เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทติ ย SUT 5-17
12π 2 E 12π 2 (2.1)10 6 = 3,460.6 kg/cm2 O.K.
Fe′y = KL y 2 = 23(55.9)2
ry
23
fa + Cmx f bx + Cmy f by = 0.268 + 0.85(521.7) + 0.85(821.9)
Fa
1 − fa Fbx 1 − fa Fby 1 − 417.8 1,920 1 − 417.8 2,400
Fe′x Fe′y 10,560.2 3,460.6
= 0.268 + 0.241 + 0.331 = 0.840 < 1.0
ดังน้ัน หนา ตัด W300 × 84.5 kg/m ใหญพอที่จะรองรบั แรงกระทํา
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย SUT 5-18
ตวั อยา งท่ี 5-5
โครงขอแขง็ ซ่งึ ไมมีการคํา้ ยันในระนาบของโครงขอแข็งมีลักษณะดังท่แี สดงในรูปท่ี Ex 5-5a กาํ หนดให effective
length factor ในทิศทางตง้ั ฉากกบั ระนาบของโครงขอ แขง็ K y = 1 (โครงขอแขง็ มกี ารคาํ้ ยันในทิศทางน)ี้ จงทําการออกแบบ
เสา AB ของโครงขอแข็งโดยใชเ หลก็ ท่ีมี Fy = 2,400 kg/cm2
รูปท่ี Ex 5-5
ในทางปฏิบตั ิ เรามกั จะกาํ หนดใหค านมีความแกรง ตอการดัดเปนสองเทาของเสา ซง่ึ เมื่อเราทาํ การวเิ คราะหโครงสรา ง
แลว เราจะไดโ มเมนตท ่ีปลายของช้ินสว นตา งๆ ดงั น้ี
Joint A B CH
Member
Moments ( kg - m ) AB BA BC CB CH CD HC
0 +7,141 -7,141 +28,049 1,897 26,153 0
โดยใช free body diagram ของคาน BC ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ Ex 5-5b และสมการสมดลุ ของโมเมนตร อบจดุ C เรา
จะไดแรงเฉอื นที่ปลาย B ของคาน ซึ่งจะเปนแรงในแนวแกนของเสา AB ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี Ex 5-5c ดังน้ัน ปลาย B ของ
เสา AB จะถกู กระทําโดยแรง P = 13,427 kg และโมเมนต M x = 7,141kg - m
1. เลือกคา d และ b ของ beam-columns
แรงในแนวแกนสมมลู (equivalent axial load)
P* = P+ 2M x + 7.5M y
d b
P* = 13,427 + 2(7,141)(100) = 13,427 + 1,428,200
d d
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สิทธิชยั แสงอาทติ ย SUT 5-19
จากตารางหนาตัดเหลก็ ในภาคผนวกที่ 1 เราจะพบวาคานมคี วามกวางของปก 20.0 cm ดังนั้น เสาควรจะมีความ
กวา งปก ของปกไมน อ ยกวา 20.0 cm ดังน้นั พิจารณาหนาตดั W250
P* = 13,427 + 1,428,200 = 70,555 kg
25
2. หาขนาดของ beam-columns ภายใตแ รงกดอัดในแนวแกนทส่ี มมลู
2.2 สมมุติคา อัตราสว นความชะลดู KL / r
สมมุติให KL / r = 50
2.3 หาคา หนวยแรงกดอดั ที่ยอมให Fa
จากภาคผนวกท่ี 2 เราจะไดวา
Fa = 1,235.2 kg/cm2
2.4 หาพื้นทหี่ นาตดั ของเสาและเลอื กขนาดหนาตดั ของเสา
Areq'd = 70,555 = 57.1 cm2
1,235.2
จากภาคผนวกท่ี 2 เราจะลองใชหนาตัด W250 ที่เบาท่ีสุดที่สามารถเช่ือมตอเขากับคานไดคือ หนาตัด
W250 × 64.4 kg/m ซ่ึงมี A = 82.06 cm2
2.5 อัตราสว นความชะลดู ที่แทจ ริงสูงสดุ ของเสา
KyL = 1.0(450) = 75.3
ry 5.98
จากภาคผนวกที่ 2 เราจะไดว า
Fa = 1,074.3 − (1,074.3 −1,067.4)0.3 = 1,072.2 kg/cm2
คาแรงกดอัดท่ยี อมให
Pa = 1,072.2(82.06) = 87,993 kg > 70,555 kg O.K.
ดังน้ัน หนาตดั W250 × 64.4 kg/m ใหญพ อที่จะรองรับแรงในแนวแกนสมมูล
3. ตรวจสอบขนาดของ beam-columns โดยใชสมการการออกแบบ beam-column
หนวยแรงกดอัดเฉลย่ี
fa = P = 13,140 = 160.2 kg/cm2
A 82.06
เน่ืองจากโครงขอ แข็งไมมกี ารคํา้ ยนั ในระนาบของโครงขอ แข็ง ดังนัน้ เราจะหาคา K factor ท่แี ทจรงิ ไดโดยใช
alignment chart เน่ืองจากจุดรองรบั A เปน หมุด ดังนั้น
GA = 10.0
GB = I c / Lc = 8,790 / 4.5 = 0.26
I b / Lb 68,700 / 9
K x = 1.75
KxL = 1.75(450) = 76.5 > KyL = 1.0(450) = 75.3
rx 10.3 ry 5.98
ดงั นน้ั
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชัย แสงอาทิตย SUT 5-20
Fa = 1,063.9 kg/cm2
fa = 160.2 = 0.15
Fa 1,063.9
ดังน้ัน ทําการตรวจสอบโดยใชส มการออกแบบ Beam-Column ตามมาตรฐาน ว.ส.ท. แบบที่ 3
หนว ยแรงดดั สูงสุดรอบแกนหลกั
f bx = Mx = 4,734(100) = 657.5 kg/cm2
Sx 720
จากภาคผนวกท่ี 2 เราจะไดว า Lc = 3.3 m และ Lu = 6.7 m เนื่องจาก Lc < L = 4.5 m < Lu ,
Fb = 0.60Fy = 0.60(2,400) = 1,440 kg/cm2
สมการออกแบบ Beam-Column ตามมาตรฐาน ว.ส.ท. แบบท่ี 3
fa + f bx = 0.149 + 657.5 = 0.606 ≤ 1.0
Fa Fbx 1,440
ดังนนั้ หนาตดั W250 × 64.4 kg/m สามารถรองรบั แรงกระทาํ ดงั กลา วได
Note: โดยท่ัวไปแลว ในการออกแบบโครงสรางเหลก็ หลงั จากทเ่ี ราไดห นา ตัด W250 × 64.4 kg/m ในขน้ั ตอนท่ี 2 แลว เรา
อาจจะตองตรวจสอบวา คานมคี วามแกรง ตอการดดั เปน สองเทา ของเสาหรอื ไม ซึ่งถา คา ทไ่ี ดไ มใ กลเคียงแลว แรงและโมเมนตท ่ี
เกดิ ขนึ้ ในโครงขอ แข็งจะมกี ารกระจายตางไปจากเดมิ ทําใหเราตองวเิ คราะหโครงขอแขง็ ใหม ในบางกรณี เราจาํ เปน ทีจ่ ะตอง
ออกแบบเสาของโครงขอ แข็งใหมดว ย
ตรวจสอบวาเสามคี วามแกรงตอการดัดประมาณครง่ึ หนึ่งของคานหรือไม
I b / Lb = 8,790 / 450 = 3.9
I c / Lc 68,700 / 900
ซ่ึงเปนอัตราสวนที่มากกวาทส่ี มมุตไิ วใ นตอนตน มาก ดงั น้นั ทําการวิเคราะหโ ครงสรา งอีกคร้ังแลว เราจะไดโ มเมนตท่ีปลายของ
ช้ินสว นตา งๆ ดงั น้ี
Joint A B CH
Member
Moments ( kg - m ) AB BA BC CB CH CD HC
0 +4,355 -4,355 +28,237 1,281 26,956 0
โดยทแ่ี รงกดอัด P = 13,096 kg และโมเมนต M x = 4,355 kg - m
P* = 13,096 + 871,000 = 47,936 kg
25
ซ่ึงนอยกวาแรงในแนวแกนสมมลู ที่หามาไดก อนหนานี้ ดังน้ัน ลองใชห นาตัด W200
P* = 13,096 + 871,000 = 56,646 kg
20
2. หาขนาดของ beam-columns ภายใตแ รงกดอัดในแนวแกนทส่ี มมลู
2.1 สมมุตคิ าอตั ราสว นความชะลูด KL / r
สมมุติให KL / r = 50
2.2 หาคา หนว ยแรงกดอดั ที่ยอมให Fa
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทติ ย SUT 5-21
จากภาคผนวกที่ 2 เราจะไดวา
Fa = 1,235.2 kg/cm2
2.3 หาพ้นื ทห่ี นา ตดั ของเสาและเลือกขนาดหนา ตดั ของเสา
Areq'd = 56,646 = 45.9 cm2
1,235.2
จากภาคผนวกท่ี 2 เราจะลองใชห นา ตดั W200 × 49.9 kg/m ซง่ึ มี A = 63.53 cm2 และเปน หนาตดั ท่เี ลก็
ท่ีสุดที่เราสามารถเชื่อมคานเขา กับเสาไดเ พราะคานมคี วามกวางของปก 20 cm
2.4 อัตราสวนความชะลดู ที่แทจรงิ สงู สดุ ของเสา
KyL = 1(450) = 89.6
ry 5.02
จากภาคผนวกที่ 2 เราจะไดว า
Fa = 973.3 − (973.3 − 965.7)0.6 = 968.74 kg/cm2
คาแรงกดอัดทยี่ อมให
Pa = 968.74(63.53) = 61,544 kg > 56646 kg O.K.
ดังนั้น หนาตัด W200 × 49.9 kg/m ใหญพอท่ีจะรองรับแรงในแนวแกนสมมูลและเปนหนาตัดท่ีเล็กที่สุดทเ่ี รา
สามารถเชื่อมคานเขากับเสาไดเ พราะคานมคี วามกวา งของปก 20 cm (ไมตอ งตรวจสอบอัตราสว นของความแกรง ของคาน
เทียบกบั เสา เพ่ือวิเคราะหโ ครงสรา งใหม)
3. ตรวจสอบขนาดของ beam-columns โดยใชส มการการออกแบบ beam-column
หนวยแรงกดอัดเฉลย่ี
fa = P = 13,096 = 206.1 kg/cm2
A 63.53
เนื่องจากโครงขอ แขง็ ไมมีการคํ้ายนั ในระนาบของโครงขอ แข็ง ดงั น้ัน เราจะหาคา K factor ทีแ่ ทจ รงิ ไดโดยใช
alignment chart เน่ืองจากจุดรองรบั A เปนหมุด ดงั นั้น
GA = 10.0
GB = Ic / Lc = 4,720 / 4.5 = 0.14
Ib / Lb 68,700 / 9
K x = 1.58
KxL = 1.58(450) = 82.5 < KyL = 1(450) = 89.6
rx 8.62 ry 5.02
ดังนั้น
Fa = 968.74 kg/cm2
fa = 206.1 = 0.213 > 0.15
Fa 968.74
ตรวจสอบโดยใชสมการออกแบบ Beam-Column ตามมาตรฐาน ว.ส.ท. แบบที่ 1 และแบบท่ี 2
หนวยแรงดัดสงู สดุ รอบแกน x
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทติ ย SUT 5-22
f bx = Mx = 4,355(100) = 922.6 kg/cm2
Sx 472
จากภาคผนวกท่ี 2 เราจะไดวา Lc = 2.6 m และ Lu = 7.1 m เนอ่ื งจาก Lc < L = 4.5 m < Lu ,
Fbx = 0.60Fy = 0.60(2,400) = 1,440 kg/cm2
ทําการตรวจสอบโดยใชสมการออกแบบ Beam-Column ตามมาตรฐาน ว.ส.ท. แบบท่ี 2 ซึง่ เปน การตรวจสอบสภาวะ
ของหนว ยแรงทีเ่ กดิ ขึน้ ที่ปลายของ beam-column ซ่ึงจะใชเ มอื่ โมเมนตดดั มีคาสูงสดุ ทีบ่ ริเวณปลายของ beam-column ดงั นนั้
fa + f bx = 206.1 + 922.6 = 0.218 + 0.272 + 0.342 = 0.784 < 1.0 O.K.
0.60 f y Fbx 0.60(2,400) 1,440
ทําการตรวจสอบโดยใชส มการออกแบบ Beam-Column ตามมาตรฐาน ว.ส.ท. แบบที่ 1
เนอ่ื งจากโครงขอ แข็งมีการเซเกิดขนึ้ ได
Cmx = 0.85
จากตารางท่ี 5-1 หรอื จากสมการ
12π 2 E 12π 2 (2.1)10 6 = 1,588.8 kg/cm2
Fe′x = KLx 2 = 23(82.5)2
rx
23
fa + Cmx f bx = 0.213 + 0.85(922.6) = 0.857 < 1.0 O.K.
Fa
1 − fa Fbx 1 − 206.1 1,440
Fe′x 1,588.8
ดังนัน้ หนา ตัด W200 × 49.9 kg/m ใหญพ อที่จะรองรบั แรงกระทํา ซึง่ จะเหน็ ไดวาหนาตัดของเสาเล็กลงกวาเดิม
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-1
บทท่ี 6
การตอ องคอ าคารอยา งงาย
6-1 บทนํา
การออกแบบจุดเช่ือมตอ หรอื รอยตอ (connections) ของโครงสรางเหลก็ จะเปนงานที่สําคัญท่ีสดุ งานหนงึ่ ในการออก
แบบโครงสรางเหล็ก ท้ังน้ีเน่ืองจากวาโครงสรางเหล็กโดยสวนใหญมักจะเกิดการวิบัติที่จุดเชื่อมตอมากกวา ทจ่ี ะเกิดการวิบัตทิ ่ี
องคอาคารของโครงสราง (structural members) ซึ่งสวนใหญจ ะมสี าเหตมุ าจากการออกแบบและการใหรายะเอียดจดุ เชอื่ มตอ
อยางไมถูกตอง
ในปจจุบัน จดุ เชอ่ื มตอของโครงสรางเหลก็ ทไ่ี ดรับความนิยมจะถูกแบง ออกไดเ ปน 2 ประเภทใหญๆ คอื จุดเชอ่ื มตอ
แบบเชือ่ มไฟฟา (welding connections) และจุดเชอื่ มตอแบบใชสลักเกลียว (bolting connections)
การเช่ือมไฟฟามีขอดเี หนือกวา การใชสลักเกลียวคือ
1. การออกแบบจุดเชือ่ มตอ แบบเชอ่ื มไฟฟางา ยกวา การออกแบบจดุ เชื่อมตอ แบบใชส ลกั เกลยี ว
2. จุดเช่ือมตอท่ีมีความซับซอนเน่ืองจากการใชสลักเกลียวจะมีความซบั ซอ นนอ ยลงเมื่อเปลยี่ นเปน จดุ เช่ือมตอแบบ
เชือ่ มไฟฟา ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี 6-1
รูปที่ 6-1
แตขอเสียเปรยี บของการเชื่อมไฟฟาคือ ตองการแรงงานทม่ี ีฝม ือสูงและการตรวจสอบความสมบูรณข องรอยเชื่อมกระทาํ ไดย าก
ซึ่งจะแกไขไดโ ดยการเชือ่ มจดุ เชอื่ มตอ บางสวนในโรงงานและนาํ สวนท่ีเหลือมาเชื่อมประกอบท่สี ถานทก่ี อ สราง
ในบางกรณี จุดเช่อื มตอ จะเปนแบบผสมของการเชือ่ มไฟฟาและการใชสลักเกลียว ซึ่งจะเปนการเชื่อมจุดเชอื่ มตอบาง
สวนในโรงงานและนําองคอาคารมาประกอบท่ีสถานท่ีกอ สรา งโดยใชสลักเกลยี ว ดังที่แสดงในรปู ที่ 6-2 ซึ่งแผน เหลก็ จะถกู เจาะ
รูและเชื่อมไฟฟา เขา กับเสาที่โรงงาน จากนั้น คานซึง่ ถูกเจาะรทู ่โี รงงานจะถกู นํามาประกอบเขา กับเสาทสี่ ถานท่ีกอสรา ง
รปู ที่ 6-2
การแบงชนิดของจุดเช่ือมอีกรูปแบบหนึ่งจะเปนการพิจารณาการกระทาํ ของแรงตอจุดเชอ่ื มตอ ดังตวั อยางทแี่ สดงใน
รูปที่ 6-3 จากรูป สลกั เกลียวขององคอ าคารรบั แรงดึง ในรูปท่ี 6-3a จะถูกกระทําโดยแรงเฉือน เชน เดยี วกบั รอยเชื่อมในรปู ที่ 6-
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-2
3b ซ่ึงสลักเกลียวและรอยเชอ่ื มดังกลา วจะทาํ หนาที่ถา ยแรงดึงจากแผน เหลก็ แผน หนึ่งไปยงั แผน เหลก็ อกี แผน หนึ่ง จุดเชอ่ื มตอ
ในลักษณะน้ีมกั จะถูกเรยี กวา จุดเชือ่ มตอ อยางงา ย (simple connections)
จุดเช่ือมตอทีย่ ึดแผนเหลก็ หูชางเขากบั เสาโดยใชการเชอื่ มและโดยใชสลักเกลยี ว ดังท่แี สดงในรูปที่ 6-3c จะถูกกระทาํ
โดยแรงเฉอื นและ bending moment โดยท่ีสลักเกลียวแตล ะตวั และรอยเชอื่ มทอ่ี ยูต ามความลกึ ของหชู า งจะรับแรงเฉอื นทไี่ ม
เทากัน ในจดุ เชอ่ื มตอของคาน ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี 6-3d สลักเกลียวแถวบนจะถูกกระทาํ โดยแรงดึงและสลักเกลยี วทั้งหมดจะรว ม
กันรับแรงเฉือนอยางเทาเทียมกัน จุดเชื่อมตอในทั้งสองกรณีนี้จะถูกเรียกวา จุดเช่ือมตอรับแรงเยื้องศูนย (eccentric
connections)
รปู ท่ี 6-3
6-2 ประเภทของสลกั เกลียว
สลักเกลียวถูกแบง ออกไดเ ปน 2 ประเภทใหญๆ คอื สลักเกลียวไมแ ตงผวิ (unfinished bolts) และสลักเกลียวกําลังสูง
(high-strength bolts)
สลักเกลียวไมแ ตงผิวมีช่ือเรียกอีกชอื่ หนึง่ วา สลกั เกลยี วธรรมดา (common bolts) ซ่ึงจะมีคณุ สมบตั ิท่สี อดคลอ งกับ
มาตรฐาน ASTM A307 สลักเกลียวชนิดนี้ถกู แบง ออกเปน 2 เกรดคือ เกรด A และเกรด B โดยที่เกรด A จะเปน สลกั เกลยี วไม
แตงผวิ ที่ใชก บั งานทว่ั ไปและเกรด B จะเปนสลกั เกลยี วไมแ ตงผิวทีใ่ ชก บั งานทอ
สลักเกลียวไมแตงผิวจะทําดวยเหล็กกลาคารบอนต่ํา (low-carbon steel) โดยจะมีกําลังรับแรงดึงต่ําสุด 4200
kg/cm2 ดังที่แสดงในตารางท่ี 6-1 และจะมี stress-strain curve ท่ีคลายกบั stress-strain curve ของเหลก็ A36 สลักเกลยี ว
ชนิดน้ีจะเหมาะกบั โครงสรางเหลก็ ซ่ึงไมถกู กระทําโดยแรงส่ันสะเทอื น (vibration forces) และแรงกระแทก (impact forces) รปู
ท่ี 6-4a ถึง 6-4c แสดงลักษณะของสลักเกลียวไมแ ตง ผิว 3 ประเภท ซ่งึ มักใชโดยทัว่ ไป คือ หวั หกเหลี่ยม หัวสีเ่ หล่ยี ม และหัว
countersunk ตามลําดบั
ในกรณีท่ีจําเปนตองใชสลักเกลียวชนิดนี้ในโครงสรางที่ถูกกระทําโดยแรงแรงสั่นสะเทอื นและแรงกระแทกแลว เราจะ
ตอ งใชนอ ตลอค (lock nuts) สลักเกลียว เพื่อปองกันไมใ หเกิดการเล่ือนของนอตเม่อื สลักเกลียวถกู กระทําโดยแรงดังกลา ว
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชยั แสงอาทิตย SUT 6-3
รูปที่ 6-4
ตารางท่ี 6-1 คุณสมบัตเิ ชิงกลของสลกั เกลียว (ASTM Standard)
ช่ือเรยี กโดย ASTM เสนผา ศนู ย หนว ยแรงดึงประลยั ( kg/cm2 ) Yielding stress ตา่ํ หนว ยแรงดงึ ทย่ี อม
ให ( kg/cm2 )
สลักเกลยี วไมแตง ผิว; กลาง ( mm ) Min. Max. สุด ( kg/cm2 )
A307
ทกุ ขนาด 4,210 - - -
เกรด A ทุกขนาด 4,210 7,030 - -
เกรด B
สลักเกลียวกาํ ลังสงู ; 12-25 8,430 - 6,460 5,970
medium-carbon steel, 5,690 5,200
A325 และ A449 29-38 7,380 - 4,070 3,860
A325 และ A449 9,130 8,430
A449 43-75 6,320 -
alloy steel, A490
12-38 10,540 12,650
สลกั เกลียวกาํ ลังสงู เปนสลักเกลียวท่ีทาํ ดวยเหล็กกลา คารบอนปานกลาง (medium-carbon steel) ซ่ึงจะตองมีคุณ
สมบัตสิ อดคลอ งกับมาตรฐาน ASTM A325 และ ASTM A449 และทาํ ดวยเหล็กกลาประสม (alloy steel) ซ่ึงจะตองมีคณุ
สมบัติสอดคลองกับมาตรฐาน ASTM A490 โดยทั่วไปแลว สลักเกลยี วกาํ ลงั สูงจะมีกาํ ลังรบั แรงดึงมากกวา สลกั เกลียวไมแตง
ผิวมาก ดงั ท่ีแสดงในตารางท่ี 6-1 โดยทีพ่ นื้ ทีห่ นา ตดั ของสลักเกลยี วจะคํานวณไดจากสมการ
Abolt = π D − 0.39
4 n
โดยที่ D เปน nominal diameter ของสลักเกลยี ว
n เปนจํานวนเกลยี วตอ เซนติเมตรของสลักเกลียว
รูปที่ 6-5 แสดงลักษณะโดยทว่ั ไปของสลักเกลียวกําลงั สงู
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-4
รปู ที่ 6-5
โดยท่ัวไปแลว การขันสลักเกลียวจะทาํ ได 2 วธิ คี ือ การขนั โดยใชป ระแจมือ (hand wrenches) และการขนั โดยใช
ประแจกระแทก (impact wrenches) ตารางที่ 6-2 แสดงแรงตงึ ต่าํ สดุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสลักเกลยี วกาํ ลงั สงู ซึง่ ไดจากการขนั สลกั
เกลียว แรงตึงนีจ้ ะเปนแรงทเ่ี กดิ ขนึ้ ในการขนั สลักเกลยี วใหมีคาหนวยแรงดงึ เกิดข้ึนในสลักเกลียวประมาณ 70 เปอรเซ็นตของ
หนวยแรงดงึ ประลยั ของสลักเกลยี ว
ตารางท่ี 6-2 แรงตึงต่ําสดุ ที่เกดิ ขึน้ ในสลักเกลยี วกําลงั สูงซึง่ ไดจากการขันสลกั เกลียว (มาตรฐาน ว.ส.ท.)
เสนผา ศูนยกลางของสลัก ชื่อเรียกโดย ASTM
เกลยี ว ( mm ) A325 A449 A490
12 5,450 5,450 6,810
15 8,630 8,630 10,900
19 12,720 12,720 15,900
22 17,720 17,720 22,270
25 23,180 23,180 29,090
29 25,450 25,450 36,360
32 32,720 32,720 46,360
35 38,630 38,630 55,000
38 46,810 46,810 67,270
เกินกวา 38 - 0.7xกําลังดงึ -
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทิตย SUT 6-5
6-3 สลักเกลยี วไมแตง ผิว: จุดเช่อื มตอ รบั แรงเฉอื น
จุดเช่ือมตอโดยใชส ลกั เกลยี วจะมีลักษณะการวบิ ัติ 2 รูปแบบคอื การวิบัตขิ องสลกั เกลยี วและการวิบตั ขิ ององคอาคาร
ของโครงสรางท่ีถูกเช่อื มตอ
การวบิ ตั ขิ องสลกั เกลยี ว
พจิ ารณารอยตอทาบ (lab joint) ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 6-6a จาก free-body diagram ของสลักเกลียว เราจะเห็นไดวา ใน
กรณีนี้ สลักเกลียวจะถูกเฉอื นในระนาบเดยี ว ซงึ่ การเฉอื นน้ีจะถกู เรยี กวา การเฉือนในระนาบเดยี ว (single shear) และคา เฉลย่ี
ของหนวยแรงเฉอื นท่เี กิดข้ึนบนหนา ตัดของสลักเกลียวจะหาไดจ ากสมการ
fv = P
A
โดยที่ P เปนแรงท่กี ระทาํ กบั สลกั เกลยี ว
A เปนพ้ืนทหี่ นาตัดของสลกั เกลียว
รูปที่ 6-6
พิจารณารอยตอ ชน (butt joint) ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี 6-6b จาก free-body diagram ของสลักเกลียว เราจะเห็นไดว า
สลักเกลียวถูกเฉอื นในสองระนาบ ซ่ึงการเฉือนนจ้ี ะถูกเรียกวา การเฉือนในสองระนาบ (double shear) และคาเฉลยี่ ของหนวย
แรงเฉือนทเี่ กดิ ขึ้นบนหนาตดั ของสลกั เกลยี วจะหาไดจากสมการ
fv = P
2A
การวบิ ัติของสวนของโครงสรางท่ถี ูกเชอ่ื มตอ
โดยทั่วไปแลว เราจะแบงยอ ยการวิบัตขิ องสว นของโครงสรา งท่ถี กู เช่ือมตอออกเปน 2 รปู แบบคอื
1. การวิบัติเนอื่ งจากหนว ยแรงดงึ หนว ยแรงเฉอื น หรือหนว ยแรงดดั ที่มากเกินไป
การออกแบบจุดเช่ือมตอ องคอ าคารรบั แรงดงึ มักจะกระทําไปพรอมๆ กบั การออกแบบองคอาคารรบั แรงดงึ ซ่ึงเรา
ไดกลาวถงึ การตรวจสอบหนวยแรงดึง หนวยแรงเฉอื น หรือหนว ยแรงดดั ทเี่ กิดขึ้นในองคอาคารรบั แรงดงึ ไปแลว
ในบทท่ี 2
2. การวิบัติเนื่องจากหนวยแรงแบกทาน (bearing stress)
พิจารณารปู ที่ 6-7 ซง่ึ เปนจุดเชอื่ มตอ แบบ single shear เนื่องจากสลักเกลยี วจะเปนตวั ถา ยแรง P จากแผน
เหล็กแผนหนึง่ ไปยงั แผน เหล็กอกี แผน หนงึ่ ซง่ึ ในการถายแรงน้ี สลกั เกลียวจะกดอดั แผนเหล็กและจะกอใหเ กิด
แรงปฏกิ รยิ า P กระทําตอรทู ่ีสลักเกลียวสวมผาน ถาแผน เหลก็ มีกาํ ลังตานทานตอ แรงกดอดั ไมเพียงพอแลว
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทติ ย SUT 6-6
แผนเหล็กจะเกดิ การวิบตั แิ บบยู ดังที่แสดงในรปู โดยท่ัวไปแลว หนว ยแรงทเี่ กดิ จากแรงปฏกิ รยิ าดงั กลาวมกั จะ
ถูกเรียกวา หนวยแรงแบกทาน (bearing stress) หรือ f p ซ่ึงจะมคี า สูงสดุ ทจี่ ุด A และจะมคี า เปนศนู ยท ี่จดุ
B อยางไรกต็ าม เพ่อื ความสะดวกในการคํานวณ ถา เราสมมุตใิ ห หนว ยแรงแบกทานมีการกระจายอยา ง
สมํ่าเสมอแลว หนวยแรงแบกทานจะหาไดจ ากสมการ
fp = P
dt
โดยที่ t เปนความหนาของแผนเหลก็ และ d เปนเสน ผา ศนู ยก ลางของสลกั เกลียว
รปู ที่ 6-7
การคํานวณหาหนว ยแรงแบกทานจะมีความซับซอ นมากในกรณีท่จี ุดเชื่อมตอ มลี กั ษณะดังทแี่ สดงในรูปท่ี 6-8 เพ่ือลด
ความซับซอ นดงั กลาว ASD specification จึงไดกําหนดคาตาํ่ สุดของระยะหา งระหวา งจุดศนู ยก ลางของสลักเกลยี วและระยะ
หางระหวางจุดศนู ยกลางของสลกั เกลียวกับขอบของชน้ิ สวนของโครงสราง ซึ่งจะกลาวถึงตอไป
รูปท่ี 6-8
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทิตย SUT 6-7
การตดิ ตั้งสลักเกลียวในจดุ เช่อื มตอ ใชแรงแบกทาน
การติดต้ังสลักเกลียวในจุดเชื่อมตอใชแรงแบกทานน้ัน เราจะตองทําการขันสลักเกลียวโดยใหช้ินสวนทถี่ กู เชื่อมตอ มี
การสัมผัสกนั อยางแนนหนาหรอื ท่เี รียกวา snug-tight ซ่ึงโดยทั่วไปแลว การขันสลกั เกลยี วแบบ snug-tight จะเปนการขนั สลัก
เกลยี วอยางเตม็ แรงโดยใชป ระแจมอื (hand wrenches) ของคนงานกอสรางหนึ่งคน หรอื เปน การขนั โดยใชป ระแจกระแทก
(impact wrenches) เพ่ือใหไ ดแ รงตึงในสลักเกลยี วพอควร
การขันสลักเกลยี วแบบ snug-tight จะตองถูกระบลุ งในแบบกอสรา งใหช ดั เจน เพื่อปองกันความสบั สนกบั การตดิ ต้ัง
สลักเกลียวกาํ ลงั สูงในจุดเชอ่ื มตอใชแรงเสียดทาน ซงึ่ จะกลาวถึงตอไป
หนวยแรงทีย่ อมให (allowable stresses)
มาตรฐาน ว.ส.ท. ไดกําหนดคาหนวยแรงที่ยอมใหของหนว ยแรงดงึ (allowable tensile stress) คาหนวยแรงทีย่ อมให
ของหนว ยแรงเฉอื น (allowable shear stress) และคา หนว ยแรงทย่ี อมใหของหนว ยแรงแบกทาน (allowable bearing stress)
ของสลกั เกลยี วชนดิ ตา งๆ ไว ดังท่แี สดงในตารางท่ี 6-3
ตารางที่ 6-3 คาหนวยแรงทยี่ อมใหของสลักเกลยี วชนดิ ตา งๆ (มาตรฐาน ว.ส.ท.)
ชนิดของสลกั เกลียว หนวยแรงแรงดึง หนวยแรงเฉือน ( kg/cm2 ) หนวยแรงแบก
ทาน ( kg/cm2 )
( kg/cm2 ) การตอ ใชแ รง การตอใชแรงแบก
1.35Fy
เสียดทาน ทาน 1.35Fy
สลักเกลยี ว A307 1,400 - 700 1.35Fy
สลักเกลียว A325 และ A449 2,800 1,050 1,050 1.35Fy
(เมอื่ เกลียวอยใู นระนาบของแรงเฉอื น) 1.35Fy
สลักเกลียว A325 และ A449 2,800 1,050 1,540
(เมือ่ เกลียวไมอยใู นระนาบของแรงเฉือน)
สลักเกลียว A490 3,780 1,400 1,575
(เมือ่ เกลยี วอยูใ นระนาบของแรงเฉอื น)
สลักเกลียว A490 3,780 1,400 2,240
(เมื่อเกลยี วไมอ ยูในระนาบของแรงเฉือน)
จุดเช่ือมตอใชแรงแบกทานจะเปน จุดเชือ่ มตอ ทใ่ี ชกาํ ลงั รบั แรงแบกทาน (bearing strength) ของแผนเหล็กและกาํ ลัง
รับแรงเฉือนของสลักเกลียวในการตานทานตอแรงกระทาํ ซึ่งความตา นทานตอ แรงเฉือนดงั กลาวจะขนึ้ อยูกับวา ระนาบของแรง
เฉือนจะอยูในสวนท่ีมเี กลียวหรือสวนท่ีไมม ีเกลยี วของสลกั เกลียว ซ่งึ จากการทดสอบพบวา ถา ระนาบของแรงเฉือนกระทําอยู
บนสวนที่ไมมีเกลียวของสลักเกลียวแลว ความสามารถในการตานทานตอแรงเฉือนของสลักเกลียวจะสูงกวาในกรณีที่ระนาบ
ของแรงเฉือนอยูบนสวนที่มีเกลียวของสลักเกลยี วถงึ 40% ดังนั้น มาตรฐาน ว.ส.ท. จึงกําหนดใหคาหนว ยแรงแบกทานทยี่ อมให
ของสลักเกลียวเม่ือระนาบของแรงเฉือนกระทําอยูบนสวนที่ไมมีเกลียวของสลักเกลียวมีคาสูงกวาคาหนวยแรงแบกทานท่ียอม
ใหของสลักเกลยี วเมื่อระนาบของแรงเฉอื นกระทาํ อยบู นสวนท่มี เี กลียวของสลักเกลียว ดงั ที่แสดงในตาราง
การจดั ระยะสลกั เกลยี ว
จากรูปท่ี 6-9 เราจะใหนยิ ามของระยะตา งๆ ที่ตองใชใ นการออกแบบสลกั เกลยี วดงั น้ี
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ัย แสงอาทติ ย SUT 6-8
Pitch distance ( p ) เปนระยะหางระหวางจุดศูนยก ลางของสลกั เกลียวสองตัวในแนวแรง
Gage distance ( g ) เปนระยะหางระหวางจุดศนู ยกลางของสลกั เกลียวสองตวั ในแนวตั้งฉากกบั แรง
Edge distance เปนระยะหางระหวางจุดศนู ยกลางของสลักเกลียวกบั ขอบปลายหรือขอบริมของชิ้นสว นท่ีถูกเช่อื มตอ
ระยะระหวางสลักเกลียว เปนระยะหางท่ีสั้นที่สุดระหวางจุดศูนยกลางของสลักเกลียวสองตัวซ่ึงอยูบน gage line
เดียวกันหรอื ตา ง gage line กไ็ ด
รปู ที่ 6-9
ในกรณีที่ตําแหนง ของสลักเกลยี วอยูใ กลปลายของชนิ้ สว นท่ีถกู เชอ่ื มตอ ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ 6-10 แรงแบกทานจะทําให
เกิดการฉีกขาดขน้ึ ท่ีปลายดังกลาว ซงึ่ การวิบัติในลักษณะนี้จะถกู ปองกนั ไดโ ดยมาตรฐาน ว.ส.ท. ไดก าํ หนดระยะหา งตาํ่ สดุ ของ
ระหวางจุดศูนยกลางของรูเจาะกับขอบปลายหรือขอบริมของช้ินสวนท่ีถูกเชื่อมตอตามขนาดเสนผาศูนยกลางของสลักเกลียว
และลักษณะการตัดชิน้ สวนทีถ่ กู เช่ือมตอ ดังที่แสดงในตารางท่ี 6-4 แตตองมีคา ไมเ กิน 12 เทาของความหนาของแผน เหล็กหรือ
15 cm
รูปที่ 6-10
เพื่อปองกันการวบิ ตั ิเน่อื งจากแรงแบกทานในแนวแรงระหวางรเู จาะสองรู ดงั ทแี่ สดงในรปู ที่ 6-10 มาตรฐาน ว.ส.ท.
กําหนดใหระยะตํา่ สุดระหวา งสลกั เกลยี วจะตองมีคาไมนอยกวา 2.5d อยา งไรกต็ ามในทางปฏบิ ัตจิ ะใชไมน อ ยกวา 3d
นอกจากนั้นแลว ASD specification ยังไดกําหนดใหร ะยะหางสงู สุดระหวา งจดุ ศูนยก ลางของสลกั เกลียวสองตวั ใน
แนวแรงในองคอ าคารรบั แรงกดอัดจะตองมีคา ไมเ กนิ 16 เทาของความหนาของแผน เหล็กแผน นอกท่มี คี วามหนานอ ยท่สี ดุ หรือ
20 เทา ของแผน เหลก็ แผน ในทีม่ ีความหนานอ ยที่สุด
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-9
ตารางที่ 6-4 ระยะหางต่ําสุดจากจุดศนู ยกลางของรเู จาะตัวริมถึงขอบปลายหรอื ขอบริม (มาตรฐาน ว.ส.ท.)
เสนผาศนู ยกลางของสลักเกลยี ว ระยะหา งตํ่าสุดจากขอบ ( mm )
( mm ) ขอบตดั ดวยวธิ เี ฉอื นหรอื ใชไ ฟตดั ดวยมือ ขอบซง่ึ รีด ใชไฟตัดอัตโนมตั ิ เลอื่ ยออก
หรอื กลงึ ออก
10 18 16
12 22 18
16 28 22
20 34 26
22 38 28
24 44 32
28 50 38
30 54 40
เกนิ กวา 30 1.75 d 1.25 d
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทติ ย SUT 6-10
ตัวอยางท่ี 6-1
แทง เหลก็ 65×11mm ตามมาตรฐาน มอก.55-2516 ถกู ใชเปนองคอ าคารรบั แรงดงึ ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่ Ex 6-1 ถูก
เชอื่ มเขา กับแผนประกับ (gusset plate) หนา 10 mm ดวยสลกั เกลยี ว A307 เสนผา ศนู ยก ลาง 20 mm สองตวั สมมุตวิ า
การจัดระยะสลักเกลยี วเปน ไปตามทีม่ าตรฐานกาํ หนด จงหาแรงดงึ T ที่ยอมให
รูปที่ Ex 6-1
ความสามารถในการรบั แรงของสลักเกลยี ว:
จากรูป สลักเกลียวจะถูกกระทําโดย single shear ดังน้ัน พน้ื ทห่ี นา ตัดของสลักเกลียว
A = π (2.02 ) / 4 = 3.14 cm2
ความสามารถในการรับแรงเฉอื นของสลักเกลียวหนง่ึ ตวั
จากตารางที่ 6-3 หนวยแรงเฉือนที่ยอมใหข องสลักเกลยี ว A307
Fv = 700 kg/cm2
Fv A = 700(3.14) = 2,198 kg
ความสามารถในการรบั แรงแบกทานของสลกั เกลยี วหนง่ึ ตวั
Fp × พ้ืนท่ีรับแรงแบกทานท่นี อยทีส่ ดุ = 1.35Fy × (dboltt plate ) = 1.35(2,400)(2.0)(1.0) = 6,480 kg
เนื่องจากความสามารถในการรับแรงเฉอื นของสลักเกลียวหนง่ึ ตัวนอยกวาความสามารถในการรบั แรงแบกทาน ดงั นัน้
ความสามารถในการรับแรงเฉือนของสลักเกลียวจะเปนตัวควบคุม ซึ่งความสามารถในการรับแรงเฉือนของสลักเกลียวสองตัว
จะมคี า เทา กับ 2(2,198) = 4,396 kg
ความสามารถในการรบั แรงขององคอาคาร:
พื้นทีห่ นาตัดท้งั หมด Ag = 6.5(1.1) = 7.15 cm2
พืน้ ท่ีหนาตดั สทุ ธิ An = [6.5 − (2.0 + 0.3)]1.1 = 4.62 cm2 < 0.85Ag = 6.08 cm2
ความสามารถในการรบั แรงขององคอาคาร
T = Ft An = 0.60Fy An = 1,440(4.62) = 6,653 kg
ซึ่งมากกวาความสามารถในการรบั แรงเฉอื นของสลกั เกลียวสองตัว ดงั นัน้ แรงดงึ ท่ยี อมใหข องจุดเชอ่ื มตอ ถกู ควบคมุ โดยความ
สามารถในการรับแรงเฉือนของสลักเกลยี ว
T = 4,396 kg
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย SUT 6-11
ตัวอยา งที่ 6-2
แทงเหล็ก 100 ×12 mm ตามมาตรฐาน มอก.55-2516 ถูกใชเปนองคอาคารรับแรงดึงเพื่อรองรับแรงดึงขนาด
16,000 kg ถูกเชอ่ื มเขากบั แผน ประกบั (gusset plate) หนา 10 mm ดวยสลักเกลียว A307 เสน ผาศนู ยกลาง 20 mm
แบบแถวเดียว สมมตุ วิ า การจดั ระยะสลักเกลียวเปน ไปตามทมี่ าตรฐานกําหนด จงหาจํานวนของสลกั เกลียวท่ีตอ งใช
จากตัวอยา งท่ี 6-1 เราไดค วามสามารถในการรับแรงของสลักเกลียวหนง่ึ ตวั มีคาดังนี้
ความสามารถในการรับแรงเฉือนของสลกั เกลยี วหนึ่งตัว = 2,198 kg
ความสามารถในการรบั แรงแบกทานของสลักเกลยี วหน่งึ ตวั = 6,480 kg
จํานวนของสลักเกลียวทต่ี อ งใชร บั แรงดงึ ขนาด 16,000 kg
n = 16,000 = 7.28
2,198
ดังนั้น ใชส ลักเกลียว A307 เสนผา ศูนยก ลาง 20 mm ท้ังหมด 8 ตวั
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-12
ตวั อยางที่ 6-3
หนาตดั C100 × 75×18.6 kg/m เปนเหล็ก Fe 24 ตามมาตรฐาน มอก.116-2529 ถูกใชเปน องคอาคารรับแรง
ดึงเพ่ือรองรบั แรงดงึ ขนาด 25,000 kg ถูกเชือ่ มเขา กบั แผนประกับ (gusset plate) หนา 10 mm ดวยสลกั เกลียว A307
เสน ผาศนู ยก ลาง 22 mm ดังที่แสดงในรปู ที่ Ex 6-3a จงหาจํานวนของสลักเกลยี วทตี่ องใชแ ละทาํ การจดั วางสลกั เกลยี วเพือ่
ใหระยะ h ต่าํ สดุ
รูปท่ี Ex 6-3
ความสามารถในการรับแรงของสลักเกลียวหน่งึ ตัว:
ความสามารถในการรับแรงเฉือน
A = π (2.22 ) / 4 = 3.80 cm2
P = Fv A = 700(3.80) = 2,660 kg
ความสามารถในการรับแรงแบกทาน
ใชสลักเกลยี วจํานวนไมนอ ยกวา สองตอ หนงึ่ แถวของสลกั เกลยี ว ดังทแ่ี สดงในรูปที่ Ex 6-3b ดงั นัน้
Fp × พ้ืนท่ีรับแรงแบกทานที่นอยที่สดุ = 1.35Fy × (dbolttw ) = 1.35(2,400)(2.2)(0.65) = 4,633 kg
เนื่องจากความสามารถในการรับแรงเฉอื นของสลักเกลียวหนง่ึ ตัวนอ ยกวา ความสามารถในการรบั แรงแบกทาน ดงั น้ัน
ความสามารถในการรบั แรงเฉอื นของสลกั เกลียวจะเปน ตวั ควบคุม
จํานวนของสลักเกลียว:
n = 25,000 = 9.40
2,660
ดังนั้น ใชสลกั เกลียว A307 เสนผาศูนยกลาง 22 mm ทั้งหมด 10 ตัว
ตรวจสอบความสามารถในการรับแรงดึงขององคอาคาร:
Ag = 23.71cm2
2
∑An = Ag − tw (di + 0.3) =23.71 − (0.65)2(2.2 + 0.3) = 20.46 cm2 > 0.85Ag = 20.15 cm2
i =1
ดงั น้นั ใช An = 20.15 cm2
T = Ft An = 0.60Fy An = 0.60(2,400)20.15 = 29,016 kg
ดังนั้น องคอาคารแรงดงึ มคี วามสามารถในการรับแรงดงึ เพียงพอ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-13
การจดั ระยะของสลักเกลยี ว:
ระยะตํา่ สุดระหวางสลกั เกลยี วไมน อ ยกวา 3d = 3(2.2) = 6.6 mm ดังน้นั ใช 7.0 cm
ระยะหางตํ่าสุดจากขอบของสลักเกลยี วไมนอ ยกวา 1.5d = 3.3 mm และจากตารางท่ี 6-4 ระยะหา งต่ําสดุ จาก
ขอบของสลักเกลียวเสนผาศนู ยก ลาง 22 mm เทา กับ 38 mm ดังนน้ั ใช 4.0 cm ซ่ึงเราจะไดก ารจดั ระยะ ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่
Ex 6-3b
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทิตย SUT 6-14
6-4 สลักเกลยี วกําลงั สูง: จุดเชื่อมตอรับแรงเฉอื น
จุดเช่ือมตอท่ีใชสลักเกลียวกําลังสูงและรบั แรงเฉือนสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภทคอื จดุ เชือ่ มตอ ใชแรงเสยี ด
ทาน (friction type connections หรือ slip-critical connection) และจุดเชื่อมตอใชแรงแบกทาน (bearing type
connections)
จุดเช่ือมตอใชแรงเสียดทานจะใชแรงเสียดทาน F ที่เกิดข้ึนระหวางผิวสัมผัสของช้ินสวนท่ีถูกเช่ือมตอในการตาน
ทานตอ แรงเฉือน P โดยแรงเสียดทานดงั กลา วจะมคี า เทากบั ผลคณู ของแรงกดอดั ของสลักเกลยี ว N (เมื่อสลักเกลียวถกู ขนั
ใหม คี วามตึงเริม่ ตนอยางนอ ย 70% ของกําลังรับแรงดงึ ประลยั ของสลักเกลยี ว) กับคาสมั ประสทิ ธิ์ของความเสยี ดทานระหวา ง
ผิวสัมผัสของชน้ิ สว นท่ีถูกเชื่อมตอ µ ดังที่แสดงในรปู ที่ 6-11 หรือ
F = µN
ดังน้ัน ผิวสัมผสั ดังกลา วจะตอ งปราศจากนาํ้ มนั และสารเคลือบผวิ ลักษณะตา งๆ เพ่ือใหแรงเสียดทานระหวา งผิวสมั ผสั ของชิน้
สวนที่ถูกเชื่อมตอ มีคาสงู สดุ จุดเช่อื มตอ ใชแ รงเสียดทานนีจ้ ะไมมหี นว ยแรงเฉือนเกิดขน้ึ ในสลกั เกลียวและจะไมม หี นวยแรงแบก
ทานเกิดข้นึ ในชน้ิ สว นทีถ่ ูกเช่ือมตอ
เม่อื แรง P มีคา มากกวา แรงเสียดทาน F แลว ชิ้นสว นท่ถี กู เชอ่ื มตอกจ็ ะเกดิ การเลอื่ นขนึ้ ซ่ึงจะทําใหชน้ิ สว นทถ่ี กู
เช่ือมตอถูกกระทําโดยหนว ยแรงแบกทานและสลกั เกลียวถูกกระทาํ โดยหนวยแรงเฉือน เชนเดยี วกับในกรณขี องจดุ เช่ือมตอ แบก
ทาน ดังนั้น เราจะตองพิจารณาหนว ยแรงแบกทานและหนวยแรงเฉอื นในการออกแบบจุดเชอื่ มตอใชแ รงเสยี ดทานดวย
รปู ที่ 6-11
จุดเชือ่ มตอ แบบน้มี กั จะถูกใชใน
1. โครงสรา งทร่ี ับหนวยแรงผกผนั (stress reversal) แรงกระแทก หรอื แรงสนั่ สะเทือน
2. โครงสรางท่ีไมอ นญุ าตใหม กี ารเลอ่ื นของรอยตอ เกดิ ข้ึน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-15
การติดต้ังสลกั เกลยี วกาํ ลังสงู ในจุดเชือ่ มตอใชแ รงเสยี ดทาน
เนื่องจากการติดต้ังสลักเกลียวกําลังสูงในจุดเชื่อมตอใชแรงเสียดทานมีข้ันตอนที่ยุงยากและแพง ดังน้ัน ASD
specification จึงกําหนดใหระบุขอกําหนดในการขนั สลกั เกลยี วลงในแบบกอสรางใหชดั เจน โดยใหม แี รงตึงต่าํ สดุ ท่ีเกดิ ขึน้ ใน
สลักเกลียวไมนอ ยกวา ทีก่ าํ หนดไวในตารางท่ี 6-2 ซึ่งจะทําไดโดยใชว ธิ กี ารตดิ ตงั้ ดงั ตอ ไปน้ี
วธิ ีการหมุนนอ ต (Turn-of-the-Nut Method)
ในวิธีการน้ี สลักเกลียวกําลังสงู จะถกู ขนั เกลยี วโดยใหช นิ้ สว นท่ีถกู เชือ่ มตอมกี ารสมั ผัสกนั อยางแนน หนา (snug-tight)
จากนั้น ทําการขนั สลกั เกลียวเพ่มิ อกี 1/3 รอบถงึ 1 รอบ ขน้ึ อยูกับความยาวของสลกั เกลียวและ slope ของนอตและของหวั
สลักเกลียว
วิธี Calibrated Wrench
ในวิธีการน้ี สลกั เกลยี วกาํ ลังสูงจะถกู ขันเกลยี วโดยใชประแจกระแทก (impact wrenches) ท่ีไดร ับการ calibration
ใหหยดุ ทํางานเมื่อแรงบิดมคี าถึงคา ๆ หนง่ึ ทต่ี อ งการ โดยท่ีประแจกระแทกจะตอ งถูก calibrate ทุกวันทาํ การและนอ ตและหัว
สลักเกลยี วจะตองถูกรองรบั โดยจานรอง (washer)
Direct Tension Indicator
ตัววดั แรงดงึ โดยตรง (direct tension indicator) เปนจานรองท่มี ีปุมซ่ึงใชทาํ หนาท่เี ปนตวั บอกแรงตงึ ท่เี กิดข้นึ ในสลัก
เกลียว โดยท่วั ไปแลว แรงตงึ ท่ตี อ งการจะเกดิ ขน้ึ เมื่อชอ งวางระหวางจานรองและผวิ ของชน้ิ สว นทถ่ี ูกเชือ่ มตอมีคา ไมเกนิ 0.38
mm
หนว ยแรงท่ียอมให (allowable stresses)
มาตรฐาน ว.ส.ท. ไดกําหนดคาหนวยแรงดึงที่ยอมให (allowable tensile stress) คาหนวยแรงเฉอื นทยี่ อมให
(allowable shear stress) และคา หนวยแรงแบกทานทย่ี อมให (allowable bearing stress) ของสลักเกลยี วกําลังสงู ไว ดังที่
แสดงในตารางท่ี 6-3
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย SUT 6-16
ตวั อยา งที่ 6-4
แทง เหล็ก 125×12 mm ตามมาตรฐาน มอก.55-2516 ถกู ใชเปนองคอาคารรับแรงดึง ดังที่แสดงในรปู ท่ี Ex 6-4
ถูกเชอ่ื มเขา กับแผนประกับ (gusset plate) หนา 10 mm ดวยสลักเกลยี ว A325 เสนผา ศนู ยกลาง 20 mm สี่ตัว สมมตุ ิวา
การจัดระยะสลักเกลียวเปน ไปตามที่มาตรฐานกําหนด จงหาแรงดึง T ท่ียอมใหข องกรณีตางๆ ตอไปน้ี
a.) ไมย อมใหม ีการลนื่ เกดิ ขน้ึ (slip-critical)
b.) ยอมใหม ีการลืน่ เกิดข้ึน (bearing type) โดยท่เี กลยี วไมอยใู นระนาบของแรงเฉอื น
รปู ท่ี Ex 6-4
a.) ไมยอมใหมกี ารลนื่ เกดิ ขึ้น (slip-critical) โดยทเี่ กลยี วอยใู นระนาบของแรงเฉอื น
สลักเกลียวเปน แบบ single shear ไมมีแรงแบกทานเกิดขนึ้
แรงเฉอื นทีย่ อมใหในสลกั เกลียว
พ้ืนที่หนาตดั ของสลักเกลียว A = π (2.02 ) / 4 = 3.14 cm2
จากตารางท่ี 6-3 หนว ยแรงเฉือนท่ียอมใหใ นสลักเกลยี ว A325 แบบใชแ รงเสียดทาน
Fv = 1,050 kg/cm2
แรงเฉอื นทยี่ อมใหใ นสลักเกลียว = 4(3.14)1,050 = 13,188 kg
แรงดงึ ท่ยี อมใหใ นองคอาคารรบั แรงดึง
Ag = 12.5(1.2) = 15.0 cm2
2
∑An = Ag − t (di + 0.3) =15.0 − (1.2)2(2.0 + 0.3) = 9.48 cm2 < 0.85Ag = 12.75 cm2
i =1
T = Ft An = 0.60Fy An = 0.60(2,400)9.48 = 13,651 kg
เน่ืองจากแรงเฉือนทย่ี อมใหใ นสลักเกลียวมคี า นอยกวา แรงดงึ ท่ยี อมใหในองคอ าคารรบั แรงดงึ ดังนนั้ แรงดงึ T ที่ยอมใหข อง
กรณนี ม้ี คี า เทา กบั 13,188 kg
b.) ยอมใหม ีการลน่ื เกิดขึ้น (bearing type) โดยท่ีเกลียวไมอ ยูในระนาบของแรงเฉอื น
สลักเกลียวเปนแบบ single shear แบบมแี รงแบกทานเกดิ ข้นึ
แรงเฉือนทย่ี อมใหใ นสลักเกลียว
จากตารางที่ 6-3 หนว ยแรงเฉอื นที่ยอมใหใ นสลักเกลียว A325 แบบใชแรงแบกทาน
Fv = 1,540 kg/cm2
แรงเฉือนทยี่ อมใหในสลักเกลยี ว = 4(3.14)1,540 = 19,342 kg
แรงแบกทานที่ยอมใหใ นสลักเกลยี ว
= 4(dboltt plate )(1.35Fy ) = 4(2.0)(1.0)[1.35(2,400)] = 25,920 kg
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-17
แรงดงึ ทยี่ อมใหใ นองคอ าคารรับแรงดงึ
T = Ft An = 0.60Fy An = 0.60(2,400)9.48 = 13,651 kg
เน่ืองจากแรงดึงท่ยี อมใหในสลักเกลยี วมคี านอ ยท่สี ุด ดังน้นั แรงดึง T ที่ยอมใหของกรณนี ้มี คี า เทา กบั 13,651kg
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ยั แสงอาทติ ย SUT 6-18
ตวั อยา งท่ี 6-5
แผน เชอ่ื มหนา 4.5 mm ถูกใชเ ชอ่ื มตอองคอ าคารรับแรงดึงซึง่ เปน แทง เหลก็ หนา 12 mm ดวยสลกั เกลยี วกาํ ลังสูง
A325 เสนผาศนู ยกลาง 22 mm ดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี Ex 6-5 และถกู กระทําโดยแรงดงึ 30,000 kg แผน เช่ือมและองค
อาคารรบั แรงดงึ ทําดว ยเหล็กตามมาตรฐาน มอก.55-2516 ถาจุดเชอื่ มตอเปน ใชแรงแบกทานและเกลยี วของสลักเกลยี วอยูใน
ระนาบของการเฉือน จงออกแบบจุดเชื่อมตอ
รปู ท่ี Ex 6-5
แรงเฉอื นทยี่ อมใหในสลกั เกลยี วหนง่ึ ตวั
สลักเกลยี วเปนแบบ double shear แบบมีแรงแบกทานเกิดขนึ้ ดังนนั้ พน้ื ที่หนาตัดของสลกั เกลียว
A = 2π (2.22 ) / 4 = 7.60 cm2
จากตารางท่ี 6-3 หนว ยแรงเฉอื นที่ยอมใหในสลักเกลยี ว A325 แบบใชแรงเสยี ดทาน
Fv = 1,050 kg/cm2
แรงเฉือนทีย่ อมใหใ นสลกั เกลียวหนงึ่ ตัว = (7.60)1,050 = 7,980 kg
แรงแบกทานท่ียอมใหในสลกั เกลยี วหน่ึงตวั
จากแผนภาพ free body diagram เราจะพบวา แผน เชอ่ื มแตละแผนรับแรงดงึ 15,000 kg และองคอ าคารรบั แรง
ดึง 30,000 kg ดังนั้น หนว ยแรงแบกทานท่ยี อมใหในสลกั เกลยี วหนึ่งตัวบนแผนเชอื่ ม
fp = T เมอ่ื T = 15,000 kg
2.0(0.45)
หนวยแรงแบกทานท่ียอมใหใ นสลักเกลียวหนึง่ ตัวบนองคอ าคารรบั แรงดงึ
fp = T เมอื่ T = 30,000 kg
2.0(1.2)
สมมุติวาการจดั ระยะสลักเกลียวเปน ไปตามที่มาตรฐานกาํ หนด ดังนนั้ แรงแบกทานทย่ี อมใหในสลักเกลียวหนง่ึ ตัวบน
แผน เช่อื ม
T = 2Fp A = 2(1.35Fy )(2.0)(0.45) = 2[1.35(2,400)](2.0)(0.45) = 5,832 kg
แรงแบกทานท่ยี อมใหใ นสลักเกลียวหนึ่งตัวบนองคอ าคารรับแรงดงึ
T = Fp A = (1.35Fy )(2.0)(1.2) = [1.35(2,400)](2.0)(1.2) = 7,776 kg
เน่ืองจากแรงแบกทานท่ียอมใหในสลักเกลียวหน่ึงตัวบนแผนเช่ือมมีคานอยที่สุด ดังนั้น แรงแบกทานท่ียอมใหในสลักเกลียว
หนึ่งตวั บนแผน เช่อื มจะควบคมุ การออกแบบ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-19
จํานวนของสลักเกลยี ว:
n = 30,000 = 5.14
5,832
ดังน้ัน ใชส ลกั เกลียว A325 เสนผาศนู ยกลาง 22 mm ท้ังหมด 6 ตัวบนแตล ะดา นของแผนเชอื่ ม
การจัดระยะของสลักเกลียว:
ระยะตํา่ สุดระหวา งสลกั เกลียวไมนอยกวา 3d = 3(2.2) = 6.6 mm ดงั นนั้ ใช 7.0 cm
ระยะหางต่ําสุดจากขอบของสลักเกลยี วไมน อยกวา 1.5d = 3.3 mm และจากตารางท่ี 6-4 ระยะหา งตํา่ สดุ จาก
ขอบของสลกั เกลยี วเสนผาศูนยก ลาง 22 mm เทากับ 38 mm ดงั น้ัน ใช 4.0 cm
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทติ ย SUT 6-20
6-5 สลักเกลยี วกําลังสูงรบั แรงดงึ
จุดเช่ือมตอสลกั เกลียวท่ีถูกกระทําโดยแรงดงึ ดังท่แี สดงในรูปท่ี 6-12 จะถกู ใชในระบบคา้ํ ยันเพอ่ื ตานทานตอแรงลม
ในอาคารสูงและเปน จุดเช่อื มตอของโครงสรา งทรี่ องรับระบบทอในอาคาร เปน ตน
เม่ือแรงดึงกระทาํ ตอสลกั เกลียวแลว เราจะพิจารณาสลักเกลียวไดเ ปน 2 กรณคี ือ ถา สลกั เกลียวไมไดถ ูกขนั ใหแ นน
แลว แรงดึงทเ่ี กิดข้ึนในสลักเกลยี วจะมคี า เทา กบั แรงกระทาํ แตถ า สลักเกลียวถูกขนั ใหแนนกอนแลว สวนหนึ่งของแรงดึงจะถูก
ตานโดยแรงตงึ ทอี่ ยใู นสลักเกลยี ว
รูปที่ 6-12
พจิ ารณา free-body diagram ของจุดเชอื่ มตอ ดงั ทล่ี อ มรอบโดยเสนประในรปู ท่ี 6-12 และรปู ท่ี 6-13a ซ่ึงยงั ไมถ กู
กระทาํ โดยแรงดึงภายนอก กําหนดให To เปนแรงตงึ ท่เี กิดขึน้ ในสลกั เกลยี วเน่อื งจากการขนั สลกั เกลียวใหแ นนและ No เปน
แรงยดึ ต้งั ฉาก (normal clamping force) ที่เกิดขึ้นท่ีผิวสมั ผัสของช้ินสวนทถ่ี กู เช่ือมตอ (ซ่ึงจะสมมตุ ใิ หม ีการกระจายแบบคงท่)ี
จากสมการความสมดลุ เราจะไดว า
To = N o
รปู ท่ี 6-13
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-21
เม่อื มีแรงดึงภายนอก P กระทําตอ จุดเชอ่ื มตอ ซ่งึ จะทาํ ใหเ กิดแรงดึง F (ซึ่งสมมตุ ใิ หม กี ารกระจายแบบคงท่ี) ดังที่
แสดงในรูปท่ี 6-13b แลว แรงดงึ ทีก่ ระทาํ ตอสลักเกลยี วจะมีคาเพมิ่ ข้ึนจากเดิม To เปน T และแรงยึดตั้งฉากท่ีเกิดข้ึนทผ่ี วิ
สัมผัสของชนิ้ สว นทถ่ี กู เช่อื มตอ จะมคี า ลดลงจากเดิม No เปน N ดังน้ัน จาก free-body diagram ของจดุ เช่ือมตอ ดังท่แี สดง
ในรูปท่ี 6-13c เราจะไดว า
T =F+N
แรงดึง F น้ีจะเพ่ิมแรงดงึ ในสลักเกลยี วและจะทาํ ใหเกิดการยืดตวั ในสลกั เกลยี ว δ b ซึ่งจะทําใหเกิดการขยายตัวใน
ช้ินสว นที่ถูกเชอ่ื มตอ δ ft เปนจํานวนเทา กนั ดังน้นั ความหนาของช้นิ สวนทถ่ี กู เชอื่ มตอ และแรงดงึ ในสลกั เกลียวจะมีคา ทไี่ ม
เปล่ียนแปลงไปจากกอนทจ่ี ดุ เช่อื มตอ จะถูกกระทาํ โดยแรงดงึ ภายนอก P พฤติกรรมในลักษณะน้ีจะดําเนินไปจนกระทั่งแรงดึง
F มีคาเทา กับแรงดึงในสลักเกลียว T = F จากจุดนีไ้ ป ถา แรงดึง F มีคาเพิ่มข้นึ อีกเรอ่ื ยๆ แลว ชน้ิ สวนทถี่ กู เช่ือมตอ กจ็ ะ
เกิดการแยกตวั ออกจากกนั และแรงดงึ ในสลักเกลยี วกจ็ ะมคี า เทา กับแรงดึง F
จากพฤติกรรมการรบั แรงของจุดเชือ่ มตอ ดังทก่ี ลา วไปแลว เราจะเห็นไดวา โดยทว่ั ไปแลว เมอื่ แรงดงึ ภายนอก P มี
คาท่ีทําใหเกิดหนวยแรงดึงในสลักเกลียวไมมากนกั แลว หนวยแรงทีเ่ กิดขึน้ ในจดุ เชอื่ มตอกจ็ ะมีการเปลี่ยนแปลงทีไ่ มม ากนัก ดัง
นั้น เราจะหาคาแรงดึงภายนอก P ที่ยอมใหกระทาํ ตอจดุ เชือ่ มตอรบั แรงดึงไดจ ากสมการ
P = Ft Ag
โดยที่ Ft เปน คา หนวยแรงดึงทีย่ อมให ดงั ทแี่ สดงในตารางที่ 6-3
Ag เปนพืน้ ที่หนา ตดั ของสลกั เกลียวสทุ ธิ (ไมรวมฟน เกลยี ว)
Prying Action
พิจารณาจุดเชอ่ื มตอรับแรงดึง ซึง่ มีชนิ้ สว นทถ่ี ูกเชือ่ มตอ ที่บาง ดังท่ีแสดงในรูปที่ 6-14a ภายใตก ารกระทําของแรงดงึ
ช้ินสวนทีถ่ ูกเชอ่ื มตอ จะเกิดการโกง ตวั ขนึ้ ดังทแ่ี สดงในรปู ท่ี 6-14b ซ่ึงเรียกวา prying action แตถา ช้นิ สว นทถี่ ูกเชอื่ มตอ มี
ความหนาและแกรง มากหรอื ถา ช้นิ สว นทถ่ี กู เช่อื มตอ ถกู เสริมโดยใช stiffener อยา งเพียงพอ ดังทแี่ สดงในรูปท่ี 6-14c แลว
prying action ก็จะไมเกดิ ข้นึ
รูปที่ 6-14
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชัย แสงอาทิตย SUT 6-22
6-6 สลักเกลยี วรองรับแรงเฉือนและแรงดึงรว มกัน
ในบางกรณี จุดเชือ่ มตอ สลกั เกลียวจะถกู กระทาํ โดยแรงดึงและแรงเฉอื นพรอ มกนั ดังเชน ที่แสดงในรปู ที่ 6-15 ซึ่งเปน
จุดเชอื่ มตอ ท่ที ําดว ยเหลก็ รูปตวั tee เช่ือมตอ เขากบั flange ของเสาในระบบค้ํายนั ของโครงสราง ในกรณนี ้ี สลกั เกลียวท้งั สี่จะ
ถูกกระทําโดยแรงดงึ ขนาด 0.8P และแรงเฉือนขนาด 0.6P ผานจุดศนู ยถว ง (center of gravity) ของจุดเชือ่ มตอ
รูปท่ี 6-15
จากการทดสอบสลักเกลียวแบกทาน ซึ่งถกู กระทาํ โดยแรงดึงและแรงเฉือนพรอมกัน พบวา คากําลงั สงู สุดของจุดเชือ่ ม
ตอจะมีความสัมพนั ธอยใู นรปู ของสมการ interaction แบบวงรี ดงั ทแี่ สดงในรปู ท่ี 6-16 และคา หนว ยแรงดงึ ทีย่ อมใหเ กดิ ในจดุ
เช่อื มตอ แบบน้ี ft จะหาไดจ ากสมการ
ft = Ft Fv2 − f 2
Fv v
โดยที่ Ft เปนคา หนว ยแรงดงึ ที่ยอมใหในกรณที ีไ่ มม แี รงเฉือนกระทําพรอ มกนั
Fv เปนคาหนว ยแรงเฉือนทย่ี อมใหใ นกรณที ี่ไมมแี รงดึงกระทําพรอ มกัน
fv เปนคา หนวยแรงเฉือนท่ีเกดิ ข้นึ
อยางไรก็ตาม ASD specification ไดประมาณความสัมพันธด งั กลาวใหอยรู ูปของสมการเสนตรงสามเสน และคา
หนวยแรงดงึ ท่ียอมใหเ กดิ ในจดุ เช่อื มตอแบบน้ี ft จะหาไดจ ากสมการ
ft = C1 − C2 fv
โดยทีค่ า คงท่ี C1 และ C2 จะข้ึนอยูกบั ชนิดของสลักเกลียวและประเภทของจุดเชื่อมตอ ดังทแ่ี สดงในตารางท่ี 6-5
รปู ท่ี 6-16
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-23
ตารางท่ี 6-5 หนวยแรงท่ียอมใหส าํ หรบั สลักเกลยี วเม่ือถูกกระทําโดยแรงดงึ และแรงเฉอื นรว มกัน (ASD specification)
ชนดิ ของของสลกั เกลียว หนวยแรงทยี่ อมให (kg/cm2 )
A307 Ft ≤ 1,960 −1.6 fv ≤ 1,400
A325 และ A449 แบบใชแ รงเสยี ดทาน Fv ≤ 1,0501 − ft Ab
Tb
แบบใชแรงแบกทาน
แบบใชแ รงเสียดทาน Ft ≤ 3,500 −1.6 fv ≤ 2,800
A490 แบบใชแรงแบกทาน Fv ≤ 1,4001 − ft Ab
Tb
Ft ≤ 4,900 −1.6 fv ≤ 3,780
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทิตย SUT 6-24
ตัวอยางที่ 6-6
เหลก็ หนา ตดั W250 × 72.4 kg/m ถูกนํามาตดั ท่คี ร่งึ หน่งึ ของความลึกถกู ใชเ ปนแปน หูชา ง (bracket) เพื่อถายแรง
25,000 kg ลงเสาหนา ตัด W350 ×137 kg/m ดงั ที่แสดงในรูปที่ Ex 6-6 แปนหูชา งถูกยึดเขา กับเสาดว ยสลกั เกลียว
A325 เสนผาศูนยก ลาง 20 mm สี่ตัว สมมุติวาการจดั ระยะสลักเกลยี วเปนไปตามทีม่ าตรฐานกาํ หนด จงตรวจสอบวาสลัก
เกลียวดังกลาวเพยี งพอท่ีจะรบั แรงกระทําหรือไม เม่อื จุดเชอ่ื มตอ เปน ใชแรงแบกทาน โดยทเี่ กลยี วอยใู นระนาบของแรงเฉอื น
รูปท่ี Ex 6-6
ตรวจสอบหนว ยแรงเฉือน
จากตารางท่ี 6-3 หนว ยแรงเฉอื นท่ยี อมใหของสลักเกลยี ว A325 เม่ือจุดเชื่อมตอเปนใชแ รงแบกทาน โดยที่เกลียวอยู
ในระนาบของแรงเฉือน
Fv = 1,050 kg/cm2
แรงเฉือนมีคาเทา กับ = 3 (25,000) = 15,000 kg
5
Ab = π (2.22 ) = 3.80 cm2
4
fv = 15,000 = 986.8 kg/cm2 < Fv O.K.
4(3.80)
ตรวจสอบหนว ยแรงแบกทาน
จากตารางที่ 6-3
Fp = 1.35Fy = 1.35(2,400) = 3,240 kg/cm2
เนื่องจากปก ของเสามีความหนามากกวา ปก ของแปน หชู าง ดงั น้นั หนวยแรงแบกทานของแปนหูชา งจะควบคมุ
A = dbt f = 2.2(1.4) = 3.08 cm2
fp = 15,000 = 1,217.5 kg/cm2 < Fp O.K.
4(3.08)
ตรวจสอบหนวยแรงดงึ
จากตารางที่ 6-5 หนวยแรงทยี่ อมใหส ําหรบั สลักเกลยี วใชแรงแบกทานโดยท่ีเกลยี วอยใู นระนาบของแรงเฉอื น เมอื่ ถูก
กระทําโดยแรงดึงและแรงเฉอื นรวมกัน
Ft = 3,500 −1.6 fv = 3,500 −1.6(986.8) = 1921.12 kg/cm2 ≤ 2,800 kg/cm2
ดงั นัน้ Ft = 1,921.12 kg/cm2
แรงดึง = 4 (25,000) = 20,000 kg
5
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-25
ft = 20,000 = 1,315.8 kg/cm2 < Ft O.K.
4(3.80)
ดังน้ัน สลักเกลียวดงั กลา วเพยี งพอที่จะรับแรงกระทาํ
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทติ ย SUT 6-26
6-7 จดุ เช่อื มตอโดยการเชอ่ื ม
การเชื่อมไฟฟาเปนขบวนการหน่งึ ท่ีใชใ นการเชื่อมตอ ชน้ิ สวนของโครงสรา งเหลก็ เขาดวยกันโดยใชความรอ นท่ีเกดิ จาก
การ arc ของกระแสไฟฟา ระหวา งช้ินสวนของโครงสรา งเหลก็ และเนอ้ื โลหะของธูปเชอ่ื ม (electrode) โดยทเี่ นอื้ โลหะดังกลาวจะ
ทําหนาทเี่ ปน ตัวประสานชนิ้ สว นของโครงสรา งเหลก็ ใหเปนเนอื้ เดียวกันเมื่อรอยเชอ่ื มเยน็ ตัวลง
รูปที่ 6-17a แสดงรอยตอ ทาบ (lab joint) ขององคอาคารรบั แรงดงึ ท่ไี ดจ ากการเชื่อมปลายของแผน เหล็กแผนหน่ึงเขา
กับแผน เหล็กอีกแผน หนึง่ รูปท่ี 6-17b เปนการเชื่อมตอแผนเหลก็ 3 แผนเขา ดว ยกนั เพือ่ ประกอบเปน หนา ตัดรูปตัว W
รูปที่ 6-17
การควบคุมคณุ ภาพของรอยเช่ือมกระทาํ ไดค อ นขางยาก เนือ่ งจากไมส ามารถตรวจสอบความผดิ พลาดท่ีเกดิ ขึ้นใตผวิ
ของรอยเชื่อมไดดวยตาเปลา ดังนั้น ในงานท่ีมีความสําคัญ ชางเชื่อมควรท่ีจะไดรับการรับรองคุณสมบตั แิ ละฝมอื การเชอื่ ม
อยางเหมาะสม และรอยเช่ือมจะตองถูกตรวจสอบโดยใชเทคนิคการฉายรังสี (radiography) หรืออลุ ตรา โซนิค (ultrasonic)
ชนิดของรอยเชือ่ มท่ีใชโดยทั่วไปจะถูกแบงออกเปน 2 ประเภทคือ รอยเช่อื มพอก (fillet weld) และรอยเชอื่ มเซาะรอง
(groove weld)
รอยเช่ือม ดังท่แี สดงในรูปท่ี 6-17 เรียกวา รอยเชอ่ื มพอก ซึง่ เปนรอยเชอ่ื มท่ถี กู นาํ มาใชง านมากท่ีสุด เนือ่ งจากความ
งายในการเชื่อมตอ ช้ินสว นโครงสรางเขา ดวยกัน โดยเฉพาะการเชอ่ื มในสถานท่กี อสรา ง อยา งไรกต็ าม รอยเช่ือมพอกจะมกี ําลงั
ความตานทานตอแรงกระแทก และแรงกระทําซ้าํ ตํา่ กวา รอยเช่ือมเซาะรอ ง
รอยเชื่อม ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ 6-18 เรียกวา รอยเชือ่ มเซาะรอ ง ซึ่งแบงออกไดอกี 2 ประเภทคือ รอยเชื่อมเซาะรอ งลึก
เตม็ หนา ดังทแ่ี สดงในรปู ที่ 6-18a และรอยเชื่อมเซาะรองไมล กึ เตม็ หนา ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ 6-18b
รปู ที่ 6-18
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ัย แสงอาทติ ย SUT 6-27
โดยทั่วไปแลว ในการเชือ่ มเซาะรอง ถา แผน เหล็กมคี วามหนาคอนขา งมาก (มากกวา 8 mm ) แลว หนา ตัดของแผน
เหล็กที่จะถกู เชื่อมจะตอ งถกู บากเปน รูปตวั วี เพ่อื ใหการประสานของรอยเชือ่ มเกดิ ข้ึนอยางสมบรู ณ
รอยเชื่อมเซาะรองมักจะมีความหนามากกวาแผนเหล็ก เพื่อเสริมกําลังใหรอยเชื่อมและเพ่ือความงายในการเช่ือม
อยางไรก็ตาม ในโครงสรา งทถี่ กู กระทําโดยแรงสัน่ สะเทือนและแรงกระทําซาํ้ เราจะตอ งเจยี รสวนเกินดังกลา วออก เพอ่ื ลดผล
ของ stress concentration ท่ีเกิดข้ึนที่จุดดงั กลา ว ซ่ึงเปนสาเหตทุ าํ ใหกําลังรับแรงส่นั สะเทอื นและแรงกระทาํ ซา้ํ ของรอยเชอื่ มมี
คาลดลง
รูปท่ี 6-19 แสดงรอยเชอื่ มอดุ รู (plug หรอื slot weld) โดยท่ีแผน เหลก็ แผนหนึ่งจะถูกเจาะเปนรยู าวหรอื รูกลม จากน้ัน
ทําการเช่ือมตามขอบของรเู จาะใหเตม็ รอยเชื่อมชนดิ นไ้ี มไดรับความนยิ มนัก เน่ืองจากรอยเช่ือมแบบนจี้ ะถกู ตรวจสอบไดย าก
และกําลงั รบั แรงดึงของรอยเชอ่ื มชนดิ นีจ้ ะขึ้นอยกู ับความลกึ ที่รอยเช่ือมกินเขา ไปในเนือ้ ของแผนเหล็กเปน หลกั
รปู ท่ี 6-19
6-8 ขอ กาํ หนดของการเชอ่ื ม
ในการเชื่อมไฟฟา กําลงั ของเหลก็ ธูปเชอื่ มควรจะมคี าเทา กับกําลงั ของแผน เหล็กทีถ่ ูกเช่ือม มาตรฐาน ว.ส.ท. กาํ หนด
ใหหนวยแรงท่ียอมใหสําหรับรอยเชื่อมมีคาเทากับหนวยแรงเฉือนท่ียอมใหสําหรับแผนเหล็กท่ีเชื่อมตอ เชน ถาแผนเหล็กมี
Fy = 2,500 kg/cm2 แลว หนวยแรงท่ียอมใหข องรอยเชอ่ื มจะมคี า เทากบั Fv = 0.4Fy = 1,000 kg/cm2 เปนตน
อยา งไรก็ตาม ASD Specification ไดกําหนดหนวยแรงที่ยอมใหข องรอยเชือ่ มแบบตา งๆ ไวดงั ที่แสดงในตารางที่ 6-6 โดยที่
Fu เปนคากําลงั รับแรงดึงของเหลก็ ธปู เชอ่ื ม
ในการออกแบบรอยเช่ือมพอก (fillet weld) หนาตัดของรอยเชอ่ื มจะถกู สมมตุ ใิ หมีรูปรา งเปนสามเหลย่ี มมมุ ฉากท่ที ํา
มุม 45o ดังที่แสดงในรูปที่ 6-20 และการวิบัตขิ องรอยเชือ่ มจะถกู สมมุติใหเ ปน การวบิ ตั ิเนื่องจากแรงเฉือน เน่อื งจากรอยเชอ่ื ม
พอกมีกําลังรับแรงเฉือนท่ีตํ่า เมื่อเทียบกับกําลังรับแรงดึงและกําลังรับแรงกดอัด โดยท่ีระนาบของการวิบัติดังกลาวจะเปน
ระนาบของคอเชอ่ื ม (throat) และความยาวของคอเช่อื มจะเปนระยะทวี่ ดั ตงั้ ฉากจากเสน ตรงท่ีเชื่อมตอ ระหวางปลายของรอย
เชอื่ มไปยังราก (root) ของรอยเชอื่ ม ซึง่ จะมีคาเทากับ 0.707 เทาของขนาดของรอยเชอ่ื ม a ดังนน้ั ถากาํ หนดใหร อยเช่อื มมี
ความยาว L และถกู กระทําโดยแรง P แลว คา ของหนว ยแรงเฉอื น fv ที่เกิดข้นึ จะหาไดจ ากสมการ
fv = P
0.707aL
ในกรณที เี่ ราทราบคา หนวยแรงเฉอื นทยี่ อมให Fv แลว คา แรง P สูงสุดที่รอยเชอ่ื มสามารถรบั ไดจ ะหาไดจ ากสมการ
P = 0.707 aLFv
จากตารางที่ 6-6 จะเห็นไดว า กําลังของรอยเชอ่ื มพอกจะขน้ึ อยกู บั ชนดิ ของธูปเชื่อม โดยทก่ี ําลังของธูปเช่ือมจะเปนคา
กําลังรับแรงดงึ สูงสดุ ของโลหะที่ใชท ําธูปเช่ือม ซึง่ โดยทั่วไปแลว จะมคี า 60, 70, 80, 90, 100, 110 ksi แตกําลังของธปู เชือ่ มท่ี
นิยมใชมากท่ีสดุ คอื 60 ksi และ 70 ksi ซึ่งมักจะถูกเรียกโดยใชส ญั ลกั ษณ E ขึ้นตนแลว ตามดว ยกาํ ลงั รับแรงดึงของธูป
เชื่อมซ่ึงเปนตวั เลข 2 หลัก และชนิดของการเคลือบธปู เชือ่ มซ่งึ เปนตวั เลข 2 หลักหรือสญั ลักษณ XX เชน
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย SUT 6-28
E60XX เปนธูปเชื่อมท่มี กี ําลังรับแรงดงึ สูงสดุ 60 ksi
E70XX เปนธปู เชอื่ มที่มีกาํ ลังรบั แรงดึงสูงสดุ 70 ksi
ดังน้ัน จากตารางท่ี 6-6 คา หนว ยแรงเฉอื นที่ยอมให Fv ของธูปเช่อื ม E60XX และ E70XX จะมคี าเทากบั
E60XX : Fv = 0.3(60) = 18 ksi หรอื 1,260 kg/cm2
E70XX : Fv = 0.3(70) = 21 ksi หรอื 1,470 kg/cm2
ตารางที่ 6-6 หนวยแรงทยี่ อมใหข องรอยเชื่อมแบบตางๆ (ASD Specification)
ชนิดของรอยเชอื่ มและหนว ยแรง หนว ยแรงท่ยี อมให กําลังของธูปเชื่อมทต่ี องการ
รอยเชอ่ื มเซาะรองลกึ เต็มหนา
1. แรงดงึ ตงั้ ฉากกับพน้ื ที่ประสิทธผิ ล เชนเดียวกับเหล็กทถี่ กู เชอ่ื ม เทากบั เหล็กท่ถี ูกเชอื่ ม
2. แรงกดอดั ตั้งฉากกับพ้นื ทีป่ ระสทิ ธผิ ล “ “ เทา กับหรือตํา่ กวา เหล็กท่ถี ูกเชื่อม
3. แรงดงึ และแรงกดอดั ขนานกับแกนของรอยเช่ือม “ “ ““
4. แรงเฉือนบนพืน้ ที่ประสิทธผิ ล 0.3Fu ““
รอยเช่ือมเซาะรอ งลกึ ไมเ ต็มหนา
1. แรงกดอดั ตัง้ ฉากกับพน้ื ที่ประสิทธิผล เชนเดียวกบั เหลก็ ทถี่ กู เชอ่ื ม เทา กบั หรอื ตํ่ากวา เหลก็ ทถ่ี ูกเชอ่ื ม
2. แรงดงึ และแรงกดอดั ขนานกบั แกนของรอยเช่อื ม “ “ ““
3. แรงเฉือนขนานกับแกนของรอยเชื่อม 0.3Fu แต fv ≤ 0.4Fy ““
4. แรงดงึ ตงั้ ฉากกบั พ้นื ท่ีประสทิ ธิผล 0.3Fu แต ft ≤ 0.6Fy ““
รอยเช่ือมพอก
1. แรงเฉือนบนพ้ืนท่ีประสทิ ธิผล 0.3Fu แต fv ≤ 0.4Fy เทากับหรอื ตํา่ กวา เหลก็ ทีถ่ กู เช่ือม
2. แรงดึงและแรงกดอดั ขนานกับแกนของรอยเชอ่ื ม
เชนเดียวกบั เหลก็ ท่ีถกู เชอ่ื ม ““
รอยเชอ่ื มอุดรู
1. แรงเฉอื นขนานกับผวิ บนพืน้ ท่ปี ระสทิ ธิผล 0.3Fu แต fv ≤ 0.4Fy เทา กับหรอื ตํ่ากวาเหล็กที่ถูกเชือ่ ม
รปู ที่ 6-20
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทติ ย SUT 6-29
ขนาดของรอยเชือ่ ม
ขนาดต่ําสดุ ของรอยเชอ่ื ม a จะข้นึ อยกู ับความหนา t ของแผนเหลก็ ดังที่แสดงในตารางท่ี 6-7 ซง่ึ เปน ไปตามมาตร
ฐานของ ว.ส.ท. และตารางที่ 6-8 ซง่ึ เปนไปตามขอกาํ หนด ASD specification อยางไรกต็ าม ขนาดรอยเชอื่ มพอกทเี่ ล็กท่สี ุด
คือ 3 mm และขนาดทปี่ ระหยดั คอื 8 mm
ตารางที่ 6-7 ขนาดรอยเชอ่ื ม a ของรอยเชอ่ื มพอกตํา่ สุด (มาตรฐาน ว.ส.ท.)
ความหนาของแผนเหล็ก ( mm ) ขนาดรอยเชื่อม ( mm )
t≤6 a = tmin หรือ 1.5tmin แต ≤ 6
6 < t ≤ 10 4 ≤ a < tmin หรอื ≥ 1.3 tmax
10 < t ≤ 16 a = tmin
t > 16
a ≥ t / 2 แต < 16
ตารางท่ี 6-8 ขนาดรอยเชอ่ื ม a ของรอยเชอื่ มพอกตา่ํ สุด (ASD specification)
ความหนาของแผน เหล็กท่ีหนากวา ( mm ) ขนาดรอยเชื่อม ( mm )
t≤6 3
6 < t ≤ 12 5
12 < t ≤ 18 6
8
t > 18
ความยาวตํ่าสุดของรอยเช่อื มและการออ มมมุ (End Returns)
ความยาวตํา่ สดุ ของรอยเชอื่ มพอก (fillet weld) L จะข้ึนอยูกบั ขนาดของรอยเชือ่ ม a และความหนา t ของแผน
เหล็กและจะตองมีความยาวมากกวาระยะหางระหวางรอยเช่ือม w ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 6-21 ซ่ึง w จะตองมีคาไมเกิน
200 mm
รปู ที่ 6-21
จุดตอ ทาบ (lab joint) เราจะตองทําการเชอ่ื มอุม มมุ (end returns) ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ 6-22 เพือ่ ลด stress
concentration ที่เกิดขึ้นท่ีปลายของรอยเชื่อมตอ โดยเฉพาะอยางยง่ิ ในจุดตอ ทีร่ บั แรงท่ีกระทําซ้าํ ไปมาและแรงเยื้องศนู ย โดย
ASD Specification กําหนดใหก ารออ มมมุ (End Returns) ตอ งมคี วามยาวอยา งนอ ยท่สี ุด 2a
ตารางท่ี 6-9 แสดงความยาวต่ําสุดของรอยเช่ือมพอกซ่ึงเปนไปตามมาตรฐานของ ว.ส.ท. และขอกาํ หนด ASD
specification
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย SUT 6-30
รูปที่ 6-22
ตารางท่ี 6-9 คาตาํ่ สดุ ของความยาวของรอยเชอื่ มพอก (มาตรฐานของ ว.ส.ท. และASD specification)
ประเภท คาตาํ่ สดุ ของความยาวของรอยเชอื่ มพอก L ( mm )
มาตรฐาน ว.ส.ท. ASD specification
รอยเชอ่ื มพอก L ≥ 10a หรือ 40 mm L ≥ 4a
ในจดุ ตอทาบ (lab joint) ตามยาว L ≥ 5tmin หรอื 30 mm
ในจุดตอทาบ (lab joint) อมุ มุม L ≥ 5tmin หรือ 25mm
L ≥ 2a
L ≥ 2a
สัญลกั ษณของการเชอื่ ม
รอยเชื่อมจะถูกระบุอยใู นแบบกอ สรางโดยใชส ญั ลักษณม าตรฐานของการเชอ่ื ม โดยจะตองแสดงถงึ ชนดิ ของการเช่ือม
ตําแหนง ของรอยเช่อื ม และลกั ษณะของการเชื่อม ตารางท่ี 6-10 แสดงตวั อยางของการใชสัญลักษณของการเช่ือม
สัญลกั ษณ ตารางท่ี 6-10 ตัวอยางของการใชส ัญลักษณของการเช่อื ม
ความหมาย
การเชือ่ มทาบดา นใกล (ตรงหัวลกู ศร) ขนาดของการเชือ่ ม 6 mm และเช่อื มยาว 150
mm
การเชื่อมทาบดานไกล (ดา นตรงขาม) ขนาดของการเช่อื ม 12 mm และเชอื่ มยาว 50
mm โดยเวนระยะ 150 mm
การเช่อื มทาบแบบเชื่อม 2 ดาน ขนาดของการเชื่อม 6 mm และเชือ่ มยาว 150 mm
การเช่ือมทาบดา นใกลขนาดของการเชื่อม 6 mm และเช่อื มยาว 150 mm โดยรอบ
การเชื่อมทาบดา นใกลข นาดของการเชื่อม 6 mm และเชอ่ื มยาว 150 mm โดยรอบ
ใชธูปเชื่อม E70
การเชอ่ื มทาบแบบเช่ือม 2 ดา น ขนาดของการเชื่อม 6 mm และเชื่อมยาว 150 mm
และใหเชอ่ื มในสนาม
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ัย แสงอาทติ ย SUT 6-31
ตวั อยา งที่ 6-7
แทงเหล็กแบนซง่ึ เปนองคอาคารรบั แรงดึงถูกเช่อื มตอ เขากบั แผนประกับ (gusset plate) ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ Ex 6-7
กําหนดใหรอยเช่ือมเปนรอยเชือ่ มพอก (fillet weld) ที่มีขนาด 5 mm ซึ่งเชือ่ มโดยใชธ ูปเชื่อม E70XX และใหแทง เหล็กแบน
และแผน ประกับมกี าํ ลังเพียงพอ จงหากาํ ลงั ของรอยเชือ่ ม
รปู ท่ี Ex 6-7
เน่ืองจากรอยเช่ือมมีความสมมาตรรอบแกนขององคอาคารรับแรงดึง ดังนั้น แตละสวนบนรอยเชื่อมจะรองรับแรง
กระทําเทา ๆ กัน ซ่ึงจุดเชอ่ื มตอ แบบนเ้ี รียกวา simple connection
จากตารางที่ 6-6 หนว ยแรงเฉอื นบนพืน้ ท่ีประสทิ ธิผลของรอยเชือ่ มพอก
Fv = 0.3Fu = 0.3(70 ksi) = 1,470 kg/cm2
P = 0.707 × size × length × Fv
= 0.707(0.5)(10 + 10)(1,470) = 10,393 kg
ตวั อยางท่ี 6-8
กําหนดใหจ ดุ เช่อื มตอ ในตัวอยางท่ี 6-7 รองรับแรงดึง 15,000 kg จงหาความยาวของรอยเชื่อมพอก (fillet weld) ที่
มขี นาด 5 mm ซึ่งเชื่อมโดยใชธ ูปเช่อื ม E70XX
กําลังของรอยเชือ่ มพอกบนพน้ื ท่ีประสิทธิผลทมี่ ีความยาว 1cm
0.707 × size ×1.0 cm × Fv = 0.707(0.5)(1.0)(1,470) = 519.6 kg/cm
ความยาวของรอยเชอื่ มพอก (fillet weld) ที่ตองการ
15,000 kg = 28.8 cm
519.6 kg/cm
ใชความยาวของรอยเชือ่ ม 30 cm โดยจดั วาง 15 cm บนแตละดานของแผนเหลก็
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 6-32
ตวั อยางท่ี 6-9
แผนเหล็กขนาดหนา ตดั 200 ×19 mm ตามมาตรฐาน มอก. 55-2516 ถกู ใชเปนองคอ าคารรบั แรงดงึ และเชอื่ มตอ
เขา กับแผนประกบั (gusset plate) ดังที่แสดงในรูปท่ี Ex 6-9a กําหนดใหจดุ เชื่อมตอ มคี วามยาวไดไ มเ กิน 20 cm และรอย
เช่ือมจะตอ งอยูดานใกล จงออกแบบรอยเช่ือมใหม ีกําลงั อยางนอยเทา กับกาํ ลงั ขององคอาคารรบั แรงดึง
รูปที่ Ex 6-9
กําลังรบั แรงดึงขององคอ าคารรบั แรงดงึ
T = 0.60Fy Ag = 0.60(2,400)(20 ×1.9) = 54,720 kg
ใชธ ปู เชอ่ื ม E70XX , จากตารางท่ี 6-6 หนว ยแรงเฉือนบนพน้ื ท่ปี ระสทิ ธิผลของรอยเช่อื มพอก
Fv = 1,470 kg/cm2
เน่ืองจากจดุ เชือ่ มตอจะมคี วามยาวไดส งู สุด 20 cm ซ่ึงทําใหรอยเชอ่ื มมคี วามยาวไดสงู สุดเทา กบั 20 + 20 + 20
= 60 cm ดังนั้นกาํ หนดใหรอยเช่อื มมคี วามยาว 60 cm และเนื่องจาก P = 0.707 aLFv ดังน้ัน
a= P = 54,720 = 0.88 cm
0.707LFv 0.707(60)1,470
จากตารางท่ี 6-7 ขนาดรอยเชอื่ ม a ของรอยเชอื่ มพอกตํ่าสุดตามมาตรฐาน ว.ส.ท. พบวา
amin = t / 2 = 19 / 2 = 9.5 mm O.K.
amax = 16 mm
ดังนัน้ ใชร อยเชื่อมพอกขนาด 10 mm ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ Ex 6-9b
ตรวจสอบกําลงั รับแรงเฉอื นของแผน ประกบั
= 0.40FvtL = 0.40(2,400)[1.2 × 60] = 69,120 kg > 54,720 kg
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรยี งโดย ผศ.ดร. สิทธิชัย แสงอาทติ ย SUT 6-33
ตวั อยา งท่ี 6-10
แทงเหล็กขนาดหนา ตดั 100 ×12 mm ตามมาตรฐาน มอก.55-2516 ถูกใชเ ปน องคอ าคารรบั แรงดึงและเชอื่ มตอ
เขา กบั แผน ประกับ (gusset plate) หนา 10 mm ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ Ex 6-10 จงออกแบบรอยเช่ือม เมอ่ื องคอ าคารรบั แรงดงึ
15,000 kg
รปู ท่ี Ex 6-10
เน่ืองจากแผน ประกบั เปนเหลก็ ตามมาตรฐาน มอก.55-2516 ดังน้ัน ใชธปู เชือ่ ม E60XX และเนอื่ งจากไมม ีการ
จํากัดความยาวของจุดเชือ่ มตอ ดงั นน้ั จะใชร อยเช่อื มขนาดเล็กทสี่ ดุ
จากตารางท่ี 6-7 ขนาดรอยเชอ่ื ม a ของรอยเชื่อมพอกต่ําสดุ ตามมาตรฐาน ว.ส.ท. พบวา
a = tmin = 10 mm
จากตารางที่ 6-6 หนวยแรงเฉือนบนพ้ืนท่ีประสิทธิผลของรอยเช่ือมพอก
Fv = 1,260 kg/cm2
กําลังรับแรงเฉอื นพอกบนพื้นทปี่ ระสิทธิผลทีม่ ีความยาว 1cm
0.707 × size ×1.0 cm × Fv = 0.707(1.0)(1.0)(1,260) = 890.8 kg/cm
กําลังรับแรงเฉอื นของแผน ประกับ
= 0.40Ftt = 0.40(2,400)1.0 = 960 kg/cm > 890.8 kg/cm O.K.
ความยาวของรอยเช่อื มทีต่ อ งการ = 15,000 = 16.8 cm
890.8
จากตารางท่ี 6-9 คาตํ่าสุดของความยาวของรอยเช่ือมพอกมาตรฐานของ ว.ส.ท.
L ≥ 10a = 10(1.0) = 10 cm หรือ 4.0 cm
ASD Specification กําหนดใหก ารออ มมมุ (End Returns) ตองมคี วามยาวอยางนอ ยท่สี ดุ
2a = 2(1.0) = 2.0 cm
และสําหรบั จดุ เชือ่ มตอในลักษณะน้ี ความยาวของรอยเชอ่ื มดานขางตอ งยาวเทากบั ความกวา งขององคอ าคารรบั แรงดึง ดงั น้นั
ใชธูปเช่ือม E60XX เชือ่ มทางดา นขา ง 8 cm และออ มมมุ 2 cm ท้ังสองขางขององคอ าคารรบั แรงดงึ ซ่งึ เราจะไดค วาม
ยาวของรอยเชื่อมทง้ั หมดเทากับ 20 cm มากกวา ความยาวของรอยเช่ือมทต่ี อ งการ
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชยั แสงอาทิตย SUT 7-1
บทท่ี 7
จดุ เชอ่ื มตอ รับแรงเยือ้ งศูนย
7-1 บทนาํ
จุดเชื่อมตอที่ถูกกระทําโดยแรงเยื้องศูนย (eccentric connections) เปนจุดเช่ือมตอที่แรงกระทําไมไดกระทําผาน
จุดศูนยถวง (center of gravity) ของสลักเกลียวหรือรอยเชื่อม ถาจุดเช่ือมตอมีความสมมาตรแลว จุดศูนยถวงของพ้ืนที่รับแรง
เฉือนของสลักเกลียวหรือรอยเชื่อมจะถูกใชเปนจุดอางอิง และระยะทางตั้งฉากจากแนวแรงถึงจุดศูนยถวงดังกลาวจะเรียกวา
ระยะเยื้องศูนย (eccentricity)
พจิ ารณาจดุ เชือ่ มตอ ของคานเขา กับเสา ดังทแี่ สดงในรปู ที่ 7-1a จดุ เชอ่ื มตอนี้เปนจุดเชื่อมตอท่ีถูกกระทําโดยแรงเย้ือง
ศูนยแบบใชส ลักเกลยี ว
รปู ที่ 7-1
จากรูปที่ 7-1b เราจะเห็นไดวา แรงปฏิกิริยา R ของคานจะกระทําเยื้องศูนยเปนระยะ e จากจุดศูนยถวงของสลัก
เกลียว ดังน้ัน จุดเช่ือมตอน้ีจะถูกกระทําโดยแรงเฉือน R และโมเมนตดัด M = R.e รวมกัน โดยที่สลักเกลียวที่อยูดานบน
ของจุดเชื่อมตอจะถูกกระทําโดยแรงดึงและแรงเฉือนรวมกัน แตสลักเกลียวท่ีอยูดานลางของจุดเชื่อมตอจะถูกกระทําโดยแรง
เฉอื นเทา นั้น
ในกรณีท่ีระยะเยื้องศูนย e มีคานอยมากแลว เราอาจจะพิจารณาจุดเชื่อมตอดังกลาวเปนจุดเชื่อมตออยางงาย
(simple connection) ได
7-2 จุดเช่ือมตอ รับแรงเยื้องศนู ยโดยใชส ลักเกลยี วรับแรงเฉือน
พิจารณาจุดเช่ือมตอของหูชางเขากับเสา ดังท่ีแสดงในรูปที่ 7-2 ซึ่งเปนตัวอยางของจุดเชื่อมตอที่ถูกกระทําโดยแรง
เฉอื นเยอื้ งศนู ย (eccentric shear)
รูปท่ี 7-3a แสดงรูเจาะของสลักเกลียวของจุดเช่ือมตอในรูปท่ี 7-2 ซ่ึงถูกกระทําโดยแรง P ท่ีมีแนวแรงเยื้องศูนยจาก
จดุ ศนู ยถ วงของสลักเกลียว e เมอื่ ทําการยายแรง P มากระทําท่จี ดุ ศูนยถว งของสลักเกลยี วแลว จดุ ศนู ยถว งจะถูกกระทาํ ดวย
โมเมนต M = Pe กําหนดใหแรง P ทําใหเกิดแรง pc และโมเมนต M = Pe ทําใหเกิดแรง pm บนสลักเกลียวแตละตัว
ดังนนั้ เราจะเขยี นแผนภาพของแรง pc และ pm ที่กระทาํ ตอสลักเกลียวไดดังท่แี สดงในรูปท่ี 7-3a โดยที่
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 7-2
pc = P
n
และ n เปน จาํ นวนของสลักเกลียว
รปู ที่ 7-2
รปู ที่ 7-3
แรง pm ทก่ี ระทําตอ สลักเกลียวเนื่องจากโมเมนต M = Pe จะหาไดโดยการพจิ ารณาหนวยแรงเฉอื น fv ที่เกิดขึ้น
ในสลกั เกลยี ว เน่อื งจากการบิดของโมเมนต ดงั น้นั จาก torsion formula
fv = Md
J
โดยท่ี d เปน ระยะทว่ี ัดจากจุดศนู ยถว งของสลกั เกลียวถงึ สลกั เกลยี วที่เราตอ งการหาหนวยแรงเฉอื น
J เปน ผลรวมของ polar moment of inertia ของพื้นทข่ี องสลักเกลยี ว A และจาก parallel axis theorem
n 2
∑J = A d i
i =1
ดงั นนั้ เราจะไดว า
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ัย แสงอาทิตย SUT 7-3
fv = Md
n 2
∑A d i
i =1
และแรงเฉอื นทเี่ กิดขึน้ ในสลักเกลียวแตละตวั จะหาไดจาก
pm = Afv = Md
n 2
∑d i
i =1
โดยการรวม vector ของแรง pc และ pm ที่กระทําตอสลักเกลียวแตละตัว ดังตัวอยางที่แสดงในรูป 7-3b เราจะหา
แรงเฉือนลัพธสูงสุดที่กระทําตอสลักเกลียวได อยางไรก็ตาม วิธีการรวม vector ของแรงดังกลาวคอนขางท่ีจะยุงยากและ
เสยี เวลามาก
วธิ กี ารหน่งึ ท่ีคอ นขางสะดวกในการหาแรงเฉอื นลพั ธส งู สดุ ท่กี ระทาํ ตอ สลกั เกลียวคือ ทําการแตกแรง pc และ pm ท่ี
กระทําตอสลักเกลียวแตละตัวไปยังแกน x และแกน y ดังตัวอยางท่ีแสดงในรูป 7-4 จากน้ัน ทําการรวมแรงลัพธท่ีกระทําตอ
สลกั เกลยี วแตล ะตัว และหาแรงเฉอื นลพั ธสงู สุดเพ่ือนําไปออกแบบ
รูปท่ี 7-4
องคป ระกอบของแรง P ในแนวแกน x และแนวแกน y จะหาไดจากสมการ
pcx = Px และ pcy = Py
n n
เมือ่ กาํ หนดใหจ ดุ เร่ิมตนของแกนอางอิงอยูทีจ่ ดุ ศนู ยถวงของสลกั เกลยี วแลว เราจะไดวา
∑ ∑d 2 = (x2 + y 2 )
และองคประกอบในแนวแกน x ของแรง pm จะหาไดจ าก
y pm y Md y Md My
d d d2 = d (x2 + y2) = (x2 + y2)
=∑ ∑ ∑pmx =
ในทํานองเดียวกัน องคประกอบในแนวแกน y ของแรง pm จะหาไดจาก
∑pmy = Mx
(x2 + y2)
และแรงลพั ธทกี่ ระทาํ กบั สลักเกลียวแตล ะตัวจะหาไดจากสมการ
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 7-4
p = (∑ px )2 + (∑ py )2
∑โดยท่ี px = pcx + pmx
∑ p y = pcy + pmy
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทิตย SUT 7-5
ตัวอยางท่ี 7-1
จงคาํ นวณหาแรงวกิ ฤตทิ ่ีเกิดข้นึ ในสลกั เกลียวของหูชาง (bracket) ดงั ที่แสดงในรูปที่ Ex 7-1a
รูปท่ี Ex 7-1
จุด centroid ของกลุมสลักเกลียวจะหาไดจากการกําหนดใหแกนอางอิงในแนวนอนผานแถวลางสุดของสลักเกลียว
จากนนั้ โดยการใชหลักการของโมเมนต
y = 2(12.5) + 2(20.0) + 2(27.5) = 15.0 cm
n=8
องคประกอบของแรงกระทํา
Px = 1 (20,000) = 8,944 kg ←
5
Py = 2 (20,000) = 17,888 kg ↓
5
จากรูปท่ี Ex 7-1b โมเมนตของแรงกระทํารอบจุด centroid ของกลุมสลกั เกลียวมคี า เทากับ
M = 17,888(30 + 11) − 8,944(35 −15) = 554,528 kg - cm
โดยการพจิ ารณารูปท่ี Ex 7-1c เราจะพบวา สลกั เกลียวทางขวาตวั ลา งสดุ จะถกู กระทาํ โดยแรงลัพธส งู สุด
องคป ระกอบของแรงในสลักเกลียวแตล ะตัวเนอื่ งจากแรงกระทาํ เปนจุดมีคา เทากบั
Pcx = 8,944 = 1,118 kg ←
8
Py = 17,888 = 2,236 kg ↓
8
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชัย แสงอาทติ ย SUT 7-6
เมือ่ กาํ หนดใหจดุ เรม่ิ ตน ของแกนอา งองิ อยูท ีจ่ ดุ ศนู ยถ ว งของสลักเกลยี วแลว เราจะไดวา
∑ ∑d 2 = (x2 + y 2 )
= 8(112 ) + 2[152 + 2.52 + 52 + 12.52 ] = 1,793 cm2
องคประกอบของแรงในสลักเกลยี วแตล ะตวั เนอ่ื งจากโมเมนตบ ดิ มคี าเทากบั
∑pmx = My y2) = 554,528(15) = 4,639.1 kg ←
(x2 + 1,793
∑pmy = Mx y2) = 554,528(11) = 3,402.0 kg ↓
(x2 + 1,793
∑ px = pcx + pmx = 1,118 + 4,639 = 5,757 kg ←
∑ p y = pcy + pmy = 2,236 + 3,402 = 5,638 kg ↓
และแรงลพั ธท ก่ี ระทาํ กับสลกั เกลยี วแตละตวั จะหาไดจากสมการ
( ) ( )∑ ∑p = px 2 + py 2 = 5,7572 + 5,6382 = 8,058 kg
ดังน้ัน แรงวิกฤติทีเ่ กิดขึ้นในสลกั เกลยี วจะมีคา เทากับ 8,058 kg โดยมีทศิ ทางดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี Ex 7-1c
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธิชัย แสงอาทติ ย SUT 7-7
7-3 จดุ เชอื่ มตอ รบั แรงเยื้องศนู ยโดยใชสลักเกลยี วรบั แรงเฉอื นและแรงดึงรวมกัน
ตามที่ไดกลา วไปแลว ในจุดเชื่อมตอของคานเขากับเสา ดังที่แสดงในรูปท่ี 7-5 นั้น แรงปฏิกิริยาของคาน P ที่มีระยะ
เยื้องศูนย e จะทําใหเกิดแรงดึงและแรงเฉือนกระทําตอจุดเช่ือมตอ โดยที่สลักเกลียวแถวบนของจุดเชื่อมตอจะถูกกระทําโดย
แรงดึงรว มกบั แรงเฉือน และสลักเกลียวแถวลา งของจุดเช่อื มตอ จะถกู กระทาํ โดยแรงเฉอื นเทา นัน้
ในกรณีที่สลักเกลียวมีแรงตึงเร่ิมแรกเนื่องจากการขัน เราจะสมมุติใหแกนสะเทิน (neutral axis) ของสลักเกลียว
ท้ังหมดผานจุดศูนยถวงของสลักเกลียว ดังน้ัน หนวยแรงแรงดึง ft ที่เกิดข้ึนในสลักเกลียวแตละตัว เนื่องจากโมเมนต
M = Pe จะหาไดโดยใชส มการ flexural formula
ft = (Pe) y
I
โดยท่ี y เปน ระยะที่วดั จากแกนสะเทินถึงสลักเกลียวท่พี จิ ารณา
I เปน moment of inertia ของพื้นทที่ ัง้ หมดของสลักเกลียวรอบแกนสะเทิน
และแรงดงึ ทีเ่ กดิ ขนึ้ จะมีคา เทากับ ft A ซงึ่ จะตองมีคา นอ ยกวาหนวยแรงดึงที่ยอมให Ft ดงั ทแี่ สดงในตารางที่ 6-5
รปู ที่ 7-5
ในกรณีท่ีสลักเกลียวไมมีแรงตึงเริ่มแรก แกนสะเทินของสลักเกลียวท้ังหมดจะอยูที่ระยะประมาณ 1/6 ถึง 1/7 ของ
ความยาวของจุดเช่ือมตอเมื่อวัดจากปลายลางสุดของจุดเช่ือมตอ และการกระจายของหนวยแรงท่ีเกิดข้ึนจะมีลักษณะดังท่ี
แสดงในรูปท่ี 7-6
รูปท่ี 7-6
เอกสารประกอบการสอนวิชา Steel Design เรียบเรยี งโดย ผศ.ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย SUT 7-8
ตัวอยา งที่ 7-2
จงคาํ นวณหาแรงเฉอื นและแรงดึงท่เี กิดข้นึ ในสลักเกลยี วของจดุ เช่อื มตอ ดังทีแ่ สดงในรูปที่ Ex 7-2
รปู ท่ี Ex 7-2
จากหลักการสมดุลของแรง จุดเชื่อมตอ จะถูกกระทําโดยแรงเฉือนขนาด 18,000 kg และแรงคูควบ (couple) ขนาด
18,000(7.5) = 135,000 kg - cm
แรงเฉอื นทสี่ ลักเกลียวแตละตัวรองรบั
V = 18,000 = 4,500 kg
4
จากรปู ที่ Ex 7-2b moment of inertia ของพื้นทีข่ องสลกั เลยี วท้ังหมดรอบแกนสะเทิน (neutral axis)
I = 4[ A(52 )] = 100A cm2
หนว ยแรงดึงทเี่ กดิ ข้นึ ในสลกั เกลยี วแตละตวั
ft = My = 135,000(6.25) = 8,437.5
I 100 A A
แรงดงึ ทสี่ ลักเกลยี วแตละตัวรองรบั
T = Af t = A 8,437.5 = 8,437.5 kg
A
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรียบเรียงโดย ผศ.ดร. สทิ ธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 7-9
ตัวอยางที่ 7-3
จุดเชื่อมตอของ beam-column ทําดวยเหล็กหนาตัด T (ไดจากการนําเหล็กหนาตัด W200× 83.69 kg/m มา
ตัดท่ีคร่ึงหน่ึงของความลึก) ยึดดวยสลักเกลียว A307 เสนผาศูนยกลาง 19 mm เขากับปก (flange) ของเสา ดังที่แสดงใน
รปู ท่ี Ex 7-3 กําหนดใหเหลก็ เปน เหล็กโครงสรา งรปู พรรณ Fe 24 ตาม มอก.116-2529 จงตรวจสอบกําลังของจุดเชอ่ื มตอ
รูปท่ี Ex 7-3
หนว ยแรงเฉือน:
จากตารางที่ 6-3 หนวยแรงเฉือนท่ยี อมใหของสลกั เกลียว A307
Fv = 700 kg/cm2
fv = 15,000 / 8 = 661.4 kg/cm2 < Fv O.K.
2.835
หนว ยแรงแบกทาน:
ระยะหางของสลกั เกลียว: 3d = 3(1.9) = 5.7 cm < 7.5 cm O.K.
ระยะขอบ: 1.5d = 1.5(1.9) = 2.85 cm < 3.75 cm O.K.
ดงั นน้ั Fp = 1.35Fy = 1.35(2,400) = 3,240 kg/cm2
เน่อื งจากความหนาของปก ของเหล็กหนาตดั T มากกวาความหนาของปกของเสา
fp = 15,000 / 8 = 15,000 / 8 = 822.4 kg/cm2 < Fp O.K.
d tb f ,column (1.9)1.2
หนวยแรงดงึ :
ถึงแมนวาเราจะไมทราบตําแหนงท่ีถูกตองของแกนสะเทิน (neutral axis) ของรูเจาะ แตโดยทั่วไปแลว แกนดังกลาว
จะอยูสูงจากขอบดานลางของจดุ เชื่อมตอประมาณ 1/6 ถึง 1/7 เทาของความสูงของจุดเช่ือมตอ ดังที่แสดงในรูป ดังน้ัน สมมุติ
ให
เอกสารประกอบการสอนวชิ า Steel Design เรยี บเรียงโดย ผศ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย SUT 7-10
y = 1 (30) = 5 cm
6
ตําแหนง ของแกนสะเทินน้ีจะอยูระหวางรูเจาะของสลักเกลียวแถวท่ี 1 และแถวที่ 2 จากนั้น เราจะสามารถหาตําแหนงท่ีถูกตอง
ของแกนสะเทินไดโ ดยการทาํ ผลรวมของโมเมนตข องพ้ืนท่ขี องรเู จาะรอบแกนสะเทนิ โดยไมพ จิ ารณารเู จาะทอี่ ยใู ตแกนสะเทนิ
8y y = 2A[(11.25 − y) + (18.75 − y) + (26.25 − y)]
2
4 y 2 = 112.5A − 6 Ay
4 y 2 + 17.01y − 318.94 = 0
y = 7.05 cm
เนอ่ื งจากระยะ y อยใู นชว งของรเู จาะของสลกั เกลยี วแถวที่ 1 และแถวที่ 2 หรอื 3.75 cm < y < 11.25 cm
ดังน้นั คา ทีไ่ ดจ ึงถกู ตอ ง
I x = I x ของพืน้ ท่ีรบั แรงกดอดั + I x ของพ้นื ท่ีสลกั เกลียวที่อยใู นรับแรงดึง
Ix = 1 (20)(7.053 ) + 2(2.835)[4.2 2 + 11.72 + 19.22 ] = 5,302 cm4
3
หนว ยแรงดึงทเี่ กดิ ข้ึนในสลกั เกลยี วแถวบนสดุ
M = Pe = 15,000(7.5) = 112,500 kg - cm
ft = My = 112,500(26.25 − 7.05) = 407.4 kg/cm2
I 5,302
จากตารางที่ 6-5 หนวยแรงที่ยอมใหสําหรับสลักเกลียวเม่ือถูกกระทําโดยแรงดึงและแรงเฉือนรวมกันตาม ASD
specification
Ft ≤ 1,960 −1.6 fv ≤ 1,400
Ft = 1,960 −1.6(661.4) = 901.8 kg/cm2 ≤ 1,400 kg/cm2
ซง่ึ เราจะเห็นไดวา ft < Ft = 901.8 kg/cm2 ดังนัน้ จดุ เชือ่ มตอ มกี ําลงั ทีเ่ พยี งพอในการตา นทานตอ แรงกระทํา