วมกันจัดตั้ง
คณะกรรมการป่าชุมชน มีชุดลาดตระเวน กลุ่มราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) ผู้ที่เล้ียงวัว
และคนในชุมชนช่วยกันสอดส่องดูแลป่า มีป้ายแนวเขตป่าชุมชน ตั้งกฎกติกาและโซนพ้ืนท่ีท่ีสามารถ
ใช้ประโยชน์ ขณะเดียวกันเครือข่ายป่าชุมชนบ้านสหกรณ์นิคม อ�ำเภอทองผาภูมิ แบ่งป่าชุมชนออกเป็น
โซนปา่ ใชป้ ระโยชน์ และโซนอนุรกั ษ์ป่าดงดบิ ซงึ่ มกี ารคน้ พบชนดิ สัตว์เฉพาะถิ่นท่ตี ้องการอนุรกั ษไ์ ว้

จดุ ประกาย 45
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยั่งยนื

การเรยี นรวู้ ิธีปลกู “ไผ่” ในป่าชุมชน ไผเ่ ป็นพชื ทชี่ มุ ชนมีความตอ้ งการใช้ประโยชน์มาก จึงมีการปลูกฟน้ื ฟูไผ่
ซงึ่ เขา้ ไปรดนำ�้ กลา้ ไผบ่ อ่ ยครงั้ ในแตล่ ะวนั ตอ่ มาชมุ ชนประยกุ ตใ์ ชข้ วดนำ�้ ตดั กน้ แลว้ ฝงั ในดนิ ขา้ งตน้ ไผแ่ ละรดนำ้�
ลงในขวด แต่ก็ไม่สามารถใช้งานได้นาน จึงประยุกต์ใช้ท่อพีวีซีน�ำมาฝังลงดินลึก 1 ฟุต ข้างต้นไผ่ท่ีปลูก
ชว่ ยใหส้ ามารถรดน�ำ้ ลึกไปถึงรากและยังเก็บน�้ำไว้ไดด้ ว้ ย
“เตยี้ โตน้ ำ้� ” ฝายชะลอน้ำ� ภูมปิ ัญญาชมุ ชน ส�ำหรับบางพืน้ ทีม่ คี วามลาดชันมาก ไดด้ ัดแปลงฝายใหม้ ีลักษณะ
ข้างหน้าเต้ียและข้างหลังสูง มีความสูง 3 ระดับเป็นข้ันบันไดให้รองรับการกระแทกของน�้ำที่ไหลเชี่ยว
จึงเรียกว่า ‘เต้ียโต้น้�ำ’ โดยสร้างฝายต่อเนื่องต้ังแต่ยอดเขาลงมาตลอดล�ำน้�ำ โดยใช้ไม้ไผ่และหินที่มีในพื้นท่ี
เปน็ วัสดุหลักในการกอ่ สร้าง
เส้นทางศึกษาธรรมชาติและแหล่งความรู้ในป่าชุมชน มีการจัดท�ำเส้นทางศึกษาธรรมชาติในพ้ืนท่ีป่าชุมชน
บา้ นพเุ ตย อำ� เภอไทรโยค และปา่ ชมุ ชนบา้ นเขานางสางหวั อำ� เภอเลาขวญั โดยมปี ราชญช์ าวบา้ น หมอสมนุ ไพร
เปน็ วทิ ยากร มปี ้ายส่อื สารขอ้ มูลพรรณไม้ ป้ายคำ� ขวญั และกฎระเบียบการใชป้ ระโยชนป์ า่
การขยายความร่วมมือผ่านกลุ่มต่าง ๆ เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมประชุมระดับหมู่บ้าน
เปน็ ประจ�ำ เพอื่ การขับเคล่ือนการอนรุ ักษ์ปา่ ชุมชนในแต่ละหมูบ่ ้าน มีการจัดตั้งกลมุ่ เฝ้าระวงั ผู้บุกรุกป่าชุมชน
เช่น กลุ่มหมาเฝ้าป่าของเครือข่ายป่าชุมชนบ้านหลังเขาร่วมกับกรมป่าไม้ การจัดต้ังคณะกรรมการป่าชุมชน
รนุ่ เยาว์ และผลักดันให้กลมุ่ เยาวชนดนตรไี ทยบา้ นหว้ ยสะพานมีส่วนร่วมอนุรักษป์ ่าไม้ เป็นต้น

ปัจจยั สูค่ วามส�ำเร็จ

• เครือข่ายป่าชุมชนที่เข้มแข็ง มีข้อมูลชัดเจน มีการบริหารงานท่ีดี มีแผนด�ำเนินกิจกรรมล่วงหน้า 1 ปี ท�ำให้
• ภาคเี ครือขา่ ยเขา้ ใจและเช่ือมน่ั ในการเข้าไปสนับสนนุ การด�ำเนินงานของปา่ ชุมชนแต่ละแห่ง

สมาชกิ ในชมุ ชนสนใจชนดิ พนั ธไ์ุ มแ้ ละความหลากหลายทางชวี ภาพในปา่ ชมุ ชนตนเอง สนใจการอนรุ กั ษแ์ ละปอ้ งกนั

• ปา่ ชมุ ชน

ชุมชนช่วยกันตรวจตราและเฝ้าระวังป่า หากพบเหตุผิดปรกติ หรือการบุกรุกพื้นท่ีป่าจะแจ้งแก่คณะกรรมการ
ปา่ ชุมชน

46 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู ุมชนยัง่ ยืน

กรณภี าคใต้

17 การจดั การพนื้ ทีช่ ุ่มน้ำ� อา่ วบา้ นดอนอย่างยงั่ ยนื

จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี

อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่รับน�้ำ

จากแม่น้�ำล�ำคลองต่าง ๆ มีตะกอนจากปากแม่น�้ำ
ไหลลงสอู่ า่ วทำ� ใหม้ คี วามอดุ มสมบรู ณ์ และยงั เปน็ แหลง่
ทรัพยากรที่ชุมชนรอบอ่าวใช้ประโยชน์เพ่ือด�ำรงชีวิต
และได้จัดต้ังกลุ่มอนุรักษ์ข้ึนเพ่ือร่วมมือกันฟื้นฟู
สิ่งแวดล้อมในอ่าวบ้านดอน แต่การด�ำเนินงานยังขาด
การบรู ณาการท�ำงานร่วมกับหนว่ ยงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
มูลนิธิป่า-ทะเลเพ่ือชีวิต ได้ด�ำเนินโครงการยกระดับการเรียนรู้สู่การจัดการพื้นที่ชุ่มน้�ำอ่าวบ้านดอนอย่างย่ังยืน
ระหว่างปี 2556-2559 เพ่ือพัฒนาและส่งเสริมให้การด�ำเนินกิจกรรมท่ีมีอยู่เดิมขยายครอบคลุมพ้ืนท่ีบริเวณ
รอบอ่าวบ้านดอน และให้หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการด�ำเนินงานจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับ
องคก์ รชมุ ชน รวมถึงร่วมหาแนวทางในการอนรุ กั ษท์ รัพยากรในพนื้ ท่ี เกิดการขยายการดำ� เนนิ งานไปยงั ชุมชนอนื่ ๆ
อกี ทง้ั สมาชกิ ในชมุ ชนเกดิ ความตระหนกั ในปญั หาดา้ นทรพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั มากขน้ึ มกี ารจดั ตง้ั กลมุ่ อนรุ กั ษ์
ในแต่ละชมุ ชน ทำ� ให้ทรพั ยากรสัตวน์ ำ�้ ในอ่าวบา้ นดอนเริม่ กลับคืนมา หลงั การอนรุ กั ษ์ของชุมชนอยา่ งจริงจงั

ผลงานเด่น

แปลงอนุรักษ์ปูเปี้ยว (ปูแสม) สัตว์น้�ำท่ีสร้างรายได้ให้แก่ชาวประมงรอบอ่าวบ้านดอน เมื่อมีการจับมากข้ึน
จึงไม่เหลือแม่พันธุ์ปู ท�ำให้จ�ำนวนปูเปี้ยวลดลงชัดเจน ชุมชนจึงได้ร่วมกันจัดท�ำแปลงอนุรักษ์และขยายพันธุ์
ปูเปย้ี ว รวม 4 แปลง โดยใช้ตาข่ายล้อมคอกพื้นทปี่ ่าชายเลนแปลงละ 5-10 ไร่ รวบรวมแมป่ ไู ขน่ อกกระดอง
จากสมาชิกชุมชนนำ� มาปล่อยในคอก โดยมีคณะทำ� งานคอยดูแลและไม่ใหจ้ บั หาปูในบริเวณแปลงอนรุ กั ษ์

จุดประกาย 47
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนยง่ั ยนื

บ้านปลา ธนาคารปูไข่ ภูมิปัญญาสู่การอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง การท�ำบ้านปลาจะน�ำไม้ไผ่ยาวประมาณ
30 เมตร มาปักเป็นลักษณะคล้ายกระชังและวางทุ่นแนวเขตให้เห็นชัดเจน เป็นการอนุบาลปลาและสัตว์น้�ำ
วัยอ่อน ขณะท่ีธนาคารปูไข่ท�ำขึ้นเพ่ือเพาะฟักตัวอ่อนก่อนจะปล่อยสู่ทะเล โดยน�ำปูม้าไข่ฝาท่ีจับได้มาใส่
ไว้ในตะกร้าที่ผกู ไวบ้ รเิ วณท้ายเรือ เพือ่ ใหแ้ มป่ ลู ะลายไขใ่ นน�ำ้
การฟน้ื ฟปู า่ ชายเลน ดว้ ยการปลกู ฟน้ื ฟปู า่ ชายเลนอยา่ งตอ่ เนอื่ ง รว่ มกบั โรงเรยี นในพน้ื ท่ี ผปู้ กครอง และหนว่ ยงาน
ต่าง ๆ มีปราชญ์ชุมชนและผู้น�ำท้องถิ่นคอยอธิบายเกี่ยวกับป่าชายเลน พืช และสัตว์ที่พบเห็นระหว่าง
การท�ำกิจกรรม มีคณะท�ำงานและคนในชุมชนร่วมเฝ้าระวังการบุกรุกป่าชายเลน และร่วมกับองค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่ิน จดั ทำ� ข้อบญั ญตั ิทอ้ งถ่นิ ในการใชป้ ระโยชน์รว่ มกันอยา่ งชัดเจน
กองทนุ ปรบั เปลย่ี นเครอื่ งมอื ประมงตอ่ ยอดสกู่ องทนุ ชมุ ชนทย่ี ง่ั ยนื เพ่ือส่งเสริมให้ชาวประมงสามารถกู้ยืมเงิน
เพ่ือน�ำไปเป็นทุนในการเปลี่ยนเครื่องมือประมงท่ีอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมมากขึ้น มีคณะกรรมการและกฎระเบียบ
การจัดการกองทุนฯ โดยสมาชิกต้องร่วมสมทบเงินออมทรัพย์ทุกเดือน และได้รับเงินปันผลส้ินปี
อกี ทง้ั นำ� ผลก�ำไรไปเปน็ สวสั ดิการให้แกส่ มาชิก ท�ำให้สมาชิกรู้สึกเป็นเจา้ ของในกองทุนร่วมกัน

ปัจจัยสูค่ วามส�ำเรจ็

• กลุ่มอนุรักษ์ท่ีด�ำเนินกิจกรรมอย่างต่อเน่ืองในพื้นที่ชุมชน เกิดการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนในการฟื้นฟู
• ทรัพยากรในอ่าวบ้านดอนมากข้นึ

พี่เลี้ยงโครงการฯ รว่ มให้ความรู้ สรา้ งความเข้าใจในเรอ่ื งการจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝงั่ รว่ มกับชมุ ชน

• อย่างสม่�ำเสมอ เป็นแรงผลกั ดนั ใหส้ มาชกิ ในชมุ ชนเขา้ ร่วมกจิ กรรมตา่ ง ๆ

คณะกรรมการท่ีร่วมด�ำเนินงานมีความเข้มแข็ง ใส่ใจ ช้ีแจงและประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับสมาชิกทราบ

• อยา่ งตอ่ เนอื่ ง

การกำ� หนดประชมุ ทกุ เดอื นทงั้ กลมุ่ อนรุ กั ษใ์ นชมุ ชนและแลกเปลย่ี นการดำ� เนนิ งานระหวา่ งกลมุ่ อนรุ กั ษต์ า่ งชมุ ชน
ท�ำใหส้ มาชิกเกิดความเชอื่ มัน่ อกี ท้ังสนใจเข้ารว่ มกลมุ่ อนุรกั ษใ์ นชุมชนของตนเอง

48 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยง่ั ยนื

18 การฟืน้ ฟพู ลับพลงึ ธารพืชอาศยั ถิน่ เดยี วในโลกทใี่ กล้สูญพนั ธ์ุ

จังหวัดระนองและจงั หวดั พงั งา

พลับพลึงธารเป็นพืชเฉพาะถิ่น ที่สามารถพบเห็น

ได้ในบริเวณจังหวัดระนองตอนล่างและจังหวัดพังงา
ตอนบน ซ่ึงในปัจจุบันพบน้อยมาก จัดเป็นพืชหายาก
ใกล้สูญพันธุ์ของโลก เนื่องจากมีภัยคุกคามจากการ
ขดุ ลอกคคู ลองในบรเิ วณทเี่ ปน็ ถนิ่ อาศยั ของพลบั พลงึ ธาร
การเปล่ียนแปลงการใช้ท่ีดิน และการขุดหัวของ
พลบั พลงึ ธารเพอื่ การคา้

มูลนิธิอีสต์ ฟอร่ัม ได้ด�ำเนินโครงการฟื้นฟูพลับพลึงธารพืชอาศัยถิ่นเดียวในโลกท่ีใกล้สูญพันธุ์ในจังหวัดระนอง
และพังงา ระหว่างปี 2560-2563 เพ่ือฟื้นฟูพลับพลึงธารให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น โดยการอนุรักษ์ไว้ในสภาพป่า
(In situ) การฟื้นฟูระบบนิเวศล�ำคลองให้กลับคืนสู่สภาพป่าธรรมชาติ การติดตามเฝ้าระวังการเปล่ียนแปลงของ
ระบบนิเวศท่ีจะส่งผลกระทบต่อพลับพลึงธาร มีกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย เยาวชน เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน สมาชิกในชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ในพื้นที่อ�ำเภอกะเปอร์
และสุขส�ำราญ จงั หวัดระนอง และอ�ำเภอครุ ะบรุ ี และตะก่วั ปา่ จังหวดั พงั งา

ผลงานเด่น

การขยายพันธุ์ตามวิถีชุมชน พลับพลึงธารอาศัยอยู่ในแหล่งน้�ำจืดมีน�้ำไหลตลอดปี ดินตะกอนท้องน้�ำเป็น
ดนิ รว่ นปนทราย ลำ� คลองเปดิ กวา้ งและแสงแดดสอ่ งถงึ ในการขยายพนั ธน์ุ อกจากการปลอ่ ยใหเ้ มลด็ พลบั พลงึ ธาร
หลุดลอยตามน้�ำ จมลงหน้าดินใต้ท้องน�้ำ เกิดการงอกของเมล็ดขึ้นมาใหม่และแทงรากหยั่งลงดินจนต้นเติบโต
ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีการน�ำเมล็ดพลับพลึงธารที่เก็บได้จากปีท่ีผ่านมา ซึ่งต้องมีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ไม่มี

จดุ ประกาย 49
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยั่งยืน


Click to View FlipBook Version