The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทบรรณาธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jobbonrecord, 2020-06-11 10:19:47

รวมบทบรรณธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

รวมบทบรรณาธิการแพ่ง สมัย 64-72_compressed

50

กระทำความผิดฐานฉอ้ โกงตาม ป.อ. และเปน็ การจงใจทำละเมดิ ต่อโจทก์ทำให้โจทกไ์ ดร้ บั ความเสยี หาย ขอใหจ้ ำเลยทงั้ สองรว่ มกนั คนื
หรือชดใชเ้ งนิ คา่ สนิ คา้ ผ้างวดท่ี 1 พร้อมดอกเบี้ยแกโ่ จทก์ ดงั นี้ จึงเป็นการฟ้องใหจ้ ำเลยทงั้ สองรว่ มกันรบั ผิดฐานละเมดิ และใหค้ นื
ทรพั ยส์ นิ อันผ้เู สียหายตอ้ งเสยี ไปเพราะละเมดิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ประกอบมาตรา 438

พฤติการณท์ ีจ่ ำเลยท่ี 2 ร่วมเดินทางไปกับหัวหนา้ งานบญั ชขี องบรษิ ัทสยามเจเนอรลั แฟคตอริง่
จำกดั (มหาชน) ผรู้ บั โอนสิทธเิ รยี กรอ้ ง เพ่อื ไปสง่ มอบหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธเิ รียกร้องใหแ้ ก่กองพลาธกิ าร กรมตำรวจ ยอ่ มบง่ ช้ี
ชัดว่าจำเลยท่ี 2 รอู้ ยแู่ ล้ววา่ การโอนสทิ ธิเรยี กรอ้ งในการรบั เงินค่าสินค้าจากโจทก์ของจำเลยที่ 1 ให้แก่บรษิ ัทสยามเจเนอรลั แฟคตอรง่ิ
จำกดั (มหาชน) มีผลสมบรู ณต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนง่ึ อันเป็นผลให้สิทธเิ รยี กร้องของจำเลยท่ี 1 ในการรับเงินคา่ สนิ คา้ ผา้
จากโจทกต์ กเปน็ ของบรษิ ทั สยามเจเนอรัลแฟคตอริง่ จำกดั (มหาชน) และจำเลยท่ี 1 หมดสทิ ธทิ ่ีจะรับเงินดงั กลา่ วจากโจทกแ์ ล้ว ดงั น้นั
ตอ่ มาเมอ่ื โจทกต์ รวจรบั มอบสนิ คา้ งวดท่ี 1 จากจำเลยท่ี1 แลว้ เจา้ หนา้ ทขี่ องโจทก์ได้โทรศัพท์แจง้ ใหจ้ ำเลยที่ 2 ทราบเพื่อให้ไปรบั เงิน
คา่ ผา้ ในงวดที่ 1 อีก ไมว่ า่ จะเปน็ เพราะความผดิ พลาดในการตรวจสอบเอกสาร หรอื ความเข้าใจผดิ ใดกต็ าม การทจ่ี ำเลยที่ 2 ในฐานะ
กรรมการผมู้ อี ำนาจของจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้พนกั งานของจำเลยที่ 1 ไปรับเงินจากกองพลาธกิ าร กรมตำรวจ แทนจำเลยที่ 1 โดย
จำเลยท่ี 1 ไม่มีสทิ ธทิ จี่ ะรับเงนิ จำนวนดงั กล่าวจากโจทกไ์ ด้อีก การกระทำของจำเลยที่ 2 ดงั กล่าวยอ่ มเปน็ การกระทำในฐานะกรรมการ
ผมู้ ีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยมเี จตนาที่ไมส่ จุ รติ อันถอื ไดว้ ่าจำเลยที่ 2 กระทำตอ่ โจทก์โดยผดิ กฎหมายทำให้โจทกเ์ สยี หาย
จึงเป็นการกระทำละเมดิ ต่อโจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 420 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ทำละเมดิ จงึ ตอ้ งรว่ มกับจำเลยท่ี 1 นติ บิ ุคคลเจา้ ของ
กจิ การทีจ่ ำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทนรับผดิ คืนเงนิ จำนวนดงั กล่าวแกโ่ จทกด์ ้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และมาตรา 1167
ประกอบมาตรา 427

ฎีกาท่ี 11887/2554 เมอื่ โจทก์เป็นฝา่ ยผดิ สัญญาและจำเลยบอกเลกิ สญั ญาแลว้ สญั ญาจะซอ้ื จะขายห้องชดุ เป็นอนั เลกิ
กนั จำเลยมีสทิ ธริ ิบเงินมดั จำจำนวน 250,000 บาท ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) และคสู่ ัญญาแตล่ ะฝ่ายจำตอ้ งให้อีกฝา่ ยหนึ่งได้
กลบั คืนสฐู่ านะดังทเ่ี ป็นอยู่เดมิ ส่วนเงินอนั จะต้องใช้คืนแกก่ นั ใหบ้ วกดอกเบย้ี เขา้ ดว้ ยคดิ แต่เวลาท่ีไดร้ บั ไวต้ ามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง
และวรรคสอง ทง้ั ฝ่ายที่บอกเลิกสญั ญายงั มสี ิทธเิ รยี กรอ้ งค่าเสยี หายตามมาตรา 391 วรรคส่ี การทโ่ี จทกแ์ ละจำเลยตกลงกันตามสญั ญา
จะซอื้ ขายหอ้ งชดุ วา่ ในกรณที โี่ จทกผ์ ซู้ อ้ื ผดิ สญั ญา จำเลยผู้ขายมสี ทิ ธิบอกเลิกสัญญาและรบิ เงินท้งั หมดทโ่ี จทก์ชำระไปแล้วรวมเงนิ มดั จำ
เทา่ กับรอ้ ยละ 40 ของอาคารชดุ เปน็ เงิน 4,812,080 บาท จงึ เปน็ ข้อตกลงอันมีลักษณะเปน็ การกำหนดคา่ เสียหายไวล้ ่วงหน้าเปน็ เบยี้
ปรบั เมื่อโจทกไ์ มช่ ำระหน้ีหรือไมช่ ำระหนีใ้ ห้ถูกต้องสมควรดังท่ี ป.พ.พ.บัญญตั ิไว้ในมาตรา 379 ถงึ มาตรา 381 และถา้ เบย้ี ปรับสูงเกิน
ส่วนศาลมีอำนาจใชด้ ุลพนิ จิ ลดลงใหเ้ หลือเป็นจำนวนพอสมควรไดต้ ามมาตรา 383 วรรคหนึง่ เม่ือจำเลยมิไดน้ ำสบื ใหเ้ หน็ วา่ การทีโ่ จทก์
ผดิ สญั ญาไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือและรับโอนกรรมสิทธ์ิห้องชดุ จากจำเลย ทำให้จำเลยได้รบั ความเสียหายอย่างอ่ืนมากนอ้ ยเพยี งใด
นอกไปจากขาดผลประโยชนท์ คี่ วรไดร้ ับจากเงินจำนวนเท่ากับราคาหอ้ งชดุ สว่ นทเ่ี หลอื และมีเหตผุ ลใหเ้ ชอ่ื วา่ เม่อื สญั ญาเลกิ กัน จำเลย
สามารถขายห้องชดุ ดงั กลา่ วให้แกผ่ ู้ซอ้ื รายใหมใ่ นราคาท่ีไม่นา่ จะต่ำกวา่ ราคาที่ขายใหแ้ ก่โจทก์ เมอื่ พเิ คราะห์ถงึ ทางไดเ้ สยี ของจำเลยทกุ
อย่างอันชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ ทศี่ าลอุทธรณ์ใชด้ ลุ พินิจลดเบย้ี ปรับลงเหลอื เป็นจำนวน 2,562,080 บาท โดยไมร่ วมมดั จำ 250,000
บาท จงึ ยงั สงู เกนิ สว่ น ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรลดเบี้ยปรบั ลงเหลอื เปน็ เงิน 960,000 บาท จำเลยจึงตอ้ งคืนเงินที่รบั ไวแ้ กโ่ จทก์จำนวน

50

51

3,602,080 บาท ส่วนปญั หาเร่อื งดอกเบีย้ นั้น การที่จำเลยรบิ เงนิ ท่ีโจทก์ชำระไปทงั้ หมดไว้เปน็ การใชส้ ิทธติ ามขอ้ ตกลงในสัญญาโดย
ชอบ เมื่อศาลพพิ ากษาใหล้ ดเบ้ียปรับลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 383 วรรคหน่ึง เปน็ ผลให้จำเลยต้องคืนเบยี้ ปรับบางส่วนใหแ้ กโ่ จทก์ โจทก์
จงึ ไมม่ ีสทิ ธไิ ดด้ อกเบย้ี จากเบยี้ ปรบั ทไ่ี ดร้ ับคืนเพราะเป็นฝ่ายผดิ สญั ญา

ฎกี าท่ี 12616/2555 การตกลงกันระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ให้จำเลยท่ี 4 จา่ ยเงินคา่ ก่อสร้างตามสัญญาจา้ งทง้ั
สองฉบบั ใหแ้ กโ่ จทกผ์ ู้เป็นเจา้ หนี้จำเลยที่ 1 นอกจากเป็นการโอนสิทธเิ รยี กรอ้ งตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนึ่ง แล้ว ยงั มีลกั ษณะ
เป็นการทำสญั ญาเพื่อประโยชนแ์ ก่บคุ คลภายนอกตามมาตรา 374 ด้วย โจทกซ์ ง่ึ เป็นบคุ คลภายนอกผไู้ ดร้ ับประโยชน์จากสญั ญาโอน
สิทธกิ ารรับเงินค่าก่อสรา้ งระหวา่ งจำเลยที่ 1 กบั จำเลยที่ 4 มหี นงั สือถึงจำเลยท่ี 4 ใหส้ ัง่ จา่ ยเชค็ คา่ งวดงานก่อสรา้ งแกโ่ จทกโ์ ดยตรง
อนั เป็นการแสดงเจตนาว่าจะถอื เอาประโยชนจ์ ากสญั ญาน้นั ตามมาตรา 374 วรรคสอง เม่อื สทิ ธขิ องโจทก์ไดเ้ กดิ มขี นึ้ แลว้ จำเลยที่ 1
กบั จำเลยท่ี 4 คสู่ ญั ญาย่อมไมอ่ าจจะเปล่ียนแปลงหรอื ระงบั สิทธขิ องโจทก์นั้นในภายหลงั ได้ ดงั นัน้ ท่ีจำเลยที่ 1 มหี นงั สอื แจง้ ระงบั การ
โอนสิทธกิ ารรับเงินคา่ ก่อสร้างโดยให้จำเลยท่ี 4 สง่ เงินคา่ กอ่ สร้างใหจ้ ำเลยท่ี 1 โดยตรง จึงไมช่ อบด้วยมาตรา 375 ไมม่ ีผลผูกพนั โจทก์

ฎกี าที่ 10186/2555 การบอกกลา่ วบงั คบั จำนองเป็นการแสดงเจตนาอยา่ งหนงึ่ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคหน่งึ
บญั ญตั วิ า่ “ การแสดงเจตนาทกี่ ระทำต่อบุคคลซง่ึ มไิ ดอ้ ยูเ่ ฉพาะหนา้ ให้ถอื วา่ มผี ลนบั แตเ่ วลาทกี่ ารแสดงเจตนานัน้ ไปถงึ ผรู้ ับการแสดง
เจตนา.......” ถ้อยคำว่า “ ไปถงึ " น้ันมิไดห้ มายความวา่ ผนู้ ำจดหมายไปสง่ จะต้องได้พบผูร้ บั การแสดงเจตนาโดยตรง แตห่ มายความ
ว่า ผนู้ ำจดหมายไปสง่ ต้องไปสง่ ณ ภมู ลิ ำเนาหรอื สำนกั ทำการงานของผรู้ บั การแสดงเจตนา แม้ขณะไปถงึ ภมู ิลำเนาหรอื สำนักทำการ
งานของผรู้ ับการแสดงเจตนา จะไมพ่ บผ้รู บั การแสดงเจตนาโดยตรง กถ็ อื ว่าเปน็ การส่งยงั สถานที่ทถี่ กู ตอ้ งแลว้ โจทกส์ ง่ จดหมายบอก
กล่าวบงั คบั จำนองโดยทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นตอบรบั ถึงจำเลยตามภูมิลำเนาที่จำเลยระบใุ นสญั ญาจำนองและตามแบบรบั รองรายการ
ทะเบียนราษฎรอันเป็นฐานขอ้ มลู ของทางราชการ แตส่ ่งไมไ่ ด้โดยเจา้ หนา้ ทีไ่ ปรษณยี ร์ ายงานเหตขุ ัดข้องวา่ “ ย้ายไมท่ ราบทอี่ ยูใ่ หม่"
โดยจำเลยไมเ่ คยแจง้ ยา้ ยท่อี ยู่แก่ทางราชการและโจทก์ผเู้ ปน็ เจา้ หน้ี แสดงวา่ จำเลยมีเจตนาหลกี เลย่ี งไมย่ อมรับเอกสารหรอื จดหมาย
ใดๆ ทีส่ ง่ มายังภมู ลิ ำเนาของตน เมอ่ื เจ้าหน้าท่ไี ปรษณยี น์ ำจดหมายบอกกล่าวบงั คบั จำนองไปสง่ ให้จำเลยท่ภี ูมลิ ำเนาของจำเลยอันเป็น
การส่งอย่างเป็นทางการแลว้ แม้จะไม่พบจำเลยและไมม่ ผี ูใ้ ดรับไว้ ก็ถอื ได้ว่าจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทกไ์ ดไ้ ปถงึ จำเลย
และมผี ลเปน็ การบอกกลา่ วบังคับจำนองโดยชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 728 และ 169 วรรคหนง่ึ แลว้

ฎีกาท่ี 6239/2555 แม้การท่ีจำเลยที่ 1 ยอมใหโ้ จทกย์ ดึ ถอื โฉนดท่ดี นิ พิพาทไว้จะไมม่ ีผลบงั คับในทางจำนอง แตก่ ็
แสดงให้เหน็ เจตนาของโจทก์และจำเลยท่ี 1 ได้วา่ จำเลยที่ 1 ยอมใหโ้ จทก์ยดึ โฉนดทีด่ ินพพิ าทเพือ่ เป็นประกันการชำระหน้ี หากจำเลยที่
1 ไมช่ ำระหน้โี จทก์สามารถบงั คบั คดเี อากับทดี่ นิ พพิ าทไดแ้ ละเพอ่ื ไมใ่ หจ้ ำเลยที่ 1 ไปทำนิตกิ รรมใดๆ เกย่ี วกบั ทดี่ นิ พิพาทนนั่ เอง การที่
จำเลยท่ี 1 ไปแจง้ ความเท็จต่อเจา้ พนกั งานทีด่ ินจนเจา้ พนกั งานท่ดี นิ ออกใบแทนโฉนดท่ีดินพิพาท แลว้ จำเลยที่ 1 โอนท่ดี ินพิพาทให้แก่
จำเลยท่ี 2 ไป จำเลยท่ี 1 ย่อมรู้ดีวา่ ทำให้โจทก์ไม่อาจท่ีจะบงั คบั ชำระหนเ้ี อาจากทด่ี ินพิพาท ทัง้ ข้อเท็จจรงิ ไมป่ รากฎวา่ จำเลยที่ 1 มี

51

52

ทรัพยส์ ินอน่ื พอจะชำระหน้ไี ด้และจำเลยท่ี 1 ก็ยอมรบั ว่าไมไ่ ดป้ ระกอบอาชีพและไมม่ ีรายได้ จึงฟงั ได้วา่ จำเลยท่ี 1 โอนทดี่ นิ พิพาท
ใหแ้ ก่จำเลยท่ี 2 ท้งั รู้อยวู่ ่าเปน็ ทางใหโ้ จทก์เสยี เปรยี บ

จำเลยท่ี 1 กับที่ 2 มีความสัมพนั ธ์เป็นพ่อตาและบตุ รเขยกนั ย่อมมีความใกลช้ ดิ กัน แมจ้ ำเลยที่ 2
จะอา้ งวา่ ซ้ือที่ดนิ พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสจุ รติ แตข่ ้อเท็จจรงิ ไดค้ วามวา่ เม่อื จำเลยท่ี 2 ซอ้ื ทีด่ ินพพิ าทพร้อมบา้ นซ่งึ เป็นที่อยอู่ าศัย
ของจำเลยท่ี 1 แล้ว จำเลยท่ี 2 ก็ไมไ่ ด้เขา้ ครอบครองทดี่ ินพิพาทและบ้านหลงั ดงั กล่าวแตอ่ ย่างใดทงั้ ทรัพย์สนิ ของใชต้ ่างๆ ของ จ.
บุตรสาวของจำเลยที่ 1 ที่อยทู่ บ่ี า้ นหลงั ดงั กลา่ วก็ไมไ่ ดข้ นยา้ ยออกไปและเจา้ พนักงานบงั คบั คดีสามารถยดึ ไปได้หลายรายการ
นอกจากน้ี ศ. ภรยิ าจำเลยที่ 1 กย็ งั อยู่ในบา้ นหลังดงั กล่าว ตามพฤติการณ์จงึ สอ่ ไปในทางสมรกู้ ันขอ้ เทจ็ จรงิ ฟังไมไ่ ด้วา่ มกี ารซ้ือขาย
ทด่ี นิ พพิ าทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จรงิ เชอื่ วา่ จำเลยท่ี 2 รบั โอนทดี่ ินพพิ าทโดยรขู้ อ้ ความจรงิ อนั เป็นทางให้โจทกผ์ เู้ ปน็
เจา้ หน้ขี องจำเลยท่ี 1 ตอ้ งเสยี เปรยี บ

ฎกี าที่ 8138/2555 ขณะเกิดเหตจุ ำเลยที่ 1 มีอายุ 19 ปเี ศษ ใกล้บรรลนุ ติ ภิ าวะ แมจ้ ะยังเปน็ ผเู้ ยาว์และตอ้ งอยใู่ น
ความปกครองดแู ลของจำเลยท่ี 2 และที่ 3 ซง่ึ เปน็ บิดามารดาตามกฎหมายกต็ าม แตจ่ ำเลยที่ 1 กท็ ำงานหาเล้ยี งชพี ดว้ ยตนเองไมเ่ ปน็
ภาระแกบ่ ิดามารดา การทีจ่ ำเลยที่ 2 และที่ 3 อนุญาตใหจ้ ำเลยท่ี 1 ขบั รถจกั รยานยนต์ก็เนอื่ งมาจากตอ้ งใชเ้ ปน็ พาหนะในการเดนิ ทาง
ไปทำงาน ท้งั จำเลยที่ 1 ได้รับใบอนุญาตขบั รถจักรยานยนตย์ ่อมแสดงให้เหน็ ว่าจำเลยที่ 1 มวี ุฒภิ าวะพอสมควรทจ่ี ำเลยท่ี 2 และท่ี 3
จะไวว้ างใจจำเลยที่ 1 ในการดำรงชวี ิตในสงั คมทีจ่ ะไม่ก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่น นอกจากน้ไี ม่ปรากฏวา่ จำเลยท่ี 1 เคยขบั
รถจักรยานยนต์ก่อให้เกิดความเดือดรอ้ นรำคาญแก่ผอู้ น่ื หรอื เกดิ อบุ ตั เิ หตเุ ฉยี่ วชนอยู่เสมอ อันจะทำใหจ้ ำเลยท่ี 2 และท่ี 3 ควรตอ้ ง
ทักทว้ งหรือหา้ มปรามมิใหจ้ ำเลยที่ 1 ขบั รถจกั รยานยนตอ์ กี จนกว่าจะบรรลุนิตภิ าวะ เชน่ นถี้ ือไดว้ ่า จำเลยท่ี 2 และท่ี 3 ไดใ้ ช้ความ
ระมัดระวงั ดแู ลจำเลยที่ 1 ตามสมควรแกห่ น้าที่ดแู ลซงึ่ ทำอยนู่ น้ั แล้ว จำเลยท่ี 2 และท่ี 3 จงึ ไมต่ ้องรว่ มกับจำเลยท่ี 1 รบั ผดิ ต่อโจทก์

ฎกี าท่ี 11777/2554 ตามหนงั สือสญั ญาจา้ งเหมากอ่ สร้างเอกสารมีข้อตกลงวา่ โจทกไ์ ด้นำหนงั สือคำ้ ประกันผลงานใน
วงเงินร้อยละ 10 ของมูลคา่ งานทงั้ หมด มกี ำหนดระยะเวลา 1 ปี มอบใหแ้ ก่จำเลยเป็นการประกันตอ่ ไป หลงั จากโจทกส์ ง่ มอบงานและ
รับเงนิ งวดสดุ ท้ายแลว้ โดยมีขอ้ ตกลงในวรรคสองวา่ หลักประกันท่โี จทกน์ ำมามอบไวใ้ นวรรคหน่งึ จำเลยจะคนื ใหเ้ ม่อื โจทกพ์ น้ จากข้อ
ผูกพันตามสญั ญาข้อ 8 วรรคหนง่ึ แลว้ ซงึ่ ตามสญั ญาขอ้ 8 วรรคหน่ึง ท่มี ขี ้อตกลงว่าถา้ มีเหตุชำรดุ เสยี หายเกดิ ขึ้นแกง่ านจา้ งนีภ้ ายใน
กำหนด 1 ปี นับตง้ั แต่วนั ท่ีได้รบั มอบงาน โจทกต์ ้องรับทำการแก้ไขใหเ้ ปน็ ทีเ่ รยี บร้อยภายในระยะเวลาที่จำเลยกำหนดถา้ โจทกบ์ ดิ พลิ้ว
ไมแ่ กไ้ ขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายใน กำหนด 15 วนั นับต้งั แต่วนั ท่ไี ดร้ ับแจง้ เป็นหนงั สอื จากจำเลยจำเลยมสี ิทธิวา่ จา้ งผ้อู ืน่ มาทำการ
แกไ้ ขแทนโจทก์ ซ่งึ ในกรณนี ้ตี ามบทบญั ญตั แิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 198บญั ญตั ิวา่ ถ้าการอันมกี ำหนดพงึ กระทำเพือ่ ชำระหนี้นนั้ มีหลาย
อยา่ งแตจ่ ะตอ้ งกระทำเพยี งการใดการหนงึ่ แตอ่ ยา่ งเดยี วสิทธทิ ่จี ะเลอื กทำการอยา่ งใดน้นั ตกอยแู่ กฝ่ ่ายลกู หนี้ เวน้ แตจ่ ะไดต้ กลงกนั
กำหนดไว้เป็นอยา่ งอ่นื และมาตรา 199บญั ญัตวิ ่าการเลือกนน้ั ให้ทำดว้ ยแสดงเจตนาแกค่ ู่กรณฝี า่ ยหนึ่งการชำระหน้ไี ด้เลอื กทำเป็น
อย่างใดแล้วใหถ้ ือว่าอย่างน้นั อยา่ งเดยี วเปน็ การชำระหนอี้ นั กำหนดใหก้ ระทำแตต่ ้นมาและมาตรา200 วรรคหนง่ึ บญั ญตั วิ า่ ถา้ จะต้อง
เลือกภายในระยะเวลาอนั มกี ำหนดและฝา่ ยทม่ี สี ิทธเิ ลือกมิไดเ้ ลอื กภายในระยะเวลานั้นสทิ ธิที่จะเลือกนั้นยอ่ มตกไปอย่แู กอ่ กี ฝา่ ยหนง่ึ

52

53

ดงั นัน้ เมื่อไมป่ รากฏว่าโจทกไ์ ด้แสดงเจตนาว่าจะเลอื กชำระหนดี้ ้วยการกระทำอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ระหว่างรบั ทำการแกไ้ ขใหเ้ รยี บรอ้ ย
ภายในกำหนด15 วนั หรอื ให้จำเลยมสี ิทธิวา่ จา้ งผู้อนื่ มาทำการแก้ไขแทนโจทก์สิทธิท่ีจะเลอื กจงึ ตกไปอย่แู ก่จำเลยและเม่ือจำเลยแจง้ ให้
โจทกท์ ำการแกไ้ ขแต่โจทก์เพกิ เฉยจำเลยจงึ มสี ิทธยิ ดึ หนว่ งหนงั สอื คำ้ ประกันผลงานพพิ าทไว้จนกว่าโจทกจ์ ะไดด้ ำเนนิ การแก้ไขความ
ชำรุดบกพรอ่ งของอาคารท่รี ับจา้ งกอ่ สร้างให้แก่จำเลยตามสัญญาจ้างเหมากอ่ สรา้ งเสร็จสนิ้ เสยี ก่อนได้

ฎีกาที่ 4571/2556 ในคดีเดิมอันเปน็ มูลเหตขุ องคดีนี้คอื คดอี าญาหมายเลขแดงที่ 1027/2552 ของศาลชั้นตน้ มโี จทก์
คดีนี้เปน็ ผเู้ สียหาย ศาลในคดดี งั กลา่ วยงั ไดอ้ นญุ าตให้โจทกค์ ดนี เ้ี ป็นโจทก์รว่ มดว้ ย จงึ ฟงั ได้วา่ โจทกค์ ดีน้ีเป็นผู้เสยี หาย และเมอื่
ข้อเทจ็ จรงิ ฟงั ไดต้ ามคดีอาญาหมายเลขแดงดงั กล่าวข้างตน้ แลว้ ว่า จำเลยถอื อาวธุ ปนื ตดิ ตวั ออกมาบรเิ วณทางเดนิ เทา้ สาธารณะซง่ึ อยู่
ตดิ กับถนนสาธารณะหลงั จากมีปากเสียงกบั โจทก์ ประกอบกับจำเลยยงั รับข้อเทจ็ จรงิ ในคดีนี้อกี วา่ จำเลยได้พดู ขู่เขญ็ โจทกว์ า่ "มึงอยาก
ตายหรือ" การกระทำดงั กล่าวนับวา่ เป็นการกระทำโดยจงใจทำใหโ้ จทกเ์ สยี หาย เป็นการทำละเมดิ ตอ่ โจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 420
แลว้ โจทกจ์ ึงเปน็ ผู้เสยี หายโดยนติ ินัย
แม้ว่าจำเลยจะมิไดย้ งิ อาวุธปืนดงั กลา่ วกต็ าม แตก่ ารท่จี ำเลยใชอ้ าวุธปนื ข่มขู่โจทกเ์ ชน่ นีเ้ ปน็ การทำให้โจทก์เสยี หายแก่รา่ งกายและ
อนามัยของโจทกแ์ ล้ว เพราะเป็นการทำให้โจทกต์ กใจกลวั เป็นความเสยี หายเก่ียวกับความรูส้ ึกทางด้านจิตใจ ซง่ึ เป็นความเสยี หายอย่าง
อื่นอนั มใิ ช่ตวั เงนิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 โจทก์มสี ิทธเิ รยี กคา่ สนิ ไหมทดแทนในกรณีดงั กลา่ วนี้ได้

ฎกี าที่ 5970/2555 ป.พ.พ. มาตรา 341 วรรคหนงึ่ บญั ญตั ิ การหกั กลบลบหนี้ไวว้ ่า ถ้าบคุ คลสองคนตา่ งมคี วามผูกพัน
ซึ่งกนั และกนั โดยมลู หนอี้ ันมวี ัตถุเป็นอย่างเดยี วกนั และหน้ีทัง้ สองรายนน้ั ถงึ กำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหน้ฝี า่ ยใดฝา่ ยหนึ่งยอ่ มจะ
หลดุ พน้ จากหนขี้ องตนดว้ ยการหักกลบลบกนั ไดเ้ พียงเทา่ จำนวนท่ตี รงกันในมลู หน้ที ้ังสองฝา่ ยน้ัน บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วมไิ ด้กำหนดไวเ้ ปน็
เง่ือนไขในข้อใดเลยว่าการหักกลบลบหนี้จะตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากอกี ฝ่ายหน่ึงเสยี กอ่ น เม่อื หนี้ท้งั สองฝา่ ยต่างมีวัตถเุ ป็นอยา่ ง
เดียวกนั คอื เปน็ หนีเ้ งินและตา่ งถงึ กำหนดท่ีจะชำระแล้ว จำเลยท่ี 1 ย่อมใช้สิทธหิ ักกลบลบหนไี้ ดโ้ ดยไมต่ ้องให้โจทกใ์ หค้ วามยนิ ยอม

ท่ีโจทกอ์ า้ งว่า หนเ้ี งินกู้เบิกเงินเกินบัญชขี องโจทก์ยงั เปน็ หน้ที มี่ ขี ้อตอ่ สอู้ ยู่นนั้ หนท้ี ีม่ ขี ้อตอ่ สู้อยู่
อนั ไม่อาจนำมาหักกลบลบหน้ีไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 344 น้นั หมายถงึ หนีท้ ี่ฝา่ ยหน่งึ อา้ งแล้วอีกฝ่ายมขี ้อโตแ้ ยง้ ไม่ยอมรับในขอ้
สาระสำคญั ซง่ึ มผี ลต่อความรบั ผดิ ในหนีด้ งั กล่าวหรือจำนวนหนที้ ีจ่ ะต้องรบั ผดิ แต่จากคำใหก้ ารของโจทก์ในคดขี องศาลแพง่ ซง่ึ จำเลย
ที่ 1 ฟ้องขอใหบ้ งั คับโจทกแ์ ละ ส. ชำระหน้เี งนิ ก้เู บกิ เงนิ เกนิ บัญชี 71,243,224.63 บาท พรอ้ มดอกเบยี้ อตั ราร้อยละ 14.5 ตอ่ ปี ของ
ตน้ เงนิ 62,788,981.59 บาท โจทกใ์ หก้ ารรบั วา่ โจทกเ์ ป็นหน้จี ำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,230,760.80 บาท โดยโต้แย้งเพียงการคดิ ดอกเบยี้
นับแต่วนั ดงั กล่าวแสดงวา่ ในยอดหนี้ทจ่ี ำเลยท่ี 1 ใช้สทิ ธหิ ักกลบลบหนี้ 670,805.64 บาท เปน็ หนีส้ ่วนท่ีโจทก์ไม่มีขอ้ โตแ้ ยง้ ใดๆ แล้ว
จำเลยที่ 1 จงึ ใชส้ ทิ ธหิ ักกลบลบหนต้ี ามจำนวนน้ันได้ ฎกี าของโจทก์ฟงั ไม่ข้ึน

ฎีกา 797/2556 แม้สัญญาจะซอ้ื จะขายมไิ ด้กำหนดเวลาการเร่มิ ลงมือก่อสร้างและกำหนดเวลากอ่ สร้างอาคาร

พาณชิ ย์ใหแ้ ลว้ เสร็จไว้ แตเ่ ปน็ หนา้ ทข่ี องจำเลยจะตอ้ งรีบลงมอื กอ่ สร้างและกำหนดเวลากอ่ สรา้ งทแี่ ล้วเสรจ็ ไว้ เพ่ือความเปน็ ธรรมแก่

53

54

ประชาชนในฐานะผูบ้ ริโภค เมอื่ สญั ญาไม่ได้กำหนดเวลาไวแ้ ตเ่ ปน็ ที่เห็นไดว้ ่า จำเลยก็มีหน้าทตี่ อ้ งรบี ลงมือก่อสร้าง และกอ่ สรา้ งใหแ้ ล้ว
เสรจ็ ในเวลาอนั สมควรอันเปน็ ไปตามหลกั ความสจุ รติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 หาใชก่ ารจะเรมิ่ ลงมือกส็ รา้ งและกำหนดเวลาแลว้ เสร็จ
น้นั ขน้ึ อยู่กบั ความพอใจของจำเลยแต่ฝ่ายเดยี ว เพราะจำเลยเปน็ ผ้รู บั ประโยชนจ์ ากเงินท่โี จทก์ชำระไปแลว้ จงึ มีหน้าทตี่ อ้ งรบี ก่อสรา้ ง
โดยพลนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203

เมื่อสญั ญาจะซอื้ จะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน คู่สัญญาฝา่ ยหน่ึงจะไม่ยอมชำระหน้จี นกวา่ อกี
ฝา่ ยหนงึ่ จะชำระหน้ีหรอื ขอปฏิบัตชิ ำระหนต้ี าม ป.พ.พ. มาตรา 369 ดงั นน้ั การที่โจทกช์ ำระเงนิ 800,000 บาท แก่จำเลยในการทำ
สญั ญาจะซ้อื จะขายแล้วยอ่ มมคี วามคาดหวงั จะไดเ้ หน็ จำเลยปฏบิ ตั ชิ ำระหนตี้ อบแทน คือ การเริม่ ลงมือกอ่ สรา้ ง แตเ่ ม่อื จะครบ
กำหนดเวลาชำระเงินดาวนง์ วดแรกไดค้ วามว่า จำเลยยงั ไมไ่ ดเ้ รม่ิ ลงมือก่อสร้างอาคารพาณชิ ยท์ ำใหโ้ จทก์เกดิ ความไม่มนั่ ใจในโครงการ
ของจำเลย เพราะเงินคา่ งวดทจี่ ะจ่ายแตล่ ะงวดเป็นจำนวนมากถงึ งวดละ 334,000 บาท โจทกจ์ งึ ไมย่ อมจา่ ยเงินค่างวดและไปร้องเรียน
ต่อคณะกรรมการค้มุ ครองผู้บรโิ ภค จำเลยเองก็ไม่ได้แสดงความสุจรติ โดยการแจง้ ขอ้ มูลเกย่ี วกบั โครงการให้โจทก์ทราบเปน็ หนงั สือหรือ
ทวงถามให้โจทกช์ ำระเงนิ คา่ งวดอีก จงึ ถือไดว้ ่าการชำระหนีข้ องโจทกม์ ิได้กระทำลงเพราะพฤตกิ ารณ์อนั ใดอนั หนง่ึ ซงึ่ ลกู หนไี้ มต่ อ้ ง
รับผิดชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 205 ดงั นั้น การที่โจทก์ไม่ได้ชำระเงนิ ค่างวดแกจ่ ำเลยจะถือว่าโจทกผ์ ิดสญั ญาและกอ่ ให้เกิดสทิ ธแิ ก่
จำเลยในการริบมดั จำไมไ่ ด้ เม่อื จำเลยไม่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ และโจทกใ์ ช้สทิ ธิบอกเลิกสญั ญาจงึ มผี ลให้สญั ญาจะซอื้ จะขายเลกิ กนั
คู่สัญญาแตล่ ะฝา่ ยจำต้องกลบั คืนสฐู่ านะเดมิ จำเลยจงึ มีหน้าทต่ี อ้ งคืนเงนิ ทโ่ี จทกช์ ำระแกจ่ ำเลยไปแลว้ พรอ้ มดอกเบ้ียอตั ราร้อยละ 7.5
ต่อปี นบั แตเ่ วลาทไ่ี ดร้ บั เงินไวต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 391

ฎกี าท่ี 1412/2557 สญั ญาจะซอื้ จะขายหอ้ งชดุ พิพาทระหวา่ งโจทก์กบั จำเลยที่1 เปน็ สัญญาต่างตอบแทน ฐานะของ
โจทก์และจำเลยท่ี1ตา่ งเป็นทั้งเจา้ หนีแ้ ละลกู หนี้ซงึ่ กันและกัน ไม่มฝี า่ ยใดเป็นเจา้ หนหี้ รือลูกหนแ้ี ตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี ว เม่อื ต่อมาจำเลยท่ี1จะ
ขายทด่ี นิ พพิ าทพรอ้ มอาคารชุดซง่ึ รวมหอ้ งชดุ พิพาทด้วย แกจ่ ำเลยที่ 1 และที่ 3 และจะโอนหน้ีทีเ่ กิดข้ึนจากสญั ญาจะซอื้ จะขาย
ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไปยงั จำเลยท่ี2และท3่ี ดว้ ย ก็จะใชว้ ธิ ีการโอนสิทธิเรยี กร้องธรรมดาตาม ป.พ.พ.มาตรา 306 หาไดไ้ ม่ แม้จะ
ฟงั ไดว้ ่าจำเลยท่ี 2 และท่ี 3 มไิ ดด้ ำเนนิ การเปลี่ยนสญั ญากบั ลกู ค้าผจู้ องซอื้ หอ้ งชดุ กับจำเลยท1่ี ภายในเวลาทีก่ ำหนดแมแ้ ตเ่ พยี งราย
เดียว กม็ ีผลเพียงแคจ่ ำเลยท1่ี ไม่หลุดพ้นจากความรบั ผดิ เพราะหนเ้ี ดมิ มิไดร้ ะงบั ไปเท่าน้ัน แตข่ ้อตกลงให้จำเลยท่ี 2 และที่ 3 รบั โอน
ท่ีดนิ พร้อมอาคารชดุ ไปท้ังโครงการ รวมทงั้ สทิ ธเิ รยี กรอ้ งและภาระหน้ตี ามสัญญาจะซือ้ จะขายหอ้ งชดุ ในโครงการที่จำเลยที่1 มตี อ่ ลูกค้า
ทกุ รายรวมท้ังโจทก์ กย็ งั เข้าลกั ษณะเปน็ สญั ญาเพื่อประโยชนบ์ คุ คลภายนอกรวมอยดู่ ้วย การทโ่ี จทก์ซง่ึ เป็นเจา้ หนี้ของจำเลยท่ี1ไม่
คัดคา้ นการโอนทด่ี ินพร้อมอาคารชดุ ตลอดทงั้ โอนสทิ ธแิ ละหนา้ ทภี่ าระความผูกพนั ตา่ งๆท่ีมีตอ่ ลกู คา้ ผจู้ องซอ้ื ห้องชดุ ระหวา่ งจำเลยท่ี1มี
ตอ่ ลูกคา้ ทุกรายรวมทง้ั โจทก์ กย็ งั เขา้ ลักษณะเป็นสญั ญาเพื่อบคุ คลภายนอกรวมอยดู่ ว้ ย การท่ีโจทกซ์ ่ึงเปน็ เจ้าหนข้ี องจำเลยที่1 ไม่ได้
คัดคา้ นการโอนทีด่ ินพรอ้ มอาคารชดุ ตลอดทงั้ โอนสิทธแิ ละหน้าท่ีภาระความผูกพนั ตา่ งๆท่มี ีต่อลูกค้าผจู้ องซอ้ื ห้องชดุ ระหว่างจำเลยที่1
กบั จำเลยท่ี 2 และที่ 3ดงั กล่าว และโจทก์มีพฤติการณว์ า่ จะเขา้ ถือเอาประโยชนด์ ว้ ยการทวงถามใหจ้ ำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ชำระหนแี้ ก่
ตนดว้ ยการโอนกรรมสิทธห์ิ อ้ งชดุ ใหต้ ามสญั ญาจะซอื้ จะขายแลว้ กรณตี ้องตามบทบญั ญตั มิ าตรา 374 แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ เม่ือข้อเทจ็ จริงฟงั ไดว้ า่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ปฏเิ สธไมโ่ อนกรรมสิทธ์ิห้องชุดพิพาทให้แกโ่ จทกภ์ ายในระยะเวลาท่ีโจทกบ์ อก

54

55

กลา่ วทวงถามย่อมเป็นการผดิ สัญญา จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะยกเรอ่ื งที่ยงั ไม่ได้เปล่ียนสญั ญาจะซ้อื จะขายห้องชดุ เปน็ ชอ่ื จำเลยท่ี 2 หรอื
ที่ 3 เปน็ ผู้จะขายมาปฏเิ สธความรบั ผดิ ไมไ่ ด้

ฎกี า 10243/2556 จำเลยท่ี 1 และจำเลยท่ี 2 สมคบกันจดทะเบียนโอนขายและให้ที่ดินพพิ าททง้ั แปลงโดย

ไม่สุจรติ และไม่มีการชำระเงินกนั จรงิ เพ่อื หลกี เลยี่ งมิใหโ้ จทก์บงั คบั คดจี ากจำเลยที่ 1 ได้ การแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่

2 ในทางทะเบยี นเกี่ยวกับทดี่ นิ พพิ าททงั้ สแี่ ปลงดงั กลา่ ว เปน็ การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กัน จงึ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพง่

และพาณิชยม์ าตรา 155 วรรค หนง่ึ แตจ่ ะยกขน้ึ ต่อสู้บคุ คลหายนอกผู้กระทำการโดยสุจรติ และต้องเสยี หายจากการแสดงเจตนาลวงนน้ั

มไิ ด้ จำเลยที่ 3 ซง่ึ เป็นบุคคลภายนอกไดจ้ ดทะเบยี นรับจำนองทด่ี นิ พิพาทไวโ้ ดยสุจรติ ไม่ทราบมากอ่ นว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำ

พิพากษาของโจทก์ โจทกจ์ งึ ไมอ่ าจเพกิ ถอนการจดทะเบียนจำนองดงั กล่าวได้ คงเพิกถอนไดแ้ ตเ่ ฉพาะนิติกรรมการจดทะเบยี นโอนขาย

และยกให้ทด่ี นิ พิพาทระหวา่ งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เทา่ นั้น

ฎกี าที่ 4676/2557 ข้อเทจ็ จรงิ ทคี่ ู่ความมไิ ด้โต้เถยี งกันในชั้นน้ีรับฟงั เปน็ ที่ยตุ ไิ ดว้ า่ เดิมโจทกเ์ ปน็ ผเู้ ช่าทดี่ นิ จากเรอื
อากาศตรหี ญงิ ว. เมื่อขณะยงั มีชีวติ อยู่ ระยะเวลาเช่า 30 ปี ครบกำหนดวันที่ 1 กนั ยายน 2562 ต่อมาจำเลยท่ี 1 มชี อื่ ในโฉนดทด่ี นิ
ดังกลา่ วในฐานะผจู้ ัดการมรดกของเรืออากาศตรหี ญงิ ว. จากนนั้ วนั ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ 2550 โจทกแ์ ละจำเลยที่ 1 ทำสญั ญาจะซอ้ื จะขาย
ท่ดี ินดงั กล่าว แล้วโจทก์ได้ย่ืนฟอ้ งจำเลยที่ 1 ต่อศาลชนั้ ต้นในขอ้ หาผดิ สญั ญาจะซ้ือจะขาย และขอใหบ้ งั คบั จำเลยท่ี 1 โอนกรรมสทิ ธใ์ิ น
ท่ีดนิ ดงั กลา่ วแกโ่ จทก์ ในระหว่างพิจารณาอนั เปน็ เวลากอ่ นทศ่ี าลชน้ั ตน้ มีคำสงั่ คุม้ ครองช่วั คราวให้ระงบั การจดทะเบยี นสทิ ธิและนิติ
กรรมเกย่ี วกบั ทด่ี ินนนั้ ไวจ้ นกวา่ คดถี งึ ท่สี ุดหรือศาลจะมีคำสัง่ เปน็ อย่างอนื่ จำเลยท่ี 1 ไดจ้ ดทะเบยี นการเช่าท่ีดินดังกลา่ วให้แก่จำเลยท่ี
2 มีกำหนดเวลา 30 ปี นบั แตว่ ันที่ 2 กันยายน 2562 เป็นตน้ ไป ต่อมาศาลชั้นต้นในคดดี ังกลา่ วพิพากษาวา่ จำเลยท่ี 1 มิไดเ้ ป็นฝา่ ยผดิ
สญั ญา คดีอยู่ระหวา่ งการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ มีปญั หาวนิ จิ ฉัยตามฎกี าของจำเลยท้งั สองเพยี งว่า โจทกม์ อี ำนาจฟ้องขอใหศ้ าลเพิก
ถอนนิติกรรมการจดทะเบยี นการเชา่ ระหว่างจำเลยทง้ั สองหรอื ไม่ เห็นว่า ไม่วา่ การเชา่ ท่ีดนิ ระหวา่ งจำเลยทง้ั สองจะทำใหส้ ทิ ธขิ องโจทก์
ในฐานะเจ้าหนซี้ ึง่ เป็นผ้เู ชา่ ตามสญั ญาเช่าเดิมไดร้ บั ผลกระทบหรือไมก่ ต็ าม แต่เม่อื โจทกย์ งั มฐี านะเป็นเจา้ หนตี้ ามสัญญาจะซือ้ จะขาย
ของจำเลยท่ี 1 ในคดกี อ่ นอยอู่ ีกดว้ ย และไดใ้ ชส้ ิทธิเรยี กร้องให้จำเลยท่ี 1 ซึง่ เป็นลกู หนป้ี ฏิบตั ติ ามสญั ญาจะซ้ือจะขายโดยการยนื่ ฟ้อง
จำเลยท่ี 1 ต่อศาลขอให้บงั คบั จำเลยท่ี 1 โอนทดี่ ินใหแ้ ก่โจทกต์ ามสญั ญาดงั กล่าวแลว้ แมว้ า่ ศาลช้นั ตน้ จะพพิ ากษาวา่ จำเลยที่ 1 มิได้
เป็นฝา่ ยผดิ สญั ญาจะซือ้ จะขาย คดีเดมิ มีประเด็นวา่ จำเลยที่ 1 ผดิ สัญญาจะซ้อื จะขายหรอื ไม่

คดนี ้ีมปี ระเด็นวา่ โจทก์มีสิทธิฟอ้ งขอใหศ้ าลเพิกถอนนติ ิกรรมการจดทะเบยี นการเช่าระหวา่ ง
จำเลยทง้ั สองหรือไม่ เปน็ คดฟี อ้ งขอใหเ้ พิกถอนการฉอ้ ฉลระหวา่ งจำเลยทงั้ สอง อนั เปน็ การทำใหโ้ จทกเ์ สยี เปรยี บ ป.พ.พ. มาตรา 237
ทใี่ ห้สทิ ธแิ ก่เจา้ หนที้ จี่ ะสงวนไวซ้ ึ่งกองทรัพยส์ ินของลูกหนี้เน่อื งจากทรพั ยส์ ินของลกู หนี้เหล่านยี้ อ่ มเปน็ หลกั ประกนั การชำระหน้ดี ังที่
บญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา 214 มไิ ด้ฟ้องขอบังคบั ชำระหนโ้ี ดยตรงจากทดี่ ินพิพาทดังเช่นในคดีกอ่ นอกี ด้วย กรณจี งึ เป็นเรอื่ งทไี่ มเ่ ก่ียวกบั คำ
พพิ ากษาผูกพันคคู่ วามหรือไม่ จำเลยทง้ั สองไมอ่ าจอา้ งเอาผลคำวินิจฉยั ของศาลชั้นต้นในคดีก่อนทย่ี งั ไมถ่ งึ ทส่ี ดุ มาผูกพันโจทกใ์ นคดนี ี้
ได้ ดงั นั้น เมอื่ โจทก์อา้ งวา่ โจทก์เป็นเจา้ หน้ีตามสญั ญาจะซ้ือจะขายทดี่ ินและจำเลยท่ี 1 ซงึ่ เปน็ ลกู หนีต้ ามสัญญาดงั กลา่ วไดท้ ำสญั ญา

55

56

เช่าทด่ี นิ ให้จำเลยที่ 2 โดยร้อู ยวู่ ่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรยี บอนั เปน็ การฉ้อฉลโจทก์ โจทก์จงึ มสี ิทธทิ ่จี ะฟอ้ งจำเลยทงั้ สองขอใหเ้ พิกถอน
นิตกิ รรมการเชา่ ท่ีดนิ น้นั ไดต้ ามบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายดงั กล่าว การกระทำของจำเลยท้งั สองตามฟ้องโจทก์ถอื ได้วา่ เป็นการโตแ้ ยง้ สทิ ธิ
ของโจทก์ที่มอี ย่กู ่อนในอนั ทจ่ี ะไดร้ ับโอนกรรมสิทธิใ์ นท่ีดินตามสญั ญาจะซือ้ จะขายโดยปลอดภาระผูกพนั ใด ๆ แล้ว โจทก์จงึ มอี ำนาจ
ฟ้องขอให้ศาลเพกิ ถอนนิตกิ รรมการจดทะเบยี นการเชา่ ระหวา่ งจำเลยทง้ั สองได้

ฎกี าท่ี 339/2506 จำเลยตกลงขายไม้ในโรงเล่ือยใหโ้ จทก์ โดยเจ้าหน้าทข่ี องโจทก์ไดว้ ัดไมต้ ีตรากรรมสิทธ์ิ ได้ไมค้ รบ
ตามสญั ญาและชำระราคาแล้วน้ัน ต้องถือวา่ กรรมสทิ ธิ์ในไมไ้ ด้โอนเป็นของโจทกแ์ ลว้ หากไฟไหม้ไมน้ ้นั เสยี หายไปเพราะเหตุอนั จะโทษ
จำเลยมิไดแ้ ลว้ การสญู หรอื เสยี หายก็ยอ่ มตกเปน็ พับแกโ่ จทก์ หากมเี ง่ือนไขระบุไว้ในสญั ญาว่าจำเลยยงั ตอ้ งรบั ผดิ ชอบในไม้ท่ซี ้อื ขายอยู่
จนกวา่ จะไดส้ ่งมอบแกโ่ จทกถ์ งึ ที่ตามที่ไดต้ กลงกันไว้อนั เปน็ การวกเวน้ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 370 และ 460 แล้ว
โจทก์กต็ ้องยกข้อความในสัญญาขอ้ นี้ขึ้นกล่าวเป็นประเดน็ ในฟอ้ งให้ชดั แจง้

ฎกี าท่ี 2526/2543 การซ้ือขายทดี่ นิ ระหว่างผูร้ ้องกับผตู้ าย ผตู้ ายจะตอ้ งไปจดทะเบยี นโอนกรรมสิทธใิ์ ห้แกผ่ ูร้ ้อง
หลังจากออกโฉนดที่ดนิ แลว้ จึงเป็นเพียงสญั ญาจะซ้อื ขาย หากการชำระหนตี้ ามสญั ญาจะซอ้ื ขายท่ีดนิ ดงั กลา่ วตกเป็นพน้ วสิ ยั เนอื่ งจาก
ทดี่ นิ ของผตู้ ายท่อี อกโฉนดในภายหลงั ตอ้ งหา้ มไมใ่ ห้โอนภายใน 10 ปี ตาม ป.ที่ดนิ ทำให้ผตู้ ายหลดุ พ้นจากการชำระหนต้ี าม ป.พ.พ.
มาตรา 219 วรรคแรก ไม่ตอ้ งไปจดทะเบียนโอนทดี่ ินใหแ้ ก่ผู้รอ้ ง แตผ่ ตู้ ายหามีสทิ ธไิ ดร้ ับชำระราคาทด่ี ินตอบแทนไม่ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 372 วรรคแรก ผตู้ ายจงึ ต้องคืนเงินราคาทด่ี ินให้แกผ่ ูร้ อ้ ง เมอ่ื ผ้ตู ายยังมิได้คืนเงนิ ย่อมถือได้ว่าผูร้ อ้ งซ่งึ เปน็ เจ้าหนีเ้ ปน็ ผมู้ สี ่วนได้
เสยี และมีสิทธิร้องต่อศาลขอใหต้ ง้ั ผู้จดั การมรดกเกีย่ วกบั ที่ดินแปลงดังกลา่ วไดต้ าม ป.พ.พ.มาตรา 1713

ผู้รอ้ งเป็นเจ้าหนี้ผมู้ ีสว่ นไดเ้ สียในกองมรดกของผตู้ าย และกรณีมีเหตจุ ำเปน็ ประกอบกับผรู้ อ้ งไม่
เปน็ บคุ คลวกิ ลจริต ไม่เคยถูกศาลสง่ั ใหเ้ ปน็ คนเสมอื นไร้ความสามารถ หรอื เปน็ คนลม้ ละลายมาก่อน ทงั้ ไมม่ ผี ู้ใดคดั คา้ น จงึ สมควรตั้งผู้
รอ้ งเปน็ ผจู้ ัดการมรดกของผู้ตาย

ฎีกาที่ 9241/2539 วตั ถปุ ระสงคแ์ หง่ หนีต้ ามสญั ญาจะซ้ือจะขายทพ่ี พิ าทคอื การรับโอนกรรมสิทธิ์ในทด่ี นิ ตามจำนวน
เนือ้ ที่ทจ่ี ะซื้อสำหรบั โจทก์และการชำระคา่ ทด่ี นิ ตามจำนวนที่ตกลงกันสำหรับจำเลย เม่ือขอ้ เท็จจรงิ ปรากฏตง้ั แตว่ นั ถึงกำหนดโอนตาม
สญั ญาว่ามีการเวนคนื ทดี่ ิน และท่ีดนิ ทจ่ี ะซื้อจะขายอยู่ในเขตเวนคืนด้วยอันจะมผี ลทำใหท้ ีด่ นิ ท่ีจะซือ้ จะขายถกู เวนคนื ทง้ั หมดหรอื
บางสว่ นได้ ดังน้ัน การปฏิบตั กิ ารชำระหนตี้ ามสัญญาจงึ เกดิ ปญั หาทัง้ ในส่วนจำนวนเนื้อที่ดินทโ่ี จทกจ์ ะพงึ ได้รบั ตามที่ไดต้ งั้ วตั ถปุ ระสงค์
ไว้ และในส่วนจำนวนคา่ ทดี่ นิ ท่จี ำเลยมุ่งไว้ ซงึ่ จะเปลย่ี นแปลงไมเ่ ป็นไปตามวตั ถุประสงคต์ ามสญั ญาจะซอ้ื จะขาย กรณถี อื ไดว้ ่าการ
ชำระหนี้ตามสญั ญาจะซ้ือจะขายที่พิพาทในคดีนต้ี กเป็นพ้นวิสยั เพราะเหตุอยา่ งใดอย่างหนงึ่ อันจะโทษฝ่ายใดฝา่ ยหนง่ึ ก็ไม่ไดต้ าม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 372ตา่ งฝ่ายตา่ งไมต่ อ้ งชำระหนต้ี อ่ กันต่อไปอีก กรณีไม่อาจเรยี กค่าเสียหายจากจำเลยได้
และจำเลยตอ้ งคืนเงนิ มดั จำใหแ้ ก่โจทก์

56

57

ฎีกาท่ี 149/2506 โจทกข์ ายรถยนต์เฟยี้ ตให้จำเลยราคา 55,000 บาท โดยให้จำเลยชำระราคาด้วยเงินสด 20,000
บาท กับรถยนต์ออสตนิ ของจำเลยตรี าคา 35,000 บาท โจทก์จำเลยสง่ มอบรถยนตแ์ ละเงนิ สดใหแ้ กก่ ันแลว้ และตกลงจะไปโอน
ทะเบยี นรถยนตใ์ ห้กนั เมอื่ โจทกผ์ อ่ นชำระราคาครบและรับโอนทะเบยี นมาจากกรมสวัสดกิ ารฯ แล้ว ดังนี้ แสดงวา่ ทั้งสองฝา่ ยยงั ไม่มี
เจตนาโอนกรรมสทิ ธิร์ ถยนตใ์ หก้ ันจนกว่าการจะได้เปน็ ไปตามเงอ่ื นไขแลว้

ระหวา่ งที่เง่อื นไขยงั ไมส่ ำเรจ็ รถยนตเ์ ฟยี้ ตซง่ึ อย่ใู นครอบครองของจำเลยถูกเพลงิ ไหม้ใชก้ ารไมไ่ ด้
โดยไมใ่ ชค่ วามผดิ ของฝ่ายใด เปน็ การพน้ วสิ ยั ที่โจทกจ์ ะโอนกรรมสทิ ธิ์รถยนตเ์ ฟีย้ ตให้จำเลยได้ ดงั น้ี โจทก์ก็ไม่มสี ทิ ธิจะเรยี กรอ้ งให้
จำเลยโอนกรรมสทิ ธร์ิ ถยนตอ์ อสตินใหโ้ จทกไ์ ดเ้ พราะเปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนกนั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 372
วรรคแรก และเม่อื กรรมสิทธยิ์ งั ไม่โอนมายงั โจทก์ กไ็ ม่เรยี กว่าเปน็ สัญญาท่ีมวี ตั ถปุ ระสงค์เปน็ การกอ่ ให้เกดิ หรือโอนทรพั ยสทิ ธิในทรพั ย์
นนั้ ตามมาตรา 370และมาตรา 371 ก็บญั ญตั ิว่า สัญญาตา่ งตอบแทนถา้ มเี งอ่ื นไขบงั คับกอ่ น และทรัพย์อนั เปน็ วตั ถแุ หง่ สัญญาน้นั สูญ
หรอื ทำลายลงในระหว่างท่เี ง่ือนไขยงั ไมส่ ำเรจ็ จะนำมาตรา 370 มาใชบ้ งั คับไม่ได้อีกดว้ ย

ฎีกาที่ 5625/2557 การขายสลากกินแบง่ รฐั บาลมบี ทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายบญั ญตั ขิ อ้ ห้ามและกำหนดโทษแกผ่ ทู้ ่เี สนอ
ขายหรอื ขายสลากเกนิ ราคาทก่ี ำหนดในสลากไว้ถงึ 2 ฉบับ คอื พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 9 ทวิ ซง่ึ มบี ทกำหนดโทษตามมาตรา
9 ตรี ใหร้ ะวางโทษจำคุกไม่เกนิ หนง่ึ เดอื น หรอื ปรับไมเ่ กนิ หนึ่งพนั บาท หรือทงั้ จำทงั้ ปรับ และตาม พ.ร.บ.สำนกั งานสลากกินแบง่
รฐั บาล พ.ศ.2517 มาตรา 39 ใหร้ ะวางโทษปรบั ไม่เกนิ สองพันบาท จำเลยทำสญั ญาซ้ือขายสลากกินแบง่ รฐั บาลกบั โจทก์ โดยโจทกต์ ก
ลงขายสลากใหแ้ กจ่ ำเลยในราคาฉบบั ละ 90 บาท หรือสว่ นละ 45 บาท แต่ราคาในสลากระบุไว้เพยี งฉบบั ละ 80 บาท หรือสว่ นละ 40
บาท สญั ญาซอ้ื ขายสลากกินแบ่งรฐั บาลซง่ึ เกนิ ราคาดงั กลา่ ว จงึ เปน็ การอนั มวี ัตถปุ ระสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายทง้ั สองฉบบั
ข้างต้น และตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 แมก้ ารสมคั รใจซื้อขายสลากกินแบง่ รฐั บาลในราคาสงู กว่าทก่ี ำหนดในสลาก เพราะ
มีปญั หาเกยี่ วกับระบบการจดั จำหน่ายสลากกนิ แบง่ รัฐบาลและการบังคบั ใชก้ ฎหมายทห่ี ้ามมิให้ขายสลากกินแบง่ เกินราคา โดยมีการ
ขายเกนิ ราคากนั อยา่ งแพรห่ ลายก็ตาม หาเป็นขอ้ ยกเวน้ ท่จี ะทำให้การขายสลากกนิ แบง่ รัฐบาลเกินราคาเปน็ การอนั ไม่ต้องห้ามตาม
บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายไม่

สญั ญาซื้อขายสลากกนิ แบง่ รฐั บาลรวมส่วนทข่ี ายตามราคาท่ีกำหนดไว้ในสลากซึ่งไมเ่ ป็นโมฆะอยู่
ดว้ ยและสามารถแยกแยะจำนวนเงินของส่วนทขี่ ายเกนิ ราคาออกได้แนช่ ัด พฤติการณแ์ ห่งกรณีทจ่ี ำเลยซื้อสลากกนิ แบง่ รฐั บาลจำนวน
มากไปจากโจทกเ์ พ่อื นำไปจำหนา่ ยในทางการคา้ ย่อมมีสว่ นทจ่ี ำเลยได้รับประโยชนจ์ ากการขายเกินราคาในสลากดงั กล่าว อนั พงึ
สนั นิษฐานไดว้ า่ โจทกแ์ ละจำเลยเจตนาจะให้สว่ นท่ีไม่เป็นโมฆะแยกออกจากส่วนทเี่ ปน็ โมฆะได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 สญั ญาซ้ือขาย
สลากกนิ แบ่งรฐั บาลระหว่างโจทกแ์ ละจำเลยจึงไมต่ กเป็นโมฆะทงั้ ฉบบั โจทกย์ งั คงมีสิทธิเรยี กร้องคา่ สลากในส่วนท่ไี มเ่ กินราคาจาก
จำเลยได้

57

58

ฎกี าที่ 3523/2553 ข้อเท็จจรงิ รบั ฟงั เป็นยตุ วิ ่า จำเลยตกลงจะขายทด่ี นิ ตามฟ้องให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ชำระเงนิ มดั จำ
ให้จำเลย และจำเลยยินยอมให้โจทกเ์ ข้าไปสร้างร้วั และสงิ่ ปลกู สร้างในทดี่ ิน เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยเป็นเงนิ 59,000 บาท แตจ่ ำเลยไมส่ ามารถจด
ทะเบยี นโอนทด่ี ินตามสญั ญาจะซ้อื จะขายใหโ้ จทกต์ ามทตี่ กลง โดยจำเลยมไิ ดผ้ ดิ สญั ญาและคนื เงนิ มดั จำใหโ้ จทก์แลว้

การทโี่ จทก์เรียกร้องคา่ ก่อสรา้ งรัว้ และสงิ่ ปลูกสร้างในทีด่ นิ ทตี่ กลงจะซอื้ จากจำเลย แต่จำเลยไม่
สามารถโอนที่ดินใหต้ ามสญั ญาจะซอ้ื จะขายได้ โดยจำเลยมไิ ดเ้ ปน็ ฝ่ายผดิ สญั ญาน้ัน เป็นกรณีไม่มบี ทกฏหมายใดทจี่ ะยกมาปรบั แกค่ ดี
ได้ และบทบญั ญัตแิ หง่ มาตรา 1310 และมาตรา 1314 เร่ืองการก่อสร้างใด ๆ ซง่ึ ตดิ กับทด่ี นิ ในท่ีดินของผอู้ ื่นโดยสุจรติ ให้เจา้ ของท่ีดิน
เปน็ เจ้าของสง่ิ กอ่ สร้างนน้ั ถือได้วา่ เป็นบทกฎหมายทใ่ี กลเ้ คยี งอย่างยงิ่ ต่อกรณที ่โี จทก์เรียกร้อง ฉะนัน้ ท่ีศาลอทุ ธรณภ์ าค 6 นำ
บทบญั ญัตดิ งั กล่าวมาปรบั แก่คดี ตามมาตรา 4 วรรคสอง แล้ววนิ จิ ฉัยให้จำเลยชดใชเ้ งนิ คา่ ก่อสร้างและสง่ิ ปลกู สร้างซงึ้ ตกเป็นของ
จำเลยแก่โจทก์ จึงชอบแล้ว ศาลฎกี าเห็นพ้องดว้ ย ฎกี าของจำเลยฟงั ไมข่ นึ้

ฎีกาที่ 10834/2556 โจทกแ์ ละจำเลยมีเจตนาจะผกู พันในเร่ืองการก้ยู ืมเงินระหวา่ ง อ. กบั จำเลยโดยมโี จทก์เปน็ ผูค้ ำ้
ประกัน และให้โฉนดท่ดี นิ พพิ าทเป็นประกนั หน้ี หาได้มเี จตนาทจ่ี ะผูกพันกันตามสญั ญาขายฝากไม่ แมก้ ารแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับ
คกู่ รณอี กี ฝา่ ยหนงึ่ ในการทำนิติกรรมอำพรางตามทบ่ี ญั ญตั ิไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสองน้นั คู่กรณีจะตอ้ งแสดงเจตนาทำนติ ิ
กรรมขน้ึ สองนิตกิ รรมคือ นิติกรรมหนง่ึ แสดงให้ปรากฏออกมาโดยเปิดเผย คูก่ รณีไม่ประสงคจ์ ะใหม้ ีผลบังคบั อยา่ งใดตามกฎหมาย ส่วน
อีกนติ กิ รรมหน่ึงเป็นนติ ิกรรมท่ไี มเ่ ปดิ เผยเรยี กว่านติ กิ รรมท่ีถกู อำพรางปกปดิ ไว้ โดยคู่กรณปี ระสงค์จะให้นิติกรรมที่ถูกอำพรางปกปดิ ไว้
นั้นใช้บังคับระหวา่ งกันเองได้ แมค้ กู่ รณีในเรอื่ งนติ ิกรรมอำพรางจะตอ้ งมเี พยี งค่เู ดียวกต็ าม แตค่ ดีนโ้ี จทก์เป็นสามขี อง อ. ผกู้ ู้ ทง้ั ยังเป็น
ผ้คู ้ำประกนั ในสญั ญากเู้ งนิ โดยโจทก์มคี วามประสงคต์ ้องการใชเ้ งนิ แสดงว่าโจทก์มีสว่ นไดเ้ สยี ในเงนิ กดู้ งั กล่าวด้วย การทโ่ี จทก์และ อ.
ทำนติ ิกรรมดงั กล่าวจงึ มีผลประโยชน์รว่ มกัน และถือได้วา่ เปน็ ฝา่ ยเดยี วกัน ดงั นี้ แมค้ ูก่ รณีในนิตกิ รรมขายฝากจะเปน็ นติ ิกรรมระหว่าง
โจทก์กับจำเลย สว่ นนิตกิ รรมการกู้ยมื เปน็ นติ ิกรรมระหว่าง อ. กบั จำเลย ก็ถือได้ว่าคู่กรณีในนิติกรรมทงั้ สองนติ ิกรรมนัน้ เป็นคกู่ รณี
เดยี วกัน ฟังได้ว่านิติกรรมขายฝากเปน็ นิตกิ รรมอำพรางการกู้ยมื จึงตกเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนง่ึ ตอ้ งบงั คบั ตาม
สญั ญาก้เู งนิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสอง โดยจำเลยยงั มสี ิทธยิ ดึ โฉนดทด่ี นิ พิพาทเปน็ ประกันได้

เมอื่ ขอ้ เทจ็ จริงยงั ฟังไม่ไดแ้ น่ชดั วา่ มกี ารชำระหน้ตี ามสัญญากคู้ รบถว้ นแลว้ หรือไม่ โจทก์จงึ ไม่มี
อำนาจฟ้องใหจ้ ำเลยจดทะเบยี นไถถ่ อนการขายฝากกบั ขอให้จำเลยคนื โฉนดทดี่ นิ พิพาทได้ และเม่อื การขายฝากทด่ี ินพิพาทพร้อมสงิ่
ปลกู สร้างตกเป็นโมฆะดงั กล่าว ศาลฎกี ากช็ อบทีจ่ ะพพิ ากษาใหเ้ พิกถอนเสยี

ฎกี าท่ี 6342/2552 ท. มเี จตนายกทด่ี ินให้แก่จำเลยแตจ่ ดทะเบยี นนติ ิกรรมเป็นการขาย ดงั นี้ ถอื ได้ว่าเป็นการจด
ทะเบยี นนิติกรรมการขายทดี่ ินเพื่ออำพรางนติ กิ รรมให้ ดังนนั้ นติ กิ รรมขายที่ดินย่อมเป็นการแสดงเจตนาด้วยสมรกู้ นั ระหวา่ งคู่กรณี
ย่อมเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ส่วนนิติกรรมต้องบงั คบั ตามบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทถ่ี ูกอำพรางตาม ป.พ.พ.
มาตรา 155 วรรคสอง การท่ี ท. จดทะเบียนนติ กิ รรมขายมีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการโอนกรรมสิทธใ์ิ นทรัพย์สนิ คือทดี่ นิ เช่นเดยี วกบั นติ กิ รรม
ให้ต่างกันเพียงวา่ มคี ่าตอบแทนแกก่ ันหรอื ไม่เท่านั้น ย่อมถือไดว้ า่ การจดทะเบยี นขายดงั กลา่ วเป็นการทำหนงั สือและจดทะเบยี นสำหรับ

58

59

การใหท้ ถี่ กู อำพรางดว้ ยโดยอนโุ ลม นติ กิ รรมการให้ที่ดินระหว่าง ท. และจำเลยจงึ ไม่เปน็ โมฆะและมผี ลบงั คับตาม ป.พ.พ. มาตรา 155
วรรคสอง

ฎกี าที่ 891/2557 คำกล่าวของจำเลยท่ี 1 ตามคำฟอ้ งท่ีว่า "พวกมันมีเหย้ี 7 ตัว" หรอื "มันเป็นสามานย์" แมเ้ ปน็ การ
กล่าวกระทบถงึ โจทก์ท้ังเจด็ แตก่ ม็ ใิ ช่การนำความเทจ็ หรอื ขอ้ ความทไี่ มเ่ ป็นความจรงิ เกย่ี วกับตวั โจทก์ทงั้ เจด็ มากล่าว หากแตเ่ ปน็ การ
ดา่ โจทก์ทง้ั เจด็ ด้วยความร้สู ึกเกลยี ดชงั ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นคนไมด่ ี โดยเปรียบเหมือนสตั ว์ซึง่ ไม่ใชเ่ ป็นการนำข้อความอันฝ่าฝนื ตอ่ ความ
จริงมากล่าว จำเลยที่ 1 จึงไมไ่ ด้กลา่ วหรือไขขา่ วแพรห่ ลายซง่ึ ขอ้ ความอันฝ่าฝนื ตอ่ ความจรงิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 423

แตก่ ารพดู ปราศรยั ดว้ ยถ้อยคำตามฟ้องต่อประชาชนทม่ี าฟงั การชุมนุม ณ ทเี่ กดิ เหตุน้นั ประชาชน
ที่ฟงั ย่อมรสู้ กึ ไดว้ ่าโจทก์ทง้ั เจด็ เปน็ คนไม่ดี ไมเ่ หมาะสมแกต่ ำแหนง่ ประธานสภาหรือสมาชิกสภาเทศบาล อนั เขา้ ลักษณะเป็นการทำต่อ
บคุ คลอ่นื โดยผดิ กฎหมายตามมาตรา 420 ทำใหโ้ จทกท์ ง้ั เจด็ เสยี ชอ่ื เสยี งอันเปน็ สิทธอิ ยา่ งหนึง่ ถอื ได้ว่าจำเลยท่ี 1 กระทำละเมดิ ตอ่
โจทก์ท้ังเจด็ และจำต้องชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเพ่อื การนัน้

ฎีกาที่ 3686/255การทีจ่ ำเลยใช้สถานทคี่ อื สนามกฬี าบริเวณสนามหน้าเมืองมาจัดการแขง่ ขนั ซงึ่ ประกอบด้วยสนามทใี่ ชใ้ น
การแขง่ ขันรวมถงึ อฒั จนั ทรท์ ่ีให้ผเู้ ข้าชมการแขง่ ขนั รวมทงั้ นกั กฬี าใชเ้ ป็นที่นง่ั ชมการแขง่ ขันหรอื ทำกิจกรรมทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การแข่งขนั
กฬี า จำเลยยอ่ มมีหนา้ ทีด่ แู ลความเรียบรอ้ ยในระหวา่ งทม่ี กี ารแขง่ ขนั กฬี า รวมถึงการดูแลความปลอดภยั ให้นักกฬี าตลอดถงึ คนที่เขา้ ชม
การแขง่ ขันโดยเฉพาะในการแขง่ ขันกฬี าครงั้ ท่เี กดิ เหตุ มีการแขง่ ขันกฬี าในช่วงเยน็ ไปถึงค่ำระหวา่ งเวลา 18 ถงึ 21 นาฬกิ า ยอ่ มมคี วาม
จำเป็นตอ้ งใช้กระแสไฟฟ้าเพอื่ ใหแ้ สงสวา่ งตลอดระยะเวลาดงั กล่าว ซง่ึ กระแสไฟฟา้ นั้นเป็นทรัพย์อันเป็นของเกดิ อันตรายไดโ้ ดยสภาพ
เมอื่ กระแสไฟฟา้ ชอ็ ตผตู้ ายทอ่ี าคารอฒั จนั ทรท์ ี่จำเลยเป็นผ้คู รอบครองดูแลรับผดิ ชอบอยใู่ นระหวา่ งการแขง่ ขนั กีฬาท่ีจำเลยเปน็ ผู้จัดข้นึ
จำเลยกต็ อ้ งรบั ผิดชอบเพือ่ ความเสยี หายอนั เกิดแต่กระแสไฟฟ้า เวน้ แต่จะพสิ ูจน์ได้วา่ ความเสยี หายนน้ั เกิดแตเ่ หตสุ ดุ วิสยั หรือเกิด
เพราะความผดิ ของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 วรรคสอง ทจี่ ำเลยอา้ งวา่ เป็นเหตสุ ดุ วสิ ยั จำเลยนำสืบได้เพียงวา่ กอ่ นเกดิ เหตุ
เจ้าหนา้ ท่ีของจำเลยไดต้ รวจสอบแล้วไม่มีส่วนชำรดุ บกพร่องของกระแสไฟฟ้าในส่วนของอาคารอฒั จนั ทร์ ซง่ึ ขอ้ นำสืบดงั กลา่ วมไิ ด้
แสดงว่าเปน็ เหตุสุดวสิ ยั สำหรับกรณที ี่ผู้ตายใชน้ ำ้ ราดตวั จนเปยี กกไ็ ด้ความวา่ เป็นเพราะผู้ตายเปน็ ผู้เขา้ ร่วมการแข่งขนั กีฬาฟตุ ซอล
หลงั การแขง่ ขนั กีฬาแล้วผตู้ ายใชน้ ำ้ ราดตัวเพือ่ ใหส้ ดชนื่ หายเหนอื่ ย เมอ่ื ผตู้ ายจบั ราวเหลก็ ของอาคารอฒั จนั ทรแ์ ลว้ ถกู กระแสไฟฟ้าช็อ
ตจึงถึงไม่ได้วา่ เป็นความผดิ ของผตู้ าย ดงั นนั้ จำเลยจงึ ไม่หลดุ พน้ จากความรบั ผดิ ในเหตทุ ีเ่ กิดข้นึ ศาลฎีกาพพิ ากษายนื ให้จำเลยชดใช้
เงิน 1,266,123 บาทแกโ่ จทก์ทง้ั สอง

ฎกี าที่ 16078/2556 โจทก์ทำสัญญาจะซ้อื จะขายห้องชุดในโครงการอาคารชดุ ของจำเลยที่ 1 และสญั ญาจะซอ้ื จะขาย
เฟอร์นิเจอร์กบั จำเลยที่ 1 ซงึ่ ในการพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝา่ ยผดิ สญั ญาจะซื้อจะขายโครงการกอ่ สร้างอาคารชดุ ไมแ่ ล้วเสรจ็
ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาหรือไม่ ยอ่ มต้องพิจารณาสญั ญาจะซอื้ จะขายหอ้ งชดุ ประกอบสญั ญาจะซื้อจะขายเฟอรน์ เิ จอร์รว่ มด้วย
ตอ่ มาเมื่อจำเลยที่ 1 ทำสญั ญาโอนขายสัญญาดงั กลา่ วใหแ้ ก่จำเลยท่ี 2 ซงึ่ เปน็ กรรมการผู้มอี ำนาจทำการแทนจำเลยท่ี 3 โดยในสัญญา

59

60

โอนขายมขี ้อตกลงใหจ้ ำเลยท่ี 3 ต้องร่วมรับผดิ ตอ่ ลกู คา้ เดมิ ของจำเลยท่ี 1 รวมทงั้ โจทก์ และจำเลยที่ 2 ตกลงกบั จำเลยที่ 1 ใหม้ ีการ
เปลี่ยนตวั ผรู้ บั โอนกรรมสทิ ธิ์อาคารชุดจากจำเลยท่ี 2 เป็นจำเลยที่ 3 เปน็ ผลใหม้ กี ารทำสัญญาจะซ้ือจะขายโครงการดงั กลา่ วทง้ั หมดกนั
ใหมร่ ะหว่างจำเลยท่ี 1 กบั จำเลยที่ 3 กรณถี อื ว่าการทจี่ ำเลยที่ 1 ทำสญั ญาจะซอื้ จะขายห้องชดุ กับโจทก์ ตอ่ มาจำเลยท่ี 1 โอนขายสทิ ธิ
ตามสญั ญาดงั กล่าวใหจ้ ำเลยที่ 2 และมกี ารเปลย่ี นตวั ผูร้ บั โอนกรรมสิทธ์อิ าคารชดุ จากจำเลยท่ี 2 เปน็ จำเลยที่ 3 โดยจำเลยท่ี 1 กต็ กลง
ยนิ ยอมดว้ ย เม่ือข้อตกลงในสัญญาซ้อื ขายระหวา่ งจำเลยท่ี 1 กบั จำเลยท่ี 2 มขี อ้ สญั ญาให้จำเลยท่ี 2 ตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ ลกู ค้าทกุ ราย และ
สัญญาระหวา่ งจำเลยท่ี 1 กับจำเลยที่ 3 ก็มขี ้อตกลงท่ีจำเลยท่ี 3 ตอ้ งรบั โอนสทิ ธิเรยี กรอ้ งของคสู่ ัญญาทเี่ ป็นลกู คา้ ของจำเลยท่ี 1 ผู้จะ
ขายทกุ รายมาดว้ ยและเม่ือพจิ ารณาประกอบกนั ท้งั สองสญั ญาแล้วถอื วา่ สญั ญาที่จำเลยท่ี 2 และจำเลยที่ 3 ทำสญั ญาดงั กลา่ วกบั
จำเลยท่ี 1 โดยมขี ้อตกลงวา่ จำเลยที่ 2 และจำเลยท่ี 3 จะชำระหนีใ้ ห้แก่ลูกคา้ ทุกรายรวมทงั้ โจทก์ จงึ เป็นสญั ญาเพ่อื ประโยชนแ์ กโ่ จทก์
ซึ่งเป็นบคุ คลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคหน่งึ เม่อื โจทก์มหี นังสอื วา่ จะถือประโยชนจ์ ากสญั ญาดงั กล่าวแกจ่ ำเลยท่ี 2 และ
จำเลยท่ี 3 แล้ว โจทกย์ ่อมมสี ทิ ธิเรยี กรอ้ งให้จำเลยท่ี 2 และจำเลยที่ 3 รวมทง้ั จำเลยท่ี 1 คสู่ ญั ญาเดิมรว่ มกนั รับผิดชดใชค้ ่าเสยี หายต่าง
ๆ แกโ่ จทกไ์ ดต้ ามมาตรา 374 วรรคสอง

สว่ นท่โี จทกม์ คี ำขอใหจ้ ำเลยที่ 2 และท่ี 3 ร่วมกันทำนติ กิ รรมจดทะเบยี นโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด
ใหแ้ กโ่ จทก์นั้น เมอ่ื ฟงั วา่ จำเลยท่ี 3 ผเู้ ดียวเป็นผรู้ บั โอนกรรมสิทธ์อิ าคารชดุ ทง้ั โครงการมาจากจำเลยท่ี 1 แลว้ และเป็นผูม้ ีกรรมสทิ ธ์ิใน
อาคารชุดพพิ าทเพยี งผู้เดยี ว สภาพแหง่ หนจี้ งึ เปดิ ช่องให้เฉพาะจำเลยที่ 3 เทา่ น้ัน ทมี่ ีหน้าทตี่ อ้ งทำนติ ิกรรมการโอนกรรมสิทธิ์หอ้ งชดุ
ใหโ้ จทก์

ฎีกาท่ี 13199/2558 กอ่ นทจ่ี ำเลยจะทำสญั ญาจะซอื้ จะขายทาวน์เฮ้าส์ใหแ้ ก่โจทก์ โจทก์มีสิทธิได้รบั เงนิ จากการขาย
ที่ดนิ จากจำเลยจำนวน 6,000,000 บาท และไดแ้ ปลงหนใี้ หมม่ าเป็นสญั ญาจะซอื้ จะขายทาวน์เฮา้ ส์ แต่จำเลยก็มิไดส้ รา้ งทาวน์เฮา้ ส์
ให้แกโ่ จทก์ จำเลยจงึ เป็นฝ่ายผดิ สัญญาและโจทกม์ ีสทิ ธิบอกเลิกสัญญาได้ เม่อื จำเลยยงั ไมไ่ ดก้ อ่ สร้างทาวนเ์ ฮ้าส์จงึ ตอ้ งถือวา่ หนอี้ นั จะ
พึงเกดิ ขึ้นเพราะการแปลงหนใี้ หมน่ ้นั ยังมไิ ด้เกิดขนึ้ หนีเ้ ดิมคอื หนเี้ งินที่จำเลยต้องชำระใหแ้ กโ่ จทก์ตามท่ีโจทก์มสี ิทธิได้รบั จากการขาย
ท่ดี นิ ใหจ้ ำเลย จำนวน 6,000,000 บาท จงึ ไมร่ ะงับส้นิ ไปตามป.พ.พ.มาตรา 351

ฎกี าท่ี 6334/2550 ป.พ.พ. มาตรา 303 วรรคหนงึ่ และมาตรา 306 วรรคหนึง่ มิไดบ้ ัญญตั วิ า่ หนี้ท่ีลูกหน้ผี ดิ นดั ชำระ
แล้วจะโอนให้แกก่ นั ไม่ได้ และผู้รบั โอนจะตอ้ งมสี ่วนไดเ้ สยี ในมูลหน้ที รี่ ับโอน แม้การโอนสทิ ธเิ รียกรอ้ งระหวา่ งเจา้ หน้กี บั โจทก์จะกระทำ
ภายหลงั จำเลยผดิ นัดชำระหนี้แล้วและโจทก์มไิ ดม้ ีส่วนไดเ้ สยี ในมลู หน้ีดงั กล่าว ก็มใิ ชเ่ รอื่ งการซือ้ ขายความและไม่ขดั ตอ่ ความสงบ
เรยี บรอ้ ยของประชาชน เม่ือการโอนสทิ ธเิ รยี กร้องไดท้ ำเปน็ หนงั สอื และโจทก์มีหนงั สอื บอกกลา่ วการโอนไปยงั จำเลยผเู้ ป็นลูกหนต้ี าม
มาตรา 306 วรรคหน่ึงแลว้ ย่อมมผี ลสมบรู ณแ์ ละใช้ยันจำเลยได้ โจทก์ผู้รับโอนซงึ่ มฐี านะเป็นเจา้ หนแี้ ทนเจา้ หน้เี ดิมย่อมมสี ิทธเิ รยี กรอ้ ง
ตามมลู หนท้ี มี่ อี ยจู่ ากจำเลยได้ โจทก์จงึ มีอำนาจฟอ้ งบงั คบั จำเลยใหช้ ำระหน้ีดงั กลา่ วได้

60

61

ฎีกาท่ี 652/2508 จำเลยทำหนังสอื สญั ญาโอนสทิ ธเิ รยี กร้องของจำเลยในเงินค่าจา้ งเหมาก่อสรา้ งอาคารให้แกผ่ รู้ ้อง
ซง่ึ เป็นเจา้ หน้ี โดยบอกกลา่ วการโอนไปยงั ลกู หน้ีแหง่ สิทธิเรียกรอ้ งนั้น และได้รบั ความยินยอมแลว้ สทิ ธทิ ี่จะได้รบั เงินค่าจา้ งเหมาจึงตก
เปน็ ของผู้ร้องและขาดจากการเปน็ สทิ ธหิ รือทรัพยส์ ินของจำเลย แมว้ ่าขณะโอนสิทธเิ รียกร้องจะยงั ไมถ่ ึงกำหนดงวดท่ีจำเลยจะไดร้ ับเงิน
ตามสญั ญาจา้ งเหมากต็ าม และเมอ่ื ไมป่ รากฏวา่ ในขณะโอนผรู้ ้องไดร้ ถู้ งึ ข้อความจรงิ อันเปน็ ทางใหเ้ จา้ หนี้อืน่ รวมท้งั โจทก์ตอ้ งเสยี เปรียบ
โจทก์กไ็ มม่ ีสทิ ธจิ ะขอให้ศาลอายดั เงินจำนวนน้ไี ด้

ฎีกาที่ 595/2537 การรับสภาพหนี้ เป็นการทีล่ ูกหน้ีรบั สภาพต่อเจา้ หนว้ี ่าจะชำระหนใี้ ห้ ดงั นัน้ การทีจ่ ำเลยซง่ึ เป็น
บุคคลภายนอก มิไดเ้ ปน็ ลกู หนผี้ กู พนั ตนเข้าชำระหนใี้ หโ้ จทก์ จึงไม่เปน็ การรบั สภาพหนแี้ ละแมจ้ ำเลยทำสญั ญาไวต้ อ่ โจทกว์ ่าจะชำระ
หนี้ ซึ่งค. เปน็ หนีโ้ จทก์ใหโ้ จทก์กต็ าม แต่ไม่ปรากฏว่าโจทกเ์ จา้ หนตี้ กลงใหห้ นขี้ อง ค. ระงบั ไป จงึ ไม่เป็นการแปลงหนใี้ หมแ่ ต่การท่ี
จำเลยซงึ่ เปน็ บุคคลภายนอกผกู พนั ตนเขา้ ชำระหน้ีที่ ค. คา้ งชำระใหโ้ จทก์ จงึ เป็นสญั ญาประเภทหนง่ึ ระหว่างโจทกจ์ ำเลย ซ่งึ คสู่ ญั ญา
กระทำด้วยความสมัครใจ เมอื่ ไมข่ ดั ตอ่ กฎหมายยอ่ มสมบรู ณ์ใชบ้ ังคบั ได้ และเมอ่ื หนตี้ ามสญั ญาน้ีไมม่ ีกฎหมายบัญญัตอิ ายคุ วามไว้
โดยเฉพาะ กต็ อ้ งใชอ้ ายคุ วาม10 ปี

ฎกี าที่ 7122/2549 คำว่า "มัดจำ" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 คอื ทรพั ย์สนิ ซ่ึงได้ให้ไว้ในวนั ทำสญั ญา ไม่ใชท่ รพั ยส์ นิ ทใี่ ห้
ไว้ในวนั อื่น สัญญาจะซื้อจะขายทด่ี ิน ขอ้ 3 ระบุว่า ในวนั ทำสญั ญาโจทก์ผูจ้ ะซ้อื ได้วางเงนิ มัดจำไวส้ ว่ นหนึง่ เป็นเงนิ 10,000 บาท สว่ นท่ี
เหลอื จำนวน 914,000 บาท จะชำระเป็นงวดรายเดอื น จำนวน 10 เดอื น ดังนนั้ เงนิ ท่วี างมดั จำไวใ้ นวันทำสญั ญาดงั กล่าวจงึ มีเพยี ง
10,000 บาท เทา่ นั้น ส่วนเงนิ คา่ งวดท่ีโจทก์ชำระใหแ้ กจ่ ำเลยทง้ั สามอีก 10 งวด เปน็ เงิน 170,000 บาท นน้ั แมต้ ามสญั ญาจะระบุวา่
เป็นสว่ นหนง่ึ ของเงนิ มัดจำ ก็ไมใ่ ช่เงินมดั จำตามความหมายดงั กล่าว แต่เปน็ เพียงการชำระราคาทด่ี นิ บางส่วน เมื่อโจทกเ์ ป็นฝ่ายผิด
สัญญาและจำเลยทง้ั สามบอกเลกิ สญั ญาแก่โจทก์แลว้ สญั ญาจะซอื้ จะขายที่ดินดังกลา่ วจงึ เป็นอนั เลิกกนั จำเลยทง้ั สามจงึ มสี ทิ ธริ ิบเงิน
มัดจำจำนวน 10,000 บาท ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) ส่วนเงนิ ทโ่ี จทก์ชำระคา่ ทดี่ ินบางส่วนดงั กลา่ ว จำเลยทัง้ สามต้องใหโ้ จทก์
กลับคืนสู่ฐานะดังทเ่ี ปน็ อยเู่ ดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 แต่การทโี่ จทกแ์ ละจำเลยทง้ั สามตกลงกนั ให้รบิ เงนิ ดังกล่าวไดต้ ามสญั ญาขอ้ 13
ข้อตกลงดงั กล่าวจงึ มลี ักษณะเป็นเบย้ี ปรับทก่ี ำหนดเป็นจำนวนเงนิ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ถ้าสงู เกินสว่ นศาลจะลดลงเปน็ จำนวน
พอสมควรก็ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนงึ่

ฎกี าที่ 3994/2540 แมห้ นังสอื สญั ญาก้ยู ืมเงินท่ี ป. ลูกหน้ที ำไว้กบั โจทกย์ งั ไมถ่ งึ กำหนดชำระแต่ ป. ไดถ้ งึ แกค่ วามตาย
เสยี กอ่ น โจทกย์ อ่ มมีสทิ ธิฟ้องคดเี พ่อื บงั คบั ตามสทิ ธเิ รยี กร้องไดภ้ ายใน1 ปนี บั แต่เม่อื โจทกร์ ู้ถงึ ความตายของ ป. ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณชิ ย์มาตรา 1754 วรรคสาม เพราะสิทธเิ รยี กร้องของโจทก์ย่อมเกดิ ขนึ้ เม่ือ ป. ถงึ แกค่ วามตายหากรอจนหนี้ถงึ กำหนด
ชำระอายคุ วาม 1 ปอี าจจะล่วงพ้นไปแลว้ โจทกจ์ งึ มีอำนาจฟ้องบงั คบั ให้ชำระหน้ีไดแ้ ม้หน้ยี งั ไม่ถงึ กำหนดชำระ

ป. ทำสญั ญากูย้ มื เงนิ โจทกท์ ี่อำเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา โดยจำเลยท่ี 6ซง่ึ มีภมู ลิ ำเนาอยู่ทอ้ งที่
ดงั กลา่ วทำสญั ญาค้ำประกนั การกู้ยมื เงนิ ด้วยดังนี้ เม่ือประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา 4(1) แก้ไขเพิม่ เตมิ โดยมาตรา 3
แหง่ พระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพง่ (ฉบบั ท่ี 12) พ.ศ.2534 มีผลใชบ้ งั คบั ตง้ั แต่วันที่ 24 สงิ หาคม

61

62

2534 โจทกฟ์ อ้ งคดนี ้เี ม่ือวันท่ี 26พฤศจิกายน 2535 คำฟอ้ งของโจทกเ์ ปน็ คำฟ้องเกีย่ วด้วยหน้เี หนอื บุคคลตามบทมาตราดังกลา่ ว โจทก์
สามารถโอนคดีฟอ้ งตอ่ ศาลท่จี ำเลยมภี มู ลิ ำเนาอยูใ่ นเขตศาลหรอื ตอ่ ศาลทีม่ ลู คดเี กดิ ขึน้ ในเขตศาลก็ได้ เมอ่ื จำเลยท่ี 6 มีภมู ิลำเนาอยู่ใน
เขตศาลช้ันตน้ ท้ังมลู คดีกเ็ กดิ ข้นึ ในเขตศาลชัน้ ตน้ คดีย่อมอยูใ่ นอำนาจศาลชัน้ ต้นท่จี ะพจิ ารณาพพิ ากษาได้โจทก์หาจำตอ้ งย่ืนคำร้อง
แสดงเหตุใหศ้ าลชนั้ ต้นรับคดไี วพ้ ิจารณาไม่

แม้ในหนงั สือสญั ญากยู้ มื เงินขอ้ 2 จะระบุข้อความไว้วา่ ไมม่ ดี อกเบย้ี แต่ขอ้ ความตอนต้นระบไุ ว้
วา่ ผกู้ ยู้ อมใหด้ อกเบ้ยี ตามจำนวนเงินทก่ี ู้แก่ผู้ให้กชู้ ่ังละหนงึ่ บาทตอ่ เดอื นนบั แต่วนั ทท่ี ำสญั ญา นอกจากนี้ ป. ผ้กู ู้ยงั ไดบ้ นั ทกึ รับรองไว้
ตอนท้ายสญั ญากยู้ มื วา่ ถา้ หากไมช่ ำระหนีต้ ามสญั ญาใน 2 ปี ยนิ ยอมคิดดอกเบยี้ นบั จากวนั ครบสญั ญา แสดงใหเ้ หน็ ว่าป. ยอมรับผิด
ชำระดอกเบ้ียให้แก่โจทก์ในอัตราชั่งละหนง่ึ บาทต่อเดือน (รอ้ ยละ 15 ตอ่ ปี)นับแตว่ ันครบกำหนดชำระหนี้ตามสญั ญากู้ยืมเงนิ ดังกลา่ ว
หาใชค่ สู่ ญั ญาไมไ่ ดต้ กลงกำหนดอตั ราดอกเบย้ี ในอนั ท่ีจะใชอ้ ัตราดอกเบยี้ ร้อยละเจด็ ครงึ่ ตอ่ ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 7 ไม่

ฎกี าท่ี 15199-15200/2558 จำเลยที่ 6 เปน็ ลูกจา้ งของจำเลยที่ 4 (หา้ งหนุ้ สว่ นจำกดั ) ขณะเกิดเหตจุ ำเลยท่ี 6 ขับ
รถบรรทกุ สินคา้ ไปในทางการท่จี ้างของจำเลยที่ 4 จำเลยท่ี 4 ในฐานะนายจา้ งจงึ ต้องรว่ มรบั ผิดกับจำเลยที่ 6 ในผลแหง่ ละเมดิ ซงึ่ จำเลย
ท่ี 6 ได้กระทำไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 จำเลยที่ 3 ในฐานะหนุ้ ส่วนผู้จดั การย่อมตอ้ งรว่ มรับผดิ กบั จำเลยที่ 4 ดว้ ยโดยไม่จำกดั
จำนวน มาตรา 1077 (2) และ 1087 ส่วนจำเลยท่ี 2 แมเ้ ปน็ หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรบั ผดิ แต่พฤติการณข์ องจำเลยที่ 2 ทแี่ สดงตวั
ออกว่าเป็นนายจ้างจำเลยที่ 6 และเขา้ ไปตดิ ตอ่ เจรจาเกย่ี วกับการใช้คา่ สินไหมทดแทนแกโ่ จทก์ตลอดมา ถือได้ว่าเปน็ การสอดเข้าไป
เกีย่ วข้องจดั การงานของจำเลยท่ี 4 เช่นนี้ จำเลยท่ี 2 จงึ ตอ้ งร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ทัง้ หลายของจำเลยที่ 4 ตามมาตรา 1088 ดว้ ย
โจทก์ฟ้องกลา่ วอา้ งวา่ จำเลยที่ 1 เปน็ นายจา้ งหรอื ตัวการของจำเลยที่ 6 และในวันเกิดเหตจุ ำเลยที่ 6 ขับรถไปในทางการท่ีจ้างหรอื
ไดร้ ับมอบหมายจากจำเลยท่ี 1 ด้วย แตจ่ ากทางนำสบื ของโจทกไ์ มไ่ ด้ความวา่ จำเลยท่ี 1 มคี วามเกยี่ วข้องหรอื มีนิตสิ ัมพันธ์ใด ๆ กบั
จำเลยที่ 6 หนงั สอื รบั รองจำเลยที่ 4 ก็ไม่มีชื่อจำเลยท่ี 1 เป็นห้นุ ส่วน และไมไ่ ด้ความวา่ จำเลยที่ 1 ร่วมลงทุนทำกิจการใดกบั จำเลยท่ี 2
ถึงท่ี 4 หรอื มสี ่วนเป็นเจา้ ของสนิ คา้ ทีบ่ รรทกุ มาในรถกระบะทจ่ี ำเลยท่ี 6 ขบั ไปเกดิ เหตคุ ดนี ี้ คงไดค้ วามเพยี งว่าจำเลยท่ี 1 มีช่อื เป็นผู้
ครอบครองรถกระบะคนั เกดิ เหตุเทา่ น้นั ดงั นี้ จำเลยที่ 1 จงึ ไมต่ อ้ งรว่ มรับผิดใด ๆ ในผลแห่งละเมดิ ซง่ึ จำเลยที่ 6 กระทำ

ฎีกาท่ี 1156/2545 ขณะที่จำเลยท่ี 2 จดทะเบยี นรบั ขายฝากทด่ี ินจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไมท่ ราบวา่ นติ ิกรรมการ
ให้ทด่ี ินระหว่างโจทกก์ ับจำเลยท่ี 1 เป็นเจตนาลวง จำเลยท่ี 2 จงึ เปน็ บคุ คลภายนอกผู้กระทำการโดยสจุ รติ และตอ้ งเสียหายจากการ
แสดงเจตนาลวงนนั้ โจทกจ์ งึ ไม่อาจยกขอ้ ตอ่ สเู้ ร่ืองการแสดงเจตนาลวงดงั กล่าวตอ่ จำเลยที่ 2ได้ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 155 วรรคหน่งึ โจทก์จงึ ไมอ่ าจเพกิ ถอนนิตกิ รรมการขายฝากได้ เมอื่ การขายฝากมผี ลสมบรู ณต์ ามกฎหมายแล้ว จำเลยท่ี 1 ไม่
ไถถ่ อน จำเลยที่ 2 โอนใหจ้ ำเลยท่ี 3 จำเลยที่ 3 ขายตอ่ ใหจ้ ำเลยท่ี 4 นติ กิ รรมการใหแ้ ละการซอ้ื ขายกไ็ มอ่ าจเพิกถอนเช่นเดียวกนั

62

63

ฎกี าท่ี 2230/2558 จำเลยวา่ จา้ งบริษทั ค. กอ่ สรา้ งงานโรงสร้างและงานสถาปตั ยกรรมหลัก ซ่งึ ตามสญั ญาระบุวา่
ผรู้ บั จา้ งตกลงจะไม่โอนสทิ ธิเรยี กร้องตามสญั ญานแ้ี กบ่ คุ คลภายนอก เว้นแต่จะได้รบั ความยนิ ยอมเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรจากผวู้ ่าจ้างและ
ได้เฉพาะกับสถาบันการเงนิ เทา่ นัน้ การโอนสิทธิเรียกร้องนั้นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 303 บญั ญตั ิว่า สทิ ธิเรยี กรอ้ ง
นั้นทา่ นว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไวแ้ ต่สภาพแหง่ สทิ ธินัน้ เองจะไมเ่ ปิดชอ่ งใหโ้ อนกนั ได้ ความท่ีกลา่ วมานยี้ ่อมไม่ใช้บังคับ หากคูก่ รณีได้
แสดงเจตนาเป็นอยา่ งอนื่ การแสดงเจตนาเช่นวา่ นี้ ท่านห้ามมิใหย้ กขึ้นเป็นข้อตอ่ สู้ บคุ คลภายนอกผ้กู ระทำการโดยสจุ รติ ตามสญั ญาขอ้
10 ระหวา่ งจำเลยและบรษิ ทั ค. มีขอ้ กำหนดห้ามมิใหโ้ อนสิทธเิ รยี กร้องเวน้ แตเ่ ฉพาะกบั สถาบันการเงนิ เทา่ นั้น จงึ เป็นกรณีทีค่ ู่กรณไี ด้
แสดงเจตนาไวเ้ ปน็ อยา่ งอนื่ ตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 303 วรรคสอง สัญญาโอนสิทธเิ รยี กรอ้ งระหว่างโจทกแ์ ละบริษทั ค. มผี ลใชบ้ งั คับ
แก่จำเลยได้ หากโจทกซ์ ง่ึ เปน็ บคุ คลภายนอกกระทำการรับโอนสิทธิเรียกรอ้ งโดยสุจรติ ฯลฯ …เมอื่ โจทกเ์ ปน็ บคุ คลภายนอกผู้กระทำการ
รบั โอนสทิ ธเิ รยี กร้องโดยไมส่ ุจรติ อีกท้งั โจทกไ์ มใ่ ช่เป็นสถาบนั การเงนิ จำเลยไม่ตอ้ งรบั ผดิ ชำระหนี้ใหแ้ กโ่ จทกต์ ามฟ้อง

ฎกี าที่ 4574/2559 จำเลยที่ 1 เป็นนติ ิบุคคลประเภทบริษัทจำกดั มจี ำเลยที่ 2 เปน็ กรรมการผมู้ อี ำนาจกระทำการ
แทนจำเลยท่ี 1 โดยจำเลยที่ 2 ไดก้ ยู้ ืมเงินโจทกจ์ ำนวน 2,200,000 บาท และจำนวน 1,433,300 บาทตามลำดับ โดยจำเลยท่ี 2 ใน
ฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ส่ังจา่ ยเช็คมจี ำนวนเงนิ และวันถงึ กำหนดตรงตามสัญญากู้ 2 ฉบับ มอบไวใ้ หแ้ ก่โจทก์ ตอ่ มาเมอื่ เช็คแต่
ละฉบับถงึ กำหนด ธนาคารปฏเิ สธการใชเ้ งิน โจทกน์ ำเชค็ ทง้ั สองฉบับฟอ้ งจำเลยทงั้ สองเปน็ คดีอาญาตอ่ ศาลจงั หวดั ตลงิ่ ชนั ในข้อหา
ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยความผดิ อนั เกดิ จากการใช้เชค็ พ.ศ.2534 จำเลยท่ี 2 ไดฟ้ อ้ งโจทกเ์ ปน็ คดแี พง่ เรียกทรพั ย์สนิ คนื ต่อ
ศาลแขวงนนทบรุ ี ระหวา่ งการพจิ ารณาคดีในคดแี พง่ ของศาลแขวงนนทบุรีโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำความตกลงกันได้ โดยจำเลยท่ี 2 ขอ
ถอนฟอ้ งในคดแี พ่งของศาลแขวงนนทบรุ ี สว่ นโจทก์ขอถอนฟ้องในคดีอาญาของศาลจงั หวดั ตล่งิ ชนั ตามรายงานกระบวนพจิ ารณาของ
ศาลแขวงนนทบรุ ี ซึง่ ทงั้ สองฝ่ายไดถ้ อนฟ้องท้งั สองคดไี ปแล้ว แตย่ งั มิไดม้ กี ารปฏิบตั ิการตามท่ีไดร้ ่วมแถลงกนั ไว้ในรายงานกระบวน
พิจารณา โจทกจ์ งึ ฟอ้ งจำเลยทง้ั สองเปน็ คดีน้ี

คดมี ีปญั หาวนิ ิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทง้ั สองวา่ ข้อตกลงตามทีโ่ จทก์กบั จำเลยท่ี 2 แถลงไว้ใน
รายงานกระบวนพิจารณาของศาลแขวงนนทบุรี เปน็ สญั ญาประนปี ระนอมยอมความหรือไม่

พิเคราะหแ์ ลว้ ตามรายงานกระบวนพจิ ารณาของศาลแขวงนนทบุรี มคี วามวา่ จำเลยที่ 2 กบั โจทก์
แถลงรว่ มกันว่า คดีนตี้ กลงกันไดแ้ ลว้ และนอกจากคดนี ้ีโจทก์ยงั ไดฟ้ อ้ งจำเลยที่ 2 ตามเชค็ 2 ฉบบั เป็นคดอี าญาตอ่ ศาลจงั หวดั ตล่ิงชนั
ซ่งึ ขณะนค้ี ดีอยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณา จำเลยที่ 2 ยอมยกทีด่ นิ โฉนดเลขท่ี 35726 ให้โจทก์โดยคิดราคาตามราคาประเมนิ กลาง และ
นอกจากนีจ้ ำเลยที่ 2 จะนำอาคารชดุ เลขที่ 235/237 ไปจำนองธนาคาร หากจำเลยท่ี 2 ได้เงินมาเท่าใดก็ยินยอมใหโ้ จทกห์ กั คร่ึงหนง่ึ
เพอื่ ใช้หนบี้ างส่วนท่เี ป็นหน้ีในคดีเชค็ ดงั กล่าว ส่วนในคดีนีจ้ ำเลยที่ 2 ขอถอนฟอ้ งตามคำร้องทีย่ ่นื ไว้ โจทกไ์ ม่คดั ค้าน ส่วนโจทกจ์ ะไปย่นื
คำรอ้ งขอถอนฟ้องในคดเี ชค็ ดงั กลา่ วเชน่ กัน ดงั นี้

เมอื่ บคุ คลที่จะต้องรับผดิ ใชเ้ งนิ แกโ่ จทก์ตามสัญญาก้แู ละเชค็ ทสี่ ง่ั จา่ ยชำระเงินกู้คอื จำเลยที่ 1 มิใช่
จำเลยที่ 2 ซงึ่ เพียงกระทำการแทนจำเลยท่ี 1 การทีจ่ ำเลยท่ี 2 ทำความตกลงกบั โจทก์ยนิ ยอมรับผดิ แทน จงึ ถือไม่ได้วา่ เป็นกรณที ี่
จำเลยที่ 2 ผู้เป็นคสู่ ญั ญาฝ่ายหนง่ึ ยอมผอ่ นผันให้แก่โจทกผ์ เู้ ป็นค่สู ัญญาอกี ฝา่ ยหน่ึงเพ่อื ระงบั ข้อพพิ าทซ่งึ มอี ยู่หรือจะมีขน้ึ ระหวา่ ง

63

64

จำเลยท่ี 2 กบั โจทกใ์ หเ้ สรจ็ ไปในอันท่ีจะถือวา่ เปน็ การประนปี ระนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 850
หากแตก่ ารที่จำเลยที่ 2 ซึ่งถูกฟอ้ งเป็นคดีอาญาว่ารว่ มกนั กระทำความผดิ กบั จำเลยที่ 1 ในข้อหาความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั วิ ่าด้วย
ความผดิ อนั เกดิ จากการใชเ้ ช็ค พ.ศ.2534 ทำความตกลงดงั กลา่ วกับโจทกอ์ ันนำไปสกู่ ารถอนฟ้องคดีอาญาทจ่ี ำเลยทงั้ สองถูกโจทกฟ์ อ้ ง
ต้องถือวา่ จำเลยท่ี 2 ซง่ึ เป็นกรรมการผมู้ ีอำนาจกระทำการแทนจำเลยท่ี 1 อย่แู ลว้ ทำความตกลงกบั โจทก์ในนามของจำเลยท่ี 1 ดว้ ย
ข้อตกลงดงั กล่าวเปน็ การเปลยี่ นตัวลกู หนีจ้ ากจำเลยท่ี 1 มาเปน็ จำเลยท่ี 2 และเปลย่ี นสิ่งซงึ่ เปน็ สาระสำคญั แหง่ หนจ้ี ากการชำระหนี้
ด้วยเงนิ มาเปน็ การชำระหน้ีด้วยอย่างอน่ื แทนด้วย จึงเปน็ การแปลงหนีใ้ หมต่ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 349, 350 ซง่ึ
โจทก์ชอบท่ีจะฟอ้ งบงั คบั คดีใหเ้ ป็นไปตามหนีใ้ หมแ่ ละขอ้ ตกลงดงั ว่ามานี้ มิใชเ่ ป็นกรณที ี่ผู้ใหก้ กู้ ับผยู้ มื ทำความตกลงไว้ลว่ งหน้าก่อนหนี้
เงินกถู้ งึ กำหนดชำระขดั ต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยม์ าตรา 656 วรรคสอง อนั ทำให้ข้อตกลงเปน็ โมฆะตามมาตรา 656 วรรค
สาม เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์กบั จำเลยที่ 2 เป็นการแปลงหนีใ้ หม่ หนี้เดิมตามสญั ญากแู้ ละเชค็ จงึ เปน็ อันระงับสนิ้ ไป โจทกไ์ ม่มอี ำนาจ
ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้เปน็ ลกู หนี้เดมิ

ฎีกาท่ี 1767/2531 โจทกม์ อบสลากกนิ แบง่ รฐั บาลให้จำเลยที่ 1 ท่ี 2 ช่วยตรวจรางวลั แลว้ สลากกนิ แบง่ ของโจทก์ซงึ่
ถกู รางวลั ไดห้ ายไป ปรากฏภายหลงั วา่ จำเลยท่ี 3 นำสลากกนิ แบ่งดงั กลา่ วไปขายให้แกจ่ ำเลยที่ 5 ผคู้ า้ สลากกินแบง่ รฐั บาลอยทู่ ส่ี แ่ี ยก
คอกวัวซ่ึงเปน็ ทชี่ มุ นุมแหง่ การคา้ สลากกนิ แบง่ รัฐบาล ปัจจุบนั นเ้ี ปน็ ทัง้ ท่ีซือ้ ขายสลากกนิ แบง่ และรับซ้อื สลากกนิ แบง่ ทถี่ กู รางวัล
โดยทว่ั ไป และจำเลยที่ 5 ไดร้ บั ซอื้ ไวโ้ ดยเปดิ เผย ท้ังไม่ทราบวา่ สลากกินแบง่ ของโจทก์ทห่ี ายไปและนำไปขึ้นเงินต่อสำนกั งานสลากกนิ
แบง่ รฐั บาลดว้ ยตนเองแลว้ ถือไดว้ ่าจำเลยท่ี 5 ซือ้ สลากกนิ แบง่ โดยสุจรติ ในท้องตลาด จำเลยที่ 5 ไม่ได้กระทำละเมดิ ตอ่ โจทกแ์ ละไม่
จำต้องคนื เงนิ ที่รบั มาตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1332

ฎีกาท่ี 13199/2558 กอ่ นทจ่ี ำเลยจะทำสญั ญาจะซ้อื จะขายทาวนเ์ ฮ้าส์ใหแ้ ก่โจทก์ โจทกม์ สี ทิ ธไิ ดร้ บั เงนิ จากการขาย
ทีด่ ินจากจำเลยจำนวน 6,000,000 บาท และไดแ้ ปลงหน้ีใหม่มาเปน็ สญั ญาจะซื้อจะขายทาวนเ์ ฮ้าส์ แต่จำเลยกม็ ิได้สรา้ งทาวน์เฮา้ ส์
ให้แก่โจทก์ จำเลยจึงเปน็ ฝ่ายผิดสญั ญาและโจทกม์ ีสิทธบิ อกเลกิ สัญญาได้ เมอ่ื จำเลยยงั ไมไ่ ด้กอ่ สรา้ งทาวน์เฮา้ ส์จงึ ตอ้ งถอื วา่ หนอ้ี นั จะ
พงึ เกิดขน้ึ เพราะการแปลงหน้ใี หมน่ ้ันยังมไิ ดเ้ กดิ ขึ้น หน้ีเดิมคือหน้เี งินที่จำเลยต้องชำระใหแ้ กโ่ จทก์ตามทโ่ี จทกม์ ีสิทธิได้รบั จากการขาย
ท่ดี นิ ให้จำเลย จำนวน 6,000,000 บาท จงึ ไมร่ ะงบั สิ้นไปตามป.พ.พ.มาตรา 351

ฎกี าท่ี 2674/2548ณ. ทำสญั ญาแปลงหนี้เงนิ กู้เปน็ การซอื้ ขายรถยนตแ์ ทน เปน็ การแปลงหนใ้ี หมต่ ามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคแรก แตส่ ญั ญาซอ้ื ขายรถยนต์มีขอ้ ตกลงเป็นเงอื่ นไขวา่ ในระหวา่ งทผ่ี ขู้ ายยงั ไม่ส่งมอบทรัพย์สนิ ทขี่ าย
ให้แก่ผซู้ ือ้ ใหถ้ ือวา่ ยังไมม่ ีการซอ้ื ขาย ฉะนนั้ จงึ ถอื วา่ เปน็ กรณีทหี่ นีอ้ ันพึงจะเกิดขนึ้ เพราะแปลงหน้ีใหม่นนั้ มิไดเ้ กดิ มขี ึ้น หน้ีเดมิ ยงั ไม่
ระงบั ส้ินไปตามมาตรา 351 จำเลยในฐานะทายาทของ ณ. จงึ ตอ้ งรับผิดชดใชห้ น้ีเงินกูใ้ หแ้ ก่โจทก์

ฎีกาท่ี 6271/2558 หนังสือรบั สภาพความผดิ จำเลยทำขึ้นเพอื่ เป็นหลักฐานวา่ ไดน้ ำเงินของโจทกไ์ ปใชส้ ว่ นตวั ใน
ระหว่างดำรงตำแหน่งเหรัญญกิ ของโจทก์ และจำเลยยินยอมชำระเงินดังกลา่ วแก่โจทก์พร้อมดอกเบย้ี ใหค้ รบถว้ นภายในวันที่ 1

64

65

มิถนุ ายน 2554 หนงั สอื รับสภาพความผดิ ดงั กล่าวจงึ เป็นเพียงหลักฐานที่จำเลยทำขน้ึ ฝา่ ยเดยี วตกลงยอมรับผดิ ชำระหน้ีที่จำเลยนำเงนิ
ของโทก์ไปใชโ้ ดยมชิ อบ มใิ ชค่ กู่ รณตี กลงระงบั ขอ้ พพิ าทที่มีอยูห่ รือจะมีข้ึนใหเ้ สร็จไปด้วยต่างยอมผอ่ นผันใหแ้ ก่กนั จงึ ไมใ่ ชส่ ญั ญา
ประนีประนอมยอมความไม่ทำใหม้ ูลหนี้เดมิ ท่ีจำเลยนำเงนิ ของโจทก์ไปใชร้ ะงบั ไปแล้วเกดิ หนี้ใหมต่ ามสญั ญาประนีประนอมยอมความ
ทง้ั ไมม่ กี ารเปลยี่ นสง่ิ ซงึ่ เป็นสาระสำคญั แห่งหน้ี จงึ มิใชก่ ารแปลงหน้ีใหม่อันจะทำให้หน้ีระงับไป

ฎกี า 10243/2556 จำเลยท่ี ๑ และจำเลยท่ี ๒ สมคบกันจดทะเบียนโอนขายและใหท้ ่ดี ินพพิ าททง้ั แปลงโดยไมส่ จุ รติ
และไมม่ กี ารชำระเงินกันจริง เพื่อหลกี เล่ียงมใิ ห้โจทกบ์ งั คับคดีจากจำเลยที่ ๑ ได้ การแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑ และจำเลยท่ี ๒
ในทางทะเบยี นเก่ียวกับทด่ี ินพิพาททง้ั สแ่ี ปลงดงั กลา่ ว เปน็ การแสดงเจตนาลวงโดยสมร้กู นั จึงตกเปน็ โมฆะตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์มาตา ๑๕๕ วรรค หน่ึงแตจ่ ะยกข้ึนต่อสบู้ คุ คลหายนอกผู้กระทำการโดยสุจรติ และต้องเสยี หายจากการแสดงเจตนาลวงนัน้
มไิ ด้ จำเลยที่ ๓ ซง่ึ เป็นบุคคลภายนอกได้จดทะเบยี นรบั จำนองที่ดินพพิ าทไว้โดยสุจรติ ไมท่ ราบมาก่อนวา่ จำเลยท่ี ๑ เปน็ ลกู หนต้ี ามคำ
พิพากษาของโจทก์ โจทก์จงึ ไม่อาจเพกิ ถอนการจดทะเบยี นจำนองดงั กลา่ วได้ คงเพกิ ถอนได้แตเ่ ฉพาะนิตกิ รรมการจดทะเบยี นโอนขาย
และยกใหท้ ดี่ นิ พพิ าทระหวา่ งจำเลยที่ ๑ และจำเลยท่ี ๒ เทา่ นนั้

ฎกี าที่ 3237/2558 เหตทุ บี่ ดิ ามารดาจำเลยยินยอมจดทะเบยี นจำนองทด่ี ินเปน็ ประกันเงนิ ก้ขู องจ. แกธ่ นาคารน.แต่
แรกนนั้ เกิดจากความปรารถนาดที ตี่ อ้ งการชว่ ยเหลือบตุ รที่ตอ้ งการเงินทนุ ไปประกอบอาชีพ แตเ่ มื่อจ.ไมส่ ามารถชำระหน้ีเงนิ กแู้ ก่
ธนาคารได้ การทบ่ี ดิ ามารดาจำเลยยินยอมตกลงทำนติ กิ รรมโอนขายทดี่ นิ พรอ้ มบ้านพิพาทใหแ้ กโ่ จทก์ (สามีจ.) ในเวลาตอ่ มาจึงนา่ เช่อื
วา่ เป็นหนทางในการแก้ปญั หาร่วมกันเพื่อมิใหต้ อ้ งเดือดร้อนเร่ืองทอี่ ยูอ่ าศัยทอี่ าจต้องถูกบงั คับจำนอง โดยให้โจทก์ซง่ึ มโี อกาสทจี่ ะขอ
กูย้ มื จากสถาบันการเงนิ ได้นำทดี่ ินพพิ าทไปเป็นหลักประกันขอสนิ เช่ือจากแหลง่ เงนิ กู้ใหมเ่ พ่อื ปลดภาระหนีส้ ินของจ.เทา่ นั้น มไิ ดม้ ี
เจตนาท่ีจะขายทดี่ ินพิพาทใหแ้ กโ่ จทกอ์ ยา่ งแท้จรงิ เพราะการไถถ่ อนจำนอง การซื้อขายรวมตลอดถงึ การจดจำนองใหมไ่ ด้ดำเนินการ
ด้วยความเคร่งครัดใหเ้ สรจ็ สิน้ ในวนั เดยี วกนั ส่อแสดงเจตนาเพอื่ ใหโ้ จทก์ขอสินเช่ือใหม่ไปไถถ่ อนสนิ เช่อื เดมิ ของจ.เปน็ สำคญั มไิ ดม้ ุ่ง
ประสงคต์ ่อการโอนกรรมสิทธ์แิ ละใช้ราคาทรพั ยอ์ ันเปน็ สาระสำคญั แห่งสัญญาซอ้ื ขายจงึ เปน็ การแสดงเจตนาลวงตกเป็นโมฆะตาม
ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนง่ึ แต่หาอาจยกข้นึ เป็นข้อต่อสผู้ ูร้ บั จำนองซ่งึ เปน็ บคุ คลภายนอกผู้รบั จำนองซง่ึ เป็นบคุ คลภายนอกผกู้ ระทำ
การโดยสจุ ริตและต้องเสยี หายจากการแสดงเจตนาลวงไม่ โจทกจ์ ึงไมม่ สิทธิฟอ้ งขบั ไลแ่ ละเรยี กคา่ เสยี หายจากจำเลยซงึ่ เปน็ ผ้อู ยอู่ าศยั
ใน

ฎีกาที่ 5465/2559 การรอนสิทธติ าม ป.พ.พ.มาตรา 475 บญั ญตั วิ า่ “หากวา่ มีบคุ คลผ้ใู ดมากอ่ การรบกวนสิทธขิ องผู้
ซ้อื ในอนั ที่จะครองทรพั ย์สินโดยปกตสิ ขุ เพราะบคุ คลผนู้ ัน้ มสี ิทธเิ หนอื ทรัพย์สนิ ท่ีได้ซื้อขายกนั นน้ั อยูใ่ นเวลาซอื้ ขายก็ดี เพราะความผิด
ของผ้ขู ายกด็ ี ทา่ นวา่ ผูข้ ายจะตอ้ งรับผดิ ในผลอนั นนั้ ” ดังนค้ี ำวา่ “รอนสิทธิ” จึงมคี วามหมายวา่ การท่ผี ู้ซ้อื ถกู รบกวนสิทธิโดย
บุคคลภายนอกไมใ่ หผ้ ซู้ ื้อเข้าครอบครองทรัพยส์ ินโดยปกตสิ ุข เพราะบคุ คลนน้ั มสี ทิ ธเิ หนอื ทรพั ย์สนิ ที่ไดซ้ อื้ ขายโดยชอบดว้ ยกฎหมาย
หรอื เพราะความผดิ ของผู้ขาย

65

66

โจทกย์ งั สามารถเขา้ ครอบครองทำประโยชน์ในท่ีดินที่ซื้อจากจำเลยทง้ั สองโดยไมถ่ กู รบกวนขัด
สิทธโิ ดยบคุ คลภายนอกให้โจทกเ์ ขา้ ครอบครองทรัพยส์ ินโดยปกตสิ ุข เพราะบคุ คลนัน้ มสี ทิ ธเิ หนือที่ดินทไี่ ด้ซ้อื ขายโดยชอบดว้ ยกฎหมาย
แมก้ รมสอบสวนคดพี ิเศษจะดำเนนิ คดอี าญาแกจ่ ำเลยทง้ั สอง กรณอี อกเอกสารสิทธิไม่ชอบในท่ีดนิ ทีจ่ ำเลยทง้ั สองขายใหแ้ กโ่ จทกแ์ ละมี
หนังสือถงึ อธบิ ดกี รมทดี่ นิ ให้เพกิ ถอนหนงั สือรบั รองการทำประโยชนต์ าม ป.ทด่ี นิ มาตรา 61 ก็ตาม แตก่ รมสอบสวนคดีพิเศษไมใ่ ช่
บคุ คลภายนอกผู้มีสิทธเิ หนอื ทรัพยส์ ินท่ซี อ้ื ขายกนั กรมสอบสวนคดพี เิ ศษเป็นเพยี งหน่วยงานในกระบวนการยุตธิ รรมเบือ้ งต้นท่มี อี ำนาจ
หน้าที่ในการสอบสวนคดีอาญา การแจง้ ขอ้ กล่าวหาแก่จำเลยทง้ั สองกเ็ ปน็ เพยี งส่วนหนึ่งของการดำเนนิ คดอี าญาแก่จำเลยทงั้ สอง ซง่ึ
จำเลยทัง้ สองสามารถต่อสคู้ ดเี พ่ือพิสจู น์ความบรสิ ุทธ์ขิ องตนเองได้ และกฎหมายยงั ให้สันนษิ ฐานไวก้ ่อนวา่ จำเลยทั้งสองยงั เปน็ ผู้
บรสิ ุทธ์จิ นกวา่ จะมีคำพพิ ากษาถึงท่สี ดุ วา่ เปน็ ผกู้ ระทำความผดิ การทเี่ จา้ พนกั งานกรมสอบสวนคดพี เิ ศษดำเนินคดอี าญาแก่จำเลยทงั้
สองก็เปน็ เพยี งการปฏิบตั หิ น้าทต่ี าม ป.วิ.อาญา จงึ ไม่ถอื วา่ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ เป็นบคุ คลที่มีสิทธเิ หนือทรพั ย์สนิ ที่ไดซ้ ้อื ขายกันนน้ั
อยใู่ นเวลาซอ้ื ขาย ตาม ป.พ.พ.มาตรา 475 และแมโ้ จทก์จะไมส่ ามารถออกโฉนดทด่ี ินตามหนงั สอื รับรองการทำประโยชน์ เน่อื งจากเจ้า
พนักงานท่ีดนิ ไดร้ ะงบั เร่อื งการขอออกโฉนด โดยให้เหตุผลวา่ หนงั สอื รับรองการทำประโยชนอ์ ยรู่ ะหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวน
คดพี ิเศษ กม็ ใิ ช่เปน็ การรอนสทิ ธติ าม ป.พ.พ.มาตรา 475 นอกจากนีย้ ังไมใ่ ช่กรณีทีท่ ด่ี นิ ตามหนังสือรบั รองการทำประโยชน์ที่โจทก์ซ้อื
จากจำเลยท้ังสองหลดุ ไปจากโจทก์ผู้ซื้อท้งั หมดหรือแต่บางสว่ น เพราะเหตกุ ารณร์ อนสทิ ธทิ ่ีจำเลยทง้ั สองผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 479 อกี ด้วย เม่ือคดยี งั ฟงั ไม่ไดว้ า่ ทด่ี นิ ทีโ่ จทก์ซ้อื จากจำเลยทงั้ สองถกู รอนสิทธิ โจทกจ์ งึ ไมม่ อี ำนาจฟอ้ งเรยี กคา่ เสยี หายจาก
จำเลยท้ังสอง

ฎีกาท่ี 6088/2559 ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 111 บญั ญตั หิ ้ามมใิ หผ้ ูข้ ับขี่ จงู ไลต่ ้อนหรือปลอ่ ย
สตั ว์ไปบนทางเทา้ ในลกั ษณะทเี่ ป็นการกดี ขวางการจราจรและไม่มผี คู้ วบคมุ เพียงพอ เม่ือจำเลยทง้ั สองซง่ึ เปน็ เจา้ ของสุนขั จงึ เปน็ ผ้ดู แู ล
สัตว์จะต้องดแู ลควบคมุ มิใหส้ ตั ว์กีดขวางการจราจร การทีส่ ุนขั ของจำเลยทง้ั สองวง่ิ ขา้ มถนนตดั หน้ารถจกั รยานยนตข์ องโจทก์ในระยะ
กระช้ันชิด ย่อมเปน็ ผลโดยตรงทที่ ำให้รถจกั รยานยนต์ของโจทกล์ ม้ เมอ่ื ไม่ปรากฏจากทางนำสบื ของจำเลยทง้ั สองว่า ขณะเกดิ เหตุโจทก์
ขับรถจกั รยานยนตด์ ้วยความเร็วสูงและไม่ใชค้ วามระมดั ระวงั อยา่ งไร ดงั นัน้ เหตลุ ะเมดิ จงึ เกดิ จากความประมาทเลินเลอ่ ของจำเลยทง้ั
สองทไี่ มใ่ ชค้ วามระมดั ระวังตามสมควรในการควบคุมดแู ลสนุ ขั เม่อื มีความเสยี หายเกดิ ขึ้นเพราะสตั ว์ จำเลยทง้ั สองจงึ ตอ้ งร่วมรบั ผดิ ต่อ
โจทกต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 433 วรรคหนึง่

ฎกี าที่ 6133/2560 ป.พ.พ. มาตรา 350 บญั ญตั วิ า่ แปลงหนใ้ี หมด่ ว้ ยเปลย่ี นตวั ลกู หน้นี ้ันจะทำเปน็ สญั ญาระหวา่ ง
เจา้ หนกี้ ับลูกหน้ีคนใหมก่ ไ็ ด้ แต่จะทำโดยขนื ใจลูกหนี้เดมิ หาได้ไม่ โดยทบ่ี ทบัญญตั ดิ ังกลา่ วมไิ ด้กำหนดให้สญั ญาแปลงหนใ้ี หมต่ อ้ งทำ
เปน็ หนังสอื กต็ าม แตต่ ้องมีการตกลงทำสญั ญาระหว่างเจ้าหนกี้ บั ลกู หน้คี นใหมโ่ ดยตรง เม่อื โจทกก์ บั ส. ยนื่ เอกสารเบอื้ งต้นเพ่อื ขอ
เปล่ียนชื่อคูส่ ัญญากับผูใ้ หเ้ ชา่ ซ้ือ ต่อมาผู้ใหเ้ ชา่ ซื้อแจง้ ว่า สามารถเปลยี่ นชือ่ คสู่ ญั ญาได้ และขอใหโ้ จทกก์ ับ ส. ลงชอื่ ในสัญญา ถอื ได้ว่า
เปน็ คำสนองรบั คำเสนอของโจทก์กับ ส. แต่กเ็ ป็นคำสนองที่มีข้อความเพ่มิ เติม มีข้อจำกดั หรอื มีข้อแก้ไขอยา่ งอืน่ ประกอบด้วย ถอื เปน็
คำบอกปดั ไมร่ ับ ทง้ั เป็นคำเสนอขึน้ ใหมต่ าม ป.พ.พ. มาตรา 359 วรรคสอง เมือ่ ส. ไมไ่ ปทำสญั ญาใหมก่ บั ผู้ให้เช่าซื้อจึงเปน็ การบอกปดั

66

67

คำเสนอของผู้ให้เช่าซอ้ื คำเสนอของผู้ให้เชา่ ซื้อยอ่ มสิ้นผลไปไมก่ ่อใหเ้ กิดเป็นขอ้ ตกลงหรอื สญั ญาระหว่างผใู้ หเ้ ชา่ ซื้อกับ ส. กรณไี มใ่ ช่
การแปลงหน้ีใหม่ดว้ ยการเปล่ยี นตวั ลกู หน้ี สัญญาเชา่ ซ้อื ระหวา่ งผู้ใหเ้ ช่าซือ้ กับโจทก์ยงั ไม่ระงบั โจทกย์ งั คงเป็นผเู้ ช่าซ้อื ตามสญั ญาเช่า
ซอ้ื อยู่ และยังคงมคี วามผูกพนั ตามสญั ญาเชา่ ซอ้ื ในฐานะทเ่ี ปน็ ผ้เู ช่าซอื้ มีสทิ ธหิ น้าท่แี ละความรบั ผดิ ในรถยนตท์ เี่ ช่าซ้อื โจทก์จงึ เป็นผูม้ ี
ส่วนไดเ้ สียในรถยนตด์ ังกลา่ วซ่งึ เอาประกันวนิ าศภยั ไวก้ ับจำเลย โจทก์จงึ เปน็ ผมู้ ีสว่ นไดเ้ สียในรถยนตด์ งั กลา่ วซงึ่ เอาประกนั วินาศภยั ไว้
กบั จำเลย สญั ญาประกันภัยย่อมผูกพนั โจทกแ์ ละจำเลย เมือ่ รถยนต์เกดิ วนิ าศภยั ขึ้น โจทกย์ ่อมมีสิทธเิ รยี กใหจ้ ำเลยชดใชค้ า่ สนิ ไหม
ทดแทนได้

ฎีกาท่ี 7116/2560 โจทก์ที่ ๑ เปน็ เพยี งบดิ าของผตู้ ายโดยพฤตนิ ัย มิใชบ่ ดิ าโดยชอบดว้ ยกฎหมายของผ้ตู าย โจทก์ที่
๑ ไมอ่ าจยกเร่ืองธรรมเนียมความเชอื่ ในท้องถิน่ มาเปน็ ข้อยกเว้นบทบญั ญัติ ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๔๗ ผตู้ ายซงึ่ เปน็ บุตรทไ่ี มช่ อบดว้ ย
กฎหมายของโจทก์ที่ ๑ จึงไมม่ หี นา้ ทตี่ ้องอปุ การะโจทกท์ ่ี ๑ ผู้ตายมิไดท้ ำพินยั กรรมตง้ั โจทก์ท่ี ๑ เปน็ ผ้จู ดั การมรดกหรอื ผู้จดั การทำศพ
รวมท้งั โจทกท์ ี่ ๑ มิใช่เป็นผู้ไดร้ บั ทรพั ยม์ รดกโดยพนิ ยั กรรมหรือโดยสิทธิโดยธรรมจากผตู้ ายเป็นจำนวนมากทสี่ ดุ โจทก์ท่ี ๑ จึงไมม่ ี
หนา้ ท่ใี นการจดั การทำศพผตู้ าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๔๙ ... ผู้ตายขบั รถจกั รยานยนตเ์ ขา้ ไปในบรเิ วณทม่ี เี คร่ืองหมายจราจรพ้นื ทาง
สขี าวแดงซ่งึ เปน็ บรเิ วณหา้ มเขา้ หรือเขตปลอดภยั แลว้ เขา้ ขวางหนา้ รถกระบะที่จำเลยกำลงั ขบั ลงมาจากสะพานในช่องเดินรถทสี่ ามใน
ระยะกระชั้นชิด เปน็ เหตใุ ห้รถกระบะของจำเลยชนรถจกั รยานยนตข์ องผตู้ าย ถอื ได้ว่าผู้ตายมไิ ด้ปฏบิ ตั ใิ หถ้ ูกตอ้ งตามเคร่ืองหมาย
จราจรทป่ี รากฏเม่อื เข้าทค่ี ับขนั และขบั รถเขา้ ไปในเขตปลอดภยั อันเปน็ ฝา่ ฝืน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง,
๔๖ (๔) และ ๑๑๙ เมื่อจำเลยมไิ ด้ขบั รถมาด้วยความเร็วเกนิ กว่าทก่ี ฎหมายกำหนด หรือมีพฤติการณอ์ ืน่ ใดทบ่ี ง่ ชีว้ ่าจำเลยขบั รถโดยฝา่
ฝนื ต่อกฎหมาย เหตเุ ฉยี่ วชนในคดนี ี้จึงเกดิ จากความประมาทของผตู้ ายแตเ่ พียงฝ่ายเดยี ว จำเลยไมต่ ้องรับผดิ ชดใช้คา่ เสยี หายอนั เป็นค่า
ขาดไรอ้ ุปการะและคา่ ปลงศพผตู้ ายให้แก่โจทกท์ ่ี ๒ ซ่ึงเปน็ มารดาของผู้ตาย

ฎีกาที่ 392/2561 คดีแรกโจทก์ฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนการฉ้อฉล ผลของคำพพิ ากษาทำใหก้ ารโอนท่ีดินระหว่าง น.กับ
จำเลยท่ี 1 ต้องถกู เพิกถอน แตจ่ ำเลยที่ 1 กลบั นำทด่ี นิ ไปโอนใหจ้ ำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะสจุ รติ แต่กไ็ ดส้ ทิ ธิมาภายหลังจากโจทก์
ฟอ้ งคดเี ดิม คดีหลงั ท่โี จทก์นำมาฟ้องจำเลยท่ี 2 จงึ ไม่ใชก่ ารเพกิ ถอนการฉอ้ ฉล แตเ่ ป็นการฟอ้ งเพื่อให้เพกิ ถอนการโอนทีด่ นิ โดยไม่ชอบ
เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มอี ำนาจโอนให้จำเลยท่ี 2 เป็นการฟอ้ งโดยอาศยั สทิ ธติ ามคำพพิ ากษา ไมอ่ ยใู่ นบงั คบั อายุความ 1 ปี ตาม ม.240
แตใ่ ช้อายุความ 10 ปี ตาม ม.193/32

ฎกี าท่ี 5268/2557 จำเลยใหก้ ารว่า บรษิ ทั ม.คสู่ ญั ญาปฏเิ สธความรบั ผดิ แสดงว่าหนี้คา่ ภาษมี ูลคา่ เพ่ิมทจี่ ำเลยขอหกั
กลบลบหน้ี บรษิ ัท ม. คูส่ ัญญาไมย่ อมรบั จงึ เป็นหนท้ี ยี่ งั มขี อ้ ต่อสู้อยู่ จำเลยไม่มีสทิ ธทิ จ่ี ะนำหนีค้ ่าภาษีมูลคา่ เพิม่ มาหักกลบลบหนี้ได้
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 344 จำเลยเป็นหนค้ี า้ งชำระค่าซอ่ มแซมและบำรุงรกั ษารถโดยสารบริษทั และบรษิ ทั ม. แจง้ การโอนสิทธเิ รยี กรอ้ ง
ในหน้ีให้แก่โจทก์ โจทก์มหี นงั สือแจง้ การโอนสทิ ธเิ รยี กรอ้ งให้จำเลยทราบแลว้ การโอนหนจ้ี งึ สมบรู ณต์ าม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรค
หนึง่ จำเลยต้องชำระหนีใ้ ห้แก่โจทกผ์ ูร้ บั โอนสทิ ธเิ รยี กรอ้ งซง่ึ เปน็ เจ้าหนีโ้ ดยตรง

67

68

ฎกี าท่ี 2675/2551 ฎกี าของจำเลยทว่ี า่ โจทกท์ ี่ 2 ถงึ ท่ี 4 ไม่ไดน้ ำคดมี าฟอ้ งภายใน 1 ปี นับแตว่ ันท่ี ส. ถงึ แกค่ วาม
ตาย คดขี องโจทก์ทง้ั สี่จงึ ขาดอายคุ วาม เปน็ การฎกี าในทำนองวา่ คดขี องโจทก์ทงั้ สข่ี าดอายคุ วามในเรอื่ งมรดก ซงึ่ จำเลยไมไ่ ด้ใหก้ าร
ตอ่ สูไ้ ว้ คงใหก้ ารต่อสไู้ วเ้ ฉพาะอายุความในเรือ่ งสญั ญา จงึ เปน็ ขอ้ ที่มไิ ดย้ กข้ึนว่ากันมาแลว้ โดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

บันทึกหลงั ทะเบียนการหยา่ ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ส. ท่รี ะบวุ า่ บา้ นพรอ้ มกบั ท่ีดนิ ปลูกสรา้ งบา้ น
ยกใหแ้ ก่โจทกท์ ่ี 2 ถงึ ท่ี 4 บุตรทงั้ 3 คน เปน็ สญั ญาประนปี ระนอมยอมความและเปน็ สญั ญาเพอ่ื ประโยชนบ์ คุ คลภายนอก ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 850 และมาตรา 374 โจทก์ท่ี 1 ในฐานะคสู่ ัญญามสี ทิ ธิเรยี กให้ ส. ลกู หนี้ชำระหน้ดี ว้ ยการโอนทดี่ ินพิพาทใหแ้ กบ่ ตุ รทงั้ สามได้
และสิทธิเรียกรอ้ งอันเกิดจากสญั ญาประนปี ระนอมยอมความกฎหมายไม่ไดบ้ ัญญตั อิ ายคุ วามไวโ้ ดยเฉพาะจงึ ตกอยใู่ นบงั คบั ของมาตรา
193/30 มีอายคุ วาม 10 ปี นบั แตว่ นั ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ที่ 2 ถงึ ท่ี 4 เปน็ บคุ คลภายนอกทจ่ี ะได้รับประโยชน์จาก
สัญญาระหว่างโจทกท์ ่ี 1 กับ ส. ซง่ึ สิทธเิ รยี กร้องของบคุ คลภายนอกดังกล่าวกฎหมายไม่ได้บัญญตั อิ ายคุ วามไวโ้ ดยเฉพาะจงึ มีอายุความ
10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 และสทิ ธขิ องบุคคลภายนอกยอ่ มเกิดมขี ึน้ ต้ังแตเ่ วลาทแี่ สดงเจตนาแก่ลูกหนว้ี ่าจะถอื เอาประโยชน์
จากสัญญานน้ั ตามมาตรา 374 วรรคสอง เมื่อโจทก์ท่ี 2 ถงึ ที่ 4 แสดงเจตนาต่อ ส. ผเู้ ป็นลกู หนว้ี า่ จะถือเอาประโยชนจ์ ากสญั ญาโดยให้
โอนทดี่ นิ พรอ้ มบา้ นตามสญั ญาใหต้ นเมือ่ ตน้ ปี 2534 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จึงอาจใชส้ ทิ ธเิ รยี กร้องให้ ส. โอนทด่ี ินพรอ้ มบา้ นตามสญั ญานับ
แต่เวลาทแี่ สดงเจตนาดงั กลา่ วซงึ่ นับถงึ วนั ฟ้องวนั ที่ 9 เมษายน 2542 ยงั ไมเ่ กิน 10 ปี โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้แสดงเจตนาต่อ ส. ผเู้ ปน็
ลกู หน้ีตามสญั ญาเพือ่ ประโยชนบ์ ุคคลภายนอกแลว้ ส. ไม่อาจเปล่ียนแปลงหรือระงับสิทธิของโจทก์ท่ี 2 ถงึ ท่ี 4 ในภายหลงั ได้ ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 375 ส. จงึ ไม่มีสทิ ธยิ กท่ดี นิ พิพาทให้แก่จำเลย โจทก์ท่ี 2 ถงึ ท่ี 4 ฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนการโอน
ให้โดยเสนห่ าระหวา่ ง ส. กับจำเลยได้

ฎีกาที่ 6893/2559 โจทก์เป็นผ้จู ัดการมรดกของ ท. การที่ ส. ทำสญั ญาประกันชวี ิตกับจำเลยโดยระบใุ ห้ ท. เปน็ ผรู้ บั
ประโยชน์เป็นสญั ญาเพ่ือประโยชนบ์ ุคคลภายนอก เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟังได้ว่า ส. และ ท. ต่างถงึ แก่ความตายซง่ึ ไม่วา่ ท. จะถงึ แกค่ วาม
ตายก่อนหรอื หลงั ส. ท. กถ็ ึงแกค่ วามตายเชน่ เดยี วกนั เมื่อ ท. ผรู้ บั ประโยชน์ถงึ แก่ความตายจงึ ไมอ่ าจเขา้ รับประโยชน์ตามสญั ญา
ประกนั ชวี ิตของ ส. ได้ ดงั น้นั จงึ ไมอ่ าจถอื วา่ ท. จะได้รบั ประโยชนจ์ ากการจา่ ยเงินตามเงื่อนไขของกรมธรรม์และไมถ่ อื วา่ เงินตาม
กรมธรรม์ทจี่ ำเลยจะต้องจา่ ยให้แก่ ท. ซงึ่ เปน็ ผรู้ บั ประโยชน์น้ันตกเปน็ ของกองมรดก ท. กรณตี อ้ งถอื วา่ ท. ผ้รู ับประโยชนไ์ ม่อาจเข้า
ถอื เอาประโยชนต์ ามสญั ญาประกนั ชีวิตของ ส. ดงั น้นั ประโยชนท์ ีจ่ ะได้รบั จากสัญญาประกนั ชีวติ จึงต้องตกแก่ทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้
เอาประกันภยั เสมอื นหนง่ึ เป็นทรพั ยม์ รดกซง่ึ ผู้จดั การมรดกของ ส. หรือทายาทโดยธรรมจงึ จะมีสิทธเิ รยี กรอ้ งเอาเงนิ ตามเงื่อนไข
กรมธรรม์ประกนั ชีวิตของ ส. เมื่อโจทกเ์ ป็นเพยี งผจู้ ดั การมรดกของ ท. จึงไมม่ ีสิทธฟิ ้องเรยี กให้จำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ประกนั
ชวี ิตของ ส. ได้

ฎีกาท่ี 1017/2561 สัญญาจะซื้อจะขายทพ่ี ิพาทพร้อมสิ่งปลกู สรา้ งระหวา่ ง พ. และ บ. มีข้อตกลงซ้ือขายกันในราคา
3,000,000 บาท ชำระมัดจำ 1,000,000 บาท ส่วนทเ่ี หลอื ชำระในวันโอนกรรมสทิ ธภิ์ ายในวันที่ 5 เมษายน 2560 สัญญาจะซ้อื จะขาย
ท่ดี ินพพิ าทพรอ้ มสง่ิ ปลูกสร้างจงึ เป็นสญั ญาต่างตอบแทน พ. และ บ. มิไดม้ ฐี านะเป็นเจา้ หน้ีหรือลูกหนแี้ ตฝ่ า่ ยเดยี ว แต่ตา่ งฝา่ ยตา่ งมี

68

69

ฐานะเป็นทงั้ เจา้ หน้ีและลกู หนซี้ ง่ึ กันและกัน แม้โจทกไ์ ดช้ ำระค่าทดี่ นิ พร้อมสิ่งปลูกสร้างอกี 1,000,000 บาท ใหแ้ ก่ พ. เมือ่ วันท่ี 20
มถิ นุ ายน 2554แต่ก็ยงั คงเหลอื ท่ีดินพร้อมสง่ิ ปลกู สรา้ งอีก 1,000,000 บาท ที่ บ. ชำระใหแ้ ก่ พ. พ. และ บ. จึงยงั คงมฐี านะเปน็ ทัง้
เจา้ หนแี้ ละลูกหนซี้ ง่ึ กนั และกนั อยู่ กลา่ วคือ พ. มีฐานะเป็นเจ้าหนมี้ สี ทิ ธไิ ดร้ บั ชำระค่าที่พิพาทพร้อมสง่ิ ปลกู สร้างที่เหลอื จาก บ. และ
เปน็ ลกู หนี้ทม่ี ีหน้าทตี่ ้องโอนท่ีพิพาทพรอ้ มสง่ิ ปลูกสร้างให้แก่ บ. ขณะเดียวกนั บ. กเ็ ปน็ ลกู หน้ที ่ีมหี น้าท่ีตอ้ งชำระคา่ ท่ีพิพาทพรอ้ มส่งิ
ปลูกสร้างทเี่ หลอื แก่ พ. และเปน็ เจา้ หนี้ทมี่ สี ทิ ธิไดร้ บั โอนกรรมสทิ ธิ์ทีพ่ พิ าทพร้อมสง่ิ ปลูกสร้างจาก พ. เมอื่ บ. โอนสทิ ธเิ รียกร้องใน
หนี้สนิ และสิทธิเรียกรอ้ งตามสญั ญาจะซื้อจะขายทพี่ พิ าทพร้อมสงิ่ ปลูกสร้างใหแ้ ก่โจทก์ โดยตกลงใหโ้ จทกเ์ ปน็ ผู้ชำระคา่ ทพ่ี ิพาทพร้อม
สงิ่ ปลกู สรา้ งทเี่ หลือแก่ พ. กรณจี งึ มใิ ช่ บ. โอนสิทธิเรยี กร้องในฐานะเจ้าหนแ้ี ก่โจทกต์ าม ป.พ.พ.มาตรา 306 วรรคหนง่ึ แต่ บ. ได้โอน
หนี้ให้โจทก์มาเปน็ ลกู หน้ีชำระค่าทดี่ นิ พิพาทพร้อมสงิ่ ปลกู สร้างที่เหลือแก่ พ. ด้วย กรณจี ึงเปน็ เร่ืองแปลงหนีใ้ หมด่ ้วยการเปลย่ี นตวั
ลูกหนจี้ าก บ. มาเป็นโจทก์ ซง่ึ จะตอ้ งมีการทำสญั ญาระหว่างเจา้ หนค้ี ือ พ. กบั ลกู หน้คี นใหมค่ อื โจทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 350 จงึ จะมี
ผลผกู พันเจา้ หนี้คือ พ. จะเพยี งแต่ทำเป็นหนงั สอื ระหว่าง บ. กับโจทกห์ าชอบไม่ เมื่อโจทก์ลกู หน้ีคนใหมย่ งั ไมไ่ ด้ทำสญั ญากบั พ.
เจ้าหนี้ใหม่จงึ ไม่เกิดข้นึ โจทกจ์ งึ ไมม่ ีนติ ิสัมพันธ์กับ พ. ไมม่ อี ำนาจฟ้องให้ พ. โอนทพ่ี พิ าทพร้อมสงิ่ ปลกู สร้างใหแ้ ก่โจทก์ เมื่อ พ. จด
ทะเบยี นกรรมสิทธร์ิ วมในที่พพิ าทพร้อมสงิ่ ปลกู สรา้ งให้จำเลยท่ี 1 และจำเลยท่ี 2 เปน็ เจา้ ของกรรมสิทธิร์ วมและจำเลยที่ 1 จด
ทะเบียนโอนกรรมสิทธิท์ ี่พิพาทพรอ้ มสง่ิ ปลกู สร้างเฉพาะส่วนของ พ. ใหแ้ ก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ตามพินยั กรรม โจทกจ์ งึ ไมม่ ี
อำนาจฟอ้ งขอใหเ้ พิกถอนนติ กิ รรมการจดทะเบยี นดงั กลา่ วได้

ฎกี าท่ี 2090/2560 จำเลยท่ี 2 ให้การปฏิเสธเพยี งว่า จำเลยท่ี 1 จดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธิท์ ่ีดินพพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี
2 ซงึ่ เป็นเจา้ หนี้ตามคำพพิ ากษา และเป็นไปตามกระบวนการไกล่เกล่ียประนปี ระนอมข้อพพิ าทของศาลอทุ ธรณ์ภาค 7 เพื่อหาขอ้ ยุติ
ทางคดนี น้ั ชอบดว้ ยกฎหมาย ไม่ได้ทำใหโ้ จทก์เสยี เปรยี บปและไม่เปน็ การฉ้อฉล โดยมไิ ด้ให้การปฏเิ สธวา่ จำเลยท่ี 2 ไม่ทราบว่าจำเลยท่ี
1 เปน็ ลูกหน้โี จทก์ และ ป. มีเจ้าหน้ีหลายราย มีภาระหน้จี ำนวนมากและไมม่ ีทรพั ยส์ นิ อื่นท่พี อชำระหนีใ้ ห้แก่โจทก์ ประกอบกบั จำเลย
ที่ 2 ร้อู ยแู่ ลว้ ท้งั กอ่ นและในขณะรบั โอนท่ีดินพพิ าทวา่ จำเลยที่ 1 เปน็ ลกู หนโี้ จทกแ์ ละรอู้ ยแู่ ลว้ ว่าจำเลยที่ 1 และ ป. มเี จา้ หนหี้ ลาย
ราย มีภาระหน้จี ำนวนมากและไม่มที รพั ยส์ ินอื่นที่จะชำระหน้ีใหแ้ กโ่ จทก์ จำเลยที่ 1 กลบั เลอื กชำระหนีโ้ ดยโอนท่ีดนิ พิพาทแกจ่ ำเลยที่
2 ซง่ึ เป็นเจา้ หนี้อีกรายหนงึ่ ของตนไป ยอ่ มมีผลทำใหท้ รัพย์สนิ ของจำเลยท่ี 1 ลดน้อยลงและโจทก์ในฐานะเจ้าหนไี้ ม่สามารถยดึ ทรพั ย์
บังคบั คดีแก่ทด่ี ินดงั กล่าวได้ หรือเสยี โอกาสในการขอเข้าเฉลย่ี ทรพั ย์หากมกี ารยึดทด่ี ินพพิ าทโดยเจา้ หนี้รายใดรายหนงึ่ การทีจ่ ำเลยท่ี 1
จดทะเบยี นโอนขายทด่ี นิ พิพาทเฉพาะสว่ นของจำเลยที่ 1 ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 จงึ เป็นการทำใหโ้ จทก์ซง่ึ เปน็ เจ้าหนีต้ ามคำพพิ ากษาของ
จำเลยท่ี 1 เสยี เปรยี บอันเปน็ การฉอ้ ฉล โจทกม์ สี ิทธริ อ้ งขอใหเ้ พกิ ถอนนติ ิกรรมการจดทะเบยี นโอนขายที่ดนิ พิพาทได้

ฎกี าท่ี 5248/2560 โจทก์ไดร้ ้องขอใหบ้ ังคับคดีแกจ่ ำเลยท่ี 1 ตามคำพิพากษาซึง่ จำเลยท่ี 1 ชำระเงิน 4,000,000
บาทพร้อมดว้ ยดอกเบย้ี รอ้ ยละ 15 ต่อปี ของตน้ เงินดงั กลา่ ว...ฯลฯ แล้ว ยอ่ มฟงั ได้วา่ โจทก์เป็นเจ้าหน้ีที่มสี ิทธเิ รียกรอ้ งให้ลกู หนี้ชำระ
หนี้ของตนจากทรัพยส์ นิ ของลกู หนีแ้ ละต้องเสยี เปรยี บจากการทที่ รพั ย์สนิ ของลูกหน้ีลดลงไม่พอชำระหน้ีอนั เนือ่ งมาจากการกระทำนิติ
กรรมฉ้อฉลของลกู หนี้

การที่จำเลยท่ี 1 ทำสัญญากูย้ มื เงินจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จงึ เป็นลูกหน้ี เมอ่ื จำเลยท1ี ทำนติ กิ รรม
ใหท้ ี่ดนิ พิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยเสนห่ า จำเลยที่ 2 ย่อมมฐี านะเปน็ ผู้ได้ลาภงอก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 เพราะผู้ไดล้ าภงอกหมายถงึ

69

70

ผู้ทีท่ ำนิตกิ รรมกบั ลกู หนีโ้ ดยตรง จำเลยรว่ มซงึ่ เปน็ ผทู้ ไ่ี ดร้ ับจำนองทรพั ย์สนิ ของลูกหนต้ี อ่ จากผู้ทำนิตกิ รรมกับลูกหนีจ้ งึ เปน็
บุคคลภายนอก ตามความในมาตรา 238 วรรคหนงึ่ การทจ่ี ำเลยรว่ มซงึ่ เปน็ บุคคลภายนอกได้รับจดทะเบยี นจำนองทดี่ นิ พพิ าทจาก
จำเลยที่ 2 ที่กระทำในวันที่ 9 ตลุ าคม 2557 แต่โจทก์ฟอ้ งคดนี ี้เม่อื วนั ที่ 22 กันยายน 2557 การจดทะเบยี นจำนองระหว่างจำเลยท่ี 2
กับจำเลยร่วมจงึ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลงั จากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นคดีนี้ เม่ือจำเลยร่วมซง่ึ เปน็ บคุ คลภายนอกไมไ่ ดท้ ำ
นิตกิ รรมจำนองก่อนเร่ิมฟอ้ งคดีขอใหเ้ พิกถอนจำเลยรว่ มยอ่ มไมไ่ ดร้ ับความคุม้ ครองตามมาตรา 238 ดงั กลา่ ว การท่จี ำเลยท่ี 1 ทำนิติ
กรรมให้ทดี่ นิ พิพาทแกจ่ ำเลยที่ 2 โดยเสนห่ าทง้ั ท่ีจำเลยที่ 1 รอู้ ยู่แล้ววา่ จะเป็นทางให้โจทกเ์ สยี เปรียบ ซง่ึ เพยี งจำเลยที่ 1 ซง่ึ เปน็ ลกู หนี้
รู้ฝ่ายเดยี วเท่านั้นก็เปน็ เหตทุ ีจ่ ะขอใหเ้ พกิ ถอนไดต้ ามมาตรา 237 วรรคหนงึ่ แลว้ โจทกย์ ่อมมีสทิ ธขิ อใหเ้ พิกถอนนติ ิกรรมระหว่างจำเลย
ที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนติ กิ รรมระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยรว่ มได้ (คำพพิ ากษาฎกี าท่ี 392/2561, 16167/2557 วินิจฉัยเช่นกัน แต่
ถ้าทำนติ ิกรมก่อนเร่ิมฟอ้ งคดขี อใหเ้ พกิ ถอนบคุ คลภายนอกย่อมได้รับความค้มุ ครองตามคำพิพากษาฎีกาท่ี 9906/2560)

ฎีกาท่ี 3658/2560 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 วรรคหนงึ่ บญั ญตั ิว่า เจ้าหนีช้ อบที่จะร้องขอให้ศาลเพกิ ถอนเสยี ได้ ซง่ึ
นติ ิกรรมใดๆ อนั ลูกหนี้ได้กระทำลงท้งั รู้อยู่ว่าจะเปน็ ทางใหเ้ จ้าหนเี้ สยี เปรยี บ...ดงั น้ัน นิตกิ รรมทีล่ ูกหนก้ี ระทำลงทจ่ี ะทำใหเ้ จ้าหน้ี
เสียเปรียบ ต้องเปน็ นติ กิ รมที่ลูกหนกี้ ระทำแลว้ มผี ลกระทบทำใหท้ รพั ย์สินของลกู หนลี้ ดนอ้ ยลงไม่พอที่จะใชห้ น้แี กเ่ จ้าหน้ไี ด้

จำเลยท่ี 2 ซง่ึ เป็นลูกหน้ีโจทกข์ ายท่ีดินพิพาทซง่ึ ตดิ จำนองแกจ่ ำเลยที่ 1 แล้วนำเงินไปชำระหน้ี
ให้แก่ พ. เจ้าหนรี้ ับจำนอง ซง่ึ เป็นผู้มสี ิทธไิ ดร้ ับชำระหน้ีอยู่ก่อนเจ้าหน้ีสามัญรวมทงั้ โจทกต์ าม ป.พ.พ.มาตรา 702 วรรคสอง และถงึ แม้
โจทกจ์ ะบงั คบั คดยี ดึ ท่ีดนิ พิพาทเพอื่ ขายทอดตลาดชำระหนีแ้ ก่โจทก์ พ.เจา้ หนี้จำนองซงึ่ เปน็ เจ้าหนบ้ี ุรมิ สทิ ธิกย็ งั มีสิทธิได้รับชำระหน้ี
ก่อนโจทก์ซ่งึ เป็นเจ้าหนี้สามญั สำหรบั โจทก์หากจะมีสทิ ธกิ ย็ งั มสี ทิ ธไิ ดร้ ับชำระหนก้ี ่อนโจทกซ์ ง่ึ เป็นเจา้ หน้ีสามญั สำหรบั โจทกห์ ากจะมี
สทิ ธไิ ด้รบั ชำระหนี้จากการบงั คับคดพี พิ าทกต็ ่อเม่อื มีเงนิ เหลอื จากการชำระหนจ้ี ำนองให้แก่ พ. ครบถว้ นแลว้ ซง่ึ โจทก์กไ็ ม่ไดน้ ำสบื ให้
เหน็ ว่าหากมกี ารขายทอดตลาดที่ดนิ พิพาทจะมรี าคาสงู และมีเงนิ เหลอื พอชำระหนี้โจทก์ได้แต่อยา่ งใด การท่ีจำเลยท่ี 2 ขายท่ีดนิ พพิ าท
ให้จำเลยท่ี 1 แล้วนำเงินชำระหน้จี ำนองใหแ้ ก่ พ.ซง่ึ เปน็ เจา้ หนบี้ ุรมิ สิทธกิ อ่ น จงึ เป็นการปฎิบตั ิการชำระหนท้ี เ่ี ป็นไปตามลำดบั แห่งหน้ี
ทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย มิไดเ้ ป็นการฉ้อฉลทำใหโ้ จทก์เสียเปรียบและไม่มเี หตุทีจ่ ะเพิกถอนการซ้อื ขายระหว่างจำเลยทงั้ สอง

ฎกี าท่ี 4855/2561 โจทกบ์ อกกกล่าวแจง้ การโอนสิทธิเรยี กร้องในหนที้ ีจ่ ำเลยที่ 5 มตี ่อจำเลยท่ี 1 ท่ีจะเกดิ ขนึ้ ใน
อนาคตทง้ั หมด ซง่ึ รวมถงึ หนี้คา่ สินคา้ ทงั้ 8 รายการ ซงึ่ พพิ าทกนั นี้แลว้ แม้ในขณะมหี นงั สือบอกกล่าวหนย้ี งั ไมถ่ งึ กำหนดชำระ ก็ถือว่า
เปน็ การโอนหน้อี นั จะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนีค้ นหนึ่งโดยเฉพาะจงใจโดยทำเปน็ หนงั สือ จงึ สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 306 วรรคแรก
แล้ว สว่ นจำเลยท่ี 5 อา้ งวา่ ได้ชำระหนใ้ี ห้จำเลยท่ี 1 แล้ว กเ็ ปน็ การชำระหนใี้ หจ้ ำเลยที่ 1 ภายหลงั จากจำเลยท่ี 5 ได้รบั การบอกกล่าว
การโอนสิทธเิ รียกรอ้ งโดยชอบแลว้ จำเลยท่ี 1 ไม่มสี ิทธิรับชำระหน้อี กี จำเลยท่ี 5 ชอบทีจ่ ะตดิ ตามเอาคนื จากจำเลยที่ 1 แตจ่ ำเลยที่ 5
ไม่อาจหลุดพ้นท่จะตอ้ งชำระหน้คี า่ สินค้าทงั้ 8 รายการใหแ้ กโ่ จทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 306 วรรคสอง

ฎกี าที่ 9831/2560 โจทก์ฟอ้ งขอใหเ้ พิกถอนนติ กิ รรมการจดทะเบยี นให้ทดี่ นิ ระหวา่ งจำเลยที่ 2 กับจำเลยท่ี 3 ซึ่งเปน็
บตุ รโดยเสน่หา อนั เปน็ ทางใหโ้ จทก์เจา้ หนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 เสยี เปรียบ จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 237 แตโ่ จทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าหนที้ ีจ่ ำเลยท่ี 1 เปน็ หน้ีโจทกต์ ามคำพพิ ากษาตามยอมเป็นหน้ีระหว่างจำเลยที่ 1 กบั จำเลยที่

70

71

2 ซงึ่ เป็นสามภี ริยากันตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 1490 (1) (4) ซงึ่ จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผดิ ในหน้ตี ามคำ
พพิ ากษาร่วมกับจำเลยที่ 1 ซง่ึ จะมผี ลให้จำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะเปน็ ลูกหนโี้ จทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 มไิ ด้อยูใ่ นฐานะเปน็ ลกู หนีโ้ จทก์
ประกอบกับโจทกน์ ำสืบไม่ไดว้ ่าหนขี้ องจำเลยท่ี 1 เป็นหนี้ร่วมทจี่ ำเลยที่ 2 จะตอ้ งรว่ ม
รับผิด โจทกจ์ งึ ไมม่ ีอำนาจฟ้องขอใหเ้ พกิ ถอนนิตกิ รรมการจดทะเบียนให้ทด่ี นิ ตามฟ้องระหวา่ งจำเลยท่ี 2 และท่ี 3

ฏีกาท่ี 6294/2561 ป.พ.พ 164 บญั ญตั วิ า่ การข่มขทู่ จ่ี ะทำใหก้ ารใดเปน็ โมฆยี ะนน้ั จะต้องเปน็ การขม่ ขทู่ ่จี ะให้เกิดภยั
อนั ใกลจ้ ะถึงและรา้ ยแรงถงึ ขนาดจะจงู ใจใหผ้ ูถ้ ูกข่มขู่มมี ลู ต้องกลวั ซง่ึ ถา้ มิไดม้ ีการข่มขู่เชน่ นั้น การนั้นกค็ งจะมไิ ดก้ ระทำขน้ึ โจทก์นำ
กลุ่มผชู้ ายคนแตง่ กายคลา้ ยตำรวจไปทบี่ ้านของจำเลยซ่ึงเป็นท่ีตง้ั โรงงาน พดู จาข่มขวู่ า่ บ้านและทดี่ ินตกเปน็ ของโจทกแ์ ลว้ หากจำเลย
จะดำเนินงานตอ่ ต้องให้โจทก์ จำเลยกลัวจงึ ตอ้ งใหเ้ งินโจทก์ 3,000,000 บาท จำเลยกลวั จงึ ตอ้ งทำสญั ญากยู้ มื เงนิ การกระทำดังกลา่ ว
เป็นเพยี งการตดิ ตามทวงถามให้ชำระหน้ดี ้วยพฤติการณแ์ ละการกระทำท่ไี ม่เหมาะสมเทา่ นนั้ หาได้เกดิ ภยั อันใกล้จะถงึ และรา้ ยแรงถงึ
ขนาดท่จี ะถือได้วา่ เปน็ การข่มขู่อันจะทำให้สญั ญากยู้ มื เปน็ โมฆยี ะไม่

ฏกี าท่ี 5686/2561 การฟอ้ งเพิกถอนการฉ้อฉล ป.พ.พ. มาตรา 237 อนั จะตกในบังคับแหง่ อายคุ วาม ป.พ.พ. มาตรา
240 กรณีต้องเป็นเรือ่ งทลี่ กู หนีเ้ ป็นเจา้ ของทรพั ยม์ ีอำนาจทำนิตกิ รรมเกย่ี วกับทรัพยน์ ัน้ อันเปน็ นิติกรรมที่สมบูรณ์ แต่นติ กิ รรมซอื้ ขาย
ทด่ี ินพิพาทระหว่าง ส. ผขู้ าย กบั จำเลยที่ 1 ผู้ซือ้ เกิดจากเจตนาลวงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 จึงไม่ใชเ่ จา้ ของจึงไมม่ ีอำนาจขายทด่ี ิน
พพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 กรณมี ิใช่การฟอ้ งเพกิ ถอนการฉ้อฉลไมอ่ ยใู่ นบงั คบั ทจ่ี ะตอ้ งฟ้องภายในอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ มาตรา 240
จำเลยทง้ั สองอ้างวา่ ขณะทจี่ ำเลยที่1 ขายทพี่ พิ าทให้แก่จำเลยท่ี 2 ศาลฏีกายงั มไิ ด้พิพากษาเพกิ ถอนนิตกิ รรมซื้อขายระหว่าง ส. กบั
จำเลยท่ี 1 แตเ่ มือ่ จำเลยที่ 2 รับโอนโดยไมส่ จุ รติ จงึ ไมไ่ ดร้ ับความคุม้ ครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนง่ึ ตอนทา้ ย

ฏกี าที่ 6650/2561 โจทก์โอนทดี่ นิ พิพาทใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 1 โดยไม่มเี จตนาใหผ้ กู พันกนั เปน็ การแสดงเจตนาลวง โดย
สมรกู้ ันระหว่างโจทก์และจำเลยทงั้ สอง เพอื่ ใหจ้ ำเลยทงั้ สองนำที่ดนิ ทีพ่ ิพาทไปจำนองเปน็ ประกันหน้กี ยู้ ืมเงินต่อธนาคาร ท. การโอน
ทด่ี นิ ระหว่างโจทกก์ บั จำเลยที่ 1 และจำเลยท่ี 1 กบัจำเลยท่ี 2 จึงตกเปน็ โมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหน่งึ

ฎีกาท่ี 9916/2560 ในการทำสัญญาเชา่ แผง นอกจากคา่ เชา่ แล้วจำเลยไมไ่ ดใ้ หค้ า่ ตอบแทนอย่างอนื่ แก่โจทก์อันจะพอ
ถือได้วา่ เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทน ทงั้ ตามสญั ญาเชา่ แผงโจทกต์ กลงให้จำเลยเช่าแผงของโจทกเ์ พ่ือประโยชน์ประกอบการค้า (ช่ัวคราว)
มีกำหนดเวลารายเดือนนบั แต่วนั ท่ี 1 เดือนกนั ยายน พ.ศ. 2545 คดิ คา่ เชา่ เดือนละ 600 บาท ไมไ่ ดจ้ ำกดั เช่า เพยี งแคก่ ำหนดเวลาชำระ
ค่าเชา่ ไวเ้ ทา่ นนั้

โจทกย์ ่อมมสี ทิ ธิบอกเลิกสัญญาไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 566 หากจำเลยไดอ้ อกเงนิ ปรับปรงุ แผงที่
เช่ามาจากโจทก์ไปจริง ต้องถือว่าเป็นการปรบั ปรงุ เพอื่ ประโยชน์ของตนเอง มิใช่เป็นการใหป้ ระโยชนแ์ กโ่ จทก์ จึงไมถ่ ือว่าเปน็ สญั ญาตา่ ง
ตอบแทนยิง่ กวา่ สญั ญาเชา่ ธรรมดา

ฎีกาที่ 2995/2561 โจทก์ฟ้องวา่ เดอื นพฤศจิกายน 2555 บรษิ ัท อ.ตัวแทนโจทก์จะนำอลูมเิ นียมฟอยลท์ ี่จำเลยสง่
มอบใหไ้ ปบรรจุยา ไดต้ รวจพบวา่ อลมู เิ นยี มฟอยลท์ ี่จำเลยสง่ มอบไมม่ ีคณุ ภาพมาตรฐานความปลอดภัยและมคี ุณสมบตั ิไม่ตรงตอ่ ความ

71

72

เหมาะสมอนั มุ่งจะใชต้ ามปกตไิ ม่สามารถจะนำมาใชบ้ รรจุยาขายแก่ประชาชนทว่ั ไปเพ่อื บริโภคได้ ซงึ่ การสงั่ ซอ้ื นจ้ี ำเลยทราบเปน็ อย่างดี
ว่าโจทก์จะนำไปใชบ้ รรจุยาแอสไพรนิ ขายแกป่ ระชาชนและโรงพยาบาล อลูมิเนยี มฟอยลท์ จี่ ำเลยผลติ ขายจงึ ตอ้ งมีคุณภาพดีสะอาด
ปราศจากสง่ิ ปนเป้ือน จึงเป็นการท่โี จทก์ฟอ้ งให้จำเลยรับผดิ ในความชำรดุ บกพรอ่ งของสนิ คา้ ทซี่ อื้ ขายตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 ซึ่ง
โจทกต์ อ้ งฟ้องใหจ้ ำเลยรบั ผดิ ภายใน 1 ปนี บั แต่เวลาที่ได้พบเหน็ ความชำรดุ บกพรอ่ งตาม ป.พ.พ.มาตรา 474

บริษัท อ.ผแู้ ทนโจทก์ไดร้ ับมอบสินค้าจากจำเลยท้งั 4 ครง้ั ไว้ โดยสนิ ค้า 2 ครงั้ แรกรบั ไวเ้ มอ่ื วนั ที่
13 มีนาคม 2555 ครั้งท่ี 3 ผู้แทนโจทก์รับสินคา้ ไวเ้ มือ่ วนั ท่ี 23 พฤษภาคม 2555 ครง้ั ท่ี 4 ผแู้ ทนโจทกร์ ับสนิ คา้ ไวเ้ มอ่ื วนั ท่ี 3 สงิ หาคม
2555 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ผ้แู ทนโจทก์จะนำสินคา้ ไปบรรจยุ าจงึ ตรวจพบวา่ สนิ คา้ ดงั กลา่ วมคี วามบกพรอ่ งจงึ แจง้ ใหท้ ราบและ
โปรดสง่ คนื สินคา้ ท่ีรับมาทงั้ 4 คร้ังใหจ้ ำเลยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555 แต่ไมป่ รากฏวา่ โจทกซ์ ึ่งเป็นตัวการไดท้ ราบถงึ ความชำรดุ
บกพรอ่ งวนั ใด แตต่ าม

คำฟอ้ งโจทก์ระบุวา่ เม่อื เดอื นพฤศจิกายน 2555 บรษิ ัทผแู้ ทนโจทกต์ รวจพบว่าสนิ ค้าท่ีรับมาทงั้ 4
ครงั้ มคี วามชำรดุ บกพรอ่ งและแจง้ ใหโ้ จทกท์ ราบจงึ ต้องถือว่าโจทก์ไดพ้ บเห็นความชำรดุ บกพร่องในเดอื นพฤศจกิ ายน 2555 โจทก์ฟ้อง
คดีนเี้ มือ่ วันท่ี 5 กันยายน 2556 จึงไม่เกนิ กำหนด 1 ปตี าม ป.พ.พ. มาตรา 474 ฟ้องโจทก์

ฎีกาท่ี 217/2562 โจทก์ไมม่ เี จตนาขายทดี่ นิ พพิ าทแก่จำเลยที่ 3 แตม่ เี จตนาจดทะเบยี นจำนองทด่ี นิ พิพาทแก่
กองทนุ ฟน้ื ฟูและพฒั นาเกษตรกร การทำหนงั สือสญั ญาขายที่ดนิ พิพาทจึงเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคญั ผดิ ในลักษณะของนิติกรรมซึ่ง
เป็นสาระสำคญั แหง่ นติ กิ รรม สญั ญาขายทด่ี ินพิพาทระหวา่ งโจทก์กบั จำเลยท่ี 3 จงึ ตกเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 วรรคหนง่ึ
จำเลยท่ี 3 ไม่ไดก้ รรมสทิ ธ์ิในที่ดนิ พพิ าทและไม่มสี ทิ ธิโอนขายตอ่ แกจ่ ำเลยท่ี 4 และท่ี 5 แม้จำเลยท่ี 5 จะซอ้ื ทดี่ นิ ไวโ้ ดยสจุ ริต เสยี
ค่าตอบแทนและจดทะเบยี นตามกฎหมาย จำเลยที่ 5 กไ็ มไ่ ด้กรรมสทิ ธิ์ในทดี่ นิ พิพาทตามหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า ผู้รับโอนไม่มสี ทิ ธ์ิ
ดกี ว่าผ้โู อน กรณจี งึ มเี หตใุ ห้เพิกถอนการจดทะเบยี นการขายทด่ี นิ พิพาทระหว่างโจทก์กบั จำเลยที่ 3 ระหวา่ งจำเลยที่ 3 กบั จำเลยที่ 4
และระหวา่ งจำเลยท่ี 4 กับจำเลยท่ี 5

ฎกี าท่ี 5985/2561 โจทกท์ ัง้ สามบรรยายฟอ้ งวา่ จำเลยที่ 1 เปน็ นิติบุคคล มี ช. เปน็ นายกเทศมนตรนี คร
นครศรธี รรมราช และเปน็ เจ้าของผคู้ รอบครองรถบรรทกุ คันเกดิ เหตุ ในวันเกิดเหตุ ร. ขบั รถบรรทุกคันเกดิ เหตุเพอ่ื ปฏิบตั ิหนา้ ทเี่ กบ็ ขน
ถ่ายขยะตามคำสง่ั ของจำเลยท้งั สอง แมโ้ จทก์จะไม่ได้กล่าวในคำฟอ้ งวา่ ทขี่ า้ งรถบรรทุกคนั เกิดเหตุมขี อ้ ความวา่ เทศบาลนคร
นครศรธี รรมราช แตจ่ ำเลยที่ 1 ใหก้ ารวา่ จำเลยท่ี 1 เปน็ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ไดว้ า่ จา้ งจำเลยที่ 2 เปน็ ผดู้ ำเนนิ การเกบ็ ขน
ขยะมูลฝอยเทศบาลนครนครศรธี รรมราชแทนจำเลยท่ี 1 ยอ่ มเป็นท่เี หน็ ได้ว่า จำเลยท่ี 1 รบั ว่า ร. ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกคนั เกดิ เหตุ
เพ่อื เกบ็ ขนขยะในนามของจำเลยที่ 1 ตามคำส่ังของจำเลยที่ 1 เมอื่ การเกบ็ ขนขยะเป็นภารกจิ ของเทศบาล การขบั รถเกบ็ ขนขยะของ
ร. จงึ เปน็ การทำไปตามหน้าท่ีในภารกิจของจำเลยท่ี 1 พฤติการณด์ งั กลา่ วย่อมเปน็ การแสดงออกแกบ่ คุ คลทวั่ ไปวา่ ร. เปน็ ลกู จา้ งของ
จำเลยที่ 1 และรถบรรทกุ คันเกิดเหตเุ ป็นของจำเลยท่ี 1 การที่จำเลยท่ี 1 วา่ จ้างจำเลยท่ี 2 ดำเนนิ การเก็บขนขยะในนามของจำเลยที่ 1
ยอ่ มถือไดว้ ่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของ ร. ดว้ ย สว่ นจำเลยท่ี 1 จะมีสญั ญาหรอื ขอ้ ตกลงกับจำเลยที่ 2 อย่างไร ก็เป็นเรือ่ งทจี่ ะบังคบั
กนั ระหว่างจำเลยที่ 1 กบั จำเลยท่ี 2 เท่านั้น หาไดม้ ีผลผูกพันกบั บุคคลภายนอกซึง่ รวมถงึ โจทกท์ งั้ สามดว้ ยไม่ เมอื่ ขอ้ เท็จจรงิ รบั ฟังไดว้ า่

72

73

ร. ขบั รถบรรทุกคันเกดิ เหตุไปในทางการท่ีจ้างของจำเลยทง้ั สองและกระทำละเมดิ จำเลยทง้ั สองจงึ ตอ้ งร่วมกับ ร. รับผดิ ในผลแห่ง
ละเมดิ ที่ ร. กระทำดว้ ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 425

ฎกี าท่ี 3422/2560 ในการทำสญั ญาเช่าแผงนอกจากค่าเช่าแลว้ จำเลยไมไ่ ด้ให้ค่าตอบแทนอยา่ งอื่นแก่โจทก์อันจะถอื
ได้วา่ เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทน ท้งั ตามสญั ญาเช่าแผงโจทกต์ กลงใหจ้ ำเลยเชา่ แผงของโจทก์เพื่อประโยชนป์ ระกอบการคา้ (ช่วั คราว) มี
กำหนดเวลารายเดือน นับแตว่ นั ท่ี 1 เดือนกันยายน 2545 คดิ คา่ เช่าเดอื นละ 600 บาท ไมไ่ ด้กำหนดเวลาเช่า เพยี งแตก่ ำหนดเวลา
ชำระคา่ เชา่ ไว้เท่าน้นั โจทก์ย่อมมสี ิทธบิ อกเลกิ สญั ญาได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 566หากจำเลยได้ออกเงนิ ปรบั ปรงุ แผงท่เี ชา่ มาจากโจทก์
ไปจรงิ ต้องถือวา่ เปน็ การปรับปรงุ เพอ่ื ประโยชน์ของจำเลยเอง มใิ ชเ่ พื่อประโยชนแ์ ก่โจทก์ จงึ ไม่ถอื ว่าเปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนย่ิงกวา่
สัญญาเช่าธรรมดา

ฎีกาท่ี 7537/2561 เม่ือประมาณเดอื นมกราคม 2557 จำเลยที่ 1 มคี วามประสงคจ์ ะปรับปรุงภูมทิ ศั นบ์ รเิ วณครวั
ริมน้ำโดยมีนโยบายใหบ้ คุ คลทวั่ ไปเข้าปรับปรงุ ภมู ิทศั นด์ ้วยคา่ ใชจ้ า่ ยของผเู้ ชา่ โดยจะไดร้ บั การใหเ้ ช่า 3 ปี นบั แต่วนั ท่ดี ำเนนิ การ
ปรับปรงุ แล้วเสร็จเมอ่ื ครบกำหนดเวลาการเช่าอาคารจะตอ้ งยกส่วนทีป่ รับปรุงทงั้ หมดใหแ้ ก่จำเลยที่ 1 ตอ่ มาเมื่อวนั ท่ี 25 มนี าคม
2557 โจทกเ์ ป็นตวั แทนของหุน้ สว่ นอกี 2 คน เข้าติดต่อกบั สำนกั สว่ นพฒั นาธุรกิจและควบคุมตน้ ทุนซึง่ เปน็ หนว่ ยงานในสำนกั ทรพั ย์สิน
และรายไดข้ องจำเลยที่ 1 แจง้ ความประสงคข์ อทำสญั ญาเช่าพน้ื ทดี่ งั กลา่ ว โดยโจทก์มอบเอกสารสญั ญาเชา่ พนื้ ท่ี ซง่ึ โจทกล์ งลายมอื ชอื่
ในชอ่ งผเู้ ช่าไวล้ ่วงหน้าและมอบแบบก่อสร้างอาคารสง่ิ ปลกู สรา้ งจำเลยท่ี 1 พจิ ารณาพรอ้ มนำเชค็ ธนาคาร ท.ส่ังจา่ ยเงินจำนวน
180,000 บาท มอบใหแ้ ก่จำเลยที่ 1 เพอื่ ประกันสญั ญาตามสญั ญาเชา่ สถานทแี่ ละสำเนาเชค็ ครงั้ ท่ี 26 พฤษภาคม 2557 จำเลยที่ 2
มีหนังสือถงึ โจทกแ์ จง้ ขอยกเลกิ เช็คและการทำสญั ญาตามหนงั สอื ขอยกเลิกเชค็ และการทำสัญญา ปัญหาตอ้ งวินิจฉยั ตามฎีกาของจำเลย
ที่ 1 ในประการแรกมีวา่ โจทกม์ อี ำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รบั ผดิ ตามสญั ญาเชา่ ดงั ทกี่ ล่าวอ้างในคำฟ้องหรือไม่

ตามคำฟ้องและคำใหก้ ารปรากฎขอ้ เทจ็ จรงิ อยา่ งชดั เจนวา่ สญั ญาเชา่ ระหวา่ งโจทกแ์ ละจำเลยที่
1 จะต้องมกี ารพิจารณาเลอื กรปู แบบอาคารทโี่ จทกเ์ สนอและอนมุ ตั ใิ หด้ ำเนนิ การก่อสร้างเสียก่อน ซง่ึ ถอื ว่าเปน็ สาระสำคญั อันจะต้อง
ตกลงกันให้ เรยี บรอ้ ย แตจ่ ำเลยที่ 1 ยังมไิ ด้พจิ ารณาเห็นชอบรปู แบบอาคารทีโ่ จทกเ์ สนอตามข้ันตอนแตป่ ระการใด เนอ่ื งจากยงั มขี ้อ
โตแ้ ย้ง เกย่ี วกับรปู แบบอาคารทโ่ี จทกเ์ สนอแก่จำเลยท่ี 1 กรณยี อ่ มเป็นทสี่ งสยั วา่ โจทกแ์ ละจำเลยท่ี 1 ซ่ึงเปน็ ค่สู ญั ญายงั ไมส่ ามารถตก
ลงกนั สาระสำคญั กันท้งั หมดทุกข้อแล้ว นับวา่ ระหวา่ งโจทกแ์ ละจำเลยท่ี 1 ยงั มไิ ด้มสี ัญญาตอ่ กันตาม ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคหนึ่ง
โจทกย์ ่อมไม่อาจอาศยั สัญญาเชา่ ตามคำฟ้องเป็นฐานทตี่ ง้ั แหง่ สทิ ธิเรยี กรอ้ งใหจ้ ำเลยที่ 1 รบั ผดิ ไดต้ ามทกี่ ลา่ วอา้ งในคำฟ้อง

ฎีกาที่ 2543/2561 จำเลยท่ี 1 เป็นพนักงานของจำเลยท่ี 3 ซงึ่ ได้รบั การว่าจ้างจากจำเลยท่ี 4ในการติดตามทวงหนี้กบั
ลกู คา้ ทผ่ี ดิ นัดชำระหน้ี จำเลยที่ 1 ได้โทรศพั ท์มาทวงถามโจทกแ์ ละแจ้งเรอื่ งดงั กล่าวใหแ้ ก่บคุ คลอนื่ ในโรงเรยี นทราบ อันไมเ่ ปน็ ไปตาม
แนวปฏบิ ตั ใิ นการทวงหน้ขี องธนาคารแหง่ ประเทศไทย และเป็นการละเมดิ ตอ่ โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 การทจ่ี ำเลยที่ 3 มอบ
อำนาจให้จำเลยที่ 1 มหี นา้ ทีต่ ดิ ตามทวงตามหนี้จากโจทก์ อนั เปน็ กิจการท่ีจำเลยที่ 3 นายจา้ งมอบใหจ้ ำเลยท่ี 1 ลูกจ้างไปกระทำใน
ทางการที่จ้าง จำเลยท่ี 3 จะอา้ งว่าเหตลุ ะเมิดเกิดเพราะจำเลยท่ี 1 ฝ่าฝนื ระเบียบข้อบงั คบั หรือคมู่ ือปฏบิ ัตงิ านของจำเลยท่ี 3 อนั เป็น
เรือ่ งภายในของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ขน้ึ ต่อสู้โจทก์ซ่ึงเปน็ บุคคลภายนอกหาไดไ้ ม่ เมอ่ื จำเลยท่ี 1 ทวงหนี้โจทกโ์ ดยจงใจทำให้

73

74

โจทกไ์ ด้รบั ความเสยี หายแกช่ ่อื เสียง จำเลยท่ี 3 จงึ ตอ้ งรว่ มรับผดิ ต่อโจทก์ในผลแหง่ ละเมดิ ทจ่ี ำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการทจ่ี า้ งตาม
ป.พ.พ. มาตรา 425 สว่ นจำเลยท่ี 4 แม้สญั ญาบริการเป็นสญั ญาจา้ งทำของ แตส่ ัญญาบรกิ ารดงั กลา่ วมขี อ้ ตกลงในลักษณะจำเลยท่ี 4
มอบอำนาจใหจ้ ำเลยท่ี 3 ไปติดต่อ ทวงหนจี้ ากลูกหนขี้ องของจำเลยที่ 4 แทนจำเลยที่ 4 จงึ มนี ิตสิ ัมพนั ธก์ ันในลกั ษณะจำเลยที่ 3 เปน็
ตัวแทนของจำเลยท่ี 4 โดยปรยิ ายโดยมีบำเหนจ็ ในส่วนที่เก่ยี วกบั การตดิ ตามทวงถามหนจ้ี ากลกู หนีข้ องจำเลยที่ 4 อยดู่ ว้ ย เมอ่ื จำเลยท่ี
3 มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ไปติดตามทวงหนจ้ี ากโจทกซ์ ่งึ เป็นลูกหน้ขี องจำเลยที่ 4 ย่อมถอื ไดว้ า่ จำเลยท่ี 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 4
โดยปรยิ ายในส่วนท่เี กย่ี วกบั การตดิ ตามทวงหนจี้ ากลูกหนขี้ องจำเลยท่ี 4 เชน่ กัน ตามป.พ.พ. มาตรา 797 วรรคสอง และแม้สญั ญา
ระหว่างจำเลยท่ี 3กับจำเลยที่ 4 มขี ้อตกลงห้ามมใิ หล้ กู จา้ งของจำเลยที่ 3 ทวงหน้จี ากลกู หนขี้ องจำเลยที่ 4 โดยวิธกี ารผดิ กฎหมาย
ประการใดก็ตาม กไ็ ม่อาจนำมาใชย้ ันโจทก์ซงึ่ เป็นบคุ คลภายนอกได้ จำเลยที่ 4 จงึ ต้องรว่ มรบั ผิดในการทำละเมดิ ของจำเลยที่ 1 ตอ่
โจทกด์ ้วยตามมาตรา 427 ประกอบมาตรา 425 (คดนี ้โี จทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2)

ฎีกาท่ี 7477/2561 ศาลจงั หวดั สมุทรปราการมคี ำพพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนนิติกรรมการขายทด่ี นิ พิพาทโดยวนิ จิ ฉัยวา่ การ
ซอื้ ขายทดี่ ินพพิ าทระหว่าง ว. ในฐานะผู้จดั การมรดกของ ท. กบั น. เปน็ การแสดงเจตนาลวง จึงตกเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155
วรรคหนึ่ง โจทก์เปน็ ผู้รบั โอนทีด่ ินพพิ าทจาก น. ตามสญั ญาซ้อื ขายต่อจากนิติกรรมอันเปน็ โมฆะอีกทอดหนง่ึ (รบั โอนมาก่อนศาล
จังหวดั สมทุ รปราการ มคี ำพิพากษา) โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอก และโจทกไ์ ด้รบั ประโยชน์จากขอ้ สันนิษฐานตาม ป.พ.พ.มาตรา 6 วา่
กระทำโดยสจุ รติ จำเลยจงึ ยกความเสยี เปลา่ แห่งโมฆะกรรมขึน้ เป็นข้อตอ่ สู้โจทกซ์ งึ่ เป็นบคุ คลภายนอกผกู้ ระทำการโดยสจุ ริต และต้อง
เสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้

ฎกี าท่ี 5671-5672/2560 ผรู้ อ้ งทง้ั สองอ้างวา่ ผคู้ ัดค้านท่ี 2 เป็นนิติบคุ คลตา่ งประเทศ ไม่มสี ่วนได้เสียในมลู หน้เี ดมิ ทงั้
ค่าตอบแทนในการโอนสทิ ธเิ รยี กรอ้ งเป็นจำนวนต่ำ จงึ มีลกั ษณะเป็นการค้าความนนั้

เหน็ ว่า ถงึ แมผ้ ู้ตดั ตา้ นท่ี 2 เปน็ นติ บิ ุคคลต่างประเทศและไมม่ สี ว่ นได้เสยี ในมลู หนเี้ ดิม แตก่ ็ไม่มี
บทบัญญตั แิ หง่ กฎหมายใดบัญญตั ิห้ามมใิ หน้ ติ บิ คุ คลตา่ งประเทศรับโอนสิทธเิ รียกร้อง ทงั้ การโอนสทิ ธิเรยี กรอ้ งดงั กลา่ วจะมีค่าตอบแทน
เทา่ ใด ยอ่ มเปน็ เร่อื งระหว่างผรู้ บั โอนกบั ผ้โู อนอันเป็นไปตามกลไกในการดำเนนิ ธรุ กจิ หาไดท้ ำให้การโอนสิทธเิ รยี กร้องระหวา่ งผคู้ ัดคา้ น
ที่ 2 และเจา้ หน้ที ั้งแปดรายดังกล่าวมลี กั ษณะเปน็ การค้าความแตอ่ ยา่ งใดไม่เม่อื เจ้าหนรี้ ายท่ี 6 ถงึ ที่ 8 เจ้าหนร้ี ายท่ี 15 เจา้ หนรี้ ายที่
16 เจ้าหน้ีรายที่ 19 เจ้าหนร้ี ายท่ี 40 และเจา้ หนร้ี ายที่ 41 ไดโ้ อนสิทธิเรียกรอ้ งทเ่ี จ้าหน้ีแตล่ ะรายมีสทิ ธทิ ี่จะไดร้ บั ชำระหนีต้ ามแผน
ฟน้ื ฟูกิจการใหแ้ กผ่ ้คู ดั ค้านที่ 2 เปน็ หนงั สอื และได้มีการบอกกลา่ วแจง้ การโอนสทิ ธิเรียกรอ้ งใหผ้ บู้ ริหารแผนทราบแล้ว การโอนสิทธิ
เรยี กรอ้ งดังกลา่ วจงึ สมบรู ณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์มาตรา 306

ฎกี าท่ี 4841/2560 จำเลยท่ี 1 นำทด่ี นิ สปก. 4-01 มาขายใหแ้ กโ่ จทกท์ ี่ 1 ในระยะเวลาหา้ มโอน ดงั นัน้ การขายทดี่ ิน
พพิ าทจึงเปน็ โมฆะเนือ่ งจากมีวัตถุประสงค์ขดั ต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 150 กรณีไม่ใช่มีผลเพยี งให้
อำนาจคณะกรรมการปฏริ ูปทดี่ นิ เพือ่ เกษตรกรรมเข้าไปรอื้ ถอนส่ิงปลกู สร้างบนทดี่ นิ หา้ มโอนเทา่ น้ัน โจทกท์ ง้ั สองจงึ ไมใ่ ช่ผู้มีสิทธิ
ครอบครองในท่ีดนิ พพิ าทในอันท่ีจะมีสิทธยิ ื่นคำรอ้ งขอเขา้ ทำประโยชน์ ส่วนพชื ผลบนทด่ี ินพิพาท แม้ตน้ ปาลม์ และต้นมะพร้าวโจทกท์ ้งั
สองจะปลูกไว้แต่เมอื่ เปน็ ไมย้ นื ตน้ จึงเปน็ สว่ นควบของทด่ี ินพพิ าท ผลปาลม์ และตน้ มะพร้าวจึงเปน็ ของสำนกั งานการปฏริ ูปท่ดี ินเพ่ือ

74

75

เกษตรกรรมไมใ่ ชข่ องโจทก์ทงั้ สองตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 145 ดงั นั้นการท่ีจำเลยทง้ั สองเขา้ ไปเอาผลปาลม์ แลว้
เข้าไปตัดโค่นทำลายต้นมะพรา้ วจะถอื วา่ ทำใหโ้ จทก์ทง้ั สองได้รับความเสยี หายไม่ได้ โจทก์ทง้ั สองไมม่ อี ำนาจฟอ้ งเรยี กค่าเสยี หายในส่วน
นี้ ส่วนต้นกล้วยเป็นเพยี งไมล้ ้มลกุ จงึ ไม่เป็นสว่ นควบกับทดี่ ินเมอ่ื โจทกท์ ้ังสองเปน็ ผปู้ ลูกจงึ เป็นเจา้ ของตน้ กล้วย จำเลยทง้ั สองเขา้ ไปโค่น
ทำลายทั้งๆท่รี แู้ ลว้ วา่ แมจ้ ะปลูกอยูใ่ นท่ีดินพิพาทแตต่ น้ กล้วยเหลา่ น้ันเป็นของโจทก์ทงั้ สองตามพฤติการณ์ถือได้วา่ เป็นการกระทำโดย
จงใจหรอื ประมาทเลนิ เล่อกอ่ ให้เกิดความเสยี หายต่อทรพั ยส์ ินของโจทก์ท้งั สองโดยไมม่ ีอำนาจทจี่ ะกระทำได้ตามกฎหมายเปน็ การ
กระทำละเมิดต่อโจทกท์ งั้ สองและเปน็ การโตแ้ ยง้ สิทธิในทรพั ยส์ นิ ของโจทก์ทง้ั สอง โจทกท์ ง้ั สองจงึ มอี ำนาจฟ้องและจำเลยทง้ั สองต้อง
รับผดิ ในมลู ละเมิดทเี่ กิดจากการกระทำของตน

75

76

ข้อ 4 (ซ้ือขาย เชา่ ทรัพย์ เชา่ ซ้ือ)

ฎีกาท่ี 6975/2537 เดิมตกึ แถวตามฟ้องเป็นของ ด.ด. ให้จำเลยเชา่ ต่อมาด.โอนตึกแถวใหอ้ .แล้วอ.โอนขายใหโ้ จทก์
แม้ด.จะใหค้ ำมัน่ แก่จำเลยวา่ เมือ่ ครบกำหนดตามสญั ญาเช่าแลว้ ด. จะใหจ้ ำเลยเชา่ ตึกแถวต่ออีก 3 ปี คำมั่นดงั กล่าวกไ็ ม่ผกู พนั โจทกซ์ ึ่ง
เป็นบคุ คลภายนอก

ฎกี าท่ี 1765/2517 สญั ญาเช่ามขี อ้ ความวา่ ผูใ้ หเ้ ช่าใหค้ ำมั่นแก่ผเู้ ชา่ ว่า เมือ่ ครบกำหนดระยะเวลาเช่าตามสญั ญา
แล้ว ผ้ใู ห้เช่ายินยอมให้ผู้เชา่ เชา่ ต่อไปอกี 3 ปี ตามเงื่อนไขประเพณที ไี่ ด้กระทำกันในวันทำสัญญานี้ ทงั้ นี้ ผ้เู ช่าต้องแสดงเจตนาเปน็
ลายลักษณ์อักษรแจง้ ใหผ้ ใู้ หเ้ ชา่ ทราบภายในกำหนดหนงึ่ เดอื นนบั แต่วันสญั ญาเชา่ นคี้ รบกำหด ดงั นี้ เปน็ เรือ่ งที่ผใู้ หเ้ ชา่ ใหค้ ำมน่ั ไว้ เม่ือ
ผเู้ ชา่ มหี นงั สือแสดงความจำนงขอทำสญั ญาเช่าต่อภายในกำหนดเวลาเท่ากับผเู้ ชา่ สนองรบั คำมนั่ ของผูใ้ หเ้ ชา่ แล้ว และถือวา่ มีสญั ญา
เชา่ เกดิ ขึ้นใหม่ทนั ทตี ามเง่อื นไขและประเพณที ร่ี ะบไุ ว้ในสญั ญาเช่าฉบบั เดิม โดยไม่ตอ้ งทำสญั ญาเชา่ กันใหม่อกี

ฎีกาท่ี 748/2533 หนังสือสญั ญาเชา่ มีข้อตกลงวา่ ผใู้ หเ้ ชา่ สญั ญาวา่ เมอ่ื ครบกำหนดอายสุ ญั ญานีแ้ ลว้ ผู้ใหเ้ ช่าก็จะให้
ผู้เชา่ ไดเ้ ช่าต่อไปอกี เป็นเวลา 10 ปี ทงั้ นี้ โดยผใู้ หเ้ ชา่ ตกลงยินยอมใหผ้ ู้เชา่ เช่าทด่ี นิ ดงั กลา่ วแล้วในค่าเชา่ เดือนละ 800 บาท โดยผู้เชา่ มิ
ต้องจา่ ยเงนิ เปน็ กอ้ นเพ่มิ เตมิ ข้อตกลงดงั กล่าวเปน็ คำมัน่ ของฝา่ ยผูใ้ ห้เช่าทจ่ี ะใหผ้ เู้ ชา่ เลอื กจะบงั คับผู้ใหเ้ ชา่ ให้ตอ้ งยอมทำสัญญาเชา่
ต่อไปอกี เปน็ เวลา 10 ปหี รอื ไม่ และตามขอ้ ตกลงนมี้ ีผลทำใหผ้ ้ใู ห้เชา่ ตกเป็นฝา่ ยลูกหนที้ ผ่ี เู้ ช่ามีสทิ ธทิ ่ีจะเรียกร้องบงั คบั เอาได้กอ่ นครบ
กำหนดตามสัญญาเช่า ผเู้ ชา่ ได้แจง้ ความจำนงขอเชา่ ต่ออกี 10 ปี ผู้ให้เชา่ จะไม่ยอมใหเ้ ชา่ ไม่ได้

ฎีกาที่ 569/2525 โจทก์ทำสญั ญาเชา่ ทดี่ นิ เพอื่ สรา้ งตึกแถวและอาคารบา้ นเรือน(ตลาดสด) ซง่ึ ตามสญั ญาเช่าข้อ 7
ตกึ แถว ฯ ท่โี จทกป์ ลกู สรา้ งข้นึ ให้โจทกม์ ีสิทธใิ หผ้ อู้ น่ื เชา่ ชว่ งไดต้ ามสญั ญาข้อ 2 โดยขอ้ 2 มคี วามว่า ยอมใหโ้ จทก์เชา่ ทีด่ นิ มกี ำหนด 15
ปี เม่อื หมดสญั ญา 15 ปแี ล้ว ถ้าโจทกป์ ระสงคจ์ ะเชา่ ต่อ ใหม้ าทำสญั ญาใหม่ ถ้าไมท่ ำสญั ญาตอ่ โจทกจ์ ะต้องสง่ มอบสถานทีเ่ ชา่ พรอ้ ม
ตึกแถวฯ ให้แกผ่ ู้ใหเ้ ชา่ จนครบถว้ นทกุ อยา่ ง ดงั น้ี มิใชค่ ำม่ันจะใหเ้ ช่า จำเลยหาจำตอ้ งใหโ้ จทก์เช่าทีพ่ พิ าทต่อไปไม่

ฎีกาที่ 563/2540 เม่อื หนังสอื สญั ญาเช่ามไิ ดจ้ ดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจา้ หน้าทจี่ ำเลยจึงฟอ้ งรอ้ งบงั คบั คดีไดเ้ พยี ง 3
ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 538 กำหนดเวลาเชา่ ที่เกินจาก 3 ปี ตามที่ตกลงกนั ไว้ จงึ ไม่มผี ลบงั คับกันต่อไป คำมัน่ ของโจทก์ที่ใหแ้ ก่จำเลยไว้
ตามสญั ญาเช่าขอ้ 2 (ก) ท่ีว่าเม่ือจำเลยเชา่ ครบ 7 ปยี นิ ยอมตอ่ สญั ญาเชา่ ใหจ้ ำเลยอีก 15 ปี ย่อมส้ินผลบงั คบั ไปด้วย ดงั นัน้ จงึ ไมม่ ี
คำมั่นของโจทกท์ ีจ่ ะใหจ้ ำเลยสนองตอ่ ไปอกี

76

77

ฎกี าที่ 8692/2549 ตามหนงั สือสัญญาเชา่ ทดี่ ิน ขอ้ 10 ระบุว่า ก่อนทส่ี ญั ญาฉบบั นี้จะส้ินสุดลงผเู้ ช่าจะต้องแสดง
เจตนาตอ่ ผู้ใหเ้ ชา่ วา่ มีความประสงค์ท่ีจะเชา่ ทรัพย์สนิ ท่ีเชา่ น้ี โดยจะต้องแจง้ ให้ทราบล่วงหน้ากอ่ นสญั ญาน้ีสน้ิ สดุ ลงไม่น้อยกว่า 15
วัน สว่ นคา่ เช่าจะเปน็ อยา่ งใดนั้นใหเ้ ปน็ ไปตามข้อตกลงใหมร่ ะหวา่ งผเู้ ช่ากบั ผูใ้ ห้เชา่ และตามคำมั่นให้เชา่ ท่ดี นิ ข้อ 1 ระบุว่า ผใู้ ห้
คำมั่นตกลงยนิ ยอมให้ผรู้ ับคำมน่ั เช่าทดี่ นิ แปลงดังกลา่ วต่อไปไดอ้ กี ไมเ่ กิน 3 ปี ค่าเชา่ ในอตั ราปลี ะไมต่ ่ำกว่า 50,000 บาท แต่ทง้ั น้ี
ข้ึนอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกจิ ในขณะทำสญั ญาเชา่ นน้ั ดว้ ย แสดงใหเ้ ห็นว่า กอ่ นทจ่ี ะสญั ญาเชา่ ฉบับใหมเ่ กิดขนึ้ นนั้ โจทกแ์ ละจำเลย
จะตอ้ งทำความตกลงกนั ในเร่ืองระยะเวลาการเชา่ และอัตราค่าเช่าเสยี กอ่ น ซง่ึ ระยะเวลาการเช่าและอตั ราคา่ เชา่ น้ันมิได้มีการกำหนด
กนั ไว้อย่างแนน่ อนตายตวั แต่ใหเ้ ปน็ ไปตามความตกลงของโจทก์และจำเลยที่จะเจรจาและทำความตกลงกันอีกชน้ั หนึง่ โดยเฉพาะ
อัตราค่าเชา่ นน้ั โจทกแ์ ละจำเลยตกลงกนั วา่ ให้เป็นไปตามสภาวะทางเศรษฐกจิ ในขณะทำสญั ญาฉบบั ใหม่ ดงั นน้ั การท่จี ำเลยมหี นังสอื
ตอบรับคำมั่นของโจทกภ์ ายในกำหนดเวลาดงั กล่าว กห็ าได้ทำให้มีสญั ญาเชา่ ฉบบั ใหม่เกดิ ขึน้ และมผี ลบังคับตามกฎหมายในทันทีดงั ที่
จำเลยฎีกาไม่ เมอื่ โจทกจ์ ำเลยไมส่ ามารถตกลงกันไดใ้ นเรือ่ งระยะเวลาการเชา่ และอัตราคา่ เชา่ และไมไ่ ด้ทำสัญญาเชา่ ฉบับใหมต่ อ่ กนั
จำเลยจงึ ไม่มสี ิทธิทจ่ี ะอยูใ่ นทดี่ ินท่ีเชา่ อีกต่อไป

ฎีกาท่ี 2160/2518 ข้อสญั ญาว่า ถา้ ครบกำหนดเช่าผู้เชา่ ตอ้ งมาทำสญั ญาใหมใ่ น 7 วนั มิฉะนัน้ ยอมใหเ้ กบ็ ค่าเช่าเปน็
เดือนละ 1,000บาทได้ ดงั น้ี เปน็ แตใ่ ห้โอกาสทำสัญญาใหม่ แมผ้ ู้เช่าขอทำสญั ญาใหมใ่ น 7 วนั ก็ยงั ไมเ่ ปน็ สญั ญาผกู พนั ผู้ให้เชา่

ฎกี าท่ี 294/2515 สัญญาเช่าซงึ่ ระบุว่าเมอ่ื ครบกำหนดเวลาตามสัญญาเชา่ แล้วหากผู้เช่าประสงคจ์ ะเชา่ ตอ่ ไป ผใู้ ห้
เชา่ ยนิ ยอมให้ผู้เชา่ เชา่ ต่อไปอีก และค่าเชา่ จะไดต้ กลงกันภายหลงั นน้ั เป็นเพียงผู้ใหเ้ ชา่ ให้โอกาสผู้เช่าท่จี ะตอ่ สญั ญาเช่าได้อกี ในเมื่อตก
ลงคา่ เชา่ กันเรยี บรอ้ ยแลว้ และไมม่ ีพันธะผูกพนั ผูใ้ หเ้ ช่าวา่ จะเรียกร้องคา่ เช่ามากนอ้ ยเพยี งใด เมอ่ื ผูใ้ ห้เช่ากำหนดอตั ราค่าเช่าแลว้ ผูเ้ ชา่
ไมส่ นองรบั ก็เป็นอนั ตกลงคา่ เชา่ กันไมไ่ ด้ สัญญาเช่าตอ่ ไปยอ่ มไมเ่ กิด เมอ่ื ครบกำหนดเวลาเช่าตามสญั ญาเชา่ แล้วและสัญญาเชา่ ตอ่ ไป
ไมเ่ กิด เพราะตกลงอตั ราคา่ เชา่ กนั ไม่ได้ผใู้ ห้เช่ายอ่ มมสี ทิ ธิบอกเลกิ สญั ญาเชา่ กบั ผเู้ ชา่ ได้ และถอื ไม่ไดว้ า่ ผูใ้ ห้เชา่ ใชส้ ทิ ธโิ ดยไมส่ จุ รติ

ฎีกาท่ี 3263/2535 หนงั สอื สัญญาเชา่ สถานท่รี ะบุว่า ถา้ ผรู้ ับมอบหรอื ผูเ้ ชา่ มไิ ด้ประพฤติผดิ สญั ญา ผ้มู อบหรอื ผู้ใหเ้ ช่า
จะได้พจิ ารณาต่ออายสุ ญั ญาใหอ้ กี คราวหน่ึง เปน็ การแสดงความประสงคข์ องคสู่ ญั ญาว่า เม่ือสญั ญาส้ินสดุ ลงผใู้ หเ้ ชา่ จะใชด้ ุลพนิ จิ ตอ่
สญั ญาให้แกผ่ เู้ ชา่ อีกคราวหน่งึ ในเม่ือผูเ้ ช่าไมไ่ ดก้ ระทำผดิ สญั ญาอยา่ งไรก็ดีแม้ผเู้ ช่าจะไมก่ ระทำผิดสญั ญากต็ ามการจะต่ออายสุ ญั ญาให้
อีกหรอื ไม่ยอ่ มเปน็ ดุลพนิ ิจของผ้ใู หเ้ ชา่ สญั ญาดังกลา่ วจงึ มใิ ชค่ ำมนั่ จะใหเ้ ช่า

ฎีกาท่ี 6491/2539 สัญญาเชา่ ระหวา่ งผใู้ ห้เช่าเดมิ กบั จำเลยระบวุ า่ ผ้ใู หเ้ ช่าตกลงใหผ้ เู้ ชา่ ต่อระยะเวลาการเชา่ ไปอีก
หลังจากทส่ี ญั ญาเช่าสน้ิ สดุ ลงแลว้ เปน็ เพยี งขอ้ ตกลงต่างหากนอกเหนือจากสญั ญาเชา่ ซึง่ เป็นบุคคลสิทธิไมใ่ ชเ่ ปน็ ทรัพยสทิ ธิทจี่ ะได้เช่า
ต่อไปคงผูกพนั เฉพาะคสู่ ญั ญาคือผูใ้ หเ้ ชา่ ห้องพพิ าทเดมิ กบั จำเลยเท่าน้ันไมม่ ีผลผูกพนั โจทกว์ ง่ิ เปน็ บคุ คลภายนอกผู้รับโอนกรรมสทิ ธิ์

77

78

ห้องพพิ าทซงึ่ มิไดต้ กลงกับจำเลยในข้อตกลงดงั กลา่ วจำเลยจงึ ไมม่ สี ทิ ธทิ จี่ ะขอใหโ้ จทกต์ อ่ สญั ญาเชา่ ให้อกี เมือ่ สญั ญาเช่าสิน้ สดุ ลงแลว้
โจทกไ์ ม่ประสงคใ์ หจ้ ำเลยอยใู่ นห้องพพิ าทตอ่ ไปจำเลยก็ตอ้ งออกไปจากหอ้ งพิพาทนนั้

ฎกี าท่ี 454/2552 สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกวา่ สัญญาเชา่ ธรรมดาเป็นเพยี งบคุ คลสิทธิท่ีใช้บงั คับกนั ไดเ้ ฉพาะแต่ใน
ระหว่างคสู่ ญั ญา ไม่ผูกพนั โจทก์ซงึ่ เป็นบคุ คลภายนอกผรู้ บั โอนทีด่ นิ พิพาท เว้นแตโ่ จทกผ์ ูร้ ับโอนทดี่ นิ พพิ าทจะไดต้ กลงยนิ ยอมผกู พนั ที่
จะปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาตา่ งตอบแทนย่งิ กวา่ สัญญาเชา่ ธรรมดาแทนผู้ใหเ้ ชา่ เดิม ขอ้ เท็จจรงิ ไดค้ วามว่าโจทกไ์ มไ่ ดต้ กลงยินยอมทจี่ ะผกู พนั
ตามสญั ญาตา่ งตอบแทนยง่ิ กวา่ การเชา่ ธรรมดา แม้โจทกจ์ ะทราบว่ามีสัญญาต่างตอบแทนยง่ิ กว่าการเชา่ ธรรมดาระหวา่ งจำเลยกับ
บริษัท ม. ในขณะรับโอนทดี่ ินพพิ าท สญั ญาต่างตอบแทนยงิ่ กว่าการเช่าธรรมดาก็ไม่ผูกพันโจทก์ และไม่ถือวา่ โจทก์รบั โอนทีด่ ินพพิ าท
โดยไมส่ ุจรติ

ฎกี าท่ี 7735/2555 ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม นอกจะบญั ญตั ิใหก้ ารซ้อื ขายสงั หารมิ ทรพั ย์ซง่ึ ตกลง
กันเป็นราคาสองหม่นื บาทหรือกวา่ นน้ั ขน้ึ ไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสอื อย่างหนงึ่ อยา่ งใดลงลายมอื ช่ือฝา่ ยผตู้ ้องรับผดิ เป็นสำคญั จงึ จะ
ฟอ้ งร้องให้บงั คบั คดีกนั ได้แล้ว ยงั ไดบ้ ญั ญัตอิ ีกวา่ "...หรือไดว้ างประจำไว้ หรอื ได้ชำระหนบ้ี างสว่ นแล้ว..." ก็ย่อมฟอ้ งรอ้ งใหบ้ งั คบั คดไี ด้
เช่นกัน คดีนขี้ อ้ เท็จจรงิ ได้ความวา่ ในการซ้ือขายตน้ ออ้ ย โจทกแ์ ละจำเลยไมไ่ ด้ทำหนงั สอื สญั ญาซอ้ื ขายหรือมหี ลักฐานการซอ้ื ขายเป็น
หนังสือ ลงลายมือชอื่ ฝา่ ยโจทกห์ รือจำเลยผ้ตู ้องรับผดิ ไวเ้ ปน็ สำคัญ แต่ในวนั ทตี่ กลงซ้ือขายกัน โจทก์ได้สง่ มอบกรรมสิทธต์ิ น้ ออ้ ยใหแ้ ก่
จำเลยและจำเลยเขา้ ไปตดั ตน้ ออ้ ยของโจทก์ไปขายใหแ้ ก่โรงงานน้ำตาล อันถือไดว้ า่ โจทก์ชำระหนีต้ ามสญั ญาซ้ือขายคือสง่ มอบตน้ ออ้ ย
ให้จำเลยแลว้ โจทกย์ ่อมมีสทิ ธทิ ่จี ะฟ้องรอ้ งบังคบั ให้จำเลยชำระราคาต้นออ้ ยไดต้ ามบทบญั ญตั ิของกฎหมายดังกลา่ ว

ฎีกาท่ี 2224/2553 ใบรับเงนิ มขี อ้ ความว่า "จำเลยตกลงจะขายทดี่ ินใหโ้ จทก์ โดยมีเงอื่ นไขการชำระเงนิ เปน็ เวลา 2 ปี
และในวนั น้ีโจทก์ไดช้ ำระเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท ดว้ ยเชค็ สว่ นทเี่ หลอื จะชำระตามเง่อื นไขสัญญาจะซื้อจะขายทที่ ง้ั สองฝ่าย
จดั ทำขึน้ ภายใน 30 วัน" เหน็ ไดว้ ่า ใบรับเงินเปน็ เพยี งหลกั ฐานการรบั เงนิ มดั จำทโ่ี จทกช์ ำระแก่จำเลยเทา่ นนั้ หลงั จากนั้นโจทกก์ บั
จำเลยจะต้องทำสญั ญาจะซื้อจะขายซง่ึ จะไดจ้ ดั ทำขนึ้ ภายหลงั ภายใน 30 วัน ตามเงือ่ นไขทตี่ กลงกัน แสดงใหเ้ ห็นวา่ โจทกจ์ ำเลยมี
เจตนาจะทำสญั ญาจะซ้อื จะขายเปน็ หนงั สือกนั อีก กรณจี งึ ตอ้ งดว้ ยบทบญั ญตั ิ ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง ทบ่ี ัญญตั ิวา่ "ถา้ ไดต้ กลง
กันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนน้ั จะต้องทำเป็นหนงั สอื ไซร้ เมอ่ื กรณเี ป็นทสี่ งสยั ทา่ นนบั ว่ายงั มไิ ดม้ ีสัญญาตอ่ กันจนกวา่ จะได้ทำขึน้ เปน็
หนังสือ" ดังนั้น เม่อื โจทก์และจำเลยยงั มไิ ด้ทำสญั ญาจะซื้อจะขายกนั เป็นหนงั สอื สัญญาจะซื้อจะขายระหวา่ งโจทกก์ ับจำเลยจึงไม่
เกดิ ขึ้น เงินมดั จำที่จำเลยรับไวจ้ งึ เปน็ การรบั ไวโ้ ดยปราศจากมลู อนั จะอ้างกฎหมายได้ จำเลยไมม่ สี ิทธิริบมดั จำจงึ ตอ้ งคนื ให้โจทกฐ์ าน
ลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406

78

79

ฎีกาที่ 3801/2555 สัญญาเช่ามคี ำมนั่ ว่ากอ่ นครบสญั ญาเชา่ โจทกแ์ ละจำเลยจะปรบั เปลย่ี นค่าเชา่ หรือระยะเวลาเชา่
ในอัตราทเ่ี ป็นธรรม ดงั ทปี่ ฏบิ ตั ิมาเป็นปกตปิ ระเพณี ขอ้ ความดงั กล่าวไม่มีรายละเอียดชดั เจนเกยี่ วกบั คา่ เชา่ หรอื ระยะเวลาเช่าท่ี
แน่นอนอนั เป็นสาระสำคัญของสัญญาเช่า จงึ ยงั ไม่เข้าลกั ษณะคำม่นั จะใหเ้ ชา่ ซง่ึ เม่ือจำเลยเพิกเฉยไม่สนองรับคำเสนอท่ีโจทก์แจง้ ไป
ถอื ว่าคำเสนอของโจทกต์ กไป สญั ญาเชา่ จงึ ไมเ่ กิดขน้ึ กรณีถือไดว้ า่ จำเลยไมไ่ ด้กระทำการอันเปน็ การโตแ้ ยง้ สทิ ธหิ น้าทขี่ องโจทก์ ท่โี จทก์
จะบังคบั ใหจ้ ำเลยทำสญั ญาเชา่ ฉบบั ใหมก่ ับโจทกต์ าม ป.ว.ิ พ. มาตรา 55 โจทกไ์ มม่ อี ำนาจฟ้องจำเลย

ฎีกาที่ 1990/2552 โจทก์ซอื้ ตกึ แถวพพิ าทมาจาก ป. โดยมจี ำเลยเช่าตึกแถวดงั กลา่ วจาก ป. อยู่ก่อนแล้ว โดยจำเลย
ชำระเงนิ ประกนั ความเสยี หายจากการเช่าให้ ป. ใช้จำนวนหน่งึ เงนิ ประกนั การเช่านเี้ ปน็ เงนิ ประกนั ความเสยี หายทเี่ กิดขน้ึ จากขอ้ ตกลง
ระหว่างจำเลยผเู้ ชา่ และผใู้ หเ้ ชา่ เดิม แม้ระบไุ วใ้ นสญั ญาเชา่ ก็เปน็ เพียงสทิ ธิและหนา้ ท่ีอ่นื ตามสญั ญาเชา่ ทงั้ ไมใ่ ช่หน้าที่และความรับผิด
ระหวา่ งผูใ้ หเ้ ช่ากับผเู้ ชา่ ตามที่ ป.พ.พ. กำหนดไวจ้ งึ ไม่ใชส่ ิทธแิ ละหน้าที่ท่ีเปน็ สาระสำคัญเกย่ี วกบั สญั ญาเชา่ กรณีไมใ่ ชส่ ิทธิและหนา้ ท่ี
ของผโู้ อนซ่ึงมตี อ่ ผเู้ ชา่ ทีผ่ ู้รบั โอนจะตอ้ งรบั ไป ดงั ทีบ่ ญั ญตั ไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 569 วรรคสอง การคืนเงนิ ประกันการเชา่ จงึ ไม่ใช่หน้าท่ี
ตามสญั ญาเช่าทโี่ จทก์ในฐานะผ้รู ับโอนจะต้องรบั ผดิ และปฏบิ ตั ติ าม เม่ือโจทก์ไมต่ อ้ งรบั ผดิ คืนเงินประกนั การเช่าศาลอทุ ธรณ์จงึ ไม่มสี ิทธิ
นำเงินประกนั การเชา่ จำนวน 72,000 บาท มาหกั จากคา่ เสียหายทจี่ ำเลยคา้ งชำระค่าเช่าโจทกไ์ ด้

ฎีกาท่ี 1834/2554 โจทก์ทำสญั ญาขายทดี่ นิ และจดทะเบยี นโอนกรรมสิทธทิ์ ดี่ นิ พพิ าทท้งั 21 แปลง ใหแ้ ก่ ป. เม่อื ปี
2532 กรรมสทิ ธใิ์ นท่ดี ินพิพาทยอ่ มตกไปเปน็ ของ ป. ผซู้ อ้ื ตงั้ แตข่ ณะเม่อื ได้ทำสญั ญาซ้อื ขายและจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทตี่ าม
นัย ป.พ.พ. มาตรา 453 และมาตรา 456 แม้ ป. ผูซ้ อ้ื ยงั ไมช่ ำระราคาให้แกโ่ จทก์ผ้ขู าย แต่การชำระราคามิใชเ่ ง่ือนไขแหง่ การโอน
กรรมสิทธิ์ในทีด่ ิน การชำระราคาอาจเกดิ ข้ึนก่อนหรอื หลังเวลาโอนกรรมสทิ ธ์กิ ็ยอ่ มทำได้ตามแตค่ ูส่ ญั ญาจะตกลงกัน ดงั นน้ั สญั ญาซอื้
ขายและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธท์ิ ่ีดินพพิ าทระหว่างโจทกก์ บั ป. จงึ มีผลสมบรู ณเ์ สร็จเดด็ ขาด และทด่ี นิ พิพาทย่อมตกเป็น
กรรมสิทธขิ์ อง ป. มใิ ช่เปน็ ที่ดินของโจทก์อกี ต่อไป โจทก์จงึ ไมม่ ีอำนาจฟ้องบงั คับใหท้ ายาทและผ้จู ดั การมรดกของ ส. ผูร้ ับโอน
กรรมสิทธิท์ ดี่ นิ พิพาทต่อมาภายหลงั คนื ทด่ี นิ พิพาทใหแ้ กโ่ จทก์ได้

ฎีกาที่ 725/2554 จำเลยทำสญั ญาเชา่ อาคารพพิ าทกับโจทกเ์ ม่อื วนั ที่ 25 กุมภาพนั ธ์ 2545 ขณะทำสญั ญาเชา่
โจทก์เปน็ เจา้ ของกรรมสิทธ์ิทด่ี ินและอาคารพพิ าท โจทก์จึงมสี ิทธใิ ห้จำเลยเช่าอาคารพิพาท การท่ีโจทก์จำนองทด่ี ินและอาคารพพิ าท
แกธ่ นาคารและถูกธนาคารดังกลา่ วฟ้องบังคับจำนองกเ็ ป็นเรือ่ งระหวา่ งโจทก์กบั ธนาคาร หามีผลกระทบสทิ ธิตามสัญญาเช่าระหวา่ ง
โจทกก์ ับจำเลยไม่

แมต้ ามสญั ญาเชา่ จะระบุว่าเมื่อครบกำหนดอายสุ ญั ญาเชา่ การท่ีผู้เชา่ ยังคงครอบครองสถานที่
เชา่ โดยผใู้ หเ้ ชา่ มไิ ดท้ ักทว้ ง มใิ หถ้ อื ว่าสญั ญาเชา่ ได้ขยายกำหนดอายเุ วลาการเช่าออกไป การตอ่ อายสุ ญั ญาเชา่ ใหก้ ระทำเปน็ หนงั สอื
โดยคสู่ ญั ญาโดยแจง้ ชดั ก็ตาม แตก่ ารทจี่ ำเลยเบิกความยอมรับวา่ ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเชา่ จำเลยติดตอ่ ขอทำสญั ญาเชา่ กบั โจทก์
ต่อไปเพื่อต้องการทำสญั ญาเช่าฉบบั ใหม่ โจทกไ์ มย่ อมตอ่ สญั ญาเชา่ ใหแ้ ก่จำเลย แตใ่ หท้ นายโจทกท์ วงถามคา่ เชา่ จากจำเลย ส่วนโจทก์

79

80

เบกิ ความวา่ เหตทุ ไี่ มม่ กี ารทำสญั ญาเช่าภายหลงั ครบกำหนดเวลาเชา่ เนอื่ งจากโจทกต์ ิดต่อใหจ้ ำเลยมาทำสญั ญาเชา่ แล้ว แตจ่ ำเลยไม่
ยอมทำสญั ญาเช่าและได้ทวงถามใหจ้ ำเลยชำระคา่ เช่าอนั เป็นการแสดงวา่ ทง้ั โจทก์และจำเลยประสงค์ทำสญั ญาเชา่ ตอ่ ไป โดยไมใ่ ช้สทิ ธิ
ให้ทำสญั ญาเช่าเปน็ หนังสอื จงึ ถือวา่ โจทกแ์ ละจำเลยเป็นอันได้ทำสัญญาใหมต่ อ่ ไปโดยไมม่ กี ำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 570 แลว้
จำเลยจงึ ต้องชำระคา่ เชา่ ใหแ้ กโ่ จทก์

ฎีกาที่ 12753/2555 การโอนสทิ ธกิ ารเชา่ ทด่ี นิ พิพาทท่ีจำเลยเชา่ ชว่ งระหวา่ ง ว. ผู้ใหเ้ ช่าและห้างหุน้ ส่วนจำกดั อ. ผู้เชา่
หรือผู้โอนสทิ ธกิ ับโจทก์ผรู้ ับโอนสทิ ธิ เมอื่ ทำเปน็ หนังสอื และจดทะเบียนตอ่ เจา้ พนักงานทด่ี ินแล้ว การโอนสทิ ธยิ ่อมสมบรู ณ์ โจทก์จงึ
เปน็ ผูร้ ับโอนสทิ ธิโดยชอบ และการทโ่ี จทกบ์ อกกล่าวการโอนสทิ ธิดังกลา่ วให้จำเลยซงึ่ เปน็ ลกู หน้ีทราบเป็นหนงั สือแลว้ โจทกจ์ งึ ยกการ
รับโอนสทิ ธิดงั กลา่ วเป็นข้อตอ่ สู้และเรียกคา่ เชา่ ช่วง ทจี่ ำเลยค้างชำระจากจำเลยไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหน่งึ

ฎีกาที่ 44/2553 ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 569 โจทก์ซงึ่ เปน็ ผูร้ ับโอนกรรมสทิ ธิท์ รพั ย์สินท่ี

เชา่ จากจำเลยผใู้ ห้เชา่ มสี ิทธไิ ด้รบั เงนิ คา่ เชา่ ทผ่ี ้เู ช่าตอ้ งชำระหลงั จากโอนกรรมสิทธแ์ิ ละเงนิ ประกันความเสยี หายทผ่ี ู้เชา่ ชำระให้แก่

จำเลยไวต้ ้ังแต่วันทำสญั ญาเชา่ ดงั น้นั จำเลยจึงไม่มสี ิทธไิ ด้รับหรอื ยึดถือเงินดงั กล่าวไว้ แมต้ อ่ มาโจทก์ไดบ้ อกเลกิ สญั ญาเชา่ กับผเู้ ชา่ ก็

ตาม

ฎีกาที่ 7460/2556 การต่อเติมและซอ่ มแซมสงิ่ ปลูกสร้างซงึ่ ชำรดุ ทรดุ โทรมให้เหมาะแก่การอยอู่ าศัยโดยปลอดภยั
ไมไ่ ด้เปน็ การก่อสรา้ งขน้ึ ใหม่ เม่อื คำนึงถงึ ค่าแรงและค่าวสั ดุก่อสร้างทใ่ี ชแ้ ล้วไม่ใชเ่ ป็นการซ่อมแซมใหญ่ การทจ่ี ำเลยปรบั ปรุงสงิ่ ปลูก
สรา้ งจงึ เปน็ การกระทำขึ้นเพือ่ ความสะดวกสบายและความปลอดภยั ในการใชส้ อยทรัพย์สนิ ทเี่ ชา่ จากโจทก์รว่ ม ไม่มีลกั ษณะเป็นสัญญา
ตา่ งตอบแทนพเิ ศษยงิ่ กวา่ การเช่าธรรมดาทจี่ ะทำใหจ้ ำเลยมสี ทิ ธยิ ่งิ ไปกวา่ การเช่าไดเ้ มอ่ื โจทกร์ ว่ มผใู้ หเ้ ช่าและโจทกผ์ รู้ บั โอนทรพั ย์สนิ ที่
เชา่ ไม่ประสงคใ์ หจ้ ำเลยเชา่ ต่อหลงั จากสญั ญาเชา่ ครบกำหนด โดยมีหนงั สอื แจง้ ให้จำเลยออกจากที่ดนิ และสงิ่ ปลกู สรา้ งพร้อมให้รือ้ ถอน
ส่วนทต่ี ่อเตมิ ออกไปเม่อื ครบกำหนดการเชา่ แลว้ จำเลยจงึ ไม่มีสิทธอิ ยู่ในทด่ี นิ พพิ าท

แมข้ ณะโจทก์รว่ มประสงค์จะขายทด่ี ินได้แจง้ ให้จำเลยทราบโดยใหจ้ ำเลยเป็นผมู้ ีสิทธซิ อ้ื ก่อนก็
เป็นเพยี งการเปดิ โอกาสให้จำเลยในฐานะผู้เช่า ไม่ใชข่ ้อผูกมดั วา่ โจทก์ร่วมต้องปฏิบตั ติ ามทง้ั คำมัน่ ในการซือ้ ขายอสงั หาริมทรพั ย์
กฎหมายบังคบั ใหต้ ้องมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สืออย่างใดอยา่ งหน่ึงลงลายมอื ชื่อฝ่ายผู้ต้องรบั ผดิ หรือไดว้ างประจำไวห้ รอื ได้ชำระหนี้บางส่วน
แล้วจงึ จะฟ้องรอ้ งให้บงั คับคดีไดต้ าม ป.พ.พ.มาตรา 456 วรรคสอง เมอื่ เปน็ คำมนั่ ด้วยวาจาจำเลยย่อมไมอ่ าจบังคบั ใหโ้ จทก์รว่ มโอน
ขายทด่ี ินพพิ าทใหแ้ กจ่ ำเลยได้ แมโ้ จทกท์ ราบข้อตกลงเชน่ ว่านน้ั ก็ถือไม่ไดว้ ่าการโอนขายท่ีดินพพิ าทระหวา่ งโจทก์รว่ มกบั โจทก์เป็นไป
โดยไม่สจุ รติ นติ ิกรรมการซื้อขายจงึ เปน็ ไปโดยชอบ ไมอ่ าจเพกิ ถอนได้

80

81

ฎีกาท่ี 2569/2556 การที่โจทก์จองซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์จากจำเลย 2 แปลง คอื แปลงหมายเลข 1314 และ
1315 โดยวางเงนิ จองไวแ้ ปลงละ 100,000 บาท ยอ่ มถอื ไดว้ ่าเปน็ การใหม้ ดั จำและเป็นหลักฐานวา่ ได้ทำสญั ญากนั แลว้ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 377 แม้ตามใบจองซอ้ื ทด่ี ินพร้อมอาคารพาณชิ ยจ์ ะมขี อ้ ความวา่ ใหท้ ำสญั ญาเป็นหนังสอื ต่อกนั และโจทกจ์ ำเลยยังไมไ่ ดท้ ำก็ตาม
แต่ใบจองดงั กลา่ วระบรุ าคาขายทด่ี นิ พร้อมอาคารพาณชิ ยไ์ ว้ และระบวุ า่ วางเงินจองจำนวน 100,000 บาท กับระบคุ ่าโอนกรรมสทิ ธใ์ิ ห้
จำเลยเป็นผูช้ ำระ ซง่ึ แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์จำเลยวา่ ตกลงจะโอนกรรมสิทธ์ิทดี่ นิ พร้อมอาคารพาณชิ ยก์ นั ต่อไป กรณจี งึ มี
สาระสำคญั ครบถว้ นเป็นสัญญาจะซอื้ จะขายท่ีดินพรอ้ มอาคารพาณชิ ย์ระหวา่ งโจทก์กบั จำเลย ดังน้ัน ใบจองซ้อื ทดี่ ินพร้อมอาคาร
พาณชิ ย์ทงั้ สองแปลงจงึ เปน็ สญั ญาจะซ้อื จะขาย ขอ้ เทจ็ จรงิ ทยี่ กข้ึนอา้ งในฎกี า ถอื ได้วา่ เป็นขอ้ ท่มี ไิ ดย้ กขนึ้ วา่ กันมาแลว้ โดยชอบในศาล
ชนั้ ต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จงึ ต้องหา้ มมิให้ฎกี าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึง่

สญั ญาจะซ้อื จะขายทด่ี นิ พรอ้ มอาคารพาณชิ ย์ระหวา่ งโจทก์จำเลยเปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทน เมอ่ื
หนี้ท่ีต่างต้องชำระมไิ ด้กำหนดเวลาไวแ้ นน่ อน ต่างฝา่ ยย่อมเรยี กใหอ้ ีกฝ่ายหนง่ึ ชำระหนไ้ี ดโ้ ดยพลัน โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควร
บอกกลา่ วใหอ้ กี ฝ่ายชำระหนภี้ ายในระยะเวลาที่กำหนดข้นึ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 ประกอบมาตรา 369 การท่ีจำเลยมีหนงั สอื บอก
กลา่ วนดั โอนกรรมสทิ ธท์ิ ่ดี ินพรอ้ มอาคารพาณิชยแ์ ปลงหมายเลข 1314 โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทกช์ ำระหนี้ แต่โจทก์
เพกิ เฉย จำเลยมสี ทิ ธบิ อกเลิกสญั ญาได้ จำเลยมีสิทธิรบั เงินมดั จำ จำนวน 100,000 บาท ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) ส่วนท่ดี ิน
พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ งแปลงหมายเลข 1315 จำเลยบอกเลกิ สญั ญาโดยมิไดบ้ อกกล่าวใหโ้ จทกช์ ำระหนก้ี ่อนจึงไม่ชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา
387 เมอื่ ทง้ั สองฝา่ ยต่างบอกเลิกสญั ญาตอ่ กนั แม้ไม่มีฝา่ ยใดผิดสญั ญาตามพฤตกิ ารณ์ แสดงใหเ้ ห็นเจตนาของโจทกจ์ ำเลยว่าสมคั รใจที่
จะเลกิ สญั ญาตอ่ กันโดยปรยิ าย สญั ญาจะซ้อื จะขายทดี่ ินพร้อมอาคารพาณชิ ย์แปลงหมายเลข 1315 จงึ ไม่มีผลผกู พนั กันต่อไป กรณีไม่มี
ฝ่ายใดผดิ สญั ญา จำเลยจึงไม่มีสิทธริ บั เงนิ มดั จำจำนวน 100,000 บาท

สำหรบั เงินคา่ ทำสัญญาทโ่ี จทก์ชำระใหแ้ กจ่ ำเลยตามสัญญาจะซอื้ จะขายทด่ี ินพร้อมอาคาร
พาณิชยส์ องแปลง เปน็ เงนิ แปลงละ 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 200,000 บาท นั้น ไมใ่ ชม่ ดั จำ แต่เปน็ การชำระราคาคา่ ท่ีดินพร้อม
อาคารพาณชิ ย์บางสว่ น เมือ่ สัญญาจะซือ้ จะขายเลิกกันแลว้ คู่กรณตี ้องกลับคืนสฐู่ านะเดิม ส่วนเงินทจ่ี ะต้องใชค้ นื แก่กันให้บวกดอกเบยี้
เขา้ ดว้ ยคดิ แตเ่ วลาทไ่ี ดร้ บั ไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหน่งึ และวรรคสอง จำเลยจงึ ตอ้ งคนื เงินมดั จำตามสัญญาจะซ้อื จะขายทีด่ ิน
พรอ้ มอาคารพาณิชยแ์ ปลงหมายเลข 1315 และราคาทด่ี ินพรอ้ มอาคารพาณิชยท์ งั้ สองแปลงบางสว่ นดงั กล่าวที่โจทกช์ ำระใหแ้ กจ่ ำเลย
ไวพ้ ร้อมดอกเบ้ยี ในอัตรารอ้ ยละ 7.5 ต่อปี นับแตว่ ันท่ี 2 เมษายน 2545 อนั เป็นวันที่รบั ไว้เปน็ ตน้ ไป

ฎกี า14959/2556 ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 496 วรรคสอง บญั ญตั ไิ วม้ ใี จความว่า การขยาย
กำหนดเวลาไถ่นัน้ อยา่ งน้อยตอ้ งมหี ลักฐานเปน็ หนังสือลงลายมอื ชอ่ื ผ้รู ับไถ่ เมือ่ พิจารณา จากหนังสอื สญั ญาขายฝากทดี่ นิ เอกสาร
หมาย จ.2 ทีโ่ จทก์และจำเลย จดทะเบยี นตอ่ เจ้าพนกั งานที่ดนิ ระบุว่าหนังสอื สญั ญาขายฝากทดี่ นิ ดงั กลา่ วมกี ำหนดเวลาสามปนี บั แต่วัน
ทำสัญญาคอื วนั ที่ 9 พฤษภาคม 2543 ซงึ่ หมายถงึ โจทก์จ้องชำระเงินค่าสินไถ่ทด่ี นิ ทีข่ ายฝากภายในวนั ท่ี 9 พฤษภาคม 2546 หลังจาก
นนั้ ไม่ปรากฏวา่ มกี ารขายกำหนดเวลา ไถ่โดยทำหลกั ฐานเปน็ หนงั สือลงลายมอื ช่ือจำเลยเป็นผ้รู ับไถไ่ ว้ ดงั น้ัน การชำระเงิน 20,000
บาท และ 200,000 บาท ในวันที่ 1 สงิ หาคม 2543 และวนั ท่ี 17 มกราคม 2547 ตามลำดับ จงึ ถือไม่ไดว้ า่ เป็นการชำระเงนิ ค่าสนิ ไถท่ ี่

81

82

เกิดจากการขยายกำหนดเวลาไถต่ ามบทบญั ญตั แิ แห่งกฎหมายดงั กล่าว แม้จำเลยจะรบั ชำระเงินทงั้ สอง จำนวนดังกล่าวไว้จากโจทก์ก็
ไม่ทำให้โจทกม์ สี ทิ ธิไถท่ ดี่ ินขายฝากคนื จากจำเลยได้

โจทกข์ ำระเงินสนิ ไถแ่ ก่จำเลยเนอ่ื งจากเขา้ ใจว่าโจทกย์ งั มสี ิทธิทจ่ี ะไถท่ ด่ี นิ ทีข่ ายฝากได้ จงึ ไม่ใช่
เปน็ กรณที โ่ี จทก์กระทำการตามอำเภอใจเสมอื นหนง่ึ ว่าเพ่อื ชำระหนโ้ี ดยรอู้ ยแู่ ล้วว่าตนไม่มีความผูกพันทจี่ ะตอ้ งชำระ เม่ือโจทกไ์ ม่มีสทิ ธิ
ไถท่ ่ดี ินทข่ี ายฝากคนื จากจำเลยได้ การทจี่ ำเลยได้รบั เงินจำนวนดังกลา่ วมาจากโจทกจ์ งึ ปราศจากมูลอันจะอา้ งกฎหมายได้และเป็นทาง
โจทก์เสียเปรียบ โดยคำขอทา้ ยฟ้องของโจทกข์ อมา 2 กรณี คือ ขอไถท่ ่ีดนิ คนื และขอสนิ ไถท่ ชี่ ำระเกนิ ไป 148,000 บาท เมอื่ ไดค้ วาม
วา่ โจทกไ์ ม่มสี ทิ ธิไถท่ ดี่ นิ ทข่ี ายฝากคนื จากจำเลยไดเ้ งิน 220,000 บาท ทีโ่ จทก์ชำระไปหลังจากพ้นกำหนดเวลาไถท่ ด่ี นิ แล้ว จงึ ไมใ่ ชเ่ ป็น
เพยี ง ค่าสนิ ไถท่ โ่ี จทกช์ ำระเกนิ ไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ แตเ่ ป็นเงินท่ี จำเลยรบั ไว้โดยปราศจากมลู อนั จะอ้างกฎหมายไดแ้ ละเป็น
ทางใหโ้ จทก์ เสยี เปรียบ กรณจี ึงเป็นเรือ่ งลาภมคิ วรได้ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 406 วรรคหน่ึง

ฎีกาท่ี 13286/2556 ถนนคอนกรีตซ่งึ เปน็ ทางตนั ทผี่ ู้เชา่ ทดี่ นิ ของโจทก์รายอื่นอาจใชก้ ลบั รถได้ ใช้วงิ่ หรอื เดินออกกำลัง
แมจ้ ะใชส้ ัญจรผ่านไปทางอื่นไม่ได้ ถอื ไดว้ ่าเป็นทางสาธารณะ จำเลยปลูกสรา้ งอาคารโดยไม่ได้ขออนุญาตโจทกก์ ่อนตามสัญญาเช่าทดี่ นิ
ข้อ 4 วรรคสอง และไมย่ ่นื แบบขออนุญาตปลูกสร้างต่อองคก์ ารบริหารสว่ นตำบลหรือเทศบาล ทง้ั ยงั ก่อสร้างรุกลำ้ เขา้ ไปในทด่ี นิ โจทก์ที่
เปน็ ถนนซ่ึงใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์เชน่ น้ี จำเลยจงึ เป็นฝ่ายผิดสัญญาเชา่

ขอ้ ความสญั ญาเช่าทดี่ นิ ที่วา่ ผู้เช่ายอมรบั สญั ญาว่าไมค่ รบกำหนดอายสุ ญั ญานี้และผู้เช่าประสงค์
จะเช่าตอ่ ไป ผเู้ ช่าจะไดเ้ สนอขอต่อสญั ญาเชา่ ตอ่ ผู้ใหเ้ ชา่ ภายในกำหนด 60 วนั หากมิไดข้ อต่อสญั ญาภายในกำหนดนีใ้ หถ้ อื ว่า ผเู้ ช่าสละ
สิทธิการเชา่ ตามสญั ญานี้ ผใู้ หเ้ ช่ามอี ำนาจเขา้ จดั การกบั สถานทเี่ ชา่ น้ไี ด้ทกุ ประการ ไมม่ ลี กั ษณะบงั คบั ทีแ่ น่นอนและชดั เจนว่าเมอ่ื ผเู้ ชา่
เสนอจะขอต่อสัญญาเช่าแลว้ มผี ลตอ้ งผูกพนั ผ้ใู หเ้ ช่าต้องรับทำสญั ญาต่อให้ จงึ ไม่มลี ักษณะเปน็ คำมน่ั แต่มีลกั ษณะเป็นเพยี งคำเสนอของ
ผู้เชา่ ฝา่ ยเดยี ว เมอื่ โจทกผ์ ใู้ ห้เชา่ ปฏเิ สธไม่ต่อสญั ญาเช่าให้จะถือว่าโจทก์ผดิ สัญญาไม่ได้

โจทก์มหี นงั สอื แจง้ ให้จำเลยระงับการกอ่ สรา้ ง เพราะจำเลยกอ่ สร้างบา้ นลงในท่ดี นิ ที่เชา่ โดยไมข่ อ
อนญุ าตโจทก์ และยังไมไ่ ดร้ ับอนญุ าตจากองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลหรอื เทศบาล ถือวา่ เป็นการแจง้ ให้ปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาเชา่ กอ่ นแล้ว
เมือ่ จำเลยเพิกเฉยโจทกม์ สี ิทธบิ อกเลกิ สญั ญาเชา่ กบั จำเลยได้ แต่การบอกเลกิ สญั ญาเช่าทด่ี นิ ต้องบอกกลา่ วกอ่ นครบกำหนดเวลาตาม
สัญญาเช่า การที่โจทก์มหี นังสอื บอกเลิกสญั ญาเชา่ ภายหลงั ส้ินกำหนดเวลาเชา่ ท่ไี ดต้ กลงกันไวถ้ อื ไดว้ า่ หนังสอื ดังกล่าวเปน็ หนงั สอื บอก
กล่าวให้จำเลยออกไปจากท่ีดินโจทก์

ฎกี าที่ 359/2526 ขณะโจทก์ซ้อื ที่ดินและตกึ แถวพพิ าทแลว้ แจง้ ใหจ้ ำเลยขนยา้ ยออกไป เปน็ ระยะเวลาทส่ี ัญญาเชา่
เดิมสน้ิ สดุ ลงแล้วและไมม่ กี ารทำสญั ญาใหมโ่ จทกไ์ ม่เคยยินยอมให้เชา่ ตอ่ ไป จงึ ไมม่ นี ติ สิ มั พันธ์ตอ่ กัน แมจ้ ำเลยจะมสี ญั ญาต่างตอบแทน
เป็นพเิ ศษกบั เจา้ ของเดิม สญั ญาน้ีก็ไม่อยภู่ ายใต้บังคบั ป.พ.พ. ม.569 จำเลยไม่มีสิทธิเอาข้อตกลงดังกลา่ วมายกขน้ึ เปน็ ขอ้ ตอ่ สู้กับโจทก์
ได้

82

83

ฎกี าที่ 2940/2526 เมอ่ื สัญญาเชา่ ระหวา่ งจำเลยกับเจา้ ของเดิมสน้ิ กำหนดเวลาเชา่ แลว้ ถงึ หากจำเลยจะมสี ญั ญาตา่ ง
ตอบแทนกับเจา้ ของเดิมยง่ิ กว่าสญั ญาเชา่ ธรรมดา สัญญาน้นั ก็คงผกู พนั เฉพาะคสู่ ญั ญาโจทก์ซ่งึ เป็นผู้รบั โอนกรรมสิทธ์ิหอ้ งพพิ าทคงรับ
โอนมาเฉพาะสทิ ธแิ ละหน้าทข่ี องผโู้ อนซ่ึงมตี ่อผู้เช่าตามสญั ญาเชา่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 569 หาถูกผกู พันตาม
สญั ญาตา่ งตอบแทนพเิ ศษนัน้ ด้วยไม่

ฎีกาที่ 2422/2520 เสยี เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแลว้ ทำสัญญาเช่า 4 ฉบบั ๆ ละ 3 ปี สญั ญาเชา่ สมบูรณ์แค่ 3 ปี ผู้รับ
โอนกรรมสิทธ์ทิ รัพย์ทใี่ ห้เชา่ ไมผ่ กู พันตามสญั ญาตา่ งตอบแทนทจี่ ะใหเ้ ชา่ 12 ปดี ว้ ย แม้จะรูว้ า่ มสี ญั ญาเชา่ อยู่ 4 ฉบับ

ฎกี าท่ี 2123/2522 สัญญาต่างตอบแทนใหส้ รา้ งตึกเช่า 15 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบยี นผู้ให้เชา่ ขายทดี่ นิ โดยผู้ซือ้ บนั ทึก
ยอมรับข้อผกู พันเดิม จงึ มผี ลถงึ สญั ญาตอบแทนท่ชี ำระหนแ้ี กค่ นภายนอกดว้ ย ผู้ซ้ือตอ้ งใหผ้ ู้เชา่ เช่าตอ่ ไปตามสัญญาเดมิ

ฎกี าท่ี 12803/2557 ขอ้ ตกลงระหวา่ งโจทกก์ ับบรษิ ทั ต. ทก่ี ำหนดให้บรษิ ทั ต. ก่อสรา้ งอาคารพาณิชยด์ ้วยสัมภาระ
และคา่ ใชจ้ ่ายของบรษิ ทั ต. แลว้ สง่ มอบใหเ้ ป็นกรรมสทิ ธิ์ของโจทก์ และใหบ้ รษิ ทั ต. มสี ทิ ธิเชา่ มกี ำหนดเวลา 15 ปี หรือจะนำบคุ คลอ่ืน
มาทำสญั ญาเชา่ กบั โจทกก์ ็ได้ โดยบริษทั ต. ต้องชำระคา่ ตอบแทนแกโ่ จทก์เปน็ เงินเท่ากบั คา่ เชา่ ตามที่กำหนดไว้ในสญั ญา หากบริษัท ต.
ผดิ สญั ญายอมให้โจทก์บอกเลิกสัญญาไดท้ นั ทีเช่นนี้ ถอื วา่ มลี ักษณะเปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนพิเศษยง่ิ กวา่ สญั ญาเช่าธรรมดา แต่ใน
สัญญาดงั กล่าว ข้อ 10 ยงั ได้ระบุไวช้ ดั เจนว่าถา้ บริษทั ต. ผดิ สญั ญาขอ้ ใด โจทกม์ ีสทิ ธิบอกเลกิ สญั ญาไดท้ นั ที เมื่อปรากฏวา่ บริษทั ต.
ค้างชำระคา่ เช่าอนั เป็นการผดิ สญั ญาขอ้ 7 โจทก์ผใู้ หเ้ ชา่ จงึ มสี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาได้ การที่จำเลยเชา่ ช่วงอาคารพาณชิ ยพ์ พิ าทจากบรษิ ทั
ต. และเข้าอยูโ่ ดยอาศยั สิทธติ ามสญั ญาทท่ี ำไวแ้ กโ่ จทก์ เม่อื โจทกบ์ อกเลิกสัญญาแกบ่ รษิ ทั ต. โดยชอบแลว้ จำเลยย่อมไม่มสี ิทธอิ ยใู่ น
อาคารพาณิชยพ์ พิ าทอกี ต่อไป การทจี่ ำเลยอยตู่ อ่ มาโดยโจทกไ์ มย่ นิ ยอมจงึ เป็นละเมดิ สิทธิของโจทก์ โจทกจ์ งึ มอี ำนาจฟ้องขบั ไลแ่ ละ
เรยี กคา่ เสียหายจากจำเลยได้

ฎกี าท่ี 19215/2556 ประกาศของจำเลยทจ่ี ัดประมลู ขายท่ีดนิ พรอ้ มทาวนเ์ ฮ้าส์ โดยเชญิ ผสู้ นใจเขา้ รว่ มประมูลมี
รายละเอยี ดทรพั ยส์ นิ ท่ปี ระมูลและมีหลกั เกณฑเ์ ง่ือนไขการประมลู วา่ จำเลยจะนำเสนอราคาประมลู สงู สุดต่อคณะกรรมการบรษิ ทั
จำเลยพจิ ารณาอนุมตั กิ ารขาย ผู้ไดร้ บั อนุมตั ิการขายแลว้ จะตอ้ งชำระเงินมดั จำเพม่ิ อีกรอ้ ยละ 30 ของราคาอนมุ ัตกิ ารขายพรอ้ มท้ังต้อง
ทำหนงั สือสญั ญาจะซ้อื จะขายภายใน 15 วนั นับจากวันแจง้ ผลการอนุมตั ิ จงึ เปน็ เร่อื งทีจ่ ำเลยไดเ้ ชือ้ เชญิ ใหบ้ คุ คลทำคำเสนอโดยการ
เสนอประมลู ราคาไว้ใหแ้ ก่จำเลยซึ่งจำเลยจะต้องนำราคาทโี่ จทกเ์ สนอประมลู ไว้เขา้ สู่การพจิ ารณาของคณะกรรมการของจำเลยเพื่อ
อนุมตั ิการขาย ลกั ษณะเช่นน้จี ึงเป็นคำเสนอโดยมีเงือ่ นไขในการขายทจ่ี ะต้องมคี ณะกรรมการพจิ ารณาอนมุ ตั กิ ารขายอกี ชั้นหน่งึ แล้วจึง
แจ้งผลการอนมุ ัติขาย การแจง้ ผลอนมุ ัติขายนกี้ เ็ ปน็ คำสนองซง่ึ เป็นไปตามเงื่อนไขการประมลู เมือ่ คำเสนอและคำสนองตรงกันแลว้ จึง
ก่อให้เกิดการทำสญั ญาทีจ่ ะตอ้ งทำหนง้ สือจะซื้อจะขายภายในกำหนด 15 วนั โจทกเ์ ขา้ รว่ มประมลู ทรัพยพ์ ิพาทและวางเงินประกนั การ
ย่นื ซองประกวดราคาจำนวน 100,000 บาท เป็นคำเสนอไปยงั จำเลยผู้สนองและจำเลยผ้สู นองบอกปดั ไปยงั โจทกผ์ ู้เสนอแล้วโดยจำเลย

83

84

มไิ ดส้ นองรบั คำเสนอของโจทกเ์ ป็นอันสน้ิ ความผูกพันตาม ป.พ.พ. มาตรา 357 จำเลยไมถ่ กู ผกู พันใหข้ ายทรัพย์พิพาทแกโ่ จทก์ อกี ท้งั
ยงั มขี อ้ ตกลงอีกวา่ จะต้องมีการทำสญั ญาจะซอื้ จะขายกันภายหลงั ทมี่ กี ารสนองรับ จงึ เปน็ การตกลงกนั วา่ สญั ญาอนั มุ่งจะทำนัน้ จะต้อง
ทำเปน็ หนงั สอื เมอื่ กรณเี ปน็ ท่สี งสยั นับวา่ ยงั มิไดม้ ีการทำสญั ญาตอ่ กนั จนกว่าจะได้ทำข้ึนเปน็ หนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง
แม้จำเลยจะออกใบรับเงินจำนวน 100,000 บาทระบวุ า่ เป็นเงนิ มดั จำหรอื เงนิ ประกันค่าขายทรัพย์สินก็ไม่ทำให้เงินน้นั เปน็ เงินมดั จำ
และไม่ผกู พันจำเลยใหต้ อ้ งขายทรัพย์พพิ าทแกโ่ จทก์

ฎกี าท่ี 4778/2558 ป.พ.พ. มาตรา 386 วรรคหนง่ึ บญั ญตั ิวา่ ถา้ คู่สญั ญาฝ่ายหนงึ่ มสี ิทธิเลกิ สญั ญา โดยข้อสญั ญา
หรอื โดยบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายการเลกิ สญั ญาน้นั ยอ่ มทำดว้ ยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหน่งึ จากบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายดังกล่าว กำหนด
สิทธิในการเลิกสญั ญาไว้ 2ประการ คือ โดยข้อสญั ญาหรอื โดยกฎหมาย ใหอ้ ำนาจไว้

เม่อื สัญญาเชา่ บ้านไม่มขี ้อความตอนใดท่รี ะบุใหโ้ จทก์ซ่งึ เป็นผเู้ ชา่ มสี ทิ ธบิ อกเลิกสญั ญาได้ โจทกจ์ ึง
ไม่มีสิทธิบอกเลกิ สญั ญาเช่าก่อนสัญญาเชา่ ถงึ กำหนดโดยข้อสญั ญาได้ โจทกจ์ งึ ต้องอาศยั สิทธิการบอกเลิกสญั ญาโดยบทบญั ญตั แิ ห่ง
กฎหมาย ซง่ึ ข้อเทจ็ จรงิ ยตุ แิ ลว้ ว่าจำเลยมิไดเ้ ป็นฝา่ ยผดิ สญั ญา แมโ้ จทกจ์ ะขนยา้ ยทรัพยส์ นิ และออกไปจากบ้านเชา่ พรอ้ มกับทำหนงั สือ
แจง้ ใหโ้ จทก์ทราบก็มิใช่เป็นการบอกเลิกสญั ญาเช่าบา้ น โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ไมม่ ีสทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาเชา่ บ้านกับจำเลย
ได้ ทงั้ ไมป่ รากฎว่า จำเลยยอมตกลงเลิกสญั ญาเชา่ บ้านกับโจทก โจทกจ์ ึงไมอ่ าจใช้สิทธิบอกเลกิ สญั ญาเชา่ บา้ นแต่เพยี งฝ่ายเดยี ว สัญญา
เชา่ บ้านระหว่างโจทกก์ ับจำเลยยงั คง มผี ลผกู พันคสู้ ญั ญา จำเลยจึงไม่จำต้องคืนเงินดงั กล่าว อนั เป็นค่าเชา่ ลว่ งหน้าสว่ นทีเ่ หลือให้โจทก์

ฎีกาท่ี 14959/2556 หนงั สอื สัญญาขายฝากทดี่ นิ มีกำหนดเวลา 3 ปีนับแต่วนั ทำสัญญาคือวันท่ี 9 พฤษภาคม 2543
โจทก์ต้องชำระเงนิ คา่ สนิ ไถท่ ดี่ ินทข่ี ายฝากภายในวันท่ี 9 พฤษภาคม 2546 หลงั จากนั้นไมป่ รากฏว่ามีการขยายกำหนดเวลาไถโ่ ดยทำ
หลักฐานเปน็ หนงั สือลงลายมอื ชอ่ื จำเลยเปน็ ผรู้ ับไถไ่ ว้ การชำระเงนิ ในวันท่ี 1 สงิ หาคม 2546 และวนั ที่ 17 มกราคม 2547 ตามลำดบั
ถอื ไม่ได้ว่าเปน็ การชำระเงนิ ค่าสนิ ไถท่ ่เี กิดจากการขยายกำหนดเวลาไถต่ ามมาตรา 496 วรรคสอง แมจ้ ำเลยจะรับชำระเงนิ ไว้จากโจทก์
ก็ไม่ทำใหโ้ จทกม์ สี ิทธไิ ถ่ทด่ี นิ ทีข่ ายฝากคืนจากจำเลยได้ โจทก์ชำระเงินสนิ ไถแ่ กจ่ ำเลยเนื่องจากเขา้ ใจว่าโจทก์ยงั มีสทิ ธทิ ่จี ะไถ่ทดี่ ินที่
ขายฝากได้ ไมใ่ ชก่ รณที ี่โจทก์กระทำการตามอำเภอใจเสมอื นหนง่ึ ว่าเพอ่ื ชำระหนีโ้ ดยรอู้ ย่แู ลว้ ว่าตนไม่มีความผูกพันทจ่ี ะตอ้ งชำระ เม่ือ
โจทกไ์ ม่มสี ิทธิไถ่ทดี่ ินทข่ี ายฝากคนื จากจำเลย การท่จี ำเลยได้รบั เงนิ จากโจทก์จงึ ปราศจากมูลอันจะอ้างตามกฎหมายได้และเปน็ ทางให้
โจทกเ์ สยี เปรียบโดยคำขอทา้ ยฟ้องของโจทกข์ อมา 2 กรณี คอื ขอไถ่ทดี่ นิ คืนและขอสินไถท่ ่ชี ำระเกินไป 148,000 บาท เม่ือโจทก์ไม่มี
สิทธิไถท่ ีด่ นิ ทขี่ ายฝากคืนจากจำเลยได้ เงิน 220,000 บาททโ่ี จทกช์ ำระไปหลงั จากพน้ กำหนดเวลาไถท่ ด่ี ินแล้ว จงึ ไมใ่ ช่เปน็ เพียงค่าสิน
ไถท่ ี่โจทกช์ ำระเกินไปตามคำขอทา้ ยฟ้องของโจทก์แต่เป็นเงินที่จำเลยรบั ไวโ้ ดยปราศจากมูลอนั จะอา้ งกฎหมายไดแ้ ละเปน็ ทางใหโ้ จทก์
เสยี เปรียบจงึ เป็นเรื่องลาภมิควรได้ตามมาตรา 406 วรรคหนง่ึ จำเลยต้องคนื เงนิ จำนวนดังกลา่ วแก่โจทกพ์ รอ้ มดอกเบีย้ ตามกฎหมาย
มิใช่เร่ืองเกินคำขอ

84

85

ฎกี าที่ 703-704/2557 สัญญาเชา่ กำหนดระยะเวลาการเชา่ เพยี ง 3 ปี และมขี ้อตกลงเรอ่ื งการต่อสญั ญาไว้ในข้อ 10 วา่ ผู้
เชา่ มสี ิทธขิ อตอ่ อายสุ ญั ญาเชา่ ได้อีก 1 ชว่ ง คือตอ่ อีก 3 ปี แตท่ ง้ั นจ้ี ะตอ้ งเป็นไปตามเง่อื นไขและอตั ราคา่ เชา่ ซงึ่ ผู้ใหเ้ ชา่ และผเู้ ชา่ ได้ทำ
ความตกลงรว่ มกัน และโดยท่ีผเู้ ช่าจะตอ้ งมีหนงั สือบอกกล่าวแจง้ ความประสงคเ์ ช่นว่าน้นั ใหผ้ ู้ใหเ้ ชา่ ทราบล่วงหนา้ ไม่นอ้ ยกวา่ 90 วัน
กอ่ นวนั ครบกำหนดอายกุ ารเช่าตามสญั ญานี้ ทง้ั นีอ้ ัตราค่าเช่าใหมจ่ ะตอ้ งไม่ต่ำกวา่ อตั ราคา่ เชา่ เดิมทก่ี ำหนดไว้ในสญั ญานี้ ไม่มขี อ้ ความ
บง่ บอกวา่ มขี ้อตกลงพเิ ศษทีจ่ ำเลยใหโ้ จทกเ์ ชา่ ไปจนกว่าจดุ ประสงคจ์ ะเลกิ เอง และตามสญั ญาเชา่ นี้นอกจากผลประโยชน์ทีจ่ ำเลยจะ
ได้รบั จากโจทก์เปน็ ค่าเชา่ ตามทกี่ ำหนดไวแ้ ลว้ จำเลยไมไ่ ดร้ บั ผลประโยชน์อื่นใดจากโจทกอ์ กี สว่ นทโ่ี จทก์ใชเ้ งินลงทนุ ไปกวา่
3,000,000 บาท ทำใหร้ ้านคา้ ของโจทกเ์ ป็นรา้ นค้าที่ทนั สมยั ลูกคา้ ทม่ี าใช้บรกิ ารในโรงพยาบาลของจำเลยได้รับความพึงพอใจ ชว่ ยให้
โรงพยาบาลของจำเลยเจริญรดุ หน้านน้ั สง่ิ ที่โจทยล์ งทนุ ไปเปน็ การกระทำเพ่ือประโยชน์ในทางธุรกจิ ของโจทกเ์ อง หากลูกคา้ มคี วามพึง
พอใจจดกย็ อ่ มไดร้ ับผลประโยชน์ในทางธุรกิจมากขน้ึ ไม่ได้เกี่ยวขอ้ งโดยตรงหรอื จะมสี ่วนสำคญั ท่จี ะทำให้กจิ การของจำเลยซงึ่ เปน็ การ
ประกอบกจิ การโรงพยาบาลเจรญิ รดุ หน้าแต่อยา่ งใดสญั ญาเชา่ พน้ื ทพี่ ิพาทระหวา่ งโจทก์กับจำเลยจึงไม่มลี กั ษณะเป็นสัญญาตา่ งตอบ
แทนพิเศษยง่ิ กว่าสญั ญาเชา่ ธรรมดา

ฎีกาที่ 622/2557 การท่โี จทก์เชา่ ทด่ี นิ และอาคารจากจำเลย นอกจากคา่ เช่าทด่ี ินและอาคารตามปกตแิ ล้วยงั มี
ขอ้ ตกลงใหโ้ จทกช์ ำระเงนิ ค่าตอบแทนพเิ ศษแก่จำเลยเป็นเงินสูงถงึ 2,100,000 บาท เพ่อื แลกกบั การที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์
ในทด่ี นิ และอาคารเปน็ เวลา 27 ปี 3 เดือน 17 วนั อกี ทง้ั ตามสญั ญาเช่าทดี่ นิ และอาคารกับหนังสือรับมอบทด่ี ินและอาคารยงั มขี ้อความ
กล่าวถึงเร่อื งการกอ่ สรา้ งอาคารทเี่ ช่าวา่ ยงั ต้องมีการก่อสรา้ งอาคารกันต่อไป โดยหากก่อสรา้ งอาคารเสร็จก่อนโจทก์ผ่อนชำระเงิน
คา่ ตอบแทนพิเศษหมด โจทกจ์ ะต้องชำระเงินคา่ ตอบแทนพิเศษส่วนทเ่ี หลือใหแ้ ก่จำเลยในวนั จดทะเบยี นการเชา่ ทดี่ นิ และอาคาร
ขอ้ ตกลงสว่ นน้เี ป็นสัญญาตา่ งตอบแทนทีเ่ พม่ิ เขา้ มาในสญั ญาเชา่ เพอื่ ประโยชน์แกค่ ูส่ ญั ญาทงั้ สองฝ่าย ดังนัน้ สญั ญาเชา่ ทดี่ นิ และอาคาร
ระหว่างโจทก์กับจำเลยจงึ เป็นสัญญาตา่ งตอบแทนยง่ิ กว่าการเชา่ ธรรมดา ถึงแมจ้ ะยงั ไมไ่ ด้มีการจดทะเบียนการเชา่ ทด่ี ินและอาคาร แต่
ในระหวา่ งโจทกก์ บั จำเลยยอ่ มมีผลผกู พนั บงั คบั กนั ได้ กล่าวคอื โจทก์มสี ทิ ธิท่ีจะครอบครองใชส้ อยทำประโยชน์จนครบกำหนด
ระยะเวลาการเชา่ ตามสัญญา และจำเลยมีสิทธิไดร้ บั เงินค่าตอบแทนพิเศษทงั้ หมดและค่าเชา่ รายเดอื นจากโจทก์นับแตว่ นั ทำสญั ญาจน
ครบกำหนดระยะเวลาการเชา่ เชน่ กนั เวน้ แตโ่ จทก์กับจำเลยจะได้ตกลงกนั เป็นอยา่ งอน่ื ในภายหลงั

ฎีกาท่ี 10514 - 10515/2558 จำเลยรว่ มถกู หมายเรยี กเขา้ มาในคดตี ามคำรอ้ งของจำเลยที่ 1 โดยศาลชัน้ ต้นเห็นวา่
จำเลยท่ี 1 อาจฟ้องจำเลยรว่ มเพ่ือการใช้สทิ ธไิ ล่เบยี้ หรอื เพอื่ ใชค้ า่ ทดแทนอันเป็นกรณรี อ้ งสอดตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 57 (3) ซงึ่ ตาม
มาตรา 58 ให้ผู้ร้องสอดท่ีไดเ้ ขา้ เป็นคคู่ วามตามมาตรา 57 (3) มสี ิทธเิ สมอื นหนึ่งวา่ ตนไดฟ้ ้องหรอื ถกู ฟ้องเป็นคดเี รอ่ื งใหมแ่ ละอาจนำ
พยานหลกั ฐานใหมม่ าแสดง อาจอทุ ธรณ์ฎกี าคำพพิ ากษาหรือคำสงั่ ของศาลตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิไว้ และอาจไดร้ ับหรอื ถูกบงั คบั ให้ใช้
ค่าฤชาธรรมเนียม ดงั นัน้ แม้จำเลยที่ 1 จะขาดนัดยนื่ คำใหก้ าร กห็ าหมดสทิ ธิท่จี ะขอศาลหมายเรยี กจำเลยร่วมเขา้ มาในคดี ทงั้ จำเลยที่
1 ยนื่ คำร้องขอมาถกู ตอ้ งในระหว่างพจิ ารณาคดี จำเลยรว่ มจงึ มสี ิทธิเขา้ มาเปน็ คคู่ วามได้ คำสง่ั ศาลชนั้ ต้นท่ีใหเ้ รยี กจำเลยร่วมเขา้ มา
เปน็ คู่ความชอบแลว้

85

86

ฎีกาท่ี 120/2559 ตามหนงั สอื สญั ญาขายฝากที่ดินท่ีจดทะเบยี นต่อพนกั งานเจ้าหนา้ ที่ ระบุวา่ จำเลยขายฝากเฉพาะ
ท่ดี ินไมเ่ กี่ยวกบั สง่ิ ปลกู สร้างเลขที่ 252 ด้วย ซง่ึ ตอ้ งแปลความวา่ ไมร่ วมบา้ นไม่มเี ลขทบี่ า้ นดว้ ย เพราะฉะนั้นการขายฝากสมบูรณ์
เฉพาะทด่ี นิ เทา่ น้นั แมโ้ จทก์จะอา้ งวา่ โจทกก์ บั จำเลยตกลงขายฝากท่ีดนิ พรอ้ มบา้ น 2 หลงั คือบ้านเลขท่ี 252 กบั บา้ นที่ไมม่ เี ลขทบี่ ้าน
อกี 1 หลงั แตพ่ นกั งานเจา้ หน้าทแ่ี จ้งวา่ จดทะเบยี นขายฝากบา้ น 2 หลัง ดงั กล่าวด้วยไม่ไดเ้ พราะต้องประเมนิ ราคาจึงจดทะเบยี นขาย
ฝากเฉพาะทด่ี ิน โจทก์กบั จำเลยจงึ ได้ทำสญั ญาซ้อื ขายบา้ น 2 หลัง เพิ่มเติมตามทตี่ กลงกนั ตามหนงั สือสญั ญาซือ้ ขาย แตส่ ญั ญาขายฝาก
เป็นสัญญาซื้อขายประเภทหนึ่งจงึ ต้องนำบทบัญญตั เิ ร่ืองซื้อขายมาใช้บงั คบั ด้วย ซ่งึ ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึง่ กำหนดว่าการซื้อ
ขายอสงั หาริมทรพั ยต์ ้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบยี นต่อพนักงานเจา้ หนา้ ท่ี มิฉะนั้นเปน็ โมฆะ เมอ่ื การขายฝากบา้ นทงั้ สองหลงั ไมไ่ ด้
จดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่จงึ ตกเปน็ โมฆะ นอกจากนี้สัญญาขายฝากท่ีดนิ และสญั ญาซ้ือขาย ยงั ทำวันเดยี วกันแสดงใหเ้ หน็
เจตนาโดยชัดแจ้งวา่ คู่สญั ญาต้องการหลีกเลย่ี งค่าธรรมเนยี ม จงึ เปน็ นิตกิ รรมทมี่ วี ตั ถปุ ระสงค์ขดั ตอ่ ความสงบเรียบรอ้ ยและศีลธรรมอัน
ดขี องประชาชน จงึ เปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 อีกดว้ ย ดงั นัน้ โจทกไ์ ม่อาจอ้างวา่ บ้านทงั้ สองหลงั ตกเปน็ กรรมสทิ ธ์ิของโจทก์โดย
หลกั สว่ นควบได้ โจทกไ์ ม่มกี รรมสิทธ์ิในบ้านทง้ั สองหลัง

คูส่ ญั ญาไมไ่ ดต้ กลงขายฝากบา้ นเลขท่ี 252 ด้วย บา้ นหลงั ดงั กลา่ วยงั เปน็ ของจำเลยโดยไมต่ กเปน็
สว่ นควบของทีด่ ิน และกรณไี มต่ อ้ งดว้ ย ป.พ.พ. มาตรา 1310 เพราะกรณนี ไ้ี ม่ใชจ่ ำเลยปลูกบา้ นเลขท่ี 252 ในทดี่ นิ ของโจทก์ แม้
ภายหลังขายฝากจำเลยจะไดต้ อ่ เติมบ้านหลงั ดังกลา่ วกต็ าม เม่อื โจทก์ไมป่ ระสงคจ์ ะให้จำเลยอยใู่ นทด่ี นิ ของโจทก์อกี ต่อไป จำเลยต้องร้อื
บ้านหลงั ดงั กลา่ วออกจากทดี่ นิ ของโจทก์

ส่วนบ้านไมม่ เี ลขที่ ขณะทำสญั ญาขายฝากทด่ี นิ บ้านหลงั ไม่มเี ลขท่ีบา้ นยงั อยู่ระหว่างกอ่ สร้าง การ
ท่ีโจทก์ปล่อยให้จำเลยก่อสร้างบ้านหลงั ดงั กลา่ วในทด่ี นิ ท่ขี ายฝากตอ่ ไปโดยโจทก์ไมไ่ ด้หา้ มปราม จำเลยซง่ึ เปน็ ผู้ปลกู สรา้ งย่อมเขา้ ใจว่า
ตนมสี ทิ ธทิ จ่ี ะปลูกสร้างไดต้ อ่ ไปจนแล้วเสรจ็ เพราะเช่อื ตามสญั ญาขายฝากวา่ ตนมีสิทธิไถท่ ่ีดนิ คืนไดภ้ ายในกำหนดในสญั ญา การปลกู
สร้างบา้ นไม่มีเลขทีบ่ ้านของจำเลยจึงเปน็ การสรา้ งโรงเรือนในทด่ี นิ ของผ้อู น่ื โดยสุจรติ แตเ่ ม่ือทำสญั ญาขายฝากแลว้ จำเลยไม่ไถค่ นื
ภายในกำหนด ทดี่ ินทข่ี ายฝากย่อมตกเปน็ กรรมสิทธข์ิ องโจทก์โดยเดด็ ขาด กรณดี ังกลา่ วไม่มบี ทกฎหมายท่จี ะใชป้ รับไดโ้ ดยตรง จงึ ตอ้ ง
ใช้บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอยา่ งยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง อันไดแ้ ก่ ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคหนงึ่ ทำใหโ้ จทก์ซงึ่ เปน็ เจ้าของ
ท่ีดนิ เป็นเจา้ ของโรงเรอื นน้ัน แต่ตอ้ งใชค้ า่ แหง่ ทดี่ ินเพยี งที่เพมิ่ ขนึ้ เพราะสรา้ งโรงเรอื นนั้นให้แก่จำเลยผ้สู ร้าง และการที่โจทก์ปลอ่ ยให้
จำเลยปลูกสร้างบ้านตอ่ ไปในทด่ี ินของโจทกโ์ ดยมไิ ดห้ า้ มปรามถอื ว่าโจทกป์ ระมาทเลนิ เล่อในการสร้างโรงเรอื นของจำเลย โจทกจ์ ึงไม่
อาจบอกปัดไม่ยอมรบั โรงเรือนน้นั และต้องใชค้ ่าแหง่ ทด่ี ินท่เี พิ่มให้แก่จำเลย

ฎีกาที่ 1265/2559 บนั ทึกเอกสารหมาย จ.4 มขี อ้ ความสรุปวา่ จำเลยไดร้ ับขายฝากทด่ี ินพพิ าท จำเลยยินดจี ะทำ
สัญญาซอื้ ขายตง้ั แตว่ นั ที่ 26 กรกฎาคม 2555 ถงึ วนั ท่ี 26 มกราคม 2556 ตามสญั ญาเดิมทท่ี ำไว้พรอ้ มดอกเบยี้ โดยบันทกึ ดงั กลา่ วมี
การอา้ งถงึ สัญญาขายฝากฉบับเดิมท่ี น. มารดาโจทก์ทำไว้ก่อนตาย ซง่ึ หากเป็นการตกลงจะซ้ือขายทด่ี ินพพิ าทพร้อมสง่ิ ปลูกสรา้ งกนั
ใหมก่ ็ไมจ่ ำเปน็ ต้องกล่าวถงึ สญั ญาขายฝากฉบบั เดิมไว้ ทงั้ ยงั ตกลงให้โจทกต์ อ้ งชำระสินไถ่พร้อมดอกเบยี้ ตามสัญญาขายฝากเดมิ ให้แก่
จำเลยภายในวนั ที่ 26 มกราคม 2556 กรณจี งึ ถือได้วา่ จำเลยขยายกำหนดเวลาไถ่ใหแ้ ก่โจทกโ์ ดยมหี ลักฐานเป็นหนงั สือลงลายมอื ชื่อ

86

87

จำเลยผรู้ ับไถ่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 496 วรรคสอง แล้ว
น. มารดาโจทกผ์ ูข้ ายฝากและจำเลยผรู้ บั ซ้ือตกลงคดิ ดอกเบ้ียเดอื นละ 12,000 บาท กรณจี งึ เป็น

การกำหนดราคาสินไถห่ รอื ราคาขายฝากสงู กว่าราคาขายฝากทแ่ี ท้จริงในอัตราร้อยละ 18 ตอ่ ปี เมอื่ ราคาสนิ ไถห่ รอื ราคาขายฝากที่
กำหนดไวส้ ูงกวา่ ราคาขายฝากทแ่ี ท้จรงิ เกนิ อัตราร้อยละ 15 ต่อปี จงึ ตอ้ งหา้ มตาม ป.พ.พ. มาตรา 499 วรรคสอง ซงึ่ กำหนดให้ไถไ่ ด้
ตามราคาขายฝากทแี่ ทจ้ รงิ รวมประโยชนต์ อบแทนร้อยละ 15 ตอ่ ปี ราคาสนิ ไถท่ ่ีเกินกวา่ อัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นปญั หาขอ้ กฎหมาย
เกยี่ วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน แมค้ คู่ วามไม่อุทธรณฎ์ กี า ศาลฎกี ากห็ ยบิ ยกข้นึ วนิ ิจฉยั ได้

ฎีกาที่ 15919/2555 การออกหนงั สอื รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขท่ี 4410 เป็นการออกเฉพาะราย โดยมี
การนำหลกั ฐาน ส.ค.1 ของทีด่ ินแปลงอ่ืนมาเป็นหลกั ฐาน เป็นการออก น.ส.3 ก. โดยไมช่ อบด้วยกฎหมาย ตอ้ งเพกิ ถอนตามมาตรา 61
แหง่ ป.ทดี่ ิน ซง่ึ ตามคำฟ้องโจทกบ์ รรยายชดั เจนวา่ จำเลยนำ น.ส.3 ก. ทอี่ อกโดยมชิ อบดว้ ยกฎหมายมาหลอกขายให้โจทกแ์ ละได้รบั
เงิน 660,000 บาท จำเลยไม่ใชเ่ จ้าของผู้ครอบครองทด่ี ินแปลงนนั้ โจทก์ซ้ือท่ีดินมาไม่ได้สิทธคิ รอบครอง การทโ่ี จทก์เขา้ ทำสญั ญาซื้อ
ขายกบั จำเลยจงึ เป็นการทำสญั ญาโดยสำคัญผิดในสง่ิ ท่เี ปน็ สาระสำคญั แหง่ นติ กิ รรม สญั ญาซอื้ ขายเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156
จงึ ต้องคนื ทรัพยฐ์ านลาภมคิ วรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบมาตรา 412 ดงั น้ัน โจทกย์ ่อมฟอ้ งบงั คับให้จำเลยคืนเงนิ
ค่าที่ดินได้ และการฟ้องคดีของโจทก์เป็นการตดิ ตามเอาเงินคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ไมม่ ีกำหนดอายคุ วาม คดีโจทกจ์ ึงไม่ขาดอายุ
ความ และเมือ่ โจทกไ์ ม่นำสบื วา่ มีการทวงถามจำเลยให้ชำระเงินคนื เม่ือไร จำเลยต้องคนื เงนิ จำนวนดงั กล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแตว่ นั ฟอ้ ง

ฎีกาที่ 1196/2552 ป.พ.พ. มาตรา 538 บัญญตั วิ า่ "เชา่ อสงั หาริมทรพั ย์น้ัน ถา้ มิไดม้ ีหลกั ฐานเป็นหนังสืออยา่ งหนงึ่
อยา่ งใดลงลายมอื ช่อื ฝ่ายทีต่ อ้ งรับผิดเป็นสำคัญทา่ นว่าจะฟ้องรอ้ งใหบ้ งั คบั คดหี าไดห้ รือไม่ ถา้ เช่ามกี ำหนดว่าสามปีขนึ้ ไป หรือกำหนด
ตลอดอายุของผ้เู ชา่ หรอื ผใู้ หเ้ ช่าไซร้ หากมไิ ดท้ ำเป็นหนังสือและจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ ท่านว่าการเช่าน้ันจะฟ้องร้องให้
บังคบั คดีไดแ้ ต่เพยี งสามปี" เมื่อขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่าจำเลยทำหนังสอื สญั ญาเช่าตึกแถวพิพาท จากโจทก์เปน็ เวลา 21 ปี นบั แตว่ นั ท่ี 8
มถิ ุนายน 2532 แตม่ ิไดจ้ ดทะเบียนตอ่ พนกั งานเจ้าหนา้ ท่ี จงึ ฟ้องร้องให้บงั คบั คดไี ดเ้ พยี ง 3 ปี คอื วนั ที่ 8 มถิ นุ ายน 2535 เท่านน้ั แต่
หลงั จากครบกำหนดดงั กลา่ วแล้ว จำเลยยงั คงเช่าตึกแถวพพิ าทตอ่ ไปอกี โดยโจทก์มไิ ดท้ ักทว้ ง จงึ ต้องถอื วา่ เปน็ การเชา่ ต่อไปโดยไมม่ ี
กำหนดเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 570 ซ่งึ โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าเสยี เมื่อใดกไ็ ด้ แตต่ ้องบอกกล่าวลว่ งหนา้ กอ่ นตามวิธที ีก่ ำหนดไว้ใน
มาตรา 566 เม่ือปรากฏว่าโจทก์มีหนงั สือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยออกไปจากตกึ แถวพิพาทภายใน 60 วนั นบั แตว่ ันทไี่ ด้รบั
หนังสือ จำเลยได้รบั เมื่อวนั ที่ 30 มกราคม 2544 ตามใบตอบรบั ไปรษณีย์ การบอกเลกิ สญั ญาเช่าของโจทกจ์ งึ มผี ลตามกฎหมายแล้ว
จำเลยต้องออกไปจากตกึ แถวพพิ าท หาใช่โจทก์ไม่มสี ทิ ธบิ อกเลกิ สัญญาเชา่ ไม่

ฎีกาที่ 10514 - 10515/2558 สัญญาเชา่ ระหวา่ งโจทกก์ ับจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงว่า ใหม้ ีการร้ือถอนส่ิงปลกู สร้างเดิม
และกอ่ สร้างสงิ่ ปลกู สรา้ งใหมต่ ามแบบแปลนท้ายสญั ญาเชา่ โดยมกี ารกำหนดเวลาเริ่มลงมอื ก่อสรา้ งและเวลาก่อสร้างใหแ้ ลว้ เสรจ็ ไว้
การทีโ่ จทกไ์ ม่สามารถเรมิ่ ลงมือก่อสร้างได้ สืบเน่อื งมาจากพ้นื ทีเ่ ช่าได้รับการข้ึนทะเบยี นจากกรมศิลปากรใหเ้ ป็นโบราณสถานภายหลงั
จากทำสญั ญาเชา่ แล้ว การรอ้ื ถอนสงิ่ ปลกู สรา้ งเดิมและกอ่ สรา้ งสิ่งปลูกสรา้ งใหมข่ องโจทกเ์ พื่อใหเ้ ป็นไปตามสญั ญาเช่าย่อมเป็นไปไม่ได้

87

88

ถอื ได้วา่ การชำระหนโ้ี ดยการปฏบิ ตั ติ ามสัญญากลายเป็นพ้นวสิ ยั เพราะพฤตกิ ารณ์อนั ใดอันหนงึ่ ซึง่ เกดิ ขึ้นภายหลังท่ไี ดก้ อ่ หน้แี ละซ่ึง
ลูกหนีไ้ ม่ตอ้ งรับผดิ ชอบลกู หนเี้ ปน็ อนั หลดุ พ้นจากการชำระหน้ตี ามป.พ.พ. มาตรา 219 วรรคหนงึ่ โจทก์จงึ ไมอ่ าจฟอ้ งบงั คบั ให้จำเลยท่ี
1 ปฏิบตั ติ ามสญั ญาและเรยี กใหช้ ดใช้คา่ เสยี หายได้ แต่สัญญาเชา่ ระหวา่ งโจทก์กบั จำเลยท่ี 1 เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนซงึ่ คู่สญั ญามี
หนา้ ทจ่ี ะต้องชำระหนต้ี อบแทนกัน แม้จำเลยท่ี 1 จะหลดุ พน้ จากการชำระหนกี้ ็ตาม แต่จำเลยที่ 1 กห็ ามสี ิทธทิ จ่ี ะได้รับชำระหน้ีตอบ
แทนไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 372 วรรคหนึ่ง โจทกจ์ ึงมสี ทิ ธิเรยี กเอาค่าตอบแทนการเชา่ ทีช่ ำระไปแลว้ ในวันทำสัญญาคนื จากจำเลยที่ 1
ได้

ฎีกาที่ 6699/2560 เม่อื วันที่ 1 กมุ ภาพันธ์ 2557 โจทก์และจำเลยทำสญั ญาจะซอ้ื จะขายทาวนเ์ ฮาส์พร้อมท่ดี ินพิพาท
ซงึ่ เปน็ กรรมสทิ ธขิ์ องจำเลยในราคา 5,500,000 บาท ในวนั ทำสญั ญาโจทกช์ ำระเงนิ มัดจำ 500,000 บาท กำหนดนดั จดทะเบยี นโอน
กรรมสิทธ์ิวนั ท่ี 2 มนี าคม 2557 แตว่ นั ที่ 2 มนี าคม 2557 เป็นวนั อาทิตย์ ซง่ึ หยดุ ราชการ ตอ่ มาวนั ที่ 3 มนี าคม 2557 จำเลยไปรอ
โจทก์ท่ีสำนักงานทดี่ นิ กรุงเทพมหานคร สาขาดอนเมือง แตโ่ จทกม์ ไิ ด้ไปหลงั จากนัน้ จำเลยแจง้ วา่ โจทกผ์ ดิ สญั ญาไม่ไปจดทะเบียนรับ
โอนในวันที่ 3 มีนาคม 2557 ขอยกเลิกสญั ญาและริบเงนิ มัดจำ หากโจทกต์ อ้ งการจะซ้อื จะขายทาวน์เฮาสพ์ รอ้ มที่ดนิ พพิ าท โจทก์ตอ้ ง
มาทำสัญญาจะซอื้ จะขายกบั จำเลยใหม่ โดยวางเงนิ มดั จำจำนวน 300,000 บาท โจทกโ์ ตแ้ ยง้ วา่ โจทก์ไม่ไดผ้ ิดสญั ญา จากนั้นเม่อื วันท่ี
18 เมษายน 2557 โจทก์มอบใหท้ นายความมหี นังสือแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธท์ิ าวน์เฮาส์พรอ้ มทีด่ นิ พพิ าทในวนั ท่ี 15
พฤษภาคม 2557 เวลา 10 นาฬิกา ณ สำนกั งานทดี่ นิ กรงุ เทพมหานคร สาขาดอนเมอื ง จำเลยได้รับหนังสือดงั กลา่ วแล้ว ครัน้ วนั ท่ี 23
เมษายน 2557 จำเลยมอบใหท้ นายความมีหนงั สอื โตแ้ ย้งวา่ โจทกเ์ ป็นฝ่ายผดิ สญั ญา ริบเงินมดั จำและถอื วา่ เปน็ การเลิกสญั ญาและเม่ือ
วนั ที่ 15 พฤษภาคม 2557 จำเลยโอนกรรมสทิ ธทิ์ าวน์เฮาส์พร้อมท่ดี นิ พิพาทใหแ้ ก่ พ.

ประเด็นต้องวนิ ิจฉัยมวี า่ โจทกห์ รอื จำเลยเป็นฝา่ ยผดิ สญั ญาจะซ้ือจะขายตามฟ้อง ปญั หานี้เม่อื
ข้อเทจ็ จริงรบั ฟงั เปน็ ยตุ วิ า่ โจทก์และจำเลยทำสญั ญาจะซ้อื จะขายทาวน์เฮาสพ์ ร้อมท่ีดนิ พิพาทซง่ึ เป็นกรรมสิทธขิ์ องจำเลยในราคา
5,500,000 บาท โดยในวนั ทำสญั ญาโจทก์ชำระเงินมดั จำ 500,000 บาท กำหนดนัดจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธว์ิ ันที่ 2 มีนาคม 2557
แต่วันท่ี 2 มีนาคม 2557 เปน็ วันอาทิตย์ ซงึ่ หยดุ ราชการ ดงั นน้ั โจทก์และจำเลยยอ่ มไมอ่ าจปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลงในสญั ญาจะซือ้ จะขาย
ได้ เน่อื งจากการชำระหน้ีตา่ งตอบแทนกลายเป็นพ้นวิสัย ซง่ึ มใิ ชค่ วามผิดของฝา่ ยใด และกรณีนมี้ ไิ ด้อยูใ่ นบงั คบั แหง่ ประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 ทบ่ี ญั ญตั ิใหน้ บั วันท่เี ริ่มทำการใหมต่ ่อจากวันท่ีหยดุ ทำการเปน็ วนั สดุ ทา้ ยของระยะเวลา ถา้ วนั สดุ ทา้ ย
ของระยะเวลาเปน็ วันหยดุ ทำการตามประกาศเปน็ ทางการหรอื ตามประเพณี การท่จี ำเลยไปรอโจทก์ทสี่ ำนักงานทด่ี นิ กรุงเทพมหานคร
สาขาดอนเมอื ง ในวันที่ 3 มนี าคม 2557 แตโ่ จทกม์ ไิ ด้ไปจดทะเบยี นรับโอนกรรมสทิ ธ์ใิ นทาวนเ์ ฮาสพ์ ร้อมท่ดี ินพพิ าท ย่อมถอื ไมไ่ ด้ว่า
โจทก์เปน็ ฝา่ ยผิดสัญญา หลงั จากนัน้ โจทก์และจำเลยไม่สามารถนดั หมายหรือมีข้อตกลงนดั จดทะเบยี นโอนกรรมสิทธิ์ในทาวน์เฮาส์
พร้อมทดี่ ินพิพาทกนั อกี แตป่ ระการใด จนกระทั่งเม่อื วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 จำเลยโอนกรรมสิทธ์ิในทาวน์เฮาส์พร้อมทด่ี นิ พพิ าท
ให้แก่ พ. พฤตกิ ารณด์ งั กล่าวถอื ไดว้ ่าเป็นการเลกิ สัญญาจะซ้อื จะขายระหว่างโจทก์และจำเลยโดยปรยิ าย เพราะเหตอุ ย่างใดอยา่ งหนง่ึ
อนั จะโทษฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดก็ไมไ่ ด้ไซร้ ค่สู ญั ญาแตล่ ะฝ่ายจำต้องใหอ้ ีกฝ่ายหนงึ่ ได้กลับคนื สู่ฐานะดังทเ่ี ป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง โดยจำเลยตอ้ งคืนมัดจำเป็นเงนิ จำนวน 500,000 บาท ใหแ้ กโ่ จทก์ แตไ่ ม่มหี นา้ ทต่ี ้องชำระ
คา่ เสยี หายแกโ่ จทกต์ ามที่กล่าวอ้างในคำฟ้อง ทีศ่ าลอทุ ธรณ์พิพากษาใหจ้ ำเลยชำระเงนิ จำนวน 500,000 พรอ้ มดอกเบยี้ อตั รารอ้ ยละ

88

89

7.5 ตอ่ ปี นับแต่วนั ถดั จากวันฟ้อง (ฟอ้ งวันที่ 21 กรกฎาคม 2557) เป็นต้นไปจนกวา่ จะชำระเสรจ็ แกโ่ จทก์มานน้ั ศาลฎีกาเหน็ พ้องดว้ ย
ในผล

ฎกี าที่ 1335/2561 โจทกแ์ ละจำเลยมเี จตนาทำสญั ญากยู้ มื เงินกนั มาต้ังแตต่ ้นมไิ ด้มีเจตนาท่ีจะทำสญั ญาขายที่ดนิ กนั
จริง สญั ญาขายทดี่ ินตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา 155 วรรคหน่งึ และเป็นนติ กิ รรมอำพรางการกยู้ มื เงนิ ท่ี
จำเลยกยู้ ืมเงนิ โจทกโ์ ดยใหท้ ดี่ นิ แกโ่ จทกย์ ึดถอื ไวเ้ ป็นประกัน และถอื ได้วา่ สัญญาขายทดี่ ินเปน็ นิตกิ รรม สญั ญากยู้ ืมเงินทีท่ ำเปน็ ลาย
ลกั ษณอื กั ษรระหวา่ งโทกก์ ับจำเลยและถกู อำพรางไว้ ต้องบังคับตามสญั ญากยู้ มื เงินซง่ึ เปน็ นติ กิ รรมทถี่ กู อำพรางไว้ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 155 วรรคสอง เมอ่ื สญั ญาขายที่ดนิ พพิ าทตกเป็นโมฆะ จึงตอ้ งเพกิ ถอนเปน็ ผลใหท้ ี่ดินพิพาทยงั เป็น
ของจำเลย โจทกไ์ มม่ ีสิทธทิ ีจ่ ะฟ้องขับไล่จำเลย

ฎกี าที่ 2514/2561 สญั ญาขายฝากท่ีโจทก์ทำไวก้ บั จำเลยที่ 1 เป็นนิติกรรมอำพรางการกยู้ ืมเงินและตกเป็นโมฆะตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 155 วรรคหนึง่ ตอ้ งบงั คับตามสัญญากยู้ มื เงนิ ซงึ่ เปน็ นติ ิกรรมที่ถกู อำพรางตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 155 วรรคสอง แมก้ ารขายฝากทีด่ ินจะตกเปน็ โมฆะ ตอ้ งเพิกถอนสญั ญาขายฝากเปน็ ผลให้ทด่ี นิ
พิพาทยงั คงเป็นกรรมสทิ ธข์ิ องโจทกก์ ต็ าม แตจ่ ำเลยท่ี 1 ไดข้ ายทดี่ ินพพิ าทให้จำเลยที่ 2 ซง่ึ เป็นบคุ คลภายนอกผกู้ ระทำการโดยสุจรติ
และตอ้ งเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงย่อมได้รบั ความคุม้ ครองตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 155 วรรคหนงึ่
ตอนท้าย โจทกจ์ งึ ไมอ่ าจเพิกถอนนิติกรรมการซอ้ื ขายท่ดี ินพพิ าทระหวา่ งจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้

ฎีกาท่ี 8043/2559 ตามสญั ญาเชา่ อาคารพพิ าท ไดก้ ำหนดข้ันตอนวิธกี ารตอ่ สญั ญาไวว้ า่ กอ่ นที่สญั ญาเช่าจะส้ินสดุ ลง
ผเู้ ชา่ จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้ใหเ้ ช่าว่ามคี วามประสงค์ทจี่ ะเช่าทรัพยส์ ินทเี่ ช่านโ้ี ดยจะต้องแจ้งความประสงคเ์ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรให้ผู้ให้
เชา่ ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่เกนิ กว่า 6 เดอื น ก่อนครบกำหนดระยะเวลาการเช่า นอกจากนี้ยงั ต้องทำการประเมนิ ราคาเชา่ และตกลง
กำหนดคา่ เชา่ กนั ใหมก่ ่อนสัญญาเช่าส้ินสดุ ลง ในการประเมนิ ราคาเชา่ น้นั สัญญากำหนดใหต้ งั้ บรษิ ัทประเมินราคาจำนวน 3 บรษิ ัท แลว้
ใช้ราคาเฉลีย่ เป็นค่าเช่า และกำหนดอตั ราค่าเช่าข้ันสงู แตล่ ะช่วงทจ่ี ะตอ่ ออกไปรวมทั้งความรบั ผดิ ของผูเ้ ชา่ และผ้ใู หเ้ ชา่ ในแตล่ ะขน้ั ตอน
ไว้ หากตกลงกันไดใ้ หผ้ เู้ ช่าและใหผ้ ู้เชา่ ตอ้ งลงนามในสญั ญาก่อนวนั ทจ่ี ะครบกำหนดสญั ญาเชา่ ฉบับทีใ่ ชบ้ งั คับอยู่ นอกจากนใ้ี นสญั ญา
เช่ายงั กำหนดวา่ ในกรณที ี่สญั ญาสิ้นสดุ ลงอายตุ ามกำหนดระยะเวลาในสญั ญาเชา่ และผ้เู ชา่ และผู้ใหเ้ ช่ามิไดต้ อ่ สัญญาเชา่ อีกตอ่ ไป ผู้
เช่าตอ้ งขนย้ายทรัพยส์ นิ และบรวิ ารออกไป แสดงใหเ้ หน็ วา่ ก่อนที่จะมสี ัญญาเช่าฉบับใหมเ่ กิดขน้ึ น้นั โจทก์ที่ 1 และจำเลยจะต้องทำ
ความตกลงกนั ในเรือ่ งอตั ราเชา่ ทงั้ อตั ราเชา่ นั้นมไิ ดก้ ำหนดไวอ้ ยา่ งแนน่ อนตายตัว แตต่ ้องเป็นไปตามการประเมนิ ราคาค่าเช่าทกี่ ำหนด
ไวเ้ สยี กอ่ นซึง่ จะตอ้ งทำความตกลงกันอีกชนั้ หนงึ่ ...ฯลฯ ขอ้ ความในหนังสอื สัญญาเชา่ อาคารเป็นเพยี งเงื่อนไขท่ใี หส้ ทิ ธโิ จทก์ท่ี 1 ที่จะ
ต่ออายสุ ญั ญาเชา่ ออกไปไดอ้ กี หากโจทกท์ ่ี 1 กับจำเลยสามารถตกลงกนั เกย่ี วกบั อตั ราค่าเชา่ และเงื่อนไขตา่ งๆ ตามที่ระบุไวใ้ น
สัญญา แต่เมื่อโจทก์ท่ี 1 และจำเลยไม่อาจตกลงกนั ได้ สญั ญาจงึ ไมเ่ กิดขึน้ ทัง้ สญั ญาเช่าอาคารกไ็ มอ่ าจถอื วา่ เป็นคำมน่ั จะให้
เช่า เพราะคำม่ันจะให้เชา่ ตอ้ งมีข้อความชดั เจนยอมใหเ้ ชา่ ตอ่ ไปโดยไมม่ ีเงื่อนไข จำเลยจงึ ไม่ผูกพนั ท่จี ะตอ้ งต่ออายสุ ญั ญาเชา่ ให้แก่

89

90

โจทก์ที่ 1 เมื่อโจทกท์ ่ี 1 ขนยา้ ยทรัพย์สนิ ออกไปจากทเี่ ช่าก่อนทส่ี ญั ญาเชา่ จะครบกำหนด กรณจี งึ ถือวา่ สญั ญาเช่าระหวา่ งโจทกท์ ่ี 1
กับจำเลยส้ินสุดลงโดยมิไดม้ ฝี ่ายใดผดิ สญั ญา โจทก์ท่ี 1 จึงไม่อาจเรียกค่าร้ือถอนอปุ กรณ์ ค่าขนย้าย คา่ ตกแตง่ สถานท่ีเช่าใหม่ และ
คา่ ใชจ้ ่ายอ่นื ตามฟอ้ งจากจำเลยได้ จำเลยไม่ต้องรบั ผดิ ตอ่ โจทก์

ฎีกาที่ 206/2542 สญั ญาเช่าที่ดินพพิ าทระหวา่ งโจทก์และจำเลยลงวันที่ทำสญั ญาคือ12 กมุ ภาพนั ธ์ 2536 ซึ่ง
กำหนดอายุการเชา่ ไว้เป็นเวลา 20 ปี 2 เดอื น เริ่มตงั้ แตว่ นั ที่ 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2536 เป็นต้นไปจนถงึ วันที่ 31 มนี าคม 2556 ตราบใดทย่ี งั
มไิ ด้มกี ารจดทะเบยี นการเชา่ สญั ญาดงั กล่าวนยี้ อ่ มมีผลบงั คบั ไดเ้ พียง 3 ปี คือมผี ลบงั คับจนถงึ วนั ท่ี 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2539 ขอ้ กำหนดต่าง
ๆ ทุกข้อในสญั ญาเช่าพิพาทยอ่ มมีผลผกู พนั คสู่ ัญญาตามระยะเวลาดงั กลา่ วเชน่ กนั ดงั น้ี ข้อกำหนดใหผ้ เู้ ชา่ และผู้ให้เชา่ ต้องไปจด
ทะเบียนการเชา่ ตามสัญญาใหเ้ รยี บรอ้ ยภายในวนั ท่ี 31 มีนาคม2536 ตามขอ้ 5 และ 6 แหง่ สัญญาเชา่ พพิ าท ย่อมมีผลผูกพนั โจทก์และ
จำเลยให้ต้องปฏบิ ัตติ ามตราบเทา่ ท่ีสัญญาเชา่ ดงั กลา่ วมผี ลบงั คบั ไดค้ อื วันที่ 1 กมุ ภาพนั ธ2์ 539 เช่นกัน เม่อื ปรากฏวา่ โจทก์ไดอ้ าศยั
ข้อกำหนดแห่งสัญญาเชา่ ข้อท่ี 5 และ 6บอกกลา่ วเรยี กรอ้ งให้จำเลยปฏบิ ตั กิ ารชำระหน้คี อื ไปจดทะเบยี นการเช่าตง้ั แต่วันที่26 กันยายน
2537 และฟ้องรอ้ งเพ่อื การบงั คบั ใช้สทิ ธดิ งั กลา่ วเป็นคดนี ้ีเมือ่ วนั ที่ 17มกราคม 2539 ภายในระยะเวลาที่สญั ญาเช่าพิพาทซ่ึงรวมถึง
ข้อกำหนดขอ้ 5 และ 6ยงั มีผลบังคับไดต้ ามกฎหมาย จำเลยจงึ มหี น้าทท่ี ีจ่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ิตามขอ้ ผูกพันนั้น จำเลยไม่มีเหตใุ ด ๆ ท่ีจะหลุด
พ้นความรับผิดตามสญั ญาที่ไดผ้ กู พันไวโ้ ดยชอบดงั กลา่ ว จึงชอบศาลจะบงั คบั ใหจ้ ำเลยไปจดทะเบยี นการเช่านั้นได้

ฎกี าท่ี 102/2559 ศาลฎกี าวนิ ิจฉยั วา่ สญั ญาเชา่ ท่ดี ินพิพาทระหว่างโจทกก์ บั จำเลยทง้ั สามมขี อ้ ตกลงเชา่ กันเกนิ กวา่
3 ปี การจะบังคบั ใหค้ กู่ รณีปฏิบตั ติ ามสญั ญาทท่ี ำไวโ้ ดยไมม่ ีการบิดพล้วิ ตอ้ งไปจดทะเบยี นกนั ไวเ้ ปน็ หลักฐานมเิ ช่นนน้ั กจ็ ะฟ้องรอ้ ง
บงั คบั ไดเ้ พยี ง 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 538 โจทกฟ์ ้องคดีนีเ้ พื่อใหจ้ ำเลยท้งั สามไปจดทะเบียนการเชา่ ให้แก่
ตนอนั เปน็ การบงั คับให้จำเลยทงั้ สามปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลงในสญั ญา เป็นการใช้สทิ ธโิ ดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์มอี ำนาจฟ้อง

โจทกป์ ระสงคเ์ ชา่ ทด่ี นิ พิพาทตามระยะเวลา 5 ปี ตามทีต่ กลงกัน มใิ ช่เพยี ง 3 ปี ในกรณีท่ีไมม่ กี าร
จดทะเบยี น เพราะโจทกต์ งั้ ใจจะใชท้ ี่ดินพพิ าทเพอื่ สร้างเปน็ คลงั และถงั เกบ็ น้ำมันเชอ่ื เพลงชนดิ กา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว ระยะเวลาเชา่ เปน็
สาระสำคัญในการทำสญั ญาของโจทก์ ซึง่ โจทกย์ อมจ่ายคา่ เช่าลว่ งหน้า 1 เดอื น พรอ้ มเงินประกนั การเชา่ และค่าเสยี หายใหจ้ ำเลยทง้ั
สามรบั ไว้กอ่ นแล้ว การไปดำเนินการจดทะเบียนการเชา่ เป็นเรอื่ งสำคัญซง่ึ จำเลยทง้ั สามในฐานผู้ใหเ้ ชา่ ตอ้ งดำเนนิ การให้โจทกแ์ ล้วเสร็จ
ไม่ทางใดก็ทางหนง่ึ เพราะสญั ญาเช่าน้นั เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนทีค่ สู่ ญั ญาแตล่ ะฝา่ ยต้องชำระหน้ใี ห้แกอ่ ีกฝ่ายหน่งึ ทงั้ ยงั อยใู่ นวสิ ยั ที่
จำเลยที่ 1 จะดำเนนิ การใหไ้ ดใ้ นฐานะที่ตนเปน็ ผู้ถือกรรมสทิ ธใ์ิ นโฉนดทด่ี นิ พพิ าทโดยจดทะเบยี นการเชา่ เฉพาะจำเลยที่ 1 เพยี งคน
เดียว แต่ฝา่ ยจำเลยที่ 1 ไมย่ อมดำเนินการกลับตอ่ รองใหม้ ชี ่ือจำเลยที่ 2 และท่ี 3 ร่วมด้วย เพยี งเพราะตอ้ งการใหจ้ ำเลยที่ 2 และที่ 3
มรี ายได้และตนเสยี ภาษนี อ้ ยลงอนั เปน็ เรือ่ งผลประโยชน์ส่วนตน ทำให้การจดทะเบยี นการเชา่ ไม่สำเรจ็ ลลุ ว่ ง เม่อื จำเลยทงั้ สามซงึ่ เปน็
ลกู หน้ไี ม่ชำระหนีใ้ ห้ตอ้ งตามความประสงค์อนั แทจ้ รงิ ของมลู หน้ี ดงั น้ี ถอื วา่ จำเลยทงั้ สามเป็นฝา่ ยผดิ สญั ญา

90

91

ฎีกาท่ี 7983/2561 บทบัญญตั แิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 466 หมายความว่า หากเนอื้ ท่อี สังหาริมทรพั ย์นอ้ ยหรือมากกวา่ ที่
ระบุในสญั ญาไมเ่ กนิ ร้อยละหา้ ของเนอื้ ท่ีทั้งหมดทีร่ ะบใุ นสัญญา ผ้ซู ้อื จะตอ้ งรับไว้แลว้ ใช้ราคาตามส่วน เวน้ แต่ผู้ซื้อจะแสดงใหเ้ หน็ ว่าถา้
ตนทราบก่อนแล้วคงมิไดเ้ ขา้ ทำสัญญานั้น แตห่ ากเนอ้ื ทนี่ ้อยหรอื มากกวา่ ท่ีระบุในสัญญาตง้ั แต่รอ้ ยละห้า กฎหมายใหส้ ิทธิแก่ผู้ซอ้ื วา่ จะ
บอกปัดไม่ยอมรับหรอื จะยอมรบั ไวแ้ ละใช้ราคาตามสว่ นตามแตจ่ ะเลอื ก แมบ้ ทบัญญตั แิ หง่ ป.พ.พ. มาตรา 466 จะไมใ่ ชก่ ฎหมายอัน
เกี่ยวกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอันดีของประชาชน ซงึ่ คู่สญั ญาสามารถตกลงยกเวน้ ไมใ่ ห้นำ ป.พ.พ. มาตรา 466 มาใชบ้ ังคบั
ได้ก็ตาม แต่ค่สู ญั ญากต็ อ้ งแสดงเจตนาโดยชัดแจง้ และระบไุ ว้ในสัญญา

สัญญาจะซือ้ จะขายหอ้ งชดุ ระหวา่ งโจทก์กับจําเลยระบวุ า่ หากมเี น้อื ทหี่ ้องชดุ เพ่ิมข้นึ หรอื ลดลง
จากจํานวนท่ีระบใุ นสญั ญา คูส่ ญั ญาตกลงคดิ ราคาห้องชุดตามสว่ นท่ีเพ่มิ ขึน้ หรอื ลดลง โดยไม่ไดย้ กเว้นบทบัญญตั ปิ ระมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 466 ไวโ้ ดยชดั แจ้งวา่ ผูซ้ อ้ื จะไมย่ กเร่ืองเน้อื ที่นอ้ ยหรอื มากกว่าที่ระบุในสญั ญาตง้ั แต่ร้อยละหา้ ข้นึ ไปเปน็ ขอ้ อา้ ง
บอกปดั ไมย่ อมรับกรณีจงึ ต้องบังคบั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 466 ดงั นั้น เมื่อเน้ือท่ีห้องชดุ พพิ าทมเี นอ้ื ทม่ี ากไปกว่าที่ระบใุ นสญั ญา โจทกจ์ ึง
มสี ทิ ธิทจ่ี ะเลือกว่าจะบอกปดั ไม่รับเสียหรอื จะรับเอาไวแ้ ละใช้ราคาตามส่วนตามทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 466 วรรคหน่ึงซงึ่ การท่ี
โจทก์จะใช้สิทธใิ นทางใดย่อมเปน็ ไปตามอําเภอใจของโจทกแ์ ละเป็นธรรมดาท่โี จทกจ์ ะเลือกในทางท่ีเปน็ ประโยชน์สงู สุดแกโ่ จทกซ์ ึ่งไม่มี
บทกฎหมายใดหา้ มมใิ หโ้ จทก์กระทําเชน่ นั้นและไม่ถอื ว่าโจทก์ใชส้ ิทธโิ ดยไมส่ จุ รติ

ฎีกาที่ 5251/2560 ประมวลรษั ฎากรมาตรา 118 บญั ญัติว่าตราสารใดไมป่ ิดแสตมปบ์ รบิ รู ณ์จะใช้ตน้ ฉบบั คฉู่ บบั คู่
ฉีก หรอื สำเนาตราสารนน้ั เป็นพยานหลกั ฐานในคดีแพง่ ไมไ่ ด้ จนกว่าจะไดเ้ สียอากรโดยปิดแสตมปค์ รบจำนวนตามบญั ชีอตั ราในบัญชี
ท้ายหมวดนแี้ ละขดี ฆา่ แล้ว...." ซงึ่ คำว่าตราสารดังกลา่ วหมายความถึงหนังสอื สำคญั แสดงสิทธิต่างๆตามกฎหมาย หากเปน็ เร่อื งการกยู้ ืม
เอกสารทีจ่ ดั ทำข้นึ ต้องชดั แจง้ ว่าเปน็ หนงั สือสญั ญากู้เงนิ ซงึ่ มขี อ้ ความแสดงเจตนาออกมาว่ามีการกู้ยืมเงินระหวา่ งคู่สญั ญา มี
รายละเอียดแห่งขอ้ ตกลงและคสู่ ัญญาไดล้ งลายมือชือ่ ไว้ท้ายสญั ญา แตส่ ำเนาบตั รประจำตวั ประชาชนของจำเลยมีข้อความถดั ลงไป
ด้านล่างประกอบวา่ เมอ่ื วันที่ 9 มกราคม 2555 จำเลยไดร้ บั เงินกยู้ มื จำนวน 500,000 บาทจากโจทก์ไว้ครบถว้ นแลว้ โดยมีจำเลยลง
ลายมือชือ่ ไว้ในฐานะผู้รับเงนิ ก้มู ีลายมอื ชอ่ื พยาน 2 คน แตไ่ มม่ ีลายมือชอ่ื ของโจทก์ผใู้ หก้ ้อู ยดู่ ว้ ย เอกสารในลกั ษณะเช่นน้ีคงเป็นเพยี ง
หลกั ฐานแห่งการกยู้ ืมเปน็ หนงั สอื ลงลายมอื ชื่อจำเลยผกู้ ตู้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 653 วรรคหนึ่งเทา่ น้ัน มใิ ช่
หนังสอื สญั ญากยู้ ืมเงนิ จงึ ไม่เขา้ ลกั ษณะตราสารทต่ี ้องตดิ อากรแสตมปบ์ ริบรู ณต์ ามความมงุ่ หมายแหง่ ประมวลรษั ฎากรมาตรา 103
มาตรา 104 และมาตรา 118 ถงึ แม้หลกั ฐานการกู้ยมื จะไม่ได้ปดิ อากรแสตมป์ ศาลก็สามารถรบั ฟงั เปน็ พยานหลกั ฐานว่าจำเลยกยู้ มื เงนิ
จากโจทกจ์ ำนวน 500,000 ได้

91

92

ขอ้ 5 (ยมื คำ้ ประกัน จำนอง จำนำ)

ฎกี าที่ 4537/2553 ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรก (เดิม) บญั ญตั ิวา่ "การกยู้ ืมเงินกวา่ หา้ สบิ บาทข้นึ ไปนนั้ ถา้ มไิ ดม้ ี
หลกั ฐานแห่งการกยู้ มื เปน็ หนงั สืออยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ลงลายมือชอ่ื ผยู้ มื เปน็ สำคญั ทา่ นวา่ จะฟอ้ งร้องใหบ้ ังคบั คดหี าได้ไม่" สาระสำคญั
ของหลักฐานเปน็ หนงั สือตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรก อยทู่ ีว่ ่า มีการแสดงให้เหน็ วา่ มกี ารกยู้ ืมเงินกนั ก็เพยี งพอแลว้ ไม่ไดบ้ ังคับ
ถึงกบั จะต้องระบชุ ื่อของผู้ให้กูไ้ ว้ ดังน้นั เม่อื โจทกน์ ำหนงั สือสัญญากูแ้ ละคำ้ ประกันมาฟ้องจำเลยทง้ั สาม และปรากฏชดั ว่าเอกสาร
พพิ าทมสี าระสำคญั แสดงใหเ้ ห็นวา่ จำเลยท่ี 1 กยู้ มื เงินจากผูใ้ หก้ ู้ แม้จะไมไ่ ด้ระบชุ ่ือผูใ้ หก้ ไู้ ว้ใหถ้ กู ต้อง แต่ระบุจำนวนเงินและจำเลยที่
1 ลงลายมอื ชื่อไวใ้ นฐานะผูก้ ู้ครบถ้วน จึงถือวา่ เป็นหลกั ฐานแหง่ การกู้ยมื และคำ้ ประกันของโจทกไ์ ดแ้ ลว้

ฎีกาที่ 1894/2546 ผรู้ ้องเปน็ ผคู้ รอบครองโฉนดทดี่ นิ เพราะจำเลยมอบใหย้ ดึ ถือเปน็ ประกันเงินกู้ผรู้ อ้ งจงึ มีสทิ ธยิ ดึ ถอื
โฉนดทด่ี นิ ไว้จนกวา่ จะได้รับชำระหน้คี ืน แตเ่ ป็นเพยี งบคุ คลสิทธทิ บ่ี ังคบั กนั ไดร้ ะหว่างคู่สญั ญาไม่สามารถใชย้ นั แก่บคุ คลอืน่ ได้ กรณีมิใช่
สทิ ธยิ ดึ หน่วงตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 241 เพราะหนท้ี ่ีผูร้ อ้ งมเี ปน็ เพียงหนเี้ งนิ กทู้ ่ีผรู้ ้องจะได้รบั ชำระคนื เท่านนั้
หาไดเ้ ป็นคุณแกผ่ ู้รอ้ งเกีย่ วดว้ ยทดี่ ินโฉนดดังกลา่ วไม่ เมอื่ เจา้ พนักงานบงั คบั คดีทำการบังคับคดแี ก่ทีด่ ินดงั กล่าว ผู้ร้องจงึ ไมม่ ีสิทธิยดึ
โฉนดทดี่ ินดงั กลา่ วได้

การที่ผู้รอ้ งอา้ งวา่ จำเลยนำโฉนดท่ดี นิ มาจำนองเปน็ ประกนั เงนิ กู้แต่ยงั มไิ ด้จดทะเบยี นจำนอง
โดยจำเลยมอบโฉนดทดี่ นิ ใหผ้ ู้ร้องยดึ ถอื ไว้กอ่ นเพื่อให้เหน็ ว่าตนมีสทิ ธยิ ดึ หน่วงในโฉนดทดี่ ินนนั้ ผู้ร้องตอ้ งอ้างมาในคำร้องด้วย จะนำสบื
ในช้นั ไต่สวนคำรอ้ งหาไดไ้ ม่ เพราะมใิ ช่ขอ้ เทจ็ จรงิ อันเปน็ เพยี งรายละเอียดหรือขอ้ เท็จจรงิ ทเี่ ปน็ ส่วนหนึง่ ของข้อเทจ็ จรงิ ทก่ี ลา่ วมาในคำ
รอ้ งของผรู้ อ้ ง และแมจ้ ะเปน็ สาระแกค่ ดีอนั ควรได้รับการวนิ ิจฉยั แต่เมื่อเปน็ ขอ้ เทจ็ จริงที่มิไดย้ กขน้ึ วา่ กันมาแลว้ โดยชอบในศาลชนั้ ตน้
ศาลอทุ ธรณ์ภาค 4 กช็ อบทจี่ ะไม่รบั วินิจฉยั ให้

ฎกี าท่ี 2718/2515 สทิ ธิตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 697 เป็นสทิ ธิทใ่ี ห้อำนาจแก่เจา้ หน้เี หนือ
ทรพั ย์สนิ ของลกู หน้ี เชน่ การจำนอง จำนำ หรือบรุ ิมสิทธิ โฉนดเป็นเพียงเอกสารแสดงกรรมสทิ ธิ์ในตวั ทรพั ย์ ลูกหน้มี อบโฉนดใหเ้ จา้ หนี้
ยึดถือไวจ้ งึ ไมท่ ำให้เจ้าหนีม้ ีสทิ ธิใดๆ ในตวั ทรพั ยค์ อื ทดี่ ินตามโฉนดนัน้ การท่เี จ้าหนค้ี นื โฉนดให้แก่ลกู หน้ไี ป จงึ ไมเ่ ป็นเหตใุ ห้ผคู้ ำ้ ประกนั
พ้นความรบั ผดิ ไปได้ (อา้ งฎีกาที่ 631/2474) การทศ่ี าลอทุ ธรณ์ให้จำเลยท่ี 2 ผคู้ ำ้ ประกนั ใชค้ า่ ฤชาธรรมเนยี มแทนโจทก์ ในฐานท่จี ำเลย
ที่ 2 เป็นผ้แู พ้คดีแกโ่ จทกต์ ามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา161 นนั้ จำเลยท่ี 2 ผคู้ ้ำประกันจะอา้ งเหตุที่โจทกไ์ ม่ทวง
ถามกอ่ นฟ้อง ขน้ึ เปน็ ข้อยกเวน้ ความรบั ผดิ เพอ่ื คา่ ฤชาธรรมเนียมความซ่ึงลูกหน้จี ะตอ้ งใชใ้ หแ้ กเ่ จา้ หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ มาตรา 684 หาได้ไม่

92

93

ฎกี าที่ 1612/2512 ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง เป็นบทบงั คับเดด็ ขาด ฉะนน้ั
จำเลยจงึ นำสบื วา่ จำเลยไดใ้ ชเ้ งินใหโ้ จทก์แลว้ โดยไม่มหี ลักฐานเปน็ หนังสือหรอื ไดเ้ วนคนื เอกสารหรอื แทงเพกิ ถอนเอกสารนัน้ แลว้ มิได้
เพียงเอาโฉนดทดี่ นิ มาใหผ้ ู้ใหก้ ยู้ ดึ ถอื ไว้ตามสญั ญากู้มิใชห่ นที้ ีม่ ีประกันตามกฎหมาย

ฎกี าที่ 229/2522 แม้จะฟังข้อเทจ็ จรงิ ตามทจี่ ำเลยนำสบื ว่า โจทกไ์ ดก้ เู้ งินจำเลยและได้มอบโฉนดทด่ี นิ ให้จำเลย
ยึดถอื ไว้เปน็ ประกนั การกเู้ งนิ ตามสญั ญากมู้ ไิ ดก้ ำหนดวันชำระเงินไว้ สทิ ธเิ รยี กร้องของจำเลยทจ่ี ะใหโ้ จทกช์ ำระเงินตามสญั ญากู้ เริ่ม
นบั ตง้ั แตว่ ันกเู้ ป็นตน้ ไป และมอี ายคุ วาม 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 164 นบั ตง้ั แต่วนั กเู้ งนิ ถงึ วันท่โี จทก์ฟอ้ ง
เปน็ เวลาเกนิ 10 ปแี ลว้ จำเลยมิได้นำสบื ให้เหน็ วา่ สิทธิเรยี กร้องของจำเลยไม่ขาดอายุความเพราะเหตใุ ด เมอ่ื หนีท้ จ่ี ำเลยอาศยั เป็น
มูลเหตยุ ดึ ถอื โฉนดฉบบั พิพาทของโจทก์ไวข้ าดอายคุ วามเสยี แล้ว จำเลยก็ไมม่ ีสทิ ธยิ ดึ ถือโฉนดไว้เป็นประกนั หน้นี น้ั ตอ่ ไป
การท่โี จทก์กู้เงนิ และมอบโฉนดใหจ้ ำเลยยดึ ถือไวเ้ ป็นประกันเงนิ กู้ ไมเ่ ข้าลกั ษณะจำนำ กรณีไมต่ อ้ งดว้ ยมาตรา 189 จำเลยไมม่ ีสทิ ธิยึด
หนว่ งโฉนดของโจทก์ไวต้ ้องคนื ให้โจทก์ (วรรคแรกวนิ ิจฉัยโดยทปี่ ระชมุ ใหญ่ครงั้ ท่ี 19/2521)

ฎกี าที่ 942/2527 สญั ญาเบกิ เงนิ เกนิ บญั ชีทโ่ี จทก์จำเลยทำไวต้ อ่ กนั มขี ้อความทเ่ี กย่ี วกับหลกั ประกันว่าให้โจทก์
จำนองที่ดนิ โฉนดรายพิพาทพรอ้ มสง่ิ ปลกู สร้างเปน็ ประกันและใหจ้ ำเลยยดึ ถอื โฉนดดังกลา่ วไว้เป็นหลักประกันจนกวา่ จะไดร้ ับชำระหนี้
แลว้ โดยสน้ิ เชงิ เม่อื โจทก์ยงั เปน็ หน้จี ำเลยมากกว่าท่ีโจทก์จะชำระใหแ้ กจ่ ำเลยจำเลยยอ่ มมีสทิ ธิท่จี ะปฏเิ สธไม่รบั ชำระหน้ีและยดึ ถอื
โฉนดไวจ้ นกวา่ จะไดร้ บั ชำระหนีเ้ สร็จสนิ้ ได้

ฎกี าที่ 3535/2550 ป.พ.พ. มาตรา 733 บัญญตั ิวา่ "...ถา้ เอาทรพั ย์สนิ ซ่งึ จำนองออกขายทอดตลาดใชห้ นี้ได้เงิน
จำนวนสทุ ธนิ อ้ ยกว่าจำนวนเงินทค่ี ้างชำระกันอย่นู ัน้ กด็ ี เงินยงั ขาดจำนวนอยู่เทา่ ใด ลูกหนไ้ี ม่ตอ้ งรบั ผดิ ในเงินน้ัน" ปรากฏวา่ สญั ญา
จำนองท่ีดนิ ทงั้ 30 แปลง ระหวา่ งโจทก์กับจำเลยที่ 2 เพอื่ เป็นประกนั การผ่อนชำระหนคี้ า่ ภาษอี ากรคา้ งของจำเลยท่ี 1 โจทก์กบั จำเลย
ที่ 1 ไม่มขี ้อตกลงว่า ถา้ เอาทรัพย์สินซง่ึ จำนองออกขายทอดตลาดใชห้ นี้ไดเ้ งินจำนวนสทุ ธิน้อยกวา่ จำนวนเงนิ ทคี่ ้างชำระกนั เงินยงั ขาด
จำนวนอยเู่ ท่าใดจำเลยท่ี 1 ต้องรับผดิ ในเงนิ น้นั อนั เปน็ การยกเวน้ บทบัญญตั ขิ องมาตรา 733 ดงั กลา่ วขา้ งตน้ กรณีจงึ ตอ้ งอยู่ในบังคบั
แหง่ บทบญั ญตั ขิ องมาตราดงั กลา่ ว คอื หากบังคบั จำนองได้เงินไมพ่ อชำระหน้ีจำเลยท่ี 1 ไม่ต้องรบั ผดิ ในส่วนท่ีขาด ทโี่ จทกอ์ ้างวา่ จำเลย
ที่ 1 จะหลดุ พ้นความรบั ผดิ กต็ อ่ เมื่อไดช้ ำระคา่ ภาษีอากรค้างเสรจ็ สิน้ แลว้ และคดีน้ีมใิ ชเ่ ป็นเรื่องทจ่ี ำเลยท่ี 1 นำทรพั ย์สินของตนเองมา
จำนอง จงึ ไมอ่ ยู่ในบงั คับแหง่ บทบญั ญตั มิ าตรา 733 นัน้ บทบญั ญตั แิ หง่ มาตรา 733 หาได้มขี อ้ จำกดั การใชบ้ ังคบั เฉพาะกรณที ่ลี กู หน้ี
จำนองทรพั ยส์ นิ ของตนเองเทา่ น้ัน

ฎกี าที่ 8370/2551 การทโ่ี จทก์ปลดจำนองใหแ้ ก่ ว. อาจทำให้จำเลยท่ี 3 ในฐานะผคู้ ำ้ ประกันไมอ่ าจรบั ช่วงสทิ ธจิ าก
โจทก์ไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 693 วรรคสอง ซง่ึ อาจเปน็ เหตุใหจ้ ำเลยที่ 3 หลดุ พน้ จากความรับผดิ เพยี งเท่าทตี่ นตอ้ งเสียหายตามมาตรา
697 ก็ตาม แตป่ รากฏว่าตามสัญญาคำ้ ประกันที่จำเลยท่ี 3 ทำไว้กับโจทก์ ขอ้ 5 ระบวุ ่า "การค้ำประกนั นย้ี ่อมผูกพันผคู้ ำ้ ประกันอย่าง

93

94

สมบูรณ์ตลอดไป... และผคู้ ้ำประกันไมพ่ น้ จากการรับผิด เพราะเหตผุ ใู้ ห้กู้อาจกระทำการใดๆ ไป เปน็ เหตุใหผ้ คู้ ้ำประกันไม่อาจเข้ารบั
ช่วงสิทธิได้ท้งั หมดหรือแตบ่ างส่วนในสทิ ธิใดๆ อนั ไดใ้ ห้หรอื อาจได้ให้ไวแ้ ก่ผู้ใหก้ แู้ ตก่ ่อนหรอื ในขณะทำสัญญาคำ้ ประกนั นี"้ อนั เปน็
ขอ้ ตกลงท่คี ู่สญั ญาได้ตกลงกันยกเว้นบทบญั ญตั แิ ห่ง ป.พ.พ. มาตรา 697 ซ่งึ มิใช่กฎหมายอันเกย่ี วดว้ ยความสงบเรยี บร้อยหรือศลี ธรรม
อันดีของประชาชน โจทกแ์ ละจำเลยท่ี 3 จงึ มีอำนาจตกลงกนั ใหม้ ผี ลเปน็ อยา่ งอนื่ ได้ ดงั นน้ั เมอื่ โจทกต์ กลงปลดจำนองคำ้ ประกันรว่ ม
ใหแ้ ก่ ว. แม้จะเปน็ เหตุให้จำเลยที่ 3 ไดร้ บั ความเสยี หายก็ไมท่ ำให้จำเลยท่ี 3 หลดุ พน้ จากความรบั ผดิ ในฐานะผู้คำ้ ประกันทีย่ อมรับผดิ
อยา่ งลกู หนี้ร่วมตามขอ้ สัญญาดังกลา่ ว

ฎกี าท่ี 6734/2553 กำหนดอายคุ วามตามมาตรา 563 หมายถงึ ผใู้ หเ้ ช่าฟ้องผู้เช่าใหร้ บั ผิดเพราะผู้เช่าฝา่ ฝนื ต่อหน้าท่ี
ของตนตามสญั ญาเช่า แตค่ า่ ขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ คา่ ขาดราคาเมอื่ นำรถทเ่ี ชา่ ออกขาย ค่าเบ้ยี ประกันภัยและค่าภาษรี ถยนต์
ที่โจทก์ชำระแทนไป เป็นการฟอ้ งเรยี กคา่ เสยี หายตามสญั ญาเช่าไมใ่ ชเ่ ปน็ การเรยี กคา่ เสยี หายเพราะผ้เู ช่าฝ่าฝนื ต่อหน้าทีจ่ งึ ไม่อยใู่ นอายุ
ความตามมาตรา 563

เม่ือโจทกบ์ อกเลิกสัญญาเชา่ แกโ่ จทก์ การท่ีจำเลยที่ 1 ไมส่ ง่ มอบรถยนตค์ นื โจทกย์ ่อมไดร้ ับความ
เสียหายเพราะไม่สามารถใชป้ ระโยชน์จากรถยนต์ที่จำเลยท่ี 1 เช่าไป จำเลยที่ 2 จะอา้ งวา่ ระหว่างนั้นจำเลยท่ี 1 ไม่ได้ใชร้ ถยนตแ์ ละ
โจทกไ์ มต่ ดิ ตามเอารถยนต์คนื หาได้ไม่ เพราะเปน็ หนา้ ท่ีของจำเลยที่ 1 ตอ้ งสง่ มอบรถยนตท์ เ่ี ช่าคนื ตามสญั ญาและตาม ป.พ.พ. มาตรา
561 การผอ่ นเวลาชำระหนแี้ ก่ลูกหน้ซี ึ่งทำให้ผคู้ ้ำประกนั หลุดพน้ จากความรับผดิ นัน้ จะตอ้ งมกี ารตกลงผอ่ นเวลากันแนน่ อน และมีผลว่า
ในระหว่างผอ่ นเวลาน้นั เจา้ หนี้จะใช้สทิ ธิเรียกร้องหรอื ฟ้องร้องมไิ ด้ หากเพียงแต่หน้ถี งึ กำหนดชำระ เจา้ หนีไ้ มไ่ ดเ้ รยี กร้องใหล้ กู หน้ชี ำระ
ยงั ไม่ถอื ว่าเปน็ การผ่อนเวลาให้แก่ลูกหน้เี พราะเจา้ หนอ้ี าจใชส้ ทิ ธิเรียกรอ้ งเมอ่ื ใดก็ได้ ข้อเท็จจรงิ ได้ความวา่ จำเลยที่ 1 ผดิ นดั ชำระหน้ี
ต้ังแตง่ วดที่ 19 เป็นต้นไปเทา่ น้นั โดยไม่มกี ารตกลงระหวา่ งโจทกแ์ ละจำเลยที่ 1 ยอมผ่อนเวลาชำระหนีก้ ันแตป่ ระการใด ดงั น้ี จำเลยท่ี
2 จงึ ไมห่ ลุดพน้ จากหนี้ตามมาตรา 700

ฎกี าที่ 1579/2552 โจทก์มหี นังสอื สญั ญากู้ 2 ฉบับ ที่จำเลยทง้ั สามเถียงว่า โจทก์ลวงให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อผูกผันเป็นผู้
กไู้ วก้ ่อน อกี ทงั้ อ. พยานโจทก์ซ่ึงมตี ำแหน่งเปน็ ผชู้ ่วยผูจ้ ดั การดา้ นสินเชื่อสาขาหาดใหญข่ องโจทก์มาเบิกความรับรองดว้ ยว่า หลังจาก
โจทกอ์ นมุ ัตใิ หจ้ ำเลยที่ 1 กจู้ ำเลยท่ี 1 ก็ไดร้ บั เงินกู้ทง้ั 2 จำนวนไปจากโจทกค์ รบถว้ นแลว้ โดยจำเลยท่ี 1 ลงชอ่ื รบั เงนิ ไว้ เมอื่ จำเลยที่ 1
มไิ ดป้ ฏเิ สธว่า ลายมอื ชื่อผ้กู ้มู ิใชเ่ ป็นของจำเลยท่ี 1 จงึ ถือว่าโจทกม์ หี ลักฐานการกยู้ ืมเงนิ เป็นหนังสือตามกฎหมายแลว้
ฎีกาของจำเลยที่ 2 ท่ีวา่ จำเลยที่ 2 ไมต่ อ้ งรับผดิ ตามสัญญาค้ำประกนั น้นั จำเลยที่ 2 มิไดใ้ หก้ ารต่อสู้ในเรือ่ งสญั ญาคำ้ ประกันไว้แตอ่ ยา่ ง
ใดจึงนอกคำให้การของจำเลยที่ 2 และนอกประเดน็

แมก้ ารจดทะเบยี นจำนองและจดทะเบียนขึน้ เงินจำนองเป็นประกนั หนจ้ี ะทำข้นึ ก่อนเวลาทโี่ จทก์
จะสง่ มอบเงนิ ก้ทู งั้ 2 จำนวนแก่จำเลยที่ 1 กต็ าม แต่ ป.พ.พ. มาตรา 707 ว่าดว้ ยจำนอง บญั ญตั ิวา่ "บทบัญญตั มิ าตรา 681 วา่ ดว้ ยคำ้
ประกันน้ันทา่ นใหใ้ ช้ได้ในการจำนอง อนโุ ลมตามควร" กลา่ วโดยเฉพาะ ตามนยั มาตรา 681 ทว่ี ่าหนที้ ่ีอาจเกิดข้นึ โดยสมบูรณ์ในอนาคต

94

95

ย่อมทำสญั ญาคำ้ ประกนั ได้ ดงั นน้ั เมือ่ ต่อมาโจทก์มอบเงินกทู้ ั้ง 2 จำนวนแกจ่ ำเลยที่ 1 หลังจากทำสญั ญาจำนองกนั ดงั กล่าวหนเี้ งินกู้ใน
ส่วนน้ันกส็ มบูรณ์ การจำนองเปน็ ประกันการชำระหน้ดี งั กลา่ วลว่ งหน้าจงึ บงั คบั แก่กันได้

ฎีกาท่ี 817/2521 ผู้รับจำนองต้องเป็นเจ้าหน้ีในมลู หนอี้ นั ใดอนั หนง่ึ ตามมาตรา702 แต่ผ้จู ำนองอาจไม่ใช่ตวั ลกู หนกี้ ็
ได้ ตาม มาตรา709จำเลยท่ี 1 กู้เงินโจทกท์ ่ี 1 จำเลยท่ี 1 และจำเลยที่ 2 จำนองทดี่ นิ แก่โจทกท์ ่ี 2 ซงึ่ ไม่ใชเ่ จา้ หน้ี จำนองจงึ บงั คับแก่
หน้ที ีจ่ ำเลยท่ี 1กโู้ จทก์ที่ 1 ไมไ่ ดช้ ำระดอกเบยี้ ดว้ ยเชค็ เจา้ หนไ้ี มเ่ อาเชค็ ไปขนึ้ เงินลูกหน้ียงั ต้องชำระดอกเบย้ี ตามจำนวนในเช็ค พยาน
เอกสารซงึ่ ผ้อู ้างมิได้สง่ สำเนาแกค่ คู่ วามอกี ฝ่ายหนง่ึ กอ่ นวนั สบื พยาน 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพง่ มาตรา90 ศาล
รบั ฟังฝ่าฝนื บทบญั ญตั นิ ไี้ ด้ตามมาตรา87(2) โจทกส์ ง่ สำเนาพรอ้ มกับฟ้องก็ใช้ได้ เอกสารทตี่ น้ ฉบับอยกู่ บั คนภายนอกผอู้ ้างไมต่ ้องสง่
สำเนา ศาลตรวจพจิ ารณาลายมือชอื่ ทม่ี ขี อ้ คดั ค้านวา่ เป็นลายมอื ช่อื ปลอมโดยเปรยี บเทยี บกับลายมือชอ่ื ในเอกสารอนื่ ท่ีแทจ้ รงิ ไดเ้ อง
แมเ้ ป็นลายมอื ชอ่ื ภาษาตา่ งประเทศ ไม่ขดั ต่อประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา46

ฎกี าท่ี 4436/2545 การทจ่ี ำเลยจดทะเบยี นจำนองทด่ี ินพิพาทไวแ้ กโ่ จทกน์ ัน้ แท้จรงิ แล้วเป็นการจำนองประกนั หนที้ ่ี
จำเลยมตี อ่ ล. โจทก์ผู้รับจำนองจงึ มไิ ดเ้ ปน็ เจ้าหน้ใี นมูลหนี้ทจี่ ำเลยจำนองทดี่ ินเป็นประกัน สญั ญาจำนองจงึ ไมม่ ีมูลหนี้ท่ีจำเลยตอ้ งรับ
ผดิ ตอ่ โจทก์ โจทกจ์ งึ บงั คับจำนองแก่จำเลยมไิ ด้

การทีจ่ ำเลยนำสบื พยานบุคคลวา่ การจำนองทดี่ ินตามหนงั สอื สญั ญาจำนองทดี่ ินเป็นการจำนอง
เพ่ือเป็นประกนั หนตี้ น้ เงนิ ท่ีจำเลยไดร้ ับมาปล่อยกู้จาก ล. และดอกเบี้ยทีล่ ูกหนคี้ า้ งชำระรวมกัน แลว้ ใชช้ ่อื โจทก์เปน็ ผู้รับจำนอง จำเลย
ไม่ได้เป็นหนโี้ จทกต์ ามฟอ้ งเปน็ การนำสบื เพอ่ื อธิบายถงึ ทม่ี าของหนต้ี ามสญั ญาจำนองวา่ ไม่สมบูรณเ์ พราะไม่มมี ลู หนต้ี อ่ กัน จงึ ไม่
ต้องหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา 94 วรรคท้ายหาใชเ่ ปน็ การนำสืบวา่ จำเลยไมไ่ ดร้ บั เงินตามเอกสารดงั กลา่ ว
ไม่ จำเลยย่อมมีสิทธนิ ำสบื ได้

ฎีกาที่ 5831/2553 ผู้รอ้ งกบั จำเลยทำสัญญาประนปี ระนอมยอมความกันตอ่ หน้าศาลโดยจำเลยยอมรับวา่ เป็นหนตี้ าม
ตัว๋ สัญญาใชเ้ งนิ ตอ่ ผรู้ ้องตามคำฟ้องและขอผอ่ นชำระหนี้ หากผดิ นัดยอมใหผ้ รู้ ้องยึดทรัพย์จำนองและทรัพยส์ ินอ่ืนของจำเลยออกขาย
ทอดตลาดนำเงินมาชำระหนใี้ ห้แกผ่ ูร้ ้องจนครบถว้ น และศาลพพิ ากษาตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความนน้ั แลว้ การทจี่ ำเลยยอมรบั
วา่ เป็นหนี้ตามตัว๋ สญั ญาใชเ้ งินตอ่ ผู้รอ้ งหน้ปี ระธานจงึ ยังไมร่ ะงบั ไปและจำเลยยงั ตกลงวา่ หากจำเลยผิดนดั ใหผ้ ูร้ ้องยดึ ทรัพย์จำนองอนั
เป็นประกันหน้ตี ามต๋ัวสัญญาใช้เงินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แกผ่ ู้รอ้ ง เปน็ การที่จำเลยยอมรบั ผดิ ตามสัญญาจำนองอัน
เป็นหน้อี ปุ กรณ์ด้วย ดังน้ี เมื่อหนี้ตามต๋วั สญั ญาใช้เงนิ อันจำนองเป็นประกันยังไม่ระงับสิ้นไป หนต้ี ามสญั ญาจำนองจงึ ยังไม่ระงบั สิน้ ไป
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 744 ผูร้ ้องในฐานะผูร้ ับจำนองมีสทิ ธขิ อรบั ชำระหนจ้ี ากการขายทอดตลาดทรพั ย์จำนอง
ไดก้ ่อนเจ้าหน้อี ่นื ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289

95

96

ฎีกาที่ 8851/2551 ป.พ.พ. มาตรา 733 ไม่มีข้อจำกดั วา่ ตอ้ งใชบ้ งั คับเฉพาะในกรณที ีล่ ูกหน้จี ำนองทรัพยส์ ินของ
ตนเองเท่าน้ัน จึงใช้บังคับแกก่ รณที บ่ี ุคคลหนงึ่ จำนองทรพั ย์สินของตนไว้เพอ่ื ประกันหน้อี นั บุคคลอื่นจะต้องชำระดว้ ย
ตามสญั ญากเู้ งินและสญั ญาจำนองที่จำเลยทง้ั สองทำไวก้ บั โจทกไ์ ม่มขี ้อตกลงยกเวน้ ไวว้ ่า หากโจทกบ์ งั คบั จำนองได้เงินไมพ่ อชำระหน้ี
จำเลยที่ 1 จะต้องรบั ผดิ ในเงนิ ท่ีขาดจำนวนอยู่ ศาลช้นั ตน้ จงึ พพิ ากษาเพยี งวา่ หากจำเลยทงั้ สองไมช่ ำระหนใี้ หย้ ดึ ทรพั ยจ์ ำนองของ
จำเลยที่ 2 ขายทอดตลาดชำระหนแี้ ก่โจทกเ์ ทา่ นั้น โดยมไิ ดร้ ะบใุ หบ้ ังคับชำระหนเ้ี อาจากทรัพยส์ ินอ่ืนอีก ดงั นั้น เม่ือโจทก์ได้นำยึด
ทรัพย์จำนองของจำเลยท่ี 2 ขายทอดตลาดเสร็จสน้ิ ไปแลว้ แมจ้ ะได้เงนิ ไมพ่ อชำระหนต้ี ามคำพิพากษา โจทก์จะขอให้บงั คบั คดเี อาจาก
ทรัพย์สนิ ของจำเลยที่ 1 ตอ่ ไปอีกไม่ได้

ฎีกาที่ 1438/2540 การที่ว. ผ้คู ้ำประกนั ซึ่งเปน็ ลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ที่1ไดช้ ำระหนใี้ หแ้ กเ่ จ้าหนน้ี ั้นยอ่ มทำใหอ้ ายคุ วาม
สะดุดหยุดลงเปน็ โทษแกผ่ คู้ ำ้ ประกันไม่มีกฎหมายใดบญั ญตั ิไวว้ า่ ใหม้ ีผลไปถงึ ลกู หนดี้ ว้ ยแม้ลกู หนี้ทง้ั สองจะต้องรบั ผดิ รว่ มกบั ผคู้ ำ้
ประกนั กำหนดอายคุ วามของลูกหนี้แตล่ ะคนกต็ อ้ งเป็นไปเพื่อคณุ และโทษเฉพาะแตล่ กู หนค้ี นน้นั เท่านนั้ การทวี่ .ชำระหนี้ใหเ้ จ้าหนี้ลกู หน้ี
ทั้งสองย่อมไมถ่ กู ผูกพันในเรอ่ื งอายคุ วามสะดุดหยดุ ลงฉะนน้ั จึงไม่ทำให้อายคุ วามทเี่ จา้ หน้ีจะใช้สทิ ธิเรยี กร้องดอกเบี้ยจากลกู หนท้ี ้ังสอง
สะดุดหยดุ ลงด้วยเจ้าหน้ีมสี ทิ ธเิ รยี กร้องเอาดอกเบีย้ ทค่ี ้างชำระได้ในอายคุ วามเพยี ง5ปเี ทา่ น้ัน ลูกหนที้ 1่ี เปน็ หนี้เจ้าหน้ตี ามสญั ญาทรัสต์
รซี ที จำนวน11ฉบบั คดิ ถงึ วันเรียกเกบ็ ค้างชำระเปน็ เงนิ ทงั้ สนิ้ 891,808.23บาทนบั ตงั้ แต่วันผิดนดั ชำระหนี้รายนีล้ ูกหนท้ี ัง้ สองไม่ได้ชำระ
หนใี้ หแ้ ก่เจ้าหน้ีเลยจงึ ถือวา่ ดอกเบย้ี ทเี่ จา้ หน้ีมีสทิ ธคิ ดิ จากเงนิ ทคี่ ้างชำระดงั กล่าวเป็นดอกเบย้ี ท่ีคา้ งชำระซง่ึ ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์มาตรา193/33(1)กำหนดใหส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งเอาดอกเบยี้ คา้ งชำระหน้ีไดภ้ ายในอายคุ วาม5ปีดอกเบยี้ ทคี่ า้ งเกนิ กว่า5ปซี ่ึงขาด
อายคุ วามแมย้ งั ถอื เป็นภาระหน้ีท่ีลูกหน้ที ง้ั สองคา้ งชำระแกเ่ จ้าหนแี้ ละผู้คำ้ ประกนั ซึง่ เป็นลกู หน้ีร่วมไดช้ ำระหนี้แกเ่ จา้ หน้กี ่อนท่ีเจ้าหน้ี
จะใช้สิทธเิ รียกร้องและกอ่ นศาลมคี ำสง่ั พทิ ักษท์ รัพยเ์ ดด็ ขาดแตห่ น้ขี องส่วนดอกเบีย้ ทคี่ ้างชำระเกินกว่า5ปกี ็เป็นหนีท้ ่ขี าดอายคุ วาม
ตอ้ งหา้ มมิให้เจ้าหนน้ี ำมาขอรบั ชำระหนี้จากกองทรัพยส์ ินของลกู หน้ดี ังน้นั เจ้าหนี้จึงไมม่ สี ทิ ธินำเงินทผ่ี คู้ ้ำประกันชำระหนดี้ งั กลา่ วมาหกั
ชำระดอกเบ้ยี ทีค่ า้ งสง่ เกินกว่า5ปอี นั เป็นหนที้ ่ีขาดอายคุ วามแล้วได้

ฎกี าท่ี 4015/2555 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 มไิ ดบ้ ญั ญัตวิ า่ การบอกกลา่ วบังคับจำนองต้องทำเป็นหนงั สือ จงึ ไม่ตก
อยู่ในบังคบั มาตรา 798 วรรคหนงึ่ ทกี่ ำหนดใหก้ ารต้งั ตวั แทนเพอื่ กิจการน้นั ตอ้ งทำเปน็ หนงั สอื แตอ่ ย่างใด แมโ้ จทกจ์ ะไมไ่ ด้ทำหนงั สือ
มอบอำนาจให้ทนายความบอกกลา่ วบงั คับจำนองกต็ าม แตก่ ารท่ีทนายโจทกท์ ำหนังสือบอกกลา่ วบังคบั จำนองแก่จำเลยเปน็ การกระทำ
ในนามของโจทก์ ทง้ั ต่อมาโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดแี ก่จำเลย แสดงให้เหน็ ว่าโจทก์ยอมรบั เอาการบอกกล่าวบงั คบั
จำนองของทนายโจทกเ์ ปน็ การบอกกลา่ วในนามของโจทก์ ถอื ได้วา่ โจทก์ซง่ึ เป็นตวั การซึ่งให้สัตยาบันแกก่ ารกระทำของทนายโจทก์ ซ่งึ
เปน็ ตัวแทนท่ีบอกกล่าวบงั คับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 823 วรรคหนึง่ แลว้ จงึ ถือว่าโจทก์ในฐานะผ้รู ับจำนองมหี นังสอื บอกกลา่ ว
บงั คบั จำนองไปยงั จำเลยผ้จู ำนองตามทบ่ี ญั ญัติไว้ในมาตรา728โดยชอบแลว้

96

97

ฎีกาท่ี 125/2554 หนี้เงนิ ลีร์ตามเลตเตอร์ออฟเครดติ และทรสั ต์รซี ีทครบกำหนดในวันท่ี 22 กมุ ภาพันธ์ 2539 และ
บรษิ ัทลูกหน้ีชนั้ ตน้ ผดิ นดั ชำระหน้ี โจทก์จงึ มีสิทธเิ รยี กรอ้ งให้จำเลยทง้ั สองในฐานะผู้คำ้ ประกันชำระหน้ไี ด้นับแตว่ นั ที่ 23 กมุ ภาพนั ธ์
2539 ความรบั ผดิ ตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญตั อิ ายคุ วามไว้โดยเฉพาะจึงมีอายคุ วาม 10 ปี เม่ือโจทกเ์ พง่ิ นำคดเี กยี่ วกับหน้ี
ส่วนน้มี าฟอ้ งในวนั ท่ี 24 ตลุ าคม 2549 ทง้ั ท่สี ทิ ธิเรยี กร้องตอ่ ผูค้ ำ้ ประกันในหนเี้ งินลรี เ์ กดิ ตง้ั แตว่ นั ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2539 เกนิ
กำหนดเวลา 10 ปี สิทธิเรียกร้องตามสญั ญาคำ้ ประกนั จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ มาตรา 193/30

มลู หนตี้ ามฟ้องคดีนี้เป็นมลู หนตี้ ามสญั ญาทรสั ตร์ ีซีทซงึ่ ตา่ งจากมูลหนเ้ี งนิ ก้เู บกิ เงนิ เกินบญั ชี
ประเด็นแหง่ คดีในมูลหนี้ทงั้ สองยอ่ มตา่ งกนั คดีนจี้ งึ ไม่อาจเป็นฟอ้ งซำ้ หรอื ดำเนนิ กระบวนพิจารณาซ้ำ
ไม่ว่าดอกเบยี้ จะค้างอยนู่ านเท่าใด ในกรณที จ่ี ำเลยให้การต่อสูเ้ รอ่ื งอายคุ วามคดิ ดอกเบีย้ ไว้ โจทก์กม็ สี ทิ ธคิ ดิ ดอกเบย้ี กอ่ นฟอ้ งยอ้ นหลัง
ไปได้เพยี ง 5 ปี เทา่ นัน้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1)

ฎกี าท่ี 1268/2555 ค้ำประกนั เปน็ สญั ญาท่ผี คู้ ำ้ ประกันยอมผกู พันตนต่อเจา้ หนเี้ พื่อชำระหน้ีในเม่อื ลูกหนไ้ี ม่ชำระหนี้
ผูค้ ำ้ ประกนั หาไดม้ หี น้ีทีจ่ ะต้องปฏิบตั ิต่อเจา้ หน้โี ดยอาศยั ความสามารถหรอื คุณสมบตั บิ างอยา่ งซง่ึ ตอ้ งกระทำเป็นการเฉพาะตัวไม่ ผ้คู ้ำ
ประกนั มีความผูกพนั ต้องชำระหนแ้ี กเ่ จ้าหนีใ้ นเมือ่ ลกู หนไ้ี มช่ ำระหนี้อันเป็นความผูกพันในทางทรพั ยส์ นิ เท่านัน้ ดว้ ยเหตุน้ีเม่ือ พ. ทำ
สญั ญาคำ้ ประกนั การชำระหนีเ้ งินกู้ของจำเลยที่ 1 ซง่ึ เปน็ หนี้อนั สมบรู ณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 681 วรรคหนึง่ แมข้ ณะที่ พ. ถงึ แกค่ วาม
ตาย จำเลยที่ 1 ผกู้ ู้ยงั ไมผ่ ดิ สัญญาหรือผดิ นดั กต็ าม สัญญาคำ้ ประกันกห็ าได้ระงับไปเพราะความตายของ พ. ไม่ สิทธหิ น้าทีแ่ ละความ
รบั ผดิ ตา่ ง ๆ ตามสญั ญาคำ้ ประกันท่ี พ. ทำกบั โจทกจ์ งึ เป็นมรดกตกทอดแกท่ ายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคหนงึ่ และมาตรา
1600

ฎกี าที่ 11865/2555 รายการในสมุดของโจทก์ท่ีระบุไวต้ อนบนเปน็ ชือ่ เล่นของภรยิ าจำเลยและมขี ้อความวา่ วันทก่ี เู้ งิน
กบั รายการท่ีระบวุ ันท่แี ละจำนวนเงนิ โดยจำเลยลงลายมอื ช่อื เปน็ ผรู้ ับเงินกำกบั ไวใ้ นเครื่องหมายปีกกา รวม 6 รายการ เป็นเงิน 49,000
บาท นน้ั จำเลยเปน็ ผ้รู ับเงนิ ดงั กล่าวไปจากโจทก์ การทโี่ จทก์ระบุชื่อเล่นของภริยาจำเลยไมท่ ำใหค้ วามรับผดิ ของจำเลยเปลีย่ นแปลงไป
ทจี่ ำเลยอ้างวา่ จำเลยลงลายมือชอ่ื รบั ดอกเบย้ี 15,000 บาท จากโจทก์ไว้แทนภริยาจำเลยนั้น จำเลยและภรยิ าจำเลยอธิบายไมไ่ ด้ว่า
ดอกเบีย้ ดงั กลา่ วคดิ มาจากตน้ เงนิ จำนวนใด และเหตุใดจำเลยจงึ ลงลายมอื ชอื่ รับเงินไว้หลายรายการ เป็นจำนวนเงินมากกวา่ ทอี่ า้ งว่ารับ
จากโจทก์ไว้เปน็ ดอกเบย้ี ซงึ่ ขดั ต่อเหตผุ ล ขอ้ เท็จจรงิ ฟงั ได้วา่ จำเลยกยู้ ืมเงนิ โจทก์และรบั เงนิ จำนวนดงั กล่าวไปจากโจทกแ์ ลว้ โดย
จำเลยและภรยิ าจำเลยตกลงใหค้ ่าตอบแทนแกโ่ จทก์เป็นอตั รารอ้ ยละของเงินทีร่ ับไปจากโจทก์ซึ่งก็คอื ดอกเบย้ี แลว้ จำเลยและภริยา
จำเลยนำเงนิ ทีก่ จู้ ากโจทก์ไปปลอ่ ยกตู้ ่อโดยคดิ ดอกเบยี้ ในอตั ราที่สูงกวา่ ทตี่ ้องจา่ ยใหโ้ จทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ใหก้ ้ยู ืมเงิน และรายการตาม
เอกสารดงั กลา่ วเป็นหลกั ฐานแหง่ การกูย้ ืมซงึ่ ทำเป็นหนังสอื ลงลายมอื ช่อื จำเลยผ้กู ยู้ ืมเป็นสำคญั จงึ ฟ้องร้องใหบ้ งั คบั คดกี ันไดต้ าม ป.
พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง โดยหาจำต้องระบุช่ือโจทกเ์ ป็นผใู้ หก้ ูย้ ืมไว้ไม่

97

98

ฎกี าท่ี 3557/2554 เม่อื หนี้ตามตั๋วสญั ญาใช้เงนิ ของจำเลยที่ 1 ขาดอายคุ วาม โดยหน้ีดังกล่าวมที ด่ี นิ พรอ้ มส่ิงปลกู
สร้างท่ีจำเลยที่ 2 จำนองไว้แกโ่ จทกเ์ พ่อื เปน็ ประกัน กรณีต้องดว้ ย ป.พ.พ. มาตรา 193/27 และมาตรา 745 กล่าวคอื โจทกซ์ ง่ึ เป็นผู้รบั
จำนองจะบงั คบั ชำระหน้ีจากทรัพย์สนิ ที่จำนองแม้หน้ีทีจ่ ำนองเป็นประกนั น้ันขาดอายุความแล้วกไ็ ด้ แตจ่ ะบงั คับเอาดอกเบ้ยี ทค่ี า้ ง
ยอ้ นหลังเกนิ กวา่ 5ปีข้นึ ไปไมไ่ ด้ ซงึ่ เป็นบทกฎหมายท่บี ญั ญตั ิให้สทิ ธิผู้รับจำนองบงั คบั ไดแ้ ตเ่ ฉพาะทรัพยส์ ินที่จำนอง
เทา่ น้ัน ดังน้นั แม้วา่ ตามสญั ญาจำนองจะกำหนดวา่ หากบงั คับจำนองไดเ้ งนิ ไมพ่ อชำระหนี้ใหบ้ ังคบั จากทรัพยส์ นิ อืน่ จนกวา่ จะครบก็
ตาม โจทก์กจ็ ะบงั คับจากทรพั ย์สินอนื่ ของจำเลยท่ี 2 เพอื่ เอาชำระหนี้ในส่วนนหี้ าได้ไม่ ส่วนเร่อื งดอกเบ้ยี นั้นบทกฎหมายดงั กล่าว
เพียงแตบ่ ัญญตั ิหา้ มผรู้ ับจำนองมิให้ใช้สทิ ธบิ งั คบั ใหช้ ำระดอกเบย้ี ทค่ี า้ งย้อนหลังเกนิ กวา่ 5 ปีขนึ้ ไป มิไดห้ า้ มผ้รู บั จำนองมิให้เรยี ก
ดอกเบยี้ นบั แต่วันฟอ้ งขอให้บงั คบั จำนอง โจทก์จงึ มีสทิ ธิเรยี กดอกเบีย้ นับแตว่ นั ฟ้องเป็นต้นไปได้

ฎีกาที่ 4295/2555 แมโ้ จทก์ซงึ่ เป็นผ้รู บั จำนองจะบงั คบั ชำระหนี้จากทรพั ยส์ นิ ท่ีจำนองไดแ้ ม้เมือ่ หนท้ี จ่ี ำนองเปน็
ประกนั นั้นขาดอายคุ วาม แตค่ งบงั คบั ได้แต่เฉพาะทรพั ยส์ ินที่จำนองเท่านน้ั หาอาจบงั คบั ถงึ ทรพั ยส์ นิ อืน่ ของเจ้ามรดกไดไ้ ม่ แมส้ ัญญา
จำนองท่ีดินเป็นประกนั และขอ้ ตกลงตอ่ ท้ายสญั ญาจำนองจะกำหนดให้บงั คับเอาจากทรพั ยส์ ินอน่ื จนกวา่ จะครบหากบงั คบั จำนองไดเ้ งนิ
ไม่พอชำระหนี้กต็ าม เพราะทำให้จำเลยตอ้ งรบั ผิดมากไปกว่าที่ตอ้ งรบั ผิดตามกฎหมาย ปญั หาดงั กล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเก่ียว
ดว้ ยความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน แมไ้ มม่ คี ู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขนึ้ วินิจฉยั และแก้ไขใหถ้ กู ตอ้ งไดต้ าม ป.วิ.พ.
มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247

ฎกี าที่ 12738/2555 เน่อื งจากสญั ญากยู้ ืม ขอ้ 2 วรรคหนงึ่ ปรากฏเพยี งวา่ โจทกก์ บั จำเลยตกลงให้คดิ ดอกเบยี้ กันได้
แต่ไม่ไดก้ ำหนดอตั ราดอกเบยี้ กันไวใ้ นสัญญา แม้ ป.พ.พ. มาตรา 654 จะบญั ญตั ิห้ามมใิ ห้คดิ ดอกเบยี้ เกนิ ร้อยละ 15 ตอ่ ปี กม็ ี
ความหมายเพยี งว่าในสญั ญาทตี่ กลงกนั กำหนดอัตราดอกเบย้ี ไวห้ ้ามมใิ ห้ตกลงคดิ ดอกเบีย้ กนั เกนิ อัตรารอ้ ยละ 15 ต่อปี แตเ่ มอ่ื ค่สู ญั ญา
ไม่ไดต้ กลงกันกำหนดอัตราดอกเบย้ี ไวเ้ ช่นน้ี จงึ ต้องเป็นไปตามมาตรา 7 ทบ่ี ัญญตั ใิ ห้ใชอ้ ัตรารอ้ ยละ 7.5 ต่อปี

ฎกี าท่ี 5566/2555 โจทกค์ ดิ ดอกเบย้ี จากจำเลยอตั รารอ้ ยละ 5 ตอ่ เดอื น หรืออตั ราร้อยละ 60 ต่อปี จงึ เปน็ การคดิ
อัตราดอกเบยี้ เกนิ กวา่ ท่กี ฎหมายกำหนด ตอ้ งหา้ มตาม พ.ร.บ.หา้ มเรียกดอกเบ้ียเกนิ อตั ราฯ ตกเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา
150 ดงั นนั้ โจทก์คงมสี ทิ ธคิ ดิ ดอกเบยี้ อตั ราร้อยละ 7.5 ต่อปี นบั แตว่ นั ผดิ นดั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหน่ึง คือวนั ท่คี รบกำหนด
ชำระหนี้เงินกู้

ฎีกาที่ 1110/2555 คดีนโ้ี จทก์ฟอ้ งว่า บริษัท ต. เชา่ ซือ้ รถยนต์กระบะไปจากบรษิ ัทเงนิ ทุนหลกั ทรัพย์ ท. โดยมีจำเลย
เป็นผู้ค้ำประกันยอมรบั ผดิ อยา่ งลูกหน้ีร่วม บรษิ ัท ต. ผดิ นัดชำระคา่ เช่าซื้อ ต่อมาโจทก์ประมูลซอ้ื ทรพั ยส์ ินของบรษิ ทั เงินทนุ หลกั ทรัพย์
ท. จาก ปรส. ได้ โจทก์บอกเลกิ สัญญาเชา่ ซอ้ื แลว้ ขอให้บงั คบั จำเลยส่งมอบทรัพยส์ นิ ทีเ่ ชา่ ซอื้ จำเลยให้การวา่ ฟอ้ งโจทกข์ าดอายุความ
และจำเลยในฐานะผ้คู ำ้ ประกนั ยกข้อตอ่ สขู้ องบรษิ ัท ต. ผู้เช่าซอ้ื ขนึ้ ต่อสโู้ จทกน์ นั้ ป.พ.พ. มาตรา 694 บญั ญตั วิ ่า นอกจากขอ้ ต่อสซู้ ง่ึ ผู้
คำ้ ประกันมีตอ่ เจา้ หนแ้ี ล้ว ผู้คำ้ ประกันยงั อาจยกขอ้ ตอ่ ส้ทู ง้ั หลายซ่งึ ลูกหนี้มตี อ่ เจ้าหนข้ี ้ึนตอ่ สู้ไดด้ ้วย การท่ีโจทกฟ์ ้องคดีเมือ่ พ้นกำหนด

98

99

2 ปีนบั แตว่ นั ที่บรษิ ัท ต. ผ้เู ชา่ ซื้อชำระบัญชเี สรจ็ ซงึ่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1272 ระบหุ า้ มมิใหโ้ จทกฟ์ ้องเรยี กหนีส้ นิ ซงึ่ บรษิ ทั เป็นลูกหน้ี
เมอื่ พน้ กำหนด 2 ปี นับแตว่ นั ถงึ ที่สดุ แหง่ การชำระบญั ชี ฟ้องโจทก์จงึ ขาดอายุความ จำเลยจงึ สามารถยกข้อต่อสูเ้ รื่องอายคุ วามดังกลา่ ว
ขน้ึ ต่อส้โู จทก์ได้ สว่ นข้อตกลงทเี่ ปน็ การจำกดั สิทธติ ามกฎหมายของผคู้ ำ้ ประกนั นัน้ ข้อตกลงดงั กลา่ วจะตอ้ งระบุไวใ้ หช้ ดั แจง้ ในสัญญา
ทโ่ี จทกฎ์ ีกาวา่ สญั ญาคำ้ ประกันขอ้ 3 มีข้อความระบวุ า่ ในกรณที ีผ่ เู้ ช่าซื้อผดิ นดั ไม่ชำระหน้แี กบ่ รษิ ัทไม่วา่ โดยเหตุใด ๆ กต็ าม หรอื มีการ
ชำระบญั ชี หรอื มีเหตอุ ืน่ ใดอนั ทำให้บรษิ ัทไม่ไดร้ ับชำระหน้ีเต็มจำนวนหนที้ ง้ั หมด ผคู้ ำ้ ประกันก็ยังคงต้องรบั ผดิ และผคู้ ำ้ ประกันตกลง
จะชำระหนีท้ ่คี ้างชำระอย่ทู งั้ หมดใหแ้ ก่บรษิ ัททนั ทีนนั้ ยงั แปลไมไ่ ดว้ ่าผู้คำ้ ประกนั ยอมสละสทิ ธิไม่ยกข้อตอ่ สู้ของลกู หนีข้ ้ึนต่อสเู้ จา้ หนี้

การใช้สทิ ธิตดิ ตามเอาทรัพย์กลับคืนมา ป.พ.พ.มาตรา 1336 นัน้ ต้องเป็นกรณีท่ีตดิ ตามเอาทรัพย์
กลับคืนจากผู้ทีค่ รอบครองทรัพยส์ นิ นั้นอยู่จงึ จะเป็นเร่อื งท่ีไม่มีกำหนดอายคุ วาม แต่คดีนีไ้ มป่ รากฏขอ้ เทจ็ จริงวา่ จำเลยในฐานะผคู้ ำ้
ประกันครอบครองรถยนตข์ องโจทก์ อีกทง้ั ฟอ้ งโจทก์กเ็ ปน็ เรอื่ งบงั คบั ให้จำเลยรบั ผดิ ตามสญั ญาคำ้ ประกัน จำเลยจึงสามารถยกขอ้ ตอ่ สู้
ของลูกหนี้ในเรือ่ งอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1272 ข้ึนต่อสโู้ จทกไ์ ด้

ฎกี าท่ี 2488/2552 แม้ศาลชนั้ ตน้ มิได้สง่ั อนุญาตใหโ้ จทกอ์ ทุ ธรณเ์ ฉพาะปญั หาขอ้ กฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่การ
ที่จำเลยได้รับสำเนาอทุ ธรณแ์ ลว้ ไมค่ ดั คา้ นและศาลชนั้ ตน้ สง่ สำนวนมายังศาลฎีกาพอแปลไดว้ า่ ศาลชน้ั ตน้ อนญุ าตใหโ้ จทกอ์ ุทธรณ์
โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ วรรหน่งึ แลว้

ป.พ.พ. มาตรา 193/12 บญั ญตั วิ ่า อายคุ วามให้เรม่ิ นับแต่ขณะท่ีอาจบงั คบั สิทธเิ รียกร้องได้เป็น
ต้นไป ตามหนงั สอื สัญญากูเ้ งินขอ้ 2 ระบวุ ่า ผู้กู้สญั ญาวา่ จะชำระเงนิ ก้รู ายนใี้ ห้เสร็จส้ินภายใน 15 ปี นับแตว่ ันทำสญั ญาฉบบั น้ี และจะ
ชำระดอกเบีย้ กบั ผอ่ นเงนิ ตน้ ตามสญั ญาน้ใี ห้กบั ผ้ใู ห้กู้เป็นจำนวนรวมกนั ไม่ต่ำกวา่ เดือนละ 4,900 บาท ทุกวันสิน้ เดอื น เรมิ่ แต่วนั สิ้น
เดอื นของเดือนท่ีได้รับเงินก้เู ป็นตน้ ไปหากผ้กู ู้ผดิ นดั ไม่ชำระเงนิ กงู้ วดหน่ึงงวดใด ผกู้ ยู้ อมใหผ้ ใู้ ห้กฟู้ ้องเรียกเงนิ ตน้ และดอกเบยี้ ทค่ี า้ ง
ชำระทง้ั หมดคืนไดท้ นั ทหี ลังจากจำเลยทำสัญญากู้และสญั ญาจำนองแลว้ จำเลยไมเ่ คยชำระหนใ้ี ห้แก่โจทกเ์ ลย ถอื ว่าจำเลยผดิ นดั ตัง้ แต่
งวดแรกซ่งึ ถงึ กำหนดชำระในวนั ท่ี 31 มนี าคม 2523 โจทก์สามารถใชส้ ิทธเิ รยี กรอ้ งใหจ้ ำเลยชำระหนแ้ี กโ่ จทก์ได้นบั แต่วันที่ 1 เมษายน
2523 อายุความจงึ เร่ิมนบั แตว่ นั ดังกลา่ วเป็นต้นไปหาไดเ้ ริม่ นับตงั้ แตว่ ันพน้ กำหนดเวลาตามหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ดงั ทีอ่ ทุ ธรณ์ไม่
ทั้งการที่จำเลยมหี นา้ ท่ีต้องชำระต้นเงินและดอกเบย้ี คืนโจทก์เปน็ งวดงวดละเดอื นเปน็ การท่ีโจทกเ์ รยี กรอ้ งเอาเงนิ ท่ีต้องชำระเพอ่ื ผอ่ น
ทุนคืนเป็นงวดๆ อนั มอี ายคุ วามหา้ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) หาใช่อายคุ วามสบิ ปตี ามท่โี จทกอ์ ุทธรณ์ไม่

การจำนองทรัพยส์ นิ เพอ่ื เป็นประกันหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 755 และมาตรา 193/27 บญั ญัติ
เป็นข้อยกเวน้ ว่า แมห้ นี้ที่ประกันหรอื หน้ปี ระธานจะขาดอายคุ วามแลว้ กย็ งั บงั คับชำระหน้ีจากทรัพยส์ ินท่จี ำนองได้ แต่ดอกเบยี้ ท่ีค้าง
ใหค้ ดิ ย้อนหลงั ขน้ึ ไปได้เพยี งหา้ ปเี ท่าน้ัน

แมต้ ามขอ้ ตกลงต่อท้ายสญั ญาจำนองจะระบวุ า่ หากมีการบงั คบั จำนองและภายหลงั จากเอา
ทรพั ยส์ ินที่จำนองขายทอดตลาดไดเ้ งนิ นอ้ ยกวา่ จำนวนหนที้ จ่ี ะตอ้ งชำระเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยยนิ ยอมรบั ใชเ้ งินจำนวนท่ีขาดนัน้ จน
ครบอนั เป็นการยกเว้นบทบญั ญตั ิมาตรา 733 กต็ าม แต่เม่อื หนเี้ งินกขู้ าดอายคุ วามดงั ได้วินิจฉยั แล้ว โจทกค์ งบงั คับชำระหน้ไี ด้เฉพาะ

99


Click to View FlipBook Version