The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยืน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กองทุนสิ่งแวดล้อม, 2022-08-05 00:04:38

จุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยืน

จุดประกาย ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนยั่งยืน

แมลงกดั กินมาแช่น�ำ้ ยาป้องกนั เช้อื รา ผสมดนิ ปลูกที่มขี ุยมะพรา้ วเล็กน้อยใส่ในตะกร้าไมไ้ ผ่ ฝงั กลบตะกรา้ และ
รดนำ้� อย่างสมำ่� เสมอ ก็จะเตบิ โตขน้ึ ได้
การสร้างความตระหนักรู้ถึงความส�ำคัญของพลับพลึงธาร ให้ทุกคนเกิดความรู้สึกรัก หวงแหน และภูมิใจ
ในทรัพยากรท่ีมีอยู่ในท้องถิ่น หยุดกิจกรรมท่ีเป็นภัยคุกคาม และช่วยกันอนุรักษ์ฟื้นฟูประชากรพลับพลึงธาร
โดยการขยายพนั ธุแ์ ละน�ำไปปลูกคนื สถู่ ิ่นอาศยั เดมิ
กฎระเบียบและกลไกการบริหารจัดการ กรณีของชุมชนบ้านไร่ใน ใช้กลไกคณะกรรมการเครือข่ายฟื้นฟู
พลับพลึงธารและล�ำคลอง โดยร่วมกันก�ำหนดกฎระเบียบส�ำหรับการท่องเท่ียว ห้ามการขุดหาหัวพลับพลึง
เพือ่ การค้า และหา้ มน�ำขยะเขา้ มาในพื้นท่ี รวมท้ังขอความร่วมมือจากเจา้ ของทด่ี ินริมคลอง ลดการใชส้ ารเคมี
ทางการเกษตร ปลูกพชื คลมุ ดนิ และปอ้ งกันการชะลา้ งหนา้ ดนิ
การจัดท�ำหลักสูตรท้องถิ่น โรงเรียนกะเปอร์วิทยา ช่ือ “วิชาพลับพลึงธาร” บรรจุในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ใช้สอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จ�ำนวน 40 ชั่วโมงต่อภาคการศึกษา เพ่ือให้ผู้เรียน
เกิดความรู้ ความตระหนัก และเห็นความส�ำคัญของพลับพลึงธาร โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ในการสำ� รวจและสบื ค้นข้อมูล ตลอดจนสามารถส่อื สารสง่ิ ทเี่ รยี นรไู้ ปตอ่ ยอดได้

ปัจจยั สคู่ วามส�ำเรจ็

• การประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเรียนรู้จากการสังเกตและทดลองท�ำจริง ท�ำให้เกิดการฟื้นฟูพลับพลึงธาร
• ท่ยี ่ังยืน

กลุม่ คนรนุ่ ใหม่และชมุ ชนในพื้นทเี่ กดิ ความตระหนักในสถานการณก์ ารถกู คุกคามของพลับพลึงธาร เกิดความรัก
และหวงแหนน�ำไปสู่การมีส่วนร่วมฟื้นฟู รวมถึงน�ำความรู้ไปเผยแพร่ขยายผลอนุรักษ์พลับพลึงธารในระยะยาว

• ผา่ นกิจกรรมทอ่ งเท่ียวเชงิ นเิ วศ

กลมุ่ อนุรักษ์พลบั พลึงธารบ้านไรใ่ น มกี ารฟนื้ ฟรู ะบบนเิ วศและปลกู พลับพลึงธารเพ่ิมขนึ้ ทุกปี ยนื หยดั ต่อสูไ้ ม่ใหม้ ี
การขยายขุดลอกคลองมาถึงคลองเรือ จนสามารถปกป้องแหล่งที่อยู่อาศัยท่ีอุดมสมบูรณ์ท่ีสุดของพลับพลึงธาร
ผนื สดุ ท้ายในจงั หวดั ระนองไวไ้ ด้

50 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยัง่ ยนื

สว่ นท่ี 3

องค์ความรู้ บทเรยี น และผลสำ�เร็จ
ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม

จุดประกาย 51
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชมุ ชนยัง่ ยืน

52 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

การจัดการปา่ ไม้โดยใช้ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ

“ป่าดงหอ” ภมู ิปญั ญาวัฒนธรรมกบั การอนรุ กั ษ์นเิ วศป่าไม้

ป่าดงหอ หรือป่าดอนหอ เป็นป่าทางวัฒนธรรม

ตามความเชื่อของชุมชนท้องถ่ิน ซ่ึงใช้แนวคิดทาง
ด ้ า น วั ฒ น ธ ร ร ม แ ล ะ ค ว า ม เ ช่ื อ ม า บู ร ณ า ก า ร กั บ
การอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าไม้และความหลากหลาย
ทางชีวภาพของชุมชน ให้มีความอุดมสมบูรณ์และเป็น
แหล่งอนุรักษ์พันธุกรรมพื้นบ้าน โดยชุมชนคัดเลือก
พื้นท่ีป่าจากชัยภูมิท่ีเหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพื้นท่ี
ปา่ ดอน ท่ีมีตน้ ไมใ้ หญจ่ ำ� นวนมาก

ชมุ ชนไดส้ รา้ งศาลเจา้ ทจี่ ำ� นวน 3-4 ศาล ไวใ้ นปา่ ดงหอซงึ่ แตล่ ะศาลเจา้ ทจ่ี ะมลี กั ษณะ ขนาด และความหมายแตกตา่ งกนั
ตามความเชื่อ อาทิ ศาลท่ีมีขนาดใหญ่สุดจะเป็นตัวแทนพระธาตุศรีสองรักที่เป็นส่ิงศักด์ิสิทธ์ิส�ำคัญคู่บ้านคู่เมืองของ
อ�ำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ศาลขนาดใหญ่รองลงมา เรียกว่า ศาลเจ้าพ่อแสมที่เป็นตัวแทนของผีปู่ตา เป็นต้น
และมีกวนจ้�ำ (กวน คือ ผู้รู้เรื่องในการท�ำพิธี ส่วน จ�้ำ คือ ร่างทรง) ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นผู้น�ำ
ทางจิตวิญญาณประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเหนือธรรมชาติ ซ่ึงเช่ือว่าป่าดงหอแห่งน้ีเป็นสถานที่พ�ำนัก
ของผปี ู่ตาท่ีชว่ ยคุ้มครองป่าของชุมชน ป่าดงหอมขี ้อบงั คบั และกฎเกณฑใ์ นการเข้าไปใช้ประโยชน์ท่ีเข้มงวด โดยกอ่ น
จะเขา้ ไปในอาณาเขตปา่ ดงหอจะตอ้ งไดร้ บั การอนญุ าตจากกวนจำ้� แลว้ เทา่ นน้ั สง่ ผลใหส้ ามารถรกั ษาความหลากหลาย
ทางชีวภาพของป่าในท้องถิ่นไว้ได้เป็นอย่างดี ต้นไม้ท่ีมีอายุมากในพื้นที่จึงช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์พืชท้องถ่ิน
และเปน็ พ้นื ทมี่ ีความอุดมสมบรู ณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นทรพั ยส์ นิ ของชุมชนทีต่ อ้ งชว่ ยกันดแู ล

จดุ ประกาย 53
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

ความเช่ือทางจิตวญิ ญาณส่กู ารอนรุ ักษ์ทรพั ยากรชมุ ชน

ป่าชุมชนอาลอ-โดนแบน หมู่ท่ี 10 ต�ำบลนาดี

อ�ำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เดิมพ้ืนที่ป่าทามแห่งนี้
มคี วามอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มีไม้มคี า่ ขึ้นมากมาย
เช่น ยางนา ตะเคียนทอง แดง ประดู่ กระบาก ฯลฯ
ต่อมาได้เกิดการลักลอบตัดไม้ในป่าชุมชนเป็น
จ�ำนวนมาก เพ่ือท�ำบ้านเรือนไปขายยังต�ำบลอ่ืน ๆ
รวมถึงเพอ่ื สง่ ขายเปน็ ไมห้ มอนรางรถไฟ และเป็นไมฟ้ นื
ส�ำหรับรถไฟ เมื่อป่าเริ่มหมดก็มีราษฎรเข้าไปยึดถือ
ครอบครองท่ีดินเพื่อท�ำไร่อ้อยและไร่ปอ จนพ้ืนที่ป่าโล่งเตียน ต่อมาอดีตก�ำนันและผู้ใหญ่บ้านได้เกิดความตระหนัก
ถึงความส�ำคัญที่จะต้องอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า จึงได้ร่วมกันประชุมและรณรงค์ให้สมาชิกในชุมชนร่วมกัน
อนุรักษ์ป่า โดยเดินพบปะพูดคุยกับชาวบ้านทุกหลังคาเรือน ในระยะแรกเร่ิมมีท้ังผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่ก็พยายามระดมความคิดและห้ามปรามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครองพ้ืนที่ป่า โดยยกเลิกการท�ำไร่อ้อย
ไร่ปอในบรเิ วณทบี่ กุ รุกและปลอ่ ยให้ต้นไม้เดมิ ไดฟ้ ้ืนฟูข้ึนมาตามธรรมชาต ิ
อีกทั้งด้วย “ความเช่ือทางจิตวิญญาณ” ชุมชนมีความเช่ือว่าหากผู้ใดเข้ามาใช้ประโยชน์ในบริเวณป่าอาลอ-โดนแบน
แห่งน้ี แล้วประพฤตติ นไม่เหมาะสมผีปู่ตากจ็ ะลงโทษผู้น้ัน ท�ำใหเ้ วลาเข้ามาใช้ประโยชนช์ มุ ชนจงึ เกบ็ หาเทา่ ทจ่ี �ำเปน็
และให้ความเคารพเจ้าป่าเจ้าเขาเหล่านี้ ซึ่งการสร้างศาลตายายจึงเป็นกุศโลบายหน่ึงของชุมชนในการดูแล
และรกั ษาปา่ โดยการใชร้ ะบบความเชอ่ื ความศรทั ธา ใหเ้ กดิ การกำ� หนดขอ้ หา้ มตา่ ง ๆ ทเี่ ชอื่ มโยงถงึ ความผกู ผนั ระหวา่ ง
คนในชมุ ชนและจิตวิญญาณทางธรรมชาติ

54 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู มุ ชนยง่ั ยืน

สืบสานจารตี ประเพณแี ละวัฒนธรรมที่สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ

พื้นที่ต�ำบลแจ่มหลวง ต�ำบลแม่แดด และต�ำบลวัดจันทร์ อ�ำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ มีสภาพพื้นที่
เปน็ ปา่ และภเู ขาสงู ชนั ลอ้ มรอบ พนื้ ทปี่ า่ สนวดั จนั ทรต์ งั้ อยใู่ นเขตปา่ สงวนแหง่ ชาตปิ า่ แมแ่ จม่ ซง่ึ เปน็ ตน้ นำ้� ของนำ�้ แมแ่ จม่
ที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงชุมชน ชาวปกาเกอะญอเรียกผืนดินแห่งน้ีว่า “มือเจะคี” แปลว่าต้นน้�ำแม่แจ่ม รวมทั้งเป็น
ทที่ ำ� กนิ ท่อี ยอู่ าศยั ของ 3 กลุ่มชาติพันธ์ุ ไดแ้ ก่ ปกาเกอะญอ มง้ และลีซู วิถชี ีวิตของชุมชนมีแบบแผนจารตี ประเพณี
และวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ดังสุภาษิตปกาเกอะญอกล่าวว่า “ออทีเกอตอที ออก่อเกอตอก่อ” หมายถึง
อยู่กับน้�ำต้องรักษาน้�ำ กินอยู่กับป่าต้องรักษาป่า อีกทั้งมีพิธีกรรมหลายอย่างท่ีเช่ือมโยงทรัพยากรธรรมชาติ
เช่น พิธีเล้ียงผีป่า ผีเจ้าท่ี ผีน�้ำ ผีหมู่บ้าน เป็นต้น รวมถึงการน�ำเอารกหรือสายสะดือเด็กแรกเกิดไปผูกกับต้นไม้ใหญ่
ในป่าเดปอหรือป่าสายสะดือ เพ่ือให้ต้นไม้คุ้มครองเด็กท่ีเกิดมาและเม่ือเด็กเติบโตขึ้นก็จะดูแลต้นไม้ต้นนั้น
และผืนปา่ เดปอ ดงั นนั้ ชมุ ชนจงึ ให้ความสำ� คญั เรอื่ งของการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพืน้ ท่ี

นอกจากน้ี ยงั นำ� ภมู ปิ ญั ญาเกย่ี วกบั เพลงพน้ื บา้ นปกาเกอะญอ
หรือที่เรียกว่า “บทธา” ซึ่งเป็นบทเพลงที่บ่งบอก
ความเป็นมา ความเป็นอยู่ของปกาเกอะญอ เป็นการ
ถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญา เป็นบทเพลงท่ีหล่อหลอม
ชีวิต ประสบการณ์ คำ� สอน จากความทรงจ�ำของคนรุ่นเกา่
สืบทอดโดยการขับขานในพิธีกรรมต่าง ๆ โดยชาว
ปกาเกอะญอจะใช้ “บทธา” ท่ีสะท้อนความสัมพันธ์
ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ
แต่การศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ส่งผลให้องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรม อัตลักษณ์ ตัวตนของลูกหลานชนเผ่า รวมทั้งความรู้ ความเข้าใจ
“บทธา” เลือนหายจากสังคมปกาเกอะญอ ดังนน้ั จึงมกี ารร้ือฟน้ื “บทธา” ใหก้ ลับมามบี ทบาทในการอนุรกั ษ์วิถีชวี ติ
วฒั นธรรม รวมถงึ เปน็ การกระตุ้นให้เกดิ ความหวงแหนและอนุรกั ษ์ทรพั ยากรป่าไม้ดว้ ย

จุดประกาย 55
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

สืบสานศาสตรพ์ ระราชา แกป้ ญั หาภัยแล้ง สตู่ น้ แบบทางรอด

ชุมชนรอบป่าภูถ�้ำภูกระแตได้รับความรู้ในการบริหาร

จัดการน�้ำ การใช้เคร่ืองมือส�ำรวจพื้นท่ี การใช้แผนที่
ภาพถ่ายดาวเทียม และมีการร่วมส�ำรวจแหล่งน้�ำร่วมกัน
และได้ช่วยกันจัดท�ำแนวเขตป่า ดูแลรักษาป่าให้มีสภาพ
สมบูรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความแห้งแล้งในช่วงหน้าแล้ง
หรือเกิดน�้ำท่วมน้�ำหลากในฤดูฝน ท�ำให้มีน้�ำใช้เพียงพอ
ส�ำหรับการอปุ โภค-บรโิ ภค และการทำ� เกษตรจนสามารถ
ปลดหนสี้ นิ ได้ ไดร้ บั การยอมรบั ใหเ้ ปน็ ชมุ ชนตน้ แบบบรหิ าร
จัดการน้�ำ
กรณีนายค�ำมี ปุ้งโพธิ์ เกษตรกรตัวอย่างที่ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้รู้เร่ืองการปลูกผักหวานป่า และเป็นเกษตรกร
ตัวอย่างที่สามารถปลดหน้ีสร้างรายได้จากการท�ำเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยมีการปรับพื้นที่ และสร้างแหล่ง
เกบ็ นำ้� ในแปลง พรอ้ มทงั้ คอ่ ย ๆ ลดจากการปลกู พชื เชงิ เดยี่ วมาเปน็ การทำ� เกษตรทฤษฎใี หมท่ ม่ี ผี ลผลติ ทางการเกษตร
ที่หลากหลายและสามารถสร้างรายได้อย่างดี ผลผลิตทางการเกษตรท่ีสามารถสร้างรายได้ดีคือ “ผักหวาน”
เพราะสามารถเกบ็ จ�ำหนา่ ยได้ตลอดทง้ั ปี ราคาจำ� หนา่ ยอยู่ทก่ี โิ ลกรัมละ 400 บาท หากแยกขายเป็นถุง ราคาถุงละ
50 บาท นับเป็นความมั่นคงทางอาหาร อาชีพ และรายได้ที่ยั่งยืน ส่วนนายเข็ม เดชศรี เกษตรกรตัวอย่างท่ีมี
การจัดสรรพ้ืนที่การท�ำเกษตรแบบมีระเบียบแบบแผน โดยไม่ได้เน้นท�ำนาเหมือนสมาชิกชุมชนคนอ่ืน ๆ มีการแบ่ง
พ้ืนที่ ได้แก่ พื้นท่ีปลูกผัก เลี้ยงโค ไก่ บ่อเลี้ยงปลา และกบ ส่วนของพืชและปลาเป็นการสร้างรายได้ประจ�ำวัน
แก่ครอบครัว ส่วนโคเนื้อสร้างเป็นรายได้เป็นเงินเก็บรายปี รายได้จากการท�ำเกษตรสามารถส่งเสียลูกให้เรียนจบ
อีกท้ังเป็นมรดกส่งต่อให้กับลูกหลานได้ท�ำมาหากินบนพ้ืนท่ีตัวเอง ได้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้ากัน
และมีรายได้เป็นเงินเก็บจากการขายผลผลิตทางการเกษตรอย่างต่อเน่ือง เพราะมีน้�ำส�ำหรับท�ำการเกษตรตลอดปี
จึงอาจกล่าวได้ว่าน�้ำเปน็ สิ่งส�ำคญั ท่ีช่วยหลอ่ เลีย้ งทุกชวี ิตใหส้ ามารถด�ำรงอยไู่ ด้

56 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู ุมชนย่ังยืน

ขอ้ ค้นพบ

ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ในการจดั การปา่ ไมโ้ ดยการบรู ณาการภมู ปิ ญั ญา ความเชอื่ และวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ รว่ มกบั การอนรุ กั ษ์
ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชน ท�ำให้ในหลายพ้ืนที่มีวิถีและแนวทางในการจัดการ
ป่าไม้ จัดการแหล่งน้�ำของชุมชนจากการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดเป็นข้อก�ำหนด กฎกติกาต่าง ๆ ในการเข้า
ไปใช้ประโยชน์ในป่าชุมชนอย่างย่ังยืน อีกท้ังยังสืบต่อภูมิปัญญาสู่คนรุ่นหลังต่อไป ส�ำหรับการปรับใช้องค์ความรู้
และรูปแบบการดำ� เนนิ งานซ่ึงส่งผลใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ได้แก่

แนวคดิ ทางด้านวัฒนธรรมความเชอื่ ร่วมกับการอนรุ ักษ์ระบบนิเวศ ท้งั การคดั เลือกพน้ื ท่เี พอ่ื ทำ� เป็นปา่ ดงหอ
ศาลปู่ตา และศาลตายายท่ีชุมชนมีความเช่ือว่าจะช่วยปกป้องคุ้มครอง รักษาป่า คนในชุมชนและสัตว์และ
สามารถบนั ดาลใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ทงั้ ดา้ นธรรมชาติ ความเจบ็ ปว่ ย จงึ เปน็ กศุ โลบายหนง่ึ ของชมุ ชน
ในการดูแลและรักษาป่าโดยการใช้ระบบความเชื่อ ความศรัทธาให้เกิดการก�ำหนดกฎเกณฑ์ในการเข้าไปใช้
ประโยชน์ที่เขม้ งวด ขอ้ ห้ามตา่ ง ๆ ท�ำให้ป่าไม้และความหลากหลายทางชวี ภาพของชุมชนมีความอุดมสมบรู ณ์
และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรมพ้ืนบ้าน และท�ำให้สามารถรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไว้ได้
เป็นอย่างดี มีพรรณไม้ท่ีอายุมากจึงเป็นพ้ืนที่กระจายเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นและเป็นพ้ืนที่มีความอุดมสมบูรณ์
และเป็นทรัพยส์ ินของชมุ ชนท่ตี อ้ งช่วยกันดแู ล
การส่ือสารและส่งต่อภูมิปัญญาสู่คนรุ่นหลัง เช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ
และคนกบั สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ปจั จบุ นั คนรนุ่ ใหมต่ อ้ งเรยี นรตู้ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน นโยบายพฒั นา
ชาวเขาให้เป็นคนไทยหรือนโยบายผสมกลมกลืนในเชิงปฏิบัติส่งผลให้องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน
ความมีวัฒนธรรม อัตลกั ษณ์ ตวั ตนของลูกหลาน รวมทั้งความรู้ ความเข้าใจเลอื นหายจากชุมชนกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
การใช้ภูมิปัญญาในการอนุรักษ์วิถีชีวิต วัฒนธรรม รวมถึงเป็นเคร่ืองมือในการกระตุ้นให้เกิดความหวงแหน
และอนรุ กั ษ์ทรัพยากรปา่ ไมผ้ า่ นภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ

จุดประกาย 57
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนย่ังยืน

การจดั การไฟปา่ และหมอกควนั

วเิ คราะห์และจดั การไฟตามความจำ�เปน็ ของพนื้ ท่ี

การบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันในพ้ืนท่ี

อ�ำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ มีการวิเคราะห์พื้นที่
และบรหิ ารจดั การไฟปา่ และหมอกควนั แบง่ เปน็ 3 รปู แบบ
ได้แก่ ไฟที่จ�ำเป็นในพื้นที่การท�ำเกษตรหมุนเวียน
ไฟที่จ�ำเป็นในพื้นท่ีป่าเต็งรัง และไฟในพื้นที่ป่าอนุรักษ์
ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีสุญญากาศ คือ ต้องป้องกันไม่ให้มีไฟป่า
เกิดขึ้น โดยมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยค�ำนึงถึง
การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ
ฝุ่นละอองระดบั จงั หวดั รว่ มด้วย
กรณีการจัดการไฟในพื้นที่ป่าชุมชนและป่าต้นน�้ำของชุมชนบ้านยางเปียง บ้านยางครก และบ้านยางเปียงใต้
ต�ำบลยางเปียง มีการท�ำแนวกันไฟกว้าง 8 เมตร หรือตามความเหมาะสมกับพื้นท่ีและสภาพป่า หากเป็นพ้ืนท่ีป่า
ท่ีอยู่ติดเป็นผืนเดียวกันจะเน้นการวางแผนการจัดท�ำแนวกันไฟร่วมกัน มีการวิเคราะห์พื้นท่ีเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
อย่างใกล้ชิด ค�ำนึงถึงความเหมาะสมของพ้ืนท่ีและสภาพอากาศในแต่ละปี และการจัดท�ำข้อบัญญัติท้องถ่ินเร่ือง
“การจัดการไฟป่าและหมอกควนั ” เพอ่ื สง่ เสริมความเข้มแข็งขององค์กรชุมชนในการจัดการไฟป่าอยา่ งเปน็ รปู ธรรม
ส่วนการจัดการไฟป่าโดยชุมชนบ้านยางเปียงใต้ ใช้รูปแบบลดการเผาในพ้ืนที่เกษตรแบบไร่หมุนเวียน โดยชุมชน
จะท�ำนาปีละ 1 ครั้ง คือ ปลูกข้าวอาศัยน�้ำฝน หลังจากท่ีเก็บเก่ียวข้าวเสร็จจะน�ำโคที่ไปเลี้ยงในป่าออกมาปล่อย
ในไร่นาเพื่อกินเศษซากพืชและตอซังข้าวเพื่อลดการเผา ในส่วนชุมชนที่มีแหล่งที่อยู่อาศัยหรือที่ท�ำกินในพ้ืนที่ราบ
จะใชเ้ ครอ่ื งทนุ่ แรงและเครอ่ื งจกั รในการเศษซากพชื และตอซงั ขา้ ว เพอื่ ยน่ ระยะเวลาในการทำ� งาน ผลจากการปอ้ งกนั
ไฟป่าในพ้นื ทอี่ �ำเภออมก๋อย ท�ำใหไ้ มพ่ บปญั หาฝุ่น PM2.5 และผูป้ ่วยเกยี่ วกับโรคทางเดนิ หายใจในพน้ื ท่ลี ดลง

58 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนย่งั ยนื

การจัดการเช้ือเพลิงด้วยวิธชี งิ เผา

พ้ืนที่ปา่ ไมใ้ นตำ� บลสบเตีย๊ ะ อ�ำเภอจอมทอง จังหวัด

เชียงใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง
และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าป่าบ้านโฮ่ง มีเนื้อท่ีกว่า 187,000
ไร่ กว่าร้อยละ 70 เป็นป่าเต็งรังที่ง่ายต่อการถูกไฟไหม้
เมื่อมีจ�ำนวนเจ้าหน้าท่ีน้อยก็ท�ำให้การดูแลไม่ท่ัวถึง
หน่วยจัดการไฟป่าแต่ละแห่งจึงก�ำหนดพื้นท่ีเส่ียงต่อ
การเกิดไฟป่าและพ้ืนท่ีจัดการเชื้อเพลิงโดยชุมชน
โดยอาศัยการท�ำงานร่วมกับชุมชน ส�ำหรับป่าดิบแล้ง
มกี ารดแู ลรักษาอย่างเขม้ ข้นเพ่อื ปอ้ งกนั ไม่ให้เกดิ ไฟปา่

ส�ำหรับป่าเต็งรังหากปล่อยให้ใบไม้ทับถมกันมากก็เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้รุนแรงได้ จึงมีการจัดการเชื้อเพลิง
ด้วยวิธีชิงเผาที่เหมาะกับป่าเต็งรังท่ีทนต่อไฟป่า ข้ันตอนการชิงเผา ประกอบด้วยการก�ำหนดขอบเขตพื้นที่ร่วมกัน
ระหวา่ งตวั แทนชมุ ชนและเจา้ หนา้ ทส่ี ถานคี วบคมุ ไฟปา่ โดยจบั พกิ ดั ตำ� แหนง่ แปลงทจี่ ะดำ� เนนิ การ จากนน้ั ประเมนิ ปรมิ าณ
เช้ือเพลิงโดยมีปริมาณใบไม้ท่ีร่วงลงแล้วมากกว่าร้อยละ 70 แล้วประชุมหารือร่วมกับผู้น�ำชุมชนท้ังต�ำบล
โดยก�ำหนดวันชิงเผาส�ำหรับหมู่บ้านที่มีความพร้อมด้านเชื้อเพลิง และควบคุมไฟภายในแปลงชิงเผา โดยการท�ำ
แนวกันไฟ เพื่อป้องกันไฟลามและเฝ้าระวังให้ไฟดับให้สนิท แม้การชิงเผาเป็นวิธีการท่ีสวนทางกับมาตรการห้ามเผา
ของจังหวัด แต่ชุมชนเห็นว่าหากจัดการเช้ือเพลิงในช่วงเวลาท่ีเหมาะสมจะเป็นผลดีกว่า เนื่องจากพอถึงช่วงฤดูไฟป่า
ก็จะเสียหายและสร้างผลกระทบไม่มากนัก การเตรียมพื้นท่ีส�ำหรับเพาะปลูก ชุมชนจะร่วมกันก�ำหนดวันเผา
ในแตล่ ะพนื้ ทอ่ี ย่างชัดเจนและจดั ทำ� แนวกนั ไฟ เพ่อื ไมใ่ ห้ลกุ ลามเขา้ ไปในปา่

จุดประกาย 59
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนยั่งยืน

“แม่แจม่ โมเดล” ปรับเปลี่ยนพืชปลกู ลดความเสย่ี งการเกดิ ไฟ

อ�ำเภอแม่แจ่ม อยู่ในเขตพื้นท่ีสูงของ

จงั หวดั เชยี งใหม่ มกี ารปลกู ขา้ วโพดเลยี้ งสตั ว์
ซ่ึงขยายตัวพื้นท่ีมากขึ้น จากราคาข้าวโพด
ท่ีสูงขึ้น ท�ำให้เกิดการบุกรุกป่า ส่งผลต่อ
การขาดแคลนน�้ำส�ำหรับท�ำการเกษตร
สมาชิกในชุมชนประสบปัญหาหน้ีสินสะสม
อีกทั้งมีการเผาตอซังข้าวโพดหลังจากการ
เก็บเก่ียว ท�ำใหเ้ กิดปัญหาหมอกควนั
“แม่แจ่มโมเดล” เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ค�ำนึงถึงหลักการจัดการตนเอง
การสร้างแนวร่วม การสร้างความเข้าใจกับสาธารณะ การเช่ือมโยงเพ่ือสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย
และกฎหมาย โดยมหี ลักการสำ� คัญในการแก้ไขปัญหาคอื กระบวนการแกไ้ ขปญั หาโดยใช้พืน้ ทเี่ ป็นตวั ต้ัง ซึง่ ยกระดับ
จากการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันมาสู่การแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ทั้งการจัดการที่ดินป่าไม้ การจัดการทรัพยากร
และการพฒั นาเศรษฐกจิ ชมุ ชนอยา่ งยงั่ ยนื โดยเปดิ พนื้ ทใ่ี หท้ กุ คนและทกุ ภาคสว่ นมสี ว่ นรว่ มคดิ และลงมอื ทำ� เพอื่ ฟน้ื ฟู
ระบบนเิ วศควบคไู่ ปกบั การสรา้ งอาชพี และรายได้ มกี ารวางแผนปรบั ระบบการใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ สำ� รวจและตรวจสอบ
แปลงที่ดินท�ำกินของเกษตรกร จัดท�ำเอกสารประวัติการใช้ประโยชน์ที่ดินรายแปลง เพ่ือให้ทราบขอบเขตที่ชัดเจน
ของทด่ี นิ ทำ� กนิ ของสมาชกิ ชมุ ชนแตล่ ะราย ปอ้ งกนั การบกุ รกุ พนื้ ทเ่ี พมิ่ เตมิ ในสว่ นของการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อมในพื้นท่ี ชุมชนได้ร่วมกันก�ำหนดกติกา กฎระเบียบการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์พื้นท่ีป่า
และแผนการป้องกันการบุกรุกพื้นท่ีป่า จนน�ำไปสู่การจัดท�ำข้อบัญญัติท้องถิ่นด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันชุมชนลดพ้ืนที่ปลูกข้าวโพดและหันมาปลูกพืชทางเลือกท่ีหลากหลาย เช่น เคพกูสเบอร์รี่
เสาวรส มะเขือเทศ หอมญี่ป่นุ เป็นตน้ และใชอ้ งค์ความรโู้ ครงการหลวงเข้ามาชว่ ยสร้างรายไดร้ ะยะส้ัน ระยะกลาง
และระยะยาว ท�ำให้ชาวบ้านมรี ายได้สม�่ำเสมอ

60 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยั่งยนื

ข้อคน้ พบ

การจัดการไฟป่าโดยค�ำนึงถึงสภาพพื้นท่ี สภาพป่า และการใช้ประโยชน์ที่ดินของชุมชนโดยรอบ มีการผสมผสาน
ความรู้ทางวิชาการและภูมิปัญญาท้องถ่ิน รวมถึงมีกลไกในการส่ือสารและประสานงาน เพ่ือสร้างความเข้าใจ
และร่วมมือกบั ชุมชนรอบพืน้ ท่ี น�ำไปสู่การจัดการไฟอยา่ งเปน็ ระบบโดยไม่ตอ้ งใช้มาตรการห้ามเผา สำ� หรบั การปรบั ใช้
องค์ความรู้และรปู แบบการด�ำเนนิ งานซึง่ ส่งผลให้ประสบความสำ� เรจ็ ได้แก่

การสร้างความม่ันคงในท่ีท�ำกิน โดยส�ำรวจการใช้ท่ีดินและท�ำประวัติการใช้ท่ีดินรายแปลงด้วยความร่วมมือ
จากภาคส่วนท่ีเก่ยี วข้อง เป็นกุญแจส�ำคัญให้เกษตรกรสามารถเขา้ ถงึ การสนบั สนุนต่าง ๆ จากภาครฐั น�ำไปสู่
ความร่วมมือในการปรับเปลย่ี นการปลกู พชื อย่างยั่งยนื เหมาะสมกับพ้ืนท่ี และลดการเผา
การจัดท�ำข้อบัญญัติท้องถ่ินในการจัดการไฟป่า เช่ือมโยงกับแผนและนโยบายระดับจังหวัด เพ่ือเพ่ิม
ประสิทธิภาพในการจัดการไฟป่าและหมอกควันร่วมกันทั้งในระดับพื้นท่ี อ�ำเภอ และจังหวัด เพ่ือให้เกิด
ความย่ังยืนในการแก้ไขปญั หา และเป็นการสร้างความเขา้ ใจระหว่างชุมชนเมอื งและชนบทในเร่อื งปญั หาไฟปา่
ความร่วมมือจากภาคส่วนท่ีเก่ียวข้อง บนพ้ืนฐานของการตัดสินใจและจัดการร่วมกัน ผลักดันให้เกิด
การดำ� เนนิ งานในลกั ษณะของเครอื ขา่ ย โดยไดม้ กี ารบรหิ ารจดั การเชอ้ื เพลงิ ตามหลกั วชิ าการผนวกกบั การจดั การ
เชอื้ เพลงิ รว่ มกบั วธิ กี ารทใี่ ชอ้ ยเู่ ดมิ (การทำ� แนวกนั ไฟ การลาดตระเวน และการดบั ไฟปา่ ) ซง่ึ เปน็ การนำ� ภมู ปิ ญั ญา
ท้องถิ่นมาประยุกตใ์ ช้
การน�ำศาสตร์หลากหลายแขนงมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งก่อให้เกิดการจัดการไฟป่าหลากหลายรูปแบบ
ไมว่ ่าจะเป็นการท�ำแนวกนั ไฟ ซึ่งจะผสมผสานระหว่างสง่ิ ท่มี นุษยส์ รา้ งข้นึ เชน่ ถนน เป็นต้น กับสิ่งท่มี ีอยแู่ ลว้
ตามธรรมชาติ เชน่ ล�ำห้วย เป็นต้น รวมถึงการใช้เทคโนโลยเี ขา้ มาช่วย
การประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด ด้วยอาจมีปัจจัยหรือตัวแปรอื่นในช่วงการจัดการไฟป่าที่นอกเหนือ
การควบคมุ เชน่ เกดิ ลมในชว่ งการชงิ เผาซง่ึ อาจจะสง่ ผลใหเ้ กดิ การลกุ ลามทำ� ใหค้ วบคมุ ไดย้ ากและเกดิ ฝนุ่ ละออง
เพม่ิ ขน้ึ โดยฉบั พลนั ทำ� ใหต้ อ้ งเลอื่ นการจดั การไฟออกไปกอ่ น เพอ่ื ไมใ่ หค้ า่ ฝนุ่ ละอองโดยรวมสงู ขนึ้ จนเกนิ ระดบั
ที่เหมาะสม เปน็ ตน้

จุดประกาย 61
ขยายองคค์ วามรู้ สูช่ มุ ชนยัง่ ยืน

การลดผลกระทบภยั ธรรมชาติ

“รกั ษ์ป่าเพอ่ื รักษานา้ํ ” ฟ้ืนฟูระบบนเิ วศและป้องกนั ดนิ ชะล้างพงั ทลาย

การท�ำเกษตรเชิงเดี่ยวท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

การใช้ท่ีดนิ ท่สี รา้ งความเสียหายต่อระบบนิเวศในพนื้ ที่
การบกุ รกุ พน้ื ทป่ี า่ เพอ่ื ทำ� การเกษตรแบบไมย่ งั่ ยนื สง่ ผล
ท�ำให้เกิดการพังทลายของดิน เช่นเดียวกับสถานการณ์
ในพื้นท่ีต้นน�้ำพุง อ�ำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย จึงมีการ
สนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกไผ่และไม้ยืนต้น
ตามแนวรมิ ตลงิ่ ลำ� นำ้� พงุ เพอื่ ชว่ ยยดึ เกาะดนิ บรเิ วณรมิ ตลงิ่
ต่อมาพบว่าในอ�ำเภอด่านซ้ายมีพืชอาหารท่ีเป็นท่ีนิยม
ในตลาดและเปน็ ทต่ี อ้ งการสงู คอื ดกี ง้ั ซง่ึ เปน็ ผกั สมนุ ไพร
พ้ืนบ้านท่ีมีลักษณะเป็นกอและมีล�ำต้นใต้ดินมีราก
จ�ำนวนมากที่ช่วยยึดเกาะหน้าดินได้ จึงได้สนับสนุน
ให้เกษตรกรน�ำมาปลูกเพ่ือปกคลุมหน้าดิน ป้องกัน
การปะทะจากน้�ำฝน และให้รากยึดดินไว้เพ่ือป้องกัน
และลดการพังทลายของดิน และได้ประโยชน์ในเชิง
เศรษฐกิจดว้ ย

นอกจากน้ี บรเิ วณรอบปา่ ชมุ ชนบรเิ วณปา่ สะนาแป และปา่ ซำ� เตย สว่ นใหญเ่ ปน็ พนื้ ทท่ี ำ� เกษตรกรรมซงึ่ มกี ารไถเตรยี ม
พน้ื ทป่ี ลกู พชื ตลอดทง้ั ปี ทำ� ใหห้ นา้ ดนิ เกดิ การชะลา้ งพงั ทลายลงไปทบั ถมบรเิ วณรอ่ งเขาในพนื้ ทป่ี า่ ชมุ ชน สมาชกิ ชมุ ชน
จึงได้ร่วมกันปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศป่าต้นน�้ำ โดยใช้แนวทางการปลูกไผ่หก ไผ่บง และไผ่กิมซุง ซึ่งเป็นพืชน�ำ
ในการยึดเกาะหน้าดิน แล้วปลูกไม้ท้องถ่ินที่มีรากหย่ังลึกตามเพื่อฟื้นฟูป่าให้กลับมาคล้ายระบบนิเวศด้ังเดิม

62 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนย่งั ยืน

ให้มากท่ีสุด อีกท้ังชุมชนยังได้ปลูกไผ่บริเวณร่องเขาเพื่อเป็นการดักตะกอนดินท่ีถูกชะลงมาจากแปลงเกษตรเชิงเด่ียว
ไม่ให้ไหลลงสู่ล�ำน�้ำอันจะท�ำให้ล�ำน้�ำต้ืนเขิน และไผ่ที่ปลูกยังช่วยป้องกันการพังทลายของดิน ฟื้นฟูระบบนิเวศป่า
นอกจากน้ัน ชมุ ชนยงั ไดป้ ระโยชนจ์ ากการน�ำไผไ่ ปใชป้ ระโยชน์ในครัวเรอื นทัง้ บรโิ ภคและใชส้ อยไดด้ ว้ ย

ข้อค้นพบ

การน�ำความรู้ท้องถิ่นและความรู้จากภายนอกมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเพื่อป้องกันและลดการพังทลายของดิน
โดยค�ำนึงถึงสภาพพื้นท่ี การน�ำไปใช้ประโยชน์ และการต่อยอดเพ่ือประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชุมชน ท�ำให้เกิด
ความย่ังยืนในการด�ำเนินงาน ซ่ึงมีการปรับใช้องค์ความรู้และรูปแบบการด�ำเนินงานซ่ึงส่งผลให้ประสบความส�ำเร็จ
ไดแ้ ก่

การใชไ้ ผแ่ ละพชื พนื้ ลา่ งปลกู ในพน้ื ทเ่ี กษตรและปา่ ชมุ ชน ไดช้ ว่ ยปอ้ งกนั หนา้ ดนิ พงั ทลายและยงั เปน็ การปอ้ งกนั
และบรรเทาภยั ธรรมชาตจิ ากดนิ ถล่ม ซ่งึ หากมีการน�ำไปปรับใช้ในพนื้ ท่ีเกษตรมากขึน้ ความเส่ยี งจากการไดร้ ับ
ผลกระทบจากภัยพบิ ัตกิ ็มแี นวโน้มลดลง
การให้ความส�ำคัญกับพืชท้องถิ่น ชุมชนรู้จักเก็บรักษาและฟื้นฟูการใช้เมล็ดพันธุ์ท้องถ่ินในการเกษตร เช่น
ผักดีก้ัง ซ่ึงมีความส�ำคัญในระบบนิเวศคือการลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน และเป็นพืชเศรษฐกิจส�ำคัญ
ของชุมชน และผักพื้นบ้านอื่น ๆ นอกจากน้ียังเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวไร่ งา และฝ้าย เพ่ือลดค่าใช้จ่ายเรื่อง
เมลด็ พันธ์ุ
การเช่ือมโยงกับการสร้างรายได้จากพืชอาหาร การสนับสนุนให้สมาชิกชุมชนปลูกพืชท้องถ่ินท่ีเป็นอาหาร
เพ่ือช่วยยดึ หนา้ ดินและป้องกันการพังทลายของดนิ สามารถสร้างรายได้ให้กบั เกษตรกรและมีฐานลูกคา้ ประจำ�
และมีช่องทางตลาดออนไลน์เกิดข้ึน โดยสมาชิกชุมชนน�ำพืชสมุนไพรหรือพืชที่มีในป่ามาปลูกในสวน
หรอื บริเวณบ้านของตนเพือ่ ลดการเข้าไปเกบ็ หาจากป่าและชว่ ยใหท้ รพั ยากรธรรมชาตสิ ามารถฟนื้ ตวั ได้

จดุ ประกาย 63
ขยายองค์ความรู้ สชู่ มุ ชนย่ังยนื

การจดั การลุ่มน�ำ้ อย่างมีสว่ นร่วม

การอนุรักษท์ รพั ยากรลมุ่ นำ�้ ล�ำเซบาย

“ป่าบุ่ง” เป็นพ้ืนที่ลุ่มต่�ำหรือแอ่งกระทะที่มี

น้�ำท่วมขังเกือบตลอดปีหรือเป็นแหล่งน้�ำตามธรรมชาติ
ในเขตทรี่ าบนำ�้ ทว่ มถงึ มพี ชื นำ้� ลม้ ลกุ หญา้ หรอื กกปกคลมุ
ส่วน “ป่าทาม” เป็นพื้นที่ราบถึงค่อนข้างราบที่ถูก
น้ำ� ทว่ มขังในฤดูนำ้� หลากนาน 1 - 3 เดอื น ในพืน้ ท่ีลุ่มน�้ำ
ล�ำเซบายมีป่าบุ่งป่าทามซ่ึงเป็นแหล่งอาหารส�ำคัญ
ของชุมชน ในช่วงฤดูน�้ำหลาก จะมีปลาจากแม่น้�ำโขง
อพยพขึ้นมาวางไข่ในบริเวณป่าทาม เนื่องจากปกคลุม
ด้วยไม้ต้น ไม้พุ่ม และเถาวัลย์ที่ปรับตัวต่อน�้ำท่วม
และกระแสน้ำ� เช่ียวได้ดี

ในพื้นที่ต�ำบลนาแก และต�ำบลนาค�ำ อ�ำเภอค�ำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร มีพื้นที่ป่าทามครอบคลุมทุกหมู่บ้าน
รวมเนื้อท่ีประมาณ 10,000 ไร่ ซ่ึงไม่มีการบุกรุกเนื่องด้วยชุมชนมีการท�ำแนวเขตที่ดินท�ำกินและแนวเขตป่าทามไว้
อย่างชัดเจนตั้งแต่ในอดีต โดยชุมชนมีการจ�ำแนกประเภทป่าตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้เกณฑ์ลักษณะภูมิประเทศ
ชนดิ และความสูงของตน้ ไม้ทป่ี กคลมุ ในพ้ืนท่ี อาทิ ป่าทามบุง่ ปา่ ทามโนน ซ่งึ การจำ� แนกประเภทป่าสง่ ผลตอ่ รปู แบบ
และช่วงเวลาในการใช้ประโยชน์จากป่าอีกด้วย ต่อมาได้พัฒนาเป็นโครงการเยาวชนอนุรักษ์ป่าทามและจัดท�ำฐาน
การเรียนรู้ป่าทามในพ้ืนที่ป่าภูหมากยาง อาทิ ฐานประวัติชุมชนและระบบนิเวศป่าทาม ฐานเครื่องมือจับปลา
และปลาวางไข่ ฐานอาหารท้องถ่ินและสมุนไพร ฐานการใช้ประโยชน์จากป่าอย่างยั่งยืน รวมถึงจัดกิจกรรม
บวชป่าที่น�ำเอาความศรัทธาทางศาสนาเข้ามาบูรณาการกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือสร้างจิตส�ำนึก
ในการอนุรกั ษใ์ ห้กบั ชุมชนรวมถึงผู้ท่ีเข้ามาใชป้ ระโยชน์จากป่าทามแหง่ น้ี

64 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนย่ังยืน

การจดั การทรัพยากรป่าไม้ในพน้ื ท่ีลมุ่ น้ำ� แมส่ อย

พื้นที่ลุ่มน้�ำแม่สอย ต�ำบลสบเต๊ียะ อ�ำเภอจอมทอง

จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 21 หมู่บ้าน ลักษณะ
ภูมิประเทศเป็นภูเขา ที่ลาดเชิงเขา ท่ีราบ และพ้ืนท่ีป่า
ซึ่งเป็นป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าไผ่ และป่าดิบเขา
ครอบคลมุ พน้ื ทก่ี วา่ 30,000 ไร่ ผนื ปา่ คอ่ นขา้ งเสอื่ มโทรม
จากการถกู บกุ รกุ ทำ� ลาย ซงึ่ ทำ� ใหร้ ะบบนเิ วศเปลยี่ นแปลง
เกิดความแหง้ แล้ง และมีน�ำ้ ไมเ่ พยี งพอต่อการเพาะปลกู

จากสาเหตุดังกล่าวท�ำให้ชุมชนเกิดการตื่นตัวอย่างมากในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าลุ่มน้�ำแม่สอย ซึ่งชุมชนว่า
หากพน้ื ที่ป่าตอนบนถกู เผาหรือท�ำลาย น�้ำจากต้นน้�ำกจ็ ะลดนอ้ ยลงดว้ ย ในการดำ� เนนิ กิจกรรมใด ๆ กต็ ามท่ีเก่ยี วเนอ่ื ง
กับป่า ชุมชนจะให้ความส�ำคัญอย่างมาก เน่ืองจากเก่ียวข้องหรือมีผลกระทบกับการด�ำรงชีวิตของตน โดยในฤดูแล้ง
สมาชกิ ชุมชนจะรวมตวั เพอื่ ช่วยกนั ทำ� แนวกันไฟ และจดั เวรยามผลดั เปลยี่ นกนั เฝ้าระวังและปอ้ งกนั ไฟปา่ ทัง้ ในบริเวณ
ปา่ ตน้ นำ้� ส่วนบนและปา่ ส่วนลา่ ง ซึง่ รูปแบบการจดั การไฟในพน้ื ท่ปี า่ เตง็ รงั จะเน้นการจดั การเชือ้ เพลงิ ในขณะทีบ่ ริเวณ
ป่าตน้ น้�ำจะต้ังจุดตรวจเฝา้ ระวงั เพือ่ ปอ้ งกันและระงับไฟปา่ มกี ารใช้เครือ่ งเป่าลมชว่ ยในการทำ� แนวกันไฟ ส�ำหรบั พ้ืนท่ี
ป่าเต็งรังที่ผ่านการชิงเผาเพื่อจัดการเชื้อเพลิงไปแล้วนั้น พรรณไม้บางชนิดที่ทนต่อไฟป่าจะแตกยอดแตกหน่อใหม่
เป็นแหลง่ อาหารให้กบั คนในชมุ ชนและสตั วป์ ่าตอ่ ไป
เน่ืองจากชุมชนต้องพ่ึงพิงน�้ำจากป่าต้นน้�ำได้มีการสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้นและกักเก็บน�้ำในล�ำน�้ำตลอดสาย
แบง่ ตามระดับความลาดชันของล�ำน�้ำ ประกอบด้วย ฝายแม้ว สร้างดว้ ยวสั ดุธรรมชาติท่ีหาได้งา่ ยในพืน้ ท่ี สรา้ งบริเวณ
ตอนบนของล�ำห้วยเพ่ือชะลอการไหลของน้�ำ ฝายชะลอน้�ำแบบกึ่งถาวร ใช้หินก่อและคอนกรีตผสมดินหรือทราย
โดยสร้างบริเวณตอนกลางของล�ำห้วย และฝายชะลอน�้ำแบบถาวร เป็นฝายคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างตอนปลาย
ของลำ� ห้วย ทงั้ นีข้ นาดของฝายจะแตกตา่ งกนั ขึน้ อยู่กับขนาดของลำ� น�ำ้ และความลาดชันของพื้นที่

จุดประกาย 65
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนย่งั ยืน

สรา้ งจิตสำ�นึกรกั ษ์ปา่ และรว่ มอนุรกั ษ์ห้วยทับทนั

ชุมชนสองฝั่งล�ำห้วยทับทัน ต�ำบลศรีสุข

อ�ำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ ได้พ่ึงพาอาศัย
ลำ� หว้ ยมาตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั ชมุ ชนไดเ้ หน็ ถงึ
การเปลย่ี นแปลงของระบบนเิ วศทเ่ี คยอดุ มสมบรู ณ์
แต่การบุกรุกพ้ืนท่ีเพ่ือการเกษตรท�ำให้ริมตลิ่ง
พังทลาย การจับปลาจ�ำนวนมากท�ำให้บางชนิด
สูญหายไป องค์การบริหารสว่ นตำ� บลศรสี ขุ จงึ ให้
ความส�ำคัญกับการประชาสัมพันธ์และสื่อสาร
ใหส้ มาชกิ ในชมุ ชนเกดิ ความตระหนกั และมจี ติ สำ� นกึ
ในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาต ิ
การจัดเวทีให้ความรู้เร่ืองการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท้ังในเรื่องทรัพยากร
ป่าไม้ที่ไม่ควรบุกรุกท�ำลาย เร่ืองการปลูกเพ่ือฟื้นฟูป่า และเร่ืองการอนุรักษ์ระบบนิเวศแหล่งน�้ำ รวมถึงการห้ามใช้
ยาเบอ่ื ในการจบั ปลาเพราะจะทำ� ใหน้ ำ้� ในลำ� หว้ ยเนา่ เสยี สง่ ผลกระทบตอ่ สตั วน์ ำ�้ จำ� นวนมาก อกี ทง้ั ยงั รว่ มกนั กำ� หนดเขต
และจัดท�ำป้ายแสดงเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้�ำ และป้ายประชาสัมพันธ์มาตรการและข้อบัญญัติท้องถ่ินในการอนุรักษ์
และฟน้ื ฟทู รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มตำ� บลศรสี ขุ และขอความรว่ มมอื งดจบั สตั วน์ ำ�้ ในบรเิ วณเขตพน้ื ทหี่ า้ มจบั
สัตว์น้�ำตามที่ได้ก�ำหนดไว้ โดยจัดท�ำพื้นที่วังปลาไว้ในล�ำห้วยในหลายจุด รวมท้ังห้ามรุกล�้ำท่ีดินแนวเขตพ้ืนท่ีป่าและ
ริมตลิ่ง มีการก�ำหนดบทลงโทษส�ำหรับผู้กระท�ำผิดซึ่งเป็นท่ีรับรู้ร่วมกันของชุมชนในบริเวณรอบล�ำห้วยทับทัน
และปา่ กุดหวาย
นอกจากนี้ มีการส�ำรวจเก็บข้อมูลชนิดพรรณไม้และสัตว์ป่าในพื้นที่ป่ากุดหวาย รวมถึงสัตว์น�้ำในล�ำห้วยทับทัน
และจัดท�ำฐานข้อมูลพืชและสัตว์ จัดกิจกรรมน�ำนักเรียนศึกษาพรรณไม้ในป่ากุดหวาย เพ่ือน�ำข้อมูลจากการส�ำรวจ
ไปจดั ทำ� เปน็ ฐานขอ้ มลู ความหลากหลายทางชวี ภาพของลำ� หว้ ยทบั ทนั และปา่ กดุ หวายสำ� หรบั นำ� ไปใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป

66 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สูช่ ุมชนยง่ั ยืน

ขอ้ คน้ พบ

การจัดการลุ่มน้�ำอย่างมีส่วนร่วมให้ความส�ำคัญกับการศึกษาข้อมูลของพื้นท่ีทั้งด้านแนวเขต ความหลากหลาย
ของทรัพยากร และการใช้ประโยชน์ของชุมชน น�ำไปสู่การสร้างความตระหนักถึงความส�ำคัญและมีจิตส�ำนึก
ในการรว่ มกนั ดูแลรักษา ผา่ นการประชาสมั พนั ธ์ การสอื่ สารองคค์ วามรู้ และรว่ มกันก�ำหนดกติกาและแนวทางในการ
ฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยองค์ความรู้และรูปแบบการด�ำเนินงานซ่ึงส่งผล
ให้ประสบความสำ� เร็จ ไดแ้ ก่

การน�ำความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการลุ่มน้�ำ โดยการเปิดโอกาสให้ผู้รู้ ผู้อาวุโส ปราชญ์
และหมอสมุนไพรในชุมชน ได้เข้าร่วมให้ความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินในการจัดการทรัพยากรในลุ่มน�้ำ
และป่าในพ้ืนที่ชุมชน ท�ำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับชุมชนอ่ืน ได้รับความร่วมมือระหว่างสมาชิก
ในชุมชนและชุมชนอื่น ๆ น�ำไปสู่การพัฒนาเครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์ และน�ำความรู้ไปต่อยอดเป็นวิทยากร
ท้องถน่ิ เพ่อื ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้บุคคลภายนอกท่มี ีความสนใจต่อไปได้
การใชข้ อ้ มลู อยา่ งเปน็ ระบบ ในการเสรมิ สรา้ งจติ สำ� นกึ การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มทอ้ งถนิ่
ให้แก่ชุมชน โดยมีนักวิชาการมาให้ข้อมูลและองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ได้รับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพ้ืนท่ี ท�ำให้ชุมชนตระหนักถึงปัญหาท่ีเกิดข้ึนและใส่ใจเข้าร่วมกิจกรรม
อยา่ งตอ่ เนือ่ ง

จุดประกาย 67
ขยายองค์ความรู้ สูช่ ุมชนยั่งยนื

การอนรุ ักษช์ นิดพันธสุ์ �ำคัญ

การอนรุ กั ษ์ “พลับพลึงธาร” พืชเฉพาะถิน่ ท่ีใกล้สญู พันธ์ุ

“พลับพลึงธาร” เป็นพืชเฉพาะถิ่นซึ่งพบขึ้นอยู่ใน

บริเวณพ้ืนท่ีรอยต่อระหว่างจังหวัดระนองและจังหวัด
พังงา ที่ปัจจุบันถูกคุกคามจากปัจจัยต่าง ๆ จนท�ำให้
จ�ำนวนลดลงอย่างต่อเน่ือง สาเหตุหลักมาจากการขุด
ลอกล�ำคลองซึ่งเปล่ียนแปลงระบบนิเวศอย่างรุนแรง
ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงการไหลของน�้ำท่า รวมถึง
การรบกวนถ่ินอาศัยจากการบุกรุกหรือตัดต้นไม้
บรเิ วณรมิ คลอง และการลกั ลอบขดุ หนิ และทรายไปขาย
วงจรชีวิตการเจริญเติบโตของพลับพลึงธารในสภาพธรรมชาติสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้า
และเจริญเติบโตเต็มท่ี ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงสามารถออกดอกติดผลได้ ซ่ึงวงจรชีวิตของพลับพลึงธารมีการ
เจรญิ เตบิ โต 3 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะท่ี 1 ชว่ งการเจรญิ เตบิ โตทางใบและราก (vegetative phase) ตงั้ แตเ่ ดอื นพฤษภาคม
ถึงเดือนกันยายน ซ่ึงเป็นช่วงฤดูฝนมีน�้ำในพ้ืนที่คลองธรรมชาติ ระยะที่ 2 พัฒนาดอก (reproductive phase)
โดยพลับพลึงธารจะต้องเจริญเติบโตสมบูรณ์อายุครบ 3 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
และระยะท่ี 3 ระยะพักตัวของพลับพลึงธาร (dormancy) โดยมีการพัฒนาหัวที่เป็นล�ำต้นใต้ดิน (bulb) ต้ังแต่
เดอื นมกราคมถึงเดอื นเมษายน เม่อื ฝนทิง้ ช่วงและปรมิ าณน้�ำในคลองธรรมชาติลดลง
การเพาะขยายพันธพุ์ ลับพลึงธาร ทำ� ไดท้ ้ังการน�ำเมลด็ พลับพลึงธารทส่ี มบรู ณ์มาแช่น้�ำยาปอ้ งกนั เชื้อรา ผสมดินปลกู
ที่มีขุยมะพร้าวเล็กน้อย น�ำดินปลูกท่ีผสมแล้วไปใส่ในตะกร้าไม้ไผ่ ฝังดินพอกลบเมล็ด โดยรดน�้ำอย่างสม่�ำเสมอ
หรือการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ โดยการปล่อยให้เมล็ดจากผลของพลับพลึงธารที่แก่หลุด และงอกเมล็ดขึ้นมาใหม่
โดยแทงรากหย่ังลงดินจนต้นเติบโต ข้ันตอนการเตรียมพร้อมในการฟื้นฟูพลับพลึงธาร ชุมชนได้เริ่มจากการส�ำรวจ
ความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมในล�ำคลองที่จะปลูก ซ่ึงต้องเป็นล�ำคลองท่ีในอดีตเคยมีพลับพลึงธารหรือปัจจุบัน

68 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนย่ังยืน

มีพลับพลึงธารตามธรรมชาติเหลืออยู่น้อย มีระบบนิเวศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต คือน�้ำต้องใสสะอาด มีน้�ำไหล
ตลอดปี ดนิ ตะกอนท้องนำ้� เป็นดินร่วนปนทราย ล�ำคลองเปดิ กวา้ ง และแสงแดดสอ่ งได้ถงึ จากน้นั ประชมุ หารือรว่ มกับ
ประชาชนในพื้นท่ีให้รับทราบและช่วยกันดูแลรักษา น�ำไม้ยืนต้น ไม้คลุมดิน และหญ้าแฝกปลูกเสริม เพ่ือป้องกัน
การกัดเซาะตล่งิ และจัดท�ำโรงเรือนเพาะช�ำ

ส่วนการศึกษาการเพาะช�ำพลับพลึงธาร เพ่ือการฟื้นฟู
อย่างยั่งยืน โดยอุทยานแห่งชาติศรีพังงาในฐานะเป็น
หน่วยงานรัฐท่ีรับผิดชอบดูแลพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ซึ่งเป็นพื้นท่ี
อาศัยตามธรรมชาติท่ียังพบพลับพลึงธารอยู่ในพ้ืนท่ี
และมีเจ้าหน้าท่ีท่ีมีความเข้าใจในบริบทของพื้นท่ีอาศัย
ตามธรรมชาติของพลับพลึง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการ
อนุรักษ์ฟื้นฟูพลับพลึงธารและศึกษาวิธีการที่เหมาะสม
ในการเพาะช�ำ ซ่ึงจากการศึกษาพบรูปแบบการเพาะช�ำ
พลบั พลงึ ธาร 2 รปู แบบ คอื (1) เรือนเพาะช�ำเล้ยี งน�้ำ เป็นการเลียนแบบสภาพแวดลอ้ มคลองธรรมชาติท่ีพลบั พลึงธาร
อาศัยอยู่ (2) เรือนเพาะช�ำไม่เลี้ยงน้�ำ เป็นวิธีการเพาะช�ำพลับพลึงธารที่ประหยัดน้�ำ โดยวางตะกร้าเพาะช�ำ
พลบั พลงึ ธารไวก้ บั พน้ื ของโรงเรอื นและหมน่ั รดนำ�้ เปน็ ประจำ� ขอ้ คำ� นงึ สำ� หรบั การปลกู เลย้ี งพลบั พลงึ ธารในโรงเรอื น คอื
การจัดการน้�ำ วัสดปุ ลูก และการจดั การธาตุอาหารท่ีเหมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตของพลับพลงึ ธารในสภาพปลูกเลยี้ ง
การฟื้นฟูพลับพลึงธารได้ช่วยคืนความสมดุลของระบบนิเวศ คลองที่มีพลับพลึงธารขึ้นหนาแน่น จะมีพืชน้�ำชนิดอ่ืน
ตามมา ได้แก่ เตยหนู ผักกุ่ม ไส้ปลาไหล และต้นไคร้น�้ำ ซึ่งเป็นพืชชี้วัดคุณภาพของแหล่งน้�ำ ช่วยลดความแรงของ
กระแสน�้ำ ลดการพังทลายของตลิ่งและหน้าดิน ใบที่หลุดลอยไปตามกระแสน้�ำ จะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งหลบภัย
แหล่งวางไข่ของสัตว์น�้ำ และดอกสีขาวกล่ินหอมเป็นแหล่งอาหารของแมลง จึงช่วยสร้างสมดุลในระบบนิเวศแหล่งน�้ำ
ไดเ้ ปน็ อย่างดี

จดุ ประกาย 69
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนยัง่ ยืน

การอนุรกั ษ์พนั ธข์ุ า้ วดี

มูลนิธิข้าวขวัญได้ศึกษาและรวบรวมสายพันธุ์

ข้าวมากกว่า 280 สายพันธุ์ ได้น�ำมาต่อยอด
และขยายผลให้เกษตรกรกลุม่ เปา้ หมาย ได้เรียนรู้
วิธีคัดเลือกพันธุ์ข้าว เร่ิมจากเอาพันธุ์ข้าวลูกผสม
ให้ชาวนาน�ำไปทดลองเอาไปปลูกในที่นาของตน
โดยเลือกสายพันธุ์ท่ีตนเองสนใจและปลูกเป็น
แปลงศึกษา พอข้าวออกรวงจะมีการเก็บข้อมูล
การเจริญเติบโต ลักษณะเมล็ด ความต้านทาน
โรคและแมลง และอ่นื ๆ

ส�ำหรับพันธุ์ข้าวขาวตาเคลือบน่ิม ข้าวหอมปทุมเทพ และข้าวเจ๊กเชยเบาเป็นข้าว 3 สายพันธุ์ส�ำคัญท่ีเกษตรกร
ในพ้ืนที่จังหวัดสุพรรณบุรีได้ร่วมกันทดลอง เปรียบเทียบท้ังวิธีการผลิต ผลผลิต และให้โรงสีในจังหวัดร่วมคัดเลือก
เพื่อโอกาสทางการตลาดในระยะต่อไป พร้อมทั้งได้หารือกับจังหวัดให้ประกาศเป็นข้าวของจังหวัดภายใต้ชื่อ
“ขวัญสุพรรณ” โดยเน้นถึงการเพาะปลูกท่ีประณีต และย�้ำว่าเป็นข้าวปลูกที่สุพรรณ สีข้าวที่สุพรรณ
และกินท่ีสุพรรณ เมื่อเหลือจึงส่งไปขาย ซ่ึงเป็นการส่งเสริมให้คนสุพรรณได้กินข้าวดี ราคาถูก ปลอดภัย
เพราะรูแ้ หลง่ ทีม่ า ทีส่ ำ� คัญเงนิ หมนุ เวยี นอยู่ในจงั หวัด

70 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สูช่ มุ ชนยั่งยืน

ข้อคน้ พบ

แนวทางการอนุรักษ์พืชหายากและใกล้จะสูญพันธุ์นั้น สิ่งท่ีส�ำคัญที่จะต้องด�ำเนินการคือดูแลให้มีการกระจายพันธุ์
ของพืชในสภาพพื้นท่ีที่เหมาะสม เพื่อรักษาพันธุ์พืชที่ก�ำลังจะสูญพันธุ์และประชากรพืชท่ีมีคุณลักษณะพิเศษส�ำหรับ
การปรับปรุงพัฒนาพันธุ์พืช การอนุรักษ์พืชท่ีก�ำลังจะสูญพันธุ์จึงเป็นเรื่องท่ีจะต้องน�ำมาพิจารณาในการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติ และการวางแผนใช้ประโยชน์ไม่ให้สูญหายไปจากถิ่นก�ำเนิดดั้งเดิม โดยองค์ความรู้และรูปแบบ
การด�ำเนินงานซ่ึงส่งผลให้ประสบความส�ำเร็จ ได้แก่

การสร้างจิตส�ำนึกและการมีส่วนร่วมของเยาวชน โดยให้ความรู้ท�ำให้เยาวชนมีความเข้าใจท่ีถูกต้อง
และตระหนักถึงปัญหาท่ีส่งผลกระทบต่อพลับพลึงธาร กลุ่มเยาวชนเหล่านี้ได้เป็นก�ำลังส�ำคัญในการน�ำ
ความรู้ไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ขยายผลอนุรักษ์และฟื้นฟูพลับพลึงธารในระยะยาวผ่านกิจกรรมท่องเที่ยว
เชิงนเิ วศ
การประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ในการขยายพันธุ์พลับพลึงธารในตะกร้าไม้ไผ่สาน โดยเพาะเมล็ด
พลบั พลงึ ธาร 15-20 เมลด็ แล้วฝงั ทัง้ ตะกรา้ ลงคลอง รากพลับพลงึ ธารในตะกรา้ จะยึดเกาะซงึ่ กันและกันไมใ่ ห้
หลุดไปตามน้�ำ ซ่ึงตะกร้าไม้ไผ่จะช่วยชะลอความแรงของน�้ำ เม่ือเวลาผ่านไปรากพลับพลึงธารจะแทงทะลุ
ยึดล�ำคลองได้อย่างม่นั คง ส่วนตะกรา้ ไมไ้ ผย่ ่อยสลายเป็นปุ๋ยไมส่ ่งผลกระทบต่อสิง่ แวดลอ้ ม
การเรียนรู้วิถีด้ังเดิม มีส่วนส�ำคัญในการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวโดยประยุกต์ใช้ในการผลิตให้สอดคล้องกับพันธุ์ข้าว
และสภาพพ้ืนท่ี เช่น การปรับปรุงบ�ำรุงดินโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี เข้าใจธรรมชาติ การใช้พืชสมุนไพรเพ่ือป้องกัน
และก�ำจัดศัตรูพืช การคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธุ์ การปรับปรุงพันธุ์ การใช้จุลินทรีย์จาวปลวกย่อยสลาย
ฟางข้าวในแปลงนา และปรับปรุงสภาพดินให้พรอ้ มสำ� หรับการปลูกข้าวรอบตอ่ ไป เป็นต้น

จุดประกาย 71
ขยายองค์ความรู้ สูช่ ุมชนยงั่ ยืน

การสง่ เสริมเกษตรกรรมยัง่ ยืน

วถิ ีอนิ ทรีย์ วิถฟี ้นื ฟู และเปน็ มติ รกับสงิ่ แวดล้อม

จากการทำ� นาปคี รง้ั เดยี วในรอบปี โดยอาศยั

นำ�้ ฝนจากธรรมชาติ ใชแ้ รงงานคนและสตั วเ์ ลยี้ ง
อาศยั การลงแขกเอาแรงกนั ระหวา่ งเครอื ญาติ
และเพอ่ื นบา้ นอยา่ งในอดตี คอ่ ย ๆ ปรบั เปลย่ี น
มาใช้พันธุ์ข้าวที่มาจากการปรับปรุงพันธุ์
ใช้สารเคมีมากขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น คุณภาพ
ข้าวต�่ำ รายได้ลดลง อีกทั้งมีความเส่ียง
ดา้ นสุขภาพมากขน้ึ

จากสถานการณ์นี้ เกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรีได้เข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้การท�ำนาอินทรีย์อย่างยั่งยืน
เริ่มจากแกนน�ำเกษตรกรในพื้นท่ีน�ำร่อง 4 อ�ำเภอ ได้แก่ อ�ำเภอเดิมบางนางบวช อ�ำเภอศรีประจันต์ อ�ำเภอเมือง
และอ�ำเภออู่ทอง มีการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้เก่ียวกับการท�ำนาอินทรีย์อย่างยั่งยืนให้น�ำไปปฏิบัติได้จริง
อกี ทง้ั จากความตระหนกั รถู้ งึ ผลกระทบจากสารเคมแี ละมกี ารพง่ึ พาปจั จยั การผลติ จากภายนอกมาก จงึ เรม่ิ ปรบั เปลย่ี น
ลด และเลิกใช้สารเคมี เพ่ือท่ีจะพง่ึ พาตนเองมากขนึ้ โดยปรับปรงุ บำ� รงุ ดนิ เลอื กพนั ธ์ขุ ้าวท่เี หมาะสม ท�ำนาประณีต
1 ครั้งต่อปี รวมกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวปลอดสารพิษ สร้างเครือข่ายเกษตรกรที่ท�ำนาอินทรีย์ และนาท่ีเป็นมิตร
กับส่ิงแวดล้อม เพื่อร่วมกันสืบสานและฟื้นวิถีชาวนาด้ังเดิม ให้ความเคารพบรรพบุรุษ รักษาพิธีแรกไถ ท�ำขวัญข้าว
แพ้ทอ้ งขา้ ว แสดงเตน้ ก�ำรำ� เคยี ว และรกั ษาพนั ธกุ รรมขา้ วใหเ้ ปน็ แบบอย่างให้กบั เกษตรกรพน้ื ท่ใี กลเ้ คียง ริเร่มิ สร้าง
ตลาดข้าวพ้ืนบ้านอินทรีย์ เพื่อให้ผบู้ ริโภคเข้าถงึ ไดม้ ากข้นึ

72 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ มุ ชนยง่ั ยนื

เกษตรอินทรยี ์ แนวทางสรา้ งความยง่ั ยนื ของภาคเกษตร

“กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านดอนเจียง” ซ่ึงเป็นสมาชิก

เครือข่ายเกษตรอินทรีย์จังหวัดเชียงใหม่ และเครือข่าย
เกษตรกรรมยง่ั ยนื ภาคเหนอื ทม่ี กี ารขบั เคลอ่ื นเกษตรอนิ ทรยี ์
ในระดบั พนื้ ทมี่ ากกวา่ 20 ปี สมาชกิ สว่ นใหญเ่ ปน็ เกษตรกร
ท่ีผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเกษตรอินทรีย์และไม่เน้น
การท�ำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ยังคงรวมกลุ่มท�ำการ
เกษตรแบบดั้งเดิม เน้นความหลากหลายของผลผลิต
และได้น�ำเอาแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้
กบั การทำ� เกษตรกรรมแบบย่ังยนื มาอยา่ งต่อเนือ่ ง

จากการดำ� เนนิ งานทผ่ี า่ นมา พบวา่ เกษตรกรมวี ธิ กี ารทำ� การเกษตรทช่ี ว่ ยฟน้ื ฟทู รพั ยากรธรรมชาตแิ ละระบบนเิ วศเกษตร
โดยมีการประยุกต์ปรับใช้กลไกนิเวศธรรมชาติอย่างสมดุลและสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในระบบการเกษตร
ได้แก่ (1) สร้างการหมุนเวียนธาตุอาหารในดิน เน้นใช้ปุ๋ยท่ีท�ำจากธรรมชาติ อาทิ ปุ๋ยหมักและปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งมีส่วน
ประกอบ คอื เศษอาหารทเี่ หลอื ทิ้ง เศษซากพืช เศษใบไม้ มูลสุกร และมูลไก่มาหมกั รวมกนั ในถังพลาสติก และอาศัย
การย่อยสลายของจุลินทรีย์ เพื่อช่วยลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อส่ิงแวดล้อมและคุณภาพของดินในระยะยาว
และช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยในครัวเรือน อีกท้ังยังมีการปลูกพืชหมุนเวียน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถ่ัวฝักยาว พริก
กะหล่�ำปลี มะเขือ และคะน้าในพ้ืนท่ีเดียวกัน เพ่ือหมุนเวียนการใช้ธาตุอาหารในดิน (2) สร้างความอุดมสมบูรณ์
ของดิน ซ่ึงเป็นเร่ืองที่เกษตรกรให้ความส�ำคัญสูงสุด เน่ืองจากเชื่อว่าดินที่สมบูรณ์ย่อมท�ำให้พืชและสัตว์ท่ีเติบโต
จากผืนดนิ นน้ั มคี วามอุดมสมบรู ณ์ตามไปด้วย อีกท้ังยงั ใหค้ วามส�ำคัญกบั การเขา้ ถึงอาหารปลอดภยั จากเรือกสวนไร่นา
ของตนเองตามความต้องการของครอบครัว จึงได้จัดสรรพื้นท่ีท�ำเกษตรในรูปแบบเกษตรผสมผสาน แบ่งเป็น
พ้ืนท่ีนาข้าว แปลงพืชผักสวนครัว ไม้ผล ไม้ยืนต้น ขุดสระเล้ียงปลา เล้ียงไก่ มีการปลูกพืชหมุนเวียนเพ่ือควบคุม

จุดประกาย 73
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู ุมชนยงั่ ยนื

การระบาดของโรคและแมลงรบกวนต่าง ๆ ซ่ึงการปลูกพืชตะกูลถั่วยังเป็นการช่วยตรึงไนโตรเจนสู่ดิน (3) อนุรักษ์
และฟื้นฟูนิเวศการเกษตร จากการงดใช้สารเคมีทุกชนิดและพันธุ์พืชที่ได้มาจากการตัดต่อพันธุกรรม เลือกใช้ปัจจัย
การผลิตทุกอย่างท่ีท�ำมาจากวัสดุธรรมชาติ เน้นการฟื้นฟูสมดุลและความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศเกษตรด้วย
การบ�ำรุงดินจากอินทรียวัตถุ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลงเกษตร และ (4) พ่ึงพาตนเองด้านปัจจัย
การผลิต โดยผลิตด้วยตนเอง หรือใช้ปัจจัยการผลิตท่ีได้มาจากชุมชนที่ใส่ใจต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม มุ่งใช้
หลักธรรมชาติในการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ใช้แรงงานในครัวเรือน และหมุนเวียนวัสดุที่มีอยู่เป็นหลัก เช่น ปุ๋ยหมัก
และปุ๋ยอินทรีย์ การเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวและพืชผัก การใช้ฟางข้าวคลุมดิน เป็นต้น อีกท้ังทางเกษตรกรเองยังคง
มคี วามพยายามในการปรบั ตวั ตอ่ ความเปลี่ยนแปลงภายนอกอยู่เสมอ
การท�ำเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรบ้านดอนเจียงยังได้ส่งต่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพื้นบ้านทั้งพืชและสัตว์ในระบบ
เกษตรกรรมยง่ั ยืนใหก้ ับคนรุน่ ใหม่ ซ่ึงเปน็ ลกู หลานของสมาชกิ ในกลุ่มให้กลบั คนื ถิน่ ด้วยแนวคดิ การสรา้ งงานให้กบั คน
ในท้องถิ่นบนรากฐานของทรัพยากรในพ้ืนที่ ซึ่งการรวมตัวของคนรุ่นใหม่มีบทบาทอย่างมากต่อกลุ่ม โดยช่วยกระจาย
ผลผลิตให้กับกลุ่ม ในส่วนของผู้สูงอายุ ซึ่งมีภูมิปัญญาในด้านสมุนไพร ได้น�ำความรู้มาต่อยอดงานแปรรูปผลผลิต
ทางการเกษตร โดยน�ำพืชสมุนไพรท่ีมีประโยชน์มาอบแห้งแล้วบรรจุเป็นชาสมุนไพร อาทิ ชารางจืด นอกจากน้ัน
ยังมีการแปรรูปผลผลิตอื่น ๆ เช่น การท�ำข้าวกล้อง กล้วยฉาบ น้�ำเต้าหู้ ขนมทองเอกคินาโกะ ข้าวเกรียบว่าวงา
แผ่นดบิ เป็นตน้
อกี ทง้ั ยงั มกี ารสรา้ งความมนั่ คงดา้ นการผลติ ใหก้ บั กลมุ่ ผา่ นกจิ กรรมการเกบ็ เมลด็ พนั ธพ์ุ ชื ทอ้ งถนิ่ เองและการเพาะขยาย
กลา้ พนั ธพ์ุ ชื ซง่ึ เมลด็ พนั ธท์ุ เ่ี กบ็ รวบรวมไวน้ น้ั จะนำ� มาหมนุ เวยี นเพาะปลกู ในรอบตอ่ ไป รวมทง้ั การแลกเปลยี่ นเมลด็ พนั ธ์ุ
อินทรีย์ระหว่างสมาชิก ส�ำหรับแนวทางในอนาคตจะวางแผนให้แปลงของตนมีความหลากหลายของพันธุ์พืชมากขึ้น
และร่วมกับสมาชิกคนรุ่นใหม่พัฒนาศูนย์การเรียนรู้ย่อยของชุมชนในการผลิตเมล็ดพันธุ์หรือกล้าพันธุ์ท่ีมีคุณภาพ
อย่างตอ่ เน่ือง

74 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชมุ ชนย่งั ยืน

การอนรุ ักษด์ นิ น�้ำ โดยน�ำป่ามาไวบ้ า้ น

คนในชุมชนอ�ำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ส่วนใหญ่

ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในรูปแบบการปลูกพืช
เชงิ เดี่ยว อาทิ ข้าวโพด มันสำ� ปะหลัง และไม้ผล ส่งผลให้
คุณภาพดินเสอ่ื มลง สารเคมีทางการเกษตรทีใ่ ชถ้ ูกชะล้าง
ลงไปในล�ำน�้ำที่ชุมชนใช้สอย ต่อมาชุมชนได้รับความรู้
เกี่ยวกับการท�ำแปลงเกษตรแบบผสมสาน การปรับ
รูปแปลงเกษตรเป็นแบบขั้นบันได และระบบวนเกษตร
จึงได้เร่ิมปรับเปลี่ยน โดยปลูกไม้ยืนต้นแทรกเข้าไป
ในพ้ืนที่เกษตรหรือปลูกในหัวไร่ปลายนาของตนเอง
ซ่ึงนอกจากไม้เศรษฐกิจแล้วยังมีการปลูกไม้ผลที่มี
ศกั ยภาพเชิงเศรษฐกิจ เช่น เงาะ ทุเรียน เปน็ ต้น อีกทั้ง
มีแปลงเกษตรกรรมต้นแบบเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้
แก่ผู้สนใจ จ�ำนวน 7 แปลง มีการขุดสระและจัดการ
ระบบน้�ำ โดยในสวนเกษตรใช้แนวทางศาสตร์พระราชา
คือการปลูกไม้ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ งมาเปน็ แนวทาง

จุดประกาย 75
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนยั่งยนื

ปรบั เปลีย่ นรปู แบบการเกษตร ลดปัญหาหมอกควันและไฟปา่

ชมุ ชนต�ำบลปางหนิ ฝน จังหวัดเชยี งใหม่ มีวถิ เี ดิมของชุมชนที่ทำ� การเกษตรแบบไร่หมุนเวยี น เมือ่ บรบิ ทของสังคม
เปลี่ยนไป รวมท้งั ภาวะกดดนั จากกฎหมาย นโยบายของรฐั จนน�ำไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงรปู แบบการท�ำเกษตรในพ้ืนที่
ตำ� บลปางหนิ ฝนมาเป็นรูปแบบการเกษตรใน 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) เปลีย่ นจากไรห่ มุนเวียนมาเป็นไร่ข้าวโพดท้ังหมด
ไมห่ ลงเหลอื การทำ� ไรห่ มนุ เวยี นอยเู่ ลย (2) เปลย่ี นมาเปน็ การทำ� เกษตรแบบผสมผสานภายใตไ้ รห่ มนุ เวยี นเดมิ และ (3) ยงั คงมี
การท�ำไร่หมุนเวียนแบบเดิมแต่ลดพ้ืนท่ีให้มีขนาดเล็กลง โดยเริ่มจากการวิเคราะห์ตัวเองเพ่ือน�ำไปสู่การปรับเปล่ียน
วถิ กี ารผลติ ซงึ่ ไดแ้ กไ้ ขปญั หาดงั กลา่ วควบคไู่ ปกบั การจดั ทำ� ขอ้ มลู ทะเบยี นประวตั กิ ารใชท้ ด่ี นิ และการสรา้ งกลไกการทำ� งาน
ในพ้ืนท่ี ผลท่เี กดิ ข้ึนทำ� ให้พบวา่ วิถีการผลิตแบบไร่หมนุ เวยี นไม่เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมปัจจบุ ัน ชมุ ชนจึงเริ่มปรบั
เปลย่ี นในลกั ษณะแบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป โดยหนั ไปทำ� การเกษตรแบบผสมผสานในพนื้ ทไี่ รห่ มนุ เวยี นเดมิ มกี ารแบง่ ทด่ี นิ
เป็นแปลงย่อย โดยแบ่งเป็นพ้ืนท่ีเล้ียงสัตว์ ปลูกผัก ปลูกไม้ผล และปลูกข้าวโพด อีกทั้ง ยังมีการปรับหน้าดินด้วย
วิธีการไถกลบ เพื่อให้เหมาะกับการเพาะปลูกทางการเกษตร เช่นเดียวกับชุมชนอ�ำเภออมก๋อยที่ท�ำไร่หมุนเวียน
เปน็ วถิ ีหลัก ซงึ่ ชมุ ชนยงั คงปลกู ข้าวไรเ่ ปน็ หลักเพือ่ บริโภคในครัวเรอื น โดยการปรบั ตวั ของชุมชนเปน็ ไปใน 2 ลกั ษณะ
คือ (1) การปรับเปลี่ยนจากท�ำไร่หมุนเวียนอย่างเดียวในอดีต สู่การจัดการพ้ืนท่ีการใช้ประโยชน์ใหม่เพื่อเพิ่มพ้ืนท่ี
ปลกู พืชเศรษฐกิจอนื่ ๆ เชน่ ชา กาแฟ ผลไม้ มะเขอื เทศ กะหล่�ำปลี เปน็ ตน้ เนน้ การจัดการพนื้ ทเี่ กษตรใหส้ อดคล้อง
กับการเปล่ียนแปลงและโอกาสทางเศรษฐกิจของชุมชน มีการปรับรอบและระยะหมุนเวียนของแปลงไร่หมุนเวียน
ใหเ้ หมาะสม และ (2) ชมุ ชนทย่ี งั มีพนื้ ทไ่ี รห่ มนุ เวยี นเป็นหลักในการปลูกข้าวเพอ่ื ยงั ชพี ในครอบครวั แต่เร่ิมมแี นวโนม้
ท่ีจะปรับไปสู่การปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะข้าวโพดและพืชเศรษฐกิจที่หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาส่งเสริม รวมถึงมี

76 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชุมชนยงั่ ยนื

บางกลุ่มทห่ี นั กลับไปท�ำไร่ในแปลงไรห่ มุนเวยี นเดมิ ที่ยคุ หนงึ่ เคยปล่อยทงิ้ ร้างไว้ ทัง้ น้ี การท�ำไร่หมุนเวยี นน้นั ตอ้ งอาศัย
ธรรมชาติท้ังในการเพาะปลูก ดูแลรักษา และฟื้นฟูสภาพดินให้คืนความอุดมสมบูรณ์เพ่ือเวียนกลับมาใช้อีกคร้ัง
ซึ่งชมุ ชนไดน้ ำ� ภมู ิปัญญา ความเชื่อ และประเพณตี ่าง ๆ เขา้ มาเกี่ยวขอ้ งและเชื่อมโยงกับการทำ� การเกษตรและรกั ษา
ทรพั ยากรธรรมชาติ ดิน น�ำ้ และปา่ เช่น การเก็บรกั ษาเมลด็ พนั ธ์พุ ื้นบา้ น การเพาะปลกู ตามฤดูกาล เพื่อลดความเส่ียง
ตอ่ การเกดิ โรค แมลง และภยั ธรรมชาติ และการทำ� เกษตรทไ่ี ม่ไถเปิดหน้าดิน เปน็ ต้น

ขอ้ คน้ พบ

การสง่ เสรมิ เกษตรกรรมยง่ั ยนื ใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ วถิ กี ารผลติ ทส่ี อดคลอ้ งกบั บรบิ ทพน้ื ที่ ปรบั เปลยี่ นแบบคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป
อีกทั้งให้ความส�ำคัญกับการรักษาไว้ซ่ึงความหลากหลายทางชีวภาพในพ้ืนที่และการน�ำภูมิปัญญาท้องถ่ินมาประยุกต์
โดยการได้รับการสนับสนุนด้านการรับรองมาตรฐานต่าง ๆ รวมถึงช่องทางการตลาดจากหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องท�ำให้
เกษตรกรสามารถขยายผลได้ โดยองคค์ วามรแู้ ละรปู แบบการดำ� เนนิ งาน ซง่ึ สง่ ผลใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ไดแ้ ก่

การเรยี นรวู้ ถิ กี ารเกษตรแบบดง้ั เดมิ ซง่ึ เปน็ รปู แบบการเกษตรทส่ี อดคลอ้ งกบั สภาพพนื้ ทแี่ ละวถิ ชี วี ติ ของชมุ ชน
น�ำมาประยุกต์ใช้โดยผสมผสานความรู้ทางวิชาการจากภายนอก มีส่วนส�ำคัญในการปรับเปล่ียนวิธีการผลิต
เพื่อลดต้นทุนและแก้ปัญหาในการผลิต ซ่ึงสร้างความเช่ือม่ันในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรไปสู่
เกษตรกรรมท่ีเป็นมิตรกบั ส่ิงแวดล้อมและชว่ ยลดปัญหาท่ีเกดิ ข้นึ ในพน้ื ท่ีได้อยา่ งเปน็ รูปธรรมและขยายผลได้
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเกษตรกร ท�ำให้เกิดการแลกเปล่ียนความรู้ ให้ก�ำลังใจซึ่งกันและกัน
ชว่ ยในการหนนุ เสรมิ และขบั เคลอื่ นการฟน้ื ฟรู ะบบนเิ วศเกษตรและความหลากหลายทางชวี ภาพในระบบเกษตร
อินทรียท์ ่เี ป็นมิตรกับสงิ่ แวดล้อมอย่างครบวงจร
ปญั หาอปุ สรรคการเกษตรอนิ ทรยี แ์ ละเกษตรกรรมยงั่ ยนื ยงั ขยายผลอยใู่ นวงจำ� กดั เนอื่ งจากขาดการสนบั สนนุ
จากนโยบายของภาครัฐอย่างจริงจัง เกษตรกรยังเห็นว่ายุ่งยากและให้ผลผลิตต่�ำ มีความเคยชินต่อวิถีนาข้าว
และการผลิตแบบเดิม
ทิศทางเกษตรกรรมย่ังยืนในอนาคต ต้องสร้างความเชื่อม่ันให้แก่ผู้บริโภคว่าผลผลิตมาจากแปลงที่มีคุณภาพ
และได้มาตรฐาน ปลอดภัยจากสารพิษหรือสารเคมีสังเคราะห์ เอ้ือต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์
ความตอ้ งการของผู้บริโภคและแนวโน้มธรุ กจิ อาหารเพ่อื สุขภาพ

จดุ ประกาย 77
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนย่งั ยืน

การรกั ษานิเวศประวตั ิศาสตร์

สร้างคณุ คา่ ให้ตน้ ไมใ้ หญ่ สรา้ งการมสี ว่ นร่วมรักษาพืน้ ท่ีสเี ขียวในเมืองเก่า

“เชียงใหม่” อดตี นครหลวงของอาณาจกั รล้านนาทีม่ ีประวัติศาสตร์

ยาวนานกว่า 700 ปี มีความงดงามของเมือง วัด และโบราณสถาน
ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่อายุหลักร้อยปีจ�ำนวนมากท่ียืนต้นเป็นร่มเงา
ให้เมืองมายาวนาน แต่ด้วยการขยายตัวของเมืองและการท่องเที่ยว
ท�ำให้การใช้ประโยชน์ท่ีดินมีการเปล่ียนแปลง พื้นที่สีเขียวลดลง
ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศสูงเกินค่ามาตรฐานโดยเฉพาะในช่วง
ฤดรู อ้ น การเพมิ่ พน้ื ทส่ี เี ขยี วในเมอื งจงึ เปน็ แนวคดิ หนง่ึ ทจี่ ะชว่ ยบรรเทา
ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ นอกจากน้ันต้นไม้ใหญ่ยังมี
ความเกย่ี วขอ้ งกบั ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ของเมอื งเชยี งใหม่ เชอ่ื มโยงกบั
วิถีชีวิตของผู้คนและชุมชนในเมือง รวมถึงเป็นศูนย์กลางการใช้พ้ืนท่ี
สำ� หรบั กจิ กรรมชมุ ชนในเมอื งเชยี งใหม่
ดงั นั้น การอนรุ ักษต์ น้ ไม้ใหญแ่ ละการจัดการพ้นื ที่สเี ขียวในพนื้ ทเี่ มอื งเกา่ เชียงใหม่ จงึ เน้นไปท่กี ารด�ำเนินงานรว่ มกับ
วัดและการสร้างความภาคภูมิใจและความหวงแหนให้กับคนในชุมชนต่อความสำ� คัญของต้นทุนเดิมท่ีประกอบด้วย
ระบบนิเวศสำ� คญั อาทิ ต้นไมใ้ หญ่ แหลง่ นำ�้ ภเู ขา และสถานท่สี �ำคญั ทางประวัติศาสตรเ์ มืองเชียงใหม่ ซ่ึงบอกเล่าถึง
การสร้างบ้านแปลงเมืองที่ยึดหลักชัยมงคล 7 ประการ รวมถึงความสัมพันธ์ของต้นไม้กับการสร้างเมือง เช่น
ไม้หมายเมือง ไม้หมายทาง และไม้หมายถ่ิน เป็นต้น เพื่อสร้างเป็นเอกลักษณ์และจุดหมายให้คนเดินทางมองเห็น
ไดแ้ ต่ไกลเพื่อไมใ่ หห้ ลงทาง เชน่ ต้นยางนาทีป่ ลูกอยขู่ ้างเสาอินทขิลในบริเวณวดั เจดีย์หลวง ซึ่งมีอายมุ ากกว่า 200 ปี
และสงู ไม่นอ้ ยกวา่ 40 เมตร สำ� หรบั การเพ่มิ พ้ืนทส่ี ีเขียว รวมถึงการดูแลและอนรุ กั ษ์ตน้ ไมใ้ หญใ่ นศาสนสถานท่ไี ด้รับ
ความรว่ มมอื จากวัดต่าง ๆ ในเมืองเชยี งใหมเ่ ปน็ อยา่ งดี เพราะเปน็ การด�ำเนินงานทส่ี ง่ เสริมการเปน็ พ้ืนทน่ี นั ทนาการ
ของชมุ ชนและเปน็ พ้นื ที่ด�ำเนินกิจกรรมรว่ มกันระหว่างวดั ประชาชน และชุมชน ส่งเสริมใหพ้ ืน้ ที่สีเขยี วและภูมทิ ัศน์

78 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

เมอื งมคี ณุ ภาพ ประชากรในเมอื งมสี ขุ ภาพทดี่ ที ง้ั รา่ งกายและจติ ใจ รวมถงึ สภาพแวดลอ้ มของเมอื งใหม้ คี วามนา่ อยอู่ าศยั
จากการส�ำรวจสภาพและสุขภาพของต้นไม้ใหญ่ในเขตเมืองเก่า พบว่ามีต้นไม้ใหญ่ประมาณ 500 ต้น ในจ�ำนวนน้ี
มตี ้นท่มี ีอายุกวา่ ร้อยปอี ยู่ดว้ ยไมต่ �่ำกวา่ 100 ต้น
จากการให้ความส�ำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชน มีการแลกเปล่ียนความคิดเห็นในเวทีประชุม
ต่าง ๆ ท�ำให้สมาชิกในชุมชนเห็นคุณค่าของต้นไม้มากข้ึน และขยายการดูแลต้นไม้ไปยังชุมชนอื่น อีกทั้ง สมาชิก
ในชุมชนได้ร่วมกันสร้างกฎระเบียบชุมชนข้ึนเพ่ือมาช่วยดูแลต้นไม้และสภาพแวดล้อม เช่น กรณีของชุมชนหม่ืนสาร
ซึ่งตงั้ อยู่ในเขตพน้ื ทีเ่ ช่ือมตอ่ กับเมอื งเกา่ เปน็ ชุมชนทีม่ ศี กั ยภาพด้านการท่องเท่ียว ไม่มพี ืน้ ทว่ี า่ งสาธารณะ และทดี่ ิน
บรเิ วณน้รี าคาแพง ชมุ ชนจึงร่วมกนั ออกแบบจัดการพื้นทีส่ เี ขียวใหม้ เี พิ่มข้ึน เช่น การปลูกต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดบั เพมิ่
บรเิ วณหนา้ บา้ นของตน การฟน้ื ฟดู แู ลตน้ ไมใ้ นพนื้ ทช่ี มุ ชนและวดั การทำ� สวนผกั อนิ ทรยี ห์ นา้ บา้ นและบรเิ วณรอบบา้ น
เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมประกวดหน้าบ้านสวยงาม เพ่ือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกในชุมชนดูแล
บา้ นเรอื นและต้นไมข้ องตนให้สวยงามอยเู่ สมอ

จดุ ประกาย 79
ขยายองคค์ วามรู้ สู่ชมุ ชนย่ังยนื

เชอ่ื มโยงประวัติศาสตร์สู่ปา่ ชุมชนแห่งการเรียนรู้

“ปา่ ดงหนองเอยี ด” ประกอบดว้ ยปา่ เตง็ รงั และปา่ ดบิ แลง้
ในผืนป่าปรากฏร่องรอยให้เห็นถึงวิถีชีวิตของบรรพบุรุษ
ในอดีต น่ันคือ เส้นทางโบราณท่ีผู้คนใช้สัญจรระหว่าง
หมู่บ้านจนสึกกร่อนเป็นเส้นทางลึกมากกว่า 3 เมตร
ซึ่งในภาษาถิ่นเรียกว่า “ทางโสก” ชุมชนเช่ือว่าเส้นทางนี้
เป็นเส้นทางสัญจรท่ีนายฮ้อยหรือพ่อค้าวัวควายรวบรวม
วัวควายในพื้นท่ีใกล้เคียงเพื่อน�ำไปขายในภาคกลาง
ซ่ึงในพ้ืนท่ีอ�ำเภอจตุรพักตรพิมานหลงเหลือ “ทางโสก”
เพียงในพ้นื ทีป่ ่าดงหนองเอียดเท่านัน้
ปัจจุบันป่าชุมชนดงหนองเอียดกลายเป็นสถานท่ีประวัติศาสตร์ชุมชนและสภาพป่ามีการฟื้นฟูตัวเองได้ดี
นอกจากการอนรุ กั ษป์ ่าและเสน้ ทางสญั จรโบราณเพอื่ เปน็ แหล่งเรียนรู้และเชื่อมโยงอดีตเข้ากับปัจจบุ ันแลว้ ยงั พบวา่
การอนุรักษ์ “ทางโสก” ส่งผลดีต่อความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นท่ีด้วย โดยริมทางเดินท้ังสองฝั่งของทางลึก
ซ่งึ เปน็ กำ� แพงดินสงู จะมโี พรงขนาดเล็ก ซึง่ เป็นท่อี ยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ ในผนื ปา่ แหง่ น้ี อาทิ นกเคา้ กระรอก กระแต
บงึ้ เปน็ ตน้ และปา่ แหง่ นย้ี งั เปน็ แหลง่ อาหารปา่ ของชมุ ชน โดยพชื ทพ่ี บมาก ไดแ้ ก่ ลำ� ไยปา่ มะคา่ แต้ กระบก แดง
ลกู หยี มะหาด หวา้ สชี มพู ชะมวง มงั คดุ ปา่ ลองกอง มะมว่ งหวั แมงวนั สมอพเิ ภก นมนอ้ ย มะกอก นอกจากพชื อาหาร
ดงั กลา่ วยงั มสี ง่ิ ทเี่ รยี กไดว้ า่ เปน็ พระเอกของปา่ ดงหนองเอยี ดอกี จำ� นวนมากนน่ั คอื “เหด็ ” นานาชนดิ อาทิ เหด็ นกแขก
เหด็ ข้เี ถ้าดำ� เห็ดข้ีเถา้ ขาว เหด็ ดนิ เห็ดปลวกแดง เห็ดปลวกจกิ เห็ดแดงขาขาว เห็ดแดงขาแพง เปน็ ตน้ ชุมชนจะเก็บ
หาพชื จากปา่ เพ่อื บริโภคในครัวเรอื น หากมีมากเกนิ กวา่ ที่จะบรโิ ภคในครัวเรอื นจะนำ� ไปขายทต่ี ลาดนดั บา้ นดงแดง
นอกจากนี้ ปา่ ชมุ ชนดงหนองเอยี ดยงั เปน็ สถานทถี่ า่ ยทอด “รปู แบบของชมุ ชนตน้ แบบฟน้ื ฟปู า่ ” ทเี่ หมาะสมกบั สภาพ
ชมุ ชน เปน็ แหล่งเรยี นรู้ให้กับชุมชนต่าง ๆ เครือขา่ ยป่าชมุ ชน รวมท้งั สถาบนั การศกึ ษา ให้เขา้ มาเรียนรู้ โดยจัดเปน็
เสน้ ทางศกึ ษาธรรมชาติ รวมถงึ การวางแปลงเกบ็ ขอ้ มลู การศกึ ษาแมลง ของปา่ และพชื สมนุ ไพรทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั วถิ ชี มุ ชน
จากการด�ำเนินงานของชุมชนท่ีมีการด�ำเนินกิจกรรมและรูปแบบท่ีดี มีเอกลักษณ์จึงน�ำไปสู่การด�ำเนินงานในพื้นท่ี
ขยายผล 2 พ้นื ท่ี คือ “ปา่ โคกใหญค่ ำ� ปลากั้ง” เนน้ ฟ้นื ฟปู า่ เสือ่ มโทรมใหก้ ลับคนื ความสมบรู ณ์ รวมทงั้ มีแหลง่ น้�ำซับ

80 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนยงั่ ยนื

ตามธรรมชาติเพ่ือให้ปลาก้ังได้คืนถิ่น และ “ป่าดอนหนองโจน” ท่ีเน้นการฟื้นฟูดินเส่ือมโทรมและป่าที่ถูกบุกรุก
รวมถงึ การอนรุ กั ษป์ า่ สาธารณประโยชนข์ องชมุ ชน และการปอ้ งกนั การลกั ลอบนำ� ขยะมาทง้ิ โดยจดั ใหม้ สี ายตรวจขยะ
ของชุมชน นอกจากนี้ มีกิจกรรมน�ำร่องในพ้ืนท่ีขยายผลโดยได้จัดท�ำเส้นทางศึกษาธรรมชาติในป่าชุมชน วางแปลง
ศกึ ษาปา่ ชมุ ชนและในทงุ่ นาใกลเ้ คยี ง รวมทง้ั การสอ่ื สารในชมุ ชนและสงั คมเพอ่ื ถา่ ยทอดการอนรุ กั ษป์ า่ และนเิ วศเกษตร
โดยคิดค้นชุดการแสดงท้องถ่ินที่ท�ำจากหนังบักตื้อหรือหนังประโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) เพื่อสร้างความตระหนัก
ในการดแู ลรกั ษาป่าชุมชนร่วมกนั มากข้นึ

ข้อค้นพบ

การสรา้ งคณุ คา่ ใหก้ บั ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถ่ินโดยการเช่ือมโยงกับประวัติศาสตร์และความเป็นมาของชุมชน
ทำ� ใหช้ มุ ชนเหน็ ความสำ� คญั ของทรพั ยากรธรรมชาตทิ อ่ี ยใู่ กลต้ วั ทำ� ใหส้ ามารถสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนในการรว่ มกนั
ดแู ลรกั ษา และพฒั นาใหเ้ ปน็ แหลง่ เรยี นรขู้ องชมุ ชนและเยาวชนในพน้ื ท่ี รวมทง้ั ตอ่ ยอดไปสกู่ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ
และสงิ่ แวดลอ้ มในภาพรวม ซงึ่ การปรบั ใชอ้ งคค์ วามรแู้ ละรปู แบบการดำ� เนนิ งานซง่ึ สง่ ผลใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ไดแ้ ก่

การถา่ ยทอดประวตั ศิ าสตร์และเชอื่ มโยงธรรมชาติกับวฒั นธรรม เป็นการสบื คน้ รวบรวม และบนั ทกึ ข้อมูล
ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชน เพื่อถ่ายทอดเร่ืองราวแก่กลุ่มเป้าหมาย
ท้ังในรปู แบบเอกสาร การบอกเล่าโดยตรง และการนำ� เสนอผา่ นสือ่ ต่างๆ
การสร้างความเข้าใจและตระหนักแก่ผู้เกี่ยวข้อง โดยส่งเสริมกระบวนการท�ำงานอย่างมีส่วนร่วมของคน
ในการช่วยดูแล เป็นหูเป็นตา และสร้างกลไกให้ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของ ซึ่งท�ำให้ประชาชนเห็นคุณค่า
และช่วยกันดูแลรักษาพ้ืนท่ีนิเวศเชิงประวัติศาสตร์ท่ีเป็นต้นทุนส�ำคัญมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตชาวล้านนา
ภมู ิปัญญา และวฒั นธรรมของชมุ ชน
การส�ำรวจและจัดท�ำฐานข้อมูลต้นไม้ใหญ่ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนกับนักวิชาการ ช่วยให้เกิด
ความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกบั พรรณไม ้ มีขอ้ มลู และประวัตเิ กีย่ วกบั ตน้ ไม้ใหญท่ ่ีมีคณุ ค่าในพนื้ ที่ เออ้ื ต่อการบำ� รงุ
รกั ษาตน้ ไม้แตล่ ะต้นให้มสี ขุ ภาพที่ด ี ใหอ้ ย่คู ่กู ับชุมชน

จดุ ประกาย 81
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยง่ั ยืน

การจัดการพน้ื ทีส่ ีเขียวในเมอื ง

“หมอตน้ ไม้ หรือ รกุ ขกร” ผู้ซึ่งเขา้ ใจธรรมชาติและเมอื ง

จังหวัดเชียงใหม่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้

ต้นไม้ใหญ่ในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่อยู่ในภาวะวิกฤต
ขาดการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งตามธรรมชาติต้นไม้
สามารถรกั ษาตวั เองได้ หากตน้ ไมใ้ นเมอื ง ซงึ่ ไดร้ บั ความเสยี หาย
จากการเตบิ โตของเมอื ง หรอื การตดั แตง่ อยา่ งผดิ วธิ ี ไมถ่ กู ตอ้ ง
ตามหลักการ เน้นตัดยอดเพื่อให้ต้นไม้ส้ันลง ส่งผลให้ต้นไม้
ยนื ตน้ ตาย ไมไ่ ดร้ บั การรกั ษาทถี่ กู ตอ้ ง และทำ� ใหพ้ นื้ ทส่ี เี ขยี ว
ในเมอื งลดลงไปดว้ ย
‘หมอต้นไม้ หรือ รกุ ขกร’ จงึ มีความสำ� คัญมากในการช่วยดูแลรักษาสขุ ภาพของต้นไม้ตง้ั แตก่ ารปลกู การตัดแตง่ ก่งิ
การป้องกันรักษาโรคและแมลงและโรคพืชอื่น ๆ เพื่อความปลอดภัยต่อประชาชนโดยรอบและอาคารสถานที่
ในชุมชน จึงได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้หมอต้นไม้และเทคนิควิธีการในการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่แก่ชุมชน ซึ่งเป็น
การสร้างเครือข่ายดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่อย่างถูกหลักวิชาการ เพื่อร่วมกันดูแลรักษาและอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่
ท่ีอยู่ในชุมชนและเขตเมืองให้คงอยู่ร่วมกันได้ในสภาพพ้ืนที่ท่ีมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ต้องตัด
หรือโคน่ ทิง้
การดำ� เนนิ งานของทมี หมอตน้ ไมห้ ลกั ๆ คอื การสำ� รวจ ขน้ึ ทะเบยี น บนั ทกึ ทต่ี ง้ั และวนิ จิ ฉยั หาวธิ กี ารจดั การดแู ลตน้ ไม้
อย่างถูกวิธีภายใต้บริบทการขยายตัวของเมือง ในการเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ และการจัดการพื้นที่
สีเขียวเมืองเก่าเชียงใหม่ จึงด�ำเนินการส่งเสริมให้หมอต้นไม้มีบทบาทในการฟื้นฟูอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่และพ้ืนท่ีสีเขียว
โดยการสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไป ตัวแทนชุมชน เด็กเยาวชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมอบรม
“หมอต้นไม้” เพ่ือน�ำองค์ความรู้และเทคนิควิธีการในการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ไปใช้ในการดูแลรักษาและอนุรักษ์
ต้นไมใ้ หญ่ท่อี ยู่ในชุมชนและเขตเมือง

82 จดุ ประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนย่งั ยนื

ขอ้ ค้นพบ

แม้ว่าต้นไม้จะสามารถฟื้นฟูสภาพหรือรักษาตัวเองได้ แต่หากเกิดความเสียหาย โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
กจ็ ะทำ� ใหต้ น้ ไมต้ ายลงไดเ้ ชน่ กนั ฉะนนั้ จงึ ตอ้ งมหี มอตน้ ไมห้ รอื รกุ ขกร ทม่ี อี งคค์ วามรใู้ นการดแู ลรกั ษาสขุ ภาพของตน้ ไม้
โดยเฉพาะต้นไม้ที่เติบโตในเมืองและมีการตัดแต่งไม่เป็นไปอย่างเหมาะสม ซ่ึงต้นไม้เหล่านี้ต้องได้รับการดูแลรักษา
อย่างถูกตอ้ ง การปรบั ใชอ้ งค์ความรแู้ ละรูปแบบการดำ� เนินงานซง่ึ ส่งผลใหป้ ระสบความส�ำเรจ็ ไดแ้ ก่

การฟื้นฟูอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียว โดยการสนับสนุนให้ประชาชนท่ัวไป ตัวแทนชุมชน เยาวชน
และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมอบรมความรู้หมอต้นไม้ น�ำองค์ความรู้และเทคนิควิธีการใน
การดแู ลรักษาตน้ ไมใ้ หญ่ ไปใช้ในการดูแลรักษาและอนุรักษต์ น้ ไมใ้ หญ่ทอี่ ยู่ในชุมชนและเขตเมอื ง จนท�ำใหห้ มอ
ต้นไม้เป็นท่ีรู้จักของคนเชียงใหม่ หากมีปัญหาเก่ียวกับต้นไม้ใหญ่ก็จะนึกถึงหมอต้นไม้ภายใต้โครงการ
เปน็ ล�ำดบั แรก
การด�ำเนินงานและส่งต่อความรู้หมอต้นไม้ ให้กับกลุ่มอาสาสมัครหมอต้นไม้ชุมชน เยาวชน มหาวิทยาลัย
และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ เพอ่ื ทำ� หนา้ ทส่ี านตอ่ การดแู ลรกั ษาตน้ ไมใ้ หญ่ โดยการอบรมไดร้ บั การสนบั สนนุ
วิทยากรจากโครงการหมอต้นไม้อาสา มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ของหมอต้นไม้และเทคนิควิธีการในการดูแล
รกั ษาตน้ ไมใ้ หญแ่ ละการรกั ษาพน้ื ทสี่ เี ขยี วใหค้ งอยู่ โดยมงุ่ เนน้ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน เยาวชน มหาวทิ ยาลยั
และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ในการฟ้ืนฟอู นรุ กั ษต์ น้ ไม้ใหญแ่ ละพื้นทส่ี ีเขียวท่ีถูกหลักวิชาการ
ความร่วมมือของเอกชนเจ้าของที่ดิน เป็นสิ่งส�ำคัญในการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่และเพ่ิมพื้นที่สีเขียว
ในเมือง เนื่องจากปัจจุบันเมืองขยายตัวจนมีพ้ืนท่ีสาธารณะไม่มากนัก แต่ยังมีท่ีดินเอกชนบางแปลงท่ียังคง
เป็นพ้ืนท่ีว่าง หรือยังคงพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติไว้ หากส่งเสริมหรือจูงใจให้ยังคงรักษาสภาพทางธรรมชาติ
เหล่านน้ั ไว้ จะทำ� ให้เกิดความร่มเยน็ และความรม่ รน่ื แกเ่ มอื ง

จุดประกาย 83
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู ุมชนยั่งยนื

การฟน้ื ฟแู ละอนุรกั ษ์สตั ว์นำ�้

“วังปลา” แหล่งอนุรักษ์พันธ์ปุ ลาท้องถิ่น

พนื้ ท่ีลุม่ น�้ำลำ� เซบาย ตำ� บลนาแก อ�ำเภอคำ� เข่อื นแกว้ จังหวัดยโสธร มีพน้ื ทีป่ ่าทามทใ่ี นช่วงฤดปู ลาวางไข่จะมปี ลา
ท่ีพบมากในทอ้ งถ่นิ มาวางไขเ่ ปน็ จ�ำนวนมาก รวมทง้ั ปลาจากแม่น้ำ� โขงท่ีว่ายทวนน�้ำมาเพอ่ื วางไข่ ซ่ึงจะมีชาวประมง
รอดกั จบั ปลาในชว่ งนน้ั เปน็ จำ� นวนมากทำ� ใหป้ ลาไมส่ ามารถขยายพนั ธไ์ุ ด้ บางชนดิ มจี ำ� นวนลดนอ้ ยลงอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั
อีกท้งั พบเหน็ ไดย้ ากกวา่ ปกติหรอื สูญหายไป
ดังนน้ั องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ ชุมชน และหน่วยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ ง จงึ ร่วมกันส�ำรวจพืน้ ท่ลี ่มุ นำ�้ ลำ� เซบายเพ่ือวางจุด
ในการทำ� วงั ปลาเพอ่ื ใหป้ ลาทมี่ าวางไขม่ ที ห่ี ลบภยั ซง่ึ พจิ ารณาความเหมาะสมจากปจั จยั ตา่ ง ๆ เชน่ สภาพภมู ปิ ระเทศ
ลักษณะล�ำน�้ำ ความเช่ียวของกระแสน้�ำ ช่วงเวลาน้�ำหลาก เป็นต้น โดยการท�ำวังปลาท่ีลุ่มน�้ำล�ำเซบายจะใช้ไม้ไผ่
ท่ีมีความยาว 20 - 30 เมตร ปักลงในน�้ำเพื่อก�ำหนดจุดและน�ำก่ิงไม้วางสุมไว้ในน้�ำ ซึ่งเป็นการใช้วัสดุธรรมชาติ
ที่ย่อยสลายได้ตามกาลเวลา โดยได้จัดท�ำวังปลาในพ้ืนที่ลุ่มน้�ำล�ำเซบายตอนกลางจ�ำนวน 4 แห่ง ในต�ำบลนาแก
อ�ำเภอค�ำเข่ือนแก้ว ซ่ึงได้รับความสนใจอย่างมากจากสมาชิกชุมชนในการเข้าร่วมกิจกรรมการจัดท�ำวังปลา
ในบริเวณพ้ืนท่ีชุมชนตนเองและท�ำให้เกิดความใส่ใจในการเข้าร่วมการอนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถ่ินมากขึ้น นอกจากนั้น

84 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ ส่ชู มุ ชนย่ังยืน

ชุมชนได้ร่วมหารือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อออกข้อบังคับท่ีมีความยืดหยุ่นให้มีช่วงเวลาในการจับปลา
และรณรงค์ไม่ให้มีการจับปลาบริเวณที่ท�ำวังปลาเพ่ือเป็นการอนุรักษ์ปลาในระยะวางไข่และอนุบาลปลาวัยอ่อน
รวมท้ังมีการจดั กิจกรรมการอนรุ ักษแ์ ละบ�ำรงุ วังปลารว่ มกันอยา่ งสม่ำ� เสมอ
เช่นเดียวกับล�ำห้วยทับทัน ในอดีตมีผู้ท่ีจับปลาโดยใช้ยาเบื่อจากรากต้นหางไหล เม่ือมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย
ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศและท�ำให้ปลาท้องถ่ินบางชนิดสูญหายไป เช่น ปลาค้าว เป็นต้น ดังน้ันองค์การบริหารส่วน
ต�ำบลศรสี ุข จังหวัดสุรินทร์ จึงจัดเวทีแลกเปล่ยี นทำ� ความเขา้ ใจเรอ่ื งการจับสัตว์น้ำ� รว่ มกบั ผนู้ ำ� ชุมชน สมาชกิ ในชุมชน
ท�ำใหเ้ กดิ ความตระหนกั มากขนึ้ และไดห้ ารือพร้อมท้งั ลงพ้นื ทสี่ ำ� รวจจุดท่จี ะดำ� เนนิ การจัดท�ำวงั ปลา จำ� นวน 30 หลงั
ระยะทาง 500 เมตร โดยใช้ไม้ไผ่ซ่ึงเป็นวัสดุจากธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้และไม่ท�ำลายระบบนิเวศล�ำน�้ำ
เพอ่ื ใหป้ ลาสามารถเขา้ ไปหลบภัยได้ อกี ท้ังจดั ทำ� บอ่ อนบุ าลสตั วน์ �้ำวยั ออ่ นด้วย โดยมีคณะกรรมการชุมชนและสมาชกิ
ในชุมชนช่วยกันดูแล สอดส่อง และขอความร่วมมืองดจับสัตว์น�้ำในบริเวณเขตพ้ืนที่ห้ามจับสัตว์น�้ำตามที่ได้ก�ำหนดไว้
จดั ทำ� พน้ื ทว่ี งั ปลาไวใ้ นลำ� หว้ ยทบั ทนั ในหลายจดุ รวมทงั้ หา้ มรกุ ลำ้� ทด่ี นิ แนวเขตพนื้ ทป่ี า่ และรมิ ตลงิ่ และไดม้ กี ารกำ� หนด
บทลงโทษส�ำหรับผู้กระท�ำผดิ ซ่ึงเปน็ ทร่ี ับทราบรว่ มกนั ของชมุ ชนในบริเวณรอบล�ำหว้ ยทับทนั และปา่ กดุ หวาย
นอกจากนี้ ไดจ้ ดั ตงั้ กลมุ่ เครอื ขา่ ยอาสาสมคั รรกั ษห์ ว้ ยทบั ทนั และปา่ กดุ หวาย จากเวทอี บรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารใหค้ วามรเู้ รอื่ ง
สัตว์ป่า สัตว์น้�ำ พันธุ์ไม้ในบริเวณล�ำห้วยทับทันและป่ากุดหวายโดยมีวิทยากรจากส�ำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมจังหวัดสุรินทร์ รวมท้ังจัดศึกษาดูงานในพื้นที่ที่มีการด�ำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ที่เกิดความส�ำเร็จแล้วในจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งกลุ่มเครือข่ายน้ีมีความรู้ ความเข้าใจจนสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับ
สมาชกิ ในชมุ ชนและบคุ คลภายนอกทีส่ นใจได้

จดุ ประกาย 85
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู มุ ชนยัง่ ยืน

แปลงอนรุ กั ษป์ แู สม ความรว่ มมือฟน้ื ฟูทรพั ยากรชมุ ชน

ปูแสม หรือ ปูเปี้ยว เป็นทรัพยากรสัตว์น�้ำท่ีเป็น
แหล่งอาหารและรายได้ให้กับชาวประมงในพ้ืนที่อ่าว
บา้ นดอน ในอดตี ปเู ปย้ี วในพน้ื ทอ่ี า่ วบา้ นดอนมจี ำ� นวนมาก
มีชาวประมงจากชุมชนรอบอ่าวและนอกพ้ืนที่เข้ามาจับ
หาปูจ�ำนวนมากทั้งตัวใหญ่และตัวเล็กจึงไม่เหลือแม่ปู
ที่สามารถขยายพนั ธ์ตุ อ่ ไปได้ จงึ ท�ำใหจ้ �ำนวนปเู ป้ียวลดลง
อย่างมาก จากที่เคยจับได้เฉล่ีย 10 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน
เหลอื เพยี ง 5 กิโลกรัมตอ่ คนตอ่ วัน
ชมุ ชนเหน็ ถงึ ปญั หานจ้ี งึ ไดร้ ว่ มกนั จดั ทำ� แปลงอนรุ กั ษแ์ ละขยายพนั ธป์ุ เู ปย้ี วในพนื้ ทปี่ า่ ชายเลนโดยไดร้ บั การสนบั สนนุ
งบประมาณเริ่มต้นจากกองทุนส่ิงแวดล้อม ซ่ึงเริ่มจากการส�ำรวจและเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมส�ำหรับการขยายพันธุ์
ของปเู ปย้ี วและชมุ ชนทมี่ คี วามพรอ้ มในการบรหิ ารจดั การแปลงอนรุ กั ษแ์ ละขยายพนั ธป์ุ เู ปย้ี ว เรม่ิ ดำ� เนนิ การแปลงแรก
ในพื้นท่ีโรงเรียนบ้านปากกะแดะ โดยก้ันพ้ืนที่ในป่าชายเลนด้วยตาข่ายให้มีขนาดพื้นท่ี 5 ไร่ หารือสมาชิก
ในชมุ ชนเพอ่ื กำ� หนดกฎระเบยี บ กตกิ า และตง้ั คณะทำ� งาน รวบรวมแมป่ ไู ขน่ อกกระดองจากสมาชกิ ชมุ ชนนำ� มาปลอ่ ย
ในคอกและประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกในชุมชนไม่จับหาปูในบริเวณแปลงอนุรักษ์ ปัจจุบันมีแปลงขยายพันธุ์ปูเปี้ยวใน
พน้ื ท่ีป่าชายเลนทงั้ หมด 4 แปลง รวมพ้นื ที่ 32 ไร่
นอกจากฟน้ื ฟจู ำ� นวนปเู ปย้ี วโดยการปลอ่ ยแมป่ ไู ขน่ อกกระดองในแปลงอนรุ กั ษแ์ ละขยายพนั ธป์ุ เู ปย้ี วแลว้ ยงั ไดท้ ดลอง
วธิ กี ารเพาะฟกั ไขแ่ ละการอนบุ าลตวั ออ่ นไวก้ อ่ นระยะหนง่ึ แลว้ จงึ ปลอ่ ยสธู่ รรมชาตติ อ่ ไป อกี ทงั้ แปลงขยายพนั ธป์ุ เู ปย้ี ว
ท้ัง 4 แห่งน้ี ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ส�ำหรับเยาวชนในพ้ืนท่ีและบุคคลท่ัวไปที่สนใจการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้�ำ
ในปา่ ชายเลนอ่าวบา้ นดอนอกี ดว้ ย

86 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู มุ ชนยงั่ ยนื

บ้านปลา ธนาคารปูไข่ ภูมปิ ัญญาส่กู ารอนรุ กั ษท์ รัพยากรทางทะเล

กลุ่มชุมชนรอบอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ที่อยู่ติดฝั่งทะเลท่ีส่วนมากมีอาชีพการประมง จับปลา
และปมู า้ เพอื่ บรโิ ภคในครวั เรอื นและนำ� ไปขายเพอ่ื ดำ� รงชพี
เม่ือความต้องการของผู้บริโภคมากข้ึน ท�ำให้เกิดการท�ำ
ประมงที่มีการใช้เคร่ืองมือประมงแบบท�ำลายล้าง เช่น
เรอื อวนลาก เรืออวนลอ้ ม เรือคราดหอย เป็นตน้ เพอ่ื จบั
สัตว์น�้ำครั้งละมาก ๆ ส่งผลให้สัตว์น�้ำมีจ�ำนวนลดลง
อยา่ งมาก บางชนิดเสีย่ งต่อการสูญพันธุ์
ชุมชนรอบอ่าวบ้านดอนประสบปัญหาดังกล่าว สมาชิกในชุมชนและกลุ่มอนุรักษ์ในพื้นที่เล็งเห็นปัญหาและเข้ามา
มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม บูรณาการภูมิปัญญาชาวบ้านในการท�ำบ้านปลา
ตามแนวชายฝง่ั อา่ วบา้ นดอน ซง่ึ ปกตแิ ลว้ ชมุ ชนจะทำ� บา้ นปลาเพอื่ ดกั จบั ปลาเพยี งอยา่ งเดยี ว จงึ ไดป้ รบั เปลย่ี นนำ� มาใช้
ในการอนุรักษ์ปลาและสัตว์น้�ำในช่วงฤดูวางไข่ วิธีการท�ำบ้านปลาน้ันจะน�ำไม้ไผ่ความยาวประมาณ 30 เมตร มาปัก
เป็นลักษณะคล้ายกระชังและวางทุ่นแนวเขตให้เห็นชัดเจน เป็นการอนุบาลปลาและสัตว์น�้ำวัยอ่อนชนิดอื่น ๆ มีการ
ต้ังกฎ กติกา ร่วมกัน อาทิ ห้ามใช้เครื่องมือประมงท่ีมีการกระทุ้งในทะเลเพราะจะท�ำให้เกิดคลื่นและเสียงกระแทก
ที่เปน็ อันตรายต่อปลาทกี่ �ำลงั วางไขแ่ ละสตั ว์น�้ำวัยออ่ น
นอกจากน้ี กลุ่มอนุรักษ์และสมาชิกในชุมชนได้ร่วมกันจัดท�ำธนาคารปูไข่เพ่ือเพาะฟักตัวอ่อนก่อนจะปล่อยสู่ทะเล
เร่ิมแรกได้จัดท�ำในรูปแบบกระชังลอยน�้ำในทะเลและติดตั้งปั๊มลมจากโซล่าเซลล์เพ่ือให้อากาศตลอดเวลา แต่พบว่า
วิธีดังกล่าวต้องใช้งบประมาณและจ�ำเป็นต้องมีคนเฝ้าตลอดเวลา เกิดความไม่ต่อเนื่องในการด�ำเนินงาน จึงได้
ปรับเปล่ียนมาเป็นรูปแบบธนาคารปูไข่ท่ีให้สมาชิกในกลุ่มประมงในพ้ืนท่ีอ่าวบ้านดอนน�ำปูม้าท่ีจับได้
มาใส่ไว้ในตะกร้าที่ผูกไว้บริเวณท้ายเรือของตัวเอง เพ่ือให้แม่ปูละลายไข่ในน้�ำก่อนน�ำไปขายและสร้างการมีส่วนร่วม
เกิดความตระหนกั ของชมุ ชนในการอนุรักษ์และฟน้ื ฟทู รพั ยากรในท้องถ่ินของตนเอง

จดุ ประกาย 87
ขยายองค์ความรู้ สู่ชุมชนย่ังยนื

ข้อค้นพบ

การฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น�้ำท้องถ่ินเป็นการน�ำองค์ความรู้เร่ืองสัตว์น้�ำท่ีมีอยู่ในชุมชนมาประยุกต์ใช้ โดยอาศัย
การมสี ว่ นรว่ มจากสมาชกิ ในชุมชน จงึ ต้องใหค้ วามสำ� คัญกับการประชาสัมพนั ธ์สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจเพ่อื ใหส้ มาชิก
ชุมชนได้ร่วมปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากน้ี ยังเป็นกิจกรรมที่เห็นผลเชิงประจักษ์เป็นรูปธรรมท่ีชัดเจน
จงึ เปน็ กจิ กรรมทส่ี รา้ งความเชอื่ มน่ั ใหก้ บั ชมุ ชนในการตอ่ ยอดไปสกู่ ารอนรุ กั ษแ์ ละจดั การทรพั ยากรทอ้ งถน่ิ ในประเดน็ อนื่
โดยมีการปรับใช้องคค์ วามรูแ้ ละรูปแบบการด�ำเนินงานซง่ึ สง่ ผลใหป้ ระสบความสำ� เร็จ ไดแ้ ก่

การมีผู้น�ำที่มีบทบาทในการส่ือสารองค์ความรู้ ท�ำให้เกิดการยอมรับ เม่ือผู้น�ำให้ความส�ำคัญท�ำให้ชุมชน
มีความเขา้ ใจและเชือ่ มน่ั เกดิ ความหวงแหนในทรัพยากรท้องถ่ินและร่วมกันขบั เคลอ่ื นการอนรุ ักษ์ ฟนื้ ฟตู อ่ ไป
เมอื่ ชุมชนเหน็ ถงึ ผลสำ� เร็จที่เกิดขน้ึ จากการด�ำเนนิ งานจึงมีการตอ่ ยอดองค์ความรู้ให้กับชุมชนอื่น ๆ เพ่ือร่วมกัน
อนรุ กั ษ์ตอ่ ไป
การสร้างต้นแบบท่ีประสบความส�ำเร็จชัดเจน ที่เร่ิมจากการลงมือท�ำในชุมชนเดียวโดยร่วมกันจัดท�ำวังปลา
มีการเรียนรู้ และปรับเปลยี่ นลักษณะวธิ ีการใหเ้ หมาะสมกบั พน้ื ท่ีเพอ่ื สามารถนำ� ไปใชเ้ ปน็ ตน้ แบบในพืน้ ทอ่ี ื่น ๆ
ได้ และเมื่อมีการเผยแพร่องค์ความรู้ความส�ำเร็จจากพ้ืนที่ต้นแบบและได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น ท�ำให้หมู่บ้านอ่ืน ๆ ในต�ำบล มีความเข้าใจและเกิดแรงจูงใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ในลุ่มน�้ำจากการเห็นความส�ำเร็จที่เกิดขึ้นในพื้นที่ท่ีจัดท�ำวังปลา เช่น ปลาท้องถิ่นที่เคยหายไปในระยะหนึ่ง
กลบั มาพบเหน็ ในพนื้ ท่ีเช่นเดมิ เป็นต้น

88 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนยัง่ ยืน

สว่ นท่ี 4

องคค์ วามรู้ บทเรียน และผลสำ�เร็จ
ของกระบวนการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม

จุดประกาย 89
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนยง่ั ยนื

90 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

การพัฒนาเครอื ขา่ ยการจัดการทรัพยากรธรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม

เครอื ขา่ ยทรพั ยากรลุ่มนา้ํ แม่แตง

เม่ือกระแสทุนนิยมเริ่มเข้ามาในพ้ืนที่ ท�ำให้ผู้คน

ในชุมชนปรับเปล่ียนวิถีในการด�ำเนินชีวิต โดยเปล่ียน
มาปลูกพืชเชิงเดี่ยว อาทิ ข้าวโพดและกระเทียมมากขึ้น
ท�ำให้เกิดการบุกรุกแผ้วถางป่า เพ่ือขยายพ้ืนที่การเกษตร
ส่งผลให้การท�ำเกษตรกรรมของผู้คนในอ�ำเภอเวียงแหง
จังหวัดเชียงใหม่เร่ิมเปลี่ยนไป เกิดปัญหาพิพาทเรื่องป่าไม้
และการใช้ท่ีดินในพื้นที่กันอย่างรุนแรงระหว่างชาวบ้าน
กับเจ้าหน้าท่ีของรัฐ รวมถึงกรณีการพัฒนาโครงการ
เหมอื งถ่านหินลกิ ไนต์

ในพ้ืนท่ีอ�ำเภอเวียงแหงเมื่อปี 2544 ท�ำให้เกิดความต่ืนตัวในปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิชุมชน
จนเกิดเป็น “เครือข่ายทรัพยากรลุ่มน�้ำแม่แตงตอนบน” ที่เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้นำ� ชุมชน และสมาชิกองค์การ
บรหิ ารสว่ นตำ� บล โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ รว่ มกนั แกไ้ ขปญั หาความเสอ่ื มโทรมและขอ้ จำ� กดั ในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ
ในพื้นทต่ี นเอง

การขับเคล่ือนการท�ำงานของเครือข่ายท่ีผ่านมา ได้น�ำไปสู่การปรับกระบวนการท�ำงานร่วมกันใหม่ระหว่างภาครัฐ
เอกชน ภาคประชาสงั คม องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และชาวบา้ น โดยเครอื ขา่ ยเปน็ ตวั ประสานขบั เคลอื่ นการทำ� งาน
ไปพร้อม ๆ กัน เช่น กรณีพื้นที่ป่าชุมชนบ้านป่าไผ่ ต�ำบลเมืองแหง ชุมชนมีการจัดการทรัพยากรป่าไม้ โดยได้
ด�ำเนินการจัดตั้งและขึ้นทะเบียนป่าชุมชนเพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดูแลรักษาพ้ืนท่ีป่า อาศัยกลไกของรัฐ
และการมีส่วนร่วมของชุมชนและเครือข่ายท่ีเก่ียวข้องในการด�ำเนินการอนุรักษ์ และร่วมกันจัดการ ฟื้นฟูให้ป่า
มีความสมบูรณเ์ พม่ิ ขนึ้

จดุ ประกาย 91
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนย่ังยนื

กล่มุ คนฮกั อมกอ๋ ย

อ�ำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่เสี่ยง
ในการเกิดไฟป่าและมีข้อจ�ำกัดในการจัดการไฟป่า
หลายด้าน ซึ่งมีกลุ่มคนฮักอมก๋อยท่ีเกิดจากการรวม
ตัวกันของกลุ่มผู้น�ำในพื้นท่ี ประกอบด้วยสมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนต�ำบล ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และภาคี
ที่เก่ียวข้องในระดับอ�ำเภอ มีบทบาทในการขับเคล่ือน
การแก้ไขปัญหา ประสานความร่วมมือระหว่างภาค
ประชาชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและส่วนราชการ
เพ่ือร่วมกันวิเคราะห์วางแผนการติดตามการแก้ไขปัญหาด้านฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับอ�ำเภอ
การด�ำเนินโครงการได้ให้ความส�ำคัญต่อการสร้างความเข้าใจความส�ำคัญของพ้ืนที่ป่าต้นน�้ำ กลางน้�ำ และปลายน�้ำ
ใหแ้ ก่ชาวบ้าน
การท�ำกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเน่ืองระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน
และภาคประชาชน อาทิ กิจกรรมท�ำแนวกันไฟ ที่นับว่าเป็นกิจกรรมท่ีสร้างการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์
ของประชาชนในชมุ ชนกับหน่วยงานภาคสี �ำคญั ทกุ ภาคส่วนให้ดยี ง่ิ ข้นึ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนานโยบายสาธารณะ
ระดับท้องถิ่น ระดับอ�ำเภอ และการเช่ือมโยงนโยบายระดับอ�ำเภอและท้องถ่ินเข้ากับยุทธศาสตร์จังหวัด
ด้านการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และมีการสนับสนุนการพัฒนาข้อบัญญัติท้องถ่ิน เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพ
การจัดการไฟปา่ ตอ่ ไปในอนาคต

92 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ สู่ชมุ ชนยัง่ ยืน

เครือข่ายอนรุ กั ษอ์ า่ วบา้ นดอน

องคก์ รชมุ ชนรอบอา่ วบา้ นดอนใน 6 อำ� เภอ ของจงั หวดั
สุราษฎร์ธานี ได้ร่วมกันจัดต้ังองค์กรชุมชนในรูปแบบ
กลมุ่ อนุรักษ์ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ังในแต่ละชุมชน
ท่ีอยู่รอบและติดพื้นท่ีอ่าวบ้านดอน อาทิ กลุ่มกองทุน
ปรบั เปลย่ี นเครอ่ื งมอื ประมงพน้ื บา้ น กลมุ่ แปรรปู ผลติ ภณั ฑ์
สัตว์น�้ำ กลุ่มอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ท่ีให้สมาชิกในชุมชน
ที่สนใจเข้าร่วมในการพัฒนาวางแผนกิจกรรมการอนุรักษ์
ทรัพยากรร่วมกบั ชมุ ชนอ่ืน ๆ
การด�ำเนินงานเครือข่ายจะจัดเวทีประชุมหารือและแลกเปลี่ยนในแต่ละกลุ่มทุกเดือน เพ่ือให้สมาชิกในกลุ่ม
ไดม้ ารว่ มแลกเปลย่ี นขอ้ คดิ เหน็ ตอ่ กจิ กรรมการดำ� เนนิ งานของกลมุ่ และจดั เวทปี ระชมุ เครอื ขา่ ยองคก์ รชมุ ชนทกุ 3 เดอื น
ที่มีผู้เข้าร่วมจากสมาชิกกลุ่มรอบอ่าวบ้านดอน และหน่วยงานราชการท่ีเก่ียวข้อง เช่น เจ้าหน้าท่ีทรัพยากรทางทะเล
และชายฝง่ั เจา้ หนา้ ทปี่ ระมง เจา้ หนา้ ทป่ี า่ ไม้ เปน็ ตน้ เพอ่ื รายงานขอ้ มลู ความกา้ วหนา้ ปญั หาและอปุ สรรค และรว่ มกนั
วางแผนกจิ กรรมราย 3 เดอื น แลกเปลย่ี นแนวทางการบรหิ ารจดั การระหวา่ งกลมุ่ อนรุ กั ษแ์ ตล่ ะชมุ ชน โดยจะเชญิ วทิ ยากร
มาเสรมิ สรา้ งองคค์ วามร้ทู ี่สอดคลอ้ งกับความต้องการของกลุ่ม ซงึ่ วาระการประชุมจะเปล่ียนไปทกุ ครัง้ ทีจ่ ดั การประชุม
เช่น วาระการบริหารจดั การกองทนุ การอนรุ ักษป์ ่าชายเลน กฎหมายประมงทเี่ กีย่ วขอ้ งกับชมุ ชน เป็นต้น
อีกเครือข่ายท่ีส�ำคัญคือ กลุ่มเยาวชน การสร้างการเรียนรู้ในการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กลุ่มเยาวชนท้องถ่ินในอ่าวบ้านดอนเป็นอีกหน่ึงกลุ่มเป้าหมายท่ีส�ำคัญ ด้วยเยาวชนมีศักยภาพในการเรียนรู้
และสามารถท�ำความเข้าใจองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้เร็ว จึงได้ริเร่ิมท�ำกิจกรรมหลักสูตรสิ่งแวดล้อมท้องถ่ินที่สอดแทรก
ภูมิปัญญาท้องถ่ิน สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรในท้องถ่ินอ่าวบ้านดอนและส�ำนึกรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารเรยี นการสอนในหอ้ งเรยี น โดยมงุ่ เนน้ ใหเ้ ยาวชนไดเ้ รยี นรแู้ ละปฏบิ ตั นิ อกหอ้ งเรยี น ใหเ้ ยาวชนไดร้ ว่ มเปน็
ผนู้ �ำเสนอเมอื่ มีการเข้ารว่ มกจิ กรรมตา่ ง ๆ เพอื่ พฒั นาศกั ยภาพการเป็นผูส้ ่อื สารและผนู้ ำ� ที่ดี อีกท้ังขยายไปสู่ผ้ปู กครอง
ได้เขา้ มามสี ่วนรว่ มกับลกู หลานของตนเอง

จดุ ประกาย 93
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู มุ ชนยั่งยนื

เครอื ข่ายการจัดการทรพั ยากรปา่ ไม้จงั หวดั กาญจนบรุ ี

การพัฒนาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
ในการจัดการทรัพยากรป่าไม้จังหวัดกาญจนบุรี
ซ่ึงประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐและองค์กร
ปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยองค์การบริหารส่วน
ตำ� บลหนองโรงไดเ้ ชญิ เครอื ขา่ ยปา่ ชมุ ชนรว่ มเปน็
วิทยากรในเวทีการให้ความรู้เกี่ยวกับป่าชุมชน
ใหก้ บั เยาวชนในทอ้ งถน่ิ และสนบั สนนุ การจดั ทำ�
ป้ายประชาสัมพนั ธใ์ นแต่ละปา่ ชมุ ชน
ในสว่ นของภาครฐั ศนู ยว์ จิ ยั ปา่ ไมจ้ งั หวดั กาญจนบรุ ไี ดร้ ว่ มเปน็ พเ่ี ลยี้ งใหก้ บั เครอื ขา่ ยปา่ ชมุ ชน มเี จา้ หนา้ ทป่ี า่ ไมค้ อยให้
ความรดู้ า้ นกฎหมายเกยี่ วกบั การเขา้ ไปใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ชมุ ชนอยเู่ สมอ อกี ทงั้ สถาบนั การศกึ ษา อาจารย์ และนกั ศกึ ษา
เข้ามาท�ำวิจัยในป่าชุมชนเก่ียวกับชนิดพันธุ์พืช ความหลากหลายทางชีวภาพ และน�ำไปเผยแพร่เป็นงานวิชาการ
การด�ำเนินงานน้ีท�ำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กับปราชญ์ชาวบ้าน หมอสมุนไพรในท้องถิ่น และชุมชนก็ได้รับ
ความรู้ตา่ ง ๆ จากสถาบันการศึกษาเชน่ กนั และภาคธรุ กจิ เอกชน ได้แก่ บริษัท SCG ไดเ้ ขา้ มาสนับสนนุ การด�ำเนนิ งาน
ในพื้นท่ีอย่างต่อเน่ืองกว่า 10 ปี นอกจากนี้ผู้ประกอบการรีสอร์ทและท่ีพักในท้องถ่ินได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล
และเฝ้าระวังป่า อาทิ การมสี ว่ นร่วมในการท�ำแนวกันไฟอยา่ งสมำ่� เสมอ การสนับสนนุ การทำ� ฝายชะลอนำ้� เน่ืองจาก
ผปู้ ระกอบการเหลา่ นไี้ ดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ เชน่ กนั และมคี วามสนใจในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตใิ นพนื้ ทอ่ี ยแู่ ลว้
เม่ือเครือข่ายเข้าไปให้องค์ความรู้เพ่ิมจึงท�ำให้เกิดความส�ำเร็จ ตลอดจนมีการจัดประชุมหารือและรายงานผล
การด�ำเนนิ งานรว่ มกบั ภาคเี ครือข่ายในพ้นื ทเ่ี ป็นประจำ�

94 จุดประกาย
ขยายองค์ความรู้ ส่ชู ุมชนย่งั ยนื

ขอ้ ค้นพบ

การพัฒนาเครือข่ายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นการเสริมพลังและก่อให้เกิดความร่วมมือ
ในการป้องกันและการแก้ปัญหา ภายใต้หลักการการมีส่วนร่วมของสมาชิก ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีย่ิงขึ้น
ทั้งนี้ การส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายชุมชนท้องถ่ินร่วมดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ จะส่งผลให้เกิดความย่ังยืน
และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว โดยองค์ความรู้และรูปแบบการด�ำเนินงานซ่ึงส่งผลให้ประสบความส�ำเร็จ
ไดแ้ ก่

การสร้างความรว่ มมือของชมุ ชนและหน่วยงานที่เกีย่ วขอ้ ง โดยอาศัยกลไกเครอื ขา่ ยทรพั ยากรลุ่มนำ้� แม่แตง
ตอนบน ซง่ึ เปน็ เครอื ขา่ ยของภาคประชาชนเปน็ พลงั หลกั เชอื่ มโยงกบั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ โดยมผี บู้ รหิ าร
ขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลเปยี งหลวง รว่ มเปน็ สมาชกิ เครอื ขา่ ยฯ และสนบั สนนุ การดำ� เนนิ งานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
รวมถงึ ประสานงานอยา่ งใกลช้ ดิ กบั เจา้ หนา้ ทอี่ ทุ ยานฯ ทง้ั น้ี กลไกความรว่ มมอื ของเครอื ขา่ ยไดน้ ำ� ไปสกู่ ารพฒั นา
ข้อเสนอในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน ซ่ึงน�ำไปสู่ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดการและแก้ไขปัญหา
เชงิ นโยบาย
การยกระดับการมีส่วนร่วมสู่การก�ำหนดนโยบาย เห็นได้จากกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
ที่เข้ามาเป็นส่วนหน่ึงในการวางแผน ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการกระจายการถือครอง
ท่ีดินของรัฐบาล และนโยบายการกระจายอ�ำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินให้สามารถพึ่งตนเอง
และตัดสินใจในกิจการของท้องถ่ินได้เองตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เกิดเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาในพ้ืนท่ีได้อย่าง
ชัดเจนและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม น�ำไปสู่การผลักดันข้อบัญญัติท้องถิ่นท่ีเอื้อต่อคนส่วนรวม
และการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติอยา่ งมีสว่ นรว่ ม โดยไม่ขัดต่อกฎหมายทีม่ ีอยู่
สมาชิกในชุมชนเห็นความส�ำคัญของกลุ่มอนุรักษ์ ท่ีด�ำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในพ้ืนที่ชุมชนของตนเอง
ท�ำให้เกิดการเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากรในท้องถิ่นมากขึ้น อาทิ กลุ่มกองทุนประมงพ้ืนบ้าน
ท่ีจัดตั้งข้ึนเพ่ือเป็นกองทุนสะสมทรัพย์ ซ่ึงจากการด�ำเนินงานท่ีผ่านมาท�ำให้สมาชิกในกลุ่มมีหน้ีสินลดลง
ไม่เปน็ หนี้นอกระบบ และมเี งนิ หมนุ เวียนตลอด ท�ำใหเ้ กิดความยง่ั ยนื ในกองทนุ ดงั กล่าว

จุดประกาย 95
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยง่ั ยืน

การส่อื สารสร้างความตระหนกั

“หนังประโมทยั ” ส่ือภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น

การสอ่ื สารผา่ นชดุ การแสดงทอ้ งถน่ิ ทท่ี ำ� จาก “หนงั บกั ตอ้ื
หรอื หนงั ประโมทยั ” (หนงั ตะลงุ อสี าน) เปน็ ศลิ ปะการแสดง
พื้นบ้านที่สะท้อนถึงชีวิตผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นบ้าน
โดยปราชญ์พนื้ บ้าน หมอลำ� ในหมบู่ ้าน และคณะหมอล�ำ
กลุ่มเด็กท่ีบูรณาการเขียนบทหนังและเน้ือเพลงล�ำผญา
(บทกลอนหมอล�ำ ภาษาอีสาน) ถ่ายทอดเรื่องราวการ
อนุรักษ์ป่าชุมชนและนิเวศเกษตร การฟื้นฟูป่าเส่ือมโทรม
ในพ้ืนที่ปลูกต้นยูคาลิปตัสเดิม การสร้างแหล่งอาหาร
ปลอดภัยด้วยการฟื้นฟูการท�ำเกษตรผสมผสาน นาข้าว
อินทรยี ์ทงุ่ กลุ า ลดการใชส้ ารเคมแี ละยาฆ่าแมลง
ปัจจุบันสมาชิกท่ีสืบทอดการแสดงหนังประโมทัยเริ่มลดลง ผู้น�ำชุมชนเห็นถึงความส�ำคัญจึงต่อยอดศิลปะพื้นบ้านน้ี
รว่ มกบั การอนรุ กั ษป์ า่ ชมุ ชน โดยเรมิ่ จากกลมุ่ เยาวชนทม่ี คี วามสนใจในศลิ ปะพนื้ บา้ น ซง่ึ กจิ กรรมนจี้ ดั ทำ� ขน้ึ โดยเยาวชน
ท่ีอยู่ในชุมชนรอบป่าโคกใหญ่ค�ำปลาก้ัง และป่าดอนหนองโจน ที่เข้าร่วมโครงการฯ เยาวชนมีความต้องการเผยแพร่
ภูมิปัญญาท้องถ่ินร่วมกับการสร้างจิตส�ำนึกในการอนุรักษ์ป่า โดยถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับ
การฟื้นฟู อนรุ ักษป์ า่ ชุมชนใหม้ ีความอดุ มสมบูรณ์ ผา่ นกิจกรรมการแสดงละครเดก็ การสรา้ งเรือ่ งราวผ่านการเชิดหนงั
ประโมทัย จากการด�ำเนินกิจกรรมได้น�ำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน ด้วยวิถีชีวิตของชุมชนที่ต้องพึ่งพิง
และใช้ประโยชน์จากต้นทุนทางธรรมชาติ โดยเฉพาะพื้นท่ีป่าซ่ึงเปรียบเสมือนพื้นที่ที่ให้ความม่ันคงทางอาหาร
และสร้างรายได้ รวมถึงเกิดกลไกความร่วมมือของบุคคลทุกวัยท่ีเข้าร่วมเป็นคณะท�ำงาน และการพัฒนาเคร่ืองมือ
ที่ใช้สื่อสารและเรียนรู้ร่วมกันและได้ต่อยอดขยายเครือข่ายการท�ำงานอย่างต่อเน่ืองสม่�ำเสมอและขยายสู่สังคม
ในวงกวา้ ง

96 จุดประกาย
ขยายองคค์ วามรู้ สูช่ ุมชนย่งั ยนื

สื่อการท่องเทยี่ วเชงิ นิเวศประวตั ิศาสตร์

การสร้างความตระหนักผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยว
เชงิ นเิ วศประวตั ศิ าสตร์ โดยโครงการเขยี วชมเมอื งเชยี งใหม่
ได้จัดรถรางไฟฟา้ ช่อื วา่ “มอม” พาเย่ียมชมสถานทส่ี �ำคัญ
ทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่ควบคู่กับการชม
ต้นไม้ใหญ่ โดยมีมัคคุเทศก์บรรยายให้ความรู้ในเส้นทาง
วง่ิ รอบ 4 แจง่ (มมุ เมอื ง) ประกอบดว้ ย แจง่ หวั รนิ แจ่งศรภี มู ิ
แจง่ กะตำ�๊ และแจง่ กเู่ ฮอื ง และ 5 ประตเู มอื งเชยี งใหม่ ไดแ้ ก่
ประตสู วนดอก ประตชู า้ งเผอื ก ประตทู า่ แพ ประตเู ชยี งใหม่
และประตูสวนปรุง ซึ่งแต่ละแจ่งจะมีต้นไม้ใหญ่ท่ีมี
ประวัตศิ าสตร์ความเป็นมาปลูกอยู่ดว้ ย
ในการด�ำเนินงานเครือข่ายฯ ได้เลือกเส้นทางท่องเท่ียวรอบเขตเมืองเก่า เพ่ือให้ผู้ใช้บริการได้รู้จักประวัติศาสตร์
ของเมืองเชียงใหมผ่ ่านนเิ วศประวตั ิศาสตร์ และกระตุ้นให้คนในพ้ืนทไี่ ด้รจู้ ักเมอื งเชยี งใหม่ สร้างความภาคภมู ใิ จในสิ่งท่ี
ชุมชนมีอยู่ นอกจากนี้ ยังมีการส่ือสารและการรณรงค์สร้างจิตส�ำนึกนิเวศประวัติศาสตร์เชียงใหม่ให้กับประชาชน
ชาวเชียงใหม่และผู้คนภายนอก ได้แก่ การสื่อสารผ่านสื่อมวลชน โดยมุ่งเน้นการสื่อสารผ่านบทความ ภาพถ่าย
และภาพเคลื่อนไหว เชน่ สารคดวี ทิ ยุ FM100 หนงั สือพิมพ์ วารสาร และส่ือโทรทัศน์ เปน็ ตน้ การสือ่ สารผ่านสังคม
ออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการส่อื สารผ่านโปสเตอรป์ ระชาสัมพนั ธ์การปลูกตน้ ไม้ วิดที ศั น์ เพจ Facebook เขยี ว สวย หอม
Greenery, Beauty, Scent และหมอต้นไม้ การส่ือสารแบบกลุ่ม ผ่านงานเสวนาดอยสุเทพ เวทีฮอม อบรมรุกขกร
และอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น การสื่อสารผ่านกิจกรรมสาธารณะ เช่น กิจกรรมถนนบ�ำเพ็ญสาธารณประโยชน์
ตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ พิธีสืบชะตาต้นยางนา เทศกาลต้นไม้ใหญ่เมืองเชียงใหม่ เป็นต้น และการใช้สื่ออ่ืน ๆ เช่น
การจัดนิทรรศการต้นไม้ รุกขชาติ มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมี และการใช้ส่ือบุคคลเพ่ือถ่ายทอดเร่ืองราว
และกระต้นุ จิตสำ� นึกรักเชยี งใหม่ ผา่ นผ้วู า่ ราชการจงั หวัด นกั ดนตรี และวทิ ยากรที่มคี วามรู้และประสบการณ์

จุดประกาย 97
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ ุมชนยง่ั ยนื

สือ่ เรียนรู้กลางป่า

การอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
ในพื้นที่ป่าใหญ่โคกจิก-ตาลอก จังหวัดมหาสารคาม
ใช้ “ส่ือเรียนรู้กลางป่า” เพื่อสื่อสารสร้างความตระหนัก
โดยการสำ� รวจและเกบ็ ขอ้ มลู ความหลากหลายทางชวี ภาพ
จัดท�ำป้ายเหล็กประชาสัมพันธ์ข้อมูลความหลากหลาย
ทางชีวภาพในป่าใหญ่โคกจิก-ตาลอก จ�ำแนกเป็นข้อมูล
พรรณไม้ที่พบในแปลง ชนิดของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั และชนิดของเห็ด ซ่ึงเป็นข้อมูล
จากการส�ำรวจป่าและการใช้ประโยชน์จากปา่ รวมท้ังได้จัดทำ� ป้ายแสดงรายละเอียดขอ้ มูลประวัติความเปน็ มาของป่า
แผนท่ี และแปลงตัวอย่างในการส�ำรวจความหนาแน่นของชนิดพันธุ์ในพ้ืนท่ีป่า เพื่อให้ผู้ท่ีเข้ามาใช้ประโยชน์รับรู้
และเกดิ ความตระหนักในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรเหล่าน ี้

ขา่ วสารสิ่งแวดลอ้ ม สร้างความตระหนักรกั ษท์ รพั ยากรทอ้ งถนิ่

การจัดการพื้นท่ีชุ่มน�้ำอ่าวบ้านดอนซ่ึงมีชุมชนที่อยู่
โดยรอบหรอื ตดิ พน้ื ทอ่ี า่ วบา้ นดอนจำ� นวนมาก การรณรงค์
เผยแพร่ และสร้างความตระหนักถึงความส�ำคัญของ
อ่าวบ้านดอนจึงเป็นส่ิงส�ำคัญ โดยมีการจัดท�ำแผ่นพับ
ประชาสมั พนั ธใ์ หก้ บั กลมุ่ เปา้ หมายในชมุ ชน สถาบนั การศกึ ษา
องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ และจดั นทิ รรศการในวนั สำ� คญั
ต่าง ๆ นิทรรศการเครอ่ื งมอื ประมงพนื้ บา้ น วถิ ชี าวประมง
พนื้ บา้ น ขอ้ มลู มลู คา่ การใชป้ ระโยชนท์ างตรงจากอา่ วบา้ นดอน
เพื่อให้เยาวชนและบุคคลท่ีสนใจได้เรียนรู้ โดยการมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่มองค์กรชุมชนที่ร่วมนำ� เสนอและเป็น
วทิ ยากรใหค้ วามรกู้ ารอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมทางทะเลและชายฝ่ังในอ่าวบา้ นดอน

98 จดุ ประกาย
ขยายองค์ความรู้ สชู่ มุ ชนยง่ั ยืน

ขอ้ คน้ พบ

การส่ือสารสร้างความตระหนักน�ำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน มีการพัฒนาเคร่ืองมือที่ใช้ส่ือสารและเรียนรู้
ร่วมกันและได้ต่อยอดขยายเครือข่ายการท�ำงานอย่างต่อเน่ืองสม่�ำเสมอและขยายสู่สังคมในวงกว้าง ร่วมกับการ
สร้างจิตส�ำนึกในการอนุรักษ์ป่า โดยถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับการฟื้นฟู อนุรักษ์ป่าชุมชน
และทรัพยากรชายฝั่งให้มีความอุดมสมบูรณ์ อีกท้ังเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ด้วย โดยมีการ
ปรบั ใชอ้ งคค์ วามรู้และรูปแบบการด�ำเนินงานซ่ึงส่งผลใหป้ ระสบความส�ำเรจ็ ได้แก่

การใชศ้ ลิ ปะพนื้ บา้ นสอ่ื สารเพอ่ื การอนรุ กั ษป์ า่ ศลิ ปะการแสดงพนื้ บา้ นทส่ี ะทอ้ นถงึ การดำ� เนนิ ชวี ติ ทผ่ี สมผสาน
กับวัฒนธรรมพื้นบ้านเร่ิมสูญหายไป ผู้น�ำชุมชนเห็นถึงความส�ำคัญจึงต่อยอดศิลปะพ้ืนบ้านนี้ร่วมกับการสร้าง
ความรว่ มมอื ในการพฒั นาและอนรุ กั ษ์ปา่ ชุมชน โดยเรมิ่ จากกลุ่มเยาวชนทมี่ ีความสนใจในศลิ ปะพื้นบา้ น ท�ำให้
เยาวชนท้องถนิ่ ได้เขา้ ร่วมศกึ ษาองค์ความรใู้ นปา่ ชุมชนในพืน้ ทจี่ รงิ มีครู ผูน้ �ำชมุ ชน และผปู้ กครอง ร่วมผลักดัน
และสนบั สนนุ การทำ� กจิ กรรม ทำ� ใหเ้ กดิ ความสนใจและกระตอื รอื รน้ ในการสง่ ตอ่ ความรู้ และสรา้ งความตระหนกั
ให้กับชุมชนอน่ื ๆ และบุคคลภายนอก
การพฒั นาส่อื เรยี นรู้กลางป่าเพอ่ื ส่ือสารสร้างความตระหนกั ใช้ขอ้ มูลจากการส�ำรวจปา่ และการใช้ประโยชน์
จากปา่ รวมทงั้ ไดจ้ ดั ทำ� ปา้ ยแสดงรายละเอยี ดขอ้ มลู ประวตั คิ วามเปน็ มาของปา่ แผนที่ และแปลงตวั อยา่ งในการ
ส�ำรวจความหนาแน่นของชนิดพันธุ์ในพื้นท่ีป่า เพ่ือให้ผู้ท่ีเข้ามาใช้ประโยชน์รับรู้และเกิดความตระหนัก
ในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรเหลา่ นี้ นอกจากน้ี สมาชกิ ในชมุ ชนเองกม็ กี ารสอื่ สารกบั ชมุ ชนอนื่ ๆ ทเี่ ขา้ มาใชป้ ระโยชน์
ในป่าให้ช่วยกันดแู ลอนรุ กั ษป์ ่า เพ่อื ให้สามารถใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งยงั่ ยืน
การสานเครือข่ายร่วมด�ำเนินงาน มีการชี้แจงและประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับสมาชิกเครือข่ายรับทราบ
อย่างต่อเนื่อง เผยแพร่องค์ความรู้ สร้างความเข้าใจในเร่ืองการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับชุมชน
อย่างสม่�ำเสมอ เป็นแรงผลักดันให้สมาชิกในชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมและเป็นก�ำลังส�ำคัญในการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาตขิ องชุมชนใหย้ ั่งยืน

จดุ ประกาย 99
ขยายองคค์ วามรู้ สชู่ มุ ชนยั่งยนื


Click to View FlipBook Version