The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทบรรณฯ วิอาญา สมัย64-71_compressed

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jobbonrecord, 2020-06-17 09:32:52

รวมบทบรรณฯ วิอาญา สมัย64-71_compressed

รวมบทบรรณฯ วิอาญา สมัย64-71_compressed

สมยั 64-71
รวมบทบรรณาธิการกล่มุ วชิ าวธิ พี จิ ารณาความอาญา

สงวนลขิ สทิ ธติ์ ามกฎหมาย หา้ มจาหน่าย

จัดทาโดย ผู้ดูแลกลมุ่ เนตฯิ 4 ขา หลัก-ฎีกามาแชรก์ นั

พมิ พค์ ร้งั ท่ี 3

1

คำนำ

รวมบทบรรณาธิการกลุ่มวชิ าวธิ ีพิจารณาความอาญา สมยั ท่ี 64-71 น้ีจดั ทาข้ึนเพ่ือเป็นวทิ ยาทานแก่ทุกท่านท่ีสนใจ
ศึกษาทางดา้ นกฎหมาย รวมถึงใชเ้ ตรียมตวั สอบในสนามตา่ งๆ เนื่องจากในภาคการศึกษา 1 สมยั 71 คณะผจู้ ดั ทาไดร้ วมบท
บรรณาธิการแลว้ นามาจดั เรียงแยกกลุ่มวชิ าและจดั เป็นขอ้ ๆ ไดร้ ับการตอบรับท่ีดีมาก และมีผตู้ ิดตามของภาคสองเพม่ิ ข้ึน
มากเช่นกนั คณะผจู้ ดั ทาจึงไดจ้ ดั ใหม้ ีการปรับปรุงรูปแบบใหด้ ีข้ึน โดยเพมิ่ ขนาดตวั อกั ษรใหอ้ ่านง่ายข้ึน และมีการอา้ งอิงถึง
เล่มคาบรรยายของแตล่ ะสมยั ดว้ ย ท้งั ยงั มีคาแนะนาเพมิ่ เติมสาหรับบางฎีกาท่ีรวมเน้ือหาของหลายขอ้ รวมกนั เพ่ือใหผ้ อู้ ่าน
จบั ประเด็นไดง้ ่ายและสะดวกในการทาความเขา้ ใจมากข้ึน

ผจู้ ดั ทาไดจ้ ดั ทาโดยมีวตั ถุประสงคใ์ หไ้ วใ้ ชศ้ ึกษาประกอบการเรียน เตรียมตวั สอบ ไมป่ ระสงคท์ ่ีจะใหม้ ีการ
จาหน่ายใดๆท้งั สิ้น ฉะน้นั ขอความร่วมมือจากทุกทา่ นไม่นารวมบทบรรณาธิการฯน้ีไปแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือ
ผอู้ ื่นท่ีมิควรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายทุกรูปแบบ..การจะประสบความสาเร็จในวชิ าชีพกฎหมายน้นั นอกจากจะเป็ นผมู้ ี
ความรู้ ความสามารถในการเขา้ ใจถึงแก่นแท้ เจตนารมณ์ของกฎหมายจนสามารถใชก้ ฎหมายใหเ้ กิดความเป็ นธรรมอยา่ ง
สูงสุดแลว้ ยงั ตอ้ งมีคุณธรรมและจรรยาบรรณในวชิ าชีพของตนอีกดว้ ย…ดงั น้นั จึงใคร่ขอความร่วมมือทุกท่านไมล่ ะเมิด
สิทธิใดๆตอ่ รวมบทบรรณาธิการฯเล่มน้ีเพอ่ื เป็ นกาลงั ใจท่ีดีใหแ้ ก่คณะผจู้ ดั ทาไดจ้ ดั ทาทุกภาคการศึกษาของแต่ละสมยั
ต่อๆไปในอนาคตดว้ ย

คณะผจู้ ดั ทาไดน้ าพระบรมราโชวาทและพระบรมฉายาลกั ษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดชมาจดั ไวภ้ ายในเล่ม เพอื่ เตือนใจแก่ผอู้ า่ นทุกทา่ นใหค้ ิดดี ทาดีเพ่ือประโยชนส์ ุขแก่ส่วนร่วม และเพื่อเป็นการนอ้ ม
ราลึกในพระมหากรุณาธิคุณอยา่ งหาที่สุดมิไดใ้ นโอกาสน้ีดว้ ย

หากมีขอ้ ผดิ พลาดประการใด คณะผจู้ ดั ทาตอ้ งขออภยั อยา่ งสูงมา ณ โอกาสน้ี และคณะผจู้ ดั ทายนิ ดีนอ้ มรับทุกคาติ
ชม คาแนะนาเพ่ือนาไปปรับปรุงในคร้ังต่อๆไป

อน่ึง ผอู้ ่านสามารถเขา้ ร่วมกลุ่มทางเฟสบุค๊ ช่ือกลุ่ม “เนติฯ 4 ขา หลกั -ฎีกามาแชร์กนั ” เพ่ือพูดคุย แลกเปล่ียนขอ้ มูล
ความรู้ หลกั กฎหมาย ฎีกาน่าสนใจ รวมถึงขา่ วประชาสัมพนั ธ์ต่างๆท่ีอาจเป็ นประโยชนต์ อ่ สงั คมนกั กฎหมายไดน้ ะคะ

เบญญาดา ปาร์ก
ณฐั นิชา ฝอยทอง
คณะผ้จู ัดทำและผู้ดแู ลกล่มุ

2

-------------- ว.ิ อาญา ข้อ 1-3 ---------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 64)

ฎีกำที่ 9209/2553 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยกบั พวกร่วมกนั บุกรุกและขดุ ตน้ ยคู าลิปตสั ของโจทก์ ขอใหล้ งโทษและเรียก

ค่าเสียหาย 81,000 บาท ซ่ึงความรับผิดทางแพ่งเกิดจากการกระทาผิดอาญาอนั มีมูลคดีเดียวกนั จึงเป็นคดีแพ่งเก่ียวเนื่องกบั คดีอาญา

เม่ือคาพิพากษาคดีส่วนอาญายตุ ิแลว้ วา่ พยานหลกั ฐานตามทางนาสืบของโจทกย์ งั ไม่เพียงพอใหร้ ับฟังลงโทษจาเลยที่ 1 ถือไดว้ า่ ศาล

ไดว้ ินิจฉยั ขอ้ เทจ็ จริงในประเดน็ แห่งคดีแลว้ วา่ จาเลยที่ 1 ไมไ่ ดก้ ระทาความผดิ ฐานบุกรุกและทาใหเ้ สียทรัพย์ ดงั น้ีจะฟังขอ้ เทจ็ จริง

ใหม่เป็นอยา่ งอื่นหาไดไ้ ม่

แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 47 จะบญั ญตั ิวา่ คาพิพากษาคดีส่วนแพ่งตอ้ งเป็นไปตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายอนั วา่

ดว้ ยความรับผดิ ของบุคคลในทางแพง่ โดยไมต่ อ้ งคานึงถึงวา่ จาเลยตอ้ งคาพิพากษาวา่ ไดก้ ระทาความผิดหรือไม่ กไ็ ม่ไดห้ มายความ

วา่ จะไปกลบั ขอ้ เทจ็ จริงที่จาตอ้ งรับฟังตามท่ีปรากฏในคาพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ศาลจึงไมอ่ าจรับฟัง

ขอ้ เทจ็ จริงในส่วนแพ่งขดั กบั ขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏในคาพิพากษาส่วนอาญาได้ จึงตอ้ งฟังวา่ จาเลยท่ี 1 มิไดท้ าละเมิดอนั จะตอ้ งใชค้ ่า

สินไหมทดแทนแก่โจทก์

ฎีกำท่ี 4294/2550 การควบคุมตวั จาเลยที่ 1 ในช้นั สอบสวน ซ่ึงพนกั งานสอบสวนจะตอ้ งขออานาจศาลฝากขงั จาเลยท่ี 1

หากพนกั งานสอบสวนมิไดข้ อฝากขงั ต่อศาลภายในกาหนด เมื่อพน้ อานาจการควบคุมตวั ผตู้ อ้ งหาของพนกั งานสอบสวนแลว้

พนกั งานสอบสวนตอ้ งปลอ่ ยตวั ผตู้ อ้ งหาไป หาใช่เป็นเหตุใหโ้ จทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องไม่ เมื่อโจทกฟ์ ้องคดีภายในอายคุ วาม โจทกย์ อ่ ม

มีสิทธินาคดีอาญามาฟ้องได้

ฎกี ำท่ี 3915/2551 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยเขา้ ไปในหอ้ งนอนของผเู้ สียหายท่ี 2 ซ่ึงเป็นภริยาของผเู้ สียหายที่ 1 ขณะ

ผเู้ สียหายท่ี 2 กาลงั นอนหลบั อยู่ จาเลยกระทาอนาจารผเู้ สียหายท่ี 2 อายุ 15 ปี เศษ ซ่ึงมิใช่ภริยาจาเลย โดยใชก้ าลงั ประทุษร้ายกอด

ปล้า ลูบคลาร่างกายของผเู้ สียหายท่ี 2 และพยายามถอดเส้ือผา้ ของผเู้ สียหายท่ี 2 ท่ีสวมใส่อยอู่ อก และใชอ้ าวธุ ปื นบงั คบั ข่เู ขญ็ เพ่ือจะ

ข่มขืนกระทาชาเราผเู้ สียหายท่ี 2 โดยผเู้ สียหายท่ี 2 อยใู่ นภาวะที่ไม่สามารถขดั ขืนได้ ฟ้องของโจทกใ์ นความผิดฐานกระทาอนาจาร

แก่บุคคลอายกุ วา่ สิบหา้ ปี โดยใชก้ าลงั ประทุษร้าย ไดบ้ รรยายถึงการกระทาท้งั หลายที่อา้ งวา่ จาเลยไดก้ ระทาความผดิ ขอ้ เทจ็ จริงและ

รายละเอียดท่ีเกี่ยวกบั เวลาและสถานที่ซ่ึงเกิดการกระทาน้นั ๆ อีกท้งั บุคคลหรือสิ่งของท่ีเก่ียวขอ้ งดว้ ยพอสมควรเท่าท่ีจะใหจ้ าเลย

เขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ีแลว้ ส่วนท่ีจาเลยจะกระทาอนาจารอยา่ งไรและบริเวณใดของร่างกายกบั จาเลยลูบคลาร่างกายผเู้ สียหายท่ี 2 อยา่ งไร

เป็นเพียงรายละเอียดซ่ึงโจทกส์ ามารถนาสืบไดใ้ นช้นั พิจารณา ฟ้องโจทกจ์ ึงชอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

ป.ว.ิ อ. มาตรา 2 (7) และมาตรา 123 มิไดบ้ ญั ญตั ิวา่ การร้องทุกขข์ องผเู้ ยาวต์ อ้ งไดร้ ับความยนิ ยอมจาก

บิดามารดาหรือผแู้ ทนโดยชอบธรรมหรือบุคคลดงั กลา่ วตอ้ งลงลายมือช่ือในการร้องทุกขข์ องผเู้ ยาวด์ ว้ ย ดงั น้นั ผเู้ ยาวจ์ ึงมีอานาจร้อง

ทุกขด์ ว้ ยตนเองได้

3

ฎีกำท่ี 52/2553 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยฐานนาบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ไปใชเ้ บิกถอนเงินสดจานวน 100,000 บาท ของ

ผเู้ สียหายที่ 2 ไป อนั เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269/5 และมาตรา 269/7 เม่ือตามคาฟ้องโจทกไ์ ดก้ ล่าวบรรยายวา่ จาเลยไดใ้ ชบ้ ตั ร

อิเลก็ ทรอนิกส์ของธนาคาร ซ. ซ่ึงไดอ้ อกใหแ้ ก่ผเู้ สียหายท่ี 2 อนั เป็นทรัพยส์ ่วนหน่ึงที่จาเลยไดล้ กั ไปเพื่อใชป้ ระโยชนใ์ นการเบิก

ถอนเงินสด ถอนเงินสดจานวน 100,000 บาท ไปจากวงเงินเครดิตของผเู้ สียหายที่ 2 โดยมิชอบ ก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ผเู้ สียหาย

และธนาคาร ซ. และยงั มีคาขอทา้ ยฟ้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยคืนเงินจานวนดงั กลา่ วดว้ ย ดงั น้นั ยอ่ มแปลคาฟ้องของโจทกไ์ ดว้ ่า โจทก์

ม่งุ ประสงคท์ ี่จะใหล้ งโทษจาเลยฐานลกั เงินของผเู้ สียหายที่ 2 อยดู่ ว้ ย เพียงแต่วิธีการลกั เงินดงั กล่าวกโ็ ดยการใชบ้ ตั รอิเลก็ ทรอนิกส์

เบิกถอนเงินสดผา่ นเคร่ืองฝาก-ถอนเงินอตั โนมตั ินน่ั เอง จึงเป็นความผิดเกี่ยวกบั บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์และความผิดฐานลกั ทรัพยด์ ว้ ย

แลว้ ซ่ึงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 43 บญั ญตั ิใหพ้ นกั งานอยั การมีอานาจขอใหเ้ รียกทรัพยส์ ินหรือใชร้ าคาแทนผเู้ สียหายที่ 2 โจทกจ์ ึงมี

อานาจขอใหจ้ าเลยคืนหรือใชร้ าคาทรัพยแ์ ทนผเู้ สียหายท่ี 2 ได้

ฎีกำที่ 563/2517 ผเู้ สียหายเป็นผเู้ ยาวเ์ ขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การ โดยบิดาใหค้ วามยนิ ยอมน้นั มิไดเ้ ป็นไปตามบท

บงั คบั อนั วา่ ดว้ ยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย เพราะในคดีอาญาน้นั ผเู้ ยาวจ์ ะเขา้ ร่วมเป็นโจทกไ์ ดต้ อ้ งกระทาโดยผแู้ ทน ตาม

บทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3,5 และ 6

ฎีกำท่ี 7238/2549 ความผดิ ฐานพรากผเู้ ยาวโ์ ดยผเู้ ยาวไ์ ม่เตม็ ใจไปดว้ ยเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม ตาม

ฟ้องกด็ ี ความผดิ ฐานพรากผเู้ ยาวไ์ ปเพ่ือการอนาจารโดยผเู้ ยาวเ์ ตม็ ใจไปดว้ ยตามมาตรา 319 วรรคแรก ที่พิจารณาไดค้ วามกด็ ีมี

องคป์ ระกอบความผดิ ร่วมกนั ประการหน่ึงวา่ "ผใู้ ดพรากผเู้ ยาวอ์ ายกุ วา่ สิบหา้ ปี แต่ยงั ไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา

ผปู้ กครองหรือผดู้ ูแล..." ซ่ึงจะเห็นไดว้ า่ วตั ถุแห่งการกระทาความผิดกฎหมายท้งั สองมาตราน้ีที่กฎหมายมุ่งคุม้ ครองคืออานาจ

ปกครองของบิดามารดา ผปู้ กครองหรือผดู้ ูแลนนั่ เอง มิใช่ตวั ผูเ้ ยาวผ์ ถู้ ูกพราก ดงั น้นั ผเู้ สียหายคือบุคคลผไู้ ดร้ ับความเสียหาย

เน่ืองจากการกระทาความผดิ ท้งั สองมาตราน้ีตามมาตรา 2 (4) แห่ง ป.วิ.อ. จึงไดแ้ ก่บิดามารดา ผปู้ กครองหรือผดู้ ูแลผเู้ ยาวท์ ้งั สองใน

ขณะที่จาเลยท้งั สามกบั พวกร่วมกนั กระทาความผิด หาใช่ตวั ผเู้ ยาวค์ ือโจทกร์ ่วมท้งั สองไม่

ขณะท่ีโจทกร์ ่วมท้งั สองยื่นคาร้องขอเขา้ เป็นโจทกร์ ่วมกบั พนกั งานอยั การและศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั อนุญาต

น้นั โจทกร์ ่วมท้งั สองยงั มีอายไุ มค่ รบ 20 ปี บริบูรณ์ หรือบรรลุนิติภาวะโดยการสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 และมาตรา 20 และ

ผเู้ สียหายในคดีอาญาซ่ึงยงั เป็นผเู้ ยาวจ์ ะขอเขา้ เป็นโจทกร์ ่วมกบั พนกั งานอยั การตอ้ งกระทาโดยผมู้ ีอานาจจดั การแทนตาม ป.วิ.อ.

มาตรา 5 (1) การที่โจทกร์ ่วมท้งั สองซ่ึงยงั เป็นผเู้ ยาวข์ อเขา้ ร่วมเป็นโจทกด์ ว้ ยตนเอง จึงมิไดเ้ ป็นไปตามบทบงั คบั วา่ ดว้ ยความสามารถ

ของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลฎีกาจะยกคาร้องหรือไมร่ ับพิจารณาเสียทีเดียวยงั ไม่ได้ ชอบที่ศาลฎีกาจะสงั่ แกไ้ ขขอ้ บกพร่อง

เสียก่อนตามนยั แห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 56 วรรคสอง ประกอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่เม่ือนบั อายขุ องโจทกร์ ่วมท้งั สองในขณะท่ีคดีอยู่

ระหวา่ งพิจารณาของศาลฎีกา โจทกร์ ่วมท้งั สองมีอายเุ กิน 20 ปี พน้ จากภาวะผเู้ ยาวแ์ ละบรรลนุ ิติภาวะแลว้ จึงไมม่ ีความจาเป็นและ

ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะตอ้ งมีคาสง่ั ใหแ้ กไ้ ขขอ้ บกพร่องในเรื่องความสามารถของโจทกร์ ่วมท้งั สองอีก

4

ฎีกำที่ 4294/2550 การควบคุมตวั จาเลยท่ี 1 ในช้นั สอบสวน ซ่ึงพนกั งานสอบสวนจะตอ้ งขออานาจศาลฝากขงั จาเลยที่ 1

หากพนกั งานสอบสวนมิไดข้ อฝากขงั ต่อศาลภายในกาหนด เมื่อพน้ อานาจการควบคุมตวั ผตู้ อ้ งหาของพนกั งานสอบสวนแลว้

พนกั งานสอบสวนตอ้ งปลอ่ ยตวั ผตู้ อ้ งหาไป หาใช่เป็นเหตุใหโ้ จทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องไม่ เม่ือโจทกฟ์ ้องคดีภายในอายคุ วาม โจทกย์ อ่ ม

มีสิทธินาคดีอาญามาฟ้องได้

ฎีกำท่ี 3915/2551 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยเขา้ ไปในหอ้ งนอนของผเู้ สียหายท่ี 2 ซ่ึงเป็นภริยาของผเู้ สียหายท่ี 1 ขณะ

ผเู้ สียหายท่ี 2 กาลงั นอนหลบั อยู่ จาเลยกระทาอนาจารผเู้ สียหายที่ 2 อายุ 15 ปี เศษ ซ่ึงมิใช่ภริยาจาเลย โดยใชก้ าลงั ประทุษร้ายกอด

ปล้า ลบู คลาร่างกายของผเู้ สียหายท่ี 2 และพยายามถอดเส้ือผา้ ของผเู้ สียหายที่ 2 ที่สวมใส่อยูอ่ อก และใชอ้ าวธุ ปื นบงั คบั ข่เู ขญ็ เพ่ือจะ

ข่มขืนกระทาชาเราผเู้ สียหายท่ี 2 โดยผเู้ สียหายท่ี 2 อยใู่ นภาวะท่ีไมส่ ามารถขดั ขืนได้ ฟ้องของโจทกใ์ นความผดิ ฐานกระทาอนาจาร

แก่บุคคลอายกุ วา่ สิบหา้ ปี โดยใชก้ าลงั ประทุษร้าย ไดบ้ รรยายถึงการกระทาท้งั หลายท่ีอา้ งวา่ จาเลยไดก้ ระทาความผิด ขอ้ เทจ็ จริงและ

รายละเอียดท่ีเกี่ยวกบั เวลาและสถานท่ีซ่ึงเกิดการกระทาน้นั ๆ อีกท้งั บุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวขอ้ งดว้ ยพอสมควรเท่าที่จะใหจ้ าเลย

เขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ีแลว้ ส่วนที่จาเลยจะกระทาอนาจารอยา่ งไรและบริเวณใดของร่างกายกบั จาเลยลูบคลาร่างกายผเู้ สียหายท่ี 2 อยา่ งไร

เป็นเพียงรายละเอียดซ่ึงโจทกส์ ามารถนาสืบไดใ้ นช้นั พิจารณา ฟ้องโจทกจ์ ึงชอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

ป.ว.ิ อ. มาตรา 2 (7) และมาตรา 123 มิไดบ้ ญั ญตั ิวา่ การร้องทุกขข์ องผเู้ ยาวต์ อ้ งไดร้ ับความยนิ ยอมจาก

บิดามารดาหรือผแู้ ทนโดยชอบธรรมหรือบุคคลดงั กล่าวตอ้ งลงลายมือช่ือในการร้องทุกขข์ องผเู้ ยาวด์ ว้ ย ดงั น้นั ผเู้ ยาวจ์ ึงมีอานาจร้อง

ทุกขด์ ว้ ยตนเองได้

ฎีกำที่ 8537/2553 นาย ก. สามีชอบดว้ ยกฎหมายของนาง ล. ผตู้ ายเป็นโจทกย์ ื่นฟ้องจาเลยในขอ้ หากระทาโดยประมาทเป็น

เหตุใหน้ าง ล. ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291 นาง ล. เป็นผเู้ สียหายซ่ึงถกู ทาร้ายถึงตายและโจทกเ์ ป็นเพียงผจู้ ดั การแทน

ผเู้ สียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3 (2) และมาตรา 5 (2) เมื่อโจทกย์ ่ืนฟ้องแลว้ ตายลง คดีอยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาสืบพยานโจทกข์ องศาล

ช้นั ตน้ การพิจารณาของศาลช้นั ตน้ ก่อนโจทกถ์ ึงแก่ความตายยอ่ มไม่เสื่อมเสียไปดว้ ยความตายของโจทก์ และถือวา่ โจทกฟ์ ้องน้นั

เป็นกระทาการแทนรัฐดว้ ยส่วนหน่ึง การที่ศาลช้นั ตน้ พิจารณาพิพากษาใหม่จากพยานหลกั ฐานที่โจทกจ์ าเลยไดส้ ืบไวแ้ ลว้ ตามคา

พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 น้นั ชอบแลว้ เมื่อโจทกเ์ ป็นเพียงผจู้ ดั การแทนผเู้ สียหายเท่าน้นั มิใช่ผเู้ สียหายที่แทจ้ ริงที่ย่ืนฟ้องแลว้ ตาย

ลงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 29 วรรคหน่ึง แมผ้ รู้ ้องจะเป็นผสู้ ืบสนั ดานของผเู้ สียหายกบั โจทกก์ ต็ าม ผรู้ ้องกไ็ มม่ ีสิทธิยื่นคาร้องขอเขา้

ดาเนินคดีต่างโจทกซ์ ่ึงถึงแก่ความตายตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ วได้ คาพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ท่ีใหย้ กคาสง่ั ศาลช้นั ตน้ ที่สงั่ ใหเ้ พิก

ถอนคาสงั่ ท่ีอนุญาตใหผ้ รู้ ้องเขา้ ดาเนินคดีต่างโจทกน์ ้นั ไม่ชอบ ผรู้ ้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ปัญหาดงั กล่าวเป็นขอ้ กฎหมายที่เกี่ยวกบั

ความสงบเรียบร้อย แมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวินิจฉยั เองไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบดว้ ย

มาตรา 225 แมศ้ าลอุทธรณ์ภาค 4 จะพิพากษากลบั คาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ใหล้ งโทษจาเลย กไ็ ม่ก่อใหเ้ กิดสิทธิแก่จาเลยและผรู้ ้องที่จะ

ฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 4 วนิ ิจฉยั เน่ืองจากเป็นขอ้ ที่มิไดย้ กข้ึนวา่ กนั มาแลว้ โดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4

ตอ้ งหา้ มฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหน่ึง ประกอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉยั

5

ฎีกำท่ี 1792/2522 การถอนคาร้องทุกขท์ ่ีจะทาใหค้ ดีระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) น้นั

ตอ้ งเป็นการถอนโดยเจตนาท่ีจะไม่เอาความแก่จาเลยอีกต่อไป แต่การที่โจทกข์ อถอนคาร้องทุกขโ์ ดยเหตุท่ีโจทกไ์ ดย้ ่นื ฟ้องจาเลยต่อ

ศาลแลว้ ไมป่ ระสงคจ์ ะใหพ้ นกั งานสอบสวนทาการสอบสวนพยานหลกั ฐานของโจทกอ์ ีก จึงคงระงบั ไปแต่เฉพาะเร่ืองการร้องทุกข์

ส่วนคดีท่ีโจทกฟ์ ้องจาเลยต่อศาลไวแ้ ลว้ น้นั หาระงบั ไปไม่ ศาลยอ่ มดาเนินคดีต่อไปได้ เสมือนวา่ ไม่มีการร้องทุกขม์ าก่อน

ฎีกำท่ี 1962/2506 การถอนคาร้องทุกขท์ ี่จะทาใหค้ ดีระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) น้นั

เป็นเรื่องเจตนาถอนเพื่อยกเลิกไม่เอาความแก่จาเลยต่อไป แต่การถอนคาร้องทุกขโ์ ดยเหตุท่ีผเู้ สียหายไดน้ าคดีมาฟ้องศาลเสียเอง หา

ทาใหค้ ดีระงบั ไปไม่ คงระงบั ไปแต่เฉพาะเรื่องการร้องทุกขโ์ ดยศาลยอ่ มดาเนินคดีเสมือนวา่ ผเู้ สียหายฟ้องคดีต่อศาลโดยไมม่ ีการ

ร้องทุกขม์ าก่อนเท่าน้นั เอง

ฎีกำท่ี 994/2543 แมต้ กลงระหวา่ งโจทกแ์ ละ ท. จะกาหนดวา่ ถา้ ภาพถา่ ยตามสญั ญาถูกตีพิมพเ์ พื่อการพาณิชยท์ ่ีไม่ใช่ของ

บริษทั น. แลว้ ใหถ้ ือวา่ โจทกเ์ ป็นผผู้ ิดสญั ญา ท. จะเรียกเอาค่าเสียหายจากโจทกห์ รือฟ้องร้องผลู้ ะเมิดกไ็ ดต้ ามแต่จะเลือก แต่คดีน้ีไม่

มีปัญหาวา่ โจทกเ์ ป็นฝ่ ายผิดสญั ญาดงั กลา่ วหรือไม่ ท้งั การท่ีโจทกซ์ ่ึงเป็นเจา้ ของลิขสิทธ์ิในงานภาพถา่ ยดงั กล่าวจะหมดสิทธิใน

ความเป็นผเู้ สียหายและมีอานาจฟ้องคดีแก่ผูก้ ระทาผดิ หรือไม่ยอมเป็นไปตามบทบญั ญตั ิของกฎหมาย ไมเ่ ก่ียวกบั สญั ญาวา่ จา้ งถา่ ย

แบบ ดงั น้นั หากมีผูล้ ะเมิดลิขสิทธ์ิของโจทก์ โจทกก์ ย็ อ่ มมีอานาจฟ้องผทู้ าละเมิดได้

จาเลยท่ี 1 เป็นผทู้ าซ้างานอนั มีลิขสิทธ์ิของโจทกด์ ว้ ยการพิมพห์ นงั สือ"ร้อนเสน่หา นางฟ้านุ่งลม" ข้ึน

โดยใชแ้ มพ่ ิมพ์ ซ่ึงจาเลยที่ 9 เป็นผจู้ ดั ทาข้ึนในการพิมพห์ นงั สือน้ีและหนงั สือท่ีพิมพอ์ อกมามีขอ้ ความระบุช่ือจาเลยที่ 1 เป็นผพู้ ิมพ์

และจาเลยที่ 9 เป็นผทู้ าแม่พิมพ์ แสดงใหเ้ ห็นวา่ จาเลยที่ 1 และท่ี 9 ไดแ้ บ่งหนา้ ท่ีกนั ทางานในส่วนของตน โดยรู้ถึงการกระทาของ

กนั และกนั ตามท่ีระบุไวใ้ นแม่พิมพแ์ ละหนงั สือดงั กลา่ วเพ่ือใหก้ ารพิมพห์ นงั สือน้ีสาเร็จลง จึงเป็นกรณีท่ีจาเลยท่ี 1 และที่ 9 มีเจตนา

ร่วมกระทาผดิ ดว้ ยการทาซ้างานดงั กล่าวดว้ ยกนั ส่วนจาเลยท่ี 15 เป็นเพียงผรู้ ับจา้ งจากบริษทั 222 ใหท้ างานจดั จาหน่ายซ่ึงเป็น

ความผิดฐานเผยแพร่งานอนั มีลิขสิทธ์ิต่อสาธารณชนซ่ึงงานอนั ทาข้ึนโดยละเมิดลิขสิทธ์ิของผอู้ ื่นเพ่ือหากาไรและเพ่ือการคา้

โดยเฉพาะเท่าน้นั อนั เป็นความผิดคนละส่วนกนั ปัญหาขอ้ น้ีเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายท่ีเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแผนกคดี

ทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศยกข้ึนวินิจฉยั และแกไ้ ขเสียใหถ้ กู ตอ้ งไดแ้ มค้ ู่ความจะมิไดอ้ ทุ ธรณ์

ฎกี ำท่ี 6446/2547 หลกั การของ ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) ที่บญั ญตั ิใหส้ ิทธินาคดีอาญามาฟ้องระงบั ไปเมื่อมีคาพิพากษาเสร็จ

เดด็ ขาดในความผิดซ่ึงไดฟ้ ้อง อนั เป็นหลกั การหา้ มดาเนินคดีซ้าสองแก่จาเลยน้นั จะตอ้ งปรากฏวา่ คดีก่อนเป็นกรณีที่จาเลยถกู

ฟ้องร้องดาเนินคดีอยา่ งแทจ้ ริงหากปรากฏวา่ คดีก่อนเป็นการฟ้องร้องดาเนินคดีอยา่ งเสมอยอมกนั แมว้ า่ จะเป็นการกระทากรรม

เดียวกนั กถ็ ือไมไ่ ดว้ า่ การกระทากรรมน้นั จาเลยเคยถกู ฟ้องและศาลไดม้ ีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดอนั จะมีผลทาใหส้ ิทธินาคดีอาญามา

ฟ้องในความผิดกรรมน้นั ระงบั ไปไม่

6

ฎกี ำท่ี 9334/2538 หลกั การของประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)ที่บญั ญตั ิใหส้ ิทธินาคดีอาญามาฟ้อง

ระงบั ไปเม่ือมีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผิดซ่ึงไดฟ้ ้องอนั เป็นหลกั การหา้ มดาเนินคดีซ้าสองแก่จาเลยท้งั จะตอ้ งปรากฏวา่ คดี

ก่อนเป็นกรณีที่จาเลยถกู ฟ้องร้องดาเนินคดีอยา่ งแทจ้ ริงหากปรากฏวา่ คดีก่อนเป็นการฟ้องร้องดาเนินคดีอยา่ งสมยอมกนั แมว้ า่ เป็น

การกระทากรรมเดียวกนั กถ็ ือไม่ไดว้ า่ การกระทากรรมน้นั จาเลยเคยถูกฟ้องและศาลไดม้ ีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดอนั จะมีผลทาให้

สิทธินาคดีมาฟ้องในความผดิ กรรมน้นั ระงบั ไปไม่ คดีน้ีโจทกไ์ ดอ้ ุทธรณ์วา่ คดีก่อนคือคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 548/2537 ของศาล

ช้นั ตน้ ซ่ึงเด็กหญิง ส. เป็นโจทกฟ์ ้องจาเลยในความผดิ กรรมเดียวกนั กบั คดีน้ีมีพฤติการณ์วา่ โจทกใ์ นคดีน้นั จะดาเนินคดีโดยสมยอม

โดยไมส่ ุจริตเพราะขณะเกิดเหตุท่ีจาเลยขบั รถจกั รยานยนตช์ นเดก็ ชายว.ผเู้ สียหายคดีน้ีเดก็ หญิงส.โจทกค์ ดีก่อนน้นั เป็นคนนงั่ ซอ้ น

ทา้ ยมากบั รถจกั รยานยนตข์ องจาเลยเมื่อเกิดเหตุแลว้ ทนายโจทกค์ ดีน้นั กไ็ ดร้ ีบยืน่ ฟ้องจาเลยอีกท้งั เด็กหญิงส. โจทกค์ ดีน้นั และจาเลย

ต่างกเ็ ป็นลกู จา้ งของทนายจาเลยคดีน้ีดว้ ยกนั นอกจากน้ียงั ปรากฏดว้ ยวา่ ทนายโจทกค์ ดีก่อนน้นั กเ็ ป็นบุตรของทนายจาเลยคดีน้ีและ

อาศยั อยดู่ ว้ ยกนั ดว้ ยและในการดาเนินคดีก่อนทนายโจทกเ์ พียงแต่นานางส. มารดาเดก็ หญิงส. ซ่ึงไมร่ ู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุ

มาเบิกความต่อศาลในช้นั ไต่สวนมูลฟ้องเพียงปากเดียวเป็นเหตุใหศ้ าลพิพากษายกฟ้องคดีน้นั เพราะเห็นวา่ คดีไม่มีมลู ขอ้ อา้ งตาม

อุทธรณ์ของโจทกเ์ ช่นน้ีหากฟังไดว้ า่ เป็นความจริงยอ่ มส่อแสดงวา่ คดีก่อนโจทกใ์ นคดีน้นั ไดฟ้ ้องร้องดาเนินคดีแก่จาเลยในลกั ษณะ

สมยอมกนั เป็นการดาเนินคดีโดยไม่สุจริตเพื่อหวงั ผลเพียงตอ้ งการตดั สิทธิผเู้ สียหายและพนกั งานอยั การโจทกค์ ดีน้ีมิใหม้ ีสิทธิ

ฟ้องร้องดาเนินคดีแก่จาเลยซ้าสองไดอ้ ีกเท่าน้นั ยอ่ มถือไมไ่ ดว้ า่ คดีก่อนไดม้ ีการฟ้องร้องดาเนินคดีแก่จาเลยอยา่ งแทจ้ ริงสิทธินา

คดีอาญามาฟ้องของโจทกใ์ นคดีน้ีหาไดร้ ะงบั ไปไม่ดงั น้นั การท่ีศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพียงแต่ฟังขอ้ เทจ็ จริงวา่ ความผิดตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา 300 กรรมเดียวกนั น้ีจาเลยเคยถูกโจทกค์ ดีก่อนฟ้องร้องและดาเนินคดีมาแลว้ กด็ ่วนวินิจฉยั วา่ สิทธินาคดีอาญา

มาฟ้องของโจทกค์ ดีน้ีสาหรับการกระทากรรมดงั กล่าวน้นั ระงบั ไปเพราะมีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดแลว้ โดยไมส่ ง่ั ใหศ้ าลศาลช้นั ตน้

ไต่สวนใหไ้ ดค้ วามจริงเสียก่อนวา่ คดีก่อนน้นั เป็นการดาเนินคดีในลกั ษณะสมยอมกนั จริงดงั ท่ีโจทกก์ ลา่ วอา้ งในอทุ ธรณ์หรือไมย่ อ่ ม

เป็นการไม่ชอบดว้ ยกระบวนพิจารณาสมควรยอ้ นสานวนไปใหศ้ าลอุทธรณ์ภาค2พิจารณาพิพากษาใหข้ อ้ หาความผิดตามประมวล

กฎหมายอาญามาตรา300ใหม่ ศาลอทุ ธรณ์ภาค2วินิจฉยั วา่ สิทธินาคดีอาญามาฟ้องของโจทกใ์ นความผิดฐานหลบหนีไม่หยดุ

ช่วยเหลือตามพระราชบญั ญตั ิจราจรทางบก พ.ศ.252 2มาตรา 38, 160 วรรคสอง ยงั ไม่ระงบั แต่พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ใหศ้ าลช้นั ตน้

พิจารณาพิพากษาความผิดฐานน้ีใหมโ่ ดยมิไดพ้ ิพากษายกคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ในส่วนน้ียอ่ มเป็นการไม่ชอบ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 65)

ฎีกำท่ี 349/2555 คดีแพง่ ท่ีเกี่ยวเนื่องกบั คดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพง่ จาตอ้ งถือขอ้ เทจ็ จริงตามที่ปรากฏในคา

พิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี 793/2549 ซ่ึงศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ พยานหลกั ฐานของโจทกเ์ ท่าที่นาสืบมายงั มีความสงสยั ตาม

สมควรวา่ จาเลยกระทาความผดิ หรือไม่ จึงใหย้ กประโยชนแ์ ห่งความสงสยั น้นั ใหจ้ าเลย เป็นการวนิ ิจฉยั ขอ้ เท็จจริงอนั เป็นประเดน็

แห่งคดีไวแ้ น่นอนแลว้ วา่ โจทกไ์ ม่มีพยานหลกั ฐานมาสืบใหศ้ าลเห็นโดยชดั แจง้ วา่ จาเลยกระทาความผิด ดงั น้นั ในการพิพากษาคดี

ส่วนแพง่ ศาลจาตอ้ งถือขอ้ เท็จจริงตามท่ีปรากฏในคาพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46

7

แมป้ ระมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 47 จะบญั ญตั ิวา่ คาพิพากษาคดีส่วนแพ่งตอ้ งเป็นไปตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมาย
อนั วา่ ดว้ ยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงวา่ จาเลยตอ้ งคาพิพากษาวา่ ไดก้ ระทาความผดิ หรือไม่ กไ็ มไ่ ด้
หมายความวา่ จะรับฟังขอ้ เทจ็ จริงขดั แยง้ กบั ขอ้ เทจ็ จริงในคาพิพากษาส่วนอาญาได้ ในคดีแพ่งจึงตอ้ งฟังขอ้ เทจ็ จริงตามคาพิพากษา
คดีส่วนอาญาวา่ จาเลยไมไ่ ดก้ ระทาละเมิดต่อโจทก์ จาเลยจึงไมต่ อ้ งรับผิดชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์

ฎกี ำที่ 1852/2555 การถอนคาร้องทุกขเ์ ป็นสิทธิของผูเ้ สียหาย เม่ือไดถ้ อนคาร้องทุกขแ์ ลว้ สิทธิท่ีผเู้ สียหายหรือพนกั งาน

อยั การจะนาความผิดอนั ยอมความไดน้ ้นั มาฟ้องผกู้ ระทาผิดยอ่ มเป็นอนั ระงบั ไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ซ่ึงการถอนคาร้องทุกข์

น้นั ผเู้ สียหายท่ี 1 และโจทกร์ ่วมยอ่ มถอนคาร้องทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนหรือต่อพนกั งานอยั การหรือต่อศาลกไ็ ด้ แมข้ ณะคดีจะอยู่

ในระหวา่ งการพิจารณาของศาลกไ็ ม่มีบทบญั ญตั ิกฎหมายใดกาหนดใหผ้ เู้ สียหายตอ้ งถอนคาร้องทุกขต์ ่อศาลเท่าน้นั เมื่อไดค้ วามวา่

ผเู้ สียหายที่ 1 และโจทกร์ ่วมขอถอนคาร้องทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนโดยชอบแลว้ สิทธิในการนาคดีในความผิดท้งั สองขอ้ หาตาม

ฟ้องมาฟ้องจาเลยยอ่ มเป็นอนั ระงบั ไป

ฎีกำท่ี 5419/2554 ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิวา่ ในคดีที่พนกั งานอยั การเป็นโจทก์ ถา้ ผเู้ สียหายมีสิทธิที่จะเรียก

เอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุไดร้ ับอนั ตรายแก่ชีวติ ร่างกาย จิตใจ หรือไดร้ ับความเส่ือมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือ

ไดร้ ับความเสียหายในทางทรัพยส์ ินอนั เนื่องมาจากการกระทาความผดิ ของจาเลย ผเู้ สียหายจะยื่นคาร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา

ขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่ตนกไ็ ด้ ซ่ึงมาตรา 2(4) ใหค้ วามหมายของคาวา่ "ผเู้ สียหาย" วา่ หมายความถึงบุคคลผู้

ไดร้ ับความเสียหายเน่ืองมาจากการกระทาความผิดฐานใดฐานหน่ึง รวมท้งั บุคคลอื่นท่ีมีอานาจจดั การแทนได้ ดงั บญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา

4, 5 และ 6 คดีน้ีโจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยท้งั สองต่างขบั รถจกั รยานยนตด์ ว้ ยความประมาท จาเลยที่ 2 จึงมีส่วนในการกระทาความผิดทาง

อาญาดว้ ยดงั น้นั ตามคาฟ้องของโจทกถ์ ือวา่ จาเลยที่ 2 มิใช่เป็นผเู้ สียหายโดยนิตินยั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4)

ผมู้ ีสิทธิย่ืนคาร้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ตอ้ งพิจารณาตามท่ีกฎหมายกาหนดไวแ้ ละขอ้ เทจ็ จริงใน

ขณะท่ียืน่ คาร้องวา่ เป็นผเู้ สียหายหรือไม่ เม่ือบทบญั ญตั ิดงั กลา่ วกาหนดใหผ้ เู้ สียหายเท่าน้นั ท่ียนื่ คาร้องไดแ้ ละขณะยนื่ คาร้องจาเลยท่ี

2 ไมใ่ ช่ผเู้ สียหาย จาเลยที่ 2 จึงไมม่ ีสิทธิยน่ื คาร้องขอใหจ้ าเลยที่ 1 ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว

ฎีกำท่ี 3085/2537 ล. เป็นผถู้ ือหุน้ คนหน่ึงของบริษทั ลดั สุภาอินเตอร์เทรดจากดั เช่นเดียวกบั โจทก์ ล. จึงเป็นผเู้ สียหายและ

มีอานาจร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยไดเ้ ช่นเดียวกบั โจทก์ คดีน้ีเป็นความผิดอนั ยอมความได้ เม่ือ ล. ไม่ไดร้ ้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดี

แก่จาเลยภายใน 3 เดือน นบั แต่วนั ที่รู้เรื่องความผดิ และรู้ตวั ผกู้ ระทาความผดิ คดีโจทกจ์ ึงขาดอายคุ วามตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 96

ฎกี ำท่ี 386/2551 แมผ้ เู้ ช่าซ้ือยงั ชาระคา่ เช่าซ้ือไมค่ รบถว้ น กรรมสิทธ์ิในรถยนตบ์ รรทุกยงั เป็นของผใู้ หเ้ ช่าซ้ือ แต่ผเู้ ช่าซ้ือก็

มีสิทธิครอบครองใชป้ ระโยชนแ์ ละมีหนา้ ท่ีตอ้ งส่งคืนรถยนตบ์ รรทุกที่เช่าซ้ือในสภาพเรียบร้อยแก่ผใู้ หเ้ ช่าซ้ือหากมีกรณีตอ้ งคืน เม่ือ

จาเลยท้งั สองยกั ยอกชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถยนตบ์ รรทุกดงั กลา่ วไปจากผเู้ ช่าซ้ือ ผเู้ ช่าซ้ือยอ่ มไดร้ ับความเสียหายจึงเป็นผเู้ สียหายและ

8

มีอานาจร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยท้งั สองไดเ้ ช่นเดียวกบั ผใู้ หเ้ ช่าซ้ือ คดีน้ีเป็นกรณีความผิดอนั ยอมความได้ เม่ือผเู้ ช่าซ้ือมิไดร้ ้อง
ทุกขภ์ ายในสามเดือนนบั แต่วนั ที่รู้เร่ืองความผดิ และรู้ตวั ผกู้ ระทาความผดิ คดีโจทกจ์ ึงขาดอายคุ วาม ป.อ. มาตรา 96

ฎกี ำท่ี 1646 – 1649/2515 แมผ้ เู้ สียหายจะไดย้ ืน่ ฟ้องจาเลยเป็นคดีอาญาไวส้ านวนหน่ึงแลว้ กไ็ ม่มีกฎหมายจากดั อานาจของ
พนกั งานอยั การมิใหฟ้ ้องจาเลยน้นั ในเรื่องเดียวกนั เป็นคดีใหม่อีกสานวนหน่ึง

ฎกี ำที่ 1637/2548 ความผดิ ฐานจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผดิ อาญาแผน่ ดิน ซ่ึงรัฐเป็นผเู้ สียหาย โจทกเ์ ป็นเพียง

พนกั งานสอบสวน แมจ้ ะเป็นเจา้ พนกั งานของรัฐ แต่กฎหมายกใ็ หม้ ีอานาจและหนา้ ท่ีทาการสอบสวน ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 2(6)

เท่าน้นั และโจทกก์ ม็ ิใช่บุคคลผไู้ ดร้ ับความเสียหายเน่ืองจากการกระทาความผิดดงั กล่าวโจทกจ์ ึงมิใช่ผเู้ สียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2

(4) โจทกจ์ ึงไม่มีอานาจฟ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในขอ้ หาดงั กล่าว

ฎกี ำที่ 2727/2544 คดีอาญาเร่ืองก่อน โจทกแ์ ละจาเลยท้งั แปดเป็นคู่ความรายเดียวกนั กบั คดีน้ีโดยโจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยท้งั

แปดร่วมกระทาความผิดในขอ้ หาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เช่นเดียวกบั คดีน้ี ซ่ึงคดีก่อนศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ ในช้นั ตรวจ

คาฟ้องวา่ "การกระทาของจาเลยท้งั แปดตามคาฟ้องของโจทก์ ไม่ปรากฏวา่ เป็นการไม่ชอบดว้ ยหนา้ ท่ีโดยทุจริต หรือ เพื่อใหเ้ กิด

ความเสียหายแก่โจทกห์ รือผอู้ ื่น ที่เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 แต่อยา่ งไร พิพากษายกฟ้อง” เท่ากบั ศาล

ช้นั ตน้ พิเคราะห์แลว้ วา่ การกระทาของจาเลยท้งั แปดตามท่ีโจทกฟ์ ้องไมเ่ ป็นความผดิ ซ่ึงเป็นการยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวธิ ี

พิจารณาความอาญา มาตรา 158 ถือวา่ ศาลช้นั ตน้ ไดว้ นิ ิจฉยั ช้ีขาดในเน้ือหาของการกระทาและมีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ

ซ่ึงไดฟ้ ้องแลว้ โจทกฟ์ ้องคดีน้ีอีกจึงเป็นฟ้องซ้า ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)

ฎกี ำท่ี 8910/2549 คดีก่อนโจทกฟ์ ้องจาเลยวา่ จาเลยนาหนงั สือสญั ญากเู้ งินท่ีจาเลยกบั ส. ทาปลอมข้ึนท้งั ฉบบั มานาสืบและ

แสดงเป็นพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ ในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลช้นั ตน้ ขอใหล้ งโทษตาม ป.อ. มาตรา 264, 268, 180 ศาลช้นั ตน้

ไต่สวนมูลฟ้องแลว้ วินิจฉยั วา่ คดีไมม่ ีมูล พิพากษายกฟ้อง จึงเท่ากบั ศาลช้นั ตน้ ไดว้ ินิจฉยั ในประเดน็ แห่งความผิดแลว้ ถือไดว้ า่ มีคา

พิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซ่ึงโจทกไ์ ดฟ้ ้องแลว้ คดีน้ีโจทกน์ าการกระทาของจาเลยในคดีอาญาเร่ืองก่อนมาฟ้องจาเลยอีก แม้

โจทกจ์ ะบรรยายฟ้องคดีน้ีวา่ จาเลยปลอมเอกสารสิทธิและมีคาขอทา้ ยฟ้องใหล้ งโทษตาม ป.อ. มาตรา 265 ซ่ึงแตกต่างกนั แต่มูลคดีน้ี

กม็ าจากการกระทาอนั เดียวกนั สิทธินาคดีอาญามาฟ้องยอ่ มระงบั ไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)

ฎีกำที่ 682/2537 โจทกร์ ่วมเคยยื่นฟ้องจาเลยในความผิดกรณีเดียวกนั น้ีต่อศาลช้นั ตน้ ในวนั นดั ไต่สวนมลู ฟ้องทนายโจทก์

คดีดงั กลา่ วแถลงต่อศาลวา่ ไมม่ ีพยานมาสืบ ศาลช้นั ตน้ วนิ ิจฉยั วา่ โจทกไ์ มม่ ีพยานหลกั ฐานมายืนยนั ความผดิ ของจาเลย คดีจึงไม่มีมูล

และพิพากษายกฟ้องซ่ึงมีผลเช่นเดียวกบั การพิพากษายกฟ้องโดยศาลเห็นวา่ จาเลยมิไดก้ ระทาความผิดตามประมวลกฎหมายวิธี

พิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรกจึงถือไดว้ า่ ศาลช้นั ตน้ ไดพ้ ิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซ่ึงไดฟ้ ้องแลว้ สิทธินาคดีอาญา

น้ีมาฟ้องยอ่ มระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) หาใช่เป็นคดีที่ศาลช้นั ตน้ ในคดีดงั กลา่ วพิพากษายก

ฟ้องโดยโจทกไ์ ม่มาศาลตามกาหนดนดั ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก ไม่

9

ฎีกำที่ 3116/2525 โจทกเ์ คยฟ้องจาเลยฐานทาร้ายร่างกายผเู้ สียหายศาลพิพากษาลงโทษจาคุกจาเลยและคดีอยใู่ นระหวา่ ง

การพิจารณาของศาลอทุ ธรณ์แมต้ ่อมาผเู้ สียหายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่ถกู จาเลยทาร้าย โจทกจ์ ะฟ้องจาเลยฐานฆ่าคนตาย

โดยไม่เจตนาซ่ึงเป็นการกระทาผิดกรรมเดียวกนั ในขณะท่ีคดีก่อนอยใู่ นระหวา่ งการพิจารณาของศาลอทุ ธรณ์อีกไมไ่ ดเ้ พราะถือวา่ ได้

มีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซ่ึงไดฟ้ ้องแลว้ ตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)(ตามนยั คา

พิพากษาฎีกาท่ี 3792/2524)

ฎกี ำท่ี 4473/2532 ผเู้ สียหายเคยเป็นโจทกฟ์ ้องจาเลยในการกระทาความผดิ เดียวกนั กบั คดีน้ีจนศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง

แมค้ ดีจะอยใู่ นระหวา่ งการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ กถ็ ือไดว้ า่ ความผิดของจาเลยซ่ึงไดฟ้ ้องน้นั ไดม้ ีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดแลว้

สิทธิของพนกั งานอยั การโจทกท์ ่ีจะนาคดีอาญามาฟ้องจาเลยคดีน้ีในความผดิ เก่ียวกบั เช็คพิพาทรายเดียวกบั คดีก่อนจึงระงบั สิ้นไป

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4).

ฎีกำที่ 2152/2537 ป๋ ุยเคมีปลอมท่ีจาเลยผลิตในคดีก่อนกบั คดีน้ีจานวนเดียวกนั วนั เวลาท่ีจาเลยขายป๋ ุยเคมีปลอมอยใู่ นช่วง

ระยะเวลาเดียวกนั และผทู้ ี่ซ้ือป๋ ุยเคมีปลอมจากจาเลยกเ็ ป็นบุคคลคนเดียวกนั คือผเู้ สียหายในคดีน้ี ถือไดว้ า่ การกระทาความผดิ ของ

จาเลยฐานขายป๋ ุยเคมีปลอมตามฟ้องในคดีก่อนตามพระราชบญั ญตั ิป๋ ุย พ.ศ. 2518มาตรา 30,32,62,71,72 กบั การกระทาความผิดของ

จาเลยฐานฉอ้ โกงโดยการหลอกลวงขายป๋ ุยเคมีปลอมใหผ้ เู้ สียหายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ตามฟ้องในคดีน้ี เป็นการ

กระทาอนั เป็นกรรมเดียวเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ดงั น้นั เม่ือศาลช้นั ตน้ ไดพ้ ิพากษา

ลงโทษจาเลยฐานขายป๋ ุยเคมีปลอมตามฟ้องในคดีก่อนแลว้ แมค้ ดีน้นั อยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาของศาลอุทธรณ์กถ็ ือไดว้ า่ มีคาพิพากษา

เสร็จเดด็ ขาดในความผิดซ่ึงไดฟ้ ้องแลว้ สิทธินาคดีอาญามาฟ้องของโจทกใ์ นคดีน้ีเป็นอนั ระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา 39(4)

ฎกี ำท่ี 2071/2553 ตามฟ้องของโจทกใ์ นคดีน้ีและคดีอาญาหมายเลขดาที่ 2495/2551 หมายเลขแดงที่ อ.3571/2551 เป็นเรื่อง

ท่ีโจทกฟ์ ้องวา่ เม่ือวนั ท่ี 14 กุมภาพนั ธ์ 2551 เวลากลางวนั จาเลยเสนอ จาหน่าย และมีไวเ้ พื่อจาหน่ายสินคา้ เส้ือย่หี อ้ ลาคอสทท์ ่ีเป็น

สินคา้ ที่มีเคร่ืองหมายการคา้ ปลอมของผเู้ สียหาย เหตุเกิดท่ีตาบลหาดใหญ่ อาเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ซ่ึงท้งั สองคดีตามท่ีโจทก์

ฟ้องเป็นการกระทาในเร่ืองเดียวกนั เกิดข้ึนในเวลา สถานท่ี และกระทาต่อผเู้ สียหายรายเดียวกนั จึงเป็นการกระทาโดยมีเจตนา

เดียวกนั เม่ือศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศกลางมีคาพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดาที่ 2495/2551 หมายเลข

แดงที่ อ.3571/2551 ก่อนคดีน้ีแลว้ ฟ้องโจทกค์ ดีน้ีจึงเป็นฟ้องท่ีศาลไดม้ ีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซ่ึงไดฟ้ ้องแลว้ สิทธินา

คดีอาญามาฟ้องของโจทกจ์ ึงระงบั ไป ตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศและวธิ ีพิจารณาคดี

ทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)

โจทกฟ์ ้องขอใหร้ ิบของกลางแต่ศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศกลางมิไดม้ ีคา

วินิจฉยั เก่ียวกบั ของกลางดงั กล่าว จึงไมช่ อบดว้ ย พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศและวธิ ีพิจารณาคดี

ทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แมค้ ู่ความมิไดอ้ ุทธรณ์ในปัญหาน้ี แต่

10

เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายท่ีเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศมีอานาจ
ยกข้ึนวินิจฉยั และแกไ้ ขไดเ้ องตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศและวธิ ีพิจารณาคดีทรัพยส์ ินทาง
ปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศฯ มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง เมื่อสินคา้ ของกลางเป็นสินคา้ ท่ีมีเคร่ืองหมาย
การคา้ ปลอมของผอู้ ื่น จึงใหร้ ิบตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการคา้ ฯ มาตรา 115

ฎกี ำที่ 8459/2552 รถยนตข์ องผเู้ สียหายถูกถอดอุปกรณ์ส่วนควบออกเป็นอะไหลช่ ิ้นส่วนต่างๆ คงเหลือซากท่ีเป็นรถยนต์

มิไดถ้ กู ทาลายสูญหายไปท้งั หมดหรือแปรเปล่ียนนาไปเป็นของอื่น เมื่อผเู้ สียหายไดร้ ับอปุ กรณ์ส่วนควบซ่ึงเป็นของกลางที่เจา้

พนกั งานเกบ็ รักษาไวค้ ืนแลว้ พนกั งานอยั การโจทกจ์ ะขอใหค้ ืนหรือใชร้ าคาแก่ผเู้ สียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไมไ่ ด้ แมผ้ เู้ สียหาย

จะไดร้ ับความเสียหายอนั เกิดจากการกระทาความผิดของจาเลยเนื่องจากนารถยนตไ์ ปใชป้ ระโยชนต์ ามวตั ถุประสงคเ์ ดิมไม่ไดก้ เ็ ป็น

เรื่องที่ผเู้ สียหายจะตอ้ งไปวา่ กล่าวเรียกค่าเสียหายจากจาเลยเอาเองเป็นคดีใหม่

ฎกี ำท่ี 9036/2554 ท่ีจาเลยฎีกาวา่ จาเลยเพียงแต่ชกต่อยทาร้ายผเู้ สียหาย หากจาเลยจะตอ้ งรับผดิ ชดใชค้ ่าเสียหายให้

ผเู้ สียหายกเ็ ป็นเงินจานวนไมเ่ กิน 10,000 บาท น้นั เห็นวา่ สิทธิในการฎีกาในคดีส่วนแพ่งน้นั ตอ้ งพิจารณาจากทุนทรัพยท์ ่ีพิพาทกนั

ในช้นั ฎีกา เม่ือคดีน้ีศาลอุทธรณ์พิพากษายนื ใหจ้ าเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนใหผ้ เู้ สียหายเป็นเงิน 179,000 บาท จาเลยฎีกาโตเ้ ถียง

วา่ จาเลยตอ้ งรับผิดไม่เกิน 10,000 บาท จานวนทุนทรัพยท์ ่ีพิพาทกนั ในช้นั ฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ตอ้ งหา้ มมิให้

คู่ความฎีกาในขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.ว.ิ พ มาตรา 248 วรรคหน่ึง ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 40 ฎีกาของจาเลยในขอ้ น้ีเป็นการโตเ้ ถียงดุลพินิจ

ในการรับฟังพยานหลกั ฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งหา้ มตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายดงั กลา่ ว

ฎีกำที่ 13535/2553 ในขณะท่ีเจา้ พนกั งานตารวจจบั กมุ จาเลยและพนกั งานสอบสวนไดส้ อบสวนจาเลยน้นั พ.ร.บ.แกไ้ ข
เพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบบั ที่ 22)ฯ มาตรา 4 และมาตรา 39 ซ่ึงไดบ้ ญั ญตั ิเพิ่มเติมมาตรา 7/1 และมาตรา 134/4 ท่ีบญั ญตั ิใหม้ ีการแจง้ สิทธิ
ดงั กล่าวแก่ผถู้ ูกจบั หรือผตู้ อ้ งหายงั ไดอ้ อกใชบ้ งั คบั ประกอบกบั ป.วิ.อ. ท่ีแกไ้ ขใหมด่ งั กล่าวก็ไม่มีบทบญั ญตั ิใหน้ ามาตรา 7/1 และ
มาตรา 134/4 มาใชบ้ งั คบั แก่คดีท่ีมีการจบั กมุ และสอบสวนเสร็จสิ้นไปก่อนวนั ที่กฎหมายที่แกไ้ ขเพ่ิมเติมดงั กลา่ วมีผลใชบ้ งั คบั จึง
ตอ้ งใชห้ ลกั ทวั่ ไปท่ีวา่ กฎหมายไม่มีผลยอ้ นหลงั ดงั น้นั การที่เจา้ พนกั งานตารวจชุดจบั กมุ และพนกั งานสอบสวนไมไ่ ดแ้ จง้ ใหจ้ าเลย
ทราบถึงสิทธิต่างๆ โดยละเอียดดงั กล่าวจึงชอบแลว้

โจทกไ์ ดบ้ รรยายฟ้องไวแ้ ลว้ วา่ มีการสอบสวนแลว้ ท้งั จาเลยกม็ ิไดฎ้ ีกาวา่ การสอบสวนไม่ชอบเพราะ
เหตุผลอื่นๆ เพียงแต่อา้ งวา่ การตรวจคน้ โดยไมม่ ีหมายคน้ เป็นการไมช่ อบ จึงตอ้ งถือวา่ การสอบสวนในความผิดท่ีกล่าวหาตามฟ้อง
ชอบแลว้ นอกจากน้ีการตรวจคน้ และการสอบสวนเป็นการดาเนินการคนละข้นั ตอนกนั แมก้ ารตรวจคน้ จบั กมุ และไมช่ อบดว้ ย
กฎหมายกห็ ามีผลทาใหก้ ารสอบสวนไมช่ อบดว้ ยกฎหมายไปดว้ ยไม่ ร้อยตารวจเอก ป. ซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานตารวจย่อมมีอานาจ
หนา้ ท่ีในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและทาการจบั กมุ ปราบปรามผกู้ ระทาผิดกฎหมายได้ นอกจากน้ียงั มีอานาจทา
การสืบสวนคดีอาญาไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 2 (16) (17) และมาตรา 17 ซ่ึงเป็นไปโดยผลของกฎหมาย ดงั น้นั ร้อยตารวจเอก ป. จึงมี

11

อานาจจบั กุม ควบคุมตวั จาเลย ตลอดจนการจดั ทาเอกสารต่างๆ ที่เก่ียวขอ้ งในอานาจหนา้ ที่ได้ หาใช่จะเป็นเจา้ พนกั งานตารวจ
หรือไม่ข้ึนอยู่กบั การลงบนั ทึกประจาวนั วา่ ออกปฏิบตั ิหนา้ ท่ีดงั ท่ีจาเลยอา้ งในฎีกาแต่อยา่ งใดไม่

ฎีกำท่ี 12778/2553 ท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 9 พิพากษายนื ตามศาลช้นั ตน้ ใหจ้ าเลยท่ี 1 คืนหรือใชร้ าคาทรัพยท์ ี่ยงั ไม่ไดค้ ืนโดย
คานวณจากราคารถยนต์ 370,000 บาท หกั ราคาของกลางที่ไดค้ ืนจานวน 192,710 บาทคิดเป็นราคาทรัพยท์ ี่ยงั ไม่ไดค้ ืน 177,290 บาท
น้นั เม่ือขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ จาเลยที่ 1 กระทาผิดฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพง่ ของจาเลยท่ี 1 จะตอ้ งมีอยเู่ ฉพาะในส่วนที่
เก่ียวเน่ืองกบั ความผดิ ทางอาญาฐานรับของโจรเท่าน้นั เมื่อปรากฏวา่ โจทกร์ ่วมไดร้ ับของกลางที่จาเลยที่ 1 รับของโจรไดค้ ืนไปแลว้
โจทกจ์ ึงมีอานาจขอใหค้ ืนหรือใชร้ าคาในส่วนน้ีเพราะ ป.ว.ิ อ. มาตรา 43 ไม่ไดใ้ หอ้ านาจไว้

ฎีกำที่ 1046-1047/2526 เอกสารท้งั สองฉบบั ที่จาเลยท้งั ส่ีร่วมกนั ทาข้ึนเป็นเอกสารซ่ึงจาเลยท่ี 1 และท่ี4 ไดล้ งลายมือช่ือของ
ตนเอง มิไดป้ ลอมลายมือช่ือของผใู้ ด และ มิใช่เป็นการปลอมหรือเลียนแบบเอกสารอนั แทจ้ ริงของผใู้ ด แมข้ อ้ ความในเอกสารจะไม่
ตรงต่อความจริง หรือ เป็นเทจ็ การกระทาของจาเลยท้งั สี่ กไ็ มเ่ ป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร หรือ ปลอมเอกสารสิทธิ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 และ265 ดงั น้นั ความผิดฐานใชเ้ อกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 จึงไม่
เกิดข้ึน

คดีท้งั สองสานวนโจทกฟ์ ้องกล่าวหาจาเลยที่1 และที่3 ในความผิดฐานแจง้ ความเทจ็ เป็นคดีซ่ึงเกิดข้ึนใน
คราวเดียวกนั เม่ือคดีของโจทก์ ตามคดีสานวนหลงั ศาลช้นั ตน้ ทาการไต่สวนมูลฟ้องแลว้ สั่งประทบั ฟ้องขอ้ หาอื่น ส่วนขอ้ หาฐาน
แจง้ ความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 สง่ั วา่ คดีไมม่ ีมูลใหย้ กฟ้อง โจทกท์ ี่ 3 มิไดอ้ ทุ ธรณ์ กรณีเช่นน้ีถือไดว้ า่ ความผดิ
ฐานแจง้ ความเทจ็ สาหรับจาเลยที่1 และท่ี3 ในคดีสานวนแรกน้นั ศาลช้นั ตน้ ไดม้ ีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดไปแลว้ สิทธิของโจทกท์ ี่1
และที่2ในอนั ท่ีจะดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี1 และท่ี3 ในความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 จึงเป็นอนั
ระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 66)

ฎีกำที่ 880/2555 ผรู้ ้องมิใช่ไดร้ ับความเสียหายเน่ืองจากการกระทาความผดิ ฐานลกั ทรัพยโ์ ดยตรง เพียงแต่อา้ งสิทธิใน

ฐานะผรู้ ับประกนั ภยั รถยนตท์ ี่ถูกจาเลยลกั ไปซ่ึงไดช้ ดใชค้ ่าสินไหมทดแทนใหแ้ ก่ผเู้ สียหายที่ 2 ผรู้ ับประโยชนต์ ามสญั ญาประกนั ภยั

และมาใชส้ ิทธิไล่เบ้ียเอาจากจาเลยเท่าน้นั ความเสียหายของผรู้ ้องท่ีอา้ งวา่ ไดช้ ดใชค้ ่าสินไหมทดแทนไปน้นั จึงเกิดข้ึนจากความรับ

ผดิ ตามสญั ญาประกนั ภยั มิใช่เกิดจากการกระทาผดิ ฐานลกั ทรัพยซ์ ่ึงเป็นการกระทาละเมิดของจาเลย สิทธิเรียกร้องความเสียหายของ

ผรู้ ้องจึงมิใช่เป็นการเรียกร้องในมลู หน้ีละเมิดเช่นเดียวกนั กบั ผเู้ สียหายท้งั สอง จึงไมม่ ีสิทธิย่ืนคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยใชร้ าคาท่ีผู้

ร้องไดช้ ดใชไ้ ปตามสญั ญาประกนั ภยั ได้

ผเู้ สียหายในคดีอาญา หมายถึงบุคคลผไู้ ดร้ ับความเสียหายเน่ืองจากการกระทาผดิ ฐานใดฐานหน่ึง ซ่ึงคดี

น้ีผเู้ สียหายในความผดิ ฐานลกั ทรัพยร์ ถยนตค์ ือผเู้ สียหายท้งั สอง และพนกั งานอยั การโจทกม์ ีคาขอทา้ ยฟ้องเรียกใหจ้ าเลยคืนหรือใช้

12

ราคาแทนแก่ผเู้ สียหายท้งั สองเท่าน้นั โดยเป็นการเรียกทรัพยส์ ินหรือราคาแทนผเู้ สียหายตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิไวโ้ ดยเฉพาะตาม
มาตรา 43 และเมื่อพิจารณาประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 แลว้ ยงิ่ เห็นไดช้ ดั เจนวา่ สิทธิของผเู้ สียหายที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทน
ตามมาตราดงั กลา่ วเป็นสิทธิเฉพาะตวั โดยแทข้ องผเู้ สียหายหรือผมู้ ีอานาจจดั การแทนตาม มาตรา 4, 5 และ 6 เท่าน้นั ผเู้ สียหายที่จะ
ถือวา่ เป็นเจา้ หน้ีตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 50 จึงหมายถึงผเู้ สียหายในคดีอาญาเท่าน้นั

ฎกี ำท่ี 3664/2555 คดีน้ีพนกั งานอยั การมีคาขอใหจ้ าเลยคืนเงิน 42,500 บาท แก่ผเู้ สียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 43 แลว้ ต่อมา

โจทกร์ ่วมย่ืนคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงิน 42,500 บาท พร้อมดอกเบ้ียในอตั ราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของ

ตน้ เงินจานวนดงั กลา่ ว นบั ถดั จากวนั ฟ้องเป็นตน้ ไปจนกวา่ จะชาระเสร็จแก่โจทกร์ ่วมตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 อีก ซ่ึงตามมาตรา 44/1

วรรคสาม บญั ญตั ิวา่ “ ในกรณีท่ีพนกั งานอยั การไดด้ าเนินการตามความในมาตรา 43 แลว้ ผเู้ สียหายจะยน่ื คาร้องตามวรรคหน่ึงเพ่ือ

เรียกทรัพยส์ ินหรือราคาทรัพยส์ ินอีกไมไ่ ด้ ดงั น้ี โจทกร์ ่วมจึงยืน่ คาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงิน 43,500

บาท อีกไมไ่ ด้ การที่ศาลช้นั ตน้ สงั่ รับคาร้องของโจทกร์ ่วมในส่วนน้ีจึงไมช่ อบ อยา่ งไรกต็ ามดอกเบ้ียของเงิน 42,500 บาท ไม่ใช่

ทรัพยส์ ินหรือราคาที่ผเู้ สียหายสูญเสียไปเน่ืองจากการกระทาผดิ แต่เป็นค่าเสียหายในทางทรัพยส์ ินอนั เน่ืองมาจากการกระทา

ความผดิ ของจาเลย เพราะฉะน้นั พนกั งานอยั การจะมีคาขอเรียกค่าดอกเบ้ียแทนโจทกร์ ่วมไม่ได้ โจทกร์ ่วมจึงย่ืนคาร้องขอใหบ้ งั คบั

จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนโจทกร์ ่วมไม่ได้ โจทกร์ ่วมจึงย่ืนคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสนไหมทดแทนโดยชาระดอกเบ้ีย

ของตน้ เงิน 42,500 บาท ตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 44/1 วรรคหน่ึงได้ ซ่ึงตามมาตรา 253 วรรคหน่ึง มิใหเ้ รียกค่าธรรมเนียมจากโจทกร์ ่วม

เวน้ แต่ในกรณีท่ีศาลเห็นวา่ ผเู้ สียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูงเกินสมควร หรือดาเนินคดีโดยไมส่ ุจริต ใหศ้ าลมีอานาจสง่ั ให้

ผเู้ สียหายชาระค่าธรรมเนียมท้งั หมดหรือบางส่วนได้ ดงั น้ี การที่โจทกร์ ่วมยนื่ คาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยใชด้ อกเบ้ียในอตั ราร้อยละ 7.5

ต่อปี แก่โจทกร์ ่วมดว้ ยน้นั จึงเป็นการใชส้ ิทธิตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่สูงเกินสมควรหรือใชส้ ิทธิไม่

สุจริต โจทกร์ ่วมจึงไม่ตอ้ งเสียค่าธรรมเนียมสาหรับการขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบ้ียดงั กล่าว

ฎีกำท่ี 13838/2555 คดีก่อนศาลช้นั ตน้ ยกฟ้องโดยวินิจฉยั วา่ ท. โจทกม์ ิใช่เป็นผไู้ ดร้ ับความเสียหาย จึงมิใช่ผเู้ สียหายไมม่ ี

อานาจร้องทุกขต์ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 2 (4) พนกั งานสอบสวนยอ่ มไม่มีอานาจสอบสวน การสอบสวนของพนกั งานสอบสวนจึงเป็นไป

โดยมิชอบดว้ ยกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง ทาใหโ้ จทกไ์ มม่ ีอานาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 เห็นไดว้ า่ คดีดงั กล่าว

ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยยงั มิไดว้ นิ ิจฉยั ถึงการกระทาของจาเลยท้งั สามตามขอ้ กล่าวหาของโจทก์ จึงถือไมไ่ ดว้ า่ เป็นคาพิพากษาท่ีได้

วินิจฉยั ในความผดิ ซ่ึงไดฟ้ ้อง อนั จะเป็นเหตุใหส้ ิทธิของโจทกท์ ่ีจะนาคดีมาฟ้องใหม่ระงบั สิ้นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) ฟ้อง

โจทกค์ ดีน้ีจึงไม่เป็นฟ้องซ้ากบั คดีก่อน

ฎกี ำท่ี 1012/2527 โจทกเ์ คยฟ้องจาเลยมาคร้ังหน่ึง ศาลช้นั ตน้ ตรวจคาฟ้องแลว้ พิพากษายกฟ้องโดยวนิ ิจฉยั วา่ โจทกม์ ิใช่

ผเู้ สียหายเพราะโจทกม์ ิไดบ้ รรยายฟ้องโดยแจง้ ชดั ถึงอานาจฟ้องของโจทกโ์ จทกฟ์ ้องจาเลยเป็นคดีใหมด่ ว้ ยขอ้ หาเดียวกนั น้นั ต่อศาล

ช้นั ตน้ เดียวกนั โดยบรรยายอานาจฟ้องของโจทกใ์ หช้ ดั เจนข้ึนดงั น้ีสิทธินาคดีมาฟ้องของโจทกย์ งั หาไดร้ ะงบั ไปตามประมวล

กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) ไม่เพราะศาลยงั มิไดว้ นิ ิจฉยั ช้ีขาดการกระทาความผิดของจาเลยแต่การที่โจทกฟ์ ้องคดี

13

ใหม่ในระหวา่ งท่ีคดีเดิมอยใู่ นระหวา่ งการพิจารณาของศาลฎีกาน้นั ตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา
173(1) ประกอบดว้ ยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

ฎกี ำที่ 15831/2555 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ รถยนตก์ ะบะราคา 840,000 บาท ขอใหจ้ าเลยคืนหรือใชร้ าคาทรัพย์ รถยนตค์ นั น้ี
โจทกร์ ่วมชาระเงินดาวนแ์ ละเงินผอ่ นไป 196,000 บาท ปัจจุบนั บริษทั ประกนั ภยั จ่ายเงินใหแ้ ก่บริษทั ไฟแนนซไ์ ปแลว้ ดงั น้ี โจทก์
ร่วมมีสิทธิเรียกร้องราคารถยนตท์ ี่สูญเสียไปเน่ืองจากการกระทาผดิ คืนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 จานวน 196,000 บาท ไมใ่ ช่ 840,000
บาท มิฉะน้นั โจทกร์ ่วมยอ่ มไดก้ าไรเกินกวา่ ราคาท่ีสูญเสียไป และจาเลยท้งั สามอาจตอ้ งชาระราคารถยนตซ์ ้าซอ้ นในกรณีบริษทั
ประกนั ภยั ใชส้ ิทธิไล่เบ้ียฟ้องคดีแพง่ ปัญหาดงั กลา่ วเป็นปัญหาอนั เก่ียวดว้ ยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แมจ้ ะไม่มีคู่ความฝ่ าย
ใดยกข้ึนฎีกา ศาลฎีกากม็ ีอานาจยกข้ึนวินิจฉยั และแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งไดต้ าม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา
247

ฎกี ำท่ี 4562/2555 คดีน้ีศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ใหพ้ ิจารณาพิพากษารวมกนั กบั อีก 2 คดี โดยโจทกร์ ่วมท่ี 3 ยืน่ คาร้องขอเขา้ ร่วม

เป็นโจทกใ์ นสานวนคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี 4249/2546 ของศาลช้นั ตน้ ซ่ึงโจทกฟ์ ้องจาเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่โจทกร์ ่วมที่ 3 ไม่ไดย้ น่ื คา

ร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกใ์ นสานวนคดีน้ีซ่ึงโจทกฟ์ ้องจาเลยที่ 7 ดงั น้นั แมศ้ าลช้นั ตน้ มีคาสงั่ ใหพ้ ิจารณาพิพากษารวมกนั สามสานวน

และโจทกร์ ่วมเป็นผเู้ สียหายท้งั สามสานวนก็ตาม เมื่อโจทกร์ ่วมท่ี 3 ไมไ่ ดย้ ื่นคาร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกใ์ นคดีอาญาสานวนคดีน้ีตาม

ป.วิ.อ. มาตรา 30 โจทกร์ ่วมท่ี 3 จึงไมใ่ ช่โจทกร์ ่วมในสานวนคดีน้ี โจทกร์ ่วมที่ 3 จะอุทธรณ์ขอใหล้ งโทษจาเลยที่ 7 ไม่ได้ ส่วนการท่ี

ศาลช้นั ตน้ สง่ั ใหพ้ ิจารณาพิพากษาคดีน้ีกบั อีก 2 คดี ดงั กล่าวรวมกนั เป็นอานาจของศาลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 25 ซ่ึงเป็นคนละเรื่องแยก

ต่างหากจากกนั

ฎีกำที่ 3510/2555 คดีน้ีโจทกเ์ คยฟ้องจาเลยท้งั สองต่อศาลช้นั ตน้ มาแลว้ และศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษจาเลยท้งั สองตาม

คาพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 2322/2550 แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคาพิพากษายกฟ้องคดีดงั กล่าวเพราะโจทกม์ ิไดล้ งลายมือชื่อ

ในฟ้องและคดีถึงที่สุด จึงถือไม่ไดว้ า่ ความผิดตามฟ้องคดีน้ี ศาลในคดีก่อนไดม้ ีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซ่ึงไดฟ้ ้องแลว้

ตามความใน ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) สิทธินาคดีอาญามาฟ้องของโจทกค์ ดีน้ีจึงยงั ไมร่ ะงบั ไปตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว

ฎีกำที่ 5410/2555 รถจกั รยานยนตข์ องผเู้ สียหายในคดีน้ี และรถจกั รยานยนตใ์ นคดีหมายเลขแดงท่ี 1111/2548 ของศาล

จงั หวดั ราชบุรี ไมป่ รากฏโจทกน์ าสืบวา่ จาเลยท่ี 3 ไดร้ ับมาคนละคราว จึงตอ้ งฟังวา่ จาเลยที่ 3 ไดร้ ับรถจกั รยานยนตข์ องกลาง

ดงั กล่าวไวใ้ นคราวเดียวกนั จึงเป็นการกระทาความผดิ ฐานร่วมกนั รับของโจรเพียงกรรมเดียว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคาพพิ ากษา

เสร็จเดด็ ขาดใหย้ กฟ้องจาเลยที่ 3 ในคดีหมายเลขแดงท่ี 1111/2548 ของศาลจงั หวดั ราชบุรีแลว้ สิทธิในการนาคดีมาฟ้องในคดีน้ี ซ่ึง

เป็นความผดิ กรรมเดียวกนั กบั คดีดงั กลา่ วจึงระงบั ไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)

14

ฎีกำที่ 4928/2555 ในการพิพากษาคดีอาญา หาไดม้ ีบทบญั ญตั ิของกฎหมายใดใหศ้ าลจาตอ้ งถือตามขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏใน

คาพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น เพราะคดีอาญาโจทกต์ อ้ งมีหนา้ ที่นาสืบขอ้ เทจ็ จริงที่กลา่ วหาน้นั จึงจะฟังลงโทษจาเลยได้ ขอ้ เทจ็ จริงใน

คดีอาญาจะมีผลผกู พนั คดีอ่ืนไดก้ เ็ ฉพาะท่ีบญั ญตั ิไวใ้ น ป.วิ.อ. มาตรา 46 เท่าน้นั เมื่อขอ้ เทจ็ จริงตามคาพิพากษาของศาลช้นั ตน้ อื่นไม่

ผกู พนั ในคดีน้ี ศาลกย็ อ่ มวนิ ิจฉยั ขอ้ เทจ็ จริงในคดีน้ีตามท่ีปรากฏในสานวน ท่ีศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังขอ้ เทจ็ จริงในคดีอาญาของศาล

ช้นั ตน้ อ่ืนแลว้ วนิ ิจฉยั วา่ โจทกร์ ่วมกบั จาเลยที่ 1 สมคั รใจทะเลาะววิ าทกนั โจทกร์ ่วมทาร้ายร่างกายจาเลยที่ 1 โจทกร์ ่วมไม่ใช่

ผเู้ สียหาย จึงเป็นการไม่ชอบ

ฎีกำที่ 5677/2555 ในการพิพากษาคดีอาญาหาไดม้ ีบทบญั ญตั ิของกฎหมาย ใหศ้ าลจาตอ้ งถือตามขอ้ เทจ็ จริงท่ีปรากฏในคา

พิพากษาคดีส่วนอาญาในคดีอื่นดงั เช่นท่ีบญั ญตั ิไวส้ าหรับคดีแพง่ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 46 ไม่ แมโ้ จทกท์ ้งั สามกบั บริษทั ส. ซ่ึงมีจาเลย

เป็นกรรมการผจู้ ดั การ จะเป็นคู่ความเดียวกนั และพยานหลกั ฐานของจาเลยจะเป็นชุดเดียวกนั กบั จาเลยเคยอา้ งและนาสืบในคดีอาญา

ก่อนมาแลว้ กต็ าม เพราะในคดีอาญาศาลจะตอ้ งใชด้ ุลพินิจวินิจฉยั ชง่ั น้าหนกั พยานหลกั ฐานท้งั ปวง จะไมพ่ ิพากษาลงโทษจนกวา่ จะ

แน่ใจวา่ มีการกระทาความผิดจริงและจาเลยเป็นผกู้ ระทาความผิด ฉะน้นั ที่ศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 วนิ ิจฉยั คดีน้ีโดยฟังขอ้ เทจ็ จริงตามคา

พิพากษาศาลฎีกาในคดีอาญาก่อนซ่ึงถึงที่สุด โดยมิไดว้ ินิจฉยั ตามพยานหลกั ฐานท่ีปรากฏในสานวนคดีน้ี จึงเป็นการไมช่ อบ เป็น

การขดั ต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 186 (5) และมาตรา 227 วรรคหน่ึง

ฎีกำท่ี 8698/2554 สิทธิในการยน่ื คาร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 เพื่อใช้

สิทธิฎีกาคดั คา้ นคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 216 น้นั เป็นสิทธิเฉพาะตวั ของคู่ความแต่ละคน การที่ศาลช้นั ตน้ อนุญาต

ใหโ้ จทกข์ ยายระยะเวลาย่ืนฎีกาจึงเป็นเร่ืองเฉพาะของตวั โจทกเ์ ท่าน้นั ไม่มีผลถึงโจทกร์ ่วมแต่อยา่ งใด

โจทกร์ ่วมย่ืนคาร้องขอขยายระยะเวลายนื่ ฎีกาอา้ งวา่ คดีมีเอกสารมากมายและมีความซบั ซอ้ น

ทนายความโจทกร์ ่วมตอ้ งใชร้ ะยะเวลาเพ่ือรวบรวมถอ้ ยคาสานวนและพยานเอกสารต่าง ๆ จากโจทกร์ ่วม และติดต่อพนกั งานอยั การ

เพื่อรวบรวมถอ้ ยคาสานวนใหต้ รงตามความประสงคข์ องโจทกร์ ่วม ถือเป็นความบกพร่องของทนายโจทกร์ ่วมที่ไมร่ วบรวมเอกสาร

เพื่อทาฎีกาย่นื ต่อศาลแต่เนิ่น ๆ ไมใ่ ช่เหตุสุดวิสยั ที่จะอนุญาตใหโ้ จทกร์ ่วมขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้

ฎกี ำที่ 6079/2555 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยท้งั ส่ีร่วมกนั ครอบครองเงินของ ฮ. และเบียดบงั ยกั ยอกเงินจานวนดงั กลา่ วไป

การกระทาที่โจทกก์ ล่าวหาน้ีเกิดข้ึนขณะท่ี ฮ. ยงั มีชีวติ อยู่ จึงเป็นการกระทาต่อ ฮ. เจา้ ของทรัพย์ ฮ.จึงเป็นผเู้ สียหายตามมาตรา 2 (4)

และมีอานาจร้องทุกขต์ ามมาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 2 (7) แมศ้ าลเยาวชนและครอบครัวกลางจะมีคาสง่ั ให้ ฮ. เป็นผเู้ สมือนคนไร้

ความสามารถ แต่ ฮ. ยงั สามารถดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี 1 และที่ 2 เหมือนเช่นบุคคลทว่ั ไปได้ โดยไม่ตอ้ งไดร้ ับความยินยอมจากจาเลย

ที่ 1 และท่ี 2 ผพู้ ิทกั ษ์ ประกอบกบั ฮ. มิไดถ้ ูกจาเลยท้งั สี่ทาร้ายถึงตายหรือบาดเจบ็ จนไม่สามารถจดั การเองได้ อนั จะทาใหโ้ จทกร์ ่วม

ในฐานะผจู้ ดั การมรดกของ ฮ. มีอานาจจดั การแทนไดต้ ามมาตรา 5 (2) เม่ือโจทกร์ ่วมซ่ึงไม่ไดเ้ ป็นผเู้ สียหายเป็นผรู้ ้องทุกขใ์ ห้

ดาเนินคดีแก่จาเลยท้งั สี่ในความผิดฐานยกั ยอกซ่ึงเป็นความผิดอนั ยอมความได้ จึงถือไม่ไดว้ า่ คดีน้ีมีคาร้องทุกขต์ ามระเบียบท่ีจะทา

15

ใหพ้ นกั งานสอบสวนมีอานาจสอบสวนในความผดิ ต่อส่วนตวั หรือความผดิ อนั ยอมความไดแ้ ละถือเท่ากบั วา่ ยงั ไม่มีการสอบสวน
ยอ่ มส่งผลใหโ้ จทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องตามมาตรา 120

ฎกี ำท่ี 2367/2556 ป. ผตู้ ายเป็นฝ่ ายก่อเหตุทาร้ายจาเลยก่อน การกระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาเพราะถูกข่มเหงอยา่ ง

ร้ายแรงดว้ ยเหตุอนั ไม่เป็นธรรม อนั เป็นการกระทาความผดิ โดยบนั ดาลโทสะ เม่ือผตู้ ายเป็นผกู้ ่อใหจ้ าเลยกระทาความผดิ ผตู้ ายจึง

ไม่ใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั สาหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทกร์ ่วมท้งั สองซ่ึงเป็นบิดาและมารดา

ของผตู้ ายยอ่ มไม่มีอานาจจดั การแทนผตู้ ายไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2 ) และไม่มีอานาจเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การตาม ป.

ว.ิ อ. มาตรา 30 และยืน่ คาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1

ฎกี ำที่ 8929/2556 นิติสมั พนั ธ์ระหวา่ งโจทกก์ บั จาเลยตามหนงั สือสญั ญากยู้ มื เงินโจทกม์ ีฐานะเพียงเจา้ หน้ีสามญั ของจาเลย

การท่ีจาเลยมอบโฉนดที่ดินใหแ้ ก่โจทกเ์ พ่ือยึดถือไวเ้ ป็นประกนั การกยู้ ืมเงินแมท้ าใหโ้ จทกม์ ีสิทธิในอนั ที่จะยดึ โฉนดที่ดินไวจ้ นกวา่

จะไดร้ ับชาระหน้ีจากจาเลยสิ้นเชิง แต่มิไดก้ ่อใหเ้ กิดสิทธิแก่โจทกท์ ี่จะฟ้องบงั คบั เอาแก่ท่ีดินหรือบงั คบั อยา่ งใด ๆ ต่อโฉนดที่ดินท่ี

จาเลยวางเป็นประกนั ไดเ้ ลยไม่วา่ ในทางใด โจทกค์ งมีสิทธิฟ้องบงั คบั จาเลยตามหนงั สือสญั ญากยู้ ืมเงินอยา่ งเจา้ หน้ีสามญั เท่าน้นั

ดงั น้ีการที่จาเลยไปแจง้ แก่เจา้ พนกั งานท่ีดินวา่ โฉนดที่ดินสูญหายไปเพื่อขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน ไม่วา่ จะเป็นการแจง้ ขอ้ ความอนั

เป็นเทจ็ หรือไม่ ยอ่ มมิไดก้ ระทบต่อสิทธิอยา่ งใด ๆ ของโจทกใ์ นอนั ที่จะบงั คบั ชาระหน้ีเอาแก่จาเลยตามหนงั สือสัญญากยู้ มื เงิน สิทธิ

ของโจทกใ์ นฐานะเจา้ หน้ีสามญั มีอยอู่ ยา่ งไรคงมีอยเู่ พียงน้นั มิไดล้ ดนอ้ ยถอยลง ท้งั ในการแจง้ แก่เจา้ พนกั งานท่ีดินเพื่อขอออกใบ

แทนโฉนดท่ีดินเป็นเร่ืองท่ีจาเลยกระทาต่อเจา้ พนกั งานที่ดินโดยเฉพาะไมเ่ ก่ียวกบั โจทกเ์ พราะจาเลยไม่ไดก้ ลา่ วพาดพิงเจาะจงถึง

โจทก์ ในอนั จะถือวา่ ทาใหโ้ จทกไ์ ดร้ ับความเสียหายจากการกระทาของจาเลย โจทกไ์ ม่ใช่ผเู้ สียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์

จึงไม่มีอานาจฟ้องจาเลยในความผดิ ฐานแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แก่เจา้ พนกั งานตาม ป.อ. มาตรา 137

ฎีกำท่ี 4801/2555 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ รถจกั รยานยนตค์ นั หมายเลขทะเบียน กมธ ระยอง 533 เป็นของ ส. ขณะอยใู่ นความ

ครอบครองของ ช. ถูกจาเลยท้งั สี่กบั พวกร่วมกนั ทุบตีทาลายรถจกั รยานยนตด์ งั กล่าวไดร้ ับความเสียหาย ดงั น้ี ผเู้ สียหายยอ่ มหมายถึง

ช. ซ่ึงเป็นผรู้ ้องทุกขภ์ ายในอายุความชอบดว้ ยกฎหมาย และขอ้ เทจ็ จริงรับฟังไดว้ า่ ขณะ ช. เป็นผคู้ รอบครองใชร้ ถจกั รยานยนต์

ดงั กล่าวไดม้ ีการกระทาความผดิ ฐานทาใหเ้ สียทรัพย์ ช. ผคู้ รองครองทรัพยข์ อง ส. ในขณะน้นั จะตอ้ งมีความรับผิดในความเสียหาย

ต่อ ส. ช. จึงเป็นผเู้ สียหายเนื่องจากการกระทาความผิดน้นั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ท่ีจะร้องทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนใหด้ าเนินคดีน้ี

ได้

ฎีกำท่ี 11473/2555 คดีอาญาที่จาเลยถูกฟ้องขอ้ หายกั ยอก ศาลวนิ ิจฉยั วา่ พยานหลกั ฐานของโจทกย์ งั ฟังไม่ไดว้ า่ จาเลยรับเงิน
ส่วนที่ขาดจากพนกั งานขายมาแลว้ ไม่ส่งใหผ้ เู้ สียหาย แต่เป็นกรณีที่พนกั งานขายยงั ไมส่ ่งเงินส่วนท่ีขาดส่งใหแ้ ก่จาเลย จาเลยจึง
ไมไ่ ดย้ กั ยอก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแลว้ แมค้ ดีดงั กล่าวศาลช้นั ตน้ จะยกฟ้องโดยยกประโยชนแ์ ห่งความสงสยั ใหแ้ ก่จาเลย แต่
ผลในทางคดีตอ้ งฟังวา่ จาเลยไม่ไดย้ กั ยอกเงินดงั กลา่ ว เม่ือโจทกฟ์ ้องจาเลยท่ี 1 คดีน้ีซ่ึงเป็นจาเลยในคดีอาญาดงั กล่าวใหร้ ับผดิ ทาง
แพ่งโดยอา้ งเหตุเช่นเดียวกบั คดีอาญาวา่ จาเลยที่ 1 เป็นตวั แทนจาหน่ายของโจทกจ์ าเลยที่ 1 รับเงินค่าสินคา้ จากพนกั งานขายแลว้ ส่ง

16

มองใหแ้ ก่โจทกไ์ มค่ รบถว้ นโดยคาฟ้องของโจทกใ์ นคดีแพง่ ขอใหบ้ งั คบั จาเลยท้งั สองรับผดิ ในจานวนเงินท่ีจาเลยท่ี 1 รับมาจาก
พนกั งานขายไม่ส่งมอบใหแ้ ก่โจทกจ์ านวน 150,559 บาท เป็นเงินจานวนเดียวกนั กบั คาขอทา้ ยฟ้องคดีอาญาเพ่ือขอใหจ้ าเลยคืนหรือ
ชดใชเ้ งินแก่ผเู้ สียหาย จึงเป็นการฟ้องอาศยั เหตุเดียวกนั กบั คดีอาญา ถือเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกบั คดีอาญา เม่ือคดีส่วนอาญา ศาล
ช้นั ตน้ ฟังขอ้ เทจ็ จริงวา่ จาเลยยงั ไม่ไดร้ ับเงินจานวนดงั กล่าวจากพนกั งานขายของโจทก์ การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงตอ้ งถือ
ขอ้ เทจ็ จริงในคดีส่วนอาญาดงั กล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 โดยฟังขอ้ เทจ็ จริงวา่ จาเลยที่ 1 ยงั ไมไ่ ดร้ ับเงินค่าสินคา้ ส่วนที่ขาดส่งสินคา้
ส่วนท่ีขาดส่งจากพนกั งานขายของโจทก์ จาเลยท่ี 1 จึงไม่ตอ้ งรับผดิ ชาระเงินจานวนดงั กลา่ วแก่โจทก์ และจาเลยท่ี 2 ในฐานะผคู้ ้า
ประกนั กไ็ มต่ อ้ งรับผดิ ดว้ ยเช่นกนั

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 67)

ฎีกำท่ี 15464/2556 ป.ว.ิ อ. มาตรา 22(1) มิไดบ้ ญั ญตั ิใหศ้ าลช้นั ตน้ ซ่ึงเป็นศาลทอ้ งท่ีท่ีจาเลยท่ี 1 มีที่อยใู่ นเขตอานาจตอ้ งรับ
ชาระคดีท่ีโจทกฟ์ ้องจาเลยท้งั สอง เม่ือความผิดคดีน้ีมิไดเ้ กิดข้ึนในเขตอานาจของศาลช้นั ตน้ โจทกจ์ ะฟ้องจาเลยท้งั สองต่อศาล
ช้นั ตน้ ซ่ึงเป็นศาลทอ้ งที่ที่จาเลยท่ี 1 มีที่อยใู่ นเขตอานาจไมไ่ ด้

ศาลช้นั ตน้ รับฟ้องของโจทกไ์ วจ้ นไต่สวนมูลฟ้องเสร็จ ยงั ถือาไมไ่ ดว้ า่ ศาลช้นั ตน้ ไดใ้ ชด้ ุลพินิจรับคดีของ
โจทกไ์ วช้ าระแลว้ เมื่อตามฟ้องของโจทกร์ ะบุวา่ เหตุเกิดในเขตอานาจของศาลช้นั ตน้ ยอ่ มไมม่ ีเหตุที่ศาลช้นั ตน้ จะตอ้ งยกฟ้องโจทก์
ต้งั แต่ช้นั ตรวจคาฟ้อง การที่ศาลช้นั ตน้ มีคาพิพากษายกฟ้องโจทกห์ ลงั จากไต่สวนมูลฟ้องเสร็จโดยเหตุที่คดีน้ีมิไดเ้ กิดข้ึนไดเ้ ขต
อานาจของศาลช้นั ตน้ จึงเป็นการที่ศาลช้นั ตน้ ใชด้ ุลพินิจสัง่ ศาลอานาจท่ีมีอยู่

ฎกี ำท่ี ท. 1592/2556 โจทกร์ ่วมท่ี 1 บิดาโดยชอบดว้ ยกฎหมายของ ท. ผเู้ สียหายซ่ึงถูกทาร้ายถึงแก่ความตาย ผรู้ ้องซ่ึงเป็นภริยา
โดยชอบดว้ ยกฎหมายของโจทกท์ ่ี 1 และเป็นมารดาของ ท. ผตู้ าย ยน่ื คาร้องขอเขา้ ดาเนินคดี ถือวา่ ผรู้ ้องประสงคข์ อใชส้ ิทธิของตนที่
มีอยเู่ ดิมต้งั แต่แรกในฐานะผมู้ ีอานาจจดั การแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เพื่อสืบสิทธิดาเนินคดีแทนโจทกร์ ่วมที่ 1 ในช้นั ฎีกา ศาล
ฎีกาอนุญาตใหผ้ รู้ ้องเขา้ ดาเนินคดีในฐานะเป็นโจทกร์ ่วมท่ี 1 แทนโจทกร์ ่วมไดก้ บั ใหร้ ับคาแกฎ้ ีกาไวพ้ ิจารณา

ฎีกำที่ 562/2557 คดีอาญาความผิดต่อส่วนตวั และยงั ไมถ่ ึงท่ีสุด เมื่อผเู้ สียหายท้งั 11 คน ถอนคาร้องทุกขภ์ ายในกาหนด

ระยะเวลาฎีกา โดยที่ยงั ไม่มีคู่ความฝ่ ายใดย่ืนฎีกา ยอ่ มเป็นอานาจของศาลช้นั ตน้ ที่จะพิจารณาสงั่ ฉะน้นั คาสง่ั ศาลช้นั ตน้ ที่อนุญาต

ใหถ้ อนคาร้องทุกขแ์ ละใหจ้ าหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงชอบแลว้ จาเลยไมอ่ าจย่ืนฎีกาขอใหศ้ าลฎีกาสงั่ จาหน่ายคดีไดอ้ ีก ฎีกา

ของจาเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอนั ควรไดร้ ับการวนิ ิจฉยั ตาม ป.วิ.แพง่ มาตรา 249 วรรคหน่ึง ประกอบ ป.ว.ิ อาญา มาตรา 15

17

ฎกี ำท่ี ท.212/2557 ผรู้ ้องเป็นผจู้ ดั การมรดกของโจทก์ แต่มิใช่บุคคลตามบทบญั ญตั ิ ป.ว.ิ อ. มาตรา 29 ผรู้ ้องจึงไม่มีสิทธิ

ดาเนินคดีต่างโจทกผ์ ตู้ ายได้ คดีน้ีแมจ้ ะเป็นความผิดอาญาอนั ยอมความไดแ้ ละโจทกไ์ ดต้ ายแลว้ กต็ าม แต่หาไดม้ ีกฎหมายบญั ญตั ิวา่

ในคดีอาญาน้นั เม่ือโจทกต์ ายแลว้ ใหค้ ดีระงบั ไปไม่ เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกาแลว้ และโจทกต์ าย โดยมีการดาเนินคดีครบถว้ นบริบูรณ์

แลว้ เช่นน้ี ศาลฎีกายอ่ มดาเนินกระบวนพิจารณาคดีน้ีต่อไปได้ ใหศ้ าลช้นั ตน้ อ่านคาพิพากษาศาลฎีกาใหค้ ู่ความฟังต่อไป

ฎกี ำที่ 6844/2554 จาเลยย่ืนอุทธรณ์โดยมีคาร้องของผเู้ สียหายแนบทา้ ยมีความว่า จาเลยไดช้ ดใชค้ ่าเสียหายใหผ้ เู้ สียหายเป็น

ท่ีพอใจแลว้ จึงไมต่ ิดใจเอาความแก่จาเลย โจทกร์ ับสาเนาแลว้ มิไดย้ ่ืนคาแกอ้ ทุ ธรณ์คดั คา้ นวา่ คาร้องของผเู้ สียหายไม่เป็นความจริง

หรือไม่ถูกตอ้ งประการใด เม่ือคาร้องดงั กลา่ วมีขอ้ ความสรุปไดว้ า่ ผเู้ สียหายไม่ประสงคจ์ ะดาเนินคดีแก่จาเลยอีกต่อไป จึงมีลกั ษณะ

เช่นคาร้องขอถอนคาร้องทุกข์

แมก้ ารกระทาของจาเลยตามฟ้องจะเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทาชาเราผเู้ สียหายอนั มีลกั ษณะ

เป็นการโทรมหญิงซ่ึงยอมความไมไ่ ด้ แต่เม่ือศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก, 80, 83 โจทกไ์ ม่

อทุ ธรณ์ ขอ้ หาท่ีวา่ จาเลยกระทาในลกั ษณะเป็นการโทรมหญิงจึงยตุ ิไป ในช้นั น้ีหากฟังวา่ จาเลยกระทาความผดิ กล็ งโทษจาเลยได้

ตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก เท่าน้นั ซ่ึงความผดิ ดงั กล่าวเป็นความผิดอนั ยอมความไดต้ ามมาตรา 281 เม่ือผเู้ สียหายไดย้ ืน่ คาร้อง

ขอถอนคาร้องทุกขแ์ ลว้ ยอ่ มมีผลทาใหส้ ิทธินาคดีอาญามาฟ้องของโจทกร์ ะงบั ไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) คาพิพากษาของศาลล่าง

ท้งั สองยอมระงบั ไปในตวั ไม่มีผลบงั คบั อีกต่อไป

ฎกี ำท่ี 10510/2555 ส. ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นนกั ข่าวสถานีโทรทศั น์ อ. กาลงั ทารายการ "ทาผดิ อยา่ เผลอ" ไดร้ ับเร่ืองร้องเรียนจาก
ม. วา่ ถกู จาเลยท้งั หา้ ซ่ึงเป็นกลุ่มหลอกขายเหลก็ ไหลหลอกลวงจนตอ้ งสูญเงินไปหลายแสนบาท ผเู้ สียหายกบั ม. จึงดาเนินการ
วางแผนเพื่อการจบั กุมดว้ ยการติดต่อกบั กลุ่มของจาเลยท้งั หา้ หลงั จากท่ีมีการติดต่อกบั กลุ่มบุคคลดงั กลา่ วจนทราบแน่ชดั วา่ มี
พฤติกรรมในการหลอกลวงจริง จึงประสานงานกบั เจา้ พนกั งานตารวจเพื่อจบั กมุ โดยผเู้ สียหายนาเงินที่จะตอ้ งวางประกนั ในการทา
สญั ญาจะซ้ือจะขายเหลก็ ไหลไปลงบนั ทึกประจาวนั ไวเ้ ป็นหลกั ฐานกเ็ พื่อจะไดเ้ ป็นหลกั ฐานของการกระทาความผิด จึงเป็นเร่ืองที่
ผเู้ สียหายดาเนินการแสวงหาพยานหลกั ฐานดว้ ยตนเอง โดยการหลอกล่อกลุ่มบุคคลดงั กลา่ วซ่ึงกค็ ือจาเลยท้งั หา้ มากระทาความผิด
อนั เป็นการก่อใหจ้ าเลยท้งั หา้ กระทาความผิดฐานฉอ้ โกงตามฟ้อง มิใช่เป็นเพราะจาเลยท้งั หา้ มีเจตนาจะฉอ้ โกงผเู้ สียหายมาต้งั แต่ตน้
กรณีดงั กลา่ วจึงไม่อาจถือไดว้ า่ ผเู้ สียหายเป็นผเู้ สียหายตามกฎหมาย การแจง้ ความร้องทุกขใ์ นความผดิ ฐานฉอ้ โกงซ่ึงเป็นความผดิ อนั
ยอมความไดจ้ ึงไม่ใช่การแจง้ ความร้องทุกขต์ ามกฎหมาย มีผลทาใหก้ ารสอบสวนในความผิดดงั กลา่ วไมช่ อบ โจทกจ์ ึงไมม่ ีอานาจ
ฟ้อง

ฎกี ำท่ี 9948/2555 โจทกร์ ่วมและผเู้ สียหายที่ 2 เขา้ ร่วมเป็นหุน้ ส่วนสามญั ไมจ่ ดทะเบียนกบั บริษทั อ. เพ่ือดาเนินกิจการของ

โรงเรียน อนั มีโจทกร์ ่วมและผเู้ สียหายท่ี 2 เป็นหุน้ ส่วน เม่ือไม่ปรากฏวา่ ผเู้ ป็นหุน้ ส่วนตกลงกนั ไวใ้ นกระบวนการหา้ งหุน้ ส่วน ผู้

เป็นหุน้ ส่วนย่อมจดั การหา้ งหุน้ ส่วนน้นั ไดท้ ุกคนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1033 วรรคหน่ึง โจทกร์ ่วมในฐานะหุน้ ส่วนของหา้ งหุน้ ส่วน

สามญั ยงั มิไดจ้ ดทะเบียน ยอ่ มเป็นผเู้ สียหายมีอานาจร้องทุกขเ์ ป็นโจทกฟ์ ้องคดีอาญา หรือเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การได้

18

(วนิ ิจฉยั โดยมติท่ีประชุมใหญ่) ขณะเกิดเหตุแมจ้ าเลยไมไ่ ดท้ าหนา้ ที่ฝ่ ายการเงินของโรงเรียนและไมม่ ีหนา้ ท่ีรับเงินจากนกั เรียน
โดยตรงกต็ าม แต่จาเลยเป็นอาจารยฝ์ ่ ายทะเบียนและฝ่ ายผสู้ อน นกั เรียนสามารถฝากเงินแก่จาเลยใหน้ าไปชาระแก่โรงเรียนไดโ้ ดย
ถือเสมือนหน่ึงวา่ นกั เรียนชาระเงินใหแ้ ก่โรงเรียนแลว้ และจาเลยมีหนา้ ที่นาเงินดงั กลา่ วไปมอบใหฝ้ ่ ายการเงิน ถือไดว้ า่ จาเลยไดร้ ับ
มอบหมายโดยปริยายจากโรงเรียนใหม้ ีหนา้ ท่ีรับเงินจากนกั เรียนแทนโรงเรียนได้ ซ่ึงเม่ือจาเลยไดร้ ับเงินดงั กลา่ วจากนกั เรียนแลว้
เงินดงั กล่าวยอ่ มตกเป็นของโรงเรียน ซ่ึงเป็นกิจการของหา้ งหุน้ ส่วนสามญั ยงั มิไดจ้ ดทะเบียน ไมไ่ ดเ้ ป็นของนกั เรียนอีกต่อไป
นกั เรียนผชู้ าระเงินผา่ นจาเลย จึงมิใช่ผเู้ สียหายผมู้ ีอานาจร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีอาญาแก่จาเลย ดงั น้นั แมก้ ่อนโจทกร์ ่วมแจง้ ความร้อง
ทุกขใ์ หด้ าเนินคดีอาญาแก่จาเลยในคดีน้ี นกั เรียนผชู้ าระเงินผา่ นจาเลยไปแจง้ ความร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีอาญาแก่จาเลยในขอ้ หา
ฉอ้ โกง และถอนคาร้องทุกขเ์ น่ืองจากโรงเรียนออกใบรับรองผลการเรียนใหไ้ ปแลว้ ก็ตาม ก็ถือไมไ่ ดว้ า่ นกั เรียนดงั กลา่ วเป็น
ผเู้ สียหายที่จะมีอานาจถอนคาร้องทุกขใ์ นความผิดขอ้ หายกั ยอกตามฟ้องน้ีได้ สิทธินาคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ ในส่วนน้ีจึงยงั ไม่
ระงบั ไป เพราะมิใช่เป็นการเปลี่ยนตวั ผเู้ สียหายและเปล่ียนขอ้ หาเพื่อดาเนินคดีอาญาแก่จาเลย

ฎีกำที่ 2681/2557 ว.ไมไ่ ดจ้ ดทะเบียนสมรสกบั ส. ผตู้ ายไมถ่ ือวา่ เป็นสามีภรรยากนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ว. จึงไม่ใช่

ผเู้ สียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา5(2) ไมม่ ีสิทธิเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การตามมาตรา 30

คาสงั่ ศาลช้นั ตน้ ที่อนุญาตให้ ว. เขา้ เป็นโจทกร์ ่วมที่3 จึงไมช่ อบ

ฎกี ำที่ 1201/2555 แมจ้ าเลยท่ี2 และท่ี3 ถูกจบั กมุ ในทอ้ งท่ีสถานีตารวจภูธรพระประแดง แต่ก่อนหนา้ น้นั จาเลยท่ี1 ถูก

จบั กุม พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางจานวนหน่ึงในทอ้ งที่สถานีตารวจภูธรพระสมุทรเจดีย์ ซ่ึงจาเลยที่2 และที่3 อยู่ ณ บริเวณท่ี

เกิดเหตุในทอ้ งที่ดงั กลา่ วและมีพฤติการณ์ร่วมกระทาความผิดกบั จาเลยที่1 ดว้ ย แต่จาเลยที่2 และที่ 3 ขบั รถที่มีเมทแอมเฟตามีนของ

กลางอีกจานวนหน่ึงหลบหนีไปและถูกจบั กมุ ในทอ้ งที่สถานีตารวจภูธรพระประแดง ยอ่ มถือวา่ เป็นความผดิ ต่อเน่ืองและกระทา

ต่อเนื่องในทอ้ งที่ท้งั สองแห่ง พนกั งานสอบสวนทอ้ งท่ีใดทอ้ งท่ีหน่ึงในสองแห่งน้นั ยอ่ มมีอานาจสอบสวนไดแ้ ละเมื่อจาเลยที่2 และ

ที่3 เป็นคู่คดีกบั จาเลยท่ี1 ซ่ึงเป็นตวั การและถูกจบั กมุ ไดก้ ่อนแลว้ พนกั งานสอบสวนสถานีตารวจภูธรพระสมทุ รเจดีย์ ยอ่ มเป็น

ผรู้ ับผดิ ชอบในการสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 และพนกั งานอยั การยอ่ มมีอานาจฟ้องตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 120

ฎกี ำท่ี 692/2557 ผรู้ ้องท้งั สองเขา้ มาเป็นคู่ความเฉพาะคดีในส่วนแพ่งขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 44/1 เมื่อจาเลยฎีกาเฉพาะคดีในส่วนอาญา ผรู้ ้องท้งั สองจึงไม่มีสิทธิย่ืนคาแกฎ้ ีกาใน

คดีส่วนอาญา ผรู้ ้องท้งั สองจึงไมม่ ีสิทธิย่ืนคาแกฎ้ ีกาในคดีส่วนอาญา

ฎีกำที่ 2630/2557 คดีแพ่งเก่ียวเนื่องคดีอาญาท่ีโจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในความผิดฐานยกั ยอกตามประมวลกฎหมาย

อาญามาตรา 352 เม่ือปรากฏวา่ สิทธินาคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานยกั ยอกระงบั ไปแลว้ กย็ อ่ มทาใหค้ าขอในส่วนคดีแพ่ง

ดงั กลา่ วของโจทกเ์ ป็นอนั ตกไป ท้งั ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 มิไดใ้ หอ้ านาจพนกั งานอยั การท่ีย่ืนฟ้อง

คดีอาญาในความผดิ ฐานปลอมเอกสาร และใชเ้ อกสารปลอมใหเ้ รียกทรัพยส์ ินหรือราคาแทนผเู้ สียหายได้ ปัญหาดงั กล่าวเป็นขอ้

19

กฎหมายที่เกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย แมจ้ าเลยมิไดอ้ ทุ ธรณ์ฎีกา ศาลฎีกากม็ ีอานาจยกข้ึนอา้ ง และแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้ ตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา225

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 68)

ฎกี ำท่ี 6079/2557 ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 2(5) ประกอบ มาตรา 2(7) กาหนดใหผ้ เู้ สียหายเท่าน้นั ที่จะมีอานาจร้องทุกขเ์ พ่ือ

ดาเนินคดีแก่ผกู้ ระทาความผดิ ได้ คดีความผิดตามที่โจทกฟ์ ้องเป็นความผดิ อนั ยอมความได้ หรือ ความผดิ ต่อส่วนตวั พนกั งาน

สอบสวนจะมีอานาจสอบสวนกต็ ่อเม่ือมีคาร้องทุกขต์ ามระเบียบตามมาตรา 121วรรคสอง และโจทกจ์ ะมีอานาจฟ้องกต็ ่อเม่ือมีการ

สอบสวนในความผิดน้นั ก่อนเช่นกนั ตาม มาตรา 120 คดีน้ีโจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ ระหวา่ งวนั ท่ี 9 มิถุนายน 2540 ถึงวนั ที่ 10

กมุ ภาพนั ธ์ 2547 เวลาใดไม่ปรากฏชดั ต่อเนื่องกนั จาเลยท้งั สี่ร่วมกนั ครอบครองเงินท่ีไดจ้ ากการขายที่ดินและขายสิทธิการเช่าที่ราช

พสั ดุ ของ ฮ และเบียดบงั ยกั ยอกเอาเงินจานวนดงั กล่าวไป เม่ือ ฮ. ถึงแก่ความตายวนั ที่ 20 มีนาคม2546 การกระทาที่โจทกก์ ลา่ วหา

ในขณะท่ี ฮ.ยงั มีชีวติ อยู่ จึงเป็นการกระทาผิดต่อ ฮ. ผเู้ ป็นเจา้ ของทรัพย์ ฮ. จึงเป็นผเู้ สียหายตามมาตรา 2(5) และมีอานาจร้องทุกขไ์ ด้

ตามมาตรา 3(1) ประกอบ มาตรา 2(7) แม้ ฮ. จะพิการเดินไม่ไดเ้ พราะเป็นอมั พาตและศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคาสง่ั ให้

เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ แต่ ฮ. กย็ งั สามารถดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี1 และท่ี2 เหมือนเช่นบุคคลทวั่ ไปได้ โดยมิตอ้ งไดร้ ับความ

ยินยอมจากจาเลยท่ี1 และที่2 ผพู้ ิทกั ษ์ ดงั ท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 34 แห่ง ป.พ.พ. ประกอบกบั ฮ. มิไดถ้ ูกจาเลยท้งั สี่ทาร้ายถึงตาย หรือ

บาดเจบ็ จนไม่สามารถจดั การเองได้ อนั จะทาใหโ้ จทกร์ ่วมในฐานะผจู้ ดั การมรดกของ ฮ. มีอานาจจดั การแทน ฮ. ได้ ตามมาตรา 5(2)

เม่ือโจทกร์ ่วมซ่ึงไมไ่ ดเ้ ป็นผเู้ สียหายเป็นผรู้ ้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยท้งั ส่ีในความผิดฐานยกั ยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 และ 354

ซ่ึงเป็นความผิดอนั ยอมความได้ หรือ ความผดิ ต่อส่วนตวั ตามมาตรา 356 จึงถือไมไ่ ดว้ า่ คดีน้ีมีคาร้องทุกขต์ ามระเบียบท่ีจะทาให้

พนกั งานสอบสวนมีอานาจสอบสวนความผิดต่อส่วนตวั ได้ และถือเท่ากบั วา่ ยงั ไม่มีการสอบสวนในความผิดน้นั มาก่อน ยอ่ มส่งผล

ใหโ้ จทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องตามมาตรา 120

จาเลยท่ี2 นาเงินส่วนหน่ึงไปซ้ือสลากออมสินจานวน 1,000,000บาทเศษ ในนามของจาเลยที่2 คนเดียว

โดยมีการเบิกเงินออกจากบญั ชีเม่ือวนั ที่ 16 กนั ยายน 2551 จานวนเงิน 1,200,000 บาท ยอ่ มเป็นความผิดสาเร็จก่อน ฮ. ถึงแกความ

ตายถึง 4ปี เศษ การที่โจทกร์ ่วมเป็นผจู้ ดั การมรดกของ ฮ. เมื่อวนั ที่ 8 ธนั วามคม 2546 โจทกร์ ่วมอา้ งวา่ เพิ่งทราบและมาแจง้ ความ

ร้องทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนวนั ที่ 12กมุ ภาพนั ธ์2547 กไ็ มท่ าใหก้ ารกระทาของจาเลยที่2 เป็นการกระทาต่อเนื่องกนั จนถึงวนั ท่ี 10

กมุ ภาพนั ธ์ 2547 โจทกร์ ่วมจึงไม่เป็นผเู้ สียหาย ถือไม่ไดว้ า่ มีคาร้องทุกขต์ ามระเบียบที่จะทาใหพ้ นกั งานสอบสวนมีอานาจสอบสวน

ในความผิดต่อส่วนตวั ได้ ถือเท่ากบั วา่ ไมไ่ ดม้ ีการสอบสวน ยอ่ มส่งผลใหโ้ จทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องตามมาตรา 120เช่นกนั ท่ีศาลช้นั ตน้

มีคาสงั่ อนุญาตใหโ้ จทกร์ ่วมเขา้ ร่วมเป็นโจทก์ และศาลอทุ ธรณ์ภาค1 วินิจฉยั อทุ ธรณ์ของโจทกร์ ่วมมาจึงเป็นการไมช่ อบ ปัญหา

ดงั กลา่ วเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายเกี่ยวดว้ ยความสงบเรีบร้อย ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวินิจฉยั เองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง

ประกอบมาตรา 225

20

ฎกี ำท่ี 10510/2555 ส. ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นนกั ข่าวสถานีโทรทศั น์ อ. กาลงั ทารายการ "ทาผิดอยา่ เผลอ" ไดร้ ับเรื่องร้องเรียนจาก
ม. วา่ ถกู จาเลยท้งั หา้ ซ่ึงเป็นกลุ่มหลอกขายเหลก็ ไหลหลอกลวงจนตอ้ งสูญเงินไปหลายแสนบาท ผเู้ สียหายกบั ม. จึงดาเนินการ
วางแผนเพื่อการจบั กมุ ดว้ ยการติดต่อกบั กลุ่มของจาเลยท้งั หา้ หลงั จากท่ีมีการติดต่อกบั กลุ่มบุคคลดงั กล่าวจนทราบแน่ชดั วา่ มี
พฤติกรรมในการหลอกลวงจริง จึงประสานงานกบั เจา้ พนกั งานตารวจเพื่อจบั กมุ โดยผเู้ สียหายนาเงินท่ีจะตอ้ งวางประกนั ในการทา
สญั ญาจะซ้ือจะขายเหลก็ ไหลไปลงบนั ทึกประจาวนั ไวเ้ ป็นหลกั ฐานกเ็ พื่อจะไดเ้ ป็นหลกั ฐานของการกระทาความผดิ จึงเป็นเร่ืองที่
ผเู้ สียหายดาเนินการแสวงหาพยานหลกั ฐานดว้ ยตนเอง โดยการหลอกล่อกลุ่มบุคคลดงั กล่าวซ่ึงกค็ ือจาเลยท้งั หา้ มากระทาความผิด
อนั เป็นการก่อใหจ้ าเลยท้งั หา้ กระทาความผิดฐานฉอ้ โกงตามฟ้อง มิใช่เป็นเพราะจาเลยท้งั หา้ มีเจตนาจะฉอ้ โกงผเู้ สียหายมาต้งั แต่ตน้

กรณีดงั กล่าวจึงไม่อาจถือไดว้ า่ ผเู้ สียหายเป็นผเู้ สียหายตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 2(5) มีผลให้ การแจง้ ความร้องทุกขใ์ นความผิดฐานฉอ้ โกงซ่ึงเป็นความผิดอนั ยอมความไดจ้ ึงไมใ่ ช่การแจง้ ความ
ร้องทุกขต์ ามกฎหมาย ทาใหก้ ารสอบสวนในความผดิ ดงั กล่าวไมช่ อบ โจทกจ์ ึงไม่มีอานาจฟ้อง

ฎีกำที่ 9282/2555 ส่วนท่ีจาเลยฎีกาเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายวา่ เมื่อผเู้ สียหายกบั จาเลยสมคั รใจทะเลาะวิวาททาร้ายร่างกายซ่ึง

กนั และกนั ถือวา่ ผเู้ สียหายมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดจึงไม่เป็นผเู้ สียหายโดยนิตินยั ไม่มีอานาจร้องทุกขม์ อบคดีใหพ้ นกั งาน

สอบสวนดาเนินการสอบสวน การสอบสวนจึงไมช่ อบ พนกั งานอยั การโจทกจ์ ึงไม่มีอานาจฟ้องจาเลยเป็นคดีน้ีน้นั เห็นวา่ ความผิด

ขอ้ หาทาร้ายร่างกายจนเป็นเหตุใหผ้ อู้ ื่นไดร้ ับอนั ตรายสาหสั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 เป็นความผดิ ต่อแผน่ ดิน ซ่ึง

พนกั งานสอบสวนมีอานาจสอบสวนไดเ้ องโดยไมจ่ าตอ้ งอาศยั คาร้องทุกขห์ รือการมอบคดีจากผเู้ สียหายแต่อยา่ งใด ดงั น้นั แม้

ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นผแู้ จง้ ความแก่พนกั งานสอบสวนจะมิใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั เน่ืองจากสมคั รใจววิ าทกบั จาเลยก็ตาม กไ็ ม่มี

ผลกระทบต่ออานาจสอบสวนของพนกั งานสอบสวน ถือวา่ คดีน้ีมีการสอบสวนเป็นไปโดยชอบดว้ ยกฎหมาย พนกั งานอยั การโจทก์

ยอ่ มมีอานาจฟ้องคดี

อน่ึง คดีน้ีศาลอุทธรณ์พิพากษาแกใ้ หย้ กคาร้องของผเู้ สียหายที่ขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหม

ทดแทนแก่ผเู้ สียหายซ่ึงหากผเู้ สียหายไม่เห็นพอ้ งดว้ ย ผเู้ สียหายชอบท่ีจะย่ืนฎีกา แต่ผเู้ สียหายกลบั ยื่นคาแกฎ้ ีกาขอใหศ้ าลฎีกา

พิพากษาใหจ้ าเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่ผเู้ สียหาย ซ่ึงเป็นการขอใหศ้ าลฎีกาเปล่ียนแปลงผลคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์อนั เป็นการ

ไมช่ อบตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 216 ศาลฎีกาไมร่ ับวินิจฉยั

ฎกี ำที่ 19691/2555 โจทกข์ อใหล้ งโทษจาเลยในความผดิ ฐานร่วมกนั ทาใหเ้ สียทรัพย์ และมีคาขอทา้ ยฟ้องใหจ้ าเลยชดใช้

ค่าเสียหายแก่ผเู้ สียหาย แต่ความผิดฐานร่วมกนั ทาใหเ้ สียทรัพยม์ ิใช่ฐานความผดิ ท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ

อาญามาตรา 43 ท่ีโจทกเ์ รียกร้องทรัพยส์ ินหรือราคาแทนผเู้ สียหายได้ ท้งั ผเู้ สียหายไม่ไดย้ น่ื คาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหม

ทดแทนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 44/1 วรรคหน่ึง ที่ศาลล่างท้งั สองพิพากษาใหจ้ าเลยชดใชค้ ่าเสียหายใหแ้ ก่

ผเู้ สียหายจึงเป็นการไม่ชอบ

ทรัพยส์ ินของผเู้ สียหายที่ 2 ซ่ึงไดร้ ับความเสียหายจากการท่ีจาเลยกบั พวกร่วมกนั ใชก้ อ้ นหินปาเขา้ ใส่

21

บา้ นที่เกิดเหตุน้นั เป็นการกระทาเดียวกบั ที่จาเลยกบั พวกใชก้ อ้ นกินปาโดยมีเจตยาทาร้ายผเู้ สียหายท้งั สามเป็นสาคญั การกระทา
ของจาเลยกบั พวกเป็นส่วนน้ีจึงเป็นการกระทากรรมเดียวเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท

ฎกี ำท่ี 880/2555 ผรู้ ้องมิใช่ไดร้ ับความเสียหายเน่ืองจากการกระทาความผิดฐานลกั ทรัพยโ์ ดยตรง เพียงแต่อา้ งสิทธิใน

ฐานะผรู้ ับประกนั ภยั รถยนตท์ ี่ถกู จาเลยลกั ไปซ่ึงไดช้ ดใชค้ ่าสินไหมทดแทนใหแ้ ก่ผเู้ สียหายที่ 2 ผรู้ ับประโยชนต์ ามสญั ญาประกนั ภยั

และมาใชส้ ิทธิไล่เบ้ียเอาจากจาเลยเท่าน้นั ความเสียหายของผรู้ ้องที่อา้ งวา่ ไดช้ ดใชค้ ่าสินไหมทดแทนไปน้นั จึงเกิดข้ึนจากความรับ

ผดิ ตามสญั ญาประกนั ภยั มิใช่เกิดจากการกระทาผดิ ฐานลกั ทรัพยซ์ ่ึงเป็นการกระทาละเมิดของจาเลย สิทธิเรียกร้องความเสียหายของ

ผรู้ ้องจึงมิใช่เป็นการเรียกร้องในมลู หน้ีละเมิดเช่นเดียวกนั กบั ผเู้ สียหายท้งั สอง จึงไม่มีสิทธิยื่นคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยใชร้ าคาท่ีผู้

ร้องไดช้ ดใชไ้ ปตามสญั ญาประกนั ภยั ได้

ผเู้ สียหายในคดีอาญา หมายถึงบุคคลผไู้ ดร้ ับความเสียหายเนื่องจากการกระทาผิดฐานใดฐานหน่ึง ซ่ึงคดี

น้ีผเู้ สียหายในความผิดฐานลกั ทรัพยร์ ถยนตค์ ือผเู้ สียหายท้งั สอง และพนกั งานอยั การโจทกม์ ีคาขอทา้ ยฟ้องเรียกใหจ้ าเลยคืนหรือใช้

ราคาแทนแก่ผเู้ สียหายท้งั สองเท่าน้นั โดยเป็นการเรียกทรัพยส์ ินหรือราคาแทนผเู้ สียหายตามที่กฎหมายบญั ญตั ิไวโ้ ดยเฉพาะตาม

มาตรา 43 และเม่ือพิจารณาประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 แลว้ ย่ิงเห็นไดช้ ดั เจนวา่ สิทธิของผเู้ สียหายท่ีจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทน

ตามมาตราดงั กลา่ วเป็นสิทธิเฉพาะตวั โดยแทข้ องผเู้ สียหายหรือผมู้ ีอานาจจดั การแทนตาม มาตรา 4, 5 และ 6 เท่าน้นั ผเู้ สียหายท่ีจะ

ถือวา่ เป็นเจา้ หน้ีตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 50 จึงหมายถึงผเู้ สียหายในคดีอาญาเท่าน้นั

ฎกี ำที่ 17391/2557 ในวนั และเวลาตามฟ้อง จาเลย นายอกั ขรวินท์ และนางวนิดา บุตรและภริยาของจาเลยเขา้ ไปในโรง
อาหารของโรงเรียนนนทบุรีพิทยาคม ที่โจทกร์ ่วม ผเู้ สียหายท่ี 1 ที่ 2 และบุตรของจาเลยศึกษาอยู่ เมื่อจาเลยพบโจทกร์ ่วมผเู้ สียหายที่
หน่ึงและที่สองจาเลยไดส้ อบถามโจทกร์ ่วมวา่ ใครเป็นคนรุมทาร้ายบุตรจาเลย จากน้นั นายอกั ขรวินทช์ กต่อยกบั โจทกร์ ่วมไดส้ กั ครู่
หน่ึงกม็ ีนางภทั ธิกานนั ทซ์ ่ึงเป็นครูเขา้ มาหา้ ม และใหโ้ จทกร์ ่วมไปพบครูผปู้ กครองท่ีหอ้ งผูบ้ ริหาร มีผเู้ สียหายที่ 1 ที่ 2 กบั พวกนง่ั รอ
อยทู่ ี่หนา้ หอ้ งส่วนจาเลยกบั บุตรและภริยานง่ั รออยทู่ ่ีมา้ หินริมสนามฟุตบอลห่างจากหอ้ งบริหารของโรงเรียนประมาณ 30 ถึง 40
เมตร ระหวา่ งโจทกร์ ่วมอยกู่ บั นางขนิษฐาซ่ึงเป็นครูผปู้ กครองนางขนิษฐาไดก้ ลา่ วตาหนิโจทกร์ ่วมอยา่ งรุนแรงวา่ ไอเ้ ห้ีย ไอพ้ วกเลว
สร้างแต่ปัญหา นาช่างกลมาปิ ดลอ้ มโรงเรียน โจทกร์ ่วมโกรธจึงว่งิ ออกจากหอ้ งผบู้ ริหาร มีผเู้ สียหายท่ี 1 และท่ี 2 กบั พวกตามไปดว้ ย
โจทกร์ ่วมเขา้ ไปชกนายอกั ขรวินทจ์ นลม้ ลง จาเลยจึงไปหยิบอาวธุ ปื นท่ีรถยนตข์ องจาเลยออกมา ต่อมาโจทกร์ ่วมแยง่ อาวธุ ปื นจาก
จาเลย เป็นเหตุใหก้ ระสุนถกู บริเวณโคนขาของโจทกร์ ่วมไดร้ ับบตั รเจบ็ เห็นวา่ บุตรของจาเลยถกู รุมทาร้ายการที่จาเลยไปหยิบอาวธุ
ปื นจากรถยนตม์ าเพื่อป้องกนั บุตรของตนจึงเป็นเร่ืองปกติธรรมดาของผเู้ ป็นบิดาและเหตุที่กระสุนปื นลน่ั กเ็ กิดจากแย่งอาวธุ ปื น
ระหวา่ งจาเลยกบั โจทกร์ ่วม อนั สืบเน่ืองมาจากจาเลยใชอ้ าวธุ ปื นเพ่ือป้องกนั บุตรของตนดงั กล่าวมิไดเ้ กิดจากความประมาทของ
จาเลย จาเลยเป็นสมาชิกวสิ ามญั ชมรมยงิ ปื นศูนยร์ ักษาความปลอดภยั แห่งชาติ หากจาเลยประสงคจ์ ะฆ่าโจทกร์ ่วมยอ่ มกระทาได้
เพราะมีความรู้ความถนดั ในการใชอ้ าวธุ ปื น

การจอ้ งปื นไปท่ีโจทกร์ ่วมไม่น่าจะมีเจตนาฆ่าเพียงแต่ตอ้ งการยตุ ิการท่ีบุตรของตนถกู ทาร้าย การกระทา
ของจาเลยจึงเป็นการป้องกนั ตนพอสมควรแก่เหตุ จึงไม่เป็นความผิดท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 ลงโทษจาเลยตามป.อ.มาตรา 300 และ

22

มาตรา 376 จึงไม่ชอบ ปัญหาดงั กลา่ วเป็นขอ้ กฎหมายเก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกข้ึนวนิ ิจฉยั ไดเ้ องตามป.วิ.อ. มาตรา 195
วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

การกระทาของจาเลยเป็นการป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายคาพิพากษาคดีส่วนอาญาตอ้ งผกู พนั คดีส่วน
แพง่ ตามป.วิ.อ. มาตรา 46 จาเลยจึงไม่ตอ้ งรับผิดชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่โจทกร์ ่วมตามป.พ.พ. มาตรา 449 วรรคแรก ประกอบป.
ว.ิ อ. มาตรา 47 ปัญหาดงั กล่าวแมจ้ าเลยจะมิไดห้ ยบิ ยกข้ึนฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวดว้ ยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกา
ยกข้ึนวนิ ิจฉยั ไดเ้ องตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคสองประกอบประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 40

ผเู้ สียหายท่ีสามเป็นผกู้ ่อภยนั ตรายข้ึนก่อนท่ี 3 จึงไม่ใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั ตามประมวลกฎหมายวธิ ี
พิจารณาความอาญามาตรา 2 (4) ท่ีจะร้องขอเขา้ เป็นโจทกร์ ่วมได้ ท่ีศาลช้นั ตน้ อนุญาตใหผ้ เู้ สียหายที่สามเขา้ เป็นโจทกร์ ่วมจึงไม่ชอบ
(หมายเหตุ ฎีกาน้ีมีประเดน็ ของ ขอ้ 5 ดว้ ย)

ฎกี ำท่ี 6397/2557 เม่ือ ส. ผตู้ ายเป็นผกู้ ่อใหจ้ าเลยกระทาความผดิ ผตู้ ายจึงไม่ใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั สาหรับความผดิ ตาม

ป.อ. มาตารา 288 ประกอบมาตรา 69 โจทกร์ ่วมที่ 1 ซ่ึงเป็นมารดาผตู้ ายยอ่ มไม่มีอานาจจดั การแทนผตู้ ายไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2)

และไมม่ ีอานาจเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 และยื่นคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทน

ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1

ฎกี ำที่ 3100/2532 การที่จะกลา่ วอา้ งวา่ ตนเป็นเจา้ พนกั งานฆ่าผตู้ ายเพราะเหตุจากการปฏิบตั ิราชการตามหนา้ ท่ี หรือผตู้ าย

ตายอยใู่ นระหวา่ งการควบคุมของตน ซ่ึงเป็นการปฏิบตั ิราชการตามหนา้ ท่ี ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 143

วรรคสามน้นั ตอ้ งไดก้ ลา่ วอา้ งข้ึนในช้นั ที่ถูกกล่าวหาวา่ เป็นผกู้ ระทาความผิดเพ่ือพนกั งานสอบสวนจะไดเ้ สนอสานวนการสอบสวน

ความเห็นต่อพนกั งานอยั การตามมาตรา 142 หรือต่ออธิบดีกรมอยั การ หรือผรู้ ักษาการแทนตามมาตรา 143 วรรคสามไดถ้ กู ตอ้ งเม่ือ

มิไดม้ ีการกลา่ วอา้ งเช่นวา่ น้นั ในช้นั ท่ีถูกกล่าวหาแลว้ การท่ีพนกั งานสอบสวนดาเนินการสอบสวนเช่นคดีอาญาธรรมดารวมท้งั การ

ท่ีพนกั งานอยั การออกคาสง่ั ฟ้อง จึงเป็นการชอบดว้ ยกฎหมายแลว้

ฎกี ำท่ี 21441/2556 ในคดีอาญาหมายเลขดาท่ี 2639/2550 ของศาลแขวงดุสิต โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยไดท้ าหนงั สือร้อง
ขอความเป็นธรรมมิใหเ้ ล่ือนโจทกเ์ ป็นผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติต่อคณะกรรมการขา้ ราชการตารวจ (ก.ตร.) และ
คณะกรรมการนโยบายตารวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) กล่าวหาวา่ โจทกก์ บั พวกส่งคนไปคุกคามข่มข่จู าเลยและพยานของจาเลยในคดีท่ี
จาเลยฟ้องโจทกต์ ่อศาลอาญาฐานร่วมกนั ปฏิบตั ิหรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบ บุกรุก และทาใหเ้ สียทรัพย์ เพ่ือขอให้ ก.ตร.
และ ก.ต.ช. พิจารณามิใหเ้ ลื่อนโจทกข์ ้ึนเป็นผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติชว่ั คราวจนกวา่ คดีอาญาท่ีจาเลยฟ้องโจทกต์ ่อศาลอาญาจะถึง
ที่สุด ซ่ึงมีสาระแห่งการกระทาผดิ ฐานหมิ่นประมาทของจาเลยเช่นเดียวกบั คดีน้ี แมก้ ารมีหนงั สือขอความเป็นธรรมท้งั ในคดีก่อน
และคดีน้ี จาเลยจะไดย้ ่ืนหนงั สือดงั กลา่ วต่อคณะกรรมการของ ก.ตร. และกรรมการ ก.ต.ช. คนละคนกนั ดงั ท่ีโจทกก์ ลา่ วอา้ ง แต่การ
กระทาของจาเลยมีเจตนาเดียวกนั คือเจตนาท่ีจะร้องขอความเป็นธรรมมิให้ ก.ตร. และ ก.ต.ช. พิจารณาเลื่อนตาแหน่งของโจทก์
นน่ั เอง จึงเป็นการกระทากรรมเดียวกนั คาฟ้องของโจทกค์ ดีก่อนกบั คดีน้ีเป็นคาฟ้องเรื่องเดียวกนั เม่ือขณะโจทกย์ น่ื คาฟ้องคดีน้ี คา

23

ฟ้องคดีก่อนอยรู่ ะหวา่ งพิจารณา คาฟ้องของโจทกใ์ นคดีน้ีจึงเป็นฟ้องซอ้ น ตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 15

ฎกี ำท่ี 10113/2554 จาเลยป่ วยมีภาวะทางจิตบกพร่องดว้ ยโรคซึมเศร้าอยา่ งรุนแรงและมีอาการกาเริบเนื่องจากทะเลาะมีปาก

เสียงกบั ผตู้ ายจึงเกิดโทสะใชอ้ าวธุ มีดแทงผตู้ ายซ้าหลายคร้ังอนั มีลกั ษณะลงมือแทงผตู้ ายเพื่อใหถ้ ึงแก่ความตายเท่าน้นั โดยไม่

ปรากฏขอ้ เทจ็ จริงอื่นที่แสดงใหเ้ ห็นวา่ จาเลยมีเจตนาใหผ้ ตู้ ายไดร้ ับความทุกขท์ รมานก่อนถึงแก่ความตาย การกระทาของจาเลยจึงไม่

เป็นการฆ่าผอู้ ื่นโดยทรมานหรือโดยกระทาทารุณโหดร้ายตาม ป.อ. มาตรา 289 (5)

โจทกร์ ่วมท้งั สองยื่นคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรค

หน่ึง โดยมิไดข้ อใหช้ าระดอกเบ้ีย ที่ศาลช้นั ตน้ พิพากษาใหจ้ าเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบ้ียอตั ราร้อยละ 7.5 ต่อปี นบั

ถดั จากวนั ฟ้องแก่โจทกร์ ่วมท้งั สองจึงเป็นการพิพากษาเกินคาขอ

ฎีกำที่ 349/2555 คดีแพ่งท่ีเก่ียวเน่ืองกบั คดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพง่ จาตอ้ งถือขอ้ เทจ็ จริงตามท่ีปรากฏในคา

พิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี 793/2549 ซ่ึงศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ พยานหลกั ฐานของโจทกเ์ ท่าท่ีนาสืบมายงั มีความสงสยั ตาม

สมควรวา่ จาเลยกระทาความผิดหรือไม่ จึงใหย้ กประโยชนแ์ ห่งความสงสยั น้นั ใหจ้ าเลย เป็นการวนิ ิจฉยั ขอ้ เทจ็ จริงอนั เป็นประเดน็

แห่งคดีไวแ้ น่นอนแลว้ วา่ โจทกไ์ ม่มีพยานหลกั ฐานมาสืบใหศ้ าลเห็นโดยชดั แจง้ วา่ จาเลยกระทาความผดิ ดงั น้นั ในการพิพากษาคดี

ส่วนแพ่ง ศาลจาตอ้ งถือขอ้ เท็จจริงตามท่ีปรากฏในคาพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 46

แมป้ ระมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 47 จะบญั ญตั ิวา่ คาพิพากษาคดีส่วนแพ่งตอ้ งเป็นไปตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมาย

อนั วา่ ดว้ ยความรับผดิ ของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงวา่ จาเลยตอ้ งคาพิพากษาวา่ ไดก้ ระทาความผิดหรือไม่ กไ็ มไ่ ด้

หมายความวา่ จะรับฟังขอ้ เท็จจริงขดั แยง้ กบั ขอ้ เท็จจริงในคาพิพากษาส่วนอาญาได้ ในคดีแพ่งจึงตอ้ งฟังขอ้ เทจ็ จริงตามคาพิพากษา

คดีส่วนอาญาวา่ จาเลยไมไ่ ดก้ ระทาละเมิดต่อโจทก์ จาเลยจึงไม่ตอ้ งรับผิดชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 69)

ฎกี ำท่ี 4731/2559 การนาขอ้ เทจ็ จริงจากคาพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญามาตรา 46 น้นั จะตอ้ งประกอบดว้ ยกฎเกณฑ์ 3 ประการ กล่าวคือ คาพิพากษาคดีอาญาตอ้ งถึงท่ีสุด ขอ้ เทจ็ จริงน้นั เป็น

ประเดน็ โดยตรงในคดีอาญาและไดว้ นิ ิจฉยั โดยชดั แจง้ และผทู้ ี่ถกู ขอ้ เทจ็ จริงในคดีอาญาผกู พนั ตอ้ งเป็นคู่ความในคดีอาญา

ศาลช้นั ตน้ ในคดีอาญาไดม้ ีคาพิพากษาถึงท่ีสุด โดยวินิจฉยั วา่ การเขา้ ไปยดึ ถือครอบครองท่ีดินของรัฐอนั

ผกู้ ระทาจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายท่ีดิน มาตรา 9,108 ทวิ น้นั กต็ ่อเมื่อบุคคลน้นั มิไดม้ ีสิทธิครอบครองหรือมิไดร้ ับอนุญาต

จากพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ แต่คดีน้ีขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ จาเลยเป็นผูค้ รอบครองท่ีดินพิพาทอยกู่ ่อนแลว้ เกิดขอ้ พิพาทกนั ข้ึนระหวา่ งจาเลย

กบั หน่วยงานของรัฐในภายหลงั วา่ สิทธิครอบครองของจาเลยในส่วนท่ีดินพิพาทน้ียงั อยแู่ ก่จาเลย หรือวา่ ตกเป็นของแผน่ ดินไปเสีย

แลว้ ท้งั เก่ียวกบั สิทธิการครอบครองที่ดินดงั กล่าวกย็ งั ไม่มีการดาเนินคดีแพง่ พิสูจนส์ ิทธิในท่ีดินพิพาทกนั ใหเ้ สร็จเดด็ ขาดวา่ ท่ีดิน

24

พิพาทวา่ เป็นสาธารณประโยชน์ การที่จาเลยลอ้ มร้ัวและยงั คงครอบครองอยใู่ นที่ดินพิพาทตลอดมาในระหวา่ งท่ีเกิดโตแ้ ยง้ สิทธิกนั
อยเู่ ช่นน้ี การกระทาของจาเลยจึงไม่มีเจตนาบุกรุก ไมเ่ ป็นความผิดตามประมวลกฎหมายท่ีดิน มาตรา 9,108 ทวิ จะเห็นไดว้ ่า ใน
คดีอาญาน้นั ยงั ไม่ไดว้ ินิจฉยั วา่ ท่ีดินพิพาทเป็นของโจทกค์ ดีน้ีหรือที่สาธารณสมบตั ิของแผ่นดิน เมื่อศาลช้นั ตน้ ในคดีอาญายงั ไม่ได้
วนิ ิจฉยั ไวโ้ ดยชดั แจง้ ดงั กลา่ ว กไ็ ม่อาจนาขอ้ เทจ็ จริงจากคาพิพากษาส่วนอาญามาผกู พนั คดีน้ีได้

ฎกี ำท่ี 806/2559 คดีน้ีมีประเดน็ พิพาทวา่ โจทกท์ ้งั สามเป็นเจา้ ของที่ดินพิพาทหรือไม่ การท่ีศาลช้นั ตน้ พิจารณาในคดีส่วน

อาญาท่ีพนกั งานอยั การเป็นโจทกฟ์ ้องจาเลยท้งั สองในขอ้ หาร่วมกนั บุกรุกที่ดินพิพาทแลว้ มีคาพิพากษาถึงที่สุดวา่ จาเลยท้งั สองไม่มี

ความผิดฐานบุกรุกเพราะขาดเจตนา แต่ยงั ไม่วินิจฉยั วา่ ท่ีดินเป้นของใคร ขอ้ เทจ็ จริงในคาพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่มีผลผูกพนั ถึง

คดีน้ี และคาพิพากษาคดีส่วนแพง่ ตอ้ งเป็นไปตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายอนั วา่ ดว้ ยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งโดยไม่ตอ้ ง

คานึงถึงวา่ จาเลยตอ้ งคาพิพากษาวา่ ไดก้ ระทาความผดิ หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 47

ฎกี ำที่ 1917/2559 คดีแพง่ ท่ีเก่ียวเน่ืองกบั คดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคหน่ึง ใหส้ ิทธิผเู้ สียหายท่ีจะย่ืนคาร้องขอให้

บงั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนเขา้ มาในคดีท่ีพนกั งานอยั การเป็นโจทก์ โดยไม่จาตอ้ งไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเรื่องใหม่ แต่มาตรา

44/1 วรรคสอง บญั ญตั ิใหถ้ ือวา่ คาร้องดงั กลา่ วเป็นเพียงคาฟ้องตามบทบญั ญตั ิแห่ง ป.วิ.พ. โดยใหถ้ ือวา่ ผเู้ สียหายอยใู่ นฐานะเป็น

โจทกใ์ นคดีส่วนแพ่ง จึงมีสิทธิเพียงอุทธรณ์ฎีกาในคดีส่วนแพ่งเท่าน้นั คดีน้ีพนกั งานอยั การเป็นโจทกใ์ นคดีส่วนอาญา ผรู้ ้องซ่ึงเป็น

ผเู้ สียหายไม่ไดย้ ่ืนคาร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกต์ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 30 จึงไม่มีฐานะเป็นโจทกร์ ่วมที่จะใชส้ ิทธิอทุ ธรณ์ฎีกาในคดีส่วน

อาญาได้ ฎีกาของผรู้ ้องที่วา่ จาเลยกระทาผิดตามฟ้องหรือไมจ่ ึงเป็นการโตแ้ ยง้ ขอ้ เทจ็ จริงในคาพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่อาจฎีกา

ได้ ศาลฎีกาไมร่ ับวนิ ิจฉยั ในการพิพากษาคดีส่วนแพง่ ศาลตอ้ งถือขอ้ เทจ็ จริงในส่วนคดีอาญาที่รับฟังเป็นยตุ ิวา่ จาเลยไมไ่ ดร้ ่วม

กระทาผิด ตามมาตรา 46 จึงตอ้ งฟังวา่ จาเลยไม่ไดก้ ระทาละเมิดอนั จะตอ้ งใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่ผรู้ ้อง

ฎกี ำท่ี 21329/2556 การที่โจทกร์ ่วมฟ้องจาเลยคดีน้ีเป็นอีกคดีหน่ึงก่อน แลว้ ต่อมาพนกั งานอยั การฟ้องจาเลยเป็นคดีน้ีใน
ภายหลงั เม่ือไม่มีกฎหมายจากดั อานาจของพนกั งานอยั การมิใหฟ้ ้องคดีอาญาที่ผเู้ สียหายไดฟ้ ้องจาเลยไวแ้ ลว้ และบทบญั ญตั ิมาตรา
33 แห่ง ป.ว.ิ อ. กไ็ ดบ้ ญั ญตั ิถึงการพิจารณาคดีซ่ึงท้งั พนกั งานอยั การและผเู้ สียหายต่างฟ้องคดีอาญาเร่ืองเดียวกนั ไว้ แสดงใหเ้ ห็นวา่
ผเู้ สียหายและพนกั งานอยั การต่างฟ้องคดีอาญาเร่ืองเดียวกนั ได้ ฟ้องโจทกค์ ดีน้ีจึงไมเ่ ป็นฟ้องซอ้ นกบั คดีที่โจทกร์ ่วมฟ้องจาเลย แต่
การที่โจทกร์ ่วมย่นื คาร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การในคดีน้ี โดยถือเอาคาฟ้องของโจทกเ์ ป็นคาฟ้องของตนเอง เมื่อศาล
ช้นั ตน้ อนุญาตจึงมีผลเท่ากบั โจทกร์ ่วมฟ้องจาเลยเป็นคดีน้ีดว้ ย การท่ีโจทกร์ ่วมยื่นคาร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกจ์ ึงมีสถานะเสมือน
หน่ึงเป็นการฟ้องจาเลยซอ้ นกบั คดีท่ีโจทกร์ ่วมฟ้องจาเลยไวก้ ่อน เป็นการไมช่ อบดว้ ย ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ ป.
ว.ิ อ. มาตรา 15 การที่ศาลช้นั ตน้ อนุญาตใหโ้ จทกร์ ่วมเขา้ ร่วมเป็นโจทกค์ ดีน้ีจึงไมช่ อบ

25

ฎกี ำท่ี 356/2559 คดีน้ีพนกั งานอยั การเป็นโจทก์ คาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยท้งั หกร่วมกนั ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนของโจทกร์ ่วม
ซ่ึงถือวา่ เป็นคาฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บรรยายวา่ ก่อนตายผตู้ ายไดอ้ ยกู่ ินฉนั สามีภริยากบั ส. ซ่ึงปัจจุบนั
ไดเ้ ลิกร้างกนั ก่อนผตู้ ายถึงแก่ความตายประมาณ 1 ปี มีบุตรดว้ ยกนั 2 คน คือ เดก็ ชาย น.และ เดก็ ชาย ก. โดยก่อนตาย ผตู้ ายมีหนา้ ท่ี
ในฐานะบิดาเล้ียงดู ตลอดจนส่งเสียใหก้ ารศึกษาแก่บุตรท้งั สอง การร่วมกนั ทาละเมิดของจาเลยท้งั หกเป็นเหตุใหบ้ ุตรท้งั สองของ
ผตู้ ายตอ้ งขาดไร้อุปการะ ทาใหโ้ จทกร์ ่วมตอ้ งรับภาระหนา้ ท่ีเล้ียงดูผเู้ ยาวท์ ้งั สองแทนผตู้ ายต่อไป โจทกร์ ่วมจึงขอคิดค่าขาดไร้
อุปการะเป็นเงิน 500,000 บาท อนั มีความหมายพอเขา้ ใจไดว้ า่ เดก็ ชาย น. และเดก็ ชาย ก. บุตรผตู้ ายประสงคจ์ ะขอเรียกค่าสินไหม
ทดแทนเป็นค่าขาดไร้อปุ การะดว้ ยกต็ าม แต่เดก็ ชาย น. และเดก็ ชาย ก.มีอาย9ุ ปี และ 5ปี ตามลาดบั เป็นผเู้ ยาวย์ อ่ มไมอ่ าจย่ืนคาร้อง
ขอใหบ้ งั คบั จาเลยท้งั หกร่วมกนั ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนดว้ ยตนเองได้ ตอ้ งใหผ้ แู้ ทนโดยชอบธรรมเป็นผยู้ ่ืนคาร้องดงั กลา่ วแทน
เมื่อโจทกร์ ่วมเป็นเพียงบิดาของผตู้ าย โจทกร์ ่วมจึงไม่ใช่ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของเดก็ ชาย น. และเดก็ ชาย ก. ที่จะย่นื คาร้องขอให้
บงั คบั จาเลยท้งั หกร่วมกนั ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่เดก็ ชาย น. และเดก็ ชาย ก.ได้ โจทกร์ ่วมจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไรอปุ การะ
แทน เดก็ ชาย น. และเดก็ ชาย ก. บุตรผตู้ าย

ฎีกำที่ 5743/2559 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 40 บญั ญตั ิวา่ การฟ้องคดีแพง่ ที่เกี่ยวเนื่องกบั

คดีอาญาจะฟ้องต่อศาลซ่ึงพิจารณาคดีอาญาหรือ ต่อศาลท่ีมีอานาจชาระคดีแพ่งกไ็ ด้ การพิจารณาคดีแพ่งตอ้ งเป็นไปตามบทบญั ญตั ิ

แห่งประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่

คดีน้ีเป็นคดีแพง่ เกี่ยวเนื่องคดีอาญาหมายเลขดาที่ 383/2558 ของศาลช้นั ตน้ การพิจารณาคดีจึงตอ้ ง

เป็นไปตามบทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ ซ่ึงไม่ปรากฏบทบญั ญตั ิใหก้ ารพิจารณาคดีแพ่งตอ้ งรอฟัง

ขอ้ เทจ็ จริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา และคดีน้ีศาลช้นั ตน้ พิพากษาโดยไม่ไดร้ อฟังขอ้ เทจ็ จริงในคดีอาญาเพราะคดีอาญายงั ไม่ถึงท่ีสุด

จึงไม่มีขอ้ เทจ็ จริงในคาพิพากษาคดีส่วนอาญาท่ีถึงที่สุดใหจ้ าตอ้ งถือตาม ดงั น้นั ศาลช้นั ตน้ จึงตอ้ งพิพากษาคดีไปตามพยานหลกั ฐาน

ที่โจทกน์ าสืบ ที่ศาลช้นั ตน้ วินิฉยั โดยอาศยั เหตุผลวา่ คดีส่วนอาญายงั ไมถ่ ึงท่ีสุด ขอ้ เทจ็ จริงจึงยงั ไมย่ ตุ ิวา่ จาเลยฟ้องคดีอาญาอนั เป็น

เทจ็ พยานหลกั ฐานของโจทกย์ งั รับฟังไมไ่ ดว้ า่ คดีของโจทกม์ ีมูลแลว้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ไมต่ ดั สิทธิโจทกท์ ่ีจานาคาฟ้องมายื่น

ใหม่ จึงเป็นกรณีที่ศาลช้นั ตน้ มิไดป้ ฏิบตั ิตามบิทบญั ญตั ิแห่งประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งวา่ ดว้ ยการพิจารณาและเพ่ือใหก้ าร

พิจารณาเป็นไปตามลาดบั ช้นั ศาล จึงเห็นสมควรยกคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค8 และศาลช้นั ตน้ ใหศ้ าลช้นั ตน้ พิจารณาและ

พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247 (เดิม)

ฎกี ำที่ 2534/2559 ศาลช้นั ตน้ ยกฟ้องโจทกใ์ นคดีส่วนอาญาโดยเห็นวา่ การกระทาของจาเลยเป็นการป้องกนั โดยชอบดว้ ย

กฎหมาย จาเลยไมม่ ีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 68 ส่วนศาลอทุ ธรณ์ภาค2 วินิฉยั วา่ โจทกร์ ่วมเป็นผกู้ ่อเหตุข้ึนโดยละเมิดต่อกฎหมาย

โจทกร์ ่วมยอ่ มไม่เป็นผเู้ สียหายโดยนิตินยั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) จึงไม่มีสิทธิร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทก์ แมจ้ ะอาศยั เหตุผลต่างกนั

แต่ผลกเ็ ท่ากบั ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค2 พิพากษายาฟ้องโจทกก์ รณีจึงตอ้ งหา้ มมิใหค้ ู่ความฎีดาท้งั ในปัญหาขอ้ เท็จจริงและ

ขอ้ กฎหมายตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 220

คดีในส่วนแพ่งน้นั เม่ือโจทกร์ ่วมตอ้ งหา้ มฎีกา ขอ้ เทจ็ จริงฟังเป็นยตุ ิตามคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค2 วา่

26

โจทกร์ ่วมไม่ใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั จึงไมม่ ีสิทธิย่ืนคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1 วรรคหน่ึง
และไมม่ ีสิทธิฎีกา

ฎกี ำท่ี 3426/2559 แมเ้ รือนจากลางราชบุรี เป็นภูมิลาเนาของจาเลยในขณะท่ีโจทกย์ น่ื ฟ้องคดีน้ี ตามประมวลกฎหมายแพ่ง

และพาณิชยม์ าตรา 47 ถือไดว้ า่ จาเลยมีภูมิลาเนาในเขตอานาจศาลช้นั ตน้ (ศาลจงั หวดั ราชบุรี

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 22 (1) แต่บทกฎหมายดงั กล่าว ไมเ่ ป็นบทบงั คบั ใหศ้ าลช้นั ตน้ ที่จาเลยมีท่ีอยู่ ใน

เขตอานาจ ตอ้ งรับชาระคดีท่ีโจทกฟ์ ้อง ศาลช้นั ตน้ ชอบที่จะใชด้ ุลพินิจรับชาระคดีเช่นวา่ น้นั หรือไมก่ ไ็ ด้ ท้งั น้ีโดยคานึงถึงความ

สะดวกในการพิจารณาคดี

เหตุคดีน้ีเกิดข้ึนในทอ้ งที่ซ่ึงอยใู่ นเขตอานาจศาลจงั หวดั สมทุ รสงคราม และพนกั งานสอบสวนสถานี

ตารวจภูธรลาดใหญ่ จงั หวดั สมุทรสงครามเป็นผสู้ อบสวนคดี แสดงวา่ พยานหลกั ฐานของโจทกอ์ ยใู่ นเขตอานาจศาลจงั หวดั

สมุทรสงคราม ประกอบกบั โจทกไ์ มไ่ ดก้ ล่าวอา้ งมาในคาฟ้องวา่ หากมีการชาระคดีที่ศาลช้นั ตน้ จะสะดวกยิ่งกวา่ การชาระคดี ท่ีศาล

จงั หวดั สมทุ รสงครามอยา่ งไร คงกล่าวอา้ งเพียงวา่ ไม่อาจโอนตวั จาเลยไปดาเนินคดีที่ศาลจงั หวดั สมุทรสงครามได้ เนื่องจากกาหนด

โทษตามคาพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี 5126/2557 ของศาลจงั หวดั สมทุ รสาคร เกินอานาจการควบคุมของเรือนจากลาง

สมุทรสงคราม ซ่ึงเป็นเพียงปัญหาในทางปฏิบตั ิของกรมราชทณั ฑ์ ท่ีอาจดาเนินการแกไ้ ขได้ กรณียงั ไม่มีเหตุสมควรใหศ้ าลช้นั ตน้

รับคดีน้ีไวพ้ ิจารณา

ฎกี ำที่ 4294/2550 การควบคุมตวั จาเลยที่ 1 ในช้นั สอบสวน ซ่ึงพนกั งานสอบสวนจะตอ้ งขออานาจศาลฝากขงั จาเลยท่ี 1

หากพนกั งานสอบสวนมิไดข้ อฝากขงั ต่อศาลภายในกาหนด เม่ือพน้ อานาจการควบคุมตวั ผตู้ อ้ งหาของพนกั งานสอบสวนแลว้

พนกั งานสอบสวนตอ้ งปลอ่ ยตวั ผตู้ อ้ งหาไป หาใช่เป็นเหตุใหโ้ จทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องไม่ เม่ือโจทกฟ์ ้องคดีภายในอายคุ วาม โจทกย์ อ่ ม

มีสิทธินาคดีอาญามาฟ้องได้

ฎกี ำที่ 4113/2552 บทบญั ญตั ิตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 87 เป็นเรื่องในช้นั สอบสวนของพนกั งานอยั การหรือพนกั งานสอบสวนที่

จะควบคุมตวั ผตู้ อ้ งหาไวเ้ กินกาหนดไมไ่ ด้ เวน้ แต่จะขออานาจศาลฝากขงั เป็นระยะๆ ไป และเป็นคนละส่วนกบั เรื่องการฟ้องโดย

จาเลยใหก้ ารรับสารภาพ ซ่ึงเป็นส่วนท่ีอยใู่ นช้นั พิจารณาของศาล หากไดค้ วามวา่ จาเลยถูกควบคุมตวั เกินกวา่ ท่ีกฎหมายกาหนดไว้

จริงกเ็ ป็นเรื่องที่จาเลยตอ้ งไปว่ากลา่ วเอากบั ผทู้ ี่ควบคุมตวั โดยไมช่ อบเหล่าน้นั หากทาใหก้ ระบวนการสอบสวนท่ีชอบและการนาคดี

มาฟ้องยงั ศาลเสียไปไม่ ท้งั หากมีการควบคุมตวั เกินกาหนดกไ็ มต่ อ้ งหา้ มที่พนกั งานอยั การจะนาตวั ผตู้ อ้ งหาส่งฟ้องศาลโดยวธิ ีจบั ตวั

มาส่งศาลพร้อมฟ้องได้ รวมท้งั ไมม่ ีบทบญั ญตั ิของกฎหมายใดใหอ้ านาจศาลที่จะยกฟ้องคดีเช่นน้ีได้ คงมีแต่หา้ มมิใหพ้ นกั งาน

อยั การยืน่ ฟ้องคดีใดต่อศาลโดยมิไดม้ ีการสอบสวนในความผิดน้นั ก่อนตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 120 เท่าน้นั มิฉะน้นั จะเป็นช่องทางใหม้ ีผู้

กลา่ วอา้ งเอาประโยชนจ์ ากากรควบคุมตวั เกินกาหนดไดย้ ิง่ ไปกวา่ การสอบสวนที่ชอบและการพิจารณาที่กระทาโดยศาล

27

ฎีกำที่ 256/2553 การสอบสวนเป็นเพียงการที่พนกั งานสอบสวนรวบรวมพยานหลกั ฐานและดาเนินการท้งั หลายตามท่ี

กฎหมายกาหนดเกี่ยวกบั ความผดิ ท่ีกลา่ วหาเพ่ือที่จะทราบขอ้ เทจ็ จริงหรือพิสูจนค์ วามผิดและเพื่อเอาตวั ผกู้ ระทาผิดมาลงโทษ การ

แจง้ ขอ้ หาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 น้นั เป็นเพียงข้นั ตอนหน่ึงของการสอบสวน เพื่อใหผ้ ตู้ อ้ งหารู้ตวั ก่อนวา่ จะถูกสอบสวนในคดีอาญา

เรื่องใดเท่าน้นั ดงั น้นั แมเ้ ดิมจะแจง้ ขอ้ หาหน่ึงแต่เมื่อสอบสวนไปแลว้ ปรากฏวา่ การกระทาของผตู้ อ้ งหาเป็นความผิดฐานอ่ืนก็ถือได้

วา่ มีการสอบสวนในความผิดฐานดงั กลา่ วมาแลว้ แต่แรก ฉะน้นั เม่ือคดีน้ีในช้นั จบั กมุ และช้นั สอบสวนจะแจง้ ขอ้ หาแก่จาเลยที่ 2

และที่ 3 กบั พวก ฐานร่วมกนั กรรโชกทรัพย์ แต่เม่ือโจทกเ์ ห็นวา่ พฤติการณ์การกระทาความผิดของจาเลยท่ี 2 และท่ี 3 กบั พวกเขา้

องคป์ ระกอบความผดิ ร่วมกนั ปลน้ ทรัพยโ์ จทกก์ ม็ ีอานาจท่ีจะฟ้องจาเลยที่ 2 และท่ี 3 กบั พวก ในความผิดฐานร่วมกนั ปลน้ ทรัพยไ์ ด้

ฎกี ำที่ 6092/2553 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยใชก้ อ้ นหินเป็นอาวธุ ทุบ ตี ทาร้ายร่างกายโจทกร์ ่วม 2 คร้ัง ถูกท่ีบริเวณศีรษะดา้ นหลงั

ขวาและหนา้ ผากของผเู้ สียหายจนเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่กาย เมื่อขอ้ เทจ็ จริงตามท่ีปรากฏในการพิจารณาไดค้ วามวา่ จาเลยใชก้ อ้ น

หิน เป็นอาวธุ ทาร้ายร่างกายโจทกร์ ่วม เป็นเหตุใหไ้ ดร้ ับอนั ตรายแก่กาย มีบาดแผลฟกช้าบวมบริเวณหนา้ ผากจึงไม่แตกต่างกบั

ขอ้ เทจ็ จริงดงั ที่กลา่ วในฟ้อง

ความผดิ ฐานทาร้ายผอู้ ่ืนจนเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา 295 เป็นความผดิ อาญา

แผน่ ดิน ไม่ใช่ความผดิ ต่อส่วนตวั แมผ้ เู้ สียหายไม่ใช่ผเู้ สียหายตามกฎหมายพนกั งานสอบสวนกม็ ีอานาจสอบสวนไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีคา

ร้องทุกขแ์ ละพนกั งานอยั การโจทกม์ ีอานาจฟ้อง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 70)

ฎีกำท่ี 289/2560 คดีก่อนโจทกฟ์ ้องจาเลยท้งั สองต่อศาลช้นั ตน้ เป็นคดีอาญาในความผดิ ฐานทาร้ายร่างกาย ณ. ตาม ปอ.

มาตรา 83 ,295 และเป็นเหตุการณ์ท่ีจาเลยท้งั สองร่วมกนั เขา้ ไปบุรุกทาร้าย ณ. ในเคหสถานซ่ึงอยใู่ นความครอบครองของโจทกร์ ่วม

ซ่ึงวนั เวลาและสถานท่ีเกิดเหตุตลอดจนสาระแห่งการกระทาของจาเลยเป็นเหตุการณ์เดียวกนั กบั ขอ้ เทจ็ จริงที่โจทกฟ์ ้องคดีน้ี (ปอ.

มาตรา 362,364,365) จึงเป็นการกระทากรรมเดียวกนั แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตาม ปอ.มาตรา 90 แมค้ ดีก่อนศาลช้นั ตน้

พิพากษายกฟ้อง และคดีอยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 กถ็ ือไดว้ า่ มีคาพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซ่ึงไดฟ้ ้อง

แลว้ สิทธินาคดีอาญามาฟ้องจาเลยท้งั สองของโจทกใ์ นคดีน้ีย่อมเป็นอนั ระงบั ไปตาม ปวิอ.มาตรา 39 (4)

ฎีกำที่ 1351/2559 ในวนั เวลาและสถานท่ีเกิดเหตุตามฟ้อง จาเลยขบั รถจกั รยานยนตช์ นรถจกั รยานยนตท์ ่ีมีผตู้ ายเป็นคนขบั

และโจทกท์ ่ี2 นงั่ ซอ้ นทา้ ยเป็นเหตุใหผ้ ตู้ ายถึงแก่ความตาย และโจทกท์ ี่ 2 ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั ปัญหาวนิ ิจฉยั ตามฎีกาของจาเลยวา่

โจทกท์ ี่ 2 มีอานาจฟ้องหรือไม่ เห็นวา่ ผตู้ ายมีส่วนประมาทในคดีน้ี ดงั น้นั ผตู้ ายจึงมิใช่ผเู้ สียหาย โจทกท์ ี่ 1 จึงไม่มีอานาจจดั การแทน

ผตู้ ายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) ประกอบมาตรา 3 ส่วนโจทกท์ ่ี 2 เพียงนงั่ ซอ้ นทา้ ยรถจกั รยานยนตท์ ี่

ผตู้ ายขบั ไปประสบเหตุในคดีน้ีจนไดรับอนั ตรายสาหสั โดยไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จริงวา่ โจทกท์ ี่ 2 กระทาการใดที่มีส่วนประมาทในคดีน้ี

28

ดว้ ย กรณีถือไมไ่ ดว้ า่ โจทกท์ ี่ 2 มีส่วนไดเ้ สียโดยนิตินยั ในการร่วมกระทาความผดิ ดว้ ย โจทกท์ ี่ 2 เป็นผเู้ สียหายจากเหตุในคดีน้ี เม่ือ
โจทกท์ ่ี 2 ยงั เป็นผเู้ ยาว์ บิดาโดยชอบดว้ ยกฎหมายของโจทกท์ ่ี 2 จึงจดั การแทนโจทกท์ ี่ 2 ไดต้ าม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 5 (1) ประกอบมาตรา 3 โจทกท์ ่ี 2 มีอานาจฟ้อง

ฎีกำที่ 1041/2558 บริษทั ค.มีกรรมการท้งั หมด 9 คน จาเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 เป็นกรรมการของบริษทั ดว้ ย โดยมีผมู้ ีอานาจ

ลงลายมือชื่อผูกพนั บริษทั คือ จาเลยที่ 1 หรือจาเลยที่ 3 ลงลายมือช่ือร่วมกบั จาเลยที่ 2 หรือกรรมการอ่ืนเกิน 2 คน และประทบั ตรา

สาคญั ของบริษทั มีอานาจกระทาการแทนบริษทั ได้ กรณีเป็นการกระทาความผดิ ท่ีกระทาต่อนิติบุคคลซ่ึงตาม ประมวลกฎหมายวธิ ี

พิจารณาความอาญา มาตรา 5(3) ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 บญั ญตั ิ

ใหผ้ จู้ ดั การหรือผแู้ ทนอ่ืนๆ ของนิติบุคคลเป็นผฟู้ ้องคดีและเม่ือจาเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 เป็นกรรมการผมู้ ีอานาจกระทาการแทนบริษัท

และเป็นผกู้ ระทาความผิดต่อบริษทั ค. ซ่ึงเป็นนิติบุคคลน้นั เอง ยอ่ มจะไมฟ่ ้องคดีแทนนิติบุคคลเพ่ือกลา่ วหาตวั เอง เม่ือเป็นดงั น้ี

โจทกซ์ ่ึงเป็นผถู้ ือหุน้ ซ่ึงมีประโยชนไ์ ดเ้ สียร่วมกบั นิติบุคคลน้นั ยอ่ มไดร้ ับความเสียหาย ท้งั ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา

1169 กบ็ ญั ญตั ิไวว้ า่ กรรมการทาใหเ้ กิดความเสียหายแก่บริษทั และบริษทั ไมฟ่ ้องคดี ผถู้ ือหุน้ คนใดคนหน่ึงฟ้องคดีได้ ดงั น้ีโจทกซ์ ่ึง

เป็นผถู้ ือหุน้ จึงเป็นผเู้ สียหายมีสิทธิฟ้องจาเลยท่ี 1 ท่ี 3 และที่ 5 ฐานรวมกนั ยกั ยอกทรัพยข์ องบริษทั ค. ตาม ประมวลกฎหมายวิธี

พิจารณาความอาญา มาตรรา 28 (2) ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ฯ มาตรา 4 ได้ และตอ้ งถือวา่ โจทกฟ์ ้องแทนบริษทั ค. ดว้ ย

ท่ีประชุมใหญข่ องผถู้ ือหุน้ ของบริษทั ค. มีมติใหห้ ยดุ การฟ้องร้องและพิพาทระหวา่ งผถู้ ือหุน้ กบั บริษทั

เป็นมติท่ีไม่มีขอ้ ความใดเลยท่ีแสดงวา่ ผถู้ ือหุน้ ของบริษทั ค. ซ่ึงรามท้งั โจทกด์ ว้ ย ตกลงไมต่ ิดใจเอาความอาญาแก่จาเลยท่ี 1 ที่ 3 และ

ท่ี 5 ต่อไป และไมเ่ ป็นการยอมความทางอาญาในความผดิ ฐานร่วมกนั ยกั ยอกโดยถกู ตอ้ งตามกฎหมาย สิทธินาคดีอาญามาฟ้องของ

โจทกใ์ นความผดิ ฐานร่วมกนั ยกั ยอกจึงไม่ตอ้ งหา้ ม ตาม ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ประกอบ พ.ร.บ.

จดั ต้งั ศาล ฯ มาตรา 4

ฎีกำที่ 10354/2559 เม่ือพิเคราะห์คาร้องขอถอนฟ้องของโจทกล์ งวนั ท่ี 6 มีนาคม 2556 ในคดีก่อนตามคดีอาญา

หมายเลขแดงท่ี อ.1279/2555 ของศาลช้นั ตน้ ประกอบคาฟ้องในคดีดงั กล่าวแลว้ แมค้ าร้องขอถอนฟ้องจะระบุวา่ โจทกไ์ ม่ประสงค์

จะดาเนินคดีอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้องโดยปรากฏวา่ ในคดีฟ้องดงั กลา่ วโจทกม์ ิไดล้ งลายมือช่ือในคาฟ้อง แต่ทนายโจทกเ์ ป็นผลู้ ง

ลายมือชื่อในคาฟ้องแทนโจทกท์ ้งั ปรากฏวา่ ในวนั รุ่งข้ึนหลงั จากศาลอนุญาตใหถ้ อนฟ้องคดีดงั กล่าวแลว้ โจทกไ์ ดม้ ายืน่ คาฟ้องใหม่

เป็นคดีน้ีในมูลคดีอาญาความผิดเดียวกนั กบั คดีก่อน และขอใหล้ งโทษจาเลยท้งั สี่ในบทมาตราเดียวกนั เช่ือวา่ เหตุที่โจทกถ์ อนฟ้อง

คดีก่อนเนื่องจากเห็นวา่ โจทกม์ ิไดล้ งลายมือชื่อในคาฟ้อง ซ่ึงเป็นคาฟ้องที่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จึงประสงคจ์ ะถอนฟ้องแลว้ ยนื่ ฟ้อง

ใหมใ่ หถ้ ูกตอ้ ง การถอนฟ้องคดีก่อนจึงมิใช่การถอนฟ้องเดด็ ขาด ตามความในประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 ท่ี

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วนิ ิจฉยั ยนื ตามศาลช้นั ตน้ วา่ โจทกเ์ คยฟ้องจาเลยท้งั สี่มาแลว้ ในมลู คดีอาญาความผดิ เดียวกนั และถอนฟ้องไปจึง

ตอ้ งหา้ มมิใหฟ้ ้องจาเลยท้งั ส่ีอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 น้นั ไมต่ อ้ งดว้ ยความเห็นของศาลฎีกา

29

ฎกี ำท่ี 10354/2559 เมื่อพิเคราะหค์ าร้องขอถอนฟ้องของโจทกล์ งวนั ที่ 6 มีนาคม 2556 ในคดีก่อนตามคดีอาญาหมายเลขแดง
ท่ี อ.1279/2555 ของศาลช้นั ตน้ ประกอบคาฟ้องในคดีดงั กลา่ วแลว้ แมค้ าร้องขอถอนฟ้องจะระบุวา่ โจทกไ์ มป่ ระสงคจ์ ะดาเนินคดีอีก
ต่อไป จึงขอถอนฟ้องโดยปรากฏวา่ ในคดีฟ้องดงั กล่าวโจทกม์ ิไดล้ งลายมือชื่อในคาฟ้อง แต่ทนายโจทกเ์ ป็นผลู้ งลายมือช่ือในคาฟ้อง
แทนโจทกท์ ้งั ปรากฏวา่ ในวนั รุ่งข้ึนหลงั จากศาลอนุญาตใหถ้ อนฟ้องคดีดงั กลา่ วแลว้ โจทกไ์ ดม้ าย่นื คาฟ้องใหมเ่ ป็นคดีน้ีในมูล
คดีอาญาความผิดเดียวกนั กบั คดีก่อน และขอใหล้ งโทษจาเลยท้งั สี่ในบทมาตราเดียวกนั เช่ือวา่ เหตุท่ีโจทกถ์ อนฟ้องคดีก่อนเนื่องจาก
เห็นวา่ โจทกม์ ิไดล้ งลายมือชื่อในคาฟ้อง ซ่ึงเป็นคาฟ้องที่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จึงประสงคจ์ ะถอนฟ้องแลว้ ยื่นฟ้องใหม่ใหถ้ ูกตอ้ ง
การถอนฟ้องคดีก่อนจึงมิใช่การถอนฟ้องเดด็ ขาด ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค
1 วนิ ิจฉยั ยนื ตามศาลช้นั ตน้ วา่ โจทกเ์ คยฟ้องจาเลยท้งั ส่ีมาแลว้ ในมูลคดีอาญาความผดิ เดียวกนั และถอนฟ้องไปจึงตอ้ งหา้ มมิใหฟ้ ้อง
จาเลยท้งั สี่อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 น้นั ไม่ตอ้ งดว้ ยความเห็นของศาลฎีกา

ฎีกำที่ 6552/2559 โจทกฟ์ ้องและนาสืบวา่ จาเลยพานางสาว ร. ผเู้ สียหายออกจากประเทศไทยส่งออกไปนอกราชอาณาจกั ร

ไปยงั ประเทศญี่ป่ ุนแลว้ หน่วงเหนี่ยวกกั ขงั และจดั ใหอ้ ยอู่ าศยั ในประเทศญี่ป่ ุนเพ่ือใหผ้ เู้ สียหายทาการคา้ ประเวณีที่สถานการ

คา้ ประเวณีที่ประเทศญี่ป่ ุน โดยการฉอ้ ฉลและใชอ้ บุ ายหลอกลวงผเู้ สียหายเพ่ือบงั คบั ข่มข่ใู หผ้ เู้ สียหายกระทาการคา้ ประเวณีหรือเพื่อ

สนองความใคร่หรือสาเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผอู้ ่ืนเพื่อสินจา้ งหรือประโยชนอ์ ่ืนใดอนั เป็นการมิชอบเพ่ือจาเลยจะได้

แสวงหาประโยชนจ์ ากการ คา้ ประเวณีของผเู้ สียหายโดยไม่ยินยอมและไมส่ ามารถขดั ขืนได้

เหตุเกิดที่ตาบลหรือแขวงอาเภอต่างๆในจงั หวดั เพชรบูรณ์ จงั หวดั ขอนแก่น กรุงเทพมหานครและ

ประเทศญี่ป่ ุน หลายทอ้ งท่ีเก่ียวพนั กนั ขอใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ. 2551 การกระทา

ของจาเลยเป็นการกระทาความผดิ ท่ีมีโทษตามกฎหมายไทยและไดท้ าลงนอกราชอาณาจกั รไทยดว้ ย เมื่ออยั การสูงสุด มอบหมายให้

พนกั งานสอบสวนกองบงั คบั การปราบปรามและการกระทาความผิดเก่ียวกบั การคา้ มนุษยท์ าการสอบสวนโดยใหพ้ นกั งานร่วมทา

การสอบสวน และใหผ้ บู้ งั คบั การปราบปรามการกระทาความผดิ เก่ียวกบั การคา้ มนุษยห์ รือผูร้ ักษาการแทนเป็นพนกั งานสอบสวน

ผรู้ ับผดิ ชอบตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 พนกั งานสอบสวนกอง บงั คบั การปราบปรามการกระทา

ความผิดเกี่ยวกบั การคา้ มนุษยจ์ ึงมีอานาจสอบสวน โจทกจ์ ึงมีอานาจฟ้อง

ฎีกำที่ 4549/2560 ศาลในคดีส่วนแพ่งจะรอฟังขอ้ เทจ็ จริงจากคาพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่กไ็ ด้ ยอ่ มเป็นดุลพินิจของ

ศาลที่จะพิจารณาเป็นเรื่องๆไป ท้งั ไม่มีบทกฎหมายบงั คบั ใหจ้ าตอ้ งรอฟังขอ้ เทจ็ จริงในคดีส่วนอาญาดงั กล่าว เม่ือไม่อาจทราบไดว้ า่

คดีส่วนอาญาจะมีคาพิพากษาถึงที่สุดเม่ือใด การที่ศาลล่างท้งั สองไม่รอฟังคดีในส่วนอาญาของจาเลยท่ี 1 ก่อนจึงไมเ่ ป็นการขดั กบั

ป.วิ.อ. มาตรา 46

ฎีกำท่ี 2306/2560 บทบญั ญตั ิตาม พรก.การกยู้ มื เงินที่เป็นการฉอ้ โกงประชาชนมาตรา 4หรือมาตรา 5 เป็นบทบญั ญตั ิท่ีวาง

มาตรการเพ่ือคุม้ ครองประโยชนข์ องประชาชนเป็นส่วนรวม ความผดิ ฐานน้ีจึงเป็นความผดิ ต่อรัฐ รัฐเท่าน้นั ท่ีจะดาเนินคดีแก่

ผกู้ ระทาความผิดได้ เอกชนไม่ใช่ผเู้ สียหายในการกระทาความผิดขอ้ หาดงั กลา่ ว โจทกร์ ่วมจึงไม่ใช่ผเู้ สียหายท่ีจะขอเขา้ ร่วมเป็น

30

โจทกฟ์ ้องจาเลยในความผิดขอ้ หาน้ี และเม่ือโจทกร์ ่วมไม่มีสิทธิยน่ื คาร้องขอเขา้ เป็นโจทกม์ าต้งั แต่แรก โจทกร์ ่วมยอ่ มไม่มีสิทธิท่ีจะ
อทุ ธรณ์และฎีกา ศาลฎีกา จึงไมจ่ าตอ้ งพิจารณาฎีกาของโจทกร์ ่วมในปัญหาวา่ จาเลย กระทาความผดิ ขอ้ หาฉอ้ โกงประชาชนตามฟ้อง
อีก

โจทกร์ ่วมเป็นผเู้ สียหายเฉพาะความผดิ ฐานฉอ้ โกงเท่าน้นั มิไดเ้ ป็นผเู้ สียหายความผดิ ฐานฉอ้ โกงประชาชนตาม
พรก. การกยู้ ืมท่ีเป็นการฉอ้ โกงประชาชนพ.ศ. 2527 ดว้ ย ดงั น้นั เมื่อศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง โจทกร์ ่วมจึงมีสิทธิท่ีจะอุทธรณ์
เฉพาะในความผดิ ท่ีโจทกเ์ ป็นผเู้ สียหายเท่าน้นั เม่ือความผดิ ฐานฉอ้ โกงตาม ปอ.มาตรา 341 ที่โจทกร์ ่วมเป็นผเู้ สียหายมี อตั ราโทษ
จาคุกอยา่ งสูงไมเ่ กิน 3 ปี ปรับไมเ่ กิน 60,000 บาท(เดิม) หรือท้งั จาท้งั ปรับ จึงตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ปวิอ. ม.
193 ทวิ แมค้ วามผดิ ฐานฉอ้ โกงประชาชนตาม พรก. การกยู้ มื เงินอนั เป็นการฉอ้ โกงประชาชนพ.ศ. 2527 มาตรา 5,12 จะมีอตั ราโทษ
ไม่ตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงและเป็นการกระทากรรมเดียวกบั ความผิดฐานฉอ้ โกงตาม ป.อ. มาตรา 341 กต็ าม แต่เม่ือ
โจทกร์ ่วมมิไดเ้ ป็นผเู้ สียหายในความผิดฐานฉอ้ โกงประชาชน อนั เป็นบทท่ีมีโทษหนกั ท่ีสุด โจทกร์ ่วมจึงไมอ่ าจอุทธรณ์โดยอา้ ง
ทานองวา่ เม่ือโทษตามบทหนกั ไมต่ อ้ งหา้ มใหอ้ ุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงแลว้ การอุทธรณ์ในบทเบายอ่ มอทุ ธรณ์ไดด้ ว้ ยหาไดไ้ ม่

ฎกี ำท่ี 1917/2559 คดีแพ่งที่เกี่ยวเน่ืองกบั คดีอาญา ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1 วรรคหน่ึง ใหส้ ิทธิผเู้ สียหายที่จะยนื่ คาร้องขอให้

บงั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนเขา้ มาในคดีที่พนกั งานอยั การเป็นโจทก์ โดยไม่จาตอ้ งไปฟ้องเป็นคดีแพ่งเร่ืองใหม่ แต่มาตรา

44/1 วรรคสอง บญั ญตั ิใหถ้ ือวา่ คาร้องดงั กล่าวเป็นเพียงคาฟ้องตามบทบญั ญตั ิแห่ง ป.ว.ิ พ. โดยใหถ้ ือวา่ ผเู้ สียหายอยใู่ นฐานะเป็น

โจทกใ์ นคดีส่วนแพ่ง จึงมีสิทธิเพียงอุทธรณ์ฎีกาในคดีส่วนแพ่งเท่าน้นั คดีน้ีพนกั งานอยั การเป็นโจทกใ์ นคดีส่วนอาญา ผรู้ ้องซ่ึงเป็น

ผเู้ สียหายไม่ไดย้ น่ื คาร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกต์ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 30 จึงไม่มีฐานะเป็นโจทกร์ ่วมที่จะใชส้ ิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีส่วน

อาญาได้ ฎีกาของผรู้ ้องที่วา่ จาเลยกระทาผิดตามฟ้องหรือไมจ่ ึงเป็นการโตแ้ ยง้ ขอ้ เทจ็ จริงในคาพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไมอ่ าจฎีกา

ได้ ศาลฎีกาไม่รับวนิ ิจฉยั ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลตอ้ งถือขอ้ เทจ็ จริงในส่วนคดีอาญาที่รับฟังเป็นยตุ ิวา่ จาเลยไม่ไดร้ ่วม

กระทาผิด ตามมาตรา 46 จึงตอ้ งฟังวา่ จาเลยไมไ่ ดก้ ระทาละเมิดอนั จะตอ้ งใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่ผรู้ ้อง

ฎกี ำท่ี 3085/2537 โจทกเ์ ป็นผถู้ ือหุน้ ของบริษทั ล. ฟ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในขอ้ หายกั ยอกทรัพยข์ องบริษทั โดยโจทกม์ ิได้

ร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยไวก้ ่อน ดงั น้ี เมื่อไดค้ วามวา่ ก่อนท่ีโจทกฟ์ ้องคดีน้ีต. ผถู้ ือหุน้ อีกคนหน่ึงซ่ึงเป็นผเู้ สียหายและมีอานาจ

ร้องทุกขเ์ ช่นเดียวกบั โจทกไ์ มไ่ ดร้ ้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยภายใน3 เดือนนบั แต่วนั ท่ี ด. รู้เร่ืองความผดิ และรู้ตวั จาเลยผูก้ ระทา

ความผดิ แลว้ คดีโจทกจ์ ึงขาดอายคุ วาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96

ฎกี ำที่ 5400/2560 การตีความคาวา่ ”ผเู้ สียหาย” ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1 ไม่ถือตามความหมายมาตรา 2 (4) ท้งั น้ีเป็นไปตาม

ป.ว.ิ อ. มาตรา 1 ที่บญั ญตั ิวา่ “ประมวลกฎหมายน้ี ถา้ คาใดมีคาอธิบายไวแ้ ลว้ ใหถ้ ือตาม ความหมายดงั่ ไดอ้ ธิบายไว้ เวน้ แต่ขอ้ ความ

ในตวั บทจะขดั กบั คาอธิบายน้นั ” ส่วนความประมาทของผเู้ สียหาย (ผรู้ ้อง) เป็นขอ้ เทจ็ จริงที่จะนามาใชป้ ระกอบดุลพินิจในการ

กาหนดค่าสินไหมทดแทนเท่าน้นั ไม่ทาใหส้ ิทธิของผเู้ สียหายที่จะขอใหช้ ดใชค้ ่าสินไหมทดแทนหมดไป

31

ฎกี ำท่ี 14823/2558 โจทกเ์ คยฟ้องจาเลยที่ 1 และที่ 2 มาแลว้ อนั เน่ืองมาจากจาเลยท่ี 1 และท่ี 2 ร่วมกนั จดทะเบียนโอนท่ีดิน
ซ่ึงเป็นทรัพยม์ รดกของ ย. ที่โจทกแ์ ละทายาทของ ย. เป็นเจา้ ของรวมอยู่ โดยขอใหล้ งโทษฐานโกงเจา้ หน้ี ศาลช้นั ตน้ อนุญาตให้
โจทกถ์ อนฟ้องไปแลว้ โจทกก์ ลบั มาฟ้องจาเลยที่ 1 และที่ 2 ในการกระทาเดียวกนั อีก แมค้ าฟ้องท้งั สองคดีจะบรรยายไม่ตรงกนั ทุก
ตอน และบทมาตราท่ีขอใหล้ งโทษแตกต่างกนั บางมาตรา แต่กต็ อ้ งถือวา่ เป็นการกระทาอนั เดียวกนั กบั ที่โจทกฟ์ ้องคดีแรก มิใช่
ถือเอาคาบรรยายฟ้องหรือฐานความผิดท่ีโจทกต์ ้งั เอาแก่จาเลยเป็นเกณฑ์ มิฉะน้นั แลว้ จาเลยกระทาผิดคร้ังเดียว โจทกม์ ีสิทธิ
ดาเนินคดีแก่จาเลยไดห้ ลายคร้ังโดยไม่จบสิ้น จึงตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 36 ปัญหาเร่ืองอานาจฟ้องเป็นปัญหาท่ีเกี่ยวกบั ความ
สงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวนิ ิจฉยั

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 71)

ฎกี ำที่ 8001-8002/2560 ผตู้ ายสมคั รใจเขา้ วิวาทต่อสูก้ บั จาเลยท้งั หก ผตู้ ายจึงไม่ใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั พ. มารดาของผตู้ ายยอ่ มไม่
มีอานาจจดั การแทนผตู้ ายซ่ึงถูกทาร้ายถึงตาย พ. ผรู้ ้องจึงไมม่ ีอานาจเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การในคดีส่วนอาญาและไม่มี
สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 เป็นบทบญั ญตั ิที่มีเจตนารมณ์ท่ีจะช่วยผทู้ ่ีไดร้ ับ
ความเสียหายในทางแพง่ ใหไ้ ดร้ ับความสะดวกรวดเร็วในการไดร้ ับชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนและไมต่ อ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายในการ
ดาเนินคดีแพ่งเป็นอีกคดีหน่ึง ท้งั คดีแพ่งและคดีอาญาจะไดเ้ สร็จสิ้นไปในคราวเดียวกนั โดยใหผ้ ทู้ ี่ไดร้ ับความเสียหายยนื่ คาร้องเขา้ มา
ในคดีอาญา การที่ผตู้ ายถูกจาเลยท้งั หกร่วมกนั ทาร้ายจนถึงแก่ความตายเป็นความเสียหายเพราะเหตุที่ผตู้ ายไดร้ ับอนั ตรายถึงแก่ชีวิต
อนั เนื่องมาจากการกระทาความผดิ ของจาเลยท้ีงหกดงั กลา่ ว ถือเป็นผเู้ สียหายมีสิทธิจะย่ืนคาร้องต่อศาลท่ีพิจารณาคดีอาญาตาม
บทบญั ญตั ิของกฎหมายดงั กลา่ วได้ แมจ้ ะไดค้ วามวา่ ผตู้ ายมีส่วนก่อใหเ้ กิดความเสียหายดว้ ยโดยสมคั รใจววิ าททาร้ายกบั ฝ่ ายจาเลย ก็
เป็นขอ้ เทจ็ จริงที่จะนามาใชป้ ระกอบดุลยพินิจในการกาหนดค่าสินไหมทดแทนเท่าน้นั ไมท่ าใหส้ ิทธิของผเู้ สียหายที่จะขอใหช้ ดใช้
ค่าสินไหมทดแทนหมดไป พ.เป็นมารดาของผตู้ ายและเป็นทายาทของผตู้ าย เม่ือผตู้ ายถูกทาร้ายถึงตายตอ้ งขาดไร้อุปการะตาม
กฎหมายและตอ้ งจดั งานศพจึงมีสิทธิเรียกค่าปลงศพและเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้

ฎกี ำที่ 3554/2561 แมต้ ามคาฟ้องและทางพิจารณาคดีจะไดค้ วามวา่ การลว่ งละเมิดทางเพศของจาเลยต่อผเู้ สียหายที่ 1 น้นั

เป็นไปโดยผเู้ สียหายท่ี 1 ยินยอมกต็ าม แต่กเ็ ป็นเพียงเร่ืองพิจารณาตามองคป์ ระกอบในเร่ืองอายโุ ดยกฎหมายไดค้ านึงถึงการคุม้ ครอง

ความเป็นผเู้ ยาวข์ องผเู้ สียหายท่ีอายยุ งั ไม่เกิน 13 ปี ซ่ึงยงั ขาดวฒุ ิภาวะ ตลอดจนความรู้ และความเขา้ ใจในการดารงชีวิต ซ่ึงจาเลย

ผกู้ ระทาความผิด หากล่วงรู้และทราบขอ้ เทจ็ จริงในองคป์ ระกอบเร่ืองอายใุ นส่วนน้ี แลว้ ยงั คงกระทาความผดิ กจ็ ะอา้ งถึงความ

ยินยอมของผเู้ สียหายที่ 1 มาเป็นเหตุปัดความรับผดิ ในเร่ืองดงั กลา่ วหาไดไ้ ม่ เพราะเป็นคนละส่วนกนั กรณียอ่ มถือวา่ ผเู้ สียหายที่ 1

ซ่ึงขณะเกิดเหตุอายยุ งั ไมเ่ กิน 13 ปี น้นั แมจ้ ะถูกจาเลยกระทาความผดิ โดยยินยอมหรือไมย่ นิ ยอมกต็ าม กไ็ ม่อาจนามาเป็นเหตุ

พิจารณาวา่ มิใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั ดงั น้นั ผเู้ สียหายท่ี 1 โดยมารดาผแู้ ทนโดยชอบธรรมจึงมีสิทธิร้องขอเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั

32

พนกั งานอยั การไดใ้ นส่วนความผิดท่ีถูกจาเลยกระทาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสามและมาตรา 279 ที่ศาลช้นั ตน้ มี
คาสงั่ อนุญาตใหผ้ เู้ สียหายท่ี 1 โดย น. มารดาโจทกร์ ่วมผแู้ ทนโดยชอบธรรมเขา้ ร่วมเป็นโจทกก์ บั พนกั งานอยั การเฉพาะในความผิด
ดงั กล่าวจึงชอบแลว้ และเม่ือเป็นโจทกร์ ่วมกย็ อ่ มมีสิทธิในฐานะท่ีเป็นคู่ความในคดี จึงมีสิทธิย่ืนคาแกอ้ ทุ ธรณ์และคาแกฎ้ ีกาได้ ส่วน
เรื่องที่ขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 44/1 น้นั เมื่อจาเลย
ไดล้ ว่ งละเมิดในทางเพศต่อโจทกร์ ่วมและลว่ งละเมิดอานาจปกครองดูแลโจทกร์ ่วมของผเู้ สียหายที่ 2 ผเู้ ป็นยายซ่ึงเป็นผปู้ กครองดูแล
โจทกร์ ่วมอยใู่ นขณะเกิดเหตุ จึงเป็นการทาละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 420 แลว้ โจทกร์ ่วมและผเู้ สียหายท่ี 2
จึงมีสิทธิยื่นคาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 44/1

ฎีกำท่ี 9797/2560 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหน่ึงท่ีบญั ญตั ิวา่ “ผใู้ ดกระทาชาเราเดก็ อายยุ งั ไมเ่ กินสิบหา้ ปี ซ่ึง

มิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเดก็ น้นั จะยินยอมหรือไมก่ ต็ ามตอ้ งระวางโทษ..” แสดงวา่ กฎหมายคุม้ ครองเดก็ อายนุ อ้ ยเป็นกรณี

พิเศษโดยไม่ใหค้ วามสาคญั แก่ความยนิ ยอมของเดก็ แมผ้ เู้ สียหายยินยอม การกระทาของจาเลยกย็ งั เป็นการกระทาท่ีละเมิดต่อ

กฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผเู้ สียหายจึงไมส่ ิ้นสิทธิในการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจาเลย

มารดาผแู้ ทนโดยชอบธรรมของผเู้ สียหายยอ่ มมีสิทธิยน่ื คาร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจาเลยแทนผเู้ สียหายได้

ฎีกาท่ี 2654/2560 ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 35 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิวา่ "คาร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยน่ื เวลาใดก่อนมีคาพิพากษา

ของศาลช้นั ตน้ กไ็ ด้ ศาลจะมีคาสง่ั อนุญาตหรือมิอนุญาตใหถ้ อนกไ็ ด้ แลว้ แต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด..."

เท่ากบั ใหเ้ ป็นดุลพินิจของศาลที่จะกาหนดใหถ้ อนฟ้องดว้ ยวิธีใดแลว้ แต่ศาลจะเห็นสมควรคดีน้ีศาลช้นั ตน้ เห็นวา่ โจทกไ์ ดแ้ สดง

เจตนาขอถอนฟ้องไวเ้ ป็นหนงั สือแลว้ โดยไม่ไดส้ งั่ ใหโ้ จทกย์ ื่นคาร้องขอถอนฟ้องเขา้ มาอีก และมีการบนั ทึกไวต้ ามรายงานกระบวน

พิจารณาของศาลช้นั ตน้ จึงถือเป็นดุลพินิจที่ชอบดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา 35 วรรคหน่ึง แลว้ โจทกแ์ ละจาเลยตกลงทา้ กนั ในคดีแพ่งของ

ศาลช้นั ตน้ วา่ หากจาเลยคดีน้ียอมไปสาบานตนดว้ ยถอ้ ยคาที่ตกลงกนั ถือวา่ โจทกค์ ดีน้ีแพ้ โจทกย์ นิ ยอมถอนฎีกา และยินยอมจ่ายเงิน

จานวน 175,000 บาท แก่จาเลย และขอแสดงเจตนาถอนฟ้องคดีอาญาท่ีไดฟ้ ้องจาเลยเป็นคดีน้ี ส่วนจาเลยขอไม่ติดใจบงั คบั คดีตามคา

พิพากษา หากจาเลยคดีน้ีไมไ่ ปสาบานตน จาเลยขอยอมรับขอ้ เทจ็ จริงตามคาใหก้ ารในคดีแพ่งและขอใหศ้ าลฎีกาพิพากษาต่อไป ท้งั

ขอถือเป็นการแสดงเจตนาถอนฟ้องและถอนอุทธรณ์ในคดีอาญาท่ีไดฟ้ ้องโจทกเ์ ป็นจาเลย แต่โจทกค์ ดีน้ี ตอ้ งนาเงินจานวน 175,000

บาท มาวางศาลภายในวนั ที่ 3 เมษายน 2558 เมื่อปรากฏวา่ โจทกม์ ิไดน้ าเงินจานวน 175,000 บาท มาวางศาล โจทกจ์ ึงแพค้ ดีตามคา

ทา้ อนั มีผลเท่ากบั โจทกแ์ สดงเจตนาถอนฟ้องคดีน้ีตามคาทา้ การขอถอนฟ้องคดีน้ีแมจ้ ะเป็นผลประการหน่ึงอนั สืบเนื่องมาจาก

ขอ้ ตกลงหรือการทา้ กนั ในคดีแพ่งกต็ าม กห็ าไดถ้ ือวา่ เป็นการทา้ กนั ในคดีอาญาน้ีไม่ ดงั น้นั เมื่อเป็นการขอถอนฟ้องก่อนมีคา

พิพากษาของศาลช้นั ตน้ จาเลยไมค่ ดั คา้ นการถอนฟ้อง และศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ อนุญาตใหถ้ อนฟ้อง กบั จาหน่ายคดีออกจากสารบบ

ความ จึงชอบดว้ ยกฎหมายแลว้

33

ฎกี ำท่ี 4292/2560 โจทกซ์ ่ึงเป็นราษฎรยน่ื ฟ้องวา่ จาเลยท้งั ส่ีร่วมกนั หมิ่นประมาทโจทกด์ ว้ ยการโฆษณา ขอใหล้ งโทษตาม

ป.อ. มาตรา 83, 86, 90, 91, 326, 328 พ.ร.บ. วา่ ดว้ ยการกระทาความผิดเกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14, 15 พ.ร.บ. จด

แจง้ การพิมพ์ พ.ศ. 2550 มาตรา 4 กบั เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบ้ียอตั ราร้อยละ 7.5 ต่อปี นบั ถดั จากวนั ฟ้อง

เป็นตน้ ไปจนกวา่ จะชาระเสร็จ และใหจ้ าเลยท้งั สี่ลงโฆษณาคาพิพากษาในหนงั สือพิมพด์ ว้ ยค่าใชจ้ ่ายของจาเลยท้งั สี่ ซ่ึงเป็นคดีแพง่

เกี่ยวเน่ืองกบั คดีอาญา โดยนาคดีน้ีไปยน่ื ต่อศาลอาญาซ่ึงเป็นศาลช้นั ตน้ ในคดีน้ี ศาลช้นั ตน้ ยอ่ มมีอานาจรับไวไ้ ต่สวนมูลฟ้องในคดี

ส่วนอาญา แต่เม่ือศาลช้นั ตน้ ซ่ึงมีอานาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีอาญาไต่สวนมลู ฟ้องแลว้ เห็นวา่ คดีไม่มีมลู และพิพากษายกฟ้อง

คดีส่วนอาญาอนั มีผลเป็นการไม่รับคดีส่วนอาญาไวพ้ ิจารณาแลว้ ศาลช้นั ตน้ (ศาลอาญา) ยอ่ มไม่มีอานาจรับคดีส่วนแพ่งโดยลาพงั

ไวพ้ ิจารณา จึงตอ้ งมีคาสงั่ ไม่รับฟ้องคดีส่วนแพง่ และคืนค่าข้ึนศาลท้งั หมดใหแ้ ก่โจทกต์ าม ป.วิ.พ. มาตรา 151

ฎีกำท่ี 8658/2560 ในการไดร้ ับค่าขาดไร้อปุ การะท่ีโจทกร์ ่วมซ่ึงเป็นมารดาผตู้ ายกบั เดก็ หญิง ท. และเดก็ ชาย อ. บุตรท้งั

สองของผตู้ ายจะเรียกจากผทู้ าละเมิดเป็นสิทธิเฉพาะตวั ของแต่ละคนโจทกร์ ่วมเป็นยา่ มิใช่ผแู้ ทนโดยชอบธรรมหรือผแู้ ทนเฉพาะคดี

ของบุตรท้งั สองของผตู้ าย อนั จะถือไดว้ า่ มีสิทธิยื่นคาร้องในนามบุตรของผตู้ ายไดต้ ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา

56 ประกอบประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ท้งั มารดาของบุตรท้งั สองของผตู้ ายยงั มีชีวิตอยู่ โจทกร์ ่วมย่อมไม่มี

สิทธิเรียกค่าขาดไร้อปุ การะแทนบุตรท้งั สองของผตู้ ายได้ คงมีสิทธิเฉพาะในส่วนของตนเท่าน้นั

ฎีกำที่ 356/2559 คาร้องขอใหบ้ งั คบั จาเลยท้งั หกร่วมกนั ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนของโจทกร์ ่วมซ่ึงถือ วา่ เป็นคาฟ้องตาม

ป.ว.ิ พ. บรรยายวา่ ก่อนตายผตู้ ายอยกู่ ินฉนั สามีภริยากบั ส. ซ่ึงเลิกร้าง กนั ก่อนผตู้ ายถึงแก่ความตาย มีบุตรดว้ ยกนั 2 คน คือเดก็ ขาย

น. อายุ 9 ปี และเดก็ ชาย ก. อายุ 5 ปี ก่อนตายผตู้ ายมีหนา้ ท่ีในฐานะบิดาเล้ียงดูตลอดจนส่งเสียใหก้ ารศึกษาแก่บุตร ท้งั สอง การ

ร่วมกนั ทาละเมิดของจาเลยท้งั หกเป็นเหตุใหบ้ ุตรท้งั สองของผตู้ ายตอ้ งขาดได้ อุปการะ ทาใหโ้ จทกร์ ่วมตอ้ งรับภาระหนา้ ท่ีเล้ียงดู

ผเู้ ยาวท์ ้งั สองแทนผตู้ ายต่อไป โจทกร์ ่วม ขอคิดค่าขาดไร้อปุ การะเป็นเงินจานวน 500,000 บาท ดงั น้ี พอเขา้ ใจไดว้ า่ เดก็ ชาย น. และ

เดก็ ชาย ก. บุตรผตู้ ายประสงคจ์ ะขอเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะ ดว้ ย แต่เดก็ ชายท้งั สองเป็นผเู้ ยาวไ์ มอ่ าจยื่นคาร้อง

ขอใหบ้ งั คบั จาเลยท้งั หกร่วมกนั ชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนดว้ ยตนเองไดต้ อ้ งใหผ้ แู้ ทนโดยชอบธรรมเป็นผยู้ ่ืนคาร้องแทน เม่ือ โจทก์

ร่วมเป็นเพียงบิดาของผตู้ าย ไมใ่ ช่ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของเดก็ ชายท้งั สอง จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะแทนเดก็ ชายท้งั สอง

บุตรผตู้ ายได้

ฎีกำท่ี 9776/2560 น้นั วินิจฉยั อยา่ งน้ีนะครับวา่ แมผ้ เู้ สียหายหลงเชื่อคาหลอกลวงของจาเลยท้งั สามท่ีขอกยู้ ืมเงิน โดยอา้ งวา่

ไดก้ ระทาในฐานะท่ีเป็นกรรมการกองทุนหม่บู า้ น จนเป็นเหตุใหผ้ เู้ สียหายมอบเงินกใู้ หจ้ าเลยท้งั 3 ไปตามฟ้อง พนกั งานอยั การกไ็ ด้

ยื่นฟ้องจาเลยท้งั สามในขอ้ หาความผดิ ฐานฉอ้ โกง แต่ขอ้ เทจ็ จริงปรากฏวา่ การใหก้ ยู้ ืมเงินน้นั ผเู้ สียหายไดท้ าสญั ญาโดยคิดดอกเบ้ีย

ในอตั ราร้อยละ 4 ของเงินตน้ ในระยะเวลาเพียง 5 วนั คิดเป็นดอกเบ้ียเป็นอตั ราร้อยละ 292 ต่อปี ฝ่ าฝื นพระราชบญั ญตั ิหา้ มเรียก

ดอกเบ้ียเกินอตั รา ฯ ซ่ึงอนั น้ีเป็นกฎหมายเดิมเม่ือปี พ.ศ. 2475 นะครับแต่กฎหมาย ใหม่ น้นั เขา้ ใจวา่ มีการแกไ้ ขเม่ือปี พ.ศ. 2560 และ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 654 ยอ่ มแสดงอยใู่ นตวั วา่ ผเู้ สียหายรับขอ้ เสนอของจาเลยท้งั 3 โดยมีเจตนาต่อ

34

ผลประโยชนอ์ นั เกิดจากการกระทาที่ผิดกฎหมายของตน ถือไมไ่ ดว้ า่ เป็นการกระทาโดยสุจริต จะถือวา่ เป็นผเู้ สียหายโดยชอบดว้ ย
กฎหมายไม่ได้ ผเู้ สียหายจึงไม่มีอานาจร้องทุกขเ์ ป็นเหตุใหก้ ารสอบสวนไม่ชอบโจทกพ์ นกั งาน อยั การโจทกจ์ ึงไม่มีอานาจฟ้องตาม
มาตรา 120

ฎกี ำท่ี 1278/2557 โจทกร์ ่วมมิใช่เป็นเจา้ ของตน้ ออ้ ยที่ไดร้ ับความเสียหาย ซ่ึงกรณีน้ีเป็นความผิดฐานทาใหเ้ สียทรัพย์ อนั

เป็นความผิดต่อส่วนตวั จึงไมถ่ ือวา่ เป็นผเู้ สียหายโดยนิตินยั ท่ีจะร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยท่ี 2 ในขอ้ หาความผดิ ฐานทาใหเ้ สีย

ทรัพย์ พนกั งานสอบสวนไมม่ ีอานาจสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 121 วรรคสอง พนกั งานอยั การ

ไม่มีอานาจฟ้องตามมาตรา 120

ฎีกำท่ี 2183/2558 เป็นเรื่องโจทกฟ์ ้องขอ้ หาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 บุคคลผพู้ บเห็นเหตุความผิด

ดงั กล่าวกม็ ีอานาจที่จะไปกล่าวโทษ ต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่เพ่ือใหด้ าเนินคดีได้ พนกั งานสอบสวนมีอานาจสอบสวนดาเนินคดีต่อ

จาเลยซ่ึงเป็นผูถ้ กู กล่าวหาวา่ กระทาความผดิ โดยมิพกั ตอ้ งคานึงวา่ ผกู้ ล่าวโทษเป็นผเู้ สียหายหรือเป็นผมู้ ีอานาจจดั การแทนผเู้ สียหาย

หรือไม่ตามมาตรา 121

ฎีกำท่ี 7832/2556 จาเลยกบั พวกร่วมกนั ยกั ยอกรถยนตข์ องผเู้ สียหายท่ี 1 ซ่ึงเป็นผูใ้ หเ้ ช่าซ้ือ ขณะอยใู่ นความครอบครองของ

ผเู้ สียหายท่ี 2 ซ่ึงเป็นผเู้ ช่าซ้ือ เม่ือในขณะกระทาความผดิ ผเู้ สียหายท่ี 2 เป็นผมู้ ีสิทธิครอบครองใชป้ ระโยชนร์ ถยนตท์ ี่เช่าซ้ือดงั กลา่ ว

การกระทาของจาเลยกบั พวกยอ่ มทาใหผ้ เู้ สียหายที่ 2 ไดร้ ับความเสียหายโดยตรง แมผ้ ูเ้ สียหายที่ 2 จะไปแจง้ ความร้องทุกขใ์ นฐานะ

ผรู้ ับมอบอานาจจากผเู้ สียหายที่ 1 แต่กถ็ ือวา่ ไดร้ ้องทุกขใ์ นฐานะท่ีผเู้ สียหายท่ี 2 เป็นผเู้ สียหายดว้ ยเช่นกนั ผเู้ สียหายที่ 2 จึงเป็น

ผเู้ สียหายในคดีน้ี และยอ่ มมีอานาจในการถอนคาร้องทุกข์ เม่ือความผิดฐานยกั ยอกทรัพยเ์ ป็นความผิดต่อส่วนตวั และคดียงั ไมถ่ ึง

ที่สุด ผเู้ สียหายขอถอนคาร้องทุกขเ์ สียเม่ือใดกไ็ ด้ เม่ือปรากฏวา่ ก่อนศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ รับฎีกา ผเู้ สียหายท่ี 2 ถอนคาร้องทุกข์ สิทธินา

คดีอาญามาฟ้องยอ่ มระงบั ไปตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 39 (2)

ฎีกำที่ 115/2535 ขณะที่ ป. ร้องทุกขข์ อใหด้ าเนินคดีแก่จาเลยท่ี 1 ท่ี 2ที่ยกั ยอกเงินของโจทกไ์ ปน้นั โจทกซ์ ่ึงเป็นบริษทั

จากดั มีป. ก. ส. และจาเลยท่ี 1 ที่ 2 เป็นกรรมการ โดยจาเลยท่ี 1ซ่ึงเป็นกรรมการผจู้ ดั การร่วมกบั จาเลยที่ 2 หรือ ป. คนใดคนหน่ึง

รวมเป็น 2 คน และประทบั ตราสาคญั ของโจทกท์ าการแทนโจทกไ์ ด้ การที่จาเลยที่ 1 ที่ 2 ยกั ยอกเงินของโจทกบ์ รรดาผถู้ ือหุน้ ซ่ึงมี

ประโยชนไ์ ดเ้ สียร่วมกบั โจทกน์ ้นั ยอ่ มไดร้ ับความเสียหายโดยนิตินยั ยอ่ มถือวา่ ป. ซ่ึงเป็นผูถ้ ือหุน้ และเป็นกรรมการคนหน่ึงของ

โจทกเ์ ป็นผเู้ สียหาย จึงมีสิทธิฟ้องคดีอาญาหรือแจง้ ความร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยท่ี 1ที่ 2 ฐานยกั ยอกทรัพยข์ องโจทกไ์ ด้ ตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2),123ประกอบดว้ ยมาตรา 2(4) ต่อมา ป. ไดถ้ อนคาร้องทุกขน์ ้นั ดงั น้นั ไม่วา่ ป.

จะดาเนินการดงั กล่าวท้งั หมดในฐานะกระทาการแทนโจทกห์ รือในฐานะผถู้ ือหุน้ สิทธิท่ีโจทกจ์ ะนาคดีอาญามาฟ้องกย็ ่อมระงบั ไป

ตามมาตรา 39(2)

35

ฎกี ำที่ 386/2551 แม้ บ. ผเู้ ช่าซ้ือยงั ชาระราคาคา่ เช่าซ้ือไม่ครบถว้ น กรรมสิทธ์ิในรถยนตบ์ รรทุกดงั กล่าวยงั เป็นของ ว.

ผใู้ หเ้ ช่าซ้ือ แต่ บ. กม็ ีสิทธิครอบครองใชป้ ระโยชนจ์ ากรถยนตบ์ รรทุกท่ีเช่าซ้ือน้นั และมีหนา้ ท่ีตอ้ งส่งคืนรถยนตบ์ รรทุกท่ีเช่าซ้ือใน

สภาพเรียบร้อยแก่ ว. ผใู้ หเ้ ช่าซ้ือหากมีกรณีตอ้ งคืน เมื่อจาเลยท้งั สองยกั ยอกชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถยนตบ์ รรทุกดงั กลา่ วไปจาก บ.

บ. ยอ่ มไดร้ ับความเสียหายจึงเป็นผเู้ สียหายและมีอานาจร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยท้งั สองไดเ้ ช่นเดียวกบั ว. เจา้ ของรถยนต์

บรรทุกดงั กล่าว คดีน้ีเป็นความผิดอนั ยอมความได้ เม่ือ บ. รู้เรื่องความผดิ และรู้ตวั ผกู้ ระทาความผดิ เม่ือวนั ที่ 10 พฤศจิกายน 2541 แต่

มีการร้องทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนใหด้ าเนินคดีแก่จาเลยท้งั สองเม่ือวนั ท่ี 18 มีนาคม 2542 ซ่ึงเกินกวา่ สามเดือนนบั แต่วนั ท่ีรู้เร่ือง

ความผิด และรู้ตวั ผกู้ ระทาความผดิ แลว้ คดีโจทกจ์ ึงขาดอายคุ วามตาม ป.อ. มาตรา 96

ฎีกำท่ี 3085/2537 ล. เป็นผถู้ ือหุน้ คนหน่ึงของบริษทั ลดั สุภาอินเตอร์เทรดจากดั เช่นเดียวกบั โจทก์ ล. จึงเป็นผเู้ สียหายและมี

อานาจร้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่จาเลยไดเ้ ช่นเดียวกบั โจทก์ คดีน้ีเป็นความผิดอนั ยอมความได้ เมื่อ ล. ไมไ่ ดร้ ้องทุกขใ์ หด้ าเนินคดีแก่

จาเลยภายใน 3 เดือน นบั แต่วนั ท่ีรู้เรื่องความผิดและรู้ตวั ผกู้ ระทาความผิด คดีโจทกจ์ ึงขาดอายคุ วามตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 96

36

37

-------------- ว.ิ อาญา ข้อ 4 ---------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 64)

ฎกี ำท่ี 594/2549 จาเลยฎีกาคดั คา้ นคาพิพากษาศาลอุทธรณ์วา่ จาเลยมิไดก้ ระทาความผิดตามฟ้อง แต่หากศาลเห็นวา่ จาเลย

กระทาความผิดจริงกข็ อใหล้ งโทษสถานเบาและรอการลงโทษจาคุก ต่อมาในระหวา่ งการพิจารณาของศาลฎีกา จาเลยยน่ื คาร้องขอ

ถอนขอ้ ต่อสูเ้ ดิมตามฎีกาท่ีใหก้ ารปฏิเสธ และใหก้ ารใหมเ่ ป็นรับสารภาพตามฟ้อง คาร้องของจาเลยเป็นการแกไ้ ขเพิ่มเติมคาใหก้ าร

ซ่ึงตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 163 วรรคสอง ท่ีบญั ญตั ิใหก้ ระทาไดก้ ่อนศาลช้นั ตน้ พิพากษา ส่วนท่ีจาเลยขอแกไ้ ขฎีกาที่คดั คา้ นคา

พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ซ่ึงพิพากษาวา่ จาเลยกระทาความผดิ ตามฟ้องน้นั เป็นการขอแกไ้ ขฎีกาโดยมิไดเ้ พ่ิมเติมประเดน็ ใหม่ แต่เป็นการ

สละขอ้ ต่อสูใ้ นช้นั ฎีกา ไม่ใช่การคดั คา้ นคาพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไมต่ กอยใู่ นจากดั เวลาฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหน่ึง

จาเลยจึงยืน่ คาร้องขอแกไ้ ขฎีกาไดแ้ มพ้ น้ กาหนดเวลา 1 เดือน นบั แต่วนั อา่ นคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์

ฎีกำที่ 5395/2544 โจทกม์ ิไดล้ งลายมือชื่อไวใ้ นฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่ไม่มีลายมือช่ือโจทก์ ไม่ชอบดว้ ยประมวลกฎหมายวิธี

พิจารณาความอาญา มาตรา 158(7) แต่การที่จะสง่ั ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ กู ตอ้ งหรือไม่ประทบั ฟ้องตามมาตรา 161 วรรคหน่ึง น้นั ก็

ล่วงเลยเวลาท่ีจะปฏิบตั ิได้ เพราะศาลช้นั ตน้ ไดด้ าเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นแลว้ ศาลฎีกาไมอ่ าจพิจารณาฟ้องของโจทกไ์ ด้ จึง

ไม่วินิจฉยั ฎีกาของจาเลยและพิพากษายกฟ้อง

ฎีกำท่ี 1564/2546 ฟ้องโจทกป์ รากฏแต่ลายมือชื่อผเู้ รียงและผพู้ ิมพฟ์ ้องเท่าน้นั ไม่ปรากฏลายมือช่ือโจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ไม่

ชอบดว้ ย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(7)และการที่จะสงั่ ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือไม่ประทบั ฟ้องตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 วรรคหน่ึงน้นั กล็ ว่ งเลยเวลาท่ีจะปฏิบตั ิไดเ้ พราะศาลช้นั ตน้ ไดส้ ง่ั ประทบั ฟ้อง

และดาเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นจนคดีข้ึนสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 แลว้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยอ่ มไม่มีวธิ ีปฏิบตั ิ

เป็นประการอื่นนอกจากพิพากษายกฟ้องโจทก์ และมาตรา 161 กห็ าไดเ้ ป็นบทบญั ญตั ิซ่ึงมิไดก้ าหนดระยะเวลาใหศ้ าลมีคาสัง่ ให้

โจทกแ์ กไ้ ขฟ้องใหถ้ กู ตอ้ งเสียเมื่อใดกไ็ ดก้ ่อนคดีถึงท่ีสุดไม่ ท้งั ปัญหาวา่ ฟ้องโจทกท์ ี่ไม่มีลายมือชื่อโจทกเ์ ป็นฟ้องท่ีชอบดว้ ย

กฎหมายหรือไม่น้นั เป็นขอ้ กฎหมายท่ีเก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อย แมจ้ าเลยมิไดย้ กข้ึนโตแ้ ยง้ คดั คา้ นศาลอุทธรณ์ภาค 1 กม็ ีอานาจ

ยกข้ึนอา้ งและวินิจฉยั ไดเ้ องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง

ฎีกำที่ 5918/2549 ตามฟ้องโจทกป์ รากฏแต่เพียงลายมือชื่อผพู้ ิมพแ์ ละผเู้ รียงเท่าน้นั ไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์ จึงถือเป็น

ฟ้องที่ไม่มีลายมือช่ือโจทก์ ไม่ชอบดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา 158 (7) หากศาลช้นั ตน้ ตรวจพบขอ้ ผิดพลาดดงั กลา่ วกจ็ ะใชอ้ านาจตาม ป.วิ.อ.

มาตรา 161 สง่ั ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือยกฟ้อง หรือไม่ประทบั ฟ้องได้ แต่ถา้ ศาลช้นั ตน้ สงั่ ประทบั ฟ้องและดาเนินกระบวน

พิจารณาจนคดีข้ึนมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แลว้ การท่ีจะสง่ั ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือไม่ประทบั ฟ้องตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 161

วรรคหน่ึง ยอ่ มล่วงเลยเวลาท่ีจะปฏิบตั ิไดเ้ พราะศาลช้นั ตน้ ไดส้ ง่ั ประทบั ฟ้องและดาเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นแลว้ ท้งั กรณี

38

ดงั กล่าวไม่เขา้ เหตุตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 208 (2) ท่ีจะสงั่ ใหศ้ าลช้นั ตน้ ทาการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลอทุ ธรณ์ภาค 9
ยอ่ มไม่มีวิธีปฏิบตั ิเป็นอยา่ งอื่น นอกจากตอ้ งพิพากษายกฟ้องโจทก์

ฎีกำท่ี4290/2549 ตามฟ้องของโจทกป์ รากฏวา่ ไม่ไดล้ งลายมือช่ือผเู้ รียงและพิมพ์ จึงถือวา่ ไมเ่ ป็นฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา

158 (7) แต่การท่ีจะสงั่ ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือไมป่ ระทบั ฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหน่ึง น้นั กล็ ่วงเลยเวลาท่ีจะ

ปฏิบตั ิได้ เพราะศาลช้นั ตน้ ดาเนินกระบวนพิจารณาไปจนเสร็จสิ้นแลว้ ศาลฎีกาจึงตอ้ งยกฟ้องโดยไมจ่ าตอ้ งพิจารณาปัญหาอื่นอีก

ฎีกำที่1450/2553 คาขอทา้ ยฟ้องโจทกเ์ ป็นเอกสารที่ถา่ ยสาเนาจึงเป็นคาฟ้องท่ีไมม่ ีลายมือชื่อ โจทกผ์ เู้ รียงและผพู้ ิมพ์ ไม่

ชอบดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา158 (7) หากศาลช้นั ตน้ ตรวจพบขอ้ ผิดพลาดดงั กล่าวกจ็ ะใชอ้ านาจตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา161สง่ั ใหโ้ จทกแ์ กไ้ ข

ฟ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือยกฟ้อง หรือไม่ประทบั ฟ้องได้ แต่ถา้ ศาลช้นั ตน้ สง่ั ประทบั ฟ้องและดาเนินกระบวนพิจารณาจนคดีข้ึนมาสู่ศาล

อทุ ธรณ์ภาค7แลว้ การที่จะสง่ั ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ กู ตอ้ งหรือไมป่ ระทบั ฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา161วรรคหน่ึง ยอ่ มลว่ งเลยเวลาที่จะ

ปฏิบตั ิไดเ้ พราะศาลช้นั ตน้ ไดส้ งั่ ประทบั ฟ้องและดาเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นแลว้ การท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค7

พิจารณาพิพากษาคดีจึงเป็นการไมช่ อบ ศาลฎีกาไม่อาจพิจารณาฟ้องของโจทกไ์ ด้ ไมจ่ าตอ้ งวินิจฉยั ฎีกาของโจทก์

ฎีกำที่ 5248/2546 (ประชุมใหญ่) โจทกบ์ รรยายฟ้องไวช้ ดั แจง้ แลว้ วา่ จาเลยเคยตอ้ งคาพิพากษาถึงที่สุดของศาลช้นั ตน้ ในคดีอาญา
หมายเลขแดงที่ 2079/2542 ใหล้ งโทษจาคุก 1 ปี และปรับ 15,000 บาท โทษจาคุกใหร้ อการลงโทษไวม้ ีกาหนด 2 ปี ฐานเสพเมทแอม
เฟตามีนโดยฝ่ าฝื นต่อกฎหมาย และมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต ภายในกาหนดระยะเวลารอการลงโทษ
ดงั กล่าวจาเลยกระทาความผดิ คดีน้ีอีก เมื่อศาลช้นั ตน้ อา่ นอธิบายฟ้องท้งั หมดใหจ้ าเลยฟัง จาเลยกไ็ ดใ้ หก้ ารวา่ "ไดท้ ราบคาฟ้อง
ตลอดแลว้ ขา้ พเจา้ จาเลยขอใหก้ ารรับสารภาพตามฟ้อง" คาใหก้ ารจาเลยที่รับสารภาพตามฟ้องดงั กลา่ วจึงย่อมหมายรวมถึงการรับวา่
จาเลยเคยตอ้ งโทษจาคุกมาก่อนตามที่โจทกก์ ลา่ วหาในฟ้องดว้ ย ศาลช้นั ตน้ จึงนาโทษจาคุกของจาเลยที่รอการลงโทษไวค้ ดีก่อนมา
บวกเขา้ กบั โทษของจาเลยในคดีน้ีได้

ฎกี ำท่ี 8914/2552 ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก บญั ญตั ิวา่ "เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคาแถลงของโจทก์

หรือเจา้ พนกั งานวา่ ภายในเวลาที่ศาลกาหนดตามมาตรา 56 ผทู้ ่ีถกู ศาลพิพากษาไดก้ ระทาความผิดอนั มิใช่ความผดิ ที่ไดก้ ระทาโดย

ประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาใหล้ งโทษจาคุกสาหรับความผดิ น้นั ใหศ้ าลท่ีพิพากษาคดีหลงั กาหนดโทษที่รอการ

กาหนดไวใ้ นคดีก่อนบวกเขา้ กบั โทษในคดีหลงั หรือบวกโทษท่ีรอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนเขา้ กบั โทษในคดีหลงั แลว้ แต่กรณี"

ดงั น้นั เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองจากรายงานการสืบเสาะและพินิจจาเลยของพนกั งานคุมประพฤติวา่ ภายในกาหนดระยะเวลาท่ีรอ

การลงโทษไวใ้ นคดีก่อนท้งั สองคดี จาเลยมากระทาความผิดคดีน้ีอีก จึงตอ้ งนาโทษจาคุกท่ีรอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนท้งั สองคดีมา

บวกเขา้ กบั โทษในคดีน้ี แมโ้ จทกจ์ ะมิไดบ้ รรยายฟ้องและขอใหบ้ วกโทษในคดีดงั กลา่ วเขา้ กบั โทษของจาเลยในคดีน้ีกต็ าม ที่ศาลล่าง

ท้งั สองมิไดน้ าโทษจาคุกของจาเลยท่ีรอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนท้งั สองคดีมาบวกเขา้ กบั โทษในคดีน้ี ไม่ตอ้ งดว้ ยบทบญั ญตั ิของ

กฎหมายและกรณีน้ีมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคาขอ และมิใช่เป็นการเพ่ิมเติมโทษจาเลยเพราะกฎหมายบญั ญตั ิใหศ้ าลท่ีพิพากษาคดี

หลงั บวกโทษที่รอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนเขา้ กบั โทษคดีหลงั ดว้ ยเสมอ

39

ฎีกำท่ี 1081/2544 โจทกย์ ่ืนคาร้องขอแกไ้ ขเพิ่มเติมฟ้องในระหวา่ งนดั ฟังคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ขอใหบ้ วกโทษจาคุกที่ศาล

รอการลงโทษไวอ้ ีก 2 คดี แต่ศาลช้นั ตน้ ไม่ไดม้ ีคาสง่ั อนุญาตใหโ้ จทกแ์ กไ้ ขเพิ่มเติมฟ้อง จึงมีผลเสมือนโจทกม์ ิไดก้ ล่าวและมีคา

ขอใหบ้ วกโทษจาคุกคดีเดิมเขา้ กบั โทษจาคุกคดีน้ี แต่เมื่อขอ้ เทจ็ จริงปรากฏชดั แจง้ ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนกั งานคุม

ประพฤติประกอบคาใหก้ ารรับสารภาพของจาเลยวา่ จาเลยเคยตอ้ งคาพิพากษาถึงท่ีสุดใหจ้ าคุกและปรับโทษจาคุกใหร้ อการลงโทษ

ไว้ และภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษจาเลยไดก้ ระทาความผิดคดีน้ีอีก ซ่ึงขอ้ เท็จจริงดงั กล่าวไม่อยใู่ นบงั คบั ท่ีโจทกจ์ ะตอ้ งบรรยาย

หรืออา้ งมาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) หรือ (6) แต่อยใู่ นดุลพินิจของศาลท่ีพิพากษาคดีน้ีจะ

ใชอ้ านาจบวกโทษจาคุกท่ีรอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนเขา้ กบั โทษจาคุกในคดีน้ีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหน่ึง

ดงั น้นั ท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 6 บวกโทษจาคุกคดีน้ีเขา้ กบั โทษจาคุกในคดีก่อนจึงชอบแลว้ และไม่เป็นการพิพากษาเกินคาขอหรือ ที่

มิไดก้ ล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหน่ึง

ฎกี ำที่ 2254-2256/2542 คดีท้งั สามสานวนน้ีโจทกไ์ ดข้ อรวมการพิจารณาพิพากษา เขา้ ดว้ ยกนั และจาเลยไม่ไดค้ ดั คา้ นท้งั สาม
สานวน ดงั น้นั คาขอทา้ ยฟ้องคดีท้งั สามสานวนน้ีจึงถือเป็นขอ้ เทจ็ จริงและ เป็นส่วนหน่ึงของคาฟ้อง เม่ือโจทกม์ ีความประสงคม์ าแต่
ตน้ โดยตอ้ งการใหศ้ าลช้นั ตน้ นบั โทษจาคุกจาเลยต่อกบั คดีอ่ืน โจทกต์ อ้ งระบุหรือกลา่ วไวใ้ นคาฟ้องหรือขอแกไ้ ขเพิ่มเติม ฟ้องใน
ภายหลงั ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 เสียก่อนท่ีจะมีคาพิพากษาของศาลช้นั ตน้ เม่ือคาฟ้องของโจทก์ ไม่
ปรากฏขอ้ เทจ็ จริงดงั กล่าวและไมม่ ีคาขอใหน้ บั โทษจาคุกจาเลย ต่อกนั ไวก้ ารที่โจทกข์ อรวมพิจารณาพิพากษาคดีท้งั สามสานวน
ดว้ ยกนั กเ็ พ่ือประโยชนใ์ นการนาสืบพยานหลกั ฐานชุดเดียวกนั ของคู่ความเท่าน้นั ยงั ถือไม่ไดว้ า่ โจทกข์ อแกไ้ ขเพิ่มเติม ฟ้องทานอง
ขอใหน้ บั โทษในคดีต่อกนั ดงั ที่โจทกแ์ กฎ้ ีกา ดว้ ยเหตุน้ี การท่ีศาลลา่ งพิพากษาวา่ จาเลยมีความผดิ รวมท้งั สิ้น 11 กระทง และใหน้ บั
โทษจาคุกจาเลยต่อกนั จึงเป็นการพิพากษา เกินคาขอของโจทกท์ ี่มิไดก้ ลา่ วไวใ้ นคาฟ้อง

ฎกี ำท่ี 1301-1302/2542 ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก, 195 วรรคสอง, 225 โจทกแ์ ยกฟ้องคดีท้งั สองสานวนซ่ึงศาลสัง่ ใหร้ วม
พิจารณาพิพากษาโดยไม่ไดข้ อใหพ้ ิพากษานบั โทษจาเลยติดต่อกนั จึงนบั โทษต่อกนั ไมไ่ ด้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคาขอตาม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 192ท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 พิพากษาใหจ้ าคุกกระทงละ 6 เดือนรวม 2 กระทง จาคุก 1
ปี จึงไมช่ อบ ปัญหาน้ีเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายเก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อย แมไ้ มม่ ีคู่ความฝ่ ายใดฎีกา ศาลฎีกากม็ ีอานาจหยิบยกข้ึน
วินิจฉยั เองไดต้ ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225

ฎีกำท่ี 6214- 6216/2544 ในคดีอาญาน้นั แมจ้ าเลยจะใหก้ ารหรือไม่เป็นสิทธิของจาเลยกต็ าม แต่การขอแกไ้ ขคาใหก้ ารจาเลย
สามารถกระทาไดต้ ่อเม่ือมีเหตุอนั สมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 163 วรรคสอง เท่าน้นั มิใช่เป็นไปตาม
อาเภอใจของจาเลยอีกท้งั เป็นดุลพินิจของศาลเห็นสมควรจึงอนุญาตใหแ้ กไ้ ขได้ การท่ีจาเลยยืน่ คาใหก้ ารใหมโ่ ดยขอถอนคาใหก้ าร
เดิมท่ีใหก้ ารรับสารภาพและขอใหก้ ารใหมเ่ ป็นปฏิเสธฟ้องของโจทกซ์ ่ึงมีผลเป็นการแกไ้ ขคาใหก้ ารเช่นน้ีจึงเป็นกรณีที่ไม่มีเหตุอนั
ควร คดีน้ีมีอตั ราโทษจาคุกไม่เกิน 1 ปี ศาลไมอ่ นุญาตใหแ้ กไ้ ขคาใหก้ ารแลว้ จึงพิพากษาโดยไมส่ ืบพยานหลกั ฐานต่อไปไดต้ าม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหน่ึง โจทกแ์ ยกฟ้องคดีเป็นสามสานวนและมิไดข้ อใหน้ บั โทษติดต่อกนั

40

แมจ้ ะรวมการพิจารณาพิพากษาเขา้ ดว้ ยกนั ศาลพิพากษาใหน้ บั โทษแต่ละสานวนต่อกนั จึงเป็นการเกินคาขอไมช่ อบตามประมวล

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

ฎีกำที่ 1299/2547 ท่ีโจทกย์ ่ืนคาแกฎ้ ีกาขอใหน้ บั โทษจาเลยคดีน้ีต่อจากโทษของจาเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่

716/2546 ของศาลช้นั ตน้ น้นั เห็นวา่ การขอใหศ้ าลนบั โทษจาเลยต่อจากคดีเรื่องอ่ืนน้นั โจทกจ์ ะตอ้ งขอมาในคาขอทา้ ยฟ้องดว้ ย ถา้

จะขอภายหลงั กต็ อ้ งดาเนินการย่นื คาร้องขอก่อนมีคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 163

วรรคหน่ึง โจทกจ์ ะเพียงแต่ขอมาในคาแกฎ้ ีกาหาไดไ้ มศ่ าลฎีกาไมร่ ับวินิจฉยั "

ฎีกำที่ 4461-4462/2544 กฎหมายมิไดบ้ ญั ญตั ิวา่ การขอใหน้ บั โทษต่อจะตอ้ งกล่าวมาใน คาฟ้องโจทกจ์ ึงยนื่ คาร้องขอใหน้ บั โทษ
ต่อในภายหลงั ได้ คดีท้งั สองเร่ืองโจทกย์ ื่นคาร้องวา่ จาเลยท้งั สองสานวนเป็นบุคคลเดียวกนั กระทาผดิ ขอ้ หาเดียวกนั แมจ้ าเลยจะ
เพียงแต่ไมค่ ดั คา้ นคาร้องไม่เคยรับไวใ้ นที่ใดวา่ เป็นความจริงตามที่โจทกก์ ลา่ วอา้ ง แต่คดีสองเร่ืองน้ีเป็นเรื่องโจทกค์ นเดียวกนั ฟ้อง
จาเลยที่ศาลช้นั ตน้ แห่งเดียวกนั ในเวลาใกลเ้ คียงกนั และต่อมาศาลสงั่ ใหร้ วมการพิจารณาเขา้ ดว้ ยกนั เมื่อโจทกไ์ ดแ้ สดงความ
ประสงคข์ อใหน้ บั โทษต่อมาชดั เจนและจาเลยท้งั สองคดีเป็นบุคคลคนเดียวกนั แน่นอน การท่ีศาลช้นั ตน้ ไมไ่ ดม้ ีคาสง่ั อยา่ งใด
จนกระทงั่ พิพากษา ตอ้ งถือวา่ ศาลช้นั ตน้ อนุญาตตามคาร้องขอใหน้ บั โทษต่อโดยปริยายแลว้

ฎีกำท่ี 594/2549 จาเลยฎีกาคดั คา้ นคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์วา่ จาเลยมิไดก้ ระทาความผดิ ตามฟ้อง แต่หากศาลเห็นวา่ จาเลย

กระทาความผดิ จริงกข็ อใหล้ งโทษสถานเบาและรอการลงโทษจาคุก ต่อมาในระหวา่ งการพิจารณาของศาลฎีกา จาเลยยนื่ คาร้องขอ

ถอนขอ้ ต่อสูเ้ ดิมตามฎีกาที่ใหก้ ารปฏิเสธ และใหก้ ารใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง คาร้องของจาเลยเป็นการแกไ้ ขเพิ่มเติมคาใหก้ าร

ซ่ึงตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคสอง ที่บญั ญตั ิใหก้ ระทาไดก้ ่อนศาลช้นั ตน้ พิพากษา ส่วนที่จาเลยขอแกไ้ ขฎีกาท่ีคดั คา้ นคา

พิพากษาศาลอุทธรณ์ซ่ึงพิพากษาวา่ จาเลยกระทาความผดิ ตามฟ้องน้นั เป็นการขอแกไ้ ขฎีกาโดยมิไดเ้ พ่ิมเติมประเดน็ ใหม่ แต่เป็นการ

สละขอ้ ต่อสูใ้ นช้นั ฎีกา ไมใ่ ช่การคดั คา้ นคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ จึงไม่ตกอยใู่ นจากดั เวลาฎีกาตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 216 วรรคหน่ึง

จาเลยจึงย่นื คาร้องขอแกไ้ ขฎีกาไดแ้ มพ้ น้ กาหนดเวลา 1 เดือน นบั แต่วนั อา่ นคาพิพากษาศาลอุทธรณ์

ฎีกำที่ 4974/2553 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ ตามวนั เวลาและภายหลงั เกิดเหตุลกั ทรัพยต์ ามฟ้องขอ้ 1 คือวนั ที่ 6 ธนั วาคม 2547

ถึงวนั เวลาในฟ้องขอ้ 2 คือวนั ที่ 6 ธนั วาคม 2548 อนั เป็นวนั ท่ีจาเลยถูกจบั กมุ ไดพ้ ร้อมทรัพยข์ องกลางที่ถูกคนร้ายลกั ไป จาเลยได้

กระทาความผิดฐานรับของโจร เมื่อโจทกย์ ่ืนฟ้องวนั ท่ี 1 มิถุนายน 2548 จึงเป็นการกลา่ วหาวา่ จาเลยอาจกระทาความผดิ ภายหลงั วนั ท่ี

โจทกฟ์ ้อง เป็นคาฟ้องท่ีไมช่ ดั แจง้ เพียงพอท่ีจะทาใหจ้ าเลยเขา้ ใจขอ้ หาและต่อสูค้ ดีไดถ้ กู ตอ้ ง การท่ีจาเลยใหก้ ารรับสารภาพวา่

กระทาความผิดฐานรับของโจร จึงเป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่ชอบ

ฎกี ำท่ี4166/2550 การที่จาเลยใชอ้ าวธุ ปื นยงิ ส. กระสุนปื นถูก ส. และยงั พลาดไปถกู อ. ดว้ ยน้นั การกระทาของจาเลยจึง

เป็นความผดิ ฐานพยายามฆา่ ส. และฐานพยายามฆ่า อ. โดยพลาด แมโ้ จทกจ์ ะมิไดบ้ รรยายฟ้องวา่ การกระทาของจาเลยดงั กล่าวเป็น

การกระทาโดยพลาดมาดว้ ย กไ็ ม่ถือวา่ ขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกบั ขอ้ เทจ็ จริงที่กล่าวในฟ้อง อนั จะเป็นเหตุให้

41

ศาลตอ้ งพิพากษายกฟ้องตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 และการกระทาของจาเลยดงั กลา่ วเป็นการกระทากรรมเดียวเป็นความผดิ ต่อ
กฎหมายหลายบท

ฎีกำท่ี9244/2553 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยใชก้ าลงั ทาร้ายผเู้ สียหายโดยไมถ่ ึงกบั เป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่กายหรือจิตใจตาม

ป.อ. มาตรา 391 ซ่ึงเป็นความผิดลหุโทษ แต่ขอ้ เทจ็ จริงไดค้ วามวา่ ผลร้ายเกิดแก่บุคคลอ่ืนซ่ึงเป็นบุคคลท่ีโจทกม์ ิไดบ้ รรยายมาใน

ฟ้อง การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ฐานพยายามทาร้ายผเู้ สียหายและฐานทาร้ายบุคคลอื่นโดยพลาดไป เป็นกรรมเดียวผิด

กฎหมายหลายบท ซ่ึงโจทกย์ อ่ มฟ้องจาเลยลงโทษไดท้ ุกบทหรือบทหน่ึงบทใดได้ ดงั น้นั ขอ้ เทจ็ จริงวา่ การกระทาของจาเลยทาให้

ผใู้ ดไดร้ ับผลร้ายจึงเป็นขอ้ สาคญั การที่โจทกก์ ล่าวมาในฟ้องวา่ ผลร้ายเกิดเหตุแก่ผเู้ สียหายเท่าน้นั จึงเป็นขอ้ แตกต่างในขอ้

สาระสาคญั มิใช่ขอ้ แตกต่างท่ีเป็นเพียงรายละเอียดที่ศาลจะลงโทษจาเลยตามขอ้ เทจ็ จริงที่ไดค้ วามน้นั ไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 192

วรรคสอง จึงลงโทษจาเลยฐานทาร้ายบุคคลท่ีโจทกม์ ิไดบ้ รรยายมาในฟ้องมิได้ และเมื่อฐานพยายามกระทาผิดลหุโทษต่อผเู้ สียหาย

ไมต่ อ้ งรับโทษ ศาลกต็ อ้ งยกฟ้อง

ฎีกำที่4290/2549 ตามฟ้องของโจทกป์ รากฏวา่ ไมไ่ ดล้ งลายมือชื่อผเู้ รียงและพิมพ์ จึงถือวา่ ไม่เป็นฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา

158 (7) แต่การที่จะสง่ั ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือไม่ประทบั ฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 161 วรรคหน่ึงน้นั กล็ ่วงเลยเวลาที่จะปฏิบตั ิ

ได้ เพราะศาลช้นั ตน้ ดาเนินกระบวนพิจารณาไปจนเสร็จแลว้ ศาลฎีกาจึงตอ้ งยกฟ้องโดยไม่จาตอ้ งพิจารณาปัญหาอื่นอีก และปัญหา

น้ีเป็นขอ้ กฎหมายที่เกี่ยวดว้ ยความสงบเรียบร้อย แมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ ายใดยกข้ึนอา้ ง ศาลฎีกากม็ ีอานาจยกข้ึนวนิ ิจฉยั คดีไดต้ าม ป.ว.ิ อ.

มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 , 225 และ พ.ร.บ. จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความในศาลแขวงฯมาตรา4

ฎีกำท่ี 1450/2553 คาขอทา้ ยฟ้องของโจทกเ์ ป็นเอกสารที่ถ่ายสาเนา จึงเป็นคาฟ้องท่ีไม่มีลายมือช่ือโจทก์ ผเู้ รียงและผพู้ ิมพ์

ไม่ชอบดว้ ยประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(7) หากศาลช้นั ตน้ ตรวจพบขอ้ ผดิ พลาดดงั กลา่ ว กใ็ ชอ้ านาจตาม

มาตรา 161 สง่ั ใหโ้ จทกแ์ กไ้ ขฟ้องใหถ้ ูกตอ้ ง หรือ ยกฟ้อง หรือ ไมป่ ระทบั ฟ้องได้ แต่ถา้ ศาลช้นั ตน้ สงั่ ประทบั ฟ้องและดาเนิน

กระบวนพิจารณาจนคดีข้ึนมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แลว้ การที่จะสง่ั ใหโ้ จทกแ์ หฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ ง หรือ ไม่ประทบั ฟ้องตามมาตรา 161

วรรคหน่ึง ยอ่ มล่วงเลยเวลาที่จะปฏิบตั ิได้ การท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค7พิจารณาพพิ ากษาคดีตามฟ้องโจทกจ์ ึงเป็นการไม่

ชอบ

ฎีกำท่ี 1966/2548 เม่ือพิจารณาคาฟ้องของโจทกเ์ ฉพาะส่วนท่ีโจทกฟ์ ้องใหล้ งโทษจาเลยที่3 และ 4 ในขอ้ หาความผดิ ฐาน

ร่วมกนั ปฏิบตั ิหนา้ ที่ หรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบแลว้ ปรากฏวา่ โจทกบ์ รรยยายฟ้องในขอ้ หาน้ีแแต่เพียงวา่ จาเลยท่ี3 และ

ท่ี4 ไดร้ ่วมกนั ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีและละเวน้ ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบ โดยจาเลยที่3 และท่ี 4รู้อยแู่ ลว้ วา่ โจทกก์ บั พวกไมไ่ ดร้ ่วมกระทา

ความผดิ ฐานฉอ้ โกง แต่จาเลยท่ี3 และท่ี 4กลบั ร่วมกนั รับคาร้องทุกขก์ ล่าวโทษ และดาเนินคดีแก่โจทกก์ บั พวก เป็นเหตุใหโ้ จทกก์ บั

พวก ถกู ควบคุมตวั เป็นผตู้ อ้ งหา ท้งั น้ีเพ่ือใหเ้ กิดความเสียกายต่อชื่อเสียง สิทธิ เสรีภาพของโจทกก์ บั พวกเท่าน้นั โจทกม์ ิไดบ้ รรยาย

ในคาฟ้องเลยวา่ จาเลยที่3และท่ี4 ไดร้ ่วมกนั ปฏิบตั ิหนา้ ที่ หรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบดว้ ยการบ่ายเบ่ียงละเลยไมส่ ั่งคาร้อง

ขอประกนั ตวั ระหวา่ งสอบสวนของโจทกก์ บั พวกแต่อยา่ งใด ดงั น้นั แมจ้ ะไดค้ วามตามทางพิจารณาในช้นั ไต่สวนมูลฟ้องวา่ จาเลย

42

ที่3 และท่ี 4 มีพฤติการณ์บ่ายเบ่ียงละเลยไม่ส่ังคาร้องขอประกนั ตวั ระหวา่ งสอบสวนของโจทกก์ บั พวกกต็ าม ศาลกไ็ มอ่ าจพิพากษา
ลงโทษจาเลยที่3 และท่ี 4ตามขอ้ เทจ็ จริงท่ีไดค้ วามดงั กล่าวน้นั ได้ เพราะเป็นขอ้ เทจ็ จริงนอกฟ้องตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192
วรรคหน่ึง กรณีจึงมีเหตุตามกฎหมายที่จาเลยที่4 ไม่ควรตอ้ งรับโทษและศาลตอ้ งยกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหน่ึง และ
ปัญหาน้ีเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายเก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อยที่ศาลอุทธรณ์มีอานาจวนิ ิจฉยั ไดเ้ องตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 195วรรคสอง ที่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทกส์ าหรับจาเลยที่ 4 มาดว้ ยน้นั จึงชอบแลว้

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 65)

ฎีกำที่ 1568/2554 ตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 158 (5) บญั ญตั ิใหฟ้ ้องตอ้ งมีการกระทาท้งั หลายท่ีอา้ งวา่ จาเลยไดก้ ระทาความผิด

ขอ้ เทจ็ จริงและรายละเอียดเกี่ยวกบั เวลาและสถานที่ซ่ึงเกิดการกระทาน้นั ๆ พอสมควรเท่าท่ีจะทาใหจ้ าเลยเขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ี แมค้ า

ฟ้องของโจทกค์ ดีน้ีมิไดร้ ะบุถึงวนั ที่หรือเวลาท่ีอา้ งวา่ จาเลยกระทาความผดิ แต่ในตอนทา้ ยของคาฟ้องโจทกไ์ ดบ้ รรยายวา่ ระหวา่ ง

สอบสวนจาเลยถูกควบคุมตวั ต้งั แต่วนั ถูกจบั ตลอดมา ขณะน้ีจาเลยตอ้ งขงั อยตู่ ามหมายขงั ของศาลน้ี ในคดีหมายเลขดาท่ี ฝ.149/2551

โดยไดแ้ นบบนั ทึกการจบั กมุ จาเลยระบุถึงวนั เวลาที่จบั กมุ และพฤติการณ์ในการกระทาความผดิ วา่ เม่ือวนั ท่ี 21 กรกฎาคม 2551 เวลา

6.30 นาฬิกา เจา้ พนกั งานตารวจพบตน้ กญั ชา 1 ตน้ สูงประมาณ 1.65 เมตร ปลกู อยใู่ กลร้ ้ัวขา้ งบา้ น จาเลยยอมรับวา่ เป็นของตนจริงจึง

จบั กมุ จาเลย ซ่ึงพออนุโลมไดว้ ่าเป็นส่วนประกอบของคาฟ้อง เม่ือปรากฏวา่ ในสานวนคดีหมายเลขดาที่ ฝ.149/2551 ซ่ึงติดอยตู่ อน

หนา้ ของสานวนคดีน้ีน้นั ตามคาร้องของพนกั งานสอบสวนสถานีตารวจ ภูธรศรีวชิ ยั ท่ีขอฝากขงั จาเลยในขณะเป็นผตู้ อ้ งหาไดร้ ะบุวา่

เม่ือวนั ที่ 21 กรกฎาคม 2551 เวลาประมาณ 6 นาฬิกาเศษ เจา้ พนกั งานตารวจตรวจพบตน้ กญั ชาสด อายปุ ระมาณ 3 เดือน สูงประมาณ

165 เซนติเมตร จานวน 1 ตน้ ปลกู อยบู่ ริเวณหลงั บา้ น จาเลยรับวา่ เป็นผปู้ ลูกและเป็นเจา้ ของตน้ กญั ชาดงั กลา่ ว จึงแจง้ ขอ้ หาและ

จบั กุมจาเลย ซ่ึงจาเลยไมค่ า้ นจาเลยยอ่ มจะเขา้ ใจไดด้ ีวา่ วนั ที่หรือเวลาท่ีอา้ งวา่ จาเลยกระทาความผิดคือเมื่อใด จึงใหก้ ารรับสารภาพ

ดงั น้ี คาฟ้องของโจทกส์ มบูรณ์ ชอบดว้ ย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) แลว้

ฎกี ำท่ี 13516/2553 คาใหก้ ารของจาเลยท่ียืน่ ต่อศาลช้นั ตน้ มีใจความวา่ จาเลยใหก้ ารรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ แต่จาเลยขอ
แถลงขอ้ เทจ็ จริงต่อศาลเป็นเรื่องจริงของคดีน้ี คือ จาเลยประกอบอาชีพรับจา้ งทวั่ ไป วนั เกิดเหตุจาเลยรับจา้ ง ฮ. นาแผน่ วซี ีดีมาส่งท่ี
บริเวณคลองถม โดย ฮ. บอกจาเลยวา่ เป็นแผน่ วีซีดีภาพยนตร์ทว่ั ๆ ไป ซ่ึงออกฉายในโรงภาพยนตร์มาแลว้ เหมือนกบั ที่เคยจา้ งจาเลย
มาส่งในคร้ังก่อน จาเลยไม่ทราบไดว้ า่ เป็นแผน่ วซี ีดีลามก จาเลยถูก ฮ. หลอกใชเ้ ป็นเครื่องมือในการกระทาความผดิ ส่วนขอ้ ความ
ต่อจากน้นั จาเลยขอใหศ้ าลช้นั ตน้ ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษใหแ้ ก่จาเลย ศาลช้นั ตน้ จดรายงานกระบวนพิจารณาวา่ จาเลย
ใหก้ ารรับสารภาพตามฟ้องโจทกท์ ุกประการตามคาใหก้ ารที่ยน่ื ต่อศาล โจทกจ์ าเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ดงั น้ี คาใหก้ ารของจาเลย
ดงั กลา่ วเป็นเรื่องที่จาเลยรับวา่ ตนมีส่วนเกี่ยวขอ้ งในเหตุการณ์ ซ่ึงเป็นความผิดตามฟ้องเท่าน้นั จาเลยไม่รู้ขอ้ เท็จจริงวา่ แผน่ วซี ีดีของ
กลางเป็นวตั ถุหรือส่ิงลามก เท่ากบั จาเลยอา้ งวา่ ไม่มีเจตนากระทาความผิด คาใหก้ ารของจาเลยจึงยงั ฟังไมไ่ ดว้ า่ เป็นคาใหก้ ารรับ
สารภาพวา่ จาเลยกระทาผิดจริงตามท่ีโจทกฟ์ ้อง เมื่อโจทกไ์ ม่สืบพยาน คดีจึงลงโทษจาเลยไมไ่ ด้

43

ฎกี ำท่ี 5597/2553 คาใหก้ ารของจาเลยท้งั หา้ เมื่ออ่านรวมกบั คาร้องท่ีย่ืนมาพร้อมกบั คาใหก้ ารแลว้ จาเลยท้งั หา้ ยงั คงโตแ้ ยง้

วา่ ที่ดินตามฟ้องมิใช่ที่ดินอนั เป็นทรัพยม์ รดกของ ช. จึงมิใช่ที่ดินของโจทกซ์ ่ึงฟ้องคดีในฐานะผจู้ ดั การมรดกของ ช. เหตุท่ีจาเลยท้งั

หา้ ใหก้ ารรับสารภาพอาจเป็นเพราะคดีอยรู่ ะหวา่ งเจรจาวา่ จะมีการชดใชค้ ่าขนยา้ ยใหแ้ ก่จาเลยท้งั หา้ ตามที่ทนายโจทกแ์ ถลง และ

จาเลยท้งั หา้ อาจเขา้ ใจวา่ การกระทาของจาเลยท้งั หา้ เป็นความผดิ จึงฟังไม่ไดว้ า่ เป็นคาใหก้ ารรับสารภาพวา่ จาเลยท้งั หา้ ไดก้ ระทา

ความผิดจริงตามที่โจทกฟ์ ้อง เม่ือโจทกไ์ ม่สืบพยาน คดีจึงลงโทษจาเลยท้งั หา้ ไม่ได้ ศาลฎีกายอ่ มมีอานาจยกฟ้องโจทกไ์ ดต้ าม

ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

ฎกี ำที่ 477/2508 กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 2(12),162,165,167 น้นั

เป็นบทบญั ญตั ิเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอนั ดีของประชาชน

คดีอาญาท่ีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลช้นั ตน้ สง่ั รับประทบั ฟ้องโดยไมไ่ ต่สวนมลู ฟ้องเสียก่อนน้นั ไม่ใช่การ

กระทาของโจทก์ จึงปราศจากขอ้ อา้ งที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จาเลยไม่ใหก้ ารรับสารภาพ ไมค่ า้ นจะเท่ากบั รับวา่ คดีโจทก์

มีมูลกไ็ ม่มีกฎหมายบญั ญตั ิไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคาพิพากษาศาลลา่ งใหศ้ าลช้นั ตน้ ดาเนินการไต่สวนมลู ฟ้องและพิจารณาพิพากษา

ต่อไป

ฎกี ำที่ 4007 – 4008/2530 แมพ้ นกั งานอยั การจะยนื่ ฟ้องจาเลยขอ้ หายกั ยอกแลว้ โจทกร์ ่วมซ่ึงเป็นผเู้ สียหายก็มีอานาจฟ้องจาเลยใน
ขอ้ หาความผิดเดียวกนั เป็นคดีใหม่ต่างหากได้ ไมม่ ีกฎหมายหา้ มไว้ และเมื่อศาลสง่ั รวมพิจารณาคดีเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ คดีของโจทกร์ ่วม
กไ็ ม่จาเป็นตอ้ งไต่สวนมลู ฟ้องอีกตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 162

ฎกี ำที่ 9481/2553 จาเลยฎีกาวา่ มิไดก้ ระทาความผดิ ตามคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค 7 ประการหน่ึง ขอใหล้ งโทษสถานเบา

และรอการลงโทษจาคุกอีกประการหน่ึง การท่ีจาเลยยนื่ คาร้องขอใหก้ ารรับสารภาพในช้นั ฎีกา แมจ้ ะถือวา่ เป็นการขอแกไ้ ข

คาใหก้ ารจากที่ใหก้ ารปฏิเสธเป็นใหก้ ารรับสารภาพ ซ่ึงจาเลยไมอ่ าจกระทาได้ เพราะการแกไ้ ขคาใหก้ ารจะตอ้ งการกระทาก่อนศาล

ช้นั ตน้ มีคาพิพากษาตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 163 วรรคสอง และไมอ่ าจถือวา่ การท่ีจาเลยย่ืนคาร้องน้ีเป็นการยน่ื คาร้องขอถอนฎีกาตาม ป.

ว.ิ อ. มาตรา 202 ประกอบมาตรา 225 เพราะจาเลยยงั ติดใจฎีกาในประเดน็ การลดโทษและรอการลงโทษจาคุก ท้งั ไม่อาจถือวา่ เป็น

การย่นื คาร้องขอแกไ้ ขเพ่ิมเติมฎีกาดว้ ยการสละประเดน็ บางขอ้ เพราะพน้ กาหนดระยะเวลาฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 แลว้ แต่การที่

จาเลยยืน่ คาร้องต่อศาลฎีกาขอใหก้ ารรับสารภาพในช้นั ฎีกาเช่นน้ีถือไดว้ า่ จาเลยยอมรับขอ้ เทจ็ จริง โดยไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ ขอ้ ที่ศาลอุทธรณ์

ภาค 7 พิพากษาวา่ จาเลยกระทาความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองโดยไม่ไดร้ ับอนุญาต

นอกจากจาเลยจะใหก้ ารรับสารภาพในช้นั จบั กมุ และช้นั สอบสวนแลว้ จาเลยยงั ใหข้ อ้ มลู แก่เจา้ พนกั งาน

ตารวจผจู้ บั กุมจาเลยวา่ จาเลยรับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจาก อ. และจาเลยนาเจา้ พนกั งานตารวจไปจบั กมุ อ. ไดพ้ ร้อมเมทแอม

เฟตามีนประมาณ 20,000 เมด็ นบั เป็นการใหข้ อ้ มูลที่สาคญั และเป็นประโยชนอ์ ยา่ งย่ิงในการปราบปรามการกระทาความผดิ เก่ียวกบั

ยาเสพติดใหโ้ ทษต่อเจา้ พนกั งานตารวจ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 สมควรกาหนดโทษจาเลยใหน้ อ้ ยลง

44

ฎกี ำท่ี 195/2528 ในวนั นดั สืบพยานโจทก์ จาเลยและทนายมาศาล ฝ่ ายโจทกไ์ ม่มา ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั วา่ โจทกไ์ มม่ ีพยานมา

สืบตามฟ้อง งดสืบพยานจาเลยพิพากษายกฟ้อง โจทกย์ ่ืนคาร้องวา่ เหตุที่มาล่าชา้ เพราะบา้ นอยไู่ กลรถติดโจทกเ์ ตรียมพยานมาสืบ

พร้อมแลว้ ไมไ่ ดจ้ งใจขาดนดั พิจารณา ขอใหไ้ ต่สวนคาร้องของโจทก์ และยกคดีข้ึนพิจารณาใหม่ ดงั น้ี เป็นการยกฟ้องเพราะโจทก์

ไมม่ าตามกาหนดนดั ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก และมาตรา 181 เม่ือโจทกย์ ื่นคาร้องดงั กลา่ ว

ศาลช้นั ตน้ กช็ อบท่ีจะไต่สวนและมีคาสง่ั วา่ มีเหตุสมควรหรือไมเ่ พียงใด ที่มาไมไ่ ดต้ ามกาหนดนดั

ฎีกำที่ 772/2528 ในวนั นดั สืบพยานโจทก์ โจทกไ์ ม่มาศาลศาลชอบที่จะยกฟ้องเพราะโจทกไ์ มม่ าตามกาหนดนดั ตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166 และมาตรา 181 ซ่ึงโจทกม์ ีสิทธิท่ีจะย่ืนคาร้องขอใหย้ กคดีข้ึน พิจารณาใหม่ได้

ภายใน 15 วนั แมศ้ าลช้นั ตน้ จะยกฟ้องโดยถือวา่ โจทก์ ไม่มีพยานมาสืบ กไ็ ม่เป็นการตดั สิทธิดงั กล่าวของโจทก์

เม่ือโจทกย์ ื่นคาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่โดยอา้ งวา่ โจทกเ์ ขา้ ใจวนั นดั สืบพยานโจทกค์ ลาดเคล่ือน

ผิดวนั ไปหากเป็นความจริง กพ็ อถือไดว้ า่ มีเหตุผลสมควรที่จะยกคดีข้ึนพิจารณาใหม่ ศาลช้นั ตน้ ชอบท่ีจะไต่สวนคาร้องของโจทก์

แลว้ มีคาสงั่ ในเร่ืองน้ีต่อไป

ฎีกำที่ 1739/2528 โจทกแ์ ละพยานโจทกไ์ มม่ าศาลแต่ทนายโจทกม์ อบฉนั ทะใหเ้ สมียนทนายนาคาร้องมายนื่ ต่อศาลขอ

เล่ือนการไต่สวนมูลฟ้องศาลช้นั ตน้ ไม่อนุญาตใหเ้ ล่ือนและถือวา่ โจทกไ์ มม่ ีพยานมาเพื่อไต่สวนใหเ้ ห็นวา่ คดีโจทกม์ ีมูลและพิพากษา

ยกฟ้องดงั น้ี โจทกจ์ ะมาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนไต่สวนมูลฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 มิไดเ้ พราะ

มิใช่เป็นกรณีที่ศาลยกฟ้องเพราะเหตุโจทกไ์ มม่ าศาลตามกาหนดนดั

ฎีกำที่ 3250/2534 การท่ีศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้องโจทกเ์ พราะโจทกไ์ ม่มาศาลในวนั นดั สืบพยานโจทกอ์ นั เป็นการยกฟ้อง

ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 166 วรรคแรกประกอบดว้ ยมาตรา 181 ไม่ใช่เป็นการยกฟ้องโดยเหตุที่โจทกไ์ ม่มีพยานมาสืบตามฟ้องน้นั เม่ือ

ปรากฏวา่ ศาลช้นั ตน้ ยกฟ้องโจทกเ์ มื่อวนั ท่ี11 ธนั วาคม 2532 โจทกม์ าย่นื คาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่เม่ือวนั ท่ี 14 ธนั วาคม

2532 หลงั จากศาลช้นั ตน้ สงั่ ยกฟ้องเพียง 3 วนั ยงั ไมเ่ กิน 15 วนั นบั แต่วนั ศาลยกฟ้อง ท้งั คาร้องของโจทกก์ ไ็ ดแ้ สดงเหตุที่มาไม่ไดไ้ ว้

ดว้ ยแลว้ ซ่ึงหากเป็นความจริงตามคาร้องกน็ บั วา่ มีเหตุสมควรท่ีมาไมไ่ ด้ จึงชอบที่จะไต่สวนคาร้องของโจทกเ์ สียก่อน จึงจะวนิ ิจฉยั

ไดว้ า่ ที่โจทกไ์ ม่มาศาลตามกาหนดนดั น้นั มีเหตุสมควรหรือไม่ การย่ืนคาร้องเช่นน้ีไม่จาตอ้ งยื่นเสียในวนั ที่ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั หรือ

อยา่ งนอ้ ยในวนั รุ่งข้ึน การท่ีโจทกม์ าย่ืนคาร้องหลงั จากศาลช้นั ตน้ ยกฟ้อง 3 วนั กย็ งั มิไดแ้ สดงวา่ โจทกไ์ มน่ าพาคดี ถือวา่ โจทกจ์ งใจ

ไม่มาศาลตามกาหนดนดั อนั จะตอ้ งยกคาร้องของโจทกเ์ สีย

ฎีกำที่ 4048/2524 ในวนั นดั ไต่สวนมลู ฟ้องนดั แรกโจทกข์ อเล่ือนคดี ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั อนุญาตและส่งั ใหโ้ จทกน์ าส่งหมาย

แจง้ วนั นดั ใหจ้ าเลยทราบใน 7 วนั ต่อมาเจา้ หนา้ ที่ศาลรายงานวา่ โจทกไ์ ม่นาส่งหมายนดั ภายในกาหนด ศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ วา่ โจทกท์ ิ้ง

ฟ้องใหจ้ าหน่ายคดี คาสง่ั ดงั กล่าวยอ่ มลบลา้ งผลแห่งการยน่ื คาฟ้อง รวมท้งั กระบวนพิจารณาอื่นๆ อนั มีมาภายหลงั ย่ืนคาฟ้อง กระทา

ใหค้ ู่ความกลบั คืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหน่ึงมิไดม้ ีการย่ืนคาฟ้องเลย กรณีเช่นน้ีไม่มีกฎหมายใหอ้ านาจศาลยกคดีข้ึนพิจารณาใหม่ได้

45

ฎีกำที่ 3950/2526 กรณีที่จะยกบทกฎหมายใกลเ้ คียงอยา่ งยิง่ ข้ึนวินิจฉยั คดีไดน้ ้นั จาตอ้ งเป็นกรณีท่ีไม่มีบทกฎหมายที่จะยก

มาปรับแก่คดีไดเ้ ท่าน้นั แต่กรณีที่ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ใหจ้ าหน่ายคดีของโจทกโ์ ดยถือวา่ โจทกท์ ิ้งฟ้องน้นั มีบทกฎหมายเกี่ยวกบั เร่ืองที่

โจทกจ์ ะตอ้ งอุทธรณ์ฎีกาหรือจะขอใหศ้ าลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในกรณีศาลสง่ั จาหน่ายคดีโดยผิดหลงท่ีจะยกข้ึน

ปรับแก่คดีไดโ้ ดยเฉพาะอยแู่ ลว้ ศาลจึงไม่อาจยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166 มาปรับแก่คดีของโจทกใ์ น

ฐานะที่เป็นบทกฎหมายใกลเ้ คียงอยา่ งยง่ิ ได้

ฎกี ำท่ี 9663/2555 ตามทางบรรยายฟ้องและตามขอ้ เทจ็ จริงที่รับฟังเป็นยตุ ิ ผูเ้ สียหายไม่ไดม้ อบหมายใหจ้ าเลยเบิกเงิน

490,000 บาท จากบญั ชีของผเู้ สียหายท่ีเปิ ดไวท้ ่ีธนาคารกรุงเทพ จากดั (มหาชน) สาขาตาก แต่เป็นเจตนาของจาเลยที่ตอ้ งการไดเ้ งิน

โดยมิชอบ และหาวธิ ีรการโดยการปลอมใบถอนเงินไปหลอกลวงเจา้ หนา้ ที่ธนาคารเพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงเงินจานวนดงั กล่าว ดงั น้นั เงินที่

จาเลยไดม้ าตามฟ้อง แมจ้ ะเป็นเงินที่เจา้ หนา้ ที่ธนาคารทาพิธีการทางบญั ชีของธนาคารหกั จากบญั ชีของผเู้ สียหายกต็ าม แต่เป็นเพราะ

จาเลยนาเอกสารปลอมไปหลอกลวงเจา้ หนา้ ท่ีของธนาคารเชื่อ เงินท่ีจาเลยไดไ้ ปจึงเป็นเงินของธนาคาร มิใช่เงินของผเู้ สียหายตาม ป.

พ.พ. มาตรา 672 จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานยกั ยอกเงินผเู้ สียหาย

แมท้ างการพิจารณาจะไดค้ วามวา่ ความผดิ ฐานยกั ยอกที่โจทกฟ์ ้องแทจ้ ริงแลว้ เป็นความผิดฐานฉอ้ โกง

แต่เป็นความผิดต่อผเู้ สียหายต่างคนจากท่ีโจทกบ์ รรยายในฟ้อง จึงเป็นขอ้ เทจ็ จริงแตกต่างจากท่ีกลา่ วในฟ้องในขอ้ ที่เป็นสาระสาคญั

ไมอ่ าจลงโทษจาเลยฐานฉอ้ โกงไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคสอง

ฎีกำที่ 653/2553 ความผดิ ฐานวง่ิ ราวทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา 336 จะตอ้ งเป็นการลกั ทรัพยโ์ ดยฉกฉวยเอาซ่ึงหนา้ ผ. ทาที

เป็นพดู โทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ และเอาโทรศพั ทไ์ ปในขณะท่ีผเู้ สียหายใหบ้ ริการลูกคา้ คนอื่นอยู่ เป็นการเอาไปในขณะเผลอ มิใช่เป็นการ

ฉกฉวยทรัพยไ์ ปโดยซ่ึงหนา้ แต่ประการใด การกระทาของจาเลยกบั พวกจึงเป็นความผิดฐานลกั ทรัพย์ เมื่อเหตุเกิดในเวลากลางคืน

และร่วมกระทาความผดิ ต้งั แต่สองคนข้ึนไป เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) และ 335 (7) ตอ้ งรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 335

วรรคสอง ซ่ึงมีโทษหนกั กวา่ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพยต์ ามมาตรา 336 วรรคหน่ึง ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจาเลยตามฐานความผิดที่

ถูกตอ้ งไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 แต่จะพิพากษาลงโทษจาเลยหนกั ข้ึนไม่ได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา

212

อน่ึง ทรัพยท์ ่ีศาลจะสงั่ ริบตาม ป.อ. มาตรา 33 ได้ ตอ้ งปรากฏวา่ เป็นทรัพยท์ ี่ใชห้ รือมีไวเ้ พ่ือใชใ้ นการ

กระทาความผิด ตามทางนาสืบของโจทกไ์ ดค้ วามแต่เพียงวา่ จาเลยใชร้ ถจกั รยานยนตเ์ พื่อความสะดวกในการพาทรัพยห์ ลบหนี มิได้

ใชร้ ถจกั รยานยนตเ์ ป็นเครื่องมือหรือเป็นส่วนหน่ึงในการลกั ทรัพย์ จึงเป็นทรัพยท์ ่ีไมอ่ าจริบได้ ปัญหาดงั กล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกบั

ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกข้ึนวินิจฉยั เองไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225

ฎกี ำท่ี 11065/2554 คดีน้ีจาเลยใหก้ ารรับสารภาพ ขอ้ เทจ็ จริงจึงรับฟังไดต้ ามฟ้องว่า วนั เวลาเกิดเหตุจาเลยใชก้ าลงั
ประทุษร้ายกดตวั ผเู้ สียหายลงกบั พ้ืน ใชม้ ือชกที่บริเวณทอ้ งและปากของผเู้ สียหาย แลว้ จาเลยฉีกกระชากกระโปรงของผเู้ สียหายจน
ขาด ผเู้ สียหายร้องใหค้ นช่วยและมีผเู้ ขา้ ช่วยเหลือ ดงั น้ี ลกั ษณะการกระทาของจาเลยดงั กล่าวยงั ไม่อยใู่ นวิสยั ที่จาเลยจะกระทาชาเรา

46

ผเู้ สียหายได้ การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทาชาเรา แมจ้ าเลยใหก้ ารรับสารภาพกล็ งโทษจาเลยฐาน
น้ีไมไ่ ด้ แต่การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานกระทาอนาจารผเู้ สียหายตาม ป.อ. มาตรา 278 อนั เป็นความผดิ ที่รวมการกระทา
ตามที่โจทกฟ์ ้องอยดู่ ว้ ยแลว้ ศาลยอ่ มมีอานาจลงโทษจาเลยตามความผดิ ที่พิจารณาไดค้ วามตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคทา้ ย ได้

ฎีกำที่ 6633/2554 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยท้งั สองร่วมกนั กระทาความผดิ ฐานฆา่ ผอู้ ่ืนและร่วมกนั กระทาความฐานพา

อาวธุ ไปในเมือง หมู่บา้ นหรือทางสาธารณะโดยไมม่ ีเหตุสมควร แต่ทางพิจารณาไดค้ วามวา่ จาเลยท่ี 1 เป็นผใู้ ชใ้ หจ้ าเลยท่ี 2 กระทา

ความผิด มิใช่เป็นตวั การร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั ตาม ป.อ. มาตรา 83 ดงั ท่ีโจทกฟ์ ้อง จึงลงโทษจาเลยที่ 1 ฐานเป็นตวั การร่วมกนั

กระทาความผิดฐานฆ่าผอู้ ื่นและร่วมกนั กระทาความผิดฐานพาอาวธุ ไปในเมือง หมู่บา้ นหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร

ตามท่ีโจทกฟ์ ้องไมไ่ ด้ เพราะขอ้ เทจ็ จริงในทางพิจารณาแตกต่างกบั ฟ้องในขอ้ สาระสาคญั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง แต่การ

กระทาของจาเลยที่ 1 ถือไดว้ า่ เป็นผสู้ นบั สนุนการกระทาความผิดของจาเลยที่ 2 ตามป.อ. มาตรา 86 ดว้ ย ซ่ึงศาลมีอานาจลงโทษ

จาเลยที่ 1 ฐานเป็นผสู้ นบั สนุนไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคทา้ ย

ฎกี ำที่ 7713/2554 ป.ว.ิ อ. มาตรา 158 บญั ญตั ิวา่ ฟ้องตอ้ งทาเป็นหนงั สือและมีรายการต่าง ๆ ที่จะตอ้ งมีในคาฟ้องอีกรวม 7

อนุมาตรา แต่มิไดม้ ีเงื่อนไขเก่ียวกบั ทรัพยท์ ี่จะขอใหศ้ าลสง่ั ริบวา่ จะตอ้ งมีรายละเอียดอยา่ งไรบา้ ง เม่ือโจทกไ์ ดบ้ รรยายมาในคาฟ้อง

วา่ เจา้ พนกั งานจบั จาเลยท่ี 1 และที่ 2 ไดพ้ ร้อมกบั ยึดเคร่ืองสูบน้าเป็นของกลางและมีคาขอใหร้ ิบเคร่ืองสูบน้าดงั กลา่ วจึงเป็นการ

เพียงพอแลว้ ไม่จาตอ้ งบรรยายมาในฟ้องวา่ เป็นของผใู้ ดและใชใ้ นการกระทาความผดิ อยา่ งไร

เม่ือโจทกม์ ีคาขอใหร้ ิบเคร่ืองสูบน้าของกลางแลว้ แต่ศาลช้นั ตน้ มิไดว้ ินิจฉยั วา่ จะริบเคร่ืองสูบน้าของ

กลางหรือไม่ คาพิพากษาของศาลช้นั ตน้ จึงไม่ชอบดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา 186 (9) แมโ้ จทกม์ ิไดอ้ ุทธรณ์แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกบั ความสงบ

เรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอานาจยกข้ึนวินิจฉยั ไดเ้ องตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง และการริบทรัพยส์ ินแม้ ป.อ. มาตรา 18

จะบญั ญตั ิวา่ เป็นโทษสถานหน่ึง แต่เป็นโทษที่มงุ่ ถึงตวั ทรัพยเ์ ป็นสาคญั ต่างกบั โทษสถานอ่ืนซ่ึงแมจ้ าเลยจะไม่ไดก้ ระทาความผดิ

หรือกระทาความผิดแต่ไม่ตอ้ งรับโทษ ศาลกม็ ีอานาจสง่ั ริบทรัพยส์ ินของกลางได้ จึงมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจาเลยท่ี 1 และที่ 2 ศาล

อุทธรณ์ภาค 3 ยอ่ มมีอานาจสง่ั ริบของกลางได้

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 66)

ฎีกำท่ี 280/2551 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยที่ 1 กบั พวกร่วมกนั กระทาความผดิ ฐานลกั ทรัพยห์ รือรับของโจร แมศ้ าลช้นั ตน้ จะ

พิพากษาลงโทษจาเลยที่ 1 ในความผดิ ฐานรับของโจรและยกฟ้องฐานลกั ทรัพย์ โจทกไ์ มอ่ ุทธรณ์แต่จาเลยท่ี 1 ไดอ้ ทุ ธรณ์คาพิพากษา

ของศาลช้นั ตน้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยอ่ มมีอานาจวินิจฉยั ขอ้ เทจ็ จริงแลว้ พิพากษาฐานความผิดฐานใดฐานหน่ึงระหวา่ งฐานรับของโจร

กบั ฐานลกั ทรัพยไ์ ปตามพยานหลกั ฐานที่ปรากฏได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม เพียงแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่มีสิทธิท่ีจะ

ลงโทษจาเลยท่ี 1 เพิ่มเติมไปจากที่ศาลช้นั ตน้ พิพากษามาเท่าน้นั

47

ฎีกำท่ี 58/2555 จาเลยย่ืนคาร้องขอถอนคาใหก้ ารเดิมที่ปฏิเสธและใหก้ ารใหม่เป็นรับสารภาพเป็นการขอแกไ้ ขคาใหก้ าร

ซ่ึงสามารถย่ืนไดก้ ่อนศาลช้นั ตน้ พิพากษาเท่าน้นั การที่จาเลยยื่นคาร้องในระหวา่ งที่คดีอยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาของศาลฎีกา จึง

ตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.อ.มาตรา 163 วรรคสอง ส่วนแถลงการณ์จาเลยท่ีอา้ งวา่ จาเลยสาคญั ผิดในขอ้ เทจ็ จริงอนั เป็นองคป์ ระกอบความผิด

และปัจจุบนั จาเลยกบั ผเู้ สียหายท่ี 1 ไดร้ ับอนุญาตจากศาลใหส้ มรสกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย แมจ้ ะเป็นขอ้ ท่ีมิไดย้ กข้ึนวา่ กนั มาแลว้

โดยชอบในศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมิใช่ขอ้ ท่ีจาเลยยกข้ึนฎีกา กบั ความผดิ ฐานพรากเดก็ อายยุ งั ไม่เกินสิบหา้ ปี ไปเสีย

จากบิดามารดาเพ่ือการอนาจาร เป็นฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตามป.ว.ิ อ.มาตรา 218 วรรคหน่ึงกต็ าม แต่เม่ือไดค้ วาม

ตามคาแถลงของผเู้ สียหายที่ 2 ท่ียื่นต่อศาลฎีกาขอใหป้ รานีจาเลย ประกอบกบั โทษจาคุกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3กาหนดน้นั สูงเกินไป

ศาลฎีกาเห็นสมควรกาหนดโทษเสียใหม่ใหเ้ หมาะสมตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคสอง

ฎกี ำท่ี9587/2554 แม้ ป. วิ. อ.มาตรา 158 (5) บญั ญตั ิวา่ ฟ้องตอ้ งบรรยายถึงการกระทาท้งั หลายท่ีอา้ งวา่ จาเลยไดก้ ระทาผิด

ขอ้ เทจ็ จริงและรายละเอียดท่ีเก่ียวกบั เวลาและสถานที่ซ่ึงเกิดการกระทาน้นั ๆ อีกท้งั บุคคลหรือสิ่งของท่ีเก่ียวขอ้ งดว้ ยพอสมควรเท่าท่ี

จะใหจ้ าเลยเขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ี และคดีความผิดฐานลกั ทรัพยต์ ามลกั ษณะของความผิดจะตอ้ งเป็นทรัพยข์ องผอู้ ่ืน มิใช่เป็นของผกู้ ระทา

ผดิ น้นั เอง ซ่ึงโดยปกติฟ้องตอ้ งระบุชื่อเจา้ ของทรัพยเ์ สมอไป คดีน้ีโจทกบ์ รรยายฟ้องครบถว้ นตามหลกั เกณฑด์ งั กลา่ วแลว้ คงขาดแต่

ช่ือเจา้ ของทรัพยเ์ ท่าน้นั แต่เมื่ออ่านคาฟ้องโดยตลอดกพ็ อทราบไดว้ า่ ผเู้ สียหายท่ีเป็นเจา้ ของทรัพยค์ ือผใู้ ด เพราะในตอนทา้ ยฟ้องได้

กลา่ วไวด้ ว้ ยวา่ ระหวา่ งสอบสวนจาเลยถูกควบคุมตวั ต้งั แต่ถูกจบั ตลอดมา ขณะน้ีตอ้ งขงั อยตู่ ามหมายขงั ของศาลช้นั ตน้ ในคดี

หมายเลขดาท่ี ฝ. 1283/2552 ซ่ึงพอจะอนุโลมไดว้ า่ เป็นส่วนประกอบของคาฟ้อง และปรากฏวา่ คดีหมายเลขดาที่ ฝ.1283/2552 ได้

ระบุชื่อเจา้ ของทรัพยไ์ ว้ จาเลยน่าจะเขา้ ใจไดด้ ีวา่ ทรัพยต์ ามท่ีโจทกฟ์ ้องเป็นของผใู้ ด ฟ้องโจทกจ์ ึงชอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

ฎีกำที่ 11224/2555 การท่ีสลากกินแบ่งรัฐบาลถูกรางวลั ท่ีหน่ึงและจาเลยท้งั สองร่วมกนั ไปรับเงินรางวลั มาแลว้ ยอ่ มทาให้
โจทกร์ ่วมหมดโอกาสท่ีจะไดร้ ับเงินรางวลั เท่ากบั วา่ โจทกร์ ่วมตอ้ งสูญเสียเงินจานวนน้นั ไปเน่ืองจากการกระทาความผดิ ของจาเลย
ท้งั สองโดยตรง โจทกจ์ ึงมีสิทธิขอใหจ้ าเลยท้งั สองร่วมกนั คืนเงินหรือใชเ้ งินเท่ากบั จานวนเงินรางวลั ที่หน่ึงใหแ้ ก่โจทกร์ ่วมไดต้ าม
ป.วิ.อ. มาตรา 43 แต่ไดค้ วามวา่ ในการขอรับเงินรางวลั จาเลยท้งั สองไดร้ ับเงินมาเพียง 3,980,000 บาท เพราะตอ้ งเสียอากรแสตมป์
20,000 บาท จาเลยท้งั สองตอ้ งคืนหรือใชเ้ งินจานวนเท่าที่ไดร้ ับมาเท่าน้นั และโจทกร์ ่วมซ่ึงไดร้ ับความเสียหายในทางทรัพยส์ ินอนั
เนื่องมาจากการกระทาความผดิ ของจาเลยท้งั สองยอ่ มมีสิทธิท่ีจะขอใหบ้ งั คบั จาเลยท้งั สองใชค้ ่าสินไหมทดแทนแก่โจทกร์ ่วม โดย
เรียกดอกเบ้ียในจานวนเงินท่ีตอ้ งใชต้ าม ป.พ.พ. มาตรา 440 ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 44/1 ได้

ฎีกำที่5612/2555 ทางนาสืบของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมไม่ปรากฏขอ้ เทจ็ จริงใด ๆ ท่ีจะช้ีใหเ้ ห็นวา่ จาเลยที่ 1 และที่ 2 เขา้ ไป

เกี่ยวขอ้ งกบั การใชม้ ีดแทงผตู้ ายของจาเลยที่ 3 อยา่ งไร จึงยงั ไม่อาจฟังไดว้ า่ จาเลยท่ี 1 จาเลยท่ี 2 ร่วมกบั หรือแมแ้ ต่รู้เห็นเป็นใจกบั

จาเลยท่ี 3 ในการท่ีจาเลยที่ 3 ใชม้ ีดฆ่าผตู้ าย คงฟังไดแ้ ต่เพียงวา่ จาเลยท่ี 1 ที่ 2 และที่ 3 กบั พวกร่วมกนั ทาร้ายร่างกายผตู้ ายในขณะ

เกิดเหตุดว้ ยการชกต่อยผตู้ ายเท่าน้นั แมโ้ จทกจ์ ะฟ้องวา่ จาเลยที่ 1 และท่ี 2 ร่วมกบั พวกฆา่ ผตู้ าย แต่เม่ือขอ้ เทจ็ จริงฟังไดเ้ พียงวา่ จาเลย

48

ท่ี 1 หรือที่ 2 ร่วมกนั ใชก้ าลงั ทาร้ายผอู้ ่ืนไม่ถึงกบั เป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่กายหรือจิตใจ ศาลกล็ งโทษจาเลยที่ 1 และท่ี 2 ไดต้ าม
ป.วิ.อง มาตรา 192 วรรคทา้ ย ประกอบมาตรา 215, 225

ฎีกำที12970/2555 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยท่ี 3 และจาเลยที่ 4 เป็นผกู้ ่อใหจ้ าเลยท่ี 1 และที่ 2 กบั พวกกระทาความผิดฐานชิง

ทรัพยแ์ ละปลน้ ทรัพยด์ ว้ ยการใช้ จา้ ง วาน มิไดฟ้ ้องวา่ จาเลยที่ 3 และท่ี 4 เป็นผลู้ งมือกระทาความผิดฐานชิงทรัพยแ์ ละปลน้ ทรัพย์

ขอ้ เทจ็ จริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังไดว้ า่ จาเลยท่ี 3 และท่ี 4 กระทาผิดฐานรับของโจร จึงแตกต่างกบั ขอ้ เทจ็ จริงในฟ้องในขอ้

สาระสาคญั ยอ่ มไมอ่ าจลงโทษจาเลยที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานรับของโจรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 192 วรรคสอง ตอ้ งพิพากษายกฟ้อง แมจ้ าเลยที่ 4 มิไดฎ้ ีกาแต่เป็นเหตุส่วนลกั ษณะคดี ศาลฎีกามีอานาจพิพากษาใหม้ ีผลถึง

จาเลยที่ 4 ดว้ ยตามมาตรา 213 ปรากอบมาตรา 225

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 67)

ฎีกำท่ี 3736/2551 ผรู้ ้องไมม่ าศาลในวนั นดั ไต่สวนคาร้องขอคืนของกลางตอ้ งดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 166 ประกอบมาตรา 181

ศาลช้นั ตน้ ชอบท่ีจะยกฟ้อง และผรู้ ้องมีสิทธิท่ีจะยนื่ คาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหมไ่ ด้ การท่ีศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั วา่ ผรู้ ้องทราบนดั

แลว้ ไม่มาศาลถือวา่ ผรู้ ้องไม่มีพยานมาศาลและใหย้ กคาร้องจึงเป็นการไมช่ อบ แมศ้ าลช้นั ตน้ จะยกคาร้องของผรู้ ้องโดยถือวา่ ผรู้ ้องไม่

มีพยานมาสืบ กไ็ มเ่ ป็นการตดั สิทธิของผรู้ ้องท่ีจะยนื่ คาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่ เม่ือผรู้ ้องย่ืนคาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณา

ใหมแ่ ลว้ จึงไม่มีเหตุท่ีจะเพิกถอนคาสงั่ ของศาลช้นั ตน้ ดงั กลา่ ว

ฎีกำท่ี 13246/2555 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษฐานลกั ทรัพย์ ศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมลู ฟ้องแลว้ ฟังวา่ จาเลยเอาทรัพยส์ ินของโจทก์
ขณะท่ีอยใู่ นความครอบครองของตนไปโดยทุจริต จึงมีมูลความผิดฐานยกั ยอก แมเ้ ป็นเร่ืองท่ีโจทกไ์ ม่ไดก้ ล่าวในฟ้อง แต่ขอ้
แตกต่างระหวา่ งการกระทาความผิดฐานลกั ทรัพย์ กบั ฐานยกั ยอกทรัพยน์ ้นั เป็นเพียงรายละเอียกซ่ึงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรค
สาม ประกอบ พ.ร.บ. จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 4 มิใหถ้ ือวา่ ต่างกนั ในขอ้ สาระสาคญั ท้งั มิให้
ถือวา่ ขอ้ ที่พิจารณาไดค้ วามน้นั เป็นเร่ืองเกินคาขอ หรือเป็นเรื่องท่ีโจทกไ์ มป่ ระสงคใ์ หล้ งโทษ การท่ีศาลช้นั ตน้ เห็นวา่ คดีโจทกม์ ีมูล
ในความผดิ ฐานยกั ยอกจึงชอบแลว้

ศาลช้นั ตน้ ฟังขอ้ เท็จจริงวา่ โจทกท์ ราบเร่ืองความผิดและรู้ตวั ผกู้ ระทความผดิ แลว้ ฟ้องเกินกวา่ 3 เดือน
ความผิดฐานยกั ยอกจึงขาดอายคุ วาม โจทกอ์ ุทธรณ์วา่ โจทกร์ ู้ถึงการกระทาความผิดและรู้ตวั ผกู้ ระทาความผดิ ในวนั ท่ีศาลมคาสง่ั
แต่งต้งั ผแู้ ทนเฉพาะคดีโจทก์ เม่ือผแู้ ทนเฉพาะคดียื่นฟ้องจาเลยในวนั ดงั กล่าวคดีจึงไมข่ าดอายคุ วาม ในการวินิจฉยั อุทธรณ์
ดงั กลา่ ว ศาลอทุ ธรณ์จาตอ้ งยอ้ นไปวินิจฉยั วา่ โจทกร์ ู้ถึงการกระทาความผิด และรู้ตวั ผกู้ ระทาความผดิ เมื่อใด จึงเป็นอุทธรณ์ใน
ปัญหาขอ้ เทจ็ จริงเพื่อนาไปสู่ขอ้ กฎหมายท่ีโจทกอ์ า้ ง เมื่อคดีของโจทกต์ อ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม พ.ร.บ. จดั ต้งั ศาล

49

แขวงและวธิ ีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ มาตรา 22 ที่ศาลช้นั ตน้ รับอุทธรณ์ของโจทกใ์ นความผดิ ฐานยกั ยอกจึงเป็นการไม่
ชอบ

ฎีกำท่ี 11280/2555 ที่โจทกข์ อแกฟ้ ้องโดยขอแก้ หรือ เพ่ิมเติมขอ้ เทจ็ จริงท่ีเป็นการกระทาท้งั หลายของจาเลยท่ี2 และท่ี3 จาก
เดิมซ่ึงไมค่ รบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานรับของโจรเพื่อใหค้ รบองคป์ ระกอบความผดิ มิใช่เป็นการขอแกห้ รือเพิ่มเติมฐานความผิด
หรือ รายละเอียดซ่ึงตอ้ งแถลงในฟ้อง ดงั ที่ ป.ว.ิ อ. มาตรา 164 บญั ญตั ิใหท้ าได้ ศาลช้นั ตน้ ไม่อนุญาตใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องชอบแลว้

ฎกี ำท่ี 3799/2557 การกระทาความผดิ อาญาบางอยา่ ง ผกู้ ระทาผิดอาจกระทาไดโ้ ดยลาพงั คนเดียว โดยไมม่ ีพยานรู้เห็น คดีน้ี

โจทกบ์ รรยายฟ้องกล่าวหาวา่ จาเลยกล่าวขอ้ ความหมิ่นประมาทโจทกท์ างโทรศพั ทต์ ่อ ค. บุคคลท่ีสามซ่ึงโทรศพั ทม์ าจากประเทศ

ญ่ีป่ ุน ขณะน้นั จาเลยอยูใ่ นประเทศไทย ทางานอยทู่ ่ีบริษทั อ. แต่ไม่ทราบแน่ชดั วา่ วนั ดงั กลา่ วจาเลยอยทู่ ี่ไหน จาเลยมีภูมิลาเนาอยทู่ ่ี

บริษทั ซ. เห็นไดว้ า่ โจทกไ์ ดบ้ รรยายสถานท่ีเกิดเหตุวา่ เหตุเกิดที่ประเทศญ่ีป่ ุนและประเทศไทย แต่จะเกิดเหตุที่บริษทั ที่จาเลยทางาน

อยหู่ รือเกิดที่ภูมิลาเนาของจาเลยหรือท่ีใดในประเทศไทย ไมท่ ราบแน่ชดั ซ่ึงจาเลยสามารถรู้และเขา้ ใจไดถ้ ึงขอ้ ท่ีจาเลยถูกกล่าวหา

เพราะคาฟ้องไดก้ ล่าวถึงบุคคลและสถานท่ีท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การกระทาความผิดซ่ึงจาเลยทราบอยแู่ ลว้ คาฟ้องโจทกไ์ ดก้ ลา่ วถึง

รายละเอียดเก่ียวกบั สถานที่ซ่ึงเกิดการกระทาความผดิ รวมท้งั บุคคลที่เกี่ยวขอ้ งพอสมควรเท่าที่จะทาใหจ้ าเลยเขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ี ชอบ

ดว้ ย ป.ว.ิ อ. มาตรา 158 แลว้

ฎกี ำท่ี 2650/2557 คดีแพง่ เก่ียวเนื่องคดีอาญาที่โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในความผิดฐานยกั ยอกตามประมวลกฎหมาย

อาญามาตรา 352 เมื่อปรากฏวา่ สิทธินาคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานยกั ยอกระงบั ไปแลว้ กย็ อ่ มทาใหค้ าขอในสาวนคดีแพ่ง

ดงั กล่าวของโจทกเ์ ป็นอนั ตกไป ท้งั ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 43 มิไดใ้ หอ้ านาจพนกั งานอยั การที่จะยื่นฟ้องคดีอาญาใน

ความผดิ ฐานปลอมเอกสารและใชเ้ อกสารปลอมใหเ้ รียกทรัพยส์ ิน หรือราคาแทนผูเ้ สียหายได้ ปัญหาดงั กลา่ วเป็นขอ้ กฎหมายที่

เกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย แมจ้ าเลยมิไดอ้ ุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกากม็ ีอานาจยกข้ึนอา้ งและแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ ี

พิจารณาความอาญามาตรา 195วรรคสองประกอบมาตรา 225

ฎีกำที่8499/2557 มีปัญหาตอ้ งวนิ ิจฉยั ตามฎีกาของจาเลยวา่ การท่ีศาลลา่ งท้งั สองเพิ่มโทษจาเลยชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่

โดยจาเลยฎีกาวา่ โจทกม์ ิไดอ้ า้ งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา92มาในคาขอทา้ ยฟ้อง การท่ีศาลลา่ งท้งั สองเพ่ิมโทษจาเลยจึงไมช่ อบ

ดว้ ยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 น้นั เห็นวา่ โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ ก่อนคดีน้ีจาเลยเคยตอ้ งคาพิพากษาถึงท่ีสุด

ใหจ้ าคุกมีกาหนด3เดือน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่1/2555ของศาลแขวงปทุมวนั พน้ โทษเม่ือวนั ที่5กนั ยายน2555 ต่อมาจาเลย

กลบั มากระทาความผิดเป็นคดีน้ีอีกภายในเวลาหา้ ปี นบั แต่วนั พน้ โทษคดีก่อนท้งั คดีก่อนและคดีน้ีจาเลยกระทาความผดิ ขณะมีอายไุ ม่

ต่ากวา่ สิบแปดปี และมิใช่ความผิดอนั ไดก้ ระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ขอศาลไดโ้ ปรดเพ่ิมโทษจาเลยตามกฎหมาย

เช่นน้ีถือไดว้ า่ โจทกม์ ีความประสงคข์ อใหเ้ พ่ิมโทษจาเลยฐานไม่เขด็ หลาบ และโจทกไ์ ดก้ ล่าวมาในคาฟ้องเร่ืองท่ีขอใหเ้ พิ่มโทษ

จาเลยตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา159วรรคหน่ึงแลว้ ท้งั จาเลยกไ็ ดใ้ หก้ ารยอมรับวา่ เป็นบุคคลคนเดียวกบั

จาเลยในคดีที่โจทกข์ อใหเ้ พิ่มโทษเท่ากบั จาเลยไดย้ อมรับวา่ เคยกระทาความผดิ ในคดีอาญาดงั กล่าวมาแลว้ และมากระทาความผดิ คดี


Click to View FlipBook Version