The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทบรรณาธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jobbonrecord, 2020-06-11 10:19:47

รวมบทบรรณธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

รวมบทบรรณาธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

รวมบทบรรณาธิการแยกข้อ สมยั 65-72
แพ่งและพาณิชย์

โดย กล่มุ เนตฯิ 4 ขา หลกั – ฎีกามาแชร์กนั สงวนลขิ สิทธ์ิ

1

สารจากผูจ้ ดั ทำ

เนอ่ื งจากผจู้ ดั ทำพบวา่ บทบรรณาธิการมีความสำคญั เป็นอยา่ งยิ่งในการศึกษาตัวอยา่ งการใช้กฎหมายเพอ่ื ใชเ้ ตรยี มตวั
สอบทกุ สนามสอบ อีกทงั้ ยังพบว่ามหี ลกั ท่นี า่ สนใจซึ่งไดอ้ ธิบายในคำพิพากษาฎีกาเพื่อขยายความให้มคี วามเขา้ ใจในประเด็น
นน้ั ๆมากยงิ่ ขึ้น ซง่ึ บทบรรณาธกิ ารในแต่ละสมยั ท่ีปรากฏในคำบรรยายเนติมจี ำนวนมากและยงั มไิ ดม้ ีการแยกตามกลมุ่ วชิ า อาจ
ทำให้เวลาที่อา่ นเกิดความสบั สน เนือ้ หาผสมปนเปกันไป

ผ้จู ัดทำตระหนกั ถึงปัญหาดงั กล่าว ท้งั ยงั พบวา่ หากได้มกี ารจดั เรียงแยกเป็นรายข้อ ตามกลมุ่ วิชา จะทำใหเ้ กิดความ
สะดวกและประโยชนห์ ลายดา้ น ที่สำคัญคือสามารถทำให้การจำและทำความเขา้ ใจเป็นระบบและระเบียบมากขน้ึ นอกจากน้ี
ยังสามารถตรวจสอบไดง้ ่ายวา่ ประเดน็ ใดท่ีเคยได้ออกสอบไปแลว้ ก็อาจจะชว่ ยของผู้อ่านลดภาระในการเตรียมตวั สอบได้ไม่

มากกน็ ้อย จึงไดจ้ ัดทำรวมคำพพิ ากษาจากบทบรรณาธิการสมัย 65-72 น้ีขน้ึ มาโดยการรวบรวมจาก search engine จงึ อาจ

นำมาจากสรปุ จากแฟนเพจกฎหมายตา่ งๆ หากฎหี าไหนไมม่ ี ผู้จัดทำกจ็ ะพมิ เอง ซ่งึ อาจมีตกหลน่ ได้ อนึง่ สำหรบั ฎกี าท่ซี ้ำกัน
ในแตล่ ะสมยั ผ้จู ัดทำไดล้ งไว้เพยี ง 1 คร้ังเท่านั้นเพอ่ื ไมเ่ ป็นการซำ้ ซอ้ นกัน

เน่อื งจากบทบรรณาธิการจะมเี ฉพาะคำพิพากษาฎีกาทเี่ กี่ยวกับเน้ือหาตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ไม่
ปรากฏคำพิพากษาฎีกาตามกฎหมายพเิ ศษเชน่ ทรพั ยส์ ินทางปญั ญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศ ดงั นน้ั ผจู้ ดั ทำใครข่ อใหผ้ ู้อา่ น
ทำการศกึ ษาค้นคว้าเพมิ่ เตมิ ดว้ ยตนเอง

ผจู้ ดั ทำมคี วามประสงค์จะใหร้ วมบทบรรณาธิการน้ีเปน็ วิทยาทานแกท่ กุ ทา่ นเพื่อ เตรียมตวั สอบทกุ สนาม ไมป่ ระสงค์
จะทำเพ่อื การคา้ หรอื แสวงหากำไร ดังนน้ั จงึ ใครข่ อความร่วมมือทุกทา่ นไม่นำไปจำหนา่ ยต่อ หากใครนำไปทำการค้าหรอื
แสวงหาประโยชนท์ ต่ี นมิควรไดโ้ ดยชอบ ก็ขอใหผ้ ลร้ายน้นั ถงึ ตวั ท่านโดยเรว็

นอกจากนผ้ี ู้จดั ทำยงั ได้จัดทำกลมุ่ วิชาอาญาด้วย และผูจ้ ดั ทำจะดำเนินการจดั ทำรวมบทบรรณาธิการของภาค 2 สมยั
65-71 ด้วย และยงั มีเอกสารสรปุ ประเด็นในแตล่ ะขาด้วย ขอให้ท่านผู้อ่านไดโ้ ปรดตดิ ตามตอ่ ไป

สดุ ทา้ ยนี้ หากมีข้อผิดพลาด เนอื้ หาตกหลน่ ประการใด ผจู้ ัดทำต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย ทัง้ นผี้ ูอ้ า่ นสามารถเข้า
ร่วมเป็นสมาชกิ กลมุ่ ทางเฟสบคุ๊ ช่ือ “เนตฯิ 4 ขา หลกั -ฎกี า มาแชรก์ นั ” เพ่อื เสนอแนะ ตชิ ม แลกเปลย่ี นขา่ วสาร ความรู้ ฯลฯ
กนั ได้นะคะ ยนิ ดตี อ้ นรบั ทกุ ทา่ นและขอให้ทกุ ท่านประสบความสำเรจ็ ในการสอบทกุ ๆสนามคะ่

เบญญาดา ปาร์ก
ผจู้ ัดทำ และผดู้ ูแลกลมุ่

1

2

ข้อ 1 (ทรพั ย์)

ฎีกาที่ 5948/2554 ทดี่ นิ พิพาทเดิม ป. ตกลงทำสญั ญาซือ้ ขายให้ ล. อนั เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนทีร่ ะบใุ ห้ ล. จะตอ้ ง
ชำระราคาใหค้ รบถ้วนและดำเนนิ การออกเอกสารสทิ ธทิ ดี่ ินเสยี กอ่ น มีลกั ษณะเป็นสญั ญาจะซอื้ ขายมใิ ชซ่ ื้อขายเสรจ็ เด็ดขาด และการ
สง่ มอบการครอบครองทดี่ นิ พพิ าทตามสญั ญาจะซื้อขายถือว่า ล. ผจู้ ะซ้อื ครอบครองทีด่ นิ แทน ป. ผู้จะขายเปน็ การชั่วคราว เมอ่ื ล. นำ
ท่ีดินพพิ าทมาทำสัญญายกให้โจทก์โดยระบุใหโ้ จทกต์ อ้ งผกู พันและปฏิบัตติ ามสญั ญาจะซอื้ ขายท่ี ล. มีตอ่ ป. อนั มลี กั ษณะเป็นการ
แปลงหนใี้ หมด่ ว้ ยการเปลี่ยนตวั ลกู หนี้ การทีโ่ จทกร์ บั มอบการครอบครองมาจาก ล. ยอ่ มเปน็ การครอบครองแทน ป. ชว่ั คราวเชน่ กัน
เมือ่ ไมป่ รากฏวา่ ไดม้ กี ารทำสญั ญากนั ใหม่ระหวา่ ง ป. กับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 350 โจทก์จงึ ไมใ่ ช่
คู่สัญญาและไมอ่ าจอา้ งไดว้ า่ ป. บอกเลกิ สญั ญาโดยมชิ อบ เมอื่ โจทก์ไม่ใช่ผ้มู ีสทิ ธิครองครองทดี่ นิ พิพาทจงึ มใิ ช่ผู้ถูกโตแ้ ยง้ สิทธแิ ละไมม่ ี
อำนาจฟ้อง

ฎกี าท่ี 3864/2554 ผ้คู ดั ค้านยนื่ คำร้องคดั ค้านคำร้องขอของผูร้ อ้ งในคดขี อแสดงสทิ ธใิ นท่ีดินพพิ าท เปน็ เพยี งโตเ้ ถยี ง
สิทธิกัน ท้งั เม่ือศาลมคี ำสงั่ จำหน่ายคดดี งั กลา่ วแลว้ กไ็ มป่ รากฏวา่ ผู้คัดคา้ นได้ฟ้องขบั ลา่ ผรู้ ้อง คงปลอ่ ยใหผ้ รู้ ้องครอบครองทด่ี ินพิพาท
ต่อมา สทิ ธคิ รอบครอบของผรู้ ้องหาได้ถกู กำจัดให้ออกไปไม่ จงึ มิใช่เป็นการรบกวนสิทธคิ รอบครองของผ้รู อ้ งอนั จะถือวา่ ผูร้ อ้ งไมไ่ ด้
ครอบครองทดี่ นิ พพิ าทโดยความสงบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ผรู้ ้องย่นื คำรอ้ งขอแสดงสิทธิในที่ดินพพิ าทคร้ังแรกเมอ่ื วันที่ 16 มิถนุ ายน 2541 ศาลชั้นตน้ มี
คำสงั่ ให้จำหน่ายคดีเนือ่ งจากผู้ร้องไม่ชำระคา่ ข้นึ ศาลภายในระยะเวลาทกี่ ำหนด ไมอ่ าจหมายความได้ว่าผู้ร้องไมป่ ระสงค์จะได้
กรรมสิทธใิ์ นท่ีดนิ พพิ าทโดยการร้องขอครอบครองปรปกั ษ์ต่อไป ท้งั ไม่มีผลต่อการนบั ระยะเวลาครอบครองท่ดี นิ พพิ าทของผู้รอ้ ง
ดว้ ย เมือ่ นบั แตผ่ คู้ ดั คา้ นไดส้ ทิ ธใิ นทด่ี นิ พพิ าทวนั ท่ี 13 สงิ หาคม 2533 จนถงึ วนั ท่ีผรู้ ้องยนื่ คำร้องขอแสดงกรรมสทิ ธต์ิ ่อศาลชั้นตน้ คร้งั
หลงั วนั ท่ี 25 มถิ นุ ายน 2544 เปน็ เวลาเกนิ 10 ปี ผู้รอ้ งจงึ ได้กรรมสิทธใ์ิ นท่ดี นิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษ์ ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1382

ฎีกาท่ี 10002/2551 โจทก์ ญาตขิ องโจทกแ์ ละผเู้ ชา่ ทด่ี ินพร้อมบา้ นของโจทกต์ ่างไดใ้ ชท้ างพพิ าทในทด่ี ินของจำเลยทงั้
สองเป็นทางเดนิ ออกสูท่ างสาธารณะโดยสงบและเปดิ เผยดว้ ยเจตนาจะใหไ้ ด้สทิ ธภิ าระจำยอมแมท้ ดี่ นิ ของจำเลยทั้งสองจะมกี ารโอนต่อ
กันมาหลายครั้งจนมาถงึ จำเลยทั้งสองก็ตาม แตเ่ มื่อโจทก์และบรวิ ารไดใ้ ช้ทางพพิ าทในที่ดินดังกลา่ วตดิ ต่อกนั มาโดยเจา้ ของทด่ี นิ ที่รบั
โอนตอ่ กนั มาจนถงึ จำเลยทงั้ สองตา่ งกท็ ราบดแี ละไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ คดั ค้าน สิทธิในอนั ทจี่ ะใช้ในทางพิพาทและระยะเวลาในการใชท้ างพพิ าท
ของโจทก์จงึ หาถกู กระทบหรือสะดดุ หรือหยดุ ลงไม่ ดงั นั้น เมือ่ โจทก์และบริวารใชท้ างพิพาทตดิ ต่อกนั ตง้ั แตโ่ จทก์ซอ้ื ทด่ี ินพรอ้ มบ้านมา
ในปี 2530 จนถึงปี 2542 ที่จำเลยทั้งสองทำการถมดนิ และล้อมรว้ั ลวดหนามปดิ กั้นทางพิพาทจงึ เป็นการใชเ้ กนิ กว่า 10 ปี ทางพพิ าท
ย่อมตกเป็นภาระจำยอมแก่ท่ดี ินของโจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382 แล้ว

2

3

โจทกใ์ ชท้ างพพิ าทเป็นทางเดินออกสถู่ นนสาธารณะเทา่ น่นั และโดยสภาพของทางพิพาทก็ไม่อาจ
ใชเ้ ปน็ ทางใหย้ านพาหนะผา่ นได้ นอกจากนี้ โจทก์และบคุ คลทเี่ ช่าบ้านของโจทกเ์ ดนิ ผ่านทดี่ ินของจำเลยทง้ั สองออกสู่ทางสาธารณะโดย
ตอ้ งเดนิ เลยี บขา้ งเสาซงึ่ จำเลยที่ 1 ทำไวเ้ พ่ือปลูกบา้ น ซงึ่ มคี วามกวา้ งไม่ถงึ 2 เมตร ประกอบกบั ทางพพิ าทสว่ นทีค่ วามกว้างทีส่ ุด
ประมาณ 150 เซนตเิ มตร และสว่ นท่แี คบท่ีสดุ ประมาณ 120 เซนติเมตร จึงเหน็ ควรกำหนดให้ทางพพิ าทในที่ดนิ ของจำเลยทง้ั สองกวา้ ง
120 เซนตเิ มตร เปน็ ทางภาระจำยอมแก่ทดี่ นิ ของโจทก์

ฎกี าที่ 1454/2551 โจทก์ไดข้ ายที่ดินโฉนดเลขที่ 83631 แก่บริษทั ม. โจทกม์ หี นงั สอื แจง้ ใหจ้ ำเลยที่ 1 สง่ มอบโฉนด
ทด่ี ินพิพาทแกโ่ จทกเ์ พือ่ นำไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธทิ์ ดี่ ินพิพาทเฉพาะสว่ นของโจทกแ์ ก่บริษทั ดงั กล่าว แตจ่ ำเลยที่ 1 เพกิ เฉย ป.
พ.พ. มาตรา 1361 วรรคหนง่ึ บญั ญตั ิวา่ "เจา้ ของรวมคนหน่งึ ๆ จะจำหน่ายสว่ นของตน หรือจำนอง หรือกอ่ ให้เกดิ ภาระตดิ พันกไ็ ด้"
และความในวรรคสองบญั ญตั ิว่า "แตต่ วั ทรพั ย์สินนนั้ จะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อใหเ้ กดิ ภาระติดพันได้ กแ็ ตด่ ว้ ยความยนิ ยอมแห่ง
เจ้าของรวมทุกคน" การทีโ่ จทก์จำหน่ายกรรมสิทธใิ์ นทด่ี นิ พิพาทเฉพาะส่วนของโจทกแ์ ก่บรษิ ัท ม. มิใชเ่ ปน็ การกอ่ ให้เกดิ ภาระตดิ พนั แก่
ตัวทรัพย์สนิ ย่อมเปน็ สิทธขิ องโจทก์ที่สามารถกระทำไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคหนงึ่ โดยไมต่ อ้ งได้รับความยนิ ยอมจากจำเลย
ท้งั สอง

ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนง่ึ บัญญตั วิ า่ "เจ้าของรวมคนหนงึ่ ๆ มสี ทิ ธใิ ช้ทรัพย์สนิ ได้แตก่ ารใช้
น้ันต้องไม่ขดั ตอ่ สทิ ธิแหง่ เจา้ ของรวมคนอนื่ ๆ" การทโี่ จทกจ์ ำหนา่ ยกรรมสิทธิใ์ นที่ดินพิพาทเฉพาะสว่ นของโจทกแ์ ก่บริษัท ม. เพ่ือให้
บริษัทดงั กลา่ วมสี ิทธใิ ช้ทด่ี ินพพิ าทในฐานะเจา้ ของรวม จึงเป็นสทิ ธขิ องเจา้ ของรวมคนหนง่ึ ๆ ท่ีจะกระทำได้ ทง้ั ป.พ.พ. มาตรา 6 ก็
บญั ญตั ิใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนว่า บคุ คลทุกคนกระทำการโดยสจุ รติ จำเลยที่ 1 หามสี ทิ ธขิ ดั ขวางการจำหนา่ ยกรรมสทิ ธ์ิในทด่ี ินพพิ าท
เฉพาะส่วนของโจทก์ไม่

ฎีกาท่ี 1935/2544 ทดี่ ินของโจทก์ท่ี 6 ถงึ ที่ 13 ทง้ั 4 แปลงอยตู่ ิดแมน่ ำ้ เจา้ พระยาซง่ึ ปจั จุบันยังมกี ารใชส้ ัญจร
ตามปกติจึงเป็นทางสาธารณะ ท่ีดนิ ของโจทกด์ งั กลา่ วจึงไมเ่ ป็นทด่ี นิ ท่ีมที ด่ี นิ แปลงอื่นล้อมอยู่จนไมม่ ีทางออกถงึ ทางสาธารณะไดต้ าม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1349 วรรคหน่งึ

บ้านบางหลงั ของฝ่ายโจทก์เป็นบา้ นยกพ้นื อยสู่ ูงกวา่ ระดบั นำ้ ในแม่นำ้ ประมาณ 70 เซนตเิ มตร
แสดงให้เหน็ ว่า ระดบั น้ำในแม่น้ำกบั รมิ ตลงิ่ ย่อมจะนอ้ ยกว่า 70 เซนตเิ มตร กรณีไม่ถอื ว่าเปน็ ที่ชันอนั ระดับที่ดนิ กบั ทางสาธารณะอยสู่ ูง
กวา่ กนั มากตามความหมายของมาตรา 1349 วรรคสอง เม่อื ทด่ี นิ ของโจทกท์ ่ี 6 ถงึ ท่ี 13 ทง้ั 4 แปลงอยตู่ ิดทางสาธารณะแม้ฝา่ ยโจทก์
ไมไ่ ดใ้ ชท้ างสาธารณะนีส้ ญั จรไปมาเป็นเวลานานแลว้ กไ็ มท่ ำให้โจทกท์ ัง้ สิบสามมีสิทธิทจ่ี ะใช้ทางพิพาทในท่ีดินของจำเลยทงั้ เจด็ โดยอ้าง
ว่าเป็นทางจำเปน็ ได้ ทดี่ นิ ของโจทก์ท่ี 1 ถงึ ท่ี 5 และโจทกท์ ่ี 8 ถงึ ที่ 13 แปลงอนื่ ซงึ่ ไมไ่ ด้ตดิ ทางสาธารณะโดยตรงนัน้ เป็นทดี่ ิน
แบ่งแยกมาจากทดี่ นิ ทต่ี ดิ ทางสาธารณะหากโจทกท์ ี่ 1 ถงึ ที่ 5 และโจทกท์ ่ี 8 ถงึ ที่ 13 จะเรียกร้องเอาทาง กต็ ้องเรยี กร้องเอาจากทีด่ นิ
แปลงเดิมทีไ่ ด้แบง่ แยกหรอื แบง่ โอนกนั ไม่อาจท่จี ะเรยี กร้องขอใชท้ างพพิ าทได้

3

4

ฎีกาท่ี 3408/2551 การท่ีจะนำประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1350 มาใชบ้ ังคบั ไดต้ ้องเป็นกรณที ี่ทดี่ นิ
แปลงเดมิ มที างออกสทู่ างสาธารณะอยู่แลว้ เมอื่ แบง่ แยกหรอื แบง่ โอนกนั เป็นเหตุใหแ้ ปลงหน่ึงไมม่ ีทางออกไปส่ทู างสาธารณะ เจา้ ของ
ที่ดินแปลงนั้นมสี ทิ ธิเรยี กรอ้ งเอาทางเดนิ ตามมาตรา 1349 ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งเสยี ค่าทดแทน
เดมิ ทด่ี ินของโจทก์เปน็ ส่วนหนึ่งของทดี่ ินทถี่ กู ทด่ี ินแปลงอน่ื ล้อมอยู่จนไมม่ ีทางออกสูท่ างสาธารณะได้ ต้องอาศัยทด่ี ินของผู้อ่นื เดนิ ผา่ น
เพอ่ื ออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่การทม่ี ที างออกสู่ทางสาธารณะโดยผา่ นท่ดี นิ ของผู้อื่นได้เพราะเขายินยอม มใิ ชเ่ ปน็ สิทธิตามกฎหมาย
ต้องถอื วา่ ไม่มที างออกสู่ทางสาธารณะ จงึ ไม่เขา้ หลักเกณฑต์ ามมาตรา 1350 แตเ่ ปน็ กรณีทท่ี ี่ดินของโจทก์มีทด่ี ินแปลงอน่ื ล้อมอยจู่ นไม่
มีทางออกสทู่ างสาธารณะ โจทก์สามารถทีจ่ ะผา่ นทดี่ ินซ่ึงลอ้ มอยไู่ ปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1349

โจทกม์ ีทางออกสูท่ างสาธารณะได้หลายทางโดยผา่ นทางทดี่ ินของบคุ คลอื่นท่มี ิไดห้ วงหา้ มโจทก์
การทโี่ จทกจ์ ะขอเปิดทางพพิ าทเป็นทางจำเป็นเพ่อื ความสะดวกของโจทก์ แตท่ ำให้จำเลยท่ี 1 ตอ้ งเดอื ดร้อนและเสียหาย และถา้ หาก
ให้จำเลยที่ 1 เปดิ ทางพพิ าทเป็นทางจำเป็น จะทำใหจ้ ำเลยท่ี 1 ต้องรือ้ บรเิ วณหลงั บ้านดา้ นทิศตะวนั ออก อนั จะทำให้จำเลยท่ี 1 ไดร้ ับ
ความเสยี หายและเดือดร้อนเป็นอย่างมาก และไม่เปน็ ไปตามเจตนารมณข์ องประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1349 วรรค
สาม การกระทำของโจทกจ์ งึ เป็นการใช้สิทธโิ ดยไม่สุจริต

ฎีกาท่ี 9325/2553 ทางจำเป็นจะขอได้ต่อเม่อื ทีด่ นิ มีทด่ี ินแปลงอนื่ ล้อมอยจู่ นไม่มีทางออกสูท่ างสาธารณะตาม
บทบญั ญตั แิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 1349 แตห่ ากเป็นกรณแี บง่ แยกท่ีดนิ แปลงเดยี วกันทำให้ที่ดินทแี่ บง่ แยกน้ันแปลงใดไม่มที างออกสทู่ าง
สาธารณะซ่งึ หมายถงึ ทางสาธารณะทม่ี ีอยู่ในขณะแบง่ แยกน้ันแลว้ กจ็ ะเป็นไปตามบทบญั ญตั ิแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 1350 เมอ่ื ปรากฏว่า
ทด่ี นิ ของโจทกแ์ ละทด่ี นิ พพิ าทถกู แบ่งแยกออกจากทด่ี ินแปลงเดยี วกนั กอ่ นมีถนนพุทธมณฑลสาย 1 กรณีจงึ ไม่อาจนำบทบญั ญัตแิ ห่ง ป.
พ.พ. มาตรา 1350 มาบงั คบั ได้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ ทดี่ นิ ของโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะ 3 ทาง แต่เป็นเส้นทางทีต่ ้องผ่านทีด่ นิ
ของบคุ คลอน่ื และไมป่ รากฏว่าเป็นทางสาธารณะ อีกทงั้ ไมใ่ ชท่ างทเ่ี ป็นภารยทรพั ยข์ องทีด่ นิ ของโจทก์ ซงึ่ เจ้าของทด่ี นิ อาจจะอนุญาตให้
โจทก์ใช้ทางหรอื ไมก่ ็ได้ และแม้เจา้ ของทดี่ ินน้ันจะยินยอมใหโ้ จทกผ์ ่านท่ีดนิ ของตนได้กไ็ ม่ใช่สิทธติ ามกฎหมาย ประกอบกบั มรี ะยะทาง
จากทดี่ ินของโจทก์ไปสทู่ างสาธารณะไกลไม่สะดวก จงึ ฟังได้วา่ ทดี่ ินของโจทกถ์ กู ลอ้ มรอบดว้ ยทด่ี นิ ของผู้อ่นื จนไมอ่ าจออกสู่ทาง
สาธารณะ โจทกจ์ งึ มีอำนาจฟ้องขอให้เปดิ ทางพิพาทเปน็ ทางจำเปน็ ได้ แตก่ ารท่ีจะเปดิ ทางจำเปน็ นน้ั ตอ้ งเลือกให้พอสมควรแกค่ วามจำ
เป็นของโจทกโ์ ดยคำนงึ ถงึ ประโยชน์การใชส้ อยทดี่ ินพิพาทใหเ้ สยี หายน้อยท่สี ดุ

ฎกี าที่ 14015/2553 ขณะท่ี ส. ซอ้ื ทดี่ นิ แปลงแรก และตอ่ มา พ. ซอื้ ทด่ี ินแปลงที่ 2 นนั้ ส. และ พ. อยกู่ ินฉันสามภี รยิ า
แลว้ แมจ้ ะไม่ได้ความวา่ ส. และ พ. ได้จดทะเบยี นสมรสกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ แต่ทรพั ยส์ นิ ทไ่ี ดม้ าระหวา่ งอยูก่ ินฉนั สามี
ภรยิ าต้องถือว่าเป็นเจา้ ของร่วมกนั ท้งั การทจ่ี ะมภี าระจำยอมไดจ้ ะต้องมีท่ีดนิ สองแปลงโดยทด่ี ินแปลงหนงึ่ ตกอยูใ่ นภาระจำยอมของ
ท่ดี ินอกี แปลงหนึ่ง และการทจี่ ะได้ภาระจำยอมโดยอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 จะต้องเป็นการใชเ้ พื่อตน มิใชเ่ ป็นการอาศยั
เม่ือการใชส้ ทิ ธิในท่ีดินของ ส. ท้ังสองแปลงเป็นการใช้ในฐานะเจา้ ของทด่ี นิ รว่ มกนั กบั พ. มิใชเ่ ป็นการใชใ้ นทด่ี นิ ของผอู้ ื่นอนั จะเป็นผล
ให้ได้สิทธิภาระจำยอมในช่วงเวลาดงั กล่าว โจทกจ์ ะนำสทิ ธทิ ี่ ส. มีอยู่ในทพ่ี ิพาทมานบั ตอ่ เน่อื งกับสทิ ธิทโี่ จทก์ได้รบั เพอื่ ให้ไดส้ ทิ ธภิ าระ

4

5

จำยอมในทด่ี ินแปลงพิพาทหาได้ไม่ เม่ือโจทก์ไดร้ บั โอนที่ดนิ มีโฉนดจาก ส. ในปี 2536 นบั ถงึ วนั ฟ้องคดีนยี้ งั ไม่ถงึ 10 ปี ทางพพิ าทจงึ ยัง
ไมต่ กอยใู่ นภาระจำยอมโดยอายคุ วาม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401

ฎีกาที่ 1392/2545 กอ่ นที่จำเลยที่ 1 จะทำสญั ญาซ้อื ขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธท์ิ ่ดี นิ พพิ าทให้แก่จำเลยที่ 2
จำเลยท่ี 2 ทราบวา่ โจทก์กบั จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซ้อื ขายทดี่ นิ พพิ าทตอ่ กันไวก้ ่อนแล้วการท่ีจำเลยท่ี 2 ทำสญั ญาซื้อขายและจด
ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทด่ี นิ พพิ าทจากจำเลยท่ี 1 จงึ เปน็ การทำให้โจทกซ์ ่ึงเปน็ เจา้ หนขี้ องจำเลยท่ี 1 เสยี เปรยี บ ถือวา่ จำเลยทง้ั สอง
ร่วมกนั ทำการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์มอี ำนาจฟ้องขอใหเ้ พกิ ถอนนติ กิ รรมซือ้ ขายทดี่ ินระหวา่ งจำเลยทงั้ สองได้ ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 237

จำเลยที่ 1 ใหก้ ารรับวา่ จำเลยท่ี 1 ได้ทำหนงั สอื สญั ญาจะซอ้ื ขายหรอื สญั ญาวางมดั จำไวก้ ับโจทก์
จริงจึงไมต่ อ้ งนำสญั ญาจะซือ้ ขายมาแสดงฉะน้นั แมห้ นงั สอื สญั ญาจะซอื้ ขายหรือสญั ญาวางมัดจำจะมิไดป้ ิดอากรแสตมปก์ ็ฟังไดว้ า่ โจทก์
กบั จำเลยท่ี 1 ได้ทำสญั ญาจะซือ้ ขายทดี่ นิ พิพาทกันไวจ้ รงิ

ฎกี าท่ี 5238/2546 จำเลยสร้างฐานรากของโรงเรอื นซง่ึ เปน็ ส่วนทฝ่ี งั อยใู่ ตด้ ินรกุ ล้ำเขา้ ไปในที่ดินของโจทก์โดยมี
เจตนาเพ่ือซอ่ นเร้นปกปดิ การกระทำที่ไมช่ อบของตน จงึ ไมอ่ าจถือไดว้ า่ จำเลยครอบครองที่ดนิ ส่วนทีร่ ุกล้ำของโจทก์โดยเปดิ เผยตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1382 ประกอบมาตรา 1401 แมจ้ ะมีการครอบครองมานานเทา่ ใด จำเลยกไ็ มไ่ ด้สทิ ธภิ ารจำ
ยอมในทด่ี ินดงั กลา่ ว

ฎีกาท่ี 677/2550 การครอบครองทด่ี ินของผ้อู ่นื อนั จะเป็นเหตุใหผ้ ู้ครอบครองได้กรรมสทิ ธต์ิ าม ป.พ.พ. มาตรา
1382 นน้ั ต้องเปน็ การครอบครองทดี่ ินของผูอ้ ื่นทไ่ี ดอ้ อกโฉนดแล้วเท่าน้ัน ทง้ั จะต้องครอบครองตดิ ต่อกันเปน็ เวลาสิบปดี ้วย เม่อื ทาง
ราชการเพ่งิ ออกโฉนดทด่ี ินให้แกโ่ จทกท์ ง้ั หา้ เป็นครงั้ แรกเมือ่ วันท่ี 8 พฤษภาคม 2539 นบั ถงึ วันท่ี 6 พฤศจิกายน 2540 ซ่งึ เปน็ วันท่ี
จำเลยทั้งสองฟ้องแยง้ ยงั ไมถ่ งึ สบิ ปี จำเลยทง้ั สองจงึ ยงั ไมไ่ ดก้ รรมสทิ ธ์ิ จำเลยทงั้ สองจะนับระยะเวลาทค่ี รอบครองที่พพิ าทกอ่ นที่พิพาท
ออกโฉนดรวมเข้าด้วยไม่ได้เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมไี ดแ้ ตเ่ ฉพาะทดี่ นิ มกี รรมสิทธเิ์ ทา่ นนั้

ฎีกาที่ 2270/2554 การไดก้ รรมสทิ ธ์ใิ นทดี่ ินของผูอ้ ่ืนโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 จะต้องเป็นการ
ครอบครองทดี่ ินที่ผู้อ่ืนมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเปน็ เจา้ ของตดิ ตอ่ กันเป็นเวลา 10 ปี ผู้ร้องจะนับ
ระยะเวลาการครอบครองในระหว่างเปน็ ที่ดินมือเปลา่ ก่อนทีด่ ินพพิ าทออกโฉนดรวมเขา้ กับระยะเวลาการครอบครองปรปักษภ์ ายหลงั
ท่ดี ินมโี ฉนดแล้วหาไดไ้ ม่ ขณะท่ีมีการออกโฉนดทดี่ นิ ในทด่ี ินพิพาทปี 2529 ผรู้ อ้ งไมไ่ ดค้ ดั ค้านอย่างใด ตอ่ มาปี 2533 ผ้รู อ้ งเข้าไปตกั ดิน
ในที่ดินพิพาท ผคู้ ัดค้านหา้ มแล้วไม่หยดุ ผู้คดั คา้ นจึงนำโฉนดทดี่ นิ ไปแจง้ ความท่ีสถานีตำรวจวา่ ผู้รอ้ งบกุ รกุ ข้อเท็จจรงิ จงึ ฟงั ไดว้ า่ ผูร้ อ้ ง
เขา้ ครอบครองทด่ี ินพิพาทและแสดงออกวา่ มเี จตนาเป็นเจา้ ของเม่ือปี 2533 เมอ่ื นบั ระยะเวลาจนถึงผรู้ อ้ งย่นื คำร้องขอคดีน้เี มือ่ วนั ท่ี 20
กรกฎาคม 2541 ยงั ไมค่ รบ 10 ปี ผรู้ อ้ งจงึ ไมไ่ ด้กรรมสทิ ธิ์ในทีด่ นิ พิพาทโดยการครอบครอง

5

6

ฎกี าที่ 2743/2541 จำเลยท่ี 1 ทำการปรบั ปรุง ถนนบนทด่ี นิ ที่ ส. อุทศิ เปน็ สาธารณประโยชนโ์ ดยก่อสรา้ งเป็นถนน
คอนกรีตเสรมิ เหล็ก และการก่อสร้างรุกลำ้ เขา้ ไปในทดี่ ินของโจทกต์ ลอดแนวเขตเปน็ เนื้อทีป่ ระมาณ 15 ตารางวา และจำเลยที่ 3 ไดป้ กั
เสาพาดสายไฟฟา้ รุกล้ำทด่ี ินของโจทกต์ ามแนวขอบถนนจำนวน 4 ตน้ โดยมีส.เจ้าของทดี่ ินชแี้ นวเขตในการสร้างถนน และโจทกร์ เู้ หน็
การกอ่ สรา้ งท้ังโจทกแ์ ละส.กย็ งั เข้าใจวา่ ไมไ่ ดร้ กุ ลำ้ ทีด่ นิ ของโจทก์การกระทำของจำเลยท่ี 1 และที่ 3 จงึ มิไดก้ ระทำโดยเจตนาหรือ
ประมาทเลินเล่อ ไม่เป็นการละเมิด แตเ่ ป็นการก่อสรา้ งรกุ ลำ้ ในท่ดี นิ ของผู้อน่ื โดยสุจรติ โจทก์ยอ่ มไม่อาจขอให้รอ้ื ถอนถนนและเสา
ไฟฟ้ากับเรยี กคา่ เสยี หายจากจำเลย ที่ 1และท่ี 3 ได้ โจทก์ตง้ั หัวเรอื่ งในคำฟ้องวา่ ละเมิด เรยี กค่าเสยี หายแต่ใจความในคำฟอ้ งและคำ
ขอท้ายฟอ้ งว่า หากการรือ้ ถอนถนนและเสาไฟฟ้าไม่อาจกระทำได้ไมว่ ่าด้วยประการใด ๆใหจ้ ำเลยร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าทด่ี นิ ให้แก่
โจทกค์ ำฟอ้ งของโจทกจ์ ึงมคี วามหมายรวมทงั้ การปลกู สรา้ งรุกลำ้ อนั เปน็ การละเมิดตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 420
และในฐานะเจา้ ของทรัพยส์ ินใช้สิทธิตดิ ตามและเอาคนื ซึง่ ทรัพยส์ นิ ของตนจากบคุ คลผไู้ ม่มสี ทิ ธจิ ะยดึ ถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 1336 ด้วยศาลจึงมีอำนาจวนิ จิ ฉัยใหจ้ ำเลยท่ี 1 และท่ี 3 ใชค้ า่ ทดี่ นิ แกโ่ จทกไ์ ด้ สงิ่ ท่ีจำเลยที่ 1 และที่ 3 ปลกู สร้าง
ในทีด่ ินของโจทกม์ ใิ ชโ่ รงเรอื น แตเ่ ปน็ ถนนและเสาไฟฟ้าอนั เปน็ สาธารณปู โภคสำหรับประชาชนใช้ร่วมกนั แมจ้ ำเลยที่ 1 และที่ 3 ปลูก
สรา้ งรุกลำ้ ทด่ี ินของโจทกโ์ ดยสุจรติ กรณีก็ไมอ่ าจนำมาตรา 1312 ตาม ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาใชบ้ ังคบั ได้ เมือ่ เปน็ กรณี
ไม่มีบทกฎหมายใดบญั ญตั ไิ วโ้ ดยตรง จงึ ต้องอาศยั เทยี บบทกฎหมายทใี่ กล้เคยี งอย่างยิ่งคือประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา
1314 ซง่ึ กำหนดใหใ้ ช้บทบญั ญตั ิมาตรา 1310 บงั คับตลอดถึงการก่อสร้างใด ๆ ซงึ่ ตดิ ทดี่ ินด้วย และเม่ือส่ิงปลกุ สรา้ งคดีนี้ เปน็
สาธารณูปโภคสำหรับประชาชนใชร้ ว่ มกันซึ่งโจทกไ์ มอ่ าจเปน็ เจา้ ของได้ โจทกจ์ งึ คงมีสทิ ธเิ พียงเรยี กให้จำเลยที่ 1 และท่ี 3 ซ้ือทด่ี นิ นน้ั
ตามราคาตลาดตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1310 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเจ้าของทรพั ยส์ นิ ใช้สิทธติ ิดตาม
และเอาคืนซง่ึ ทรัพย์สนิ ของตนจากบุคคลผูไ้ ม่มีสทิ ธิจะยดึ ถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1336ยอ่ มไมม่ กี ำหนด
อายุความ เวน้ แตผ่ ู้ทย่ี ดึ ถอื จะไดก้ รรมสทิ ธ์โิ ดยครอบครองปรปักษ์

ฎกี าท่ี 3869/2554 ปญั หาทีจ่ ะตอ้ งวนิ จิ ฉยั มตี ามท่โี จทก์ฎกี าเพียงประเด็นเดยี ววา่ จำเลยบอกกล่าวเปลย่ี นการ
ยดึ ถือแก่โจทก์ผเู้ ป็นเจา้ ของรวม โดยไม่ไดบ้ อกกลา่ วแก่นาย บ. ดว้ ยถือเปน็ การบอกกลา่ วทชี่ อบตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ มาตรา 1381 แลว้ หรอื ไม่ เหน็ วา่ โจทกก์ บั นาย บ. เปน็ เจ้าของกรรมสิทธริ์ วมในทด่ี นิ พิพาท โจทกแ์ ละนาย บ. คนใดคนหนึ่ง
ย่อมมสี ทิ ธ์จิ ัดการดแู ลท่ดี นิ พพิ าททัง้ หมด ดงั นี้ การที่จำเลยบอกกลา่ วแสดงเจตนาเปลีย่ นการยดึ ถือท่ีดนิ พิพาทไปยงั โจทก์ กย็ ่อมมผี ล
เปน็ การบอกกลา่ วทส่ี มบูรณต์ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1381 แลว้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวไปยงั เจา้ ของ
กรรมสทิ ธ์ิรวมให้ครบทกุ คน ฎีกาโจทกข์ อ้ น้ฟี ังไมข่ ้นึ

ฎกี าที่ 2595/2541 จำเลยเขา้ ครอบครองและปลกู บา้ นอยู่ในทีด่ นิ พิพาทมากวา่ 10 ปี จนจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในท่ดี ิน
พพิ าทโดยการครอบครองปรปักษม์ าก่อนทโ่ี จทกไ์ ดร้ ับโอนกรรมสทิ ธท์ิ ด่ี นิ พิพาทมาจาก ว.เจา้ ของกรรมสิทธิเ์ ดิม แมจ้ ำเลยจะมไิ ดจ้ ด
ทะเบียนสิทธินัน้ จงึ ไมอ่ าจยกขึน้ ตอ่ ส้โู จทก์ซงึ่ เป็นบคุ คลภายนอกท่ซี ื้อทดี่ ินนน้ั มาโดยสจุ ริต เสยี คา่ ตอบแทน และไดจ้ ดทะเบยี นสิทธโิ ดย
สุจรติ ตาม ป.พ.พ.มาตรา1299 วรรคสอง ไดก้ ต็ าม แตเ่ มื่อปรากฏว่าโจทก์เองก็มิได้ดำเนินการเพอ่ื แสดงสิทธดิ งั กลา่ วแก่จำเลย กลับ

6

7

ปลอ่ ยปละละเลยใหจ้ ำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนกลายเปน็ การครอบครองปรปกั ษ์ต่อโจทก์ตอ่ มาอีก ฉะน้นั เม่อื จำเลยได้ครอบครอง
ที่ดนิ พิพาทต่อมานับตง้ั แตโ่ จทกซ์ ้ือทด่ี นิ พพิ าทโดยความสงบและโดยเปิดเผยดว้ ยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แลว้ จำเลย
ย่อมไดก้ รรมสิทธใ์ิ นท่ีดนิ พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และยกขนึ้ ใช้ยันโจทก์ไดต้ าม ป.พ.พ.มาตรา 1382

ฎีกาท่ี 13846/2553 ธนาคาร ก. ผู้ซ้อื ทดี่ ินพพิ าทโดยสจุ รติ ในการขายทอดตลาดตามคำสงั่ ศาลยอ่ มได้รบั ความคุ้มครอง
สิทธมิ ใิ หเ้ สยี ไป แม้ท่ดี นิ พิพาทมิใชข่ องจำเลยหรือลูกหน้โี ดยคำพพิ ากษา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์ทง้ั สองซึ่งเป็นผู้ซอ้ื ท่ีดนิ พิพาท
จากธนาคาร ก. อกี ทอดหนงึ่ ถอื ไดว้ ่าเปน็ ผสู้ ืบสิทธิทไ่ี ด้รับความคุม้ ครองสทิ ธิที่มอี ยตู่ ามมาตรา 1330 เชน่ เดียวกนั แม้มิใชผ่ ู้ซ้อื ทดี่ ิน
ดังกลา่ วจากการขายทอดตลาดตามคำสัง่ ศาลโดยตรงกต็ าม แมโ้ จทกท์ ั้งสองซอ้ื ทดี่ ินพพิ าทโดยทราบมาก่อนว่าจำเลยปลูกบ้านและสิ่ง
ปลกู สรา้ งอน่ื ในทีด่ ินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า 20 ปีแล้ว โดยไม่มผี ู้ใดโตแ้ ยง้ คดั คา้ น และจำเลยมหี นงั สือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)
เป็นหลกั ฐานจำเลยก็ไม่อาจยกสิทธดิ งั กลา่ วข้นึ ใชย้ ันสทิ ธิของโจทก์ทง้ั สองทไ่ี ด้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 ได้
ข้อเทจ็ จริงจงึ รบั ฟงั ไดว้ า่ โจทก์ทงั้ สองมกี รรมสทิ ธ์ิในที่ดินพิพาทดกี ว่าสทิ ธขิ องจำเลย เมื่อโจทกท์ งั้ สองบอกกลา่ วด้วยวาจาไมจ่ ำตอ้ งบอก
กล่าวเปน็ หนงั สอื ให้จำเลยร้ือถอนบ้านและส่ิงปลูกสรา้ งอื่นกับใหอ้ อกไปจากที่ดนิ พิพาทแลว้ จำเลยยังคงเพกิ เฉย โจทก์ทงั้ สองยอ่ มมี
สิทธิฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลยออกจากท่ีดินพพิ าทได้

ฎีกาท่ี 9785/2553 จำเลยปลกู สร้างบา้ นลงบนทดี่ ินพิพาทและบนทดี่ นิ ของจำเลยอกี แปลงท่อี ย่ตู ดิ ตอ่ กันโดยจำเลย
เปน็ เจา้ ของที่ดินทง้ั สองแปลงจำเลยจงึ มสี ทิ ธิปลูกสร้างได้ในฐานะเจา้ ของกรรมสิทธิซ์ งึ่ มใิ ช่การปลูกโรงเรอื นรกุ ล้ำเข้าไปในท่ีดินของผูอ้ ่นื
โดยสจุ ริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 เมือ่ ตอ่ มาทด่ี นิ พิพาทถูกบงั คับคดีนำออกขายทอดตลาด โจทก์ผซู้ อ้ื ทดี่ ินไดจ้ ากการขายทอดตลาด
จงึ เปน็ ผู้ซ้ือทดี่ นิ พิพาทมาโดยสุจริต ส่วนบา้ นและส่งิ ปลูกสร้างทอ่ี ยบู่ นทด่ี นิ พพิ าทจะมหี รือไม่ หรอื โจทกจ์ ะรูห้ รอื ไมว่ า่ มีบ้านและส่ิงปลกู
สร้างอยบู่ นทีด่ นิ พพิ าทก็ไม่ทำใหโ้ จทกม์ ิใช่ผู้ซือ้ โดยสจุ ริต สิทธิของโจทกท์ ไี่ ดท้ ด่ี นิ จากการขายทอดตลาดย่อมไมเ่ สยี ไปตามมาตรา 1330
โจทกจ์ งึ มกี รรมสิทธิใ์ นที่ดนิ พพิ าท การทีโ่ จทกไ์ ม่ประสงคจ์ ะใหจ้ ำเลยปลกู บ้านและสิ่งปลูกสรา้ งอยู่บนทดี่ ินอีกต่อไป แต่จำเลยเพกิ เฉย
จงึ เป็นการละเมดิ ตอ่ โจทก์ โจทกจ์ งึ มสี ทิ ธขิ องบงั คบั ให้จำเลยรอ้ื ถอนบ้านและสง่ิ ปลกู สร้างออกไปจากที่ดนิ ของโจทก์ได้

ฎกี าท่ี 9764/2552 ในการซอื้ ทีด่ นิ จากธนาคาร โจทก์ จำเลยและผู้เช่าอื่นมขี อ้ ตกลงระหวา่ งกันวา่ ผเู้ ชา่ จะซ้อื ทดี่ ิน
ส่วนทมี่ ีหอ้ งแถวท่ีตนเชา่ ปลกู สร้างอยแู่ ละทดี่ นิ แตล่ ะแปลงใหแ้ นวตดั ตรงแนวโฉนดทดี่ ิน ถ้าหอ้ งเชา่ หรอื สง่ิ ปลูกสรา้ งรกุ ล้ำแนวที่ดนิ ของ
ผู้เชา่ อน่ื กจ็ ะตอ้ งรือ้ ถอนสว่ นที่รกุ ลำ้ เมื่อผเู้ ช่าอนื่ ปลูกสร้างใหม่ ถ้ายงั ไม่มกี ารปลกู สรา้ งอาคารใหมก่ ็ใหอ้ ยู่กันตามสภาพเดมิ ไปกอ่ น
ขอ้ ตกลงดงั กล่าวใชบ้ งั คบั ไดแ้ ละมีผลผูกพันโจทก์และจำเลย เมอื่ โจทกแ์ ละจำเลยได้ซอ้ื ทดี่ ินโจทก์จะปลกู สร้างอาคารใหมแ่ ทนหอ้ งเชา่
เดิมบนทดี่ นิ ทซี่ ้ือแต่มสี ่ิงปลูกสร้างของจำเลยรกุ ล้ำเข้าไปทด่ี ินของโจทก์ โจทก์ได้บอกกลา่ วจำเลยแล้วจำเลยจงึ มีหน้าทต่ี ้องปฏิบตั ติ าม
ขอ้ ตกลงรื้อสงิ่ ปลกู สรา้ งสว่ นท่ีรกุ ลำ้ ทีด่ ินของโจทก์ และเม่อื มขี ้อตกลงระหว่างโจทกแ์ ละจำเลยเช่นนี้ จึงมใิ ชก่ รณที ตี่ ้องนำ ป.พ.พ.
มาตรา 1312 มาปรบั ใช้ในฐานะบทกฎหมายที่ใกลเ้ คียงย่งิ ตามมาตรา 4

7

8

ฎกี าท่ี 796/2552 จำเลยปลูกสรา้ งบา้ นคร่อมลงบนทด่ี ินพิพาทและบนที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนงึ่ ท่ีอยตู่ ิดกันโดย
จำเลยเป็นเจา้ ของทดี่ ินท้ังสองแปลง จำเลยยอ่ มมสี ิทธทิ จี่ ะปลูกสรา้ งไดใ้ นฐานะเปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธ์ิ กรณีจงึ มใิ ชเ่ ป็นการปลกู โรงเรอื น
รกุ ลำ้ เขา้ ไปในทด่ี นิ ของผอู้ ื่นโดยสจุ รติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ตอ่ มาเมอื่ ทด่ี นิ พิพาทถูกบังคบั คดีนำออกขายทอดตลาด โจทกเ์ ป็นผู้
ซ้ือทดี่ นิ พิพาทได้จากการขายทอดตลาด ไมว่ า่ โจทกจ์ ะรหู้ รือไม่ร้วู า่ มบี ้านและสงิ่ ปลกู สร้างอยู่ในทด่ี นิ พิพาท แตท่ ่ีดนิ พพิ าทกเ็ ป็นของ
จำเลยซง่ึ เปน็ ลูกหน้ีตามคำพพิ ากษา จงึ ถอื วา่ โจทกซ์ ือ้ ทดี่ นิ พพิ าทมาโดยสจุ รติ สทิ ธขิ องโจทก์ทไ่ี ด้ทดี่ นิ พพิ าทจากการขายทอดตลาด
ยอ่ มไมเ่ สียไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์จงึ มกี รรมสทิ ธใ์ิ นที่ดนิ พิพาท และหลงั จากโจทกไ์ ดก้ รรมสทิ ธิใ์ นทดี่ นิ พิพาทมาจากการ
ขายทอดตลาดแล้ว ขอ้ เทจ็ จรงิ ไมป่ รากฏวา่ โจทก์ไดก้ อ่ ให้เกดิ สทิ ธิเหนอื พ้นื ดินเปน็ คุณแก่จำเลย โดยยอมใหจ้ ำเลยเปน็ เจา้ ของบา้ นบน
ท่ดี ินของโจทก์ตอ่ ไป และโจทก์ในฐานะมกี รรมสทิ ธ์ใิ นที่ดินพพิ าทย่อมมีแดนแหง่ กรรมสิทธิ์ทด่ี ินและมีสิทธิใชส้ อย จำหน่าย ไดด้ อกผล
กับมีสิทธิตดิ ตามเอาคนื ทรพั ยส์ ินของตนจากบคุ คลผ้ไู ม่มีสทิ ธิจะยึดถอื ไว้และมสี ิทธขิ ดั ขวางมใิ หผ้ อู้ ่ืนสอดเขา้ เก่ยี วขอ้ งกับทรพั ยส์ นิ นัน้
โดยมชิ อบได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1335, 1336 เมือ่ โจทกผ์ มู้ กี รรมสิทธ์ิในทด่ี ินไม่ประสงคจ์ ะใหจ้ ำเลยปลกู บ้านและสงิ่ ปลกู สร้างอยู่บน
ที่ดินโจทก์อกี ตอ่ ไปและไดบ้ อกกล่าวใหจ้ ำเลยรอื้ ถอนออกจากทดี่ ินพพิ าทแลว้ จำเลยเพิกเฉย จงึ เป็นการละเมดิ ทำใหโ้ จทก์ไมอ่ าจใช้
ประโยชน์ในที่ดนิ พิพาทได้ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธ์ิยอ่ มมีอำนาจขอให้บังคบั จำเลยร้อื ถอนบา้ นและสง่ิ ปลูกสร้างออกไปจากทด่ี นิ
พพิ าทของโจทกไ์ ดห้ าใชเ่ ปน็ การใชส้ ิทธไิ มส่ จุ รติ อยา่ งใด และกรณมี ิใชไ่ ม่มีบทกฎหมายทจี่ ะยกขึ้นปรบั แกค่ ดอี นั จะต้องอาศยั บท
กฎหมายที่ใกลเ้ คยี งอย่างยงิ่ มาวินิจฉยั คดตี ามมาตรา 4 แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์

ฎีกาท่ี 12473/2553 การท่ีจำเลยที่ 1 ขายทดี่ นิ ให้แก่ ป. โดยมอบการครอบครองทด่ี นิ พพิ าทให้แก่ ป. โดยมไิ ด้กลับเข้า
ไปยุ่งเกยี่ วกบั ทดี่ นิ อกี แสดงวา่ จำเลยที่ 1 สละเจตนาครอบครองไมย่ ดึ ถือทด่ี นิ พิพาทอีกตอ่ ไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 วรรคหน่ึง
แลว้ แม้ ป. จะได้ซื้อทด่ี ินและยดึ ถือทำประโยชน์เพ่ือตนในระยะเวลาห้ามโอน ป. ไมไ่ ดส้ ิทธคิ รอบครองเนื่องจากถูกจำกดั สิทธโิ ดย
บทบญั ญตั แิ หง่ ป.ทดี่ นิ มาตรา 58 ทวิ แตเ่ มอื่ ป. และโจทก์ซง่ึ อยู่กินฉนั สามีภรยิ ากบั ป. ไดร้ ว่ มกนั ครอบครองทดี่ นิ ตลอดมาจนเลย
เวลาห้ามโอนแลว้ กย็ งั ครอบครองทด่ี ินอยู่ จงึ ถือได้ว่า ป. และโจทกย์ ่อมไดส้ ทิ ธคิ รอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 นับแต่วนั พน้
กำหนดระยะเวลาหา้ มโอน จำเลยท่ี 1 จงึ ไมม่ สี ทิ ธคิ รอบครองในทีด่ ินพิพาทไมอ่ าจนำทดี่ นิ พพิ าทไปแบ่งแยกโอนให้แกจ่ ำเลยที่ 2 ถงึ ที่ 9
จำเลยที่ 2 ถงึ ที่ 10 จึงไมม่ สี ทิ ธิเขา้ ไปในท่ดี นิ ของโจทกแ์ ละจำเลยท่ี 9 ไมอ่ าจนำทด่ี ินพพิ าทบางส่วนไปจดทะเบยี นจำนอง ศาลฎกี าไม่
เหน็ พ้องดว้ ยกับศาลลา่ งทง้ั สองทว่ี นิ ิจฉยั ว่า ป. และโจทกค์ รอบครองท่ีดนิ พพิ าทแทนจำเลยท่ี 1 (ประเด็นนีว้ นิ จิ ฉยั โดยมตทิ ีป่ ระชุมใหญ)่

สัญญาซอ้ื ขายที่ดินพิพาทตกเปน็ โมฆะเพราะตอ้ งหา้ มตามกฎหมายที่มใิ หโ้ อนทด่ี นิ พิพาท การที่ ป.
ได้สิทธิครอบครองในทดี่ ินเปน็ การไดต้ ามผลของกฎหมาย จึงหาอาจเรยี กให้จำเลยท่ี 1 จดทะเบียนโอนทด่ี นิ พิพาทใหแ้ ก่ ป. ไดไ้ ม่

ฎีกาท่ี 3866/2554 จำเลยและ ส. เปน็ ผปู้ ลกู สรา้ งบ้านบนทด่ี ินพพิ าทเพอื่ ใช้เปน็ ทอี่ ยู่อาศัยของจำเลยและบคุ คลใน
ครอบครวั เพราะไดร้ บั การยกให้ซ่ึงทด่ี ินพพิ าทจาก ม. น้องสาวของจำเลยเจ้าของท่ีดนิ พพิ าท เม่ือจำเลยกบั ส. พร้อมดว้ ยครอบครวั ได้
ครอบครองทดี่ นิ พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเปน็ เจา้ ของตดิ ตอ่ กันตง้ั แต่ไดร้ บั ยกใหเ้ ม่ือปี 2526 ตลอดมาเป็นเวลา
เกินกวา่ 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในท่ดี ินพพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แลว้ ทโ่ี จทกฎ์ ีกาวา่ จำเลย

8

9

และบคุ คลในครอบครวั ของจำเลยเขา้ ใจมาโดยตลอดวา่ ที่ดินพิพาทเปน็ ของจำเลย การครอบครองของจำเลยในลักษณะดงั กลา่ วจึงมิใช่
การครอบครองปรปักษ์ เพราะการครองครองปรปกั ษต์ อ้ งครอบครองโดยรูว้ ่าทด่ี ินเป็นของบคุ คลอน่ื น้ัน เห็นวา่ ป.พ.พ. มาตรา
1382 หาไดบ้ ัญญตั วิ า่ ผทู้ ่ีจะได้กรรมสทิ ธ์ใิ นทรัพย์สินโดยการครอบครองจะต้องรวู้ า่ ทรัพยส์ ินทต่ี นครอบครองเปน็ ทรพั ยส์ ินของบุคคล
อ่นื ด้วยไม่ หากจำเลยครอบครองท่ีดนิ พพิ าทโดยลกั ษณะเป็นการครอบครองเพ่ือตน แม้จะเขา้ ใจว่าทด่ี ินดงั กล่าวเปน็ ของจำเลยแล้ว
แต่ความเปน็ จรงิ ยงั เปน็ กรรมสิทธขิ์ องผ้อู ่ืนอยู่ เมอ่ื จำเลยกับครอบครวั ร่วมกนั ครอบครองทำประโยชนใ์ นทด่ี นิ ดงั กล่าวโดยความสงบ
และโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มผี ้ใู ดโตแ้ ยง้ ตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปแี ลว้ ทดี่ ินดงั กลา่ วย่อมตกเปน็ กรรมสทิ ธขิ์ อง
จำเลยตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วขา้ งตน้

โจทกซ์ ือ้ และรบั โอนทด่ี ินกับบ้านพิพาทจาก ม. มีราคาสูงถึง 2,800,000 บาท และโจทกก์ ็ทราบ
จาก ม. แลว้ วา่ ไมไ่ ด้อย่อู าศัยในบ้านพิพาทเอง โจทกค์ วรทีจ่ ะตรวจสอบให้ได้ความแนช่ ดั วา่ ญาตขิ อง ม. เข้าไปอาศยั อยู่ในบา้ นและ
ท่ดี นิ พพิ าทโดยอาศัยสทิ ธิใคร โดยการไปซักถามจาก พ. หรือบุคคลในครอบครวั ของ พ. ท่พี ักอาศยั อย่ใู นบ้านพิพาท แต่ก็ไม่ปรากฏว่า
โจทก์ได้กระทำเชน่ นั้นทงั้ ที่โอกาสกระทำไดโ้ ดยงา่ ย กรณดี งั กลา่ วยอ่ มถือไมไ่ ดว้ า่ โจทกไ์ ดซ้ ือ้ และรบั โอนทด่ี นิ พพิ าทไวโ้ ดยสุจรติ และจด
ทะเบยี นสทิ ธิโดยสุจรติ ตามนยั แหง่ ป.พ.พ.มาตรา 1299 วรรคสอง จำเลยซ่งึ ไดก้ รรมสิทธิ์ในท่ดี ินและบา้ นพพิ าทมาโดยการครอบครอง
ปรปกั ษ์ จงึ ย่อมยกสิทธขิ ้นึ ต่อสูโ้ จทกซ์ ง่ึ เปน็ ผไู้ ด้สิทธใิ นทด่ี นิ มาโดยไม่สุจรติ ได้ โจทกจ์ งึ ไม่มอี ำนาจฟ้องขับไล่และเรียกคา่ เสยี หายจาก
จำเลย

ฎกี าที่6468/2554 การแสดงเจตนาเปน็ เจ้าของทีจ่ ะทำให้ผคู้ รอบครองได้กรรมสทิ ธใ์ิ นที่ดนิ ทคี่ รอบครองตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1382 นนั้ ตอ้ งเปน็ การแสดงเจตนาเปน็ เจา้ ของตลอดระยะ 10 ปี ทไ่ี ดค้ รอบครองตดิ ตอ่ กัน เม่ือครบ 10 ปีแลว้ ผู้ครอบครอง
ยอ่ มไดก้ รรมสทิ ธใ์ิ นท่ีดินทค่ี รอบครองไปโดยผลของกฎหมาย เมอื่ ผูร้ บั มอบอำนาจโจทก์ไปพบว่ามบี ้านจำเลยปลูกอยู่บนท่ดี ินซง่ึ เป็น
ระยะเวลาหลงั จากโจทก์ซอ้ื ทด่ี ินพพิ าทมาแล้วถงึ 22 ปี จึงมกี ารเจรจาที่จะใหจ้ ำเลยรับซอ้ื ทดี่ ินพพิ าท ดงั นัน้ แม้จะฟงั วา่ การท่ีจำเลยตก
ลงจะซื้อทดี่ นิ พพิ าทเปน็ การยอมรบั ในกรรมสิทธ์ทิ ดี่ ินของโจทก์ แตก่ ็เป็นการยอมรับหลงั จากท่ีจำเลยไดก้ รรมสทิ ธ์ใิ นทด่ี นิ พพิ าทโดยการ
ครอบครองปรปกั ษ์แล้ว จงึ ไมม่ ีผลเปล่ียนแปลงกรรมสิทธใ์ิ นที่ดนิ พิพาทที่จำเลยไดร้ บั โดยผลของกฎหมายแตอ่ ยา่ งใด เมอ่ื จำเลยได้
กรรมสิทธิ์ในทดี่ ินพพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษ์แล้ว โจทกย์ อ่ มไม่มอี ำนาจฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลย

ฎกี าท่ี 589/2554 ทง่ี อกริมตลง่ิ หมายถึง ทด่ี นิ ที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติซงึ่ เกดิ จากการท่ีสายน้ำพัดพาดนิ จาก
ทอี่ ื่นมาทับถมกันริมตลง่ิ จนเกิดทงี่ อกขึ้น มิใชง่ อกจากทอ่ี ่ืนเขา้ มาหาตล่ิง ลกั ษณะของทด่ี ินพพิ าทซงึ่ อยตู่ ่ำกวา่ ทดี่ ินของจำเลยร่วม 3 ถงึ
5 เมตร ไมม่ ีลักษณะเปน็ ทง่ี อกซง่ึ เกดิ จากการท่ีสายนำ้ พดั พาดินจากทอ่ี ื่นมาทบั ถมกันรมิ ตลง่ิ จนเป็นทง่ี อก ทดี่ ินพพิ าทจึงมิใชท่ ง่ี อก
ออกไปจากริมตลง่ิ ของทด่ี ินจำเลยร่วมตามธรรมชาติ แต่เป็นทอ้ งทางน้ำทตี่ น้ื เขินเพราะกระแสนำ้ ในแมน่ ้ำเปลี่ยนทางเดินและ
ข้อเทจ็ จริงรบั ฟงั ได้วา่ ท่ีดินพพิ าทซ่งึ อยู่ตดิ แมน่ ้ำในฤดูนำ้ ปปี กตินำ้ ยังท่วมถงึ ทกุ ปจี งึ เปน็ ทชี่ ายตลงิ่ ซ่งึ เป็นสาธารณสมบัตขิ องแผ่นดนิ
ประเภททรพั ยส์ นิ พลเมืองใชร้ ่วมกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) แม้จำเลยจะครอบครองใช้ประโยชนใ์ นทด่ี นิ พพิ าทซง่ึ เป็นสาธารณ
สมบัติของแผน่ ดินสำหรบั พลเมอื งใชร้ ว่ มกัน แต่จะอ้างสทิ ธิดงั กล่าวขึ้นยันโจทกซ์ ง่ึ เปน็ เจา้ หน้าทข่ี องรฐั มีหนา้ ทดี่ แู ลรกั ษาทดี่ นิ สาธารณะ

9

10

ประโยชนซ์ ่งึ เป็นสาธารณสมบัตขิ องแผน่ ดินไมไ่ ดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1306 จำเลยจงึ ต้องรือ้ ถอนอาคารและสงิ่ ปลูกสรา้ งออกไปจาก
ท่ดี นิ พิพาท

ฎกี าท่ี 1203/2554 ภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธทิ ีก่ ่อตั้งขึน้ โดยกฎหมาย การไดม้ าซงึ่ ภารจำยอมท่ีกฎหมายใหอ้ ำนาจมี
เพียงทางนติ ิกรรม และทางอ่นื นอกจากนิติกรรม อนั เป็นทรพั ยสทิ ธิประเภทรอนสิทธิ หากประสงค์จะไดม้ าโดยทางอน่ื นอกจากนิตกิ รรม
กต็ อ้ งเป็นไปตามหลกั เกณฑข์ องกฎหมาย เมอ่ื กฎหมายวางหลักไวว้ า่ การได้มาซง่ึ ภารจำยอมไม่จำเป็นตอ้ งรวู้ ่าอสงั หารมิ ทรพั ยน์ น้ั เป็น
ของคนอ่ืน ดงั นน้ั การใชท้ างพิพาทดงั กลา่ วแมเ้ ขา้ ใจวา่ เป็นการใช้ทางของตนเอง กเ็ ข้าหลกั เกณฑ์ทจ่ี ะได้ภาระจำยอมโดยทางอน่ื
นอกจากนิตกิ รรมแลว้

ฎีกาที่ 264/2555 จำเลยอทุ ศิ ทีด่ ินของตนใหส้ รา้ งทางพพิ าทเพื่อใหป้ ระชาชนใชป้ ระโยชน์ร่วมกัน แม้จะเป็นการ
อุทิศด้วยวาจา มิได้ทำเป็นหนังสือและมิได้จดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 กต็ าม แตก่ ารอุทศิ ทดี่ นิ ให้ใช้
เปน็ ถนนสาธารณะ เช่นนี้ เปน็ การสละทดี่ ินให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2)
หาจำต้องทำเปน็ หนงั สอื และจดทะเบียนการใหต้ ่อพนักงานเจา้ หน้าท่ตี าม ป.พ.พ. มาตรา 525 ไม่ การอุทศิ ดว้ ยวาจาก็มผี ลสมบรู ณต์ าม
กฎหมาย และสภาพความเปน็ สาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดินไม่อาจสูญสิ้นไปเพราะการไมไ่ ด้ใช้ แมจ้ ำเลยได้กลบั เขา้ ครอบครองใช้
ประโยชน์ท่ดี นิ ทเ่ี ปน็ ถนนสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ดงั กล่าวแลว้ นานเพียงใดกต็ าม กไ็ ม่ทำให้ทางพิพาทตกไปเป็นของจำเลยไดอ้ กี
เพราะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 บญั ญัตหิ ้ามมใิ หย้ กอายคุ วามขนึ้ เปน็ ขอ้ ต่อสู้กับแผ่นดนิ ในเร่อื งทรพั ย์สินอนั เป็นสาธารณสมบัตขิ อง
แผ่นดนิ

ฎกี าที่ 3414/2555 โจทก์และจำเลยเป็นเจา้ ของรวมในท่ดี ินโดยมขี อ้ ตกลงตามสญั ญาจะซอ้ื จะขายวา่ ให้ทด่ี นิ พพิ าท
เป็นทางเขา้ ออกท่ีใชร้ ว่ มกนั เมือ่ ยงั ไม่มกี ารเปลยี่ นแปลงขอ้ ตกลงดงั กล่าว โจทก์ในฐานะเจา้ ของรวมจงึ ยังไมม่ สี ทิ ธเิ รียกใหแ้ บง่ ทรพั ย์ได้
เนอ่ื งจากมนี ิติกรรมขดั อยู่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 ว.1

ฎกี าที่ 6147/2554 ถงึ แมจ้ ำเลยจะไดค้ รอบครองที่ดินพิพาทตงั้ แต่วนั ท่ีจำเลยซอื้ ทด่ี นิ แปลงอน่ื เม่อื วันที่ 30 มนี าคม
2530 เปน็ ต้นมากต็ าม แต่เมือ่ ข้อเท็จจรงิ ปรากฏวา่ เมื่อวนั ท่ี 27 ธันวาคม 2533 บริษทั ค. ซอื้ ที่ดินมโี ฉนดแปลงพิพาทจากเจา้ ของเดิม
โดยจดทะเบยี นซือ้ ขายและเสยี ค่าตอบแทนโดยสุจรติ จำเลยจงึ ไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในชว่ งระยะเวลากอ่ นหน้านั้นขึน้
อา้ งยนั ต่อบริษัท ค.ได้ ทงั้ น้ี เปน็ ไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง การนบั ระยะเวลาครอบครองปรปกั ษข์ องจำเลยจงึ ตอ้ งเร่ิม
นบั ต้ังแตว่ นั ท่ี 27 ธันวาคม 2533 เปน็ ตน้ มา ซงึ่ นบั ถงึ วันทีโ่ จทกฟ์ ้องคดีน้คี อื วนั ท่ี 31 ตุลาคม 2543 ยงั ไมค่ รบระยะเวลา 10 ปี จำเลย
จึงยงั ไมไ่ ดก้ รรมสิทธิใ์ นทีด่ ินพพิ าทโดยการครอบครองปรปักษต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1382

10

11

ฎกี าท่ี 1031/2554 โจทก์เป็นเจา้ ของที่ดนิ ตามหนงั สือรบั รองการทำประโยชนท์ ดี่ นิ ตามแบบแจ้งการครอบครองทดี่ นิ
(ส.ค.๑) และท่ดี ินมหี ลกั ฐานตามแบบเสยี ภาษีบำรุงท้องท่ี (ภ.บ.ท. 5) โดยบดิ ามารดาของเจา้ ของทด่ี นิ และชาวบา้ นใช้ทางพิพาทซึ่งผ่าน
ท่ดี นิ ตามหนังสอื รับรองการทำประโยชนข์ องจำเลยเป็นทางออกสูส่ าธารณะเพอ่ื เขา้ ส่ตู วั เมอื งเชยี งใหมต่ ั้งแตป่ ี 2498 เมอื่ โจทก์ซอื้ ทด่ี ิน
แล้วโจทก์ทำถนนข้ึนมาผ่านท่พี ิพาทเข้าไปในทดี่ นิ ของโจทก์ จำเลยกไ็ ม่หา้ มปรามกลบั ปล่อยให้โจทกใ์ ชท้ างตอ่ ไปเวลาถึง 8 ปเี ศษ แม้
โจทกจ์ ะซอื้ ทด่ี นิ ตามหนงั สอื รบั รองการทำประโยชน์ ท่ีดนิ ตามแบบแจง้ การครอบครองทดี่ นิ (ส.ค.๑) และทดี่ นิ มีหลกั ฐานตามแบบเสยี
ภาษบี ำรงุ ท้องท่ี (ภ.บ.ท. 5) ต่อจากเจ้าของเดิมนับถงึ วันฟอ้ งจะยงั ไมค่ รบ 10 ปี แต่เม่อื เจา้ ของเดิมไดใ้ ช้ทางพพิ าทโดยเจตนาใหเ้ ป็น
ทางเข้าออกประจำมาตง้ั แตต่ ้น โจทก์จงึ สามารถนบั ระยะเวลาการครอบครองต่อจากเจา้ ของเดมิ ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1385 ทด่ี ินตาม
หนังสือรับรองการทำประโยชนข์ องจำเลยจงึ ตกเป็นภาระจำยอมแกท่ ี่ดินทง้ั สามแปลงของโจทก์

ฎีกาที่ 5215/2554 โจทก์บรรยายฟอ้ งว่าท่ีดนิ เป็นของโจทก์ ขอให้พพิ ากษาขับไล่จำเลยทงั้ สองและบรวิ ารกบั ใหร้ ื้อ
ถอนโครงหลังคาเหล็กและสง่ิ ปลกู สรา้ งทง้ั หมดออกไปจากที่ดนิ ของโจทก์ พร้อมทั้งใหช้ ำระค่าเสียหายนบั แตว่ ันฟอ้ ง ดงั น้ี คำฟอ้ งของ
โจทกไ์ ด้แสดงโดยแจง้ ชดั ซึง่ สภาพแหง่ ขอ้ หาแลว้ วา่ จำเลยทง้ั สองกระทำละเมิดต่อโจทกท์ ำใหโ้ จทก์ไดร้ บั ความเสยี หาย โดยมีข้ออ้างที่
อาศัยเปน็ หลักแหง่ ขอ้ หาวา่ เมอ่ื โจทกป์ ระสงคใ์ หจ้ ำเลยทงั้ สองออกไปจากท่ีดนิ ของโจทก์ จำเลยทง้ั สองจึงไม่มสี ทิ ธิใดตามกฎหมายทีจ่ ะ
อยู่หรอื ใช้สอยประโยชนใ์ นท่ีดินของโจทก์ตอ่ ไป คำฟ้องของโจทกจ์ ึงบรรยายครบถ้วนแล้ว ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 172 วรรคสอง สว่ นทว่ี า่
โครงหลังคาเหล็กปลูกสร้างตงั้ แต่เม่อื ใด โจทกเ์ สยี หายอยา่ งไรและคำนวณค่าเสียหายจากฐานขอ้ มูลใด รวมทัง้ ข้อเท็จจรงิ เก่ียวกบั ภาระ
ผูกพนั ของเจา้ ของทดี่ นิ เดมิ นน้ั ล้วนเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ ทน่ี ำสบื ในชั้นพจิ ารณาได้ คำฟ้องของโจทกไ์ มเ่ คลอื บคลุม

จำเลยทงั้ สองได้สทิ ธเิ หนือพนื้ ดนิ จากเจา้ ของทด่ี นิ โดยไมไ่ ด้จดทะเบยี นต่อพนักงานเจ้าหนา้ ทย่ี อ่ มไมบ่ รบิ รู ณ์
ไม่อาจยกขน้ึ เปน็ ข้อตอ่ สู้บุคคลภายนอกได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1298 ประกอบมาตรา 1299 วรรคหน่ึง ต่อมาเจ้าของทดี่ ินจดทะเบียน
ตอ่ พนักงานเจ้าหนา้ ท่ีโอนกรรมสทิ ธิ์ในท่ดี ินใหแ้ กโ่ จทก์ จำเลยทง้ั สองจงึ ไม่อาจอ้างสทิ ธิเหนอื พ้ืนดนิ นี้ตอ่ สโู้ จทกไ์ ด้

ฎกี าท่ี 6459/2551 แมโ้ จทก์จะซอื้ ทีด่ นิ โดยสจุ รติ จากการขายทอดตลาด แต่กอ่ นเวลาท่ีโจทก์จะได้มาซงึ่ ทดี่ ินดงั กลา่ ว
จำเลยได้ใชท้ ดี่ ินตลอดมาโดยสงบ โดยเปดิ เผยและด้วยเจตนาใหไ้ ดส้ ทิ ธิภาระจำยอมตดิ ต่อกนั เกนิ 10 ปี จำเลยในฐานะเจา้ ของ
สามยทรัพยย์ อ่ มไดภ้ าระจำยอมเหนอื ทด่ี ินของโจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1401 มิใช่เพยี งรุกลำ้ ใช้อยา่ งสภาพทางจำเปน็ แมจ้ ำเลยจะยงั
ไม่จดทะเบยี นสทิ ธภิ าระจำยอมกห็ าทำใหส้ ทิ ธิดงั กล่าวสิน้ ไป เพราะทรพั ย์วตั ถแุ หง่ สิทธเิ ปน็ ประธานภาระจำยอมมีลักษณะเป็นสทิ ธิ
ประเภทรอนสทิ ธมิ ใิ ชก่ ารได้มาซง่ึ กรรมสิทธ์ิ จึงไม่อยใู่ นบงั คับหลกั กฎหมายท่วี ่าสิทธิอนั ยงั มิไดจ้ ดทะเบยี น มิใหย้ กขึ้นเป็นข้อตอ่ สู้
บคุ คลภายนอกผู้ไดส้ ทิ ธิมาโดยเสยี ค่าตอนแทนและโดยสุจรติ และได้จดทะเบยี นสิทธโิ ดยสจุ รติ แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรค
สอง

ฎกี าที่ 17094/2555 ปญั หาตอ้ งวินจิ ฉยั ตามฎีกาของโจทกป์ ระการสดุ ท้ายวา่ การครอบครองที่ดินของบคุ คลอ่นื โดย
สำคัญผดิ วา่ เป็นทด่ี นิ ของตนเอง ถือเป็นการครอบครองทีส่ ามารถนับระยะเวลาการครอบครองเพ่ือใหไ้ ด้กรรมสิทธ์ใิ นทีด่ นิ ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1382 หรือไม่

11

12

เหน็ ว่า การทบ่ี คุ คลใดครอบครองทด่ี ินของบคุ คลอื่นแมจ้ ะเขา้ ใจผดิ วา่ เป็นทดี่ นิ ของตนเองก็ตาม หาก
บุคคลน้ันไดย้ ึดถือครอบครองดว้ ยเจตนาเปน็ เจ้าของอย่างแทจ้ รงิ แลว้ กถ็ อื ว่าเปน็ การครอบครองทด่ี นิ ของผ้อู ื่นด้วยเจตนาเปน็ เจา้ ของ
ซึ่งหากครอบครองยอ่ มได้กรรมสทิ ธ์ิในที่ดินน้ัน โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องรูเ้ สยี กอ่ นว่าทดี่ ินนน้ั เป็นของบุคคลอน่ื แลว้ จงึ เร่ิมนบั ระยะเวลาการ
ครอบครองเพอื่ ให้ได้กรรมสทิ ธิ์ ที่ศาลอทุ ธรณ์ภาค 7 วินจิ ฉยั วา่ แมจ้ ำเลยครอบครองทดี่ นิ ของบุคคลอ่นื โดยสำคัญผิดวา่ เปน็ ของตนเอง
กถ็ อื ว่าจำเลยครอบครองทด่ี นิ ของบคุ คลอืน่ ตามนยั แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1382 นน้ั ชอบแลว้

ฎกี าท่ี 2975/2553 เสนอขายทดี่ นิ โดยนำรปู แผนทหี่ ลังโฉนดทดี่ ินมาแสดงแก่โจทก์เพ่อื ยนื ยนั รบั รองแกโ่ จทก์ว่า หาก
โจทก์ซ้ือท่ดี นิ ของ น. โจทก์กม็ ีสิทธใิ ชท้ างพิพาทเป็นทางเขา้ ออกและใชป้ ระโยชน์เกยี่ วแกก่ ารสาธารณปู โภคสำหรบั ทด่ี ินที่ซือ้ ได้ อันเป็น
เหตุให้ น. ต้องยอมรบั กรรมบางอยา่ งซงึ่ กระทบถงึ ทรพั ย์สินของตนหรือต้องงดเวน้ การใชส้ ิทธบิ างอย่างอนั มีอยใู่ นกรรมสิทธ์ิทรพั ยส์ นิ
น้นั เพ่อื ประโยชนแ์ กอ่ สงั หาริมทรพั ย์อื่น เม่ือโจทกต์ กลงซ้ือท่ดี นิ ตามท่ี น. เสนอจึงเกดิ เป็นสัญญาก่อให้เกดิ ภาระจำยอม การท่ี น. ไมไ่ ด้
จดทะเบยี นภาระจำยอมให้แก่โจทก์เหมือนอยา่ งทีด่ ินซง่ึ แบง่ แยกพรอ้ มกับแปลงอนื่ ๆ คงมผี ลเพยี งทำใหภ้ าระจำยอมดังกลา่ วยงั ไม่เป็น
ทรพั ย์สิทธิทสี่ มบรู ณต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนงึ่ เทา่ นน้ั แตก่ เ็ ป็นบคุ คลสทิ ธิใชบ้ งั คับกันไดร้ ะหวา่ งคู่สญั ญา และไมใ่ ช่สทิ ธทิ ่ี
ตามกฎหมายหรอื ว่าโดยสภาพแลว้ เป็นการเฉพาะตวั ของ น. โดยแท้ เม่ือ น. ถึงแกค่ วามตาย สิทธหิ นา้ ทแี่ ละความรบั ผิดต่างๆ ตาม
สัญญาภาระจำยอมย่อมตกทอดแกจ่ ำเลยซง่ึ เป็นทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และ 1600 โจทก์จงึ มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยไป
ดำเนินการจดทะเบยี นภาระจำยอมและบังคบั ใหจ้ ำเลยรื้อร้ัว เสาปูนและลวดหนามทป่ี ดิ กัน้ ทางพพิ าทซึง่ เปน็ ภารทรพั ยอ์ อกได้

ฎกี าท่ี 3878/2554 หนังสอื สญั ญาซื้อขายอาคารพาณชิ ยแ์ ละที่ดินขอ้ 3 ระบวุ า่ ผู้ซ้ือต้องชำระราคาแกผ่ ขู้ ายในวันทำ
สญั ญาจำนวน 600,000 บาท และข้อ 5 สำหรบั ราคาอาคารพาณชิ ย์และท่ดี นิ สว่ นท่เี หลืออีกจำนวน 2,100,000 บาท ผู้ซอ้ื ต้องชำระใน
วันรับโอนกรรมสทิ ธ์อิ าคารพาณิชยแ์ ละทดี่ ินดงั กลา่ วตามสญั ญานี้ โดยผู้ขายจะเปน็ ผู้นำผู้ซอื้ ไปจดทะเบยี นทสี่ ำนักงานทีด่ นิ ผูซ้ ้อื ต้องไป
จดทะเบยี นรับโอนกรรมสทิ ธใิ์ นท่ีดนิ และอาคารพาณชิ ยภ์ ายในกำหนด 7 วัน นับแตว่ นั ท่ีได้รับแจ้งเปน็ ลายลักษณอ์ ักษรจากผูข้ ายแสดง
ว่าหนังสือสญั ญาซ้ือขายดงั กล่าวเปน็ สญั ญาจะซ้ือจะขายที่ดนิ และอาคารไมใ่ ช่สัญญาซอ้ื ขายเสร็จเดด็ ขาด เพราะในวนั ทำสญั ญามีการ
ชำระราคาทด่ี นิ และอาคารเพียงบางส่วนเทา่ นั้นราคาสว่ นทเ่ี หลอื จะชำระในวนั จดทะเบยี นโอนกรรมสิทธิท์ ่ีดินและอาคาร

โจทก์จดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธิใ์ นที่ดนิ ให้แกจ่ ำเลยเน้ือทีร่ วม 24 ตารางวา เหลอื ทด่ี นิ ทยี่ งั ไมไ่ ด้
จดทะเบยี นโอนอีกจำนวน 4 ตารางวา ซง่ึ จำเลยยงั คงประสงค์ให้โจทกป์ ฏบิ ัตติ ามสญั ญาและมิได้บอกเลกิ สัญญา สัญญาซ้อื ขายอาคาร
และทดี่ นิ จงึ ยงั คงมผี ลผูกพันโจทกแ์ ละจำเลยอยู่ การครอบครองที่ดินจำนวน 4 ตารางวา ของจำเลยย่อมเปน็ การครอบครองโดยอาศยั
สิทธิตามสญั ญาและเปน็ เพียงการท่ีจำเลยครอบครองแทนโจทกซ์ ึ่งยงั เป็นผถู้ ือกรรมสิทธ์ิในทด่ี ินจำนวน 4 ตารางวาเทา่ นน้ั เมอ่ื จำเลย
ไม่ไดบ้ อกกล่าวเปลย่ี นลักษณะการยดึ ถือครองครองแกโ่ จทก์วา่ จะไมค่ รอบครองทดี่ ินจำนวน 4 ตารางวา แทนโจทก์ตอ่ ไป จึงมิใชก่ าร
ครองครอบโดยความสงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเปน็ เจา้ ของ แมจ้ ำเลยจะครองครองทด่ี นิ จำนวน 4 ตารางวา นับตดิ ต่อกนั เปน็ เวลา
เกนิ 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสทิ ธโ์ิ ดยการครอบครองปรปกั ษ์

12

13

ฎกี าท่ี 8621/2554 การที่ ก. ท. พ. ร. และจำเลยร่วมตกลงแบง่ ทด่ี ินมีโฉนดแปลงหน่ึงโดยแบง่ ทด่ี ิน 2 สว่ นทีอ่ ยู่
ระหวา่ งกลางดา้ นทศิ ตะวนั ออกเปน็ ทางเดนิ ภาระจำยอมสำหรับทด่ี นิ ส่วนเหนอื สุดและใตส้ ดุ เพ่อื ออกสทู่ างสาธารณะกวา้ ง 4 เมตร ตาม
สญั ญาประนปี ระนอมยอมความน้ันเปน็ การกอ่ ภาระจำยอมอนั เปน็ ทรพั ย์สิทธิอันเกย่ี วกบั อสังหารมิ ทรพั ย์โดยทางนติ กิ รรม แตห่ ลังจาก
ท่ีมกี ารแบ่งแยกทดี่ นิ ดงั กล่าวตามสญั ญาประนีประนอมยอมความแล้ว ไม่มีการจดทะเบยี นทดี่ ินพพิ าทเปน็ ภาระจำยอมเพ่อื ประโยชน์
แก่ที่ดนิ โฉนดทีถ่ ูกแบง่ แยก การก่อภาระจำยอมดงั กลา่ วจงึ ไม่บรบิ ูรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1299 วรรคหนงึ่ ค่สู ญั ญาตามสญั ญา
ประนีประนอมยอมความคงบงั คับภาระจำยอมดงั กลา่ วไดใ้ นระหว่างคู่สัญญาด้วยกันในฐานะบุคคลสทิ ธิเทา่ น้นั เมอื่ ก. และ ส. ซึ่งเป็น
ค่สู ัญญาขายทด่ี นิ เฉพาะส่วนในท่ดี ินพพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยทง้ั สอง จำเลยทง้ั สองซึง่ เปน็ บุคคลภายนอก จงึ ไม่ใชค่ ูส่ ญั ญาและไมถ่ กู ผกู พันตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความ ทงั้ ไมม่ ีกำหมายบญั ญตั ใิ หจ้ ำเลยทง้ั สองต้องรับโอนสิทธแิ ละหน้าท่ีเกย่ี วกบั ภาระจำยอมตามสญั ญา
ประนีประนอมยอมความจาก ก. และ ส. โจทก์จงึ ไมม่ ีสทิ ธิบงั คบั จำเลยท้ังสองให้รับภาระจำยอมตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความได้
ท่ดี นิ พิพาทจงึ ไมเ่ ป็นภาระจำยอม

ตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความไดต้ กลงแบ่งที่ดินมโี ฉนดแปลงใหญ่โดยใหแ้ บง่ ท่ดี ิน 2 สว่ นท่ี
อยรู่ ะหว่างกลางด้านทศิ ตะวันออกเปน็ ทางเดนิ ภาระจำยอมสำหรบั ที่ดินสว่ นทอ่ี ย่เู หนอื สดุ และใตส้ ดุ เพอ่ื เปน็ ทางออกสทู่ างสาธารณะ
แสดงวา่ ทดี่ นิ แปลงใหญ่น้มี ที างออกสู่ทางสาธารณะ แตภ่ ายหลงั จากการแบง่ แยกทด่ี นิ ดงั กล่าวแลว้ ทดี่ ินของโจทก์ทถ่ี ูกแบง่ แยกมที ด่ี ิน
แปลงอ่นื ลอ้ มไมม่ ที างออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ซง่ึ เปน็ เจ้าของกรรมสิทธิท์ ี่ดินแปลงยอ่ ยในส่วนนน้ั จงึ มสี ทิ ธเิ รยี กร้องทางจำเป็นบนท่ดี ิน
อกี แปลงหนงึ่ ซงึ่ ถูกแบง่ แยกจากทดี่ นิ แปลงใหญด่ ว้ ยกันได้โดยไมต่ ้องเสยี คา่ ทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350

เมอื่ ท่ดี นิ ของโจทก์เป็นทดี่ ินถกู แบง่ แยกและการแบง่ แยกน้นั เป็นเหตุใหท้ ่ดี ินของโจทก์ไมม่ ี
ทางออกสทู่ างสาธารณะ โจทก์ยอ่ มมีสทิ ธิเรียกรอ้ งทางจำเป็นบนทดี่ ินทีถ่ ูกแบง่ แยกแปลงอืน่ ไดต้ ามกฎหมายการใช้สิทธฟิ อ้ งคดขี อง
โจทก์จงึ ไม่เปน็ การใชส้ ทิ ธิโดยไมส่ จุ รติ

ฎกี าที่ 1587/2555 โจทก์รับจำนองทด่ี ินพร้อมสงิ่ ปลูกสรา้ ง คือ บา้ น ซง่ึ ตง้ั อยบู่ นท่ีดนิ ดงั กลา่ วตาม ป.พ.พ. มาตรา
718 จำนองย่อมครอบไปถงึ ทรพั ย์ทัง้ ปวงอันตดิ พนั อย่กู บั ทรัพยส์ นิ ซึ่งจำนอง และเมื่อบา้ นพิพาทเป็นโรงเรือนซึง่ มอี ยู่ในขณะทจี่ ด
ทะเบียนจำนอง การจำนองยอ่ มครอบคลุมไปถงึ บ้านพพิ าทด้วย แม้จำเลยจะซือ้ บา้ นพพิ าทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสงั่ ศาลโดย
สุจรติ แตส่ ทิ ธขิ องจำเลยไดม้ าภายหลงั จากที่โจทก์รับจำนองบา้ นพพิ าทโดยชอบดว้ ยกฎหมายแล้ว และเหตุทจ่ี ะทำให้การจำนองระงับ
ส้ินไปกต็ ่อเมื่อมีเหตตุ าม ป.พ.พ. มาตรา 744 เท่านนั้ การทีจ่ ำเลยรือ้ ถอนบา้ นพิพาทไปไม่ทำใหส้ ทิ ธขิ องโจทก์ท่ีมอี ยู่ในทรัยพ์จำนอง
ระงับสน้ิ ไปได้ โจทกจ์ ึงคงมสี ทิ ธบิ งั คบั จำนองเอาแกบ่ า้ นพพิ าททจี่ ำเลยซอ้ื ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 744 และมาตรา 702 วรรคสอง การท่ี
จำเลยได้กรรมสทิ ธ์ิในบ้านพพิ าทภายหลงั จากทโี่ จทกร์ บั จำนองไวแ้ ลว้ แม้จะไดม้ าโดยสุจริตและไดร้ ับความคุม้ ครองตาม ป.พ.พ. มาตรา
1330 กห็ าทำใหส้ ิทธขิ องโจทก์ทม่ี ีอย่เู ดิมเสยี ไป จำเลยไม่มสี ิทธใิ นบา้ นพิพาทดีกว่าโจทก์

จำเลยเป็นแต่เพยี งผู้ซ้ือบ้านพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสง่ั ศาลมิใช่เปน็ ผู้จำนองหรือ
คสู่ ญั ญากบั โจทก์ผรู้ ับจำนอง จำเลยจงึ ไม่ตอ้ งรับผดิ ในฐานะเปน็ ผ้จู ำนองตอ่ โจทก์ การทจ่ี ำเลยรอ้ื ถอนบา้ นพพิ าทขายใหบ้ คุ คลอ่ืนไปแม้

13

14

กระทำการโดยสจุ รติ กต็ อ้ งคืนเงนิ ในส่วนทเ่ี ก่ียวกับบ้านพพิ าทใหแ้ กโ่ จทก์ และเมอ่ื เป็นหนเี้ งินทจี่ ำเลยตอ้ งคืนใหแ้ กโ่ จทก์ โจทกจ์ งึ มสี ทิ ธิ
เรยี กดอกเบยี้ ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 224 ในอตั รารอ้ ยละเจด็ ครงึ่ ต่อปี นบั แต่วันที่ร้อื ถอนบา้ น

ฎกี าที่ 5740/2551 ทางจำเปน็ น้นั กฎหมายบญั ญตั ิไวเ้ พ่ือประโยชน์แก่เจา้ ของทีด่ นิ ทถ่ี ูกปิดล้อมโดยเฉพาะ ตาม ป.
พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนง่ึ ดงั น้นั เจา้ ของทดี่ นิ เท่านนั้ ที่จะมสี ิทธฟิ ้องขอใหเ้ ปิดทางจำเป็นได้ โจทกท์ ี่ 1 ถงึ ท่ี 3 ไมใ่ ช่เจา้ ของที่ดนิ แต่
เปน็ เพียงผู้ปลูกบ้านอยู่ในทดี่ ินเท่านั้น แมท้ ด่ี ินดงั กล่าวถกู ทดี่ ินแปลงอนื่ ปิดล้อม โจทก์ท่ี 1 ถงึ ที่ 3 กไ็ ม่มีสิทธิฟอ้ งขอใหเ้ ปิดทางจำเป็น

โจทกท์ ่ี 4 ท่ี 5 ส. น. และ ม. เป็นเจ้าของรวมในท่ดี นิ ตามหนงั สอื รบั รองการทำประโยชน์ (น.ส.3
ก.) เลขท่ี 439 โดยมไิ ดแ้ บง่ แยกการครอบครองเป็นสว่ นสดั วา่ ผูใ้ ดเปน็ เจา้ ของทดี่ นิ สว่ นใด ความเปน็ เจ้าของของแตล่ ะคนจงึ ครอบทีด่ ิน
ทั้งแปลง เจา้ ของรวมคนใดคนหนง่ึ จึงอาจใช้สทิ ธิในฐานะเปน็ เจ้าของรวมครอบทดี่ ินท้งั แปลงเพ่อื ต่อสู้บุคคลภายนอกไดต้ าม ป.พ.พ.
มาตรา 1359 การทีโ่ จทก์ที่ 4 และท่ี 5 ใชส้ ิทธิฟอ้ งจำเลยขอใหเ้ ปิดทางจำเป็นจึงเปน็ การใชส้ ิทธิแทนเจ้าของรวมอ่ืนซงึ่ รวมถงึ ส. ด้วย
กลา่ วคอื หากโจทก์ที่ 4 และท่ี 5 มีสิทธฟิ อ้ งขอใหจ้ ำเลยเปดิ ทางจำเป็นได้ ทางดงั กลา่ วย่อมไดป้ ระโยชน์แกเ่ จา้ ของรวมทุกคน แต่ ส.
เป็นเจา้ ของท่ดี นิ โฉนดเลขที่ 2528 ซ่งึ ดา้ นหนงึ่ ตดิ ถนนสาธารณะอกี ดา้ นหน่ึงตดิ กบั ทด่ี นิ ตามหนงั สือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)
เลขท่ี 439 ส. จงึ ไม่มีสทิ ธิขอใหจ้ ำเลยเปิดทางจำเป็นสำหรบั ทด่ี นิ ตามหนงั สอื รบั รองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขท่ี 439 ได้ เพราะ
ส. สามารถเข้าออกสูท่ างสาธารณะโดยผ่านทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี 2528 ของตนเอง การที่ ส. ปลูกสรา้ งอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 2528 โดย
เว้นทางเขา้ ออกด้านทตี่ ดิ กบั ของจำเลยไว้เพยี ง 1 เมตร เป็นเหตใุ หโ้ จทก์ท่ี 4 และที่ 5 ไมส่ ามารถนำรถยนตผ์ า่ นเขา้ ออกไดแ้ ต่ยงั คงเดนิ
เข้าออกไดน้ น้ั เป็นเพยี งทำใหค้ วามสะดวกของโจทกท์ ี่ 4 และที่ 5 ในการเขา้ ออกสู่ทางสาธารณะลดลงเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าทด่ี ินตาม
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขท่ี 439 ไมม่ ีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ท่ี 4 และที่ 5 จงึ ไม่มสี ทิ ธฟิ อ้ งขอใหจ้ ำเลย
เปดิ ทางจำเป็น

ฎีกาท่ี 3239/2549 โจทกเ์ ปน็ ผ้ซู ือ้ ท่ีดินและบา้ นจากการขายทอดตลาดตามคำสัง่ ศาล โจทก์ได้รับประโยชนจ์ ากขอ้
สันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 ว่าการกระทำโดยสุจรติ คดจี งึ ต้องดว้ ยบทบัญญตั ิแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 1330 ซง่ึ บญั ญตั ิวา่ "สิทธิของ
บคุ คลผูซ้ อื้ ทรัพย์สนิ โดยสจุ ริตในการขายทอดตลาดตามคำส่ังศาล หรือคำสั่งเจ้าพนกั งานรกั ษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนนั้ ทา่ นว่ามิเสยี ไป
ถึงแมภ้ ายหลงั จะพสิ ูจนไ์ ด้ว่าทรพั ย์สินนั้นมิใชข่ องจำเลย หรือลูกหนีโ้ ดยคำพพิ ากษา หรอื ผูล้ ม้ ละลาย" ดงั นัน้ การทีผ่ ้รู ้องจะอ้างการ
ไดม้ าซึ่งกรรมสิทธใิ์ นทด่ี นิ และบา้ นโดยการครอบครองปรปักษข์ นึ้ เป็นขอ้ ต่อสู้โจทกเ์ พอ่ื แสดงอำนาจพเิ ศษตอ่ ศาลวา่ ผรู้ อ้ งไม่ใชบ่ รวิ าร
ของจำเลยตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 296 จตั วา (3) ผรู้ อ้ งจงึ ตอ้ งแสดงให้เหน็ อำนาจพิเศษทด่ี ีกว่าอำนาจหรือสิทธขิ องโจทก์ ทงั้ การ
ครอบครองปรปักษด์ ังกลา่ วซึง่ เป็นการไดส้ ทิ ธมิ าโดยทางอ่นื นอกจากนิตกิ รรม และยังมิได้จดทะเบยี นนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299
วรรคสอง ก็มใิ หย้ กขึน้ เปน็ ขอ้ ต่อสู้บคุ คลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสยี ค่าตอบแทนและโดยสุจรติ และได้จดทะเบยี นโดยสุจริตแลว้ เมือ่
คำรอ้ งของผูร้ ้องคงกล่าวบรรยายเพยี งวา่ ผรู้ อ้ งครอบครองทด่ี ินและบา้ นมาตง้ั แต่ปี 2522 และไดก้ รรมสทิ ธ์ใิ นทีด่ นิ และบ้านโดยการ
ครอบครองปรปักษ์ โดยมไิ ด้กลา่ วบรรยายมาในคำรอ้ งว่าโจทก์ซอ้ื ท่ดี ินและบ้านจากการขายทอดตลาดตามคำสงั่ ศาลโดยไม่สุจรติ คดีจงึ
ไมม่ ีประเด็นท่ีผูร้ อ้ งจะนำสบื ว่าโจทกซ์ ้ือทดี่ นิ และบ้านจากการขายทอดตลาดตามคำสัง่ ศาลโดยสจุ รติ หรอื ไม่ ต้องฟงั ว่าโจทกก์ ระทำการ

14

15

โดยสจุ ริตตามขอ้ สนั นิษฐานของบทบญั ญตั มิ าตรา 6 ดงั น้ัน แมศ้ าลจะทำการไต่สวนและฟงั ว่าผ้รู อ้ งไดก้ รรมสิทธิใ์ นทด่ี ินและบา้ นโดย
การครอบครองปรปกั ษต์ ามคำรอ้ งของผู้รอ้ ง ก็ไม่ทำใหผ้ ู้รอ้ งชนะคดไี ด้ การทศ่ี าลช้นั ตน้ มีคำสั่งยกคำรอ้ งของผูร้ อ้ งโดยไมไ่ ดท้ ำการไต่
สวนจึงชอบแล้ว

ฎกี าท่ี 1981/2556 ท. ครอบครองทดี่ นิ พิพาทซ่ึงเปน็ บางสว่ นของท่ีดนิ ทจ่ี ำเลยมีชอื่ เปน็ เจา้ ของกรรมสิทธโ์ิ ดยความ
สงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสบิ ปีแล้ว ท. ยอ่ มไดก้ รรมสิทธิใ์ นทด่ี ินพิพาทโดยการครอบครอง เม่อื
ท. ขายท่ีดนิ พิพาทใหโ้ จทก์ในปี 2547 และโจทกค์ รอบครองทด่ี นิ พพิ าทตดิ ตอ่ กันมาโดยตลอดมิไดข้ าดตอนโดยความสงบและโดย
เปดิ เผยด้วยเจตนาเปน็ เจา้ ของ แสดงว่า ท. เจตนาสละการครอบครองทด่ี ินพพิ าทใหแ้ ก่โจทก์ โจทก์จึงมีสทิ ธคิ รอบครอง และยอ่ มนบั
ระยะเวลาที่ ท. ครอบครองทด่ี นิ พิพาทตดิ ตอ่ กับระยะเวลาทโี่ จทก์ครอบครองทด่ี ินพพิ าทเข้าด้วยกนั ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1385 เมอื่
นบั เวลาการครอบครองทด่ี นิ พพิ าทของ ท. รวมเขา้ ดว้ ยแล้วโจทก์จงึ ไดก้ รรมสิทธ์ิในท่ดี นิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1382

ป.พ.พ. มาตรา 1382 ไมไ่ ด้บญั ญตั วิ า่ การได้กรรมสทิ ธใ์ิ นอสังหาริมทรพั ย์โดยการครอบครอง
จะต้องเปน็ การครอบครองโดยเจตนาทีส่ จุ รติ คงบงั คบั ไวแ้ ตเ่ พยี งวา่ ใหผ้ คู้ รอบครองน้นั ครอบครองโดยความสงบและโดยเปดิ เผยด้วย
เจตนาเปน็ เจ้าของ แมผ้ ู้ครอบครองจะรู้วา่ ทด่ี ินท่คี รอบครองเปน็ กรรมสทิ ธ์ขิ องบคุ คลอื่นก็ตาม

ฎีกาท่ี 5791/2556 ขณะรงั วัดแบง่ แยกท่ีดนิ และทำพินัยกรรม ท. มีเจตนาให้ทด่ี นิ พพิ าทเปน็ ทางเขา้ ออกถนน
สาธารณะสำหรับทดี่ นิ อีก 3 แปลง และตามพฤตกิ ารณ์ท่ี ท. พักรกั ษาตัวอยูก่ ับจำเลยก่อนถงึ แกค่ วามตายและจำเลยอยดู่ ้วยในขณะ
รังวดั แบ่งแยกทดี่ ินตลอดจนในขณะทำพนิ ัยกรรมทงั้ ไดร้ บั ทราบเจตนาดงั กล่าวของ ท. แล้ว ซงึ่ ต่อมาจำเลยก็ไม่เคยโตแ้ ยง้ การใชท้ ด่ี นิ
พิพาทของโจทก์และบคุ คลท่ีอาศยั อยใู่ นห้องแถวมาโดยตลอด ยอ่ มเปน็ การแสดงเจตนาโดยปริยายวา่ ท. กับจำเลยได้มขี ้อตกลงกันก่อน
ยกทด่ี นิ พิพาทใหจ้ ำเลยตามพนิ ยั กรรมว่าใหใ้ ชท้ ่ดี ินพพิ าทเป็นทางเขา้ ออกเพือ่ ประโยชน์แก่ทด่ี ินอกี 3 แปลง อันเปน็ ข้อตกลงที่มี
ลักษณะเปน็ สญั ญาเพื่อประโยชนแ์ ก่บุคคลภายนอก เมือ่ โจทก์ไดร้ ับโอนทีด่ นิ โฉนดเลขที่ 60977 ตามพินยั กรรมและเข้าใชท้ างพพิ าทอัน
เป็นการแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากข้อตกลงดงั กล่าวแล้ว สิทธขิ องโจทก์ซ่ึงเปน็ บคุ คลภายนอกผ้รู ับประโยชนย์ อ่ มเกดิ มีขน้ึ นับแต่
น้นั อันเปน็ เหตใุ หจ้ ำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทด่ี นิ พพิ าทต้องยอมรบั กรรมบางอยา่ งเพ่ือประโยชน์แก่ทด่ี นิ ของโจทก์ ทดี่ นิ พิพาทจงึ ตกเปน็
ภาระจำยอม ข้อตกลงดงั กล่าวเปน็ การก่อตง้ั ภาระจำยอม แม้ไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจ้าหนา้ ท่ีกเ็ ปน็ เพยี งทำให้การได้มาซงึ่ ภาระ
จำยอมนัน้ ไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนง่ึ แตไ่ มไ่ ดท้ ำใหข้ อ้ ตกลงดงั กลา่ วเปน็ โมฆะหรอื เสยี เปลา่ แตอ่ ยา่ งใด ยงั คง
บังคบั กนั ได้เปน็ บคุ คลสทิ ธิในระหวา่ งจำเลยซงึ่ ตอ้ งผูกพันชำระหนี้ตามสัญญาเพอ่ื ประโยชน์แกบ่ คุ คลภายนอกกบั โจทกซ์ ึง่ เป็น
บุคคลภายนอกผู้รบั ประโยชน์ โจทกย์ ่อมบงั คบั ให้จำเลยจดทะเบยี นภาระจำยอมได้ กรณหี าใช่เป็นการไดภ้ าระจำยอมโดยอายคุ วามอนั
เป็นการได้ทรพั ยสทิ ธเิ กีย่ วกับอสังหารมิ ทรพั ยโ์ ดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 แม้โจทกใ์ ชท้ ด่ี ินพิพาทไม่ถงึ สบิ ปี
นับแตว่ ันท่ีไดร้ ับโอนกรรมสิทธิ์ โจทกก์ ็ฟอ้ งขอใหบ้ งั คบั จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมได้

15

16

ฎีกาท่ี 15033/2555 โจทกเ์ ป็นเจา้ ของทดี่ นิ มีโฉนดที่พิพาท โจทก์จดทะเบยี นให้ ส. และ บ. เปน็ ผ้ทู รงสทิ ธเิ กบ็ กินใน
ทด่ี ินพพิ าทตลอดชีวติ ส. และ บ. ยอ่ มมสี ทิ ธคิ รอบครอง ใชแ้ ละถอื เอาประโยชนแ์ หง่ ทีด่ นิ นั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1417 วรรคหน่งึ ใน
ระหว่างทส่ี ทิ ธเิ กบ็ กินยงั ไม่ส้ินไป เจ้าของกรรมสิทธิ์จงึ หามสี ทิ ธิเช่นวา่ น้ันดว้ ยไม่ การบอกเลกิ สญั ญาเช่าหรอื การฟอ้ งขบั ไล่ผเู้ ช่าออกจาก
ทด่ี นิ พพิ าทจงึ เปน็ อำนาจในการจดั การทรพั ยส์ นิ ของผทู้ รงสิทธิเกบ็ กนิ แมโ้ จทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทดี่ ินพิพาทก็ไมม่ อี ำนาจฟอ้ ง

ฎีกาท่ี 2568/2556 โจทก์กบั จำเลยที่ 2 ร่วมกันซ้ือตึกแถวเป็นเจา้ ของรวม เมือ่ จำเลยที่ 2 ยินยอมใหต้ ึกแถวส่วนของ
โจทก์อยู่ในทด่ี นิ กรรมสิทธ์ขิ องจำเลยท่ี 2 ได้ ตึกแถวสว่ นของโจทกย์ อ่ มไม่ตกเป็นส่วนควบกบั ทด่ี นิ ของจำเลยท่ี 2 ตามประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 146 การท่ีจำเลยที่ 2 นำทด่ี ินไปจดทะเบียนจำนองเปน็ ประกันหนีโ้ ดยให้รวมถงึ โรงเรอื นและส่ิงปลูกสรา้ งตา่ ง
ๆ ซึ่งมีอยแู่ ล้วในทดี่ นิ ดว้ ยโดยจำเลยท่ี 2 ไม่ได้ระบุว่าเปน็ การจำนองโรงเรอื นหรือส่ิงปลกู สร้างเฉพาะกรรมสทิ ธิส์ ว่ นของตน ถือไดว้ ่า
จำเลยท่ี 2 จำนองตวั ทรัพย์ทัง้ หมดอนั เป็นผลใหต้ ึกแถวตดิ ภาระจำนอง จำเลยที่ 2 ผู้จำนองชอบที่จะตอ้ งให้โจทกซ์ ง่ึ เป็นเจา้ ของร่วมให้
ความยนิ ยอมเสยี กอ่ น ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1361 วรรคสอง มฉิ ะนั้นการจดทะเบยี นจำนองย่อมไม่มีผล
สมบูรณ์ แม้จำเลยที่ 1 ผ้รู บั จำนองจะกระทำโดยสุจรติ และเป็นปกตทิ างธุรกจิ การค้าไวก้ ต็ าม โจทกก์ ย็ ่อมมีสิทธิฟอ้ งขอให้เพิกถอนนิติ
กรรมการจำนองระหว่างจำเลยท้งั สองสำหรับสง่ิ ปลูกสร้างท่ีเป็นสิทธิเฉพาะส่วนของโจทกไ์ ด้

ฎกี าที่ 7464/2555 ทด่ี ินพิพาทเปน็ ทส่ี าธารณประโยชนจ์ งึ เปน็ สาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิ ซ่งึ ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 1305 บญั ญตั วิ า่ ทรพั ยส์ ินซ่งึ เปน็ สาธารณสมบตั ิของแผน่ ดนิ นัน้ จะโอนแกก่ นั มไิ ด้ เวน้ แต่อาศยั อำนาจแหง่ บท
กฎหมายเฉพาะหรอื พระราชกฤษฎกี า การทโ่ี จทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายทดี่ ินพิพาทแก่กนั จงึ เปน็ การทำนิตกิ รรมท่มี วี ตั ถุประสงคเ์ ปน็
การตอ้ งหา้ มชดั แจง้ โดยกฎหมาย สญั ญาซื้อขายระหวา่ งโจทกจ์ ำเลยยอ่ มตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 และมีผลเป็นการเสยี เปลา่ เท่ากบั
โจทก์จำเลยมิไดท้ ำสญั ญาซื้อขายกนั และต้องคนื ทรัพยส์ ินอันเกดิ จากโมฆะกรรมแกก่ นั โดยให้นำบทบัญญตั วิ ่าด้วยลาภมิควรไดม้ าใช้
บงั คบั ตามมาตรา 172 แต่การที่โจทกช์ ำระราคาทด่ี ินพิพาทแกจ่ ำเลยตามสญั ญาซอื้ ขายโดยรู้อยแู่ ล้วว่าทดี่ นิ พิพาทเปน็ ที่
สาธารณประโยชน์ ถือว่าเป็นการกระทำตามอำเภอใจเหมือนหน่ึงวา่ เพื่อชำระหนีโ้ ดยรูอ้ ยวู่ า่ ตนไม่มคี วามผูกพนั ที่จะต้องชำระ ท้ังยงั
เปน็ การฝา่ ฝนื ข้อห้ามตามกฎหมายตามมาตรา 407 และมาตรา 411 โจทก์จงึ ไม่มสี ิทธิจะได้รับคืนราคาทด่ี นิ ทช่ี ำระแก่จำเลยดงั กลา่ ว

ฎกี าที่ 8523/2555 แม้ผูร้ ้องจะไดบ้ รรยายในคำร้องขอถงึ สิทธิในทดี่ นิ พิพาทของผรู้ อ้ งวา่ ได้มาจากการซอื้ จากบิดา
ของจำเลยท่ี 2 และมกี ารสง่ มอบให้ผรู้ ้องเขา้ ครอบครองทำประโยชน์โดยปลูกบา้ นอยูอ่ าศยั มาเปน็ เวลากวา่ 20 ปแี ล้วกต็ าม แตเ่ มือ่ สทิ ธิ
ของผรู้ ้องเปน็ การไดท้ ดี่ ินพพิ าทมาโดยการรบั โอนการครอบครอง อันเปน็ การได้มาซ่ึงอสงั หาริมทรพั ย์ หรอื ทรพั ยสทิ ธอิ นั เกยี่ วกบั
อสังหาริมทรัพย์โดยทางอนื่ นอกจากนิตกิ รรม ซ่ึงหากยงั ไมไ่ ดจ้ ดทะเบียน ผู้รอ้ งจะยกขน้ึ เปน็ ขอ้ ตอ่ สโู้ จทก์ผ้รู ับจำนองทดี่ นิ พิพาทซ่ึงเปน็
บุคคลภายนอกผู้ไดส้ ิทธิมาโดยเสยี คา่ ตอบแทนและโดยสุจรติ และไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธโิ ดยสจุ รติ แล้วไมไ่ ดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา 1299 วรรคสอง

16

17

ฎกี าที่ 7872/2556 โจทกซ์ ื้อฝากทด่ี นิ มโี ฉนดจากเจา้ ของเดมิ โจทก์ซึ่งเปน็ บคุ คลภายนอกผไู้ ด้ทีด่ ินซ่งึ ประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์มาตรา 6 ให้สันนษิ ฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทกุ คนกระทำการโดยสจุ ริต ต้องสนั นษิ ฐานว่าโจทกไ์ ดท้ ดี่ นิ มาโดยเสีย
ค่าตอบแทนและโดยสจุ รติ และไดจ้ ดทะเบียนสทิ ธโิ ดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1299 วรรคสอง จำเลยซ่งึ ได้
กรรมสิทธใิ์ นท่พี พิ าทโดยการครอบครองปรปักษ์เป็นผไู้ ดม้ าซง่ึ อสังหาริมทรพั ยโ์ ดยทางอื่นนอกจากนติ กิ รรมและยงั มิได้จดทะเบยี นจึงไม่
อาจยกข้ึนต่อสูโ้ จทกซ์ ่งึ เปน็ บุคคลภายนอกผูไ้ ด้กรรมสทิ ธิม์ าโดยเสียคา่ ตอบแทนและโดยสจุ รติ และได้จดทะเบยี นสทิ ธิโดยสุจรติ ได้ เมอื่
จำเลยไมไ่ ด้ใหก้ ารต่อสเู้ ปน็ ประเด็นไวว้ ่า โจทก์ได้กรรมสิทธิโ์ ดยไมส่ ุจริตและจดทะเบยี นสทิ ธิโดยไม่สุจรติ จึงไม่มปี ระเด็นข้อพพิ าท แม้ใน
ชั้นพจิ ารณาโจทกต์ อบคำถามคา้ นทนายจำเลยวา่ โจทก์เคยเสนอขอซ้อื ท่ีดินพิพาทโดยผา่ นคนกลางซงึ่ จำเลยเหน็ วา่ โจทก์รูด้ มี าแตแ่ รก
แล้ววา่ ทดี่ นิ พิพาทจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชนต์ ิดตอ่ กนั มากต็ าม จำเลยผไู้ ดก้ รรมสทิ ธโิ์ ดยการครอบครองปรปกั ษแ์ ตย่ งั มไิ ด้จด
ทะเบียนเป็นผู้มสี ทิ ธจิ์ ึงไม่อาจยกขนึ้ มาตอ่ ส้โู จทก์ได้

ฎกี าท่ี 8331/2556 จำเลย อนุญาตใหโ้ จทก์ใชท้ ่ดี ินประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมนั เชือ้ เพลงิ เป็นการชว่ั คราวมไิ ด้
ขายทด่ี นิ ใหแ้ ก่โจทก์ การทีโ่ จทก์ ครอบครองทด่ี นิ ถอื ว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลย การที่โจทก์ถมดนิ ในท่ดี นิ ดงั กล่าวขึน้ มา 3 เมตร
เป็นการถมเพ่อื ประโยชน์ในทางธรุ กจิ ของโจทกเ์ อง ดินทีโ่ จทกน์ ำมาถมมใิ ชโ่ รงเรือนหรือส่งิ ปลกู สรา้ งอย่างอืน่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 146
จงึ ถือวา่ เป็นส่วนควบของทด่ี นิ ตามมาตรา 144

ฎกี าที่ 7149/2538 จำเลยขายทพ่ี ิพาทซงึ่ เป็นทด่ี นิ ท่มี ีหนงั สือรบั รองการทำประโยชน์ให้แกผ่ รู้ อ้ งโดยไมไ่ ดท้ ำเปน็
หนงั สอื และจดทะเบยี นโอนสิทธิกนั ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา4 ทวิ แตก่ ารที่ผูร้ อ้ งไดร้ บั การครอบครองแลว้ ผรู้ อ้ งย่อมไดส้ ิทธิ
ครอบครองไปตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1377 และ1378 เม่อื จำเลยผ้จู ำนองมใิ ชเ่ จา้ ของทด่ี ินนำที่ดินไปจำนอง
เป็นการตอ้ งห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705 การจำนองจึงไม่มีผลโดยไมต่ ้องคำนงึ วา่ ผูร้ บั จำนองสจุ รติ หรอื ไม่
การได้ท่ีดินมาโดยการซื้อขายและดว้ ยวธิ สี ง่ มอบการครอบครองเป็นการไดม้ าโดยทางนติ ิกรรมไม่อยูใ่ นบงั คบั ของมาตรา 1299 วรรค
สอง

ฎกี าที่ 14737/2551 โจทก์เป็นผู้มีชอ่ื ถือสิทธคิ รอบครองท่ดี ินพพิ าท จงึ ไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สันนษิ ฐานตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1373 ว่าเป็นผูม้ สี ิทธิครอบครอง แตข่ อ้ สนั นิษฐานดงั กลา่ วมิใชเ่ ป็นขอ้ สนั นษิ ฐานเด็ดขาด จำเลยท่ี 1 จงึ สามารถนำสบื
ข้อเท็จจรงิ หกั ล้างขอ้ สนั นิษฐานดงั กล่าวได้ เมื่อข้อเทจ็ จรงิ ฟังไดว้ ่า โจทกไ์ ดส้ ทิ ธคิ รอบครองทดี่ ินพพิ าททางทะเบยี นเท่านัน้ หาไดเ้ ขา้
ครอบครองทำประโยชนใ์ นที่ดนิ ตามความเป็นจรงิ ไม่ แมใ้ นหนงั สอื รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จะมีชอื่ อ. เป็นผูถ้ อื สทิ ธิ
ครอบครอง แต่การที่ อ. ขายทดี่ นิ พพิ าทให้แก่ ล. และได้มอบการครอบครองใหแ้ ก่ ล. ถือเปน็ การสละการครอบครองท่ดี นิ พพิ าทให้แก่
ล. ตง้ั แต่ปี 2530 แล้ว อ. จงึ หมดสทิ ธคิ รอบครองในทดี่ ินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 และเมื่อ ล. ขายและมอบการครอบครอง
ทดี่ ินพิพาทใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยท่ี 1 เขา้ ไปไถและถมดนิ ในทดี่ นิ พพิ าทตงั้ แต่ปี 2536 จึงเปน็ การเขา้ ครอบครองทีด่ นิ พพิ าทโดยมี
เจตนาทจี่ ะยดึ ถอื เพื่อตน จำเลยท่ี 1 จงึ มสี ทิ ธคิ รอบครองทด่ี ินพพิ าทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 ดงั นน้ั เมอ่ื อ. หมดสทิ ธคิ รอบครอง

17

18

ท่ีดนิ พพิ าทแลว้ จงึ ไมม่ ีสทิ ธิทีจ่ ะขายฝากท่ีดินดงั กล่าวใหแ้ กโ่ จทก์ แมก้ ารขายฝากระหวา่ งโจทก์ กับ อ. จะทำเป็นหนังสือและจด
ทะเบยี นต่อพนักงานเจา้ หนา้ ท่ี ก็ไมท่ ำให้โจทก์ไดส้ ิทธคิ รอบครองในที่ดนิ ดงั กลา่ วแต่อยา่ งใด

ฎีกาท่ี 1325/2556 การไดภ้ าระจำยอมโดยอายคุ วามตามป.พ.พ. มาตรา 1401 ให้นำบทบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยอายคุ วามได้
สิทธอิ นั กลา่ วไว้ในลกั ษณะ 3แหง่ บรรพน้ีมาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลมซึง่ กค็ ือใหน้ ำมาตรา 1382 มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม กลา่ วคอื การทโี่ จทก์
ทั้งสองจะไดภ้ าระจำยอมโดยอายคุ วามในฐานะทเ่ี ปน็ เจ้าของกรรมสทิ ธ์ทิ ดี่ นิ ท้ังสองแปลงอันเป็นสามทรพั ย์ตอ้ งใช้ทางในทดี่ นิ โฉนดทด่ี ิน
เลขท่ี10 ของจำเลยท้ังสโ่ี ดยปรปกั ษ์ ตอ่ เจ้าของทด่ี นิ เพ่อื ให้ได้ทางภาระจำยอมโดยสงบเปิดเผยเปน็ เวลา 10 ปีซึง่ ในกรณีดงั กลา่ วนี้
กฎหมายมงุ่ ประสงคใ์ หถ้ อื เอาการใช้ประโยชน์ของเจา้ ของสามยทรพั ย์เป็นสำคัญโดยไม่ได้คำนงึ ว่าภารยทรัพย์นัน้ จะเปน็ ของผู้ใดหรือ
เจา้ ของสามยทรัพยจ์ ะต้องรูว้ า่ ใครเป็นเจา้ ของสามยทรพั ย์นนั้ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จริงฟงั ไดว้ ่า โจทก์ทง้ั สองมเี จตนาถือเอาทางพิพาทโดยสงบโดย
เปดิ เผยเป็นเวลาเกนิ กวา่ 10 ปี แมโ้ จทก์ท้ังสองจะสำคัญผดิ ว่าทางพิพาทอยใู่ นเขตทีด่ ินโฉนดทด่ี นิ เลขที่ 37098 ของผอู้ น่ื แต่เม่ือ
กฎหมายมงุ่ ประสงคท์ ่ีให้ถือเอาการใช้ประโยชนข์ องเจ้าของสามยทรพั ยเ์ ป็นสำคญั แลว้ ทางพิพาทในทดี่ นิ จำเลยทั้งสตี่ ามแผนทพี่ พิ าทจึง
ตกเปน็ ภาระจำยอมแกท่ ด่ี นิ โจทก์ทง้ั สอง

ฎกี าท่ี 3861/2552 สทิ ธิของผูไ้ ดม้ าซงึ่ อสังหารมิ ทรพั ยท์ หี่ ้ามมิใหย้ กขนึ้ เปน็ ข้อต่อสู้บคุ คลภายนอกผ้ไู ด้สทิ ธมิ าโดยเสยี
ค่าตอบแทนและโดยสจุ ริต และได้จดทะเบยี นสทิ ธิโดยสจุ รติ แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง นัน้ ตอ้ งเปน็ การไดส้ ทิ ธใิ นท่ีดินที่
ได้จดทะเบยี นแล้ว และสทิ ธทิ ไี่ ดน้ น้ั ตอ้ งเกดิ จากเอกสารสิทธขิ องทดี่ ินทอี่ อกโดยชอบ เมือ่ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชนใ์ น
สว่ นที่ดินพพิ าทไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย โจทกจ์ ะอ้างสทิ ธทิ จ่ี ะเกิดจากหนังสือรบั รองการทำประโยชน์สว่ นท่อี อกโดยไม่ชอบดงั กลา่ วหาได้
ไม่ กรณีเช่นน้ีไม่อยู่ในบังคบั ของ ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง

ฎกี าท่ี 7145/2538 จำเลยขายท่พี ิพาทซึ่งเปน็ ทดี่ ินทีม่ หี นังสือรับรองการทำประโยชน์ใหแ้ กผ่ รู้ อ้ งโดยไม่ได้ทำเปน็
หนังสือและจดทะเบยี นโอนสิทธิกันตามประมวลกฎหมายท่ีดนิ มาตรา 4 ทวิ แต่การที่ผู้รอ้ งไดร้ ับการครอบครองแลว้ ผรู้ ้องยอ่ มไดส้ ิทธิ
ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1377 และ 1378 เมอื่ จำเลยผู้จำนองมใิ ชเ่ จา้ ของทด่ี ินนำที่ดินไปจำนองเปน็
การต้องหา้ มตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 705การจำนองจงึ ไม่มผี ลโดยไม่ตอ้ งคำนึงวา่ ผรู้ บั จำนองสุจรติ หรือไม่การได้
ทด่ี นิ มาโดยการซ้อื ขายและด้วยวิธีสง่ มอบการครอบครองเปน็ การได้มาโดยทางนติ ิกรรมไม่อยู่ในบังคบั ของมาตรา1299 วรรคสอง

ฎีกาที่ 5402/2555 ป.พ.พ.มาตรา 1401 บญั ญัตวิ า่ ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความท่านใหน้ ำบทบญั ญตั ิว่าดว้ ย
อายคุ วามได้สิทธอิ นั กล่าวไว้ในลกั ษณะ 3แห่งบรรพน้ีมาใชบ้ งั คับโดยอนุโลมซง่ึ บทบัญญัตดิ ังกลา่ วคือการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพยส์ นิ ของ
ผู้อืน่ โดยอายคุ วามตามมาตรา1382ที่วางหลักไว้ว่าตอ้ งเปน็ การครอบครองทรัพยส์ ินของผ้อู ืน่ ไวโ้ ดยความสงบและโดยเปดิ เผยด้วย
เจตนาเป็นเจ้าของดงั น้ัน การไดภ้ าระจำยอมโดยอายคุ วามจงึ ต้องเปน็ การใชท้ างเดินของผอู้ ื่นโดยความสงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนา
ให้ได้ภาระจำยอมในทางเดินเม่ือโจทกท์ ง้ั สองใชท้ างเดินพพิ าทโดยได้รบั อนญุ าตจาก ช.เจ้าของทดี่ นิ เดมิ มาตง้ั แตแ่ รก หาก ช.ไมอ่ นญุ าต
ให้ใชโ้ จทกท์ ้ังสองกไ็ มอ่ าจใช้ทางเดินพพิ าทได้ การใชท้ างพิพาทของโจทก์ทง้ั สองจงึ หาเปน็ การใชด้ ว้ ยเจตนาจะให้ไดภ้ าระจำยอมไมแ่ ต่

18

19

เปน็ การใช้ทางร่วมกบั บุคคลอ่นื โดย ช.เจา้ ของทด่ี ินจัดไว้ใหเ้ พ่ือเปน็ ทางเขา้ ออก ดังนัน้ แมโ้ จทกท์ ัง้ สองจะใช้ทางพพิ าทมานานเทา่ ใดก็
ไม่อาจอ้างว่าทางพพิ าทเปน็ ภาระจำยอมแกโ่ จทกท์ งั้ สองโดยอายุความได้

ฎีกาท่ี 11635/2554 ป.พ.พ.มาตรา 1300 กำหนดแต่เพยี งให้สิทธิบคุ คลผอู้ ยใู่ นฐานะอนั จะให้จดทะเบยี นสทิ ธขิ องตน
ไดอ้ ย่กู ่อน เรียกใหเ้ พกิ ถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธทิ์ ีจ่ ะทำใหต้ นต้องเสยี เปรยี บ โดยไม่คำนงึ ว่าบคุ คลผูท้ ำการโอนนน้ั จะทราบถึง
สทิ ธิของบคุ ลคลผขู้ อใหเ้ พิกถอนหรือไม่ เม่อื ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยท่ี 1 จดทะเบยี นโอนกรรมสิทธหิ์ ้องชดุ พิพาทใหแ้ ก่โจทก์ ยอ่ ม
เกิดสทิ ธแิ ก่โจทกเ์ ปน็ ผอู้ ยใู่ นฐานะอนั จะใหจ้ ดทะเบยี นสิทธขิ องตนได้อย่กู อ่ นบุคคลอ่นื ทนั ที บคุ คลอื่นจะทำใหเ้ สยี สทิ ธหิ าไดไ้ ม่ เวน้ แต่
เป็นการโอนอนั มคี า่ ตอบแทนและผู้รับโอนกระทำการโดยสจุ รติ จึงเพกิ ถอนไม่ได้ โดยไม่คำนงึ วา่ ผโู้ อนจะกระทำการโดยสุจรติ หรอื ไม่
ดงั น้ัน จำเลยท่ี 1 จะทราบคำพพิ ากษาดังกลา่ วหรอื ไม่ มิใช่สาระสำคัญในการทโ่ี จทกซ์ งึ่ เปน็ ผอู้ ยูใ่ นฐานะอันจะใหจ้ ดทะเบยี นสทิ ธิของ
ตนได้อย่กู ่อนร้องขอใหเ้ พกิ ถอนการจดทะเบยี นโอนระหวา่ งจำเลยท่ี 1 กบั จำเลยที่ 2

จำเลยที่ 2 เป็นนติ ิบคุ คลประเภทธนาคาร ประกอบกิจการธนาคารพาณชิ ย์ จำเลยที่ 2 ปลอ่ ย
สนิ เช่ือให้จำเลยที่ 1 ดำเนินโครงการสรา้ งอาคารชดุ และทาวน์เฮาส์ รวมทง้ั ทีด่ นิ และขายใหแ้ ก่บคุ คลท่วั ไป จำเลยท่ี 2 ย่อมทราบดีกวา่
จะตอ้ งมีบคุ คลทีส่ นใจเขา้ ทำสัญญาจะซอื้ จะขายกบั จำเลยที่ 1 การท่ีจำเลยที่ 2 จะดำเนนิ การใหจ้ ำเลยที่ 1 ชำระหนย้ี ่อมกระทำได้โดย
การฟอ้ งให้จำเลยท่ี 1 ชำระหนี้และไถถ่ อนจำนอง ซงึ่ จำเลยที่ 2 กไ็ ดก้ ระทำการดงั กลา่ วแล้ว แตจ่ ำเลยที่ 2 กม็ ไิ ดท้ ำสญั ญา
ประนปี ระนอมยอมความกบั จำเลยที่ 1 ในคดดี งั กล่าว กัลปเ์ จรจาตกลงทำสญั ญาประนีประนอมยอมความกันนอกคดแี ละใหจ้ ำเลยท่ี 1
จดทะเบยี นกรรมสิทธิ์ห้องชดุ 24 หอ้ ง รวมทง้ั ห้องชดุ พพิ าทให้แก่จำเลยที่ 2 สว่ นคดยี งั คงปล่อยใหศ้ าลดำเนินกระบวนพิจารณา
พพิ ากษาตอ่ ไป จงึ เป็นขอ้ พริ ธุ ของจำเลยท่ี 2 นอกจากน้กี ารที่จำเลยท่ี 2 จะนำทรัพย์ที่จำนองหลดุ เป็นของตนเองจะต้องเขา้ เง่อื นไข
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 729 กลา่ วคอื จะตอ้ งไดค้ วามว่าจำเลยท่ี 1 ขาดสง่ ดอกเบยี้ มาแลว้ เป็นเวลาถงึ 5 ปี จำเลยท่ี 1 มิไดแ้ สดงใหเ้ ป็นที่
พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สนิ นัน้ ท่วมจำนวนเงินอันค้างชำระ ซงึ่ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 มไิ ดแ้ จ้งแกศ่ าลในคดีที่ฟอ้ งร้องกนั ถงึ
เงือ่ นไขดงั กลา่ ว การทจี่ ำเลยที่ 1 ตกลงเจรจากับจำเลยที่ 2 แลว้ ใหจ้ ำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดรวมทง้ั ห้องชุดพพิ าทซง่ึ ตดิ ภาระ
จำนองอยูก่ บั จำเลยที่ 2 อันเปน็ การบงั คบั จำนองโดยวธิ ที ี่จำเลยที่ 2 ผรู้ บั จำนองเรียกเอาทรัพย์จำนองหลดุ โดยไม่ชอบด้วยบทบญั ญตั ิ
ดังกลา่ วจึงไม่มีผลบังคบั

ฎกี าที่ 427/2538 ที่ดนิ พิพาทเปน็ ทที่ ำไรไ่ มม่ หี นังสือสำคัญแสดงกรรมสทิ ธม์ิ เี พียง น.ส.3 บุคคลจะพงึ มสี ิทธเิ หนือ
ทีด่ นิ พพิ าทอยา่ งมากกเ็ พยี งแตส่ ิทธคิ รอบครอง แมโ้ จทกจ์ ะได้สทิ ธิครอบครองโดยการแยง่ การครอบครองแตก่ ารได้มาของโจทกม์ ไิ ด้ จด
ทะเบียน โจทกก์ ็จะยกขนึ้ เปน็ ข้อต่อส้จู ำเลยผไู้ ด้สิทธิ มาโดยเสยี ค่าตอบแทนและโดยสจุ ริตและได้จดทะเบียนโดยสจุ ริต ไมไ่ ด้ ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1299 วรรคสอง

ฎีกาที่ 6054/2557 บา้ นเลขท่ี 224/67 เปน็ ของจำเลยและผตู้ ายใหจ้ ำเลยมสี ทิ ธเิ หนอื พนื้ ดนิ บนท่ดี ินโฉนดเลขที่
11350 ด้วยการปลกู บ้านดังกลา่ วอาศยั อย่บู น ท่ีดนิ ได้จนตลอดชวี ติ ของจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1410 และ 1412และสทิ ธเิ หนือ

19

20

พื้นดินถอื เปน็ ทรพั ยสทิ ธิอนั เกี่ยวกบั อสงั หารมิ ทรัพยแ์ ม้มไิ ด้ ทำเป็นหนงั สือและจดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจา้ หนา้ ทอ่ี นั ทำให้ไม่บรบิ ูรณ์
ตามป.พ.พ.มาตรา 1299 วรรคหนง่ึ แต่ก็ใช้บงั คับกันได้ระหวา่ งคู่สัญญา ในฐานะบุคคลสทิ ธแิ ละตกทอดไปยงั โจทกซ์ งึ่ เปน็ ทายาทของ
ผตู้ าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และ 1600 โจทก์จงึ ฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลยและบริวารใหอ้ อกไปจากบ้านและทดี่ ินไมไ่ ด้ ทั้งม1ิ 413 อยา่ งไรก็
ตาม เมอ่ื การได้มาซง่ึ สทิ ธเิ หนอื พ้นื ดนิ ของจำเลย มไิ ด้ทำเปน็ หนงั สือและจดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจ้าหนา้ ที่ซง่ึ ทำให้ไมบ่ ริบรู ณโ์ ดยไม่
ปรากฏวา่ มขี ้อตกลงกันเปน็ พิเศษหรอื มสี ญั ญาต่างตอบแทนระหวา่ งผตู้ ายกบั จำเลยว่าจะไปจดทะเบยี นสทิ ธิเหนือพื้นดนิ และจำเลยได้
ปฏบิ ตั ิครบถว้ นตามเงื่อนไขของขอ้ สญั ญาแลว้ แตผ่ ูต้ ายเป็นฝ่ายท่ไี มย่ อมปฏิบตั ติ ามสัญญาดว้ ยการจดทะเบยี นสิทธเิ หนือพ้นื ดนิ ตอบ
แทนดงั นจี้ ำเลยจึงไม่อาจที่จะขอให้บงั คบั โจทกไ็ ปจดทะเบยี นสทิ ธเิ หนือฟืน้ ดินเพอื่ ใหเ้ ปน็ ทรัพยสิทธทิ สี่ มบูรณ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา
1299 วรรคหน่งึ ไดส้ ทิ ธเิ หนือพื้นดนิ บนทดี่ นิ โฉนดเลขที่ 11350 ของจำเลยคงผูกพันและบังคับโจทกไ็ ดใ้ นฐานะบคุ คลสิทธเิ ทา่ น้ัน ทศี่ าล
ชัน้ ตน้ พพิ ากษาใหโ้ จทก์จดทะเบยี นสทิ ธิเหนือพ้นื ดินใหแ้ ก่จำเลยและ ศาลอุทธรณภ์ าค ๒ มไิ ดแ้ กไ้ ขให้เสยี ถกู ต้องจงึ ไมช่ อบ ปัญหา
ดงั กลา่ วเปน็ ขอ้ กฎหมายอันเก่ียวด้วยความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน แมค้ คู่ วามไมฎ่ ีกา ศาลฎีกายกข้ึนวินจิ ฉยั ได้ ตาม ป.ว.ิ พ.
มาตรา 142 (5) ประกอบ มาตรา 246 และ 247

ฎกี าท่ี 6055/2557 เดมิ ห. เป็นผู้มีชอ่ื เปน็ เจ้าของทด่ี นิ พิพาททง้ั ตามหนงั สอื รบั รองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และ
โฉนดทด่ี นิ ห. ย่อมไดร้ บั ประโยชน์จากสนั นษิ ฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1373 วา่ เปน็ ผมู้ สี ทิ ธิ
ครอบครอง จำเลยกล่าวแกอ้ ้างว่าจำเลยไดก้ รรมสิทธทิ์ ่ดี นิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยมหี น้าที่นำสบื ขอ้ เทจ็ จริงนนั้ ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1

ห. ไมไ่ ด้ยกทด่ี นิ พิพาทใหแ้ ก่จำเลย การครอบครองทำประโยชนใ์ นที่ดนิ พิพาทของจำเลย จงึ เป็น
การอาศยั สทิ ธขิ อง ห. อนั เป็นการครอบครองแทน ห. เม่ือจำเลยมิได้กระทำการอย่างใด ๆ ในอนั จะให้ถือได้วา่ จำเลยไดแ้ ยง่ การ
ครอบครองทด่ี ินมาจาก ห. แลว้ และหลงั การออกโฉนดที่ดนิ จำเลยยงั คงมิไดบ้ อกกล่าวแสดงเจตนาท่ีจะแยง่ การครอบครองทดี่ นิ อันเป็น
ปรปักษ์ต่อ ห. ดงั นี้ แม้จำเลยครอบครองทดี่ นิ นานเพยี งใด ย่อมไมท่ ำให้จำเลยไดไ้ ปซง่ึ กรรมสทิ ธิต์ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1382 เมื่อ ห. จดทะเบยี นให้ทดี่ นิ พพิ าทแกโ่ จทก์ โจทกจ์ งึ ไดไ้ ปซงึ่ กรรมสทิ ธ์ิในที่ดนิ โดยชอบกบั มีอำนาจฟ้องขบั ไลจ่ ำเลยให้
ออกไปจากท่ดี ินและหา้ มมิให้จำเลยเขา้ ไปยงุ่ เกยี่ วกบั ทด่ี นิ พิพาทไดต้ ามมาตรา 1336 เม่ือจำเลยไมย่ อมออกจงึ เปน็ การละเมดิ ต่อโจทก์
และตอ้ งใชค้ า่ สินไหมทดแทนใหแ้ กโ่ จทกต์ ามมาตรา 420

จำเลยไดร้ ับอนญุ าตจาก ห. เจา้ ของทีด่ ินใหป้ ลูกตน้ ปาลม์ นำ้ มนั ในท่ีดินพพิ าท จงึ ไม่ตอ้ งด้วย
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1310 ซึ่งนำมาใชบ้ งั คบั แกก่ ารเพาะปลูกต้นไม้ในท่ีดนิ ของผู้อ่นื โดยสุจรติ ดว้ ยโดยอนุโลมตาม
มาตรา 1314 วรรคหนงึ่ ในอันทจ่ี ะทำให้จำเลยมสี ิทธไิ ด้รับการชดใชค้ า่ แหง่ ท่ีดนิ เพ่ิมขนึ้ จากโจทกเ์ พราะบทบญั ญตั มิ าตรา 1310
ประกอบมาตรา 1314 จะตอ้ งเปน็ เร่ืองการสร้างโรงเรอื นหรอื เพาะปลกู ต้นไม้ในที่ดินของผอู้ ืน่ โดยเจ้าของท่ดี นิ มิไดอ้ นญุ าตและตนไม่มี
สิทธหิ รอื นติ สิ ัมพนั ธอ์ ย่างใด ๆ ในทด่ี ินนัน้ เลย หากเป็นการสรา้ งหรอื เพาะปลูกโดยเชื่ออยา่ งสุจริตวา่ ตนมีสิทธทิ จ่ี ะสร้างหรอื เพาะปลูก
ได้

20

21

ฎกี าที่ 12734/2556 ท่ีดินโฉนดเลขที่ 12266 ตำบลกลางแอน อำเภอปราสาท. จงั หวดั สุรินทร์. เปน็ สนิ สมรสของโจทก์
และ บ. เมื่อโจทก์. กบั บ. จดทะเบียนหยา่ ขาดจากกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายแล้วต้องแบง่ สินสมรสให้โจทกแ์ ละ บ. ไดส้ ว่ นเท่ากนั ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1533 แต่เมอ่ื ยงั ไมไ่ ดแ้ บ่งจงึ ต้องบงั คบั ตามบทบญั ญตั ิว่าด้วยกรรมสิทธิร์ วม. โดยให้
สันนษิ ฐานไว้กอ่ นว่าผู้เปน็ เจา้ ของรวมทา่ นมสี ว่ นเท่ากัน ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1357 เมอื่ จำเลยมิไดน้ ำสืบให้
เห็นเป็นอยา่ งอนื่ จึงต้องถอื วา่ โจทกก์ ับ บ. เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธริ์ วมมสี ่วนแบ่งเทา่ กัน ซงึ่ เจา้ ของรวมคนหนงึ่ ๆจะจำหนา่ ยตัวทรพั ยส์ นิ
นั้นจะต้องไดร้ ับความยินยอมจากเจ้าของรวมทกุ คน ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 1361 วรรค 2

การที่ บ. ซงึ่ เป็นเจา้ ของรวมไดท้ ำสัญญาขายทด่ี นิ ใหแ้ ก่จำเลยโดยโจทกไ์ มท่ ราบเร่ืองและไม่ได้ให้
ความยินยอม แม้จำเลยจะทำสญั ญาซอ้ื ขายดงั กลา่ วกลับ บ. โดยสุจรติ และเสยี คา่ ตอบแทนสัญญาดงั กล่าวก็ไมม่ ผี ลผกู พนั กรรมสิทธิ์ใน
สว่ นของโจทกต์ ามบทบญั ญตั ดิ งั กล่าว. แตย่ งั คงมผี ลผูกพันกรรมสิทธิใ์ นส่วนของ. บ. ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา
1361 วรรค 1 โจทก์จงึ ฟ้องขอใหเ้ พิกถอนสญั ญาซือ้ ขายทดี่ นิ ระหวา่ งบอกกบั จำเลยในส่วนทเี่ กีย่ วขอ้ งกับกรรมสทิ ธขิ์ องโจทก์ได้

ฎีกาท่ี 2988/2557 โจทก์ได้กรรมสิทธใิ์ นทด่ี ินพพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษต์ าม ป.พ.พ. 1382 ขอ้ เท็จจริงฟงั วา่
จำเลยได้จดทะเบยี นรบั โอนมรดกทดี่ ินพิพาทอันเป็นเวลาหลงั จากโจทกไ์ ดก้ รรมสิทธใิ์ นท่ีดนิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยจงึ
ไม่ใชบ่ ุคคลภายนอกผไู้ ด้กรรมสทิ ธ์มิ าโดยเสียค่าตอบแทนตามทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา 1299 วรรคสอง โจทกผ์ ูไ้ ด้กรรมสิทธิ์ทดี่ ินพพิ าทโดย
การครองครองปรปักษ์ซงึ่ เป็นบคุ คลผู้อยใู่ นฐานะอนั จะจดทะเบยี นสทิ ธขิ องตนอยู่ก่อน จงึ ขอใหเ้ พกิ ถอนการจดทะเบียนดงั กล่าวทีท่ ำให้
ตนเสียเปรียบไดต้ ามมาตรา 1300

ฎีกาที่ 9526/2544 คำว่า "สุจริต" ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1310 นนั้ มคี วามหมายวา่ ผู้ปลูก
สรา้ งไดป้ ลกู สร้างโรงเรอื นลงในที่ดินโดยไม่ทราบวา่ ทดี่ นิ เปน็ ของผูใ้ ดแต่เขา้ ใจว่าเปน็ ทดี่ นิ ของตนเองและเชอ่ื วา่ ตนมสี ิทธปิ ลกู สร้าง
โรงเรอื นในทีด่ นิ นนั้ โดยชอบ เมื่อจำเลยไดป้ ลกู บ้านในทีด่ ินพิพาทโดยอาศยั สิทธิของ ส. โดยทราบอยู่วา่ ทด่ี นิ พิพาทเปน็ ของ ส. และได้
ขออนญุ าต ส. ปลูกบ้าน จงึ ไมอ่ าจรับฟงั ได้วา่ จำเลยไดป้ ลกู บ้านในทดี่ นิ พพิ าทโดยสจุ รติ แม้จำเลยจะต่อเตมิ บา้ นในภายหลังอกี โดย ส.
และโจทก์ไมห่ า้ มปรามขัดขวางกจ็ ะบงั คบั ใหโ้ จทกซ์ งึ่ เป็นทายาของ ส. รับเอาบา้ นแล้วใช้ราคาทด่ี ินท่ีเพิ่มขึ้นไม่ได้ การทจี่ ำเลยปลูกสร้าง
บ้านในทดี่ นิ พิพาทโดยอาศัยสทิ ธิของ ส. นัน้ มไิ ด้ทำใหโ้ รงเรือนตกเป็นส่วนควบของทดี่ นิ พพิ าทเป็นกรรมสทิ ธ์ิของ ส. และโจทกแ์ ต่อยา่ ง
ใดตามมาตรา 146

ฎกี าท่ี 2577/2551 จำเลยปลูกสรา้ งบ้านบนทด่ี ินทโี่ จทก์เป็นเจา้ ของกรรมสทิ ธ์ิรวมโดยได้รบั อนญุ าตจากโจทก์ บา้ น
หรอื โรงเรอื นท่ีจำเลยปลูกสรา้ งย่อมไม่ใชส่ ่วนควบของทดี่ นิ ท่ี โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมตาม ป.พ.พ. มาตรา 144 ประกอบมาตรา 1410
โจทก์ไมม่ กี รรมสทิ ธ์ใิ นบา้ นท่จี ำเลยสร้างขึ้นใหม่ บา้ นดงั กล่าวยงั คงเปน็ กรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่การทีจ่ ำเลยปลกู สร้างบ้านหรือโรงเรอื น
บนท่ีดนิ ทโี่ จทก์มีกรรมสิทธ์ิรวมยอ่ มเปน็ การกอ่ ให้เกดิ สทิ ธเิ หนอื พนื้ ดนิ เป็นคณุ แก่จำเลย แต่สทิ ธิเหนือพนื้ ดนิ ดงั กล่าวไม่ได้ทำเปน็

21

22

หนังสือและจดทะเบยี นการไดม้ ากับพนกั งานเจ้าหนา้ ท่ี จงึ เป็นเพียงบคุ คลสทิ ธิระหว่างโจทก์เจา้ ของกรรมสทิ ธ์ริ วมกบั จำเลย เมอื่ สทิ ธิ
เหนือพืน้ ดินดงั กล่าวไมม่ ีกำหนดเวลา โจทกบ์ อกเลิกไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1413 โดยการบอกกลา่ วล่วงหน้าแก่จำเลยตามสมควร

ฎีกาที่ 2056/2556 การที่ ว. เป็นเจ้าของทด่ี นิ โฉนดเลขที่ 41234 และในขณะเดยี วกนั ก็เป็นเจ้าของรวมในทดี่ ินพิพาท
ซึ่สิทธใิ นการใช้ทรัพย์สินท่เี ปน็ กรรมสทิ ธ์ิรวมต้องไม่ขดั ตอ่ สทิ ธิของเจ้าของกรรมสิทธ์ิรวมคนอน่ื เช่นนี้ การใชส้ ทิ ธิใช้ทางเดนิ ออกสูทาง
สาธารณะของ ว. จงึ เปน็ เพียงการใชส้ ิทธิในฐานะเจา้ ของรวม ไมใ่ ช่เป็นการใชโ้ ดยปรปกั ษท์ ีจ่ ะขดั ตอ่ สิทธขิ องเจ้าของรวมคนอื่นได้
ดงั นั้น เมอ่ื ว. ยงั เป็นเจ้าของรวมในทดี่ ินพิพาทอยู่ ภาระจำยอมจึงไม่เกดิ

ฎกี าที่ 7775/2552 การวางทอ่ นำ้ สายไฟฟา้ ท่อประปา สายโทรศพั ท์ หรือสง่ิ อืน่ ซงึ่ คล้ายกนั ในทดี่ นิ ตดิ ตอ่ หาใชเ่ ปน็
เร่อื งทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 และ 1350 ไม่ แตเ่ ปน็ เรือ่ งท่ีเจา้ ของทด่ี ินจำตอ้ งยอมใหเ้ จา้ ของที่ดินติดต่อวางทอ่ นำ้ ทอ่
ระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรอื สงิ่ อืน่ ซ่ึงคลา้ ยกบั ผา่ นท่ดี ินของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1352 การใชส้ ิทธิวางท่อนำ้ ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ใน
ทด่ี ินของผู้อืน่ ผู้ที่จะวางท่อนำ้ ท่อระบายนำ้ ฯลฯ จะตอ้ งยอมจา่ ยค่าทดแทนตามสมควรใหแ้ ก่เจ้าของทด่ี นิ เสียกอ่ น หากผทู้ ่ีจะวางทอ่
นำ้ ทอ่ ระบายนำ้ ฯลฯ ไม่จา่ ยค่าทดแทนตามสมควรแล้ว เจ้าของทด่ี ินยอ่ มมสี ทิ ธิทีจ่ ะปฏเิ สธไมย่ อมใหว้ างทอ่ นำ้ ทอ่ ระบายนำ้ ฯลฯ ใน
ท่ีดนิ ของตนได้ จงึ เป็นหน้าทีข่ องโจทก์ซง่ึ เปน็ ผวู้ างทอ่ นำ้ สายไฟฟ้า ฯลฯ ท่จี ะต้องบอกกลา่ วเสนอจำนวนคา่ ทดแทนใหแ้ ก่จำเลยซงึ่ เปน็
เจา้ ของทีด่ นิ ทราบกอ่ น มฉิ ะนน้ั โจทกไ์ ม่มอี ำนาจฟ้องขอให้บงั คบั จำเลยยอมให้โจทก์วางทอ่ นำ้ สายไฟฟ้า ฯลฯ ในทดี่ นิ ของจำเลย เม่ือ
ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทกไ์ ดเ้ สนอคา่ ทดแทนแกจ่ ำเลย โจทกจ์ งึ ไมม่ ีอำนาจฟอ้ งขอใหบ้ งั คับจำเลยยนิ ยอมใหโ้ จทกว์ างทอ่ นำ้
สายไฟฟ้า ฯลฯ ในทด่ี นิ ของจำเลยได้ โจทก์มสี ทิ ธใิ ชท้ างเดินและทางรถยนต์ในทด่ี นิ เป็นทางจำเปน็ ด้วยอำนาจแหง่ กฎหมาย แมม้ ีการ
โอนทดี่ ินแปลงดงั กลา่ วไปเป็นของผ้อู ่นื โจทก์กย็ งั คงมสี ิทธิใช้ทางจำเปน็ ในท่ีดนิ ดงั กล่าวอยนู่ ่นั เอง จงึ ไมจ่ ำเปน็ ต้องกำหนดให้จำเลยไป
จดทะเบยี นสทิ ธิทางจำเป็น

ฎีกาที่ 339/2551 แม้การอยู่อาศยั ท่ี ป. ได้ใหไ้ วแ้ ก่ ฮ. และจำเลยท่ี 1 จะเปน็ บุคคลสทิ ธใิ ช้ยันโจทก์ทงั้ สอง ซงึ่ เปน็
ผจู้ ัดการมรดกของ ป. ใหป้ ฏิบตั ติ ามไดก้ ็ตาม แต่ ป.พ.พ. มาตรา 1402 บญั ญัตวิ า่ "บคุ คลใดรบั สทิ ธิอาศยั ในโรงเรือน บุคคลนน้ั ยอ่ มมี
สิทธอิ ยู่ในโรงเรือนน้นั โดยไมต่ อ้ งเสยี คา่ เชา่ " และมาตรา 1408 บัญญตั วิ า่ "เมือ่ สทิ ธอิ าศัยสิน้ ลงผู้อาศัยต้องสง่ ทรพั ยส์ นิ คนื แกผ่ ู้ให้อาศัย"
เมอื่ ข้อเทจ็ จรงิ ได้ความวา่ บ้านเลขที่ 30 (เดมิ ) ซง่ึ เปน็ โรงเรอื นไดถ้ กู ร้ือถอนไปแล้วโดยจำเลยทง้ั สองเชน่ นี้ สทิ ธอิ าศยั ท่ี ฮ. และจำเลยท่ี
1 ไดท้ ำไวก้ บั ป. ยอ่ มสิน้ ลงจงึ ไม่มีโรงเรือนอันจะมีสทิ ธอิ าศยั ตามบทกฎหมายข้างตน้ การท่จี ำเลยทงั้ สองปลกู บา้ นเลขท่ี 30 (ใหม่) ข้นึ
แทนภายหลงั จากท่ี ป. ถงึ แกค่ วามตาย โดยไม่ไดร้ ับความยนิ ยอมจากโจทก์ทั้งสองกห็ าก่อใหเ้ กดิ สทิ ธอิ าศัยข้ึนมาใหม่แต่อยา่ งใดไม่ และ
การที่จำเลยท้ังสองปลกู บา้ นเลขท่ี 30 (ใหม่) ในทด่ี ินพพิ าทโดยไมไ่ ด้รบั ความยินยอม บ้านเลขท่ี 30 (ใหม่) จงึ เป็นสว่ นควบของทด่ี นิ
พพิ าทตกเป็นของเจา้ ของท่ีดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 144 ทั้งเปน็ การปลกู สร้างโรงเรอื นในท่ดี ินข่ องผ้อู ่ืนโดยไมส่ ุจรติ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1311 การท่ีโจทก์ทง้ั สองฟอ้ งขบั ไลจ่ ำเลยทงั้ สองออกจากทด่ี นิ พพิ าทและบา้ นเลขที่ 30 (ใหม)่ เชน่ นี้พอถือไดว้ า่ โจทกท์ ง้ั สองใน
ฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. ประสงคจ์ ะใหบ้ า้ นเลขที่ 30 (ใหม่) ซ่ึงเป็นโรงเรือนคงอยตู่ ามมาตรา 1311

22

23

ฎกี าท่ี 3680/2528 บุคคลทส่ี ร้างโรงเรอื นรกุ ลำ้ โดยสุจรติ ท่ีจะได้รบั ความคมุ้ ครองตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา 1312 จะตอ้ งเปน็ เจา้ ของโรงเรอื นทีส่ รา้ งรุกล้ำเขา้ ไปในท่ีดนิ ของผ้อู ืน่ และสว่ นทรี่ กุ ลำ้ น้ันจะต้องเป็นส่วนนอ้ ย สว่ นทอ่ี ยู่
ในทีด่ นิ ที่ตนมีสิทธสิ ร้างต้องเปน็ ส่วนใหญ่ มฉิ ะนั้นจะเรียกว่าสรา้ งโรงเรือนรุกลำ้ ไม่ได้ ตามฟอ้ งอา้ งว่าโจทกป์ ลูกสรา้ งโรงเรือนของผู้อื่น
รุกลำ้ เขา้ ไปในที่ดินของจำเลยที่ 1 และบรรยายฟ้องต่อไปวา่ โรงเรอื นสว่ นท่รี ุกล้ำน้ันเนื้อทปี่ ระมาณ 12 ตารางวา ประมาณครง่ึ หนง่ึ ของ
โรงเรือนแสดงวา่ โจทกไ์ ม่ใชเ่ จ้าของโรงเรือนทีส่ รา้ งรุกล้ำ ทั้งส่วนทรี่ กุ ล้ำนนั้ มใิ ช่ส่วนน้อยอันจะเรยี กวา่ รุกล้ำตามมาตรา 1312 ดงั นนั้
โจทกจ์ ึงไมม่ ีสิทธิได้รบั ความคมุ้ ครองตามมาตรา 1312

ฎีกาท่ี 2560/2546 การที่จะถือวา่ สร้างโรงเรอื นรุกล้ำเขา้ ไปในท่ดี นิ ของบคุ คลอืน่ โดยสจุ รติ หรอื ไม่สจุ รติ น้ัน จะตอ้ งดู
จากขณะทกี่ อ่ สร้างวา่ ผกู้ อ่ สร้างรู้หรอื ไมว่ ่าทด่ี นิ ตรงน้นั เปน็ ของคนอน่ื ถ้ารู้ก็ถือวา่ ก่อสรา้ งโดยไม่สุจริต แตถ่ ้าในขณะทีก่ อ่ สรา้ งไมร่ ูว้ ่า
ทด่ี ินตรงนั้นเปน็ ของบคุ คลอื่น เขา้ ใจวา่ เป็นทด่ี ินของตนเองจึงสรา้ งโรงเรือนลงไป ครน้ั มาภายหลังจงึ รคู้ วามจริง ก็ถอื ว่าเปน็ การกอ่ สรา้ ง
รุกลำ้ โดยสจุ ริต ขณะจำเลยก่อสร้างโรงเรอื นรกุ ลำ้ เขา้ ไปในท่ีดินของโจทก์นั้น ทงั้ โจทกแ์ ละจำเลยตา่ งกไ็ ม่รู้ว่าโรงเรือนดงั กลา่ วสรา้ งรกุ
ล้ำเข้าไปในทดี่ ินของโจทก์ ซงึ่ ตา่ งฝา่ ยต่างก็เพงิ่ มาทราบถึงการปลกู สร้างรกุ ลำ้ ในภายหลงั แมว้ า่ จำเลยจะไมไ่ ด้รังวดั สอบเขตกอ่ นท่ีจะ
กอ่ สร้างกอ่ นกต็ าม กรณดี ังกลา่ วไมอ่ าจถือไดว้ ่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลนิ เล่ออย่างรา้ ยแรง อนั จะเป็นการทำโดยไมส่ จุ รติ ได้

ฎีกาท่ี 2141/2542 ทดี่ ินของโจทก์และของจำเลยที่ 1 อยตู่ ิดกันเปน็ ทด่ี ินว่างเปลา่ ไมม่ รี ้วั หรือเครอ่ื งหมายแสดงแนว
เขตไว้การท่จี ำเลยทัง้ สองปลกู สร้างอาคารพิพาทลงในทดี่ ินของ จำเลยที่ 1 โดยเพิกเฉยไมต่ รวจสอบแนวเขตทดี่ นิ ด้านทตี่ ิดตอ่ กับทด่ี นิ
ของโจทก์ใหแ้ น่นอนเสียก่อน จงึ เป็นการ กระทำทสี่ อ่ แสดงถงึ ความไมร่ อบคอบและประมาทเลนิ เล่อ นอกจากนีใ้ นการยนื่ คำขออนญุ าต
กอ่ สร้างอาคารพิพาทต่อเทศบาล ก็ไมป่ รากฏหลักฐานสำเนาโฉนดที่ดินและบตั รประจำตัวประชาชน คงมแี ตห่ นงั สือใหค้ วามยนิ ยอมให้
กอ่ สรา้ งของโจทก์ซึ่งเป็น เจ้าของทีด่ ินขา้ งเคยี งเท่านนั้ ซงึ่ ปรากฏว่าลายมอื ชอื่ ของโจทกเ์ ปน็ ลายมือชอ่ื ปลอมพฤตกิ ารณ์ดงั กลา่ วแสดง
วา่ จำเลยทง้ั สองร้หู รอื ควรจะรูแ้ ตต่ ้นแลว้ ว่าอาคารพพิ าท รกุ ล้ำเขา้ ไปในทด่ี นิ ของโจทก์ ถอื ได้ว่าจำเลยทง้ั สอง ก่อสรา้ งอาคารพพิ าทรุก
ลำ้ เขา้ ไปในทด่ี ินของโจทก์โดยไม่สุจรติ โจทกจ์ งึ มสี ิทธขิ อใหจ้ ำเลยท้ังสองรอ้ื ถอนอาคารพิพาทได้

ฎกี าท่ี 2036/2539 เสากำแพงทแี่ ยกตา่ งหากจากเสาโรงเรือน ไม่ใชส่ ่วนหน่ึง ของโรงเรือนอันจะถอื เปน็ โรงเรอื นตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1312 วรรคแรก ฉะน้นั จำเลยจะอ้างวา่ ก่อสร้างกำแพงรกุ ลำ้ โดยสุจรติ ไมต่ อ้ งรอ้ื ถอนตามบท
กฎหมายดงั กล่าวหาได้ไม่

ฎีกาท่ี 1090/2558 ทด่ี นิ พพิ าทเป็นอสงั หารมิ ทรัพย์ท่ีไดจ้ ดไว้ในทะเบยี นท่ดี นิ ซึ่งสามารถจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธ์ิ
ในทางทะเบยี นได้ โดยไม่จำตอ้ งส่งมอบการครอบครองท่ดี นิ ใหแ้ ก่กนั ทง้ั ในทะเบียนทด่ี นิ และโฉนดทด่ี ินกร็ ะบุชดั ว่า ป. เป็นเจ้าของ
กรรมสิทธ์โิ ดยได้รับมรดกมาจากบิดากบั ไมม่ ีการจดแจ้งอยา่ งใดๆ วา่ จำเลยเป็นเจา้ ของตกึ แถวที่ปลูกสรา้ งอยู่ในทดี่ นิ ยอ่ มมเี หตผุ ล
เพียงพอท่ี ส. จะตกลงซ้อื และรับโอนที่ดนิ พิพาทในทางทะเบยี นโดยไมจ่ ำตอ้ งคำนึงว่า ป. เป็นผคู้ รอบครองใชป้ ระโยชน์ในที่ดนิ อยา่ ง
แท้จริงหรือไม่ ลำพงั เพยี งพฤตกิ ารณท์ ี่ ส. ซื้อทด่ี นิ มาในราคาสูงก็ดี ทดี่ นิ อยูใ่ นทำเลการค้าหรอื ในทเี่ จรญิ กด็ ี แต่ ส. ไมไ่ ปตรวจสอบท่ดี ิน
กอ่ นว่ามใี ครเปน็ ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์และเขา้ ไปอยูใ่ นตึกแถวไดอ้ ย่างไรในฐานะใด ยงั ไมพ่ อฟงั วา่ เปน็ ความประมาทเลินเลอ่ อย่าง

23

24

ร้ายแรงของ ส. อันเป็นการซ้ือและรับโอนท่ีดินพิพาทโดยไมส่ จุ รติ จำเลยยกการได้มาซงึ่ กรรมสิทธ์ิโดยการครอบครองปรปกั ษ์ทยี่ ังไมไ่ ด้
จดทะเบยี นข้ึนตอ่ สู้ ส. ไมไ่ ด้ ส. มสี ทิ ธิในทีด่ ินพิพาทดีกวา่ จำเลย

โจทก์ทง้ั สองซื้อและจดทะเบยี นรับโอนทดี่ ินพพิ าทจาก ส. ไม่ว่าจะสุจรติ หรือไม่ เม่อื จำเลยยกการ
ไดม้ าซ่ึงกรรมสทิ ธิใ์ นทด่ี นิ พิพาทโดยการครอบครองทยี่ งั ไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี นขึ้นตอ่ สู้ ส. ไมไ่ ด้ จำเลยกไ็ มอ่ าจยกการได้มาซง่ึ กรรมสทิ ธิใ์ น
ทดี่ ินพิพาทนน้ั ขึน้ ตอ่ สู้โจทก์ท้ังสองไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง เพราะสิทธทิ จ่ี ะอ้างขอ้ กฎหมายดงั กล่าวของจำเลยขาดช่วง
ไปตัง้ แตท่ ่ี ส. ซือ้ และรับโอนทด่ี นิ พพิ าทมาจาก ป. โดยสจุ รติ แลว้ โจทก์ทง้ั สองมสี ทิ ธิในท่ีดินพพิ าทดกี ว่าจำเลย การครอบครองปรปักษ์
ทดี่ นิ พิพาทของจำเลยตอ้ งเรมิ่ นบั ใหมน่ บั แตโ่ จทกท์ งั้ สองเป็นเจา้ ของกรรมสทิ ธ์ทิ ด่ี ินพิพาทถงึ วนั ท่ีจำเลยฟอ้ งแย้งยงั ไม่ถึงสบิ ปี จำเลย
ไมไ่ ด้กรรมสิทธทิ์ ่ีดนิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1382

ม. และ ข. ปลูกสรา้ งตกึ แถวในทด่ี นิ ของตนเอง ตอ่ มาแบง่ แยกทด่ี ินและยกตึกแถวใหแ้ กบ่ ตุ รโดย
ปรากฏในภายหลงั ว่าตึกแถวทย่ี กให้ อ. อยู่ในทดี่ นิ พิพาททย่ี กใหแ้ ก่ ล. ทัง้ แปลงและอยใู่ นทด่ี ินของ อ. เปน็ ส่วนน้อย ต้องถือว่าเปน็ การ
สร้างโรงเรอื นในทดี่ นิ ของผ้อู น่ื โดยสุจรติ มาแตเ่ ดิมและกรณีเช่นนี้ไมม่ ีกฎหมายท่ีจะยกมาปรบั แกค่ ดีได้โดยตรง ตอ้ งอาศยั เทยี บเทียงตาม
บทบัญญตั ขิ อง ป.พ.พ. มาตรา 1310 ซ่งึ เป็นบทกฎหมายท่ใี กล้เคียงอยา่ งยงิ่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง อนั มผี ลทำใหโ้ จทกท์ งั้ สอง
ซงึ่ เป็นผู้รบั โอนทดี่ นิ พิพาทพร้อมตกึ แถวดังกลา่ วเป็นเจา้ ของตึกแถวแต่ต้องใช้คา่ แหง่ ทดี่ นิ เพยี งทเี่ พม่ิ ขน้ึ เพราะการสร้างตึกแถวนั้นให้แก่
จำเลยและพวกซง่ึ ถอื กรรมสทิ ธ์ิรวม ส่วนทตี่ ึกแถวบางสว่ นทอ่ี ยู่ในท่ดี นิ ของจำเลยและพวกประมาณ 2 ตารางวา ก็ต้องปรับบท
เทยี บเคยี งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคหนงึ่ โดยถอื ว่าเปน็ การสร้างโรงเรอื นรุกลำ้ เขา้ ไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ตกึ แถวสว่ นปลกู
สร้างรุกล้ำเขา้ ไปในท่ีดนิ ของจำเลยจงึ เปน็ ของโจทกท์ ั้งสองดว้ ย แต่โจทก์ทงั้ สองตอ้ งเสยี เงนิ คา่ ทดี่ นิ ส่วนท่ีรกุ ลำ้ ใหแ้ ก่จำเลยและพวก
การครอบครองตกึ แถวของจำเลยจึงไมถ่ อื ว่าเปน็ การทำละเมดิ ตอ่ โจทกท์ ้ังสองเพราะจำเลยมสี ทิ ธคิ รอบครองโดยชอบมาแต่เดมิ และ
โจทก์ทงั้ สองยงั มิได้ใชค้ า่ ทด่ี ินท้ังในสองกรณีใหแ้ กจ่ ำเลย โจทกท์ ง้ั สองไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรยี กค่าเสียหายจากจำเลยตาม ป.พ.พ.
มาตรา 420 และเปน็ เร่ืองท่ีโจทกท์ งั้ สองต้องไปบงั คบั แกจ่ ำเลยตามบทกฎหมายทถ่ี ูกตอ้ งต่อไป

ปัญหาวา่ โจทกท์ งั้ สองยงั มิไดใ้ ช้คา่ ทีด่ ินทเ่ี พ่ิมขึน้ เพราะการสร้างตึกแถวและคา่ ทด่ี ินส่วนทร่ี กุ ลำ้
ให้แก่จำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 และมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง จงึ ไม่มอี ำนาจฟอ้ งขบั ไลแ่ ละเรียกคา่ เสยี หายจากจำเลยตามมาตรา
420 น้ัน เปน็ เร่ืองอำนาจฟอ้ งเปน็ ข้อกฎหมายทเี่ กี่ยวดว้ ยความสงบเรยี บร้อยของประชาชน ศาลฎกี ามอี ำนาจยกข้นึ วินจิ ฉยั เองได้

ฎีกาท่ี 18672/2556 โจทกร์ วมทง้ั บดิ ามารดาโจทกแ์ ละผู้อาศยั บนทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี 36239 ใช้ทางพพิ าทสญั จรไปมา
โดยสงบและเปดิ เผย ดว้ ยเจตนาใหท้ างดงั กลา่ วเป็นภาระจำยอมตดิ ตอ่ กนั มาเป็นเวลาเกนิ กว่า 10 ปี ทางพพิ าทจงึ ตกเป็นภาระจำยอม
แกท่ ีด่ ินโฉนดเลขที่ 36239 ตาม ป.พ.พ. 1401 ประกอบมาตรา 1382 แมท้ ดี่ ินโฉนดเลขท่ี 36239 จะมีทางออกทางอ่นื อีก กถ็ อื ไมไ่ ด้ว่า
ภาระจำยอมหมดประโยชนแ์ ก่สามยทรัพยต์ าม ป.พ.พ. 1400นอกจากนภี้ าระจำยอมยงั เปน็ ทรัพยสทิ ธอิ ย่างหนึ่ง มิใช่สิทธเิ ฉพาะตวั ของ
เจา้ ของสามายทรพั ย์ การทบ่ี ดิ ามารดาโจทก์ซงึ่ เปน็ เจ้าของทดี่ ินโฉนดเลขท่ี 36239 อันเป็นสามยทรัพยถ์ ึงแก่ความตาย จงึ ไมเ่ ปน็ เหตใุ ห้
ภาระจำยอมท่มี ีอยตู่ อ้ งสิ้นไป เพราะสทิ ธใิ นการใช้ทางพิพาททต่ี กเปน็ ภาระจำยอม ยอ่ มตกทอดแก่ทายาทได้ ตาม ป.พ.พ. 1599 และ

24

25

1600 โจทก์ในฐานะผจู้ ดั การมรดกของผตู้ ายทงั้ สองซงึ่ เป็นเจา้ ของสามยทรพั ย์ จึงมสี ทิ ธขิ อบงั คบั ให้จำเลยท่จี ดทะเบยี นภาระจำยอมใน
ทดี่ นิ ของจำเลยได้

ฎกี าที่ 6151/2558 จำเลยให้การและฟ้องแยง้ วา่ จำเลยครอบครองทดี่ นิ พพิ าทของโจทกร์ วมทง้ั ทำประโยชนใ์ นทีด่ นิ
พิพาทโดยเข้าใจผดิ ว่าเป็นทด่ี นิ ของจำเลย โดยครอบครองทด่ี ินพพิ าทโดยสงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเป็นเจ้าของนบั ถงึ ปัจจบุ ันเป็น
เวลากว่าสิบปแี ล้ว เม่อื ทดี่ ินพิพาทเป็นสว่ นหนึง่ ของทด่ี นิ ตามโฉนดที่ดนิ ของโจทก์ แมจ้ ำเลยจะครอบครองโดยสำคญั ผดิ วา่ ทด่ี ินพพิ าท
เป็นของจำเลย กถ็ อื ไมไ่ ด้วา่ จำเลยครอบครองทด่ี ินของจำเลยเอง หากแต่ตอ้ งถือว่าจำเลยครอบครองทด่ี ินของบคุ คลอน่ื ท่สี ามารถนบั
ระยะเวลาการครอบครองปรปักษไ์ ด้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หาจำตอ้ งเปน็ การครอบครองโดยจำเลยต้องรวู้ ่าทดี่ นิ พิพาทเปน็ ของ
โจทกด์ ้วยไม่

ฎกี าท่ี 1400/2557 โจทกเ์ ปน็ บุตรบุญธรรมของผตู้ าย จงึ เปน็ ทายาทลำดับที่ 1 มสี ิทธไิ ดร้ บั มรดกของผตู้ าย ตาม ป.
พ.พ. มาตรา 1629 (1) , 1598/28 สว่ นจำเลยที่ 1 เป็นพน่ี ้องรว่ มบิดามารดาเดยี วกันกับผู้ตาย เป็นทายาทลำดับ 3 ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1629 (3) เมอ่ื โจทก์เป็นทายาทในลำดบั ที่ 1 ซงึ่ ยงั มีชีวติ อยแู่ ละมีสทิ ธิได้รบั มรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 จึงไมม่ ีสิทธริ ับมรดก
ตามมาตรา 1630 ทรัพย์มรดกยอ่ มตกแกจ่ ำเลยที่ 1

ดังนนั้ การทีจ่ ำเลยท่ี 1 และท่ี 2 ซ่งึ เป็นผูจ้ ัดการมรดก โอนทด่ี นิ มรดกใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 1 ในฐานะ
ส่วนตัวจงึ ไมช่ อบ เมื่อจำเลยท่ี 1 รับโอนมาแลว้ โอนต่อไปใหจ้ ำเลยที่ 3 ซงึ่ เป็นบตุ รยอ่ มไมช่ อบเชน่ กนั (ตามหลกั ผรู้ บั โอนไมม่ สี ทิ ธิดีกว่า
ผู้โอน) จำเลยที่ 3 จึงไมไ่ ดก้ รรมสทิ ธใ์ิ นทด่ี นิ ดงั กล่าว เม่ือจำเลยท่ี 3 ไมใ่ ชเ่ จ้าของกรรมสทิ ธิใ์ นทีด่ ิน จำเลยที่ 3 จงึ ไม่มสี ิทธินำทดี่ นิ มรดก
ดงั กลา่ ว ไปจดทะเบยี นจำนองแก่จำเลยที่ 5 เพราะจำเลยท่ี 3 ไม่ใช่เจา้ ของท่ีดนิ ตาม ป.พ.พ.705 ดงั นน้ั จำเลยท่ี 5 ผู้รบั จำนองไมอ่ าจ
อา้ งวา่ ตนสุจริตและเสยี ค่าตอบแทน เพื่อยงั ใหต้ นไดร้ บั ความคมุ้ ครองได้ เพราะกรณไี ม่เขา้ หลกั เกณฑต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรค
สอง โจทกซ์ งึ่ เปน็ ทายาทผู้มีสิทธริ บั มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 1715 จงึ มสี ทิ ธติ ดิ ตามเอาคนื ตาม ป.พ.พ.1336

ฎีกาที่ 4150/2556 ตามคำฟ้องและคำใหก้ ารมปี ระเดน็ อยวู่ ่า โจทก์มีสทิ ธฟิ อ้ งจำเลยขอให้เปดิ ทางจำเปน็ หรือไม่ หาก
เป็นทางจำเป็นแลว้ ควรกว้างยาวเพยี งใด และโจทกต์ ้องใช้คา่ ทดแทนแก่เจา้ ของทด่ี นิ หรอื ไม่ โจทกห์ าต้องบรรยายวา่ ทด่ี ินของ
โจทก์จำเลยเป็นทดี่ นิ แปลงเดยี วกนั มากอ่ น ส่วนการทท่ี ด่ี นิ ของโจทกแ์ ละจำเลยจะเป็นทด่ี นิ แปลงเดยี วกันมากอ่ นกเ็ ป็นเรื่องผลของ
กฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 ซง่ึ บญั ญัติวา่ ถ้าทดี่ นิ แบง่ แยกหรือแบง่ โอนกนั เป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มที างออกไปสทู่ างสาธารณะ
ไซร้ ทา่ นว่าเจา้ ของทด่ี นิ แปลงน้ันมสี ทิ ธิเรยี กรอ้ งเอาทางเดินตามมาตราก่อนไดเ้ ฉพาะบนท่ีดนิ แปลงที่ไดแ้ บง่ แยกหรือแบ่งโอนกนั และไม่
ตอ้ งเสยี คา่ ทดแทน ดังนั้น มาตรา 1350 นั้น จงึ ไมจ่ ำต้องบรรยายไวใ้ นคำฟ้องและเป็นเรอ่ื งข้อเทจ็ จรงิ ท่จี ะเกดิ ขน้ึ จากการพิจารณา
กล่าวคอื หากที่ดินแบง่ แยกหรอื แบง่ โอนกนั เปน็ เหตุใหไ้ มม่ ีทางออกสู่ทางสาธารณะ กไ็ ม่จำตอ้ งเสียคา่ ทดแทน หากทางจำเปน็ มิได้เกิด
จากการแบง่ แยกทด่ี นิ แปลงเดยี วกันผูท้ ่ขี อใช้ทางจำเป็นกจ็ ำตอ้ งใช้ค่าทดแทน การทโี่ จทก์นำสบื วา่ ทดี่ นิ ของโจทก์จำเลยเคยเปน็ ทดี่ นิ
แปลงเดยี วกันมากอ่ นจึงไม่เปน็ การนำสบื นอกฟอ้ งนอกประเด็น

25

26

ฎกี าท่ี 18606/2556 แมก้ ารไดก้ รรมสทิ ธ์ใิ นทีด่ นิ โดยการครอบครองปรปักษต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เป็นการได้มา
ซึ่งอสังหาริมทรัพยห์ รอื ทรัพยสทิ ธิอนั เกยี่ วกบั อสงั หาริมทรพั ย์โดยทางอ่นื นอกจากนติ ิกรรม ซึง่ ป.พ.พ. มาตรา 1299 จะหา้ มมิให้ยกขึ้น
เป็นข้อตอ่ ส้บู คุ คลภายนอกผไู้ ด้สิทธิมาโดยเสยี คา่ ตอบแทนโดยสจุ รติ และได้จดทะเบยี นสิทธโิ ดยสุจรติ แลว้ ก็ตาม แต่โจทกเ์ ปน็ เพยี ง
เจ้าหนต้ี ามคำพิพากษาและนำยดึ ทดี่ นิ พพิ าทเพอ่ื ขายทอดตลาด มใิ ช่ผทู้ ่ไี ด้สทิ ธมิ าโดยเสียค่าตอบแทนโดยสจุ ริตและได้จดทะเบยี นสิทธิ
โดยสุจรติ แลว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง จงึ ไม่เปน็ บคุ คลภายนอกท่จี ะมสี ิทธดิ กี ว่าผ้รู อ้ ง และแมข้ ณะโจทกย์ ดึ ทด่ี ินพิพาท
ศาลชัน้ ตน้ ยงั ไมม่ คี ำสงั่ ใหผ้ ้รู อ้ งได้กรรมสทิ ธโิ์ ดยการครอบครองปรปกั ษ์ ถอื วา่ เป็นการยดึ โดยชอบก็ตาม แตเ่ มอื่ ตอ่ มาศาลชั้นต้นมคี ำสง่ั
ใหผ้ ูร้ ้องได้กรรมสิทธิท์ ดี่ นิ พพิ าทโดยการครอบครองปรปกั ษแ์ ล้ว ผู้ร้องจงึ อย่ใู นฐานะอันจะใหจ้ ดทะเบยี นสทิ ธขิ องตนไดก้ ่อนตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1300 การทีโ่ จทกน์ ำยดึ ทดี่ นิ พิพาทเปน็ การบงั คับคดีท่ีกระทบถึงสิทธขิ องผรู้ ้อง ผู้รอ้ งชอบจะขอใหถ้ อนการยดึ ทดี่ ินพพิ าทไดต้ าม
ป.ว.ิ พ. มาตรา 288

ฎีกาที่ 1866/2559 โจทกท์ ง้ั สองเปน็ ฝ่ายกล่าวอ้างข้อเทจ็ จรงิ ว่าเจา้ ของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดนิ พพิ าทไดต้ กลงจบั สลาก
แบ่งแยกการครอบครองทีด่ ินพิพาทกนั เปน็ สัดส่วนแลว้ แต่จำเลยที่ 1 ให้การปฏเิ สธวา่ ยงั มิได้มกี ารแบง่ แยกการครอบครองเปน็ สดั ส่วน
โจทกท์ ้งั สองย่อมมภี าระการพสิ จู น์ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทก่ี ล่าวอ้าง

ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคหนึง่ บัญญตั ิวา่ “การแบ่งทรัพยส์ นิ พงึ กระทำโดยแบ่งทรพั ย์สินนัน้ เอง
ระหว่างเจ้าของรวม หรือโดยขายทรัพย์สนิ แลว้ เอาเงินที่ขายไดแ้ บ่งกนั ” และวรรคสองบญั ญตั ิว่า “ถ้าเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบง่
ทรัพย์สินอยา่ งไรไซร้ เมอ่ื เจ้าของรวมคนหนึ่งคนใดขอ ศาลอาจส่งั ใหเ้ อาทรพั ย์สินนน้ั ออกแบ่ง ถา้ ส่วนทแ่ี บง่ ให้ไม่เทา่ กันไซร้ จะสัง่ ให้
ทดแทนกันเป็นเงินก็ได้ ถ้าการแบ่งเช่นวา่ น้ีไม่อาจทำไดห้ รือจะเสียหายมากนกั ก็ดี ศาลจะสัง่ ใหข้ ายโดยประมลู ราคากันระหว่างเจา้ ของ
รวมหรือขายทอดตลาดกไ็ ด้” ซง่ึ บทบญั ญตั ิมาตรา 1364 เปน็ บทเฉพาะที่เกย่ี วกบั การแบง่ ทรพั ยส์ ินระหวา่ งเจ้าของรวม จงึ ไมอ่ าจนำ
บทบญั ญัติทวั่ ไปท่ีเกี่ยวกบั การจดั การทรพั ยส์ ินในกรณอี ่ืนซึง่ กำหนดใหใ้ ช้เสยี งขา้ งมากของเจา้ ของรวมตามมาตรา 1358 มาใชบ้ ังคบั กับ
การแบ่งทดี่ ินพิพาทในคดนี ้ี เม่อื เจ้าของกรรมสิทธ์ิรวมทกุ คนในทดี่ นิ พพิ าทยงั มิไดม้ ีการแบง่ แยกการครอบครองทดี่ นิ พิพาทเป็นสดั ส่วน
การแบ่งทดี่ นิ พพิ าทจงึ ต้องดำเนนิ การตามมาตรา 1364

ฎกี าท่ี 2938/2559 สัญญาเชา่ บ้านพพิ าทตามคำพิพากษาตามยอมมีระยะเวลาเชา่ ตง้ั แตว่ ันท่ี 6 ธ.ค. 2554 ถงึ วนั ที่ 6
ธ.ค. 2557 เมอ่ื ครบระยะเวลาตามสญั ญาแล้ว หากไม่มีการตอ่ สญั ญาเช่าจำเลยตอ้ งขนยา้ ยบริวารและทรัพยส์ นิ ออกไปจากบ้านพพิ าท
ปรากฏว่า เจ้ามรดกเจ้าของบ้านพพิ าทถงึ แกค่ วามตายต้ังแตว่ นั ท่ี 2 พ.ค. 2555 กอ่ นสญั ญาเชา่ ครบกำหนด ย่อมไม่มที างท่จี ำเลยจะตอ่
สญั ญาเช่าตามข้อตกลงในสัญญาประนปี ระนอมยอมความได้ ทง้ั ทรัพย์สินของเจ้ามรดกทัง้ หมดรวมถงึ บา้ นพพิ าทและเงนิ คา่ เช่าบา้ น
พิพาทท่จี ำเลยโอนเขา้ บญั ชีเงินฝากของเจา้ มรดก ยอ่ มเป็นทรัพย์มรดกตกทอดไปยงั ทายาท แม้จะไดค้ วามว่าเจา้ มรดกไดท้ ำบันทกึ ก่อน
ตายแตง่ ต้ังผูจ้ ดั การมรดกไว้เป็นคณะกรรมการโดยมี จ. เป็นประธานกรรมการ ส. และ พ. เปน็ กรรมการ และโจทกเ์ ป็นกรรมการและ
เลขานุการ แตห่ ลงั จากเจา้ มรดกถงึ แกค่ วามตาย คณะกรรมการจดั การมรดกดังกล่าวหาไดด้ ำเนินการจดั การมรดกหรือแบ่งปนั ทรัพย์

26

27

มรดกให้แกท่ ายาทไม่ และศาลยงั ไมม่ ีคำสง่ั แตง่ ตงั้ ผูจ้ ดั การมรดกของเจ้ามรดก ดงั นั้น ทายาททกุ คนจงึ เป็นเจา้ ของรวมในกองทรัพย์
มรดก การจดั การทรพั ย์มรดกตอ้ งบังคับตามบทบญั ญัตแิ หง่ ป.พ.พ. ว่าด้วยกรรมสทิ ธริ์ วมซง่ึ มาตรา 1361 บญั ญตั วิ ่า "เจา้ ของรวมคน
หนง่ึ ๆ จะจำหนา่ ยสว่ นของตน หรอื จำนอง หรือกอ่ ให้เกดิ ภาระติดพนั ไดก้ แ็ ตด่ ้วยความยินยอมแหง่ เจ้าของรวมทกุ คน

การใหเ้ ช่าบา้ นพิพาทถือได้วา่ เปน็ การก่อให้เกดิ ภาระตดิ พนั ในตวั ทรพั ยส์ นิ ซ่ึงจะกระทำได้กต็ ่อเมอ่ื
ได้รับความยินยอมของทายาทซงึ่ เป็นเจา้ ของกรรมสิทธิ์รวมทกุ คน จ. ไมอ่ าจตกลงให้จำเลยเชา่ บ้านพพิ าทได้ไม่วา่ จะเปน็ การตกลงให้
เชา่ โดยลำพงั หรือเป็นการตกลงให้เชา่ โดยเปน็ มติเสยี งขา้ งมากของทายาท เม่ือจำเลยอ้างวา่ จ. และทายาทของเจา้ มรดกฝา่ ยเสยี งข้าง
มากตกลงให้จำเลยเชา่ บ้านสว่ นโจทกท์ ายาทอกี คนหน่งึ กย็ ืนยนั วา่ ไมไ่ ด้ให้ความยนิ ยอมให้ จ. ตกลงทำสญั ญาเชา่ บา้ นพพิ าทกบั จำเลย
แสดงว่าการทำสญั ญาเชา่ บา้ นพิพาทระหวา่ ง จ. กับจำเลยไม่ได้รบั ความยินยอมจากเจา้ ของกรรมสิทธ์ริ วมทุกคน สญั ญาเช่าบ้านพิพาท
ระหว่าง จ. กับจำเลยจงึ ไมม่ ผี ลใชบ้ ังคับได้ จำเลยย่อมไมม่ ีสิทธอิ ย่อู าศยั ในบา้ นพพิ าทตามสญั ญาเช่าดังกลา่ ว ต้องขนย้ายบรวิ ารและ
ทรพั ยส์ นิ ออกไปจากบ้านพิพาทเมอ่ื ครบกำหนดระยะเวลาเช่าตามข้อตกลงตามสญั ญาประนีประนอมยอมความ ซึง่ โจทก์มสี ิทธบิ งั คบั
คดไี ด้ทนั ที

ฎีกาท่ี 1511/2542 เดมิ ทดี่ ินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทกแ์ ละโฉนดเลขท่ี 94012 พร้อมส่ิงปลกู สร้างของจำเลย เป็น
ทด่ี ินแปลงเดียวกนั ซง่ึ โจทก์ซ้ือ มาจากน. โดยมสี งิ่ ปลูกสรา้ งอยใู่ นทีด่ ินมากอ่ นแล้ว ตอ่ มาโจทกน์ ำทดี่ นิ โฉนดเลขที่ 94012 ไปจด
ทะเบียนจำนองและมีการ บงั คบั จำนอง ซึง่ ต.เปน็ ผปู้ ระมูลไดจ้ ากน้ันต.ขายทด่ี นิ ดงั กล่าวพร้อมสงิ่ ปลกู สรา้ งใหแ้ กจ่ ำเลย ปรากฏวา่ สง่ิ
ปลูกสร้าง บางสว่ นคอื สว่ นหนึง่ ของบา้ นเลขที่ 17 และรัว้ บา้ นรุกลำ้ ท่ีดนิ โฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ กรณจี งึ ไมเ่ ขา้ ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1312 เพราะการรุกลำ้ มิได้ เกดิ จากจำเลยสร้างขึ้น เมอื่ ไมม่ บี ทกฎหมายท่ีจะยกมาปรับคดไี ด้จงึ ต้อง
นำมาตรา 1312 ซงึ่ เปน็ บทกฎหมายใกลเ้ คยี งอย่างยง่ิ มาปรบั ตามมาตรา 4 วรรคสอง แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ดังนั้น
โจทกจ์ ึงไม่มอี ำนาจฟอ้ งจำเลยใหร้ ้อื ส่วนของบ้านเลขท่ี 17ทร่ี กุ ลำ้ แตม่ สี ิทธเิ รยี กเงินเปน็ คา่ ใช้ส่วนแดนกรรมสทิ ธ์แิ ละดำเนนิ การจด
ทะเบียนสทิ ธเิ ปน็ ภารจำยอม เมอื่ รัว้ บา้ น ท่รี ุกล้ำนนั้ มใิ ช่การรุกลำ้ ของโรงเรือนหรอื สว่ นหนงึ่ สว่ นใด ของโรงเรือนอนั จะปรับใชม้ าตรา
1312 ได้ จำเลยจงึ ต้อง ร้อื ร้วั บา้ นทร่ี ุกลำ้ โจทก์มีคำขอใหจ้ ำเลยร้อื ส่ิงปลูกสร้างทรี่ ุกลำ้ ออกไป รั้วบา้ น ก็อย่ใู นความหมายของส่งิ ปลูก
สร้างในท่ดี นิ เชน่ เดยี วกบั โรงเรอื น การทศี่ าลช้ันตน้ พิพากษาใหจ้ ำเลยรื้อรวั้ บ้านทรี่ กุ ลำ้ จงึ หาได้ เปน็ การพิพากษาเกินคำฟอ้ งไม่ แมก้ อ่ น
ฟ้องคดีนจ้ี ำเลยยงั ไมต่ กเปน็ ผผู้ ดิ นดั แต่เมือ่ โจทก์ ฟอ้ งเรยี กคา่ ใช้ที่ดินจากจำเลยแลว้ จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระ คา่ ใช้ท่ดี นิ แก่โจทก์
ย่อมถือวา่ จำเลยตกเป็นผูผ้ ดิ นัด นบั แต่วนั ฟอ้ งแลว้

ฎกี าที่ 5423/2553 หนงั สือสญั ญาจำนองทดี่ ินเฉพาะสว่ นและข้อตกลงต่อทา้ ยสญั ญาจำนองระหวา่ งโจทก์จำเลยระบุ
วา่ จำเลยจำนองทรัพยเ์ ฉพาะส่วนกรรมสิทธขิ์ องจำเลยเท่านนั้ เปน็ ประกนั การชำระหน้ี แตต่ วั ทรพั ยท์ ้งั หมดนั้นจำเลยจะกอ่ ภาระติดพนั
ได้ก็แตด่ ้วยความยนิ ยอมแหง่ เจ้าของรวมทกุ คนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง เมอ่ื เจ้าของรวมคนอ่นื ไมไ่ ด้ยนิ ยอมใหจ้ ำเลยทำนติ ิ
กรมจำนองด้วย การจำนองจึงไมผ่ ูกพันตัวทรัพย์ทงั้ หมด การท่จี ำเลยเจา้ ของรวมคนหนง่ึ จดทะเบยี นจำนองท่ดี ินพรอ้ มสงิ่ ปลูกสรา้ ง

27

28

เฉพาะสว่ นของตนต่อโจทก์จึงเปน็ การจำนองเฉพาะสว่ นแห่งสทิ ธิของตนเท่านนั้ ตามมาตรา 1361 วรรคหนง่ึ ศาลพพิ ากษาใหย้ ดึ ทด่ี นิ
พร้อมสิง่ ปลกู สรา้ งเฉพาะส่วนของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนีแ้ กโ่ จทก์

ฎกี าที่ 2539/2549 โจทก์ฟ้องขอให้บงั คบั จำเลยไปจดทะเบยี นภาระจำยอมตามขอ้ ตกลง หากจดทะเบยี นไมไ่ ด้ให้
จำเลยชำระคา่ เสียหายแกโ่ จทก์ 200,000 บาท เป็นการฟ้องใหป้ ฏิบตั ติ ามสัญญาเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซง่ึ ภาระจำยอม ภาระจำยอมซง่ึ เปน็ สทิ ธทิ ่ี
โจทก์อา้ งวา่ ตกลงกับจำเลยเพื่อให้ได้มาดังกลา่ วยอ่ มอาจคำนวณเป็นราคาเงนิ ได้ ถือได้วา่ เปน็ คดปี ลดเปลอ้ื งทกุ ขอ์ นั อาจคำนวณเปน็
ราคาเงินไดซ้ ง่ึ มที นุ ทรพั ย์ขณะยน่ื คำฟอ้ งไมเ่ กิน 200,000 บาท และเมือ่ ศาลอทุ ธรณพ์ ิพากษายืนใหจ้ ำเลยไปจดทะเบยี นภาระจำยอม
หากจดทะเบยี นไมไ่ ดใ้ หจ้ ำเลยชำระค่าเสยี หายแก่โจทกจ์ ำนวน 108,000 บาท คดีจงึ มที นุ ทรพั ย์ในชนั้ ฎีกาสำหรบั จำเลยไมเ่ กิน
200,000 บาท

ฎกี าของจำเลยทีว่ ่า จำเลยไมไ่ ดต้ กลงให้โจทก์ทำถนนในทางพิพาท โดยจำเลยตกลงจะไปจด
ทะเบียนทางพพิ าทเป็นภาระจำยอม คา่ เสยี หายของโจทกม์ ีจำนวนนอ้ ยกวา่ 100,000 บาท เป็นการโตแ้ ย้งดลุ พนิ จิ ในการรบั ฟงั
พยานหลกั ฐานของศาลอทุ ธรณ์ เป็นการฎกี าในปัญหาข้อเทจ็ จรงิ และฎีกาของจำเลยท่ีว่าโจทก์ถมดนิ ในทางพพิ าทเพอ่ื ประโยชนข์ อง
ตนเอง แลว้ นำคดมี าฟ้องเป็นการใช้สิทธไิ ม่สุจรติ เปน็ ปญั หาท่ีจะตอ้ งวินจิ ฉยั ข้อเท็จจรงิ เสยี ก่อนวา่ จำเลยไดต้ กลงใหโ้ จทก์ถมดนิ ในทาง
พิพาทโดยจำเลยจะไปจดทะเบยี นทางพิพาทเป็นภาระจำยอมใหจ้ รงิ หรือไม่ จงึ เปน็ ฎีกาในปญั หาขอ้ เท็จจรงิ เพือ่ นำไปสปู่ ญั หาขอ้
กฎหมายตามท่ีจำเลยฎกี าเปน็ ฎีกาในปญั หาข้อเทจ็ จรงิ ฎกี าจำเลยทกุ ขอ้ จงึ ตอ้ งห้ามมิใหฎ้ กี าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหน่งึ

ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคแรก กำหนดใหก้ ารไดม้ าซึง่ ทรัพยสิทธทิ ่ีมไิ ด้ทำหนงั สอื และจด
ทะเบียนต่อพนกั งานเจ้าหน้าทีไ่ มอ่ าจใช้ยนั และไมอ่ าจบงั คบั บคุ คลภายนอกที่มไิ ดเ้ ป็นคูส่ ญั ญาเท่านัน้ มิได้เป็นการกำหนดให้นติ กิ รรม
นน้ั ในส่วนทเ่ี ป็นบคุ คลสทิ ธติ กเปน็ โมฆะเสยี เปลา่ ไป นติ ิกรรมดังกล่าวจึงยงั คงมผี ลผกู พนั บงั คบั กันไดใ้ นระหวา่ งคสู่ ญั ญา ดงั นนั้ แม้จะได้
ความวา่ ข้อตกลงเร่ืองภาระจำยอมระหว่างโจทกก์ บั จำเลยเปน็ ขอ้ ตกลงท่ีมไิ ด้จดทะเบยี นไว้กับพนกั งานเจา้ หน้าทีก่ ใ็ ชบ้ ังคบั กนั ได้ใน
ระหวา่ งโจทกก์ ับจำเลย

ฎกี าที่ 9455/2558 โจทกท์ ง้ั หกครอบครองทดี่ ินพิพาทตลอดมาโดยคิดว่าเป็นทดี่ นิ มรดกของบดิ าโจทกท์ ี่ 1 ถงึ 3 ท่ี 5
และท่ี 6 แมโ้ จทกท์ ้งั หกจะทราบภายหลังว่าทีด่ ินพพิ าทไม่ใชข่ องโจทกท์ งั้ หกกต็ าม แตโ่ จทก์ทัง้ หกเขา้ ครอบครองที่ดนิ พพิ าทโดยความ
สงบและเปดิ เผยด้วยเจตนาเป็นเจา้ ของเปน็ เวลาตดิ ตอ่ กันมาเกินกว่าสบิ ปโี ดยไม่มีผู้ใดโตแ้ ยง้ คดั คา้ น โจทกท์ งั้ หกย่อมไดก้ รรมสิทธิ์ใน
ทดี่ ินพิพาทโดยการครอบครองปรปกั ษต์ ามป.พ.พ. มาตรา 1382 โดยหาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยแู่ ลว้ วา่ เป็นทดี่ ินของผอู้ ่ืนไม่

โจทกท์ ัง้ หกไดร้ ้องขอออกโฉนดท่ีดิน จึงทราบว่าทดี่ นิ พพิ าทเปน็ สว่ นหนง่ึ ของทีด่ ินมโี ฉนดมีชอื่ จำเลยเปน็ ผู้
ถอื กรรมสิทธโ์ิ จทกท์ งั้ หกยินยอมให้ออกโฉนดทดี่ นิ โดยไมร่ วมทด่ี นิ พิพาทดว้ ย แต่โจทก์ทง้ั กหยงั ครอบครองทด่ี ินพพิ าทตลอดมาในฐานะ
เจา้ ของไม่ปรากฏวา่ โจทก์ทงั้ หกได้เจตนาสละการครอบครอง การทโี่ จทกท์ ้ังหกยอมรบั เนื้อทตี่ ามที่ปรากฏในโฉนดทด่ี ิน ไม่อาจถือไดว้ ่า
โจทกท์ ั้งหกเจตนาสละการครอบครองท่ีดนิ พพิ าทให้แกจ่ ำเลยแล้ว

28

29

ฎกี าที่ 1325/2556 การได้ภาระจำยอมโดยอายคุ วามตามป.พ.พ. มาตรา 1401 ให้นำบทบัญญตั ิว่าดว้ ยอายคุ วามได้
สิทธอิ นั กลา่ วไวใ้ นลกั ษณะ 3แหง่ บรรพน้ีมาใชบ้ งั คับโดยอนโุ ลมซ่ึงกค็ ือให้นำมาตรา 1382 มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม กลา่ วคือการท่ีโจทก์
ทั้งสองจะไดภ้ าระจำยอมโดยอายคุ วามในฐานะท่เี ปน็ เจ้าของกรรมสิทธิ์ทด่ี นิ ท้งั สองแปลงอันเปน็ สามทรัพยต์ อ้ งใช้ทางในท่ีดินโฉนดที่ดนิ
เลขที่10 ของจำเลยทงั้ สโี่ ดยปรปกั ษ์ ตอ่ เจ้าของทดี่ นิ เพือ่ ใหไ้ ด้ทางภาระจำยอมโดยสงบเปิดเผยเป็นเวลา 10 ปซี ่งึ ในกรณดี งั กล่าวน้ี
กฎหมายมงุ่ ประสงค์ใหถ้ ือเอาการใช้ประโยชน์ของเจ้าของสามยทรพั ย์เป็นสำคัญโดยไมไ่ ด้คำนงึ วา่ ภารยทรัพย์นัน้ จะเปน็ ของผใู้ ดหรือ
เจ้าของสามยทรัพย์จะต้องรูว้ า่ ใครเป็นเจ้าของสามยทรพั ย์น้นั เมอ่ื ขอ้ เท็จจรงิ ฟงั ไดว้ ่า โจทกท์ งั้ สองมีเจตนาถอื เอาทางพิพาทโดยสงบโดย
เปดิ เผยเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แมโ้ จทก์ทงั้ สองจะสำคญั ผิดวา่ ทางพิพาทอยู่ในเขตท่ีดนิ โฉนดทด่ี นิ เลขที่ 37098 ของผู้อน่ื แตเ่ ม่ือ
กฎหมายมงุ่ ประสงคท์ ใ่ี ห้ถือเอาการใชป้ ระโยชนข์ องเจ้าของสามยทรัพยเ์ ปน็ สำคญั แล้วทางพพิ าทในทด่ี ินจำเลยทง้ั สตี่ ามแผนท่พี พิ าทจงึ
ตกเป็นภาระจำยอมแกท่ ดี่ นิ โจทก์ทงั้ สอง

ฎกี าที่ 3093/2559 ผู้ร้องทั้งห้าครอบครองทดี่ ินพิพาทซงึ่ เป็นสว่ นหนงึ่ ของที่ดนิ มโี ฉนดซ่ึงผคู้ ดั คา้ นและ ณ. มีช่ือเปน็
เจา้ ของกรรมสทิ ธิร์ ว่ มกนั แม้จะโดยเขา้ ใจผดิ คดิ ว่าเปน็ ทด่ี นิ ของตนกต็ าม แตห่ ากผรู้ อ้ งท้ังหา้ ครอบครองทด่ี ินพพิ าทดว้ ยเจตนาเปน็
เจ้าของอย่างแทจ้ รงิ แล้ว ก็ไม่จำเป็นท่ีผรู้ อ้ งทง้ั ห้าตอ้ งร้มู าก่อนวา่ ทีด่ ินนัน้ เปน็ ของผอู้ น่ื แลว้ แย่งการครอบครองมาเปน็ เวลาเกนิ กวา่ 10
ปี จึงได้กรรมสทิ ธ์ิ แม้ผรู้ อ้ งทง้ั หา้ เขา้ ครอบครองท่ีดินพิพาทของผ้คู ัดคา้ นโดยเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ เป็นทดี่ นิ ของผ้รู ้องทงั้ หา้ กถ็ ือไดว้ า่ เปน็ การ
เขา้ ยึดครองทดี่ นิ ของผอู้ นื่ ดว้ ยเจตนาเปน็ เจา้ ของตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1382 แลว้ หากผู้ร้องทั้งหา้ เขา้
ครอบครองโดยสงบและเปดิ เผยด้วยเจตนาเปน็ เจ้าของตดิ ตอ่ กันเป็นเวลาสบิ ปี ผรู้ อ้ งทงั้ ห้าก็ได้กรรมสทิ ธใ์ิ นทด่ี ินพพิ าทโดยการ
ครอบครองปรปักษต์ ามบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายดงั กลา่ ว

ฎีกาท่ี 5103/2547 การขอผ่านทางทีด่ นิ ซง่ึ ล้อมอยู่ออกสูท่ างสาธารณะนน้ั ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหน่งึ บญั ญตั ิ
ใหม้ งุ่ พจิ ารณาถึงสภาพของทด่ี นิ น้นั จะต้องถูกทดี่ ินแปลงอนื่ ลอ้ มจนไมม่ ีทางออกสทู่ างสาธารณะเปน็ สำคัญ เจา้ ของที่ดินแปลงนน้ั จงึ มี
สทิ ธิจะผา่ นทดี่ นิ ซง่ึ ลอ้ มอยอู่ อกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยมไิ ด้กำหนดเงอ่ื นไขว่าผู้เปน็ เจา้ ของทีด่ ินทถี่ กู ล้อมจะตอ้ งไดท้ ี่ดินมาโดยสจุ ริต
แม้จะฟังได้วา่ โจทกซ์ ้ือท่ีดินมาโดยรู้อยู่แล้วว่ามที ดี่ ินแปลงอน่ื ล้อมอยจู่ นไมม่ ีทางออกสทู่ างสาธารณะไดก้ ต็ าม ก็ไม่ทำให้สทิ ธขิ องโจทกท์ ่ี
จะผ่านทด่ี นิ ทลี่ ้อมอยู่ออกสทู่ างสาธารณะหมดไป

กฎหมายมไิ ด้บญั ญตั ิว่าเจา้ ของที่ดนิ ท่ีถูกทด่ี ินแปลงอ่นื ลอ้ มจะตอ้ งขอผา่ นทด่ี ินทีล่ อ้ มอยู่ซึง่ อย่ใู กล้
ทางสาธารณะมากทีส่ ุดเทา่ นัน้ เพียงแตก่ ารทีจ่ ะผ่านทด่ี ินทลี่ อ้ มนนั้ ท่ีและวิธที ำทางผา่ นตอ้ งเลอื กใหพ้ อสมควรแกค่ วามจำเปน็ ของผมู้ ี
สิทธิจะผ่านกบั ทัง้ ใหค้ ำนงึ ถงึ ที่ดินทล่ี ้อมอยูใ่ ห้เสยี หายแตน่ อ้ ยทส่ี ุดท่จี ะเปน็ ได้ ถ้าจำเปน็ จะสร้างถนนเป็นทางผา่ นกไ็ ด้ ทด่ี นิ ของจำเลยมี
เน้อื ทเี่ พยี ง 5 ตารางวา มรี ปู ลักษณะเป็นสามเหล่ียมชายธงซง่ึ ใชป้ ระโยชนเ์ พยี งเป็นทางเขา้ หมูบ่ า้ น และเชื่อมกบั ท่ดี ินอกี 2 แปลงของ
จำเลยทมี่ ีสภาพเปน็ ถนนเพ่อื ใหผ้ ูอ้ ยอู่ าศยั ในหม่บู ้านออกส่ทู างสาธารณะ โจทก์จงึ ไม่จำตอ้ งทำทางผา่ นใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่ทดี่ นิ
จำเลย และจำเลยก็มิได้รบั ความเสยี หายในการท่ีโจทก์จะใช้เปน็ ทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะเพราะมีสภาพเปน็ ทางอยู่แล้ว ทด่ี ินของ
จำเลยท่โี จทก์ขอผา่ นเปน็ ทางจำเป็นจงึ เป็นทางทส่ี ะดวกทีส่ ดุ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยนอ้ ยทสี่ ดุ ต่างกบั อกี ดา้ นหน่ึงทีด่ ินที่

29

30

ล้อมไมม่ ีสภาพเป็นทาง มีหญา้ และตน้ ไม้ปกคลมุ กับตอ้ งผ่านทด่ี นิ อกี หลายแปลง ทงั้ จะตอ้ งปรับปรงุ เพ่อื ให้มีสภาพเป็นทางอีกดว้ ย
แม้ทางจำเป็นจะเปน็ ถนนซงึ่ เป็นสาธารณูปโภคท่ผี ู้จดั สรรทดี่ ินได้จดั ให้มขี น้ึ และตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชนแ์ กท่ ่ดี ินจดั สรรซงึ่
กฎหมายห้ามผู้จดั สรรทดี่ นิ ทำนติ ิกรรมกบั บุคคลใดกอ่ ให้เกิดภาระแก่ทดี่ ินนน้ั กต็ าม แตเ่ มอื่ ถนนดงั กลา่ วตกอย่ภู ายใตส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งท่ี
โจทกจ์ ะขอเปิดทางจำเป็นไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหน่ึง ซง่ึ เปน็ ไปโดยผลของกฎหมาย มิใชเ่ ป็นเรื่องทผ่ี ้จู ัดสรรท่ีดนิ ทำนติ ิ
กรรมแต่อย่างใด จงึ ไม่ขัดต่อกฎหมาย

ฎกี าท่ี 811 - 812/2540 แมเ้ ดิมผ้อู ยู่ในที่ดินแปลงทโี่ จทกร์ ับโอนมาจะมีสทิ ธิใช้ทางในทด่ี นิ ของจำเลยในฐานะทางจำเปน็ ก็
ไมไ่ ดห้ มายความวา่ โจทก์ผรู้ ับโอนท่ดี ินจะได้สทิ ธิในทางเดินน้นั มาดว้ ยอย่างภารจำยอมเพราะทางจำเป็นมใิ ชส่ ิทธทิ ต่ี ดิ กบั ทด่ี นิ ทีจ่ ะโอน
ไปพร้อมกับท่ีดินด้วยทางจำเปน็ เกิดขน้ึ และมีอย่ตู ามความจำเปน็ เมือ่ โจทก์ไมม่ คี วามจำเปน็ ทีจ่ ะต้องใชท้ างน้ันเพราะโจทกเ์ ป็นเจ้าของ
ท่ดี นิ อกี แปลงหนง่ึ ซง่ึ โจทกส์ ามารถใชท้ ด่ี ินแปลงดงั กลา่ วเป็นทางออกสูท่ างสาธารณะได้โจทก์จงึ ไม่มสี ทิ ธขิ อเปดิ ทางพิพาทเป็นทาง
จำเปน็ ไม่วา่ จะเป็นกรณตี ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1349 หรือมาตรา 1350

ฎกี าที่ 5672/2546 การทีผ่ ู้เปน็ เจ้าของทด่ี ินท่ีโจทก์รับโอนมามสี ิทธิใช้ทางพพิ าทในทด่ี นิ ของจำเลยในฐานะทางจำ
เปน็ มากอ่ น ก็ไม่ไดห้ มายความวา่ โจทก์จะไดส้ ิทธิในทางพิพาทนนั้ ด้วยอยา่ งภารจำยอม เพราะทางจำเปน็ มใิ ชส่ ทิ ธทิ ต่ี ดิ กบั ทด่ี นิ ทจี่ ะโอน
ไปพรอ้ มกับทีด่ ินดว้ ยท้งั เปน็ การจำกดั และริดรอนอำนาจกรรมสทิ ธท์ิ ่ีดนิ ของบุคคลอ่นื จงึ ตอ้ งแปลความโดยเครง่ ครดั เมือ่ ท่ีดินซง่ึ โจทก์
รับโอนมามีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านทดี่ นิ อกี แปลงหนง่ึ ของโจทกซ์ ึ่งอยู่ตดิ กัน แมส้ ่วนที่ดินทตี่ ดิ กันกว้างเพยี ง 1.16 เมตร และ
ทางเดนิ ออกสู่ทางสาธารณะกว้างเพยี ง 1.35 เมตร ไมส่ ามารถใช้รถยนตเ์ ป็นยานพาหนะเพื่อผ่านเขา้ ออกได้กเ็ ป็นเรอื่ งความสะดวกของ
โจทก์ เท่าน้นั หาใชว่ า่ โจทก์ไม่มที างออกไปสทู่ างสาธารณะไม่ โจทกจ์ งึ ไมม่ สี ทิ ธขิ อเปดิ ทางพิพาทในทีด่ นิ ของจำเลยเป็นทางจำเปน็

ฎกี าท่ี 4676/2560 จำเลยซ้ือทดี่ ินมือเปล่าจากมารดาโจทก์แลว้ เขา้ ครอบครองอยู่อาศัย จงึ เป็นการครอบครองอยา่ ง
เป็นเจา้ ของ ต่อมามารดาโจทกข์ อออกโฉนดทด่ี ินรวมไปถงึ ทดี่ นิ ท่ีจำเลยซื้อ เม่ือจำเลยยงั คงครอบครองทีด่ นิ ท่ซี ื้อโดยความสงบและโดย
เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ระยะเวลาแหง่ การครอบครองปรปกั ษ์ทด่ี นิ จึงเริ่มนับต้งั แตว่ ันท่ีออกโฉนดทด่ี นิ เปน็ ตน้ ไป และ
จำเลยไมอ่ ยู่ในฐานะเป็นผยู้ ึดถอื แทนจึงไมต่ อ้ งบอกกลา่ วเปลยี่ นลกั ษณะการครอบครองไปยงั ผู้ขาย เม่ือนับถงึ วนั ฟอ้ งเป็นเวลาเกนิ กว่า
10 ปี จำเลยจงึ ไดก้ รรมสทิ ธ์ใิ นทด่ี นิ โดยการครอบครองปรปกั ษ์

ฎีกาที่ 4686/2560 คดีถงึ ที่สดุ โดยศาลฎกี าพพิ ากษาใหโ้ จทก์มีสทิ ธใิ ชท้ ด่ี ินของจำเลยร่วมเปน็ ทางจำเปน็ เพือ่ เปน็
ทางออกจากท่ีดินของโจทกไ์ ปสทู่ างสาธารณะซง่ึ ตดิ ตอ่ กับทด่ี ินของจำเลยร่วม โจทกย์ อ่ มมีสิทธิใช้ในทางทด่ี นิ ของจำเลยร่วมด้วยอำนาจ
แห่งกฎหมาย ทางจำเป็นจงึ เป็นสิทธทิ ่ีมอี ยู่เหนอื ทรัพยส์ นิ และสามารถใช้ยนั ไดแ้ กบ่ คุ คลทัว่ ไป แมจ้ ำเลยร่วมจะโอนที่ดินให้แก่ ส. แลว้
ส. ขายท่ดี นิ ใหแ้ กผ่ ู้ร้องและผรู้ อ้ งจะซอื้ ทด่ี ินโดยสุจริตกต็ าม โจทกก์ ย็ งั คงมสี ิทธใิ ช้ทางจำเปน็ ในทด่ี ินอย่นู ัน่ เอง ผู้ร้องจะขอใหเ้ พิกถอน
การบังคบั คดเี พอ่ื มิใหโ้ จทก์ใชท้ างเปน็ ทางจำเป็นหาได้ไม่ แม้ผู้รอ้ งอ้างว่าทางจำเปน็ สามารถเปล่ยี นแปลงไดก้ ็เป็นเรอื่ งท่ีผู้รอ้ งต้องไปว่า
กล่าวกันต่างหากจะยกข้นึ มาอา้ งเพ่ือเพกิ ถอนการบงั คับคดขี องโจทก์มิให้โจทกใ์ ช้ทางจำเป็นตามคำพิพากษาหาไดไ้ ม่

30

31

ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคส่ี ผมู้ ีสิทธิจะผา่ นจะต้องใชค้ ่าทดแทน
ใหแ้ ก่เจ้าของทด่ี นิ เม่ือช้ันบงั คบั คดผี ้รู ้องเปน็ เจา้ ของทด่ี นิ ที่เป็นทางจำเป็น ผรู้ ้องในฐานะเจ้าของทด่ี นิ ผูร้ ้องในฐานะเจ้าของทด่ี นิ ยอ่ มมี
สทิ ธิรับเงนิ ค่าทดแทนตามคำพพิ ากษาศาลฎกี าได้

ฎีกาที่ 10150/2559 ที่ดินท้งั สามแปลงมชี ือ่ จำเลยเป็นเจา้ ของ ตอ่ มาจำเลยจดทะเบยี นจำนองท่ีดนิ ท้ังสามแปลงไวแ้ ก่
โจทก์ ผรู้ ้องซงึ่ อา้ งวา่ ครอบครองปรปกั ษท์ ด่ี ินทงั้ สามแปลงดงั กลา่ วโดยได้รบั การยกใหจ้ ากพลตำรวจโท ก. และทำประโยชน์ปลูกมัน
สำปะหลงั มาตง้ั แต่ก่อนโจทก์จะรับจำนองทดี่ ิน เป็นการกล่าวอา้ งวา่ ผู้ร้องได้มาซง่ึ อสงั หาริมทรพั ยโ์ ดยทางอืน่ นอกจากนิติกรรมและยงั
มิไดจ้ ดทะเบยี น กรณจี งึ ตอ้ งดว้ ยบทบญั ญัตแิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ท่หี า้ มมิใหย้ กข้ึนเปน็ ขอ้ ตอ่ สู้บคุ คลภายนอกผไู้ ด้สิทธิ
มาโดยเสยี ค่าตอบแทนและโดยสจุ รติ และไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธโิ ดยสุจริตแลว้ ซง่ึ ในคดรี ้องขดั ทรัพย์ ป.วิ.พ. มาตรา 288 อยู่ภายใต้
บทบญั ญตั มิ าตรา 55 เช่นนี้ ผรู้ อ้ งจงึ ตอ้ งบรรยายมาในคำรอ้ งขอโดยชัดแจ้งวา่ มขี ้อโตแ้ ย้งเก่ียวกับสทิ ธหิ รือหน้าที่ระหว่างผู้รอ้ งกบั โจทก์
ตามกฎหมายแพ่งอยา่ งไรอนั เปน็ ข้ออา้ งทอ่ี าศยั เป็นหลกั แหง่ ข้อหาเช่นว่านั้น ผู้รอ้ งจึงจะมสี ทิ ธินำพยานหลักฐานเข้าสบื ไดต้ ามทก่ี ล่าว
อ้าง การทผ่ี ู้รอ้ งบรรยายในคำร้องขอว่าคดีอยูร่ ะหว่างการรวบรวมพยานหลกั ฐานเพื่อฟอ้ งขอเพกิ ถอนการจดทะเบยี นจำนองระหวา่ ง
โจทกก์ บั จำเลย มใิ ชข่ อ้ อา้ งท่อี าศยั เปน็ หลักแหง่ ขอ้ หาวา่ โจทกร์ บั จำนองไว้โดยไมส่ ุจริต เมือ่ ผ้รู ้องไม่ไดต้ ง้ั ประเด็นในคำร้องขอวา่ โจทก์
มิใช่บุคคลภายนอกและรับจำนองโดยไมส่ จุ รติ คดจี งึ ไมม่ ีประเดน็ ที่ผู้ร้องจะนำพยานหลักฐานเขา้ สืบเปน็ ขอ้ ตอ่ ส้โู จทก์ในประเดน็
ดังกลา่ วได้ จงึ ต้องรับฟงั วา่ โจทกร์ ับจำนองโดยสุจริตตามข้อสนั นษิ ฐานของ ป.พ.พ. มาตรา 6 และเมือ่ ผู้ร้องมิได้จดทะเบยี นการได้มา
ต่อพนักงานเจา้ หนา้ ที่ ผรู้ อ้ งจะยกขน้ึ เป็นขอ้ ตอ่ สู้โจทกว์ ฿งเปน็ บคุ คลภายนอกผไู้ ด้สทิ ธมิ าโดยเสียคา่ ตอบแทนและโดยสุจรติ และได้จด
ทะเบยี นสทิ ธโิ ดยสจุ รติ แล้วไมไ่ ดต้ ามบทบญั ญตั ดิ ังกลา่ ว

ฎีกาท่ี 13287/2558 ป.พ.พ. มาตรา 1393 วรรคหนึ่ง บัญญตั ิวา่ ”ถ้ามิไดก้ ำหนดไว้เปน็ อย่างอนื่ ในนติ กิ รรมอัน
ก่อให้เกดิ ภาระจำยอมไซร้ ทา่ นวา่ ภาระจำยอมย่อมตดิ ไปกับสามยทรพั ย์ซงึ่ ได้จำหน่ายหรอื ตกไปในบังคบั แหง่ สิทธอิ น่ื ” ซึง่ หมายความ
วา่ ภาระจำยอมยอ่ มตกตดิ ไปกับสามยทรัพยเ์ สมอไมว่ ่าจะโอนสามยทรพั ยใ์ ห้ผ้ใู ด เวน้ แตก่ รณีภาระจำยอมได้มาโดยนติ กิ รรมและนิติ
กรรมทกี่ ่อตั้งภาระจำยอมไดจ้ ำกดั ไว้ว่าใหภ้ าระจำยอมระงบั ไปเมอื่ มกี ารโอนสามยทรัพย์ไปยังบคุ คลอื่น กต็ อ้ งเปน็ ไปตามข้อตกลงน้ัน

ฎกี าท่ี 1194/2558 เมอื่ วันท่ี 2 กรกฎาคม 2534 ได้มีการจดทะเบยี นใหท้ ด่ี ินโฉนดเลขท่ี 110512, 110514, 110517,
140405, 140406 และ 140407 ตำบลเหมือง อำเภอเมอื งชลบรุ ี จงั หวดั ชลบุรี ไดส้ ิทธิภาระจำยอมเร่ืองทางเดินในท่ดี นิ โฉนดเลขที่
128536 และ 131287 ตำบลเหมือง อำเมอื งชลบุรี จงั หวดั ชลบรุ ี ตามข้อตกลงเรื่องภาระจำยอม ตอ่ มาวันที่ 25 กุมภาพนั ธ์ 2548
จำเลยไดซ้ ้อื ทดี่ นิ โฉนดเลขที่ 128536 และ 131287 อันมีสิทธิภาระจำยอมตดิ อยู่ ครนั้ วันท่ี 25 สิงหาคม 2551 โจทก์ได้ซอ้ื ทดี่ นิ อนั เป็น
สามยทรพั ยร์ วม 6 โฉนดดังกลา่ วข้างตน้ ในปี 2552 จำเลยก่อสร้างรั้วคอนกรตี ปดิ ทางภาระจำยอม ทด่ี ินอนั เป็นสามยทรัพย์รวม 6
โฉนดเปน็ ที่ว่างเปลา่ ยงั ไม่ไดท้ ำประโยชน์ เมอ่ื โจทก์ซือ้ ที่ดนิ ดงั กล่าวและไม่สามารถใชท้ างภาระจำยอมไดจ้ งึ ฟ้องจำเลยให้ร้อื ถอนรัว้
กำแพงคอนกรตี คดมี ีปญั หาขนึ้ สศู่ าลฎกี า ตามฎกี าของโจทกท์ วี่ า่ จำเลยยกข้ออา้ งวา่ ภาระจำยอมสิ้นไปเพราะมไิ ดใ้ ช้ 10 ปเี ปน็ ข้อต่อสู้

31

32

โจทกไ์ ด้หรือไม่ โดยโจทก์ฎกี าว่าโจทกซ์ ้ือทด่ี นิ สามยทรัพย์เมอื่ ปี 2551 ขณะทยี่ ังไม่ไดม้ ีการจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอม จำเลยไม่
อาจยกข้ออ้างภาระจำยอมสิน้ ไปขึ้นตอ่ ส้โู จทกซ์ ง่ึ เปน็ บคุ คลภายนอกผไู้ ดส้ ทิ ธมิ าโดยเสยี คา่ ตอบแทนและโดยสจุ รติ และไดจ้ ดทะเบียน
สทิ ธิโดยสุจรติ แลว้ ได้ ศาลฎีกาเห็นวา่ ทด่ี ินของโจทกม์ ีทางออกส่ทู างสาธารณะได้หลายทางและได้มีการแบง่ ปันทด่ี ินบางสว่ นเพ่ือเป็น
ทางสาธารณประโยชน์รวม 2 ครง้ั ในปี 2548 และ 2549 ทำใหม้ ีทางสาธารณะจากถนนสุขุมวิทผา่ นทดี่ นิ ของโจทกท์ างด้านทศิ เหนือ
ตรงไปสดุ ชายทะเลซง่ึ โจทกส์ ามารถใช้ทางสาธารณประโยชนต์ ลอดแนวถนนสขุ มุ วิทจนถึงชายทะเลโดยไม่จำตอ้ งผ่านทดี่ ินพพิ าท
ประกอบกับโจทก์ไมไ่ ด้เขา้ ทำประโยชน์ในทด่ี ินของโจทกต์ ง้ั แต่วนั ทโี่ จทก์ซือ้ มาเม่อื ปี 2551 จนถงึ วันฟ้องนอกจากนี้ทด่ี นิ พพิ าทไม่มี
สภาพเป็นทางเดินและเป็นท่ีดนิ รกร้างวา่ งเปลา่ มาตงั้ แต่มกี ารจดทะเบียนทางภาระจำยอมเมอื่ ปี 2534 ซงึ่ ได้ความจากโจทกเ์ บิกความ
ตอบทนายจำเลยถามคา้ นว่า ตามสำเนาโฉนดทดี่ ินไม่ไดร้ ะบรุ ายละเอยี ดเกย่ี วกับทางภาระจำยอมไวท้ ส่ี ารบัญจดทะเบยี นทด่ี ินพพิ าทอยู่
หลงั รั้วบา้ น แต่ปัจจุบนั ไม่ทราบวา่ อยตู่ รงจดุ ใดเน่อื งจากยงั ไม่เคยมีการรังวดั แสดงว่าโจทกซ์ อื้ ทด่ี ินอนั เป็นสามยทรพั ย์โดยไมไ่ ดข้ อดูหรอื
ตรวจสอบหลกั ฐานทดี่ ินพพิ าททงั้ สองแปลงว่ามีทางออกสูช่ ายทะเลหรือไม่ทัง้ ท่มี กี ารซอื้ ขายทดี่ นิ หลงั จากจำเลยซอ้ื ทดี่ ินอนั เป็น
ภารยทรพั ยแ์ ล้วหลายปี ซึ่งกอ่ นฟ้องคดีน้โี จทกเ์ คยจดทะเบยี นปลอดภาระจำยอมใหแ้ กน่ ายวันดีโดยโจทก์ไดร้ ับคา่ ตอบแทนซึ่งตอ่ มา
โจทกท์ ราบวา่ ทดี่ ินพิพาททง้ั สองแปลงไม่มีทางออกสชู่ ายทะเลและหมดประโยชน์แกท่ ีด่ ินของโจทกก์ บั ภาระจำยอมสิน้ ไปแล้วแตก่ ลับนำ
คดีมาฟ้องจำเลยขอให้เปดิ ทางภาระจำยอมโดยไม่ประสงค์จะใหเ้ ป็นไปเช่นนนั้ อยา่ งแทจ้ รงิ พฤติการณข์ องโจทก์จงึ เป็นการใช้สิทธิโดย
ไม่สุจรติ ศาลฎกี าได้พจิ ารณาต่อไปวา่ ทง้ั กรณีเช่นนี้ตามบทบญั ญตั ใิ น ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง บญั ญตั ิวา่ “...สทิ ธิอันยงั มิได้จด
ทะเบยี นนัน้ มใิ ห้ยกข้ึนเปน็ ข้อต่อสู้บคุ คลภายนอกผู้ได้สทิ ธิมาโดยเสยี คา่ ตอบแทนและโดยสุจรติ และไดจ้ ดทะเบยี นสิทธิโดยสุจรติ ” นั้น
หมายความถงึ กรณีทบ่ี คุ คลได้มาโดยสุจริตซง่ึ ทรัพยสทิ ธอิ ันเดยี วกับทรพั ยสิทธทิ ยี่ งั มิได้จดทะเบียนนน้ั กรณตี ามท่โี จทก์อ้างเปน็ การใช้
สทิ ธปิ ระเภทกรรมสทิ ธิ์ในทดี่ นิ สามยทรพั ย์ สว่ นภาระจำยอมเปน็ สทิ ธใิ นประเภทรอนสทิ ธิจึงมิใชก่ ารโต้เถยี งกนั ในเรือ่ งการได้สทิ ธใิ น
ทรพั ยสทิ ธิประเภทเดยี วกบั สิทธขิ องบคุ คลภายนอกทยี่ งั ไมจ่ ดทะเบียน แตเ่ ป็นกรณีทีม่ ีนติ กิ รรมอันกอ่ ใหเ้ กดิ ภาระจำยอมเพอื่ ประโยชน์
แก่ทด่ี ินของผู้ขายเดิมอนั เปน็ สามยทรพั ย์ เมอ่ื ผขู้ ายเดมิ ได้โอนกรรมสิทธ์ใิ นท่ีดนิ อนั เป็นสามยทรพั ยแ์ ก่โจทกแ์ ลว้ ภาระจำยอมยอ่ มตดิ
ไปกบั สามยทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1393 วรรคหนง่ึ ซง่ึ ภาระจำยอมจะสิน้ ไปก็แตเ่ มอื่ ภาระจำยอมหรอื สามยทรัพย์สลายไปทง้ั หมด
หรอื มิได้ใช้ 10 ปี ดังทบี่ ัญญัติไวใ้ นมาตรา 1397 และมาตรา 1399 ดังน้ัน เมอ่ื ข้อเท็จจรงิ ปรากฏว่าภาระจำยอมไดส้ ้นิ ไปแล้วเพราะมิได้
ใช้ 10 ปี จำเลยจงึ มีสทิ ธฟิ ้องแย้งบังคับใหโ้ จทกใ์ นฐานะเจา้ ของทดี่ นิ อนั เป็นสามยทรพั ย์จดทะเบยี นปลอดภาระจำยอมในทด่ี นิ พิพาทได้
และโจทกจ์ ะยกการได้กรรมสิทธิ์ในทดี่ ินพพิ าทโดยเสยี คา่ ตอบแทนและโดยสจุ รติ และได้จดทะเบยี นสิทธิโดยสจุ ริตเปน็ ขอ้ ตอ่ สเู้ พื่อไม่ให้
ภาระจำยอมทีม่ อี ยู่ในทดี่ ินพิพาทสิน้ ไปหาไดไ้ ม่

ฎกี าที่ 12696/2558 โจทก์ประกอบธรุ กิจในการซ้ือขายทรัพยส์ ิน ส่วนที่ดินของจำเลยท้ังสามอยู่ในเขตดสุ ติ
กรงุ เทพมหานคร โดยสภาพของทำเลทต่ี งั้ เหน็ ไดว้ า่ เป็นทด่ี ินมีราคาสงู ซงึ่ จำเลยทง้ั สามย่อมทราบดี เชื่อว่าโจทกแ์ ละจำเลยทง้ั สามตอ้ ง
คำนึงถงึ เน้อื ทีท่ ด่ี นิ ทจ่ี ะซื้อขายกนั ตามโฉนดทด่ี ิน ในสว่ นของโจทกค์ งไม่ซ้อื ทด่ี ินท่ีมีราคาสงู ถงึ 300,000,000 บาทเศษ เพือ่ ใชเ้ ป็นทอี่ ยู่
อาศยั เป็นแน่ แต่เป็นการซอื้ เพ่ือขายหรอื แสวงหากำไรในธุรกิจอื่น จงึ ตอ้ งคำนวณตน้ ทุนของท่ีดนิ หากคดิ ราคาเปน็ ตารางวาตามโฉนด
ทด่ี ินซง่ึ ระบุเนอ้ื ทีด่ นิ ไว้ทง้ั หมด 12 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา เท่ากบั 4,930 ตารางวาในราคา 369,750,000 บาท ตกตารางวาละ

32

33

75,000 บาท จงึ ไม่มเี หตุผลที๋โจทกแ์ ละจำเลยท้ังสามจะซอื้ ขายกนั เหมาแปลง โดยไมส่ นใจเนื้อที่ที่ดิน เหตทุ โ่ี ทกไ์ ม่ไดท้ ำการรังวดั ที่ดนิ
ก่อนตกลงซ้ือน้นั ปรากฏวา่ โฉนดทด่ี ินเป็นโฉนดทีด่ ินท่ีออกตง้ั แตว่ นั ที่ 1 มีนาคมรตั นโกสนิ ทร์ศก 122 มีการจดทะเบยี นนิติกรรม
แบ่งแยก แบง่ ขาย จำนอง ตอ่ มาเม่ือวนั ที่ 13 กนั ยายน 2539 ทางราชการออกเปน็ โฉนดทด่ี นิ ขึน้ ใหม่ ตามความในมาตรา 64 แหง่
ประมวลกฎหมายท่ดี นิ โดยยงั คงระบเุ นื้อท่ที ี่ดนิ เทา่ เดมิ ยอ่ มมีเหตุใหโ้ ทกร์ วมและจำเลยท้งั สามเช่ือโดยสุจรติ วา่ ที่ดินทซี่ ือ้ ขายกันมเี นือ้ ท่ี
ตามทีร่ ะบใุ นโฉนดจรงิ ในการตีความในการแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเลง็ ถงึ เจตนาอันแท้จรงิ ยง่ิ กวา่ ถ้อยคำสำนวนหรอื ตัวอกั ษร และสญั ญา
น้ันให้ตคี วามไปตามความความประสงคใ์ นทางสจุ รติ โดยพิเคราะหถ์ งึ ปกตปิ ระเพณดี ้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 และ 368

โจทก์และจำเลยทงั้ สองตกลงซอื้ ขายทด่ี ินกนั โดยระบุเนือ้ ทีท่ งั้ หมดไว้ 12 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา
ตามสำเนาโฉนดท่ดี ินซง่ึ ถือเปน็ ส่วนหนง่ึ ของสญั ญา แตท่ ่ีดนิ มเี น้ือทจี่ ริงเพยี ง 10 ไร่ 80.7 ตารางวา เป็นกรณีท่ีจำเลยทงั้ สามผูข้ ายสง่
มอบท่ีดินนอ้ ยไปกวา่ ที่ระบุในสัญญาซงึ่ ไมเ่ กนิ กว่ารอ้ ยละ 5 แหง่ เนื้อทท่ี ง้ั หมดอันไดร้ ะบุไว้ โจทกจ์ ะบอกปัดเสยี หรอื จะรับเอาไว้และใช้
ราคาตามสว่ นก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 เมอ่ื โทก์เลือกรับทดี่ นิ ไว้ จำเลยท้ังสามจึงตอ้ งคืนเงนิ คา่ ทด่ี ินส่วนทีร่ บั ไว้เกินให้แกโ่ จทก์โดย
คดิ เฉลย่ี จากเนอื้ ที่ที่ดินทซ่ี ้ือขายกนั ซงึ่ ตกตารางวาละ 75,000 บาท เนื้อทดี่ ินขาดไป 2 ไร่ 49.3 ตารางวา เทา่ กบั 849.3 ตารางวา คดิ
เปน็ เงิน 63,679,500 บาท ซงึ่ โทกท์ วงถามใหจ้ ำเลยทง้ั สามชำระแล้ว แตจ่ ำเลยทงั้ สามเพิกเฉยจงึ ต้องรับผดิ ตอ่ โจทกพ์ ร้อมด้วยดอกเบี้ย

ฎีกาที่ 14291/2558 คดีมีปญั หาต้องวินจิ ฉยั ตามฎีกาของจำเลยประการแรกวา่ โทก์ในฐานะเจา้ ของกรรมสทิ ธร์ิ วมใน
ท่ดี ินพิพาทมีอำนาจฟ้องขับไลจ่ ำเลยหรอื ไม่ ปญั หานเี้ ป็นปญั หาข้อกฎหมายอนั เกีย่ วด้วยความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน แมจ้ ำเลยจะ
ไมไ่ ด้ให้การต่อสูไ้ ว้ก็ย่อมมสี ิทธทิ จี่ ะยกขึ้นไดใ้ นชน้ั ฎกี าตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ซงึ่ ใน
ประเดน็ นจี้ ำเลยฎีกาโดยสรุปวา่ โจทก์เป็นเพียงเจ้าของกรรมสทิ ธิ์รวม การทโี่ ทก์ฟ้องคดีน้โี ดยไม่ไดร้ บั มอบอำนาจจากเจ้าของรวมคนอนื่
เปน็ การไม่ชอบ เหน็ ว่า ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1359 บญั ญตั วิ า่ “เจา้ ของรวมคนหนงึ่ ๆอาจใช้สิทธิอนั เกดิ แต่
กรรมสิทธ์คิ รอบไปถงึ ทรัพย์สนิ ทง้ั หมดเพื่อตอ่ สบู้ ุคคลภายนอก...” โจทกใ์ นฐานะเจา้ ของรวมแตผ่ เู้ ดยี วยอ่ มมสี ทิ ธฟิ อ้ งขบั ไลจ่ ำเลยโดยไม่
จำตอ้ งได้รบั มอบอำนาจจากเจ้าของรวมรายอื่นอีก โจทก์จงึ มอี ำนาจฟอ้ งคดนี ี้ ฎีกาขอ้ น้ขี องจำเลยฟังไม่ข้นึ

ฎกี าที่ 7836/2560 ห. มารดายกทดี่ ินพิพาทใหแ้ กผ่ ้รู อ้ งเพ่ือใชป้ ลูกบ้านและทำประโยชน์ในท่ีดนิ ตงั้ แตป่ ี 2539 หาใช่
อนญุ าตใหผ้ ู้ร้องอาศยั อยใู่ นทดี่ นิ ไม่ แมก้ ารยกทด่ี ินใหแ้ กผ่ ้รู อ้ งมไิ ด้จดทะเบียนการใหต้ ามกฎหมาย ทำให้นติ กิ รรมการยกใหเ้ ป็นโมฆะก็
ตาม แตผ่ ู้ร้องไดค้ รอบครองโดยการปลูกบา้ นและทำประโยชน์ในทดี่ ินพพิ าทมาตลอดตงั้ แตป่ ี 2539 โดยความสงบและเปดิ เผยดว้ ย
เจตนาเปน็ เจา้ ของตดิ ตอ่ กนั เกินกว่า 10 ปี ผรู้ อ้ งจงึ ได้กรรมสิทธใิ์ นท่ดี ินพพิ าทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 1382

ฎีกาท่ี 120/2559 ตามหนงั สือสัญญาขายฝากทด่ี นิ ทีจ่ ดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจา้ หนา้ ท่ี ระบุวา่ จำเลยขายฝากเฉพาะ
ท่ีดนิ ไมเ่ กยี่ วกบั สงิ่ ปลกู สรา้ งเลขที่ 252 ด้วย ซง่ึ ตอ้ งแปลความวา่ ไมร่ วมบา้ นไม่มเี ลขท่บี า้ นด้วย เพราะฉะนั้นการขายฝากสมบรู ณ์
เฉพาะท่ีดินเทา่ น้นั แมโ้ จทก์จะอ้างว่าโจทกก์ ับจำเลยตกลงขายฝากท่ีดนิ พร้อมบ้าน 2 หลัง คอื บ้านเลขท่ี 252 กบั บา้ นท่ไี มม่ เี ลขที่บ้าน

33

34

อีก 1 หลงั แต่พนกั งานเจา้ หนา้ ทแ่ี จ้งวา่ จดทะเบียนขายฝากบ้าน 2 หลงั ดงั กล่าวดว้ ยไม่ไดเ้ พราะต้องประเมนิ ราคาจึงจดทะเบยี นขาย
ฝากเฉพาะทด่ี นิ โจทกก์ บั จำเลยจงึ ได้ทำสญั ญาซอื้ ขายบ้าน 2 หลัง เพิ่มเตมิ ตามที่ตกลงกันตามหนงั สือสญั ญาซอ้ื ขาย แต่สญั ญาขายฝาก
เป็นสัญญาซือ้ ขายประเภทหนึ่งจงึ ต้องนำบทบญั ญัตเิ ร่อื งซ้อื ขายมาใชบ้ ังคับดว้ ย ซ่งึ ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง กำหนดว่าการซอื้
ขายอสงั หารมิ ทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสอื และจดทะเบียนตอ่ พนักงานเจ้าหนา้ ที่ มฉิ ะนัน้ เป็นโมฆะ เม่ือการขายฝากบา้ นท้ังสองหลงั ไม่ได้
จดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หน้าทจ่ี งึ ตกเป็นโมฆะ นอกจากน้ีสญั ญาขายฝากทด่ี นิ และสัญญาซ้อื ขาย ยงั ทำวันเดยี วกนั แสดงใหเ้ หน็
เจตนาโดยชดั แจง้ วา่ คูส่ ญั ญาตอ้ งการหลีกเลยี่ งค่าธรรมเนยี ม จงึ เป็นนติ ิกรรมท่ีมีวัตถปุ ระสงค์ขัดตอ่ ความสงบเรียบรอ้ ยและศีลธรรมอนั
ดีของประชาชน จงึ เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 อีกดว้ ย ดงั น้ันโจทก์ไมอ่ าจอ้างว่าบา้ นทง้ั สองหลงั ตกเปน็ กรรมสิทธ์ขิ องโจทก์โดย
หลกั สว่ นควบได้ โจทกไ์ มม่ กี รรมสทิ ธิ์ในบา้ นทงั้ สองหลงั

ค่สู ัญญาไมไ่ ดต้ กลงขายฝากบา้ นเลขท่ี 252 ดว้ ย บา้ นหลงั ดงั กลา่ วยงั เปน็ ของจำเลยโดยไมต่ กเป็นส่วนควบ
ของทดี่ ิน และกรณีไมต่ อ้ งดว้ ย ป.พ.พ. มาตรา 1310 เพราะกรณนี ี้ไมใ่ ชจ่ ำเลยปลูกบา้ นเลขท่ี 252 ในท่ดี ินของโจทก์ แมภ้ ายหลงั ขาย
ฝากจำเลยจะได้ต่อเติมบา้ นหลงั ดงั กลา่ วก็ตาม เมือ่ โจทกไ์ มป่ ระสงค์จะให้จำเลยอยูใ่ นท่ดี นิ ของโจทก์อีกตอ่ ไป จำเลยต้องร้ือบ้านหลัง
ดงั กลา่ วออกจากที่ดินของโจทก์ ส่วนบา้ นไม่มีเลขที่ ขณะทำสญั ญาขายฝากทด่ี นิ บ้านหลังไมม่ ีเลขที่บ้านยังอยู่ระหว่างกอ่ สร้าง การท่ี
โจทก์ปล่อยให้จำเลยก่อสร้างบ้านหลงั ดงั กลา่ วในทด่ี ินทีข่ ายฝากต่อไปโดยโจทก์ไมไ่ ด้หา้ มปราม จำเลยซงึ่ เป็นผ้ปู ลูกสร้างยอ่ มเขา้ ใจวา่
ตนมสี ทิ ธทิ ่ีจะปลกู สรา้ งไดต้ ่อไปจนแลว้ เสรจ็ เพราะเชือ่ ตามสญั ญาขายฝากวา่ ตนมสี ิทธไิ ถท่ ด่ี ินคนื ไดภ้ ายในกำหนดในสญั ญา การปลกู
สรา้ งบา้ นไมม่ ีเลขที่บา้ นของจำเลยจึงเป็นการสรา้ งโรงเรือนในทดี่ นิ ของผู้อื่นโดยสจุ รติ แตเ่ มอ่ื ทำสญั ญาขายฝากแลว้ จำเลยไมไ่ ถค่ ืน
ภายในกำหนด ทดี่ นิ ท่ีขายฝากย่อมตกเปน็ กรรมสิทธ์ิของโจทก์โดยเดด็ ขาด กรณดี งั กลา่ วไมม่ ีบทกฎหมายท่ีจะใชป้ รบั ได้โดยตรง จงึ ตอ้ ง
ใชบ้ ทกฎหมายท่ีใกลเ้ คียงอยา่ งยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง อนั ได้แก่ ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคหนง่ึ ทำใหโ้ จทกซ์ งึ่ เป็นเจา้ ของ
ทด่ี นิ เป็นเจ้าของโรงเรอื นน้ัน แตต่ อ้ งใชค้ า่ แหง่ ทดี่ ินเพียงท่เี พ่มิ ขน้ึ เพราะสร้างโรงเรือนนนั้ ให้แก่จำเลยผ้สู รา้ ง และการทโี่ จทก์ปลอ่ ยให้
จำเลยปลกู สร้างบา้ นต่อไปในทด่ี ินของโจทกโ์ ดยมไิ ดห้ า้ มปรามถอื วา่ โจทก์ประมาทเลนิ เลอ่ ในการสร้างโรงเรือนของจำเลย โจทกจ์ งึ ไม่
อาจบอกปดั ไมย่ อมรบั โรงเรือนน้นั และตอ้ งใชค้ า่ แหง่ ทดี่ นิ ทีเ่ พิ่มใหแ้ กจ่ ำเลย

ฎีกาที่ 3453/2560 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1352 บญั ญัตวิ า่ ....ถ้าเจา้ ของท่ีดินได้รบั ค่าทดแทนตามสมควรแล้วตอ้ งยอม
ให้ผอู้ ืน่ วางท่อนำ้ ทอ่ ระบายน้ำ สายไฟฟา้ หรือสงิ่ อน่ื ซง่ึ คลา้ ยกนั ผา่ นทีด่ ินของตนเพ่ือประโยชนแ์ กท่ ด่ี ินติดต่อ ซงึ่ ถา้ ไมย่ อมให้ผา่ นก็ไม่
มีทางจะวางได้ หรอื ถา้ จะวางไดก้ เ็ ปลอื งเงินมากเกนิ ควร.... ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วการใชส้ ิทธวิ างทอ่ น้ำ ทอ่ ระบายน้ำ หรือสง่ิ อนื่ ซ่ึง
คล้ายกนั ในทดี่ นิ ของผู้อืน่ ผทู้ จี่ ะวางท่อน้ำ ทอ่ ระบายนำ้ หรอื สิง่ อนื่ ซ่ึงคล้ายกันจะตอ้ งยอมจา่ ยค่าทดแทนตามสมควรให้แกเ่ จา้ ของที่ดิน
เสยี กอ่ นจึงเปน็ หนา้ ท่ีของโจทกท์ งั้ สองซง่ึ เป็นผ้ทู ีจ่ ะวางสายไฟฟา้ เสาไฟฟ้า วางทอ่ นำ้ ทอ่ ระบายนำ้ สายโทรศัพท์ หรอื สงิ่ อนื่ ทีค่ ลา้ ยกัน
ทีจ่ ะตอ้ งบอกกล่าวเสนอจำนวนคา่ ทดแทนใหแ้ กจ่ ำเลยทง้ั สองซงึ่ เป็นเจา้ ของท่ดี ินทราบก่อน มฉิ ะนน้ั โจทกท์ ้ังสองก็ไมม่ ีอำนาจฟอ้ ง
ขอให้บงั คับจำเลยทงั้ สองยอมใหโ้ จทก์ท้งั สองดำเนินการดงั กลา่ วได้

ป.พ.พ. มาตรา 1352 บญั ญตั ิใหผ้ ู้มสี ิทธวิ างสายไฟฟ้า เสาไฟฟา้ วางทอ่ นำ้ ท่อระบายนำ้
สายโทรศัพทห์ รอื สงิ่ อืน่ ทีค่ ลา้ ยกันตอ้ งใชค้ า่ ทดแทนให้แกเ่ จ้าของที่ดนิ ติดต่อกัน แม้จำเลยทัง้ สองจะไมไ่ ดฟ้ ้องแยง้ เรยี กคา่ ทดแทนมา

34

35

ด้วยกต็ าม แตเ่ ม่ือโจทก์ทงั้ สองเสนอให้ค่าทดแทนแก่จำเลยทง้ั สองปลี ะ 3,000 บาทตามหนงั สอื ขอเสนอคา่ ทดแทนและจำเลยทงั้ สองนำ
สบื โตแ้ ยง้ วา่ น้อยเกินไป ศาลย่อมมอี ำนาจทจ่ี ะกำหนดให้ไดว้ า่ จำเลยทง้ั สองมสี ทิ ธจิ ะไดร้ บั ค่าทดแทนตามสมควรเพียงใดมใิ ช่เรอื่ งนอก
ฟอ้ งนอกประเด็น

ฎีกาท่ี 10041/2560 ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1312 วรรคหน่งึ วางหลักวา่ บคุ คลใดสรา้ งโรงเรอื น
ในที่ดินของผู้อ่นื โดยสรุ ติ ..และ..บคุ คลใดสรา้ งโรงเรือนรุกลำ้ เขา้ ไปในท่ีดนิ ของผูอ้ ่ืนโดยสจุ รติ ...นัน้ การที่จะถือว่าบคุ คลใดสร้างโรงเรอื น
ในทด่ี นิ ของผู้อ่นื โดยสจุ รติ หรือสร้างโรงเรอื นรุกล้ำเขา้ ไปในท่ดี นิ ของผู้อนื่ โดยสจุ รติ น้ันจะตอ้ งดใู นขณะกอ่ สร้างวา่ ผู้ก่อสรา้ งร้หู รือไมว่ า่
ที่ดนิ ตรงนน้ั เปน็ ของผอู้ ่ืน ถา้ รู้กถ็ ือว่าก่อสรา้ งโดยไม่สุจรติ แตถ่ ้าในขณะทกี่ ่อสร้างไม่รู้ว่าท่ีดนิ ตรงน้ันเปน็ ของผู้อ่ืนแตเ่ ข้าใจวา่ เปน็ ทด่ี ิน
ของตนเองจงึ สร้างโรงเรือนลงไปตอ่ มาภายหลงั รคู้ วามจรงิ กถ็ ือวา่ เป็นการก่อสร้างโรงเรอื นโดยสจุ รติ หรอื สร้างโรงเรือนรกุ ลำ้ โดยสจุ รติ
เมอื่ จำเลยสรา้ งบ้านในทดี่ ินพิพาทโดยทราบอยู่แลว้ วา่ เป็นทด่ี นิ ของโจทก์ แต่จำเลยยงั ก่อสร้างต่อไปจนแล้วเสรจ็ ทงั้ ๆทีโ่ จทกแ์ จง้ ให้
ทราบแลว้ การกระทำของจำเลยจึงเปน็ การกระทำโดยไมส่ ุจรติ จำเลยจงึ ไมอ่ าจอา้ งประโยชน์จากบทกฎหมายดังกล่าวได้

ฎกี าท่ี 8873/2559 แม้จำเลยไดย้ ึดถอื ครอบครองท่ดี นิ พพิ าทมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเปน็ เจ้าของ
มาตงั้ แตป่ ี 2525 เป็นเวลาเกินกวา่ สิบปแี ล้ว ยอ่ มไดก้ รรมสทิ ธติ์ าม ป.พ.พ.มาตรา 1382 กต็ าม แตเ่ มือ่ บรรษทั บรหิ ารสินทรพั ย์ ท.รับ
โอนสิทธจิ ำนองทีด่ ินพิพาทจากเจา้ หนจ้ี ำนองของเจา้ ของทดี่ ินเดมิ และยงั เป็นผู้ซื้อที่ดนิ พพิ าทโดยสจุ รติ และไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธิโดย
สุจรติ เม่ือวนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2549 แล้ว จำเลยยอ่ มไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองปรปกั ษข์ ้นึ ใช้ยันบรรษัทบริหารสนิ ทรัพย์ ท.ได้ ตาม ป.
พ.พ.มาตรา 1299 วรรคสอง แลว้ ตอ่ มาขายและโอนแก่บริษทั ส. เม่ือวนั ที่ 17 มถิ ุนายน 2553 ตอ่ มาวันท่ี 4 เมษายน 2555 โจทก์
ไดร้ บั โอนท่ดี ินพพิ าทจากบริษทั ส. อันเปน็ ระยะเวลาภายใน 10 ปี นับแตว่ ันทบ่ี รรษทั บรหิ ารสนิ ทรัพย์ ท.โอนขายแกบ่ รษิ ทั ส. และ
ตอ่ มาโอนขายแกโ่ จทก์ ดงั น้ี ไม่ว่าโจทก์จะรบั โอนมาโดยสุจรติ หรอื ไมก่ ็ตาม จำเลยซงึ่ เปน็ ผคู้ รอบครองปรปกั ษไ์ มอ่ าจยกสิทธขิ องตนขึ้น
ยนั โจทก์ผู้รับโอนคนต่อๆมาได้เพราะสิทธขิ องผคู้ รอบครองปรปกั ษไ์ ด้ขาดตอนไปแลว้ ตงั้ แต่ผูร้ ับโอนทางทะเบยี นโดยสจุ รติ คนแรก แม้
จำเลยจะยงคงครอบครองทีด่ ินพิพาทตลอดมาแตเ่ ปน็ การครอบครองในชว่ งหลังจากทีโ่ จทก์รบั โอนทดี่ ินพพิ าท เม่อื นับถงึ วันฟ้องยงั ไม่
ครบ 10 ปี จะถอื ว่ามีการครอบครองปรปกั ษต์ ่อโจทกค์ รบเวลาไดก้ รรมสิทธติ์ าม ป.พ.พ.มาตรา 1382 แลว้ หาได้ไม่

ฎกี าที่ 4430/2561 ธนาคาร อ.เปน็ โจทกฟ์ อ้ งจำเลยทง้ั สองเพื่อขอบงั คบั จำนอง ศาลพิพากษาใหธ้ นาคาร อ. ชนะคดี
และยดึ ท่ีดินทรัพยจ์ ำนองทง้ั 2 โฉนดออกขายทอดตลาดและธนาคาร อ.ประมูลซ้ือทอดตลาดไดแ้ ละจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธิ์ ธนาคาร
อ.ผซู้ อ้ื ทอดตลาดที่ดินทงั้ 2 โฉนดย่อมได้รบั ความค้มุ ครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์มาตรา 1330 แมค้ วามจรงิ จะปรากฏ
ในภายหลงั ว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธใ์ิ นท่ีดนิ ทงั้ สองแปลงก็ไมส่ ามารถใชย้ นั ธนาคาร อ.ผ้ซู ้ือทอดตลาดตามคำสง่ั ศาลได้ เมื่อธนาคาร อ.
เปลี่ยนเปน็ ธนาคาร ย.และโจทกซ์ ื้อที่ดินทงั้ 2 โฉนดดังกล่าวมาจากธนาคาร ย. โจทก์จงึ ไดก้ รรมสิทธิ์และได้รบั ความคมุ้ ครองตาม
บทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายดงั กลา่ วเชน่ เดยี วกนั เม่อื ผู้รอ้ งไม่สามารถยกกรรมสิทธิ์ขน้ึ ยันธนาคาร อ. และโจทกไ์ ด้ ผ้รู อ้ งจึงไม่ใช่ผมู้ อี ำนาจ
พิเศษ

35

36

ฎกี าท่ี 1128/2561 จำเลยเป็นบุคคลภายนอกผูไ้ ด้สทิ ธิในทด่ี ินพิพาท (นส.3 ก.) มาโดยซ้อื จากการขายทอดตลาดตาม
คำสงั่ ศาลโดยเสยี ค่าตอบแทนและไดจ้ ดทะเบยี นสิทธแิ ลว้ เม่อื โจทก์ไม่ได้กลา่ วอ้างในคำฟอ้ งว่าจำเลยซ้อื ท่ีดินพิพาทและจดทะเบยี น
สทิ ธโิ ดยไม่สจุ รติ ซงึ่ นอกจากจะไม่มปี ระเด็นวา่ จำเลยซ้ือทดี่ ินพพิ าทและจดทะเบียนสทิ ธโิ ดยสุจรติ หรอื ไมแ่ ลว้ จำเลยยงั ไดร้ ับประโยชน์
จากขอ้ สนั นิษฐานตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 6 ดว้ ยวา่ กระทำการโดยสุจรติ การทโ๋ี จทกเ์ ป็นผ้ทู ่ีได้ทด่ี นิ พิพาทโดย
การรับโอนการครอบครองจาก ม. ผมู้ ชี ่ือถอื สทิ ธคิ รอบครองในทดี่ ินพพิ าทจงึ ไม่อาจยกสทิ ธทิ ี่ไดม้ าโดยการรบั โอนการครอบครองขึน้
ต่อสู้จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1330 จำเลยเปน็ ผ้มู สี ทิ ธคิ รอบครองในท่ีดินพพิ าทดีกวา่ โจทก์

ฏีกาท่ี 3943/2561 การทีผ่ ้รู อ้ งซ้อื ทด่ี นิ พพิ าทแล้วจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธิเ์ ป็นเจ้าของทด่ี นิ พพิ าทกอ่ นที่ผู้ร้องกบั
จำเลยจะจดทะเบยี นสมรสกัน ยอ่ มถอื ได้ว่าทด่ี นิ พพิ าทเปน็ ทรัพย์สินที่ผรู้ ้องมอี ย่กู อ่ นสมรสและเปน็ สนิ ส่วนตวั ของผ้รู ้อง ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1471 (1) ส่วนการทต่ี ่อมาผ้รู ้องนำทดี่ ินพิพาททซ่ี ้ือได้กรรมสิทธิ์เปน็ เจ้าของไปจดทะเบยี นจำนองประกนั หน้เี งินกู้กเ็ ป็นสทิ ธิที่ผู้
ร้องสามารถทำได้ และการที่จำเลยที่ 1 ซง่ึ เปน็ ภรยิ าจะรว่ มผอ่ นชำระด้วยก็เปน็ เพยี งการช่วยชำระหนี้เงนิ ก้ใู หแ้ ก่ผรู้ อ้ งเท่านัน้ กรณียัง
ถือไม่ไดว้ า่ จำเลยท่ี 1 เปน็ เจ้าของร่วมกบั ผรู้ ้องในทีด่ ินพิพาท

บ้านพพิ าทบนที่ดนิ พพิ าทเปน็ บา้ นตกึ สองชัน้ ทีก่ อ่ สรา้ งข้ึนใหมแ่ ทนบ้านหลงั เดิมทเี่ ปน็ บ้านตึกชนั้
เดยี ว แตย่ ังคงใชเ้ ลขทบี่ ้านเดมิ และด้วยเงนิ ท่ไี ด้มาระหวา่ งสมรสของผรู้ อ้ งกับจำเลยท่ี 1 และผรู้ อ้ งกบัจำเลยท่ี 1 ใชบ้ ้านหลงั ดงั กลา่ ว
เป็นทีอ่ ยอู่ าศยั รว่ มกนั พฤตกิ ารณ์แสดงให้เหน็ ว่าบ้านพพิ าทก่อสรา้ งขึ่้นโดยไดร้ บั ความยนิ ยอมและอยูใ่ นความรูเ้ ห็นของผูร้ ้องซง่ึ เป็น
เจา้ ของทดี่ ินพพิ าท อันถือได้วา่ เข้าข้อยกเว้นในกรณที ผี่ ู้มีสิทธใิ นทดี่ นิ ของผอู้ ่ืนใชส้ ทิ ธปิ ลกู สร้างไวใ้ นทด่ี ินนั้นตาม ป.พ.พ. มตรา 146
และไมถ่ อื วา่ บ้านพิพาทเป็นทรัพยส์ ่วนควบของทดี่ นิ อนั ตกเป็นกรรมสิทธข์ องผ้รู ้องร้องแตเ่ พยี งผูเ้ ดยี วตาม ป.พ.พ. มาตรา 144 หากแต่
บ้านพพิ าทเป็นสนิ สมรสไม่ใชส่ ินสว่ นตัว จงึ ยังคงเป็นกรรมสิทธ์ิร่วมกันของจำเลยที่ 1 กบั ผูร้ อ้ ง

ฏกี าท่ี 5240/2559 ทดี่ นิ พพิ าทเป็นทรัพย์สนิ กรรมสิทธริ์ วมของโจทกก์ บั จำเลยท่ี 1 คนละกงึ่ หนึ่ง การท่ีจำเลยท่ี 1 ทำ
นติ ิกรรมขายฝากทดี่ ินพิพาทแก่จำเลยท่ี 3 โดยโจทก์มิไดร้ ้เู หน็ ยนิ ยอม นิตกิ รรมยอ่ มไมม่ ีผลผูกพันทด่ี นิ พพิ าทในส่วนของโจทก์ ตาม
ประมวลกฏหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1361 วรรคสอง แต่ทดี่ นิ พิพาทในสว่ นของจำเลยท่ี 1 จำนวนกึ่งหนึ่ง ยอ่ มมีผลผกู พนั จำเลยท่ี
1 ตามประมวลกฏหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคหนงึ่ แมว้ า่ จำเลยที่ 1 มิได้รบั ความยินยอมจากโจทกซ์ งึ่ เป็นเจา้ ของรวม
อีกคนหน่งึ กต็ าม

ฎีกาที่ 10041/2560 ป.พ.พ.มาตรา 1310 วรรคหนง่ึ และมาตรา 1312 วรรคหนง่ึ วางหลักวา่ บคุ คลใดสร้างโรงเรือน
ในทด่ี ินของผอู้ ่ืนโดยสจุ รติ ...และบุคคลใดสร้างโรงเรือนรกุ ลำ้ เข้าไปในที่ดนิ ของผอู้ ่ืนโดยสุจรติ ...นั้น การทจ่ี ะถือวา่ บคุ คลใดสรา้ ง
โรงเรือนในที่ดินของผูอ้ นื่ โดยสจุ ริต หรือสร้างโรงเรอื นรกุ ล้ำเข้าไปในที่ดนิ ของผู้อนื่ โดยสจุ รติ นนั้ จะต้องดใู นขณะทีก่ อ่ สรา้ งวา่ ผู้กอ่ สรา้ งรู้
หรอื ไม่วา่ ทด่ี ินตรงนั้นเป็นของผูอ้ ืน่ ถ้ารูก้ ถ็ อื วา่ กอ่ สร้างโดยไมส่ ุจรติ แตถ่ า้ ในขณะท่ีกอ่ สร้างไมร่ วู้ ่าทดี่ นิ ตรงน้ันเปน็ ของบคุ คลอ่ืนแต่
เขา้ ใจว่าเป็นที่ดินของตนเองจงึ สรา้ งโรงเรือนลงไป ต่อมาภายหลงั จงึ รคู้ วามจรงิ กถ็ อื วา่ เปน็ การก่อสร้างโรงเรอื นโดยสจุ ริตหรือสรา้ ง
โรงเรือนรุกลำ้ โดยสจุ รติ เมื่อจำเลยสร้างบา้ นในทดี่ ินพพิ าทโดยทราบอย่แู ล้วว่าเป็นทดี่ ินของโจทก์ แตจ่ ำเลยยงั กอ่ สร้างต่อไปจนแล้ว

36

37

เสร็จท้งั ๆทโ่ี จทก์แจง้ ใหท้ ราบแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเปน็ การกระทำโดยไมส่ จุ รติ จำเลยจึงไม่อาจอา้ งเอาประโยชนจ์ ากบท
กฎหมายดงั กล่าวได้

ฎีกาท่ี 7681/2561 เม่อื วันที่ 9 ตุลาคม 2556 โจทก์ซื้อทดี่ ินพพิ าท จาก ส. จำเลยท่ี 2 เป็นบตุ รของ ส. จำเลยทง้ั สอง
เปน็ สามภี รยิ ากนั สมรสกันเมือ่ ปี 2532 ปี 2533 จำเลยที่ 1 ถมดนิ และสิ่งปลกู สรา้ งโรงเรือนในทด่ี ินพิพาทเพ่อื ใชป้ ระกอบกจิ การล้างอดั
ฉดี รถยนตแ์ ละตอ่ มาไดป้ รบั ปรงุ เป็นอ่ซู ่อมรถยนต์ ขณะนั้นทีด่ นิ พิพาทเปน็ ของ จ. มารดา ส. ปี 2536 จ. จดทะเบียนยกทด่ี นิ พพิ าท
ใหแ้ ก่ ส. มีปัญหาต้องวนิ ิจฉยั ตามฎกี าของจำเลยทง้ั สองวา่ การถมที่ดินและปลูกสรา้ งโรงเรอื นบนทด่ี ินพิพาทของจำเลยท่ี 1 เปน็ การ
สรา้ งโรงเรือนและก่อสรา้ งใด ๆ ซง่ึ ตดิ ที่ดินในที่ดนิ ของผอู้ ่ืนโดยสจุ รติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคหนึง่ และ 1314 วรรคหนงึ่ ซง่ึ
โจทก์ตอ้ งใชค้ ่าแหง่ ทดี่ ินท่ีเพมิ่ ขน้ึ หรือไม่

เหน็ ว่า กรณตี ามมาตรา 1310 วรรคหน่ึง และ 1314 วรรคหนง่ึ เปน็ เรื่องทบี่ คุ คลใดบคุ คลหนงึ่
ปลูกสร้างโรงเรือนหรือก่อสร้างใด ๆ ซงึ่ ตดิ ท่ีดินในที่ดนิ ของผอู้ ืน่ โดยผู้อ่ืนมไิ ด้อนญุ าต และตนไมม่ สี ิทธหิ รือนิติสมั พันธอ์ ยา่ งใดในท่ดี นิ
นัน้ เลย แตเ่ ป็นการปลูกสร้างโดยสจุ รติ เชื่อวา่ ตนมสี ิทธิที่จะทำได้ จำเลยทง้ั สองถมดนิ และปลูกสร้างโรงเรือนเน่อื งจาก ส. ยกทด่ี นิ พพิ าท
เพ่ือตอบแทนท่ีจำเลยท่ี 1 ลาออกจากงานมาดแู ล ส. อนั มคี วามหมายวา่ ส. อนุญาตให้จำเลยทงั้ สองทำไดอ้ กี ทงั้ บนั ทึกขอ้ ตกลงต่อท้าย
สญั ญาซือ้ ขายท่ดี ินพิพาทระหว่างโจทกก์ ับ ส. ก็ระบุว่า จำเลยทงั้ สองปลกู สรา้ งโรงเรือนโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของทดี่ นิ ดังน้ันการที่
จำเลยท้ังสองถมดินและปลกู สร้างโรงเรอื นในทด่ี นิ พิพาทโดยได้รบั อนุญาตหรอื ได้รับความยนิ ยอมจากเจ้าของทด่ี ินใน ขณะนั้นดนิ ที่ถม
และโรงเรอื นจงึ ไมเ่ ปน็ ส่วนควบของทด่ี นิ พพิ าทและกรณีไม่ตอ้ งดว้ ยบทบญั ญัตมิ าตรา 1310 วรรคหน่ึง และ 1314 วรรคหนง่ึ โจทกไ์ ม่
ต้องใชค้ ่าแหง่ ทด่ี ินทีเ่ พ่ิมขึ้นแก่จำเลยทง้ั สอง

ฎกี าท่ี 8331/2556 จำเลยอนญุ าตใหโ้ จทก์ใช้ทดี่ ินพิพาทประกอบกิจการสถานนี ้ำมนั เชอ้ื เพลงิ เปน็ การช่วั คราว มไิ ด้
ขายทด่ี ินพิพาทใหแ้ กโ่ จทก์ การทีโ่ จทก์ครอบครองทดี่ ินพพิ าทถอื เป็นการครอบครองแทนจำเลย เมือ่ ทดี่ ินพิพาทเปน็ ของจำเลย การที่
โจทก์ถมทดี่ ินในที่ดนิ พพิ าทเปน็ การถมเพ่ือประโยชนใ์ นทางธุรกจิ ของโจทก์เองดนิ ทโ่ี จทกน์ ำมาถมมใิ ชโ่ รงเรอื นหรือสงิ่ ปลกู สร้างอยา่ งอ่นื
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 146 เป็นสว่ นควบของทด่ี ินตามมาตรา 144

ฎกี าท่ี 783/2562 สญั ญาซ้อื ขายรถยนต์ระหวา่ งโจทก์และจำเลยไม่มีขอ้ ตกลงวา่ กรรมสทิ ธ์ิในรถยนต์พิพาทดงั กลา่ ว
จะโอนเป็นของผู้ซือ้ ก็ตอ่ เมอ่ื มีการจดทะเบยี นโอนกรรมสิทธแิ์ ตอ่ ย่างใด ข้อตกลงทว่ี ่า ผขู้ ายได้มอบเอกสารและลงช่อื การโอนลอย ให้ไว้
และยนื ยันว่าสามารถโอนไดจ้ งึ เปน็ เพียงการรับประกันของผขู้ ายว่าผูข้ ายได้มอบเอกสารท่ีเก่ยี วของกบั การจดทะเบยี นให้แก่ผู้ซื้อไวแ้ ล้ว
และรบั รองวา่ สามารถไปดำเนนิ การโอนไดเ้ ทา่ น้ัน มิใช่เงื่อนไขในการโอนกรรมสทิ ธิ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 สญั ญาซื้อขายรถยนตร์ ะ
หว่าโจทก์และจำเลยจึงเป็นสัญญาซือ้ ขายเสร็จเดด็ ขาด

โจทก์ในฐานะผซู้ ือ้ เม่ือได้รับมอบรถยนตจ์ ากจำเลย และชำระราคารถยนต์ใหจ้ ำเลยครบถว้ นแล้ว
โดยในการตกลงซ้ือขาย โจทกไ์ ดต้ รวจสภาพรถยนต์และรับทราบถึงความชำรดุ ของรถพพิ าท โจทก์จงึ ไดก้ รรมสิทธใิ์ นรถพพิ าทไปตาม
สภาพทซี่ ือ้ ขาย ไมอ่ าจเรียกราคาคา่ รถยนตท์ โี่ จทกช์ ำระและเรียกคา่ ซ่อมแซมรถยนตจ์ ากจำเลยได้

37

38

ฎีกาที่ 7210/2560 สิทธใิ นการก่อสรา้ งและติดต้ังเสาไฟฟา้ สายไฟฟ้า ตลอดจนวางท่อประปาและทอ่ ระบายน้ำทงิ้
ของจำเลยที่ 1 ในทดี่ ินพิพาท มีลกั ษณะเป็นสิทธิเหนือพน้ื ดินอันเก่ียวกับอสงั หาริมทรพั ย์และเปน็ ทรพั ยสทิ ธทิ ่กี ่อตง้ั ขนึ้ ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1298 และมาตรา 1410 โดย ม. เจ้าของทดี่ นิ พพิ าทในขณะน้ันเป็นผู้ก่อให้เกดิ สทิ ธิเหนือพ้ืนดนิ แก่
จำเลยที่ 1 อนั เปน็

นิตกิ รรมการได้มาซึง่ ทรพั ยสทิ ธขิ องจำเลยท่ี 1 ท่ไี มบ่ ริบูรณ์ เวน้ แต่จะได้ทำเป็นหนงั สอื และจด
ทะเบียนการไดม้ ากบั พนกั งานเจ้าหน้าที่ตามประ มวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 1299 วรรคแรก ซงึ่ สทิ ธขิ องผูท้ รงสิทธิไม่
บรบิ รู ณ์ในฐานะเปน็ ทรัพยสทิ ธิทีต่ กตดิ ไปกับตัวทรพั ยห์ รือที่ดนิ โดยผลของกฎหมาย

การได้มาซ่งึ สทิ ธเิ หนอื พื้นดินของจำเลยท่ี 1 มิไดจ้ ดทะเบยี นต่อพนกั งานเจ้าหน้าท่ี จงึ ไมบ่ รบิ ูรณ์
ในฐานะเปน็ ทรัพยสทิ ธติ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1299 วรรคแรก จำเลยที่ 1 ไมอ่ าจอ้างสทิ ธเิ หนือพ้นื ดนิ ตามนิติ
กรรมทท่ี ำไวก้ บั ม. เจา้ ของทีด่ ินพิพาทเดิมซงึ่ เปน็ เพียงบคุ คลสิทธิมาบังคับเอาแก่โจทกซ์ ง่ึ เป็นบคุ คลภายนอกได้ ไม่ว่าโจทกจ์ ะซอ้ื ที่ดิน
พพิ าทมาโดยรู้วา่ เจ้าของท่ดี นิ พิพาทเดิมได้ก่อให้เกดิ สิทธเิ หนือพ้ืนดินไว้หรือไม่ นติ กิ รรมทีก่ ่อให้เกิดสิทธเิ หนอื พน้ื ดนิ แกจ่ ำเลยท่ี 1 ยอ่ ม
ไมผ่ กู พนั โจทก์ เม่ือโจทก์บอกกลา่ วใหจ้ ำเลยที่ 1 หรือถอนเสาไฟฟา้ สายไฟฟ้า ตลอดจนทอ่ ประปาและท่อระบายนำ้ ท้ิง
อนั เป็นการใชส้ ิทธิในฐานะเจ้าของทด่ี นิ พิพาทตามมาตรา 1336 โดยชอบแลว้ จำเลยท่ี 1 เพิกเฉย โจทก์มีอำนาจฟ้องขบั ไลข่ อใหบ้ ังคบั
จำเลยท่ี 1 ให้รอ้ื ถอนทรพั ยอ์ อกไปจากทด่ี ินพิพาทได้

38

39

ขอ้ 2-3 (นติ กิ รรม สัญญา หน้ี ละเมดิ )

ฎกี าท่ี 5574/2551 แมส้ ญั ญาจะซ้ือจะขายที่ดินพร้อมสง่ิ ปลูกสรา้ งระหวา่ ง ส. กบั จำเลยจะเป็นสญั ญาตา่ งตอบแทน
ซ่งึ ท้งั สองฝา่ ยต่างมฐี านะเปน็ เจา้ หนีแ้ ละลกู หนีแ้ ละลูกหนี้ กลา่ วคอื จำเลยมีฐานะเปน็ เจา้ หนที้ ีจ่ ะได้รบั โอนทด่ี ินพร้อมสิง่ ปลกู สรา้ งจาก
ส. ซ่งึ เป็นลกู หนีใ้ นการที่จะต้องโอนทด่ี ินพร้อมส่ิงปลูกสร้างใหแ้ กจ่ ำเลย ในขณะเดยี วกันจำเลยกม็ ฐี านะเป็นลกู หนี้ท่จี ะต้องชำระหนี้คา่
ท่ีดนิ พร้อมสง่ิ ปลกู สรา้ งให้แก่ ส. ซงึ่ เป็นเจ้าหนใ้ี นการทจี่ ะไดร้ ับชำระหนีค้ า่ ทด่ี ินพรอ้ มสิ่งปลูกสรา้ งจากจำเลย แตเ่ มือ่ ปรากฏขอ้ เท็จจรงิ
วา่ ส. ได้ชำระหน้ีในสว่ นของตนใหแ้ ก่จำเลยเปน็ ท่เี รยี บร้อยแล้วก่อนที่ ส. จะโอนสทิ ธิเรียกร้องใหแ้ ก่โจทก์ การโอนสิทธเิ รยี กรอ้ ง
ระหว่าง ส. กับโจทกจ์ งึ เปน็ การโอนเฉพาะสิทธเิ รยี กรอ้ งในฐานะเปน็ เจา้ หน้เี พยี งอย่างเดยี ว การโอนในลักษณะดงั กลา่ วน้เี มื่อไดท้ ำเปน็
หนังสือและไดบ้ อกกล่าวการโอนไปยงั จำเลยแล้ว กย็ ่อมสมบูรณต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคแรก จำเลยจงึ ตอ้ งรบั ผดิ ชำระหนพ้ี ร้อม
ดอกเบ้ียให้แก่โจทก์

ฎกี าท่ี 6494/2541 สญั ญาจะซือ้ จะขายทด่ี นิ และสง่ิ ปลูกสรา้ งระหวา่ ง พ.กับจำเลยเปน็ สัญญาต่างตอบแทน ท้งั สอง
ฝ่ายต่างมฐี านะเปน็ ทง้ั เจ้าหน้แี ละลกู หน้ี กลา่ วคอื พ.มีฐานะเปน็ เจา้ หนท้ี ่จี ะไดร้ ับโอนทดี่ นิ พรอ้ มสงิ่ ปลูกสร้างจากจำเลยซึ่งเปน็ ลูกหน้ใี น
การทจ่ี ะตอ้ งโอนทด่ี ินพรอ้ มสง่ิ ปลกู สร้างใหแ้ ก่ พ. ในขณะเดยี วกนั พ.ก็มีฐานะเป็นลูกหนีท้ ่ีจะตอ้ งชำระหน้คี า่ ทดี่ ินพรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ ง
ใหแ้ ก่จำเลยซงึ่ เปน็ เจา้ หนี้ในการท่ีจะไดร้ ับชำระหนคี้ า่ ท่ดี ินและสงิ่ ปลูกสรา้ งจาก พ. แม้วา่ พ.จะสามารถโอนสทิ ธเิ รียกรอ้ งในฐานะ
เจ้าหน้ีใหแ้ กบ่ คุ คลอนื่ หรอื โจทกต์ าม ป.พ.พ.มาตรา 306 วรรคแรกได้ก็ตามแต่ พ.ก็ไมอ่ าจโอนหน้ีให้บคุ คลอืน่ หรือโจทก์มาเปน็ ลกู หนี้
แทนโดยเพยี งแตท่ ำเปน็ หนงั สอื สัญญาระหว่าง พ.กับบคุ คลอ่นื หรอื โจทก์ เนื่องจากการเปลยี่ นตวั ลกู หนถ้ี ือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ซงึ่
จะตอ้ งมีการทำสญั ญากันระหว่างเจ้าหนกี้ ับลูกหนคี้ นใหม่ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 350 เม่ือไม่ปรากฏว่าโจทก์ซง่ึ เป็นลกู หนคี้ นใหมไ่ ด้ทำ
สญั ญาใหมก่ บั จำเลยซง่ึ เปน็ เจา้ หน้ี หน้ีใหมย่ งั ไมเ่ กดิ ขึน้ โจทกจ์ งึ ไม่มนี ติ สิ ัมพนั ธก์ บั จำเลย ไมอ่ าจฟ้องบงั คบั ให้จำเลยสง่ มอบทด่ี ินให้
โจทกไ์ ด้

ฎกี าที่ 2618/2549 ข้อตกลงตามสญั ญาซอื้ ขายดนิ ระหวา่ งจำเลยท่ี 1 กบั จำเลยท่ี 2 เป็นเรื่องทจี่ ำเลยท่ี 1 โอนสทิ ธิ
และหนา้ ทใ่ี นการปฏิบตั ติ ามสญั ญาซ้ือขายทมี่ อี ย่แู ก่โจทกใ์ ห้แก่จำเลยท่ี 2 มิใชเ่ ป็นแตเ่ พียงโอนสิทธิเรยี กรอ้ งแกโ่ จทกใ์ หจ้ ำเลยที่ 2
เทา่ นนั้ กรณีมใิ ชเ่ รือ่ งการโอนสิทธิเรยี กร้อง จงึ ไมอ่ าจนำ ป.พ.พ. มาตรา 306 มาใช้บงั คบั ได้ แต่การทโี่ จทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ทำขอ้ ตกลง
กันต่อมาวา่ โจทก์กับจำเลยที่ 2 ไดท้ ำสญั ญาซื้อขายดนิ กันซง่ึ เปน็ ดนิ แปลงเดยี วกับทีจ่ ำเลยท่ี 1 ทำสญั ญาจะซอื้ ขายจากโจทก์และ
จำเลยที่ 2 ไดข้ ุดดนิ ของโจทกไ์ ปครบแลว้ จำเลยที่ 2 ยงั ชำระค่าดนิ ใหแ้ ก่โจทกไ์ ม่ครบ ถือไดว้ ่าเป็นสญั ญาระหวา่ งโจทก์ซ่งึ เปน็ เจา้ หนี้
กับจำเลยที่ 2 ซงึ่ เป็นลูกหนคี้ นใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแปลงหน้ใี หมด่ ว้ ยเปลยี่ นตวั ลูกหน้ตี ามมาตรา 350 ซง่ึ ทำใหห้ นีร้ ะหวา่ งโจทกก์ บั
จำเลยท่ี 1 เป็นอันระงบั สิ้นไปตามมาตรา 349 แล้ว โจทกจ์ ึงไมม่ อี ำนาจฟ้องใหจ้ ำเลยที่ 1 รบั ผดิ ตามสัญญาซอื้ ขายดิน

ฎีกาที่ 3975/2553 การฟอ้ งขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 เป็นการใหส้ ทิ ธแิ ก่เจา้ หน้ที ่ีจะสงวนไว้
ซึ่งกองทรัพยส์ นิ ของลูกหน้ี เพราะทรัพยส์ นิ ของลูกหนี้ย่อมเป็นหลกั ประกนั ในการชำระหนีแ้ กเ่ จา้ หนีต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 214 ดงั น้ัน

39

40

เจา้ หนี้ผู้มีสทิ ธิร้องขอใหศ้ าลเพิกถอนการฉอ้ ฉลจงึ หมายถงึ เจา้ หน้ที มี่ สี ิทธเิ รียกให้ลกู หนชี้ ำระหนี้ของตนจากทรพั ยส์ ินของลกู หน้ีและต้อง
เสยี เปรยี บจากการทีท่ รพั ยส์ นิ ของลกู หน้ลี ดลงไมพ่ อชำระหน้อี นั เนือ่ งมาจากการทำนติ กิ รรมฉอ้ ฉลของลูกหน้ี ไม่ว่าเจ้าหน้ีดงั กล่าวจะ
เปน็ เจา้ หนต้ี ามคำพิพากษาหรอื ไม่ก็ตาม แม้เจา้ หนีใ้ นหนี้ที่ยงั ไมไ่ ด้มกี ารฟอ้ งร้องบงั คบั ใหช้ ำระหน้กี ็มีสิทธิทจ่ี ะร้องขอให้เพิกถอนได้เมือ่
โจทก์แจง้ ความดำเนนิ คดอี าญาและฟอ้ งเรียกเงนิ คืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยท่ี 1 ย่อมทราบวา่ ตกเปน็ ลกู หนที้ ีจ่ ะตอ้ งชำระหนี้ใหแ้ กโ่ จทก์
การทีจ่ ำเลยที่ 1 จดทะเบยี นโอนท่ดี ินพพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 2 โดยเสน่หา และไมม่ ที รัพยส์ ินอืน่ ทจ่ี ะให้โจทก์บังคบั คดีไดอ้ ีกนอกจากทด่ี นิ
พิพาทจำเลยท่ี 1 ยอ่ มรู้อยูว่ า่ เป็นทางใหโ้ จทกเ์ จ้าหน้ีเสยี เปรยี บ โจทกย์ อ่ มมสี ทิ ธฟิ อ้ งขอให้เพิกถอนนติ ิกรรมซง่ึ เป็นการฉ้อฉลน้นั เสยี ได้

ฎกี าท่ี 6615/2553 เมอื่ สัญญายงั ไมเ่ ลกิ กันเพราะการบอกเลิกสญั ญาของจำเลย คูส่ ญั ญาจงึ ยงั มหี น้าท่ีที่จะต้องปฏบิ ัติ
ตามสญั ญา กล่าวคือ โจทก์มหี น้าทต่ี ้องชำระราคาสว่ นทเ่ี หลอื และจำเลยมหี น้าท่ีต้องโอนกรรมสทิ ธิห์ อ้ งชดุ ทงั้ สองหอ้ งแก่โจทก์ แต่ได้
ความตามคำให้การของจำเลยวา่ จำเลยได้โอนขายห้องชดุ ทงั้ สองห้องแกบ่ คุ คลภายนอกไปแลว้ กอ่ นโจทกบ์ อกเลิกสญั ญา ดังน้ี การชำระ
หนีข้ องจำเลยในการทจี่ ะตอ้ งโอนกรรมสิทธ์ิห้องชดุ แก่โจทกจ์ งึ กลายเปน็ พ้นวิสัยเพราะเหตุอนั เกดิ จากการกระทำของจำเลยโดยไม่
จำต้องพิจารณาว่าจำเลยอาจซือ้ หอ้ งชุดคืนมาโอนให้โจทกไ์ ด้หรอื ไมด่ ังทศ่ี าลอทุ ธรณ์วนิ จิ ฉยั โจทก์จงึ มสี ิทธบิ อกเลกิ สญั ญาได้ตาม ป.
พ.พ. มาตรา 389 โดยหาจำตอ้ งบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนตี้ ามมาตรา 387 กอ่ น การบอกเลิกสญั ญาของโจทก์จงึ ชอบแล้ว เมอ่ื สัญญา
เลิกกนั เพราะโจทกใ์ ชส้ ิทธิเลกิ สัญญา คสู่ ญั ญาจำต้องใหอ้ ีกฝา่ ยกลับคืนสฐู่ านะดงั ทเี่ ปน็ อยู่เดิม กล่าวคือ จำเลยจำต้องคนื ราคาห้องชดุ ที่
โจทกช์ ำระแลว้ แกโ่ จทกพ์ รอ้ มดอกเบย้ี ในอตั รารอ้ ยละ 7.5 ต่อปี นบั แตเ่ วลาทจี่ ำเลยได้รบั ไว้ ทงั้ นต้ี ามมาตรา 391 วรรคหนง่ึ และวรรค
สอง ประกอบมาตรา 7

ฎกี าที่ 2041/2547 จำเลยที่ 1 ตกลงขายทดี่ นิ และบา้ นพพิ าทใหแ้ ก่โจทกท์ งั้ สองโดยไดม้ กี ารสง่ มอบทดี่ ินและบา้ น
พพิ าทใหแ้ ก่โจทก์ทงั้ สองเขา้ ซ่อมแซมครอบครองตลอดมา อนั เปน็ การชำระหนบี้ างสว่ น ขอ้ ตกลงจะซอื้ จะขายที่ดนิ และบา้ นพพิ าทจึงมี
ผลผกู พันบังคบั ตอ่ กนั ไดแ้ ล้ว จำเลยทงั้ สองสมคบกันจดทะเบยี นโอนซ้อื ขายทีด่ ินพิพาทโดยไม่สุจรติ และไม่มีการชำระเงนิ กันจริง จำเลย
ที่ 2 ไม่ใชเ่ จา้ ของกรรมสทิ ธิท์ ด่ี ินพิพาททีแ่ ท้จริง การแสดงเจตนาของจำเลยทงั้ สองในทางทะเบียนเกยี่ วกับทดี่ นิ พิพาท จงึ เป็นการแสดง
เจตนาลวงโดยสมรูก้ ันเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึง่ คนใดจะยกความเสยี เปลา่ แหง่ โมฆะ
กรรมขนึ้ กล่าวอ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 กไ็ ด้ โจทกท์ งั้ สองชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนเมอื่ ใดกไ็ ด้ ฟ้องโจทกท์ งั้ สองมิใชก่ ารฟ้องขอ
เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ไม่อยใู่ นบงั คบั ท่จี ะต้องฟอ้ งภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 240

ฎีกาที่ 8999/2550 จำเลยที่ 1 เป็นหนุ้ สว่ นผจู้ ัดการของหา้ งหุ้นสว่ นจำกัด น. โอนการครอบครองทดี่ ินพิพาทซงึ่ เป็น
ทด่ี ินมหี นงั สือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ใหแ้ ก่ ค. ตง้ั แตว่ ันทำสญั ญาซื้อขายทดี่ ินพิพาท ต่อมา ค. ได้โอนการครอบครองให้
จำเลยที่ 2 ซง่ึ เป็นบตุ รตงั้ แต่ปี 2523 จำเลยที่ 2 จงึ ไดส้ ิทธิครอบครองในทดี่ นิ พิพาทก่อนทหี่ า้ งหุ้นส่วนจำกดั น. จะไดร้ ับแจง้ การ
ประเมนิ ภาษเี งินไดน้ ติ บิ คุ คลจากกรมสรรพากรโจทก์เมอ่ื วันที่ 30 มถิ ุนายน 2542 จงึ เป็นการกระทำโดยสจุ รติ ส่วนการท่ีจำเลยท่ี 1
เพิง่ จดทะเบยี นโอนที่ดนิ พิพาทใหแ้ ก่จำเลยที่ 2 ภายหลงั ก็เพยี งเพ่อื มีช่ือผูเ้ ป็นเจา้ ของถูกตอ้ งตามทะเบยี น นติ ิกรรมท่จี ำเลยที่ 1 โอน

40

41

ขายทด่ี นิ พพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 จงึ ไม่ไดเ้ กิดจากการฉอ้ ฉล โจทกไ์ ม่มสี ทิ ธฟิ ้องขอให้เพิกถอนนติ ิกรรมการซือ้ ขายทดี่ ินพพิ าทระหว่าง
จำเลยทง้ั สอง

ฎีกาท่ี 7624/2552 หนังสอื รบั ชำระหนีแ้ ทนลูกหนข้ี อง บ. ทีท่ ำให้ไวแ้ กโ่ จทก์ เป็นกรณที ี่ บ. ซง่ึ มไิ ดเ้ ปน็ ลกู หนผี้ กู พัน
ตนเขา้ ชำระหนข้ี องจำเลยที่ 1 แทนต่อโจทก์ แต่ไมป่ รากฏว่าโจทก์เจ้าหน้ีตกลงให้หนขี้ องจำเลยท่ี 1 ระงับไป จงึ ไมเ่ ปน็ การแปลงหนี้
ใหมโ่ ดยเปลย่ี นตัวลกู หนี้ หน้ขี องจำเลยที่ 1 จึงไม่ระงบั ส้ินไป ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 349 วรรคหนง่ึ

ฎกี าท่ี 5112/2552 การแปลงหน้ีใหม่เป็นสญั ญาระหว่างคูก่ รณเี พื่อระงบั หน้ีเดมิ แลว้ กอ่ ใหเ้ กิดหน้ใี หม่ผกู พนั กนั แทน
หน้ีเดิมเปน็ อนั ระงบั ไป แมโ้ จทกจ์ ะยอมรับเชค็ ของจำเลยที่ 2 เปน็ ผูส้ ่งั จ่ายโดยจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการผูม้ ีอำนาจกระทำการแทน
ลงลายมอื ชอื่ เป็นประทับตราสำคญั ของบรษิ ัทจำเลยที่ 2 เปน็ การชำระหน้ีแทนจำเลยที่ 1 กต็ ามก็หาใชเ่ ป็นการแปลงหนีใ้ หมโ่ ดย
เปลย่ี นตวั ลกู หนไ้ี ม่ เพราะไม่มกี ารตกลงทำสญั ญาแปลงหนก้ี ันใหม่โดยเปลยี่ นตวั ลูกหนี้ของโจทก์จากจำเลยที่ 1 ไปเป็นจำเลยที่ 2 แต่
เปน็ เพียงจำเลยท่ี 2 เขา้ ไปเปน็ ผชู้ ำระหน้แี ทนจำเลยท่ี 1 ลกู หน้ีเดมิ เทา่ นนั้ หนีเ้ ดมิ ระหว่างโจทกก์ บั จำเลยที่ 1 จงึ ยงั ไม่ระงบั เมอ่ื โจทก์
เรียกเก็บเงินตามเชค็ ท่จี ำเลยท่ี 2 สั่งจา่ ยไม่ได้ ดังนี้ จำเลยท่ี 1 จงึ ตอ้ งรว่ มรับผดิ กบั จำเลยท่ี 2 ชำระหนใี้ ห้แกโ่ จทก์

ฎีกาที่ 291/2544 จำเลยเปน็ ลูกหนโ้ี จทกต์ ามสญั ญากู้ยมื เงิน ยงั มไิ ดช้ ำระหน้ี การทีค่ ู่สญั ญาทง้ั สองฝ่ายตกลงกันให้
แปลงหน้เี ปน็ หนต้ี ามตัว๋ สัญญาใช้เงนิ จำนวนหนีต้ ามต๋ัวสญั ญาใช้เงนิ จงึ เป็นหนใ้ี หม่ โจกทย์ อ่ มมสี ิทธคิ ดิ ดอกเบีย้ ตามทีก่ ำหนดไวใ้ น
สัญญาขายลดและในตว๋ั สญั ญาใชเ้ งนิ ได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบย้ี ซอ้ นดอกเบ้ียซงึ่ ต้องหา้ มตามกฎหมาย

ฎกี าที่ 3209/2550 ป. กับโจทก์เป็นห้นุ สว่ นในการขายทดี่ ินใหแ้ ก่จำเลย จำเลยไม่มีเงนิ ชำระคา่ ทดี่ นิ ในสว่ นของทด่ี ินท่ี
เพม่ิ ขน้ึ แตจ่ ำเลยตกลงรบั โอนกรรมสิทธ์ิโดยลงลายมอื ชอ่ื ในสญั ญากู้ยืมเงนิ ใหผ้ จู้ ะขายไว้ โดยระบวุ ่าจำเลยกยู้ ืมเงนิ โจทก์เทา่ กับเปน็ การ
กูเ้ งินจากผ้จู ะขายมาชำระราคาทดี่ ินในส่วนเน้ือที่ทีเ่ กินไปจากสญั ญาจะซอื้ จะขาย โจทกจ์ งึ เป็นผ้มู ีสทิ ธลิ งลายมือชอื่ ในสัญญากใู้ นฐานะ
ผู้ให้กู้ไดแ้ ละผกู พนั จำเลย…หน้ีเดมิ เป็นการตกลงทำสญั ญาจะซอื้ จะขายทด่ี นิ กัน ฝ่ายจำเลยไมม่ เี งนิ พอจะจ่ายในส่วนของเนื้อท่ดี นิ ท่ีเกนิ
จงึ ตกลงทำสญั ญากูย้ มื เงินข้ึนเพือ่ ชำระหนค้ี า่ ทดี่ ินสว่ นทเ่ี กิน ถอื ว่าเป็นการแปลงสาระสำคญั แหง่ หนี้ เปน็ การแปลงหน้ีใหม่จากสญั ญา
จะซอื้ จะขายท่ีดินมาเป็นสญั ญากยู้ ืมเงนิ โดยผู้ใหก้ ู้อยูใ่ นฐานะผู้จะขายเชน่ กัน การแปลงหนีใ้ หมใ่ นครง้ั นี้จึงมิไดเ้ ปลย่ี นตวั เจ้าหน้ี จึงมใิ ช่
การแปลงหนีใ้ หมโ่ ดยเปลี่ยนตวั เจ้าหนีท้ จ่ี ะต้องบังคับตามบทบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยการโอนสทิ ธิเรยี กร้องจำเลยจงึ ตอ้ งรบั ผดิ ชำระหน้ตี าม
สญั ญาก้ยู มื เงนิ ใหแ้ ก่โจทก์

ฎีกาที่ 3272/2547 จำเลยท่ี 1 เปน็ ลกู จา้ งโจทกใ์ นตำแหน่งผู้จดั การฝา่ ยขายมหี น้าทบี่ รหิ ารงานขาย จำเลยที่ 1 มอบ
รถยนตข์ องโจทกใ์ หล้ ูกคา้ แล้วลูกค้าไดน้ ำรถยนตพ์ ิพาทหลบหนไี ป โจทก์ใหจ้ ำเลยท่ี 1 รับผดิ โดยทำสญั ญาเช่าซื้อเพื่อเปน็ ประกนั การ
ทำงานท่ีผดิ พลาดของจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าจำเลยท่ี 1 ยอมรับว่าเปน็ ความเสยี หายทเี่ กดิ จากความประมาทเลินเลอ่ ในการปฏบิ ัติ

41

42

หน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะลกู จา้ งโจทก์ เมือ่ จำเลยท่ี 1 ยอมรบั ผดิ โดยทำเปน็ สญั ญาเช่าซอ้ื กับโจทก์ จงึ เปน็ การทำสญั ญา
เปล่ียนแปลงสิ่งซงึ่ เปน็ สาระสำคญั แหง่ หนี้ ดงั น้ัน หนีอ้ ันเกิดจากความรับผดิ ของจำเลยที่ 1 จงึ ระงบั สิ้นไปดว้ ยการแปลงหนใี้ หม่ และ
การทีจ่ ำเลยท่ี 1 ตกลงทำสัญญาเชา่ ซื้อรถยนตพ์ พิ าทกเ็ พ่อื ยอมรบั ผดิ ชำระหนีค้ า่ รถยนต์พิพาทแก่โจทก์ ถอื ว่าโจทกไ์ ดส้ ง่ มอบรถยนต์
พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แลว้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผดิ ตามสญั ญาเชา่ ซอ้ื

ฎีกาท่ี 1812/2545 การท่ี ด. ผ้คู ำ้ ประกันมหี นงั สือถงึ โจทกข์ อผอ่ นชำระหนที้ ง้ั หนข้ี องจำเลยท่ี 1 ซงึ่ ควรจะชำระหน้ี
ดังกลา่ วแก่โจทก์ใหเ้ สร็จสนิ้ ในคร้งั เดยี วแตก่ ็ขอแบง่ ชำระเปน็ งวด ๆ เปน็ เพยี งเปลยี่ นแปลงวธิ ชี ำระหนเ้ี ก่าใหผ้ ดิ ไปจากเดมิ มใิ ชเ่ ป็นการ
เปลี่ยนสง่ิ ซง่ึ เป็นสาระสำคญั แหง่ หน้ีจึงไมเ่ ป็นการแปลงหนี้ใหมท่ จี่ ะทำใหห้ นี้ระงับ จำเลยท่ี 2 ซง่ึ เปน็ ผคู้ ำ้ ประกันอีกคนหนึ่งจงึ ต้องรับ
ผดิ ต่อโจทก์

ฎกี าที่ 6525/2542 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ไดต้ กลงแปลงหนี้ใหม่ โดยโจทกเ์ พยี งลดยอดหน้ีให้จำเลยท่ี 1 และโจทก์
มิได้เปลย่ี นตวั ลูกหนจ้ี ากจำเลยที่ 1 มาเป็นจำเลยท่ี 2หากแตเ่ พม่ิ ใหจ้ ำเลยท่ี 2 เข้ามารว่ มรบั ผดิ ในหนเี้ ดิมสว่ นหนึ่งเพื่อให้โจทกถ์ อนคำ
ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ในคดีลม้ ละลายเทา่ นน้ั ความรบั ผดิ ของจำเลยที่ 1 ในมูลหนี้เดิมจงึ ยงั ไม่ระงบั ไป

โจทกเ์ ปน็ สถาบันการเงิน มสี ทิ ธคิ ดิ ดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ซงึ่ ออกโดย
อาศยั อำนาจตามพระราชบญั ญตั กิ ารประกอบธุรกิจเงนิ ทนุ ธรุ กจิ หลักทรพั ย์ และธุรกิจเครดติ ฟองซเิ อร์ พ.ศ. 2522มาตรา 30(2) กรณี
จงึ ไม่อยใู่ นบังคบั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 654 แมต้ ามสญั ญากยู้ มื จำเลยที่ 1 จะยอมเสยี ดอกเบยี้ อตั ราร้อยละ21
ต่อปี ซง่ึ โจทกม์ ีสิทธคิ ิดดอกเบยี้ อตั ราน้ไี ดต้ ามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย แตต่ อ่ มาจำเลยที่ 1 ทำหนงั สอื รับสภาพหน้ใี หไ้ ว้แก่
โจทกโ์ ดยโจทกย์ อมคิดดอกเบย้ี อัตราร้อยละ 19.5 ตอ่ ปี โจทก์จงึ มีสทิ ธคิ ดิ ไดเ้ พยี งอตั รานี้ แมต้ ามสญั ญาจำนองจะกำหนดดอกเบ้ยี ไว้
อตั รารอ้ ยละ21 ต่อปี แต่หนต้ี ามสญั ญาจำนองเป็นเพยี งหนีอ้ ปุ กรณ์ เมือ่ ต่อมาโจทก์คิดดอกเบย้ี หนก้ี ู้ยืมซงึ่ เป็นหนี้ประธานได้เพยี งอตั รา
รอ้ ยละ 19.5 ต่อปีโจทกจ์ งึ ไม่อาจคดิ ดอกเบย้ี ตามสญั ญาจำนองให้สูงกวา่ อตั รานี้ได้

ตามหนงั สือรบั สภาพหน้ี จำเลยท่ี 1 รับวา่ ยงั ค้าชำระหนี้ตน้ เงินจำนวน 3,623,313 บาท กบั
ดอกเบ้ียจำนวน 623,309 บาท รวม 4,246,622 บาท จำเลยที่ 1 จงึ ต้องรับผิดต่อโจทก์ในยอดเงินจำนวนดงั กลา่ วพรอ้ มดอกเบย้ี อตั รา
รอ้ ยละ 19.5 ต่อปี ตามสญั ญาจำนองของต้นเงนิ จำนวน 3,623,313 บาท นับแต่วนั ทำหนงั สอื รบั สภาพหน้เี ป็นต้นไป ส่วนดอกเบี้ยที่
ค้างชำระเกนิ 5 ปีน้ัน เมือ่ ปรากฏว่า จำเลยท่ี 1ยอมชำระหน้โี จทกโ์ ดยให้จำเลยท่ี 2 เข้าชำระหนใ้ี หแ้ กโ่ จทกแ์ ทนจำนวน3,000,000
บาท และใหส้ ัญญาจำนองมภี าระตามสญั ญาจนกว่าโจทกจ์ ะได้รบั ชำระหน้คี รบถ้วน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยท่ี 1 จะไดย้ กอายุความข้นึ
ปฏิเสธความรบั ผดิ เกยี่ วกับดอกเบ้ียคา้ งชำระ จงึ ถือได้วา่ จำเลยที่ 1ไดแ้ สดงเจตนาท่จี ะสละประโยชน์แหง่ อายุความน้ันตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 193/24

ฎกี าท่ี 9221/2544 จำเลยที่ 1 ทำหนงั สอื สญั ญารบั สภาพหนีข้ ึ้นเพอ่ื รบั สภาพตามสทิ ธิเรยี กรอ้ งซง่ึ จำเลยที่ 1 ต้องรบั
ผิดต่อโจทก์ตามสญั ญาเชา่ ซื้อรถยนต์ เปน็ เหตใุ หอ้ ายคุ วามสะดุดหยดุ ลงเทา่ นน้ั มิไดม้ กี ารเปลย่ี นตวั เจา้ หนี้ ลกู หน้ี และมิใช่เป็นการทำ

42

43

สญั ญาเปลยี่ นส่ิงซง่ึ เป็นสาระสำคญั แหง่ หน้ี แต่เป็นเพยี งการเปลย่ี นแปลงกำหนดระยะเวลาชำระหน้แี ละวิธกี ารชำระหน้จี งึ มิใชก่ าร
แปลงหน้ใี หม่อนั จะทำใหห้ นี้เดิมระงบั หนี้ตามสญั ญาค้ำประกันการเชา่ ซือ้ ยอ่ มไมร่ ะงบั เช่นกันจำเลยท่ี 2 ในฐานะผู้คำ้ ประกันจึงหาหลดุ
พ้นความรับผิดไม่ แม้จำเลยท่ี 2 มิไดล้ งลายมือช่ือในหนงั สือสัญญารบั สภาพหนย้ี ินยอมค้ำประกันการชำระหนตี้ ามหนงั สือสญั ญารับ
สภาพหนดี้ ว้ ยกต็ ามเพราะโจทกข์ อใหบ้ งั คับจำเลยที่ 2 รว่ มรบั ผดิ กับจำเลยที่ 1 ในจำนวนเงินทค่ี า้ งชำระตามหนงั สือสญั ญารบั สภาพหนี้
ซึง่ เปน็ จำนวนหนีค้ า่ เช่าซอื้ ค้างชำระที่จำเลยท่ี 2 ต้องรบั ผดิ ชำระแกโ่ จทก์ตามสญั ญาค้ำประกนั และหนย้ี งั ไม่ระงบั นน่ั เอง

ฎีกาที่ 3847/2548 ตามสญั ญารว่ มชำระหนีท้ จ่ี ำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทกว์ า่ การท่ผี ูใ้ หส้ ญั ญายอมเขา้ ร่วมชำระหนี้กบั ผู้
เชา่ บริการโทรศัพท์ ไมท่ ำให้คสู่ ญั ญาเดิมหลดุ พ้นจากความรบั ผดิ ตามสญั ญาเดิมนนั้ ไมม่ กี ารเปลย่ี นตัวลกู หนเี้ ดิม จงึ มิใช่สญั ญาแปลงหนี้
ใหม่ สญั ญาเดิมไม่ระงบั และการทจี่ ำเลยท่ี 1 ซ่งึ เปน็ บุคคลภายนอกมไิ ด้เปน็ ลูกหน้ผี กู พนั ตนเขา้ ชำระหนใี้ หโ้ จทกก์ ไ็ มใ่ ชก่ ารรบั สภาพหน้ี
แตเ่ ปน็ สญั ญาประเภทหนงึ่ เม่อื ไมข่ ดั ต่อกฎหมายย่อมสมบรู ณ์ใช้บงั คับได้ และไม่มีกฎหมายบญั ญตั อิ ายุความไวโ้ ดยเฉพาะจึงมอี ายุ
ความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 แมจ้ ะมขี ้อตกลงให้จำเลยท่ี 1 ผ่อนชำระหน้เี ป็นงวด ๆ ก็มิใช่เงินทต่ี อ้ งผอ่ นชำระทนุ คนื เป็น
งวด ๆ อันมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (2) จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระต้ังแตง่ วดที่ 2 คอื วนั ท่ี 7 มถิ นุ ายน 2536 โจทกฟ์ อ้ งคดีเมอ่ื
วนั ท่ี 31 ตุลาคม 2543 ยงั ไมเ่ กิน 10 ปี ฟอ้ งของโจทก์จงึ ไมข่ าดอายคุ วาม

ดอกเบ้ียทโี่ จทก์ขอคดิ อตั รารอ้ ยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 40,703 บาท นับแตว่ ันผดิ นดั คอื วนั ที่ 7
มถิ ุนายน 2536 จนถงึ วันฟอ้ งเปน็ ดอกเบยี้ คา้ งชำระมีอายคุ วาม 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1) โจทกจ์ งึ ฟอ้ งเรยี กดอกเบย้ี ค้าง
ชำระตั้งแต่วนั ที่ 7 มถิ นุ ายน 2536 ถงึ วนั ที่ 30 ตุลาคม 2538 ไมไ่ ด้เพราะขาดอายคุ วาม 5 ปี คงเรียกไดเ้ ฉพาะดอกเบี้ยหลงั จากวนั ที่
30 ตลุ าคม 2538 เป็นตน้ ไปเทา่ นนั้

ฎีกาที่ 393/2550 จำเลยท่ี 1 เป็นหนี้โจทกต์ ามคำขอเปดิ เลตเตอร์ออฟเครดติ และสัญญาทรัสตร์ ีซที โดยมีจำเลยท่ี 2
ทำสญั ญาคำ้ ประกัน แมต้ ่อมาจำเลยท่ี 1 ทำหนงั สือสัญญารับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และไม่ไดม้ ีการคำ้ ประกันในหนังสอื สญั ญารบั สภาพหน้ี
หนังสือสญั ญารับสภาพหนี้ดงั กล่าวเปน็ เพียงการยอมรบั วา่ เปน็ หน้ีโจทกแ์ ละจะชำระหนี้ มิได้เปน็ การยกเลกิ หลกั ประกันหรือการคำ้
ประกัน หรอื เปน็ การแปลงหนใี้ หม่อันจะมีผลให้หนเี้ ดิมระงับไป เม่ือจำเลยท่ี 2 เปน็ ผ้คู ำ้ ประกนั ยอมรบั ผดิ อยา่ งลูกหน้รี ่วมในหน้ีของ
จำเลยที่ 1 จงึ ยงั คงต้องรับผดิ ตอ่ โจทก์ตามสญั ญาคำ้ ประกันดังกลา่ ว

ฎกี าท่ี 5303/2545 การรับสภาพหน้เี ป็นการทลี่ ูกหนร้ี ับสภาพตอ่ เจา้ หน้วี ่าจะชำระหนีใ้ ห้ ดงั นั้น การที่จำเลยซง่ึ เปน็
บุคคลภายนอกมิได้เปน็ ลูกหนผ้ี ูกพันตนเขา้ ชำระหนีข้ อง พ. แก่โจทกจ์ ึงไม่เป็นการรบั สภาพหน้ี ทัง้ ในเอกสารดงั กล่าวกไ็ ม่ปรากฏว่า
โจทกต์ กลงใหห้ น้ีของ พ. ระงบั ไป จึงไมเ่ ปน็ การแปลงหน้ใี หม่โดยการเปลย่ี นตวั ลกู หน้ี และแมโ้ จทกจ์ ะบรรยายฟอ้ งว่าเอกสารดงั กล่าว
เป็นหนังสือรบั สภาพหนี้ ศาลก็มีอำนาจวนิ จิ ฉยั วา่ หนงั สอื สญั ญานน้ั เป็นสญั ญาประเภทใดตามท่ถี ูกตอ้ งแทจ้ รงิ ได้ โดยสญั ญาทีจ่ ำเลยทำ
ใหโ้ จทกเ์ ปน็ สญั ญาประเภทหนง่ึ ทคี่ สู่ ญั ญากระทำดว้ ยความสมคั รใจเมือ่ ไม่ขดั ต่อกฎหมายยอ่ มสมบรู ณใ์ ชบ้ งั คบั ได้ ซึง่ หน้ีตามสัญญานีไ้ ม่

43

44

มีกฎหมายบัญญัติอายคุ วามไว้โดยเฉพาะ จงึ ตอ้ งใช้อายคุ วาม 10 ปตี ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 193/30 และเมือ่
สัญญาดงั กล่าวมใิ ชส่ ญั ญารบั สภาพหนแ้ี ละสัญญาท่ีกำหนดไว้ในบัญชอี ัตราอากรแสตมปท์ า้ ยหมวด 6 แหง่ ประมวลรษั ฎากรฯ ซง่ึ เปน็
ตราสารทต่ี อ้ งปดิ อากรแสตมปต์ ามความมุ่งหมายแหง่ ประมวลรษั ฎากรฯ มาตรา 103,104 และ 108 ดงั นัน้ แมเ้ อกสารดงั กลา่ วจะไม่
ปดิ อากรแสตมป์ก็ใชเ้ ป็นพยานหลกั ฐานได้

ฎกี าท่ี 533/2535 คำร้องของ เจา้ พนกั งานพิทักษ์ทรพั ย์ผู้รอ้ งได้ร้องขอใหเ้ พกิ ถอนการโอนกรรมสิทธทิ์ ด่ี นิ พิพาท
พร้อมสิ่งปลูกสร้างทีจ่ ำเลยที่ 3 โอนใหแ้ ก่ผคู้ ดั ค้านโดยไมม่ ีคา่ ตอบแทนและเป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 237 แตต่ ามคำร้องมไิ ดบ้ รรยายวา่ ลูกหนไี้ ด้กระทำลงทงั้ ร้อู ยูว่ ่าจะเป็นทางใหเ้ จา้ หน้ีรายใดเสยี เปรยี บ จึงตอ้ งถอื ว่าผรู้ อ้ งขอให้
เพกิ ถอนการโอนซงึ่ ทำใหโ้ จทกต์ อ้ งเสยี เปรยี บรายเดยี วเทา่ นน้ั ซงึ่ การร้องขอตามบทกฎหมายดงั กลา่ วจะต้องไดค้ วามวา่ ลกู หน้ตี อ้ งเป็น
หนเี้ จา้ หนีอ้ ยูก่ อ่ นหรือขณะท่ลี ูกหนีท้ ำนติ ิกรรมอันจะเปน็ ทางใหเ้ จา้ หน้เี สยี เปรยี บจำเลยที่ 3 จดทะเบยี นโอนทรัพย์สินดงั กลา่ วใหแ้ ก่ผู้
คดั คา้ นไป เมื่อวันท่ี 17 พฤษภาคม 2525 แตจ่ ำเลยที่ 3 เพิ่งเปน็ ลูกหน้โี จทกเ์ ม่อื ปี 2528 อนั เป็นเวลาภายหลงั จากทจ่ี ำเลยท่ี 3 โอน
ท่ดี ินให้ผู้คดั คา้ นแลว้ ถงึ 3 ปี ขณะท่จี ำเลยที่ 3 โอนที่ดนิ และสง่ิ ปลูกสรา้ งน้นั โจทกจ์ งึ ยงั ไม่อยู่ในฐานะเจ้าหน้ขี องจำเลยที่ 3ผ้รู ้องไมม่ ี
สิทธจิ ะรอ้ งขอใหเ้ พิกถอนการโอน

ฎีกาท่ี 4330/2554 เมื่อสัญญาเลกิ กนั ค่สู ัญญาแตล่ ะฝา่ ยจำตอ้ งใหอ้ กี ฝ่ายได้กลบั คนื ฐานะดังทเี่ ป็นอยเู่ ดิม สว่ นทีเ่ ป็น
การงานอันไดก้ ระทำให้ ใหท้ ำไดด้ ว้ ยใชเ้ งินตามควรค่าแหง่ การนน้ั ๆ ตามท่ีบญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
การทีส่ ญั ญาระหว่างโจทกก์ บั จำเลยในข้อ 9 ระบุใหบ้ รรดางานทโ่ี จทกไ์ ดท้ ำข้นึ ตกเป็นกรรมสทิ ธข์ิ องจำเลยโดยโจทกจ์ ะเรยี กรอ้ ง
ค่าเสยี หายใด ๆ ไม่ได้ เพื่อเปน็ ผลใหจ้ ำเลยไมต่ ้องใชค้ า่ งานแก่โจทก์ จงึ เป็นข้อตกลงท่ีมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสยี หายไว้ล่วงหน้า
อนั เปน็ เบ้ียปรับ ซงึ่ หากสงู เกินส่วนศาลมอี ำนาจลดลงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหน่งึ หาใช่ว่าจะต้องบงั คับตามขอ้ สัญญาโดย
เดด็ ขาดเปน็ ผลให้จำเลยไมต่ ้องใช้เงินตามควรคา่ แหง่ งานแก่โจทก์เสมอไปไม่

ฎีกาท่ี 12168/2553 ศาลพพิ ากษาใหจ้ ำเลยที่ 1 กับโจทกแ์ ละจำเลยท่ี 2 รว่ มกนั ชำระหน้แี กเ่ จา้ หนี้ตามคำพิพากษา
เพราะโจทก์และจำเลยท่ี 2 เป็นผคู้ ำ้ ประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ซง่ึ โจทกก์ ไ็ ดช้ ำระหนแี้ กเ่ จ้าหนีต้ ามคำพพิ ากษาแล้วจำนวน 17,000,000
บาท โจทกย์ อ่ มรับชว่ งสทิ ธขิ องเจา้ หน้ีตามคำพิพากษาไลเ่ บย้ี เอาแก่จำเลยท่ี 2 ไดต้ ามสว่ นเทา่ ๆ กนั จำนวน 8,500,000 บาท ป.พ.พ.
มาตรา 229 (3) และมาตรา 296 เนอ่ื งจากบทบญั ญตั ใิ นลักษณะค้ำประกนั มิได้กำหนดความรบั ผดิ ของผคู้ ำ้ ประกันตอ่ กันไว้ จึงตอ้ งใช้
หลักทว่ั ไปตามมาตราท้ังสองดงั กล่าว

ฎกี าท่ี 7894/2553 การที่ อ. ให้จำเลยท่ี 2 เชา่ ตกึ แถวพพิ าทมีกำหนด 20 ปี โดยจำเลยท่ี 2 ตอ้ งออกเงินช่วยค่า
ก่อสรา้ งตึกแถวพพิ าท ซง่ึ ยงั กอ่ สร้างไมแ่ ลว้ เสร็จให้ อ. จำนวน 900,000 บาท ย่อมเป็นสญั ญาตา่ งตอบแทนชนดิ หน่งึ ทซี่ ้อนรวมอย่ใู น
สัญญาเชา่ โดยถอื เป็นขอ้ ตกลงที่ อ. จะตอ้ งใหจ้ ำเลยที่ 2 เช่าตึกแถวพพิ าทมกี ำหนด 20 ปี สญั ญาเช่าตึกแถวพพิ าทระหวา่ ง อ. และ

44

45

จำเลยที่ 2 จงึ เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนยงิ่ กว่าการเช่าตามธรรมดาซ่ึงเปน็ เพียงบุคคลสิทธิมีผลผกู พันเฉพาะ อ. กับจำเลยท่ี 2 ซง่ึ เปน็
คสู่ ัญญาเทา่ น้นั หามผี ลผกู พนั ไปถงึ โจทก์ผูร้ บั โอนกรรมสิทธติ์ ึกแถวพิพาทจาก อ. เจา้ ของเดิมซงึ่ เป็นบคุ คลภายนอกสัญญาดว้ ยไม่ ถงึ แม้
โจทก์จะร้เู ห็นถึงการเชา่ ดังกลา่ วและรบั โอนตึกแถวพพิ าทมา เมอื่ ข้อเท็จจรงิ ฟงั ยตุ ิแลว้ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยนิ ยอมผกู พันตนทจ่ี ะปฏิบตั ิ
ตามสญั ญาดงั กล่าวแทน อ. ท่จี ะให้จำเลยท่ี 2 เช่าตึกแถวพิพาท อนั จะถอื ได้วา่ โจทก์ตกลงชำระหนี้ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น
บคุ คลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 ซง่ึ จะทำใหจ้ ำเลยที่ 2 มีสิทธอิ ย่ใู นตึกแถวพิพาททีเ่ ชา่ ต่อไปขอ้ ตกลงระหว่าง อ. กับจำเลยท่ี 2
จงึ ไมม่ ผี ลผกู พัน

ฎีกาที่ 4384/2540 โจทก์ทำสัญญาจะซอ้ื บา้ นพร้อมทด่ี ินจากจำเลยท่ี 1 และไดท้ ำสญั ญาวา่ จา้ งจำเลยท่ี 1 ตกแตง่ ตอ่
เติมอาคารดงั กลา่ วดว้ ย โดยมขี ้อตกลงวา่ หากจำเลยที่ 1 กอ่ สรา้ งเสรจ็ และนดั โจทก์ไปรบั โอนกรรมสทิ ธิ์ แลว้ โจทก์ไม่ไปจด-ทะเบยี น
รับโอนภายในกำหนดนัด จำเลยที่ 1 มีสทิ ธิทจ่ี ะบอกเลิกสญั ญาได้ ดงั นแ้ี มว้ า่ ภายในกำหนดระยะเวลาท่ีจำเลยท่ี 1 กำหนดใหโ้ จทกไ์ ป
รับโอนกรรมสทิ ธ์จิ ำเลยท่ี 1 กอ่ สร้างบ้านพิพาทแล้วก็ตาม แตบ่ า้ นทสี่ รา้ งเสรจ็ แล้วนนั้ เกดิ ความเสยี หายขน้ึ หลายแหง่ เช่น ผนังบ้าน
และตัวบ้านมีรอยแตกรา้ วหลายแหง่ ใส่บานเกลด็ หน้าตา่ งไม่ครบ ท่อร้อยสายไฟฟ้าแตก ไมม่ แี ผงไฟฟา้ ยังเดินสายไฟฟา้ ไมเ่ รยี บร้อย ยัง
ไมไ่ ดต้ ดิ ตง้ั สขุ ภัณฑ์ในหอ้ งน้ำ ผนังบา้ นบริเวณท่อส้วมเป็นรู งาน-ทาสยี งั ไมเ่ รยี บร้อย แมค้ วามเสยี หายดงั กลา่ วแต่ละแหง่ จะมิใช่
สาระสำคัญของบา้ นก็ตาม แต่ความเสยี หายดงั กลา่ วกม็ หี ลายแห่งจนถอื ไมไ่ ด้วา่ การก่อสร้างเสรจ็ เรียบร้อยแล้ว ดงั นจี้ ำเลยท่ี 1 จงึ ไม่มี
สิทธบิ อกเลกิ สญั ญาแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 1 บอกเลิกสญั ญาและนำบา้ นพรอ้ มทด่ี ินพิพาทไปขายแกจ่ ำเลยท่ี 3 จำเลยท่ี 1จึงเป็นฝ่าย
ผดิ สญั ญา ตามสัญญาจะซอื้ จะขายบ้านพร้อมทด่ี นิ ระบุวา่ สว่ นทเี่ หลือชำระเมือ่ กอ่ สร้างเสร็จเรยี บร้อย ดงั น้ีแม้จำเลยที่ 1 จะมที ด่ี นิ
พิพาทพรอ้ มสง่ิ ปลูกสรา้ งพร้อมทจี่ ะจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธิแ์ ก่โจทก์ แตเ่ มื่อก่อสร้างยงั ไม่เสร็จเรยี บรอ้ ยตามสญั ญา โจทกก์ ม็ สี ทิ ธทิ ี่จะ
ไม่ยอมรบั โอน จำเลยท่ี 3 เปน็ น้องภรรยาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการในนามของจำเลยที่ 1 แสดงวา่
จำเลยท่ี 3ซอื้ บา้ นพรอ้ มท่ดี นิ พิพาทโดยรอู้ ยวู่ า่ โจทก์ทำสญั ญาจะซื้อจะขายทรพั ยด์ ังกลา่ วกับจำเลยที่ 1 กอ่ นแลว้ โจทก์จึงมสี ิทธฟิ ้อง
ขอใหเ้ พิกถอนนติ ิกรรมการซอ้ื ขายและการโอนทดี่ ินพร้อมสงิ่ ปลกู สร้างในท่ีดินโฉนดทพ่ี ิพาท เพ่ือจดทะเบยี นโอนให้โจทก์ไดต้ าม ป.พ.พ.
มาตรา 237

การเพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 มไิ ด้บญั ญตั ใิ ห้สทิ ธแิ กเ่ จ้าหนี้ผูม้ สี ิทธใิ นทรพั ยสทิ ธเิ ท่านัน้ ท่ี
จะร้องขอให้ศาลเพกิ ถอนนิตกิ รรมใด ๆอนั ลูกหนไ้ี ดก้ ระทำลงทง้ั รู้อยวู่ ่าจะเปน็ ทางใหเ้ จา้ หนีเ้ สยี เปรยี บเทา่ นน้ั เจา้ หนผี้ ูม้ สี ทิ ธิในบุคคล
สิทธิก็มสี ิทธิรอ้ งขอใหศ้ าลเพกิ ถอนนิตกิ รรมใด ๆ อันลกู หนไ้ี ดก้ ระทำลงทงั้ ร้อู ยวู่ า่ จะเป็นทางใหเ้ จา้ หนเ้ี สียเปรยี บได้ดว้ ย เม่ือวตั ถแุ ห่งหนี้
ในคดีนี้คอื บา้ นพร้อมท่ดี นิ พิพาทอันเปน็ ทรัพยเ์ ฉพาะสง่ิ ซ่งึ มลี กั ษณะเฉพาะไมอ่ าจใช้ทรัพย์อื่นมาโอนแทนได้ ดงั นี้ แม้จำเลยท่ี 1จะมี
ทรพั ย์สนิ อ่ืนพอทจี่ ะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ โจทกซ์ ึง่ เป็นเจา้ หน้เี สียเปรยี บ กย็ งั มีสทิ ธิฟอ้ งเพิกถอนการโอนไดต้ าม ป.พ.พ.มาตรา 237

ฎกี าท่ี 11228/2553 นิตกิ รรมอำพรางตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสอง เป็นเร่ืองคกู่ รณแี สดงเจตนาทำนิตกิ รรมขนึ้
สองนติ กิ รรม นิติกรรมหนง่ึ แสดงใหป้ รากฏออกมาโดยไมป่ ระสงค์จะใหม้ ีผลบงั คบั ตามกฎหมาย สว่ นอกี นติ กิ รรมหนง่ึ อำพรางปกปิดไว้
โดยคู่กรณปี ระสงคจ์ ะใหน้ ติ ิกรรมที่อำพรางปกปดิ ไวน้ ั้นใช้บังคบั ระหวา่ งกันเองได้ ในเรือ่ งของนิติกรรมอำพรางจงึ ต้องมสี องนติ ิกรรม แต่

45

46

ขอ้ เทจ็ จรงิ คดีน้โี จทกต์ กลงทำนติ ิกรรมยกทดี่ ินพิพาทให้แก่จำเลยเพยี งนติ กิ รรมเดยี ว การใหด้ ังกล่าวมไิ ดเ้ ป็นการแสดงเจตนาลวงโดย
สมร้กู บั จำเลยเพื่อปกปดิ นติ กิ รรมอีกนติ ิกรรมหนึ่งอยา่ งใด เพยี งแตโ่ จทกอ์ ้างว่ามขี ้อตกลงเพิม่ เติมในสัญญาไวว้ ่าจำเลยต้องไปดำเนนิ การ
แบง่ แยกทด่ี นิ พิพาทแลว้ โอนให้แกพ่ ่นี อ้ งทุกคนในภายหลงั เท่านน้ั สัญญาใหท้ ดี่ นิ พิพาททง้ั สองแปลงตามฟ้องจงึ มิใชน่ ิติกรรมอำพรางท่ี
โจทกจ์ ะฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนได้ และหากขอ้ เทจ็ จรงิ เป็นไปตามทโ่ี จทก์กล่าวอา้ งในฟ้องจรงิ กรณกี ็เป็นเร่อื งโจทก์จำเลยทำสญั ญาตกลงวา่
จะชำระหน้แี กบ่ ุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคหน่ึง กรณีนโี้ จทกช์ อบทจ่ี ะใช้สิทธเิ รยี กร้องให้จำเลยโอนที่ดินพพิ าทให้แก่
บตุ รทกุ คนซง่ึ เปน็ บคุ คลภายนอกผูไ้ ดร้ บั ประโยชนต์ ามสญั ญา มใิ ช่มาฟ้องเพกิ ถอนสัญญาใหแ้ ลว้ บงั คับให้จำเลยโอนทด่ี นิ พพิ าทกลบั มา
เป็นของโจทก์ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญตั ใิ หโ้ จทก์กระทำเช่นน้ันไดด้ งั น้ี แม้จะฟงั ไดต้ ามที่โจทกน์ ำสบื วา่ มขี ้อตกลงให้จำเลยแบง่ โอน
ที่ดินพิพาทใหแ้ กพ่ ี่น้องทุกคนจรงิ กรณกี ็ไม่อาจบงั คับให้จำเลยโอนทด่ี นิ พพิ าทให้แก่พี่นอ้ งทุกคนไดเ้ พราะจะเปน็ การพิพากษาเกนิ ไป
กว่าทป่ี รากฏในคำฟ้อง ตอ้ งห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 กรณกี ็ไม่จำต้องวนิ จิ ฉยั ฎีกาโจทกใ์ นขอ้ ทว่ี า่ มขี อ้ ตกลงใหจ้ ำเลยแบ่งโอนทีด่ ิน
พิพาทให้แก่พ่ีน้องทุกคนหรอื ไม่ เพราะไม่มผี ลทำใหค้ ดีเปลย่ี นแปลงเป็นอย่างอืน่

ฎีกาท่ี 2224/2553 โจทกจ์ ำเลยทำสญั ญาจะซอื้ จะขายทดี่ ินโดยมเี จตนาจะทำสญั ญาจะซอ้ื จะขายเป็นหนงั สอื กันอกี
กรณจี ึงต้องด้วยบทบญั ญตั แิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง เม่ือโจทก์และจำเลยยงั มิได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันเป็นหนงั สือ สัญญา
จะซอื้ จะขายระหวา่ งโจทกก์ ับจำเลยจงึ ไมเ่ กิดขนึ้ เงินมัดจำท่ีจำเลยรบั ไว้จงึ เป็นการรบั ไว้โดยปราศจากมูลอันจะอา้ งกฎหมายได้ จำเลย
ไม่มีสิทธิริบมัดจำ จึงต้องคนื ใหโ้ จทกฐ์ านลาภมคิ วรไดต้ าม มาตรา 406

ฎีกาที่ 7175/2554 โจทก์ไมช่ ำระราคาทดี่ ินใหแ้ ก่จำเลยทงั้ สองตามสัญญา โจทกจ์ งึ เปน็ ผผู้ ดิ สญั ญา การท่ีโจทก์บอก
เลกิ สญั ญาแก่จำเลยทง้ั สองและให้จำเลยทง้ั สองคืนเงนิ ทไ่ี ดช้ ำระไปแลว้ สว่ นจำเลยทงั้ สองขอใชส้ ิทธริ ิบเงนิ มดั จำตามขอ้ ตกลงใน
สญั ญา ถือไดว้ า่ เป็นการตกลงเลิกสญั ญากับโจทก์โดยปริยายแลว้ แมต้ ามสญั ญาจะซอื้ จะขายทดี่ นิ จะมีข้อตกลงกันให้ถือเงินดาวน์เป็น
เงินมัดจำ และหากโจทก์ผดิ สญั ญายอมให้ริบเงนิ มัดจำ แต่ได้ความว่าในวันทำสญั ญาโจทกช์ ำระเงินดาวน์ใหจ้ ำเลยทงั้ สองเพยี ง
340,000 บาท เงนิ จำนวนดงั กลา่ วจงึ เป็นทรพั ยส์ นิ ทีโ่ จทก์ได้ใหแ้ ก่จำเลยทั้งสองในวนั ทำสญั ญาเพอื่ เป็นการชำระหนี้บางส่วนและเปน็
ประกนั การท่ีจะปฏบิ ัติตามสญั ญาถือเป็นมดั จำส่วนเงนิ ดาวนท์ ีโ่ จทก์ชำระในภายหลงั อีก 1 งวด แมต้ ามสญั ญาจะระบุให้ถอื เป็นมดั จำก็
ไม่ใชม่ ัดจำตามความหมายแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 377 แต่เป็นเพียงการชำระค่าท่ีดินบางส่วนเมอ่ื โจทกเ์ ป็นฝ่ายผดิ สญั ญาและจำเลยทง้ั
สองไดบ้ อกเลกิ สญั ญาแก่โจทก์แลว้ สัญญาจะซอ้ื จะขายท่ีดนิ ดังกล่าวจงึ เปน็ อันเลิกกนั จำเลยทง้ั สองจงึ มสี ิทธริ บิ มัดจำจำนวน 340,000
บาท ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) สว่ นเงนิ ดาวน์ท่ีโจทกช์ ำระในภายหลงั อีก 1 งวด ซง่ึ ถือเป็นการชำระราคาทด่ี ินบางสว่ นน้ัน จำเลย
ทั้งสองต้องให้โจทกไ์ ดก้ ลบั คืนส่ฐู านะดงั ทเี่ ปน็ อยเู่ ดมิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหน่ึง แตก่ ารที่โจทกแ์ ละจำเลยทง้ั สองตกลงกันให้
จำเลยทง้ั สองรบิ เงินดาวนด์ ังกลา่ วไดห้ ากโจทก์ผดิ สญั ญา ข้อตกลงดงั กลา่ วจงึ มลี ักษณะเป็นเบย้ี ปรบั ท่กี ำหนดเป็นจำนวนเงินตาม ป.
พ.พ. มาตรา 379 ซงึ่ หากเบย้ี ปรบั สงู เกนิ ส่วน ศาลก็มีอำนาจปรับลดลงใหเ้ หลอื เปน็ จำนวนทพี่ อสมควรไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 383
วรรคหน่ึง

46

47

ฎีกาท่ี 3451/2555 รอยห้ามล้อของรถยนตก์ ระบะซงึ่ ยาวประมาณ 20 เมตร อยู่ในช่องเดนิ รถของ ล. โดยเฉพาะรอย
ห้ามลอ้ รถดา้ นซ้ายอย่หู า่ งจากไล่ถนนพอสมควร แสดงว่ากระบอื ของจำเลยไดว้ งิ่ ตัดหนา้ รถของ ล. ในระยะกระชัน้ ชิดจนไมส่ ามารถห้าม
ล้อรถได้ทนั จงึ ชนกระบือของจำเลย แม้กอ่ นถงึ ทเี่ กดิ เหตปุ ระมาณ 200 เมตร มปี า้ ยสีเหลอื งเตอื นระวงั สัตวเ์ ลย้ี งกต็ าม แตก่ ็ไม่ปรากฏ
จากทางนำสบื ของจำเลยว่าขณะเกดิ เหตุ ล. ขับรถดว้ ยความเรว็ สงู และไม่ใช้ความระมัดระวงั อยา่ งไร การท่ีมีป้ายสีเหลอื งเตือนให้ระวัง
สัตว์เลย้ี งมิได้หมายความวา่ หากเหตุรถชนสตั วเ์ ลยี้ งแล้ว ผ้ขู บั รถชนสัตว์เลยี้ งจะต้องผดิ เสมอไป เมอ่ื พจิ ารณาประกอบ พ.ร.บ. จราจร
ทางบกฯ มาตรา 111 ทหี่ ้ามมใิ หผ้ ู้ใดข่ี จูง ไลต่ อ้ นหรอื ปล่อยสตั วไ์ ปบนทางในลักษณะทเี่ ปน็ การกดี ขวางการจราจรและไม่มีผคู้ วบคุม
เพยี งพอ ซง่ึ เป็นกฎหมายท่มี ีจุดมงุ่ หมายเพื่อคมุ้ ครองผขู้ ับรถให้เกิดความปลอดภยั ในการใช้ถนน การทฝี่ งู กระบอื ท่ีจำเลยเลย้ี งมมี ากถงึ
43 ตวั แต่มผี คู้ วบคุมดแู ลเพยี ง 2คน ถือวา่ มีผูค้ วบคุมดแู ลไมเ่ พยี งพอ ข้อเท็จจรงิ ฟงั ได้วา่ เหตเุ กิดจากความประมาทเลนิ เลอ่ ของจำเลยท่ี
ไมไ่ ดใ้ ช้ความระมดั ระวังอันสมควรในการควบคมุ ดแู ลเลยี้ งกระบอื เม่อื มีความเสียหายเกดิ ขน้ึ เพราะสัตว์จำเลยจึงต้องใช้คา่ สินไหม
ทดแทนแกโ่ จทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 433 วรรคหนง่ึ

ฎกี าท่ี 8188/2554 เม่อื กำหนดวนั นัดโอนกรรมสทิ ธติ์ ามทรี่ ะบุในสัญญาจะซ้อื จะขายที่ดินพรอ้ มสง่ิ ปลูกสรา้ งตรงกบั
วันอาทติ ย์ที่ 18 กรกฎาคม 2547 ค่สู ญั ญาทง้ั สองฝ่ายจึงไม่อาจดำเนินการขอจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธไิ์ ด้ และในวนั จันทร์ท่ี 19
กรกฎาคม 2547 ค่สู ญั ญาทงั้ สองฝ่ายตา่ งไม่ได้ไปทสี่ ำนักงานทด่ี นิ เพือ่ ดำเนนิ การดงั กล่าวเช่นกนั จงึ ยงั ถอื ไม่ไดว้ ่าฝา่ ยใดฝ่ายหนง่ึ เปน็
ฝา่ ยผดิ สญั ญา และสญั ญาดงั กลา่ วเปน็ สัญญาตา่ งตอบแทน โดยโจทกผ์ ู้จะซือ้ มหี นา้ ทีต่ อ้ งชำระราคาให้แก่จำเลยผูจ้ ะขาย สว่ นจำเลยผู้
จะขายมีหนา้ ทต่ี อ้ งจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธ์ิที่ดนิ พร้อมสงิ่ ปลกู สร้างใหแ้ กโ่ จทกผ์ ู้จะซื้อ เมอ่ื ไมป่ รากฏว่าภายหลงั จากวนั ดงั กล่าว
คู่สญั ญาแตล่ ะฝ่ายไดม้ กี ารเรยี กร้องใหอ้ กี ฝา่ ยหนงึ่ ปฏิบัตติ ามสญั ญาตอ่ กนั จงึ ถอื วา่ คู่สญั ญาตกลงเลิกสญั ญากนั โดยปริยาย และเม่อื
สญั ญาเป็นอนั เลิกกนั คสู่ ญั ญาแต่ละฝ่ายจำตอ้ งใหอ้ กี ฝ่ายหนง่ึ ไดก้ ลับคืนสฐู่ านะดงั ทเ่ี ป็นอยูเ่ ดิม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 จำเลยจงึ ตอ้ ง
คืนเงินมดั จำทร่ี บั ไวแ้ ก่โจทก์

ฎกี าที่ 4917/2554 มดั จำท่ไี ด้ให้แก่กันไว้เปน็ พยานหลักฐานว่าสญั ญาได้ทำกันขึน้ แล้วและเปน็ ประกนั การท่จี ะปฏบิ ตั ิ
ตามสญั ญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 น้นั ตอ้ งเปน็ ทรัพยส์ นิ ทไ่ี ด้ให้แก่กันไว้เมอื่ เข้าทำสัญญาในวนั ทำสญั ญาเท่านนั้ ไมใ่ ช่ทรพั ย์สนิ ท่ีได้
ใหแ้ ก่กันภายหลงั วันทำสญั ญา ดงั นน้ั เงินจำนวน 200,000 บาท ทโี่ จทกผ์ ูจ้ ะซือ้ ไดช้ ำระใหแ้ กจ่ ำเลยผจู้ ะขายในวันทำสญั ญาจะซื้อจะ
ขายทด่ี ินเทา่ น้นั ท่ีเปน็ มัดจำ สว่ นเงนิ จำนวน 800,000 บาท ทีโ่ จทกช์ ำระแกจ่ ำเลยภายหลังทำสญั ญาดังกลา่ วน้ันมใิ ช่มัดจำแต่เปน็ การ
ชำระราคาทด่ี ินบางส่วน

เม่อื โจทกเ์ ปน็ ฝา่ ยผดิ สญั ญา และจำเลยได้บอกเลิกสญั ญาแกโ่ จทก์แลว้ สัญญาจะซ้ือจะขายทด่ี ิน
ดงั กลา่ วจึงเปน็ อันเลิกกนั จำเลยมีสทิ ธริ บั เงินมัดจำจำนวน 200,000 บาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) ส่วนเงินจำนวน 800,000
บาท ทโี่ จทกช์ ำระแก่จำเลย ซึ่งเปน็ การชำระราคาท่ีดนิ บางสว่ นตามสญั ญานั้น จำเลยตอ้ งใหโ้ จทกค์ ่สู ัญญาอีกฝา่ ยหนงึ่ ไดก้ ลบั คนื สูฐ่ านะ
ดงั ทเี่ ป็นอยูเ่ ดมิ โดยตอ้ งคืนใหแ้ ก่โจทกพ์ ร้อมดอกเบยี้ คดิ ตงั้ แต่เวลาทีจ่ ำเลยได้รับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
เงนิ จำนวน 800,000 บาทดงั กลา่ วมใิ ชม่ ดั จำทีจ่ ำเลยจะมสี ทิ ธิรบิ เพราะเหตุที่โจทกเ์ ปน็ ฝา่ ยผิดสญั ญา

47

48

ฎีกาที่ 3216/2554 โจทกท์ ัง้ สองกบั จำเลยเปน็ ค่สู ญั ญาตามสัญญาจะซือ้ จะขายและพัฒนาทด่ี ิน โดยโจทกท์ ง้ั สองผจู้ ะ
ซื้อสญั ญาวา่ จะวา่ จา้ งผูจ้ ะขายหรอื บรษิ ัทในเครือของผจู้ ะขายเปน็ ผู้ปลกู สรา้ งโดยจะใช้แบบของผ้จู ะขายเท่าน้นั ซงึ่ เงือ่ นไขดงั กลา่ วเป็น
สว่ นหนง่ึ ของสญั ญาทค่ี สู่ ัญญาจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม ต่อมาโจทก์ทงั้ สองได้ทำสัญญาว่าจา้ งบรษิ ทั ท. ปลกู สรา้ งบา้ นลงบนทดี่ นิ ท่โี จทก์ทงั้
สองทำสญั ญาดงั กลา่ ว จำเลยและบรษิ ทั ท. ตา่ งมกี รรมการผู้มอี ำนาจกระทำการแทนเช่นเดยี วกัน สำนักงานทต่ี ง้ั ก็เปน็ สถานทแี่ หง่
เดียวกนั ผู้ลงลายมือชอ่ื เปน็ พยานในสัญญาจะซื้อจะขายและพฒั นาท่ีดิน และสญั ญาว่าจ้างปลูกสรา้ งบา้ นกเ็ ป็นพยานชดุ เดยี วกนั เหน็
ได้ว่า บรษิ ัท ท. เปน็ บรษิ ทั ในเครอื ของจำเลยตรงตามทรี่ ะบไุ วใ้ นเงื่อนไขตอ่ ท้ายสญั ญา จำเลยกับบริษทั ท. ตา่ งมผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั ใน
การขายทด่ี ินและบา้ นพพิ าทรายน้ี โดยแบ่งแยกกันทำหนา้ ทีด่ ำเนินการในด้านตา่ ง ๆ ถอื ว่าจำเลยและบรษิ ทั ท. ซง่ึ เป็นบริษัทในเครอื
ของจำเลย มผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั ในการจัดสรรที่ดินและบา้ นทีโ่ จทก์ทงั้ สองจองซอ้ื จากจำเลย จงึ ต้องร่วมกันผูกพันตามสญั ญาดงั กล่าว
ตอ่ โจทกท์ งั้ สองอยา่ งลกู หนีร้ ว่ ม ดงั นน้ั โจทกท์ ้ังสองจึงมอี ำนาจฟอ้ งจำเลยแต่ผ้เู ดยี วให้รบั ผดิ ตามสัญญาทง้ั หมดดงั กล่าวแล้วได้

เมือ่ โจทกท์ งั้ สองเปน็ ฝ่ายผิดสัญญาแตฝ่ า่ ยเดยี วเพราะไม่ไปรับโอนกรรมสทิ ธ์ิทีด่ นิ และส่งิ ปลูก
สร้างตามระยะเวลาทกี่ ำหนด ซ่ึงตามสญั ญาจะซ้อื จะขายและพฒั นาท่ดี ินใหถ้ ือวา่ สญั ญาเปน็ อนั ยกเลิกโดยโจทก์ทงั้ สองผจู้ ะซื้อยนิ ยอม
ใหจ้ ำเลยผู้จะขายริบเงนิ ทีไ่ ดช้ ำระไว้แลว้ ทั้งหมดเช่นนี้ คู่สญั ญาแตล่ ะฝา่ ยจำตอ้ งใหอ้ กี ฝ่ายหนึ่งไดก้ ลับคนื สฐู่ านดงั ทเ่ี ปน็ อยูเ่ ดิมตาม ป.
พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึง่ การทโ่ี จทก์ทงั้ สองชำระเงินจำนวน 20,000 บาท ใหแ้ กจ่ ำเลยในวันจอง ถือว่าเงนิ จำนวนนเ้ี ป็นเงินที่โจทก์
ทง้ั สองได้สง่ มอบใหแ้ กจ่ ำเลยเพ่อื เป็นพยานหลักฐาน และเปน็ การประกันในการปฏิบัตติ ามสัญญา จึงเปน็ มัดจำ สว่ นเงินทโี่ จทกท์ ้ังสอง
ชำระอกี จำนวน 32,500 บาท ในวนั ทำสญั ญาจะซอ้ื จะขายและพัฒนาทดี่ ินนนั้ ตามสญั ญาดงั กล่าวระบุใหถ้ ือว่าเป็นการชำระหน้งี วดที่
1 ซงึ่ ถือว่าเปน็ ส่วนหน่ึงของราคาทโ่ี จทก์ทงั้ สองชำระคา่ ทด่ี นิ และคา่ พฒั นาทดี่ ินตามสัญญา มใิ ช่เป็นการให้ไว้เพอ่ื เปน็ ประกันการปฏบิ ตั ิ
ตามสญั ญา จงึ มิใชค่ ่ามดั จำ ดงั น้ัน เมื่อโจทกท์ ้ังสองเป็นฝา่ ยผดิ สญั ญาและสัญญาเปน็ อันยกเลกิ แลว้ จำเลยจงึ มสี ิทธริ บิ มดั จำจำนวน
20,000 บาทไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2)

โจทกท์ งั้ สองชำระคา่ ดนิ ค่าจา้ งปลูกสร้างบา้ น คา่ สร้างร้ัวและคา่ ต่อเตมิ บา้ นหลงั จากที่จำเลยมี
สทิ ธิรบิ มัดจำจำนวน 20,000 บาทแลว้ เปน็ เงนิ 606,897 บาท ซ่ึงเงินจำนวนน้ีจำเลยจะตอ้ งใหโ้ จทก์ทัง้ สองกลบั คืนสู่ฐานะดังทเี่ ป็นอยู่
เดิม แต่การทโ่ี จทก์ทง้ั สองกับจำเลยตกลงกนั ว่าถ้าโจทกท์ ง้ั สองเป็นฝ่ายผดิ สญั ญา สญั ญาเป็นอนั ยกเลกิ โจทกท์ ง้ั สองยินยอมใหจ้ ำเลย
รบิ เงนิ ท่ไี ดช้ ำระไว้แล้วทงั้ หมด ข้อตกลงดงั กล่าวจงึ มลี กั ษณะเปน็ เบีย้ ปรบั ทกี่ ำหนดเปน็ จำนวนเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 และถ้าเบ้ยี
ปรับสงู เกนิ ส่วน ศาลก็มีอำนาจลดลงใหเ้ หลือเปน็ จำนวนพอสมควรไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 383

ฎีกาที่ 6866/2552 ข้ออา้ งที่จำเลยอา้ งว่าโจทกก์ ่อสร้างชำรุดบกพรอ่ งแลว้ ไมย่ อมแกไ้ ข จำเลยจงึ บอกเลิกสญั ญานนั้
เป็นเรอื่ งความรบั ผดิ ในความชำรดุ บกพรอ่ งทโ่ี จทกใ์ นฐานะผูร้ ับจ้างจะตอ้ งรับผดิ ชอบอยแู่ ลว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 595 โดยไมค่ ำนึงวา่
โจทกห์ รือจำเลยเป็นฝา่ ยผดิ สญั ญาหรือไม่ ดงั น้นั ประเดน็ วา่ โจทก์เปน็ ฝ่ายผดิ สญั ญาหรอื ไม่ จงึ ไม่เปน็ ประเดน็ สำคญั แหง่ คดที ี่ศาล
จำต้องวนิ จิ ฉยั เสียกอ่ นและเมอ่ื ฟงั วา่ โจทก์และจำเลยตกลงเลกิ สญั ญากนั แลว้ กรณเี ช่นนีค้ ่สู ญั ญาแตล่ ะฝา่ ยจำตอ้ งใหอ้ ีกฝ่ายหนึง่ ได้
กลับคนื สูฐ่ านะดังทเ่ี ป็นอยู่เดมิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 สว่ นการงานท่โี จทกไ์ ดท้ ำไปแลว้ จำเลยตอ้ งชดใชค้ ืนดว้ ยการใชเ้ งินตามควรค่า

48

49

แห่งการนัน้ ๆ และจำเลยมีสทิ ธิที่จะหักคา่ เสียหายที่ต้องซอ่ มแซมงานทโี่ จทก์ก่อสรา้ งชำรดุ บกพรอ่ งออกจากคา่ จา้ งท่ียงั คา้ งชำระอยูไ่ ด้
สญั ญาจา้ งระหวา่ งโจทกแ์ ละจำเลยเปน็ สญั ญาจา้ งทำของ ซง่ึ กฎหมายมิไดบ้ งั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์จงึ นำสบื พยาน
บคุ คลวา่ จำเลยตกลงใหโ้ จทกก์ อ่ สรา้ งเพมิ่ เติมไปจากแบบแปลนทตี่ กลงกนั ไว้เดมิ ได้ ไม่ต้องห้ามนำพยานบคุ คลมาสบื เปลยี่ นแปลง
ข้อความในเอกสารนัน้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข)

สำหรบั คา่ จ้างในส่วนงานเพมิ่ เตมิ เมอ่ื ตามสัญญากำหนดไว้วา่ การเพิ่มเติมงานจะต้องคดิ ราคากนั
ใหม่โดยทำเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร แตไ่ ม่ปรากฏวา่ เม่ือโจทกก์ บั จำเลยไดต้ กลงเพ่มิ เติมงานและราคากันใหมเ่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษรแลว้ จงึ
ถอื วา่ โจทกก์ บั จำเลยไมไ่ ดม้ สี ัญญาตอ่ กนั ในสว่ นที่โจทกท์ ำงานเพม่ิ เติม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง โจทกจ์ งึ ไม่มสี ทิ ธเิ รยี กค่าจา้ ง
ในส่วนงานเพ่ิมเติมจากจำเลย

ฎกี าท่ี 7495/2555 ป.พ.พ. มาตรา 206 บญั ญตั ิใหห้ นอี้ ันเกดิ แต่มูลละเมดิ ลกู หนไ้ี ด้ช่อื วา่ ผดิ นัดมาแตเ่ วลาที่ทำ
ละเมดิ เม่ือจำเลยที่ 1 ทำละเมิดตอ่ โจทกแ์ ละไดช้ อื่ ว่าผดิ นัดมาแต่เวลาทีท่ ำละเมดิ จำเลยที่ 2 ซงึ่ เป็นนายจา้ งจะต้องร่วมรับผิดกบั
จำเลยที่ 1 ลูกจา้ งในผลแหง่ ละเมิดซง่ึ จำเลยท่ี 1 ได้กระทำไปในทางการที่จา้ ง จำเลยท่ี 2 จึงอยใู่ นฐานะเป็นลูกหน้ีเช่นเดยี วกับจำเลยที่
1 และไดช้ ือ่ วา่ ผดิ นดั มาแตเ่ วลาที่จำเลยที่ 1 ทำละเมดิ เชน่ เดยี วกัน จำเลยท้งั สองจงึ ตอ้ งเสยี ดอกเบีย้ ในจำนวนเงินที่จะตอ้ งชดใชต้ งั้ แต่
วนั ทำละเมิด มิใชน่ บั ถดั จากวันฟ้องเป็นตน้ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ฎกี าท่ี 7790/2554 แมข้ ณะจำเลยทำหนงั สอื โอนสิทธเิ รียกรอ้ งในการรับเงินคา่ จา้ งทจ่ี ะไดร้ ับจากองคก์ ารบรหิ ารสว่ น
ตำบลเวียงชยั ให้แกผ่ รู้ อ้ ง จำเลยเพยี งแตเ่ ป็นผชู้ นะการประมูลงานรบั เหมากอ่ สรา้ งได้ โดยยงั มิได้ทำสญั ญาจา้ งและเร่ิมทำงาน ยอ่ มถือ
ไดว้ า่ จำเลยไดส้ ทิ ธใิ นการดำเนินงานกอ่ สร้างและรบั เงนิ ค่ากอ่ สรา้ งเมือ่ ทำงานเสรจ็ แลว้ สิทธดิ งั กลา่ วอย่ใู นสภาพเปดิ ชอ่ งให้โอนกันได้
แลว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 303 และเมื่อ ป. นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลเวยี งชยั เขยี นขอ้ ความในหนงั สอื โอนสิทธิเรยี กร้องวา่ "ได้รับ
ทราบและยินยอมในการโอนสทิ ธดิ งั กล่วแลว้ " พร้อมกบั ลงลายมอื ชอ่ื และประทบั ตรา ถือวา่ องค์การบรหิ ารส่วนตำบลเวยี งชยั ลกู หนี้ได้
ยนิ ยอมดว้ ยในการโอนน้นั แลว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนงึ่ สทิ ธิทจี่ ะไดร้ บั เงนิ ค่าจ้างกอ่ สร้างจึงตกเปน็ ของผู้ร้องแล้ว เมอ่ื ไม่
ปรากฏวา่ ขณะโอนสิทธเิ รยี กร้องดงั กล่าว ผรู้ อ้ งได้รขู้ อ้ เท็จจริงอนั เปน็ ทางให้โจทก์ตอ้ งเสยี เปรยี บ โจทกจ์ ึงไม่มสี ทิ ธิขออายดั เงินดงั กลา่ ว
ได้

ฎกี าท่ี 11632/2554 คดนี ้โี จทกบ์ รรยายฟ้องว่า เมอ่ื วนั ท่ี 19 กนั ยายน 2539 โจทกต์ รวจรับมอบผา้ งวดที่ 1 ตามสญั ญา
ทีจ่ ำเลยท่ี 1 สง่ มอบไวเ้ รยี บร้อยแล้ว ครนั้ เมื่อวนั ที่ 24 ตลุ าคม 2539 จำเลยท่ี 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผ้แู ทนจำเลยที่ 1 และจำเลยท่ี
2 ในฐานะสว่ นตวั ได้ร่วมกันหลอกลวงฉ้อโกงและจงใจทำละเมิดต่อโจทกโ์ ดยแสดงขอ้ ความเท็จและปกปดิ ข้อความจรงิ ซงึ่ ควรบอกให้
แจง้ กลา่ วคือจำเลยท้งั สองร่วมกันทำหนงั สือมอบอำนาจให้พนกั งานของจำเลยที่ 1 ไปขอรับคา่ สินคา้ งวดท่ี 1 จากโจทกโ์ ดยแจง้ ต่อ
โจทก์ว่า จำเลยท่ี 1 มสี ทิ ธิรบั เงนิ ค่าสนิ คา้ งวดที่ 1 ซงึ่ เป็นความเทจ็ เพราะความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ไดท้ ำสญั ญาโอนสทิ ธเิ รยี กรอ้ งค่า
สนิ คา้ น้นั ไปใหผ้ ูอ้ ่ืนกอ่ นแล้ว จำเลยที่ 1 จงึ ไม่มสี ิทธิขอรับชำระหน้ีค่าสนิ คา้ จากโจทก์อกี การกระทำของจำเลยทงั้ สองดงั กล่าวเป็นการ

49


Click to View FlipBook Version