The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทบรรณาธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jobbonrecord, 2020-06-11 10:19:47

รวมบทบรรณธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

รวมบทบรรณาธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

100

ทรพั ย์สนิ ทจี่ ำเลยจำนองไว้เทา่ น้นั จะบังคับชำระหนจ้ี ากทรพั ยส์ นิ อ่นื ของจำเลยหาได้ไม่
แม้จำเลยจะมีหน้าทตี่ ามสญั ญากเู้ งนิ ท่ีจะต้องเอาประกนั ภยั สงิ่ ปลูกสรา้ งทจ่ี ำนองไว้แกโ่ จทก์ โดย

จำเลยตกลงใหโ้ จทกท์ ำประกนั ภัยไดเ้ องและจำเลยยนิ ยอมชำระเบี้ยประกนั ภยั คืนแกโ่ จทกก์ ็ตาม แต่เม่ือหน้าท่ีทจ่ี ำเลยจะตอ้ งชำระคา่
เบีย้ ประกนั ภยั ภายหลงั วันฟอ้ งเป็นหน้ีซง่ึ ยงั ไมถ่ งึ กำหนดชำระ อันเป็นหน้ใี นอนาคตจะถอื วา่ จำเลยละเลยเสียไมช่ ำระหนีข้ องตนนนั้ ยงั
ไม่ได้ จงึ ยังไม่มขี ้อโตแ้ ยง้ เกยี่ วกบั สทิ ธหิ รือหนา้ ท่ีของโจทกก์ ับจำเลยตามกฎหมายทจ่ี ะฟ้องใหจ้ ำเลยรบั ผดิ ชำระหนี้ดงั กลา่ วได้

ฎกี าที่ 11637/2556 เช็คพพิ าททั้งสฉี่ บับมิไดม้ คี ำว่ากหู้ รือยมื เลย และอ่านขอ้ ความในเชค็ พพิ าทท้งั หมดก็ไม่มีข้อความ
ใดเลยท่สี ่อแสดงให้รูไ้ ดว้ ่าเปน็ การกยู้ มื เงินกนั อีกทงั้ สภาพของเชค็ ก็เปน็ การใช้เงนิ ไมใ่ ช่การก้หู รอื ยมื เงิน เชค็ พพิ าททง้ั สฉ่ี บบั จงึ มิใช่เป็น
หลกั ฐานแห่งการกยู้ ืม

ฎีกาที่ 5553/2542 ในกรณเี จ้าหนซ้ี ึ่งเป็นผ้รู บั จำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนอง กฎหมายบงั คบั ใหเ้ จ้าหนต้ี ้องบอก
กล่าวเป็นหนงั สือไปยงั ผูจ้ ำนองซงึ่ เป็นลกู หน้ี และตอ้ งกำหนดเวลาอันสมควรเพ่ือให้โอกาสผู้จำนองชำระหนีจ้ ำนอง การบอกกลา่ วจงึ
เปน็ เงอ่ื นไขที่ผ้รู ับจำนองจะต้องกระทำใหถ้ ูกต้องกอ่ น จงึ จะฟอ้ งบังคบั จำนองได้ การบอกกล่าวดงั กลา่ วเปน็ การแสดงเจตนาทตี่ ้องมี
ผ้รู ับการแสดงเจตนา ซึ่งกฎหมายกำหนดคอื ผ้จู ำนองฉะนั้นเมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ได้ว่า ส. ผ้จู ำนองถงึ แก่กรรมก่อนโจทก์มหี นงั สอื บอกกล่าว
แมจ้ ะมผี ้อู ่ืนรบั หนงั สอื นั้นไว้ ก็ถอื ไม่ได้วา่ เปน็ การบอกกล่าวบงั คบั จำนองทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย เมือ่ ส. ผ้จู ำนองถึงแก่กรรม มรดกรวม
ตลอดถงึ สทิ ธิหนา้ ท่แี ละความรบั ผดิ ยอ่ มตกทอดแกท่ ายาทของ ส. ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1599,1600 ถ้ามผี ้รู บั
โอนทรัพยส์ ินซึ่งจำนองแล้ว หากโจทกป์ ระสงคจ์ ะบงั คบั จำนองตอ้ งมจี ดหมายบอกกลา่ วแก่ผู้รับโอนล่วงหนา้ 1 เดือนกอ่ นตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 735 ถ้ายงั ไมป่ รากฏวา่ ผใู้ ดเปน็ ผู้รับโอนทรพั ย์สนิ ซึ่งจำนอง แต่ ส. ผจู้ ำนองมที ายาทหรอื ผ้จู ดั การ
มรดก โจทกต์ อ้ งบอกกลา่ วเป็นจดหมายหรอื หนงั สอื ลว่ งหน้าอยา่ งน้อย 1 เดือน แกบ่ คุ คลดงั กลา่ วซ่งึ เปน็ เสมือนผู้รบั โอนทรพั ยส์ นิ ที่
จำนอง จงึ จะฟ้องบงั คบั จำนองได้ เม่ือโจทกม์ ไิ ดบ้ อกกลา่ วบงั คบั จำนองแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซ่ึงเป็นทายาทผ้จู ำนองก่อนฟ้อง และการ
ที่โจทกฟ์ ้องจำเลยที่ 3และที่ 4 ถือไม่ไดว้ า่ เป็นการบอกกล่าวบงั คับจำนองตามกฎหมาย โจทก์จงึ ไม่มีอำนาจฟอ้ งบังคับจำนอง

ฎีกาที่ 8706/2554 จำเลยทัง้ หา้ เป็นผรู้ บั โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดนิ ทจี่ ำนองมาจากนาย ก. สืบเน่ืองมาจากการรบั มรดก
จงึ ต้องรับไปทงั้ สิทธแิ ละหน้าที่ของนาย ก. กล่าวคือต้องรับผดิ ตามสัญญาจำนองแทนนาย ก. หาใช่เปน็ ผู้รบั โอนทรพั ย์สินซ่ึงจำนองแต่
อยา่ งใด กรณีของจำเลยทง้ั หา้ จึงมติ ้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 735 ที่โจทกใ์ นฐานะผู้รับจำนองจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวลว่ งหน้า 1
เดือน เม่ือโจทกม์ หี นังสือบอกกล่าวใหจ้ ำเลยทง้ั ห้าชำระหนี้ภายใน 30 วนั นับแต่วันได้รบั หนงั สือ จงึ เปน็ การบอกกล่าวบงั คับจำนองโดย
ชอบดว้ ยกฎหมายแล้ว

ฎีกาท่ี 7207/2555 บดิ าโจทกแ์ ละโจทก์คดิ ดอกเบี้ยอตั ราร้อยละ3 ต่อเดือน หรือร้อยละ 36 ต่อปี ซงึ่ เกินกว่าอตั รา
ร้อยละ 15 ต่อปี ต้องหา้ มตามป.พ.พ.มาตรา 654 และ พ.ร.บ.หา้ มเรียกดอกเบยี้ เกินอัตราฯ มาตรา 3 (ก)ดอกเบย้ี ตกเป็นโมฆะ ตน้ เงิน
ตามสญั ญากเู้ งินทไ่ี ด้มาจากดอกเบ้ียทไี่ ม่ชอบท้งั หมดยอ่ มตกเป็นโมฆะดว้ ย แมส้ ัญญากยู้ มื เงนิ มีสว่ นของต้นเงนิ ท่ีมาจากดอกเบ้ียท่ไี ม่

100

101

ชอบรวมอยู่ดว้ ยก็ไม่ทำใหส้ ่วนของต้นเงนิ ที่ชอบจำนวน208,115.06 บาท เสยี ไปด้วยเพราะพึงสันนิษฐานโดยพฤติการณ์แห่งกรณไี ดว้ ่า
โจทกแ์ ละจำเลยทง้ั สองเจตนาให้สว่ นทไี่ ม่เปน็ โมฆะแยกออกจากสว่ นท่เี ปน็ โมฆะไดต้ ามป.พ.พ.มาตรา 173 โจทกจ์ ึงคงมสี ิทธเิ รยี กรอ้ ง
ตามสญั ญากู้ในส่วนตน้ เงินจำนวน208,115.06 บาท การทีจ่ ำเลยท้ังสองชำระดอกเบ้ียท่ีไมช่ อบด้วยกฎหมายเป็นการชำระหน้ตี าม
อำเภอใจทงั้ ทรี่ อู้ ยู่ว่าตนไมม่ คี วามผกู พนั ทีจ่ ะต้องชำระจำเลยทงั้ สองจึงไม่อาจเรยี กรอ้ งคนื หรือให้นำมาหักหนที้ ีจ่ ำเลยทั้งสองคา้ งชำระ
อยู่ได้ตามป.พ.พ.มาตรา 407

แม้โจทกไ์ มม่ สี ทิ ธิคดิ ดอกเบ้ียจากจำเลยทง้ั สองตามสญั ญากูเ้ งินเพราะตกเป็นโมฆะแตเ่ มอื่ หนเ้ี งินกู้
เปน็ หนเี้ งินโจทกย์ งั คงมสี ิทธิคดิ ดอกเบีย้ ในระหวา่ งผดิ นดั อตั รารอ้ ยละ7.5 ตอ่ ปี ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนง่ึ เมื่อสญั ญากู้เงิน
กำหนดให้จำเลยทงั้ สองชำระหนีต้ ามวันแหง่ ปฏทิ ินจำเลยทง้ั สองมไิ ดช้ ำระตามกำหนดจงึ ตกเป็นผู้ผดิ นดั ทนั ทตี าม ป.พ.พ. มาตรา 204
วรรคสอง จำเลยทงั้ สองตอ้ งรบั ผิดดอกเบี้ยในระหว่างผดิ นัดอตั รารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปขี องต้นเงนิ จำนวน 208,115.06 บาท

ฎกี าที่ 4411/2555 เดมิ จำเลยท่ี 2 ก้ยู มื เงินโจทกห์ ลายคร้ังจนมกี ารทำสญั ญากู้กนั ตอ่ มาโจทกก์ บั จำเลยท่ี 2 คดิ ยอด
หนคี้ ้างชำระแล้วจำเลยท่ี 1 ทำหนังสอื สญั ญากู้เงินแทนโดยจำเลยท่ี 2 ทำหนงั สอื สญั ญาค้ำประกันเงินก้ดู งั กล่าวแก่โจทก์ ถือไดว้ า่ เปน็
การตกลงแปลงหนใ้ี หมด่ ว้ ยการเปลยี่ นตวั ลกู หนี้จากจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1

แมโ้ จทก์เคยนำสญั ญากู้เงินฉบบั เดิมฟ้องจำเลยท่ี 2 แตโ่ จทก์ถอนฟอ้ งคดดี ังกลา่ วแลว้ เม่ือจำเลย
ทั้งสองตกลงแปลงหน้ใี หมเ่ ทา่ กบั จำเลยท่ี 1 ซง่ึ มไิ ดเ้ ป็นผ้กู ู้เดิมเขา้ มาเปน็ ผกู้ ้แู ทนจำเลยที่ 2 ซงึ่ เป็นผ้กู เู้ ดิม จึงถือว่าจำเลยท่ี 1 เปน็ ผู้กู้
เงนิ และไดร้ บั เงินไปตามหนงั สือสญั ญาก้เู งินนัน้ แลว้ หนใ้ี หม่จงึ สมบรู ณ์ จำเลยทงั้ สองจงึ ต้องรบั ผิดตอ่ โจทก์ (จำเลยที่ 1 รับผิดตาม
สญั ญากู้ จำเลยท่ี 2 รบั ผดิ ตามสัญญาค้ำประกัน)

แม้จำเลยท่ี 1 จะไปแจ้งความตอ่ พนักงานสอบสวนให้ลงบันทึกประจำวนั ไวเ้ ปน็ หลกั ฐานว่า กอ่ น
แจ้งมีชายไทยสองคนมาที่ทำงานของจำเลยที่ 1 เรยี กจำเลยท่ี 1 ออกไปท่จี อดรถและใชม้ ือตบหนา้ จำเลยที่ 1 หน่ึงทีบอกวา่ “เปน็ หนีใ้ ห้
นำเงนิ มาใชด้ ้วย” จำเลยท่ี 1 เช่ือวา่ สาเหตุมาจากการกูเ้ งินของจำเลยท่ี 2 และเกรงวา่ จะได้รับอนั ตราย แต่จำเลยท่ี 1 กต็ อบทนาย
โจทก์ถามคา้ นวา่ จำเลยที่ 1 เปน็ ผเู้ ขยี นหนังสอื สญั ญากเู้ งินดงั กล่าว ขณะเขียนจำเลยท่ี 1 ร้ถู งึ ผลทต่ี ้องผกู พันตามสญั ญาดงั กลา่ วและ
ไม่มผี ู้ใดมาขม่ ขู่ จงึ บ่งช้ีชดั วา่ ภยั จากเหตกุ ารณด์ งั กล่าวไม่รา้ ยแรง ถึงขนาดทีจ่ ะจงู ใจให้จำเลยที่ 1 ผูถ้ ูกข่มขู่มีมูลต้องกลวั ใหท้ ำหนังสือ
สญั ญากูเ้ งินดงั กลา่ ว จงึ ไม่มีผลทำใหห้ นงั สือสัญญากู้เงนิ ดงั กล่าวตกเป็นโมฆยี ะตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 วรรคสอง

ฎกี าท่ี 5929/2555 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 707 วา่ ด้วยจำนอง บญั ญตั ิใหน้ ำมาตรา 681 วา่ ดว้ ยค้ำประกันมาบงั คบั ใช้
ในการจำนองโดยอนุโลม ซง่ึ ตามมาตรา 681 วรรคสอง บญั ญตั วิ ่า “หน้ใี นอนาคตหรือหนม้ี ีเง่อื นไขจะประกนั ไวเ้ พ่ือเหตุการณ์ซง่ึ หน้นี ัน้
อาจเป็นผลได้จรงิ กป็ ระกันได้” ดงั นัน้ การจำนองเพ่ือประกนั หน้ใี นอนาคตจึงสามารถกระทำได้ ดงั นนั้ แม้จำเลยท่ี 2 จะทำสัญญา
จำนองไว้ก่อนทจ่ี ะเกดิ มูลหนี้ตามต๋ัวสญั ญาใชเ้ งินซึง่ เปน็ มลู หนีป้ ระธาน สัญญาจำนองกย็ อ่ มมผี ลสมบรู ณ์

หนงั สอื บอกกล่าวบงั คบั จำนองระบุวนั ที่และเดอื นตามสญั ญาจำนองถกู ตอ้ งทุกฉบบั เพยี งแตร่ ะบุ
ปี พ.ศ. ผดิ พลาดจาก “2538” เป็น “2539” โดยรายละเอียดเก่ยี วกบั ทรพั ย์ที่จดทะเบยี นจำนอง วงเงนิ ท่ีจำนองเปน็ ประกัน รวมถึงชอื่

101

102

ลูกหนช้ี ัน้ ตน้ ตรงกนั ทุกส่งิ เม่อื จำเลยที่ 2 ไดร้ บั หนังสอื บอกกล่าวบังคบั จำนองกย็ อ่ มเขา้ ใจไดว้ า่ การบอกกลา่ วบังคับจำนองในคดีน้ี
ขอ้ ผิดพลาดในการพิมพป์ ี พ.ศ. ผิดพลาดจงึ เป็นเพียงรายละเอยี ด หามีผลทำให้การบอกกลา่ วบงั คบั จำนองไม่ชอบแตอ่ ย่างใดไม่

ฎกี าท่ี 9544/2555 เมื่อหนี้ตามสญั ญาจำนองทีไ่ ด้ประกนั หนไ้ี วร้ ะงับไป สญั ญาจำนองจงึ ระงบั สิน้ ไปด้วยตาม ป.พ.พ.
มาตรา 744 (1) ด้วยเหตนุ จ้ี ำเลยในฐานะผรู้ ับจำนองจึงไมอ่ าจหนว่ งเหนี่ยวถือสิทธิใดๆ ในสญั ญาจำนองและทรพั ยส์ นิ ที่จำนองไว้ไดอ้ ีก
การท่จี ำเลยปลดจำนองใหแ้ ก่ อ. และ ว. ซงึ่ เปน็ การกระทำไปตามหน้าทขี่ องเจ้าหน้ีผทู้ ไี่ ด้รับชำระหนคี้ รบถ้วนแลว้ ยอ่ มต้องคืนทรพั ย์
ซ่ึงเป็นหลักประกนั การชำระหนแี้ ก่เจ้าของทรพั ย์ การทจ่ี ำเลยจดทะเบยี นปลดจำนองจงึ เป็นการดำเนินการไปตามหน้าทข่ี องเจา้ หนีผ้ ู้
ได้รบั ชำระหนค้ี รบถ้วนแล้ว ทีพ่ ึงตอ้ งคนื หลกั ประกันการชำระหนด้ี ังกล่าว การกระทำของจำเลยจงึ หาเปน็ ละเมดิ ตอ่ โจทกไ์ ม่ และหา
เป็นการกระทำอย่างใดอยา่ งหนง่ึ เปน็ เหตุให้ผู้ค้ำประกันไมอ่ าจเขา้ รับช่วงในสิทธจิ ำนองทไ่ี ดใ้ หไ้ ว้แกเ่ จา้ หนตี้ ามมาตรา 697 ไม่ เพราะ
บทบญั ญัตมิ าตราดงั กลา่ วเป็นกรณีทเ่ี จา้ หน้ีกระทำใหส้ ิทธิ บรุ มิ สทิ ธหิ รอื จำนองทีม่ เี พอื่ ประโยชนใ์ นการไดร้ ับชำระหนีล้ ดนอ้ ยลง อันเป็น
การกระทำกอ่ นการได้รบั ชำระหน้ีจนครบ โจทก์จงึ จะอา้ งวา่ จำเลยทำใหเ้ สื่อมสทิ ธิในการเขา้ สวมสทิ ธิจำนองของตนเพื่อไลเ่ บี้ยตอ่ อ.
และ ว. หาได้ไม่

ฎีกาที่ 6149/2557 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 745 บญั ญัตวิ า่ ผรู้ บั จำนองจะบงั คับจำนองแม้เมอ่ื หน้ที ่ี
ประกันนน้ั ขาดอายคุ วามแล้วก็ได้ แตจ่ ะบงั คับเอาดอกเบย้ี ทคี่ า้ งชำระในการจำนองเกินกว่า 5 ปไี มไ่ ด้ ซึ่งหมายความว่าในกรณที ห่ี นี้
ประกันหรอื หนปี้ ระธานขาดอายคุ วามแล้วโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองจะใช้สิทธิ์บงั คบั ให้นำเงินจากการขายทอดตลาดทรัพยส์ ินทจี่ ำนอง
มาชำระดอกเบย้ี ที่คา้ งย้อนหลงั ขึ้นไปเกิน 5 ปีไม่ไดเ้ ทา่ น้นั แตด่ งั กล่าวไม่ไดห้ า้ มโจทกค์ ดิ ดอกเบย้ี นบั ตง้ั แตว่ นั ฟอ้ งบงั คบั จำนองดอกเบ้ยี
ภายหลงั ฟ้องทมี่ ใิ ชด่ อกเบยี้ ทีค่ า้ งชำระในการจำนองดังนนั้ โจทกจ์ งึ มีสิทธ์ิบงั คบั ให้จำเลยชำระดอกเบย้ี นบั ตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั ฟ้องเป็นต้น
ไป

ฎีกาท่ี 13337/2556 การที่จำเลยท่ี 2 จำนองที่ดนิ ของตนเพอ่ื ประกันหนเ้ี งินกทู้ จี่ ำเลยที่ 1 ต้องชำระใหแ้ กธ่ นาคาร ก.
เจ้าหน้ี เป็นการใหส้ ญั ญาตอ่ เจา้ หนี้ของจำเลยท่ี 1 วา่ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนก้ี ็ใหธ้ นาคารเจา้ หน้ีของจำเลยที่ 1 บงั คบั จำนองเอากับ
ทดี่ ินของจำเลยท่ี 2 ได้ ตา่ งกบั การค้ำประกนั ซึง่ โจทกผ์ ้คู ำ้ ประกันสัญญาวา่ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้โจทกจ์ ะชำระหน้ใี หเ้ จา้ หนข้ี อง
จำเลยท่ี 1 โดยยอมรบั ผดิ เปน็ ลูกหนีร้ ว่ มกับจำเลยท่ี 1 ลูกหน้ี ในกรณขี องจำเลยท่ี 2 ต้องบังคับตาม ป.พ.พ. ในลักษณะจำนองซ่ึงไมม่ ี
บทบญั ญตั ใิ ห้นำมาตรา 682 วรรคสอง ในลักษณะค้ำประกนั มาใชบ้ ังคบั กบั จำเลยท่ี 2 ใหต้ อ้ งรับผดิ อย่างลูกหนีร้ ่วมกับโจทก์ซ่งึ เป็นผู้ค้ำ
ประกนั อีกทั้งไม่ใช่กรณีผคู้ ำ้ ประกันหลายคนยอมตนเขา้ ค้ำประกนั หนี้รายเดยี วกันอนั จะตอ้ งรับผดิ อย่างลกู หน้ีร่วมกนั ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 682 วรรคสอง อันจะทำให้โจทกร์ ับช่วงสทิ ธขิ องเจา้ หนบี้ งั คบั จำนองกับทดี่ นิ ของจำเลยที่ 2 ได้

ฎกี าท่ี 14013/2558 ลูกหนี้ทำสญั ญาปรับปรงุ โครงสรา้ งหนีใ้ นขณะทย่ี งั ไม่ขาดอายคุ วาม เปน็ การรับสภาพหน้ีเปน็ เหตุ
ให้อายุความสะดดุ หยดุ ลงตาม ป.พ.พ. มาตรา194/14(1) ย่อมเป็นโทษแก่ผคู้ ้ำประกัน ตามมาตรา 692 ผคู้ ำ้ ฯไมห่ ลดุ พน้ ความรบั ผิด

102

103

ฎีกาท่ี 14285/2558 ลกู หนท้ี ำสัญญาปรบั ปรงุ โครงสร้างหนห้ี ลงั จากขาดอายคุ วามแลว้ เป็นการรบั สภาพความผดิ โดย
ผู้คำ้ ฯไมไ่ ด้มีสว่ นร่วมในการทำสญั ญาปรบั ปรุงโครงสรา้ งหน้ดี ้วย อายคุ วามสะดดุ หยุดลงไมเ่ ปน็ โทษแก่ผคู้ ำ้ ประกนั ด้วย ผูค้ ้ำฯหลดุ พน้
ความรบั ผดิ

ขอ้ ตกลงในสญั ญาคำ้ ทีจ่ ะไม่ยกข้อต่อสขู้ องลกู หน้ี ขอ้ ตกลงนนั้ เป็นโมฆะ ตามมาตรา 685/1
ประกอบ มาตรา 694 ดงั นั้นผู้คำ้ ฯยกอายุความข้ึนต่อสู้ได้ (ตามทแ่ี ก้ไขใหม)่

ฎกี าท่ี 14281/2558 คสู่ มรสของจำเลยทง้ั สท่ี ำสญั ญาคำ้ ประกนั หนีต้ ามสญั ญากยู้ ืมเงนิ ของบรษิ ัท น. ตอ่ บรษิ ทั เงนิ ทุน
หลักทรัพย์ ว. เจา้ หน้ีเดมิ โดยจำเลยทงั้ สล่ี งลายมอื ช่ือเป็นพยานและเป็นผใู้ หค้ วามยนิ ยอมในฐานะเปน็ ภรยิ าของคสู่ มรสทีท่ ำสญั ญาคำ้
ประกนั จำเลยทง้ั ส่จี งึ เป็นลกู หน้รี ว่ มตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4 ) ซง่ึ ต้องรับผดิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1489 แต่จำเลยทงั้ สี่ก็มิใชผ่ คู้ ้ำ
ประกนั หนตี้ ่อโจทก์โดยตรง ความรบั ผดิ ของจำเลยทง้ั ส่ตี ่อโจทก์เป็นเพียงลกู หนร้ี ว่ มตามบทบญั ญตั ิของกฎหมายครอบครวั ซง่ึ มใิ ชค่ วาม
รบั ผิดตามสญั ญาคำ้ ประกันในฐานะผคู้ ้ำประกนั กรณจี งึ ไม่อาจนำบทบญั ญตั ิตาม ป.พ.พ. มาตรา 692 มาใช้บงั คบั กบั จำเลยทง้ั สีไ่ ด้ สว่ น
การท่โี จทก์นำคดไี ปฟอ้ งคสู่ มรสของจำเลยทง้ั สี่ แม้จะมผี ลทำใหอ้ ายุความในหนีท้ คี่ ูส่ มรสของจำเลยทงั้ ส่ที ตี่ อ้ งรับผดิ ตอ่ โจทกส์ ะดดุ หยดุ
ลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) กต็ าม แต่อายคุ วามทีส่ ะดดุ หยุดลงดังกลา่ วยอ่ มเป็นโทษเฉพาะคสู่ มรสของจำเลยทงั้ ส่ีในฐานะผคู้ ำ้
ประกัน ไมม่ ผี ลเป็นโทษแกจ่ ำเลยทงั้ ส่ีซงึ่ เปน็ ลกู หนีร้ ่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 295

ฎีกาที่ 12711/2558 หนี้ตามสญั ญาคำ้ ประกันเป็นหนอี้ ุปกรณ์ ผ้คู ้ำประกนั จะต้องรับผดิ ตามสญั ญาค้ำประกนั ก็ตอ่ เมือ่
ลูกหนไี้ มช่ ำระหนีเ้ งนิ กซู้ ึ่งเป็นหนีป้ ระธาน หรอื ยงั มหี นป้ี ระธานทผ่ี ใู้ ห้ก้ยู งั ไม่ได้รบั ชำระหน้ี การทโ่ี จทก์ฟ้อง บ. ใหร้ บั ผดิ ชำระหน้ีตาม
สญั ญาก้ยู ืม แล้วทง้ั สองฝ่ายทำสญั ญาประนีประนอมยอมความกนั จนศาลพพิ ากษาตามยอมแลว้ ยอ่ มทำใหห้ น้ปี ระธานคอื หนีก้ ้ยู มื ระงับ
เกิดเปน็ หน้ใี หมต่ ามสญั ญาประนีประนอมยอมความ เม่อื หนกี้ ูย้ มื ระงบั จงึ ไม่มหี นท้ี จ่ี ำเลยในฐานะผคู้ ้ำประกันจะต้องรบั ผดิ อีก จำเลยจึง
ไมต่ ้องรบั ผดิ ตามสัญญาค้ำประกันตอ่ โจทก์ (ประชุมใหญค่ ร้งั ที่ 9/58)

ฎีกาที่ 13678/2558 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 322 วรรคหน่งึ อนั เปน็ หลกั ท่วั ไปในเรือ่ งหนีท้ ม่ี ี
บทบญั ญตั วิ า่ ถ้าเจ้าหนย้ี อมรบั ชำระหน้ีอย่างอนื่ แทนการชำระหน้ที ไี่ ด้ตกลงกนั ไว้ ท่านว่าหน้ีนนั่ ก็เป็นอนั ระงับสิ้นไป “ก็ดีและตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 456 วรรคสอง อนั เปน็ บทบญั ญตั เิ ฉพาะในเรือ่ งเอกเทศสญั ญาลกั ษณะยมื ท่ีมบี ทบญั ญัติว่า
ถา้ ทำสญั ญากู้ยมื เงนิ กนั และผู้ใหก้ ยู้ มื ยอมรบั เอาสง่ิ ของหรือทรพั ยส์ นิ อย่างอ่ืนเป็นการชำระหน้แี ทนเงนิ ที่กูย้ มื มีอัน ระงบั ไป เพราะการ
ชำระเช่นนั้น ท่านให้คดิ เป็นจำนวนเทา่ กบั ราคาทอ้ งตลาดแห่งสงิ่ ของหรือทรพั ยส์ นิ นน้ั ในเวลาและสถานทสี่ ง่ มอบก็ดี” ลว้ นมี
องคป์ ระกอบสำคัญว่าตอ้ งเป็นกรณที ีเ่ จ้าหน้หี รือผู้ใหก้ ยู้ ืมยอมรบั การชำระหน้อี ยา่ งอน่ื แทนการชำระหน้ีทไี่ ดต้ กลงกนั ไว้ทง้ั สิน้ ซง่ึ ตามที่
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 456 วรรคสาม มีบทบัญญตั วิ ่า “ความตกลงกนั อย่างใดใดขดั กบั ขอ้ ความดงั กลา่ วมานีท้ า่ นวา่

103

104

เป็นโมฆะ” นั้นหมายความว่าเมอ่ื ผใู้ หก้ ยู้ ืมยินยอมรบั เอาสง่ิ ของหรอื ทรพั ย์สนิ อย่างอนื่ เป็นการชำระหนี้แทนเงินทีก่ ยู้ มื แล้ว หากมี
ขอ้ ตกลงใหค้ ดิ มลู คา่ ส่ิงของหรือทรพั ยส์ นิ อย่างอ่ืนที่ชำระนอกเหนอื ไปจากจำนวนราคาตามทอ้ งตลาดในเวลาและและสถานที่สง่ มอบ ก็
ถอื ว่า ข้อตกลงดงั กล่าวเปน็ โมฆะ ดงั น้ี การยินยอมรบั เอาสงิ่ ของหรือทรพั ยส์ นิ อย่างอื่นเปน็ การชำระหนี้แทนเงนิ ท่ีกยู้ ืมจงึ เป็นสิทธิของ
ผู้ให้ก้ยู ืมฝ่ายเดียวทจี่ ะยนิ ยอมหรือไม่กไ็ ด้ สัญญากู้ยมื เงิน ข้อ 6 ทม่ี ขี อ้ ความวา่ คสู่ ัญญาตกลงกันว่าผู้กูจ้ ะชำระหน้อี ยา่ งอน่ื แทนการ
ชำระหน้ีเงนิ ไม่ได้เป็นอนั ขาดมิไดฝ้ ่าฝนื บทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายจงึ หาเปน็ โมฆะไม่

ฎกี าที่ 1732/2550 จำเลยทำสญั ญาคำ้ ประกันการชำระหนตี้ ามสญั ญารบั ผดิ ชดใชค้ วามเสียหายของ ก. ตอ่ โจทก์ แต่
เมอ่ื โจทก์และ ก. ได้ทำสญั ญาประนีประนอมยอมความเกยี่ วกับค่าเสยี หายท่ี ก. จะตอ้ งรบั ผดิ ความรับผดิ ของ ก. ทเ่ี กิดจากสญั ญารับ
ผิดชดใช้ความเสยี หายและความรับผดิ ของจำเลยในฐานะผู้คำ้ ประกนั จึงระงบั สิน้ ไป และทำให้ ก. ต้องรบั ผิดตอ่ โจทกต์ ามสญั ญา
ประนปี ระนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 และ 852 เมอ่ื ความรบั ผิดของ ก. ต่อโจทก์เปลยี่ นเป็นความรบั ผดิ ตามสัญญา
ประนปี ระนอมยอมความ จำเลยในฐานะผคู้ ำ้ ประกนั จึงหลดุ พน้ จากความรับผดิ ไปดว้ ยเนอ่ื งจากหน้ขี อง ก. ตามสญั ญารับผดิ ชดใชค้ วาม
เสยี หายระงบั ส้ินไปแลว้ ตามมาตรา 698

ฎีกาที่ 2766/2551 การยืมใช้คงรปู ตาม ป.พ.พ. มาตรา643 บัญญตั ิใหผ้ ูย้ ืมต้องรับผดิ ตอ่ ผใู้ หย้ มื เฉพาะแตใ่ นกรณผี ู้ยืม
เอาทรัพย์สินทย่ี มื ไปใช้ในการอย่างอนื่ นอกจากการอันเป็นปกตแิ กท่ รัพย์สินนนั้ หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรอื เอาไปให้
บคุ คลภายนอกใช้สอย หรอื เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ แตโ่ จทกย์ นื ยันมาในคำฟ้องวา่ เหตุละเมดิ ท่เี กดิ ข้ึนเปน็ ความผิดของห้าง
หนุ้ สว่ นจำกัดจำเลยที่ 2 ซึง่ เป็นบุคคลภายนอก ดังนโี้ จทก์ในฐานะผยู้ ืมจึงไม่ตอ้ งรับผดิ ต่อเจา้ ของทรพั ย์ แม้โจทกจ์ ะได้ซ่อมรถยนต์คนั ที่
โจทก์ยมื มาเรยี บร้อยแลว้ โจทก์กไ็ มอ่ ยู่ในฐานะท่จี ะรับชว่ งสทิ ธขิ องเจา้ ของทรัพยท์ จี่ ะเรยี กรอ้ งให้หา้ งห้นุ สว่ นจำกดั จำเลยท่ี 2 และ
จำเลยที่ 3 ซงึ่ เปน็ หุ้นสว่ นผูจ้ ดั การรับผดิ ได้ เพราะการรบั ช่วงสทิ ธจิ ะมไี ดต้ อ่ เมื่อผรู้ บั ชว่ งสทิ ธิมหี นี้อนั จะตอ้ งรบั ผดิ ต่อเจา้ หนค้ี อื เจา้ ของ
เม่อื โจทกไ์ ม่ใชผ่ รู้ บั ช่วงสิทธิ โจทกจ์ ึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ฎีกาท่ี 2856/2558 การผอ่ นเวลาชำระหน้ีให้แกล่ กู หนที้ ผี่ คู้ ำ้ ประกันหลดุ พ้นความรับผดิ น้ันจะตอ้ งเป็นการตกลงผ่อน
เวลาแน่นอนและมผี ลวา่ ในระหวา่ งผอ่ นเวลาน้ันเจา้ หนี้จะใช้สทิ ธิเรยี กรอ้ งฟ้องร้องไม่ได้ การทจี่ ำเลยท่ี 1 ซอ้ื สนิ คา้ จากโจทก์ โดยจำเลย
ท่ี 2 ทำสญั ญาค้ำประกนั แล้วจำเลยที่ 1 ผิดนดั ชำระหนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะสง่ั จา่ ยเชค็ ลงวันทลี่ ว่ งหน้าชำระเงนิ แกโ่ จทก์ แตเ่ มื่อโจทกย์ ัง
ไม่สามารถบงั คบั ใหจ้ ำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามมลู หนี้ซือ้ ขายได้ กรณไี มใ่ ช่เปน็ การตกลงกำหนดวนั หรือระยะเวลาชำระหนีใ้ ห้เปน็ การ
แนน่ อน จึงไมเ่ ปน็ การท่ีเจา้ หนีย้ อมผอ่ นเวลาให้แกล่ ูกหนอ้ี ันจะทำใหผ้ ู้คำ้ ประกันหลดุ พ้นจากความรบั ผดิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา 700 (เดมิ ) จำเลยที่ 2 จงึ ตอ้ งรบั ผดิ ต่อโจทกต์ ามสัญญาคำ้ ประกันดงั กลา่ ว

104

105

ฎีกาท่ี 5376/2560 (ป) โจทก์ฟ้องและนำสบื วา่ จำเลยยงั ไมไ่ ดช้ ำระหน้ตี ามหนังสอื สญั ญาก้เู งินแกโ่ จทก์ จำเลยไมไ่ ด้ให้การ
ปฏิเสธวา่ จำเลยไดช้ ำระหนีต้ ามหนังสอื สญั ญากูเ้ งนิ แล้ว ยอ่ มถือได้ว่าจำเลยยอมรบั ตามที่โจทก์กล่าวอา้ ง การทจี่ ำเลยนำสบื วา่ จำเลย
ผอ่ นชำระเงนิ ตามหนังสือสญั ญากจู้ นครบถ้วนแลว้ จงึ เป็นการนำสืบนอกเหนือจากทใี่ หก้ ารตอ่ สู้ไว้ไม่อาจให้รบั ฟงั ได้

โจทกฟ์ ้องและนำสบื วา่ จำเลยกูเ้ งินตามหนงั สอื สญั ญากเู้ งินอีกฉบับหนึง่ โดยรับเงนิ 400,000
บาท ไปแลว้ จำเลยให้การต่อสวู้ ่า ตามหนงั สอื สญั ญากเู้ งนิ ดงั กลา่ วจำเลยกูเ้ งินและรับเงนิ จากโจทกต์ ามหนงั สือสญั ญากเู้ งินมาเพยี ง
40,000 บาท แตโ่ จทก์กรอกจำนวนเงนิ กูถ้ งึ 400,000 บาท โจทกม์ หี นา้ ที่ตอ้ งมอบเงินทขี่ าดอย่อู กี 360,000 บาท แกจ่ ำเลย โดยจำเลย
ไม่ได้ใหก้ ารวา่ จำเลยไดช้ ำระหนี้ตามหนงั สือสญั ญากู้เงนิ ไปแลว้ เพยี งใด การทีจ่ ำเลยนำสืบวา่ จำเลยชำระเงนิ ตามหนังสือสญั ญากเู้ งนิ ให้
โจทกแ์ ลว้ 55,000 บาท จงึ เปน็ การนำสบื นอกเหนือจากทใี่ หก้ ารต่อส้ไู วไ้ ม่อาจรบั ฟังได้ โจทกแ์ ละจำเลยนำสืบรับกนั ว่า โจทกค์ ดิ
ดอกเบยี้ จากจำเลยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และโจทกย์ งั เบกิ ความว่า หลงั จากทำหนังสือสญั ญากูเ้ งนิ แลว้ จำเลยชำระดอกเบย้ี ใหแ้ ก่
โจทกเ์ ดือนละ 2500 บาท เป็นเวลา 3 เดอื น รวมเป็นเงนิ 7,500 บาท ดอกเบย้ี ท่ีจำเลยชำระไปจึงเกิดจากการเรยี กดอกเบย้ี เกินอตั ราที่
กฎหมายกำหนดเปน็ การฝ่าฝืนพระราชบญั ญตั ิหา้ มเรยี กดอกเบย้ี เกินอัตรา พ. ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์มาตรา 654 ขอ้ ตกลงเร่อื งดอกเบย้ี ยอ่ มตกเป็นโมฆะ แมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ายใดฎกี า แต่เปน็ ข้อกฎหมายอันเกยี่ วดว้ ยความสงบ
เรยี บร้อยของประชาชน ศาลฎกี ามอี ำนาจยกข้ึนวินิจฉยั ไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา 142 (5) ประกอบด้วย
มาตรา 246 และมาตรา 247 (เดมิ ) จำเลยยอมชำระดอกเบ้ียเกนิ อัตราทก่ี ฎหมายกำหนดไว้แกโ่ จทก์ซงึ่ ตกเป็นโมฆะ ถือไดว้ า่ เปน็ การ
ชำระหนฝี้ า่ ฝนื ข้อห้ามตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 411 จำเลยหาอาจจะเรยี กรอ้ งให้คืนเงนิ ดอกเบย้ี ที่
ชำระได้ไม่ โจทกใ์ นฐานะผ้ใู ห้กู้เปน็ ฝา่ ยเรยี กดอกเบ้ยี เกินอัตราทกี่ ฎหมายกำหนดไว้จากจำเลย เมอื่ ข้อตกลงเร่ืองดอกเบย้ี ตกเป็นโมฆะ
และจำเลยไมอ่ าจเรยี กร้องให้คนื เงินดอกเบยี้ ทช่ี ำระฝา่ ฝืนขอ้ หา้ มตามกฎหมายได้ โจทก์กย็ อ่ มไมม่ ีสิทธิ์ไดด้ อกเบย้ี ดงั กลา่ วด้วย ต้องนำ
ดอกเบยี้ ทจ่ี ำเลยชำระใหแ้ ก่โจทกไ์ ปหกั เงินต้นตามหนงั สอื สญั ญาก้เู งนิ

ฎกี าท่ี 2131/2560 โจทก์คิดดอกเบยี้ จากจำเลยร้อยละ 1.3 ต่อเดอื น หรอื อตั รารอ้ ยละ 15.6 ตอ่ ปี ซงึ่ เปน็ การคดิ
ดอกเบี้ยเกนิ อตั ราที่กฎหมายกำหนด อนั เป็นการฝา่ ฝืน พ.ร.บ.หา้ มเรยี กดอกเบี้ยเกนิ อัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ประกอบ ป.พ.พ.
มาตรา 654 มีผลใหด้ อกเบี้ยดงั กลา่ วตกเปน็ โมฆะ กรณถี ือไมไ่ ด้วา่ จำเลยชำระหนโี้ ดยจงใจฝ่าฝืนขอ้ ห้ามตามกฎหมายหรอื เป็นการ
กระทำอันใดตามอำเภอใจเสมอื นหน่งึ ว่าเพ่ือชำระหนี้โดยรูอ้ ยู่วา่ ตนไม่มคี วามผกู พันตามกฎหมายทตี่ อ้ งชำระ อันจะเปน็ เหตใุ ห้จำเลยไม่
มสี ทิ ธิไดร้ ับทรัพย์นั้นคนื ตาม ป.พ.พ. มาตรา 407 เม่ือดอกเบย้ี ของโจทกเ์ ปน็ โมฆะ เทา่ กบั สญั ญากยู้ มื มไิ ด้มีการตกลงเรือ่ งดอกเบยี้ กันไว้
โจทก์ไมม่ สี ทิ ธิไดด้ อกเบี้ยกอ่ นผิดนดั และไม่อาจนำเงนิ ที่จำเลยชำระแกโ่ จทกม์ าแลว้ ไปหกั ออกจากดอกเบยี้ ท่ีโจทกไ์ ม่มีสิทธคิ ิดได้ จงึ
ตอ้ งนำเงนิ ทีจ่ ำเลยชำระหนไ้ี ปชำระต้นเงนิ ทัง้ หมด

ฎกี าท่ี 1423/2558 สัญญาต่อทา้ ยหนงั สอื สญั ญาจำนองท่ีดินระบวุ า่ เมอ่ื มีการบงั คบั จำนองได้เงนิ จำนวน สุทธิน้อย
กว่าจำนวนหน้เี งินยงั ขาดจำนวนเทา่ ใดผจู้ ำนองและลกู หนี้ยอมรบั ผิดใชเ้ งินทขี่ าดใหแ้ ก่ผูร้ ับจำนองจนครบเป็น เพยี งข้อตกลงระหว่าง
โจทก์กับจำเลยที่ 2 ซง่ึ มผี ลผกู พนั และบงั คับไดแ้ ตเ่ ฉพาะระหวา่ งคสู่ ญั ญาในลกั ษณะบคุ คลสิทธมิ ใิ ช่เป็นทรพั ยสทิ ธิทจี่ ะตกติดไปกับตัว

105

106

ทรพั ยส์ ินซ่งึ จำนอง จำเลย ท่ี 3 เปน็ เพยี งผู้รบั โอนทรพั ย์สนิ ซ่งึ จำนองจากจำเลยท2่ี ความ รับผิดของจำเลย ที่ 3 ท่มี อี ย่แู ก่โจทกย์ ่อมมี
อย่เู พียงทที่ รพั ยส์ ินซงึ่ จำนองทตี่ นรับโอน มาซง่ึ ตราเปน็ ประกนั การชำระหน้ีแกโ่ จทก์ เท่าน้นั โจทก์จงึ ไม่อาจอ้างข้อตกลงตาม สญั ญา
ต่อทา้ ยหนังสอื สญั ญาจำนองกับ จำเลยที่ 2 ดงั กล่าวมาเพือ่ ชำระหน้ีเอาแก่ ทรพั ยส์ ินอนื่ ของจำเลยที่ 3 ตามคำพพิ ากษา
นอกเหนอื ไปจาก ทรพั ย์สนิ ซง่ึ จำนองได้

ฎกี าท่ี 12711/2558 หนี้ตามสญั ญาค้ำประกันเป็นหน้อี ปุ กรณ์ ผู้คำ้ ประกนั จะตอ้ งรับผดิ ตามสัญญาค้ำประกนั กต็ ่อเมื่อ
ลูกหน้ไี มช่ ำระหนเ้ี งินกู้ซ่งึ เป็นหนป้ี ระธาน หรือยังมหี น้ีประธานที่ผ้ใู ห้กูย้ งั ไม่ไดร้ ับชำระหน้ี การท่ีโจทก์ฟ้อง บ. ให้รบั ผดิ ชำระหนต้ี าม
สญั ญากยู้ มื แล้วทงั้ สองฝ่ายทำสญั ญาประนปี ระนอมยอมความกนั จนศาลพิพากษาตามยอมแลว้ ย่อมทำให้หน้ีประธานคือหน้ีกยู้ มื ระงบั
เกิดเปน็ หนีใ้ หมต่ ามสญั ญาประนีประนอมยอมความ เมื่อหนก้ี ูย้ มื ระงบั จงึ ไม่มหี นท้ี ีจ่ ำเลยในฐานะผคู้ ้ำประกนั จะตอ้ งรับผดิ อีก จำเลยจงึ
ไมต่ ้องรบั ผดิ ตามสัญญาคำ้ ประกนั ตอ่ โจทก์

ฎีกาที่ 1423/2558 สญั ญาตอ่ ท้ายหนงั สือสญั ญาจำนองทดี่ ินระบวุ ่า เม่ือมกี ารบงั คบั จำนองไดเ้ งินจำนวน สุทธนิ ้อย
กว่าจำนวนหน้เี งินยงั ขาดจำนวนเท่าใดผจู้ ำนองและลูกหนี้ยอมรบั ผดิ ใชเ้ งินทข่ี าดใหแ้ ก่ผูร้ บั จำนองจนครบเปน็ เพียงขอ้ ตกลงระหวา่ ง
โจทก์กบั จำเลยท่ี 2 ซง่ึ มผี ลผกู พนั และบังคับไดแ้ ตเ่ ฉพาะระหวา่ งคู่สญั ญาในลกั ษณะบคุ คลสิทธมิ ิใช่เปน็ ทรัพยสทิ ธทิ ี่จะตกติดไปกับตัว
ทรพั ย์สินซ่งึ จำนอง

จำเลย ที่ 3 เปน็ เพยี งผู้รับ โอนทรพั ยส์ ินซง่ึ จำนองจากจำเลยท2ี่ ความ รับผดิ ของจำเลย ท่ี 3 ท่มี ี
อย่แู กโ่ จทกย์ ่อมมี อยเู่ พยี งที่ทรพั ย์สนิ ซึง่ จำนองทีต่ นรับโอน มาซงึ่ ตราเปน็ ประกนั การชำระหนแี้ กโ่ จทก์ เทา่ นั้น โจทก์จงึ ไมอ่ าจอา้ ง
ข้อตกลงตาม สญั ญาต่อท้ายหนังสอื สัญญาจำนองกับ จำเลยท่ี 2 ดงั กลา่ วมาเพอ่ื ชำระหนเ้ี อาแก่ ทรัพยส์ ินอนื่ ของจำเลยท่ี 3 ตามคำ
พิพากษา นอกเหนือไปจาก ทรัพยส์ นิ ซง่ึ จำนองได้

ฎกี าที่ 4105/2548 การขายทอดตลาดทรพั ย์สินทีจ่ ำนองมที งั้ การขายโดยปลอดจำนอง และการขายโดยจำนองตดิ ไป
หากเปน็ การขายทอดตลาดโดยปลอดจำนอง เจา้ หน้ีจำนองย่อมมสี ิทธไิ ด้รบั ชำระหน้ีจากเงินทข่ี ายทอดตลาดทรัพยส์ ินที่จำนองก่อน
เจ้าหนรี้ ายอ่นื สว่ นการขายทอดตลาดโดยจำนองตดิ ไป ผู้รบั จำนองยงั มสี ทิ ธิไดร้ บั ชำระหนจี้ ากทรัพยส์ ินที่จำนอง โดยบงั คับจำนองเอา
แก่ผู้รบั โอนทรพั ย์สนิ ท่ีจำนองตามมาตรา 735 เมือ่ จำเลยเปน็ เพยี งผู้รบั โอนทรพั ย์สินที่จำนองโดยการซอื้ ทรัพยส์ นิ ท่ีจำนองจากการขาย
ทอดตลาด มใิ ช่คสู่ ญั ญาตามสญั ญาจำนอง จำเลยจงึ เป็นบุคคลภายนอก ย่อมไมต่ ้องรับผดิ ตามสญั ญาจำนองและสญั ญาตอ่ ท้ายสญั ญา
จำนองท่ยี อมให้บงั คบั ชำระหน้ีจากทรพั ยส์ นิ อ่นื ที่มใิ ชท่ รพั ยส์ ินทจี่ ำนอง แมโ้ จทก์ผรู้ บั จำนองชอบที่จะไดร้ ับชำระหน้ีจากทรัพย์สนิ ที่
จำนองโดยมพิ ักตอ้ งพเิ คราะหว์ ่ากรรมสทิ ธ์ิในทรัพยส์ นิ จะได้โอนไปยงั บคุ คลภายนอกแล้วหรอื ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 702 วรรคสอง
แตจ่ ำเลยผรู้ ับโอนทรพั ยส์ นิ ทีจ่ ำนองกม็ ีหนา้ ทีเ่ พยี งปลดเปลื้องภาระจำนองด้วยการไถ่ถอนจำนอง ตามบทบญั ญตั ใิ นบรรพ 3 ลักษณะ
12 หมวด 5 แหง่ ป.พ.พ. เทา่ น้นั ดงั น้ัน จำเลยจงึ ไม่ตอ้ งชำระหน้ตี ามสัญญาจำนองแก่โจทก์ และหากการขายทอดตลาดทรัพยส์ ินที่
จำนองไดเ้ งินสทุ ธไิ ม่พอ จำเลยก็ไมต่ ้องรบั ผดิ แกโ่ จทก์อีก

106

107

ฎกี าท่ี 5557/2561 จำเลยเปน็ ผู้ซือ้ ทรพั ย์พพิ าทจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนกั งานบงั คับคดีโดยมกี ารจำนองติด
ไปด้วย จำเลยจงึ อยใู่ นฐานะ ผู้รบั โอนทรัพยส์ ินซึง่ จำนอง การไถ่ถอนจำนองทรัพยพ์ ิพาทจงึ อยใู่ นบงั คับของ ป.พ.พ. มาตรา 738 วรรค
หนึ่ง กลา่ วคือ จำเลยมีหน้าทต่ี ้องเสนอไปยงั บรรดาเจ้าหน้ีท่ไี ดจ้ ดทะเบยี นไมว่ า่ ในทางจำนองหรือประการอื่น ว่าจะรับใช้เงินให้เปน็
จำนวนอนั สมควรกับราคาทรัพย์พพิ าท สว่ นจำนวนเงนิ อันสมควรจะเปน็ เทา่ ใดน้ันต้องพจิ ารณาจากราคาทรัพย์พิพาทเป็นสำคญั

ทรัพยพ์ ิพาทซง่ึ เดมิ เปน็ ของ ส. นนั้ เจา้ พนกั งานบงั คับคดใี นคดหี มายเลขแดงท่ี ผบ.
8402/2553 ของศาลแขวงนนทบุรี ไดป้ ระเมนิ ราคาไว้เปน็ เงิน 635,680 บาท การทเ่ี จา้ พนักงานบงั คบั คดผี ู้มหี นา้ ทีใ่ นการยึดและ
ประเมนิ ราคาทรัพยพ์ พิ าทได้ประเมนิ ราคาไวด้ งั กล่าวทำให้น่าเชอ่ื ว่าทรพั ย์พพิ าทมรี าคาทแ่ี ท้จริงไมแ่ ตกต่างไปจากราคาที่ประเมนิ ไว้ ท้ัง
ราคาประเมนิ ดงั กล่าวได้ระบไุ วใ้ นการประกาศขายทอดตลาดของเจา้ พนกั งานบังคบั คดี จำเลยในฐานะผูป้ ระมลู ซื้อทรพั ย์พพิ าทกย็ ่อม
ตอ้ งทราบเป็นอยา่ งดวี า่ ราคาทรพั ยป์ ระเมินของเจ้าพนกั งานบงั คับคดใี กลเ้ คยี งกับราคาที่แท้จรงิ การทจี่ ำเลยขอไถถ่ อนจำนองทรัพย์
พิพาทโดยเสนอจะใชเ้ งนิ จำนวน 400,000 บาท ซงึ่ ตำ่ กวา่ ราคาประเมนิ ของเจา้ พนกั งานบงั คบั คดี 235,680 บาท จงึ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ เป็น
จำนวนอนั สมควรกบั ราคาทรัพย์พพิ าท เมื่อถือไมไ่ ดด้ ังกลา่ วแลว้ การทีโ่ จทก์ไมฟ่ อ้ งคดภี ายใน 1 เดือนนบั ตงั้ แตว่ ันมคี ำเสนอ แมจ้ ะถอื
เทา่ กับว่าโจทกส์ นองรบั คำเสนอขอไถถ่ อนจำนองของจำเลยโดยปรยิ ายตาม ป.พ.พ มาตรา 739 และ 741 แลว้ กต็ าม แตจ่ ำนองจะ
ระงับไปโดยการไถ่ถอนตาม ป.พ.พ มาตรา 744 (4) ก็ต่อเม่อื จำเลยรับจะใช้เงนิ ใหแ้ กโ่ จทกผ์ รู้ บั จำนองเป็นจำนวนเงินอนั สมควรกบั
ราคาทรัพยพ์ ิพาท เมอื่ จำเลยยงั ไมไ่ ดด้ ำเนนิ การโจทก์ก็หาจำต้องฟอ้ งคดตี ่อศาลภายในหนง่ึ เดือนตาม ป.พ.พ. มาตรา 739 ไม่ โจทกจ์ งึ
ไมม่ ีอำนาจฟอ้ งขอให้ยดึ ทรพั ย์พพิ าทซง่ึ จำนองไวแ้ กโ่ จทยเ์ พื่อนำเงนิ มาชำระหน้ีใหแ้ ก่โจทกไ์ ด้

ฎกี าท่ี 5639/2561 การที่จำเลยซือ้ ทรพั ยส์ ินซงึ่ ตดิ จำนองจากการขายทอดตลาดคงทำใหจ้ ำเลยเป็นเพยี งผรู้ บั โอน
ทรัพย์จำนอง หาทำให้จำเลยต้องรับผดิ ตอ่ โจทก์ในฐานะผู้จำนองแตอ่ ยา่ งใดไม่ และจำเลยในฐานะผ้รู ับโอนทรพั ย์จำนองมสี ิทธแิ์ ละ
หนา้ ทตี่ ามทบี่ ญั ญตั ิไวใ้ น ป.พ.พ. ลักษณะ 12 หมวด 5 จำเลยมสี ิทธ์ิไถ่ถอนจำนองโดยเสนอรบั ใช้เงนิ เปน็ จำนวนอันสมควรกับราคา
ทรพั ยส์ ินนน้ั ซ่งึ หากโจทก์ไมย่ อมรบั โจทย์ซ่งึ ยงั ทรงสิทธจิ์ ำนองต้องฟอ้ งคดี ต่อศาลภายในหน่ึงเดอื นนบั แตว่ นั ทมี่ คี ำเสนอเพอื่ ให้ศาล
พพิ ากษาสง่ั ขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองตามหลกั เกณฑท์ บี่ ญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 738 และ 739 และหากจำเลยไม่ได้ใช้สิทธเิ์ สนอไถ่
ถอนจำนองและโจทก์ประสงคจ์ ะบงั คบั จำนอง ก็ตอ้ งมจี ดหมายบอกกล่าวแกจ่ ำเลยล่วงหนา้ เปน็ ระยะเวลาไมน่ อ้ ยกว่าหกสบิ วัน
กอ่ น แล้วจงึ จะบงั คับจำนองได้ ตามมาตรา 735 ดงั นัน้ เมือ่ ตามคำฟ้องของโจทกไ์ ดค้ วามวา่ จำเลยไม่ไถ่ถอนจำนอง และโจทกม์ ี
จดหมายบอกกล่าวบงั คบั จำนองแก่จำเลยตาม ป.พ.พ มาตรา 735 แลว้ จำเลยเพิกเฉย จึงถอื ว่าจำเลยโต้แยง้ สิทธิของโจทกแ์ ลว้ โจทก์
ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55

ฎีกาท่ี 6188/2561 ข้อตกลงทา้ ยสัญญาจำนองทร่ี ะบวุ ่า เมือ่ บงั คับจำนองแลว้ ได้เงนิ จำนวนสทุ ธิน้อยกวา่ จำนวนเงินที่
คา้ งชำระ ผู้จำนองยอมชดใช้ เงินทขี่ าดจำนวนใหแ้ กผ่ รู้ ับจำนองจนครบ แมเ้ ป็นการตกลงยกเวน้ ให้แตกตา่ งไปจากบทบัญญตั ิแหง่ ป.
พ.พ. มาตรา 733 กต็ าม แตเ่ ป็นข้อตกลงทไี่ ม่เก่ียวกับความสงบเรยี บรอ้ ยหรือศลี ธรรมอันดขี องประชาชน และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่าง
เปน็ ลกู หนี้ทจี่ ำนองทด่ี นิ เป็นประกันในการชำระหน้ีของตนเอง และหน้ขี องจำเลยอีกคน การกำหนดให้ผูจ้ ำนองและลูกหน้ีตอ้ งรบั ผิด
ชำระหนส้ี ว่ นทข่ี าดจำนวน หากบังคับจำนองแล้วไดเ้ งนิ ไม่พอชำระหนี้ เปน็ ไปตามปกตปิ ระเพณขี องสญั ญาจำนองซงึ่ จำเลยทง้ั สองตอ้ ง
ทราบและคาดหมายไวอ้ ยแู่ ลว้ ส่วนการจะเรียกให้ผจู้ ำนองนำทรพั ย์อนื่ มาจำนองเพิ่มเติมตอ้ งเปน็ กรณที รัพย์จำนองทมี่ ีราคาตำ่ ลงกว่า

107

108

ในเวลาทจี่ ำนองหรอื ทรัพยจ์ ำนองบบุ สลายหรือเส่ือมราคา จำเลยท้งั สองจะอ้างวา่ โจทก์ไม่ปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาจำนองที่จะตอ้ งเรยี กให้
จำเลยทัง้ สองวางหลกั ประกันเพ่ิมหาได้ไม่ เม่อื ขอ้ ตกลงท้ายสัญญาจำนองทย่ี กเวน้ บทบัญญัตมิ าตรา 733 ไม่มผี ลใหจ้ ำเลยทั้งสองตอ้ ง
รบั ภาระเกินทพี่ ึงความคาดหมาย จะไม่เป็นข้อสญั ญาท่ีไมเ่ ป็นธรรม พระราชบัญญตั วิ า่ ด้วยขอ้ สญั ญาที่ไมเ่ ปน็ ธรรม พ.ศ 2540 การท่ี
โจทก์ขอบงั คบั ใหย้ ดึ ทรัพยส์ นิ อนื่ ของจำเลยทง้ั สองออกขายทอดตลาด กรณีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองและไดเ้ งินไมพ่ อชำระหน้ี
เปน็ ขอ้ บังคับทไ่ี ม่ขดั ตอ่ กฎหมาย

ฎกี าท่ี 6403/2561 บริษัท ม. ผคู้ ำ้ ประกันหน้รี ่วมของบรษิ ทั ส. ไดช้ ำระหนีบ้ างส่วน ทำให้อายคุ วามในชว่ งเวลา
ดังกลา่ วสะดดุ หยดุ ลง แต่จะมผี ลไปถงึ จำเลยซงึ่ เป็นผคู้ ำ้ ประกันหน้ีร่วมอกี รายหรือไม่น้ัน

เหน็ ว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 692 บญั ญตั วิ ่าอายคุ วามสะดดุ หยดุ ลงเปน็ โทษแก่ลกู หน้ีนนั้ ยอ่ มเปน็
โทษแกผ่ คู้ ้ำประกันดว้ ย แตห่ าได้บญั ญัตดิ ว้ ยวา่ หากอายคุ วามสะดุดหยดุ ลงเปน็ โทษแกผ่ คู้ ำ้ ประกันรว่ มรายหนงึ่ จะเปน็ โทษแก่ผคู้ ำ้
ประกนั ร่วมรายอืน่ ดว้ ยไม่ บทบญั ญัตดิ งั กล่าวเป็นนิตสิ มั พนั ธ์ระหว่างผคู้ ้ำประกันกับลูกหนี้ แต่ในระหว่างผคู้ ้ำประกนั ดว้ ยกนั บทบญั ญตั ิ
ลกั ษณะคำ้ ประกันมไิ ดก้ ำหนดความรบั ผดิ ตอ่ กันไวจ้ งึ ตอ้ งใช้หลกั ทั่วไปตามมาตรา 295 ซง่ึ กำหนดวา่ อายคุ วามของลกู หนีร้ ว่ มคนใดก็
ยอ่ มเปน็ ไปเพ่ือคณุ และโทษแตเ่ ฉพาะแกล่ กู หน้ีคนน้ันดงั นน้ั อายคุ วามจงึ สะดุดหยดุ ลงเฉพาะแกบ่ รษิ ทั ม. เทา่ นน้ั หามผี ลถงึ จำเลยซง่ึ
เป็นผ้คู ้ำประกันร่วมกับบรษิ ทั ม. ไม่ เม่ือโจทก์ฟอ้ งคดนี เี้ กนิ 10 ปี คดีโจทกจ์ งึ ขาดอายคุ วาม

ฎกี าท่ี 2656/2561 ตามป.พ.พ. มาตรา 295 วรรคหนง่ึ บัญญัตวิ า่ ข้อความจรงิ อื่นใดนอกจากทรี่ ะบไุ ว้ในมาตรา 292
ถงึ 294 นัน้ เมอื่ เปน็ เรือ่ งทา้ วถงึ ตวั ลกู หน้ีรว่ มกันคนใดก็ย่อมเปน็ ไปเพื่อคณุ และโทษแตเ่ ฉพาะแก่ลกู หนี้คนน้ัน และวรรคสองบญั ญตั ิวา่
ความทวี่ า่ มานี้ เมอ่ื จะกล่าวโดยเฉพาะก็คือวา่ ให้ใชแ้ ก่ การท่อี ายคุ วามสะดดุ หยดุ ลง เม่ือจำเลยท่ี 3 ท่ี 4 และที่ 6 เป็นผู้จำนองทด่ี นิ
ประกนั หนข้ี อง ส. ซง่ึ แมต้ ามข้อตกลงการทำสญั ญาจำนองระบุวา่ จำเลยที่ 3 ท่ี 4 และท่ี 6 ตกลงยนิ ยอมร่วมรับผิดกบั ลูกหนี้ แต่เหตุ
อายคุ วามสะดุดหยดุ ลงก็เป็นเร่ืองเฉพาะตวั ส. ยอ่ มเปน็ โทษแก่ ส. เท่านัน้ ไม่มีผลถึงจำเลยท่ี 3 ที่ 4 และที่ 6 ผูจ้ ำนองดว้ ย ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 295 วรรคสอง ดงั นนั้ เมอ่ื โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 เกนิ 10 ปีนับแต่วันท่ี
ฟอ้ งเรยี กใหช้ ำระเงินส่วนทข่ี าดจากการบงั คับจำนอง คดโี จทกจ์ งึ ขาดอายคุ วาม จะถอื ว่า จำเลยท่ี 3 ท่ี 4 และท่ี 6 เปรยี บเสมือนผู้ค้ำ
ประกนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 692 ไม่ได้

ฎีกาที่ 220/2562 ตามสญั ญาคำ้ ประกนั การเชา่ ซือ้ รถยนต์ ข้อ 8 ระบวุ า่ "บรรดาหนังสอื จดหมาย คำบอกกล่าวใด
ๆ ของเจ้าของทีส่ ง่ ไปยงั ท่ีอยู่ของข้าพเจา้ ตามสญั ญาน้ี โดยส่งเองหรอื ส่งทางไปรษณยี ์ลงทะเบียน หรือไม่ลงทะเบยี นไมว่ า่ จะถงึ ตวั
หรอื ไม่ถึงตวั และไมว่ า่ จะมผี รู้ ับหรอื ไม่มผี ้ใู ดยอมรับไว้ หรือไมย่ อมมารบั ภายในกำหนดไปรษณยี ์แจ้งให้มารบั ... ขา้ พเจา้ ยนิ ยอมผูกพนั
ใหถ้ ือวา่ หนังสอื จดหมาย หรือคำบอกกลา่ วใด ๆ นัน้ ไดส้ ง่ ใหข้ า้ พเจ้าโดยชอบแล้ว" ข้อเทจ็ จรงิ ปรากฏตามหนงั สือขอใหช้ ำระหนแี้ ละ
บอกเลิกสญั ญาพร้อมใบตอบรบั วา่ โจทกไ์ ดส้ ง่ ไปตามทีอ่ ยทู่ ่จี ำเลยท่ี 2 ผคู้ ้ำประกันแจง้ ไว้ในสัญญาคำ้ ประกันดงั กล่าวแลว้ แม้ทาง
ไปรษณียจ์ ะคนื หนงั สอื ทสี่ ง่ ไปให้จำเลยท่ี 2 เน่ืองจากจำเลยที่ 2 ไมม่ ารับภายในกำหนดก็ตาม ก็ตอ้ งถอื วา่ จำเลยท่ี 2 ได้รบั หนังสอื บอก
กล่าวโดยชอบแล้ว โจทกจ์ งึ มีอำนาจฟอ้ งจำเลยที่ 2 ใหร้ ับผดิ ตามสัญญาค้ำประกนั ได้ แตเ่ ม่ือจำเลยท่ี 1 ผดิ นดั ตง้ั แต่วนั ท่ี 25
พฤษภาคม 2558 โจทก์มหี นงั สอื บอกกลา่ วใหจ้ ำเลยที่ 2 ชำระหนี้และบอกเลกิ สญั ญาเมือ่ วนั ท่ี 3 กุมภาพันธ์ 2559 จึงพน้ กำหนดเวลา

108

109

60 วนั นบั แต่วันท่ีจำเลยที่ 1 ผิดนดั จำเลยท่ี 2 จงึ หลดุ พน้ จากความรบั ผดิ ในดอกเบย้ี และคา่ สินไหมทดแทนทเ่ี กดิ ขึน้ ภายหลงั จากพ้น
กำหนดเวลา 60 วัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคสอง สำหรบั หนี้การสง่ มอบรถยนตท์ ีเ่ ชา่ ซอื้ และหากคนื ไม่ได้ใหใ้ ช้ราคาแทนถือเป็น
หน้ปี ระธาน แม้โจทกม์ หี นงั สอื บอกกล่าวแกจ่ ำเลยท่ี 2 เกนิ 60 วนั นับแตผ่ ดิ นดั กต็ าม จำเลยท่ี 2 ซง่ึ เปน็ ผู้ค้ำประกนั ยอ่ มไมห่ ลดุ พน้
สว่ นหนีค้ ่าขาดประโยชนถ์ ือเปน็ อุปกรณ์แหง่ หนี้ จำเลยท่ี 2 จงึ หลุดพน้ จากความรบั ผิดเฉพาะท่เี กิดขนึ้ ภายหลงั จากพ้นกำหนด 60 วนั

ฎีกาที่ 1279/2562 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 686 วรรคหนง่ึ ซงึ่ แก้ไขเพิม่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิ
แก้ไขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (บบั ท่ี 20) พ.ศ. 2557 บญั ญัตวิ า่ เม่อื ลูกหน้ผี ดิ นดั ใหเ้ จา้ หนมี้ ีหนงั สือบอกกล่าวไปยัง
ผ้คู ำ้ ประกันภายใน 60 วัน นบั แตว่ นั ท่ีลกู หนผ้ี ิดนดั และไม่วา่ กรณีจะเป็นประการใดเจ้าหน้จี ะเรยี กใหผ้ คู้ ำ้ ประกนั ชำระหน้กี อ่ นทหี่ นงั สือ
บอกกล่าวจะไปถึงผคู้ ้ำประกนั มไิ ด้ แต่ไมต่ ดั สทิ ธผิ คู้ ้ำประกันทีจ่ ะชำระหน้ีเมือ่ ถงึ กำหนดชำระ

109

110

ข้อ 6 (ตัวแทน ประกนั ภยั ต๋ัวเงนิ บญั ชเี ดินสะพัด)

ฏีกาที่ 1385/2554 คดีคงมปี ัญหาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของจำเลยที่ 1 วา่ โจทกเ์ ปน็ ผทู้ รงเชค็ พพิ าทโดยชอบดว้ ย
กฎหมายหรอื ไม่ เหน็ วา่ เชค็ เป็นตราสารเปลยี่ นมอื ได้ ยอ่ มโอนเปลี่ยนมอื กนั ไดด้ ว้ ยการสลักหลังและสง่ มอบเช็คในกรณเี ชค็ ระบชุ ื่อ หรอื
สง่ มอบเชค็ ในกรณเี ช็คผู้ถอื เช็คพพิ าททงั้ 5 ฉบับ เปน็ เชค็ สงั่ จ่ายเงนิ สดโดยมิไดร้ ะบุชอื่ หรือยห่ี ้อของผู้รบั เงิน และมไิ ดข้ ีดฆา่ คำวา่ หรอื ผู้
ถอื ออก จงึ เป็นเชค็ ผถู้ ือ เมื่อโจทกเ์ ป็นผมู้ ีเชค็ พพิ าทซงึ่ เปน็ เชค็ ผถู้ อื ไว้ในครอบครอง โจทกจ์ ึงเป็นผู้ทรงเช็คพพิ าทโดยชอบดว้ ยกฎหมาย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 904

ประเด็นท่ีต้องวนิ ิจฉัยประการถดั มามวี า่ การทจี่ ำเลยท่ี 1ซงึ่ เปน็ ผู้สัง่ จ่ายทำการแกไ้ ขวันเดือนปใี น
เช็คและลงลายมอื ชือ่ กำกบั ไวโ้ ดยโจทก์ผ้ทู รงเชค็ ยินยอมนั้น มีผลให้เช็คดงั กล่าวเสยี ไปหรือไม่ เห็นว่า การแกไ้ ขวันเดอื นปีในเช็คพพิ าท
เปน็ การแกไ้ ขโดยจำเลยท่ี 1 ซงึ่ เปน็ ผ้สู งั่ จ่ายและลงลายมือช่อื กำกับไว้ โดยโจทก์ผ้ทู รงยนิ ยอม เชค็ พิพาทจงึ ไมเ่ สียไปและใชไ้ ด้ต่อ จำเลย
ท่ี 1 ซึ่งเปน็ ผู้แก้ไขตามมาตรา 1007 วรรคแรก โดยถอื ว่าเช็คพพิ าทมีกำหนดเวลาใชเ้ งินตามทแ่ี กไ้ ขนนั้ กรณีหาใชเ่ ป็นเรอ่ื งขยายอายุ
ความฟอ้ งรอ้ งดงั ที่จำเลยฎีกาไม่

ประเด็นท่ตี ้องวนิ ิจฉยั ประการสดุ ทา้ ยมวี า่ ท่จี ำเลยท่ี 1 ฎีกาว่า เชค็ พิพาทไม่มมี ูลหน้ี เพราะจำเลย
ที่ 1 ออกเชค็ ให้จำเลยท่ี 2 โดยไมม่ มี ูลหนต้ี อ่ กัน โจทกจ์ งึ ไมใ่ ช่ผทู้ รงเชค็ พพิ าทโดยชอบดว้ ยกฎหมายนัน้ ฟังขน้ึ หรือไม่ เหน็ วา่ การท่ี
จำเลยท1่ี อา้ งวา่ เชค็ พิพาทไม่มีมูลหน้ีระหว่างจำเลยท่ี 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นการอ้างขอ้ ต่อสู้อันอาศยั ความเกยี่ วพนั กันเฉพาะบคุ คล
ระหวา่ งตนกบั ผทู้ รงคนก่อนๆ ตอ้ งห้ามมิใหย้ กข้นึ ต่อสูโ้ จทก์ซึ่งเปน็ ผู้ทรงโดยชอบดว้ ยกฎหมาย เว้นแต่การโอนจะไดม้ ขี ้ึนดว้ ยคบคดิ กนั
ฉ้อฉลตามมาตรา 916 เมื่อ จำเลยท่ี 1 มไิ ดใ้ ห้การโดยชดั แจง้ วา่ โจทกไ์ ด้รบั โอนเชค็ พิพาทจากจำเลยท่ี 2 โดยคบคดิ กนั ฉ้อฉลหรอื ไม่
อยา่ งไร จงึ ไมม่ ีประเด็นวา่ คบคดิ กนั ฉ้อฉลรวมทงั้ ใช้สิทธโิ ดยไมส่ จุ ริต ฎก๊ าของจำเลยที่ 1 จงึ ฟงั ไมข่ น้ึ

ฎีกาที่ 9483/2554 เชค็ พิพาทส่วนใหญ่ จำเลยท่ี 1 ซง่ึ เป็นพนักงานบัญชีของโจทกเ์ ปน็ ผ้ไู ปเบิกถอนเงนิ สดจากจำเลย
ท่ี 2 ซงึ่ เม่ือตรวจสอบลายมอื ชอื่ ของ พ.ในเชค็ พพิ าทกบั ตัวอย่างลายมือชอ่ื ของ พ. แลว้ จะมีลักษณะคลา้ ยกัน จำนวนเงนิ ตามเชค็ แตล่ ะ
ฉบับกม็ ไิ ด้สงู จนผดิ ปกตแิ ต่อยา่ งใด ทัง้ ตราประทับของโจทก์ทป่ี ระทบั ลงในเชค็ กเ็ ป็นตราประทับที่แทจ้ รงิ ของโจทก์ จงึ ถือได้ว่าจำเลย
ที่ 2 ซงึ่ ประกอบกิจการธนาคารพาณชิ ย์ได้ใชค้ วามระมัดระวังตรวจสอบลายมือช่ือของ พ. ในช่องผู้ลงลายมอื ช่อื สัง่ จ่ายในเชค็ พพิ าทแลว้
การท่จี ำเลยท่ี 2 จ่ายเงนิ ในบัญชขี องโจทก์ จงึ ถือไม่ไดว้ ่าเปน็ ความประมาทเลินเล่อของจำเลยท่ี 2 การทจ่ี ำเลยที่ 1 ซ่งึ เป็นพนักงานของ
โจทกม์ ิใช่เป็นบุคคลภายนอกปลอมลายมือช่อื ของ พ.โดยใช้ตราประทบั ทแ่ี ทจ้ ริงส่ังจา่ ยเชค็ พพิ าทเป็นเวลานานและจำนวนหลายฉบบั
ดงั กลา่ ว แสดงว่าโจทกป์ ลอ่ ยปละละเลยมไิ ดค้ วบคมุ ดแู ลการทำงานของจำเลยที่ 1 โจทกจ์ ะอา้ งวา่ ได้ว่าจ้างสำนักงานบญั ชตี รวจสอบ
บัญชขี องโจทกห์ าไดไ้ ม่ โจทก์จึงอยู่ในฐานเป็นผตู้ ้องถูกตดั บทมใิ หย้ กขอ้ ลายมอื ชอ่ื ปลอมขึน้ เป็นข้อต่อสตู้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1008
จำเลยที่ 2 จงึ ไมต่ ้องรบั ผิดชำระเงนิ ตามเชค็ พพิ าทคนื แกโ่ จทก์

110

111

ฎีกาที่ 3557/2554 เม่อื หนี้ตามตว๋ั สญั ญาใชเ้ งินของจำเลยที่ 1 ขาดอายคุ วาม โดยหน้ีดังกล่าวมีทด่ี นิ พรอ้ มสิง่ ปลกู
สร้างที่จำเลยท่ี 2 จำนองไว้แกโ่ จทกเ์ พื่อเปน็ ประกัน กรณีตอ้ งดว้ ย ป.พ.พ. มาตรา 193/27 และมาตรา 745 กลา่ วคอื โจทกซ์ ึ่งเป็นผูร้ บั
จำนองจะบงั คับชำระหนี้จากทรพั ย์สินท่ีจำนองแมห้ นี้ทจ่ี ำนองเปน็ ประกนั นั้นขาดอายุความแลว้ กไ็ ด้ แต่จะบงั คับเอาดอกเบ้ียทค่ี า้ ง
ยอ้ นหลังเกนิ กวา่ 5ปขี ึ้นไปไมไ่ ด้ ซง่ึ เปน็ บทกฎหมายทบี่ ญั ญตั ิให้สทิ ธผิ ูร้ ับจำนองบงั คบั ได้แต่เฉพาะทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำนอง
เท่าน้ัน ดงั นน้ั แมว้ า่ ตามสญั ญาจำนองจะกำหนดว่า หากบงั คบั จำนองไดเ้ งนิ ไม่พอชำระหนี้ใหบ้ งั คับจากทรพั ย์สนิ อ่นื จนกว่าจะครบก็
ตาม โจทกก์ ็จะบังคับจากทรพั ยส์ นิ อ่ืนของจำเลยท่ี 2 เพือ่ เอาชำระหนใี้ นส่วนน้หี าได้ไม่ ส่วนเรอ่ื งดอกเบย้ี น้ันบทกฎหมายดงั กลา่ ว
เพียงแตบ่ ัญญตั ิห้ามผ้รู บั จำนองมิใหใ้ ช้สทิ ธบิ งั คบั ใหช้ ำระดอกเบยี้ ที่คา้ งย้อนหลังเกินกวา่ 5 ปีข้ึนไป มิไดห้ า้ มผูร้ ับจำนองมใิ หเ้ รยี ก
ดอกเบี้ยนับแตว่ นั ฟ้องขอใหบ้ งั คบั จำนอง โจทกจ์ งึ มสี ทิ ธิเรยี กดอกเบยี้ นบั แตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ต้นไปได้

ฎีกาที่ 3762/2554 โจทก์นำเช็คพพิ าทห้าฉบับไปสลักหลงั ขายลดให้แก่ ส. กบั บ. ตอ่ มาโจทกน์ ำเงินตามเชค็ ไปชำระ
ให้บุคคลทั้งสองและรับเช็คพพิ าทกลบั คืนมา การทโ่ี จทก์ชำระเงนิ ตามเชค็ ใหแ้ ก่ ส. กบั บ. และรับเชค็ พิพาทซงึ่ เปน็ เชค็ ผถู้ อื สี่ฉบบั
กลับคืนมา โจทกย์ ่อมเปน็ ผทู้ รงเชค็ พพิ าททง้ั สี่ฉบบั ดงั กลา่ วตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 จงึ มีสทิ ธฟิ ้องไล่เบย้ี ผสู้ ลักหลงั และผู้สงั่ จ่ายภายใน
1 ปี นบั แตว่ ันท่ีเชค็ พิพาททงั้ สฉ่ี บบั ถงึ กำหนดชำระตาม ป.พ.พ. มาตรา 1002 โจทกฟ์ ้องคดีน้ภี ายในอายคุ วาม 1 ปี ฟอ้ งโจทกส์ ำหรับ
เชค็ ทง้ั ส่ีฉบับนีจ้ ึงไม่ขาดอายุความ

ส่วนเชค็ พพิ าทอกี หนง่ึ ฉบบั ซงึ่ เปน็ เชค็ ระบุชอ่ื ยอ่ มโอนใหแ้ กก่ ันไดโ้ ดยการสลักหลังและสง่ มอบ
การทีโ่ จทกส์ ลกั หลงั เชค็ ฉบบั นข้ี ายลดใหแ้ ก่ ส. กับ บ. ส. และ บ. จงึ เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ เม่ือธนาคารปฏเิ สธการจา่ ยเงนิ โจทกไ์ ด้
ชำระเงินตามเชค็ ให้ ส. กบั บ. และรับเชค็ พพิ าทฉบับน้ีกลับคืนมา โจทกจ์ งึ อยู่ในฐานะผสู้ ลกั หลงั หาใช่ผ้ทู รงเชค็ ฉบบั น้ันไม่ จึงต้องฟ้อง
ไล่เบีย้ เอาแก่ผู้สลักหลังและผสู้ งั่ จ่ายภายในเวลาหกเดือน นับแต่วันทโี่ จทกเ์ ข้าถือเอาเชค็ และใชเ้ งนิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1003 เมอ่ื พ.
กรรมการของโจทก์เบิกความว่า โจทก์ผ่อนชำระเงนิ ให้ ส. กบั บ. โดยผอ่ นชำระตง้ั แต่ประมาณเดอื นมกราคมถงึ พฤษภาคม 2541 โจทก์
จึงได้รับเชค็ ทงั้ ห้าฉบบั กลบั คืนมาโจทก์มาฟอ้ งคดนี ้ีเมอ่ื วันที่ 9 ธนั วาคม 2541 จงึ ล่วงเลยระยะเวลาหกเดอื นนบั แต่วันดงั กล่าว ฟอ้ ง
โจทก์สำหรบั เช็คพพิ าทฉบบั น้จี ึงขาดอายุความ

ฎีกาท่ี 644/2500 การท่ีโจทก์กบั จำเลยท่ี 1-2 ทำสญั ญาประนีประนอมยอมความกนั ว่า จำเลยที่ 1-2 ยอมใช้ต้นเงิน
100,000 บาท กับดอกเบ้ียซง่ึ จำเลยท่ี 3 เป็นผเู้ ซน็ ชอื่ กู้เงนิ นี้จากโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1-2 นน้ั ไมท่ ำใหจ้ ำเลยท่ี 3 ซง่ึ ตอ่ สคู้ ดไี ปคนละ
ประเด็นกบั จำเลยที่ 1-2พน้ ผิด เพราะการทำสัญญาประนปี ระนอมดงั กล่าวเป็นแต่สญั ญาระงับขอ้ พิพาท ไมใ่ ชเ่ ป็นการแปลงหนใ้ี หม่
ไมใ่ ชเ่ ป็นการท่ลี กู หน้รี ว่ มชำระหนี้ และไม่ใช่เป็นการปลดหนเ้ี พราะในสญั ญาประนปี ระนอมนน้ั มไิ ดร้ ะบใุ ห้จำเลยที่ 3 พ้นความผดิ ศาล
ช้ันตน้ ต้องพจิ ารณาคดรี ะหว่างโจทกแ์ ละจำเลยที่ 3 ตอ่ ไป

111

112

ฎีกาท่ี 5258/2554 ต๋วั สัญญาใชเ้ งนิ เป็นต๋ัวเงนิ อันมีลักษณะเปน็ ตราสารเปล่ียนมอื ทย่ี อ่ มโอนกนั ได้ดว้ ยสลกั หลงั และ
สง่ มอบ การสลักหลงั ตอ่ ไปย่อมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธอิ ันเกดิ แตต่ วั๋ เงินนัน้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 920 วรรคหนงึ่ และผทู้ รงซง่ึ เป็นผรู้ บั โอน
ตั๋วเงนิ ไปชอบท่จี ะเรียกรอ้ งเอาเงนิ ใชจ้ ากบคุ คลซงึ่ ตนใชส้ ิทธไิ ลเ่ บี้ยในจำนวนเงินในตว๋ั เงินซงึ่ เขาไม่รับรองหรอื ไม่ใชก้ บั ทงั้ ดอกเบย้ี ด้วย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 968(1) การทต่ี ว๋ั สญั ญาใช้เงินกำหนดให้คดิ ดอกเบ้ียก่อนถงึ กำหนดใชเ้ งนิ ตามความในมาตรา 911 จำนวนดอกเบยี้
ดงั กลา่ วจึงเปน็ จำนวนท่ีต้องรวมเป็นยอดเงนิ ที่ผู้ออกตวั๋ สญั ญาใชเ้ งินและผรู้ บั อาวัลต้องผูกพนั รบั ผดิ เมือ่ มกี ารไล่เบยี้ การสลกั หลังโอน
ตว๋ั สญั ญาใชเ้ งินจงึ ต้องเป็นการโอนไปทงั้ จำนวนเต็มของยอดเงินที่กำหนดไว้ในต๋ัวเงนิ และดอกเบ้ยี ที่เกิดข้นึ ตามผลของมาตรา 911 กรณี
จึงไม่อาจกำหนดใหม้ ีการใหม้ ีการจ่ายดอกเบยี้ ออกไปจากตั๋วสญั ญาใชเ้ งินก่อนได้ เพราะจะทำใหค้ วามรับผดิ ในต๋วั สญั ญาใชเ้ งินลดลง
การระบใุ นตัว๋ สญั ญาใชเ้ งินให้จา่ ยดอกเบย้ี เปน็ รายเดือนจึงเปน็ การกำหนดข้อความอนื่ ใด ซงึ่ มิไดบ้ ญั ญัตไิ ว้ใน ป.พ.พ. ลกั ษณะ 21 เร่ือง
ตว๋ั เงิน ถ้าเขยี นลงในตวั๋ เงนิ ท่านว่าขอ้ ความน้ันหาเป็นผลอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดแก่ตว๋ั เงนิ นนั้ ไมต่ ามมาตรา 899 ดงั นั้น ข้อความทเี่ ขียนใหม้ ี
การจ่ายดอกเบี้ยเปน็ "รายเดอื น" จงึ ถอื เสมือนวา่ ไมม่ ีการเขียนลงไว้ในตั๋วเงินโจทก์จงึ ไม่อาจฟอ้ งบงั คับให้จำเลยท่ี 2 ผ้รู บั อาวัลตวั๋ สัญญา
ใชเ้ งินรับผดิ ชำระค่าเสยี หายจากการทจี่ ำเลยท่ี 2 ไม่จ่ายดอกเบยี้ ตามต๋วั สญั ญาใชเ้ งนิ เปน็ รายเดือนใหแ้ กโ่ จทก์ได้

ฎกี าที่ 4206/2554 ข้อความดา้ นหลงั เชค็ ทรี่ ะบุว่า “เชค็ ฉบับนีใ้ หไ้ ว้เพ่อื ประกนั หน้ี” ปรากฎวา่ ฝ่ายจำเลยเขยี น
ข้อความขึน้ เองฝ่ายเดียวโดยไมป่ รากฏวา่ โจทกต์ กลงดว้ ย ทง้ั เปน็ ขอ้ ความท่ไี มม่ บี ทบญั ญตั ใิ ดใน ป.พ.พ. ลกั ษณะตวั๋ เงนิ บญั ญตั ิใหเ้ ขยี น
ลงได้ในตวั๋ เงิน การเขยี นข้อความเช่นน้ยี ่อมไมม่ ผี ลใดๆ แกต่ ั๋วเงนิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 899 การที่พนักงานของโจทก์ไม่นำมาเปน็ เหตุ
โต้แยง้ ยอ่ มไมเ่ ป็นพิรุธ เพราะขอ้ ความดังกลา่ วไม่มีผลต่อความสมบรู ณข์ องเช็คพพิ าทแต่ประการใด โจทกจ์ งึ ไมจ่ ำต้องทำตามขอ้ ห้ามที่
ดา้ นหลงั เชค็ พิพาท ประกอบกบั ไมป่ รากฏรายละเอียดว่าจำเลยทัง้ สองจะใชห้ นี้โจทกด์ ้วยวิธใี ดอีก และจะใช้หนใ้ี ห้เสรจ็ เมื่อใด ข้ออ้าง
ตามฎีกาของจำเลยทง้ั สองท่วี ่าจำเลยทงั้ สองออกเชค็ พิพาทโดยวตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ประกันหน้ีจึงฟงั ไมข่ ้นึ

ฎกี าที่ 15477/2556 จำเลยลงลายมอื ช่ือสงั่ จา่ ยเชค็ ธนาคารกสิกรไทย จำกดั สาขาทา่ เรอื จำนวนเงิน 1,000,000 บาท
มอบแก่โจทก์เพอ่ื ชำระหนีท้ จ่ี ำเลยกู้ยมื เงนิ โจทก์ไป ตอ่ มาโจทกน์ ำเชค็ ดังกลา่ วไปเรยี กเกบ็ เงิน ซงึ่ ขณะนน้ั เช็คลงวนั ที่ 25 มถิ ุนายน
2552 ปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คปฏเิ สธการจา่ ยเงินเมือ่ วนั ท่ี 21 กรกฎาคม 2552 โดยให้เหตุผลวา่ ลายมือชื่อผูส้ งั่ จ่ายไมถ่ ูกต้องตาม
เงือ่ นไขท่ีให้ไวก้ ับธนาคาร

โจทก์ฎีกาวา่ พฤติการณข์ องจำเลยทเี่ ป็นฝ่ายแก้ไขตัวเลขในเชค็ พพิ าทนบั แตส่ ั่งจา่ ยเช็คโดยตงั้ ใจให้
เปน็ ประเด็นปญั หาและอาศยั ความไว้วางใจทโี่ จทก์มีตอ่ จำเลยทจี่ ะไมส่ งสยั ในขอ้ พิรธุ น้ี ซง่ึ ปรากฏวา่ คดีนีจ้ ำเลยนำสืบตอ่ สวู้ ่าเชค็ พิพาท
จำเลยได้ลงวันเดือนปีในเชค็ คือวันท่ี 25 มิถนุ ายน 2550 แต่มีการแก้ไขปี พ.ศ. ในเช็คพิพาทเปน็ ปี 2552 โดยจำเลยมิได้เปน็ ผูแ้ กไ้ ข
หากจำเลยเปน็ ผแู้ ก้ไขกจ็ ะต้องมีการลงลายมอื ชื่อกำกับการแกไ้ ขน้ัน โจทกก์ ม็ ีตัวโจทก์เปน็ พยานเบกิ ความว่าจำเลยเป็นผู้นำเชค็ พพิ าท
ซึ่งกรอกรายละเอยี ดครบถ้วนแล้วมาส่งมอบแก่โจทกด์ ้วนตนเองและเบกิ ความตอบทนายจำเลยถามคา้ นว่า ขณะรับเชค็ พิพาทโจทก์
ไม่ได้ตรวจสอบเชค็ ในวันที่รบั เช็คพิพาทมาเช็คพพิ าทมสี ภาพตามเช็คพิพาทและเบกิ ความตอบทนายโจทกถ์ ามตงิ ว่า เลข 2 ในชอ่ งวันท่ี
และปี พ.ศ. แตกตา่ งกนั นั้นไม่ทราบว่าเพราะเหตใุ ด เหน็ วา่ เช็คพพิ าทในชอ่ งวนั ที่ระบวุ ่า 25-6-52 แตเ่ ม่ือดูตัวเลข 52 ด้วยตามเปลา่ ก็

112

113

เห็นไดช้ ดั ว่ามรี อยการแกไ้ ขจากตัวเลขเดิม 50 เปน็ ตวั เลข 52 ประกอบกบั เช็คพิพาทมจี ำนวนเงนิ สงู ถงึ 1,000,000 บาท หากจำเลย
เปน็ ผ้แู ก้ไขขณะโจทก์รบั เชค็ พพิ าทมาโจทกย์ ่อมจะต้องตรวจสอบความถูกตอ้ งสมบรู ณข์ องเชค็ พพิ าทก่อนซึ่งย่อมจะเห็นรอยการแก้ไข
และโจทก์จะตอ้ งให้จำเลยลงลายมอื ช่อื กำกับการแกไ้ ข ไมน่ า่ เชอ่ื ว่าโจทก์จะยอมรับเชค็ ทม่ี ีจำนวนสงู มากในสภาพดงั กล่าว ซง่ึ โจทก์
น่าจะทราบดวี า่ ธนาคารอาจปฏเิ สธการจา่ ยเงนิ ตามเชค็ ได้ ดงั น้นั ที่โจทก์เบกิ ความว่าโจทก์ไม่ได้ตรวจสอบสภาพเช็คและขณะรบั เชค็
พิพาทมาเชค็ มสี ภาพตามท่ีปรากฏในเชค็ พพิ าทจงึ ผดิ ปกตวิ สิ ยั และเป็นการเบกิ ความอา้ งขึน้ ลอยๆ ไม่มเี หตผุ ลให้รับฟงั นอกจากนี้เมอ่ื
ศาลชั้นต้นสง่ เชค็ พิพาทไปตรวจพสิ ูจนต์ ามคำขอของจำเลยซง่ึ นกั วิทยาศาสตร์กองพสิ จู นห์ ลกั ฐาน สำนกั งานตำรวจแหง่ ชาตติ รวจพสิ จู น์
แลว้ พบวา่ ลายมือเขียนวันเดือนปีในเช็คพิพาทมรี อ่ งรอยการแกไ้ ขจากหมึกท่มี ีคุณสมบตั ทิ างฟิสกิ สแ์ ตกตา่ งกนั โดยการเขยี นต่อเติม
ตัวเลขตัวสดุ ทา้ ยของวนั เดอื นปีจาก 25-6-50 เป็น 25-6-52 ตามรายงานการตรวจพสิ ูจนซ์ งึ่ สอดคล้องกบั คำเบิกความของจำเลย จงึ เชอ่ื
ไดว้ า่ เชค็ พพิ าทมกี ารแกไ้ ขปี พ.ศ. ในเชค็ ภายหลงั จากที่จำเลยออกเช็คพิพาทแลว้ โดยไม่ปรากฏวา่ จำเลยเปน็ ผู้แกไ้ ขเปลย่ี นแปลงปี พ.ศ.
ในเชค็ พิพาทเอง ดงั นนั้ เมอ่ื เชค็ พิพาทมกี ารแกไ้ ขวนั ท่สี งั่ จา่ ยใหม่อนั เป็นการแก้ไขเปลยี่ นแปลงในข้อสำคญั โดยจำเลยมไิ ดย้ ินยอมด้วย
เชค็ นัน้ จงึ เสยี ไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 วรรคหนง่ึ จำเลยจงึ ไมม่ ีความผดิ ตาม พ.ร.บ. วา่ ด้วยความผดิ อนั เกดิ จากการใช้เชค็ พ.ศ.
2534 มาตรา 4

ฎกี าท่ี 11261/2557 รับโอนเช็คมาโดยรู้อยแู่ ล้วขณะรบั โอนวา่ เชค็ ไมม่ มี ูลหนี้ทีผ่ ้สู ่งั จา่ ยจะต้องชำระ เป็นการรบั โอน
โดยคบคดิ กันฉอ้ ฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 ประกอบมาตรา 989 ทผ่ี สู้ ั่งจา่ ยสามารถยกเป็นขอ้ ต่อสู้ระหวา่ งผูส้ งั่ จ่ายกับผู้ทรงคนก่อน
ขึน้ ตอ่ สโู้ จทกซ์ งึ่ เปน็ ผู้ทรงได้ ผู้สง่ั จ่ายไมต่ อ้ งรบั ผดิ ชำระเงนิ ตามเชค็ พิพาททง้ั สองฉบบั แกโ่ จทก์ผูท้ รง

ฎีกาที่ 4759/2557 จำเลยท่ี 1 เป็นธนาคารพาณชิ ย์ พนกั งานของจำเลยท่ี 1 มหี นา้ ทีต่ อ้ งระมดั ระวงั และตอ้ งใช้
ความรู้ความชำนาญเปน็ พเิ ศษตรวจสอบเชค็ ทโี่ จทก์สงั่ จา่ ย หากมกี ารแกไ้ ขช่อื ผ้รู บั เงินซ่ึงเปน็ ขอ้ ความสำคญั ในเชค็ โดยเหน็ ประจักษ์ ก็
ชอบทีจ่ ะปฏเิ สธการใช้เงิน เพราะเหตทุ เี่ ป็นต๋วั เงินปลอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 โดยแจง้ ใหโ้ จทกซ์ ่ึงเปน็ เจ้าของเช็คทราบทันที
ไม่เชน่ น้นั แลว้ หากมีการจา่ ยเงินตามเช็คไปย่อมเปน็ การประมาทเลินเลอ่ อยา่ งรา้ ยแรงของพนกั งานของจำเลยท่ี 1 การทโ่ี จทก์สง่ั จ่าย
เช็คพิพาทแล้ว อ. แก้ไขปลอมแปลงเชค็ นั้นภายหลงั ไมอ่ าจถอื เปน็ ความประมาทเลนิ เล่อของโจทก์ การใชเ้ งินไปตามเชค็ ของจำเลยที่ 1
จะไดร้ ับความคุ้มครองเพยี งใด ตอ้ งเปน็ ไปตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1009 บญั ญัติไว้

ฎีกาท่ี 1405/2557 จำเลยประกอบกจิ การธนาคารพาณิชย์มสี ำนักงานสาขาทว่ั ประเทศ สาขาสขุ มุ วทิ 11 เปน็ สาขา
หนึ่งของจำเลย โจทกท์ ง้ั สามเปน็ ลกู ค้าของจำเลย สาขาสขุ มุ วทิ 11 โดยเปดิ บญั ชฝี ากกระแสรายวัน ใชเ้ ชค็ ทจี่ ำเลยมอบให้ในการเบิก
ถอนเงนิ จากบญั ชโี จทกท์ ง้ั สามดงั กล่าว โจทก์ทง้ั สามเป็นผมู้ ีอำนาจลงลายมอื ช่อื ในเชค็ ในฐานะผ้สู งั่ จ่ายโดยหนงึ่ ในสามคนมีอำนาจลง
ลายมือชื่อในเชค็ ในฐานะผู้ส่ังจ่ายตามตัวอย่างลายมอื ชอื่ ต่อมา นาย ป. ลูกจ้างโจทก์ทงั้ สามลักเช็คของโจทกท์ ั้งสามแล้วนำเชค็ พพิ าท
ท้งั 5 ฉบบั ไปปลอมลายมือช่อื โจทก์ท่ี 3 นำไปเรยี กเกบ็ เงิน จำเลยอนมุ ตั ใิ ห้เบกิ ถอนเงินจากบญั ชขี องโจทกท์ ัง้ สามมีปญั หาตอ้ งวนิ ิจฉยั
ว่าจำเลยซึ่งเป็นธนาคารตอ้ งชำระเงนิ คืนโจทกท์ ัง้ สามหรอื ไม่

113

114

ศาลฎีกาพิจารณาแลว้ เห็นว่า ป.พ.พ. มาตรา 1008 วรรคหน่งึ บญั ญตั ิว่า “ภายในบังคบั แห่ง
บทบญั ญตั ทิ งั้ หลายในประมวลกฎหมายน้ี เมอ่ื ใดลายมอื ชื่อในตวั๋ เงนิ เปน็ ลายมือชอ่ื ปลอมกด็ ี เปน็ ลายมือชื่อลงไว้โดยทบ่ี คุ คลซง่ึ อา้ งเอา
เปน็ เจา้ ของลงลายมือชือ่ น้ันมไิ ด้มอบอำนาจให้ลงกด็ ี ทา่ นวา่ ลายมือชอ่ื ปลอมหรอื ลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไมไ่ ด้เลย ใครจะ
อ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอยา่ งหน่ึงอยา่ งใดเพอ่ื ยดึ หนว่ งตวั๋ เงินไวก้ ด็ ี เพื่อทำให้ตวั๋ นนั้ หลดุ พ้นก็ดี หรือเพ่ือบงั คบั การใชเ้ งนิ เอาแกค่ สู่ ัญญา
แหง่ ตัว๋ นั้นคนใดคนหนึ่งกด็ ี ทา่ นว่าไม่อาจจะทำไดเ้ ปน็ อนั ขาด เวน้ แตค่ ู่สญั ญาฝา่ ยซง่ึ จะพึงถูกยดึ หน่วงหรอื ถกู บังคับใชเ้ งินนน้ั จะอยูใ่ น
ฐานะเปน็ ผูต้ ้องตดั บทให้ยกขอ้ ลายมือปลอมหรือขอ้ ลงลายมือชอื่ ปราศจากอำนาจนน้ั ขึ้นเป็นขอ้ ตอ่ สู้” เมือ่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ได้วา่ ลายมือชื่อ
โจทกท์ ี่ 3 ผ้สู งั่ จา่ ยเชค็ พพิ าททงั้ 5 ฉบบั เปน็ ลายมอื ช่ือปลอม มิใช่ลายมอื ช่อื ของโจทก์ทส่ี าม เมอื่ จำเลยจ่ายเงินตามเชค็ นั้นไป จำเลยจะ
อ้างลายมือชอื ปลอมน้นั เพอ่ื ให้หลดุ พน้ ความรบั ผดิ หาได้ไม่ ทจี่ ำเลยฎีกาวา่ โจทกท์ ้งั สามประมาทเลนิ เล่ออย่างร้ายแรงน้นั เห็นว่า โจทก์
ท่ี 3 เก็บสมดุ เชค็ ของธนาคารไว้ในตเู้ กบ็ เอกสารในห้องทำงานของโจทก์ที่ 3 โดยมีการล็อกกุญแจตเู้ กบ็ เอกสารและห้องทำงาน ตาม
ขอ้ เท็จจริงดังกลา่ วยอ่ มถอื ได้วา่ โจทก์ทง้ั สามไดเ้ กบ็ รักษาเช็คพพิ าทเช่นวญิ ญชู นจะพึงกระทำแล้ว โจทกทงั้ สามจงึ มิใชฝ่ า่ ยประมาท
เลนิ เล่ออันจะถอื ว่าเปน็ ผตู้ ้องตดั บทมิให้ยกขอ้ ลายมือชือ่ ปลอมขน้ึ ตอ่ สตู้ ามมาตรา 1008 วรรคหนง่ึ ส่วนทจ่ี ำเลยฎกี าวา่ จำเลยมิได้
ประมาทเลินเลอ่ จึงไมต่ อ้ งรับผิดต่อโจทก์ แต่โจทก์เป็นฝ่ายผดิ ขอ้ สญั ญาฝากเงนิ ศาลฎีกาเห็นวา่ จำเลยประกอบธรุ กิจธนาคารพาณชิ ย์
เป็นทไี่ ว้วางใจของประชาชน การจ่ายเงินตามเชค็ ท่มี ผี ู้ทมี่ าขอเบกิ เงนิ จากธนาคารเปน็ งานสว่ นหนง่ึ ของจำเลยซง่ึ จะต้องปฏบิ ัติอยูเ่ ปน็
ประจำ จำเลยยอ่ มมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมอื ช่อื ในเช็ควา่ เปน็ ลายมอื ชอ่ื ของผสู้ ั่งจา่ ยหรือไม่ยงิ่ กวา่ บคุ คลธรรมดา ทง้ั ตอ้ งมี
ความระมัดระวงั ในการจ่ายเงนิ ตามเช็คย่งิ กวา่ วิญญชู นท่วั ๆ ไป เมอื่ ข้อเทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ ่าลายมอื ชอื่ ผู้สั่งจา่ ยเช็คพิพาททง้ั 5 ฉบับเปน็
ลายมอื ชอื่ ปลอมมิใชล่ ายมือชอ่ื โจทก์ที่ 3 การที่จำเลยจา่ ยเงินตามเชค็ พิพาททัง้ หา้ ฉบับใหแ้ กผ่ ูท้ ่นี ำมาเรยี กเกบ็ เงินท้ังทม่ี ีตัวอยา่ งลายมือ
ชอ่ื ของโจทกท์ ่ี 3 ทใ่ี หไ้ วแ้ ก่จำเลยกบั มเี ชค็ อกี หลายฉบบั ท่ีโจทกท์ ี่ 3 เคยสง่ั จา่ ยไว้อยทู่ ี่จำเลยจงึ เป็นการขาดความระมดั ระวงั ของจำเลย
ผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ถือไดว้ ่าการจา่ ยเงนิ ตามเช็คพพิ าทดงั กล่าวเปน็ ความบกพรอ่ งของจำเลยเองและเป็นการผิดสญั ญาเปดิ
บัญชีเงินฝากกระแสรายวนั ศาลฎกี าพพิ ากษายืนตามศาลอทุ ธรณใ์ ห้จำเลยชำระตน้ เงินตามเชค็ ฉบบั ละ 450,000 บาทรวม 5 ฉบบั
พรอ้ มดอกเบี้ยอตั รารอ้ ยละ 7.5 ต่อปี

ฎีกาท่ี 13466/2555 แม้ข้อเทจ็ จรงิ ได้ความวา่ ส. ซงึ่ เป็นพ่ีชายคนโตได้รับมอบหมายจากบิดาใหบ้ ริหารกจิ การของ
จำเลยแตเ่ พยี งผูเ้ ดยี ว โดย ช. และ ม. มไิ ด้เกย่ี วขอ้ งกบั กิจการของจำเลยกต็ าม แต่จำเลยเปน็ นิตบิ คุ คลตามกฎหมายแยกต่างหากจาก
บคุ คลธรรมดา ซงึ่ การกระทำการแทนจำเลยตอ้ งมกี รรมการอยา่ งนอ้ ย 2 คน ลงลายมือช่ือร่วมกันพรอ้ มประทบั ตราสำคญั ของจำเลยจงึ
ผกู พนั จำเลยตามเงอ่ื นไขทไ่ี ด้มีการจดทะเบยี นนติ บิ คุ คลไว้ การท่ี ส. ลงลายมือชอื่ สง่ั จ่ายเชค็ พพิ าทแตเ่ พยี งผู้เดียวจึงไมเ่ ปน็ ไปตาม
เง่ือนไขที่จดทะเบยี นนติ บิ ุคคลไว้ดงั กล่าว กรณถี อื ไมไ่ ดว้ า่ เปน็ การส่ังจ่ายในนามของจำเลย ทงั้ ไมป่ รากฏวา่ ช. หรือ ม. ซึ่งเปน็ กรรมการ
ของจำเลยได้กระทำการอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ทส่ี อ่ ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ การเชดิ หรือยนิ ยอมให้ ส. นำเช็คพิพาทซงึ่ มีลายมือชอ่ื ปลอมของผู้รว่ มสั่ง
จ่ายไปแลกเงินสดจากโจทกไ์ ด้ เมอ่ื จำเลยมิใช่ผู้สง่ั จ่ายเชค็ พิพาท จำเลยจงึ ไมต่ อ้ งรบั ผดิ ใชเ้ งนิ ตามเนอื้ ความในเชค็ พพิ าทในฐานะผสู้ ่ัง
จ่าย

114

115

ฎีกาท่ี 4495/2560 จำเลยที่ 1 กู้ยมื เงนิ จากโจทก์ 4,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปครบถว้ นโดยมีการนำเงิน
จำนวนดงั กล่าวเข้าบญั ชเี งนิ ฝากของจำเลยที่ 3 ซง่ึ เป็นกรรมการผมู้ อี ำนาจของจำเลยท่ี 1 จำเลยที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มอี ำนาจ
กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ลงลายมอื ชื่อสงั่ จ่ายเชค็ ธนาคารกรงุ ไทย จำกดั (มหาชน) สาขาถนนกาญจนาภเิ ษก (บางใหญ่) เลขท่ี
0052269 สง่ั จ้ายเงนิ 4,000,000 บาท ท่ีพพิ าทมอบใหแ้ กโ่ จทกโ์ ดยมไิ ด้ระบชุ ือ่ ผูร้ ับเงินและมไิ ดข้ ีดฆา่ คำว่าหรือผถู้ อื และมิได้ระบวุ ันท่ี
ออเช็ค ต่อมาจำเลยท่ี 1 ชำระเงนิ เปน็ งวดรายเดอื นใหแ้ ก่โจทก์ 23 งวด เป็นเงนิ 1,730,000 บาท ทจี่ ำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า เชค็
พิพาทมีรายการไม่ครบถ้วน ไมม่ ีชื่อหรอื ยห่ี อ้ ของผู้รับเงนิ ไม่มวี นั ออกเช็คและจำเลยท่ี 1 ไม่มคี วามประสงคท์ ่จี ะใหบ้ คุ คลใดจดวนั ที่ออก
เชค็ พิพาทเพอื่ นำไปชำระหน้หี รอื ทำนติ กิ รรมหรอื นำไปแลกเงินสดหรือมอบอำนาจใหน้ ายอธคิ มลงลายมือช่อื และวนั ทดี่ า้ นหนา้ ของเชค็
พพิ าท โจทก์จงึ เป็นผู้ทรงเช็คพพิ าทโดยไมส่ จุ ริตน้นั เหน็ วา่ โจทก์ได้รับเช็คพพิ าทมาจากจำเลยท่ี 1 เนือ่ งจากจำเลยที่ 1 กเู้ งินไปจาก
โจทก์ โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มอี ำนาจของจำเลยท่ี 1 เบกิ ความยอมรบั วา่ ไดก้ เู้ งินไปจากโจทก์จรงิ ดงั น้นั กรณีมเี หตเุ ชื่อได้วา่
ในขณะทจ่ี ำเลยที่ 1 กู้เงินนัน้ ต้องมีหลักประกันการชำระหนี้ โจทกจ์ ึงให้จำเลยที่ 1 สง่ั จา่ ยเชค็ พิพาทเทา่ กบั จำนวนเงินทม่ี ีการนำเขา้
บัญชีของจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ดงั น้นั การออกเชค็ พพิ าทย่อมเปน็ การออกโดยมมี ลู หนี้มาจากการกู้ยืมเงนิ และ
มเี จตนาท่ีจะผูกพนั บงั คับชำระหนไ้ี ด้ตามกฎหมาย

การทจี่ ำเลยที่ 1 มอบเช็คพิพาทใหแ้ กโ่ จทกโ์ ดยมไิ ด้ระบชุ ่อื ผรู้ ับเงิน แต่มีขอ้ ความตามแบบพมิ พ์ว่า
จา่ ย....หรือผ้ถู ือ ถือไดว้ า่ เป็นเชค็ ทีส่ ง่ั จา่ ยใหแ้ กผ่ ู้ถอื จงึ เป็นเช็คทมี่ รี ายการตามที่ไดบ้ ญั ญตั ิไว้ในประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 988 (4) เชค็ พพิ าทจึงเป็นเชค็ ท่สี มบรู ณต์ ามกฎหมาย การที่นายอธคิ มนำเช็คไปเรยี กเกบ็ เงินและเขยี นช่ือโทก์หลงั คำวา่ จา่ ย ไม่
ทำใหเ้ ชค็ พพิ าทเสียไป โจทก์เปน็ ผถู้ ือเชค็ ไวใ้ นครอบครองยอ่ มเป็นผทู้ รงโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 905
และไดร้ ับประโยชน์แหง่ ขอ้ สนั นิษฐานตามกฎหมายวา่ เปน็ ผู้ทรงโดยสจุ รติ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 6 ทง้ั ไม่มี
ข้อตกลงใหโ้ จทก์แจง้ ให้จำเลยที่ 1 และ 2 ทราบกอ่ นนำเชค็ พิพาทไปเรียกเกบ็ เงิน และในเรอ่ื งวันออกเชค็ นั้น การท่ีจำเลยท่ี 1 ออกเช็ค
พิพาทโดยไมร่ ะบุวนั ออกเชค็ ยอ่ มถอื โดยปรยิ ายวา่ จำเลยท่ี 1 มอบหมายใหโ้ ทก์ลงวันที่ออกเช็คไดเ้ อง ฉะน้ันการท่เี จ้าหนา้ ที่ธนาคาร
ประทบั วนั ทีอ่ อกเช็คจงึ ถือเป็นปรยิ ายไดอ้ กี ว่าเจา้ หน้าทธี่ นาคารไดล้ งวันที่ออกเชค็ โดยสจุ รติ แทนโจทกซ์ ง่ึ เปน็ ผทู้ รงและเปน็ การลงวันท่ี
ออกเช็คท่ถี ูกต้องแทจ้ ริง เชค็ พิพาทจงึ เป็นเชค็ ทสี่ มบูรณ์ตามกฎหมาย เม่อื จำเลยท่ี 1 ผ้สู ง่ั จ่ายไมช่ ำระผลประโยชน์ตอบแทนตามทตี่ ก
ลงกัน โจทกน์ ำเชค็ พิพาทไปเรยี กเกบ็ เงนิ จากธนาคารได้ จำเลยที่ 1 และท่ี 2 จะอา้ งว่าไม่รู้เห็นหรอื ยนิ ยอมให้โจทก์นำเชค็ พิพาทไป
กรอกข้อความวนั สั่งจา่ ย ช่ือและชอ่ื สกุลผู้รบั เงนิ และไปเรยี กเกบ็ เงนิ ไมเ่ ป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ในการออกเชค็ พิพาทหาได้ไม่ แม้
ระยะเวลานับแตจ่ ำเลยที่ 1 ออกเชค็ พพิ าทจนถึงเวลาทโี่ จทก์นำเชค็ พพิ าทไปเรียกเกบ็ เงินเปน็ เวลานานถึง 1 ปี 9 เดือน 18 วนั นั้น
โจทก์ก็ได้นำสบื แล้วว่า หลงั จากจำเลยที่ 1 รับเงินกู้ไปจากโจทกแ์ ล้ว จำเลยที่ 3 กรรมการผ้มู ีอำนาจของจำเลยที่ 1 ไดช้ ำระค่าตอบแทน
ทุกเดอื นภายหลงั เรมิ่ ชำระไมต่ รงตามเวลาท่ีตกลงและตอ่ มาก็ไมช่ ำระคา่ ตอบแทน โจทก์จงึ นำเช็คพิพาทไปเรยี กเก็บเงิน ระยะเวลาท่ี
เน่ินนานดงั กล่าวจงึ ไม่ใชเ่ รอื่ งผดิ ปกตวิ ิสยั อันจะทำใหฟ้ งั ได้วา่ โจทกเ์ ปน็ ผู้ทรงเชค็ โดยไม่สจุ ริต

โจทก์นำเชค็ พพิ าทไปเรยี กเก็บเงินแตธ่ นาคารตามเชค็ ปฏเิ สธการจ่ายเงนิ จำเลยท่ี 1 จงึ เป็นผผู้ ดิ
นดั จำต้องรับผดิ ชำระเงนิ ตามเช็คใหแ้ กโ่ จทก์ พรอ้ มดอกเบยี้ ในอัตราร้อยละ 7.5 ตอ่ ปี นบั แต่วนั ท่ีธนาคารตามเช็คปฏเิ สธการจา่ ยเงนิ
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนงึ่ , 914, 989 ประกอบมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

115

116

อาวลั คอื การคำ้ ประกนั ซึง่ ผู้รับอาวลั อาจเป็นบคุ คลภายนอกคนใดคนหนึง่ หรอื แมแ้ ตค่ สู่ ญั ญาแหง่
ตัว๋ เงนิ ฝ่ายใดฝ่ายหนงึ่ จะเป็นผรู้ ับก็ได้ กรณีทีโ่ จทก์อา้ งว่านายอธคิ มลงชือ่ อาวัลเชค็ พิพาทแทนจำเลยท่ี 2 นั้น ฯลฯ เหน็ ว่า จำเลยท่ี 1
ประสบปัญหาสภาพคลอ่ งในการประกอบธุรกจิ นายอธคิ มซงึ่ สนทิ สนมกบั โจทก์ไดต้ ดิ ต่อโจทก์เพอ่ื ใหจ้ ำเลยท่ี 1 กูเ้ งนิ โจทกแ์ จง้ นาย
อธิคมว่าหากนายอธคิ มคำ้ ประกนั จะให้จำเลยท่ี 1 กู้เงนิ และในเชค็ พพิ าทปรากฏวา่ นายอธคิ มลงลายมือช่ือดา้ นหน้าโดยมิไดร้ ะบวุ า่ ทำ
แทนจำเลยท่ี 2 กรณีบง่ ช้ีไดว้ ่าโจทก์ให้จำเลยท่ี 1 กูเ้ งนิ โดยจำเลยท่ี 1 สงั่ จ่ายเชค็ พิพาทมอบแกโ่ จทก์และโจทก์ให้นายอธคิ มซ่ึงเปน็
เพื่อนและโจทก์เชื่อถือลงลายมือชอื่ ดา้ นหนา้ เชค็ พิพาทอาวลั ในฐานะส่วนตวั มิใชว่ ่านายอธิคมลงลายมือช่อื ดา้ นหน้าเชค็ พิพาทอาวัลใน
ฐานะผ้รู บั มอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ดงั นั้น จำเลยท่ี 2 จงึ ไมต่ อ้ งร่วมกนั รับผิดชำระหนต้ี ามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์

ฎกี าท่ี 6725/2561 แมล้ ายมอื ช่ือผู้ส่งั จา่ ยในเชค็ พพิ าทจะมคี วามคลา้ ยคลงึ กับตัวลายมือชือ่ ของ ว. ตามตัวอยา่ ง
ลายมือชอ่ื แตต่ ามรายงานการตรวจพิสจู นม์ จี ุดผิดปกติเปน็ ท่ีสงั เกตวา่ เชค็ พิพาทเปน็ เชค็ ปลอมถงึ 11 จุด จำเลยประกอบธุรกจิ ธนาคาร
พาณิชย์อนั เปน็ กิจการท่ีประชาชนใหค้ วามไว้วางใจจำเลยย่อมตอ้ งจัดหาพนักงานท่ที ำหนา้ ทต่ี รวจสอบลายมือช่อื ผู้สง่ั จ่ายเชค็ ทม่ี ผี ู้นำมา
ยนื่ เพื่อเบกิ เงนิ ที่มคี วามชำนาญในการตรวจสอบลายมอื ชอื่ เปน็ พเิ ศษกวา่ คนทั่วไปมาทำหน้าที่ซง่ึ สำคัญเป็นอยา่ งยงิ่ นี้หากพนักงานของ
จำเลยที่ทำหน้าทตี่ รวจสอบลายมอื ชอ่ื ผ้สู งั่ จ่ายเช็คเป็นผ้ไู ด้รบั การอบรมในเรอื่ งนโี้ ดยเฉพาะและมีความเชยี่ วชาญเป็นอยา่ งดี ทงั้ ใชค้ วาม
ระมัดระวังในการปฏิบตั หิ นา้ ทดี่ ้วยความละเอยี ดรอบคอบย่อมจะสามารถจะสังเกตเห็นถงึ ความแตกต่าง ของลายมือช่อื ผู้สงั่ จา่ ยและ
ทราบได้วา่ ลายมอื ชอ่ื สงั่ จา่ ยเปน็ ลายมือชือ่ ปลอม การทีพ่ นักงานของจำเลยจา่ ยเงินตามเชค็ พพิ าท ซึ่งลายมือชอื่ ผสู้ ง่ั จา่ ยเปน็ ลายมอื ชอื่
ปลอม จึงเป็นความประมาทเลินเลอ่ อยา่ งรา้ ยแรงถือว่าจำเลยจ่ายเงินตามเชค็ พิพาทและหกั เงนิ จากบญั ชีของโจทก์โดยละเมดิ จำเลยจะ
ยกพฤติการณใ์ นการเกบ็ รักษาเชค็ พพิ าทของโจทก์วา่ เป็นเหตุก่อให้พนักงานของจำเลยได้เชค็ ไปปลอมลายมือชอื่ ผสู้ ่งั จา่ ยนำมาเบกิ เงิน
จากจำเลยขนึ้ อา้ งเปน็ ขอ้ ยกเวน้ ว่าโจทกต์ กอยูใ่ นฐานะผตู้ ้องตัดบทมใิ ห้ยกข้อลายมอื ช่ือผสู้ ั่งจ่ายเชค็ พิพาทปลอมเปน็ ข้อต่อส้ตู าม ป.
พ.พ. มาตรา 1008 วรรคหนงึ่ ตอนทา้ ยเพ่อื ใหจ้ ำเลยหลุดพ้นความ รับผดิ ฐานละเมดิ ต่อโจทกห์ าได้ไม่

การกำหนดค่าสนิ ไหมทดแทนในหน้ีทเี่ กดิ จากการละเมิดแกฝ่ า่ ยผูเ้ สยี หายมากนอ้ ยเพยี งใดต้องอาศยั
พฤตกิ ารณ์เปน็ ประมาณ ข้อสำคญั คอื ความเสยี หายนั้นได้เกดิ ข้ึนเพราะฝ่ายไหนเปน็ ผู้ก่อยงิ่ หยอ่ นกวา่ กันเพยี งไรตาม ป.พ.พ. มาตรา
223, 438 และ 442 จงึ ต้องนำพฤตกิ ารณด์ งั กล่าวมาพจิ ารณาเพ่อื กำหนดคา่ เสยี หาย (โจทก์มสี ่วนประมาทเลนิ เลอ่ กอ่ ให้เกดิ ความ
เสยี หายไมย่ ิ่งหย่อนกว่าจำเลย)

116

117

ข้อ 7 (หนุ้ สว่ น-บรษิ ทั )

ฎกี าท่ี 5844/2537 โจทกฟ์ ้องคดโี ดยยกข้ออ้างทอ่ี าศยั เปน็ หลักแหง่ ขอ้ หาสองขอ้ คือข้อแรก โจทก์จำเลยไดต้ กลงกนั
ประกอบกิจการและจดทะเบยี นเปน็ ห้างหุน้ ส่วนจำกดั โดยโจทกเ์ ป็นห้นุ สว่ นจำพวกไมจ่ ำกัดความรับผดิ และเปน็ ห้นุ ส่วนผจู้ ดั การ ข้อที่
สองจำเลยซง่ึ เป็นหนุ้ สว่ นจำพวกจำกัดความรบั ผดิ ได้สอดเข้าไปเกีย่ วขอ้ งจดั การงานของหา้ งหนุ้ ส่วนขอให้บงั คบั ให้จำเลยรว่ มรับผดิ ต่อ
เจ้าหนี้ของห้างหุน้ ส่วนโดยไม่จำกดั จำนวน จำเลยให้การรบั ว่าเปน็ หนุ้ ส่วนจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ แต่ปฏเิ สธว่าไมเ่ คยสอดเขา้ ไป
เก่ียวขอ้ งจัดการงานของห้างหนุ้ ส่วนศาลช้ันต้นกำหนดประเด็นข้อพพิ าทว่า หนี้ของห้างหุ้นส่วนตามฟ้องผูกพนั จำเลยหรอื ไม่เพยี งใด ซง่ึ
ศาลล่างทง้ั สองเห็นว่า แม้จำเลยจะสอดเขา้ ไปเกี่ยวข้องจดั การงานของหา้ งหนุ้ สว่ นจำเลยก็ไม่ต้องรับผดิ อยา่ งไมจ่ ำกดั จำนวน เพราะ
กรณีตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 1088 วรรคหน่ึง เป็นกรณีที่ผเู้ ปน็ หนุ้ ส่วนจำพวกจำกัดความรับผดิ ต้องรบั ผดิ ต่อ
บุคคลภายนอก แตค่ ดนี ไ้ี ม่ใช่กรณบี คุ คลภายนอกเรยี กร้องให้จำเลยรบั ผดิ เป็นเรอ่ื งระหว่างหุ้นสว่ นดว้ ยกนั เอง จงึ ต้องบงั คบั ตามสัญญา
ห้นุ สว่ นซงึ่ เปน็ ขอ้ อ้างทอี่ าศยั เปน็ หลกั แห่งข้อหาของโจทก์ข้อแรก ฉะนั้น การทศ่ี าลล่างทั้งสองวนิ ิจฉยั ดงั กล่าว จงึ ไมเ่ ป็นการวินจิ ฉัย
นอกฟอ้ ง กรณตี ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1088 วรรคหนง่ึ ซึง่ บญั ญัตวิ า่ ถา้ ผูเ้ ป็นหุน้ สว่ นจำพวกจำกดั ความรบั ผิด
ผใู้ ดสอดเข้าไปเกย่ี วขอ้ งจดั การงานของห้างหุ้นส่วน ทา่ นว่าผนู้ น้ั จะต้องรบั ผดิ รว่ มกันในบรรดาหนีท้ ง้ั หลายของหา้ งห้นุ ส่วนนนั้ โดยไม่
จำกดั จำนวนน้นั เป็นบทบัญญัตเิ พื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกเน่อื งจากบคุ คลภายนอกอาจไม่ทราบวา่ ผใู้ ดเปน็ หุ้นสว่ นผู้จดั การหรอื ผู้ใด
เปน็ หุ้นส่วนจำพวกใด ส่วนระหวา่ งหนุ้ สว่ นด้วยกนั เองผเู้ ป็นหนุ้ สว่ นทุกคนทราบดีอยแู่ ล้ววา่ ผู้ใดเป็นหนุ้ สว่ นจำพวกใดและมีหน้าทีอ่ ย่าง
ใด หากยนิ ยอมใหม้ ีการกระทำผดิ หนา้ ท่ี ผูท้ ใ่ี หค้ วามยินยอมไมม่ สี ทิ ธจิ ะอ้างกฎหมายมาตราดังกลา่ วข้นึ บงั คบั ผเู้ ปน็ หนุ้ ส่วนด้วยกนั อยา่ ง
บุคคลภายนอกได้ กรณีของผู้เปน็ หุน้ ส่วนดว้ ยกนั ต้องบงั คบั ตามสัญญาห้างหนุ้ สว่ น

ฎกี าท่ี 2778/2552 ในวนั ที่โจทกฟ์ อ้ งขอใหจ้ ำเลยที่ 1 ลม้ ละลาย จำเลยท่ี 2 เป็นหุ้นสว่ นผ้จู ดั การอนั เปน็ หนุ้ สว่ นไม่
จำกดั ความรบั ผิดของจำเลยที่ 1 อยู่ ซงึ่ จำเลยท่ี 2 จะต้องร่วมรบั ผดิ ในหนส้ี ินของหา้ งหุน้ สว่ นจำกดั จำเลยที่ 1 อยา่ งไมจ่ ำกัดจำนวนตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1077 (2) และการที่ศาลมีคำสง่ั พิทกั ษท์ รัพยห์ ้างหนุ้ สว่ นจำกดั แล้วเจ้าหน้ีผเู้ ปน็ โจทกห์ รอื เจ้า
พนกั งานพทิ กั ษ์ทรพั ยอ์ าจมีคำขอให้ห้นุ สว่ นจำพวกไมจ่ ำกดั ความรับผิดล้มละลายไดต้ าม พ.ร.บ.ลม้ ละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 จำเลย
ที่ 2 จะต่อส้วู ่าตนเองมิได้มหี น้สี ินลน้ พน้ ตวั หาไดไ้ ม่ ในวนั ทโี่ จทกฟ์ อ้ งขอใหจ้ ำเลยที่ 1 ลม้ ละลาย จำเลยท่ี 3 ไมไ่ ดเ้ ปน็ ห้นุ ส่วนไมจ่ ำกัด
ความรบั ผดิ ของจำเลยท่ี 1 โจทกจ์ ึงไม่อาจฟอ้ งใหจ้ ำเลยที่ 3 ลม้ ละลายตามห้าง ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 ได้

มลู หน้ีท่ีเกดิ ขึน้ ก่อนทจี่ ำเลยท่ี 3 จะออกจากการเปน็ หนุ้ ส่วนผ้จู ดั การของจำเลยท่ี 1 จำเลยท่ี 3
ต้องร่วมรับผดิ ในหนี้ดงั กลา่ วภายในกำหนด 2 ปี นบั แต่ออกจากการเป็นหนุ้ ส่วนผจู้ ัดการตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 ประกอบมาตรา
1080 จำเลยท่ี 3 ออกจากการเป็นห้นุ ส่วนผจู้ ดั การตงั้ แต่วนั ที่ 28 มกราคม 2545 ความรับผดิ ของจำเลยท่ี 3 ย่อมมจี ำกัดเพียงสองปีนับ
แตว่ นั ดงั กล่าวถงึ วนั ที่ 28 มกราคม 2547 การที่โจทก์ฟอ้ งจำเลยท่ี 3 เมอื่ วนั ท่ี 17 มถิ ุนายน 2548 จงึ เกนิ กำหนดเวลา 2 ปี แลว้ จำเลย
ที่ 3 จงึ ไมต่ อ้ งรับผดิ ในหนด้ี งั กลา่ วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 โจทก์จงึ ไม่อาจนำมาฟอ้ งจำเลยท่ี 3 เป็นคดี
ล้มละลายได้

117

118

ฎกี าท่ี 3411/2553 จำเลยที่ 8 ซ้อื สินคา้ จากโจทก์ในฐานะตัวแทนของบรษิ ทั บ. เม่อื บรษิ ทั บ. ไม่ไดจ้ ดทะเบยี น
จดั ตงั้ ข้ึนเป็นบริษัท จำเลยที่ 1 ถงึ ที่ 4 ที่ 6 และท่ี 7 ในฐานะผเู้ ริ่มก่อการจงึ ตอ้ งรับผดิ ชำระคา่ สนิ คา้ ต่อโจทกต์ ามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1113

บริษัท บ. ซื้อสนิ ค้าเพอ่ื ใชใ้ นการก่อสรา้ งโรงแรม อนั เป็นกจิ การของบรษิ ทั บ. อายุความสิทธิ
เรยี กรอ้ งของโจทกจ์ งึ มกี ำหนด 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 193/33

ฎกี าที่ 1286/2532 หุน้ สว่ นจำพวกจำกัดความรับผดิ ยนิ ยอมให้ใช้ช่อื สกุลของตนเปน็ ช่อื หา้ งผเู้ ป็นหนุ้ สว่ นนน้ั ต้องรบั
ผดิ ต่อบคุ คลภายนอกเสมือนเปน็ หนุ้ สว่ นจำพวกไม่จำกดั ความรบั ผิด เพราะคำวา่ 'ชือ่ ' ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา
1081 และมาตรา 1082หมายถงึ ช่ือสกลุ ด้วย

ฎีกาที่ 2626/2548 โจทกฟ์ อ้ งวา่ จำเลยท้งั สร่ี ว่ มกันสงั่ ซอ้ื และรับสนิ ค้าประเภทน้ำมนั เช้ือเพลงิ และวสั ดุอปุ กรณ์ในการ
ก่อสร้างจากโจทกต์ ามสำเนาใบสงั่ ของชัว่ คราว จำเลยที่ 3 และที่ 4 ใหก้ ารต่อสคู้ ดีวา่ จำเลยทง้ั สีม่ ไิ ดร้ ว่ มกันสงั่ ซือ้ สินค้าและ รบั สินคา้
ประเภทน้ำมันเชื้อเพลงิ และวัสดุอุปกรณ์ในการกอ่ สรา้ งจากโจทกต์ ามสำเนาใบส่งั ของช่ัวคราวและสำเนา ใบสงั่ ของช่ัวคราวดงั กลา่ วเปน็
เอกสารปลอม เทา่ กบั ว่าจำเลยท่ี 3 และท่ี 4 ไมร่ ับว่าต้นฉบับสำเนาใบสงั่ ของช่วั คราว ดงั กลา่ วอยู่ท่จี ำเลยทง้ั ส่ี จึงเปน็ กรณไี ม่สามารถ
นำต้นฉบับเอกสารมาโดยประการอน่ื ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2) ศาลยอ่ มมีอำนาจท่จี ะรบั ฟงั สำเนาเอกสารใบสง่ ของช่วั คราวแทน
ตน้ ฉบับเอกสารดงั กลา่ วได้ โดยโจทกไ์ ม่ตอ้ งขอให้ศาลมีคำส่ังเรยี กต้นฉบับเอกสารก่อน

จำเลยท่ี 2 และที่ 3 เปน็ สามีภรยิ า และเปน็ หุ้นสว่ นเพยี ง 2 คนในหา้ งจำเลยที่ 1 โดยจำเลยท่ี 2
เป็นหนุ้ สว่ นจำพวกไมจ่ ำกัดความรบั ผดิ และหุ้นส่วนผจู้ ดั การ จำเลยที่ 3 เป็นหนุ้ ส่วนจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ จำเลยท่ี 3 ยอมใหจ้ ำเลย
ที่ 2 นำช่อื ของตนไประคนเปน็ ชือ่ ห้างจำเลยท่ี 1 แตแ่ รกเริม่ จดั ต้งั หา้ งจำเลยที่ 1 และได้รว่ มกนั กูเ้ งนิ ธนาคารมาก่อสรา้ งสถานบี รกิ าร
น้ำมนั และเป็นทนุ ดำเนินกิจการของห้างจำเลยท่ี 1 มาแตต่ น้ จำเลยท่ี 3 จึงตอ้ งร่วมรบั ผิดกับ จำเลยที่ 1 และท่ี 2 ตอ่ โจทก์เสมือนหน่งึ
เปน็ หนุ้ ส่วนประเภทไม่จำกดั ความรบั ผดิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1082

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1025 ห้างหุน้ สว่ นสามญั คอื ห้างหุ้นสว่ นประเภทซ่งึ ผเู้ ป็นหุ้นสว่ นหมดทกุ คน
ตอ้ งรับผดิ ร่วมกันเพื่อหนท้ี งั้ ปวงของหนุ้ สว่ นโดยไม่มจี ำกัด ดงั นน้ั บุคคลใดแสดงตนวา่ เปน็ หุ้นสว่ น ป.พ.พ. มาตรา 1054 จงึ บัญญตั ใิ หร้ ับ
ผิดตอ่ บคุ คลภายนอกในบรรดาหน้ขี องห้างหุ้นส่วนสามญั เสมอื นเป็นห้นุ ส่วน คอื ต้องรบั ผดิ โดยไม่มีจำกดั จำนวนหน้ี ส่วนหา้ งหุ้นส่วน
จำกดั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1077 คอื ห้างหนุ้ สว่ นประเภทซึ่งมผี ู้เป็นห้นุ ส่วนสองประเภทคอื ผเู้ ปน็ ห้นุ สว่ นจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ และ
พวกไมจ่ ำกดั ความรบั ผดิ ซง่ึ มคี วามผดิ ไมเ่ ทา่ กนั จงึ ไม่อาจนำมาตรา 1054 มาใชบ้ งั คบั กบั หา้ งหุน้ ส่วนจำกดั ได้ เพราะไม่อาจกำหนดได้
วา่ จะต้องรับผดิ เสมือนเปน็ หนุ้ สว่ นประเภทใด จงึ ไดบ้ ญั ญตั แิ ก้ไขเปล่ยี นแปลงเพอ่ื บงั คับใช้กับผูเ้ ป็นหุน้ ส่วนจำพวกจำกดั ความรับผดิ ไว้
โดยเฉพาะในมาตรา 1082 โดยให้ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกดั ความรับผิดทย่ี นิ ยอมโดยแสดงออกชดั หรือโดยปรยิ ายให้ใช้ช่อื ของตนระคน
เปน็ ชอ่ื หา้ งรบั ผดิ ตอ่ บคุ คลภายนอกเสมอื นเปน็ หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกดั ความรับผิด

118

119

จำเลยที่ 4 ไม่ใชห่ ุ้นสว่ นของห้างจำเลยท่ี 1 แมจ้ ะยนิ ยอมโดยชดั แจ้งหรือโดยปริยายใหใ้ ชช้ ือ่ ของ
ตนระคนเปน็ ชอ่ื หา้ งจำเลยที่ 1 ก็หาตอ้ งรบั ผดิ ต่อโจทก์เสมอื นเปน็ ห้นุ สว่ นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1054 ประกอบมาตรา 1080 จำเลยที่ 4
จึงไมต่ อ้ งรว่ มรบั ผดิ กบั จำเลยท่ี 1 ท่ี 2 และที่ 3

ฎีกาท่ี 4537/2551 จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นสว่ นจำกัด มิใช่เปน็ หา้ งหุ้นส่วนสามญั การท่ีจำเลยที่ 4 เขา้ ไปดำเนนิ
กิจการของหา้ งจำเลยท่ี 1 ไม่มผี ลใหจ้ ำเลยที่ 4 กลายเปน็ หนุ้ สว่ นของจำเลยที่ 1 และตอ้ งรับผดิ ในหน้ีของจำเลยที่ 1 ด้วย และแม้จำเลย
ที่ 4 จะยนิ ยอมโดยชัดแจ้งหรอื โดยปริยายให้ใชช้ ่อื ของตนระคนกบั ชื่อของหา้ งจำเลยที่ 1 กไ็ มต่ ้องรับผดิ ตอ่ โจทกเ์ สมอื นเปน็ หนุ้ ส่วนตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1054 ประกอบมาตรา 1080

ฎกี าท่ี 10878/2551 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง บญั ญตั ใิ หอ้ ำนาจผถู้ อื ห้นุ มอี ำนาจฟ้องร้องเอาค่าสินไหม
ทดแทนจากผเู้ ปน็ กรรมการบริษัททท่ี ำใหเ้ กดิ เสยี หายแกบ่ ริษัทได้ การที่จำเลยที่ 1 ถงึ ท่ี 4 ซึง่ เปน็ กรรมการบรษิ ทั บ. สมคบกนั ในการ
ประชมุ กรรมการบริษทั และมมี ติให้ขายทด่ี ินของบรษิ ทั ใหแ้ กจ่ ำเลยทงั้ แปดซงึ่ เป็นกรรมการและผู้ถอื หุ้นของบรษิ ทั และบคุ คลภายนอก
ในราคาตำ่ กว่าราคาประเมนิ และราคาตามทอ้ งตลาดทำใหบ้ รษิ ทั เสยี หาย เป็นการกระทำโดยทจุ รติ สมคบกันเบยี ดบงั เอาทรัพยส์ นิ ของ
บริษัทมาเป็นของตนเองหรือผูอ้ ่ืนอันเป็นการกระทำละเมดิ ต่อบรษิ ทั เมอ่ื บรษิ ัทไมย่ อมฟอ้ งรอ้ งจำเลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 4 ซึ่งเป็นกรรมการ
บรษิ ัท โจทก์ซ่งึ เป็นผู้ถือหุ้นของบรษิ ทั บ. ย่อมมอี ำนาจฟอ้ งรอ้ งจำเลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 4 ซง่ึ เป็นกรรมการได้แตโ่ จทกไ์ ม่มอี ำนาจฟอ้ งจำเลยที่
5 ถงึ ท่ี 8 ซง่ึ มไิ ดเ้ ปน็ กรรมการบรษิ ัท บ.

ส่วนท่โี จทกข์ อใหบ้ งั คับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซงึ่ เป็นกรรมการบรษิ ัทโอนท่ีดนิ คนื ใหแ้ กบ่ รษิ ทั หาก
โอนคนื ไมไ่ ดใ้ หใ้ ชค้ า่ เสียหายเท่ากับราคาทด่ี ินนนั้ เขา้ หลักเกณฑต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 1169 วรรคหนึง่ เพราะการคืนหรอื ใชร้ าคาทรพั ย์ก็
จัดเปน็ คา่ สนิ ไหมทดแทนเพือ่ ละเมดิ ดงั ทีบ่ ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคสอง ดว้ ย

ฎกี าท่ี 1378/2555 แม้โจทกฟ์ ้องอา้ งวา่ จำเลยท่ี 1 ผิดสัญญาและละเมิด แต่เห็นไดช้ ดั ว่าเป็นการฟ้องวา่ โจทก์ว่าจา้ ง
จำเลยที่ 1 ตกแตง่ และตอ่ เติมอาคารพิพาท แล้วจำเลยท่ี 1 ทำงานบกพร่องก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายตามฟอ้ งแกโ่ จทก์ อันต้องบงั คบั ตาม
บทบัญญตั แิ หง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ วา่ ด้วยจ้างทำของ จำเลยทงั้ สามทราบขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าวแลว้ จงึ ให้การตอ่ สวู้ ่า
จำเลยที่ 1 ทำงานที่ไดร้ บั จ้างให้โจทกเ์ รยี บร้อยและโจทกม์ ิได้เสยี หายดงั ฟอ้ ง เมื่อจำเลยท้งั สามให้การต่อมาโดยตดั ฟอ้ งว่าฟอ้ งโจทก์ขาด
อายุความ จำเลยทงั้ สามตอ้ งกลา่ วในคำให้การส่วนนใ้ี หช้ ัดแจ้งวา่ จำเลยท่ี 1 สง่ มอบงานใหแ้ ก่โจทกเ์ ม่ือใด และโจทกพ์ บความชำรดุ
บกพร่องของงานท่ีจ้างวนั ใด แต่จำเลยทง้ั สามกลบั ใหก้ ารในสว่ นนีเ้ พยี งวา่ โจทก์อา้ งวา่ ได้ว่าจ้างจำเลยท่ี 1 ตอ่ เติมและตกแตง่ อาคาร
พิพาท 2 ครง้ั เมื่อวนั ที่ 17 มกราคม 2538 และวนั ท่ี 24 มนี าคม 2538 แล้วจำเลยที่ 1 ผดิ สญั ญาละเมดิ ตอ่ โจทก์ ขอให้ศาลบงั คับ
จำเลยท้ังสามชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยโจทก์นำคดมี าฟอ้ งวนั ท่ี 21 สิงหาคม 2541 ฟอ้ งโจทก์จึงขาดอายคุ วาม เช่นนี้ เปน็
คำใหก้ ารไมช่ ดั แจง้ ว่าขาดอายคุ วามในเรือ่ งใด และอายคุ วามเรม่ิ นบั ตง้ั แตว่ นั ใด ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทเรอ่ื งอายุความทค่ี ่คู วาม
จะตอ้ งนำสืบ จำเลยท่ี 1 เปน็ นติ บิ ุคคลประเภทห้างหนุ้ สว่ นจำกดั โดยขณะฟ้องมจี ำเลยที่ 2 เปน็ ห้นุ ส่วนผ้จู ัดการ จงึ เปน็ ห้นุ ส่วนจำพวก

119

120

ไม่จำกดั ความรบั ผิด แมจ้ ำเลยที่ 2 เขา้ มาเป็นหนุ้ สว่ นภายหลงั กต็ ้องรบั ผดิ ในหนีใ้ ด ๆ ซง่ึ จำเลยที่ 1 ไดก้ ่อให้เกดิ ข้ึนก่อนทีต่ นเขา้ มาเป็น
หนุ้ ส่วนดว้ ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1052 ประกอบมาตรา 1077 (2), 1080, 1087 สว่ นจำเลยท่ี 3 แม้ออกจากหุ้นส่วนไปแลว้ ก็ยงั คงตอ้ ง
รบั ผิดในหนีซ้ ่งึ จำเลยที่ 1 ไดก้ ่อขน้ึ ก่อนทต่ี นไดอ้ อกจากหนุ้ สว่ นตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1077 (2), 1080, 1087

ฎกี าที่ 5009/2555 บทบญั ญตั ลิ ักษณะ 22 หมวด 3 วา่ ด้วย หา้ งหุ้นสว่ นจำกัด แหง่ ป.พ.พ.มาตรา 1088 วรรคหนึง่
บัญญตั ิว่า “ ถา้ ผเู้ ปน็ หุ้นสว่ นจำกัดความรับผดิ ผู้ใดสอดเขา้ ไปเกยี่ วข้องจดั การงานของห้างหุ้นส่วน ทา่ นว่าผ้นู ั้นจะต้องรบั ผดิ รว่ มกันใน
บรรดาหนท้ี ง้ั หลายของหา้ งหุ้นส่วนน้ันโดยไมจ่ ำกัดจำนวน ” และมาตรา 1080 ให้นำบทบญั ญตั ิว่าดว้ ยหา้ งหนุ้ สว่ นสามญั ที่มไิ ดย้ กเวน้
หรอื แก้ไขเปลย่ี นแปลงโดยบทบญั ญตั ิแหง่ หา้ งหนุ้ สว่ นจำกัด มาใชบ้ ังคับโดยอนโุ ลม โดยบทบญั ญัติวา่ ด้วยหา้ งหุ้นสว่ นสามญั มาตรา
1043 บญั ญตั วิ า่ “ ถา้ ผู้เปน็ หุ้นส่วนอนั มไิ ด้เป็นผูจ้ ดั การเอ้อื มเขา้ มาจัดการงานของห้างหุ้นส่วนกด็ ี........ทา่ นใหบ้ งั คับด้วยบทบญั ญตั แิ หง่
ประมวลกฎหมายน้วี ่าด้วยการจัดการงานนอกสง่ั " แสดงวา่ ผเู้ ปน็ ห้นุ ส่วนในหา้ งห้นุ สว่ นจำกดั แม้จะมไิ ดเ้ ปน็ หนุ้ สว่ นผูจ้ ดั การ ก็อาจ
เอือ้ มไปจัดการงานของหา้ งหรอื ผู้เป็นหุน้ สว่ นจำกดั ความรบั ผดิ กอ็ าจสอดเขา้ ไปจัดการงานของห้างอนั เป็นการดำเนินการแทน และ
ผกู พนั ห้างหุน้ ส่วนจำกดั ได้ เม่ือปรากฏว่าตามทางปฏบิ ัติระหว่างโจทก์จำเลยตา่ งทำธุรกรรมตอ่ กันมากอ่ นหลายครง้ั ดว้ ยการให้ ป. เอ้อื ม
เข้ามาจดั การตดิ ตอ่ ซือ้ รถสามล้อเครื่องแทนโจทก์ และจำเลยให้ ส.ตดิ ตอ่ ขายรถสามล้อเคร่ืองแทนจำเลยมาตลอด พฤตกิ ารณ์ทปี่ รากฏ
แสดงว่าโจทกแ์ ละจำเลยไดเ้ ชดิ และยอมให้ ป. กับ ส. เชดิ ตวั เขาเองออกแสดงเป็นตวั แทนของทง้ั โจทกแ์ ละจำเลยแล้ว การลงนามใน
สัญญาซ้อื ขายของ ป.แทนโจทก์ และ ส. แทนจำเลย จงึ มผี ลผูกพนั โจทก์และจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 821 โจทก์จงึ มอี ำนาจรบั เอาขอ้
สญั ญาดงั กลา่ วและฟ้องจำเลยให้รับผดิ ตามขอ้ สญั ญาดงั กลา่ วได้ เม่อื โจทก์ได้ใหท้ นายความมีหนงั สือบอกกล่าวทวงถามแล้ว โจทกจ์ งึ มี
อำนาจฟ้องจำเลยเปน็ คดีน้ีได้

ฎกี าที่ 7200/2555 จำเลยท่ี 2 ที่ 3 และบรษิ ัทซัมซุงคอร์ปอเรช่นั จำกัด ไดท้ ำการประกอบกจิ การค้ารว่ ม ในนาม
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิม่ ไวใ้ นนามจำเลยท่ี 1 ตามสำเนาคำขอจดทะเบยี นภาษมี ูลคา่ เพม่ิ ตามประมวลรษั ฎากร ภ.พ.01
และปรากฏตามสญั ญาจ้างระหวา่ งการไฟฟ้านครหลวงกบั จำเลยท่ี 1 ท่รี ะบจุ ำเลยท่ี 2 จำเลยที่ 3 และบริษัทซมั ซุงคอรป์ อเรช่นั จำกัด
ว่า ไดร้ ่วมกันเป็นกิจการร่วมคา้ จำเลยที่ 2 และท่ี 3 ไดล้ งนามโดยกรรมการและประทับตราของบรษิ ทั จำเลยท่ี 1 ไว้ ตามสญั ญาจา้ ง
และสำเนาคำพพิ ากษาของศาลแขวงตลงิ่ ชัน คดีหมายเลขแดงที่ 2037/2545 ตอ่ มาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยท่ี 2 ได้มอบหมายใหน้ าย
ฐิติวฒั น์ทำสญั ญาจา้ งโจทกต์ ามสัญญาจา้ งงานก่อสร้างรอ้ ยสายไฟฟ้าใตด้ นิ และงานรอ้ ยสายโทรศพั ท์โครงการตากสนิ -เพชรเกษม ตอน
2 ปญั หาตามฎกี าของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีวา่ จำเลยที่ 3 จะตอ้ งร่วมกบั จำเลยที่ 2 รบั ผดิ ตอ่ โจทกต์ ามคำพิพากษาศาลอุทธรณห์ รอื ไม่
โดยจำเลยท่ี 3 อา้ งวา่ ตามสญั ญจ้างและหนงั สอื มอบอำนาจไมป่ รากฏลายมือช่ือกรรมการ และตราประทับของจำเลยท่ี 3 นั้น เห็นวา่
ขอ้ เท็จจริงตามสำเนาคำขอจดทะเบียนภาษี มูลคา่ เพ่มิ ตามประมวลรัษฎากร ภ.พ.01 และขอ้ เทจ็ จรงิ ตามสำเนาคำพิพากษาของศาล
แขวงตลงิ่ ชันในคดีหมายเลขแดงที่ 2037/2545 ประกอบทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยท่ี 2 และท่ี 3 และบรษิ ัทซมั ซงุ คอร์
ปอเรชนั่ จำกดั รว่ มกันประกอบธรุ กจิ โดยประสงค์จะมภี าษีขายจงึ ไดจ้ ดทะเบยี นภาษีมลู คา่ เพมิ่ เรยี กการเข้าร่วมกันดงั กลา่ ววา่ กจิ การ
ร่วมคา้ จงึ มลี ักษณะเปน็ การเขา้ กนั ของจำเลยท้งั สองและบรษิ ทั ซมั ซุงคอร์ปอเรช่ัน จำกดั เพ่อื กระทำกิจการร่วมกัน การทำธรุ กจิ ของ

120

121

กิจการร่วมค้าตามท่ปี รากฏในสญั ญาจ้างระหวา่ งการไฟฟา้ นครหลวงกบั จำเลยท่ี 2 ท่ี 3 และบรษิ ัทซัมซงุ คอร์ปอเรชัน่ จำกดั ในนาม
กจิ การรว่ มคา้ ตามสญั ญาจ้างมีลกั ษณะเป็นการแสวงหากำไร

พฤติการณใ์ นการเขา้ รว่ มกันเป็นกจิ การรว่ มค้าดังกลา่ วเป็นการแสวงหากำไรเพือ่ แบง่ ปนั กนั กรณี
จึงเป็นการทำสัญญาจดั ตงั้ หา้ งหนุ้ สว่ นสามัญตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1012 เมอื่ ห้างหุ้นสว่ นท่จี ำเลยที่ 2 ที่ 3
และบริษทั ซัมซงุ คอร์ปอเรชน่ั จำกดั จดั ตง้ั ขึน้ เป็นกิจการร่วมคา้ แต่มไิ ด้จดทะเบียนหา้ งหุน้ สว่ น คงจดทะเบยี นภาษมี ูลคา่ เพม่ิ ไวเ้ ท่านั้น
กจิ การรว่ มค้าจงึ ไม่มฐี านะเปน็ นิตบิ คุ คล แต่มีสภาพและสถานะเปน็ หา้ งหุ้นสว่ นสามญั ไม่จดทะเบยี น ซงึ่ ผู้เป็นหุ้นส่วนจะตอ้ งรบั ผดิ
ร่วมกันเพ่อื หนี้ทั้งปวงของหนุ้ สว่ นโดยไมจ่ ำกดั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 1025 เม่อื ไดค้ วามวา่ จำเลยท่ี 2 ในฐานะ
หุ้นส่วนของห้างหนุ้ สว่ นกจิ การรว่ มค้าจำเลยท่ี 1 ไดท้ ำสัญญาจา้ งโจทก์ตามสัญญาจา้ ง อันเป็นการจา้ งงานก่อสร้างทอ่ ร้อยสายไฟฟ้าใต้
ดิน และงานทอ่ รอ้ ยสายโทรศัพทโ์ ครงการตากสิน - เพชรเกษมตอน 2 ซ่ึงเป็นงานที่จำเลยที่ 3 ร่วมกันจำเลยท่ี 2 รว่ มกบั บริษทั ซมั ซุง
คอรป์ อเรชน่ั จำกดั ในนามห้างห้นุ สว่ นกิจการรว่ มคา้ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาไวก้ บั การไฟฟ้านครหลวงดงั น้นั การท่ีจำเลยที่ 2 ในฐานะ
ห้นุ สว่ นของกจิ การร่วมคา้ จำเลยท่ี 1 ทำสญั ญาต่อโจทก์ จึงเปน็ การใดที่ผเู้ ป็นหนุ้ ส่วนได้จดั ทำไปในทางทเ่ี ป็นธรรมดาการค้าขายของ
หา้ งหนุ้ ส่วนน้ัน ผเู้ ปน็ หนุ้ สว่ นทุกคนย่อมมีความผูกพันในการน้ันด้วย และจะต้องรับผดิ รว่ มกันโดยไมจ่ ำกัดจำนวนในการชำระหน้อี นั ได้
ก่อใหเ้ กิดขึน้ เพราะจดั การไปเช่นน้ันตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1050 โจทก์จงึ ฟอ้ งจำเลยที่ 3 ใหร้ ่วมกบั จำเลยท่ี 2
รับผิดตอ่ โจทก์ได้ ทศ่ี าลลา่ งท้ังสองพพิ ากษาวา่ จำเลยที่ 3 ต้องรว่ มกบั จำเลยที่ 2 ในฐานะตวั แทนเชิดนนั้ ศาลฎีกาเหน็ พอ้ งดว้ ยในผล
ฎีกาของจำเลยทง้ั สองฟงั ไม่ขึ้นทกุ ข้อ

ฎกี าที่ 14488/2555 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1055(5) ประกอบมาตรา 1080 ห้างห้นุ ส่วนจำกดั ย่อมเลกิ กนั เมื่อหา้ ง
หุน้ ส่วนผจู้ ดั การตาย หรือลม้ ละลาย หรอื ตกเป็นผ้ไู ร้ความสามารถ แต่กรณีของจำเลยเพยี งแตถ่ ูกศาลสง่ั พทิ กั ษ์ทรัพยเ์ ด็ดขาดศาลยงั ไม่
มคี ำสง่ั ใหเ้ ป็นบคุ คลล้มละลาย ซงึ่ ข้นั ตอนในการท่ศี าลจะมคี ำสงั่ ให้ลม้ ละลายนนั้ เปน็ ขนั้ ตอนคนละสว่ นกบั การสั่งพิทกั ษท์ รัพยเ์ ดด็ ขาด
ดังทบ่ี ญั ญัติไว้ใน พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 61 สว่ นการที่ พ.ร.บ. ลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 62 บญั ญตั ิวา่ การ
ลม้ ละลายของลกู หน้ีเรมิ่ ต้นมีผลต้งั แตว่ นั ทศี่ าลมีคำสงั่ พทิ กั ษ์ทรพั ย์น้ัน หมายความเพยี งเฉพาะในเรอ่ื งการจดั การทรัพยส์ นิ ตามกฎหมาย
ล้มละลาย แต่ในสว่ นที่เกย่ี วกบั ฐานะบุคคล ดงั ทบี่ ญั ญตั ใิ นเรือ่ งการเลิกหา้ งหุ้นสว่ นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1055 (5) ต้องเปน็ กรณีทศี่ าลมี
คำพพิ ากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายไมใ่ ช่เพยี งถูกพทิ กั ษท์ รัพยเ์ ดด็ ขาด ดังนั้น เพยี งแตจ่ ำเลยซงึ่ เป็นหุ้นส่วนผูจ้ ดั การถูกพิทกั ษท์ รพั ยเ์ ด็ดขาด
ไม่ทำใหห้ า้ งห้นุ ส่วนจำกดั ต้องเลกิ ตามกฎหมาย หา้ งหุ้นส่วนจำกัดจงึ ยังไมเ่ ลิกกัน

ฎกี าที่ 1676/2556 ขณะโจทกย์ นื่ ฟอ้ งคดนี ้ี บ.และ ร.ซงึ่ เปน็ หนุ้ สว่ นผจู้ ัดการของจำเลย ถกู ศาลพพิ ากษาใหเ้ ปน็ บคุ คล
ล้มละลายไปก่อนแล้ว ทำใหห้ า้ งหุ้นส่วนจำเลยเลกิ กันตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 1055 (5) แตก่ ารเลกิ ห้างหนุ้ สว่ น
ในกรณนี ้ี มไิ ดม้ ผี ลใหห้ ้างหุน้ สว่ นจำเลยสิ้นสภาพนติ ิบคุ คลในทันที ทงั้ นต้ี ามมาตรา 1251 นอกจากนมี้ ไิ ด้มีบทบญั ญตั ิว่าการชำระบญั ชี
ของหา้ งห้นุ สว่ นจะตอ้ งชำระบญั ชีใหเ้ สร็จภายในกำหนดเวลาใด ดังน้นั ตราบใดทก่ี ารชำระบญั ชยี งั ไมเ่ สรจ็ สภาพนติ บิ คุ คลของหา้ ง

121

122

หนุ้ สว่ นจำเลยจึงยังคงอยู่ต่อไป เม่อื ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ในขณะโจทกย์ ่ืนฟอ้ งคดนี ้ีได้มกี ารชำระบญั ชีหา้ งหุ้นส่วนจำเลยเสรจ็ สนิ้ แล้ว
โจทกจ์ ึงมีอำนาจฟอ้ งจำเลยใหล้ ้มละลายเป็นคดีนี้ได้

ฎีกาที่ 1532/2557 เม่ือตำแหนง่ ประธานกรรมการของจำเลยที่ 1 วา่ งลง กรณจี งึ ไมม่ ปี ระธานกรรมการของจำเลยท่ี
1 ท่ีจะทำหน้าที่นดั เรยี กประชุมกรรมการ จงึ มเี หตุขดั ขอ้ งท่ไี มอ่ าจดำเนนิ การตามข้อบงั คบั ที่ระบวุ ่าใหป้ ระธานกรรมการเปน็ ผู้นดั เรียก
ประชุมกรรมการ เม่ือเกดิ กรณีเช่นนตี้ ามข้อบงั คบั ของจำเลยท่ี 1 ข้อ 2 ระบุให้รบั เอาบทบญั ญตั ใิ น ป.พ.พ. ว่าดว้ ยบรษิ ทั จำกดั เปน็
ข้อบงั คับของบรษิ ัท ซงึ่ ป.พ.พ. มาตรา 1162 บญั ญตั วิ ่า กรรมการคนหนึ่งคนใดจะนดั เรยี กให้ประชุมกรรมการเม่อื ใดกไ็ ด้ การทจ่ี ำเลย
ท่ี 1 โดยจำเลยท่ี 2 และท่ี 3 ในฐานะกรรมการผ้มู ีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้นดั เรยี กประชุมกรรมการจึงเปน็ ไปตามขอ้ บงั คบั ของ
จำเลยที่ 1 ข้อ 2 แล้ว ส่วนการที่มกี ารเรยี กประชมุ กรรมการโดยวิธีประกาศโฆษณาทางหนงั สือพิมพ์นัน้ ตามข้อบงั คบั ของจำเลยท่ี 1
ไมไ่ ดก้ ำหนดวธิ ีการนดั เรยี กประชุมไว้ ส่วน ป.พ.พ. มาตรา 1144 ประกอบมาตรา 1158 ก็มิใช่บทบัญญตั ทิ ี่เก่ียวกบั วิธีการนดั เรยี ก
ประชมุ กรรมการ เมื่อจำเลยที่ 1 ไมส่ ามารถติดตอ่ โจทกโ์ ดยวิธีอนื่ ใดได้ จงึ ต้องนดั เรยี กประชมุ กรรมการโดยวิธีประกาศโฆษณาทาง
หนงั สือพมิ พ์ การเรียกประชมุ กรรมการโดยวิธดี งั กลา่ วจงึ ไมข่ ัดตอ่ ขอ้ บงั คบั ของจำเลยที่ 1 และไมฝ่ า่ ฝืนต่อกฎหมาย

ฎกี าที่ 10525/2558 นาย ภ.หุ้นส่วนผู้จัดการของหา้ งหุ้นสว่ นจำกัด ส.ถงึ แกค่ วามตาย ย่อมเป็นเหตใุ ห้หา้ งเลกิ กนั อัน
เปน็ ไปตามผลของกฎหมาย โดยไมจ่ ำตอ้ งพจิ ารณาวา่ มีข้อขดั แย้งกนั ระหว่างทายาทกบั หนุ้ สว่ นทเ่ี หลือหรือไม่ นาย ป.ฎีกาว่า นาย ด.
ไม่ได้เปน็ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ท่ีจะรอ้ งขอตง้ั ผ้ชู ำระบญั ชหี า้ งหุน้ ส่วนจำกัด ส. ศาลฎกี าวินิจฉัยวา่ ผมู้ สี ว่ นได้เสยี ตามมาตรา 1251
นอกจากจะเป็นผู้เป็นหุน้ สว่ นทีเ่ หลือ ทายาทหรอื ผจุ้ ดั การมรดกของผเู้ ปน็ หนุ้ ส่วนทถ่ี งึ แกค่ วามตายแล้ว ย่อมหมายรวมถงึ บรรดาเจ้าหน้ี
ของห้างดว้ ย เพราะการชำระบญั ชยี อ่ มเป็นไปเพือ่ ประโยชนข์ องเจา้ หนี้ ก่อนนาย ภ.ถงึ แกค่ วามตาย นาย ด.ไดฟ้ ้องใหห้ า้ งหนุ้ ส่วน
จำกดั ส.ชำระหนีต้ ามสญั ญาจ้างทำของ อนั เป็นการตงั้ สทิ ธเิ รยี กร้องเพื่อบงั คับชำระหนี้จากทรพั ย์สนิ ของหา้ ง นาย ด.จงึ มอี ำนาจยน่ื คำ
ร้องขอใหศ้ าลตง้ั ผูช้ ำระบญั ชไี ด้

ฎีกาที่ 3595/2558 การโอนหุ้นระหวา่ งโจทกก์ ับ ภ. ไดม้ ีการทำหนงั สอื และลงลายมอื ช่ือของผู้โอนกับผ้รู บั โอน โดยมี
พยานสองคนรบั รองการลงลายมอื ชอ่ื นัน้ ๆดว้ ย จงึ ถอื วา่ การโอนหุน้ ดังกลา่ วไดก้ ระทำตามแบบที่กำหนดไวใ้ นประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ยม์ าตรา 1129 วรรคสอง และตามขอ้ บงั คับของบรษิ ัทจำเลยก็มิได้กำหนดไว้วา่ การโอนหนุ้ ต้องไดร้ บั ความยินยอมของบรษิ ทั
ดังนนั้ การโอนหุ้นระหว่างโจทก์กบั ภ. จงึ ไมต่ อ้ งได้รบั ความยินยอมจากบรษิ ทั จำเลย ตามท่ีได้บญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 1129 วรรคหน่งึ

หนงั สอื ทีท่ นายโจทก์แจง้ ไปยังกรรมการของบริษทั จำเลย มขี อ้ ความสรปุ ไดว้ า่ โจทก์ ในฐานะผูร้ ับ
โอนขอบอกกล่าวใหบ้ รษิ ัทจำเลยดำเนนิ การใส่ชือ่ โจทก์ลงในสมุดทะเบยี นผู้ถือหุน้ บรษิ ัทจำเลย หรอื หากไม่ดำเนนิ การโจทกก์ ็มีความ
ประสงค์ท่จี ะขายหนุ้ ใหแ้ กผ่ ้ถู ือห้นุ คนใดคนหนงึ่ ทมี่ ีความประสงค์จะซอื้ ดงั น้ี ตามหนังสอื ดงั กล่าวเห็นไดว้ า่ ความประสงค์ของโจทกก์ ค็ ือ
จะไดห้ ุ้นท่ี ภ. โอนให้ โดยหจ้ ำเลยใส่ช่อื โจทก์ในสมุดทะเบยี นผู้ถอื ห้นุ เป็นลำดบั แรกถือวา่ เปน็ โจทก์ไดแ้ จง้ ใหบ้ รษิ ทั จำเลยจดทะเบยี น
แกไ้ ขการโอนห้นุ นั้นลงในสมุดทะเบยี นผูถ้ ือหุน้ แล้ว

122

123

การโอนหุน้ โจทก์จะต้องมเี อกสารหลายอย่างมามอบใหจ้ ำเลย ตอ้ งมีคณะกรรมการของจำเลยเข้า
ประชุมไม่น้อยกว่ากึง่ หนึง่ จงึ จะเป็นองคป์ ระชมุ ดำเนนิ การได้ จำเลยจะตอ้ งตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบรู ณข์ องเอกสารน้นั กเ็ ปน็ เรอื่ ง
ของข้นั ตอนการดำเนนิ การของจำเลยเทา่ นั้น รวมท้ังหนุ้ ดงั กลา่ วไมว่ า่ จะเป็นสนิ สมรสของ ภ. หรอื ไม่ ก็ไม่ได้ทำให้การโอนห้นุ ระหวา่ ง
โจทกก์ ับ ภ. เป็นการโอนท่ีไม่ชอบ และจำเลยไมย่ อมแกไ้ ขการจดทะเบยี นการโอนหุ้นนน้ั ลงในสมุดทะเบยี นผ้ถู อื หนุ้ ตามท่ีทนายโจทก์มี
หนงั สือแจง้ การกระทำของจำเลยจงึ ถอื วา่ เปน็ การโตแ้ ย้งสิทธิของโจทกแ์ ลว้

ฎีกาท่ี 8669/2559 หุ้นทจี่ ำเลยที่ 1 โอนให้โจทกเ์ ป็นหนุ้ ชนิดระบชุ ่ือลงในใบหุน้ โดยมีขอ้ บังคบั ของบรษิ ทั จำเลยท่ี 10
กำหนดไว้ว่า ผูท้ หี่ ุ้นคนใดประสงค์จะโอนห้นุ จะตอ้ งเสนอโอนหนุ้ ของตนใหแ้ ก่ผู้ถือหนุ้ ในบรษิ ัททุกๆ คนก่อน เวน้ แต่เป็นการโอนห้นุ
ให้แก่สามี ภรรยา หรือผู้สบื สันดานของตนเอง เมื่อไมม่ ผี ถู้ อื หุน้ เดิมคนใดตกลงรบั โอนภายในเวลาซงึ่ กำหนดให้ไมน่ อ้ ยกวา่ 30 วนั แลว้ ผู้
ถือหนุ้ คนน้ันจงึ จะมสี ทิ ธโิ อนแกบ่ คุ คลภายนอกได้ เม่อื การโอนหนุ้ ระหวา่ งจำเลยท่ี 1 กบั โจทกฝ์ ่าฝืนตอ่ ขอ้ บงั คบั ของจำเลยที่ 10 ไม่
ชอบดว้ ย ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคหน่ึง โจทก์ไมไ่ ดก้ รรมสทิ ธใิ์ นหุ้นของจำเลยที่ 1 และไม่อาจใชส้ ิทธิใดๆ ในฐานะผู้ถือหนุ้ ของจำเลย
ที่ 10 ทจี่ ะขอบงั คบั ใหเ้ พิกถอนการโอนหุ้นระหวา่ งจำเลยทง้ั สบิ ตามคำขอทา้ ยฟ้องได้

ฎีกาที่ 1964/2560 คดีมีปญั หาต้องวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของโจทกท์ งั้ สองในปญั หาขอ้ กฎหมายว่า การทโ่ี จทก์ทง้ั สองใช้
สทิ ธฟิ ้องเพกิ ถอนมติท่ปี ระชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื ห้นุ ครัง้ ที่ 1/2556 ซ่ึงประชมุ ในวนั ที่ 7 กุมภาพนั ธ์ 2556 นั้นเป็นการฟ้องเมอ่ื พน้ กำหนด
ระยะเวลา 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1195 หรือไม่ โดยโจทก์ท้ังสองฎีกาวา่ เมื่อการประชมุ วสิ ามญั ผู้ถือ
ห้นุ คร้ังที่ 1/2556 ของจำเลยที่ 4 กระทำลงในวันที่ 7 กมุ ภาพนั ธ์ 2556 การนับระยะเวลา 1 เดอื น ในการทโ่ี จทก์ทงั้ สองฟอ้ งขอให้
เพกิ ถอนการประชุมและการลงมตดิ งั กลา่ วจะต้องนับระยะเวลา 30 วนั เม่อื โจทกท์ งั้ สองฟ้องขอใหเ้ พิกถอนการประชุมและมติการ
ประชุมในวันที่ 8 มีนาคม 2556 ยังอย่ใู นกำหนด 30 วันนน้ั เหน็ วา่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1195 ไดบ้ ญั ญตั ไิ ว้
โดยชดั เจนวา่ การร้องขอให้เพิกถอนมตทิ ่ีประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายใหร้ อ้ งต่อศาลภายใน 1 เดอื นนบั แตว่ นั ลงมตินั้น การนบั
ระยะเวลา 1 เดอื นดงั กลา่ วตามมาตรา 193/3 วรรคสอง ตอ้ งเรมิ่ นบั วนั รงุ่ ข้นึ เป็นวันแรกโดยเรมิ่ นับวันที่ 8 กมุ ภาพนั ธ์ 2556 สว่ น
ระยะเวลาสนิ้ สดุ ตามมาตรา 193/5 วรรคสอง บญั ญตั ิวา่ ถา้ ระยะเวลามไิ ด้กำหนดนบั แตว่ นั ต้นแห่งสปั ดาห์ วนั ตน้ แหง่ เดือนหรอื ปี
ระยะเวลาย่อมส้ินสดุ ลงในวนั ก่อนหน้าจะถึงวันแหง่ สัปดาห์ เดอื นหรือปีสดุ ทา้ ยอันเป็นวนั ตรงกับวันเริม่ ระยะเวลาน้นั ซง่ึ หมายความว่า
การนับระยะเวลาทโ่ี จทกท์ ง้ั สองจะมสี ทิ ธฟิ อ้ งขอเพกิ ถอนมติท่ีประชมุ วสิ ามัญผู้ถอื หุน้ คร้งั ที่ 1/2556 ของจำเลยที่ 4 ในคดีนี้ โจทกท์ ้ัง
สองต้องฟอ้ งขอเพิกถอนมตทิ ป่ี ระชมุ ดงั กล่าวภายในวนั ท่ี 7 มีนาคม 2556 การท๋โี ทก์ทง้ั สองฟ้องเพกิ ถอนมติที่ประชุมวิสามัญผถู้ อื หนุ้
คร้งั ท่ี 1/2556 ในวันท่ี 8 มนี าคม 2556 จงึ เปน็ การฟ้องเมื่อพน้ กำหนดระยะเวลา 1 เดอื น ตามมาตรา 1195 เชน่ นี้โจทก์ท้ังสองจงึ ไม่มี
อำนาจฟ้อง...ส่วนทโี่ ทก์ทงั้ สองฎกี าต่อไปว่า เมื่อวนั ที่ 6 มนี าคม 2556 โจทก์ทง้ั สองและจำเลยท่ี 4 เคยยนื่ ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็น
คดีขอเพิกถอนมติทป่ี ระชมุ และศาลชน้ั ตน้ มคี ำพิพากษายกฟอ้ ง ยอ่ มทำใหอ้ ายคุ วามสะดุดหยดุ ลงตามมาตรา 193/14 การฟอ้ งคดีของ
โทกท์ ้งั สองไม่ขาดอายคุ วามนัน้ เห็นวา่ กำหนดเวลาฟอ้ งหรอื รอ้ งขอเพิกถอนมติทีป่ ระชุมตามมาตรา 1195 เป็นบทบญั ญตั ิพเิ ศษตาม
กฎหมายเฉพาะมิใช่อายุความ จงึ ไมอ่ าจนำบทบญั ญตั ิในเรื่องอายุความรวมถึงอายุความสะดดุ หยุดลงมาใชบ้ งั คับได้

123

124

ฎีกาท่ี 4362/2560 บริษัท บ. เปน็ หนก้ี ูย้ มื เพอ่ื ชว่ ยเหลือให้มเี งนิ ทนุ เปน็ ค่าใช้จ่ายในการดำเนนิ กจิ การแกจ่ ำเลยท่ี 1
จรงิ จำเลยท่ี 1 ซง่ึ เป็นเจา้ หนีช้ อบทีจ่ ะได้รบั ชำระหนีห้ รือเรียกรอ้ งใหบ้ ริษทั บ. ชำระหนีไ้ ด้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยที่ 1 ซง่ึ
เป็นผถู้ ือหุ้นของบรษิ ทั บ. ลงมติให้สตั ยาบันสญั ญาประนปี ระนอมยอมความในหนที้ ่จี ำเลยที่ 1 นำมาฟอ้ งใหบ้ รษิ ทั บ. ใช้หนแ้ี กต่ น
จำเลยที่ 1 ไม่ใชผ่ มู้ สี ว่ นไดเ้ สียเปน็ พเิ ศษในมตขิ อ้ ดงั กลา่ ว เพราะแมไ้ มม่ ีมติจำเลยท่ี 1 ซึง่ เปน็ เจ้าหน้กี ็ชอบที่จะไดร้ ับชำระหนีห้ รอื
เรียกรอ้ งใหช้ ำระหน้ีได้ การออกเสยี งลงมติของจำเลยที่ 1 ซงึ่ เปน็ ผู้ถอื ห้นุ ของบรษิ ทั บ. ถอื วา่ กระทำไดโ้ ดยชอบ ไมข่ ดั ต่อบทบญั ญตั ิ
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1185

ฎีกาที่ 3074/2560 ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 1171, 1178, 1180 และ 1190 การประชุมใหญผ่ ู้
ถอื หุ้น กฎหมายมงุ่ ประสงคใ์ หบ้ รรดาผถู้ ือหนุ้ เข้าร่วมประชุมเพ่ือปรึกษาหารอื เกย่ี วกับกจิ การของบรษิ ัทโดยมปี ระธานดำเนินการ
ประชุมและมกี ารเสนอข้อมติใหท้ ปี่ ระชุมออกเสยี งลงคะแนน การประชุมจึงเปน็ การร่วมกนั ปรกึ ษาหารือซ่ึงทป่ี ระชุมจะตอ้ งมบี ุคคล
อยา่ งน้อยสองคนเปน็ ผู้เขา้ ประชุมเพื่อร่วมกันพิจารณาตัดสินขอ้ มตติ ่างๆ ทเ่ี สนอต่อทปี่ ระชุม หาใช่บุคคลเพยี งคนเดียวจะทำการ
ประชุมได้โดยลำพงั ไม่

การประชมุ วสิ ามัญผถู้ อื หนุ้ ของบรษิ ัทผคู้ ดั ค้านมี ว. ผู้รบั มอบฉันทะของ ง. ซง่ึ เป็นผถู้ อื ห้นุ ที่มา
ประชมุ เพยี งคนเดียว แม้ ง. ถือหนุ้ คิดเป็นรอ้ ยละ 40 ของจำนวนหุ้นทง้ั หมด แตผ่ ถู้ ือหนุ้ เพยี งคนเดยี วย่อมไมอ่ าจดำเนนิ การประชุมและ
มีมตใิ ดๆ ตามกฎหมายได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 1171, 1178, 1180 และ 1190 การประชมุ วสิ ามญั ผู้ถอื หุ้น
และการลงมติจึงเปน็ ไปโดยฝา่ ฝนื ต่อบทบญั ญัตอิ นั เปน็ ขอ้ ปฏิบตั ขิ องการประชุมใหญแ่ ละไมช่ อบด้วยกฎหมาย ผูร้ อ้ งในฐานะผถู้ อื หุน้ มี
สิทธทิ ่จี ะร้องขอใหศ้ าลเพิกถอนมตทิ ีป่ ระชมุ อนั ผดิ ระเบยี บนน้ั เสยี ได้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1195

ฎีกาท่ี 14410/2558 โจทก์ประกอบธุรกจิ จำหน่ายอาหารแชแ่ ขง็ โดยนำเข้าจากต่างประเทศ มจี ำเลยรว่ มเปน็ ผู้จดั การ
ฝ่ายขาย สว่ นจำเลยทงั้ สองร่วมกันประกอบธุรกิจส่งั ซื้อสินคา้ จากโจทก์และเป็นหน้คี า่ สนิ คา้ โจทก์ 1,551,995.58 บาท คดีมปี ญั หาตอ้ ง
วนิ จิ ฉัยตามฎีกาของจำเลยรว่ มว่า จำเลยร่วมตอ้ งร่วมรบั ผิดชำระหนีค้ า่ สินค้าดังกลา่ วให้แก่โจทกห์ รอื ไม่ เม่ือพจิ ารณาจากพฤติการณ์
ของจำเลยร่วมท่ีให้ใช้บา้ นเชา่ เปน็ สถานประกอบธรุ กจิ ทงั้ เปน็ ผวู้ ่าจ้างนายบที ำหนา้ ที่สง่ มันฝร่ังอนั เปน็ การจดั การหา้ งห้นุ ส่วน ประกอบ
กบั ตารางแสดงผลกำไรขาดทนุ ประจำเดอื นเอกสารท่จี ำเลยรว่ มเปน็ ผู้จัดทำปรากฏวา่ มยี อดคา่ ใช้จา่ ยสำนกั งาน เช่นค่าน้ำมันรถ 8,000
บาท คา่ เชา่ บ้านท่ีใกล้สแี่ ยกเทพารกั ษ์ 6,800 บาท ทำให้นา่ เช่ือวา่ จำเลยร่วมและจำเลยทง้ั สองตกลงเขา้ กนั เพอื่ ทำกิจการจำหนา่ ย
สนิ ค้าทซี่ ้อื จากโจทกร์ ว่ มกนั โดยมวี ัตถปุ ระสงคแ์ บง่ ปันผลกำไรระหวา่ งกัน จงึ เขา้ ลักษณะสัญญาจัดตง้ั หา้ งหุ้นส่วนสามญั ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1012 แล้ว หาจำต้องทำสญั ญาจัดตงั้ หา้ งหุน้ ส่วนสามญั ระหว่างจำเลยร่วมกบั โจทก์ทั้งสองไม่ การท่ี
จำเลยทงั้ สองรว่ มกันส่ังซอื้ สนิ คา้ จากโจทกแ์ ละเปน็ หนค้ี า่ สินค้าโจทก์ 1,551,995.58 บาท เปน็ การดำเนินการในฐานะหุ้นสว่ นอนั เป็นไป
ในทางท่ีเป็นธรรมดาการคา้ ขายของห้างหุน้ สว่ นนน้ั ดงั นัน้ จำเลยรว่ มซ่งึ เป็นหนุ้ สว่ นจงึ ตอ้ งรับผดิ ร่วมกบั จำเลยทัง้ สองชำระหนคี้ า่ สินค้า
ดงั กลา่ วให้แก่โจทกด์ ้วย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1050

124

125

ฎีกาที่ 3075/2560 จำเลยท่ี 1 มีหนงั สือเชญิ ประชุมใหญว่ สิ ามญั ผู้ถือหนุ้ ระบกุ ารพจิ ารณาแก้ไขข้อบงั คบั เปน็ ระเบยี บ
วาระการประชุมท่ี 2 ซง่ึ ตามหนงั สอื เชญิ ประชมุ มีข้อบงั คบั ของจำเลยที่ 1 ท่ใี ช้อยูใ่ นขณะน้ันหรือเรยี กวา่ ขอ้ บงั คบั ฉบบั ปจั จุบันและร่าง
ขอ้ บังคับฉบบั แก้ไขสง่ ไปพร้อมดว้ ย เมือ่ มเี อกสารแนบทา้ ยดงั กลา่ วย่อมเปน็ การแสดงเน้อื ความของข้อบังคบั ที่จะมีการแก้ไข อันอยู่ใน
ระเบียบวาระการพจิ ารณาของทป่ี ระชมุ ซึ่งจะต้องทำเป็นมติพเิ ศษ ถือได้วา่ มกี ารแจง้ ขอ้ ความทจ่ี ะนำเสนอใหล้ งมติพิเศษในเรอื่ งการ
แกไ้ ขข้อบงั คับไปยังผู้ถอื หุน้ แล้ว โจทกไ์ ด้รบั หนงั สือเชญิ ประชุมซึ่งมีกำหนดเวลาไมน่ ้อยกวา่ สบิ สีว่ นั ก่อนถึงวนั นดั ประชมุ ใหญ่ โจทกย์ ่อม
ทราบวนั นัดประชมุ ใหญ่โดยมีเวลาเตรียมการในวาระทจ่ี ะตอ้ งพจิ ารณาและนำเสนอความคดิ เหน็ ต่อที่ประชมุ ใหญ่ และในส่วนของผ้ถู ือ
หุ้นรายอน่ื ๆก็หาได้มีการโตแ้ ยง้ ในเรอ่ื งการบอกกลา่ วเรยี กประชมุ ไม่ แมก้ ารลงพมิ พโ์ ฆษณาคำบอกกลา่ วเรียกประชมุ ใหญ่ใน
หนังสือพมิ พ์ท้องท่ไี มค่ รบกำหนดเวลาสบิ สว่ี ันหรอื ไมไ่ ดม้ กี ารระบุขอ้ ความทนี่ ำเสนอให้ลงมติพิเศษในคำบอกกล่าวท่ลี งโฆษณา อันเปน็
การไมค่ รบถ้วนตามบทบญั ญตั ิแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 1175 กต็ าม แต่เมือ่ มกี ารสง่ คำบอกกล่าวนัดเรยี กประชมุ ใหญใ่ ห้แกโ่ จทกแ์ ละ
บรรดาผูถ้ อื หุ้นตามหนงั สอื เชญิ ประชุมซง่ึ มีเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งแนบประกอบและมกี ารส่งหนงั สอื เชญิ ประชมุ มอบใหถ้ ึงตวั โจทก์ อันถอื ว่า
เป็นการสง่ ใหแ้ กผ่ ูถ้ ือหุ้นโดยชอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1244 ทัง้ ไดก้ ระทำกอ่ นวนั นัดประชมุ ไม่นอ้ ยกวา่ สบิ ส่ีวันตามที่มาตรา 1175 มงุ่
ประสงค์ใหค้ วามคุ้มครองแกผ่ ู้ถอื หนุ้ กรณีมีวาระซ่ึงจะขอใหล้ งมติพเิ ศษ และในวันประชุมใหญ่ก็มีผถู้ ือหุ้นมาเขา้ ร่วมประชมุ ครบจำนวน
หุ้นทั้งหมด ซงึ่ ทป่ี ระชุมมีมติเป็นเอกฉันทใ์ นการพิจารณาแกไ้ ขขอ้ บังคบั บางขอ้ จงึ เห็นได้อย่างชดั แจง้ วา่ ผถู้ อื หุ้นทกุ คนทราบกำหนดวัน
นดั ประชุมใหญ่ อนั ต้องตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่กี ฎหมายบญั ญตั ใิ นเรอ่ื งการแจง้ นดั ประชมุ ใหญ่แล้ว

ฎีกาท่ี 9127/2559 วาระการประชุมใหญ่สามัญทเี่ พ่ิมเติมเร่ืองการแตง่ ตง้ั กรรมการเพิม่ เติม เปน็ วาระการประชุมท่ี
กำหนดเรง่ ด่วนกะทันหัน มิไดเ้ ป็นวาระท่ีกำหนดไวใ้ นสำเนาหนงั สือเชญิ ประชุมสามัญผถู้ อื หนุ้ ถือวา่ เปน็ วาระการประชุมที่ฝา่ ฝืน
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1175 วรรคสองทว่ี ่า คำบอกกลา่ วเรยี กประชุมใหญ่น้นั ใหร้ ะบสุ ถานท่ี วัน เวลา และสภาพ
แหง่ กิจการทจ่ี ะได้ประชุมปรกึ ษากัน เม่อื มกี ารประชมุ ตามวาระนน้ั และมมี ติแตง่ ตง้ั จำเลยที่ 3 และท่ี 4 เปน็ กรรมการใหมข่ องบรษิ ทั
จำเลยท่ี 1 จงึ เป็นมตขิ องทป่ี ระชมุ ใหญ่ทเ่ี กดิ จากการประชุมใหญ่ที่ไดม้ ีการนดั เรียกประชุมฝา่ ฝืนบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว แมใ้ นสำเนา
หนังสอื เชญิ ประชุมสามญั ผถู้ อื หุ้นกำหนดวาระการประชุมวาระท่ี 6 วา่ พจิ ารณาเรื่องอ่นื อน่ื (ถ้ามี) ไวด้ ้วยก็ตาม ท่ีประชุมใหญก่ ็ไมอ่ าจ
อ้างวาระดงั กล่าวเพ่อื ใหท้ ่ปี ระชุมใหญ่พิจารณาเร่ืองแต่งตง้ั กรรมการเพมิ่ เติมได้ เนอ่ื งจากวาระการประชุมทว่ี า่ พจิ ารณาเรื่องอน่ื ๆ(ถา้ ม)ี
ต้องเปน็ เรอื่ งที่ไมใ่ ช่สาระสำคญั ของการบริหารกิจการบรษิ ทั แตต่ ้องเป็นเร่อื งเล็กๆน้อยๆท่ีสามารถหยิบยกขึ้นพจิ ารณาได้ทนั ทโี ดยไม่
ตอ้ งอาศยั การพจิ ารณาไตร่ตรองอย่างละเอยี ดล่วงหนา้ เรือ่ งการแตง่ ตง้ั กรรมการเพม่ิ เติม ถอื เป็นเรอื่ งสำคญั ของบริษทั ทผ่ี ถู้ ือหนุ้ ของ
บรษิ ทั ควรจะไดใ้ ชเ้ วลาคิดพจิ ารณาไตรต่ รองอยา่ งละเอยี ดรอบคอบก่อนวันประชมุ มติของท่ปี ระชุมใหญ่สามญั ผู้ถือหุ้นเฉพาะในสว่ นที่
แตง่ ตง้ั กรรมการเพม่ิ เติมจงึ เป็นมตขิ องทปี่ ระชมุ ใหญ่อันผิดระเบยี บตามมาตรา 1195 ชอบทีศ่ าลจะเพิกถอนเสยี ได้

ฎีกาที่ 3413/2560 ขอ้ ความในหนงั สือบอกกล่าวเรยี กประชมุ ผถู้ ือหุ้นของบรษิ ทั จำกดั ให้เปน็ ไปตาม ป.พ.พ.

มาตรา 1175 วรรคสอง ซงึ่ บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วกฎหมายมงุ่ ประสงคใ์ หค้ ำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เปน็ การแจง้ ใหผ้ ู้ถอื ห้นุ ของบริษัท

ทราบล่วงหนา้ นอกจากจะแจง้ ว่าบรษิ ทั จะจัดให้มกี ารประชุมใหญ่ในวนั เวลา และสถานท่ใี ดแล้ว ยงั กำหนดให้แจง้ ถงึ สภาพกิจการท่จี ะ

125

126

ไดป้ ระชุมกัน และหากเปน็ การเรียกประชุมใหญ่เพ่ือลงมตพิ ิเศษก็ต้องระบขุ ้อความทีจ่ ะใหล้ งมติอีกดว้ ย เพือ่ ผู้ถอื หนุ้ จะไดม้ ีโอกาส
เตรยี มตัวเพ่ือสอบถามหรือแสดงความคดิ เห็นในเรื่องทจ่ี ะประชุมกันได้อยา่ งเต็มที่ สำหรบั สภาพแหง่ กิจการทีจ่ ะได้ประชมุ ปรึกษากนั ซึ่ง
จะต้องระบไุ ว้ในคำบอกกล่าวนั้น คอื เรื่องหรือกิจการท่ีจะนำเสนอใหท้ ปี่ ระชมุ พิจารณาและลงมติ ซง่ึ เปน็ เร่ืองสำคญั หรือกระทบตอ่ สว่ น
ได้เสยี ของผถู้ ือหนุ้ และไม่จำต้องเปน็ เรอ่ื งเฉพาะสภาพการดำเนนิ ธรุ กจิ ทเ่ี กดิ ขึน้ ในขณะนั้น หรือตอ้ งเป็นเรอื่ งทต่ี อ้ งลงมตพิ ิเศษเทา่ นั้น
เมอ่ื พจิ ารณาสำเนาหนงั สอื ขอเชญิ ประชุมใหญส่ ามญั ผูถ้ อื หนุ้ ครง้ั ที่ 1/2556 แลว้ เหน็ ไดว้ ่า ไดร้ ะบถุ งึ สภาพแหง่ กจิ การหรือเร่อื งสำคัญ
ที่จะใหท้ ป่ี ระชุมพจิ ารณาและลงมตเิ พยี ง 3 เรอ่ื ง โดยระบุไว้เปน็ วาระที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่มวี าระเรื่องการพิจารณาถอดถอนกรรมการของ
จำเลยที่ 1 ส่วนวาระที่ 4 ระบวุ ่าพิจารณาเร่อื งอนื่ (ถา้ ม)ี นน้ั ไมเ่ ปน็ การระบถุ งึ สภาพกิจการหรือเรื่องสำคัญท่ีจะใหท้ ป่ี ระชุมพิจารณา
ลงมติ ทงั้ ผถู้ ือหนุ้ ไมม่ โี อกาสเตรยี มตวั ทจี่ ะมาสอบถามหรือแสดงความคดิ เห็นไดเ้ นื่องจากไม่ทราบวา่ จะมกี ารพิจารณาเพ่อื ลงมติในเรื่อง
ใดบา้ ง หรือกล่าวไดว้ ่าวาระการประชมุ เร่ืองอนื่ ๆ นัน้ เป็นเรื่องทไ่ี มส่ ำคัญ ซึ่งในเรื่องการถอดถอนกรรมการบริษัทนนั้ ป.พ.พ. มาตรา
1151 ได้กำหนดใหท้ ปี่ ระชุมใหญเ่ ท่าน้นั ที่จะถอดถอนได้ แสดงวา่ เร่อื งการถอดถอนกรรมการบริษทั เป็นเร่ืองสำคญั และเห็นไดว้ า่ เปน็
การกระทบต่อส่วนไดเ้ สยี ของผูถ้ ือหนุ้ เนื่องจากเกีย่ วขอ้ งกับบุคคลท่ีมอี ำนาจบริหารกจิ การและดูแลผลประโยชนแ์ ทนตน ผูถ้ อื หนุ้ จงึ
ชอบทีจ่ ะไดร้ ับทราบโดยการแจง้ ถงึ เร่ืองดงั กล่าวล่วงหนา้ เพอ่ื ได้เตรยี มตัวกอ่ นเขา้ รว่ มพจิ ารณาในทปี่ ระชมุ การท่ที ่ีประชุมใหญ่สามญั ผู้
ถอื หุ้นไดพ้ จิ ารณาและลงมติใหถ้ อดถอนโจทก์ออกจากการเป็นกรรมการของจำเลยท่ี 1 ในวาระท่ี 4 เร่ืองอนื่ ๆ โดยไมม่ ีวาระเรือ่ งการ
ถอดถอนโจทกด์ งั กล่าวในคำบอกกล่าวเรยี กประชมุ เป็นการพจิ ารณาและลงมตินอกวาระหรอื เร่อื งที่กำหนดไว้ จงึ เป็นการไม่ชอบด้วย
กฎหมาย

ฎีกาที่ 735/2561 ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1087 บญั ญตั ิวา่ หา้ งห้นุ ส่วนจำกดั ต้องให้แต่เฉพาะผู้
เปน็ หุน้ ส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผดิ เทา่ น้นั เป็นผูจ้ ัดการ ฉะนนั้ เม่อื ขณะท่โี จทก์ฟ้อง จำเลยท่ี 3 เป็นหุ้นส่วนผจู้ ดั การของจำเลยท่ี 1
จึงเปน็ หุ้นส่วนจำพวกไมจ่ ำกดั ความรับผดิ จำเลยที่ 3 จงึ ต้องร่วมรบั ผิดกับจำเลยท่ี 1 ชำระเงินตามคำพิพากษาศาลช้ันต้นแก่โจทก์ แม้
หน้ีดงั กลา่ วจำเลยที่ 1 จะก่อใหเ้ กดิ ขน้ึ ก่อนทีจ่ ำเลยที่ 3 เขา้ มาเป็นหุ้นส่วนก็ตาม ตามมาตรา 1052 ประกอบมาตรา 1077(2) และ
มาตรา 1080 วรรคหนึง่ สว่ นจำเลยที่ 2 ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ เป็นหนุ้ สว่ นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ในขณะท่จี ำเลยที่ 1 ทำสญั ญา
ประนีประนอมยอมความกับโจทกจ์ นกระทั่งจำเลยท่ี 1 ผิดนดั ชำระหน้แี ละออกจากการเปน็ หุน้ สว่ นผจู้ ัดการเมอ่ื วนั ท่ี 24 กนั ยายน
2556 เมอ่ื โจทก์ฟอ้ งคดนี ว้ี ันท่ี 18 พฤศจิกายน 2556 ยงั อยใู่ นเวลาสองปนี ับแตว่ นั ที่จำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นหุน้ ส่วนผจู้ ดั การของ
จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จงึ ต้องร่วมรบั ผิดกบั จำเลยท่ี 1 ชำระเงินตามคำพิพากษาศาลช้นั ต้นแกโ่ จทก์เช่นกนั ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนง่ึ และมาตรา 1087

ฎีกาที่ 8669/2559 หุน้ ท่จี ำเลยที่ 1 โอนใหโ้ จทกเ์ ป็นหุ้นชนดิ ระบชุ ่อื ลงในใบหนุ้ โดยมีขอ้ บงั คบั ของบริษัท

จำเลยท่ี 10 กำหนดไว้วา่ ผู้ท่หี นุ้ คนใดประสงคจ์ ะโอนหุ้นจะต้องเสนอโอนหนุ้ ของตนใหแ้ กผ่ ูถ้ อื หนุ้ ในบรษิ ทั ทกุ ๆ คนก่อน เวน้ แตเ่ ปน็

การโอนหุน้ ใหแ้ ก่สามี ภรรยา หรือผูส้ บื สนั ดานของตนเอง เมื่อไมม่ ผี ู้ถือหุน้ เดมิ คนใดตกลงรบั โอนภายในเวลาซง่ึ กำหนดให้ไม่น้อยกว่า

30 วนั แล้ว ผถู้ ือหุน้ คนนน้ั จงึ จะมีสทิ ธิโอนแกบ่ คุ คลภายนอกได้ เมื่อการโอนหุน้ ระหว่างจำเลยที่ 1 กบั โจทกฝ์ ่าฝืนตอ่ ขอ้ บงั คบั ของจำเลย

126

127

ที่ 10 ไมช่ อบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคหนง่ึ โจทก์ไมไ่ ดก้ รรมสทิ ธใิ์ นหนุ้ ของจำเลยท่ี 1 และไมอ่ าจใชส้ ทิ ธใิ ดๆ ในฐานะผู้ถอื หุน้
ของจำเลยท่ี 10 ท่ีจะขอบงั คบั ใหเ้ พกิ ถอนการโอนหนุ้ ระหวา่ งจำเลยทงั้ สบิ ตามคำขอท้ายฟอ้ งได้

ฎีกาที่ 3996/2561 ป.พ. พ. มาตรา 1175 และ 1195 ไดก้ ำหนดข้นั ตอนการบอกกล่าวเรียกประชุมใหญผ่ ถู้ อื ห้นุ ไว้ว่า
ต้องลงพมิ พ์โฆษณาในหนงั สอื พิมพแ์ หง่ ท้องทอ่ี ย่างน้อย 1 คราวก่อนวันนดั ประชมุ ไมน่ ้อยกวา่ 7 วนั และต้องส่งทางไปรษณยี ต์ อบรบั ไป
ยังผถู้ อื หนุ้ ทุกคนท่ีมีชือ่ ในทะเบยี นบริษทั กอ่ นวันนดั ประชมุ ไมน่ อ้ ยกวา่ 7 วัน โดยม่งุ ประสงค์ให้มีการแจง้ ให้ผูถ้ อื หุ้นทราบลว่ งหนา้ ว่า
บรษิ ัทจะได้จดั ใหม้ กี ารประชุมใหญ่ในกจิ การใดที่ใด เมอื่ ใด เพือ่ ผถู้ อื หุ้นจะได้มีโอกาสเตรียมตวั สอบถามหรอื แสดงความคดิ เห็นได้โดย
เตม็ ที่ เพือ่ ไมใ่ หผ้ ้บู รหิ ารเอาเปรยี บดำเนนิ การรวบรัดในการประชุม แมต้ ามบทบญั ญัตดิ งั กล่าวจะมไิ ด้บญั ญตั ิถงึ ผลของการไม่ปฏบิ ัตติ าม
ในเรือ่ งคำบอกกลา่ วเรียกประชมุ ใหญ่ว่าจะตอ้ งเปน็ โมฆะหรอื เสยี เปลา่ ก็ตาม แต่กใ็ หส้ ทิ ธิกรรมการหรือผูถ้ ือหุน้ คนหนึ่งคนใดรอ้ งขอให้
ศาลเพกิ ถอนมตทิ ป่ี ระชมุ ใหญ่อันผดิ ระเบยี บน้ันเสยี โดยต้องรอ้ งขอภายใน 1 เดือน นับแตว่ ันลงมติน้ัน ถา้ หากไมม่ ีการรอ้ งขอใหศ้ าลเพิก
ถอนมตทิ ่ปี ระชุมใหญ่อันผดิ ระเบยี บภายในเดอื นหน่ึงแลว้ มติทป่ี ระชุมดงั กลา่ วก็มผี ลสมบรู ณใ์ ชบ้ งั คับได้ ผู้ใดจะขอใหเ้ พิกถอนไมไ่ ด้

คำบอกกล่าวเรยี กประชุมวิสามญั ผถู้ ือห้นุ ได้ลงพมิ พโ์ ฆษณาในหนงั สือพิมพท์ ้องทเ่ี มื่อนับถงึ วนั
ประชมุ วสิ ามญั ผถู้ อื ห้นุ ไดเ้ พยี ง 6 วัน คำบอกกลา่ วเรียกประชมุ ฯ จงึ ลงพมิ พ์โฆษณาในหนงั สือพิมพ์แหง่ ท้องทกี่ อ่ นวนั นดั ประชุมไม่ครบ
7 วนั อันเป็นการฝา่ ฝืนบทบญั ญตั ิมาตรา 1175 วรรคหนง่ึ ทำใหก้ ารนัดประชุมวสิ ามัญผถู้ ือหนุ้ ไมช่ อบและเปน็ ผลให้มติทปี่ ระชุมในวัน
ดงั กลา่ วเปน็ มตอิ นั ผดิ ระเบยี บตามมาตรา 1195 ซง่ึ โจทกใ์ นฐานะกรรมการและผ้ถู อื หุน้ ของบรษิ ัทสามารถรอ้ งขอใหศ้ าลเพกิ ถอนเสยี ได้

ฎกี าท่ี 1040/2561 คำวา่ กรรมการตามป.พ.พ.มาตรา 1172 วรรคหนึ่ง หมายถงึ คณะกรรมการ มไิ ดห้ มายถึง
กรรมการคนหนึ่งคนใดหรือหลายคน

การเรียกประชมุ ใหญว่ ิสามญั ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1172 วรรคหนึ่ง หรือไม่ กรรมการคนหนง่ึ คนใด
ชอบท่ีจะนดั เรยี กประชุมกรรมการเพ่ือพิจารณากนั เสียกอ่ นตามบทบัญญตั ไิ ว้ในมาตรา 1162 มติของคณะกรรมการจะต้องถือเอาเสยี ง
ขา้ งมากเป็นใหญต่ ามบทบญั ญตั ิไว้ในมาตรา 1161 การท่ผี คู้ ดั คา้ นทงั้ สองซงึ่ เปน็ กรรมการเรยี กประชมุ ใหญ่ โดยมไิ ดก้ ระทำตามขนั้ ตอน
ดังกลา่ ว การนัดเรียกประชมุ ใหญ่ตลอดจนการประชมุ และการลงมตจิ งึ เปน็ การฝา่ ฝนื ต่อบทบญั ญัตแิ หง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์

ฎกี าที่ 4605/2561 โจทกก์ ล่าวอา้ งวา่ เปน็ ผถู้ ือห้นุ ท่ีแท้จรงิ ในบรษิ ทั จำเลยที่ 1 โดยบรรดาผู้ถือหุ้นทุกคนของบรษิ ัท
จำเลยท่ี 1 ถือหุ้นแทนโจทก์ หกเปน็ จริงดงั ที่กลา่ วอ้างโจทก์มีสถานะเปน็ เพยี งผถู้ อื ห้นุ ของจำเลยที่ 1 ไม่ไดเ้ ป็นกรรมการบรษิ ทั ซง่ึ เปน็
ผูแ้ ทนนิติบคุ คลของบรษิ ัท จะมีสทิ ธิแต่เพียงควบคุมการดำเนนิ งานของกรรมการบรษิ ทั ทกุ ประการตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิไว้เทา่ น้นั หา
อาจกา้ วล่วงเขา้ ไปจดั การงานของบรษิ ทั เสยี เองไดไ้ ม่ หรอื หากกรรมการทำใหเ้ กิดความเสยี หายแกบ่ รษิ ัท ซงึ่ บรษิ ทั มสี ิทธิจะฟ้องรอ้ ง
เรยี กเอาคา่ สินไหมทดแทนแก่กรรมการ แล้วบริาทไมย่ อมฟอ้ งรอ้ ง ผถู้ อื หนุ้ คนหน่ึงคนใดจะเอาคดีนั้นข้นึ วา่ กันไดต้ ามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 วรรคหนง่ึ อนั เปน็ การใช้สิทธิของบริษทั เพอ่ื ประโยชนข์ องบรษิ ทั แตผ่ ถู้ ือหุน้ อาจจะเข้ามาดำเนนิ การ
ฟ้องเพกิ ถอนนติ ิกรรมสัญญาท่ีกรรมการของบรษิ ทั กระทำไปตามอำนาจหน้าทีไ่ ม่ โจทกจ์ งึ ไมม่ ีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาแสดงวา่ นิติ
กรรมการจดทะเบียนซื้อขายทรัพย์สนิ ตามฟ้องระหว่างจำเลยท่ี 1 กบั จำเลยที่ 5 ตกเปน็ โมฆะ และโอนทรพั ยส์ นิ กลับมาเป็นของจำเลย

127

128

ท่ี 1 ตามเดิม หากไมส่ ามารถกระทำไดใ้ หจ้ ำเลยท่ี 1 ถงึ ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงนิ แทน แม้ทรัพยส์ ินตามฟ้องจะเปน็ ทดี่ นิ ทีจ่ ำเลยท่ี
1 จดทะเบียนซ้ือจากบรษิ ทั อ. ซงึ่ โจทก์เป็นผูจ้ ดทะเบยี นจดั ตั้ง มชี ่อื ถือหุ้น และมีช่อื เปน็ กรรมการของบรษิ ัทคนหนง่ึ ในชว่ งทม่ี กี ารจด
ทะเบยี นขายใหแ้ ก่จำเลยที่ 1 เพอื่ ให้จำเลยที่ 1 นำมาเปน็ หลักประกันประกอบการขอสินเชื่อจากธนาคารก็ดี เคร่อื งจักรในนามของ
จำเลยที่ 1 ท่ีโจทก์ ออกเงินทดลองจา่ ยไปกด็ ี ก็ไมอ่ าจทำให้โจทกก์ ลายเป็นเจ้าของท่ดี นิ และเคร่ืองจักรไปได้แต่เป็นกรรมสิทธขิ์ อง
จำเลยที่ 1 ซงึ่ เปน็ นติ ิบุคคลต่างหากจากผถู้ อื หนุ้ ทงั้ หลายซง่ึ รวมเข้ากันเป็นบรษิ ัทน้นั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา
1015

ฏีกาที่ 5245/2561 บรษิ ทั ไม่เคยแตง่ ตง้ั กรรมการคนใดใหเ้ ป็นประธานกรรมการของบรษิ ทั ดงั นน้ั ในวนั ที่มกี ารประชุม
วิสามญั ผถู้ อื ห้นุ ของบริษัทจงึ เป็นกรณที ีผ่ ู้ถือห้นุ ซงึ่ อยูใ่ นท่ปี ระชมุ วิสามัญผถู้ อื หนุ้ ดงั กลา่ วจะต้องเลอื กผถู้ อื หนุ้ คนหน่ึงในจำนวนซง่ึ มา
ประชุมข้ึนนง่ั เปน็ ประธานทีป่ ระชมุ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1180 วรรคสอง การประชมุ วิสามญั ผูถ้ ือห้นุ ของบรษิ ทั ฮ. ดำเนนิ ไปโดยไม่มี
การเลอื กผ้ถู อื หุ้นคนหนง่ึ ในจำนวนซงึ่ มาประชุมขึ้นนง่ั เปน็ ประธานทปี่ ระชุมตามมาตรา 1180 วรรคสอง เมอ่ื การประชุมวิสามัญผ้ถู ือหนุ้
ดังกลา่ วไดป้ ระชมุ กนั โดยฝ่าฝนื บทบญั ญตั ิว่าดว้ ยการประชมุ ใหญ่ มติที่ประชุมวสิ ามญั ผถู้ อื หนุ้ ดงั กลา่ วจงึ เปน็ มติของท่ีประชมุ ใหญ่อัน
ผดิ ระเบยี บ กรณมี เี หตตุ อ้ งเพิกถอนมติทป่ี ระชมุ วสิ ามัญผูถ้ ือหนุ้ ของบรษิ ทั ฮ.

ฏีกาที่ 5563/2561 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กบั บคุ คลในครอบครัวของจำเลยที่ 1 ตกลงเขา้ กันเพื่อประกอบกิจการ
รา้ น น. รว่ มกนั โดยมวี ตั ถปุ ระสงคแ์ บง่ ปนั กำไรระหวา่ งกัน จงึ เขา้ ลักษณะเปน็ สญั ญาจดั ตง้ั หา้ งหุ้นส่วนสามญั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012
การที่จำเลยที่ 2 สงั่ ซ้ือสินคา้ จากโจทก์เป็นการดำเนินการในฐานะหุ้นสว่ นของร้าน น. อนั เป็นไปในทางทเ่ี ปน็ ธรรมดาการคา้ ขายของ
หา้ งห้นุ ส่วน จำเลยที่ 1 ซึ่งเปน็ หนุ้ ส่วนของจำเลยท่ี 2 ยอ่ มมีความผูกพันในการนัน้ ๆด้วย และจะตอ้ งรบั ผดิ รว่ มกันโดยไมจ่ ำกัดจำนวน
ในการชำระหน้ีอนั ไดก้ อ่ ให้เกิดขน้ึ เพราะจัดการไปเชน่ น้ัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1050

ฎีกาท่ี 6454/2561 ป.พ.พ มาตรา 1175 วรรคหน่ึง กำหนดให้แจง้ วันนัดประชุมใหญบ่ รษิ ทั ด้วยการลงพมิ พ์โฆษณาใน
หนงั สอื พมิ พ์แหง่ ท้องทแ่ี ละสง่ ทางไปรษณียต์ อบรับไปยงั ผถู้ ือหนุ้ ทกุ คน กอ่ นวนั นดั ประชุมไมน่ อ้ ยกว่าเจ็ดวนั นัน้ กเ็ พื่อมุ่งประสงคใ์ หม้ า
การแจง้ ใหผ้ ู้ถอื หนุ้ ทราบล่วงหน้าเพ่ือใหผ้ ู้ถอื ห้นุ จะได้เตรยี มตัวสอบถามหรือแสดงความคดิ เห็นอันจะเป็นประโยชนแ์ กบ่ ริษัทไดเ้ ต็มที่
จำเลยท่ี 2 ในฐานะกรรมการของจำเลยท่ี 1 ไดม้ หี นงั สือขอเชญิ ชวนประชุมวิสามัญผถู้ ือหุ้นของจำเลยท่ี 1 ลงวนั ท่ี 4 เมษายน 2557
เรียนประชมุ วสิ ามญั ผ้ถู อื หนุ้ ของจำเลยท่ี 1 ในวันที่ 22 เมษายน 2557 โดยจัดส่งหนงั สอื เชญิ ประชมุ ไปยังภมู ิลำเนาของผู้ถอื หุ้นทุกคน
ทางไปรษณียต์ อบรับและลงพิมพโ์ ฆษณาในหนังสอื พมิ พส์ ่วนท้องทอ่ี ยา่ งน้อยหนงึ่ คราวก่อนวันนัดประชมุ ไมน่ อ้ ยกว่าเจ็ดวนั ตาม
บทบญั ญัตดิ งั กล่าวและตามขอ้ บังคับของจำเลยที่ 1 แล้ว การเรยี กประชมุ วิสามญั ผถู้ ือหนุ้ ของจำเลยที่ 1 ในวนั ที่ 22 เมษายน 2557 จึง
ชอบดว้ ยกฎหมาย

ป.พ.พ. มาตรา 1185 มคี วามหมายเพยี งวา่ หา้ มมใิ ห้ออกเสยี งลงมตเิ ฉพาะผถู้ ือหุ้นท่ีมสี ่วนได้เสยี
เป็นพิเศษเกยี่ วกบั ข้อซง่ึ ที่ประชุมลงมติเทา่ น้ัน เมอ่ื การแตง่ ตงั้ หรอื ถอดถอนกรรมการบรษิ ัท เปน็ เรื่องปกติของการบริหารจัดการบริษทั
ซึง่ ตอ้ งอยภู่ ายใต้การควบคุมหรอื ครอบงำของทป่ี ระชุมใหญผ่ ถู้ อื หนุ้ ดงั น้นั ผู้ถือห้นุ ยอ่ มมีอำนาจแตง่ ตง้ั หรอื ถอดถอนกรรมการบริษทั ได้
ถือตามคะแนนเสยี งสว่ นใหญ่ของทีป่ ระชมุ ใหญผ่ ถู้ ือหนุ้ ซง่ึ เป็นบทบัญญตั ิทร่ี บั รองสทิ ธขิ องผู้ถอื หนุ้ ในการควบคุมดูแลการจัดการงาน

128

129

ของบรษิ ัท การทีจ่ ำเลยท่ี 2 และท่ี 3 ในฐานะผูถ้ อื หุน้ ของจำเลยท่ี 1 ใชส้ ิทธอิ อกเสยี งปลดโจทกท์ ้ังสองออกจากกรรมการและปลด
โจทกท์ ี่ 1 ออกจากประธานกรรมการ และแตง่ ตงั้ จำเลยที่ 2 เปน็ ประธานกรรมการของจำเลยท่ี 1 แทน จงึ เปน็ ปกตธิ รรมของวธิ กี าร
จดั การบริษทั จำกดั ดงั ทบ่ี ญั ญตั ิไว้ในมาตรา 1144 และมาตรา 1151 นอกจากน้กี ารทีท่ ่ีประชุมวสิ ามญั ผถู้ อื หุ้นมมี ตใิ หถ้ อดถอนโจทก์ทั้ง
สองออกจากกรรมการและถอดถอนโจทก์ท่ี 1 ออกจากประธานกรรมการของจำเลยที่ 1 และแต่งตงั้ จำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการ
แทน ก็ไม่ทำใหจ้ ำเลยที่ 2 และที่ 3 หลดุ พ้นจากการถกู ตรวจสอบการบริหารงานของจำเลยท่ี 1 เพราะจำเลยที่ 2 ในฐานะประธาน
กรรมการและจำเลยท่ี 3 ในฐานะกรรมการของจำเลยท่ี 1 ยังคงต้องปฏบิ ตั ิตามขอ้ บังคบั ของบรษิ ทั และอยใู่ นความครอบงำหรอื การ
ควบคมุ ของท่ีประชมุ ใหญ่ผถู้ ือหุ้นอยูต่ อ่ ไป ดงั นั้น การออกเสยี งลงคะแนนของจำเลยท่ี 2 และที่ 3 ดงั กลา่ วจงึ มิใช่เปน็ การใหส้ ิทธิ
ประโยชน์แก่ตนเองในเรอื่ งใดเร่ืองหนง่ึ เปน็ กรณีพิเศษแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ในเร่ืองดังกลา่ วกเ็ ปน็ เพยี งส่วนไดเ้ สีย
ตามธรรมดาหาใช่ส่วนได้เสยี เปน็ พิเศษทจี่ ะถึงกับตอ้ งหา้ มไมใ่ ห้รว่ มลงมตติ ามมาตรา 1185 แต่อยา่ งใดไม่ การออกเสยี งลงมติ ของ
จำเลยท่ี 2 และท่ี 3 จึงไมข่ ดั บทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมาย

ฎีกาที่ 5953/2561 หุน้ ของผคู้ ัดคา้ นท่บี ริษทั ค.โอนให้ ก.เปน็ หุ้นชนดิ ระบุชอ่ื ลงในใบหุน้ โดยมีข้อบงั คับของผคู้ ัดค้าน
กำหนดไว้วา่ ห้นุ ของบรษิ ทั นน้ั โอนกันได้ตอ่ เม่ือได้รบั ความยินยอมเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรจากคณะกรรมการกอ่ นเท่าน้นั และมตใิ นการ
ประชมุ ของคณะกรรมการเกย่ี วกบั การใหค้ วามยนิ ยอมในการโอนหุ้นใดๆของบรษิ ัท จะต้องได้รับเสยี งสนบั สนนุ จากกรรมการอยา่ งน้อย
5 คน ดงั น้กี ารโอนห้นุ ระหวา่ งบรษิ ัท ค. กบั ก. จงึ ตอ้ งเป็นไปตามข้อบงั คับดงั กลา่ วทบ่ี ัญญัติไวใ้ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 1129 วรรคหนึ่ง

ขณะทบี่ รษิ ัท ค.ทำสัญญาโอนหนุ้ ให้ ก.นัน้ การโอนหุน้ ของบริษัท ค.ให้ ก.ไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอม
จากคณะกรรมการของผคู้ ดั คา้ นและมิไดร้ ับการอนมุ ัตจิ ากคณะกรรมการ แมจ้ ะแจ้งชอ่ื จะแจง้ บัญชรี ายช่อื ผถู้ ือห้นุ ของผู้คดั คา้ นไปยัง
นายทะเบยี นหุ้นส่วนบริษทั วา่ ก.เป็นผถู้ ือหนุ้ ทร่ี ับโอนจากบรษิ ัท ค. กด็ ี แตเ่ ป็นการกระทำของ ก.ไมใ่ ชเ่ ป็นของคณะกรรมการผู้คดั คา้ น
การโอนหุ้นระหว่างบรษิ ทั ก.จงึ เปน็ การฝา่ ฝนื ต่อขอ้ บงั คับของผคู้ ัดคา้ นและไมช่ อบดว้ ยมาตรา 1129 วรรคหนงึ่ ก.จึงไมไ่ ดก้ รรมสทิ ธิใ์ น
หุ้นของผคู้ ดั คา้ น และไมอ่ าจใช้สทิ ธใิ ดๆในฐานะผถู้ ือหุ้นดงั กล่าวได้ การท่ี ก.ออกหนงั สอื เชญิ ประชมุ เขา้ รว่ มประชุมทำหนา้ ทป่ี ระธานท่ี
ประชุมและออกเสียงในการประชมุ วิสามญั ผู้ถือหุน้ เรื่องเปลยี่ นแปลงกรรมการอำนาจกรรมการและเปลย่ี นแปลงข้อบงั คบั ของผคู้ ดั คา้ น
จงึ ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย และมตติ า่ งๆทลี่ งไวก้ เ็ ป็นมตทิ ไี่ ม่ชอบ

ฎกี าท่ี 6713/2561 การประชุมสามัญผถู้ ือหุ้นของบรษิ ทั พ. มผี เู้ ขา้ ร่วมประชมุ ประกอบไปด้วยจำเลยท่ี 1 ซงึ่ เปน็ ผถู้ อื
หนุ้ ของบรษิ ทั พ. จำนวน 300,000 หุ้น จากจำนวนท้งั หมด 1,500,000 หุ้นและจำเลยที่ 2 ถงึ ท่ี 9 ซงึ่ มิใชผ่ ูถ้ ือหุน้ ของบรษิ ทั พ. ดงั น้ี
นอกจากลำพังจำเลยท่ี 1 ซ่งึ เป็นผูถ้ อื หุ้นของบรษิ ัท พ. เปน็ จำนวนไม่ถึงหน่ึงในส่ีของบรษิ ทั จะไม่สามารถเป็นองค์ประชุมทจ่ี ะปรกึ ษา
กจิ การอันใดของบรษิ ัทตามมาตรา 1178 ไดแ้ ล้ว การทีไ่ มม่ ีผู้ถือหุ้นของบรษิ ทั พ. เขา้ ร่วมประชุมตง้ั แต่ 2คนขน้ึ ไป ย่อมทำให้ไม่อาจ
ดำเนินการประชมุ หรือลงมตทิ ป่ี ระชมุ สามัญผ้ถู ือหนุ้ ของบริษทั พ. ได้โดยสภาพอกี ทง้ั จำเลยที่ 2 ถึงท่ี 9 ซงึ่ มใิ ชผ่ ้ถู ือหนุ้ ของบรษิ ทั พ. ยัง
เขา้ ร่วมประชมุ และลงมติด้วย จงึ ไม่มลี กั ษณะเป็นการประชุมผู้ถอื หนุ้ ของบริษทั พ. เป็นการท่ัวไปตามมาตรา 1171 วรรคหนงึ่ และวรรค
สอง เช่นนีก้ ารประชุมดงั กล่าวถอื ไม่ไดว้ ่าเป็นการประชุมสามญั ผถู้ อื หนุ้ ของบรษิ ทั พ. กรณีหาใชเ่ ป็นเพยี งมตทิ ่ปี ระชุมใหญ่ของบริษทั พ.
อันผิดระเบยี บเพราะมกี ารประชุมและลงมติโดยฝา่ ฝนื มาตรา 1178 แตต่ อ้ งถอื วา่ การประชมุ สามัญผถู้ ือหนุ้ ของบรษิ ทั พ. มไิ ด้เกิดข้ึน

129

130

และไมม่ กี ารประชมุ กันจริง คงมเี พยี งการลงมตทิ ่ีประชมุ ของจำเลยทงั้ เกา้ ซงึ่ นำไปใชอ้ า้ งต่อนายทะเบียนห้นุ สว่ นบรษิ ทั วา่ เป็นการ
ประชุมสามญั ผถู้ ือหุ้นของบรษิ ัท พ. เพ่อื ใชใ้ นการจดทะเบยี นเปลีย่ นแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการเทา่ น้ันอันเป็นการมชิ อบด้วย
กฎหมายและกรณมี เี หตุต้องเพกิ ถอนมตทิ ่ีประชมุ ของจำเลยทง้ั เกา้ ดังกลา่ วการทโี่ จทกท์ งั้ หกฟ้องขอให้เพิกถอนมติท่ปี ระชุมของจำเลย
ทั้งเก้าซง่ึ อ้างวา่ เปน็ การประชุมสามญั ผถู้ อื หุ้นของบริษทั พ. จงึ มใิ ชก่ ารฟอ้ งขอใหเ้ พิกถอนมติทป่ี ระชุมใหญข่ องบริษทั อนั ผิดระเบยี บ
ตามมาตรา 1195 และไม่อยใู่ นบงั คบั ทจ่ี ะตอ้ งฟอ้ งขอใหเ้ พิกถอนภายในกำหนดเดอื นหนง่ึ นับแต่วันลงมตินั้น แมโ้ จทกท์ ัง้ หกจะฟ้องพน้
กำหนดเดอื นหน่งึ นับแตว่ นั ท่ีมีการลงมติทป่ี ระชุมของจำเลยท้งั เก้าแล้ว โจทก์ท้ังหกก็มสี ิทธิฟอ้ งคดนี ี้

โจทกท์ ง้ั หกฟ้องขอใหถ้ อนมตทิ ป่ี ระชุมของจำเลยทงั้ เก้าซง่ึ อา้ งวา่ เป็นการประชมุ สามญั ผู้ถอื หนุ้
ของบรษิ ัท พ. มิไดฟ้ อ้ งขอให้เพกิ ถอนมติท่ีประชมุ ของบรษิ ทั พ. และไม่อาจถอื วา่ มติทปี่ ระชมุ ของจำเลยท้งั เก้าซง่ึ นำไปใช้อ้างต่อนาย
ทะเบยี นห้นุ ส่วนบรษิ ัทเป็นมติทีป่ ระชุมสามญั ผถู้ ือหุ้นของบรษิ ทั พ. ทศี่ าลอทุ ธรณพ์ ิพากษาใหเ้ พกิ ถอนมติท่ีประชมุ ของบรษิ ทั พ. มาน้ัน
เปน็ การพิพากษาซงึ่ ไมต่ รงกับคำขอท้ายฟ้องของโจทกท์ ัง้ หกและเปน็ การเปน็ การพพิ ากษาเกินคำขอเป็นการพิพากษาซึง่ ไมต่ รงกบั คำขอ
ท้ายฟ้องของโจทก์ทงั้ หกและเป็นการพิพากษาเกนิ คำขอปญั หาน้ีแม้ไมม่ ีคคู่ วามฝา่ ยใดฎีกาแตเ่ ปน็ ปัญหาขอ้ กฎหมายอันเกี่ยวกบั ความ
สงบเรยี บร้อยของประชาชน ศาลฎกี ามีอำนาจยกข้นึ วินจิ ฉยั ไดต้ าม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

ฎีกาที่ 251/2562 ศาลฎีกาแผนกคดีพาณชิ ยแ์ ละเศรษฐกิจวินิจฉยั วา่ ขอ้ เท็จจรงิ เบอ้ื งตน้ รับฟงั เปน็ ยตุ วิ า่ โจทก์เปน็
นติ บิ ุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด เดิมโจทกม์ ีหุ้นสว่ น 2 คน คอื จำเลยเปน็ หนุ้ สว่ นจำพวกไม่จำกดั ความรับผดิ และนายสมนึกเปน็
หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผดิ ตอ่ มามกี ารจดทะเบยี นเปลย่ี นแปลงใหน้ ายสมนึกเปน็ หุ้นสว่ นจำพวกไม่จำกดั ความรบั ผดิ และจำเลย
เปน็ หุ้นสว่ นจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ และต่อมามกี ารจดทะเบยี นเปลยี่ นแปลงให้บรษิ ัทบา้ นตาลโฮลดิง้ จำกดั เขา้ มาเปน็ หนุ้ สว่ นจำพวก
จำกัดความรบั ผิดแทนจำเลยที่ออกจากการเป็นห้นุ ส่วนของโจทก์ ในระหว่างท่ีจำเลยยงั คงเป็นห้นุ สว่ นจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ ของ
โจทก์ โจทก์โดยจำเลยและนายสมนึกขายทีด่ นิ พรอ้ มสงิ่ ปลกู สรา้ งของโจทกใ์ หแ้ ก่นายสำราญ โจทกช์ ำระภาษแี ล้ว ตอ่ มากรมสรรพากร
แจง้ โจทกว์ ่าชำระภาษไี ม่ถูกต้องใหช้ ำระภาษที ย่ี งั ขาด เบย้ี ปรบั เงินเพ่ิมและภาษบี ำรงุ ทอ้ งท่ี 1,407,548.25 บาท โจทกช์ ำระให้แก่
กรมสรรพากรครบถ้วนแลว้

ปัญหาตอ้ งวนิ จิ ฉัยตามฎกี าของโจทก์มีวา่ จำเลยตอ้ งรบั ผดิ ในหนคี้ า่ ภาษอี ากรคา้ งชำระของโจทก์
หรอื ไม่ โดยโจทก์ฎกี าว่า หนค้ี ่าภาษอี ากรคา้ งชำระเกดิ ขนึ้ ตงั้ แตว่ นั ที่ 22 ธนั วาคม 2554 ในขณะน้นั จำเลยยงั คงเป็นหนุ้ สว่ นจำพวก
จำกัดความรบั ผิดของโจทก์ โจทกแ์ ละจำเลยยังไม่ทราบเร่อื งทม่ี กี ารเสียภาษไี มถ่ กู ตอ้ ง ตอ่ มาวันที่ 18 มีนาคม 2558 (ที่ถูก 2556)
โจทก์จดทะเบยี นให้จำเลยออกจากการเป็นหนุ้ ส่วนของโจทก์โดยมีการคนื จำนวนลงหุน้ แกจ่ ำเลย 28,000,000 บาท หากโจทก์และ
จำเลยทราบเรื่องท่เี สยี ภาษไี ม่ถูกต้องเสียก่อน จำเลยก็จะได้รับจำนวนลงหุ้นคนื น้อยกว่าจำนวนดงั กลา่ ว เมื่อหน้ีคา่ ภาษีอากรคา้ งชำระ
เกิดข้ึนในขณะที่จำเลยยงั คงเปน็ หุ้นส่วนของโจทก์ จำเลยจงึ ต้องรบั ผิดในหน้ีคา่ ภาษอี ากรคา้ งชำระในฐานะหนุ้ ส่วนของโจทก์ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1051 โจทกช์ อบทจ่ี ะไลเ่ บี้ยเรยี กเอาเงนิ ทชี่ ำระแทนไปกอ่ น 703,774 บาท จากจำเลยได้นั้น
เหน็ วา่ เมือ่ หา้ งหนุ้ สว่ นจำกดั จดทะเบยี นเปน็ นติ บิ คุ คลตามกฎหมายแลว้ ยอ่ มมสี ถานะเป็นนิตบิ คุ คลต่างหากจากผเู้ ปน็ หุ้นสว่ นตามมาตรา
1015 ทรัพย์สนิ และหนี้สนิ ของหา้ งหุ้นส่วนจำกดั ย่อมมิใช่ทรัพยส์ ินและหนี้สนิ ของผเู้ ปน็ หุน้ ส่วนโดยตรง ส่วนการทีผ่ ้เู ป็นหนุ้ สว่ นซงึ่ ออก
จากห้นุ สว่ นไปแลว้ จะยงั คงตอ้ งรบั ผดิ ในหนซี้ ่ึงหา้ งหุ้นสว่ นไดก้ อ่ ให้เกดิ ขึน้ ก่อนท่ตี นได้ออกจากหนุ้ ส่วนไปตามมาตรา 1051 นัน้ เปน็

130

131

กรณที ่บี ทบัญญตั ดิ ังกล่าวมงุ่ หมายจะใชบ้ ังคบั แก่หา้ งหุ้นสว่ นสามญั ซงึ่ หุ้นส่วนทุกคนจะต้องรบั ผดิ รว่ มกนั โดยไมจ่ ำกดั จำนวนในการ
ชำระหนอี้ ันได้ก่อข้นึ เพราะจดั การไปในทางทีเ่ ปน็ ธรรมดาการค้าขายของหา้ งห้นุ ส่วนนน้ั แตกตา่ งจากผู้เปน็ หุ้นส่วนจำพวกจำกดั ความ
รบั ผดิ ซงึ่ จะมีความผดิ เพยี งไมเ่ กนิ จำนวนเงนิ ทต่ี นรบั จะลงหุน้ ในห้างหุน้ ส่วนจำกดั ตามมาตรา 1077 (1) และในระหว่างที่หา้ งหนุ้ สว่ น
จำกัดยงั มไิ ดเ้ ลิกกนั เจ้าหนีข้ องหา้ งหุน้ สว่ นจำกัดย่อมไม่มีสิทธทิ จี่ ะฟ้องรอ้ งผเู้ ปน็ ห้นุ สว่ นจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ ตามมาตรา 1095
วรรคหน่ึง แตห่ ากห้างหุ้นสว่ นจำกดั เลกิ กันแล้ว ความรับผดิ ชอบของผู้เปน็ หนุ้ สว่ นจำพวกจำกดั ความรบั ผดิ ต่อเจ้าหนีข้ องหา้ งห้นุ สว่ น
จำกัดยอ่ มจำกดั อยเู่ พียงจำนวน ลงหนุ้ ทย่ี ังค้างสง่ หรือไดถ้ อนไปจากสินทรัพย์ของหา้ งหุ้นสว่ นจำกดั กบั เงินปันผลซงึ่ ได้รบั ไปแล้วโดย
ทจุ รติ และฝา่ ฝืนตอ่ ข้อหา้ มทม่ี ิใหแ้ บง่ เงนิ ปันผลหรือดอกเบยี้ นอกจากผลกำไรซึง่ ห้างหุ้นสว่ นจำกดั ทำมาค้าได้ตาม มาตรา 1095 วรรค
สอง (1) (2) และ (3) เทา่ นัน้ กรณจี งึ ไมอ่ าจนำมาตรา 1051 มาใช้บังคบั แก่หุน้ ส่วนจำพวกจำกัดความรบั ผดิ ในห้างหนุ้ ส่วนจำกดั ไดต้ าม
มาตรา 1080 วรรคหนงึ่ แมห้ นค้ี า่ ภาษีอากรคา้ งชำระของโจทกจ์ ะเกิดขึน้ ในระหวา่ งท่จี ำเลยยงั คงเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรบั ผิด
ของโจทก์ก็ถอื มิไดว้ ่าเป็นหนสี้ นิ ของจำเลย เมือ่ จำเลยออกจากการเปน็ หุ้นสว่ นของโจทกไ์ ปแล้วโดยมกี ารจดทะเบียนเปล่ียนแปลงให้
บริษัทบ้านตาลโฮลด้ิง จำกดั เขา้ มาเปน็ หนุ้ ส่วนจำพวกจำกดั ความรับผดิ แทนจำเลยในระหวา่ งผู้เป็นหนุ้ ส่วนด้วยกนั ยอ่ มต้องถอื ว่าความ
เปน็ หุน้ สว่ นจำพวกจำกดั ความรับผิดของจำเลยไดถ้ กู แทนท่ีโดยบรษิ ทั บา้ นตาลโฮลดง้ิ จำกดั แล้ว แม้จำเลยจะไดร้ บั เงนิ จากการถอนห้นุ
ดว้ ย แตก่ ็เปน็ เพยี งการจา่ ยเงนิ เพอ่ื ระงบั ข้อพพิ าทระหวา่ งจำเลยกับโจทกแ์ ละนายสมนกึ ตามสัญญาประนปี ระนอมยอมความในคดแี พง่
หมายเลขแดงท่ี 167/2556 ของศาลชน้ั ตน้ และไดค้ วามตามคำขอจดทะเบียนหา้ งหนุ้ สว่ นว่าจำนวนลงหนุ้ ของจำเลยถูกแทนทด่ี ้วย
จำนวนลงหนุ้ ของบรษิ ทั บ้านตาล โฮลดงิ้ จำกดั เชน่ กนั หน้ีคา่ ภาษีอากรคา้ งชำระท่ีโจทกช์ ำระให้แกก่ รมสรรพากรไปนั้น จงึ เปน็
ค่าใชจ้ า่ ยของโจทก์ทีจ่ ะต้องนำไปคดิ คำนวณกำไรขาดทุนในระหวา่ งผู้ทยี่ งั คงเป็นหุน้ สว่ นกนั ต่อไปตามสญั ญาห้นุ ส่วน โจทก์จะนำหน้ีค่า
ภาษีอากรค้างชำระดงั กล่าวมาไลเ่ บย้ี เอาแก่จำเลยไมไ่ ด้ จำเลยจงึ ไมต่ ้องรบั ผิดในหนีค้ า่ ภาษอี ากรคา้ งชำระ ของโจทก์

ฎีกาที่ 6389/2561 จำเลยในฐานะห้นุ ส่วนผู้จดั การของหา้ งห้นุ สว่ นจำกดั ด. และเปน็ หนุ้ ส่วนจำพวกไมจ่ ำกดั ความรบั
ผดิ ซงึ่ ตอ้ งรบั ผดิ รว่ มกนั ในบรรดาหนข้ี องหา้ งหุ้นสว่ นโดยไม่จำกดั จำนวน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1070 และมาตรา 1077 (2) ถงึ แม้ว่านาย
ทะเบียน จะขดี ชอื่ หา้ งห้นุ สว่ นจำกดั ด. ออกเสยี จากทะเบียนเปน็ เหตใุ หห้ า้ งหุน้ สว่ นส้ินสภาพนติ บิ ุคคลแลว้ แตค่ วามรบั ผดิ ชอบของห้าง
หนุ้ ส่วนผจู้ ดั การมอี ยเู่ ทา่ ไรก็ให้คงมีอยอู่ ย่างน้ันและพึงเรยี กบงั คบั ได้เสมือนหา้ งหุ้นสว่ นนั้นยงั ไม่ไดส้ ิน้ สภาพนติ ิบคุ คล ตามมาตรา
1273/3 กบั ทงั้ จำเลยย่อมอยูใ่ นฐานะเป็นลูกหนร้ี ว่ ม ดงั นน้ั เมอ่ื ห้างหนุ้ ส่วนจำกดั ด. ผิดนดั ไม่ชำระหน้เี งินตามฟอ้ งแก่ โจทกท์ งั้ สอง
โจทกท์ ั้งสองย่อมมีสิทธเิ รียกชำระหนีจ้ ากห้างห้นุ สว่ นจำกัด ด. หรือจำเลยคนใดคนหน่ึงส้ินเชงิ ก็ไดต้ ามแตจ่ ะเลอื กตามมาตรา 291 เมอ่ื
ปรากฎว่าโจทก์ทง้ั สองไดร้ ับชำระหนีต้ ามคำพพิ ากษาในคดหี มายเลขแดงที่ 2363 - 2364/2546 ของศาลช้ันตน้ ยงั ไมค่ รบถ้วน โจทก์ทั้ง
สองจึงมีอำนาจฟอ้ งจำเลยในฐานะหนุ้ สว่ นผู้จดั การของหา้ งหุ้นส่วนจำกัด ด. ซงึ่ เป็นหุ้นสว่ นจำพวกไม่จำกัดความรบั ผดิ ได้

131

132

ข้อ 8 ( ครอบครวั -มรดก )

ฎีกาท่ี 9201/2551 สทิ ธิการเชา่ เปน็ สิทธเิ รยี กรอ้ งอยา่ งหนง่ึ ท่ีเกดิ ขน้ึ โดยสญั ญา ซง่ึ ผใู้ ห้เช่าตกลงใหผ้ ู้เช่าได้ใชห้ รอื
ไดร้ บั ประโยชน์ในทรพั ยส์ ิน อันเปน็ หนี้เหนือบคุ คล หาใชเ่ ป็นสทิ ธเิ หนือทรัพย์สนิ หรือเป็นทรพั ยสิทธิไม่ และการเชา่ ทรัพยส์ ินนนั้ ปกติ
ผใู้ ห้เชา่ ยอ่ มเพง่ เลง็ ถงึ คณุ สมบตั ขิ องผเู้ ช่าวา่ สมควรได้รบั ความไวว้ างใจในการใช้และดูแลทรัพย์สินทเี่ ชา่ หรอื ไม่ สิทธขิ องผเู้ ช่าจงึ มสี ภาพ
เปน็ การเฉพาะตัว เมอื่ ผเู้ ช่าตายสทิ ธกิ ารเชา่ ตามสญั ญาเช่ากเ็ ปน็ อันระงบั ส้ินสดุ ลง และไมเ่ ป็นมรดกตกทอดไปถงึ ทายาททงั้ น้โี ดยไม่ต้อง
คำนงึ วา่ มขี ้อตกลงให้ผเู้ ช่าโอนสทิ ธิการเชา่ หรอื ไม่ เพราะหากมีขอ้ ตกลงก็เปน็ เรือ่ งท่ผี ู้ใหเ้ ช่ายอมให้ผู้เช่าโอนสทิ ธกิ ารเชา่ แก่
บุคคลภายนอกในระหวา่ งท่ผี ู้เชา่ มีชีวติ อยู่ ซงึ่ อาจทำไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 544 เท่าน้นั ดังน้ัน พินยั กรรมของ ท. ทยี่ กสทิ ธิการเช่า
ทดี่ นิ ใหแ้ ก่โจทก์จงึ ไม่กอ่ ให้เกิดสิทธเิ รยี กรอ้ งใด ๆ แก่โจทกเ์ กยี่ วกับทดี่ ินทีเ่ ชา่ และไมผ่ ูกพันจำเลยท่ี 1 จะต้องใหโ้ จทก์เป็นผ้เู ช่าตอ่ ไป
จำเลยท่ี 1 ยอ่ มพจิ ารณาใหจ้ ำเลยท่ี 2 และใหจ้ ำเลยท่ี 3 และท่ี 4 เป็นผเู้ ชา่ ทด่ี ินแตล่ ะแปลงต่อไปได้

ฎกี าท่ี 6857/2553 แมต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 1715 วรรคสองบัญญตั วิ า่ "เว้นแตจ่ ะมขี อ้ กำหนดไวใ้ นพนิ ยั กรรมเป็น
อยา่ งอน่ื ถา้ มผี ู้จดั การมรดกหลายคน แต่ผู้จดั การมรดกเหลา่ นน้ั บางคนไมส่ ามารถหรือไม่เตม็ ใจทจ่ี ะจัดการ และยงั มผี ูจ้ ดั การมรดก
เหลอื อย่แู ตค่ นเดยี วผ้นู ้นั มีสิทธิที่จะจัดการไดโ้ ดยลำพบั แตถ่ า้ มผี ู้จดั การมรดกเหลืออยหู่ ลายคนใหส้ ันนิษฐานไว้กอ่ นวา่ ผู้จดั การมรดก
เหล่านน้ั แตล่ ะคนจะจัดการโดยลำพงั ไม่ได"้ ก็มีความหมายถงึ ผ้จู ดั การมรดกทตี่ งั้ ขน้ึ โดยพนิ ัยกรรมเทา่ นนั้ ไมร่ วมถึงผจู้ ดั การมรดกที่ศาล
ตง้ั ขนึ้ โดยไมม่ พี นิ ัยกรรม การทศ่ี าลมีคำสง่ั ตง้ั บคุ คลหลายคนเปน็ ผู้จัดการมรดกร่วมกัน การกระทำตามหนา้ ทขี่ องผู้จดั การมรดกต้อง
ดำเนนิ การตามมาตรา 1726 ทีใ่ หก้ ระทำการโดยถอื เอาเสยี งข้างมาก หากปรากฏว่าผู้จดั การมรดกร่วมคนใดคนหนง่ึ ถงึ แกค่ วามตาย
ผูจ้ ดั การมรดกทเี่ หลอื ยอ่ มตอ้ งรอ้ งขอต่อศาลใหเ้ ปลยี่ นแปลงคำสง่ั เดิมเมือ่ การฟ้องคดเี พื่อจัดการทรัพยม์ รดกเปน็ การใชอ้ ำนาจหน้าทใี่ น
ฐานะผูจ้ ัดการมรดกของผตู้ ายตามมารตรา 1736 วรรคสอง และมีบทบัญญตั ิของกฎหมายบัญญตั เิ ก่ียวกับการทำหน้าทข่ี องผ้จู ดั การ
มรดกตามคำสงั่ ศาลกรณีที่มผี ู้จดั การมรดกหลายคนต้องดำเนนิ การตามมาตรา 1726 ที่กฎหมายได้กำหนดไว้โดยเฉพาะแลว้ จึงไมอ่ าจ
นำวิธกี ารตามมาตรา 1715 ซง่ึ เปน็ บทบญั ญตั ิท่ใี ช้เฉพาะผู้จดั การมรดกตามพินัยกรรมมาใชบ้ ังคับได้ ดงั นั้น เมื่อ ป. ผ้จู ัดการมรดกคน
หน่งึ ถงึ แกค่ วามตาย โดยโจทก์ทงั้ สองซงึ่ เป็นผูจ้ ัดการมรดกร่วมจะจดั การมรดกตอ่ ไปเพยี งสองคนโดยยงั มิไดข้ อใหศ้ าลมคี ำสง่ั อนญุ าตให้
ตนเป็นผจู้ ดั การมรดกต่อไป ย่อมเป็นการฝ่าฝนื คำสัง่ ศาลและไมม่ ีอำนาจจะจัดการได้ โจทกท์ งั้ สองจงึ ไม่มีอำนาจฟอ้ ง

ฎีกาที่ 461/2514 ศาลตงั้ ใหโ้ จทกก์ ับ อ. เป็นผู้จดั การมรดกทไ่ี ม่มีพนิ ยั กรรม เมอ่ื อ. ตาย โจทกไ์ มม่ อี ำนาจ
ดำเนนิ การจัดการมรดกตอ่ ไปตามลำพงั ไม่มีอำนาจเบกิ เงินกองมรดกจากธนาคาร โดยทยี่ ังไมม่ คี ำสง่ั ศาลอนญุ าตให้โจทก์เปน็ ผูจ้ ดั การ
มรดกแตผ่ ู้เดยี ว

132

133

ฎีกาที่ 2156/2555 จำเลยเขา้ ครอบครองทำประโยชน์ในท่ีดนิ พพิ าทโดยอาศัยสิทธิของตนที่ไดร้ ับการยกให้จาก ร.
มิใช่การครอบครองทด่ี นิ พพิ าทแทนทายาทอืน่ อันแสดงวา่ ร. ไดย้ กทดี่ นิ พพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยครอบครองแล้วโดยโจทกไ์ มไ่ ดเ้ กย่ี วขอ้ ง ซงึ่
ขณะท่ี ร. แสดงเจตนายกทดี่ นิ พพิ าทใหจ้ ำเลยน้นั ทดี่ นิ พิพาทเปน็ ท่ีดินทมี่ ีเอกสารสิทธเิ ป็นหนังสอื รับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ผู้มี
ช่อื ในเอกสารสิทธิจึงมเี พยี งสทิ ธคิ รอบครอง การที่ ร. สง่ มอบทดี่ นิ พพิ าทให้แกจ่ ำเลยโดยมไิ ดท้ ำเป็นหนังสอื และจดทะเบยี นตอ่ พนกั งาน
เจา้ หน้าทแี่ ม้ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 525 ประกอบมาตรา 456 วรรคหน่ึง แตท่ ี่ดนิ พพิ าทมีแตส่ ทิ ธคิ รอบครอง จึงถอื ได้ว่า ร. สละ
เจตนาครอบครองไม่ยดึ ถือทดี่ ินพิพาทต่อไป เมอื่ จำเลยเขา้ ครอบครองทำประโยชนใ์ นทีด่ ินพพิ าทแล้ว จำเลยย่อมได้สทิ ธคิ รอบครอง
ตามมาตรา 1377 และ 1378 อันเป็นการไดส้ ทิ ธิครอบครองตามกฎหมาย การออกโฉนดทีด่ นิ พพิ าทจดั ทำโดยทางราชการ ออกใหแ้ ก่
ร. ซ่ึงเปน็ ผมู้ สี ิทธคิ รอบครองตามหนังสอื รับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ฉบับเดิม แมค้ วามจรงิ ร. ไม่มีสทิ ธิครอบครองในท่ีดนิ พิพาท
แล้วขณะออกโฉนดทดี่ นิ ก็หาทำใหส้ ทิ ธคิ รอบครองในทดี่ นิ พพิ าทของจำเลยเสียไปไม่ ท่ีดินพพิ าทจงึ มใิ ชท่ รัพยม์ รดกของ ร. ทีจ่ ะตกทอด
แกท่ ายาทอีกต่อไป

ฎีกาที่ 8811/2556 สญั ญากูเ้ งนิ ระหว่างโจทก์กบั ส. ไมไ่ ด้กำหนดเวลาชำระตน้ เงนิ คนื ไว้ โจทกย์ ่อมเรยี กใหจ้ ำเลย
ชำระหนไ้ี ด้โดยพลันตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนงึ่ และถอื เป็นเวลาท่ีผู้ใหก้ ู้อาจบงั คบั สทิ ธิเรียกร้องได้ อายคุ วามจงึ เร่ิมนับแตว่ ัน
ถัดจากวนั ทำสญั ญาก้เู งนิ และเมือ่ ส. ถงึ แกค่ วามตายก่อนทีโ่ จทกท์ วงถามก็ไมอ่ าจใช้อายุความท่ัวไปตามท่โี จทกฎ์ ีกาเพราะสิทธิ
เรียกร้องอันมตี ่อเจา้ มรดกซง่ึ ยงั ไมถ่ ึงกำหนดเวลาบงั คบั เม่อื เจ้ามรดกถงึ แก่ความตายกอ่ นถึงกำหนดนน้ั เจา้ หนกี้ ต็ ้องฟอ้ งคดีเพ่ือบังคบั
ตามสทิ ธเิ รียกรอ้ งนนั้ ภายในหนง่ึ ปีนบั แตไ่ ดร้ ถู้ ึงความตายของเจา้ มรดก เม่อื โจทกเ์ บิกความรบั ว่า ส. ถึงแก่ความตายในวนั ที่ 1 ธนั วาคม
2548 และโจทกอ์ ยชู่ ่วยงานศพดว้ ย แสดงวา่ โจทก์รถู้ งึ การตายของ ส. ตง้ั แต่เดอื นธนั วาคม 2548 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในฐานะ
ทายาทของ ส. ใหช้ ำระหน้ีเงนิ กยู้ ืมดงั กลา่ ว เม่ือวนั ที่ 14 กุมภาพนั ธ์ 2551 พ้นกำหนดเวลา 1 ปี นบั แตว่ ันท่ีโจทกร์ ถู้ งึ การตายของ ส.
ฟ้องโจทกจ์ งึ ขาดอายคุ วามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม (หมายเหตุ ฎกี านอี้ าจดูเป็นข้อ 2-3 กไ็ ด)้

ฎีกาท่ี 821/2554 ผตู้ ายทำสญั ญาประกนั ชีวติ ไวก้ ับบรษิ ทั ประกันชีวติ โดยระบุภรยิ าเป็นผูร้ ับประโยชน์ ปรากฎวา่
ภรยิ าผตู้ ายถงึ แก่ความตายก่อนผู้ตาย เมื่อผตู้ ายถงึ แก่ความตาย บริษัทประกนั ชีวิตสง่ั จา่ ยต๋ัวแลกเงนิ ระบุช่อื ภรยิ าผตู้ ายเปน็ ผู้รับเงนิ
ดงั นี้ เงินตามสญั ญาประกนั ชวี ติ มใิ ช่ทรัพย์สนิ ที่ผตู้ ายมีอยใู่ นขณะถึงแกค่ วามตายจงึ ไมใ่ ช่มรดกของผตู้ าย สว่ นภรยิ าผตู้ ายซึ่งเปน็ ผู้รบั
ประโยชนต์ ามกรมธรรมป์ ระกันภยั กถ็ ึงแกค่ วามตายไปก่อนผตู้ าย ยอ่ มไมอ่ ยใู่ นฐานะผู้รบั ประโยชน์ท่จี ะไดร้ บั เงินตามสญั ญาประกันชวี ิต
สิทธขิ องภริยาผู้ตายท่ีจะไดร้ ับเงนิ ตามกรมธรรม์ประกันภยั ยงั ไมเ่ กดิ ขน้ึ เงินตามตว๋ั แลกเงินจงึ ไมเ่ ป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของภริยา
ผู้ตาย

แม้เงินตามต๋วั แลกเงนิ จะมิใชท่ รพั ย์มรดกของผูต้ ายแต่ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ 6
ลักษณะมรดกเป็นบทกฎหมายทีใ่ กล้เคียงอยา่ งยงิ่ ในอันท่จี ะใชบ้ งั คบั แก่เงนิ ตามสญั ญาประกันชวี ติ เงนิ ตามตัว๋ แลกเงนิ จงึ ควรตกแก่
ทายาทโดยธรรมของผตู้ ายเสมือนหนงึ่ เปน็ ทรพั ย์มรดก

133

134

ฎีกาที่17261/2555 หน้ีรว่ มของสามภี รยิ าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (1) ถงึ (4) ต้องเป็นหนี้ทีเ่ กย่ี วกับนติ ิกรรมสัญญา
ท่กี ระทำขึน้ ร่วมกันเทา่ น้ัน ไมร่ วมถงึ หน้ีทเ่ี กิดจากการทำละเมดิ หรือการกระทำอันมชิ อบด้วยกฎหมาย แมข้ อ้ เท็จจรงิ ฟงั ไดว้ ่าผตู้ ายเกบ็
เงินจากสมาชกิ ผู้กูเ้ ปน็ รายเดือนแล้วนำสง่ เขา้ บญั ชเี งนิ ฝากของโจทก์ไมค่ รบถ้วนตามฟ้อง อนั มลี กั ษณะเป็นการยกั ยอกซ่ึงเป็นการ
กระทำละเมดิ ตอ่ โจทก์ โจทกจ์ งึ ชอบทีจ่ ะฟอ้ งเรียกรอ้ งเอาเงนิ คนื จากทรพั ย์มรดกของผู้ตายหรอื ทายาทผูร้ บั มรดกของผตู้ ายโดยตรง
การท่ผี ้ตู ายนำเงนิ ทย่ี ักยอกมาไปใช้จา่ ยในครอบครัว จัดการบา้ นเรือน จัดหาสงิ่ จำเป็นสำหรบั ครอบครวั อปุ การะเลย้ี งดูและ
รกั ษาพยาบาลบคุ คลในครอบครวั ก็ไม่ถอื ว่าเปน็ หนีร้ ่วมตามมาตรา 1490 (1)

ฎีกาที่ 6331-6332/2556 ขณะทโี่ จทกจ์ ดทะเบยี นสมรสกนั กับ จ. (ปี 2526) จ. มคี สู่ มรสหญงิ อืน่ อยู่แลว้ การสมรสระหวา่ ง
โจทกก์ บั จ. ยอ่ มตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 ซง่ึ ความเป็นโมฆะของการสมรสยอ่ มมีผลไปถงึ วนั ที่
โจทก์จดทะเบยี นสมรสกบั จ. หาใช่มีผลนบั แต่วันท่ีโจทกจ์ ดทะเบยี นหยา่ กบั จ. ในปี 2532 ไม่ ฉะนนั้ ขณะท่โี จทกจ์ ดทะเบียนสมรสกับ
ผู้ตาย (ปี 2529) ถือไม่ไดว้ า่ โจทกย์ งั มคี สู่ มรสอยู่ การสมรสระหวา่ งโจทก์กบั ผตู้ าย (ปี 2529) ถอื ไมไ่ ดว้ า่ โจทกย์ งั มคี สู่ มรสอยู่ การสมรส
ระหวา่ งโจทกก์ ับผตู้ าย จงึ ไม่ฝา่ ฝนื ต่อมาตรา 1452 ยอ่ มมผี ลสมบูรณ์ และโจทก์มฐี านะเป็นภรยิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายของผตู้ าย เมือ่
จำเลยจดทะเบยี น สมรสกับผู้ตายในปี 2533 โดยโจทก์กบั ผตู้ ายยังเป็นค่สู มรสกนั อยู่ การสมรสระหวา่ งจำเลยกับผู้ตายจงึ ฝ่าฝืนต่อ
มาตรา 1452 ยอ่ มตกเปน็ โมฆะตาม มาตรา 1495

ฎกี าที่ 5611/2554 แมห้ ากจะฟังข้อเท็จจรงิ ตามที่โจทก์กลา่ วอ้างว่าจำเลยร่วมกับนางรชั นกี ร (บตุ รบญุ ธรรมของเจา้
มรดก) ปลอมพินยั กรรมของนางลว้ นอันจะเปน็ เหตใุ ห้นางรชั นกี รตกเป็นผู้ถกู กำจดั มิใหร้ บั มรดกฐานเป็นผูไ้ ม่สมควรตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1606 (5) และการกำจดั มิใหร้ บั มรดกอาจะเกิดขนึ้ ได้ ทง้ั กรณีก่อนเจ้ามรดกตายและหลงั เจ้ามรดก
ตาย ขน้ึ อย่กู บั เหตุในการถกู กำจดั มใิ หร้ ับมรดกตามท่บี ญั ญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1605 และ 1606 โดย
มาตรา 1639 บัญญตั ถิ งึ การทท่ี ายาทชน้ั ผสู้ บื สันดานถงึ แกค่ วามตายหรือถกู กําจัดมใิ หร้ บั มรดกก่อนเจา้ มรดกถงึ แก่ความตาย ถ้าบคุ คล
น้ันมีผูส้ บื สันดานกใ็ หผ้ ู้สบื สันดานนน้ั รับมรดกแทนที่กต็ าม แต่มาตรา 1607 ยงั ไดบ้ ญั ญตั ิถงึ การถูกกาํ จดั มใิ ห้รบั มรดกไว้เปน็ การ
เฉพาะอีกต่างหากวา่ การถูกกําจัดมิใหร้ บั มรดกน้ันเปน็ การเฉพาะตัว ผู้สบื สนั ดานของทายาททถ่ี กู กาํ จดั สบื มรดกต่อไปเหมือนว่า
ทายาทนน้ั ตายแล้ว ทัง้ น้โี ดยไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ิใหจ้ ํากดั วา่ จะตอ้ งเป็น กรณที ี่ทายาทถูกกาํ จัดก่อนหรอื หลงั เจา้ มรดกถงึ แกค่ วามตาย ดงั น้ใี น
กรณที ายาทถูกกาํ จดั ไม่ให้ รบั มรดกตาม มาตรา 1605 และ 1606 นน้ั ไมว่ ่าจะเป็นกรณีถูกกําจดั กอ่ นหรือหลงั เจา้ มรดกถงึ แกค่ วาม
ตายกต็ ามในเรอื่ งมรดกแทนท่กี ต็ ้องบงั คบั ไปตาม มาตรา 1607 ที่บญั ญตั ไิ วโ้ ดยเฉพาะ เช่นนท้ี ่ีใหผ้ ้สู บื สันดานของทายาททถ่ี ูกกําจัดมใิ ห้
รบั มรดกมสี ิทธิรบั มรดกแทนท่ที ายาททถ่ี กู กาํ จัดมิใหร้ บั มรดกของเจา้ มรดกได้ หาไดถ้ ือวา่ มาตรา 1607 ต้องอยภู่ ายใตบ้ งั คับมาตรา
1639 นอกจากนมี้ าตรา 1627 ยงั บญั ญตั ิว่า บตุ รบุญธรรมนั้น ใหถ้ ือว่าเป็นผสู้ ืบสันดานเหมอื นกับบตุ ร ทีช่ อบดว้ ยกฎหมายซง่ึ เปน็
บทบญั ญตั ิให้ถอื เชน่ น้ันโดยเดด็ ขาด ดงั นยี้ อ่ มตอ้ งถือวา่ นางรชั นกี ร บุตรบญุ ธรรมเป็นผ้สู บื สันดานของนาง ลว้ นเจา้ มรดกซงึ่ แมน้ าง
รชั นีกร จะถูกกําจัดมใิ ห้รับมรดกแล้ว ผ้สู บื สันดานย่อมสามารถสบื มรดกไดต้ าม ปพพ. มาตรา 1607 มิใชว่ า่ การสบื มรดกนีจ้ ะมีไดเ้ ฉพาะ
การสืบมรดกของบตุ รทสี่ บื สายโลหิตจากเจ้ามรดกเทา่ น้ัน และเมอ่ื โจทกเ์ ป็นเพยี งบตุ รของน้องรว่ มบดิ ามารดาเดยี วกบั เจ้ามรดกซงึ่ เปน็

134

135

ทายาทในลำดับถัดลงไป โจทกย์ อ่ มมใิ ช่ทายาทผมู้ สี ิทธริ ับมรดกของนางล้วนตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1630 วรรค
หน่ึง จงึ มใิ ช่ผเู้ สยี หายตามประมวลกฎมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ยอ่ มไมม่ อี ำนาจฟอ้ ง

ฎีกาท่ี 9210/2556 ป.พ.พ. มาตรา 443 วรรคสาม กำหนดใหผ้ ทู้ ำละเมดิ ในกรณีทำให้เขาถงึ แก่ความตายรับผดิ ต่อ
บคุ คลทตี่ ้องขาดไร้อุปการะเฉพาะท่ผี ตู้ ายมีหนา้ ท่ีอปุ การะตามกฎหมายเทา่ น้นั แต่โจทก์รว่ มเป็นบตุ รของผู้ตายกับ ป. ให้การช้ัน
สอบสวนว่า ผตู้ ายกบั ป. ไมไ่ ด้จดทะเบยี นสมรสกนั แมผ้ ตู้ ายแจง้ การเกดิ ของโจทก์ร่วมวา่ โจทก์ร่วมเปน็ บตุ รของผู้ตาย และตาม
พฤตกิ ารณเ์ หน็ ไดว้ า่ ผตู้ ายยนิ ยอมให้โจทก์รว่ มใช้ชื่อสกุลอนั ถือวา่ โจทกร์ ว่ มเป็นบตุ รนอกกฎหมายทบ่ี ิดารบั รองแล้วตามมาตรา 1627 ก็
ตาม แตต่ ามมาตรา 1563 และมาตรา 1564 ทบ่ี ญั ญตั ิใหบ้ ตุ รและบิดาจำต้องอปุ การะเลี้ยงดูกันนัน้ หมายถึงบตุ รและบดิ าโดยชอบดว้ ย
กฎหมายเทา่ นนั้ ไม่มีบทบัญตั ิกำหนดสทิ ธแิ ละหนา้ ทใ่ี ห้บดิ าจำตอ้ งอุปการะเล้ยี งดบู ตุ รนอกกฎหมาย ดงั นั้น แมโ้ จทกร์ ว่ มซึ่งเป็นบุตร
นอกกฎหมายที่บดิ ารับรองแล้วจะเปน็ ทายาทโดยธรรมมสี ิทธริ ับมรดกของบดิ าได้ แตก่ ็ไม่มสี ทิ ธิเรยี กคา่ อุปการะเลย้ี งดจู ากบิดา โจทก์
ร่วมจงึ ไม่มีสิทธิเรยี กคา่ ขาดไร้อปุ การะจากจำเลย ซงึ่ เป็นผู้ทำละเมิดใหบ้ ดิ าของตนถึงแก่ความตายได้ คงมีสิทธิเรยี กค่าสินไหมทดแทน
เกี่ยวกับคา่ ปลงศพและคา่ เสียหายแกจ่ กั รยานยนตข์ องผตู้ าย ซงึ่ เป็นสทิ ธขิ องผูท้ เ่ี ปน็ ทายาทที่จะเรยี กร้อวเอาแกผ่ ทู้ ำละเมดิ ใหเ้ จา้ มรดก
ถึงแกค่ วามตายเทา่ น้นั

ฎีกาท่ี3688/2556 ทด่ี ินพพิ าทเปน็ ทดี่ ินมรดกตกทอดมายังทายาทของ พ.และ บ. โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทมี
ส่วนเปน็ เจา้ ของเพยี ง 1 ใน 8 สว่ น แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะผจู้ ัดการมรดกไดโ้ อนชอ่ื ทางทะเบยี นมาเปน็ ของจำเลยท1่ี เพยี งผู้เดยี ว แล้ว
นำทดี่ นิ แปลงดงั กลา่ วไปจดทะเบยี นจำนองเป็นประกนั หนีเ้ งนิ กยู้ ืมไว้แกจ่ ำเลยที่ 2 โดยโจทก์ท่ี 1 ที่ 2 และทายาทอื่นมไิ ดร้ ูเ้ หน็ ยินยอม
ใหจ้ ำเลยท่ี 1 กระทำการดังกลา่ ว เชน่ นี้ จำเลยท่ี 1 ย่อมมกี รรมสิทธิ์ในทด่ี นิ เพียง 1 ใน 8 ส่วน เทา่ นั้น การทจ่ี ำเลยที่ 1 นำทด่ี ินพิพาท
ไปจดทะเบยี นจำนองไว้แกจ่ ำเลยที่ 2 ย่อมผูกพันเฉพาะส่วนท่เี ปน็ ของจำเลยที่ 1 หามผี ลผกู พันโจทก์ที่ 1 ท่ี 2 และทายาทอ่ืนไม่ ทั้งนี้
ตามนัยแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 705 โดยไม่ตอ้ งคำนงึ ว่าจำเลยท่ี 2 จะรับจำนองไวโ้ ดยสุจรติ หรือไม่ โจทก์ทง้ั สามยอ่ มมสี ิทธฟิ อ้ งขอให้ศาล
พพิ ากษาเพกิ ถอนนิตกิ รรมจำนองเฉพาะส่วนทโี่ จทก์ท่ี 1 ท่ี 2 และทายาทอ่นื เป็นเจา้ ของได้ กรณีนไ้ี ม่อาจนำบทบัญญัตแิ หง่ ป.พ.พ.
มาตรา 1299 วรรคหนงึ่ และมาตรา 1300 มาใช้บงั คบั

ฎีกาท่ี 7031/2557 ท่ีดินพิพาทเป็นทรพั ยท์ ่ี ว. ไดม้ าขณะที่ ว. มีโจทกเ์ ป็นภริยาโดยชอบดว้ ยกฎหมาย จงึ เปน็
สนิ สมรสที่สามีภรยิ าตอ้ งจดั การรว่ มกันหรือจัดการโดยไดร้ บั ความยินยอมจากอีกฝา่ ยหนึ่ง เมือ่ มกี ารขายฝากที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา
1476 (1) แต่ปรากฏวา่ มกี ารปลอมลายมอื ช่ือโจทก์ในฐานะผู้ใหค้ วามยินยอมไปทำนิตกิ รรมขายฝาก จงึ เปน็ การทำนติ ิกรรมที่ ว. ทำไป
ลำพังฝา่ ยเดยี ว เปน็ นติ ิกรรมไมส่ มบรู ณ์ ซง่ึ มผี ลใหค้ ู่สมรสที่ไม่ใหค้ วามยนิ ยอมอาจขอใหศ้ าลเพิกถอนได้ เวน้ แตน่ ติ ิกรรมนนั้
บคุ คลภายนอกไดก้ ระทำโดยสุจรติ และเสยี ค่าตอบแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 วรรคหนง่ึ แต่กฎหมายมไิ ดบ้ ญั ญัติว่านติ ิกรรมนั้น
เปน็ โมฆะหรอื โมฆยี ะ ดงั นน้ั ตราบใดทส่ี ญั ญาขายฝากท่ดี นิ ยังไมถ่ กู ศาลเพิกถอน บคุ คลภายนอกท่ีเปน็ คสู่ ญั ญายอ่ มมีสทิ ธิสมบรู ณใ์ น
ที่ดิน

135

136

ฎีกาที่ 8943/2557 ภรยิ ามีสทิ ธเิ รียกค่าทดแทนจากหญงิ อืน่ ทีม่ คี วามสมั พันธฉ์ นั ชู้สาวกบั สามีได้โดยอาศยั บทบญั ญตั ิ
แหง่ ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคหนงึ่ ซง่ึ บญั ญตั ิไว้ว่า "เมอื่ ศาลพพิ ากษาใหห้ ยา่ กันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภรยิ าหรอื สามีมีสิทธิ
ได้รบั คา่ ทดแทนจากสามีหรือภรยิ าและจากผซู้ ่งึ ได้รับการอปุ การะเล้ียงดูหรอื ยกยอ่ งหรือผู้ซึ่งเป็นเหตแุ หง่ การหยา่ น้นั " ดงั นนั้ การท่ี
โจทก์จะไดร้ ับค่าทดแทนจากจำเลยได้จงึ ต้องเป็นกรณีทศี่ าลพพิ ากษาให้โจทก์และ น. หยา่ กันและเหตทุ ่ี น. อปุ การะเล้ียงดหู รือยกยอ่ ง
จำเลยฉันภริยา มชี ู้ หรือร่วมประเวณีกับจำเลยเป็นอาจิณ เม่อื ปรากฏว่าโจทก์กับ น. หยา่ กนั โดยทำสญั ญาประนีประนอมตอ่ ศาล แม้
ศาลมีคำพิพากษาตามยอม การทำสญั ญาประนีประนอมกันนน้ั หาใชก่ ารท่ีคคู่ วามยอมรบั ตามคำฟ้องและคำใหก้ ารกันไม่ จงึ ไมใ่ ชก่ รณีท่ี
ศาลพพิ ากษาใหห้ ยา่ กันเพราะมเี หตหุ ยา่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1) โจทก์จงึ ไมม่ สี ทิ ธิไดร้ ับคา่ ทดแทนจากจำเลยตามบทบญั ญัตแิ หง่
กฎหมายดงั กล่าวไดแ้ ละแม้บทบญั ญตั แิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง จะใหส้ ทิ ธิภรยิ าเรยี กค่าทดแทนจากหญงิ อน่ื ที่แสดงตนโดย
เปดิ เผยวา่ ตนมีความสัมพนั ธก์ บั สามใี นทำนองช้สู าว โดยไม่ต้องฟอ้ งหยา่ สามีโดยอาศัยเหตหุ ยา่ ตามมาตรา 1516 (1) กต็ าม แตต่ ามคำ
ฟอ้ งของโจทก์หาไดบ้ รรยายฟอ้ งโดยอ้างพฤติการณ์วา่ จำเลยแสดงตนโดยเปดิ เผยว่าจำเลยมคี วามสมั พนั ธ์กบั น. สามโี จทกใ์ นทำนองชู้
สาวไม่ จงึ ไมก่ ่อให้เกดิ ประเด็นทโ่ี จทก์จะนำสบื เกย่ี วกบั ขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ ว

ฎกี าที่ 1854/2551 ผู้คดั ค้านอยกู่ นิ ฉนั สามภี รยิ ากบั มารดาของผูต้ ายภายหลงั จากทมี่ กี ารบังคบั ใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5
โดยมิได้จดทะเบยี นสมรสกัน ดงั นั้น แม้ผคู้ ัดค้านจะอุปการะเล้ียงดูผตู้ ายตลอดมาซง่ึ ทำใหผ้ ้ตู ายเป็นบตุ รนอกกฎหมายที่ผคู้ ัดคา้ นรับรอง
แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 ก็ตาม แต่ผลของบทบญั ญตั ดิ งั กล่าวกเ็ พยี งแตใ่ หถ้ อื วา่ บตุ รน้ันเปน็ ผ้สู บื สันดานเหมอื นกบั บตุ รท่ชี อบด้วย
กฎหมายมสี ิทธิรับมรดกของบดิ าเท่านน้ั หาได้มผี ลทำใหบ้ ดิ าทีไ่ ม่ชอบดว้ ยกฎหมายกลบั เปน็ บดิ าทีช่ อบดว้ ยกฎหมายซึ่งมสี ทิ ธไิ ดร้ บั
มรดกของบตุ รในฐานะทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 ด้วยไม่ ผู้คดั คา้ นจึงมิใช่ทายาทของผตู้ ายหรือผู้มีส่วนไดเ้ สยี ในกอง
มรดกของผตู้ ายท่ีจะมีสิทธคิ ดั คา้ นการขอจดั การมรดกหรือรอ้ งขอใหศ้ าลตงั้ ตนเองเป็นผ้จู ดั การมรดกของผตู้ ายได้

ฎกี าที่ 10560/2557 สามเี ป็นฝา่ ยตดั สินใจแยกไปอยทู่ อี่ ่ืนเองแล้วกลบั ไปมภี รยิ าใหม่จนมีบัตรด้วยกนั ภรยิ าจงึ ไม่ได้ไป
มาหาสู่อยู่กินหลับนอนฉันสามีภรยิ าดว้ ย สามฟี อ้ งหยา่ ไมไ่ ด้ เพราะมิใชพ่ ฤติการณ์ทแี่ สดงว่าภริยาสมคั รใจแยกกันอยู่ เพราะเหตทุ ีไ่ ม่
อาจอยู่ร่วมกนั ฉนั สามีภรยิ าได้โดยปกตสิ ขุ มาตลอดมาเกิน 3 ปี อนั เป็นเหตุใหส้ ามฟี ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516

ฎกี าท่ี 9679/2557 ข้อเท็จจริงเบ้ืองตน้ รบั ฟังได้ว่า นายหยี มะลิพนั ธ์ อยู่กินดว้ ยกันกับนางบวั (มัย) โกมุทผล มีบตุ ร
ดว้ ยกนั คอื นายเพรา มะลพิ ันธ์ นางบวั ยงั มีบุตรอีกคนหน่งึ คอื นายเชย โกมทุ ผล ผคู้ ดั คา้ นอา้ งว่านายเชยเปน็ บตุ รนางบัวอนั เกดิ จากนาย
หยี นายเชยอย่กู ินกับนางเอม โกมุทผล มบี ุตรด้วยกันหลายคนรวมทัง้ นายประชา โกมุทผล และผูร้ ้องทง้ั สาม เมอื่ นายหยถี ึงแกค่ วาม
ตาย นางบัวอยกู่ ินกับนายขำ โกมุทผล มีบตุ รด้วยกนั สองคนคือนางเสนอ เพ็งทิพย์หรือเพญ็ ทิพย์ ผตู้ ายกับนายสวาท โกมุทผล ผูร้ ้องทง้ั
สามอ้างว่านายเชยซงึ่ เป็นบตุ รนางบวั กเ็ ปน็ บตุ รทเี่ กดิ จากนายขำมใิ ชน่ ายหยี ซงึ่ ก็คอื อ้างว่า นายเชยเปน็ บุตรนายขำ สำหรบั นายสวาทมี
บุตรหลายคนรวมทงั้ ผคู้ ดั คา้ นและนางบญุ พา ทองอนิ ทร์ นายสวาทถึงแกค่ วามตายปี 2501 นายขำถงึ แกค่ วามตายปี 2504 นางบัวถงึ
แกค่ วามตายปี 2509 นายเชยถงึ แกค่ วามตายปี 2518 ผตู้ ายถงึ แก่ความตายวันท่ี 17 กนั ยายน 2525 นายเพราถงึ แกค่ วามตายปี 2530

136

137

ผู้ตายมีสามีและมีบตุ รคนหนึ่ง แตท่ งั้ สามีและบตุ รผตู้ ายถึงแก่ความตายเมือ่ ปี 2506 และ 2516 ตามลำดบั ก่อนผู้ตายถงึ แกค่ วามตาย
ดงั น้ัน ขณะทผ่ี ู้ตายถงึ แก่ความตายคู่สมรส ผสู้ บื สนั ดานและบิดามารดาผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายไปหมดแลว้ ผตู้ ายมีทรพั ย์มรดกเป็นทีด่ นิ มี
โฉนดเมอ่ื คู่สมรส ผสู้ ืบสันดานและบดิ ารมารดาผู้ตายถงึ แก่ความตายไปกอ่ นผู้ตาย ผูม้ สี ิทธิรบั มรดกของผตู้ ายกค็ ือพ่ีน้องรว่ มบดิ ามารดา
เดียวกันกบั ผูต้ ายตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1629(3) ซง่ึ ก็คือนายสวาทหรือผูร้ ับมรดกแทนที่ ส่วนนายเชย หาก
นายเชยเป็นบตุ รนายขำ นายเชยก็เปน็ พน่ี ้องรว่ มบิดามารดาเดยี วกบั กับผตู้ าย นายเชยหรอื ผ้รู บั มรดกแทนที่นายเชยกม็ ีสิทธริ บั มรดก
ของผตู้ ายเช่นเดยี วกบั นายสวาท แต่หากนายเชยไม่ใชบ่ ตุ รนายขำหรือนายเชยเป็นบุตรนายหยี นายเชยกเ็ ปน็ เพยี งพี่น้องร่วมมารดา
เดยี วกนั กับผ้ตู ายตามมาตรา 1629(4) ไม่มีสทิ ธิรับมรดกของผตู้ าย หลงั จากผตู้ ายถงึ แก่ความตาย ไม่มผี ้ใู ดรอ้ งขอจดั การมรดกของผตู้ าย
ฝ่ายผคู้ ดั คา้ นและนางบุญพาเป็นฝา่ ยครอบครองทดี่ นิ อนั เป็นทรพั ยม์ รดกของผตู้ ายตลอดมา จนเวลาลว่ งเลยมา 21 ปีเศษ ผรู้ อ้ งท้ังสาม
จงึ ย่ืนคำร้องขอเป็นผู้จดั การมรดกของผตู้ าย โดยผูร้ ้องทั้งสามยนื่ คำร้องขอเป็นผจู้ ดั การมรดกผู้ตายเม่ือวนั ที่ 24 ตลุ าคม 2546 ศาล
ชั้นตน้ ไต่สวนแล้วมคี ำสงั่ เมอ่ื วนั ท่ี 22 ธันวาคม 2546 ตง้ั ผูร้ ้องทงั้ สามและนางบญุ พารว่ มกนั เปน็ ผู้จดั การมรดกของผตู้ าย แต่หลงั จาก
ศาลชัน้ ตน้ มคี ำสงั่ ตงั้ ผจู้ ดั การมรดกดังกลา่ วแล้ว การจดั การมรดกเกีย่ วกับทรพั ย์มรดกที่เป็นที่ดินมีเหตุขดั ขอ้ ง เนื่องจากโฉนดทด่ี นิ อยู่
ฝ่ายนางบุญพาและผคู้ ดั คา้ น ผ้รู อ้ งทง้ั สามฟ้องนางบญุ พาและผคู้ ดั คา้ นใหส้ ง่ มอบโฉนดที่ดิน ขณะคดีดงั กลา่ วอย่ใู นระหว่างพจิ ารณาของ
ศาลชั้นตน้ ผู้คดั คา้ นย่ืนคำคัดคา้ นเขา้ มาในคดนี ี้ ในชัน้ สืบพยานผู้คดั คา้ นซึ่งเปน็ ฝา่ ยนำพยานเขา้ สบื กอ่ นผู้ร้องทั้งสาม ผคู้ ดั ค้านขอใหม้ ี
การตรวจพสิ จู น์ความสมั พนั ธ์ทางพันธุกรรม (ดเี อ็นเอ) ว่าผูร้ ้องท่ี 1 กบั ผูค้ ดั คา้ นสบื สายพันธท์ุ างบดิ าเดยี วกนั หรอื ไม่ (สำนวนอนั ดบั
44) ซงึ่ ก็คอื พสิ ูจนว์ า่ นายเชยเปน็ บุตรนายขำหรือไม่ โดยขอ้ เท็จจริงยตุ ิแลว้ า่ นายสวาทเป็นบตุ รนายขำ ผู้รอ้ งทงั้ สามไมย่ นิ ยอม (สำนวน
อนั ดับ 47) ศาลชัน้ ต้นเห็นวา่ เมื่อผู้รอ้ งทง้ั สามไม่ยนิ ยอม ก็ไม่อาจสงั่ ใหม้ ีการตรวจพิสูจนไ์ ด้ โดยขณะนัน้ ยงั ไมม่ กี ารประกาศใช้ประมวล
กฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา 128/1 ศาลช้นั ต้นจงึ สบื พยานไป ผคู้ ดั ค้านนำพยานเขา้ สบื 7 ปาก สว่ นผู้รอ้ งทงั้ สามนำพยาน
เขา้ สบื 3 ปาก คือ ผู้รอ้ งที่ 2 นายบญุ เลศิ จินดาพล และนายสามารถ ศรรี ตั น์ ตามลำดับ ในระหว่างการสบื พยานของผรู้ อ้ งทั้งสาม โดย
เมือ่ ศาลชั้นตน้ สบื พยานปากผรู้ อ้ งท่ี 2 กบั นายบุญเลิศจบแลว้ ศาลชน้ั ต้นเหน็ วา่ เปน็ กรณที ่จี ำเปน็ ตอ้ งใหม้ กี ารตรวจพิสจู นค์ วามสมั พันธ์
ทางพันธกุ รรม (ดีเอ็นเอ) ของผู้ร้องที่ 1 กับผู้คดั คา้ น เพอ่ื พิสจู นข์ อ้ เท็จจรงิ ทว่ี า่ นายเชยเปน็ บตุ รนายขำหรือไมอ่ นั เปน็ ประเด็นสำคญั แหง่
คดี จึงมคี ำสง่ั ใหต้ รวจพสิ จู น์ดงั กลา่ วตามนยั มาตรา 128/1 ซง่ึ ใชบ้ ังคบั แลว้ ในขณะทศ่ี าลชน้ั ต้นมีคำสง่ั ครงั้ หลงั นี้ ผคู้ ดั ค้านขอใหค้ ณะ
แพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหิดล ตรวจพสิ ูจน์ สว่ นผรู้ ้องทง้ั สามขอใหส้ ถาบันนติ วิ ทิ ยาศาสตร์ กระทรวงยตุ ิธรรม
ตรวจพิสจู น์อีกแหง่ หนง่ึ แต่สถาบนั นิติวิทยาศาสตร์แจง้ เหตขุ ดั ขอ้ ง ทง้ั สองฝ่ายจงึ ขอใหค้ ณะแพทยศาสตรม์ หาวิทยาลยั สงขลานครินทร์
ตรวจพสิ ูจนอ์ กี แหง่ หน่ึง ปรากฏว่าทง้ั สองแหง่ เจาะเลอื ดผรู้ ้องท่ี 1 กบั ผคู้ ัดค้านนำไปตรวจพสิ ูจน์ โดยเมอ่ื วันที่ 13 พฤศจิกายน 2552
รบั การตรวจพสิ จู น์ที่โรงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวิทยาลัยมหิดล หน่วยดงั กล่าวมีหนงั สือลงวนั ที่ 4 ธันวาคม 2552 แจ้งผลการตรวจ
พสิ ูจน์มายงั ศาลชน้ั ต้นว่าผรู้ ้องท่ี 1 และผคู้ ดั ค้านมีลายพมิ พด์ เี อน็ เอชุดลำดับซำ้ บนโครโมโซมวายท่ไี มไ่ ด้สบื สายพนั ธ์ทุ างฝ่ายบิดา
เดยี วกนั ลงความเห็นวา่ ผรู้ ้องท่ี 1 กับผคู้ ดั คา้ นไมไ่ ด้สืบสายพนั ธทุ์ างฝ่ายบดิ าเดยี วกัน ตามรายงานผลการตรวจเอกสารหมาย ร.19 และ
เมือ่ วันท่ี 21 มกราคม 2553 รับการตรวจพสิ ูจนท์ ี่หน่วยนติ ิเวชศาสตร์และพิษวิทยา ภาควิชาพยาธวิ ิทยา คณะแพทยศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ หนว่ ยดงั กลา่ วมีหนังสอื ลงวันที่ 3 กมุ ภาพันธ์ 2553 แจง้ ผลการตรวจพสิ ูจน์มายงั ศาลช้นั ตน้ ว่า ผรู้ อ้ งท่ี 1
กับผูค้ ัดค้านมีลายพมิ พด์ ีเอ็นเอบนโครโมโซมเพศชายทแี่ ตกตา่ งกัน 14 ตำแหนง่ จาก 17 ตำแหนง่ ลงความเหน็ ว่า ผรู้ ้องที่ 1 กบั ผู้

137

138

คัดคา้ นไม่มีความสมั พนั ธล์ กู พล่ี กู นอ้ งรว่ มป่เู ดียวกัน ตามรายงานผลการตรวจเอกสารหมาย ร.20 ศาลลา่ งทัง้ สองวนิ จิ ฉยั พยานหลักฐาน
ท้งั สองฝา่ ยแลว้ เห็นว่า นายเชยไมใ่ ชบ่ ตุ รนายขำ

มปี ัญหาวนิ จิ ฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทง้ั สามวา่ นายเชยเปน็ บตุ รนายขำหรือไม่ ผรู้ อ้ งทง้ั สามฎีกาวา่
พยานหลักฐานของผรู้ ้องทงั้ สามมนี ำ้ หนักมากกวา่ พยานหลกั ฐานของผคู้ ดั คา้ น ขอ้ เทจ็ จรงิ รับฟงั ไดต้ ามพยานหลักฐานของผรู้ อ้ งท้ังสาม
แลว้ ว่า นายเชยเปน็ บุตรนายขำ ในปัญหาตามฎีกาของผู้รอ้ งทั้งสาม ปรากฏว่ามีการนำสืบท้ังพยานบุคคล พยานเอกสาร และ
พยานหลักฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ กค็ อื การตรวจพิสจู นต์ ามรายงานผลการตรวจเอกสารหมาย ร.19 และ ร.20 สำหรบั พยานบคุ คลทง้ั
สองฝ่ายนำสบื ยันกัน คือผคู้ ดั คา้ น นำสบื วา่ นายเชยเปน็ บตุ รนายหยไี ม่ใชบ่ ุตรนายขำ โดยผคู้ ัดคา้ นมผี ูค้ ดั คา้ นอายุ 61 ปี นายสมพศิ
พินิจ อายุ 55 ปี นายสภุ าพ นาขวญั อายุ 59 ปี นางบญุ พา ทองอินทร์ อายุ 50 ปี และนายอดี หนคู ง อายุ 96 ปี เป็นพยานเบิกความ
ว่า นายเชยเป็นบตุ รนายหยี พยานดังกลา่ วล้วนเปน็ ผู้สงู อายโุ ดยเฉพาะนายอดี อายมุ ากถงึ 96 ปี เบิกความยนื ยนั ว่า นายเชยเปน็ บตุ ร
นายหยี โดยนายเชยอายมุ ากกว่าพยาน 2 ถงึ 3 ปี บา้ นอยใู่ กลก้ นั ท่หี มูบ่ ้านนาในเดยี วกนั นายเชยอยหู่ มบู่ า้ นน้ีจนถึงแกค่ วามตาย ทราบ
ว่านายขำเป็นพอ่ เลย้ี งนายเชย ผรู้ อ้ งท่ี 2 ซึ่งเบิกความเป็นพยาน ผรู้ อ้ งทงั้ สามก็เบิกความยอมรับวา่ นายอดี เป็นท่เี คารพรักของทกุ คน
เปน็ คนดขี องหมบู่ า้ น ไมป่ รากฏวา่ พยานปากนายอดี มสี ว่ นได้เสยี กบั ฝา่ ยใด คำเบิกความของนายอีดจงึ มนี ำ้ หนักให้รับฟงั พยานปากอนื่
ดงั ทีก่ ลา่ วมาแมม้ สี ่วนได้เสยี กบั ฝ่ายผคู้ ดั คา้ นแต่กเ็ ปน็ พยานทีอ่ ยใู่ กล้ชดิ นับเน่อื งเป็นวงศ์ญาตขิ องทงั้ สองฝา่ ย ไม่มเี หตใุ หร้ ะแวงวา่ คำเบกิ
ความไม่เปน็ ความจรงิ สว่ นผู้ร้องทง้ั สามมผี ู้รอ้ งท่ี 2 นายบญุ เลศิ จนิ ดาผล ซง่ึ เปน็ ทนายความของผรู้ ้องทง้ั สามและนายสามารถ ศรีรตั น์
เปน็ พยาน แตพ่ ยานต่างไม่ไดเ้ บกิ ความยืนยนั ว่า นายเชยเป็นบุตรนายขำ เพยี งแต่เบิกความเน้นหนกั ไปทางพยานเอกสารที่ระบวุ า่ นาย
เชยเปน็ บตุ รนายขำ ซง่ึ พยานเอกสารทีผ่ รู้ อ้ งทงั้ สามนำสืบและกล่าวอ้างในฎีกาคือ สำเนาทะเบยี นบ้านของนายเชยซงึ่ ระบุว่านายเชย
เปน็ หัวหนา้ ครอบครวั ระบุในชอ่ งบิดามารดาว่านายขำนางบัวตามทะเบยี นบา้ น เอกสารหมาย ร.1 และมรณบตั รของนายเชย ระบใุ น
ช่องบดิ ามารดาวา่ นายขำนางบวั ตามสำเนามรณบตั รเอกสารหมาย ร.6 ทง้ั ฎกี าด้วยว่า เอกสารท่ีผู้คดั คา้ นอ้างสง่ คอื เอกสารหมาย ค.5
ถึง ค.12 กร็ ะบุวา่ นายเชยเปน็ บตุ รนายขำนัน้ เห็นว่า แมต้ ามทะเบียนและมรณบัตรระบวุ ่านายเชยเปน็ บตุ รนายขำ แตก่ ็ไมเ่ ปน็ การ
แนน่ อนเสมอไม่วา่ ความจริงจะเป็นไปตามท่ีระบไุ วเ้ ช่นนนั้ เพราะอาจะเปน็ การแจ้งไวผ้ ลพลาดต้งั แตต่ น้ ก็ได้ ส่วนเอกสารหมาย ค.5 ถงึ
ค.12 เปน็ เอกสารที่นายประชา โกมุทผล บตุ รนายเชย นำเจ้าหนา้ ท่ที ีด่ นิ เดนิ สำรวจที่ดินทม่ี หี ลกั ฐานเปน็ หนังสือรับรองการทำ
ประโยชน์ของนายเชยและนางบญุ พา ทองอินทร์ นำเจา้ หน้าทท่ี ดี่ นิ เดินสำรวจที่ดินท่ีมีหลกั ฐานเปน็ หนังสอื รับรองการทำประโยชน์ของ
ผูต้ าย โดยนำเดินสำรวจและใหถ้ ้อยคำเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2543 และวันท่ี 16 กุมภาพนั ธ์ 2544 เพ่อื ออกโฉนดทด่ี ินไปกอ่ น เสรจ็ แลว้
จะไปดำเนนิ การขอจดทะเบียนโอนมรดกในขัน้ โฉนดที่ดนิ ต่อไป แมต้ ามเอกสารบางฉบบั เช่นใบไตส่ วนระบุวา่ นายเชยเปน็ บตุ รนายขำ
แตป่ รากฏชดั วา่ เอกสารฉบับทเี่ ป็นบันทึกถ้อยคำของนางบญุ พาและผู้คดั ค้านเจา้ หน้าสอบสวนสทิ ธิไดท้ ำบญั ชเี ครือญาตไิ วแ้ ละผใู้ ห้
ถ้อยคำลงชื่อรบั รองว่าเปน็ บญั ชีเครือญาติทถี่ ูกต้อง ไม่มที ายาทอื่นนอกจากนี้แลว้ โดยบญั ชีเครือญาตดิ งั กล่าวระบวุ ่าผ้ตู ายกบั นายสวาท
เป็นบตุ รนายขำ ไมไ่ ด้ระบุวา่ นายเชยเป็นบตุ รนายขำดว้ ยอนั เปน็ พยานหลักฐานสนบั สนุนคำเบกิ ความของนางบญุ พาและผู้คดั ค้านว่า
ทงั้ นางบญุ พาและผูค้ ดั ค้านยนื ยนั มาแตต่ น้ ว่านายเชยไม่ใช่บุตรนายขำ สำหรับรายงานผลการตรวจพสิ จู นด์ ีเอ็นเอซงึ่ เป็นพยานหลักฐาน
ทางวทิ ยาศาสตร์ ตามเอกสารหมาย ร.19 และ ร.20 ขอ้ ความตามรายงานผลการตรวจ เป็นการยืนยนั วา่ บิดานายเชยกับบิดานายสวาท
ไมใ่ ชบ่ ุคคลคนเดยี วกัน เม่ือขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟังมาเปน็ ทยี่ ตุ แิ ล้ววา่ นายสวาทเปน็ บุตรนายขำ ดังน้ัน ตามรายงานดงั กลา่ วนายเชย ย่อม

138

139

ไม่ใช่บุตรนายขำ ทผ่ี ู้รอ้ งฎกี าวา่ รายงานผลการตรวจพิสจู น์ดงั กลา่ วรับฟงั ไมไ่ ดน้ ัน้ ศาลอุทธรณภ์ าค 8 วินจิ ฉยั ไว้โดยละเอยี ดและชดั
แจง้ ในคำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แลว้ รบั ฟงั ได้และมีนำ้ หนกั ซึง่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ไม่จำต้องวนิ ิจฉยั ซำ้ อกี ท่ีศาลลา่ งท้งั สอง
วนิ ิจฉยั วา่ นายเชยไม่ใชบ่ ตุ รนายขำ นายเชยจงึ ไมใ่ ช่พีน่ ้องร่วมบดิ ามารดาเดียวกันกับผตู้ าย คงรว่ มแต่มารดาเดยี วกันกบั ผู้ตายนน้ั ศาล
ฎกี าเห็นพอ้ งด้วย และเมอ่ื ผูต้ ายมนี ายสวาทเป็นพน่ี ้องร่วมบดิ ามารดาเดยี วกันกับผตู้ าย และเปน็ ทายาทของผตู้ ายตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1629(3) แม้นายสวาทถงึ แกค่ วามตายไปก่อนผู้ตาย แต่นายสวาทมีผู้สบื สนั ดานทยี่ ังมชี วี ิตอยรู่ วมทง้ั
นางบุญพา นางบญุ พาจงึ มสี ทิ ธริ บั มรดกของผูต้ ายแทนที่นายสวาท นางบญุ พาจึงเปน็ ทายาทผมู้ ีสว่ นไดเ้ สยี ที่จะตอ้ งต่อศาลขอใหต้ ัง้
ผู้จดั การมรดกได้ ส่วนนายเชยเป็นทายาทตามมาตรา 1629(4) เม่ือนางบุญพาผู้มีสิทธริ บั มรดกของผตู้ ายแทนที่นายสวาทตามมาตรา
1629(3) ยงั มชี ีวติ อยู่ นายเชยตลอดทงั้ ผู้รอ้ งทงั้ สามซง่ึ เปน็ ผู้สบื สนั ดานของนายเชยยอ่ มไมม่ สี ิทธิรบั มรดกของผตู้ าย ทงั้ ข้อเท็จจริงก็
ปรากฏวา่ นายเชยและผู้ร้องท้งั สามไม่ใชผ่ มู้ ีสว่ นไดเ้ สียประการอ่นื ใดในทรพั ย์มรดกของผูต้ ายแต่อยา่ งใด เม่อื ผ้รู อ้ งทง้ั สามไมม่ สี ิทธิรบั
มรดกของผตู้ าย ยอ่ ไมอ่ าจรอ้ งต่อศาลขอใหต้ ง้ั ผ้จู ดั การมรดกได้ และเป็นเหตสุ ำคัญท่ีจำต้องถอนผู้ร้องทงั้ สามออกจากการเปน็ ผจู้ ัดการ
ของผตู้ าย ฎกี าประการอ่นื นอกจากวินิจฉัยมาเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ไม่จำตอ้ งวนิ ิจฉยั เพราะไม่ทำให้ผลคดเี ปลยี่ นแปลง ท่ศี าล
ช้นั ต้นมคี ำสง่ั ให้ถอนผ้รู ้องทัง้ สามออกจากการเป็นผู้จดั การมรดกของผู้ตาย และศาลอทุ ธรณ์ภาค 8 พพิ ากษายืนนั้น ศาลฎีกาเหน็ พอ้ ง
ด้วย ฎีกาของผู้รอ้ งทง้ั สามฟงั ไม่ข้นึ " พิพากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มชน้ั ฎกี าให้เปน็ พับ

ฎกี าท่ี 16395/2557 ผู้เยาวเ์ ป็นบตุ รเกดิ จากโจทก์ซ่ึงเป็นหญงิ ท่ีมไิ ด้สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ซ่ึงตามบทบัญญตั แิ หง่
ป.พ.พ. มาตรา 1546 ใหถ้ อื ว่าเป็นบตุ รโดยชอบดว้ ยกฎหมายของหญงิ นั้น เวน้ แตจ่ ะมกี ฎหมายบญั ญัตไิ วเ้ ป็นอย่างอื่น สว่ นจำเลยท่ี 1
แมอ้ ้างว่าเปน็ บดิ าของผเู้ ยาว์ แตเ่ มือ่ ผ้เู ยาว์มไิ ดเ้ กดิ จากบดิ ามารดาทสี่ มรสกัน การจะอา้ งว่าผเู้ ยาว์เปน็ บตุ รโดยชอบด้วยกฎหมายก็
ต่อเม่อื บิดามารดาสมรสกัน หรอื บดิ าได้จดทะเบยี นว่าเป็นบตุ รหรือศาลพิพากษาวา่ เป็นบุตร ดงั น้นั เมือ่ จำเลยท่ี 1 มไิ ด้มลี กั ษณะท่ี
ปรากฏตามความดงั กลา่ ว จำเลยที่ 1 จงึ หามสี ทิ ธิใดๆในตวั ผู้เยาว์ไม่ ท้งั นต้ี ามป.พ.พ. มาตรา 1547 ดงั นั้น โจทกจ์ งึ เป็นผูใ้ ช้อำนาจ
ปกครองผูเ้ ยาวแ์ ตเ่ พียวผู้เดยี ว เม่ือโจทก์ไมป่ ระสงคใ์ หจ้ ำเลยทง้ั สองดแู ลเล้ียงดผู เู้ ยาว์ โจทกจ์ งึ มสี ทิ ธิฟ้องบงั คับใหจ้ ำเลยทงั้ สองคืน
ผู้เยาวแ์ ก่โจทกไ์ ด้ ตามป.พ.พ. มาตรา 1567(1)และ(4) ทโ่ี จทก์เป็นผ้กู ำหนดทีอ่ ยขู่ องบตุ ร และเรยี กคืนจากบคุ คลอื่นซงึ่ กกั บตุ รไว้โดยมิ
ชอบได้ ขอ้ อา้ งของจำเลยทงั้ สองทว่ี า่ ดูแลผเู้ ยาวด์ กี ว่าโจทกไ์ ม่อาจรบั ฟังได้ เพราะจำเลยทงั้ สองไม่มีสิทธิใดๆในตัวผู้เยาว์ไมอ่ าจอา้ งเหตุ
เหนอื สิทธขิ องโจทกผ์ ้เู ปน็ ผู้ใช้อำนาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายของผูเ้ ยาวไ์ ด้

ฎีกาท่ี 3675/2547 พนิ ยั กรรมทที่ ำข้นึ ขดั ต่อบทบัญญัติกฎหมายท่ีจะทำให้พินยั กรรมเป็นโมฆะนั้น ป.พ.พ. มาตรา
1705 บญั ญตั ิไว้โดยเฉพาะแลว้ วา่ มีกรณใี ดบา้ งทเี่ ป็นโมฆะ แต่มไิ ด้บัญญตั ใิ หพ้ ินยั กรรมท่ไี ม่ลงลายมอื ช่ือผเู้ ขยี น (หรือผพู้ มิ พ)์ ในกรณีท่ี
ผู้เขียนมใิ ชผ่ ู้ทำพินัยกรรม กล่าวคือทำไมถ่ ูกตอ้ งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1671 ตกเป็นโมฆะ ฉะน้นั เม่ือขณะทำพนิ ยั กรรมในคดีนีม้ ีพยานใน
พินัยกรรมท้ังสีค่ นอยพู่ รอ้ มกันและผูต้ ายลงลายมอื ชอื่ ในพนิ ยั กรรมตอ่ หนา้ พยาน 2 คน พนิ ยั กรรมดงั กลา่ วจงึ ถกู ตอ้ งตามแบบท่ี ป.พ.พ.
มาตรา 1656 กำหนดไว้ และมผี ลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

139

140

ฎกี าที่ 1900/2552 ผ้ตู ายไดเ้ ขียนพินัยกรรมข้ึนเองทง้ั ฉบบั และลงลายมือชอ่ื ของผตู้ ายไวแ้ ลว้ สว่ นที่ จ. ลงลายมอื ช่ือ
เป็นพยานไม่พร้อมกบั พยานอีกคนหนึง่ ในพินัยกรรมนน้ั กห็ าทำให้พนิ ัยกรรมดงั กล่าวไมช่ อบดว้ ยกฎหมายแต่อยา่ งใด เพราะตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1657 เพียงบญั ญตั ใิ ห้ผทู้ ำพินัยกรรมแบบเขยี นเองทัง้ ฉบบั ต้องเขยี นพนิ ัยกรรมด้วยมอื ตนเองซง่ึ ขอ้ ความทงั้ หมด วนั เดอื น ปี
และลายมือชอ่ื ของตนเทา่ นัน้ หาได้บงั คบั ใหต้ อ้ งมีพยาน 2 คน รับรองลายมอื ช่อื ของผทู้ ำพนิ ัยกรรมพรอ้ มกนั ไม่

ผ้รู อ้ งฎีกาอ้างว่า การทผ่ี ูร้ ้องยงั คงตอ่ สคู้ ดแี ละดำเนินคดตี ่อไปเปน็ การคัดคา้ นแลว้ วา่ พนิ ัยกรรม
ทง้ั สองฉบับดงั กลา่ วไม่ใชข่ องผตู้ ายน้นั ก็หามกี ฎหมายใดบญั ญตั ดิ ังทผ่ี ูร้ อ้ งฎกี าไม่ และทผี่ รู้ ้องฎีกาอา้ งตอ่ ไปวา่ หากฟังวา่ ผู้ตายทำ
พนิ ยั กรรมทง้ั สองฉบับดงั กลา่ วจรงิ กเ็ ป็นการทำขึน้ ในขณะสติสัมปชญั ญะไมส่ มบรู ณ์เพราะมกี ารยกทรัพย์ทไ่ี ด้โอนขายไปกอ่ นทำ
พินัยกรรมหรอื ทำเพราะถูกขม่ ขู่น้นั เมอ่ื ปรากฏวา่ ผรู้ อ้ งยน่ื คำร้องขอวา่ ผู้ตายไมไ่ ดท้ ำพินัยกรรมเท่านนั้ ไมไ่ ด้กล่าวอ้างว่าขณะผตู้ ายทำ
พินยั กรรมมสี ตสิ มั ปชญั ญะไม่สมบูรณ์หรือทำเพราะถูกข่มขู่ แตผ่ คู้ ดั คา้ นทัง้ สองยนื่ คำรอ้ งคัดคา้ นท้งั สอง อ. และ ส. ประเดน็ ข้อพพิ าท
จงึ มเี พยี งวา่ ผู้ตายทำพนิ ยั กรรมหรือไมเ่ ทา่ น้นั ดังนฎี้ กี าดงั กล่าวของผู้รอ้ งจงึ เป็นการฎีกาในข้อท่ีไม่ไดย้ กขึ้นวา่ กล่าวกันมาแล้วโดยชอบ
ในศาลลา่ งท้ังสองตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 249 จงึ ตอ้ งฟังวา่ ผู้ตายไดท้ ำพินยั กรรมทงั้ สองฉบบั ดงั กลา่ วในขณะมีสตสิ ัมปชัญญะสมบูรณ์มไิ ด้
ทำเพราะถกู ขม่ ขู่ และมีผลเป็นพนิ ยั กรรมทชี่ อบด้วยกฎหมาย เม่อื พิเคราะหต์ ามพนิ ัยกรรมฉบบั หลงั ซง่ึ เปน็ แบบเขยี นเองท้งั ฉบบั แลว้ มี
ข้อกำหนดยกทรัพยม์ รดกของผตู้ ายและท่จี ะมตี ่อไปในภายหน้าให้ผู้คดั คา้ นทง้ั สอง อ. และ ส. บคุ คลอน่ื ขอตดั มใิ ห้รับมรดกและหา้ ม
เกี่ยวข้อง ดงั น้ี แมผ้ รู้ ้องจะเปน็ บตุ รนอกกฎหมายทบี่ ดิ ารบั รองแล้วหรอื มีคำพิพากษาถงึ ท่สี ดุ ในคดที ่ศี าลเยาวชนและครอบครวั กลางมี
คำสงั่ ว่าผู้รอ้ งเป็นบตุ รโดยชอบดว้ ยกฎหมายของผู้ตายอันมีผลทำใหผ้ ู้ร้องเปน็ ทายาทโดยธรรมของผูต้ ายกต็ าม แตเ่ มอ่ื ผรู้ อ้ งไมไ่ ดร้ ับ
ประโยชน์หรือมสี ทิ ธิใดๆ เกย่ี วกับทรพั ยม์ รดกของผตู้ าย ถือวา่ ผรู้ อ้ งเปน็ ผู้ถูกตดั มใิ ห้รบั มรดกของผูต้ ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 จงึ ไม่
มีสิทธทิ ่จี ะรอ้ งขอตอ่ ศาลใหต้ งั้ ผรู้ ้องเปน็ ผูจ้ ดั การมรดกของผตู้ ายตามมาตรา 1713
แมค้ ดนี เี้ ริ่มคดโี ดยผู้รอ้ งยื่นคำร้องขอตอ่ ศาลช้ันต้นอยา่ งคดีไมม่ ขี ้อพิพาทก็ตาม แตเ่ ม่ือผคู้ ัดค้านท้ังสองไดย้ ื่นคำรอ้ งคดั คา้ นเขา้ มา
เกยี่ วข้องในคดีนซี้ งึ่ ถอื วา่ เป็นค่คู วามและศาลช้ันต้นดำเนนิ คดีอยา่ งคดีอันมขี อ้ พิพาท เมือ่ ผูร้ ้องเป็นฝ่ายแพค้ ดคี วามรบั ผดิ ในคา่ ฤชาธรรม
เนียมจึงตกอยแู่ กผ่ รู้ อ้ ง ซ่ึงเม่ือคำนึงถงึ เหตุสมควรและความสจุ รติ ในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคคู่ วามทง้ั สองฝา่ ยแลว้ ทศี่ าล
ช้ันตน้ ใชด้ ลุ พนิ จิ กำหนดให้ผ้รู ้องใชค้ า่ ฤชาธรรมเนยี มแทนผคู้ ัดคา้ นทัง้ สอง โดยกำหนดคา่ ทนายความ 3,000 บาท นน้ั นบั วา่ เหมาะสม
แล้ว

ฎีกาที่ 8018/2547 การทำพินยั กรรมอาจทำไดห้ ลายแบบ เมือ่ ผตู้ ายเขยี นพินยั กรรมเองทงั้ ฉบับโดยมขี อ้ ความ
ครบถ้วนตามเง่ือนไขท่ี ป.พ.พ. มาตรา 1657 กำหนด แม้จะให้พยานลงช่อื แตก่ เ็ ป็นสว่ นเกินทไ่ี มท่ ำใหพ้ นิ ยั กรรมแบบเขียนขึน้ เองท้ัง
ฉบับตอ้ งเสยี ไป พนิ ัยกรรมนน้ั ย่อมสมบูรณ์ โดยไม่จำต้องพจิ ารณาว่าเปน็ โมฆะตามรปู แบบนนิ ัยกรรมชนดิ อืน่ อกี หรอื ไม่ เมื่อผู้ตายทำ
พนิ ัยกรรมทรพั ยส์ ินใหแ้ กผ่ ้รู อ้ งเช่นนี้ ถอื ว่าทายาทโดยธรรมผทู้ ม่ี ไิ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากพินยั กรรมเปน็ ผู้ถูกตัดมใิ หร้ บั มรดกตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1608 วรรคท้าย ผคู้ ัดคา้ นทง้ั สองจงึ ไมใ่ ช่ทายาทหรือผ้มู สี ่วนไดเ้ สยี ทีจ่ ะรอ้ งคดั ค้านและขอตงั้ ผจู้ ดั การมรดก ตามมาตรา 1713

140

141

ฎีกาที่ 2102/2551 จำเลยกบั ผตู้ ายอยู่กนิ ฉันสามภี รยิ ากันโดยไมจ่ ดทะเบยี นสมรส จงึ ไม่ต้องพจิ ารณาวา่ ทรัพยพ์ พิ าท
เป็นสนิ สมรสหรอื ไม่ คงตอ้ งพิจารณาเฉพาะเร่อื งกรรมสทิ ธ์ริ วมวา่ เป็นทรัพยส์ นิ ทซ่ี ้อื หามาดว้ ยเงนิ ที่รว่ มกนั ทำมาหาไดห้ รือไม่ เมอ่ื ท่ีดิน
พพิ าทเปน็ ทด่ี นิ ทผ่ี ู้ตายไดร้ บั มาโดยการรับมรดกและโดยการใหโ้ ดยเสนห่ า ยอ่ มไมใ่ ช่ทรัพยท์ ่จี ำเลยเปน็ เจ้าของรวมอยดู่ ว้ ย ที่ดนิ พิพาท
จึงเปน็ ทรพั ยส์ นิ ของผตู้ ายเพยี งผ้เู ดยี ว

พินยั กรรมทผ่ี ูต้ ายทำขึน้ โดยใช้พมิ พ์ดดี ทงั้ ฉบบั ยอ่ มไมใ่ ช่พินยั กรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับตาม ป.
พ.พ. มาตรา 1657 คงเป็นแตพ่ นิ ยั กรรมแบบธรรมดาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1656 ทต่ี อ้ งมพี ยานรูเ้ ห็นซงึ่ มาตรา 1656 วรรคหนึ่ง บัญญตั ิ
ว่าผูท้ ำพินยั กรรมต้องลงลายมือชอ่ื ไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน การที่พยานในพนิ ยั กรรมพิพาทลงลายมอื ชอื่ เป็นพยาน
ภายหลงั จงึ ขดั ตอ่ บทบญั ญตั ิดงั กล่าวพนิ ยั กรรมพิพาทยอ่ มตกเปน็ โมฆะตามมาตรา 1705

ฎีกาท่ี 6838/2555 หลงั จากทศี่ าลมคี ำสงั่ ตง้ั ผูจ้ ดั การมรดกแล้ว ว. ทายาทคนหนง่ึ ของเจ้ามรดกถงึ แกค่ วามตาย ทรพั ย์
มรดกของ ว. จงึ ตกทอดแกจ่ ำเลยท่ี 1 ซงึ่ เป็นทายาทผสู้ ืบสิทธชิ นั้ บตุ รและจำเลยท่ี 2 ซ่งึ เป็นภรยิ า หลังจากนน้ั ไดม้ ีการทำข้อตกลง
แบง่ ปนั ทรพั ย์มรดกของเจา้ มรดกระหว่างผูจ้ ดั การมรดกกบั จำเลยท่ี 2 โดยทงั้ สองฝา่ ยตกลงกันวา่ ทดี่ นิ พพิ าทซง่ึ เป็นมรดกของเจา้ มรดก
ให้ตกเปน็ กรรมสิทธข์ิ องทายาท ว. ซงึ่ ในวันทที่ ำบันทึกแบง่ ปันทรัพย์มรดกดงั กล่าวไมป่ รากฏว่าผ้จู ดั การมรดกกระทำโดยมชิ อบหรือทำ
ผิดหนา้ ทหี่ รือทำเกินอำนาจหนา้ ท่ผี ู้จดั การมรดกแตป่ ระการใด จงึ เป็นสทิ ธขิ องผูจ้ ดั การมรดกทีจ่ ะกระทำได้ตามกฎหมาย ถือไดว้ ่า
ผจู้ ดั การมรดกทำกิจการในขอบอำนาจท่ไี ดร้ ับมอบหมายเพ่อื แบง่ ปนั ทรัพยม์ รดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 และมาตรา 1724 บนั ทึก
ขอ้ ตกลงแบง่ ปันทรพั ยม์ รดกดงั กล่าวจงึ มีผลผกู พันทายาททงั้ หมดของเจ้ามรดก รวมท้ังโจทก์ด้วย จำเลยทง้ั สองไม่ไดเ้ ป็นทายาทของเจ้า
มรดกทั้งไมใ่ ช่ทายาทผเู้ ข้ารบั มรดกแทนท่ี ว. เปน็ เพยี งทายาทของ ว. ซง่ึ มสี ทิ ธริ บั มรดกของเจ้ามรดกทต่ี กไดแ้ ก่ ว. เท่านั้น จำเลยทง้ั
สองจงึ อยใู่ นฐานะบคุ คลภายนอกที่จะไดร้ ับความค้มุ ครองตามมาตรา 1724

แม้บนั ทึกข้อตกลงแบง่ ปันทรพั ยม์ รดกจะมลี กั ษณะเป็นสญั ญาประนปี ระนอมยอมความตาม ป.
พ.พ. มาตรา 1574 (12) ทผ่ี ู้แทนโดยชอบธรรมจะกระทำแทนผู้เยาว์ไมไ่ ด้ เว้นแตศ่ าลจะอนญุ าต และจำเลยที่ 2 ไดก้ ระทำบันทกึ
ดังกลา่ วแทนจำเลยที่ 1 ซ่ึงเปน็ บตุ รผเู้ ยาว์โดยไมไ่ ดข้ ออนุญาตศาลอนั เปน็ การฝา่ ฝืนตอ่ บทบัญญัตดิ งั กลา่ วกต็ าม แตก่ ารขออนญุ าตศาล
หรือไม่ ไม่ใชแ่ บบของนิตกิ รรมและกฎหมายก็มิไดบ้ ญั ญตั ิไวโ้ ดยชัดแจง้ ว่าใหน้ ติ ิกรรมทฝ่ี ่าฝนื บทบญั ญัตดิ ังกลา่ วเป็นโมฆะกรรม ท้ังการที่
กฎหมายบัญญตั ิใหผ้ ู้แทนโดยชอบธรรมทำนติ กิ รรมเกยี่ วกับทรพั ย์สินของผเู้ ยาวต์ ามมาตรา 1574 ไมไ่ ด้ เวน้ แตศ่ าลอนุญาตนัน้ เป็น
เจตนารมณ์ของกฎหมายทปี่ ระสงค์ใหศ้ าลเปน็ ผูก้ ำกบั ดแู ลผลประโยชนส์ ่วนได้เสยี ของผู้เยาว์ โดยดแู ลให้ผแู้ ทนโดยชอบธรรมปฏบิ ตั ิ
หน้าท่ขี องตนตามที่กฎหมายบญั ญตั ไิ วเ้ พอ่ื ประโยชนข์ องผู้เยาวอ์ ยา่ งถูกต้องแทจ้ รงิ เทา่ นน้ั นติ ิกรรมท่ฝี ่าฝนื บทบญั ญตั ดิ ังกลา่ วจงึ ไม่ถึง
ขนาดตกเปน็ โมฆะกรรม คงมผี ลเพยี งไมผ่ ูกพันผเู้ ยาว์ทบ่ี ทบญั ญตั ขิ องกฎหมายดงั กล่าวมงุ่ ประสงคท์ จี่ ะคุ้มครองเทา่ นั้น ปญั หานเ้ี ปน็
ปัญหาข้อกฎหมายอนั เก่ยี วดว้ ยความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน ศาลฎกี ามอี ำนาจยกขนึ้ วินจิ ฉยั เองได้ ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) เมอ่ื
บันทกึ ข้อตกลงแบง่ ปนั ทรัพย์มรดกดงั กล่าวไมต่ กเปน็ โมฆะอันจะทำให้ผูม้ สี ่วนได้เสยี คนหนง่ึ คนใดก็สามารถยกความเสยี เปลา่ แหง่ โมฆะ
กรรมข้ึนกล่าวอา้ งก็ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคหน่ึง แต่มผี ลเพียงไม่ผูกพนั จำเลยท่ี 1 ซงึ่ เป็นผูเ้ ยาว์ จงึ เปน็ เรื่องทจ่ี ำเลยท่ี 1

141

142

เท่าน้นั ทจ่ี ะยกการฝ่าฝนื บทบญั ญตั ดิ ังกลา่ วข้ึนกลา่ วอ้างเพอ่ื มใิ หต้ นต้องผกู พนั ตามบันทกึ ดังกลา่ วได้ ดงั นั้น โจทก์ซงึ่ เป็นบคุ คลภายนอก
ยอ่ มไมม่ สี ิทธทิ ่จี ะยกขึน้ กล่าวอ้างเพอื่ เพิกถอนบันทึกขอ้ ตกลงแบง่ ปันทรพั ยม์ รดกดงั กลา่ วได้

ฎีกาท่ี 4239/2558 ป.พ.พ. มาตรา 1470 ทกี่ ำหนดให้ทรัพยส์ นิ ระหวา่ งสามภี รรยาประกอบด้วยสนิ สว่ นตวั และ
สนิ สมรสนั้น หมายถงึ ทรพั ย์สนิ ท่ีสามภี รรยามีอยใู่ นขณะท่ีเป็นสามีภรรยากนั การท่ผี ตู้ ายถึงแกค่ วามตายย่อมทำให้การสมรสระหว่าง
ผู้ตายกับจำเลยที่ 2 สนิ้ สุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1501 สทิ ธิที่จะไดร้ บั เงินประกันชีวิตน้ัน เป็นสิทธทิ ่ีเกดิ ข้นึ สืบเน่อื งจากความมรณะ
ของผตู้ ายอันมลี ักษณะเปน็ การประกนั ชีวิตและเป็นเงินทีเ่ กิดจากสัญญาระหวา่ งผตู้ ายกบั บคุ คลภายนอกซ่ึงไดร้ ับมาหลงั จากผู้ตายถงึ แก่
ความตายไปแลว้ จงึ ไมเ่ ป็นสนิ สมรสระหวา่ งผตู้ ายกับจำเลยที่ 2 ประกอบกบั ตามตารางกรมธรรมม์ ิได้ระบชุ ่ือผู้รบั ประโยชน์ไวว้ ่าใหใ้ ช้
เงนิ แก่ทายาททง้ั หลายของตนหรอื แก่ผใู้ ด จงึ ไมม่ ีบทกฎหมายทจี่ ะยกมาปรับคดไี ด้โดยตรงและต้องนำ ป.พ.พ. มาใชบ้ ังคบั คอื อาศัย
เทยี บบทกฎหมายทใี่ กลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ ซ่ึงได้แก่มาตรา 897 วรรคหน่งึ ซง่ึ บญั ญตั ิว่า “ถา้ ผเู้ อาประกนั ภยั ไดเ้ อาประกันภยั ไว้โดยกำหนดวา่
เมื่อตนถงึ ซง่ึ ความมรณะให้ใช้เงนิ แก่ทายาทของตนโดยมไิ ดเ้ จาะจงระบชุ ื่อผู้หนึ่งผใู้ ดไวไ้ ซร้ จำนวนเงนิ อันจะพึงใช้นั้นทา่ นใหฟ้ งั เอาเปน็
สินทรพั ย์สว่ นหนงึ่ แหง่ กองมรดกของผเู้ อาประกนั ภยั ซึ่งเจา้ หนี้จะเอาใช้หนีไ้ ด้” ดังนนั้ เงนิ ประกนั ชีวิตดังกลา่ วจงึ ต้องแบง่ ใหแ้ กท่ ายาท
ของผตู้ ายในฐานะสนิ ทรัพยส์ ่วนหนง่ึ แหง่ กองมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629(1), 1630 วรรคสอง และมาตรา 1635(1) โดยโจทกท์ ่ี 2
และท่ี 3 ซ่งึ เปน็ บดิ ามารดาผตู้ ายกบั จำเลยท่ี 2 ซง่ึ เป็นภรรยาผูต้ าย ต่างไดร้ บั ส่วนแบง่ คนละส่วนเท่าๆ กนั และเท่ากับโจทกท์ ี่ 1 จำเลย
ท่ี 1 และ เด็กชาย ศ. ซ่งึ เปน็ ทายาทชน้ั บตุ ร

ฎีกาท่ี 18672/2556 โจทกร์ วมท้งั บดิ ามารดาโจทกแ์ ละผู้อาศยั บนทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี 36239 ใชท้ างพพิ าทสญั จรไปมา
โดยสงบและเปดิ เผย ด้วยเจตนาใหท้ างดงั กลา่ วเป็นภาระจำยอมตดิ ต่อกันมาเป็นเวลาเกินกวา่ 10 ปี ทางพิพาทจงึ ตกเป็นภาระจำยอม
แก่ทด่ี ินโฉนดเลขที่ 36239 ตาม ป.พ.พ. 1401 ประกอบมาตรา 1382

แมท้ ด่ี ินโฉนดเลขท่ี 36239 จะมที างออกทางอ่นื อีก กถ็ อื ไม่ได้วา่ ภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่
สามยทรพั ย์ตาม ป.พ.พ. 1400 นอกจากน้ีภาระจำยอมยงั เป็นทรพั ยสิทธอิ ยา่ งหนง่ึ มใิ ช่สทิ ธเิ ฉพาะตัวของเจา้ ของสามายทรพั ย์ การท่ี
บิดามารดาโจทกซ์ ง่ึ เปน็ เจ้าของท่ีดินโฉนดเลขที่ 36239 อันเปน็ สามยทรพั ย์ถงึ แกค่ วามตาย จึงไมเ่ ปน็๋ เหตุให้ภาระจำยอมทมี่ อี ยตู่ ้องสน้ิ
ไป เพราะสิทธิในการใช้ทางพพิ าททีต่ กเป็นภาระจำยอม ย่อมตกทอดแกท่ ายาทได้ ตาม ป.พ.พ. 1599 และ 1600 โจทก์ในฐานะ
ผูจ้ ัดการมรดกของผตู้ ายทง้ั สองซงึ่ เป็นเจา้ ของสามยทรัพย์ จึงมสี ทิ ธิขอบังคบั ใหจ้ ำเลยทจ่ี ดทะเบยี นภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยได้

ฎกี าท่ี 16040/2555 ป.พ.พ. มาตรา 1598/41 กำหนดถงึ สิทธิของผูเ้ ยาวท์ ี่จะไดร้ บั คา่ อุปการะเล้ยี งดจู ากบดิ ามารดาวา่
จะสละหรือโอนไม่ได้ และไม่อยู่ในข่ายแหง่ การบงั คับคดี สทิ ธหิ น้าทเี่ ก่ียวกับค่าอุปการะเลย้ี งดูจงึ เป็นเรอ่ื งเฉพาะตวั ของผทู้ รงสทิ ธแิ ละ
หนา้ ทีท่ ีจ่ ะต้องชำระคา่ อุปการะเลย้ี งดูกเ็ ปน็ เรอ่ื งเฉพาะตวั เชน่ กนั หากฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ ถงึ แกค่ วามตาย สิทธแิ ละหนา้ ทด่ี ังกลา่ วกเ็ ปน็ อัน
สิ้นสดุ ลงไม่ตกทอดไปยงั ทายาท เมื่อโจทกซ์ ึ่งเป็นบดิ าถงึ แกค่ วามตายไปแลว้ สภาพบคุ คลของโจทก์ก็หมดสนิ้ ไป ภาระหน้าทตี่ ามคำ
พพิ ากษาศาลช้ันต้นที่ใหโ้ จทกจ์ ่ายคา่ อปุ การะเล้ยี งดบู ุตรผเู้ ยาวน์ บั แต่มคี ำพิพากษาจนบตุ รบรรลุนติ ภิ าวะจงึ ยุติไปด้วย แม้โจทก์จะทำ

142

143

พินัยกรรมยกทรพั ยม์ รดกใหแ้ กท่ ายาทไว้กต็ าม หนา้ ที่ในการอปุ การะเลี้ยงดขู องโจทกก์ ็ไมต่ กทอดเป็นมรดกแกท่ ายาทตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1599 และมาตรา 1600 กองมรดกของโจทก์ไมต่ อ้ งชำระคา่ อุปการะเล้ียงดบู ตุ รผเู้ ยาวท์ ้ังสองให้แก่จำเลยอีกตอ่ ไป

ฎีกาท่ี 8687 - 8688/2558 เมอ่ื จำเลยถงึ แก่ความตาย คำสง่ั ศาลทตี่ ง้ั จำเลยเป็นผู้จดั การมรดกไมม่ ีผลต่อไป แต่ความรบั ผดิ
ของผจู้ ดั การมรดกอันเกิดจากการจดั การมรดกมชิ อบมใิ ชเ่ ป็นการเฉพาะตวั จงึ ยอ่ มตกทอดแก่ทายาท ทศ่ี าลอนญุ าตให้ ท. เปน็ คคู่ วาม
แทนทจ่ี ำเลยจงึ ชอบแลว้ พินยั กรรมมีลายมอื ช่อื พยานสองคนและไม่มกี ฎหมายห้ามมใิ ห้พยานในพินยั กรรมเป็นพยานรับรองลายพิมพ์
น้วิ มือในขณะเดยี วกนั เมื่อไมป่ รากฏวา่ พยานในพนิ ยั กรรมทง้ั สองเป็นบคุ คลตอ้ งหา้ ม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1670 การทีผ่ ู้ทำพินยั กรรม
ลงลายมอื ช่อื และพมิ พ์ลายนิ้วมือตอ่ หน้า ช. กบั ห. เมื่อบคุ คลทงั้ สองลงลายมอื ชอ่ื รบั รองไวใ้ นขณะทำพินยั กรรม ตามมาตรา 1665
พินยั กรรมจึงถูกต้องตามแบบและสมบูรณต์ ามกฎหมาย

ฎกี าที่ 5661/2559 (ประชุมใหญ)่ การจดทะเบยี นเด็กเปน็ บุตรชอบดว้ ยกฎหมายเป็นวิธีการอยา่ งหน่ึงท่กี ฎหมายให้สทิ ธแิ ก่
บดิ าทีม่ ิได้สมรสกับมารดากระทำได้ ไม่ว่าเดก็ นัน้ จะบรรลนุ ิตภิ าวะแล้วหรือไมก่ ต็ าม แตห่ ากเด็กหรอื มารดาเด็กคัดค้านว่าผขู้ อจด
ทะเบยี นไมใ่ ช่บิดา หรือไมใ่ หค้ วามยนิ ยอม หรือไมอ่ าจใหค้ วามยนิ ยอมได้ การจดทะเบยี นเด็กเปน็ บุตรตอ้ งมคี ำพพิ ากษาของศาล ดงั ที่
บัญญตั ิไวใ้ นมาตรา 1548 วรรคสาม และในกรณที ี่เด็กยงั เปน็ ผเู้ ยาว์ เด็กหรือมารดาเด็กอาจแจ้งต่อนายทะเบยี นว่าบดิ าไม่สมควรบดิ าไม่
สมควรเป็นผูใ้ ช้อำนาจปกครอง หรือร้องขอต่อศาลให้พพิ ากษาวา่ ผูข้ อจดทะเบียนรบั เด็กเปน็ บตุ รไมเ่ ปน็ ผู้สมควรใช้อำนาจปกครอง
ท้ังหมดหรอื บางส่วนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1549 วรรคสอง จากบทบัญญตั ดิ ังกลา่ วแสดงว่ากฎหมายมเี จตนารมณ์ทีจ่ ะให้การคมุ้ ครอง
ประโยชน์และความผาสขุ ของบุตรโดยให้มีสิทธแิ ละหนา้ ทรี่ ะหวา่ งบดิ ากบั บตุ รตง้ั แตว่ ันทเ่ี ด็กเกดิ กรณีเช่นนี้แม้กฎหมายจะมไิ ดก้ ำหนด
ระยะเวลาในการขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบตุ รดงั เชน่ ทบ่ี ัญญัติไว้ในกรณขี องการฟ้องขอใหร้ บั เด็กเป็นบตุ ร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1556
วรรคสามและวรรคส่ี และแม้เดก็ หรือบิดาของเด็กถงึ แก่ความตายแลว้ ก็ใหส้ ทิ ธแิ กผ่ สู้ บื สันดานของเดก็ หรือเด็กทจ่ี ะฟ้องคดขี อให้รับเด็ก
เปน็ บตุ รได้ ทงั้ นี้ เพือ่ ประโยชนใ์ นการรบั มรดกระหว่างกนั อนั มบี ทกฎหมายบญั ญตั ิไวโ้ ดยชดั แจง้ ในมาตรา 1556 วรรคสี่ และมาตรา
1558

การร้องขอจดทะเบยี นรบั เดก็ เปน็ บุตร ไม่มบี ทกฎหมายบญั ญตั ริ บั รองสิทธโิ ดยชดั แจง้ ว่าให้ผู้อา้ ง
วา่ เปน็ บดิ าของเด็กนำคดีไปสูศ่ าล ขอใหศ้ าลพิพากษาใหจ้ ดทะเบยี นรับเด็กเปน็ บตุ รในกรณที เี่ ด็กถงึ แกค่ วามตายแล้วได้ ซง่ึ แตกต่างจาก
กรณที ี่เดก็ ไมม่ ีมารดาหรือมารดาถงึ แกค่ วามตาย โดยมีการตงั้ ผอู้ ่นื เป็นผู้ปกครองก่อนมกี ารจดทะเบยี นรับเด็กเป็นบตุ ร บดิ าซงึ่ จด
ทะเบียนรับเดก็ เป็นบตุ รชอบด้วยกฎหมายแลว้ ย่อมมีสทิ ธริ อ้ งขอตอ่ ศาลให้มคี ำสงั่ ถอนความเปน็ ผปู้ กครองบางสว่ นหรอื ทงั้ หมดกไ็ ด้
ตามทบี่ ญั ญตั ไิ วใ้ น ป.พ.พ. มาตรา 1552 ย่อมเป็นขอ้ แสดงวา่ ความมอี ยู่ซ่ึงสภาพบคุ คลของมารดาหรือไม่ มใิ ชเ่ ปน็ ข้อสาระสำคญั ฉะน้ัน
ความในมาตรา 1548 วรรคสาม ทบ่ี ญั ญตั ิว่า "ในกรณีท่ีเด็กหรอื มารดาเดก็ ...ไมใ่ หค้ วามยนิ ยอมหรอื ไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจด
ทะเบยี นเดก็ เปน็ บตุ รตอ้ งมีคำพพิ ากษาของศาล" คำวา่ "ไม่อาจให้ความยินยอม" ยอ่ มหมายถงึ กรณีทีเ่ ด็กไมอ่ ยูใ่ นภาวะท่ีจะใหค้ วาม
ยนิ ยอมได้ เชน่ เดก็ ยงั ไรเ้ ดยี งสา หรอื เปน็ คนวกิ ลจรติ เปน็ ต้น หาใช่เป็นกรณที ่ีเดก็ สน้ิ สภาพบุคคลแลว้ ไม่ เพราะการพิสจู น์ความเป็น
บิดากับบตุ รโดยอาศยั พยานหลกั ฐานทางนติ ิวิทยาศาสตร์ยอ่ มกระทำได้ยาก เม่ือไมม่ บี ทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายรับรองและค้มุ ครองสทิ ธิ

143

144

แกผ่ ูร้ ้องในอนั ท่จี ะนำเสนอคดีข้ึนสศู่ าลเพอ่ื ขอใหศ้ าลพิพากษาใหจ้ ดทะเบยี นรบั เดก็ เป็นบตุ รผู้ร้องย่อมไมอ่ าจใช้สิทธิทางศาล ตาม ป.
พ.พ. มาตรา 55

ฎกี าท่ี 8146/2560 ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๗๔ วรรคหนง่ึ บญั ญัติว่า สินสมรสได้แกท่ รัพย์สนิ (๑) ทสี่ มรสไดม้ าระหว่าง
สมรส...และวรรคสองบญั ญัติวา่ ถา้ กรณีเป็นทส่ี งสัยวา่ ทรพั ยส์ นิ อยา่ งหน่ึงเปน็ สนิ สมรสหรอื มิใช่ ใหส้ ันนิษฐานไว้ก่อนวา่ เป็นสนิ สมรส
เม่อื ทด่ี นิ พิพาท ๔ แปลง ไดม้ าระหว่างสมรสแม้จะมชี ื่อจำเลยเปน็ ผู้ถือกรรมสทิ ธ์ิแต่ผเู้ ดยี วก็เป็นสินสมรสตามบทกฎหมายดงั กลา่ ว
จำเลยกลา่ วอ้างวา่ ทด่ี ินพพิ าท ๔ แปลง ไมใ่ ช่สินสมรส จำเลยมภี าระการพิสูจน์ ทง้ั น้ตี าม ป.วิ.พ.มาตรา ๘๔/๑ ประกอบ พ.ร.บ.ศาล
เยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๖ จำเลยประกอบอาชพี หมอนวดและมีรายได้ เงนิ
ท่ีได้มาก็เปน็ สนิ สมรสตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๗๔ วรรคหนงึ่ (๑) เม่ือนำไปซอ้ื ทีด่ นิ พพิ าท ๔ แปลง ท่ดี นิ พิพาทยอ่ มเปน็ สนิ สมรส

ฏีกาท่ี 2851/2561 เหตุทผี่ ตู้ ายมีช่อื เปน็ เจา้ ของทดี่ นิ เพยี งผเู้ ดียวเนื่องจากผตู้ ายไดร้ บั การยกใหท้ ด่ี นิ พพิ าทจากบดิ า
มารดา ผู้ตายครอบครองทำประโยชนม์ ากวา่ 40 ปี ซง่ึ เป็นเวลาก่อนทผ่ี ้ตู ายอยู่กนิ และจดทะเบยี นสมรสกับผรู้ อ้ งสอด ทด่ี ินพิพาทจึง
เป็นทรพั ย์สนิ ที่ผตู้ ายมีอยูก่ ่อนสมรสเป็นสนิ ส่วนตวั ของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (1) แมเ้ จา้ พนกั งานทดี่ นิ ออกโฉนดทด่ี ินพิพาท
ใหแ้ ก่ผู้ตายหลงั จากผตู้ ายจดทะเบยี นสมรสกบั ผ้รู อ้ งสอดแลว้ ก็ไม่มผี ลทำใหท้ ด่ี ินซงึ่ เป็นสินสว่ นตัวของผตู้ ายกลบั กลายเปน็ ทรพย์สินท่ี
ผูต้ ายไดม้ าในระหวา่ งสมรสอันจะเป็นสนิ สมรส ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) เมอ่ื ทด่ี นิ พิพาทเป็นสนิ ส่วนตัวของผตู้ ายจงึ มสี ทิ ธิทำพนิ ัยกรรม
ยกท่ีดินพิพาทให้แกจ่ ำเลยได้

ฎีกาที่ 1137/2559 ธ. ตอบคำถามคา้ นของทนายจำเลยที่ 3 เก่ียวกับลายมือชือ่ ของ อ. เป็นการเบิกความไปตาม
ความเห็นหรอื ความรสู้ กึ ของ ธ. ในลายมอื ชื่อของ อ. ตามทเ่ี หน็ เทา่ นั้น กรณไี ม่อาจรับฟงั เปน็ พยานหลักฐานวา่ ลายมือชอ่ื ที่ ธ. เหน็ ตาม
เอกสารทที่ นายจำเลยที่ 3 นำมาถามคา้ นนน้ั เป็นลายมือชอ่ื ท่แี ทจ้ ริงของ อ. หรอื เปน็ ลายมอื ชือ่ ปลอม และความเหน็ ของ ธ. เปน็
ความเหน็ ในเรือ่ งต๋ัวสญั ญาใชเ้ งนิ ซงึ่ มิใช่เชค็ พพิ าทในคดนี ี้ กรณจี งึ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ โจทกร์ ับรู้ถงึ การใชล้ ายมอื ชือ่ ปลอมของ อ. ในเช็คพพิ าท
อันจะถือไดว้ า่ โจทกอ์ ยู่ในฐานเปน็ ผตู้ อ้ งตดั บทมใิ หย้ กขอ้ ลายมอื ชื่อปลอมหรือขอ้ ลงลายมือชือ่ โดยปราศจากอำนาจนัน้ ข้นึ เปน็ ขอ้ ต่อสู้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 โจทกจ์ งึ ฟอ้ งเรยี กให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามฟอ้ งได้

การท่ีโจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ผจู้ ดั การฝา่ ยบญั ชีและการเงินของโจทก์เปน็ ผเู้ กบ็ แบบพมิ พเ์ ชค็ และ
ตราประทบั ของโจทก์ไว้ แลว้ จำเลยที่ 1 เป็นผเู้ อาแบบพิมพ์เชค็ พิพาททมี่ กี ารปลอมลายมอื ช่อื ของ อ. ผู้มีอำนาจสง่ั จา่ ยเช็คของโจทก์
นำไปเรยี กเก็บเงินจากบญั ชขี องโจทก์ไดถ้ งึ 43 ฉบับ ในชว่ งระยะเวลานาน 3 ปี เช่นนี้ แสดงใหเ้ ห็นว่าโจทกล์ ะเลยไม่ระมัดระวังในการ
เก็บรกั ษาควบคมุ ดแู ลแบบพมิ พ์เชค็ พพิ าทและตราประทบั ของโจทก์ รวมท้ังไมม่ ีมาตรการในการตรวจสอบเพอื่ ป้องกันมใิ ห้มีการนำ
แบบพิมพ์เชค็ พพิ าทไปปลอมลายมือชือ่ ผูส้ ง่ั จา่ ยแลว้ ใช้ตราประทับของโจทกป์ ระทับลงในเชค็ พพิ าทนำไปเบกิ เงนิ จากจำเลยท่ี 3 แต่
อย่างใด ทงั้ จำเลยที่ 3 ไดส้ ง่ รายการเดินบญั ชีกระแสรายวนั ของโจทกใ์ ห้แก่โจทกท์ ราบทกุ เดอื น หากโจทกม์ มี าตรการตรวจสอบท่ีดี ก็
จะทราบถึงความผดิ ปกติในการใชเ้ ชค็ เบกิ เงนิ ออกจากบัญชขี องโจทกแ์ ละสามารถแก้ไขไดใ้ นระยะเวลาทร่ี วดเร็วกวา่ น้ี แต่โจทกก์ ลับ
ปลอ่ ยปละไม่ตรวจสอบจนเวลาลว่ งมาถึง 3 ปี จึงทราบเหตลุ ะเมดิ ดงั กลา่ ว ถอื ได้ว่าโจทก์มสี ว่ นกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายด้วย ดังนนั้ การ

144

145

กำหนดคา่ เสยี หายแกโ่ จทกเ์ พียงใด ตอ้ งอาศยั พฤติการณเ์ ปน็ ประมาณ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 223 วรรคหนึ่ง, 438 และ 442
หนี้ที่จำเลยท่ี 1 ตอ้ งรับผดิ ต่อโจทก์เปน็ มลู หนล้ี ะเมดิ ทจ่ี ำเลยที่ 1 กระทำขน้ึ แตฝ่ า่ ยเดยี วเปน็ การ

เฉพาะตัว โดยไมป่ รากฎวา่ จำเลยท่ี 2 ได้มีส่วนรว่ มรเู้ หน็ ในการกระทำละเมิดของจำเลยท่ี 1 ต่อโจทก์ และมลู หนี้ละเมดิ ไม่อาจให้
สตั ยาบนั ได้ ดงั นัน้ แมจ้ ำเลยที่ 1 จะนำเงนิ ทไ่ี ดจ้ ากการละเมดิ ตอ่ โจทก์มาซ้ือทรพั ยส์ นิ หรือฝากไวใ้ นธนาคารระบชุ อื่ จำเลยที่ 1 และที่ 2
เปน็ เจ้าของรว่ มกนั ก็มใิ ช่หนีร้ ว่ มตามความหมายแหง่ ป.พ.พ. มาตรา 1490 จำเลยที่ 2 จงึ ไมต่ ้องร่วมกบั จำเลยท่ี 1 รับผดิ ต่อโจทก์รว่ ม

ฎีกาที่ 10810/2559 ส.สละมรดกใหก้ ับจำเลยท่ี 2 ในขณะทีเ่ ป็นลูกหนี้โจทกต์ ามคำพพิ ากษา ข้อเท็จจรงิ ไดค้ วามวา่ ส.
ไมม่ ที รพั ย์สนิ อนื่ ท่โี จทก์จะบงั คบั คดีได้ จึงเป็นการสละมรดกโดยรอู้ ยวู่ า่ จะทำให้โจทกซ์ ง่ึ เปน็ เจา้ หนเ้ี สยี เปรยี บ กรณีมีเหตุเพกิ ถอนนติ ิ
กรรมสละมรดกท่ีดนิ ในสว่ นของ ส. การกระทำของ ส.จงึ เปน็ การโตแ้ ย้งสทิ ธขิ องโจทก์ เมอ่ื ส.ถงึ แกค่ วามตายโดยมีจำเลยที่ 1 เปน็
ทายาทโดยธรรม โจทก์จงึ มอี ำนาจฟอ้ งจำเลยท่ี 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1737

145


Click to View FlipBook Version