The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทบรรณฯ วิอาญา สมัย64-71_compressed

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jobbonrecord, 2020-06-17 09:32:52

รวมบทบรรณฯ วิอาญา สมัย64-71_compressed

รวมบทบรรณฯ วิอาญา สมัย64-71_compressed

50

น้ีอีกซ่ึงเป็นกรณีท่ีอาจเพิ่มโทษไดห้ น่ึงสามหรือก่ึงหน่ึงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา92 หรือมาตรา93แต่ฟ้องโจทกม์ ิไดม้ ีคาขอ
ทา้ ยฟ้องระบุใหช้ ดั วา่ ประสงคใ์ หเ้ พิ่มโทษตามมาตราใด จึงตอ้ งตีความใหเ้ ป็นคุณแก่จาเลยโจทกป์ ระสงคใ์ หเ้ พ่ิมโทษจาเลยตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา92

ดงั น้ีศาลจึงตอ้ งเพ่ิมโทษจาเลยตามกฎหมายและหาใช่เป็นพิพากษาเกินคาขอไม่เพราะบทบญั ญตั ิ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา92 หรือมาตรา93ไมใ่ ช่เป็นมาตราในกฎหมายซ่ึงบญั ญตั ิวา่ การกระทาอยา่ งใดเป็นความผดิ จึงไม่อยใู่ น
บงั คบั ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(6)ท่ีศาลลา่ งท้งั สองเพิ่มโทษจาเลยหน่ึงในสามตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 92 จึงชอบแลว้ ฎีกาของจาเลยฟังไมข่ ้ึน

ฎีกำท่ี 1632/2556 การท่ีโจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยลกั เอาสินคา้ อะไหลร่ ถไถนาชนิดเดินตามของโจทกร์ ่วมไปหลาย

รายการรวมเป็นเงิน 307,043 บาท แต่ทางพิจารณาไดค้ วามวา่ จาเลยยกั ยอกเงินที่ไดจ้ ากการขายสินคา้ ดงั กล่าวไป ไม่ไดเ้ ป็น

ขอ้ เทจ็ จริงที่แตกต่างกบั ขอ้ เท็จจริงดงั ท่ีกล่าวไวใ้ นฟ้อง เพราะสินคา้ ของโจทกร์ ่วมมีไวเ้ พ่ือจาหน่ายใหแ้ ก่ลูกคา้ เม่ือจาหน่ายแลว้ ก็

เปล่ียนสภาพเป็นเงินซ่ึงยอ่ มตกไดแ้ ก่โจทกร์ ่วม และเงินที่จาเลยยกั ยอกไปกเ็ ป็นเงินที่ไดม้ าจากการนาสินคา้ ของโจทกร์ ่วมไปขาย

แลว้ ยกั ยอกไป ท้งั จานวนเงินกเ็ ป็นจานวนเดียวกนั กรณีจึงถือไดว้ า่ ขอ้ แตกต่างดงั กลา่ วเป็นเพียงรายละเอียดเท่าน้นั มิใช่ขอ้ แตกต่าง

ในขอ้ สาระสาคญั ท้งั มิใช่เร่ืองที่เกินคาขอหรือเป็นเรื่องท่ีโจทกไ์ ม่ประสงคล์ งโทษ นอกจากน้ีจาเลยก็มิไดห้ ลงต่อสูด้ ว้ ย ศาลจึง

ลงโทษจาเลยไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคสอง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 68)

ฎกี ำท่ี 5902/2558 ศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมูลฟ้องและมีคาสง่ั วา่ คดีโจทกม์ ีมูลเฉพาะจาเลยท่ี 3 และท่ี 4 ในขอ้ หาร่วมกนั ฉอ้ โกง

คาสงั่ ของศาลท่ีใหค้ ดีมีมูลยอ่ มเดด็ ขาด ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 วรรคหน่ึง ศาลอุทธรณ์ไม่อาจหยิบ

ยกขอ้ เทจ็ จริงในขอ้ หาความผดิ ที่ศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ มีมูลข้ึนมาทบทวนไดอ้ ีก ฉะน้นั การท่ีศาลอุทธรณ์หยิบยกขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ วข้ึน

วนิ ิจฉยั พิพากษายกฟ้องจาเลยที่ 3 และที่ 4 ดว้ ย จึงไม่ชอบตามบทกฎหมายดงั กลา่ ว

ฎกี ำที่ 1966/2548 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยท่ี 3 และท่ี 4 ในขอ้ หาความผดิ ฐานร่วมกนั ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีหรือละเวน้ การ

ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบ โดยบรรยายฟ้องในขอ้ หาน้ีเพียงวา่ จาเลยที่ 3 และที่ 4 รู้อยแู่ ลว้ วา่ โจทกก์ บั พวกไม่ไดร้ ่วมกนั กระทาความผิด

ฐานฉอ้ โกง แต่จาเลยท่ี 3 และที่ 4 กลบั ร่วมกนั รับคาร้องทุกขก์ ลา่ วโทษและดาเนินคดีแก่โจทกก์ บั พวกเป็นเหตุให้ โจทกก์ บั พวก

ถกู ควบุคมตวั เป็นผตู้ อ้ งหา ท้งั น้ีเพ่ือใหเ้ กิดความเสียหายต่อชื่อเสียง สิทธิเสรีภาพของโจทกก์ บั พวก เท่าน้นั โจทกม์ ิไดบ้ รรยายในคา

ฟ้องวา่ จาเลยท่ี 3 และที่ 4 ไดร้ ่วมกนั ปฏิบตั ิหนา้ ที่หรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบดว้ ยการบ่าย เบี่ยงละเลยไม่สงั่ คาร้องขอ

ประกนั ตวั ระหวา่ งสอบสวนของโจทกก์ บั พวกแต่อยา่ งใด ดงั น้นั แมจ้ ะไดค้ วามตามทางพิจารณาในช้นั ไต่สวนมูลฟ้องวา่ จาเลยท่ี 3

51

และท่ี 4 มีพฤติการณ์ในทางบ่ายเบี่ยงละเลยไม่ส่งั คาร้องขอประกนั ตวั ระหวา่ งสอบสวนของ โจทกก์ บั พวกกต็ าม ศาลกไ็ มอ่ าจ
พิพากษาลงโทษจาเลยที่ 3 และท่ี 4 ตามขอ้ เทจ็ จริงที่ไดค้ วามดงั กลา่ วน้นั ได้ เพราะเป็นขอ้ เทจ็ จริงนอกฟ้องตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ.
มาตรา 192 วรรคหน่ึง ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ "หา้ มมิใหพ้ ิพากษาหรือสัง่ เกินคาขอหรือท่ีมิไดก้ ลา่ วในฟ้อง" กรณีจึงมีเหตุตามกฎหมายที่จาเลย
ท่ี 4 ไม่ควรตอ้ งรับโทษและศาลตอ้ งยกฟ้องโจทกต์ าม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหน่ึง แมศ้ าลช้นั ตน้ จะเห็นวา่ คดีโจทกส์ าหรับจาเลยท่ี
4 มีมูลและสง่ั ประทบั ฟ้องไวพ้ ิจารณาแลว้ กต็ าม แต่ปัญหาขอ้ น้ีเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายที่เก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อยที่ศาล อทุ ธรณ์มี
อานาจยกข้ึนวินิจฉยั ไดเ้ องตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายกฟ้องโจทกส์ าหรับจาเลยที่ 4 ได้

ฎกี ำท่ี 16255/2555 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยใชก้ าลงั ทาร้ายร่างกายโจทกร์ ่วมโดยชก ต่อย และเตะ โดยไม่ไดบ้ รรยายวา่

จาเลยขบั รถยนตพ์ งุ่ ชนทา้ ยรถจกั รยานยนตข์ องโจทกร์ ่วมจนรถลม้ ทาใหศ้ ีรษะของโจทกร์ ่วมกระแทกกาแพงเป็นเหตุใหโ้ จทกร์ ่วม

ไดร้ ับบาดเจบ็ ที่ศีรษะ ขอ้ เทจ็ จริงดงั กล่าวจึงเป็นขอ้ เทจ็ จริงที่โจทกม์ ิไดก้ ล่าวในฟ้อง ศาลไม่อาจนาขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ วมาวินิจฉยั และ

รับฟังลงโทษจาเลยในความผดิ ฐานทาร้ายร่างกายผอู้ ื่นจนเป็นเหตุใหผ้ ถู้ ูกกระทาร้ายรับอนั ตรายสาหสั ตาม ป.อ. มาตรา 297 ได้

เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคาขอหรือที่มิไดก้ ล่าวในฟ้องอนั เป็นการตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคหน่ึง

ฎีกำท่ี 3736/2551 ผรู้ ้องไม่มาศาลในวนั นดั ไต่สวนคาร้องขอคืนของกลางตอ้ งดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 166 ประกอบมาตรา 181

ศาลช้นั ตน้ ชอบท่ีจะยกฟ้อง และผรู้ ้องมีสิทธิท่ีจะยน่ื คาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่ได้ การที่ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั วา่ ผรู้ ้องทราบนดั

แลว้ ไม่มาศาลถือวา่ ผรู้ ้องไม่มีพยานมาศาลและใหย้ กคาร้องจึงเป็นการไมช่ อบ แมศ้ าลช้นั ตน้ จะยกคาร้องของผรู้ ้องโดยถือวา่ ผรู้ ้องไม่

มีพยานมาสืบ กไ็ ม่เป็นการตดั สิทธิของผรู้ ้องท่ีจะยนื่ คาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่ เม่ือผรู้ ้องยน่ื คาร้องขอใหย้ กคดีข้ึนพิจารณา

ใหม่แลว้ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ดงั กลา่ ว

ฎีกำที่ 8340/2540 ตามคาฟ้องของพนกั งานอยั การโจทกไ์ ดบ้ รรยายการกระทาของ จาเลยกบั พวกวา่ ไดใ้ ชไ้ มเ้ ป็นอาวธุ ทุบตี

และใชก้ าลงั ชกต่อยผเู้ สียหายที่อวยั วะสาคญั ขณะยนื่ ฟ้องโจทกไ์ ม่ทราบวา่ ผเู้ สียหายถึงแก่ความตาย ยอ่ มไมอ่ ยใู่ นวิสยั ท่ีจะฟ้องจาเลย

วา่ กระทาผดิ ฐานฆา่ ผอู้ ื่น ต่อมาเมื่อโจทกท์ ราบวา่ ผเู้ สียหายถึงแก่ความตายอนั เป็นผลสืบเน่ืองจากบาดแผลที่ถกู ทาร้าย ซ่ึงเป็นการ

กระทาเดียวกนั กบั คาฟ้องเพียงแต่แกไ้ ขผลของการกระทาท่ีต่อเน่ืองกนั มาเช่นน้ีโจทกย์ อ่ มมีอานาจขอแกฟ้ ้องจากการกระทาผิดฐาน

พยายามฆา่ ผเู้ สียหายเป็นฆา่ ผเู้ สียหาย และขอแกบ้ ทลงโทษจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83,288 เป็นมาตรา 83,288,297 ได้

เพราะการแกห้ รือเพิ่มเติมฐานความผดิ ไมว่ า่ จะทาในระยะใดระหวา่ งพิจารณาในศาลช้นั ตน้ มิใหถ้ ือวา่ ทาใหจ้ าเลยเสียเปรียบ ท้งั

พนกั งานสอบสวนไดแ้ จง้ ขอ้ หาเพิ่มเติมฐานร่วมกนั ฆ่าผอู้ ่ืนใหจ้ าเลยทราบแลว้ จาเลยใหก้ ารปฏิเสธคาร้องขอแกฟ้ ้องของโจทกจ์ ึงไม่

ทาใหจ้ าเลยหลงต่อสูใ้ นขอ้ หาท่ีมิไดก้ ลา่ วไวน้ ้นั การท่ีศาลช้นั ตน้ ไม่อนุญาตใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้อง เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอานาจที่จะ

แกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา

15

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

52

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 69)

ฎกี ำท่ี3019/2557 โจทกไ์ มไ่ ดบ้ รรยายฟ้องใหเ้ ห็นวา่ จาเลยที่ 1 ถึง 14 ใส่ความโจทกต์ ่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา อนั เป็น

องคป์ ระกอบความผดิ ตาม ป.อ.ม.328 แมโ้ จทกจ์ ะแนบหนงั สือที่มีขอ้ ความหม่ินประมาทโจทกซ์ ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ จาเลยท่ี 1 ถึง 14

ไดส้ ่งสาเนาหนงั สือดงั กล่าวไปยงั บุคคลท่ีปรากฏในหนงั สือน้นั มาทา้ ยคาฟ้องดว้ ยดงั ที่โจทกฎ์ ีกา กไ็ ม่ทาใหฟ้ ้องของโจทกท์ ี่ไม่ได้

บรรยายฟ้องใหเ้ ห็นวา่ จาเลยที่ 1 ถึง 14 ใส่ความโจทกต์ ่อบุคคลท่ีสามโดยการโฆษณา เป็นฟ้องท่ีครบองคป์ ระกอบความผดิ ตาม ป.

อ.ม.328 ได้ และแมโ้ จทกข์ อใหล้ งโทษตาม ม.328 มาดว้ ยก็ตาม ศาลกไ็ มอ่ าจพิพากษาลงโทษจาเลยได้ ตาม ป.วิ.อ.ม.192 วรรคหน่ึง

ดงั น้ี การกระทาของจาเลยที่ 1 ถึง 14 ตามที่โจทกบ์ รรยายมาในฟ้อง จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.ม.328 คงเป็นความผิดฐานหม่ิน

ประมาท ตาม ป.อ.ม.326 เท่าน้นั ซ่ึงในความผิดดงั กลา่ วมีอตั ราโทษตามที่กฎหมายกาหนดไวใ้ หจ้ าคุกไม่เกิน 3 ปี จึงเป็นคดีที่

ตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตามป.วิ.อ.ม.193 ทวิ เม่ือโจทกอ์ ุทธรณ์วา่ การกระทาของจาเลยท้งั 14 เป็นหมิ่นประมาทโจทก์

มิใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมดว้ ยความเป็นธรรมและเพื่อป้องกนั ส่วนไดเ้ สียเกี่ยวกบั ตนตามคลองธรรมซ่ึงเป็นอุทธรณ์

ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ท่ีศาลอธ. พิพากษายก อธ. ของโจทกจ์ ึงชอบแลว้

ฎีกำที่ 3528/2559 เหตุการณ์ในตอนแรกฟังไดว้ า่ จาเลยกบั ผตู้ ายทะเลาะวิวาทและสมคั รใจเขา้ ต่อสูท้ าร้ายร่างกายซ่ึงกนั และ

กนั บริเวณหนา้ บา้ นของผตู้ ายแลว้ จาเลยใชอ้ าวธุ สีดาปลายแหลมท่ียงั ไมป่ รากฏแน่ชดั วา่ เป็นอาวธุ อะไรไลแ่ ทงผตู้ ายเขา้ ไปในบา้ น

ของผตู้ ายไดร้ ับบาดเจบ็ แลว้ กลบั ออกมาหยดุ ยืนทะเลาะกนั บริเวณหนา้ บา้ นของ ป. หลงั จากน้นั จาเลยเดินกลบั ไปบา้ นจาเลย ส่วน

ผตู้ ายเดินเขา้ บา้ นตวั เอง สาหรับเหตุการณ์ในตอนหลงั ฟังไดว้ า่ ผตู้ ายถือมีดดาบไลต่ ามเขา้ ไปในบา้ นของจาเลยแลว้ เกิดการต่อสูก้ บั

จาเลย ผตู้ ายถกู จาเลยใชก้ รรไกรแทงถึงแก่ความตายซ่ึงเหตุการณ์ในบา้ นของจาเลยตอนน้ีไม่มีพยานโจทกค์ นใดเห็น แต่เม่ือพิจารณา

จากรายงานการตรวจศพผตู้ าย สภาพศพผตู้ ายมีบาดแผลที่เกิดจากของมีคมหลายแห่งแต่บาดแผลที่ทาใหถ้ ึงแก่ความตายคือบาดแผล

ที่หวั ใจท่ีถูกของมีคมแทงจึงทาใหเ้ ช่ือวา่ เป็นบาดแผลที่เกิดจากการท่ีจาเลยใชก้ รรไกรแทงผตู้ ายในบา้ นของจาเลยตามที่จาเลยนาสืบ

เพราะหากเป็นบาดแผลท่ีเกิดในคร้ังแรกที่บา้ นของผตู้ าย ผตู้ ายน่าจะถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะไปที่บา้ นของจาเลย แมโ้ จทก์

บรรยายฟ้องวา่ จาเลยฆ่าผตู้ ายในบา้ นของผตู้ าย แต่ทางพิจารณาไดค้ วามวา่ จาเลยฆา่ ผตู้ ายในบา้ นของจาเลย แตกต่างกบั ขอ้ เท็จจริง

ดงั ที่กล่าวในฟ้อง แต่ขอ้ แตกต่างดงั กลา่ วเป็นเพียงรายละเอียดเก่ียวกบั สถานท่ีกระทาความผิดซ่ึงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

บญั ญตั ิมิใหถ้ ือวา่ เป็นขอ้ แตกต่างกนั ในขอ้ สาระสาคญั ท้งั จาเลยกเ็ ขา้ ใจดีแลว้ วา่ เหตุเกิดในบา้ นของจาเลยมิไดห้ ลงต่อสู้ จึงไม่เป็น

เหตุใหศ้ าลยกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง

การกระทาของจาเลยที่ใชก้ รรไกรแทงผตู้ ายในบา้ นของจาเลยเป็นการป้องกนั หรือไม่ การที่จาเลยกบั

ผตู้ ายมาหยดุ ยืนทะเลาะวิวาทกนั บริเวณหนา้ บา้ นของ ป. แลว้ ผตู้ ายบอกใหจ้ าเลยกลบั บา้ น จาเลยกก็ ลบั บา้ นตามคาเบิกความของ

พยานท้งั สอง เห็นไดว้ า่ จาเลยไมไ่ ดป้ ระสงคจ์ ะต่อสูก้ บั ผตู้ ายอีก การท่ีผตู้ ายถือมีดดาบว่งิ ไปที่บา้ นของจาเลย ถือไดว้ า่ ผตู้ ายเป็นผกู้ ่อ

เหตุข้ึนใหมท่ ี่จะทาร้ายจาเลย โจทกไ์ มม่ ีพยานคนใดเห็นเหตุการณ์แต่ไดค้ วามจากจาเลยวา่ ผตู้ ายจะใชม้ ีดดาบทาร้ายจาเลยก่อนจาเลย

53

ยอ่ มมีสิทธิที่จะกระทาเพ่ือป้องกนั ตนเองใหพ้ น้ จากการประทุษร้ายของผตู้ าย มีดดาบที่ผตู้ ายใชฟ้ ันทาร้ายจาเลยยาวประมาณ 1 ช่วง
แขนสามารถทาใหจ้ าเลยตายได้ การที่จาเลยใชก้ รรไกรยาวประมาณ 1 คืบ แทงทารา้ ยผตู้ ายโดยปรากฏบาดแผลที่ทาใหผ้ ตู้ ายถึงแก่
ความตายมีเพียงบาดแผลเดียว คือบาดแผลที่ถกู ของมีคมแทงที่หวั ใจ ท้งั เมื่อผตู้ ายลม้ ลงจาเลยกไ็ มไ่ ดต้ ามเขา้ ไปทาร้ายซ้าอีก จึงเป็น
การป้องกนั พอสมควรแก่เหตุไมม่ ีความผิดฐานฆ่าผอู้ ่ืน

การที่จาเลยถืออาวธุ สีดาปลายแหลมตามเขา้ ไปแทงผตู้ ายภายในหอ้ งพกั ของผตู้ ายซ่ึงเป็นกรรมสิทธ์ิของ
ผเู้ สียหาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานบุกรุกเขา้ ไปในเคหสถานของผอู้ ่ืนโดยไม่มีเหตุอนั สมควร ตาม ป.อ. มาตรา 364
หาใช่เป็นความผดิ ฐานบุกรุกเพ่ือเขา้ ไปรบกวนการครอบครองอสงั หาริมทรัพยข์ องผอู้ ื่นโดยปกติสุขตาม ป.อ. มาตรา 362 ไม่ แมค้ า
ฟ้องโจทกจ์ ะบรรยายขอ้ เทจ็ จริงครบองคป์ ระกอบความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 364 กต็ าม แต่เมื่อคาขอทา้ ยฟ้องโจทไม่ไดร้ ะบุมาตรา
ดงั กลา่ วมาดว้ ยถือวา่ โจทกไ์ มป่ ระสงคใ์ หล้ งโทษจาเลยตามมาตราดงั กลา่ ว จึงไม่อาจลงโทษจาเลยไดเ้ พราะจะเป็นการพิพากษาหรือ
สง่ั เกินคาขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหน่ึง และ วรรคส่ี ท้งั ไมอ่ าจลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 365(2) (3) ไดด้ ว้ ย

ฎีกำท่ี14645/2558 ขอ้ เทจ็ จริงปรากฏตามสาเนาคาพิพากษาทา้ ยอุทธรณ์ของจาเลยวา่ คดีที่โจทกข์ อใหเ้ พิ่มโทษน้นั ศาล

อุทธรณ์ลงโทษจาคุกและปรับ แต่โทษจาคุกใหร้ อการลงโทษไว้ จึงเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลจากอทุ ธรณ์ของจาเลยวา่ ภายใน

เวลาท่ีศาลรอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อน จาเลยมากระทาความผิดเป็นคดีน้ีอีก จึงตอ้ งนาโทษจาคุกที่รอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนมาบวก

เขา้ กบั โทษในคดีน้ี แมโ้ จทกม์ ิไดข้ อใหบ้ วกโทษกต็ าม ท้งั กรณีมิใช่การพิพากษาเกินคาขอและไมเ่ ป็นการเพิ่มเติมโทษจาเลยเพราะ

กฎหมายบญั ญตั ิใหศ้ าลท่ีพิพากษาคดีหลงั บวกโทษท่ีรอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนเขา้ กบั โทษในคดีหลงั ดว้ ยเสมอ

ฎกี ำท่ี 8728/2558 จาเลยฎีกาขอถอนคาใหก้ ารเดิมและใหก้ ารใหม่เป็นรับสารภาพน้นั เป็นการขอแกไ้ ขคาใหก้ ารจากที่ให้

การปฏิเสธเป็นใหก้ ารรับสารภาพ ซ่ึงจาเลยไม่อาจกระทาได้ เพราะการแกไ้ ขคาใหก้ ารจะตอ้ งกระทาก่อนศาลช้นั ตน้ มีคาพิพากษา

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 163 วรรคสองแต่อยา่ งไรกด็ ี การท่ีจาเลยยนื่ ฎีกาขอใหก้ ารรับสารภาพในช้นั ฎีกา

เช่นน้ี ถือไดว้ า่ จาเลยยอมรับขอ้ เทจ็ จริงโดยไม่ตอ้ งแยง้ ขอ้ ท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 พิพากษาวา่ จาเลยกระทาความผิดตามประมวล

กฎหมายอาญามาตรา 341

ฎกี ำที่ 16081 – 16083/2555 แม้ ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคสาม บญั ญตั ิวา่ ความผิดฐานลกั ทรัพย์ ยกั ยอก มิใหถ้ ือวา่ ต่างกนั ในขอ้
สาระสาคญั เมื่อโจทกฟ์ ้องจาเลยในขอ้ หาลกั ทรัพยอ์ นั เป็นความผิดอาญาแผน่ ดิน แต่ศาลฎีกาพิจารณาวา่ การกระทาของจาเลยเป็น
ความผิดฐานยกั ยอกซ่ึงตาม ป.อ. มาตรา 356 บญั ญตั ิใหเ้ ป็นความผดิ อนั ยอมความได้ โจทกท์ ้งั สามฟ้องคดีน้ีโดยไมไ่ ดร้ ้องทุกข์
ภายในสามเดือนนบั แต่รู้เร่ืองความผดิ และรู้ตวั ผกู้ ระทาความผิด คดีเป็นอนั ขาดอายคุ วามตาม ป.อ. มาตรา 96

ฎกี ำท่ี 4030/2532 ในการไต่สวนมูลฟ้อง ตวั โจทกอ์ า้ งตนเองเป็นพยานทนายจาเลยถามคา้ นโดยใหต้ วั โจทกด์ ูลายมือชื่อของ

ผมู้ อบอานาจในหนงั สือมอบอานาจ ตวั โจทกเ์ บิกความวา่ ลายมือช่ือดงั กลา่ วเป็นลายมือชื่อที่โจทกเ์ ซ็นไวจ้ ริงถึงแมจ้ ะเบิกความต่อไป

อีกวา่ จาเลยท่ี 1 เป็นผไู้ ปกรอกขอ้ ความเองภายหลงั คร้ังแรกโจทกเ์ ซ็นช่ือไวใ้ นกระดาษเปล่ากไ็ มเ่ ป็นการลบลา้ งคาเบิกความในส่วน

ที่ยอมรับวา่ โจทกไ์ ดเ้ ซ็นช่ือไวใ้ นหนงั สือมอบอานาจจริง ฝ่ ายจาเลยจึงมีสิทธิส่งเอกสารฉบบั น้ี ซ่ึงมีลายมือชื่อของโจทกป์ รากฏอยใู่ น

54

ช่องผรู้ ับมอบอานาจต่อศาลเพื่อประกอบคาเบิกความของพยานโจทกใ์ หช้ ดั เจนยิ่งข้ึน มิใช่การนาพยานเขา้ สืบจึงไม่ตอ้ งหา้ มตาม ป.
ว.ิ อ. มาตรา 165.

ฎีกำท่ี 4512/2531 ในช้นั ไต่สวนมูลฟ้อง โจทกแ์ ละจาเลยแถลงร่วมกนั วา่ ก่อนท่ีศาลจะมีคาพิพากษาหรือคาสงั่ จาเลยจะนา

เอกสารของธนาคารออมสินเสนอต่อศาลเพ่ือใหศ้ าลพิจารณาประกอบ โจทกแ์ ถลงเห็นชอบดว้ ยต่อมาจาเลยส่งเอกสารดงั กล่าว

โจทกแ์ ถลงรับรองวา่ สาเนาเอกสารและขอ้ ความถูกตอ้ ง นอกจากน้ีเอกสารดงั กลา่ วยงั เป็นส่วนหน่ึงของเอกสารท่ีธนาคารออมสินส่ง

มาตามหมายเรียกซ่ึงศาลออกตามคาร้องขอของโจทก์ และเม่ือโจทกต์ รวจดูแลว้ กว็ า่ ใช่เอกสารท่ีอา้ ง ดงั น้ีเอกสารดงั กล่าวจึงหาใช่

เอกสารท่ีจาเลยอา้ งเป็นพยานไม่

ฎกี ำท่ี 8340/2540 ตามคาฟ้องของพนกั งานอยั การโจทกไ์ ดบ้ รรยายการกระทาของ จาเลยกบั พวกวา่ ไดใ้ ชไ้ มเ้ ป็นอาวธุ ทุบตี

และใชก้ าลงั ชกต่อยผเู้ สียหายท่ีอวยั วะสาคญั ขณะยืน่ ฟ้องโจทกไ์ มท่ ราบวา่ ผเู้ สียหายถึงแก่ความตาย ยอ่ มไม่อยใู่ นวสิ ยั ที่จะฟ้องจาเลย

วา่ กระทาผิดฐานฆ่าผอู้ ่ืน ต่อมาเม่ือโจทกท์ ราบวา่ ผเู้ สียหายถึงแก่ความตายอนั เป็นผลสืบเนื่องจากบาดแผลท่ีถูกทาร้าย ซ่ึงเป็นการ

กระทาเดียวกนั กบั คาฟ้องเพียงแต่แกไ้ ขผลของการกระทาที่ต่อเนื่องกนั มาเช่นน้ีโจทกย์ อ่ มมีอานาจขอแกฟ้ ้องจากการกระทาผดิ ฐาน

พยายามฆ่าผเู้ สียหายเป็นฆา่ ผเู้ สียหาย และขอแกบ้ ทลงโทษจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,83,288 เป็นมาตรา 83,288,297 ได้

เพราะการแกห้ รือเพิ่มเติมฐานความผดิ ไมว่ า่ จะทาในระยะใดระหวา่ งพิจารณาในศาลช้นั ตน้ มิใหถ้ ือวา่ ทาใหจ้ าเลยเสียเปรียบ ท้งั

พนกั งานสอบสวนไดแ้ จง้ ขอ้ หาเพิ่มเติมฐานร่วมกนั ฆ่าผอู้ ่ืนใหจ้ าเลยทราบแลว้ จาเลยใหก้ ารปฏิเสธคาร้องขอแกฟ้ ้องของโจทกจ์ ึงไม่

ทาใหจ้ าเลยหลงต่อสูใ้ นขอ้ หาท่ีมิไดก้ ล่าวไวน้ ้นั การที่ศาลช้นั ตน้ ไม่อนุญาตใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้อง เป็นการไมช่ อบ ศาลฎีกามีอานาจที่จะ

แกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้ ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา

15

ฎีกำท่ี 1746/2535 เดิมโจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยฐานขบั รถยนตโ์ ดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ เู้ สียหายรับอนั ตรายสาหสั

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ระหวา่ งพิจารณา โจทกย์ ื่นคาร้องขอแกไ้ ขเพิ่มเติมฟ้องวา่ ผเู้ สียหายถึงแก่ความตายอนั

เน่ืองมาจากการขบั รถโดยประมาทของจาเลย ขอใหล้ งโทษฐานขบั รถยนตโ์ ดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ เู้ สียหายถึงแก่ความตาย ตาม

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 โดยมีเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสอบสวนเพิ่มเติมมาทา้ ยฎีกาดว้ ยวา่ เมื่อโจทกท์ ราบวา่ ผูเ้ สียหาย

ถึงแก่ความตายอนั เป็นผลสืบเนื่องจากการขบั โดยประมาทของจาเลย โจทกไ์ ดม้ ีหนงั สือลงวนั ที่ 10 มกราคม 2534 และแจง้ ขอ้ หาขบั

รถยนตโ์ ดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ อู้ ื่นถึงแก่ความตายเพ่ิมเติมจากท่ีไดท้ าการสอบสวนไวแ้ ลว้ แก่จาเลย และจาเลยไดท้ ราบขอ้ หาแลว้

ปรากฏตามบนั ทึกการแจง้ ขอ้ กลา่ วหาเพิ่มเติมลงวนั ท่ี 15 มกราคม 2534 กรณีจึงมีเหตุอนั ควร โจทกข์ อแกไ้ ขเพิ่มเติมฟ้องในความผดิ

ฐานขบั รถยนตโ์ ดยประมาท เป็นเหตุใหผ้ อู้ ื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้ และศาลมีอานาจท่ีจะ

ลงโทษจาเลยในความผดิ ดงั กล่าวได้

เมื่อจาเลยใหก้ ารรับสารภาพวา่ ไดก้ ระทาผิดตามฟ้องดงั กล่าวขา้ งตน้ แลว้ จาเลยจะฎีกาวา่ ผตู้ ายถึงแก่ความ

ตายดว้ ยโรคประจาตวั มิใช่เกิดจากการขบั รถโดยประมาทของจาเลย ท้งั จาเลยมิไดข้ บั รถโดยประมาท แต่เหตุเกิดข้ึนเพราะความผดิ

55

ของฝ่ ายผตู้ ายเองหาไดไ้ ม่เพราะเป็นการโตเ้ ถียงขอ้ เทจ็ จริงท่ีจาเลยใหก้ ารรับสารภาพไวแ้ ลว้ ท้งั ยงั เป็นขอ้ ท่ีมิไดย้ กข้ึนวา่ กล่าวกนั มา
ในศาลช้นั ตน้ ตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบดว้ ยประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 249
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 70)

ฎกี ำที่ 4744/2560 ตามป.วิ.อ.มาตรา 158(7) บญั ญตั ิวา่ “ฟ้องตอ้ งทาเป็นหนงั สือและมีลายมือช่ือโจทกผ์ เู้ รียงผเู้ ขียนหรือ

พิมพฟ์ ้อง” ซ่ึงการยน่ื คาฟ้องตามป.ว.ิ อ. ไมว่ า่ จะเป็นกรณีที่พนกั งานอยั การหรือราษฎรยืน่ ฟ้องกต็ ามจะตอ้ งยน่ื ฟ้องตามแบบท่ี

กฎหมายกาหนด กล่าวคือตอ้ งทาเป็นหนงั สือและตอ้ งมีขอ้ ความหรือรายละเอียดตามท่ีระบุไวต้ ามป.วิ.อ. มาตรา 158 (1)-(7) จึงจะ

เป็นฟ้องที่ถูกตอ้ ง แต่ตามฟ้องโจทกค์ งปรากฏแต่เพียงลายมือชื่อโจทกท์ า้ ยฟ้องและผเู้ ขียนหรือพิมพฟ์ ้องโดยโจทกไ์ ม่ไดล้ งชื่อผเู้ รียง

ฟ้อง ฟ้องของ ป.วิ.อ. มาตรา 161 สง่ั ใหโ้ จทกแ์ กไ้ ขฟ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือยกฟ้องหรือไมป่ ระทบั ฟ้องได้ แต่ถา้ ศาลช้นั ตน้ สั่งประทบั

ฟ้องและดาเนินกระบวนพิจารณาจนคดีข้ึนมาสู่ศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 แลว้ การท่ีจะสง่ั ใหโ้ จทกแ์ กฟ้ ้องใหถ้ ูกตอ้ งหรือไม่ประทบั ฟ้อง

ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 161 วรรคหน่ึง ยอ่ มล่วงเลยเวลาท่ีจะปฏิบตั ิไดเ้ พราะศาลช้นั ตน้ ไดส้ ง่ั ประทบั ฟ้องและดาเนินกระบวนพิจารณาจน

เสร็จสิ้นแลว้ ท้งั กรณีดงั กล่าวไม่เขา้ เหตุตามป.ว.ิ อ.มาตรา 208(2) ท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 จะสง่ั ใหศ้ าลช้นั ตน้ ทาการพิจารณาพิพากษา

ใหมต่ ามรูปคดี ศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 ยอ่ มไมม่ ีวิธีปฏิบตั ิเป็นอยา่ งอื่นนอกจากตอ้ งพิพากษายกฟ้องโจทกเ์ สีย

ฎีกำท่ี 801/2558 ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 วรรคสองบญั ญตั ิใหศ้ าลอ่านและอธิบายฟ้องให้

จาเลยฟัง และถามวา่ จาเลยไดก้ ระทาผิดจริงหรือไม่ จะใหก้ ารต่อสูอ้ ยา่ งไรบา้ งเป็นบทบญั ญตั ิในการเริ่มตน้ พิจารณาคดีของศาล

เพ่ือใหจ้ าเลยเขา้ ใจฟ้องและสามารถต่อสูค้ ดีไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี และถกู ตอ้ ง มิใช่หมายความรวมถึงการท่ีโจทกย์ ่ืนคาร้องขอแกฟ้ ้อง

เพิ่มเติมโทษจาเลยฐานไมเ่ ขด็ หลาบดว้ ย

การท่ีจาเลยจะถกู เพิ่มโทษหรือไม่ เป็นคนละส่วนกบั กรณีความผดิ ท่ีจาเลยถูกฟ้อง ดงั น้นั แมศ้ าลช้นั ตน้

ไม่ไดส้ อบจาเลยวา่ เป็นบุคคลคนเดียวกบั จาเลยในคดีอาญาท่ีโจทกข์ อใหเ้ พ่ิมโทษตามคาร้องของแกไ้ ขฟ้องของโจทกห์ รือไมก่ ไ็ ม่ทา

ใหก้ ารดาเนินกระบวนพิจารณาของศาลช้นั ตน้ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายแต่อยา่ งใด

ฎกี ำที่ 11066/2558 คดีแพ่งเก่ียวเนื่องกบั คดีอาญาน้นั หมายถึงคดีท่ีการกระทาผิดอาญาน้นั ก่อใหเ้ กิดสิทธิเรียกร้องทางแพ่ง
ติดตามมาดว้ ย เม่ือศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมูลฟ้องคดีส่วนอาญาแลว้ มีคาสงั่ ใหป้ ระทบั ฟ้องและหมายเรียกจาเลยแกค้ ดียอ่ มเป็นการสง่ั รับ
ฟ้องคดีส่วนอาญาและคาฟ้องคดีส่วนแพง่ ดว้ ยโดยไมจ่ าตอ้ งส่ังรับฟ้องคดีส่วนแพง่ อีก ดงั น้ี ในการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเน่ืองกบั คดีอาญา
โจทกจ์ ึงตอ้ งฟ้องคดีแพ่งมาพร้อมกบั คดีอาญาต้งั แต่แรก แต่คดีน้ีโจทกย์ ื่นฟ้องเฉพาะคดีในส่วนอาญาจนศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ประทบั
ฟ้องและจาเลยใหก้ ารต่อสูค้ ดีแลว้ โจทกจ์ ึงมายืน่ คาร้องขอเพิ่มเติมฟ้องใหจ้ าเลยรับผิดคดีในส่วนแพง่ ซ่ึงการขอเพิ่มเติมฟ้องตาม ป.

56

ว.ิ อ. มาตรา 164 ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 น้นั ฟ้องเดิมจะตอ้ ง
สมบูรณ์อยแู่ ลว้ เมื่อโจทกฟ์ ้องจาเลยเฉพาะคดีอาญาแลว้ ต่อมาไดย้ นื่ คาร้องขอเพิ่มเติมฟ้องโดยขอใหจ้ าเลยรับผดิ ในทางแพ่งโดยอา้ ง
วา่ โจทกต์ อ้ งจ่ายเงินใหแ้ ก่บริษทั บ. หา้ งหุน้ ส่วนจากดั ห. และนาย ท. จาเลยจึงตอ้ งคืนเงินพร้อมดอกเบ้ียใหโ้ จทก์ ดงั น้ีคาร้องขอ
เพ่ิมเติมฟ้องดงั กลา่ วถือไดว้ า่ เป็นการกลา่ วอา้ งความรับผดิ ทางแพ่งของจาเลยข้ึนมาใหม่ โจทกจ์ ะมาขอเพ่ิมเติมฟ้องเช่นน้ีไม่ได้

ฎีกำที่ 7846/2559 ตามคาขอทา้ ยคาฟ้องอาญาของโจทกม์ ีขอ้ ความวา่ “ขา้ พเจา้ ไดย้ น่ื สาเนาคาฟ้องโดยขอ้ ความถูกตอ้ งเป็น

อยา่ งเดียวกนั มาดว้ ย 1 ฉบบั และรอฟังคาสงั่ อยู่ ถา้ ไมร่ อใหถ้ ือวา่ ทราบแลว้ ” และศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ ในฟ้องของโจทกว์ นั เดียวกบั ที่

โจทกย์ ่นื ฟ้องมีใจความวา่ ประทบั ฟ้อง สาเนาใหจ้ าเลย จาเลยถูกควบคุมตวั อยใู่ นสถานพินิจและคุม้ ครองเดก็ และเยาวชน เบิกตวั

จาเลยมาสอบคาใหก้ ารพร้อมผปู้ กครองในวนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2558 แจง้ สถานพินิจฯ และผปู้ กครองทราบ ดงั น้ี ตอ้ งถือวา่ โจทก์

ทราบคาสงั่ ศาลช้นั ตน้ ที่สงั่ ในฟ้องของโจทกแ์ ละกาหนดสอบคาใหก้ ารจาเลยในวนั ดงั กลา่ วโดยชอบแลว้ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งแจง้

คาสง่ั ศาลช้นั ตน้ ใหโ้ จทกท์ ราบหรือมีหมายแจง้ วนั นดั ใหโ้ จทกท์ ราบอีก

การสอบคาใหก้ ารจาเลยตาม ป.ว.ิ อาญา มาตรา 172 วรรคสอง เป็นการพิจารณาคดีอยา่ งหน่ึง ภายหลงั

จากโจทกย์ ื่นฟ้องต่อศาลแลว้ โดยกฎหมายกาหนดใหโ้ จทกห์ รือทนายโจทกแ์ ละจาเลยตอ้ งมาอยตู่ ่อหนา้ ศาลพร้อมกนั และใหศ้ าล

อา่ นและอธิบายฟ้องใหจ้ าเลยฟัง และถามจาเลยวา่ ไดก้ ระทาผิดจริงหรือไม่และจะใหก้ ารต่อสูอ้ ยา่ งไรบา้ ง เม่ือจาเลยใหก้ ารอยา่ งไรก็

ตาใหศ้ าลจดไว้ ซ่ึงไมว่ า่ จาเลยจะใหก้ ารรับสารภาพหรือใหก้ ารปฏิเสธฟ้องโจทก์ โจทกย์ งั คงมีหนา้ ท่ีท่ีจะตอ้ งแถลงใหศ้ าลทราบวา่

ยงั ประสงคจ์ ะใหด้ าเนินการอยา่ งไรต่อไปหรือไม่ การนดั สอบคาใหก้ ารจาเลยจึงเป็นการนดั พิจารณาคดี ซ่ึงโจทกม์ ีหนา้ ท่ีตอ้ งมาศาล

ในวนั ดงั กล่าว แมใ้ นคาสง่ั ศาลช้นั ตน้ จะไมไ่ ดก้ าหนดเวลาไวก้ ต็ าม แต่โจทกก์ ม็ ีหนา้ ท่ีตอ้ งมาศาลตามเวลาที่ศาลเปิ ดทาการตามปกติ

เพ่ือใหก้ ารพิจารณาคดีของศาลดาเนินไปไดโ้ ดยรวดเร็วสมดงั เจตนารมณ์ของกฎหมาย ท้งั ศาลช้นั ตน้ ไดใ้ หเ้ จา้ หนา้ ท่ีหนา้ บงั ลงั ก์

โทรศพั ทต์ ิดต่อไปที่สานกั งานของโจทกเ์ พ่ือแจง้ ใหโ้ จทกม์ าศาลอีกทางหน่ึงแลว้ แต่ศาลรออยจู่ นกระทง่ั เวลา 16.30 นาฬิกา โจทกก์ ็

ไมม่ าศาลโดยไม่แจง้ เหตุขดั ขอ้ ง ดงั น้ี เม่ือโจทกท์ ราบนดั โดยชอบแลว้ แต่ไม่มาศาลตามกาหนดนดั สอบคาใหก้ ารจาเลย ศาลช้นั ตน้

พิพากษายกฟ้องโจทกเ์ สียได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 181 ประกอบมาตรา 166

ฎีกาท่ี 7735/2557 ป.ว.ิ อ. มาตรา 172 วรรคสอง บญั ญตั ิวา่ เม่ือโจทกห์ รือทนายโจทกแ์ ละจาเลยมาอยตู่ ่อหนา้ ศาลแลว้ และ

ศาลเช่ือวา่ เป็นจาเลยจริง ใหอ้ า่ นและอธิบายฟ้องใหจ้ าเลยฟัง และถามวา่ ไดก้ ระทาผดิ จริงหรือไม่ จะใหก้ ารต่อสูอ้ ยา่ งไรบา้ ง

คาใหก้ ารของจาเลยใหจ้ ดไว้ ถา้ จาเลยไมย่ อมใหก้ ารกใ็ หศ้ าลจดรายงานไว้ และดาเนินการพิจารณาต่อไป ดงั น้ี ศาลช้นั ตน้ จึงมีหนา้ ที่

อา่ นและอธิบายฟ้องใหจ้ าเลยฟังและถามวา่ จาเลยกระทาความผดิ จริงหรือไม่ จะใหก้ ารต่อสูอ้ ยา่ งไรบา้ ง คดีน้ีโจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษ

จาเลยในความผิดฐานร่วมกนั ลกั ทรัพยใ์ นเวลากลางคืนและในเคหสถานหรือรับของโจรฐานใดฐานหน่ึง เมื่อศาลช้นั ตน้ อ่านและ

อธิบายฟ้องใหจ้ าเลยฟังแลว้ จาเลยใหก้ ารรับสารภาพตามฟ้อง ศาลช้นั ตน้ กต็ อ้ งสอบถามจาเลยใหช้ ดั เจนวา่ จะใหก้ ารรับสารภาพใน

ขอ้ หาร่วมกนั ลกั ทรัพยใ์ นเวลากลางคืนและในเคหสถานหรือขอ้ หารับของโจร แลว้ จึงพิพากษาลงโทษจาเลยในขอ้ หาที่จาเลยใหก้ าร

รับสารภาพดงั กล่าว แต่ศาลช้นั ตน้ มิไดส้ อบถามคาใหก้ ารของจาเลยใหช้ ดั เจน กลบั พิพากษาลงโทษจาเลยในความผิดฐานร่วมกนั ลกั

ทรัพยใ์ นเวลากลางคืนและในเคหสถานโดยไม่ปรากฏแน่ชดั วา่ จาเลยใหก้ ารรับสารภาพในขอ้ หาดงั กล่าวจึงเป็นการดาเนินกระบวน

57

พิจารณาที่ไมช่ อบและมีผลใหก้ ระบวนพิจารณาต่อไป ตลอดจนคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ไม่ชอบไปดว้ ย
พิพากษายก คาพิพากษาศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ภาค ๗ ใหศ้ าลช้นั ตน้ ดาเนินกระบวนพิจารณาต้งั แต่สอบคาใหก้ ารจาเลยใหม่แลว้
พิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ฎกี ำท่ี 9425/2559 แมค้ วามผดิ ฐานลกั ทรัพยจ์ ะตอ้ งเป็นทรัพยข์ องผูอ้ ่ืน แต่กฎหมายมิไดบ้ งั คบั เดด็ ขาดวา่ ตอ้ งระบุชื่อเจา้ ของ

ทรัพยเ์ สมอไป เมื่อขอ้ เทจ็ จริงปรากฏในช้นั อุทธรณ์วา่ บริษทั ส. นายจา้ งของจาเลยเป็นเจา้ ของเงินที่จาเลยลกั ไป แตกต่างจาก

ขอ้ เทจ็ จริงท่ีกล่าวในฟ้องวา่ บริษทั ช. เป็นนายจา้ งของจาเลยและเป็นเจา้ ของเงินท่ีจาเลยลกั ไป จึงเป็นเพียงรายละเอียด มิใช่เป็นขอ้

แตกต่างในขอ้ สาระสาคญั ท้งั จาเลยใหก้ ารรับสารภาพแสดงวา่ จาเลยมิไดห้ ลงต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจาเลยตามขอ้ เทจ็ จริงท่ีไดค้ วามได้

ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคสอง

ฎกี ำที่ 10111/2559 โจทกฟ์ ้องฐานลกั ทรัพยห์ รือรับของโจร ศาลช้นั ตน้ ลงโทษจาเลยที่ 1 ฐานลกั ทรัพย์ โจทกไ์ ม่อุทธรณ์
จาเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอใหย้ กฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังวา่ จาเลยท่ี 1 กระทาความผิดฐานรับของโจร ดงั น้ี ศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 ยอ่ มมี
อานาจพิพากษาลงโทษฐานความผิดที่ถูกตอ้ งได้ แต่โทษจาคุกตอ้ งไม่เกินอตั ราโทษที่ศาลช้นั ตน้ กาหนดมา

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 71)

ฎีกำท่ี 1688/2561 โจทกท์ ้งั สิบหา้ ฎีกาวา่ การที่ศาลอทุ ธรณ์พิพากษายืนตามศาลช้นั ตน้ และยกฟ้องโจทกท์ ้งั สิบหา้ โดยมิไดม้ ี

การไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 162(1) และยงั ไมไ่ ดป้ ระทบั รับฟ้องไวพ้ ิจารณาก่อนเป็นการ

ขา้ มข้นั ตอนกระบวนพิจารณา จึงเป็นการไมช่ อบน้นั

เห็นวา่ การท่ีศาลรับฟ้องไวเ้ พื่อไต่สวนมูลฟ้องน้นั ไมจ่ าเป็นท่ีศาลจะตอ้ งไต่สวนมูลฟ้องหรือตอ้ งวินิจฉยั

วา่ ฟ้องมีมูลและประทบั รับฟ้องไวพ้ ิจารณาก่อนเสมอไป หากศาลเห็นวา่ จาเลยมิไดก้ ระทาผิดกด็ ี การกระทาของจาเลยไมเ่ ป็น

ความผิดกด็ ี คดีขาดอายคุ วามแลว้ กด็ ี หรือมีเหตุตามกฎหมายที่จาเลยไมค่ วรตอ้ งรับโทษกด็ ี ใหศ้ าลยกฟ้องโจทกป์ ลอ่ ยจาเลยไป ท้งั น้ี

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ดงั น้ี เม่ือศาลเห็นวา่ การกระทาท้งั หลายของจาเลยท้งั หา้ ตามฟ้องพน้ จาก

ความผดิ และความรับผิดโดยสิ้นเชิง ศาลชอบที่จะยกฟ้องไดเ้ ลย โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งไต่สวนมูลฟ้องและประทบั รับฟ้อง

ฎกี ำท่ี 4521/2561 โทกบ์ รรยายฟ้องไวช้ ดั แจง้ แลว้ วา่ จาเลยตอ้ งคาพิพากษาถึงท่ีสุดในคดีอาญาของศาลจงั หวดั สุรินทร์ ให้

ลงโทษจาคุก 4 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพ่ือจาหน่ายและจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน ในระหวา่ งที่จาเลยยงั จะตอ้ งรับ

โทษในคดีดงั กลา่ ว จาเลยไดก้ ระทาความผดิ ในคดีน้ีอีก เม่ือศาลช้นั ตน้ อธิบายฟ้องท้งั หมดใหจ้ าเลยฟัง จาเลยกไ็ ดใ้ หก้ ารวา่ รับ

สารภาพตามฟ้อง คาใหก้ ารจาเลยที่รับสารภาพตามฟ้องดงั กล่าวยอ่ มหมายถึงการรับวา่ จาเลยเคยตอ้ งโทษจาคุกมาก่อนตามที๋โจทก์

กลา่ วหาในฟ้องตลอดจนรับตามบทบญั ญตั ิท่ีขอใหเ้ พ่ิมโทษจาเลยตามคาขอทา้ ยฟ้องดว้ ย ฉะน้นั เม่ือศาลพิพากษาลงโทษจาคุกจาเลย

58

จึงตอ้ งเพิ่มโทษท่ีจะลงแก่จาเลยอีกหน่ึงในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเมื่อจาเลยเคยไดร้ ับโทษจาคุกมาก่อนเกิน
6 เดือน จึงไมอ่ ยใู่ นหลกั เกณฑท์ ี่จะรอการลงโทษจาคุกใหแ้ ก่จาเลยไดต้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

ฎกี ำท่ี 5328/2561 โจทกบ์ รรยายฟ้องไวช้ ดั แจง้ แลว้ วา่ จาเลยที่ 1 เคยตอ้ งคาพิพากษาถึงที่สุด ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี

475/2556 ของศาลจงั หวดั สตูล ใหล้ งโทษจาคุก 3 ปี ในความผิดฐานลกั ทรัพยใ์ นเคหสถาน จาเลยที่ 1 พน้ โทษเม่ือวนั ที่ 8 กมุ ภาพนั ธ์

2559 ภายในเวลา 3 ปี นบั แต่วนั พน้ โทษ จาเลยท่ี 1 กลบั มากระทาความผิดในคดีน้ีอีก แต่ตามคาใหก้ ารจาเลยที่ 1 ในสานวน จาเลยที่

1 ใหก้ ารวา่ “ขา้ ฯ จาเลยที่ 1 ขอใหก้ ารรับสารภาพฐานลกั ทรัพยต์ ามฟ้องโจทก”์ ซ่ึงเป็นคารับสารภาพวา่ ไดก้ ระทาความผดิ ฐานลกั

ทรัพยต์ ามฟ้องเท่าน้นั มิไดใ้ หก้ ารรับดว้ ยวา่ การที่จาเลยที่ 1 เคยตอ้ งโทษและพน้ โทษในคดีท่ีโทกข์ อใหเ้ พ่ิมโทษ เมื่อโจทกไ์ ม่ไดน้ า

สืบใหป้ รากฏขอ้ เทจ็ จริงวา่ จาเลยที่ 1 เคยตอ้ งโทษและพน้ โทษตามคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี 475/2556 ของศาลจงั หวดั สตูล จึงไม่อาจ

เพิ่มโทษจาเลยที่ 1 ตามคาขอของโจทกไ์ ด้

ฎีกำท่ี 7493/2560 โจทกซ์ ่ึงเป็นราษฎรน้นั ฟ้องขอใหล้ งโทษจาเลยฐานยกั ยอกทรัพย์ ศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมูลฟ้องโจทกแ์ ลว้

เห็นวา่ คดีโจทกม์ ีมูล เมื่อศาลช้นั ตน้ เห็นวา่ คดีโจทกม์ ีมูล กม็ ีคาสง่ั ประทบั ฟ้องไว้ เมื่อศาลช้นั ตน้ ประทบั ฟ้องไวแ้ ลว้ ในระบบของ

การไต่สวนมูลฟ้องจาเลยยงั ไม่อยใู่ นอานาจศาล เพราะก่อนที่ศาลประทบั ฟ้องมิใหถ้ ือวา่ จาเลยอยใู่ นฐานะเช่นน้นั หลงั จากท่ีศาล

ประทบั ฟ้องและตกเป็นจาเลยแลว้ ศาลกจ็ ะออกหมายเรียกจาเลยมาศาลโดยในหมายเรียก ไปยงั จาเลยน้นั กจ็ ะส่งใหโ้ จทกด์ ว้ ย ใน

หมายจะระบุวา่ หมายเรียกใหจ้ าเลยยน่ื คาใหก้ าร และกาหนดวนั นดั สืบพยานโจทก์ ปรากฏวา่ เม่ือถึงวนั นดั พร้อมเพ่ือสอบถาม

คาใหก้ ารจาเลย และกาหนดวนั นดั สืบพยานโจทก์ ปรากฏวา่ จาเลยไดร้ ับหมายเรียกแลว้ มาศาลพร้อมกบั ทนายความ แต่ทางฝ่ ายโจทก์

กลบั ไมม่ าศาล เมื่อฝ่ ายโจทกไ์ มม่ าศาล ศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้องโจทกโ์ ดยอา้ งวา่ โจทกข์ าดนดั ไมม่ าศาลตามกาหนดนดั โดยอาศยั

อานาจตามมาตรา 166 ประกอบดว้ ยมาตรา 181 ซ่ึงมาตรา 181 เป็นเร่ืองในช้นั พิจารณา ซ่ึงบญั ญตั ิใหน้ าบทบญั ญตั ิในมาตรา 166 มา

ใชบ้ งั คบั ในช้นั พิจารณาดว้ ยโดยอนุโลม เม่ือศาลช้นั ตน้ ยกฟ้องโจทกแ์ ลว้ กม็ ีปัญหา เพราะหลงั จากท่ีศาลช้นั ตน้ ยกฟ้องแลว้ โจทกก์ ็

มายนื่ คาร้องขอใหพ้ ิจารณาคดีใหม่ จาเลยคดั คา้ น เม่ือจาเลยคดั คา้ น ศาลกไ็ ต่สวนและเห็นวา่ โจทกน์ ้นั มิไดจ้ งใจขาดนดั เพราะมีเหตุ

อนั สมควรจึงมาไม่ได้ ศาลช้นั ตน้ จึงไดอ้ นุญาตใหพ้ ิจารณาคดีใหม่ หลงั จากท่ีศาลช้นั ตน้ อนุญาตแลว้ จาเลยกไ็ ดย้ ่ืนอุทธรณ์คาสง่ั ศาล

ช้นั ตน้ ท่ีอนุญาตใหพ้ ิจารณาคดีใหม่ดงั กลา่ ว แต่ศาลช้นั ตน้ ไม่รับอทุ ธรณ์โดยเห็นวา่ คาสงั่ อนุญาตใหพ้ ิจารณาคดีใหมน่ ้นั เป็น คาสงั่

ระหวา่ งพิจารณาตามมาตรา 196 ดงั น้นั เมื่อไม่รับอทุ ธรณ์ จาเลยกไ็ ดย้ ่นื อุทธรณ์คาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ที่ไม่รับอทุ ธรณ์ไปยงั ศาล

อุทธรณ์ ปัญหาตรงจุดน้ีจึงมีวา่ กรณีที่โจทกไ์ มม่ าศาลตามกาหนดนดั ดงั กลา่ วน้นั จะถือวา่ โจทกข์ าดนดั หรือไม่ จนประเดน็ เร่ืองน้ี

ข้ึนมาสู่ศาลฎีกา วา่ การท่ีโจทกไ์ มม่ าศาลในกาหนดวนั นดั พร้อมสอบคาใหก้ ารจาเลยและกาหนดวนั นดั สืบพยานของโจทกน์ ้นั จะถือ

วา่ โจทกข์ าดนดั หรือไม่ ศาลอทุ ธรณ์และศาลฎีกาวนิ ิจฉยั ตรงกนั วา่ “กาหนดนดั พร้อมเพื่อสอบถามคาใหก้ ารจาเลยและกาหนดวนั นดั

สืบพยานโจทก”์ น้นั มิใช่กาหนดวนั นดั ไต่สวนมูลฟ้องหรือนดั พิจารณา แมโ้ จทกไ์ ม่มาศาลตามกาหนดนดั ศาลช้นั ตน้ จะพิพากษายก

ฟ้องโจทกไ์ มไ่ ด้ ท่ีศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้องโจทกจ์ ึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จึงพิพากษาใหย้ อ้ นสานวนไปใหศ้ าลช้นั ตน้ ดาเนิน

กระบวนการพิจารณาใหมแ่ ละพิพากษาคดีต่อไปตามรูปคดี ถา้ โจทกไ์ มม่ าศาล กต็ อ้ งแถลงใหศ้ าลทราบวา่ ไม่มีพยานมาศาลเพราะ

59

เหตุใด และยงั ติดใจสืบพยานปากน้นั หรือไม่หรือจะแถลงตดั พยานปากน้นั ไป โจทกก์ ต็ อ้ งแถลง หากโจทกไ์ ม่มาศาลกต็ อ้ งยกฟ้อง
แต่ถา้ หากวา่ โจทกน์ าพยานเขา้ มาสืบเสร็จแลว้ แถลงวา่ หมดพยานแลว้ ศาลเล่ือนไปนดั สืบพยานจาเลยในนดั หนา้ พอถึงวนั นดั
สืบพยานจาเลยในนดั หนา้ โจทกไ์ ม่มาศาล ศาลจะยกฟ้องโจทกเ์ พราะขาดนดั ไม่ได้ เพราะโจทกห์ มดหนา้ ท่ีท่ีจะตอ้ งนาพยานเขา้ มา
สืบแลว้ การที่โจทกไ์ ม่มาศาลในวนั นดั สืบพยานจาเลย โจทกเ์ พียงแต่เสียสิทธิซกั คา้ นพยานจาเลยเท่าน้นั แต่ศาลจะยกฟ้องโจทก์
เพราะไม่มาศาลในวนั นดั สืบพยานจาเลยไมไ่ ด้ เพราะโจทกห์ มดหนา้ ที่ท่ีจะนาพยานหลกั ฐานมาสืบแลว้ นนั่ เอง ดงั น้นั กาหนดวนั นดั
พิจารณาที่โจทกต์ อ้ งมาศาล หมายถึง กาหนดวนั นดั สืบพยานของโจทกเ์ ท่าน้นั ไม่รวมถึงกาหนดวนั นดั สืบพยานจาเลย แต่ตาม
ตวั อยา่ งคาพิพากษาที่เกิดข้ึนน้นั ศาลช้นั ตน้ ที่ประทบั ฟ้องแลว้ หมายเรียก จาเลยมาศาลในวนั นดั พร้อม เพ่ือสอบถามคาใหก้ ารจาเลย
โดยในวนั นดั พร้อม ศาลกจ็ ะสอบถามคาใหก้ ารจาเลยวา่ จาเลยมีทนายความหรือไม่ จะใหก้ ารอยา่ งไรและศาลจะกาหนดวนั นดั
พิจารณา โดยในวนั น้นั จะไม่มีการสืบพยานโจทก์ เพราะศาลจะกาหนดวนั นดั พิจารณาวา่ คดีน้ีจะกาหนดวนั นดั สืบพยานโจทกก์ ่ีนดั
เวลาใด สืบพยานจาเลยกี่นดั วนั เวลาใด เพราะฉะน้นั วนั ท่ีศาลนดั พร้อมสอบคาใหก้ ารจาเลยและกาหนดวนั นดั พิจารณาน้นั ยงั ไม่มี
การสืบพยาน เม่ือยงั ไม่มีการสืบพยาน จึงไมใ่ ช่วนั นดั พิจารณาตามความม่งุ หมายของ มาตรา 181 ประกอบมาตรา 166

ฎกี ำที่ 168/2561 การขอแกไ้ ขคาใหก้ าร จาเลยท่ี 1 สามารถยนื่ คาร้องไดก้ ่อนศาลช้นั ตน้ พิพากษาเท่าน้นั การที่จาเลยท่ี 1

ย่ืนคาร้องในระหวา่ งที่คดีอยรู่ ะหวา่ งพิจารณาของศาลฎีกา จึงไมอ่ าจกระทาได้ ตอ้ งหา้ มตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคสอง แต่อยา่ งไร

กด็ ีการท่ีจาเลยท่ี 1 ขอใหก้ ารรับสารภาพในช้นั ฎีกาเช่นน้ี ถือไดว้ า่ จาเลยที่ 1 ยอมรับขอ้ เทจ็ จริงโดยไม่โตแ้ ยง้ ที่ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่

จาเลยที่ 1 กระทาความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 137 มาตรา 267 และมาตรา 268

ฎีกำที่ 5191/2561 ศาลฎีกาวินิจฉยั วา่ แมค้ าบรรยายฟ้องของโจทกพ์ อที่จะใหจ้ าเลยเขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ีวา่ วนั เวลาที่จาเลย

กระทาความผดิ เป็นช่วงวนั เวลาใดและจาเลยใหก้ ารรับสารภาพตามฟ้องกต็ าม แต่โจทกไ์ ม่ไดน้ าสืบเก่ียวกบั เวลากระทาความผดิ ให้

ศาลเห็นวา่ จาเลยไดล้ กั ทรัพยข์ องผเู้ สียหายไปในเวลากลางคืน ซ่ึงความจริงเหตุอาจจะเกิดข้ึนในเวลากลางวนั กไ็ ด้ ถา้ เป็นคดีเช่นน้ี

ศาลกจ็ ะยกประโยชนแ์ ห่งความสงสยั น้นั ใหแ้ ก่จาเลยโดยรับฟังเป็นคุณวา่ จาเลยน้นั ลกั ทรัพยใ์ นเวลากลางวนั ปัญหาเช่นน้ีในบางคร้ัง

ศาลช้นั ตน้ ไปลงโทษจาเลยตามคาฟ้องของโจทกเ์ ลย คือลงโทษฐานลกั ทรัพยใ์ นเวลากลางคืนที่เป็นของนายจา้ ง ซ่ึงศาลฎีกาวินิจฉยั

วา่ กรณีเช่นน้ีจะตอ้ งรับฟังเป็นคุณเพราะโจทกไ์ ม่ไดน้ าสืบมาเลยเพราะฉะน้นั ถา้ หากวา่ มีคาฟ้องเช่นน้ี ศาลจะลงโทษจาเลยฐานลกั

ทรัพยธ์ รรมดากค็ ือจะลงโทษฐานลกั ทรัพยใ์ นเวลากลางวนั

ฎกี ำที่ 13646/2558 พนกั งานอยั การโจทกไ์ ดย้ ื่นฟ้องจาเลยและขอใหล้ งโทษตาม ป.อ. มาตรา 151 ทางพิจารณาไดค้ วามวา่
จาเลยท่ี 1 ใชอ้ านาจในตาแหน่งกระทาการทุจริตเบียดบงั เอาเงินงบประมาณไปเป็นประโยชนส์ ่วนตวั การกระทาของจาเลยที่ 1 เป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 แมโ้ จทกจ์ ะระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ไวใ้ นคาขอทา้ ยฟ้องโดยไมไ่ ดร้ ะบุมาตรา 147 ก็
ตาม แต่โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยที่ 1 ซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานและเจา้ หนา้ ที่รัฐ มีอานาจหนา้ ท่ีในการบริหารจดั การและรักษา
งบประมาณต่างๆ ขององคก์ ารบริหารส่วนตาบลตามโครงการขดุ ลอกลาเหมืองไดใ้ ชจ้ ่ายเงินงบประมาณตามโครงการเพียงบางส่วน
ส่วนที่เหลืออีกจานวนหน่ึงขาดหายไปโดยไดเ้ บียดบงั เอาเงินงบประมาณจานวนดงั กลา่ วรวมท้งั เงินงบประมาณตามโครงการอ่ืน

60

ตามท่ีบรรยายในคาฟ้องไปเป็นประโยชนส์ ่วนตนหรือผอู้ ื่น อนั เป็นการเสียหายแก่รัฐ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลและประชาชนทวั่ ไป
จึงเป็นการอา้ งบทมาตราผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีอานาจลงโทษจาเลยท่ี 1 ตามฐานความผดิ ท่ีถูกตอ้ งได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรค
หา้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคาขออนั จะตอ้ งหา้ มตามมาตรา 192 วรรคหน่ึง

ฎีกำท่ี 3419/2559 จาเลยฎีกาวา่ คดีน้ีเป็นคดีความผดิ เก่ียวกบั เพศ การถามปากคาผเู้ สียหายท่ี 1 ซ่ึงเป็นหญิงในช้นั สอบสวน

ตอ้ งใหพ้ นกั งานสอบสวนซ่ึงเป็นหญิงเป็นผสู้ อบสวน เวน้ แต่ผเู้ สียหายที่ 1 น้นั ยินยอมหรือมีเหตุจาเป็นอยา่ งอ่ืน และใหบ้ นั ทึกความ

ยนิ ยอมหรือเหตุจาเป็นน้นั ไวต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 133 วรรคสี่ แต่พนกั งานสอบสวนคดีน้ีเป็นชายและไมไ่ ดม้ ีบนั ทึกความยินยอมหรือ

เหตุจาเป็นน้นั ไว้ จึงเป็นการสอบสวนที่ไมช่ อบและพนกั งานอยั การไมม่ ีอานาจฟ้อง ศาลฎีกาวนิ ิจฉยั ฎีกาของจาเลยแลว้ เห็นวา่ การที่

พนกั งานสอบสวนคดีน้ีไม่ปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 วรรคสี่ แมจ้ ะเป็นการไม่ชอบแต่กห็ ามีผลทาใหก้ ารสอบสวนเสีย

ไปท้งั หมดและถือเท่ากบั ไม่มีการสอบสวนในความผิดน้นั มาก่อนอนั จะทาใหพ้ นกั งานอยั การไมม่ ีอานาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา

120 ไม่ โจทกจ์ ึงมีอานาจฟ้อง ฎีกาของจาเลยฟังไม่ข้ึน

ฎีกำที่ 6017/2560 พนกั งานสอบสวนรวบรวมพยานหลกั ฐานโดยเห็นวา่ มารดาผเู้ สียหายพาผเู้ สียหายไปใหแ้ พทยต์ รวจ

ร่างกายที่โรงพยาบาลของรัฐแลว้ จึงไมจ่ าเป็นตอ้ งส่ง ตวั ผเู้ สียหายไปใหแ้ พทยต์ รวจซ้าอีก และรวบรวมผลการตรวจชนั สูตรบาดแผล

ของแพทยไ์ วโ้ ดยไม่ไดส้ อบปากคาแพทยผ์ ตู้ รวจร่างกาย ดงั น้ี เป็นดุลพินิจของพนกั งานสอบสวนท่ีสามารถกระทาไดต้ ามอานาจ

หนา้ ท่ีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131 และมาตรา 131/1 และไม่ถือวา่ เป็นการสอบสวนโดยไมช่ อบ

พนกั งานสอบสวนสอบปากคาผเู้ สียหายซ่ึงเป็นเดก็ หญิงอายไุ มเ่ กิน 18 ปี ในความผดิ เกี่ยวกบั เพศโดยมีนกั สงั คมสงเคราะห์ มารดา

ผเู้ สียหาย และพนกั งานอยั การร่วมในการถามปากคาผเู้ สียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 133 ทววิ รรคหน่ึง

โดยใชพ้ นกั งานสอบสวนซ่ึงเป็นชายเป็นผสู้ อบสวนและไม่ปรากฏวา่ ผเู้ สียหายน้นั ยินยอมหรือมีเหตุจาเป็นอยา่ งอ่ืน และไดม้ ีการ

บนั ทึกความยินยอมและเหตุจาเป็นน้นั ไว้ ซ่ึงแมไ้ มเ่ ป็นไปตามหลกั เกณฑต์ ามมาตรา 133 วรรคส่ีกต็ าม แต่เป็นเพียงความบกพร่อง

หรือผิดพลาดเฉพาะในส่วนน้ีซ่ึงเป็นขอ้ บกพร่องผดิ พลาดในรายละเอียด หาใช่ขอ้ สาระสาคญั

ถึงขนาดจะทาใหก้ ารสอบสวนเสียไปท้งั หมด อนั จะทาใหพ้ นกั งานอยั การไมม่ ีอานาจฟ้องตามมาตรา 120 ไมโ่ จทกจ์ ึงมีอานาจฟ้อง

ฎีกำท่ี 3281/2561 จาเลยฎีกาวา่ ในคดีความผดิ เกี่ยวกบั เพศ การถามปากคาผเู้ สียหายซ่ึงเป็นหญิงตอ้ งใหพ้ นกั งานสอบสวน

ซ่ึงเป็นหญิงเป็นผสู้ อบสวน เวน้ แต่ผเู้ สียหายน้นั ยินยอมหรือมีเหตุจาเป็นอยา่ งอ่ืน และใหบ้ นั ทึกความยนิ ยอมหรือเหตุจาเป็นน้นั ไว้

แต่คดีน้ีมิไดใ้ หพ้ นกั งานสอบสวนซ่ึงเป็นหญิงเป็นผสู้ อบสวนในการถามปากคาผเู้ สียหายจึงเป็นการสอบสวนท่ีไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

และโจทกไ์ ม่มีอานาจฟ้องน้นั แมป้ ัญหาน้ีจาเลยเพ่ิงยกข้ึนอา้ งในช้นั ฎีกา แต่เป็นขอ้ กฎหมายที่เก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อยจาเลยมี

สิทธิยกข้ึนอา้ งในช้นั ฎีกาไดต้ าม ป. วิ. อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 การที่พนกั งานสอบสวนไมป่ ฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ ง

ตามบทบญั ญตั ิแห่ง ป. วิ. อ. มาตรา 133 วรรคสี่ แมจ้ ะเป็นการไม่ชอบแต่กห็ ามีผลทาใหก้ ารสอบสวนเสียไปท้งั หมด และถือเท่ากบั

ไมม่ ีการสอบสวนในความผิดน้นั มาก่อนอนั จะทาใหพ้ นกั งานอยั การไม่มีอานาจฟ้อง

61

ฎกี ำที่ 6294/2560 ผตู้ ายมีเหตุทะเลาะววิ าทกบั กลุ่มของจาเลยและถูกกลุ่มของจาเลยรุมทาร้ายจนถึงแก่ความตาย โดยไมม่ ี

บุคคลภายนอกเขา้ ร่วมทาร้ายผตู้ าย การทาร้ายน้นั มีลกั ษณะร่วมกนั กระทาโดยใชอ้ าวธุ หลายชนิดและตอ้ งใชเ้ วลานานจนผูต้ ายไดร้ ับ

บาดแผลจานวนมาก กวา่ ๑๕ แผล การท่ีจาเลยมาและอยใู่ นกลุ่มท่ีรุมทาร้ายผตู้ ายจนกระทงั่ ผูต้ ายถึงแก่ความตายโดยมิไดห้ า้ มปราม

หรือหลบหนีไปก่อน แสดงวา่ จาเลยมีเจตนาร่วมกบั พวกที่จะทาร้ายผตู้ ายใหถ้ ึงแก่ความตาย และผตู้ ายกถ็ ึงแก่ความตายสมดงั เจตนา

ของจาเลยกบั พวก ดงั น้ี จาเลยร่วมกบั พวกกระทาความผิดฐานฆ่าผอู้ ่ืนโดยเจตนา โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยแต่เพียงผเู้ ดียวฆา่ ผตู้ าย

โดยเจตนา ทางพิจารณาไดค้ วามวา่ จาเลยร่วมกบั พวกฆ่าผตู้ ายโดยเจตนา ดงั น้ีเป็นเพียงขอ้ แตกต่างในรายละเอียด ท้งั จาเลยมิไดห้ ลง

ต่อสู้ ศาลลงโทษจาเลยฐานเป็นตวั การร่วมกระทาความผดิ ได้ ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง

มาตรา ๒๑๕ และ ๒๒๕

62

63

-------------- ว.ิ อาญา ข้อ 5 ---------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 64)

ฎกี ำที่ 494/2551 ศาลช้นั ตน้ วนิ ิจฉยั วา่ จาเลยท่ี 1 มิไดม้ ีเจตนาเอารถยนตข์ องโจทกไ์ ปโดยทุจริต จาเลยท่ี 1 จึงไมม่ ี

ความผิดฐานลกั ทรัพย์ โจทกอ์ ุทธรณ์วา่ พยานหลกั ฐานของโจทกร์ ับฟังไดว้ า่ จาเลยท่ี 1มีเจตนากระทาความผดิ ฐานลกั ทรัพยเ์ ป็นการ

โตแ้ ยง้ ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลกั ฐานของศาลช้นั ตน้ อทุ ธรณ์ของโจทกจ์ ึงเป็นอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เท็จจริง แมโ้ จทกฟ์ ้องขอให้

ลงโทษจาเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335 หากโจทกน์ าสืบไดค้ วามวา่ จาเลยที่ 1 กระทาความผดิ ศาลยอ่ มลงโทษจาเลยท่ี 1 ตาม ป.อ.

มาตรา 334 ซ่ึงมีอตั ราโทษเบากวา่ ไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคหน่ึง ตามท่ีโจทกฎ์ ีกากต็ าม แต่บทบญั ญตั ิดงั กลา่ วเป็นบทบญั ญตั ิ

ท่ีกาหนดเก่ียวกบั การพิพากษาของศาลซ่ึงเป็นคนละกรณีกบั สิทธิอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงของโจทก์ ซ่ึงการอุทธรณ์ดงั กลา่ วตอ้ ง

พิจารณาจากอตั ราโทษที่บญั ญตั ิไวใ้ นกฎหมายตามที่โจทกข์ อใหล้ งโทษหรือที่กล่าวในคาฟ้อง เมื่อโจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ เม่ือวนั ท่ี 13

มิถุนายน 2541 เวลากลางวนั จาเลยที่ 1 ลกั รถยนตข์ องโจทกไ์ ป และมีคาขอทา้ ยฟ้องขอใหล้ งโทษจาเลยที่ 1ตาม ป.อ. มาตรา 335 ก็

ไมเ่ ขา้ องคป์ ระกอบความผดิ ตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว ไม่อาจลงโทษจาเลยท่ี 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335 ไดค้ งลงโทษจาเลยที่ 1 ตาม ป.อ.

มาตรา 334 ซ่ึงมีอตั ราโทษที่กฎหมายกาหนดไวใ้ หจ้ าคุกไมเ่ กินสามปี และปรับไมเ่ กินหกพนั บาทเท่าน้นั จึงตอ้ งหา้ มมิใหโ้ จทก์

อุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 193 ทวิ

ฎีกำที่ 10589/2553 โจทกท์ ้งั สามบรรยายฟ้องวา่ จาเลยท้งั เจด็ ร่วมกนั ทาร้ายร่างกายโจทกท์ ่ี 2 และท่ี 3 เป็นเหตุใหไ้ ดร้ ับ
อนั ตรายแก่กายและร่วมกนั ทาร้ายโจทกท์ ี่1เป็นเหตุใหโ้ จทกท์ ี่1ศีรษะแตก หนา้ ผากแตก หางตาขวาแตก จมกู แตก และฟันหกั 4 ซี่
ไดร้ ับอนั ตรายแก่กาย ขอใหล้ งโทษตาม ป.อ. มาตรา295, 297 แมฟ้ ้องโจทกท์ ้งั สามมีคาขอใหล้ งโทษจาเลยท้งั เจด็ ตามมาตรา297 แต่
เม่ือฟ้องโจทกท์ ้งั สามมิไดบ้ รรยายฟ้องวา่ โจทกท์ ี่1ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั อยา่ งไร จึงลงโทษจาเลยท้งั เจด็ ตามมาตรา297 ไม่ได้ คง
ลงโทษจาเลยท้งั เจด็ ตามมาตรา 295 เท่าน้นั เม่ือความผิดแต่ละกระทงกาหนดโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหมื่นบาท
หรือท้งั จาท้งั ปรับ และศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง จึงตอ้ งหา้ มมิใหโ้ จทกท์ ้งั สามอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา193
ทวิ ท่ีโจทกท์ ้งั สามอุทธรณ์วา่ พยานหลกั ฐานของโจทกท์ ้งั สามฟังไดว้ า่ จาเลยท้งั เจด็ ร่วมกนั ทาร้ายโจทกท์ ้งั สามน้นั เป็นการโตเ้ ถียง
ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลกั ฐานของศาลช้นั ตน้ อนั เป็นอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว ที่
ศาลช้นั ตน้ รับอุทธรณ์ของโจทกท์ ้งั สามและศาลอทุ ธรณ์ภาค3 รับวินิจฉยั จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาน้ีเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายที่
เก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อย

แมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวินิจฉยั ไดเ้ องตาม ป.วิ.อ.มาตรา195วรรคสอง
ประกอบมาตรา225

64

ฎกี ำที่ 2553/2539 ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั วา่ ถือไมไ่ ดว้ ่าโจทกท์ ิ้งฟ้อง ใหย้ กคาร้องเป็นคาสงั่ ระหวา่ งพิจารณา แมศ้ าลช้นั ตน้ จะ

สงั่ ต่อไปวา่ จาเลยไมม่ าศาลตามกาหนดนดั ใหอ้ อกหมายจบั ใหจ้ าหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ จบั จาเลยไดเ้ ม่ือใดใหโ้ จทก์

แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีข้ึนพิจารณาใหม่ กเ็ ป็นเพียงคาสง่ั ใหจ้ าหน่ายคดีชว่ั คราวอนั เป็นคาสง่ั ระหวา่ งพิจารณาเช่นกนั ไมใ่ ช่กรณีศาล

ช้นั ตน้ มีคาพิพากษาหรือคาสงั่ ในประเดน็ สาคญั แลว้ ดงั น้นั ที่จาเลยอุทธรณ์วา่ โจทกไ์ ม่นาส่งหมายเรียกตามคาสง่ั ศาลช้นั ตน้ เป็นการ

ทิ้งฟ้องจึงตอ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 196

ฎกี ำท่ี 145/2536 จาเลยแจง้ ความเทจ็ ต่อพนกั งานสอบสวนวา่ ส.ค.1 ของ ท.ซ่ึงจาเลยเกบ็ รักษาไวห้ ายไป แลว้ นาสาเนา

รายงานประจาวนั เก่ียวกบั คดีไปขอสาเนา ส.ค.1 ที่หายไป และนาไปยืน่ เรื่องขอรังวดั ท่ีดินแปลงดงั กล่าวเพื่อออกโฉนดเป็นที่ดินของ

จาเลยโดยอา้ งวา่ ท.มอบที่ดินใหจ้ าเลยครอบครอง การกระทาของจาเลยอาจทาใหโ้ จทกเ์ สียหาย เพราะเมื่อ ท. ถึงแก่กรรม ที่ดินตาม

ส.ค.1 ยอ่ มเป็นมรดกตกทอดแก่โจทกท์ นั ที การกระทาของจาเลยยอ่ มกระทบกระเทือนต่อสิทธิครอบครองของโจทกอ์ าจทาใหโ้ จทก์

เสียหาย โจทกจ์ ึงเป็นผเู้ สียหายและมีอานาจฟ้อง ศาลช้นั ตน้ นดั สืบพยานโจทกไ์ ด้ 2 นดั และสืบพยานโจทกไ์ ด้ 3 ปากแลว้ ในนดั

ต่อมาทนายโจทกย์ นื่ คาร้องขอเลื่อนคดีอา้ งวา่ ป่ วยจาเลยคดั คา้ นวา่ มิไดป้ ่ วยจริง ศาลช้นั ตน้ ใหจ้ ่าศาลไปตรวจสอบอาการของทนาย

โจทกแ์ ต่ไมพ่ บ จึงมีคาสงั่ ยกคาร้องขอเลื่อนคดีและถือวา่ โจทกไ์ ม่มีพยานมาสืบ ใหง้ ดสืบพยานโจทกแ์ ลว้ นดั สืบพยานจาเลยมิใช่

กรณีศาลมีคาสงั่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166,181 เพราะเป็นเร่ืองโจทกข์ อเล่ือนคดีแลว้ ศาลไมใ่ หเ้ ล่ือนหา

ใช่โจทกไ์ ม่มาตามนดั ศาลจึงยกฟ้องไม่ ส่วนที่ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ยกคาร้องของจาเลยท่ีขอใหศ้ าลยกฟ้องโจทกเ์ ป็นคาสงั่ ระหวา่ ง

พิจารณาในคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 196 ซ่ึงมิไดบ้ ญั ญตั ิใหค้ ู่ความตอ้ งโตแ้ ยง้ คาสง่ั ไวแ้ ต่

ประการใดไม่ จาเลยจึงอุทธรณ์คาสงั่ ศาลช้นั ตน้ โดยไม่ตอ้ งโตแ้ ยง้ ไวไ้ ด้

ฎีกำที่ 2213/2550 คาสงั่ ของศาลช้นั ตน้ ท่ีใหร้ อการไต่สวนมูลฟ้องไวก้ ่อนจนกวา่ จะทราบผลที่สุดของคดีแพ่งของศาล

ช้นั ตน้ และใหจ้ าหน่ายคดีชว่ั คราว โดยไดส้ งั่ ไวด้ ว้ ยวา่ เมื่อคดีแพง่ ดงั กลา่ วถึงที่สุดแลว้ ใหโ้ จทกแ์ ถลงต่อศาลเพ่ือยกคดีข้ึนพิจารณา

ต่อไปภายใน 1 เดือน นบั แต่คดีถึงท่ีสุด คาสงั่ ดงั กล่าวไมใ่ ช่เป็นคาสง่ั จาหน่ายคดีโดยเดด็ ขาด เพียงแต่เป็นคาสง่ั จาหน่ายคดีไว้

ชว่ั คราว เป็นคาสงั่ ท่ีไม่ทาใหป้ ระเดน็ แห่งคดีเสร็จไปแต่อยา่ งใด จึงเป็นคาสงั่ ระหวา่ งพิจารณาที่ไม่ทาใหค้ ดีเสร็จสานวน โจทกจ์ ึงยงั

ไม่มีสิทธิอทุ ธรณ์คาสงั่ ดงั กล่าวในระหวา่ งการพิจารณาตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 196

ฎกี ำท่ี 8080/2541 คาสงั่ ของศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศกลางท่ีใหร้ อการไต่สวนมลู ฟ้องไวก้ ่อน

จนกวา่ คดีอาญาหมายเลขดาที่ อ. 36/2540ของศาลดงั กลา่ วจะถึงท่ีสุด และใหจ้ าหน่ายคดีชวั่ คราว โดยใหโ้ จทกแ์ ถลงต่อศาลภายใน1

เดือน นบั แต่ทราบคาสงั่ หรือคาพิพากษาคดีดงั กลา่ ว เพ่ือจะไดพ้ ิจารณาคดีน้ีต่อไปน้นั ไม่ใช่เป็นคาสงั่ จาหน่ายคดีโดยเดด็ ขาก

เพียงแต่เป็นคาสง่ั จาหน่ายคดีไวช้ ว่ั คราว จึงเป็นคาสงั่ ท่ีไมท่ าใหป้ ระเดน็ แห่งคดีเสร็จไปแต่อยา่ งใด เป็นคาสง่ั ระหวา่ งพิจารณาท่ีไม่

ทาใหค้ ดีเสร็จสานวน โจทกไ์ ม่มีสิทธิอุทธรณ์คาสง่ั ดงั กล่าวในระหวา่ งการพิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196 ประกอบ พ.ร.บ. จดั ต้งั

ศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศและวธิ ีพิจารณาคดีทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศ พ.ศ.2539

มาตรา 34

65

ฎกี ำท่ี 3082-3083/2537 การสง่ั คาร้องขอขยายระยะเวลาย่ืนอทุ ธรณ์ของจาเลยท่ี 1 และท่ี 2 เป็นอานาจของศาลช้นั ตน้ ท่ีจะพิจารณา
และมีคาสง่ั ตามบทบญั ญตั ิแห่ง ป.วิ.พ. ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 15 เมื่อศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ อนุญาตใหข้ ยายระยะเวลาตามคารอ้ ง โจทก์
ร่วมชอบที่จะอุทธรณ์คดั คา้ นคาสงั่ ดงั กลา่ วต่อศาลอุทธรณ์ไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคแรก เพราะคาสง่ั ดงั กลา่ วเป็นคาสง่ั
ภายหลงั ท่ีศาลช้นั ตน้ พิพากษาแลว้ ยงั ไมไ่ ดม้ ีการสง่ั รับอุทธรณ์ของจาเลยที่ 1 และท่ี 2 จึงไมเ่ ป็นคาสง่ั ระหวา่ งพิจารณาที่ไม่ทาใหค้ ดี
เสร็จสานวน ไม่ตอ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ตามมาตรา 196

ฎีกำท่ี 7227 – 7228/2551 การขยายระยะเวลายืน่ ฎีกาเป็นอานาจของศาลช้นั ตน้ ที่จะพิจารณาและมีคาสง่ั ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23
ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 เมื่อศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ อนุญาตใหโ้ จทกข์ ยายระยะเวลายืน่ ฎีกา จาเลยที่ 4 ยอ่ มอทุ ธรณ์คดั คา้ นคาสงั่ ของ
ศาลช้นั ตน้ ต่อศาลอุทธรณ์ไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคหน่ึง เพราะคาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ดงั กล่าวเป็นคาสง่ั ภายหลงั ท่ีศาลช้นั ตน้
และศาลอุทธรณ์พิพากษาแลว้ จึงไมเ่ ป็นคาสง่ั ระหวา่ งพิจารณา ไมต่ อ้ งหา้ มอุทธรณ์ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 196

ฎีกำที่ 1926/2548 บทบญั ญตั ิมาตรา 31 และมาตรา 33 แห่ง ป.วิ.พ. เป็นบทบญั ญตั ิที่ใหอ้ านาจศาลลงโทษกระทาผิดฐาน

ละเมิดอานาจศาลเพื่อใหศ้ าลสามารถควบคุมการดาเนินกระบวนพิจารณาท้งั ในและนอกศาลใหด้ าเนินไปไดโ้ ดยราบร่ืนรวดเร็วและ

เป็นธรรมต่อคู่ความทุกฝ่ าย แมว้ า่ มาตรา 33 จะกาหนดใหล้ งโทษจาคุกและปรับซ่ึงเป็นโทษทางอาญาดว้ ยกต็ าม แต่เนื่องจาก

บทบญั ญตั ิในเรื่องละเมิดอานาจศาลเป็นบทบญั ญตั ิพิเศษที่ไม่เกี่ยวกบั การลงโทษผกู้ ระทาความผิดทางอาญาทวั่ ไป จึงไมอ่ ยใู่ นบงั คบั

ของขอ้ จากดั เกี่ยวกบั การอทุ ธรณ์ฎีกาตาม ป.ว.ิ อ. จาเลยจึงสามารถฎีกาคดั คา้ นคาพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์ภาค 6 ต่อศาลฎีกาได้

ฎีกำที่ 66/2516 คาสง่ั ใหล้ งโทษจาคุกฐานละเมิดอานาจศาลเป็นคาสง่ั ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา

228(1) ไม่ตอ้ งหา้ มฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง

ฎีกำที่ 2582/2553 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยท้งั สองในขอ้ หาร่วมกนั พยายามฆ่าผอู้ ื่นตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 ศาล

ช้นั ตน้ ฟังวา่ จาเลยท้งั สองไม่มีเจตนาฆ่า แลว้ พิพากษาลงโทษจาเลยท้งั สองฐานร่วมกนั ทาร้ายผอู้ ่ืนจนเป็นเหตุใหไ้ ดร้ ับอนั ตรายแก่

กายตาม ป.อ. มาตรา 295 โจทกอ์ ุทธรณ์ขอใหล้ งโทษฐานพยายามฆ่า ศาลอทุ ธรณ์ภาค 9 ฟังวา่ จาเลยท้งั สองไม่มีเจตนาฆ่าเช่นกนั

และเน่ืองจากศาลช้นั ตน้ วางโทษปรับฐานพาอาวธุ มีดเกินอตั ราท่ีกฎหมายกาหนด ศาลอทุ ธรณ์ภาค 9 ไดแ้ กไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งยอ่ มมีผล

เท่ากบั

ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องในขอ้ หาความผดิ ฐานร่วมกนั พยายามฆา่ ผอู้ ่ืนโดย

เจตนา จึงตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ซ่ึงตอ้ งหา้ มท้งั ปัญหาขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ กฎหมาย ที่โจทกฎ์ ีกาขอใหล้ งโทษจาเลย

ท้งั สองฐานพยายามฆา่ ตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 จึงตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 220 คดีโจทกไ์ ม่อาจข้ึนมาสู่การวนิ ิจฉยั ของศาลฎีกา

และถือไม่ไดว้ า่ โจทกฎ์ ีกาขอใหล้ งโทษจาเลยใหห้ นกั ข้ึนในขอ้ หาฐานร่วมกนั ทาร้ายผอู้ ื่นเป็นเหตุใหไ้ ดร้ ับอนั ตรายแก่กายตาม ป.อ.

มาตรา 295 ศาลฎีกาไมร่ ับวินิจฉยั พิพากษายกฎีกาโจทก์

66

ฎกี ำที่ 5304/2553 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษฐานกระทาอนาจารแก่บุคคลอายกุ วา่ 15ปี โดยใชก้ าลงประทุษร้าย จาคุก8

เดือน ศาลอทุ ธรณ์ภาค3 พิพากษาเป็นวา่ ใหล้ งโทษปรับจาเลย 5,000 บาท อีกสถานหน่ึง โทษจาคุกใหร้ อการลงโทษ2ปี และคุม

ความประพฤติของจาเลยไว้ ดงั น้ีแมศ้ าลอุทธรณ์ภาค3 พิพากษาใหร้ อการลงโทษจาเลยอนั เป็นการแกไ้ ขมากกต็ าม แต่กไ็ มไ่ ด้

เพิ่มเติมโทษจาเลย เม่ือศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค3 พิพากษาลงโทษจาคุกจาเลยไม่เกิน2 ปี คดีจึงตอ้ งหา้ มคู่ความฎีกาใน

ปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา219

ฎกี ำที่ 6279/2548 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 เป็นกรณีท่ีศาลอทุ ธรณ์ หรือ ศาลฎีกา ในคดีน้ีจะพิพากษาลดโทษ หรือ รอการ

ลงโทษจาเลยคนหน่ึงซ่ึงอุทธรณ์ หรือฎีกา แต่เพียงผเู้ ดียว ใชอ้ านาจพิพากษาไปถึงจาเลยอื่นที่มิไดอ้ ทุ ธรณ์หรือฎีกา ใหไ้ ดร้ ับโทษ

เช่นเดียวกบั จาเลยผอู้ ุทธรณ์ หรือฎีกา แต่การท่ีผรู้ ่วมกระทาความผิดถูกแยกฟ้องเป็นหลายคดีซ่ึงศาลจะลงโทษจาเลยคนใดที่ร่วม

กระทาความผดิ เพียงใด เป็นขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั จาเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตวั เป็นรายๆ ไปเฉพาะคดีน้นั พยานหลกั ฐานที่จะใช้

วนิ ิจฉยั ความผดิ ประกอบดุลยพินิจในการลงโทษของ ช. แตกต่างไปจากจาเลยท้งั สามจึงไม่เป็นเหตุลกั ษณะคดี

ฎกี ำที่ 229/2525 คดีท่ีมีจาเลยหลายคนซ่ึงศาลรวมพิจารณาพิพากษาเขา้ ดว้ ยกนั แมจ้ าเลยสานวนคดีหน่ึงฎีกา แต่จาเลยอีก

หน่ึงสานวนคดีหน่ึงไม่ไดฎ้ ีกาข้ึนมากต็ าม เม่ือศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลกั ฐานโจทกร์ ับฟังไม่ไดว้ า่ จาเลยท้งั สองสานวนคดีกระทาผิด

ฐานฆา่ ผอู้ ื่น ถือวา่ เป็นเหตุในลกั ษณะคดี ศาลฎีกามีอานาจพิพากษาตลอดไปถึงจาเลยสานวนคดีท่ีไม่ไดฎ้ ีกาไดต้ าม ประมวล

กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบดว้ ยมาตรา 225

ฎีกำท่ี 641-644/2510 โจทกฟ์ ้องคดีสี่สานวนซ่ึงศาลช้นั ตน้ สงั่ รวมพิจารณาพิพากษา โดยขอใหล้ งโทษจาเลยตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาอาญา มาตรา 174วรรคสอง แต่ ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์พิพากษาวา่ จาเลยมีความผดิ ตามมาตรา 174วรรค
สอง โจทกม์ ิไดอ้ ทุ ธรณ์ฎีกา เมื่อขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ จาเลยมีความผดิ ตามมาตรา 174วรรคสอง ศาลฎีกามีอานาจพิพากษาแก้
บทลงโทษใหถ้ ูกตอ้ งโดยไม่เพ่ิมกาหนดใหส้ ูงข้ึนอีกกไ็ ด้ และถือวา่ เป็นเหตุอยใู่ นลกั ษณะคดี ศาลฎีกายอ่ มมีอานาจพิพากษาตลอดไป
ถึงจาเลยท่ีมิไดฎ้ ีกาไดด้ ว้ ย

ฎกี ำที่857/2529 โจทกแ์ ยกฟ้องจาเลย ว.และท. มาเป็นสามสานวน ขอ้ หาร่วมกนั พยายามปลน้ ทรัพย์ ศาลช้นั ตน้ รวม

พิจารณาและพิพากษายกฟ้องโจทกท์ ้งั สามสานวน โจทกท์ ้งั สามสานวนอทุ ธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแกเ้ ป็นใหล้ งโทษจาเลยและ ว.

ตามฟ้อง ส่วน ท. คดียงั เป็นท่ีสงสยั ใหย้ กฟ้องยืนตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ จาเลยผเู้ ดียวฎีกา ดงั น้ีเมื่อศาลฎีกาเห็นวา่ พยานหลกั ฐาน

โจทกไ์ ม่พอฟังวา่ จาเลยพยายามปลน้ ทรัพยผ์ เู้ สียหาย ยอ่ มมีอานาจพิพากษาตลอดไปถึง ว. ซ่ึงมิไดฎ้ ีกาได้ เพราะเป็นเหตุอยใู่ นส่วน

ลกั ษณะคดี ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ฎีกำที่ 3003-3004/2543 ฟ้องโจทกเ์ คลือบคลุมหรือไม่ เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายท่ีเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย จาเลยที่ 1 ยกข้ึนอา้ งได้
แมจ้ ะมิไดย้ กข้ึนวา่ กล่าวในศาลลา่ งท้งั สองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225

67

โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยท้งั สองกบั พวกร่วมกนั ใชเ้ กา้ อ้ีและใชข้ องแขง็ ตีทาร้ายร่างกายโจทกร์ ่วมและ
ผเู้ สียหายที่ 2 ถูกบริเวณร่างกายทาใหไ้ ดร้ ับบาดเจบ็ อยา่ งไรบา้ ง เช่นน้ี เพียงพอที่จะใหจ้ าเลยเขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ีแลว้ เป็นฟ้องท่ีสมบูรณ์
ตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 158 (5) ฟ้องโจทกไ์ มเ่ คลือบคลุม

บทบญั ญตั ิแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 213 ตอ้ งเป็นกรณีท่ีศาลอทุ ธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีน้ีจะพิพากษายกฟ้อง
จาเลยคนหน่ึงซ่ึงอุทธรณ์หรือฎีกาเพียงผเู้ ดียว ใชอ้ านาจพิพากษาไปถึงจาเลยอ่ืนท่ีไมไ่ ดอ้ ุทธรณ์หรือฎีกามิใหต้ อ้ งถูกรับโทษ
เช่นเดียวกบั จาเลยผอู้ ุทธรณ์หรือฎีกา

แต่การที่ผรู้ ่วมกระทาผดิ ถกู แยกฟ้องเป็นหลายคดี การที่พยานหลกั ฐานโจทกเ์ พียงพอจะรับฟังลงโทษ
จาเลยคนใดท่ีร่วมกระทาผิดไดห้ รือไม่ เป็นขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั จาเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตวั เป็นรายๆ ไปเฉพาะคดีน้นั ๆ ซ่ึง
พยานหลกั ฐานของโจทกอ์ าจพาดพิงถึงจาเลยแต่ละคดีมากนอ้ ยต่างกนั ได้ คดีท่ีพยานโจทกม์ ีน้าหนกั เพียงพอกล็ งโทษไป คดีท่ีพยาน
โจทกม์ ีน้าหนกั เบาบางก็ตอ้ งยกฟ้องตามขอ้ เทจ็ จริงท่ีปรากฏจากทางนาสืบเป็นรายคดี

ฎีกำท่ี 1040/2516 ในสานวนคดีเดิม โจทกฟ์ ้องจาเลยกบั ต. วา่ ร่วมกนั กระทาความผดิ ต.รับสารภาพศาลช้นั ตน้ สง่ั ใหโ้ จทก์

แยกฟ้องจาเลยท่ีปฏิเสธเป็นคดีใหม่และพิพากษาลงโทษ ต. ไปในคดีเดิมในคดีใหมน่ ้ีบุคคลนอกคดีไม่อาจสอดเขา้ มาอทุ ธรณ์คดั คา้ น

คาพิพากษาดว้ ย ต.เป็นจาเลยในคดีสานวนอื่นซ่ึงศาลมิไดพ้ ิจารณาพิพากษารวมกบั คดีน้ี จึงมิใช่จาเลยอ่ืนที่มิไดอ้ ุทธรณ์ตามความใน

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 แต่เป็นจาเลยคดีอื่นท่ีไม่มีทางที่จะอุทธรณ์เขา้ มาในคดีน้ีต่างหาก ศาลอทุ ธรณ์

จึงไม่มีอานาจท่ีจะยกเอาเหตุซ่ึงอยใู่ นส่วนลกั ษณะคดีมาพิพากษาตลอดไปถึง ต. ดว้ ย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 65)

ฎกี ำที่ 1926/2548 บทบญั ญตั ิมาตรา 31 และมาตรา 33 แห่ง ป.ว.ิ พ. เป็นบทบญั ญตั ิที่ใหอ้ านาจศาลลงโทษกระทาผิดฐาน

ละเมิดอานาจศาลเพื่อใหศ้ าลสามารถควบคุมการดาเนินกระบวนพิจารณาท้งั ในและนอกศาลใหด้ าเนินไปไดโ้ ดยราบรื่นรวดเร็วและ

เป็นธรรมต่อคู่ความทุกฝ่ าย แมว้ า่ มาตรา 33 จะกาหนดใหล้ งโทษจาคุกและปรับซ่ึงเป็นโทษทางอาญาดว้ ยกต็ าม แต่เน่ืองจาก

บทบญั ญตั ิในเรื่องละเมิดอานาจศาลเป็นบทบญั ญตั ิพิเศษท่ีไมเ่ กี่ยวกบั การลงโทษผูก้ ระทาความผดิ ทางอาญาทว่ั ไป จึงไม่อยใู่ นบงั คบั

ของขอ้ จากดั เกี่ยวกบั การอทุ ธรณ์ฎีกาตาม ป.ว.ิ อ. จาเลยจึงสามารถฎีกาคดั คา้ นคาพิพากษาของศาลอทุ ธรณ์ภาค 6 ต่อศาลฎีกาได้

ฎีกำท่ี 3318/2542 ผเู้ สียหายเป็นโจทกฟ์ ้องจาเลยวา่ กระทาความผิดต่อพระราชบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยความผดิ อนั เกิดจากการใชเ้ ชค็

ฯ ต่อมาโจทกถ์ อนฟ้องและจาเลยขอคืนค่าปรับ ศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ ยกคาร้องแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลบั ใหค้ ืนค่าปรับแก่จาเลย กรณี

จึงเป็นเร่ืองผเู้ สียหายใชอ้ านาจฟ้องคดีต่อศาลตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 28 โดยพนกั งานอยั การมิไดเ้ ป็นคู่ความในคดีดว้ ย ท้งั กรณีไม่ตอ้ ง

ดว้ ยพระราชบญั ญตั ิพนกั งานอยั การ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 ที่จะใหพ้ นกั งานอยั การมีอานาจหนา้ ท่ีดาเนินคดีน้ีไดพ้ นกั งานอยั การจึงไม่

68

สามารถเขา้ มาเป็นคู่ความในคดีน้ี และไม่มีสิทธิฎีกาปัญหาดงั กล่าวเป็นปัญหาเก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามี
อานาจหยบิ ยกข้ึนวินิจฉยั

ฎีกำท่ี 3170/2549 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยกระทาความผิดฐานพยายามฆา่ ผอู้ ่ืน ซ่ึงมีระวางโทษสองในสามของโทษประหารชีวติ

จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุกต้งั แต่สิบหา้ ปี ถึงยี่สิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบดว้ ยมาตรา 80 เม่ือ

พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 6 ใหน้ าประมวล

กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาใชบ้ งั คบั แก่คดีเยาวชนและครอบครัวและประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ

บญั ญตั ิวา่ หา้ มมิใหอ้ ุทธรณ์คาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ในคดีซ่ึงอตั ราโทษอยา่ งสูงตามท่ีกฎหมายกาหนดไวใ้ หจ้ าคุก

ไมเ่ กินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหม่ืนบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ ดงั น้นั แมศ้ าลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยมีความผดิ ฐานร่วมกนั ทา

ร้ายร่างกายผอู้ ื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83ซ่ึงมีระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสองปี หรือรับไมเ่ กินส่ีพนั

บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ จาเลยยงั มีสิทธิอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงได้ เพราะการอุทธรณ์คดีอาญาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงน้นั ศาล

จะตอ้ งพิจารณาอตั ราโทษท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นกฎหมายตามฟ้องวา่ ตอ้ งหา้ มอุทธรณ์หรือไม่ ไมใ่ ช่ตามความผดิ ท่ีพิจารณาไดค้ วาม

ฎีกำท่ี 3154/2543 คดีอาญาเรื่องใดจะตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงหรือไม่ ตอ้ งพิจารณาอตั ราโทษท่ีกฎหมาย

บญั ญตั ิสาหรับขอ้ หาแต่ละกระทงความผิดเป็นสาคญั เม่ือความผดิ ในกระทงน้นั มีความผดิ หลายบทรวมอยดู่ ว้ ย ถา้ บทหนกั ไม่

ตอ้ งหา้ ม กถ็ ือวา่ ทุกบทไม่ตอ้ งหา้ ม โจทกอ์ ุทธรณ์ขอใหล้ งโทษจาเลยท้งั สามในความผิดฐานร่วมกนั บุกรุกและทาใหเ้ สียทรัพย์ ซ่ึง

เป็นการกระทาอนั เป็นกรรมเดียวกนั เม่ือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ประกอบดว้ ยมาตรา 362 ซ่ึงเป็นบทท่ีมี

โทษหนกั ท่ีสุดมีอตั ราโทษจาคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไมเ่ กิน 10,000 บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ไมต่ อ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ความผดิ ฐานทาใหเ้ สียทรัพยต์ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358

ซ่ึงเป็นบทเบา แมจ้ ะมีอตั ราโทษจาคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับกย็ อ่ มไมต่ อ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ในปัญหา

ขอ้ เทจ็ จริงดว้ ย สมควรยอ้ นสานวนไปใหศ้ าลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพ่ือใหก้ ารวนิ ิจฉยั ความผิดของจาเลยท้งั สาม

เป็นไปตามลาดบั ศาลตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2) ประกอบดว้ ย มาตรา 225

ฎีกำที่ 4911/2537 คดีอาญาจะตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา

193 ทวิ หรือไม่น้นั ตอ้ งดูอตั ราโทษตามท่ีกาหนดไวใ้ นบทบญั ญตั ิท่ีโจทกข์ อใหล้ งโทษเป็นสาคญั ส่วนอตั ราโทษตามบทบญั ญตั ิท่ี

พิจารณาไดค้ วามหาใช่ขอ้ ท่ีจะนามาพิจารณาในช้นั น้ีไม่ อทุ ธรณ์ของโจทกส์ าหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา

365(2) ซ่ึงมีอตั ราโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ จึงไมต่ อ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง

ส่วนความผดิ ตามบทมาตราอ่ืน แมจ้ ะมีอตั ราโทษจาคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ แต่กเ็ ป็นการ

กระทากรรมเดียวกบั ความผดิ ตามมาตรา 365(2)ซ่ึงไม่ตอ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ ความผดิ ตามบทมาตราอ่ืนจึงไมต่ อ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ในปัญหา

ขอ้ เทจ็ จริงดว้ ย

69

ฎกี ำที่ 741/2527 ขอ้ หาความผดิ ฐานพาอาวธุ ปื นไปในเมืองหมบู่ า้ นหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอนั สมควร ตาม

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มีอตั ราโทษปรับไมเ่ กินหน่ึงร้อยบาทศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง คดีตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ุทธรณ์คา

พิพากษาของศาลช้นั ตน้ ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และโจทกบ์ รรยายฟ้อง

ขอ้ หาตามมาตรา 371 กบั ความผดิ ฐานร่วมกนั ทาร้ายร่างกายผเู้ สียหายจนเป็นเหตุใหร้ ับอนั ตรายสาหสั ตาม มาตรา 297 เป็นกรณีต่าง

กรรมกนั มิใช่เป็นเร่ืองกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาความผดิ ตามมาตรา 297 จึงไม่มีสาเหตุที่จะตอ้ ง

รับพิจารณาความผดิ ตาม มาตรา 371 ซ่ึงตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ทุ ธรณ์และยตุ ิไปแลว้ ดงั น้นั ท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจาเลยตาม มาตรา

371 จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษาใหย้ กฟ้อง

ฎกี ำท่ี 3852/2553 ความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ อู้ ื่นไดร้ ับอนั ตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา 390 มี

ระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึงพนั บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ตอ้ งหา้ มมิใหโ้ จทกอ์ ุทธรณ์คาพิพากษาของศาล

ช้นั ตน้ ในปัญหาขอ้ เท็จจริงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 193 ทวิ ท้งั โจทกบ์ รรยายฟ้องขอ้ หาความผดิ ฐานน้ีกบั ความผดิ ฐานมีและฐานพาอาวธุ

ปื นพร้อมเคร่ืองกระสุนปื นโดยไม่ไดร้ ับใบอนุญาต เป็นกรณีต่างกรรมกนั โดยมิใช่เป็นเร่ืองกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ดงั น้นั

การท่ีศาลอทุ ธรณ์ภาค 7 รับพิจารณาความผิดฐานมีและฐานพาอาวธุ ปื นพร้อมเครื่องกระสุนปื นโดยไม่ไดร้ ับอนุญาต จึงไม่มีเหตุตาม

กฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะตอ้ งรับพิจารณาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 390 ซ่ึงตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ุทธรณ์และยตุ ิไปแลว้ การท่ีศาล

อทุ ธรณ์ภาค 7 ไดว้ ินิจฉยั ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 390 และพิพากษาจาคุกจาเลยโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจึงไมช่ อบ และ

เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายที่เกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนวินิจฉยั ไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ

มาตรา 225 และเมื่อจาเลยฎีกาขอใหร้ อการลงโทษในความผิดดงั กล่าว จึงเป็นฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงท่ีมิไดย้ กข้ึนวา่ กลา่ วกนั มาแลว้

โดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 249 วรรคหน่ึง ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับ

วนิ ิจฉยั

ฎกี ำท่ี 6698/2554 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 300 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43, 157 ระหวา่ ง

พิจารณาศาลช้นั ตน้ อนุญาตให้ ส. มารดา ช. ผเู้ สียหายเขา้ ร่วมเป็นโจทก์ โดยมิไดร้ ะบุวา่ อนุญาตใหเ้ ขา้ ร่วมเป็นโจทกใ์ นความผดิ ฐาน

ใด แต่กพ็ อแปลไดว้ า่ ศาลช้นั ตน้ อนุญาตให้ ส. เขา้ ร่วมเป็นโจทกเ์ ฉพาะขอ้ หากระทาโดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ อู้ ื่นไดร้ ับอนั ตราย

สาหสั ตาม ป.อ. มาตรา 300 เพราะตามฟ้องโจทกร์ ะบุวา่ ช. ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั ช. จึงเป็นผเู้ สียหายแต่เฉพาะในขอ้ หาดงั กล่าว

เท่าน้นั ต่อมาศาลช้นั ตน้ พิจารณาและพิพากษาลงโทษจาเลยโดยรอการลงโทษจาคุกใหแ้ ก่จาเลย ซ่ึงความผิดตาม ป. อ. มาตรา 300

ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกพนั บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ โจทกร์ ่วมจึงตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง

ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 193 ทวิ ท่ีโจทกร์ ่วมอทุ ธรณ์ขอใหล้ งโทษจาคุกจาเลยโดยไม่รอการลงโทษจาคุกน้นั เป็นอทุ ธรณ์โตเ้ ถียงดุลพินิจ

ในการลงโทษ จึงเป็นอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งหา้ มตามบท บญั ญตั ิของกฎหมายดงั กลา่ ว

70

ฎกี ำที่ ท.1352/2553 ศาลช้นั ตน้ วินิจฉยั วา่ มูลหน้ีตามเช็คพิพาทโจทกแ์ ละจาเลยตกลงทาสญั ญาประนีประนอมยอมความใน
คดีแพง่ และคดีดงั กล่าวถึงที่สุดแลว้ มลู หน้ีตามเชค็ พิพาทเป็นอนั สิ้นผลผกู พนั คดีจึงเลิกกนั สิทธินาคดีอาญามาฟ้องระงบั ไป ให้
จาหน่ายคดีออกจากสารบบความ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผลเท่ากบั ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึง
ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง ฯมาตรา 4ประกอบประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความความอาญา มาตรา 220

ฎีกำที่ 10272/2553 ศาลช้นั ตน้ ใหส้ ืบพยานผเู้ สียหาย และ ว. ไวก้ ่อนในคดีหมายเลขแดงที่ 895/2546 ของศาลช้นั ตน้ ท่ีพวก
ของจาเลยซ่ึงร่วมกระทาความผดิ กบั จาเลยในคดีน้ีถูกฟ้องเป็นจาเลยท่ี 1 ถึงที่ 4 คดีน้ีและคดีดงั กลา่ วจึงเป็นคดีเดียวกนั ศาลจึงรับฟัง
คาเบิกความของผเู้ สียหาย และ ว. ในการพิจารณาคดีน้ีไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคหา้

ฎกี ำที่ 479/2555 การออกหมายจบั ผตู้ อ้ งหาตามคาร้องของพนกั งานสอบสวนเป็นอานาจของผพู้ ิพากษาคนเดียวในศาล

ช้นั ตน้ เป็นอานาจพิเศษท่ีกฎหมายบญั ญตั ิใหผ้ พู้ ิพากษาคนเดียวในศาลช้นั ตน้ มีอานาจออกหมายจบั ผตู้ อ้ งหาตามคาร้องของพนกั งาน

สอบสวนได้ ภายใตบ้ ทบญั ญตั ิแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 66 และมาตรา 59/1 โดยเฉพาะ จึงไม่ใช่เร่ืองท่ีกฎหมายมีความประสงคจ์ ะให้

ผตู้ อ้ งหาย่นื อุทธรณ์ไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 193

ฎกี ำท่ี 1927/2537 บทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา วา่ ดว้ ยอุทธรณ์มาตรา 198,200 และ 201 มี

ความหมายชดั เจนบงั คบั ไวว้ า่ เมื่อศาลช้นั ตน้ รับอทุ ธรณ์แลว้ เป็นหนา้ ท่ีของศาลช้นั ตน้ ท่ีตอ้ งส่งสาเนาอุทธรณ์ใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงและ

กาหนดเวลาใหแ้ กอ้ ทุ ธรณ์ภายในกาหนดสิบหา้ วนั นบั แต่วนั ที่ไดร้ ับสาเนาอุทธรณ์ การท่ีศาลช้นั ตน้ สง่ั อุทธรณ์ของโจทกว์ า่ "รับเป็น

อทุ ธรณ์โจทก์ สาเนาใหอ้ ีกฝ่ าย"และออกหมายนดั ส่งใหแ้ ก่จาเลยท่ี 1 โดยมีขอ้ ความในหมายนดั วา่ "ดว้ ยคดีเร่ืองน้ีศาลไดร้ ับอทุ ธรณ์

ของโจทกด์ งั สาเนาอุทธรณ์แนบมาพร้อมหมายน้ี เพราะฉะน้นั จึงแจง้ มาใหท้ ราบ" เป็นการส่งสาเนาอุทธรณ์ของโจทกใ์ หจ้ าเลยท่ี 1

ทราบเท่าน้นั มิไดก้ าหนดใหจ้ าเลยที่ 1แกอ้ ุทธรณ์ภายในระยะเวลาท่ีกฎหมายกาหนดไว้ จึงเป็นกรณีที่ศาลช้นั ตน้ มิไดป้ ฏิบตั ิตาม

บทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา วา่ ดว้ ยการอุทธรณ์

คู่ความจะร้องขอเลื่อนคดีติดต่อกนั ไดต้ อ้ งเป็นกรณีที่มีเหตุจาเป็นอนั ไมอ่ าจกา้ วล่วงเสียไดต้ ามที่บญั ญตั ิ

ไวใ้ นประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 ประกอบประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และการ

อนุญาตใหเ้ ล่ือนคดีหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล ในการขอเลื่อนคดีคร้ังที่ 2โจทกม์ ีใบรับรองแพทยข์ องโรงพยาบาลมาแสดง ระบุวา่

โจทกม์ ีอาการอ่อนแรงแขนขาดา้ นซา้ ย เนื่องจากโรคเสน้ เลือดสมองตีบ และความดนั โลหิตสูงไดเ้ ขา้ รักษาในโรงพยาบาลและยงั ไม่

มีกาหนดกลบั บา้ นการขอเล่ือนการสืบพยานโจทกจ์ ึงเป็นการอา้ งเหตุขอเลื่อนคดีเพราะตวั ความป่ วยเจบ็ ไมส่ ามารถมาศาลได้ ตาม

ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 41 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

หากศาลช้นั ตน้ มีความสงสยั วา่ โจทกป์ ่ วยจริงหรือไมก่ ็มีอานาจไต่สวนคาร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อนไดต้ าม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 21(4)ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หรือจะต้งั เจา้

พนกั งานศาลไปตรวจดูวา่ โจทกป์ ่ วยเจบ็ จริงหรือไมก่ ไ็ ดห้ ากขอ้ อา้ งดงั กล่าวเป็นความจริงก็ถือไดว้ า่ กรณีมีเหตุจาเป็นอนั ไม่อาจกา้ ว

71

ลว่ งเสียไดแ้ ละมีเหตุสมควรที่ศาลช้นั ตน้ จะใชด้ ุลพินิจใหโ้ จทกเ์ ล่ือนคดีอีกคร้ังหน่ึงตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่
มาตรา 40 ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ดงั กล่าว ศาลช้นั ตน้ ไม่อนุญาตใหโ้ จทกเ์ ลื่อนคดีแลว้ มีคาสงั่
งดสืบพยานโจทกพ์ ร้อมท้งั พิพากษายกฟ้องในวนั เดียวกนั โจทกอ์ ุทธรณ์วา่ คาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ที่ใหง้ ดสืบพยานโจทกไ์ ม่ชอบ เป็น
การอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงท่ีมิไดเ้ กี่ยวกบั ประเดน็ แห่งคดี จึงไมต่ อ้ งหา้ มอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา
มาตรา 193 ทวิ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 66)

ฎกี ำที่ 8462/2555 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยท่ี 1 มีความผิดฐานทาใหเ้ สียทรัพยต์ าม ป.อ.มาตรา 358 แยกกระทงกบั

ความผิดฐานอ่ืนลดมาตราส่วนโทษแลว้ ระวางโทษจาคุกจาเลยที่ 1 มีกาหนด 3 เดือน เม่ือรวมกบั โทษฐานอื่นแลว้ เปล่ียนโทษจาคุก

เป็นส่งตวั จาเลยท่ี 1 ไปฝึ กอบรมมีกาหนด 9 เดือน ตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและ

ครอบครัวฯ มาตรา 104 (2) ถือเป็นกรณีท่ีศาลช้นั ตน้ ใชว้ ธิ ีการสาหรับเดก็ และเยาวชนแทนการลงโทษอาญาแก่จาเลย จึงไม่เป็นการ

ลงโทษจาเลยตาม ป.อ.มาตรา 18 อนั จะเขา้ กรณียกเวน้ ท่ีจะมีสิทธิอทุ ธรณ์ไดต้ าม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ การท่ีจาเลยที่ 1

อทุ ธรณ์วา่ ไม่ไดก้ ระทาความผิดตามฟ้องจึงเป็นอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ุทธรณ์ และไม่ปรากฏวา่ จาเลยท่ี 1 ไดร้ ับ

อนุญาตตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 193 ตรี การที่ศาลช้นั ตน้ รับอุทธรณ์ของจาเลยในความผดิ ฐานทาใหเ้ สียทรัพยแ์ ละศาลอทุ ธรณ์ภาค 4 รับ

วนิ ิจฉยั มาน้นั จึงเป็นการไมช่ อบ

ฎีกำท่ี 11985/2555 คดีน้ีศาลช้นั ตน้ เห็นวา่ จาเลยแจง้ ความร้องทุกขแ์ ละใหก้ ารต่อพนกั งานสอบสวนตามขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏ
ตามความเขา้ ใจของจาเลย การกระทาของจาเลยจึงไมเ่ ป็นความผิดฐานแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ พิพากษายกฟ้อง ศาลอทุ ธรณ์เห็นวา่
คดีไม่อยใู่ นเขตอานาจของศาลช้นั ตน้ ศาลช้นั ตน้ ชอบที่จะไม่ประทบั ฟ้องและโอนคดีไปใหศ้ าลท่ีมีอานาจพิพากษาคดี การท่ีศาล
ช้นั ตน้ มีคาสง่ั ประทบั รับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีไปน้นั เป็นการไมช่ อบ จาหน่ายคดีของโจทกอ์ อกจากสารบบความ และ
พิพากษายกคาพิพากษาและคาสง่ั ศาลช้นั ตน้ ที่ประทบั รับฟ้อง ใหค้ ืนฟ้องโจทกเ์ พ่ือใหน้ าไปดาเนินคดีในศาลที่มีอานาจ มีผลเท่ากบั
ศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์พิพากษายกฟ้อง จาเลยฎีกาไม่ไดท้ ้งั ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงและปัญหาขอ้ กฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวธิ ีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4

ฎีกำท่ี 153/2555 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 391 และ 358 ซ่ึงแต่

ละขอ้ หามีอตั ราโทษจาคุกอยา่ งสูงตามท่ีกฎหมายกาหนดไวใ้ หจ้ าคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหม่ืนบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ จึง

ตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ทุ ธรณ์คาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การท่ี

ศาลช้นั ตน้ ลงโทษจาคุกจาเลย 3 เดือน 30 วนั อาศยั อานาจตามพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี

72

เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104 (2) ใหเ้ ปลี่ยนโทษจาคุกเป็นส่งตวั จาเลยไปควบคุมเพ่ือฝึ กและอบรมที่ศูนยฝ์ ึ กและ
อบรมเดก็ และเยาวชน กาหนดข้นั ต่า 6 เดือน ข้นั สูง 1 ปี เป็นกรณีที่ศาลช้นั ตน้ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวใชว้ ธิ ีการสาหรับเดก็
แทนการลงโทษทางอาญาแก่จาเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ไม่เขา้ ขอ้ ยกเวน้ ที่ใหค้ ู่ความอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง
ไดต้ ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (1) ถึง (4)

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วนิ ิจฉยั ฎีกาของจาเลยโดยไม่ชอบดว้ ยวิธีพิจารณา เพราะตอ้ งหา้ มตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาแพง่ มาตรา 249 วรรคหน่ึง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แมผ้ พู้ ิพากษาซ่ึง
พิจารณาและลงชื่อในคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ จะอนุญาตใหฎ้ ีกา ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉยั ใหไ้ ด้ เพราะกรณีจะอนุญาตใหฎ้ ีกาตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ตอ้ งเป็นกรณีท่ีตอ้ งหา้ มฎีกาตามมาตรา 218 มาตรา 219 และมาตรา 220 เท่าน้นั

ฎีกำที 4172/2555 คดีน้ีศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมลู ฟ้องแลว้ พิพากษายกฟ้องโจทกใ์ นปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ส่วนศาลอทุ ธรณ์ภาค 6

พิพากษายกฟ้องโจทกใ์ นปัญหาขอ้ กฎหมาย จึงเป็นกรณีท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ซ่ึงตอ้ งหา้ มมิให้

คู่ความฎีกาไม่วา่ จะเป็นปัญหาขอ้ เทจ็ จริงหรือปัญหาขอ้ กฎหมาย และแมค้ ดีน้ีจะเป็นการพิจารณาช้นั ไต่สวนมูลฟ้องกต็ าม คดีก็

ตอ้ งหา้ มฎีกาตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 220 หากโจทกจ์ ะฎีกากต็ อ้ งปฏิบตั ิตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221

ฎกี ำท่ี 2536/2555 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในขอ้ หาร่วมกนั ฆา่ ผอู้ ื่นโดยไตร่ตรองไวก้ ่อนตาม ป.อ. มาตรา 288, 289

ประกอบมาตรา 83 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยมีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จาคุก 6 ปี ขอ้ หาอ่ืนให้

ยก ศาลอุทธรณ์ ภาค 4 พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ใหย้ กฟ้องโจทกใ์ นขอ้ หาร่วมกนั ทาร้ายร่างกายผอู้ ่ืนเป็นเหตุใหถ้ ึงแก่ความตายตาม ป.อ.

มาตรา 290 วรรคแรกดว้ ย มีผลเท่ากบั ศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ภาค 4 ยกฟ้อง โจทกใ์ นขอ้ หาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 289

(4) ประกอบมาตรา 83 จึงตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาท้งั ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ กฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 โจทกร์ ่วมฎีกาวา่

พยานหลกั ฐานของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมฟังไดว้ า่ จาเลยกบั พวกมาดกั รอเพื่อจะทาร้ายผตู้ ายเป็นการไตร่ตรองไวก้ ่อน อนั เป็นฎีกาใน

ปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ซ่ึงตอ้ งหา้ มตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 67)

ฎกี ำท่ี ท.21/2557 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษจาคุกจาเลยกระทงละ1 ปี และ ปรับกระทงละ 100,000บาท2 กระทง รวม

จาคุก2 ปี และปรับ200,000บาท ศาลอทุ ธรณ์ภาค5 พิพากษาแกเ้ ป็นใหร้ อการลงโทษจาคุกไว้ แมศ้ าลอุทธรณ์ภาค5จะพิพากษา

ลงโทษจาคุกไมเ่ กิน5ปี แต่เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค5 พิพากษาแกไ้ ขมากใหร้ อการลงโทษจาเลย จึงไมต่ อ้ งหา้ มคู่ความฎีกาใน

ปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 218วรรคหน่ึง เป็นคดีท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ภาค 5

73

พิพากษาใหล้ งโทษปรับจาเลยกระทงละกวา่ 40,000 บาทไม่อยใู่ นบงั คบั ขอ้ หา้ มมิใหค้ ู่ความฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 219เช่นกนั จึงใหร้ ับฎีกาของจาเลยพิจารณา และใหศ้ าลช้นั ตน้ ดาเนินต่อไป

ฎกี ำที่ 11111/2556 ศาลช้นั ตน้ วินิจฉยั ในความผิดฐานทาใหเ้ สียทรัพย์ จาเลยเป็นเจา้ ของท่ีดินพิพาท จาเลยมีสิทธิขดั ขวางมิ
ใหผ้ อู้ ่ืนสอดเขา้ เก่ียวขอ้ งกบั ท่ีดินของตนโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 โจทกท์ ้งั สี่ยอ่ มไมม่ ีสิทธิที่จะเขา้ ไป
ก่อสร้างร้ัวลวดหนามและบา้ นพกั อาศยั ในที่ดินของจาเลย การที่จาเลยวา่ จา้ งใหค้ นงานนารถเขา้ ร้ือถอนร้ัวลวดหนามและบา้ นของ
โจทกท์ ้งั สี่ โดยมีเจา้ พนกั งานตารวจไปดูแลการร้ือถอนจึงเป็นการใชส้ ิทธิในที่ดินตามสมควร การกระทาของจาเลยไมเ่ ป็นความผดิ
ฐานทาใหเ้ สียทรัพย์

อทุ ธรณ์ของโจทกท์ ้งั ส่ีที่วา่ แมจ้ าเลยเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิในที่ดินพิพาท กไ็ ม่มีบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมาย
ใดใหอ้ านาจแก่จาเลยในฐานะเจา้ ของกรรมสิทธ์ิท่ีกระทาโดยพลการร้ือถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทกท์ ้งั ส่ี และตาม ป.พ.พ. มาตรา
1336 ใหอ้ านาจผเู้ ป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิมีสิทธิขดั ขวางมิใหผ้ อู้ ื่นสอดเขา้ เกี่ยวขอ้ งกบั ทรัพยส์ ินโดยมิชอบดว้ ยกฎหมายได้ กม็ ิได้
หมายความวา่ จาเลยจะกระทาดว้ ยตนเองโดยพลการได้ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาที่ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย แมว้ ่าในการ
ร้ือถอนดงั กลา่ วมีเจา้ พนกั งานตารวจไปดูแลการร้ือถอนดว้ ย แต่เจา้ พนกั งานตารวจไม่มีหนา้ ที่ควบคุมดูแลในการกระทาความผิดของ
ผอู้ ่ืนที่ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายใหก้ ลบั กลายเป็นชอบดว้ ยกฎหมาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ฐานก่อใหผ้ อู้ ่ืนกระทาความผดิ
ฐานทาใหเ้ สียทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา 358 ประกอบมาตรา 84

ดงั น้ี อทุ ธรณ์ของโจทกท์ ้งั ส่ี ไมไ่ ดโ้ ตเ้ ถียงขอ้ เท็จจริงท่ีศาลช้นั ตน้ วินิจฉยั มา แต่โตเ้ ถียงวา่ การท่ีจาเลยร้ือ
ถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทมิใช่เป็นการใชส้ ิทธิในท่ีดินตามสมควร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผดิ ฐานก่อใหผ้ อู้ ่ืนกระทาความผดิ ฐานทาใหเ้ สียทรัพย์ จึงเป็น "อทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ กฎหมาย" ไมใ่ ช่เป็นอุทธรณ์ในปัญหา
ขอ้ เทจ็ จริงอนั จะตอ้ งหา้ มตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 193 ทวิ

ฎีกำที่ 9280/2551 คดีน้ีเป็นเร่ืองท่ีโจทกข์ อใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหมศ่ าลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ยกคาร้องและศาลอุทธรณ์พิพากษา

ยืน ดงั น้ีจึงไมใ่ ช่กรณีที่ศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทกแ์ ต่ประการใด จะนาบทบญั ญตั ิมาตรา 220 แห่ง ป.ว.ิ อ. มา

บงั คบั แก่กรณีเช่นน้ีหาไดไ้ ม่

การที่เจา้ หนา้ ท่ีศาลประจาศูนยน์ ดั ความบนั ทึกวนั นดั สืบพยานโจทกต์ ามท่ีโจทกแ์ ละทนายจาเลยตกลง

กนั แมโ้ จทกไ์ ม่มีทนายความคอยใหค้ าปรึกษาในขณะตกลงกาหนดวนั นดั กต็ าม แต่โจทกเ์ ป็นผกู้ าหนดวนั นดั ดว้ ยตนเอง โจทกค์ วร

จดบนั ทึกวนั เวลานดั ไวเ้ พื่อมิใหห้ ลงลืม แต่ทางนาสืบของโจทกไ์ ม่ปรากฏวา่ โจทกจ์ ดบนั ทึกเวลานดั แต่อยา่ งใด เชื่อวา่ โจทกจ์ ดจาวนั

นดั สืบพยานโจทกค์ ลาดเคล่ือนซ่ึงเป็นความผิดพลาดท่ีเกิดจากความไมร่ อบคอบและเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทกเ์ อง จึงไม่มี

เหตุสมควรท่ีจะยกคดีของโจทกข์ ้ึนพิจารณาใหม่

ป.ว.ิ พ. มาตรา 1 (7) ประกอบ ป.ว.ิ อ. มาตรา 15 ใหค้ านิยามของคาวา่ กระบวนพิจารณาไวว้ า่ "กระทาการ

ใดๆ ตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายน้ีอนั เกี่ยวดว้ ยคดีซ่ึงไดก้ ระทาไปโดยคู่ความในคดีน้นั หรือโดยศาลหรือตามคาสง่ั ของศาล

ไมว่ า่ การน้นั จะเป็นโดยคู่ความฝ่ ายใดทาต่อศาลหรือต่อคู่ความอีกฝ่ ายหน่ึง หรือศาลทาต่อคู่ความฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงหรือทุกฝ่ าย และ

74

รวมถึงการส่งคาคู่ความและเอกสารอ่ืนๆ ตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายน้ี" เม่ือคดีน้ีศาลสงั่ ใหค้ ู่ความกาหนดวนั นดั พิจารณา
สืบพยานโจทกแ์ ละนดั สืบพยานจาเลยที่ศูนยน์ ดั ความและคู่ความไดต้ กลงกาหนดวนั นดั ท่ีศูนยน์ ดั ความ ถือไดว้ า่ การกระทาของ
คู่ความท่ีตกลงกาหนดวนั นดั ที่ศูนยค์ วามเป็นการกระทาตามคาสง่ั ศาลและเป็นการกาหนดวนั นดั ต่อศาลแลว้ ดงั น้นั การกาหนดวนั
นดั ท่ีศูนยน์ ดั ความจึงชอบดว้ ยกฎหมาย

ฎกี ำที่ 2578/2557 พนกั งานอยั การเป็นโจทกไ์ ดบ้ รรยายฟ้องวา่ จาเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษทั จากดั มี

ว. เป็นกรรมการผมู้ ีอานาจกระทาการแทนบริษทั เม่ือวนั ที่ 28 กรกฎาคม 2551 เวลากลางวนั จาเลยท้งั สองร่วมกนั บุกรุกเขา้ ไปใน

โกดงั เกบ็ เฟอร์นิเจอร์อนั เป็นอาคารเกบ็ รักษาทรัพยอ์ ยใู่ นความครอบครองของผเู้ สียหายโดยไม่ไดร้ ับอนุญาตและโดยไมม่ ีเหตุอนั

สมควร และร่วมกนั ขนยา้ ยเฟอร์นิเจอร์ของผเู้ สียหายออกจากโกดงั และตดั กญุ แจประตูเชื่อมระหวา่ งโกดงั รวมท้งั ฉาบปูนปิ ดทบั

ประตูระหวา่ งโกดงั ทาใหไ้ มส่ ามารถผา่ นเขา้ ออกระหวา่ งโกดงั ไดอ้ นั เป็นการรบกวนการครอบครองอาคารเกบ็ รักษาทรัพยแ์ ละ

อสงั หาริมทรัพยข์ องผเู้ สียหายโดยปกติสุข ศาลฎีกาเห็นวา่ นิติบุคคลยอ่ มมีเจตนาร่วมกนั ในการกระทาผิดทางอาญาได้ ถา้ กรรมการผู้

มีอานาจกระทาการแทนนิติบุคคลน้นั ไดก้ ระทาไปตามวตั ถุประสงคข์ องนิติบุคคลซ่ึงไดจ้ ดทะเบียนไว้ และนิติบุคคลน้นั ไดร้ ับ

ประโยชนอ์ นั เกิดจากการกระทาน้นั แต่คดีน้ีขอ้ เทจ็ จริงตามฟ้องจาเลยท่ี 1 ซ่ึงบุกรุกเขา้ ไปในโกดงั เก็บเฟอร์นิเจอร์ มิใช่ผแู้ ทนนิติ

บุคคลจาเลยที่ 2 การกระทาความผดิ ของจาเลยท้งั สองดงั กลา่ วจึงเป็นการกระทาของจาเลยแต่ละคนไมไ่ ดร้ ่วมกนั กระทาความผิด

ดงั น้ี การกระทาของจาเลยท้งั สองตามที่โจทกบ์ รรยายมาในฟ้องจึงไมเ่ ป็นความผดิ ฐานบุกรุกโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั ต้งั แต่

สองคนข้ึนไป ตาม ป.อ. มาตรา 365(2) คงมีความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 362, 364 เท่าน้นั ซ่ึงในความผดิ ดงั กล่าวมีอตั ราโทษ

อยา่ งสูงตามท่ีกฎหมายกาหนดไวใ้ หจ้ าคุกไม่เกินสามปี จึงเป็นคดีที่ตอ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ

ฎกี ำท่ี 19182/2555 ความผิดขา้ หาทาร้ายร่างกายผอู้ ืน่ จนเป็นเหตุใหไ้ ดร้ ับอนั ตรายแก่กาย ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยมี
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 295 ใหจ้ าคุก1 ปี และปรับ4,000 บาท จาเลยใหก้ ารรับสารภาพ ลดโทษใหก้ ่ึงหน่ึงตาม ป.อ. มาตรา 78 คง
จาคุก 6เดือน และปรับ2,000บาท โทษจาคุกใหร้ อการลงโทษไวม้ ีกาหนด2 ปี ยกฟ้องโจทกส์ าหรับขอ้ กามีอาวธุ ปื นไวใ้ นครอบครอง
โดยไมไ่ ดร้ ับใบอนุญาตและพาอาวธุ ปื นไปในเมือง หมบู่ า้ น หรือทางสารธารณะโดยไมม่ ีเหตุสมควร และโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต กบั
ขอ้ หาทาใหผ้ อู้ ่ืนเกิดความกลวั หรือความตกใจโดยการข่เู ขญ็ โจทกอ์ ุทธรณ์ขอใหล้ งโทษจาเลยเฉพาะขอ้ หาท่ีศาลช้นั ตน้ พิพากษา
ยกฟ้องดงั กลา่ วโดยโจทกม์ ิไดอ้ ุทธรณ์ขอใหล้ งโทษจาเลยในขอ้ หาทาร้ายผอู้ ่ืนจนเป็นเหตุใหไ้ ดร้ ับอนั ตรายแก่กายแต่อยา่ งใด จึงตอ้ ง
ถือวา่ โจทกพ์ อใจคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ที่ลงโทษจาเลยในขอ้ หาดงั กลา่ ว ดงั น้นั การท่ีศาลอุทธรณ์ภาค4พิพากษาแกโ้ ทษจาเลยใน
ขอ้ หาน้ีเป็นไม่รอการลงโทษและไม่ลงโทษปรับจาเลย จึงเป็นการไมช่ อบ เพราะเป็นการเพ่ิมเติมโทษจาเลยอนั เป็นการตอ้ งห่ามตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 212 ซ่ึงปัญหาดงั กล่าวเป็นขอ้ กฎหมายเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย แมจ้ าเลยมิไดย้ กข้ึนฎีกา ศาลฎีกากม็ ีอานาจยกข้ึน
วินิจฉยั และแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

75

ฎกี ำท่ี 3019/ 2557 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยฐานหม่ินประมาทโดยการโฆษณา ตาม ป.อ.มาตรา 328 แต่กลบั ไมไ่ ด้

บรรยายฟ้องวา่ จาเลยที่ 1 ถึงที่ 14 ใส่ความโจทกต์ ่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาอนั เป็นองคป์ ระกอบความผดิ ฐานดงั กล่าวอยา่ งไร

แม่โจทกจ์ ะแนบหนงั สือท่ีมีขอ้ ความ หม่ินประมาทโจทกซ์ ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ จาเลยท่ี 1 ถึง 14 ไดส้ ่งสาเนาหนงั สือดงั กลา่ วไปยงั

บุคคลที่ปรากฏในหนงั สือน้นั มาทา้ ยคาฟ้องดว้ ยดงั ท่ีโจทกฎ์ ีกา กไ็ ม่ทาใหฟ้ ้องของโจทกท์ ี่ไม่ไดบ้ รรยายฟ้องใหเ้ ห็นวา่ จาเลย ที่ 1 ถึง

ที่ 14 ใส่ความโจทกต์ ่อบุคคลท่ีสามโดยการโฆษณา เป็นฟ้องที่ครบองคป์ ระกอบความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 ได้

และที่โจทกข์ อใหล้ งโทษตามมาตรา 328 มาดว้ ยกต็ าม ศาลกไ็ มอ่ าจพิพากษาลงโทษจาเลยท่ี 1-14 ไดต้ าม ป.ว.ิ อ.มาตรา 192 วรรค

หน่ึง ดงั น้ีการกระทาของจาเลยท่ี 1 ถึง 14 ตามที่โจทกบ์ รรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผดิ ฐานหม่ินประมาทโดยการโฆษณาตาม

ป.อ. มาตรา 328 คงเป็นความผดิ ฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 เท่าน้นั ซ่ึงในความผดิ ดงั กลา่ วมีอตั ราโทษตามที่กฎหมายกาหนด

ไวใ้ หจ้ าคุกไม่เกินสามปี จึงเป็นคดีซ่ึงตอ้ งหา้ มอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ เมื่อโจทกอ์ ุทธรณ์วา่ การ

กระทาของจาเลยที่ 1 ถึงท่ี 14 เป็นหม่ินประมาทโจทก์ มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมดว้ ยความเป็นธรรมและเพื่อ

ป้องกนั ส่วนไดเ้ สียเกี่ยวกบั ตนตามคลองธรรม จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง

ฎีกำที่6690/2554 คดีน้ีศาลช้นั ตน้ เห็นวา่ ฟ้องโจทกเ์ ป็นฟ้องซ้าตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) จึงมีคาสง่ั ไม่ประทบั ฟ้องและ

จาหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เห็นวา่ เม่ือผตู้ ายไม่ใช่ผเู้ สียหายโดยนิตินยั โจทกท์ ้งั สองซ่ึงเป็นบิดามารดาจึง

ไม่มีอานาจฟ้องคดีน้ีตาม ป.วิ.อ. มาตรา2 (4) ประกอบมาตรา 5 (2) , 28 พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ใหย้ กฟ้อง ยอ่ มมีผลเท่ากบั วา่ ศาลช้นั ตน้

และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ซ่ึงตอ้ งหา้ มมิใหค้ ู่ความฎีกาไมว่ า่ จะเป็นปัญหาขอ้ เทจ็ จริงหรือปัญหาขอ้ กฎหมาย แม้

คดีน้ีจะเป็นการพิจารณาช้นั ไตส่ วนมูลฟ้องกต็ าม คดีกต็ อ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 220

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมัย 68)

ฎกี ำที่ 4245/2558 ความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 มีระวางโทษจาคุกไม่เกินสอง ปี หรือ

ปรับไม่เกินส่ีพนั บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงตอ้ งหา้ มโจทกอ์ ุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ อทุ ธรณ์ของโจทกท์ ี่วา่ พยานหลกั ฐานโจทกฟ์ ังไดว้ า่ จาเลยร่วมกระทา

ความผิด เป็นการโตแ้ ยง้ ดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลกั ฐานของศาลช้นั ตน้ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ทุ ธรณ์

ตามบทบญั ญตั ิดงั กล่าว แมศ้ าลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉยั กเ็ ป็นการไม่ชอบ

ฎีกาของจาเลยคดั คา้ นคาพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค4 และขอใหย้ กฟ้องโดยโตแ้ ยง้ ดุลยพินิจของศาล

อุทธรณ์ภาค 4 ในการวินิจฉยั ชงั่ น้าหนกั พยานหลกั ฐานเป็นฎีกาในขอ้ เทจ็ จริงซ่ึงมิไดย้ กวา่ กนั มาแลว้ โดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค

ตอ้ งหา้ มฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา249วรรคหน่ึง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 15

76

ฎกี ำท่ี6793/2557 แมโ้ จทกฟ์ ้องกล่าวหาจาเลยในความผิดฐานลกั ทรัพยเ์ ป็นความผดิ ต่อแผน่ ดิน แต่เมื่อศาลอทุ ธรณ์

พิจารณาไดค้ วามวา่ การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานฉอ้ โกงและลงโทษจาเลยตามขอ้ เทจ็ จริงท่ีไดค้ วาม ตามประมวลกฎหมาย

วธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรคสาม และยงั ไมม่ ีคาพิพากษาศาลวงู เปลี่ยนแปลงแกไ้ ข กรณียอ่ มตอ้ งถือวา่ คดีน้ีเป็นความผดิ

ต่อส่วนตวั ซ่ึงโจทกช์ อบท่ีจะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงท่ีสุดกไ็ ด้ และเม่ือโจทกย์ ่ืนคาร้องขอถอนฟ้องโดยจาเลยไมไ่ ดค้ ดั คา้ นจึง

อนุญาตใหโ้ จทกถ์ อนฟ้องได้ และสิทธินาคดีอาญามาฟ้องยอ่ มระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)

ฎกี ำที่ ท. 2529/2553 โจทกข์ อใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่ ศาลช้นั ตน้ มีคาสงั ยกคาร้อง ศาลอทุ ธรณ์ภาค7พิพากษายนื ไม่ใช่
กรณีที่ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ไมต่ กอยใู่ นบงั คบั หา้ มมอใหค้ ู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญามาตรา 220

ฎกี ำท่ี 8462/2555 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยที่ 1 มีความผิดฐานทาใหเ้ สียทรัพยต์ าม ป.อ.มาตรา 358 แยกกระทงกบั

ความผิดฐานอื่นลดมาตราส่วนโทษแลว้ ระวางโทษจาคุกจาเลยที่ 1 มีกาหนด 3 เดือน เม่ือรวมกบั โทษฐานอ่ืนแลว้ เปลี่ยนโทษจาคุก

เป็นส่งตวั จาเลยที่ 1 ไปฝึ กอบรมมีกาหนด 9 เดือน ตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและ

ครอบครัวฯ มาตรา 104 (2) ถือเป็นกรณีที่ศาลช้นั ตน้ ใชว้ ธิ ีการสาหรับเดก็ และเยาวชนแทนการลงโทษอาญาแก่จาเลยจึงไม่เป็นการ

ลงโทษจาเลยตาม ป.อ.มาตรา 18 อนั จะเขา้ กรณียกเวน้ ที่จะมีสิทธิอทุ ธรณ์ไดต้ าม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ การที่จาเลยที่ 1 อทุ ธรณ์วา่

ไม่ไดก้ ระทาความผดิ ตามฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งหา้ มมิใหอ้ ุทธรณ์ และไม่ปรากฏวา่ จาเลยที่ 1 ไดร้ ับอนุญาต

ตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา193 ตรีการที่ศาลช้นั ตน้ รับอทุ ธรณ์ของจาเลยในความผดิ ฐานทาใหเ้ สียทรัพยแ์ ละศาลอทุ ธรณ์ภาค 4 รับวนิ ิจฉยั มา

น้นั จึงเป็นการไม่ชอบ

ฎกี ำที่ 2529/2553 พิเคราะห์แลว้ เม่ือโจทกย์ ่ืนคาร้องอทุ ธรณ์คาสงั่ ไมร่ ับฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 224 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิให้

ศาลช้นั ตน้ รีบส่งคาร้องเช่นวา่ น้นั ไปยงั ศาลฎีกา การท่ีศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ยกคาร้องอทุ ธรณ์คาสง่ั ไมร่ ับฎีกาของโจทก์ จึงเป็นการไม่

ถกู ตอ้ ง แต่เมื่อโจทกย์ ่ืนคาร้องฎีกาคาสง่ั และศาลช้นั ตน้ ส่งมายงั ศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวนิ ิจฉยั คาร้องฎีกาคาสง่ั ของโจทก์

ดงั กล่าว ศาลฎีกาเห็นวา่ คดีน้ี เป็นเร่ืองโจทกข์ อใหย้ กคดีข้ึนพิจารณาใหม่ ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ยกคาร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษา

ยืน ดงั น้ี จึงไม่ใช่กรณีศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ไมต่ กอยใู่ นบงั คบั หา้ มมิใหค้ ู่ความฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา

220 โจทกย์ อ่ มมีสิทธิฎีกาได้ ใหร้ ับฎีกาของโจทกแ์ ละใหศ้ าลช้นั ตน้ ดาเนินการต่อไป

ฎีกำท่ี 13002/2557 เม่ือศาลช้นั ตน้ ปฏิเสธไมย่ อมรับอุทธรณ์ ผอู้ ทุ ธรณ์อาจอทุ ธรณ์เป็นคาร้องอุทธรณ์คาสง่ั ของศาลน้นั ต่อ

ศาลอุทธรณ์ได้ ใหศ้ าลอุทธรณ์พิจารณาคาร้องน้นั แลว้ มีคาสง่ั ยนื ตามคาปฏิเสธของศาลช้นั ตน้ หรือมีคาสงั่ ใหร้ ับอุทธรณ์ คาสงั่ น้ีให้

เป็นท่ีสุดตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 193ทวิ ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

เมื่อคดีน้ีศาลอุทธรณ์มีคาสง่ั ใหย้ กคาร้องอุทธรณ์คาสง่ั ของจาเลย ดงั น้ีเท่ากบั วา่ ศาลอุทธรณ์มีคาสง่ั ยนื ตามคาปฎิเสธของศาลช้นั ตน้

คาสง่ั ดงั กลา่ วเป็นที่สุดตามบทบญั ญตั ิดงั กล่าว

77

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 69)

ฎีกำที่ 11198/2558 แมจ้ าเลยท้งั สองจะมีเจตนาทาร้ายผเู้ สียหาย แต่ไมไ่ ดค้ วามวา่ จาเลยท้งั สองรู้เห็นหรือคบคิดกบั พวกของ
จาเลยท้งั สองที่เป็นผมู้ ีและพาอาวธุ ปื นมายิงผเู้ สียหาย การท่ีพวกของจาเลยท้งั สองใชอ้ าวธุ ปื นยงิ ผเู้ สียหายจึงเป็นการกระทาของพวก
จาเลยท้งั สองโดยลาพงั ในขณะน้นั เอง ไม่อาจอนุมานไดว้ า่ จาเลยท้งั สองเป็นตวั การร่วมมีและพาอาวธุ ปื น และฐานพยายามฆ่า
ผเู้ สียหาย จาเลยที่ 1 จึงไม่มีความผดิ ฐานร่วมมีและพาอาวธุ ปื นและไมม่ ีเจตนาร่วมในความผิดฐานพยายามฆ่า ดงั น้นั แมพ้ วกจาเลยที่
1 จะใชอ้ าวธุ ปื นยิงผเู้ สียหายโดยมีเจตนาฆ่าอนั ถือไดว้ า่ มีการทาร้ายร่างกายรวมอยใู่ นการกระทาของพวกจาเลยท่ี 1 ดว้ ยกต็ าม แต่
จาเลยที่ 1 ยอ่ มไมต่ อ้ งร่วมรับผิดในผลของการกระทาของพวกจาเลยท่ี 1 ท่ีเป็นผใู้ ชอ้ าวธุ ปื นยงิ ผเู้ สียหายดงั กล่าว เพราะเป็นการ
กระทาคนละเจตนาและเกินขอบเขตเจตนาของจาเลยที่ 1 ท่ีมีร่วมกนั มาต้งั แต่ตน้ จาเลยท่ี 1 ยงั คงตอ้ งรับผิดในการกระทาของจาเลยท่ี
1 เท่าน้นั เมื่อโจทกไ์ มบ่ รรยายมาในคาฟ้องวา่ มีการทาร้ายร่างกายผเู้ สียหายและผเู้ สียหายไดร้ ับอนั ตรายจากการทาร้ายร่างกาย
หรือไม่อยา่ งไร คงบรรยายฟ้องวา่ ผเู้ สียหายถกู คนร้ายใชอ้ าวธุ ปื นยิง กระสุนปื นถูกผเู้ สียหาย ทาใหไ้ ดร้ ับอนั ตรายสาหสั ดงั น้นั แม้
ขอ้ เทจ็ จริงจะไดค้ วามจากทางนาสืบของโจทกว์ า่ จาเลยท่ี 1 กบั พวกใชข้ วดขวา้ งผเู้ สียหายกต็ าม ศาลกไ็ มอ่ าจนาขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ ว
มาลงโทษจาเลยที่ 1ในความผดิ ฐานทาร้ายร่างกายผเู้ สียหายได้ เพราะเป็นขอ้ เทจ็ จริงที่มิไดก้ ล่าวไวใ้ นฟ้อง ถือวา่ โจทกไ์ ม่ประสงคจ์ ะ
ใหน้ าขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ วมาลงโทษจาเลยท่ี 1 ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคส่ี แมป้ ัญหาขอ้ น้ี จาเลยที่ 1 จะไมย่ กข้ึนฎีกา แต่เป็นปัญหา
ขอ้ กฎหมายที่เกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอานาจหยบิ ยกข้ึนวนิ ิจฉยั และแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้ ปัญหาขอ้ น้ีเป็น
เหตุอยใู่ นส่วนลกั ษณะคดี ศาลมีอานาจพิพากษาตลอดไปถึงจาเลยที่ 2 ซ่ึงเป็นผรู้ ่วมกระทาผิดกบั จาเลยท่ี 1 ใหไ้ ดร้ ับผลดุจจาเลยท่ี 1
ผฎู้ ีกาไดด้ ว้ ยตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ฎกี ำท่ี 3077/2559 ศาลช้นั ตน้ ลงโทษจาคุกจาเลยกระทงละ 5 ปี ลดโทษใหก้ ระทงละหน่ึงในสี่ คงจาคุกกระทงละ 3 ปี 9

เดือน รวม 22 กระทงเป็นจาคุก 66ปี 198 เดือน แต่ใหล้ งโทษจาคุกจาเลย 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(2) และให้

จาเลยคืน หรือใชเ้ งิน แก่ผเู้ สียหายที่ 1 ถึงที่ 17 และท่ี 19 ถึงท่ี 22

ศาลอทุ ธรณ์ภาค 6 พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ใหย้ กคาขอของโจทกท์ ่ีใหจ้ าเลยคืน หรือใชเ้ งิน 100,000บาทแก่

ผเู้ สียหายที่ 13 เป็นกรณีท่ีศาลอุทธรณ์ภาค 6 แกไ้ ขเลก็ นอ้ ยและยงั คงใหล้ งโทษจาคุกกระทงละไมเ่ กิน5 ปี คดีตอ้ งหา้ มฎีกาใน

ปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหน่ึง

ฎีกำที่ 1414/2553 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ แต่ใหค้ ืนโทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ีและเงินสด 480

บาท ของกลางแก่เจา้ ของ เป็นการแกไ้ ขเลก็ นอ้ ยและยงั คงลงโทษจาคุกจาเลยกระทงละไมเ่ กินหา้ ปี จึงตอ้ งหา้ มคู่ความฎีกาในปัญหา

ขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 218 วรรคหน่ึงโดยในการพิจารณาวา่ คดีตอ้ งหา้ มฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงหรือไม่น้นั จะตอ้ งแยก

พิจารณาโทษที่ศาลอทุ ธรณ์ภาค 7 กาหนดในแต่ละกระทงโดยไมน่ าโทษจาคุกของจาเลยที่รอการลงโทษไวใ้ นคดีก่อนท่ีโจทกข์ อให้

บวกเขา้ กบั โทษของจาเลยในคดีน้ีมาประกอบการพิจารณาดว้ ย ท่ีจาเลยฎีกาวา่ โจทกม์ ิไดน้ าพยานมาสืบใหเ้ ห็นวา่ จาเลยมีเมทแอมเฟ

78

ตามีนของกลางไวใ้ นครอบครองเพื่อจาหน่าย และขอใหร้ อการลงโทษในความผิดฐานเสพยาเสพติดใหโ้ ทษโดยไม่ไดร้ ับอนุญาต
โดยไมบ่ วกโทษของจาเลยที่รอการลงโทษไว้ เป็นการโตเ้ ถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลกั ฐานและดุลพินิจในการลงโทษของศาล
อุทธรณ์ภาค 7 อนั เป็นการฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งหา้ มตามบทบญั ญตั ิดงั กลา่ ว ท่ีศาลช้นั ตน้ รับฎีกาของจาเลยจึงเป็นการไมช่ อบ

ฎีกำที่ 5246/2553 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษจาคุกจาเลยท้งั สองคนละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ให้

ลงโทษปรับจาเลยท้งั สองอีกสถานหน่ึง โทษจาคุกใหร้ อการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติของจาเลยท้งั สองไว้ แมค้ า

พิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 จะไดร้ อการลงโทษจาคุกจาเลยท้งั สองอนั เป็นการแกไ้ ขมากแต่เมื่อศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ภาค 2

พิพากษาลงโทษจาคุกจาเลยท้งั สองไม่เกิน 2 ปี คดีจึงตอ้ งหา้ มฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 การท่ีโจทกร์ ่วมฎีกา

ขอใหไ้ ม่รอการลงโทษน้นั เป็นฎีกาโตแ้ ยง้ ดุลพินิจในการกาหนดโทษอนั เป็นฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งหา้ มฎีกาตามบทบญั ญตั ิ

แห่งกฎหมายมาตราดงั กลา่ ว

ฎีกำท่ี 12840/2558 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยท่ี 4 มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจาคุก 4 เดือน ลดโทษใหก้ ่ึงหน่ึงตาม ป.อ.
มาตรา 78 คงจาคุก 2 เดือน เปล่ียนโทษจาคุกเป็นกกั ขงั แทน การท่ีศาลอุทธรณ์มีคาพิพากษาไม่เปล่ียนโทษจาคุกเป็นกกั ขงั แทนน้นั
ศาลอุทธรณ์ยงั พิพากษาวา่ จาเลยท่ี 4 มีความผิดตามฟ้องโจทกอ์ ยเู่ พียงแต่ลงโทษแตกต่างไปจากศาลช้นั ตน้ เท่าน้นั คาพิพากษาศาล
อทุ ธรณ์จึงเป็นการพิพากษาแกค้ าพิพากษาศาลช้นั ตน้ มิใช่พิพากษากลบั จึงหา้ มมิใหค้ ู่ความฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตาม ป.ว.ิ อ.
มาตรา 219 ตรี ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ที่จาเลยที่ 4 ฎีกาวา่ เพิ่ง
เขา้ มาเป็นกรรมการของจาเลยท่ี 1 ไมร่ ู้เห็นเก่ียวขอ้ งกบั การที่จาเลยที่ 1 เป็นหน้ีโจทก.์ .. และขอใหร้ อการลงโทษจาคุกใหแ้ ก่จาเลยที่
4 น้นั เป็นฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตามบทบญั ญตั ิของกฎหมายดงั กล่าว ท้งั เป็นกรณีท่ีไม่อาจรับรองใหฎ้ ีกา
ขอ้ เทจ็ จริงได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉยั ให้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 70)

ฎีกาท่ี 9241/2559 จาเลยฎีกา จาเลยไมไ่ ดก้ ระทาความผิดตามคาพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 ที่วา่ จาเลยขบั รถโดยประมาท

เป็นเหตุใหผ้ อู้ ่ืนถึงแก่ความตาย ขอใหพ้ ิพากษายกฟ้องโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมท้งั สอง กบั ใหย้ กคาร้องขอใหช้ ดใชค้ ่าสินไหมทดแทน

ของโจทกร์ ่วมท่ี 2 การท่ีจาเลยยน่ื คาร้องขอใหก้ ารรับสารภาพในช้นั ฎีกา ถือไดว้ า่ เป็นการขอแกไ้ ขคาใหก้ ารจากคาใหก้ ารปฏิเสธเป็น

ใหก้ ารรับสารภาพ ซ่ึงจาเลยไมส่ ามารถกระทาไดเ้ พราะการแกไ้ ขคาใหก้ ารตอ้ งกระทาก่อนศาลช้นั ตน้ มีคาพิพากษา ตาม ปวิอ.มาตรา

163 วรรคสอง และไม่อาจถือไดว้ า่ คาร้องดงั กลา่ วเป็นการขอถอนฎีกาตาม ปวอิ .มาตรา202 ประกอบมาตรา 225 แต่อยา่ งไรกด็ ี คา

ร้องของจาเลยดงั กลา่ วถือไดว้ า่ จาเลยยอมรับขอ้ เทจ็ จริงโดยไม่โตแ้ ยง้ คาพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แลว้

79

ฎีกำที่ 10129/2559 ศาลช้นั ตน้ พิพากษาวา่ จาเลยมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,371 ประกอบ

มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวมจาคุก 3 ปี 9 เดือน และปรับ 25 บาท เปล่ียนโทษจาคุกเป็น

ส่งตวั จาเลยไปควบคุมเพ่ือฝึ กอบรมที่ศูนยฝ์ ึ กและอบรมเดก็ และเยาวชน เขต 5 จงั หวดั อุบลราชธานี มีกาหนดข้นั ต่า 1 ปี 6 เดือน ข้นั

สูง 2 ปี ศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 พิพากษากลบั เป็นวา่ จาเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จาคุก 7 วนั โทษจาคุกใหร้ อ

การลงโทษจาคุกไว้ 2 ปี และกาหนดเงื่อนไขเพ่ือคุมความประพฤติของจาเลยไว้ 1 ปี ยกฟ้องขอ้ หาร่วมกนั ฆา่ ผอู้ ื่น และร่วมกนั พา

อาวธุ ไปในเมืองหมู่บา้ นและทางสาธารณะโดยเปิ ดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการแกท้ ้งั บทลงโทษและกาหนดโทษอนั เป็น

การแกไ้ ขมาก แต่เป็นกรณีท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 ยงั คงลงโทษจาคุกจาเลยไมเ่ กิน 2 ปี ตอ้ งหา้ มไม่ใชโ้ จทกฎ์ ีกาในปัญหา

ขอ้ เทจ็ จริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ประกอบพระราชบญั ญตั ิศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธี

พิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

ฎกี ำที่ 2909/2559 คดีน้ีศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง แต่ใหร้ ิบรถยนตข์ องกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแกเ้ ป็น

วา่ ใหค้ ืนรถยนตข์ องกลางแก่เจา้ ของ ส่วนการยกฟ้องยงั คงเป็นไปตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ โจทกจ์ ึงตอ้ งหา้ มฎีกาตาม ป.วิ.อ.

มาตรา 220 ที่โจทกฎ์ ีกาในปัญหาขอ้ กฎหมายวา่ รถยนตข์ องกลางเป็นทรัพยส์ ินซ่ึงคนร้ายไดใ้ ชใ้ นการกระทาความผดิ ฐานลกั ทรัพย์

โดยตรง ศาลจึงมีอานาจสงั่ ริบไดต้ าม ป.อ. มาตรา 33 (1) น้นั ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตามบทบญั ญตั ิดงั กล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉยั

ฎกี ำท่ี 3119/2558 การที่จะเป็นความผดิ ฐานทาใหเ้ สียทรัพยต์ ามมาตรา 359 (4) น้นั ตอ้ งไดค้ วามวา่ เจา้ ของทรัพย์

น้นั เป็นกสิกร เมื่อโจทกม์ ิไดบ้ รรยายฟ้องวา่ ขา้ วนาปรังท่ีจาเลยท้งั สามร่วมกนั ทาใหเ้ สียหายเป็นพืชหรือพืชผลของกสิกร จึงไมอ่ าจ

ลงโทษจาเลยท้งั สามตาม ป.อ. มาตรา 359 ได้ เท่ากบั ความผิดฐานร่วมกนั ทาใหเ้ สียทรัพย์ โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยท้งั สามแต่

เพียงมาตรา 358 ซ่ึงมีอตั ราโทษจาคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ เม่ือศาลช้นั ตน้ พิพากษายกฟ้อง และ

โจทกอ์ ุทธรณ์เฉพาะความผดิ ฐานร่วมกนั ทาใหเ้ สียทรัพย์ โดยขอใหศ้ าลอทุ ธรณ์ภาค 3 ฟังขอ้ เทจ็ จริงใหม่ จึงเป็นการอุทธรณ์ใน

ปัญหาขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งหา้ มตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวธิ ีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 ประกอบ พ.ร.บ.

ใหน้ าวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใชใ้ นศาลจงั หวดั พ.ศ.2520 มาตรา 3 การท่ีศาลช้นั ตน้ รับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาล

อุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉยั ใหน้ ้นั เป็นการไม่ชอบ ปัญหาดงั กล่าวเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายท่ีเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามี

อานาจยกข้ึนวินิจฉยั ได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง, 225 ประกอบ พ.ร.บ.จดั ต้งั ศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาล

แขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ใหน้ าวธิ ีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใชใ้ นศาลจงั หวดั พ.ศ.2520 มาตรา 3 สาหรับคดีใน

ส่วนแพง่ น้นั แมท้ ุนทรัพยท์ ่ีพิพาทในช้นั อทุ ธรณ์ของโจทกจ์ ะไม่ตอ้ งหา้ มอทุ ธรณ์ในขอ้ เทจ็ จริง แต่ในการวินิจฉยั คดีส่วนแพ่งท่ีเป็น

การฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาเกี่ยวเน่ืองกนั ศาลจาตอ้ งถือขอ้ เทจ็ จริงตามท่ีปรากฏในคาพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46

ฎีกำท่ี2853/2559 การไต่สวนคาร้องขอเพิกถอนหมายจบั ของผรู้ ้องก่อนมีคาสงั่ เป็นดุลพินิจในการดาเนินกระบวน

พิจารณาตามอานาจหนา้ ท่ีของศาลช้นั ตน้ เพื่อใหก้ ารพิจารณาคดีเสร็จไปโดยรวดเร็วและชอบดว้ ยกฎหมาย เม่ือศาลช้นั ตน้ เห็นวา่

ขอ้ เทจ็ จริงตามคาร้องของผรู้ ้องสามารถวนิ ิจฉยั ได้ ศาลช้นั ตน้ มีอานาจท่ีจะมีคาสงั่ ไดท้ นั ทีโดยไมจ่ าตอ้ งไต่สวนก่อน ตามประมวล

80

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 21 (4) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
อานาจในการออกหมายจบั เป็นอานาจเฉพาะตวั ของผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ คนหน่ึงเพื่อใหไ้ ดต้ วั ผตู้ อ้ งหามาสอบสวน ตามพระ
ธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม มาตรา 24 (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (2) มาตรา 66 และมาตรา 134 ผรู้ ้อง
ซ่ึงถกู หมายจบั ของศาลช้นั ตน้ ย่ืนคาร้องขอใหศ้ าลช้นั ตน้ เพิกถอนหมายจบั ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 59
วรรคสี่ ตอนทา้ ย ศาลช้นั ตน้ มีคาสง่ั ยกคาร้อง ดงั น้ี ผรู้ ้องจะอุทธรณ์หรือฎีกาไมไ่ ด้

ฎกี ำท่ี 512/2559 การที่จาเลยแบ่งบรรจุฝ่ิ นเป็นห่อเพ่ือความสะดวกแก่การจาหน่าย ทาใหย้ าเสพติดใหโ้ ทษน้นั แพร่ระบาด

ไดง้ ่ายข้ึน ซ่ึงเป็นการกระทาที่จะเกิดอนั ตรายแก่สังคมอยา่ งร้ายแรง การกระทาของจาเลยเป็นความผดิ ฐานผลิตฝิ่ นตามความหมาย

ของ พ.ร.บ.ยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 แต่เมื่อฝ่ิ นที่จาเลยผลิตเป็นจานวนเดียวกบั ฝิ่ นท่ีจาเลยมีไวใ้ นครอบครองเพื่อ

จาหน่าย และการที่จาเลยแบ่งบรรจุฝ่ิ นเป็นห่อกเ็ พ่ือสะดวกในการจาหน่ายเท่าน้นั การกระทาของจาเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็น

ความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ฎกี ำที่ 3123/2560 ศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมลู ฟ้องแลว้ เห็นวา่ คดีโจทกไ์ ม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็น

กรณีท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220

โจทกม์ ิไดบ้ รรยายฟ้องวา่ จาเลยไดก้ ระทาในฐานที่ตนเป็นผูจ้ ดั การทรัพยส์ ินของผอู้ ื่นตามคาสง่ั ศาลหรือ

ตามพินยั กรรม หรือในฐานเป็นผมู้ ีอาชีพหรือธุรกิจ อนั ยอ่ มเป็นท่ีไวว้ างใจของประชาชน อนั เป็นองคป์ ระกอบความผดิ ของ ป.อ.

มาตรา 354 แมโ้ จทกม์ ีคาขอทา้ ยฟ้องใหล้ งโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา 354 กไ็ มท่ าใหฟ้ ้องของโจทกเ์ ป็นการบรรยายฟ้องที่ชอบตาม

ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) เม่ือฟ้องโจทกก์ ล่าวอา้ งแต่เพียงวา่ จาเลยเบียดบงั เอาทรัพยโ์ จทกไ์ ป จึงเป็นเพียงการยกั ยอกทรัพยต์ าม ป.อ.

มาตรา 352, 353

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 71)

ฎีกำท่ี 6549/2560 ศาลช้นั ตน้ ไต่สวนมลู ฟ้องแลว้ เห็นวา่ คดีโทกไ์ ม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ ภาค 5 พพิ ากษาแก้

ใหป้ ระทบั ฟ้องจาเลยที่ 4 เฉพาะขอ้ หาหมิ่นประมาทตามฟ้องขอ้ 9 นอกจากท่ีแกใ้ หเ้ ป็นไปตามคาพิพากษาของศาลช้นั ตน้ เท่ากบั วา่

คดีโจทกใ์ นส่วนของจาเลยที่ 4 อีก 8 ขอ้ หาตามฟ้องขอ้ 1 ถึงขอ้ 8 และฟ้องโทกส์ าหรับจาเลยท่ี 1 ถึงท่ี 3 และท่ี 5 ถึงที่ 11 น้นั ศาล

อุทธรณ์ภาค 5 ไดพ้ ิพากษายืนใหย้ กฟ้องโทก์ ดงั น้นั ขอ้ หาท้งั 8 ขอ้ หาดงั กล่าวในส่วนของจาเลยท่ี 4 และคดีสาหรับจาเลยท่ี 1 ถึงท่ี 3

และที่ 5 ถึงท่ี 11 ทุกขอ้ หาจึงตอ้ งหา้ มมิใหค้ ู่ความฎีกาไม่วา่ จะเป็นปัญหาขอ้ เทจ็ จริงหรือปัญหาขอ้ กฎหมายตามประมวลกฎหมายวธิ ี

พิจารณาความอาญา มาตรา 220

ฎีกำที่ 1939/2561 โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษจาเลยในความผิดฐานฆา่ ผอู้ ื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ศาลช้นั ตน้

วนิ ิจฉยั วา่ จาเลยถกู ผตู้ ายข่มเหงอยา่ งร้ายแรงดว้ ยเหตุอนั ไมเ่ ป็นธรรมจึงกระทาความผิดต่อผตู้ าย อนั เป็นการกระทาความผิดฐานฆ่า

81

ผอู้ ื่นโดยบนั ดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ศาลอทุ ธรณ์ภาค 9 เห็นพอ้ งกบั คาวินิจฉยั ของศาล
ช้นั ตน้ ท่ีวา่ จาเลยกระทาความผดิ ฐานฆ่าผอู้ ื่นโดยบนั ดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 เท่ากบั วา่
ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานฆ่าผอู้ ่ืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฎีกาของโจทก์
ร่วมท้งั สองที่ขอใหล้ งโทษจาเลยในความผิดฐานฆ่าผอู้ ื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ตามฟ้อง โดยอา้ งวา่ การกระทาของ
จาเลยมิใช่การกระทาความผดิ โดยบนั ดาลโทสะ จึงเป็นการฎีกาขอใหล้ งโทษจาเลยในขอ้ หาความผดิ ที่ศาลช้นั ตน้ และศาลอุทธรณ์
ภาค 9 พิพากษายกฟ้อง ตอ้ งหา้ มมิใหค้ ู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

ฎีกำท่ี 3730/2561 คดีน้ีศาลช้นั ตน้ พิพากษาลงโทษจาเลยฐานมีอาวุธปื นและเครื่องกระสุนปื นโดยไมไ่ ดร้ ับใบอนุญาต จาคุก

1 ปี ฐานพาอาวธุ ปื นไปในเมือง หมู่บา้ น หรือทางสาธารณะโดยไม่ไดร้ ับใบอนุญาต จาคุก 6 เดือน ฐานประมาทเป็นเหตุใหผ้ อู้ ่ืน

ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั จาคุก 1 ปี รวมจาคุก 2 ปี 6 เดือน จาเลยใหก้ ารรับสารภาพ ลดโทษใหก้ ่ึงหน่ึง คงจาคุก 15 เดือน ศาลอุทธรณ์

ภาค 5 พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ฐานมีอาวธุ ปื นและเคร่ืองกระสุนปื นโดยไม่ไดร้ ับใบอนุญาต ใหล้ งโทษปรับ 20,000 บาท ฐานพาอาวธุ ปื น

ไปในเมือง หม่บู า้ น หรือทางสาธารณะโดยไม่ไดร้ ับใบอนุญาต ปรับ 10,000 บาท และฐานประมาทเป็นเหตุใหผ้ อู้ ื่นไดร้ ับอนั ตราย

สาหสั ปรับ 6,000 บาท อีกสถานหน่ึง รวมเป็นปรับ 36,000 บาท เมื่อลดโทษก่ึงหน่ึงแลว้ คงปรับ 18,000 บาท แลว้ รอการลงโทษ

จาคุกและคุมความประพฤติของจาเลยไว้ อนั เป็นกรณีท่ีศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ภาค 5 ลงโทษจาคุกจาเลยไมเ่ กินกระทงละ 2 ปี

และปรับไม่เกินกระทงละ 40,000 บาท จึงหา้ มมิใหโ้ จทกฎ์ ีกาในปัญหาขอ้ เท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 การที่โจทกฎ์ ีกาขอใหไ้ ม่

รอการลงโทษจาคุกแก่จาเลยเป็นการโตเ้ ถียงดุลพินิจในการกาหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง จึง

ตอ้ งหา้ มฎีกาตามบทบญั ญตั ิของกฎหมายดงั กล่าว

ฎีกำที่ 4265/2561 คาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ท่ีอนุญาตใหฝ้ ากขงั ผตู้ อ้ งหาตามคาร้องของพนกั งานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 71 ประกอบมาตรา 66 ไม่ใช่เรื่องท่ีกฎหมายมีความประสงคจ์ ะใหผ้ ตู้ อ้ งหายื่นอทุ ธรณ์คดั คา้ นได้ ตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ผตู้ อ้ งหาจึงไม่มีสิทธิยื่นอทุ ธรณ์

ฎกี ำท่ี 833/2561 จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ใหก้ ารรับสารภาพ ขอ้ เทจ็ จริงจึงรับฟังไดต้ าม คาฟ้องของโจทก์ จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓

เพิ่งยกขอ้ เทจ็ จริงดงั กล่าวข้ึนในช้นั ฎีกา จึงเป็นขอ้ ท่ีมิไดย้ กข้ึนวา่ กนั มาแลว้ โดยชอบในศาลล่างทงั สอง ตอ้ งหา้ มมิใหฎ้ ีกา ตาม

ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา ๒๒๕ วรรคหน่ึง และมาตรา ๒๕๒ ท่ีแกไ้ ขใหม่ ประกอบประมวลกฎหมายวิธี

พิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕

ฎีกำท่ี 1661/2561 ฎีกาของจาเลยท่ีวา่ จาเลยไม่เห็น พอ้ งดว้ ยกบั ศาลช้นั ตน้ ที่วนิ ิจฉยั วา่ พยานหลกั ฐานท่ีอยขู่ องจาเลยมี

น้าหนกั นอ้ ย เพราะหากพิจารณาพยานหลกั ฐานดงั กลา่ วประกอบเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ เช่ือไดว้ า่ จาเลยไม่ไดอ้ ยใู่ นที่เกิดเหตุและไม่ได้

กระทา ความผดิ ตามฟ้องน้นั เป็นฎีกาโตแ้ ยง้ เฉพาะคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ มิไดโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ นคาพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙ วา่

82

พิพากษาไม่ถูกตอ้ งอยา่ งไรฎีกาของจาเลยเซ่นน้ีจึงเป็นฎีกาท่ีมิไดค้ ดั คา้ นคาพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ อนั เป็นการไม่ชอบดว้ ย
ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๖ วรรคหน่ึง แมผ้ พู้ ิพากษาซ่ึงพิจารณาและลงซื่อในคาพิพากษาศาลช้นั ตน้
อนุญาตใหจ้ าเลยฎีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงและสง่ั รับฎีกาของจาเลยในขอ้ น้ีมา ศาลฎีกากไ็ มร่ ับวนิ ิจฉยั ให้

83

84

-------------- ว.ิ อาญา ข้อ 6 ---------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 64)

ฎกี ำท่ี 8484/2549 ในการวินิจฉยั คาร้องขอใหป้ ล่อยชวั่ คราว ป.วิ.อ. มาตรา 108 (ท่ีใชบ้ งั คบั อยใู่ นขณะเกิดเหตุ) บญั ญตั ิให้

พิจารณาขอ้ เหลา่ น้ีประกอบดว้ ย (1) ความหนกั เบาแห่งขอ้ หา (2) พยานหลกั ฐานท่ีนามาสืบแลว้ มีเพียงใด (3) พฤติการณ์ต่างๆ แห่ง

คดีเป็นอยา่ งไร (4) เช่ือถือผรู้ ้องขอประกนั หรือหลกั ประกนั ไดเ้ พียงใด (5) ผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยจะหลบหนีหรือไม่ (6) ภยั อนั ตราย

หรือความเสียหายท่ีจะเกิดจากการปลอ่ ยชว่ั คราวมีเพียงใด หรือไม่ (7) ในกรณีท่ีผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยตอ้ งขงั ตามหมายศาล ถา้ มีคา

คดั คา้ นของพนกั งานสอบสวน พนกั งานอยั การ หรือโจทกแ์ ลว้ แต่กรณี ศาลพึงรับฟังประกอบการวินิจฉยั ได้ ดงั น้นั การท่ีจาเลยสงั่

ในคาร้องลงวนั ท่ี 4 พฤศจิกายน 2545 ที่ ต. ซ่ึงเป็นผขู้ อประกนั ยืน่ คาร้องขอใหป้ ล่อยชว่ั คราวโจทกใ์ นระหวา่ งสอบสวนวา่ โจทกม์ ีท่ี

อยไู่ ม่เป็นหลกั แหลง่ ผขู้ อประกนั ไม่ใช่ญาติของโจทก์ ประกอบกบั พนกั งานสอบสวนกาลงั ขยายผลรวบรวมพยานหลกั ฐาน

ดาเนินคดีในความผิดฐานหม่ินพระบรมเดชานุภาพและฉอ้ โกงประชาชน และคดั คา้ นการประกนั จึงไม่อนุญาตใหป้ ระกนั ยกคาร้อง

จึงเป็นการนาขอ้ เทจ็ จริงจากคาคดั คา้ นของพนกั งานสอบสวนมาพิจารณาประกอบความหนกั เบาแห่งขอ้ หาและพฤติการณ์แห่งคดี

แลว้ วินิจฉยั คาร้องขอปล่อยชว่ั คราวตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ น ป.วิ.อ. มาตรา 108 อนั เป็นการใชด้ ุลพินิจสงั่ คาร้องตามพยานหลกั ฐานที่

ปรากฏในสานวนหาใช่เป็นการกลน่ั แกลง้ โจทกแ์ ต่อยา่ งใดไม่ และถึงแมว้ า่ หลกั ทรัพยท์ ี่ใชข้ อปล่อยชวั่ คราวมีจานวนสูงถึง 542,640

บาท กต็ าม แต่การพิจารณาหลกั ทรัพยท์ ่ีผขู้ อประกนั เสมอมา เป็นเพียงเหตุหน่ึงในหลายเหตุที่ศาลจะนามาพิจารณาประกอบการ

วินิจฉยั คาร้องขอปล่อยชวั่ คราว มิใช่วา่ หลกั ทรัพยม์ ีจานวนสูงแลว้ ศาลตอ้ งอนุญาตใหป้ ลอ่ ยชวั่ คราวเสมอไป

ป.ว.ิ อ. มาตรา 87 วรรคส่ี (ที่ใชบ้ งั คบั อยใู่ นขณะเกิดเหตุ) บญั ญตั ิวา่ ถา้ เกิดความจาเป็นที่จะควบคุมผถู้ ูก

จบั ไวเ้ กินกวา่ กาหนดเวลาในวรรคก่อน เพื่อใหก้ ารสอบสวนเสร็จสิ้นใหส้ ่งผตู้ อ้ งหามาศาล ใหพ้ นกั งานอยั การหรือพนกั งาน

สอบสวนย่ืนคาร้องต่อศาลขอหมายขงั ผตู้ อ้ งหาน้นั ไว.้ ..ฯลฯ... และมาตรา 87 วรรคหก บญั ญตั ิวา่ ในกรณีความผดิ อาญาท่ีมีอตั ราโทษ

จาคุกอยา่ งสูงเกินกวา่ หกเดือนแต่ไม่ถึงสิบปี หรือปรับเกินกวา่ หา้ ร้อยบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ ศาลมีอานาจสงั่ ขงั หลายคร้ังติดๆ กนั ได้

แต่คร้ังหน่ึงตอ้ งไมเ่ กินสิบสองวนั และรวมกนั ท้งั หมดตอ้ งไม่เกินส่ีสิบแปดวนั ซ่ึงเป็นการใหอ้ านาจศาลในการพิจารณาคารอ้ งขอ

ฝากขงั ของพนกั งานสอบสวนวนั มีเหตุอนั สมควรอนุญาตใหฝ้ ากขงั หรือไม่ และผพู้ ิพากษาศาลจงั หวดั สุโขทยั ไดไ้ ต่สวนแลว้ เห็นวา่

มีเหตุท่ีจะอนุญาตใหพ้ นกั งานสอบสวนฝากขงั โจทกไ์ วต้ ามคาร้อง จึงมีคาสง่ั อนุญาตตามท่ีกฎหมายใหอ้ านาจไว้ แมต้ ามคาร้องขอ

ฝากขงั ของพนกั งานสอบสวนดงั กล่าวระบุวา่ ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรับสารภาพตลอดขอ้ กลา่ วหาตามที่โจทกอ์ า้ งกต็ าม แต่กไ็ ม่มีมาตราใด

ใน ป.วิ.อ. ท่ีบงั คบั วา่ ถา้ ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรับสารภาพแลว้ ศาลตอ้ งไมอ่ นุญาตใหฝ้ ากขงั ผตู้ อ้ งหาไว้ ดงั น้นั การท่ีผพู้ ิพากษาศาลจงั หวดั

สุโขทยั อนุญาตใหฝ้ ากขงั โจทกจ์ ึงเป็นการใชด้ ุลพินิจโดยชอบแลว้ ผพู้ ิพากษาหวั หนา้ ศาลไม่มีหนา้ ท่ีตรวจสอบการใชด้ ุลพินิจสง่ั คา

ร้องขอใหป้ ล่อยชว่ั คราวของผพู้ ิพากษาในศาล

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

85

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 65)

ฎกี ำที่ 12779/2553 การท่ีจะวินิจฉยั วา่ เจา้ พนกั งานตารวจสามารถตรวจคน้ อซู่ ่อมรถยนตข์ องจาเลยท่ี 1 และจบั จาเลยท่ี 1 โดย
ไมต่ อ้ งมีหมายคน้ และหมายจบั น้นั จาเป็นตอ้ งวินิจฉยั ขอ้ เทจ็ จริงเสียก่อนวา่ มีพยานหลกั ฐานตามสมควรวา่ สิ่งของที่ไดม้ าโดยการ
กระทาความผิดไดอ้ ยใู่ นสถานท่ีตรวจคน้ และมีเหตุอนั ควรเช่ือวา่ เนื่องจากการเนิ่นชา้ กวา่ จะเอาหมายคน้ มาไดส้ ่ิงของน้นั จะถกู
โยกยา้ ยเสียก่อน และมีเหตุท่ีเจา้ พนกั งานตารวจจะจบั จาเลยท่ี 1 ไดโ้ ดยไม่มีหมายจบั ของศาลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 และมาตรา 92
(4) หรือไม่ จึงเป็นการฎีกาโตเ้ ถียงในปัญหาขอ้ เทจ็ จริงเพ่ือนาไปสู่การวินิจฉยั ในปัญหาขอ้ กฎหมายดงั กลา่ วอนั เป็นฎีกาในปัญหา
ขอ้ เทจ็ จริง

ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายนื ตามศาลช้นั ตน้ ใหจ้ าเลยที่ 1 คืนหรือใชร้ าคาทรัพยท์ ่ียงั ไมไ่ ดค้ ืนโดย
คานวณจากราคารถยนต์ 370,000 บาท หกั ราคาของกลางที่ไดค้ ืนจานวน 192,710 บาท คิดเป็นราคาทรัพยท์ ี่ยงั ไมไ่ ดค้ ืน 177,290
บาท น้นั เมื่อขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ จาเลยที่ 1 กระทาผิดฐานรับของโจร ความรับผดิ ทางแพง่ ของจาเลยท่ี 1 จะตอ้ งมีอยเู่ ฉพาะในส่วนท่ี
เกี่ยวเนื่องกบั ความผิดทางอาญาฐานรับของโจรเท่าน้นั เมื่อปรากฏวา่ โจทกร์ ่วมไดร้ ับของกลางท่ีจาเลยท่ี 1 รับของโจรไวค้ ืนไปแลว้
โจทกจ์ ึงไม่มีอานาจขอใหค้ ืนหรือใชร้ าคาในส่วนน้ีเพราะ ป.วิ.อ. มาตรา 43 ไม่ไดใ้ หอ้ านาจไว้

ฎีกำท่ี 7387/2543 ขอ้ ยกเวน้ การคน้ ในที่รโหฐานโดยไม่ตอ้ งมีคาสงั่ หรือหมายคน้ ของศาลวา่ "ท้งั น้ีตามกฎหมายบญั ญตั ิ"

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยฯ มาตรา 238 น้นั มิใช่จะตอ้ งมีการออกกฎหมายบญั ญตั ิข้ึนใชใ้ นภายหลงั จากกฎหมาย

รัฐธรรมนูญมีผลใชบ้ งั คบั แลว้ เท่าน้นั เน่ืองจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยฯ มาตรา 6 บญั ญตั ิวา่ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมาย

สูงสุดของประเทศ บทบญั ญตั ิใดของกฎหมายกฎ หรือขอ้ บงั คบั ขดั หรือแยง้ ต่อรัฐธรรมนูญน้ี บทบญั ญตั ิน้นั เป็นอนั ใชบ้ งั คบั มิได้ จึง

เห็นไดว้ า่ บทบญั ญตั ิดงั กลา่ วรับรองใหก้ ฎหมาย กฎหรือขอ้ บงั คบั ท่ีมีอยกู่ ่อนรัฐธรรมนูญน้ีใชบ้ งั คบั ถา้ โดยเน้ือหาไม่ขดั หรือแยง้ ต่อ

รัฐธรรมนูญ น้ีแลว้ กย็ งั มีผลใชบ้ งั คบั ไดต้ ่อไป ดงั น้นั บทบญั ญตั ิเร่ืองการคน้ ในที่รโหฐานในกรณีมีเหตุจาเป็นเร่งด่วนยอ่ มใชบ้ งั คบั

ต่อไปได้

ก่อนการคน้ บา้ นผตู้ อ้ งหาคร้ังน้ี เจา้ พนกั งานตารวจไดจ้ บั กุม ท. พร้อมเมทแอมเฟตามีนจานวน 95 เมด็ ใน

เวลา 16 นาฬิกาเศษ การคน้ ในที่รโหฐานตามปกติจะตอ้ งกระทาในเวลากลางวนั ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา

96 ขณะน้นั เป็นเวลาเยน็ ใกลจ้ ะมืดแลว้ ประกอบกบั ยาเสพติดเป็นส่ิงของที่ขนยา้ ยหลบหนีไดง้ ่ายโดยเฉพาะในเวลากลางคืน

นอกจากน้ีสถานีตารวจอาเภอหา้ งฉตั รมิไดอ้ ยู่ ใกลก้ บั ศาลช้นั ตน้ การไปขอใหศ้ าลช้นั ตน้ ออกหมายคน้ ยอ่ มทาใหเ้ นิ่นชา้ กวา่ จะเอา

หมายคน้ มาไดเ้ มทแอมเฟตามีนอาจจะถูกโยกยา้ ยเสียก่อนแลว้ ดงั น้นั จึงเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ใหค้ น้ ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมีหมายคน้ ของศาลตาม

ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 92(4)

86

ฎกี ำที่ 4958/2551 แมเ้ จา้ พนกั งานตารวจจะมิไดด้ าเนินการขอหมายคน้ จากศาลช้นั ตน้ ก่อนเขา้ ตรวจคน้ บา้ นจาเลยกต็ าม แต่

ขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ สายลบั ล่อซ้ือเมทแอมเฟตามีนท่ีหนา้ บา้ นจาเลย และเจา้ พนกั งานตารวจผูจ้ บั กมุ ไดแ้ อบซุ่มดูและเห็นเหตุการณ์

การล่อซ้ือดงั กลา่ ว จึงเขา้ ตรวจคน้ และจบั กมุ จาเลย เป็นกรณีท่ีเจา้ พนกั งานตารวจพบเห็นการกระทาความผิดฐานจาหน่ายเมทแอมเฟ

ตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพื่อจาหน่ายอนั เป็นความผดิ ซ่ึงหนา้ และการตรวจคน้ จบั กมุ ไดก้ ระทาต่อเน่ืองกนั เจา้

พนกั งานตารวจจึงเขา้ ตรวจคน้ บา้ นจาเลยไดโ้ ดยไมจ่ าตอ้ งมีหมายคน้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 92 (2) (เดิม) ซ่ึงเป็นกฎหมายที่ใชบ้ งั คบั

ในขณะกระทาความผิด

ฎกี ำที่ 1496/2543 ในความผิดฐานมียาเสพติดใหโ้ ทษไวใ้ นครอบครองเพื่อจาหน่ายโจทกไ์ มม่ ีพยานนาสืบใหช้ ดั แจง้ วา่

จาเลยมีพฤติการณ์ในการจาหน่ายประการใดบา้ งส่วนคารับสารภาพของจาเลยในช้นั จบั กมุ และช้นั สอบสวน เป็นเพียงพยานบอกเล่า

มีน้าหนกั นอ้ ย ท้งั จาเลยกไ็ ดใ้ หก้ ารปฏิเสธในช้นั พิจารณา จึงไมอ่ าจอาศยั มาฟังลงโทษจาเลยได้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เป็นความผิดท่ีมี

โทษฉกรรจ์ ซ่ึงตามบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายเป็นหนา้ ที่ของโจทกจ์ ะตอ้ งนาพยานเขา้ สืบประกอบ แมจ้ าเลยจะใหก้ ารรับสารภาพ

พยานหลกั ฐานโจทกจ์ ึงไม่พอฟังลงโทษจาเลยฐานมียาเสพติดใหโ้ ทษไวใ้ นครอบครองเพื่อจาหน่าย

เจา้ พนกั งานผจู้ บั กมุ ไดพ้ บตวั จาเลยขณะขบั รถโดยสารประจาทางจึงไดต้ ิดตามไปทาการจบั กมุ และตรวจ

คน้ ในทนั ทีทนั ใด ท่ีจาเลยขบั รถเขา้ ไปจอดในอรู่ ถโดยสารประจาทาง มิฉะน้นั จาเลยยอ่ มหลบหนีหรือเคลื่อนยา้ ยยาเสพติดใหโ้ ทษ

ของกลางไปได้ เป็นกรณีที่เจา้ พนกั งานผจู้ บั กมุ สามารถคน้ ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีหมายคน้ ตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 92(4)

ท่ีจาเลยฎีกาวา่ มีปัญหาส่วนตวั กบั เจา้ หนา้ ที่ตารวจผหู้ น่ึงซ่ึงเป็นผจู้ บั กมุ ดว้ ย กม็ ิไดป้ รากฏวา่ มี

ขอ้ เทจ็ จริงใด ๆ เป็นการยืนยนั วา่ เจา้ หนา้ ที่ตารวจผนู้ ้นั คือใครและไดก้ ระทาการอนั มิชอบแต่ประการใด จึงไม่เป็นสาระที่จะ

เปลี่ยนแปลงผลแห่งคาวินิจฉยั ของศาลอทุ ธรณ์ได้

ฎกี ำท่ี 3912/2553 มาตรา 102 บญั ญตั ิใหเ้ จา้ พนกั งานคน้ ต่อหนา้ ผคู้ รอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผนู้ ้นั หรือ

ถา้ หาบุคคลเช่นกล่าวน้นั ไม่ได้ กใ็ หค้ น้ ต่อหนา้ บุคคลอ่ืนอยา่ งนอ้ ยสองคนซ่ึงเจา้ พนกั งานไดร้ ้องขอมาเป็นพยาน ดงั น้ี แมข้ ณะเร่ิมลง

มือคน้ เจา้ พนกั งานตารวจจดั ให้ จ. ซ่ึงมิใช่บุคคลในครอบครัวจาเลยท่ี 2 เป็นพยานในการคน้ หอ้ งจาเลยท่ี 2 เพียงคนเดียวเพราะจาเลย

ที่ 2 ไมอ่ ยกู่ ต็ าม แต่ระหวา่ งคน้ จาเลยที่ 2 ไดก้ ลบั มานาเจา้ พนกั งานตารวจคน้ หอ้ งจาเลยท่ี 2 ดว้ ยตนเองต่อไปจนกระทงั่ คน้ พบเมท

แอมเฟตามีนของกลาง จึงถือวา่ เจา้ พนกั งานทาการคน้ หอ้ งจาเลยท่ี 2 ต่อหนา้ จาเลยท่ี 2 ผคู้ รอบครองสถานที่ตามมาตรา 102 แลว้

ฎกี ำที่ 4793/2549 การคน้ พบธนบตั รของกลางในขอ้ งปลาที่แขวนอยขู่ า้ งบา้ นทิศตะวนั ออก นอกจากมิไดก้ ระทาต่อหนา้

จาเลยหรือสามีจาเลย ท้งั ๆ ท่ีจาเลยกถ็ ูกจบั และควบคุมตวั อยทู่ ่ีหนา้ บา้ นน้นั เองแลว้ ยงั ไดค้ วามวา่ การพบธนบตั รในขอ้ งปลากเ็ ป็น

เร่ืองที่ในช้นั แรกสิบตารวจตรี พ. คน้ พบเพียงคนเดียวก่อน แลว้ จึงเรียกกานนั ที่เชิญมาเป็นพยานในการคน้ มาดู หาใช่วา่ เป็นการ

คน้ พบธนบตั รของกลางที่พบต่อหนา้ บุคคลอ่ืนอยา่ งนอ้ ยสองคนซ่ึงเจา้ พนกั งานไดข้ อร้องมาเป็นพยานดงั ที่ ป.วิ.อ. มาตรา 102 ได้

กาหนดหลกั เกณฑไ์ วไ้ ม่ พยานหลกั ฐานโจทกเ์ กี่ยวกบั การคน้ พบธนบตั รของกลางซ่ึงเจา้ พนกั งานผตู้ รวจคน้ มิไดป้ ฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ ง

ตามหลกั เกณฑท์ ่ีกฎหมายกาหนด จึงไม่มีน้าหนกั เพียงพอท่ีศาลจะรับฟัง

87

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 66)

ฎกี ำท่ี 4948/2556 อาคารที่พกั สายตรวจสร้างจากเงินบริจาคของประชาชนและสร้างบนที่ดินขององคก์ ารบริการส่วนตาบล

เพื่อใชเ้ ป็นสถานท่ีพกั ของเจา้ พนกั งานตารวจและอานวยความสะดวกแก่ประชาชนท่ีมาแจง้ ความร้องทุกข์ แมโ้ จทกร์ ่วมจะบริจาค

เงินในการก่อสร้างดว้ ย แต่วตั ถุประสงคก์ ารก่อสร้างท่ีใชเ้ ป็นท่ีพกั สายตรวจและใหป้ ระชาชนมาแจง้ ความร้องทุกขไ์ ด้ ยอ่ มแสดงวา่

ประชาชน ประสงคใ์ หใ้ ชเ้ ป็นสถานที่ราชการท่ีประชาชนทว่ั ไปสามารถเขา้ มาติดต่อกบั เจา้ พนกั งานตารวจได้ ท้งั อาคารดงั กล่าวได้

ขอบา้ นเลขท่ีโดยระบุวา่ เป็นท่ีทาการสถานีตารวจชุมชน และการไฟฟ้าส่วน๓ูู มิภาคไดเ้ รียกเกบ็ ค่ากระแสไฟฟ้าจากหวั หนา้ สถานี

ตารวจชุมชน บ่งช้ีไดว้ า่ ประชาชนท่ีร่วมกนั ก่อสร้างอาคารท่ีพกั สายตรวจไดม้ อบอาคารใหเ้ ป็นสถานท่ีราชการตารวจโดยปริบาย

เม่ือประชาชนสามารถเขา้ มาติดต่อใชอ้ าคารในการติดต่อกบั เจา้ พนกั งานตารวจไดจ้ ึงไม่ใช่ท่ีรโหฐานอนั เป็นที่ส่วนตวั ของโจทกท์ ่ีจา

มีอานาจจดั การหวงหา้ มได้ ส่วนหอ้ งนอนของโจทกท์ ี่ก้นั เป็นสดั ส่วนเป็นส่วนหน่ึงของอาคารท่ีพกั สายตรวจและผใู้ จบ้ คั บั บญั ชา
ของโจทกใ์ ชเ้ ป็นท้ี่เปล่ียนเส้ือผา้ แสดงวา่ นอกจากโจทกจ์ ะใชเ้ ป็นท่ีพกั อาศยั แลว้ เจา้ พนกั งานสายตรวจคนอื่นกส็ ามารถใชป้ ระโยชน์

ได้ แมโ้ จทกจ์ ะเกบ็ สิ่งของส่วนตวั ไว้ และใส่กญุ แจกไ็ ม่ใช่หอ้ งพกั ส่วนตวั ท่ีโจทกจ์ ะมีสิทธิหวงกนั ไวผ้ เู้ ดียวได้ แต่เป็นหอ้ งพกั อนั

เป็นสถานที่ราชการท่ีเจา้ พนกั งานตารวจอ่ืนกเ็ ขา้ พกั อาศยั ไดเ้ ช่นกนั หอ้ งพกั ที่เกิดเหตุจึงไม่ใช่ท่ีรโหฐาน การท่ีจาเลยเขา้ ไป

หอ้ งพกั เพื่อคน้ หาอาวุธปื นตามท่ีผใู้ ชก้ ระทาความผิดแจง้ วา่ นามาไวใ้ นอาคารที่พกั สายตรวจ จึงมีเหตุอนั ควรสงสยั ตามสมควรวา่ มี

ส่ิงของที่ไดใ้ ช้ หรือมีไวเ้ ป็นความผิดซ่อนไวใ้ นหอ้ งพกั ของโจทก์ จาเลยยอ่ มมีอานาจคน้ หอ้ งพกั ของโจทกไ์ ดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีหมายคน้

หาใช่เป็นการกลนั่ แกลง้ เพื่อใหโ้ จทกไ์ ดร้ ับความเสียหายไม่ การกระทาของจาเลยเป็นการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยชอบดว้ ยกฎหมาย จึงไม่

เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (ดูประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 93)

ฎีกำท่ี 4282/2555 ขณะเกิดเหตุที่จาเลยแทงผตู้ าย ผเู้ สียหายไมไ่ ดอ้ ยใู่ นที่เกิดเหตุและไมเ่ ห็นเหตุการณ์ โดยผเู้ สียหายยนื อยู่

ห่างจากท่ีเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร มองไมเ่ ห็นท่ีเกิดเหตุเพราะมีร้านคา้ บงั อยู่ ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นราษฎรจึงไม่มีอานาจตามกฎหมายท่ี

จะจบั กมุ จาเลยได้ เพราะมิใช่เป็นการกระทาความผิดซ่ึงหนา้ ตาม ป.ว.ิ อ.มาตรา 79

การที่ผเู้ สียหายจะจบั จาเลยและใชไ้ มก้ ระบองฟาดไปท่ีหลงั จาเลย จาเลยยอ่ มมีสิทธิป้องกนั ตนเองได้ แต่

การท่ีจาเลยจบั ไมก้ ระบองผเู้ สียหายไวแ้ ลว้ ใชม้ ีดแทงผเู้ สียหายไปถึง 3 คร้ังท่ีชายโครงซ่ึงเป็นอวยั วะสาคญั และอาจทาใหผ้ เู้ สียหาย

ถึงแก่ความตายได้ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการป้องกนั เกินสมควรแก่เหตุ จาเลยจึงมีความผดิ ฐานพยายามฆ่าผอู้ ื่นโดยเป็นการ

ป้องกนั เกินสมควรแก่เหตุ

ฎกี ำท่ี 4314/2555 การท่ีผรู้ ้องซ่ึงเป็นบิดาของจาเลยที่ 1 ยน่ื คาร้องขอใหป้ ล่อยจาเลยที่ 1 โดยอา้ งวา่ จาเลยท่ี 1 ถกู คุมขงั โดย

มิชอบดว้ ยกฎหมาย เป็นการใชส้ ิทธิยื่นคาร้องตามมาตรา 90 (5) เพื่อประโยชนข์ องจาเลยท่ี 1 ผถู้ ูกคุมขงั เม่ือศาลช้นั ตน้ ยกคาร้อง แม้

ผรู้ ้องไมอ่ ุทธรณ์ แต่จาเลยท่ี 1 ซ่ึงเป็นผถู้ ูกคุมขงั เองเป็นผมู้ ีส่วนไดเ้ สียและไดร้ ับผลกระทบโดยตรงจากคาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ท่ีใหย้ ก

คาร้อง มีสิทธิอทุ ธรณ์คาสง่ั ดงั กล่าวของศาลช้นั ตน้ ได้ เนื่องจากไมม่ ีบทกฎหมายใดหา้ มหรือจากดั สิทธิในการอุทธรณ์ในกรณีน้ีไว้

88

ฎีกำที่ 8722/2555 เม่ือขอ้ เทจ็ จริงไดค้ วามวา่ บริเวณท่ีเกิดเหตุอยบู่ นถนนสุทธาวาสไมใ่ ช่หลงั ซอยโรงถา่ นตามที่สิบตารวจ

โท ก. และสิบตารวจตรี พ. อา้ งวา่ มีอาชญากรรมเกิดข้ึนประจาแต่อยา่ งใด และจาเลยไม่มีท่าทางเป็นพิรุธคงเพียงแต่นง่ั โทรศพั ทอ์ ยู่

เท่าน้นั การที่สิบตารวจโท ก. และสิบตารวจตรี พ. อา้ งวา่ เกิดความสงสยั ในตวั จาเลยจึงขอตรวจคน้ โดยไมม่ ีเหตุผลสนบั สนุนวา่

เพราะเหตุใดจึงเกิดความสงสยั ในตวั จาเลย จึงเป็นขอ้ สงสยั ที่อยบู่ นพ้ืนฐานของความรู้สึกเพียงอยา่ งเดียว ถือไม่ไดว้ า่ มีเหตุอนั ควร

สงสยั ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 93 ที่จะทาการตรวจคน้ ได้ การตรวจคน้ ตวั จาเลยจึงไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย จาเลยซ่ึงถูกกระทาโดยไมช่ อบ

ดว้ ยกฎหมายจึงมีสิทธิโตแ้ ยง้ และตอบโตเ้ พื่อป้องกนั สิทธิของตน ตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบตั ิตามคาสงั่ ใด ๆ อนั สืบเน่ืองจากการ

ปฏิบตั ิท่ีไม่ชอบดงั กล่าวได้ การกระทาของจาเลยจึงไมเ่ ป็นความผดิ ตามท่ีโจทกฟ์ ้อง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 67)

ฎกี ำท่ี 10477/2555 จาเลยยนิ ยอมใหเ้ จา้ พนกั งานตารวจไปตรวจคน้ โดยจาเลยเป็นผพู้ าเจา้ พนกั งานตารวจไปตรวจคน้ บา้ นท่ี
เกิดเหตุดว้ ยตนเองแสดงวา่ การคน้ ไปกระทาไปโดยอาศยั อานาจความยนิ ยอมของจาเลยซ่ึงเป็นเจา้ ของบา้ นที่เกิดเหตุ

เมื่อขอ้ เทจ็ จริงไม่ปรากฏวา่ เจา้ พนกั งานตารวจไดข้ ่มข่หู รือหลอกลวงใหจ้ าเลยใหค้ วามยินยอมในการคน้
แต่ประการใด แมก้ ารคน้ จะกระทาโดยไม่มีหมายคน้ ท่ีออกโดยศาลอนุญาตใหค้ น้ ไดแ้ ละท่ีพนั ตารวจโท ป. นงั่ รออยใู่ นรถโดยไม่ได้
เขา้ ร่วมในการตรวจคน้ ดว้ ยกห็ าใช่เป็นการคน้ โดยมิชอบ

ฎกี ำท่ี 692/2557 ก่อนที่จาเลยจะใชอ้ าวธุ มีดแทงผเู้ สียหายท่ี 2 จาเลยใชอ้ าวธุ มีดแทงผเู้ สียหายที่ 1 และกาลงั ข้ึน

รถจกั รยานยนตห์ ลบหนี เม่ือผเู้ สียหายที่ 2 มาถึงและพบผเู้ สียหายท่ี 1 ถูกแทงกบั เห็นจาเลยถืออาวธุ มีดนงั่ คร่อมรถจกั รยานยนต์ จึง

เป็นกรณีที่ผเู้ สียหายท่ี 2 พบการกระทาความผิดต่อผเู้ สียหายท่ี 1 ในอาการซ่ึงแทบจะไมม่ ีความสงสยั เลยวา่ จาเลยเป็นผใู้ ช้ อาวธุ มีด

แทงผเู้ สียหายที่ 1 มาแลว้ สดๆ ถือวา่ การกระทาของจาเลยเป็นความผดิ ซ่ึงหนา้ ต่อผเู้ สียหายท่ี 2 ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณา

ความอาญามาตรา 80 วรรคแรกผเู้ สียหายท่ี 2 ในฐานะราษฎรยอ่ มมีอานาจจบั จาเลยไดต้ ามมาตรา 79 การท่ีผเู้ สียหายที่ 2 กระโดดถีบ

จาเลยเพื่อหยดุ ย้งั มิใหจ้ าเลยกบั พวกขบั รถจกั รยานยนตห์ ลบหนีอนั เป็นการกระทาเพ่ือจบั จาเลย จาเลยไมม่ ีสิทธิป้องกนั เพ่ือใหต้ นผล

จากการที่จะตอ้ งถกู จบั เม่ือจาเลยใชอ้ าวธุ มีดแทงผเู้ สียหายที่ 2 จนไดร้ ับอนั ตรายสาหสั จึงไม่ใช่การป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 68)

89

ฎกี ำท่ี 10072/2558 การบงั คบั ตามสญั ญาประกนั ในกรณีท่ีผิดสญั ญาประกนั ต่อศาบตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความ
อาญามาตรา 119 เป็นผลสืบเนื่องมาจากศาลอนุญาตใหป้ ลอ่ ยตวั ชวั่ คราวจาเลย แต่ผปู้ ระกนั ไมส่ ่งตวั จาเลยตามนดั อนั เป็นกรณีท่ีไม่
ปฏิบตั ิตามสญั ญาประกนั การบงั คบั ตามสญั ญาประกนั จึงเป็นเรื่องของกระบวนพิจารณาทางอาญาโดยแท้ การพิจารณาถงึ สิทธิ
และหนา้ ที่ของผปู้ ระกนั จึงตอ้ งพิจารณาจากบริบถของคดีอาญาเป็นสาคญั โดยผมู้ ีประกนั มีหนา้ ที่ตอ้ งนาตวั ผตู้ อ้ งหา หรือจาเลยมา
ส่งต่อศาลตามกาหนด ตราบใดที่ผปู้ ระกนั ยงั ไมส่ ่งตวั ผตู้ อ้ งหา หรือจาเลยต่อศาล ตอ้ งถือวา่ ผปู้ ระกนั ยงั ผดิ สญั ญาประกนั แต่หาก
ผปู้ ระกนั ขวนขวายนาตวั ผตู้ อ้ งหา หรือจาเลยมาส่งศาลภายในอายคุ วามอาญา ศาลกอ็ าจลด หรือ งดค่าปรับแก่ผปู้ ระกนั ไดต้ าม
พฤติการณ์แห่งคดี แมผ้ ปู้ ระกนั นาตวั ผตู้ อ้ งหา หรือ จาเลยมาส่งศาล เกิน10ปี นบั แต่วนั ที่ศาลมีคาสงั่ ปรับผปู้ ระกนั กต็ าม

เมื่อผปู้ ระกนั มีสิทธิและหนา้ ท่ีดงั กลา่ ว ผรู้ ้องจึงชอบท่ีจะร้องขอใหบ้ งั คบั ตามคาสง่ั ของศาลช้นั ตน้ ปรับ
ผปู้ ระกนั ท้งั สองโดยไมจ่ าตอ้ งยน่ื คาร้องขอขยายระยะเวลาบงั คบั คดีอีก ดงั น้ีเมื่อผรู้ ้องยงั มีสิทธิบงั คบั คดีแก่ผปู้ ระกนั ท้งั สอง กรณีจึง
ไมม่ ีเหตุท่ีจะคืนหลกั ประกนั ใหแ้ ก่ผปู้ ระกนั ท้สั อง และคืนเงิน 500,000บาทแก่ผปู้ ระกนั ท่ี1 โดยเหตุอ่ืนตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญามาตรา 118

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 69)

ฎกี ำท่ี 2853/2559 การไต่สวนคาร้องขอเพิกถอนหมายจบั ของผรู้ ้องก่อนมีคาสง่ั เป็นดุลพินิจในการดาเนินกระบวนพิจารณา

ตามอานาจหนา้ ท่ีของศาลช้นั ตน้ เพื่อใหก้ ารพิจารณาคดีเสร็จไปโดยรวดเร็วและชอบดว้ ยกฎหมาย เม่ือศาลช้นั ตน้ เห็นวา่ ขอ้ เทจ็ จริง

ตามคาร้องของผรู้ ้องสามารถวินิจฉยั ได้ ศาลช้นั ตน้ มีอานาจที่จะมีคาสงั่ ไดท้ นั ทีโดยไม่จาตอ้ งไต่สวนก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธี

พิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 (4) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

อานาจในการออกหมายจบั เป็นอานาจเฉพาะตวั ของผพู้ ิพากษาศาลช้นั ตน้ คนหน่ึงเพื่อใหไ้ ดต้ วั ผตู้ อ้ งหา

มาสอบสวน ตามพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรม มาตรา 24 (1) ประกอบประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (2) มาตรา 66

และมาตรา 134 ผรู้ ้องซ่ึงถูกหมายจบั ของศาลช้นั ตน้ ยื่นคาร้องขอใหศ้ าลช้นั ตน้ เพิกถอนหมายจบั ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา 59 วรรคส่ี ตอนทา้ ย ศาลช้นั ตน้ มีคาสงั่ ยกคาร้อง ดงั น้ี ผรู้ ้องจะอทุ ธรณ์หรือฎีกาไม่ได้

ฎีกำที่ 12091/2558 ก่อนจบั กมุ โจทกท์ ้งั สองไดม้ ีการจบั กมุ ช. กบั พวกในขอ้ หาลกั ทรัพยใ์ นเวลากลางคืน ช. ใหก้ ารวา่ โจทก์
ท้งั สองเป็นผใู้ ชจ้ า้ งวาน จึงมีการสอบสวน ขยายผลและจบั กมุ โจทกท์ ้งั สองมาลงบนั ทึกประจาวนั ไว้ และตามสาเนารายงาน
ประจาวนั เกี่ยวกบั คดีระบุวา่ พนั ตารวจเอก ส. ผกู้ ากบั การสถานีตารวจนครบาลพระโขนง สงั่ ใหจ้ าเลยท้งั สิบสามซ่ึงเป็นเจา้ หนา้ ท่ี
ฝ่ ายสืบสวนปราบปรามนาตวั ช. ไปสอบสวนขยายผล โดยนดั โจทกท์ ่ี 2 มารับรถยนตท์ ี่หนา้ หา้ งสรรพสินคา้ ซ่ึงเป็นเรื่องจาเป็น
เร่งด่วนหากตอ้ งไปขอหมายจบั จากศาลช้นั ตน้ แลว้ ผรู้ ่วมกระทาความผิดอาจหลบหนีไปไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (3) ท้งั รถที่ถูกลกั
อยทู่ ่ีบา้ นของโจทกท์ ่ี 2 และโจทกท์ ี่ 2 เป็นผพู้ าเจา้ พนกั งานตารวจไปทาการตรวจคน้ เอง จึงไม่จาตอ้ งขอหมายคน้ จากศาลตาม ป.วิ.อ.

90

มาตรา 92 (4) และมาตรา 94 การกระทาของจาเลยท้งั สิบสามเป็นการปฏิบตั ิหนา้ ที่ตามคาสงั่ ของผบู้ งั คบั บญั ชาผมู้ ีอานาจสง่ั การโดย
ชอบ จึงไม่มีความผดิ ฐานปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบตาม ป.อ. มาตรา 157

ฟ้องของโจทกท์ ้งั สองมิไดบ้ รรยายถึงขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั เรื่องท่ีจาเลยท้งั สิบสามร่วมกนั ทาร้ายร่างกาย
โจทกท์ ้งั สองขณะโจทกท์ ้งั สองถูกควบคุมตวั ฟ้องของโจทกท์ ้งั สองจึงมิไดบ้ รรยายถึงการกระทาที่อา้ งวา่ จาเลยท้งั สิบสามกระทา
ความผดิ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

การท่ีจาเลยท้งั สิบสามจบั กุมโจทกท์ ้งั สองสืบเนื่องจากคาซดั ทอดของ ช. กบั พวก ต่อมามีการแจง้ ขอ้ หา
และทาหลกั ฐานการจบั กมุ การระบุวนั ท่ีจบั กมุ และบนั ทึกคาใหก้ ารช้นั สอบสวนคลาดเคล่ือนไปบา้ งเป็นเพียงรายละเอียด แต่
สาระสาคญั มีความถกู ตอ้ งตามพฤติการณ์และขอ้ เทจ็ จริงที่เกิดข้ึน และมีการนาสืบพยานหลกั ฐานในช้นั พิจารณาไปตามขอ้ เทจ็ จริง
ดงั กลา่ ว ซ่ึงจาเลยท้งั สิบสามอาจเช่ือวา่ โจทกท์ ้งั สองมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดฐานลกั ทรัพย์ จึงมิใช่เป็นพยานหลกั ฐานเทจ็
การกระทาของจาเลยท้งั สิบสามจึงไม่มีมูลความผิดฐานแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ทาพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ หรือนาสืบ
พยานหลกั ฐานอนั เป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา 162, 172, 173, 174, 179 และ 180 โจทกท์ ่ี 2 พาเจา้ พนกั งานตารวจไปตรวจคน้ ที่บา้ นของ
โจทกท์ ่ี 2 โดยความยนิ ยอมของโจทกท์ ี่ 2 เอง การกระทาของจาเลยท้งั สิบสามจึงไม่มีมูลเป็นความผดิ ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลา
กลางคืนตาม ป.อ. มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 362

ของกลางท้งั หมดเจา้ พนกั งานตารวจนาไปเป็นของกลางคดีอาญา ท้งั โจทกท์ ้งั สองไดอ้ ่านขอ้ ความใน
บนั ทึกการจบั กมุ ท่ีระบุวา่ มีการยึดเงินสด ธนบตั รฉบบั ละ 1,000 บาท 20 ฉบบั รวมเป็นเงิน 20,000 บาท แลว้ มิไดโ้ ตแ้ ยง้ วา่ จานวน
เงินดงั กล่าวไม่ถูกตอ้ งตรงกบั ความเป็นจริงแต่อยา่ งใด เชื่อวา่ เจา้ พนกั งานตารวจบนั ทึกขอ้ ความในบนั ทึกการจบั กุมโดยถูกตอ้ งแลว้
การกระทาของจาเลยท้งั สิบสามจึงไมม่ ีมลู เป็นความผดิ ฐานปลน้ ทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา 340

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมยั 70)

ฎีกำที่ 6894/2549 หนงั สือร้องทุกขข์ องโจทกร์ ่วมซ่ึงมีขอ้ ความวา่ มีการละเมิดลิขสิทธ์ิของโจทกร์ ่วมท่ีบริเวณศูนยก์ ารคา้ ซี

คอนสแควร์ ขอแจง้ ความร้องทุกขเ์ พื่อใหด้ าเนินการตามกฎหมายต่อไป ถือไดว้ า่ เป็นคาร้องทุกขต์ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 2 (7) แลว้ ไม่

จาเป็นตอ้ งระบุช่ือหรือรูปพรรณของผกู้ ระทาความผิด

ร้านที่เกิดเหตุเป็นร้านจาหน่ายอปุ กรณ์เคร่ืองเล่นเกมต่างๆ และแผน่ เกม ยอ่ มเป็นสถานที่ที่เช้ือเชิญให้

ประชาชนทวั่ ไปสามารถเดินเขา้ ไปดูและเลือกซ้ือสินคา้ ได้ นบั เป็นท่ีสาธารณสถานซ่ึงเจา้ พนกั งานตารวจมีความชอบธรรมที่จะเขา้

ไปได้ เม่ือสิบตารวจ ส. เป็นผทู้ าการตรวจคน้ แผน่ ซีดีเกมอยใู่ นตะกร้าซ่ึงอยใู่ นตูส้ ามารถมองเห็นได้ โดยแผน่ ซีดีเกมของกลาง

91

ดงั กล่าวละเมิดลิขสิทธ์ิของโจทกร์ ่วม มีลกั ษณะภายนอกของแผน่ ซีดีของกลางต่างจากของโจทกร์ ่วมอยา่ งเห็นไดช้ ดั จึงเป็นกรณีของ
การคน้ ในท่ีสาธารณสถานโดยเจา้ พนกั งานตารวจซ่ึงมีเหตุอนั ควรสงสยั วา่ ร้านที่เกิดเหตุมีส่ิงของที่มีไวเ้ ป็นความผิด ไม่จาเป็นตอ้ งมี
หมายคน้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 93 ท้งั เป็นกรณีท่ีเจา้ พนกั งานตารวจสามารถจบั จาเลยไดต้ ามมาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรค
หน่ึง การคน้ และจบั จึงชอบดว้ ยกฎหมาย

ฎีกำท่ี 3751/2551 ฎีกาของจาเลยท่ีวา่ คาเบิกความของร้อยตารวจเอก น. ขดั กบั บนั ทึกการจบั กุม แต่ไม่ปรากฏตามฎีกาของ

จาเลยวา่ ขดั กนั อยา่ งไร จึงเป็นฎีกาที่ไมช่ ดั แจง้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉยั

ร้านก๋วยเต๋ียวของจาเลยขณะเปิ ดบริการมิใช่ที่รโหฐาน แต่เป็นท่ีสาธารณสถาน เมื่อเจา้ พนกั งานตารวจมี

เหตุอนั ควรสงสยั วา่ จาเลยมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองอนั เป็นความผดิ ต่อกฎหมายยอ่ มมีอานาจคน้ จาเลยไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมี

หมายคน้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 93 และเมื่อตรวจคน้ พบเมทแอมเฟตามีนอยใู่ นครอบครองจาเลย การกระทาของจาเลยกเ็ ป็นความผดิ ซ่ึง

หนา้ เจา้ พนกั งานตารวจยอ่ มมีอานาจจบั จาเลยไดโ้ ดยตอ้ งมีหมายจบั ตามมาตรา 78 (1)

( คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 71)

ฎกี ำท่ี 4316/2560 เจา้ พนกั งานตารวจจบั กมุ อ. ค. และ ธ. ในขอ้ หาเสพเมทแอมเฟตามีน อ. ค. และ ธ. ใหก้ ารวา่ รับเมทแอม

เฟตามีนมาจากจาเลยที่ 1 ซ่ึงเช่าหอ้ งพกั อยใู่ นรีสอร์ต หอ้ งเลขท่ี 12 เจา้ พนกั งานตารวจประสานกบั ผดู้ ูแลรีสอร์ต จนเป็นท่ีแน่ใจวา่

ขอ้ มูลที่ไดจ้ าก อ. ค. และ ธ. ถกู ตอ้ งแลว้ จึงเขา้ ตรวจคน้ หอ้ งพกั ของจาเลยที่ 1 ทนั ที เพราะน่าเช่ือวา่ จะพบเมทแอมเฟตามีนซ่ึงเป็น

สิ่งของที่มีไวเ้ ป็นความผดิ ท้งั ท่ีเกิดเหตุเป็นรีสอร์ตซ่ึงจาเลยท้งั สองพกั ชวั่ คราว หากเน่ินชา้ ไปกวา่ จะไดห้ มายคน้ จาเลยท้งั สองอาจ

นาเมทแอมเฟตามีนออกไปจากรีสอร์ตเมื่อใดกไ็ ด้ จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอยา่ งยิ่ง เจา้ พนกั งานตารวจจึงมีอานาจเขา้ ไปคน้ ในหอ้ งพกั โดย

ไม่จาตอ้ งมีหมายคน้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 92 (4) และมาตรา 96 (2) ประกอบ พ.ร.บ.วธิ ีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และ

เม่ือเจา้ พนกั งานตารวจตรวจคน้ พบเมทแอมเฟตามีน 3 เมด็ ที่จาเลยท่ี 2 และคน้ พบเมทแอมเฟตามีน 554 เมด็ ภายในหอ้ งซ่ึงจาเลยท่ี

1 รับวา่ เป็นของตนอนั เป็นความผดิ ซ่ึงหนา้ เจา้ พนกั งานตารวจจึงมีอานาจจบั จาเลยท้งั สองไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีหมายจบั ตาม ป.วิ.อ.

มาตรา 78 (1), 80 ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3

มีปัญหาตอ้ งวินิจฉยั ตามฎีกาของจาเลยที่ 1 วา่ พยานโจทกท์ ้งั สองกบั พวกซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานตารวจเขา้
ตรวจคน้ และจบั กุมจาเลยท่ี 1 ท่ีหอ้ งพกั เลขที่ 12 โรงแรมหนองกี่รีสอร์ต โดยไมม่ ีหมายคน้ และหมายจบั ชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่
เห็นวา่ ปัญหาน้ีจาเลยที่ 1 ยกข้ึนวา่ กล่าวมาในศาลช้นั ตน้ และช้นั อทุ ธรณ์แลว้ แต่ศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ไมไ่ ดย้ กข้ึนวินิจฉยั ไว้
อนั เป็นปัญหาขอ้ กฎหมายเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉยั ให้ จากพยานหลกั ฐานที่โจทกน์ าสืบและจาเลยที่ 1
ไมไ่ ดน้ าสืบโตแ้ ยง้ ขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ วนั เกิดเหตุ ช่วงเชา้ ร้อยตารวจโทสามารถ และร้อยตารวจตรีสมศกั ด์ิ ร่วมกนั จบั กมุ นายอทุ ยั
นางสาวเครือฟ้า และนายธวชั ชยั ในขอ้ หาเสพเมทแอมเฟตามีนและผูต้ อ้ งหาท้งั สามใหก้ ารวา่ ไดร้ ับเมทแอมเฟตามีนมาจากจาเลยท่ี

92

1 ซ่ึงเช่าหอ้ งพกั อยทู่ ่ีหอ้ งพกั เลขที่ 12 ท่ีเกิดเหตุ หลงั จากประสานกบั ทางผดู้ ูแลรีสอร์ตจนเป็นท่ีแน่ใจวา่ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากผเู้ สพท้งั สาม
ถกู ตอ้ งแลว้ จึงเขา้ ตรวจคน้ หอ้ งพกั ของจาเลยที่ 1 ทนั ที เห็นว่า พยานโจทกท์ ้งั สองไปตรวจคน้ หอ้ งพกั ดงั กล่าวเพราะน่าเช่ือวา่ จะพบ
เมทแอมเฟตามีนซ่ึงเป็นส่ิงของท่ีมีไวเ้ ป็นความผิด ท้งั ที่เกิดเหตุเป็นรีสอร์ตซ่ึงจาเลยท้งั สองพกั ชว่ั คราว หากเนิ่นชา้ ไปกวา่ ไดห้ มาย
คน้ จาเลยท้งั สองอาจจะนาเมทแอมเฟตามีนออกไปจากรีสอร์ตเม่ือใดกไ็ ด้ จากขอ้ เทจ็ จริงดงั กลา่ วจึงเป็นกรณีฉุกเฉินอยา่ งยิ่ง ทาให้
พยานโจทกท์ ้งั สองกบั พวกซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานตารวจมีอานาจเขา้ ไปคน้ ในหอ้ งพกั โดยไม่จาตอ้ งมีหมายคน้ ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 92 (4) และมาตรา 96 (2) ประกอบพระราชบญั ญตั ิวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และเมื่อ
พยานโจทกท์ ้งั สองกบั พวกตรวจคน้ พบเมทแอมเฟตามีนของกลาง 3 เมด็ ที่จาเลยที่ 2 และคน้ พบเมทแอมเฟตามีน 554 เมด็ ภายใน
หอ้ ง ซ่ึงจาเลยท่ี 1 ยอมรับวา่ เป็นของตนอนั เป็นความผิดซ่ึงหนา้ พยานโจทกท์ ้งั สองซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานจึงมีอานาจจบั จาเลยท้งั สอง
ไดต้ ามอานาจหนา้ ที่โดยไม่ตอ้ งมีหมายจบั ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (1), 80 ประกอบพระราชบญั ญตั ิ
วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ดงั น้นั การตรวจคน้ และจบั กมุ ในกรณีน้ีจึงเป็นการกระทาโดยชอบดว้ ยกฎหมาย ฎีกาของ
จาเลยท่ี 1 ขอ้ น้ีฟังไมข่ ้ึน

93

94

-------------- ว.ิ อาญา ข้อ 7 ---------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 64)

ฎีกำท่ี 6866/2552 หนงั สือสญั ญาจา้ งเหมาก่อสร้างท่ีจาเลยวา่ จา้ งโจทกก์ ่อสร้างอาคารน้นั เป็นสญั ญาจา้ งทาของซ่ึงกฎหมาย

มิไดบ้ งั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานเอกสารมาแสดง ฉะน้นั โจทกจ์ ึงสามารถนาสืบพยานบุคคลวา่ จาเลยตกลงยินยอมใหโ้ จทกก์ ่อสร้างเพ่ิมเติม

ผดิ ไปจากแบบแปลนท่ีตกลงกนั ไวเ้ ดิมได้ ไมต่ อ้ งหา้ มนาพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงขอ้ ความในเอกสารน้นั ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา

94 (ข)

จาเลยฟ้องแยง้ ขอใหโ้ จทกช์ ดใชค้ ่าเสียหายอนั เกิดจากการก่อสร้างชารุดบกพร่องจานวน 446,430 บาท

ต่อมาเมื่อศาลช้นั ตน้ พิจารณาแลว้ พิพากษาใหโ้ จทกช์ ดใชค้ ่าเสียหายในส่วนน้ีแก่จาเลยจานวน 102,080 บาท จาเลยอทุ ธรณ์โตแ้ ยง้ วา่

ค่าเสียหายส่วนน้ีควรเป็นจานวน 151,040 บาท แมโ้ จทกจ์ ะไม่ไดย้ ืน่ อทุ ธรณ์กต็ ามแต่โจทกก์ ไ็ ดย้ นื่ คาแกอ้ ทุ ธรณ์ของจาเลยว่าศาล

ช้นั ตน้ คิดคานวณรวมค่าเสียหายในส่วนน้ีไม่ถกู ตอ้ ง ซ่ึงที่ถูกเป็นเงินเพียง 77,240 บาท เท่าน้นั จึงถือวา่ โจทกไ์ ดโ้ ตแ้ ยง้ ในจานวน

ค่าเสียหายน้ีแลว้ ฉะน้นั ค่าเสียหายส่วนชารุดบกพร่องน้ีจึงหายตุ ิไปตามคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ไม่ ท้งั ถือเป็นเรื่องแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาด

เลก็ นอ้ ยหรือขอ้ ผดิ หลงเลก็ นอ้ ยอื่น ๆ ในคาพิพากษาศาลช้นั ตน้ ศาลอทุ ธรณ์ภาค 2 จึงมีอานาจแกไ้ ขคิดคานวณใหม่ใหถ้ ูกตอ้ งไดต้ าม

ป.วิ.พ. มาตรา 143

ฎีกำที่ 3485/2553 ป.ว.ิ พ. มาตรา 183 วรรคสาม บญั ญตั ิวา่ คู่ความมีสิทธิคดั คา้่ นวา่ ประเดน็ ขอ้ พิพาท หรือ หนา้ ท่ีนาสืบที่

ศาลกาหนดไวน้ ้นั ไม่ถกู ตอ้ ง โดยแถลงดว้ ยวาจาต่อศาลในขณะน้นั หรือยื่นคาร้องต่อศาลภายใน7วนั นบั แต่วนั ท่ีศาลสงั่ กาหนด

ประเดน็ ขอ้ พิพาท หรือ หนา้ ท่ีนาสืบ ใหศ้ าลช้ีขาดคาคดั คา้ นน้นั ก่อนวนั สืบพยาน คาช้ีขาดคาคดั คา้ นดงั กลา่ วใหอ้ ยภู่ ายใตบ้ งั คบั

มาตรา 226

การที่ศาลช้นั ตน้ ช้ีสองสถานกาหนดประเดน็ ขอ้ พิพาทขอ้ 2 วา่ จาเลยที่1 ไดก้ รรมสิทธ์ิท่ีดินพิพาทตาม ป.

พ.พ. มาตรา1382 หรือไม่ โดยเห็นวา่ โจทกท์ ้งั หา้ เป็นผมู้ ีช่ือในทะเบียนจึงรับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานของกฎหมายตาม ป.พ.พ.

มาตรา 1373 ภาระการพิสูจนต์ กอยแู่ ก่จาเลยท้งั สอง และเนื่องจากประเดน็ น้ีเป็นประเดน็ สาคญั กวา่ ทุกประเดน็ จึงเป็นอานาจของ

ศาลช้นั ตน้ ที่จะสงั่ ใหค้ ู่ความฝ่ ายใดนาสืบในประเดน็ ขอ้ ใด ก่อนหรือหลงั กไ็ ด้ เมื่อประเดน็ ขอ้ 2 ท่ีจาเลยท้งั สองต่อสูเ้ ป็นประเดน็

สาคญั ในคดี ศาลช้นั ตน้ ยอ่ มสง่ั ใหจ้ าเลนท้งั สองนาสืบก่อนท้งั หมดทุกประเดน็ แลว้ ใหโ้ จทกท์ ้งั หา้ นาสืบแกไ้ ด้ เม่ือจาเลยท้งั สอง

มิไดโ้ ตแ้ ยง้ การกาหนดประเดน็ หนา้ ที่นาสืบของศาลช้นั ตน้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 183 วรรคสาม จาเลยท้งั สองจะยกข้ึนเถียงในช้นั

อทุ ธรณ์และช้นั ฎีกาวา่ ฝ่ ายโจทกท์ ้งั หา้ เป็นฝ่ ายมีหนา้ ท่ีนาสืบก่อนไมไ่ ด้ ตอ้ งหา้ มตามบทกฎหมายดงั กลา่ ว

95

ฎกี ำที่ 3558/2553 ป.พ.พ. มาตรา 1373 บญั ญตั ิวา่ ถา้ ทรัพยส์ ินเป็นอสังหาริมทรัพยท์ ่ีไดจ้ ดทะเบียนไวใ้ นทะเบียนที่ดิน ท่าน

ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ บุคคลผมู้ ีช่ือในทะเบียนเป็นผมู้ ีสิทธิครอบครอง ท่ีดินพิพาทในคดีน้ีเป็นส่วนหน่ึงของที่ดินที่โจทกม์ ีชื่อเป็น

เจา้ ของกรรมสิทธ์ิในโฉนดท่ีดิน โจทกย์ อ่ มไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานของกฎหมายดงั กล่าววา่ เป็นของโจทก์ เมื่อจาเลยท้งั

สองอา้ งวา่ จาเลยท้งั สองไดก้ รรมสิทธ์ิในท่ีดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงเป็นหนา้ ท่ีของจาเลยท้งั สองท่ีจะตอ้ งนาสืบ

หกั ลา้ งขอ้ สนั นิษฐานของกฎหมาย ภาระการพิสูจนจ์ ึงตกแก่จาเลยท้งั สอง ท่ีจาเลยท้งั สองอา้ ง ป.พ.พ. มาตรา 1367 ที่บญั ญตั ิวา่ บุคคล

ใดยดึ ถือทรัพยส์ ินโดยเจตนาจะยดึ ถือเพื่อตน ท่านวา่ บุคคลน้นั ไดซ้ ่ึงสิทธิครอบครองน้นั มาตรา 1367 เป็นเพียงบทบญั ญตั ิทวั่ ไป เมื่อ

ท่ีดินพิพาทเป็นท่ีดินมีโฉนดที่ดินซ่ึงเป็นอสงั หาริมทรัพยท์ ่ีไดจ้ ดทะเบียนไวใ้ นทะเบียนที่ดิน ซ่ึงกฎหมายตอ้ งการใหแ้ สดงออกซ่ึง

กรรมสิทธ์ิในทางทะเบียนย่งิ กวา่ การครอบครองจึงตอ้ งบงั คบั ตามมาตรา 1373 ที่ศาลช้นั ตน้ กาหนดใหจ้ าเลยท้งั สองมีภาระการพิสูจน์

ในประเดน็ ดงั กล่าวจึงชอบแลว้

ฎกี ำ 3277/2553 ท่ีดินพิพาทเป็นท่ีดินมีหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ การท่ีมีช่ือโจทกเ์ ป็นเจา้ ของเป็นเพียงขอ้

สนั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ โจทกเ์ ป็นผมู้ ีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่าน้นั ส่วนความจริงผใู้ ดจะ

มีสิทธิครอบครองจะตอ้ งพิจารณาจากพยานหลกั ฐานวา่ ผใู้ ดเขา้ ยดึ ถือครอบครองการทาประโยชนใ์ นที่ดิน โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อ

ตนจึงจะไดส้ ิทธิครอบครองตามมาตรา 1367 ดงั น้นั การท่ีโจทกม์ ิไดเ้ ขา้ ครอบครอบท่ีดินพิพาทเพียงแต่มีช่ือในหนงั สือรับรองการทา

ประโยชน์ จึงไมเ่ ป็นเหตุใหโ้ จทกม์ ีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท

ฎีกำ 3565/2538 วางบรรทดั ฐานที่แสดงวา่ ผมู้ ีชื่อใน นส. 3 หรือ นส.3 ก น้นั ไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานตามมาตรา

1373 ผลของขอ้ สนั นิษฐานน้ีทาใหผ้ ทู้ ี่มีชื่อเป็นผมู้ ีสิทธิครอบครองใน นส 3 หรือ นส 3 ก ไดป้ ระโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานวา่ เป็นผมู้ ี

สิทธิครอบครองดีกวา่ ผทู้ ี่ครอบครองตามความเป็นจริง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 65)

ฎีกำท่ี 9324/2553 จาเลยใหก้ ารรับวา่ โจทกเ์ ป็นเจา้ ของรวมในที่ดินตามหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (นส.3) เลขท่ี 241

ดว้ ย โจทกจ์ ึงย่อมไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานตามบทบญั ญตั ิแห่ง ปพพ. มาตรา 1357 ที่ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ ผเู้ ป็นเจา้ ของ

รวมกนั มีส่วนเท่ากนั จาเลยซ่ึงอา้ งวา่ โจทกม์ ีส่วนในที่ดินตามหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.3 เลขท่ี 241 เพียง 3 .นจึงมีภาระ

การพิสูจน์ ที่ศาลช้นั ตน้ กาหนดใหโ้ จทกม์ ีภาระการพิสูจนใ์ นประเดน็ น้ีจึงไมถ่ ูกตอ้ ง ปัญหาน้ีเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายอนั เก่ียวขอ้ งดว้ ย

ความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอานาจยกข้ึนมาวินิจฉยั และแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งได้

96

ฎกี ำที่ 8109/2555 แมโ้ จทกม์ ีพยานเอกสารสญั ญาจานองท่ีระบุใหถ้ ือวา่ เป็นหลกั ฐานการกยู้ มื ดว้ ยมาแสดงต่อศาล อนั เป็น

กรณีกฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งมีพยานเอกสารมาแสดง หา้ มมิใหน้ าสืบพยานบุคคลเพื่อเพ่ิมเติมตดั ทอนหรือเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความ

ในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 (ข) กต็ าม แต่การท่ีจาเลยนาสืบพยานบุคคลใหเ้ ห็นวา่ จาเลยนาที่ดิน

มาทาสญั ญาและจดทะเบียนจานองเป็นประกนั หน้ีค่าบริการและค่าใชจ้ ่ายของ ส. ที่ไปทางานต่างประเทศไวแ้ ก่โจทกต์ ามที่ตวั แทน

บริษทั จดั หางานเป็นผแู้ นะนาโดยจาเลยไม่ไดร้ ับมอบเงิน 120,000 บาท เป็นการนาสืบถึงที่มาของการทาสัญญาจานองและเป็นหน้ีท่ี

ไม่สมบูรณ์ เน่ืองจากจาเลยไมไ่ ดเ้ ป็นผกู้ ยู้ ืมเงินไปจากโจทก์ จึงสามารถนาสืบไดไ้ มต่ อ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ

แพ่ง มาตรา 94วรรคทา้ ย

จาเลยนาท่ีดินมาจดทะเบียนจานองประกนั หน้ีค่าบริการและค่าใชจ้ ่ายของ ส. ท่ีไปทางานต่างประเทศไว้

กบั โจทกต์ ามท่ีบริษทั จดั หางานแนะนา หาใช่จาเลยนาท่ีดินไปจดทะเบียนจานองประกนั หน้ีที่จาเลยกยู้ มื เงินจากโจทกต์ ามฟ้องไม่ จึง

เป็นคนละเรื่องกบั ท่ีโจทกก์ ล่าวอา้ งมาในฟ้อง ศาลยอ่ มไม่อาจบงั คบั คดีตามฟ้องใหโ้ จทกไ์ ด้ พิพากษากลบั ใหย้ กฟ้อง

ฎีกำท่ี4823 – 4824/2554 ตามรายงานกระบวนพิจารณา ศาลช้นั ตน้ กาหนดประเดน็ ขอ้ พิพาทวา่ ท่ีดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธ์ิของ
จาเลยท้งั สามโดยการครอบครองปรปักษห์ รือไม่ แมไ้ ม่ไดร้ ะบุภาระการพิสูจนใ์ หมใ่ หช้ ดั เจนวา่ ตกอยแู่ ก่ฝ่ ายใด แต่เม่ือโจทกเ์ ป็นผมู้ ี
ชื่อถือกรรมสิทธ์ิในที่ดินพิพาท ยอ่ มไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 วา่ โจทกเ์ ป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิ ดงั น้ี
ภาระการพิสูจนจ์ ึงตกอยแู่ ก่จาเลยท้งั สาม โดยผลของกฎหมายดงั กล่าวและศาลกต็ อ้ งพิพากษาไปตามภาระการพิสูจนท์ ่ีถกู ตอ้ ง
อยา่ งไรกต็ ามแมภ้ าระการพิสูจนต์ กอยแู่ ก่จาเลยท้งั สามก็มิใช่หลกั เกณฑต์ ายตวั วา่ ศาลจะตอ้ งกาหนดใหจ้ าเลยท้งั สามมีหนา้ ท่ีนาสืบ
ก่อนเสมอไป เพราะศาลอาจกาหนดใหโ้ จทกม์ ีหนา้ ที่นาสืบก่อนไดเ้ ช่นกนั ท้งั น้ีโดยคานึงถึงความสะดวกรวดเร็วและความยุติธรรม
ในการพิจารณาคดี ดงั น้นั การกาหนดหนา้ ท่ีนาสืบก่อนจึงหาไดท้ าใหภ้ าระการพิสูจนท์ ี่ถกู ตอ้ งเปล่ียนแปลงไปไม่ เพียงแต่อาจจะทา
ใหโ้ จทกซ์ ่ึงเป็นฝ่ ายที่นาสืบพยานก่อนเห็นวา่ ตนเสียเปรียบในเชิงคดีซ่ึงโจทกช์ อบที่จะโตแ้ ยง้ คาสงั่ ศาลช้นั ตน้ ที่เป็นคาสงั่ ระหวา่ ง
พิจารณาดงั กล่าวได้ เมื่อไม่ไดโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ นยอ่ มถือวา่ โจทกย์ อมรับตามที่ศาลช้นั ตน้ กาหนดแลว้ โจทกไ์ มอ่ าจฎีกาโตแ้ ยง้ ในขอ้ น้ีได้
ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา 226 ศาลฎีกาไมร่ ับวินิจฉยั

ฎกี ำท่ี 553/2551 โฉนดท่ีดินเป็นเอกสารมหาชน กฎหมายสนั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ ถกู ตอ้ ง ผรู้ ้องซ่ึงเป็นผูม้ ีช่ือถือกรรมสิทธ์ิ

ในโฉนดที่ดินจึงไดร้ ับประโยชนจ์ ากขอ้ สนั นิษฐานวา่ เป็นผมู้ ีกรรมสิทธ์ิตาม ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127

โจทกจ์ ึงมีภาระพิสูจนเ์ พ่ือหกั ลา้ งขอ้ สนั นิษฐานของกฎหมายอนั เป็นคุณต่อผรู้ ้อง

ฎีกำท่ี 2115/2551 โฉนดที่ดินและสารบญั จดทะเบียนโฉนดท่ีดินเป็นเอกสารมหาชนท่ีรัฐออกใหแ้ ก่ผถู้ ือกรรมสิทธ์ิ ยอ่ ม

สนั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ ไดอ้ อกมาโดยถูกตอ้ งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 เม่ือโฉนดที่ดินดงั กลา่ วมีช่ือจาเลยกบั พ่ีนอ้ งเป็นเจา้ ของผถู้ ือ

กรรมสิทธ์ิร่วมกนั ยอ่ มสนั นิษฐานไดว้ า่ จาเลยกบั พี่นอ้ งมีส่วนเป็นเจา้ ของเท่ากนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1357 การที่จาเลยอา้ งวา่ จาเลย

ไดร้ ับส่วนแบ่งมากกวา่ พ่ีนอ้ งคนอื่น จาเลยจึงมีหนา้ ที่นาสืบหกั ลา้ งขอ้ สนั นิษฐานดงั กลา่ ว

97

ฎีกำท่ี 3386/2553 เอกสารสญั ญาจานองที่จดทะเบียนโดยพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีตามกฎหมายเป็นเอกสารมหาชนที่ตอ้ ง

สนั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ แทจ้ ริงและถูกตอ้ งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 127 จาเลยมีหนา้ ท่ีนาสืบถึงความไม่

ถูกตอ้ ง โดยจาเลยไดใ้ หก้ ารยอมรับวา่ ไดท้ าสญั ญาจานองดงั กล่าวกบั โจทกจ์ ริง แต่กลา่ วอา้ งวา่ ตามความจริงน้นั จาเลยไม่ไดก้ ยู้ ืมเงิน

จากโจทก์ แต่กยู้ มื เงินจาก ม.โดยไม่คิดดอกเบ้ียกนั ส่วนเหตุท่ีทาสญั ญาจานองกบั โจทก์ เน่ืองจากโจทกข์ อใหท้ าสญั ญากนั ไวเ้ พื่อ

ไม่ใหพ้ ่ีนอ้ งของโจทกแ์ ละจาเลยต่อวา่ ม. อนั เป็นการกลา่ วอา้ งวา่ จาเลยแสดงเจตนาทานิติกรรมสญั ญาโดยในใจจริงจาเลยไม่ไดม้ ี

เจตนาใหต้ นตอ้ งผกู พนั ตามเจตนาและสญั ญาดงั กล่าว ซ่ึงโจทกท์ ราบอยแู่ ลว้ โจทกจ์ ึงอา้ งสญั ญาน้ีมาบงั คบั จาเลยไมไ่ ด้ ตามประมวล

กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 154 อนั เป็นการกล่าวอา้ งวา่ สญั ญาจานองและหน้ีตามสญั ญาไมส่ มบูรณ์โดยไมม่ ีเจตนาทาสญั ญา

กนั จริง ซ่ึงจาเลยยอ่ มมีสิทธินาสืบพยานบุคคลแสดงขอ้ เทจ็ จริงตามขอ้ กล่าวอา้ งไดโ้ ดยไม่ตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความแพ่ง มาตรา 94

ฎีกำที่ 8436/2554 แบบแจง้ การคอรอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นเพียงหลกั ฐานอยา่ งหน่ึงซ่ึงแสดงวา่ ขณะแจง้ การครอบครอง

ผแู้ จง้ อา้ งวา่ ท่ีดินจานวนเน้ือท่ีดงั กลา่ วเป็นของผแู้ จง้ เท่าน้นั ไม่ก่อใหเ้ กิดสิทธิฟังเป็นยตุ ิวา่ ขอ้ เทจ็ จริงตอ้ งเป็นไปตามแบบแจง้ การ

ครองครองท่ีดิน (ส.ค.1) น้นั ความจริงผใู้ ดจะมีสิทธิครอบครองและครองครองที่ดินเป็นจานวนเน้ือท่ีเท่าใด จะตอ้ งพิจารณาจาก

พยานหลกั ฐานวา่ ผใู้ ดเขา้ ยดึ ถือครอบครองทาประโยชนใ์ นที่ดินดงั กล่าว โดยเจตนาจะยดึ ถือเพื่อตนจึงจะไดส้ ิทธิครอบครองตาม ป.

พ.พ. มาตรา 1367 แบบแจง้ การครอบครองท่ีดิน (ส.ค.1) จึงไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งมีมาแสดง ไมอ่ ยใู่ นบงั คบั ตาม ป.

ว.ิ พ. มาตรา 94 ที่หา้ มมิใหส้ ืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแกไ้ ข คู่ความจึงสามารถนาสืบเปล่ียนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารแบบ

แจง้ การครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ได้ กรณีไมอ่ าจเทียบเคียงไดก้ บั เรื่องการกยู้ มื เงินเพราะการกยู้ มื เงิน ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหน่ึง

บญั ญตั ิไวช้ ดั เจนวา่ การกยู้ ืมเงินเกินกวา่ สองพนั บาทข้ึนไปน้นั ถา้ มิไดม้ ีหลกั ฐานแห่งการกยู้ ืมเงินเป็นหนงั สืออยา่ งหน่ึงอยา่ งใดลง

ลายมือชื่อผยู้ ืมเป็นสาคญั จึงจะฟ้องร้องใหบ้ งั คบั คดีหาไดไ้ ม่ หลกั ฐานแห่งการกยู้ มื จึงเป็ นเอกสารท่ีกฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งมีมาแสดง

การที่โจทกท์ ้งั สามนาสืบวา่ ท่ีดินพิพาทเป็นส่วนหน่ึงของที่ดินตามแบบแจง้ การครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขท่ี 212 ของโจทกท์ ้งั

สาม จึงหาเป็นพิรุธและตอ้ งหา้ มตามกฎหมายไม่

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คำบรรยำยเนติฯ ภำค 2 สมัย 66)

ฎีกำที 640/2555 การซ้ือขายอสงั หาริมทรัพยต์ อ้ งทาเป็นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา

456 วรรคแรก เป็นกรณีที่มีกฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งมีเอกสารมาแสดง เม่ือหนงั สือสัญญาขายที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างระบุวา่ โจทกท์ ้งั

สองไดช้ าระราคาและจาเลยท้งั สองไดร้ ับเงินค่าท่ีดินพร้อมสิ่งปลกู สร้างท่ีซ้ือขายเรียบร้อยแลว้ กต็ อ้ งฟังยตุ ิตามน้นั การที่จาเลยท้งั

สองนาพยานบุคคลมาสืบวา่ ยงั ไม่ไดร้ ับชาระค่าท่ีดินครบถว้ น เป็นการนาสืบเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารตอ้ งหา้ มตาม ป.

ว.ิ พ. มาตรา 94 (ข)

98

ฎีกำที่ 5178/2556 จาเลยใหก้ ารรับวา่ จาเลยกยู้ ืมเงินจากโจทกจ์ ริง แต่กลา่ วอา้ งขอ้ เทจ็ จริงข้ึนใหม่วา่ จาเลยไดร้ ับเงินกไู้ ปจาก

โจทกเ์ พียง 1,500,000 บาท แต่หนงั สือสญั ญาจานองระบุเงินกูย้ ืมและจดทะเบียนจานองเป็นเงิน 2,350,000 บาท เน่ืองจากโจทกค์ ิด

ดอกเบ้ียเกินกวา่ อตั ราที่กฎหมายที่กาหนด นิติกรรม การกยู้ มื เงินตามหนงั สือสญั ญาจานองจึงตกเป็นโมฆะ ภาระการพิสูจนต์ กแก่

จาเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 เดิม

แมศ้ าลช้นั ตน้ กาหนดใหโ้ จทกม์ ีภาระการพิสูจนแ์ ละมีหนา้ ที่นาสืบก่อนแต่กไ็ มอ่ าจเปล่ียนแปลงภาระ

การพิสูจนท์ ี่ถูกตอ้ งตามที่กฎหมายบญั ญตั ิได้ เม่ือจาเลยไม่สืบพยานใหไ้ ดค้ วามตามท่ีมีภาระการพิสูจนข์ อ้ เทจ็ จริงยอ่ มฟังไม่ไดว้ า่

จาเลยกยู้ มื เงินจากโจทก์ 1,500,000 บาท ตามที่ระบุไวใ้ นหนงั สือสญั ญาจานอง ซ่ึงใหถ้ ือเป็นหลกั ฐานการกยู้ ืมเงินดว้ ย จาเลยจึงตอ้ ง

รับผดิ ชาระหน้ีเงินกพู้ ร้อมดอกเบ้ียแก่โจทกต์ ามฟ้อง

ฎกี ำที 8163/2554 โจทกแ์ ละจาเลยมีเจตนาก่อนิติสมั พนั ธ์กนั เป็นสญั ญาจะซ้ือขายโดยการวางมดั จาตาม ป.พ.พ. มาตรา 456

วรรคสอง ซ่ึงมิไดก้ าหนดแบบไวว้ า่ ตอ้ งมีหลกั ฐานเป็นหนงั สืออยา่ งหน่ึงอยา่ งใดลงลายมือช่ือฝ่ ายผตู้ อ้ งรับผดิ เป็นสาคญั จึงจะ

ฟ้องร้องใหบ้ งั คบั คดีได้ สญั ญาจะซ้ือจะขายเกิดข้ึนนบั แต่เวลาท่ีโจทกว์ างมดั จา มิใช่เพิ่งเกิดในภายหลงั เมื่อมีการทาสญั ญาจะซ้ือจะ

ขายเป็นหนงั สือ เมื่อ ป.ว.ิ พ. มาตรา 94 จากดั เฉพาะกรณีที่กฎหมายกาหนดวา่ ขอ้ เทจ็ จริงในเร่ืองท่ีฟ้องร้องกนั น้นั จะตอ้ งแสดงให้

ปรากฏดว้ ยการนาสืบพยานเอกสาร จึงตอ้ งหา้ มนาพยานบุคคลเขา้ สืบเพื่อเพิ่มเติม ตดั ทอน หรือเปล่ียนแปลงแกไ้ ขขอ้ ความใน

เอกสารท่ีไดน้ ามาแสดงแลว้ จึงไม่ตกอยใู่ นบงั คบั ขอ้ หา้ มดงั กล่าว ศาลยอ่ มมีอานาจรับฟังพยานบุคคลวา่ จาเลยตกลงจะหาสถาบนั

การเงินใหโ้ จทกก์ ยู้ มื ชาระหน้ีคืนจาเลยโดยมีระยะเวลาผอ่ นนาน 15 ปี ได้

ฎีกำที 13079/2555 จาเลยใหก้ ารวา่ หนงั สือสญั ญากเู้ งินทา้ ยฟ้องเป็นนิติกรรมอาพรางการเลน่ แชร์ระหวา่ งโจทกก์ บั จาเลยที่
ลกู แชร์ทุกคนตอ้ งทาสญั ญากเู้ งินมอบไวแ้ ก่โจทกม์ ีจานวนเงินกมู้ ากกวา่ จานวนที่เล่นแชร์ถึง 10 เท่า สญั ญากยู้ ืมเงินจึงตกเป็นโมฆะ
กรรม พอถือไดว้ า่ เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทกว์ า่ หน้ีตามสญั ญากยู้ มื เงินไม่บริบูรณ์เพราะไมม่ ีหน้ีเงินกเู้ ดิมและหน้ีค่าแชร์เดิมตามท่ี
โจทกก์ ลา่ วอา้ ง ถือไม่ไดว้ า่ จาเลยยอมรับวา่ มีหน้ีเงินกเู้ ดิมอยู่ โจทกเ์ ป็นฝ่ ายกลา่ วอา้ งความสมบูรณ์ของสญั ญากเู้ งินมาฟ้องใหจ้ าเลย
ชาระหน้ี โจทกจ์ ึงมีภาระการพิสูจน์ แต่จาเลยใหก้ ารวา่ หน้ีเงินกเู้ ป็นนิติกรรมอาพรางไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ โดยไมไ่ ดใ้ หก้ ารวา่
ไดช้ าระหน้ีเงินกแู้ ลว้ คดีจึงไม่มีประเดน็ ใหต้ อ้ งวินิจฉยั วา่ จาเลยชาระหน้ีเงินกแู้ ลว้ หรือไม่

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

99

(คำบรรยำยเนตฯิ ภำค 2 สมยั 67)

ฎกี ำที 15066/2555 ฎีกาของจาเลยขอ้ ที่วา่ พยานเอกสารของโจทกค์ ือเอกสารหมายเลข จ.1 ถึง จ.3 และ จ.5 ถึง จ.8 เป็น
เพียงสาเนาเอกสารท่ีรับรองโดยเจา้ หนา้ ที่ของศาลครอบครัวแห่งรัฐนิวยอร์ก จาเลยไม่ไดร้ ับรองวา่ ถกู ตอ้ งและเอกสารดงั กลา่ วไม่ได้
รับรองโดยรัฐมนตรี หวั หนา้ กรม กอง หวั หนา้ แผนก หรือ ผรู้ ักษาการแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา
93(1) และ (3) จึงรับฟังไม่ไดน้ ้นั เห็นวา่ ตน้ ฉบบั เอกสารดงั กลา่ วอยใู่ นสานวนของศาลครอบครัวแห่งรัฐนิวยอร์ก ซ่ึงศาลดงั กล่าว
ตอ้ งเกบ็ รักษาไว้ โจทกจ์ ึงไม่สามารถนาตน้ ฉบบั เอกสารดงั กล่าวมาอา้ งเป็นพยานไดอ้ นั เป็นกรณีเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ตามประมวลกฎหมาย
วธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา 93(2) ที่ใหศ้ าลรับฟังสาเนาดงั กล่าวได้ ตามคาร้องคดั คา้ นของจาเลยลงวนั ท่ี 3 กนั ยายน 2550 กร็ ับวา่
สาเนาเอกสารดงั กล่าวไดร้ ับรองโดยเจา้ หนา้ ที่ของศาลดงั กล่าวแลว้ สาเนาดงั กลา่ วจึงรับฟังเป็นพยานหลกั ฐานได้

ฎีกำที 1497/2554 จาเลยท่ี1 ใหก้ ารต่อสูว้ า่ การกระทาของจาเลยที่1 เป็นการป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายอนั เป็นการ

ปฏิเสธวา่ จาเลยที่1 ไมไ่ ดก้ ระทาละเมิดต่อโจทก์ โจทกซ์ ่ึงเป็นฝ่ ายกล่าวอา้ งวา่ จาเลยท่ี1 กระทาละเมิดยอมมีภาระการพิสูจนใ์ หไ้ ด้

ความวา่ จาเลยท่ี1 ใชอ้ าวธุ ปื นพกยงิ ผจู้ ่ายโดยเจตนาฆา่ ที่ศาลอทุ ธรณ์ภาค1 วินิจฉยั วา่ ภาระการพิสูจนใ์ นเร่ืองน้ีอยู่ท่ีจาเลยท่ี1 จึง

ไม่ถูกตอ้ ง

ฎีกำที่ 11574/2555 ศาลฎีกาวินิจฉยั วา่ ขอ้ เทจ็ จริงรับฟังไดใ้ นเบ้ืองตน้ วา่ เม่ือวนั ที่ 19 กนั ยายน 2533 โจทกท์ ้งั สองซ้ือท่ีดิน
พิพาทเน้ือที่ 29ไร่ 2งาน 74 ตารางวา จากนาง อ. กบั พวก จาเลยที่1 ขดุ ดินทาบ่อเล้ียงกุง้ และเล้ียงปลาลึก 160เซนติเมตร จานวน6 บ่อ
รวมเป็นเน้ือท่ี 18.8 ไร่ ต่อมาโจทกท์ ้งั สองแจง้ ความต่อเจา้ พนกั งานใหด้ าเนินคดีกบั จาเลยท้งั สองฐานบุกรก พนกั งานอยั การเป็น
โจทก์ โดยโจทกท์ ่ี1 เป็นโจทกร์ ่วมฟ้องจาเลยท้งั สองวา่ บุกรุกทาความเสียหายแก่ที่ดินโจทกท์ ้งั สอง คดีอาญาถึงที่สุดตามคา
พิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2553 วา่ จาเลยท้งั สองร่วมกนั ทาละเมิดบุกรุกเขา้ ไปขดุ ดินในที่ดินพิพาทของโจทกท์ ้งั สองไดด้ ินไป 50,000
ลูกบาศกเ์ มตร คิดเป็นเงิน 6,000,000บาท ใหจ้ าคุกจาเลยท่ี1 มีกาหนด 3 ปี และจาคุกจาเลยท่ี2 มีกาหนด 1ปี 6 เดือน

คดีมีปัญหาวินิจฉยั ตามฎีกาของจาเลยที่2 ในขอ้ แรกวา่ จาเลยท่ี2 กระทาละเมิดต่อโจทกท์ ้งั สองหรือไม่
น้นั เมื่อคดีน้ีเป็นคดีแพ่งเก่ียวเนื่องกบั คดีอาญาและคดีในส่วนอาญาไดม้ ีคาพิพากษาถึงท่ีสุดวินิจฉยั แลว้ วา่ จาเลยท้งั สองร่วมกนั บุก
รุกเขา้ ไปขดุ ดินในที่ดินของโจทกท์ ้งั สองโดยไม่ชอบ ซ่ึงเป็นการวนิ ิจฉยั ไปตามคาบรรยายฟ้องในคดีอาญาวา่ จาเลยท้งั สองร่วมกนั
เขา้ ไปในท่ีดินพิพาท ขดุ ดินปรับพ้ืนท่ีแต่งบ่อเล้ียงกุง้ 6 บ่อ รวมเน้ือที่บุกรุก 18 ไร่เศษ อนั เป็นการรบกวนการครอบครอง
อสงั หาริมทรัพยข์ องผเู้ สียหายท้งั สอง(โจทกท์ ้งั สอง) โดยปกติสุข ขอ้ เทจ็ จริงกลา่ วตามทางวินิจฉยั ในคดีอาญาจึงผูกพนั คดีน้ีซ่ึงเป็น
คดีแพ่งตามประมวกฎหมายวธิ ีพิจาณาความอาญามาตรา 46 จาเลยที่2 จึงไมอ่ าจอา้ งขอ้ เทจ็ จริงเป็นอยา่ งอ่ืนไดต้ อ้ งหา้ มตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ มาตรา 84 (2) ฎีกาของจาเลยที่2 ในขอ้ น้ีฟังไมข่ ้ึน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


Click to View FlipBook Version