100
(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 68)
ฎีกำท่ี 7743/2556 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยกยู้ ืมเงินจากโจทก์ 222,500บาท จาเลยไดร้ ับเงินจากโจทกค์ รบถว้ นแลว้ จาเลยให้
การวา่ จาเลยไมไ่ ดก้ ยู้ มื เงินดงั กล่าวจากโจทก์ สญั ญากยู้ ืมเงินเป็นเอกสารปลอมโดยโจทกก์ รอกขอ้ ความลงในเอกสารวา่ จาเลยกยู้ มื
เงินโจทกซ์ ่ึงไมเ่ ป็นความจริง คาใหก้ ารของจาเลยเป็นการปฏิเสธชดั แจง้ วา่ จาเลยไมไ่ ดท้ าสญั ญากยู้ ืมเงินจากโจทกต์ ามฟ้อง โจทก์
ซ่ึงเป็นฝ่ ายกล่าวอา้ งจึงมีภาระพิสูจนใ์ หไ้ ดค้ วามวา่ จาเลยทาสัญญากยู้ ืมเงินตามขอ้ อา้ งของตน
ส่วนท่ีจาเลยใหก้ ารวา่ กยู้ ืมเงินโจทกค์ ร้ังละ 500บาท ถึง1,000บาท คร้ังสุดทา้ ยกยู้ ืมเงินโจทกเ์ พียง 5,000
บาท เป็นเพียงเหตุแห่งการปฏิเสธวา่ สญั ญากยู้ มื เงินที่โจทกน์ ามาฟ้องเป็นเอกสารปลอม หาใช่เป็นการยกขอ้ เทจ็ จริงข้ึนใหม่ที่ทาให้
จาเลยมีภาระพิสูจนว์ า่ ไม่ไดก้ ยู้ ืมเงินโจทกต์ ามฟ้องไม่ จึงไม่มีประเดน็ ขอ้ พิพาทใหศ้ าลช้นั ตน้ ตอ้ งทาการช้ีสองสถานและกาหนดให้
จาเลยมีภาระการพิสูจน์ และเม่ือจาเลยใหก้ ารต่อสูว้ า่ สญั ญากยู้ ืมเงินปลอม จาเลยยอ่ มมีสิทธินาพยานเขา้ สืบหกั ลา้ งสัญญากยู้ มื เงิน
ตามฟ้องได้ ไมต่ อ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และ เมื่อศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ รับฟ้องเป็นคดีมโนสาเร่
จึงเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ไมต่ อ้ งการช้ีสองสถานตาม ประมวลกฎหมายวิธรพิจารณาความแพง่ มาตรา 182(5)
ฎกี ำที่ 11107/2555 จาเลยท่ี 1 ฎีกาวา่ การนาสืบของโจทกท์ ี่วา่ สญั ญาระหวา่ งผเู้ สียหายท้งั หา้ สิบสามและบริษทั โททอล คอม
เมอเชียล จากดั เป็นสญั ญากนู้ ้นั เป็นการนาสืบเปล่ียนแปลงแกไ้ ขเอกสาร ตอ้ งหา้ มตามกฎหมาย เห็นวา่ ขอ้ หา้ มมิใหน้ าสืบ
เปลี่ยนแปลงแกไ้ ขเอกสารเป็นบทกฎหมายที่ใชบ้ งั คบั ในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเพ่ือประโยชนใ์ หแ้ บบของนิติกรรมและ
หลกั ฐานในการฟ้องร้องคดีแพ่งมีผลใชบ้ งั คบั ได้ แต่คดีน้ีเป็นคดีอาญาเป็นหนา้ ที่โจทกท์ ี่จะนาพยานหลกั ฐานมาพิสูจนค์ วามผดิ ของ
จาเลย ไมม่ ีขอ้ หา้ มเร่ืองการนาสืบเปล่ียนแปลงแกไ้ ขเอกสาร ดงั น้นั จึงไมอ่ าจนาหลกั เกณฑด์ งั กลา่ วมาใชบ้ งั คบั ได้ ท้งั การนาสืบของ
โจทกเ์ ป็นการนาสืบถึงเจตนาท่ีแทจ้ ริงของคู่สญั ญาและความเสียเปลา่ เป็นโมฆะของสญั ญาในส่วนที่เป็นดอกเบ้ีย ท่ีแมใ้ นคดีแพ่งก็
ยงั นาสืบได้
ฎีกำที 4704/2558 คาใหก้ ารตอนแรกของจาเลยรับวา่ โจทกเ์ ป็นเจา้ ของกรรมสิทธท์ ่ีดินโฉนดเลขที่ 3438 และต่อสูว้ า่ ท่ีดิน
พิพาทไมไดอ้ ยใู่ นเขตท่ีดินของโจทก์ เท่ากบั อา้ งวา่ จาเลยไม่ไดบ้ ุกรุกเขา้ ไปในท่ีดินของโจทก์ ดงั น้นั โจทกจ์ ึงไม่มีอานาจฟ้องจาเลย
แต่คาใหก้ ารอีกตอนหน่ึงของจาเลยกลบั ต่อสู้วา่ หากที่ดินบางส่วนของโจทกร์ วมอยใู่ นท่ีดินพิพาทซ่ึงหมายความวา่ ท่ีดินพิพาทอยใู่ น
เขตโฉนดที่ดินของโจทก์ จาเลยกไ็ ดค้ รอบครองปรปักษท์ ี่ดินพิพาทจนไดก้ รรมสิทธ์ิแลว้ โจทกจ์ ึงไม่มีอานาจฟ้องขบั ไลแ่ ละเรียก
ค่าเสียหายจากจาเลย จึงเป็นคาใหก้ ารที่ขดั แยง้ กนั เอง เป็นคาใหก้ ารที่ไม่ชดั แจง้ ไมช่ อบดว้ ย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และไม่
ก่อใหเ้ กิดประเดน็ ขอ้ พิพาทเร่ืองการครอบครองปรปักษท์ ่ีดินพิพาท เมื่อคาใหก้ ารของจาเลยไมก่ ่อใหเ้ กิดประเดน็ ขอ้ พิพาทเร่ืองการ
ครอบครองปรปักษ์ ดงั น้นั การนาสืบพยานของจาเลยในเร่ืองดงั กลา่ ว จึงเป็นการนาสืบนอกประเดน็ ขอ้ พิพาทท่ีตอ้ งหา้ มใหร้ ับฟ้อง
และถือเป็นขอ้ เทจ็ จริงที่ไมไ่ ดย้ กข้ึนวา่ กนั มาแลว้ โดยชอบในศาลช้นั ตน้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(1) และมาตรา 225 วรรคหน่ึง
101
ฎีกำที 4886/2558 จาเลยท้งั สองย่ืนคาใหก้ ารแต่ไมไ่ ดน้ าสืบพยานซ่ึงเอกสารท่ีโจทกน์ าสืบแมเ้ ป็นสาเนาเอกสาร แต่ในขณะ
ที่โจทกน์ าสืบอา้ งเอกสารดงั กล่าว จาเลยท้งั สองมิไดด้ าเนินการโตแ้ ยง้ หรือคดั คา้ นการนาสืบสาเนาเอกสารวา่ ไม่มีตน้ ฉบบั หรือ
ตน้ ฉบบั น้นั ปลอมท้งั ฉบบั หรือแต่บางส่วนหรือสาเนาน้นั ไม่ถูกตอ้ งตรงกบั ตน้ ฉบบั ศาลไมค่ วรรับฟังเป็นพยานหลกั ฐานตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 125 วรรคสอง ท้งั ทนายจาเลยท้งั สองเพียงแต่ถามคา้ น ธ. พยานโจทกเ์ กี่ยวกบั สาเนาเอกสารดงั กล่าววา่ ในเอกสารทุกฉบบั ไม่
ปรากฏวา่ มีลายมือช่ือของ ท. หรือมีลายมือช่ือของผมู้ ีอานาจกระทาการแทนจาเลยที่ 1 เท่าน้นั จึงถือไดว้ า่ จาเลยท้งั สองยอมรับวา่
สาเนาเอกสารทุกฉบบั ดงั กลา่ วน้นั ถูกตอ้ งตรงกบั ตน้ ฉบบั แลว้ ศาลจึงรับฟังเอกสารท้งั หมดดงั กลา่ วเป็นพยานไดต้ าม ป.วิ.พ. มาตรา
93(1)
ฎีกำที 6866/2552 หนงั สือสญั ญาจา้ งเหมาก่อสร้างที่จาเลยวา่ จา้ งโจทกก์ ่อสร้างอาคารน้นั เป็นสญั ญาจา้ งทาของซ่ึง
กฎหมายมิไดบ้ งั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานเอกสารมาแสดง ฉะน้นั โจทกจ์ ึงสามารถนาสืบพยานบุคคลวา่ จาเลยตกลงยนิ ยอมใหโ้ จทก์
ก่อสร้างเพ่ิมเติมผดิ ไปจากแบบแปลนท่ีตกลงกนั ไวเ้ ดิมได้ ไม่ตอ้ งหา้ มนาพยานบุคคลมาสืบเปล่ียนแปลงขอ้ ความในเอกสารน้นั ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข)
จาเลยฟ้องแยง้ ขอใหโ้ จทกช์ ดใชค้ ่าเสียหายอนั เกิดจากการก่อสร้างชารุดบกพร่องจานวน 446,430 บาท
ต่อมาเม่ือศาลช้นั ตน้ พิจารณาแลว้ พิพากษาใหโ้ จทกช์ ดใชค้ ่าเสียหายในส่วนน้ีแก่จาเลยจานวน 102,080 บาท จาเลยอุทธรณ์โตแ้ ยง้ วา่
ค่าเสียหายส่วนน้ีควรเป็นจานวน 151,040 บาท แมโ้ จทกจ์ ะไม่ไดย้ น่ื อุทธรณ์กต็ ามแต่โจทกก์ ็ไดย้ ืน่ คาแกอ้ ทุ ธรณ์ของจาเลยว่าศาล
ช้นั ตน้ คิดคานวณรวมค่าเสียหายในส่วนน้ีไม่ถกู ตอ้ ง ซ่ึงที่ถกู เป็นเงินเพียง 77,240 บาท เท่าน้นั จึงถือวา่ โจทกไ์ ดโ้ ตแ้ ยง้ ในจานวน
ค่าเสียหายน้ีแลว้ ฉะน้นั ค่าเสียหายส่วนชารุดบกพร่องน้ีจึงหายตุ ิไปตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ไม่ ท้งั ถือเป็นเร่ืองแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาด
เลก็ นอ้ ยหรือขอ้ ผดิ หลงเลก็ นอ้ ยอ่ืน ๆ ในคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 จึงมีอานาจแกไ้ ขคิดคานวณใหม่ใหถ้ ูกตอ้ งไดต้ าม
ป.วิ.พ. มาตรา 143
ฎีกำที่ 13689/2555 ในระหวา่ งการพิจารณาคดี ผคู้ ดั คา้ นไดย้ น่ื คาร้องขอใหต้ รวจสารพนั ธุกรรมหรือดีเอน็ เอของผรู้ ้องเพ่ือ
พิสูจนว์ า่ ผรู้ ้องเป็นบุตรของผตู้ ายหรือไม่ ผรู้ ้องไดค้ ดั คา้ นและไมย่ ินยอมใหต้ รวจ ศาลเห็นวา่ เมื่อผรู้ ้องไมส่ มคั รใจใหต้ รวจจึงยกคา
ร้อง คาสงั่ ศาลดงั กล่าวจึงเป็นกรณีที่ศาลไม่อนุญาตใหต้ รวจสารพนั ธุกรรมหรือดีเอน็ เอตามคาร้องของผคู้ ดั คา้ น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา
128/1 วรรคหน่ึง และ วรรคสอง แลว้ ผรู้ ้องไมย่ ินยอมหรือไม่ใหค้ วามร่วมมือต่อการพิสูจนอ์ นั จะใหส้ ันนิษฐานไวก้ ่อนวา่ ขอ้ เทจ็ จริง
เป็นไปตามท่ีผคู้ ดั คา้ นกลา่ วอา้ ง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
102
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 69)
ฎีกำท่ี 2808/2559 สาเนาบญั ชีรายชื่อผถู้ ือหุน้ เป็นเอกสารที่กรรมการของบริษทั จาเลยลงลายมือชื่อรับรองความถกู ตอ้ งตรง
กบั สมดุ ทะเบียนผถู้ ือหุน้ ซ่ึงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 1141 ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ เป็นพยานหลกั ฐานอนั
ถูกตอ้ ง และมาตรา 1024 บญั ญตั ิใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ บรรดาสมดุ บญั ชีเอกสารของบริษทั ยอ่ มเป็นพยานหลกั ฐานอนั ถูกตอ้ งตาม
ขอ้ ความที่ไดบ้ นั ทึกไวน้ ้นั ทุกประการ เม่ือสาเนาบญั ชีรายชื่อผถู้ ือหุน้ ของจาเลยระบุวา่ ผรู้ ้องไดช้ าระค่าหุน้ แลว้ เพียงร้อยละ 50 แต่ผู้
ร้องอา้ งวา่ ชาระค่าหุน้ ครับถว้ นแลว้ ผรู้ ้องมีหนา้ ที่นาสืบหกั ลา้ งขอ้ สนั นิษฐาน
ฎีกำที่ 2833/2559 หนงั สือรับรองการจดทะเบียนเป็นหา้ งหุน้ ส่วนจากดั ของจาเลยท่ี1 เป็นเอกสารมหาชนซ่ึงเจา้ พนกั งาน
จดั ทาข้ึนและตอ้ งดว้ ยขอ้ สนั นิษฐานวา่ เป็นของแทจ้ ริงถูกตอ้ งตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มตรา 127 ประกอบ
พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลภาษีอาการและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 จาเลยที่ 4 อา้ งวา่ ไมไ่ ดเ้ ป็นหุน้ ส่วนผจู้ ดั การ
และหุน้ ส่วนไม่จากดั ความรับผิดของหา้ ง จาเลยที่1 มีภาระการพิสูจน์
ฎีกำที่ 1320/2559 เม่ือขอ้ เทจ็ จริงรับฟังไดว้ า่ ตน้ เพลิงเกิดจากบา้ นของจาเลยแลว้ ไฟไหมล้ ุกลามไปไหมบ้ า้ นของโจทกไ์ ดร้ ับ
ความเสียหาย โจทกจ์ ึงไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ กฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 โดยกรณีน้ีศาลฎีกาเห็นวา่ การท่ีตน้ เพลิงเกิดจากบา้ น
ของจาเลยแลว้ ไฟไหมล้ ุกลามไปไหมบ้ า้ นของโจทก์ จาเลยจึงตอ้ งรับผิดชอบเพราะถือวา่ เป็นขอ้ สนั นิษฐานที่ควรจะเป็นซ่ึงปรากฏ
จากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่โจทก์ จาเลยมีหนา้ ท่ีตอ้ งพิสูจนเ์ พื่อหกั ลา้ งขอ้ สนั นิษฐานดงั กลา่ ว
ฎกี ำที่ 12945/2558 โจทกจ์ าเลยตกลงทาสญั ญาจะซ้ือจะขายท่ีดินพิพาทเป็นหนงั สือโดยมีการวางเงินมดั จาดว้ ย การวางเงิน
มดั จาเป็นเพียงขอ้ สญั ญาขอ้ หน่ึงเท่าน้นั ไม่ใช่ขอ้ ตกลงทาสญั ญากนั ดว้ ยการวางเงินมดั จา การฟ้องร้องบงั คบั คดีจึงตอ้ งอาศยั
หลกั ฐานตามหนงั สือสัญญาจะซ้ือจะขายที่ทาไว้ กรณีจึงตอ้ งดว้ ย ป.ว.ิ พ. มาตรา 94(ข) ท่ีหา้ มมิใหค้ ู่ความนาสืบพยานบุคคลวา่ ยงั มี
ขอ้ ความเพ่ิมเติมนอกเหนือจากสญั ญาอยอู่ ีก เม่ือสญั ญาจะซ้ือจะขายในขอ้ 1 มีขอ้ ความระบุชดั เจนอยแู่ ลว้ วา่ ท้งั สองฝ่ ายตกลงจะซ้ือ
จะขายที่ดินตารางวาละ 100,000บาท โดยส่วนท่ีเป็นถนนตามสภาจริงจะไม่ถูกนามาคานวณเป็นราคาท่ีดินที่จะซ้ือจะขายโดยไมม่ ี
ขอ้ ความวา่ ใหจ้ าเลยกนั ส่วนที่เป็นแนวเสาไฟฟ้าออกจากที่ดินท่ีจะซ้ือจะขายแต่อยา่ งใดกรณีจึงไม่ใช่ขอ้ ความไม่ชดั เจน หรืออาจแปล
ความไดห้ ลายนยั ยอ่ มไม่มีความจาเป็นอยา่ งใดที่จะตอ้ งตีความการแสดงเจตนาของคู่สญั ญาอีก
ดงั น้ีจะนาบทบญั ญตั ิ ป.พ.พ. มาตรา 171 มาบงั คบั ใชเ้ พ่ือสืบพยานบุคคลประกอบการตีความเจตนาอนั
แทจ้ ริงของคู่สญั ญาหาไดไ้ ม่ ตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) การที่โจทกน์ าสืบพยานบุคคลวา่ ยงั มีขอ้ ตกลงวา่ ใหจ้ าเลยรังวดั แบ่ง
แยกกนั ส่วนที่เป็นแนวเสาไฟฟ้าออกจากทีดินท่ีจะซ้ือจะขายนอกเหนือขอ้ ตกลงในหนงั สือสัญญาจะซ้ือจะขายจึงตอ้ งหา้ มมิใหร้ ับฟัง
และถือไม่ไดว้ า่ มีขอ้ ตกลงดงั กลา่ ว
103
ฎีกำท่ี 965/2556 จาเลยที่ 1ใหก้ ารยอมรับวา่ จาเลยที่1 ทาสญั ญาเช่าซ้ือรถยนตจ์ ากโจทกจริงตามฟ้อง แต่อา้ งวา่ ชาระค่าเช่า
ซ้ือหมดแลว้ จึงเป็นการยอมรับในมูลหน้ีท่ีโจทกฟ์ ้องแต่กลา่ วอา้ งขอ้ เทจ็ จริงใหมว่ า่ ไดช้ าระหน้ีหมดแลว้ เพ่ือไมต่ อ้ งรับผดิ ตามฟ้อง
ภาระการพิสูจนต์ กแก่จาเลยที่1 ท่ีมีหนา้ ที่ตอ้ งนาสืบใหเ้ ห็นวา่ ไดช้ าระหน้ีหมดแลว้ อยา่ งไร
ฎกี ำท่ี 8091/2556 คาใหก้ ารของจาเลยท้งั สองวา่ สญั ญากยู้ ืมเงินและสญั ญาค้าประกนั ตามฟ้องเป็นเพียงสาเนาเท่าน้นั จะ
ถูกตอ้ งเป็นจริงหรือไม่ จาเลยท้งั สองไมข่ อรับรองน้นั เป็นคาใหก้ ารท่ีไมช่ ดั แจว้ ไม่ชอบดว้ ย ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสอง เนื่องจาก
จาเลยท้งั สองมิไดแ้ สดงโดยชดั แจง้ มาในคาใหก้ ารถึงเหตุแห่งการปฏิเสธวา่ สาเนาสญั ญากยู้ ืมเงินและสญั ญาค้าประกนั ตามฟ้องไม่
ถูกตอ้ งอยา่ งไร ที่จาเลยท้งั สองใหก้ ารต่อไปวา่ จาเลยท้งั สองไดช้ าระหน้ีและหรือ หกั กลบลบหน้ีกนั มานานแลว้ จาเลยท่ี1 กบั โจทก์
จึงไม่มีหน้ีสินใดๆต่อกนั อีกต่อไป จาเลยที่2 ในฐานะผคู้ ้าประกนั จึงไม่ตอ้ งรับผิดต่อโจทกเ์ ท่ากบั จาเลยท่ี1 รับขอ้ เทจ็ จริงตามฟ้อง
แลว้ วา่ เป็นหน้ีเงินกยู้ ืมแก่โจทกโ์ ดยมี จาเลยที่2 เป็นผคู้ ้าประกนั การยืมเงินดงั กลา่ ว แต่ยกขอ้ ต่อสูอ้ นั เป็นขอ้ เท็จจริงข้ึนใหมว่ า่ จาเลย
ที่1 ไดช้ าระหน้ีดงั กล่าวใหแ้ ก่โจทกเ์ สร็จสิ้นแลว้ ซ่ึงจาเลยท้งั สองมีภาระการพิสูจนใ์ หร้ ับฟังขอ้ เทจ็ จริงไดต้ ามขอ้ ต่อสู้ ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 84/1 ในช้นั พิจารณาคดี โจทกม์ ีตวั โจทกเ์ บิกความเป็นพยานประกอบสาเนาหนงั สือสัญญากเู้ งินและหนงั สือค้าประกนั ซ่ึง
ตน้ ฉบบั สูญหายไปวา่ จาเลยท้งั สองเพิกเฉยไม่ชาระหน้ี แต่จาเลยท้งั สองกลบั ไมส่ ืบพยาน ขอ้ เทจ็ จริงจึงรับฟังไม่ไดว้ า่ จาเลยท่ี1
ชาระหน้ีดงั กลา่ วใหแ้ ก่โจทกเ์ สร็จสิ้นแลว้ จาเลยท้งั สองจึงตอ้ งรับผดิ ชาระหน้ีเงินท่ีกยู้ ืมพร้อมดอกเบ้ียใหแ้ ก่โจทกผ์ เู้ ป็นเจา้ หน้ี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 70)
ฎกี ำท่ี 946/2559 โจทกบ์ รรยายฟ้องในความวา่ จาเลยทาหนงั สือรับสภาพหน้ีพิพาทกบั โจทกเ์ ม่ือถึงกาหนดจาเลยผิดนดั
พร้อมท้งั แนบสาเนาหนงั สือรับสภาพหน้ีพิพาททา้ ยคาฟ้องดว้ ย จาเลยใหก้ ารวา่ หลงั จากจาเลยทาหนงั สือรับสภาพหน้ีพิพาท จาเลย
ชาระหน้ีใหแ้ ก่โจทกค์ รบถว้ นแลว้ และโจทกท์ าหนงั สือระงบั หน้ีใหไ้ ว้ คาใหก้ ารของจาเลยจาเป็นคาใหก้ ารท่ียอมรับแต่โดยชดั แจง้
วา่ จาเลยทาหนงั สือรับสภาพหน้ีพิพาทกบั โจทกจ์ ริงและไดช้ าระหน้ีหมดแลว้ ภาระการพิสูจนจ์ ึงตกแก่จาเลยท่ีมีหนา้ ที่นาสืบใหเ้ ห็น
ไดว้ า่ ชาระหน้ีท้งั หมดแลว้ อยา่ งไร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 84/1 ท่ีจาเลยใหก้ ารอีกวา่ โจทกท์ าหนงั สือ
ระงบั หน้ีใหไ้ วด้ ว้ ยน้นั กเ็ ป็นการกล่าวอา้ งขอ้ เทจ็ จริงใหมเ่ พ่ือไม่ตอ้ งรับผดิ ตามฟ้องน้นั เอง กรณีหาใชโ้ จทกซ์ ่ึงเป็นเจา้ หน้ีออก
ใบเสร็จใหเ้ พื่อระยะหน่ึงแลว้ โดยมิไดอ้ ิดเอ้ือน ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ เจา้ หน้ีไดร้ ับชาระหน้ีเพ่ือระยะก่อนๆ น้นั ดว้ ยแลว้ ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคหน่ึงไม่
ค่าใชจ้ ่ายในการดาเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประเภทหน่ึง ซ่ึงกฎหมายบญั ญตั ิบงั คบั ใหศ้ าลตอ้ งมี
คาสงั่ ไมว่ า่ คู่ความจะมีคาขอหรือไม่ ตามที่บญั ญตั ิในประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหน่ึง และมาตรา 161
วรรคหน่ึง ท้งั น้ี การที่ศาลสง่ั หรือไมส่ ง่ั ใหช้ ดใชค้ ่าใชจ้ ่ายในการดาเนินคดีหรือไมก่ เ็ ป็นดุลพินิจ แต่ค่าใช่จ่ายในการดาเนินคดีน้นั
ตอ้ งอยใู่ นบงั คบั ตาราง 7 ทา้ ยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซ่ึงกาหนดใหศ้ าลมีคาส่งั ใหช้ ดใชค้ ่าใชจ้ ่ายในการดาเนินคดี
104
ตามจานวนที่ศาลเห็นสมควร โดยในคดีมีทุนทรัพยต์ อ้ งไมเ่ กินร้อยละ 1 ขอจานวนทุนทรัพย์ การที่ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ใหจ้ าเลยชดใช้
ค่าใชจ้ ่ายในการดาเนินคดีแก่โจทก์ จึงชอบดว้ ยกฎหมายแลว้
ฎกี ำท่ี 3975/2558 โจทกฟ์ ้องจาเลยวา่ นิติกรรมซ้ือขายท่ีดินพิพาทระหวา่ งโจทกก์ บั จาเลยเป็นนิติกรรมอาพรางตกเป็น
โมฆะ โจทกท์ วงถามใหจ้ าเลยจดทะเบียนโอนท่ีดินโฉนดเลขท่ี 66886 คืนใหโ้ จทกห์ ลายคร้ังแต่จาเลยเพิกเฉย ขอใหศ้ าลพิพากษาวา่
หนงั สือสญั ญาซ้ือขายระหวา่ งโจทกก์ บั จาเลยเป็นโมฆะ ใหจ้ าเลยจดทะเบียนกรรมสิทธ์ิโฉนดเลขท่ี 66886 คืนแก่โจทก์ จาเลยขาด
นดั ยนื่ คาใหก้ าร ศาลช้นั ตน้ ใหส้ ืบพยานโจทกไ์ ปฝ่ ายเดียว ศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง
โจทกย์ นื่ อทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 พิพากษากลบั ใหส้ ัญญาซ้ือขายท่ีดินระหวา่ งโจทกแ์ ละจาเลยเป็น
โมฆะ ใหจ้ าเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินโฉนดเลขที่ 66886 คืนแก่โจทก์
จาเลยยน่ื ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉยั วา่ คดีน้ีจาเลยมีชื่อถือกรรมสิทธ์ิในโฉนดที่ดินพิพาทซ่ึงเป็นเอกสารมหาชน
ท่ีพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีไดท้ าข้ึนยอ่ มไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานของกฎหมายวา่ เป็นของแทจ้ ริงและถกู ตอ้ ง ขอ้ อา้ งของโจทก์
ที่วา่ โจทกเ์ ป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิแต่ใหใ้ ส่ช่ือจาเลยในโฉนดไวแ้ ทน เป็นการกลา่ วอา้ งขอ้ ความใหผ้ ิดไปจากขอ้ ความในเอกสารโจทก์
มีภาระการพิสูจนแ์ มเ้ ป็นการพิจารณาโดยขาดนดั โจทกก์ ต็ อ้ งนาสืบใหไ้ ดค้ วามตามท่ีกลา่ วอา้ งตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 127 และมาตรา
198 ทวิ พยานหลกั ฐานของโจทกท์ ่ีนาสืบมาฝ่ ายเดียวไมม่ ีน้าหนกั เพียงพอที่จะหกั ลา้ งขอ้ สนั นิษฐานของกฎหมายดงั กลา่ ว นิติกรรมท่ี
ทาตามแบบที่กฎหมายกาหนดยอ่ มไดร้ ับความคุม้ ครองตามกฎหมายและคงไวซ้ ่ึงความศกั ด์ิสิทธ์ิ คดีโจทกจ์ ึงไม่มีมูลใหฟ้ ังไดว้ า่
สญั ญาซ้ือขายที่ดินพิพาทเป็นการแสดงเจตนาลวง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาน้นั ไมต่ อ้ งดว้ ยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึง
พิพากษากลบั ใหย้ กฟ้อง
ฎีกำท่ี 6511/2560 ตน้ เพลิงเกิดจากโรงเรียนของจาเลยท่ี 1 แลว้ ไฟไหมล้ ุกลามไปไหมบ้ า้ นของโจทกไ์ ดร้ ับความเสียหาย
ยอ่ มถือวา่ เป็นขอ้ สนั นิษฐานที่ควรจะเป็นซ่ึงปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่โจทกต์ ามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งมาตรา 84/1 โจทกจ์ ึงไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานดงั กล่าว จาเลยท้งั สองมีหนา้ ท่ีตอ้ งพิสูจนเ์ พ่ือหกั ลา้ งขอ้
สนั นิษฐานดงั กล่าว
ฎีกำท่ี 8237/2559 แมต้ ามสญั ญากแู้ ละสญั ญาค้าประกนั ระบุจานวนเงิน 550,000 บาท และสญั ญากรู้ ะบุวา่ จาเลยที่ 1 ไดร้ ับ
เงินจากโจทกค์ รบถว้ นแลว้ จาเลยท้งั สองกม็ ีสิทธินาสืบพยานบุคคลตามขอ้ ต่อสูต้ ามคาใหก้ ารของจาเลยท้งั สองไดว้ า่ จาเลยท่ี 1 กเู้ งิน
โจทกเ์ พียง 50,000 บาท และจาเลยที่ 2 ทาสญั ญาค้าประกนั เพียงวงเงินดงั กล่าว ขณะท่ีจาเลยที่ 1 และที่ 2 ลงช่ือไวใ้ นสญั ญากแู้ ละ
สญั ญาค้าประกนั ยงั ไม่ไดก้ รอกขอ้ ความ โจทกป์ ลอมเอกสารสญั ญากแู้ ละสญั ญาค้าประกนั โดยกรอกขอ้ ความและจานวนเงินเป็น
550,000 บาท โดยจาเลยท้งั สองมิไดย้ นิ ยอม เพราะเป็นการนาพยานบุคคลมาสืบประกอบขอ้ อา้ งวา่ พยานเอกสารท่ีแสดงน้นั เป็น
เอกสารปลอมหรือไม่ถูกตอ้ งท้งั หมดหรือแต่บางส่วนหรือสัญญาหรือหน้ีอยา่ งอ่ืนที่ระบุไวใ้ นเอกสารน้นั ไม่สมบูรณ์ ตาม ป.ว.ิ พ.
มาตรา 94 วรรคทา้ ย
105
( คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 71)
ฎีกำท่ี 97/2561 จาเลยผกู้ นู้ าเงินฝากเขา้ บญั ชีเงินฝากของโจทกผ์ ใู้ หก้ เู้ พ่ือชาระหน้ีกยู้ ืมจากโทกเ์ ป็นการชาระหน้ีผา่ น
ธนาคารที่โทกม์ ีบญั ชีเงินฝากเพื่อใหโ้ จทกไ์ ดร้ ับเงินที่ชาระหน้ีโดยไมไ่ ดท้ านิติกรรมโดยตรงต่อโจทก์ จึงไม่อาจมีการกระทาตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองได้ การท่ีโทกเ์ จา้ หน้ีมิไดโ้ ตแ้ ยง้ ไม่รับเงินถือวา่ เป็นกรณีท่ีเจา้ หน้ียอมรับ
ชาระหน้ีอยา่ งอื่นแทนการชาระหน้ีที่ไดต้ กลงกนั ไว้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหน่ึง จาเลยมีสิทธินา
สืบการชาระหน้ีใหแ้ ก่โจทกด์ ว้ ยการนาเงินฝากเขา้ บญั ชีของโจทกไ์ ด้
ฎกี ำท่ี 34/2561 สญั ญากยู้ มื เงินเป็นสญั ญายืมใชส้ ิ้นเปลืองจะบริบูรณ์กต็ ่อเม่ือมีการส่งมอบทรัพยส์ ินท่ียืมตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 650 วรรคสอง จาเลยใหก้ ารวา่ จาเลยไม่ไดร้ ับเงินตามสญั ญากเู้ งินท้งั 2 ฉบบั จึงเป็นสญั ญาท่ีไม่
สมบูรณ์ สญั ญากเู้ งินท้งั 2 ฉบบั เกิดจากการฉอ้ ฉลโดยโจทกบ์ ีบบงั คบั หลอกลวงจาเลยลงลายมือชื่อโดยไมม่ ีเจตนาผกู พนั ตามสญั ญา
กเู้ งินท้งั 2 ฉบบั ถือวา่ เป็นการปฏิเสธอา้ งเหตุความไมส่ มบูรณ์แห่งหน้ีเป็นคาใหก้ ารท่ีชอบดว้ ยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
แพง่ มาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงมีประเดน็ ท่ีจาเลยจะสืบพยานใหเ้ ห็นถึงความไมส่ มบูรณ์ แห่งหน้ีดงั กล่าวได้ การท่ีจาเลยนาสืบวา่
จาเลยไม่ไดร้ ับเงินตามสญั ญากูท้ ้งั 2 ฉบบั จึงเป็นการนาสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหน้ีตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่
มาตรา 94 วรรคทา้ ย จาเลยยอ่ มนาสืบได้
ฎีกำที่ 2850/2561 ผตู้ ายทาพินยั กรรมยกทรัพยส์ ินท้งั หมดใหแ้ ก่จาเลยโดยระบุรายการทรัพยส์ ินแต่เพียงบา้ น รถยนต์ และ
เงินฝากโดยไมร่ ะบุถึงที่ดินท่ีบา้ นต้งั อยู่ บา้ นจะหมายความรวมถึงที่ดินพิพาทท่ีบา้ นต้งั อยดู่ ว้ ยหรือไม่ เป็นกรณีท่ีความขอ้ ใดขอ้ หน่ึง
ในพินยั กรรมอาจตีความไดเ้ ป็นหลายนยั ให้ถือเอาตามนยั ที่จะสาเร็จผลตามความประสงคข์ องผทู้ าพินยั กรรมน้นั ไดด้ ีที่สุด ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1684 จาเลยยอ่ มมีสิทธินาพยานมาสืบถึงความประสงคข์ องผตู้ ายได้ ไม่ใช่เป็นการนาสืบ
เปล่ียนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสาร ซ่ึงตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา 94
ฎีกำท่ี 7519/2560 โจทกจ์ ดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทไวก้ บั จาเลยต่อเจา้ พนกั งานที่ดิน เป็นนิติกรรมการขายฝากท่ีดิน
พิพาทท่ีทาเป็นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 456 ประกอบมาตรา
491 จึงเป็นนิติกรรมที่กฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานหลกั ฐานมาแสดง ซ่ึงการรับฟังพยานหลกั ฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพง่ มาตรา 94(ข) บญั ญตั ิหา้ มมิใหศ้ าลรับฟังพยานบุคคลในกรณีขอสืบพยานบุคคลแทนเอกสารหรือสืบพยานบุคคลประกอบ
ขอ้ อา้ งวา่ ยงั มีขอ้ ความเพ่ิมเติม ตดั ทอนหรือเปล่ียนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารน้นั อยอู่ ีก
หนงั สือสญั ญาขายฝากที่ดินที่ทาเป็นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ระบุราคาขายฝากและ
สินไถ่ไวจ้ านวน 4,200,000 บาท และผขู้ ายฝากไดร้ ับเงินจากผรู้ ับซ้ือฝากเป็นการเสร็จแลว้ โจทกจ์ ะทาพยานบุคคลมาสืบเพื่อ
เปล่ียนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความท่ีระบุไวใ้ นเอกสารวา่ ราคาขายฝากที่แทจ้ ริงมีเพียง 1,800,000 บาท และไดร้ ับเงินตามสญั ญาขายฝากไม่
เตม็ จานวนไมไ่ ด้ เพราะเป็นการนาสืบเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสาร ตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่
มาตรา 94 (ข)
106
โจทกจ์ าเลยตกลงขายฝากที่ดินพิพาทในราคาขายฝากและกาหนดสินไถ่ไวเ้ ป็นเงิน 4,200,000 บาท แม้
โจทกจ์ ะนาเงินสินไถไ่ ปวางต่อสานกั งานวางทรัพยเ์ พื่อเป็นค่าไถท่ ี่ดินพิพาทที่ขายฝากในราคา 2,030,000 บาท ซ่ึงไม่ครบตามจานวน
สินไถ่ท่ีกาหนดไวต้ ามสญั ญา ถือเป็นการขอปฏิบตั ิการชาระหน้ีไม่ถูกตอ้ ง จาเลยมีสิทธิบอกปัดไมร่ ับเงินสินไถไ่ ด้ โจทกไ์ มม่ ีสิทธิ
ฟ้องบงั คบั ใหจ้ าเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทที่ขายฝากคืนใหแ้ ก่โจทก์
ฎกี ำที่ 5376/2560 ประชุมใหญ่*** โจทกฟ์ ้องและนาสืบวา่ จาเลยยงั ไมไ่ ดช้ าระหน้ีตามหนงั สือสญั ญากเู้ งินแก่โจทก์ จาเลยไมไ่ ดใ้ ห้
การปฏิเสธวา่ จาเลยไดช้ าระหน้ีตามหนงั สือสญั ญากเู้ งินแลว้ ยอ่ มถือไดว้ า่ จาเลยยอมรับตามท่ีโจทกก์ ล่าวอา้ ง การท่ีจาเลยนาสืบวา่
จาเลยผอ่ นชาระเงินตามหนงั สือสญั ญากจู้ นครบถว้ นแลว้ จึงเป็นการนาสืบนอกเหนือจากที่ใหก้ ารต่อสูไ้ วไ้ ม่อาจใหร้ ับฟังได้
โจทกฟ์ ้องและนาสืบวา่ จาเลยกเู้ งินตามหนงั สือสญั ญากเู้ งินอีกฉบบั หน่ึง โดยรับเงิน 400,000 บาท ไป
แลว้ จาเลยใหก้ ารต่อสูว้ า่ ตามหนงั สือสญั ญากเู้ งินดงั กลา่ วจาเลยกเู้ งินและรับเงินจากโจทกต์ ามหนงั สือสญั ญากเู้ งินมาเพียง 40,000
บาท แต่โจทกก์ รอกจานวนเงินกถู้ ึง 400,000 บาท โจทกม์ ีหนา้ ที่ตอ้ งมอบเงินท่ีขาดอยอู่ ีก 360,000 บาท แก่จาเลย โดยจาเลยไม่ไดใ้ ห้
การวา่ จาเลยไดช้ าระหน้ีตามหนงั สือสญั ญากเู้ งินไปแลว้ เพียงใด การท่ีจาเลยนาสืบวา่ จาเลยชาระเงินตามหนงั สือสญั ญากเู้ งินใหโ้ จทก์
แลว้ 55,000 บาท จึงเป็นการนาสืบนอกเหนือจากที่ใหก้ ารต่อสูไ้ วไ้ มอ่ าจรับฟังได้ โจทกแ์ ละจาเลยนาสืบรับกนั วา่ โจทกค์ ิดดอกเบ้ีย
จากจาเลยในอตั ราร้อยละ 5 ต่อเดือนและโจทกย์ งั เบิกความวา่ หลงั จากทาหนงั สือสญั ญากเู้ งินแลว้ จาเลยชาระดอกเบ้ียใหแ้ ก่โจทก์
เดือนละ 2500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวมเป็นเงิน 7,500 บาท ดอกเบ้ียท่ีจาเลยชาระไปจึงเกิดจากการเรียกดอกเบ้ียเกินอตั ราที่
กฎหมายกาหนดเป็นการฝ่ าฝื นพระราชบญั ญตั ิหา้ มเรียกดอกเบ้ียเกินอตั รา พ. ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชยม์ าตรา 654 ขอ้ ตกลงเรื่องดอกเบ้ียยอ่ มตกเป็นโมฆะ แมไ้ มม่ ีคู่ความฝ่ ายใดฎีกา แต่เป็นขอ้ กฎหมายอนั เก่ียวดว้ ยความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวนิ ิจฉยั ไดต้ ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบดว้ ย
มาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) จาเลยยอมชาระดอกเบ้ียเกินอตั ราท่ีกฎหมายกาหนดไวแ้ ก่โจทกซ์ ่ึงตกเป็นโมฆะ ถือไดว้ า่ เป็นการ
ชาระหน้ีฝ่ าฝื นขอ้ หา้ มตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 411 จาเลยหาอาจจะเรียกร้องใหค้ ืนเงินดอกเบ้ียท่ี
ชาระไดไ้ ม่ โจทกใ์ นฐานะผใู้ หก้ เู้ ป็นฝ่ ายเรียกดอกเบ้ียเกินอตั ราที่กฎหมายกาหนดไวจ้ ากจาเลย เม่ือขอ้ ตกลงเรื่องดอกเบ้ียตกเป็น
โมฆะ และจาเลยไม่อาจเรียกร้องใหค้ ืนเงินดอกเบ้ียท่ีชาระฝ่ าฝื นขอ้ หา้ มตามกฎหมายได้ โจทกก์ ย็ อ่ มไม่มีสิทธ์ิไดด้ อกเบ้ียดงั กล่าว
ดว้ ย ตอ้ งนาดอกเบ้ียท่ีจาเลยชาระใหแ้ ก่โจทกไ์ ปหกั เงินตน้ ตามหนงั สือสญั ญากเู้ งิน
ฎีกำที่ 156/2561 คาฟ้องและคาขอทา้ ยฟ้องโจทกเ์ ป็นกรณีขอใหศ้ าลเพิกถอน นิติกรรมการจดทะเบียนท่ีดินพิพาทระหวา่ ง
จาเลยที่ 1 และท่ี 2 อนั สืบเนื่องมาจากจาเลยท่ี 1 โอนท่ีดินพิพาทใหแ้ ก่จาเลยที่ 2 โดยเสน่หาท้งั แปลง มิใช่เป็นเร่ืองที่โจทกฟ์ ้องร้อง
ขอใหบ้ งั คบั หรือไม่บงั คบั ตามสญั ญาให้ ที่โจทกก์ บั จาเลยท้งั สองเป็นคู่สญั ญาที่ก่อนิติสมั พนั ธก์ นั เอง การที่จาเลยท้งั สองนาสืบวา่
จาเลยที่ 1 ขายท่ีดินพิพาทใหแ้ ก่จาเลยที่ 2 ในราคา 400,000 บาท แต่เพ่ือใหเ้ สียค่าธรรมเนียมนอ้ ยลง จึงแจง้ เจา้ พนกั งานที่ดินวา่ เป็น
การใหแ้ ทนการซ้ือขายน้นั เป็นกรณีที่จาเลยท้งั สองนาสืบถึงเจตนาท่ีแทจ้ ริงของการทานิติกรรมหรือมูลเหตุที่มาของการทาสญั ญาให้
ระหวา่ งจาเลยท้งั สอง แมส้ ญั ญาใหท้ ี่ดินจะระบุวา่ จาเลยที่ 1 ยกท่ีดินพิพาทใหจ้ าเลยท่ี 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน เพราะผรู้ ับการใหเ้ ป็น
107
หลานของผใู้ ห้ จาเลยท้งั สองกม็ ีสิทธินาสืบพยานบุคคลใหเ้ ห็นวา่ การใหท้ ่ีดินพิพาทตามสญั ญาเป็นการใหท้ ่ีดินโดยมีค่าภาระติดพนั
ได้ กรณีจึงไม่ใช่เป็นการนาสืบพยานบุคคลแกไ้ ขเปลี่ยนแปลงเอกสารอนั จะตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 94 (ข) ศาลอทุ ธรณ์ภาค 5 จึงมีอานาจวนิ ิจฉยั วา่ การโอนท่ีดินระหวา่ งจาเลยท้งั สองเป็นการโอนโดยเสียค่าตอบแทน เม่ือจาเลย
ที่ 2 ซ่ึงเป็นบุคคลภายนอกกระทาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทกจ์ ึงฟ้องขอใหเ้ พิกถอนนิติกรรมการโอนท่ีดินพิพาทระหวา่ ง
จาเลยท้งั สองมิไดต้ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 1480 วรรคหน่ึงตอนทา้ ย
ฎีกำท่ี 4573/2561 ก่อนฟ้องหน้ีบตั รเครดิตจะตอ้ งมีหนงั สือแจง้ เตือนลูกหน้ีไม่นอ้ ยกวา่ 20 วนั ตามประกาศธนาคารแห่ง
ประเทศไทยท่ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อคุม้ ครองผบู้ ริโภคแต่ถา้ ไม่มีหนงั สือ มาส่งศาลในตอนสืบพยานกใ็ ชพ้ ยานบุคคลสืบแทนไดเ้ พราะ
กฎหมายไมไ่ ดบ้ งั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานเอกสารมาแสดงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 จึงไม่ตอ้ งหา้ มตามมาตรา
94(ก)
ฎีกำที่ 5042/2561 การต้งั ตวั แทนเชิดเพ่ือทากิจการอนั ใด ไมอ่ ยใู่ นบงั คบั ที่ตอ้ งทาเป็นหนงั สือหรือมีหลกั ฐานเป็นหนงั สือ
ตวั การฟ้องเรียกทรัพยค์ ืนจากตวั แทน แมไ้ มม่ ีหลกั ฐานเป็นหนงั สือกฟ็ ้องร้องใหบ้ งั คบั คดีกนั ได้ และการที๋โจทกน์ าสืบพยานบุคคล
ในความจริงวา่ จาเลยเป็นตวั แทนของโจทกน์ ้นั มิใช่การนาสืบเพ่ิมเติมเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขเอกสาร
ฎกี ำท่ี 2800/2561 โจทกฟ์ ้องขอใหจ้ าเลยท้งั สองชดใชห้ น้ีเงินกใู้ หโ้ ทกต์ ามหนงั สือสญั ญารับสภาพหน้ีจาเลยท้งั สองใหก้ าร
ต่อสูว้ า่ จาเลยที่ 1 ไมไ่ ดก้ เู้ งินจากโจทกแ์ ละไมเ่ คยทาหนงั สือรับสภาพหน้ีไวแ้ ก่โจทก์ ลายมือช่ือในช่องผผู้ อ่ นชาระในหนงั สือรับ
สภาพหน้ีมิใช่ลายมือชื่อของจาเลยท้งั สอง แต่เป็นลายมือชื่อปลอม ภาระการพิสูจนค์ วามถกู ตอ้ งแทจ้ ริงแห่งเอกสารหนงั สือรับสภาพ
หน้ีตกแก่โจทก์ ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 มิใช่ตกแก่จาเลยท่ี 1
ฎีกำท่ี 2359/2561 มาตรา 94 (ข) สืบพยานบุคคลแกไ้ ขเอกสารการมอบอานาจใหบ้ ุคคลใดเป็นผแู้ ทนตนในคดีตอ้ งทาเป็น
หนงั สือตามป.วิแพ่ง มาตรา 60 วรรคสองการมอบอานาจใหฟ้ ้องคดีจึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานเอกสารมาแสดง
ตามป.วิแพ่งมาตรา 94 วรรคหน่ึง เมื่อหนงั สือมอบอานาจที่โจทกใ์ ชอ้ า้ งเป็นพยานหลกั ฐานในคดีน้ีมิไดร้ ะบุใหผ้ รู้ ับมอบอานาจมี
อานาจย่ืนฟ้องต่อศาลดว้ ย จึงมีลกั ษณะเป็นการมอบอานาจโดยไมร่ ะบุกิจการใหผ้ รู้ ับมอบอานาจมีอานาจยื่นฟ้องต่อศาล หนงั สือ
มอบอานาจตามฟ้อง จึงเป็นหนงั สือมอบอานาจทวั่ ไปตามป.พ.พ.มาตรา 801 วรรคหน่ึง ผรู้ ับมอบอานาจจึงไม่มีอานาจฟ้องคดีแทน
โจทก์ โจทกจ์ ะนาพยานบุคคลมาสืบวา่ ผมู้ อบอานาจมีอานาจฟ้องคดีแทนโจทกไ์ ม่ได้ เป็นการนาสืบพยานบุคคลเพ่ิมเติมหรือ
เปลี่ยนแปลงแกไ้ ขพยานเอกสาร ซ่ึงตอ้ งหา้ มตาม ป.วแิ พ่ง มาตรา 94 (ข)
ฎีกำที่ 722/2561 ศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้องโจทกท์ ้งั สอง โจทกท์ ่ี 1 อุทธรณ์ โจทกท์ ี่ 2 ไม่ไดอ้ ทุ ธรณ์ คดีสาหรับโจทกท์ ่ี 2
ยตุ ิไปตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ โจทกท์ ่ี 2 ไม่อาจฎีกาคาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ โจทกท์ ี่ 1 ฟ้องวา่ ล.ถึงแก่ความตาย
ที่ดินเป็นทรัพยม์ รดกตกทอดแก่ทายาทซ่ึงรวมท้งั โจทกท์ ่ี 1 ดว้ ยแต่เม่ือโจทกท์ ่ี 1 ยน่ื คาร้องขอเป็นผจู้ ดั การมรดกของ ล. และศาลมี
คาสง่ั ต้งั โจทกท์ ี่ 1 เป็นผจู้ ดั การมรดกแลว้ จาเลยกลบั คดั คา้ นวา่ ล.ไดท้ าพินยั กรรมยกที่ดินใหแ้ ก่จาเลยแต่เพียงผเู้ ดียว จนเป็นเหตุให้
108
ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั เพิกถอนโจทกท์ ่ี 1 ออกจากการเป็นผูจ้ ดั การมรดกและแต่งต้งั จาเลยเป็นผจู้ ดั การมรดกแทน เมื่อโจทกท์ ่ี 1 อา้ งวา่
พินยั กรรมดงั กล่าวเกิดข้ึนโดย กลฉอ้ ฉลอาศยั ความชราและสติสมั ปชญั ญะไมส่ มบูรณ์ของ ล.ท้งั การทาพินยั กรรมไมช่ อบดว้ ย
กฎหมายตกเป็นโมฆะ ภาระการพิสูจนต์ กแก่โจทกท์ ี่ 1 ผกู้ ล่าวอา้ งท่ีจะนาสืบวา่ พินยั กรรมทาข้ึนโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมายตกเป็น
โมฆะ หาใช่ตกแก่จาเลยไม่
ฎกี ำที่ 4223/2561 โจทกบ์ รรยายฟ้องกลา่ วอา้ งวนั เวลาท๋ีโจทกแ์ ละจาเลยท้งั สองตกลงทาสญั ญาซ้ือขาย จานวน และราคา
สินคา้ ต่อหน่วย โดยโจทกส์ ่งมอบและจาเลยที่ 1 ไดร้ ับมอบสินคา้ ถกู ตอ้ งครบถว้ นแลว้ แต่จาเลยที่ 1 ชาระค่าสินคา้ แก่โจทกเ์ พียง
บางส่วนพร้อมกบั แนบเอกสารใบรับรองการรมควนั ยา รายการบรรจุหีบห่อ ใบกากบั สินคา้ และใบตราส่งมาทา้ ยคาฟ้องซ่ึงถือเป็น
ส่วนหน่ึงของคาฟ้องดว้ ย จาเลยท้งั สองมิไดใ้ หก้ ารปฏิเสธวา่ ไม่ไดซ้ ้ือสินคา้ จากโทกใ์ นจานวนและราคาตามฟ้องหรือไมไ่ ดร้ ับสินคา้
หรือไดร้ ับสินคา้ ไม่ครบถว้ น คงใหก้ ารต่อสูเ้ พียงวา่ จาเลยท้งั สองไม่มีหน้ีคา้ งชาระคา่ สินคา้ แก่โจทกต์ ามฟ้อง และอา้ งรายละเอียด
ในทางปฏิบตั ิท่ีผา่ นมาเก่ียวกบั การขนส่งและวิธีการชาระเงินค่าสินคา้ ระหวา่ งกนั วา่ จาเลยท้งั สองจะใชว้ ิธีโอนเงินผา่ นธนาคารในแต่
ละคร้ังท่ีไดร้ ับสินคา้ ท๋ีโจทกส์ ่งมา หากจาเลยท้งั สองยงั คงมีหน้ีที่คา้ งชาระแก่โจทกต์ ามคาฟ้องของโจทกค์ งไม่ขายและส่งสินคา้
ใหแ้ ก่จาเลยท้งั สองรอบต่อมาแน่นอน เม่ือตามคาใหก้ ารจาเลยท้งั สองต่อสูเ้ พียงวา่ จาเลยท้งั สองไม่มีหน้ีคา้ งชาระแก่โจทกจ์ ึงตอ้ งถือ
วา่ จาเลยท้งั สองยอมรับตามขอ้ อา้ งของโจทกท์ ่ีวา่ จาเลยท่ี 1 สงั่ ซ้ือและไดร้ ับมอบสินคา้ ครบถว้ นตามจานวนและราคาท๋ีโจทก์
บรรยายมาในคาฟ้องแลว้ คดีไม่มีประเดน็ ที่จะตอ้ งวินิจฉยั วา่ โจทกส์ ่งมอบสินคา้ และจาเลยที่ 1 ไดร้ ับมอบสินคา้ ครบถว้ นตามจานวน
ท่ีโจทกก์ ล่าวอา้ งหรือไม่
สญั ญาซ้ือขายเป็นสญั ญาต่างตอบแทน เมื่อจาเลยท่ี 1 ผซู้ ้ือไดร้ ับมอบสินคา้ ท่ีตนซ้ือไวแ้ ลว้ ก็ตอ้ งใชร้ าคา
ตามขอ้ สญั ญาซ้ือขายแก่โจทกผ์ ขู้ าย โจทกฟ์ ้องอา้ งวา่ จาเลยท่ี 1 คา้ งชาระค่าสินคา้ ท่ีไดร้ ับจากโจทก์ แต่จาเลยท่ี 1 ชาระค่าสินคา้ ใหแ้ ก่
โจทกเ์ พียงบางส่วน การท่ีจาเลยท้งั สองกล่าวอา้ งวา่ ไม่มีหน้ีคา้ งชาระแก่โจทกต์ ามฟ้อง จาเลยท้งั สองจึงมีภาระการพิสูจนใ์ หไ้ ดต้ าม
ขอ้ อา้ ง
109
110
-------------- ว.ิ อาญา ข้อ 8 ---------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 64)
*ไม่ปรากฏคาพิพากษาที่เก่ียวขอ้ งในสมยั บรรยายน้ี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 65)
ฎกี ำที่ 312/2555 ศาลไมไ่ ดร้ ับฟังคาใหก้ ารรับสารภาพของจาเลยท้งั สามวา่ ไดก้ ระทาความผิดในช้นั จบั กุมมารับฟังใหเ้ ป็น
ผลร้ายแก่จาเลยท้งั สาม เพียงแต่รับฟังถอ้ ยคาอ่ืน ๆ ที่ประกอบในรายละเอียดของบนั ทึกการจบั กุมเกี่ยวกบั การติดต่อนาเงินมาใชล้ อ่
ซ้ือเมทแอมเฟตามีนของเจา้ พนกั งานตารวจเท่าน้นั ซ่ึงไม่มีกฎหมายหา้ มมิใหร้ ับฟัง
ฎีกำท่ี 2069/2554 ท่ีพนั ตารวจตรีสมคิดเบิกความวา่ จาเลยท่ี 2 มีประวตั ิเกี่ยวขอ้ งกบั เมทแอมเฟตามีน โดยเคยถูกจบั ขอ้ หามี
เมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครอง และจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามเอกสารหมาย จ. 10 น้นั เห็นวา่ ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 226/2 บญั ญตั ิหา้ มมิใหศ้ าลรับฟังพยานหลกั ฐานที่เก่ียวกบั การกระทาความผดิ คร้ังอ่ืน ๆ เพื่อพิสูจนว์ า่
จาเลยเป็นผกู้ ระทาความผิดในคดีที่ฟ้อง....ศาลจึงนาประวตั ิของจาเลยที่ 2 ที่เคยเกี่ยวขอ้ งกบั ยาเสพติดใหโ้ ทษมารับฟังเพื่อพิสูจนว์ า่
จาเลยทาผิดคดีน้ีไม่ได้ เมื่อเจา้ พนกั งานตารวจตรวจคน้ เมทแอมเฟตามีนของกลางไดจ้ ากจาเลยท่ี 1 เพียงคนเดียว โดยจาเลยท่ี 1
ยืนยนั ทนั ทีวา่ จาเลยท่ี 2 ไม่มีส่วนรู้เห็น และจาเลยท่ี 2 ใหก้ ารปฏิเสธตลอดมาต้งั แต่ช้นั จบั กมุ จนถึงช้นั ศาล พยานหลกั ฐานของโจทก์
จึงไม่มีน้าหนกั เพียงพอท่ีจะรับฟังลงโทษจาเลยท่ี 2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทกส์ าหรับจาเลยท่ี 2 มาน้นั ศาลฎีกาเห็น
พอ้ งดว้ ย ฎีกาของโจทกฟ์ ังไม่ข้ึน
ฎีกำที่6243/2554 บนั ทึกการจบั กมุ ระบุวา่ จาเลยที่ 1 และท่ี 2 ยืนยนั ใหก้ ารรับสารภาพและจาเลยท่ี 1 ใหก้ ารรายละเอียดแก่
เจา้ พนกั งานวา่ รับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจาเลยท่ี 2ซ่ึงมิใช่คาใหก้ ารรับสารภาพของจาเลยท่ี 1 จึงรับฟังเป็นพยานหลกั ฐาน
เพ่ือพิสูจนค์ วามผิดของจาเลยที่ 2 ได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
111
(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 66)
ฎีกำที่ 1563/2555 ในคดีอาญาโจทกม์ ีหนา้ ท่ีนาสืบพยานหลกั ฐานใหร้ ับฟังไดโ้ ดยปราศจากขอ้ สงสยั วา่ จาเลยกระทา
ความผดิ ตามฟ้องจริงหรือไม่น้นั เม่ือพิจารณาบนั ทึกคาเบิกความของผเู้ สียหาย ซ่ึงเป็นประจกั ษพ์ ยานไดค้ วามทานองเดียวกนั วา่ เห็น
เหตุการณ์ขณะที่คนร้ายใชอ้ าวธุ ปื นยิงผเู้ สียหายกบั ผตู้ ายจดจาไดว้ า่ จาเลยเป็นคนรายท่ีขบั รถจกั รยานยนต์ และไดช้ ้ีจาเลยในคดีอาญา
หมายเลขดาท่ี 279/2547 ของศาลช้นั ตน้ ดว้ ย แต่กเ็ ป็นการเบิกความในคดีอื่น ไมไ่ ดก้ ระทาต่อหนา้ จาเลยในคดีน้ีแมต้ าม ป.วิ.อ.มาตรา
226/5 ศาลอาจรับฟังคาเบิกความของพยานท่ีเบิกความไวใ้ นคดีอื่นประกอบพยานหลกั ฐานอ่ืนในคดีได้ แต่การท่ีโจทกแ์ ละจาเลย
แถลงยอมรับคาเบิกความของประจกั ษพ์ ยานโจทกท์ ุกปาก แลว้ โจทกไ์ ม่ติดใจนาประจกั ษพ์ ยานดงั กล่าวเขา้ สืบ โดยไม่ปรากฏ
ขอ้ เทจ็ จริงวา่ เหตุใดประจกั ษพ์ ยานโจทกแ์ ต่ละปาก จึงไม่สามารถมาเบิกความได้ จึงไม่ใช่กรณีมีเหตุจาเป็นหรือเหตุสมควรท่ีศาล
อาจรับฟังบนั ทึกคาเบิกความของประจกั ษพ์ ยานท้งั หาปากในคดีอาญาหมายเลขดาที่ 279/2547 ของศาลช้นั ตน้ ประกอบ
พยานหลกั ฐานอ่ืนในช้นั พิจารณาได้
ฎีกำที่ 9364/2555 ผเู้ สียหายไดร้ ับหมายเรียกใหม้ าเป็นพยานท่ีศาลแต่ถึงวนั นดั กลบั ไม่มาศาลและไมไ่ ดแ้ จง้ เหตุขดั ขอ้ ง
ศาลช้นั ตน้ จึงออกหมายจบั ผเู้ สียหายเพ่ือเอาตวั มาเป็นพยานแต่กไ็ มไ่ ดต้ วั ผเู้ สียหายมาเบิกความต่อศาล ถือไดว้ า่ มีเหตุจาเป็นเนื่องจาก
ไม่สามารถนาผเู้ สียหายซ่ึงเป็นผทู้ ่ีไดเ้ ห็นและไดย้ นิ ในเร่ืองที่จะใหก้ ารเป็นพยานน้นั ดว้ ยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผล
สมควรเพื่อประโยชนแ์ ห่งความยตุ ิธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเลา่ น้นั ศาลสามารถนาพยานบอกเลา่ น้ี (คาใหก้ ารของผเู้ สียหายในช้นั
สอบสวน)ไปฟังประกอบพยานหลกั ฐานอื่นของโจทกไ์ ด้ ไม่ไดต้ อ้ งหา้ มมิใหร้ ับฟังเสียเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญามาตรา 226/3 วรรคสอง (2)
ฎีกำท่ี 11713/2554 แมค้ าใหก้ ารในช้นั สอบสวนของผเู้ สียหายจะเป็นพยานบอกเลา่ แต่เม่ือไดค้ วามวา่ โจทกไ์ ม่สามารถนา
ผเู้ สียหายมาเบิกความเป็นพยาน เน่ืองจากหลงั เกิดเหตุผเู้ สียหายหลบหนีออกจากบา้ นไป ไม่อาจหาตวั และท่ีอยไู่ ด้ แต่ผเู้ สียหายไดใ้ ห้
การต่อพนกั งานสอบสวนนกั สงั คมสงเคราะห์ และพนกั งานอยั การไว้ ตามบนั ทึกคาใหก้ ารผเู้ สียหายอนั เป็นการปฏิบตั ิตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 133 ทวิ แลว้ ศาลยอ่ มรับฟังคาใหก้ ารของผเู้ สียหายประกอบกบั พยานหลกั ฐานอื่นของโจทกซ์ ่ึงเป็นพยานแวดลอ้ มที่อยู่
ใกลช้ ิดกบั เหตุการณ์ได้
ฎกี ำที่ 2281/2555 เทปบนั ทึกเสียงท่ีแอบบนั ทึกขณะมีการสนทนาระหวา่ งโจทกร์ ่วมกบั พยานและจาเลยที่ 2 โดยโจทกร์ ่วม
และพยานไม่ทราบมาก่อนเป็นการแสวงหาพยานหลกั ฐานโดยมิชอบ หา้ มมิใหศ้ าลรับฟังเป็นพยานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226 แมห้ ลกั
กฎหมายดงั กล่าวจะใชต้ ดั พยานหลกั ฐานของเจา้ พนกั งานของรัฐเพ่ือคุม้ ครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในกรณีเจา้ พนกั งานของรัฐ
ใชว้ ธิ ีการแสวงหาพยานหลกั ฐานโดยมิชอบ แต่ ป.ว.ิ อ. มาตรา 226 ไม่ไดบ้ ญั ญตั ิหา้ มไม่ใหน้ าไปใชก้ บั การแสวงพยานหลกั ฐานของ
บุคคลธรรมดา อยา่ งไรกต็ าม ระหวา่ งพิจารณามี พ.ร.บ.แกไ้ ขเพ่ิมเติม ป.ว.ิ อ. (ฉบบั ที่ 28)ฯ บญั ญตั ิเพิ่มเติมมาตรา 226/1 ใน ป.วิ.อ.
กาหนดใหศ้ าลรับฟังพยานหลกั ฐานท่ีไดม้ าโดยมิชอบไดถ้ า้ พยานหลกั ฐานน้นั จะเป็นประโยชนต์ ่อการอานวยความยตุ ิธรรมมากกวา่
112
ผลเสียอนั เกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยตุ ิธรรมทางอาญา ซ่ึงบทบญั ญตั ิดงั กล่าวเป็นคุณแก่จาเลยท่ี 2 จึงตอ้ งนา
บทบญั ญตั ิดงั กล่าวมาใชบ้ งั คบั ในการรับพยานหลกั ฐานของจาเลยที่ 2 ดงั น้นั เทปบนั ทึกเสียงรวมท้งั บนั ทึกการถอดเทปดงั กลา่ วแม้
จะไดม้ าโดยมิชอบ แต่เมื่อศาลนามาฟังจะเป็นประโยชนต์ ่อการอานวยความยตุ ิธรรมมากกว่าผลเสียอนั เกิดจากผลกระทบต่อ
มาตรฐานของระบบงานยตุ ิธรรมทางอาญาตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว ศาลฎีกาจึงนาพยานหลกั ฐานดงั กลา่ วมารับฟังได้ เมื่อพิจารณา
เน้ือหาจากบนั ทึกการถอดเทปดงั กล่าวไดค้ วามวา่ โจทกร์ ่วมไม่สมคั รใจและไม่มีความเป็นอิสระในการช้ีตวั จาเลยที่ 2 จึงมีขอ้ สงสยั
ตามสมควรวา่ โจทกร์ ่วมและ ก. พยานโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมไดช้ ้ีภาพถ่ายจาเลยที่ 2 และตวั จาเลยท่ี 2 ผิดตวั หรือไม่ พยานหลกั ฐาน
ของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมจึงมีเหตุอนั ควรสงสยั ตามสมควรวา่ จาเลยที่ 2 ไดก้ ระทาความผดิ ตามที่โจทกฟ์ ้องหรือไม่ ใหย้ กประโยชน์
แห่งความสงสยั น้นั ใหแ้ ก่จาเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
ฎกี ำที่ 961-962/2555 การที่เจา้ พนกั งานตารวจใช้ ผ. ไปลอ่ ซ้ือเมทแอมเฟตามีนจากจาเลยที่ 1 ซ่ึงมีไวใ้ นครอบครองเพื่อ
จาหน่ายอยแู่ ลว้ และก่อนหนา้ น้ี ผ. กเ็ คยซ้ือเมทแอมเฟตามีนจากจาเลยที่ 1 จานวน 100 เมด็ และถกู เจา้ พนกั งานตารวจจบั กุมได้ การ
ล่อซ้ือดงั กล่าวเป็นวิธีการแสวงหาพยานหลกั ฐานในการกระทาความผิดของจาเลยที่ 1 ท่ีไดก้ ระทาอยแู่ ลว้ มิไดล้ อ่ ซ้ือหรือชกั จูงใจให้
จาเลยที่ 1 กระทาความผิดอาญาที่จาเลยท่ี 1 ไม่ไดก้ ระทาความผดิ มาก่อน การกระทาของเจา้ พนกั งานตารวจเป็นเพียงวธิ ีการเพื่อ
พิสูจนค์ วามผิดของจาเลยที่ 1 และเป็นการขยายผลในการปราบปราม มิใช่เป็นการแสวงหาพยานหลกั ฐานโดยมิชอบดว้ ยกฎหมาย
ฎกี ำที่ 5718/2555 การดาเนินคดีในศาลไมว่ า่ จะเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง นอกจากเน้ือหาแห่งคดี ซ่ึงมีการต่อสูค้ ดีกนั ตาม
กฎหมายสารบญั ญตั ิแลว้ คู่ความและผเู้ กี่ยวขอ้ งกบั คดียงั มีหนา้ ที่ตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎหมายวิธีสบญั ญตั ิ ซ่ึงกาหนดหลกั เกณฑใ์ หค้ ู่ความ
และผเู้ ก่ียวขอ้ งตอ้ งปฏิบตั ิตาม เพ่ือคุม้ ครองส่งเสริมใหก้ ารดาเนินคดีในเน้ือหาตามกฎหมายสารบญั ญตั ิ เป็นไปโดยถูกตอ้ งและเป็น
ธรรมแก่ผเู้ ก่ียวขอ้ งทุกฝ่ ายในคดีโดยเสมอภาคกนั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 40 การฟ้องคดีแพ่งท่ีเกี่ยวเน่ืองกบั คดีอาญา จะฟ้องต่อศาลซ่ึง
พิจารณาคดีอาญาหรือต่อศาลที่มีอานาจชาระคดีแพ่งกไ็ ด้ แต่ไมว่ า่ จะฟ้องต่อศาลไหน การพิจารณาคดีแพง่ กต็ อ้ งเป็นไปตาม
บทบญั ญตั ิแห่ง ป.ว.ิ พ.
ฎีกำท่ี 1152/2556 ถอ้ ยคาของจาเลยในบนั ทึกการขบั กมุ จาเลยที่วา่ จาเลยรู้จกั และมีความสมั พนั ธล์ ึกซ้ืงกบั ส. จาเลยใน
คดีอาญาอีกเร่ืองหน่ึงมาประมาณ 2 เดือน และจาเลยขบั รถไปรับ ส. มิใช่เป็นคารับสารภาพของผถู้ ูกจบั วา่ ตน้ ไดก้ ระทาความผดิ เม่ือ
เจา้ พนกั งานตารวจผจู้ บั ไดแ้ จง้ สิทธิใหแ้ ก่จาเลยทราบแลว้ วา่ จาเลยมีสิทธิที่จะใหก้ ารหรือไม่กไ็ ด้ และถอ้ ยคาของจาเลยอาจใชเ้ ป็น
พยาน หลกั ฐานในการพิจารณาคดีได้ จึงรับฟังเป็นพยานหลกั ฐานในการพิสูจนค์ วามผดิ ของจาเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวธิ ี
พิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคทา้ ย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
113
(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 67)
ฎกี ำท่ี 4327/2556 พนั ตารวจโท ว. เบิกความวา่ ไดท้ าการสอบปากคา ส. เพ่ือขยายผลโดยอธิบายขอ้ กฎหมายตามมาตรา
100/2 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดใหโ้ ทษวา่ หากใหก้ ารท่ีเป็นประโยชนต์ ่อเจา้ พนกั งานตารวจในการสืบสวนขยายผลจะไดร้ ับโทษ
นอ้ ยลง จากคาเบิกความของพนั ตารวจโท ว. ดงั กล่าว จะเห็นไดว้ า่ เป็นการแจง้ ถึงการไดร้ ับประโยชนจ์ ากบทบญั ญตั ิของกฎหมาย
ตาม พ.ร.บ. นาเสพติดใหโ้ ทษให้ ส. ทราบ ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ี ส. จะตดั สินใจเองวา่ จะกระทาการใหข้ อ้ มลู สาคญั อนั เป็นประโยชนใ์ นการ
ปราบปรามยาเสพติดใหโ้ ทษตามบทบญั ญตั ิของ พ.ร.บ. ยาเสพติดใหโ้ ทษหรือไม่ จึงมิใช่กรณีท่ีพนั ตารวจโท ว. กระทาการจูงใจและ
ใหค้ ามน่ั สญั ญาแก่ ส. ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 226
ฎกี ำที 9600/2554 ร. ผรู้ ับมอบอานาจช่วงจากผเู้ สียหายวา่ จา้ งจาเลยใหบ้ นั ทึกเพลงของผเู้ สียหายลงแผ่นซีดีและวีซีดีคาราโอ
เกะอนั เป็นการก่อใหจ้ าเลยทาซ้าซ่ึงงานดนตรีกรรม สิ่งบนั ทึกเสียง และโสตทศั นวสั ดุอนั มีลิขสิทธ์ิของผเู้ สียหายซ่ึงเป็นความผิด
ตามที่โจทกฟ์ ้อง จาเลยมิไดก้ ระทาความผดิ โดยทาซ้างานอนั มีลิขสิทธ์ิของผเู้ สียหายตามที่โจทกฟ์ ้องอยกู่ ่อนแลว้ และนาแผน่ ซีดีและ
วีซีดีคาราโอเกะที่ทาข้ึนโดยละเมิดลิขสิทธ์ิของผเู้ สียหายน้นั ออกขายแก่ ร. ผลู้ ่อซ้ืออนั จะถือเป็นการแสวงหาพยานหลกั ฐานเพื่อ
พิสูจนว์ า่ จาเลยไดก้ ระทาการละเมิดลิขสิทธ์ิของผเู้ สียหายตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธ์ิ พ.ศ.2537 มาตรา 31 (1) เมื่อ ร. ผรู้ ับมอบอานาจช่วง
จากผเู้ สียหายเป็นผกู้ ่อใหจ้ าเลยกระทาการละเมิดลิขสิทธ์ิของผเู้ สียหายตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธ์ิ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคหน่ึง ประกอบ
มาตรา 27 (1) และ 28 (1) เพื่อใหเ้ จา้ พนกั งานจบั จาเลยมาดาเนินคดีน้ี ผเู้ สียหายจึงมิใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั ท่ีมีอานาจร้องทุกขใ์ ห้
ดาเนินคดีแก่จาเลยในความผิดดงั กลา่ วได้ แผน่ ซีดีและวีซีดีคาราโอเกะ ที่ ร. วา่ จา้ งจาเลยใหท้ าข้ึนและวดิ ีโอที่บนั ทึกภาพเหตุการณ์
การบนั ทึกเพลงลงแผน่ ซีดีของจาเลยท่ี ร. แอบถ่ายไวเ้ ป็นพยานหลกั ฐานที่เกิดข้ึนโดยมิชอบและเป็นพยานหลกั ฐานท่ีไดม้ าเน่ืองจาก
การกระทาโดยมิชอบตอ้ งหา้ มมิใหร้ ับฟังเป็นพยานหลกั ฐานเพ่ือพิสูจนค์ วามผิดของจาเลยตามที่โจทกฟ์ ้อง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 68)
ฎกี ำที่ 7103 /2556 โจทกไ์ ม่นาตวั ผเู้ สียหายมาเบิกความต่อศาล จาเลยท้งั สามยอ่ มไมม่ ีโอกาสถามคา้ น เพื่อใหข้ อ้ เทจ็ จริงเป็น
ท่ีกระจ่างแก่ศาลได้ ท้งั เหตุที่โจทกไ์ มน่ าตวั ผเู้ สียหายมาเบิกความ เพราะผเู้ สียหายไม่ประสงคม์ าเบิกความเนื่องจากอาย และไม่อยาก
เอาความแก่ผใู้ ด โจทกจ์ ึงแถลงหมดพยาน เชื่อไดว้ า่ ผเู้ สียหายยงั มีท่ีอยเู่ ป็นหลกั แหล่งและอยใู่ นวิสยั ท่ีโจทกจ์ ะสามารถติดตามตวั
ผเู้ สียหายมาเบิกความเป็นพยานไดแ้ ต่หาไดด้ าเนินการไม่ จึงมิใช่กรณีที่มีเหตุจาเป็นเนื่องจากไมส่ ามารถนาบุคคลซ่ึงเป็นผูไ้ ดเ้ ห็นได้
ยิน หรือทราบขอ้ ความท่ีเก่ียวในเร่ืองท่ีจะใหก้ ารเป็นพยานน้นั ดว้ ยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ แมโ้ จทกจ์ ะมีจ. ท่ีทราบเหตุการณ์
จากผเู้ สียหาย และพนกั งานสอบสวนท่ีเบิกความยนื ยนั ตามเหตุการท่ีไดท้ ราบจากผเู้ สียหาย ซ่ึงลว้ นเป็นพยานบอกเลา่ เมื่อจาเลยท้งั
114
สามใหก้ ารปฏิเสธพยานหลกั ฐานของโจทกย์ อ่ มไม่พอใหร้ ับฟังลงโทษจาเลยท้งั สามได้ สรุป หากผเู้ สียหายไมม่ าเบิกความยอ่ มเป็น
ผลเสียโดยตรงต่อคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3
ฎีกำที 5009/2556 แมค้ ดีน้ีมีโทษถึงประหารชีวติ การสอบสวนคาใหก้ ารของผตู้ อ้ งหาจึงอยใู่ นบงั คบั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา
134/1 วรรคหน่ึง ซ่ึงเป็นสิทธิเดด็ ขาดของผตู้ อ้ งหาท่ีจะไดร้ ับความช่วยเหลือจากรัฐในการจดั หาทนายความให้ เม่ือพนกั งาน
สอบสวนถามแลว้ จาเลยที่ 1 ซ่ึงเป็นผตู้ อ้ งหาขณะน้นั ไม่มีทนายความ เป็นหนา้ ที่ของพนกั งานสอบสวนตอ้ งหาทนายความใหแ้ ก่
จาเลยที่ 1 ตามบนั ทึกคาใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา พนกั งานสอบสวนไดแ้ จง้ ขอ้ หา และแจง้ สิทธิใหจ้ าเลยท่ี1 ทราบและสอบถามเร่ือง
ทนายความ หรือ ผทู้ ี่ไวว้ างใจเขา้ รับฟังการสอบสวน จาเลยท่ี1 ใหก้ ารรับสารภาพโดยไม่ตอ้ งการทนายความหรือ ผทู้ ี่ไวว้ างใจเขา้
รับฟังการสอบสวน
พนกั งานสอบสวนไดท้ าการสอบสวนโดยไมไ่ ดจ้ ดั หาทนายความใหจ้ าเลยที่1 แมเ้ ป็นการไม่ปฏิบตั ิตาม
ป.วิ.อ. มาตรา134/1 วรรคหน่ึง แต่บทบญั ญตั ิมาตรา 134/4 วรรคทา้ ย บญั ญตั ิเพียงวา่ ถอ้ ยคาใดๆที่ผตู้ อ้ งหาใหไ้ วต้ ่อพนกั งาน
สอบสวนก่อนมีการแจง้ สิทธิตามวรรคหน่ึง หรือ ก่อนที่จาดาเนินการตาม มาตรา 134/1 จะรบั ฟังเป็นพยานหลกั ฐานในการพิสูจน์
ความผดิ ของผนู้ ้นั ไม่ได้ ฉะน้นั แมพ้ นกั งานสอบสวนจะไม่ไดจ้ ดั หาทนายความใหจ้ าเลยท่ี1 กไ็ ม่ทาใหก้ ารสอบสวนไม่ชอบแต่อยา่ ง
ใด เมื่อมีการสอบสวนแลว้ โจทกจ์ ึงมีอานาจฟ้อง
ฎีกำที 3432/2557 ความผดิ ฐานแข่งรถในทางโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาตจากเจา้ พนกั งานอนั เป็นความผดิ ต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก
เป็นความผิดอ่ืนซ่ึงกฎหมายมิไดบ้ งั คบั วา่ พนกั งานสอบสวนตอ้ งจดั ใหม้ ีนกั จิตวทิ ยาหรือนกั สงั คมสงเคราะห์ และพนกั งานอยั การเขา้
ร่วมในการสอบปากคาผตู้ อ้ งหาซ่ึงเป็นเดก็ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134/2 ประกอบมาตรา 133 ทวิ แต่อยา่ งใด ประกอบกบั ผตู้ อ้ งหาไม่ได้
ตอ้ งการใหบ้ ุคคลดงั กล่าวเขา้ ร่วมในการสอบปากคา ในช้นั สอบสวนจาเลยใหก้ ารรับสารภาพตลอดขอ้ กลา่ วหาท้งั ยงั ใหข้ อ้ เทจ็ จริงวา่
คืนเกิดเหตุจาเลยไดร้ ่วมแข่งรถดว้ ยและหลงั การแข่งขนั มีเจา้ พนกั งานตารวจเขา้ จบั กุมซ่ึงสอดคลอ้ งกบั คาใหก้ ารของจาเลยในบนั ทึก
คาใหก้ ารช้นั สอบสวน ขอ้ เท็จจริงประกอบคารับสารภาพของจาเลยที่ใหไ้ วต้ ่อพนกั งานสอบสวนตามบนั ทึกคาใหก้ ารช้นั สอบสวน
จึงเป็นพยานหลกั ฐานท่ีพิสูจน์ความผดิ ของจาเลยไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 226
ฎกี ำที 2798/2558 โจทกฟ์ ้อง กล่าวหาวา่ จาเลยท้งั สองกบั พวกร่วมกนั ใชก้ ลอุบายทาทีเป็นขอเช่ารถยนตจ์ ากผเู้ สียหายท่ี3
เพ่ือลกั รถยนต์ โดยโจทกอ์ า้ งวา่ ไดร้ ับทราบขอ้ มูลจาก น. ดงั น้นั โจทกจ์ ึงมีหนา้ ที่ตอ้ งนาสืบใหไ้ ดค้ วามจริงตามขอ้ กล่าวหา แต่
โจทกก์ ลบั มีเพียงคาใหก้ ารของ น. ที่ใหก้ ารไวต้ ่อพนั ตารวจโท ช. ในช้นั สอบสวนเท่าน้นั ซ่ึงเป็นเพียงพยานบอกเลา่ ท้งั จาเลยท้งั
สองกน็ าสืบต่อวา่ น. แต่เพียงผเู้ ดียวเป็นตวั การดาเนินการเกี่ยวกบั การเช่ารถยนตค์ นั ดงั กล่าวท้งั หมด จาเลยท้งั สองมิไดม้ ีส่วน
เก่ียวขอ้ งรู้เห็นดว้ ย คาใหก้ ารในช้นั สอบสวนของ น. เท่ากบั พยานซดั ทอดซ่ึงในการวินิจฉยั ชงั่ น้าหนกั พยานน้ี ศาลจาตอ้ งกระทา
ดว้ ยความระมดั ระวงั และไมค่ วรเชื่อพยานหลกั ฐานน้นั โดยลาพงั เพ่ือลงโทษจาเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 วรรคหน่ึง ดงั น้ีแม้
โจทกอ์ า้ งวา่ ก่อนเกิดเหตุ จาเลยท่ี1 กบั พวกเคยไปเช่ารถยนตท์ ่ีร้าน บ. แลว้ นารถยนตท์ ่ีเช่าไป กไ็ มป่ รากฏวา่ มีการดาเนินคดีแก่
จาเลยที่1 กบั พวกแต่อยา่ งใด ท้งั พยานหลกั ฐานดงั กล่าวเป็นพยานเกี่ยวกบั ความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจาเลยที่ 1 ตอ้ งหา้ มมิ
115
ใหร้ ับฟังตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 226/2 วรรคหน่ึง พยานหลกั ฐานของโจทกจ์ ึงตกเป็นที่สงสยั วา่ จาเลยท้งั สองร่วมกนั กระทาความผดิ
ฐานลกั ทรัพย์ หรือไม่ จึงยกประโยชนแ์ ห่งความสงสยั ใหจ้ าเลยท้งั สอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227วรรคสอง
ฎีกำที 5975/2555 ศาลฎีกาวนิ ิจฉยั วา่ “... มีปญหาขอ้ กฎหมายตอ้ งวินิจฉยั ตามฎีกาของจาเลยประการแรกวา่ การที่ศาล
อุทธรณ์ภาค5 หยิบยกถอ้ ยคาตามบนั ทึกการจบั กมุ ท่ีวา่ มีการตรวจคน้ พบธนบตั รที่ใชล้ อ่ ซ้ือกบั จาเลยรับวา่ เป็นธนบตั รที่ตนไดม้ าจาก
การจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง และคาเบิกความของร้อยตารวจเอกอนุรักษแ์ ละดาบตารวจทวศี กั ด์ิที่เบิกความยืนยนั วา่ จาเลยรับวา้่
ตน้ กญั ชาดงั กลา่ วตนเป็นผปู้ ลกู ข้ึนวินิจฉยั รับฟังเป็นพยานหลกั ฐานลงโทษจาเลยชอบดว้ ยประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา
มาตรา 84 วรรคทา้ ย หรือไม”่
เห็นวา่ บทบญั ญตั ิมาตรา 84 วรรคทา้ ย ท่ีบญั ญตั ิวา่ “ถอ้ ยคาใดๆท่ีผถู้ ูกจบั ใหไ้ วต้ ่อเจา้ พนกั งานผจู้ บั หรือ
หนกั งานฝ่ ายปกครอง หรือตารวจ ในช้นั จบั กมุ หรือ รับมอบตวั ผถู้ ูกจบั ถา้ ถอ้ ยคาน้นั เป็นคารับสารภาพของผถู้ กู จบั วา่ ตนไดก้ ระทา
ความผิด หา้ มมิใหร้ ับฟังเป็นพยานหลกั ฐานแต่ถา้ เป็นถอ้ ยคาอ่ืนจะรับฟังเป็นพยานหลกั ฐานในการพิสูจนค์ วามผิดของผถู้ ูกจบั ได้
ต่อเมื่อไดม้ ีการแจง้ สิทธิตามมาตรา 83 วรรคสอง แก่ผถู้ ูกจบั แลว้ แต่กรณี” มีความหมายวา่ หา้ มมิใหน้ าคารับสารภาพในช้นั จบั กุม
ของผถู้ ูกจบั มารับฟังเป็นพยานหลกั ฐาน แต่ถา้ เป็นถอ้ ยคาอื่นจะรับฟังเป็นพยานหลกั ฐานพิสูจนค์ วามผดิ ของผูถ้ ูกจบั ไดต้ ่อเม่ือมีการ
แจง้ สิทธิตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 84 วรรคหน่ึง หรือ มาตรา 83 วรรคสอง แก่ผถู้ กู จบั แลว้ ถอ้ ยคาตาม
บนั ทึกการจบั กมุ ที่วา่ มีการตรวจคน้ พบธนบตั รท่ีใชล้ อ่ ซ้ือและจาเลยรับวา่ เป็นธนบตั รที่ตนไดม้ าจากการจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน
จริง กบั คาเบิกความของร้อยตารวจเอกอนุรักษแ์ ละดาบตารวจทวศี กั ด์ิท่ียืนยนั วา่ จาเลยรับวา่ ตน้ กญั ชาตนเป็นผปู้ ลูกดงั ที่ศาลอทุ ธรณ์
ภาค4 หยิบยกข้ึนวินิจฉยั น้นั เป็นเพียงถอ้ ยคาอ่ืนที่จาเลยใหไ้ วแ้ ก่เจา้ พนกั งานตารวจผูจ้ บั มิใช่คารับสารภาพในช้นั จบั กมุ ของจาเลย
เมื่อปรากฏตามบนั ทึกการจบั กมุ วา่ เจา้ พนกั งานตารวจผจู้ บั กมุ แจง้ สิทธิแก่จาเลยครบถว้ นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญามาตรา 83 วรรคสองแลว้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค4 นาถอ้ ยคาอ่ืนของจาเลยมารับฟังเป็นพยานหลกั ฐานในการพิสูจนค์ วามผิด
จาเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพ่ือจาหน่ายและจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน กบั ฐานผลิตกญั ชาจึงชอบดว้ ยประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 84 วรรคทา้ ย แลว้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 69)
ฎีกำท่ี 3419/2559 จาเลยฎีกาวา่ คดีน้ีเป็นคดีความผดิ เก่ียวกบั เพศ การถามปากคาผเู้ สียหายที่ 1 ซ่ึงเป็นหญิงในช้นั สอบสวน
ตอ้ งใหพ้ นกั งานสอบสวนซ่ึงเป็นหญิงเป็นผสู้ อบสวน เวน้ แต่ผูเ้ สียหายที่ 1 น้นั ยนิ ยอมหรือมีเหตุจาเป็นอยา่ งอ่ืน และใหบ้ นั ทึกความ
ยนิ ยอมหรือเหตุจาเป็นน้นั ไวต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 133 วรรคส่ี แต่พนกั งานสอบสวนคดีน้ีเป็นชายและไม่ไดม้ ีบนั ทึกความยินยอมหรือ
เหตุจาเป็นน้นั ไว้ จึงเป็นการสอบสวนท่ีไมช่ อบและพนกั งานอยั การไมม่ ีอานาจฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉยั ฎีกาของจาเลยแลว้ เห็นวา่ การท่ี
พนกั งานสอบสวนคดีน้ีไม่ปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 133 วรรคส่ี แมจ้ ะเป็นการไม่ชอบแต่กห็ ามีผลทาใหก้ ารสอบสวนเสีย
ไปท้งั หมดและถือเท่ากบั ไม่มีการสอบสวนในความผิดน้นั มาก่อนอนั จะทาใหพ้ นกั งานอยั การไม่มีอานาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา
120 ไม่ โจทกจ์ ึงมีอานาจฟ้อง ฎีกาของจาเลยฟังไมข่ ้ึน
116
ฎีกำที่ 8959/2558 บนั ทึกคาใหก้ ารในช้นั สอบสวนของผเู้ สียหายและคาเบิกความของพยานโจทกใ์ นส่วนของขอ้ เทจ็ จริงท่ี
ไดร้ ับการบอกเลา่ จากผเู้ สียหายเป็นพยานบอกเล่า แต่สภาพ ลกั ษณะ แหลง่ ท่ีมา และขอ้ เทจ็ จริงแวดลอ้ มของพยานบอกเลา่ เช่นวา่ น้ี
ยอ่ มพิสูจนค์ วามจริงได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา มาตรา 226/3 วรรคสอง(1) ท้งั การที่โจทกไ์ ม่สามารถนาตวั ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นประจกั ษ์
พยานเบิกความในช้นั พิจารณาไดเ้ พราะผเู้ สียหายถกู คนร้ายยิงถึงแก่ความตายเสียก่อน นบั วา่ มีเหตุจาเป็นท่ีโจทกไ์ ม่สามารถนา
ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นผทู้ ่ีไดเ้ ห็นและไดย้ ินในเรื่องท่ีจะใหก้ ารเป็นพยานน้ีดว้ ยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ กรณีน้ีเช่นน้ียอ่ มมีเหตุผล
สมควรเพ่ือประโยชนแ์ ห่งความยตุ ิธรรมที่จะรับฟังคาใหก้ ารของผเู้ สียหายประกอบคาเบิกความพยานโจทกท์ ้งั สองซ่ึงแวดลอ้ มกรณี
ใกลช้ ิดเหตุการณ์ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง(2)
ฎีกำท่ี 5306/2559 ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 ท่ีบญั ญตั ิหา้ มมิโจทกอ์ า้ งจาเลยเป็นพยานน้นั
หมายถึงหา้ มโจทกอ์ า้ งตวั จาเลยเป็นพยานของโจทกใ์ นคดีที่พิจารณาอยเู่ ท่าน้นั แม้ ส. เคยถูกฟ้องร่วมกบั จาเลยท้งั สองมาก่อนแต่ก็
มิใช่ตวั จาเลยในคดีที่โจทกป์ ระสงคจ์ ะอา้ ง ส. เป็นพยานในคดีน้ีเพราะศาลไดส้ ง่ั ใหแ้ ยกฟ้องจาเลยท้งั สองเป็นคดีใหมต่ ่างหากแลว้ จึง
ตอ้ งถือวา่ ส.และจาเลยท้งั สองเป็นจาเลยคนละคดีกนั โจทกจ์ ึงอา้ ง ส.เป็นพยานโจทกใ์ นคดีน้ีไดไ้ ม่ตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. 232
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 70)
ฎกี ำท่ี 960/2559 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 233 วรรคสอง บญั ญตั ิวา่ “ในกรณีที่จาเลยเบิกความเป็น
พยาน คาเบิกความของจาเลยยอ่ มใชย้ งั จาเลยน้นั ได้ และศาลอาจรับฟังคาเบิกความน้นั ประกอบพยานหลกั ฐานอ่ืนของโจทกไ์ ด”้ เมื่อ
จาเลยเบิกความตอบโจทกถ์ ามคา้ นวา่ ก่อนเกิดเหตุคดีน้ีจาเลยถกู ฟ้องที่ศาลจงั หวดั กาแพงเพชรในขอ้ หามีและพาอาวธุ ปื นไปโดย
ไม่ไดร้ ับใบอนุญาต ศาลจงั หวดั กาแพงเพชรพิพากษาลงโทษจาคุกจาเลย 9 เดือน จาเลยพน้ โทษเม่ือวนั ท่ี 16 พฤศจิกายน 2556 คาเบิก
ความของจาเลยจึงใชย้ นั จาเลยไดต้ ามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว ขอ้ เท็จจริงจึงรับฟังไดว้ า่ จาเลยไดร้ ับโทษจาคุกมาก่อนในความผดิ ต่อ
พระราชบญั ญตั ิอาวธุ ปื น เคร่ืองกระสุนปื น วตั ถรุ ะเบิด ดอกไมเ้ พลิง และส่ิงเทียมอาวธุ ปื น พ.ศ. 2490 อนั มิใช่ความผิดท่ีไดก้ ระทา
โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยใู่ นหลกั เกณฑท์ ่ีจะรอการลงโทษจาคุกใหแ้ ก่จาเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
ได้
ฎกี ำ6389/2560 หลงั จากเกิดเหตุ เจา้ พนกั งานตารวจทาการสืบสวนทราบวา่ ในช่วงเวลาใกลก้ บั เวลาเกิดเหตุ จาเลยท้งั
สองกบั พวกนง่ั ร่วมวงดื่มสุราอยทู่ ่ีบา้ นของ ส. ซ่ึงเป็นเสน้ ทางที่ผตู้ ายขบั รถจกั รยานยนตผ์ า่ นมา จึงสอบถามเหตุการณ์จาก ก. และ พ.
ไดค้ วามวา่ ช่วงเวลาเกิดเหตุจาเลยท้งั สองขบั รถจกั รยานยนตอ์ อกจากบา้ นของ ส. ไปประมาณ 20 นาที ตอนแรก จาเลยท้งั สองปฏิเสธ
วา่ ไมร่ ู้เรื่อง แต่เม่ือเจา้ พนกั งานตารวจนาใบเสร็จรับเงินค่าขายขา้ วเปลือก ซ่ึงตรวจยดึ ไดจ้ ากท่ีเกิดเหตุและภาพจากกลอ้ งวงจรปิ ด
ขณะจาเลยนาขา้ วเปลือกไปขายท่ีโรงสี ท. ตามภาพถา่ ย ใหจ้ าเลยท้งั สองดู จาเลยท้งั สองจึงยอมรับวา่ ก่อนเกิดเหตุจาเลยท้งั สองเห็น
ผตู้ ายขบั รถจกั รยานยนตผ์ า่ นหนา้ บา้ นของ ส. ตามลาพงั จาเลยท่ี 2 จึงชวนจาเลยที่ 1 ขบั รถจกั รยานยนตไ์ ลต่ ิดตามไปเพื่อจะข่มขืน
117
กระทาชาเราและเบียดแซงจนรถจกั รยานยนตข์ องผตู้ ายลม้ ลงแลว้ ลงจากรถไปถอดกางเกงผตู้ ายแต่มีรถจกั รยานยนตค์ นั อื่นผา่ นมา
จาเลยท้งั สองจึงรีบขบั รถจกั รยานยนตก์ ลบั ไปยงั กลุ่มเพ่ือนท่ีนง่ั ดื่มสุรา รายละเอียดตามบนั ทึกการซกั ถามและบนั ทึกการใหถ้ อ้ ยคา
การใหถ้ อ้ ยคารับสารภาพดงั กล่าวจึงเกิดข้ึนก่อนที่จาเลยท้งั สองจะถกู เจา้ พนกั งานตารวจจบั กมุ การท่ีจาเลยท้งั สองใหถ้ อ้ ยคารับ
สารภาพแก่เจา้ พนกั งานตารวจดงั กล่าวเป็นการกระทาก่อนท่ีเจา้ พนกั งานตารวจจะจบั กมุ จาเลยท้งั สองเป็นผตู้ อ้ งหา ซ่ึงในกรณีที่มี
ความผิดอาญาเกิดข้ึนยอ่ มเป็นหนา้ ที่ของเจา้ พนกั งานตารวจท่ีจะดาเนินการสืบสวนเพ่ือแสวงหาขอ้ เทจ็ จริงและหลกั ฐานในการหาตวั
คนร้าย การท่ีจาเลยท้งั สองใหถ้ อ้ ยคาแก่เจา้ พนกั งานตารวจดงั กลา่ วจึงหาใช่เป็นการใหถ้ อ้ ยคาในฐานะผถู้ กู จบั ไม่ จึงไม่จาเป็นตอ้ งมี
การแจง้ สิทธิแก่จาเลยท้งั สองก่อน ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 84 วรรคทา้ ย และสามารถนามารับฟังประกอบพยานหลกั ฐานของโจทกแ์ ละ
โจทกร์ ่วมท้งั สองได้
ฎีกำท่ี 2443/2560 ในช้นั จบั กมุ จาเลยใหก้ ารวา่ เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจาเลยและให้ น. เกบ็ ไว้ คาใหก้ ารดงั กล่าว
เป็นถอ้ ยคารับสารภาพของจาเลยผถู้ ูกจบั ใหไ้ วต้ ่อเจา้ พนกั งานตารวจผจู้ บั จึงตอ้ งหา้ มมิใหร้ ับฟังเป็นพยานหลกั ฐานตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 84 วรรคทา้ ย ส่วนคาใหก้ ารในช้นั จบั กมุ ของ น. ที่ใหก้ ารวา่ เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจาเลยที่นามาให้ น. เกบ็ ไวท้ ่ี
ตวั เพื่อรอจาหน่ายแก่บุคคลทว่ั ไป เป็นถอ้ ยคาอ่ืนและรับฟังเป็นพยานหลกั ฐานในการพิสูจนค์ วามผิดของจาเลยตามบทบญั ญตั ิ
ดงั กล่าวได้
คาใหก้ ารช้นั สอบสวนของ น. ที่ใหก้ ารวา่ จาเลยไดม้ อบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้ น. ถือไวก้ ่อน
เนื่องจากจาเลยไปขนไมม้ าเกบ็ ทานองวา่ เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจาเลย เป็นคาซดั ทอดของผรู้ ่วมกระทาความผดิ ส่วน
คาใหก้ ารรับสารภาพช้นั สอบสวนของจาเลยเป็นพยานบอกเล่าซ่ึงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 227/1 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิวา่ ในการวินิจฉยั ชงั่
น้าหนกั พยานบอกเล่า พยานซดั ทอด ศาลจะตอ้ งกระทาดว้ ยความระมดั ระวงั และไมค่ วรเช่ือพยานหลกั ฐานน้นั โดยลาพงั เพื่อลงโทษ
จาเลย เวน้ แต่จะมีเหตุผลอนั หนกั แน่นมีพฤติการณ์พิเศษหรือมีพยานหลกั ฐานประกอบอื่นมาสนบั สนุน เมื่อโจทกไ์ ม่มี
พยานหลกั ฐานอ่ืนมาสนบั สนุนคาซดั ทอดและคาใหก้ ารดงั กลา่ วท้งั น. และจาเลยใหก้ ารในช้นั สอบสวนแตกต่างกนั เก่ียวกบั เมทแอม
เฟตามีน โดย น. ใหก้ ารวา่ เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจาเลย แต่จาเลยใหก้ ารวา่ เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจาเลยและ
น. มีไวร้ ่วมกนั จึงทาใหค้ าใหก้ ารช้นั สอบสวนของ น. ไม่มีเหตุผลอนั หนกั แน่นที่จะรับฟังได้ พยานหลกั ฐานโจทกท์ ี่นาสืบเป็นท่ี
สงสยั วา่ จาเลยกระทาความผิดฐานร่วมกนั มีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพื่อจาหน่ายตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ หรือไม่ ใหย้ ก
ประโยชนแ์ ห่งความสงสยั น้นั ใหแ้ ก่จาเลยตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 227 วรรคสอง
118
( คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 71)
ฎกี ำท่ี 5028/2560 ดาบตารวจ ส. ตรวจคน้ ธนบตั รฉบบั ละ 100 บาท จานวน 3 ฉบบั ซ่ึงเป็นธนบตั รท่ีใชล้ อ่ ซ้ืออยใู่ นกระเป๋ า
กางเกงของจาเลย สอบถามจาเลยใหก้ ารรับวา่ ธนบตั รจานวน 300 บาท ไดม้ าจากการจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจานวน 2
เมด็ ใหแ้ ก่สายลบั ผูล้ อ่ ซ้ือ เมื่อร้อยตารวจตรี จ. นาเมทแอมเฟตามีนของกลางจานวน 2 เมด็ ท่ีไดจ้ ากการล่อซ้ือใหจ้ าเลยดู จาเลย
ยอมรับวา่ เป็นของตนท่ีไดจ้ าหน่ายใหก้ บั สายลบั ถอ้ ยคาของจาเลยดงั กลา่ ว ถือวา่ เป็นถอ้ ยคารับสารภาพของผถู้ ูกจบั วา่ ตนไดก้ ระทา
ความผดิ ตอ้ งหา้ มมิใหร้ ับฟังเป็นพยานหลกั ฐาน ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 84 วรรคทา้ ย ประกอบ พ.ร.บ.วธิ ีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550
มาตรา 3
ฎกี ำท่ี 1289/2561 ป.วิ.อ. มาตรา 232 บญั ญตั ิหา้ มมิใหโ้ จทกอ์ า้ งจาเลยเป็นพยาน ซ่ึงหมายถึงจาเลยในคดีเดียวกนั เมื่อพยาน
บุคคลของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมท้งั ส่ีมิไดเ้ ป็นจาเลยร่วมกบั จาเลยในคดีน้ี กรณีจึงไมต่ อ้ งหา้ มตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว
ฎกี ำท่ี 5134/2560 คาใหก้ ารของจาเลยที่ 1 ที่ใหถ้ อ้ ยคาทนั ทีท่ีถูกจบั และใหก้ ารในช้นั สอบสวนต่อพนกั งานสอบสวน มี
น้าหนกั น่าเช่ือถือเพราะ จาเลยท่ี 1 ไมม่ ีเวลาและโอกาสที่จะคิดกลนั่ แกลง้ ประกนั ผใู้ ดและยงั ใหก้ ารถึงรายละเอียด มิไดม้ ุ่งผลให้
ตวั เองพน้ ผดิ จึงไม่ตอ้ งหา้ มที่จะรับฟัง จาเลยท่ี 2 เม่ือจาเลยที่ 1 ใหก้ ารปรักปราตวั เองแต่กลบั ไม่ใชส้ ิทธ์ิตามกฎหมายในการซกั คา้ น
จาเลยท่ี 1 ยิง่ ทาใหม้ ีพิรุธ ดงั น้นั ศาลจึงนาคาเบิกความของจาเลยท่ี 1 ที่ซดั ทอดจาเลยท่ี 2 มารับฟังประกอบพยานหลกั ฐานโจทกแ์ ละ
ลงโทษจาเลยท่ี 2 ได้
ฎกี ำท่ี 417/2561 พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 180 (เดิม)
บญั ญตั ิวา่ คดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวไดม้ ีคาพิพากษาหรือคาสงั่ แลว้ ใหอ้ ทุ ธรณ์คาพิพากษาไปยงั ศาลอทุ ธรณ์หรือศาลอุทธรณ์
ภาคได้ ตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายวา่ ดว้ ยวธิ ีพิจารณาความเหมือนคดีธรรมดา ... ซ่ึงคดีน้ีศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยมีความผดิ
ตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) จาคุก 1 ปี เปล่ียนโทษจาคุกเป็นส่งตวั จาเลยไปฝึ กอบรมที่ศูนยฝ์ ึ กและอบรมเดก็ และเยาวชน มีกาหนดข้นั
ต่า 1 ปี ข้นั สูง 2 ปี จาเลยอทุ ธรณ์วา่ พยานหลกั ฐานโจทกท์ ี่นาสืบมาฟังไมไ่ ดว้ า่ จาเลยกระทาความผดิ ตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ เป็น
การโตแ้ ยง้ ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลกั ฐานของศาลช้นั ตน้ จึงเป็นการอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งอยภู่ ายใตบ้ ทบญั ญตั ิ ป.
วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ เม่ือความผดิ ฐานลกั ทรัพยใ์ นเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) มีระวางโทษจาคุกต้งั แต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับต้งั
แต่ 2,000 บาท ถึง 10,000 บาท จึงไม่ตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ทุ ธรณ์ตามบทบญั ญตั ิแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชน
และครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 180 (เดิม) ท่ีศาลอุทธรณ์รับคดีไวพ้ ิจารณาพิพากษาชอบ
แลว้
ฎกี ำท่ี 5580/2560 แมบ้ นั ทึกคาใหก้ ารในช้นั สอบสวนเป็นพยานบอกเลา่ แต่เมื่อพิจารณาตามสภาพ ลกั ษณะ แหลง่ ที่มาและ
ขอ้ เทจ็ จริงแวดลอ้ มน้นั น่าเช่ือวา่ จะพิสูจนค์ วามจริงได้ ท้งั โจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมไม่สามารถนาตวั มาเบิกความในช้นั พิจารณาได้ เพราะ
เจา้ พนกั งานตารวจไปสืบหาที่อยแู่ ลว้ แต่ไม่สามารถติดตามตวั มาเป็นพยานในช้นั พิจารณาได้ นบั วา่ มีเหตุจาเป็นที่โจทกแ์ ละโจทก์
119
ร่วมไมส่ ามารถนาตวั บุคคลท้งั หา้ ซ่ึงเป็นผทู้ ี่ไดเ้ ห็นและไดย้ นิ ในเรื่องที่จะใหก้ ารเป็นพยานน้ีดว้ ยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ กรณี
เช่นน้ียอ่ มมีเหตุผลสมควรเพ่ือประโยชนแ์ ห่งความยตุ ิธรรมที่จะรับฟังคาใหก้ ารของบุคคลท้งั หา้ น้นั ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญามาตรา 226/3 วรรคสอง ( 1 ) ( 2 ) ประกอบพยานหลกั ฐานอ่ืนของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมได้ หาใช่ตอ้ งหา้ มมิใหร้ ับ
ฟังไม่ แมค้ าใหก้ ารในช้นั สอบสวนเพิ่มเติมของจาเลย พนกั งานสอบสวนไม่ไดจ้ ดั หาทนายความใหจ้ าเลยเป็นการไม่ชอบดว้ ย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134/1 วรรคหน่ึง แต่ไม่ทาใหก้ ารในช้นั สอบสวนของจาเลยในคร้ังแรกที่ชอบดว้ ย
กฎหมายเสียไป
ฎีกำที่ 4871/2561 จาเลยเบิกความตอบพนกั งานอยั การโจทกถ์ ามคา้ นยอมรับวา่ จาเลยไม่เคยไดร้ ับใบอนุญาตใหม้ ีและใช้
อาวธุ ปื นจากนายทะเบียนทอ้ งท่ี เจือสมกบั คาฟ้องและขอ้ นาสืบของโจทกใ์ นขอ้ ท่ีวา่ จาเลยมีและพกพาอาวธุ ปื นยาวในวนั เกิดเหตุ
โดยมิชอบดว้ ยกฎหมาย ซ่ึงคาเบิกความของจาเลยดงั กลา่ วนอกจากจะใชย้ นั จาเลยไดแ้ ลว้ ยงั สามารถนามารับฟังประกอบ
พยานหลกั ฐานอื่นของโจทกท์ ่ีนาสืบไดอ้ ีก ตาม ป.วิ.อ มาตรา 233 วรรคสอง
ฎกี ำที่ 80/2561 แมใ้ นช้นั พิจารณาโจทกไ์ ม่ไดผ้ เู้ สียหายมาเบิกความเป็นพยาน คงมีบนั ทึกคาใหก้ ารของผเู้ สียหายในช้นั
สอบสวน และภาพถา่ ยการช้ีท่ีเกิดเหตุของผเู้ สียหาย อนั เป็นเพียงพยานบอกเลา่ ซ่ึงในการวินิจฉยั พยานบอกเลา่ ที่จาเลยไม่มีโอกาส
ถามคา้ น ศาลจะตอ้ งกระทาดว้ ยความระมดั ระวงั กต็ าม แต่ปรากฏขอ้ เทจ็ จริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลช้นั ตน้ วา่
ผเู้ สียหายมาศาลและเบิกความเป็นพยานโจทกป์ ระมาณ 10 นาที ผเู้ สียหายแถลงวา่ จดจาขอ้ เทจ็ จริงและเร่ืองราวท่ีผา่ นมาไมไ่ ด้
เน่ืองจากเพิ่งคลอดบุตร ท้งั สองฝ่ ายแถลงขอเลื่อนไปสืบพยานปากผเู้ สียหายในนดั หนา้ ศาลช้นั ตน้ อนุญาต คร้ันถึงวนั นดั ผเู้ สียหาย
ไมม่ าศาล ศาลช้นั ตน้ ออกหมายจบั ผเู้ สียหายเพื่อนาตวั มาเป็นพยานหลายนดั แต่ไมไ่ ดต้ วั มา พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่มาเบิก
ความในช้นั พิจารณาของผเู้ สียหาย ถือไดว้ า่ เป็นกรณีท่ีมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี ศาลยอ่ มรับฟังคาใหก้ ารของผเู้ สียหายในช้นั
สอบสวนซ่ึงเป็นพยานบอกเล่าเพ่ือลงโทษจาเลยไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 227/1 วรรคหน่ึง และถือไดว้ า่ มีเหตุอนั สมควรที่จะรับฟังคา
เบิกความของผเู้ สียหายที่เบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี 1101 - 1102/2546 และ 1420/2549 ของศาลช้นั ตน้ ที่พวกของจาเลยถูก
ฟ้องในการกระทาความผดิ เดียวกนั น้ีประกอบพยานหลกั ฐานอ่ืนในคดีไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 226/5