The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอ โรงเรียนช่างทอผ้าน่าน วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มจร เฉลิมพระเกียรติฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอ โรงเรียนช่างทอผ้าน่าน วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน เฉลิมพระเกียรติฯ

ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอ โรงเรียนช่างทอผ้าน่าน วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มจร เฉลิมพระเกียรติฯ

Keywords: ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอ,ผ้าทอน่าน

ก | ศูนู ย์ก์ ารเรียี นรู้�ผ้้าทอ : โรงเรียี นช่า่ งทอผ้า้ น่า่ น

คำ�ปรารภ

นนั ทบุรีศรนี ครน่านหรือเมืองน่าน เมอื งงามแห่งล้านนาตะวนั ออก เปน็ เมอื งประวัติศาสตร์เมอื งหนึ่ง ซงึ่
ในอดีตเปน็ นครรัฐขนาดเลก็ รมิ แม่นำ�น้ า่ น ถกู โอบลอ้ มไว้ดว้ ยขนุ เขาผีปนั นำ�้และขุนเขาหลวงพระบาง คนเมอื ง
น่านเล่าเรื่องราวในอดีตของตนเองผ่านตำ�นานพื้นบ้านและคัมภีร์ใบลานด้วยอักษรธรรมล้านนาน่านมีอายุเก่าแก่
พอกบั กรงุ สุโขทยั สันนษิ ฐานวา่ สร้างราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ “พญาภคู า” ได้สรา้ งขึน้ ในบรเิ วณทีร่ าบทางตอน
บนเขตต�ำ บลศลิ าเพชร หรืออำ�เภอปัวในปัจจบุ ัน จากหลกั ฐานทางโบราณคดี นา่ นเคยเปน็ ชมุ ชนโบราณที่มีอายุ
เกา่ แก่เนื่องจากมกี ารขุดพบเครอ่ื งมือหินกรวดขนาดใหญ่ทเี่ สาดินนานอ้ ย ซง่ึ จัดเป็นเครอื่ งมือหินเก่าใชเ้ ทคโนโลยี
แบบดงั้ เดมิ ทีส่ ุด รวมทง้ั ยังเปน็ ศนู ย์กลางการค้ามาแตอ่ ดีตเพราะมที รพั ยากรทสี่ ำ�คญั คือ เกลือ และหลกั ฐาน
ทางดา้ นสถาปัตยกรรม จติ รกรรม ศลิ ปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม วธิ ชี วี ติ ของชาวนา่ นได้สะท้อนให้เห็นถงึ การ
ผสมผสานทงั้ กรงุ สโุ ขทัย ล้านนา ล้านช้าง(หลวงพระบาง) สบิ สองปันนา พกุ ามอยา่ งกลมกลืน ส�ำ หรบั ผา้ ทอพ้นื
เมืองน่านนั้น มที ั้งผ้าทท่ี อขึ้นโดยชาวพน้ื เมอื งเมืองน่านด้งั เดิม และผ้าทอพน้ื เมอื งทมี่ าจากแหล่งอน่ื สืบเนือ่ งมา
จากความสัมพันธ์ทางการเมืองและการอพยพโยกย้ายถ่ินของผู้คนภายหลังการสงครามจากหัวเมืองชายพระราช
อาณาเขต เขา้ มาเปน็ ไพร่พลเมืองของเมืองน่าน ระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๒๕ กล่มุ ชนเผา่ ที่ส�ำ คญั ได้แก ่
ไทลอ้ื และชาวไทยภูเขาเผา่ ตา่ ง ๆ ผ้าพ้นื เมอื งน่านดั้งเดมิ ไดแ้ ก่ ผ้าพนื้ ผ้าขาวมา้ ถงุ ย่าม (ลายขาวด�ำ ) ผ้าหม่
(ผา้ ตาแสง หรือ ผ้าตาโกง้ ) ผา้ ลายคาดก่านแบบนา่ น ผา้ พื้นเมืองจากแหลง่ อ่นื เชน่ ผ้าตีนจกจากเมืองพิชัย
ซนิ่ มา่ น ซิน่ เชยี งแสนจากเชยี งตงุ ผ้าลายลื้อจากเมืองเงนิ เมอื งคง เมืองฮนุ เมอื งล้า และสบิ สองปนั นา ผ้าไหมซนิ่
ลาวจากเมืองหลวงพระบางและเวียงจันทร์ ซ่ินก่านคอควาย และซน่ิ ตามะนาวจากแพร่ ซน่ิ ลายขวางจากเมอื ง
เชียงใหม่ เป็นตน้
กลุม่ ชนท่อี าศยั อยูใ่ นจังหวัดนา่ นมีท้งั ชนชาตไิ ท ชาวไทยภูเขา ทอ่ี าศัยอยู่เดิมและได้อพยพมาจากลา้ นช้าง
สิบสองปนั นา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไดแ้ ก่ ไทยวนหรอื ไทยโยนก ไทล้อื ถ่นิ (ลวั ะ) ขมุ มง้ (แม้ว)
เย้า(เมีย่ น) และ มลาบรี(ผตี องเหลือง) จงึ ท�ำ ให้ผา้ ทอเมืองนา่ นมีที่มาหลายแหง่ ดว้ ยกัน
ในปี พ.ศ.๒๔๘๐ กรมอาชีวศึกษากระทรวงธรรมการ(ศึกษาธิการ) เปดิ ทำ�การสอนโรงเรียนช่างทอผา้
นา่ น จากนัน้ ได้ถูกเปลย่ี นชอ่ื สถานศึกษา ตามสภาพการณ ์
วทิ ยาลยั สงฆน์ ครนา่ น มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย เฉลมิ พระเกียรติสมเดจ็ พระเทพรตั น
ราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ได้เลง็ เห็นถงึ ความส�ำ คัญของวฒั นธรรม ประเพณีท่มี ีมาในอดีตและด้วยความ
สอดคลอ้ ง ของวิสัยทศั นข์ องวิทยาลยั สงฆน์ ครน่าน เฉลมิ พระเกียรตฯิ “นครน่าน นครแห่งการศึกษา พระพุทธ
ศาสนา และศลิ ปะ วฒั นธรรมประเพณอี ันดงี าม” จึงไดร้ เิ รมิ่ ให้มกี ารจัดตงั้ ศูนยก์ ารเรียนรผู้ ้าทอ : โรงเรยี นช่าง
ทอผ้าน่าน ขึ้น เพือ่ ใหผ้ ทู้ ม่ี คี วามสนใจได้มาศกึ ษา ได้เรียนรู้วิธกี ารทอผ้าในอดตี ที่ทรงคุณคา่ และเพอื่ ฟ้ืนฟู รกั ษา
สืบสานแก่ชนรุ่นหลงั สืบไป



พระชยานันทมุนี,ผศ.ดร.
ผ้อู ำ�นวยการวทิ ยาลัยสงฆน์ ครน่าน
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี

วิิทยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | ข

สารบัญ

เรื่อง หน้า

ค�ำ ปรารภ ก
สารบัญ ข
ประวตั คิ วามเป็นมาโรงเรียนการชา่ งนา่ น ๑
คณะกรรมการศูนยก์ ารเรยี นร้ผู ้าทอ โรงเรยี นช่างทอผา้ น่าน ๓
เครือขา่ ยกลมุ่ ทอผ้า โรงเรยี นชา่ งทอผา้ น่าน ๕
บริบททางประวัติศาสตร์ ทต่ี ้งั เมอื งนา่ น ๗
ผ้าทอโบราณเมืองน่าน ๑๗
อัตลักษณ์ ลวดลาย และเรือ่ งราวผา้ ทอโบราณเมอื งนา่ น ๓๒
ภาคผนวก ๗๓
บรรณานกุ รม ๑๑๕

ประวัตคิ วามเปน็ มาโรงเรยี นการชา่ งนา่ น

วิิทยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 1

โรงเรียนการชา่ งน่าน
พระชยานันทมุน,ี ผศ.ดร. เรยี บเรียง
กรมอาชวี ศกึ ษา กระทรวง ธรรมการ (ศกึ ษาธกิ าร) เปดิ ท�ำ การสอนโรงเรยี นชา่ งทอผา้ นา่ น เมอ่ื พ.ศ.๒๔๘๐
เมอ่ื โรงเรียนช่างทอผา้ น่านย้ายออกไป สถานท่แี ห่งนัน้ จงึ เปน็ โรงเรยี นราชานุบาลและภายหลังโรงเรียนราชานบุ าล
ไดย้ า้ ยออกไปและไดใ้ ชเ้ ปน็ ส�ำ นกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวดั นา่ นและกลายเปน็ ส�ำ นกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษานา่ น
เขต ๑ ในปัจจุบนั วันท่ี ๑ สงิ หาคม พ.ศ.๒๔๘๑ เปิดสอนโรงเรยี นชา่ งไม้น่าน ระดับประถมศกึ ษาอาชีพ ณ โรงเรยี น
ศรสี วสั ดว์ิ ทิ ยาคาร(เดิม) ปจั จุบนั คอื โรงเรียนสตรีศรนี ่าน วันท่ี ๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ยา้ ยโรงเรยี นครงั้ ท่ี ๑ ไป
ท�ำ การสอน ณ บา้ นคงั้ ถใี่ กล้ ๆ กบั โรงเรยี นประถมกสกิ รรม ปจั จบุ นั คอื มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนานา่ น
พ.ศ. ๒๔๙๐ เปดิ การสอนหลกั สตู รมธั ยมอาชวี ศึกษาตอนตน้
พ.ศ. ๒๔๘๖ เปิดการสอนหลักสูตรมัธยมอาชีวศึกษาตอนกลาง
พ.ศ. ๒๔๙๘ ยา้ ยโรงเรยี นครั้งที่ ๒ มาเปิดสอน ณ วิทยาลัยสารพัดชา่ งนา่ น เปลีย่ นชอื่ เปน็ “โรงเรยี นการ
ชา่ งนา่ น” สว่ นโรงเรยี นชา่ งทอผา้ นา่ น เปลยี่ นเปน็ “โรงเรยี นการชา่ งสตรนี า่ น” ยา้ ยมาท�ำ การสอนทว่ี ทิ ยาลยั เทคนคิ
นา่ น ปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๕๐๑ เปิดสอนหลกั สตู รมธั ยมอาชวี ศึกษาตอนปลาย
พ.ศ. ๒๕๐๗ ยุบหลกั สตู รระดบั ประถมอาชวี ศึกษาตอนตน้
พ.ศ. ๒๕๐๘ ยุบหลักสูตรระดบั มธั ยมอาชีวศึกษาตอนกลางเปลย่ี นหลักสูตรมัธยมศกึ ษาตอนปลายเปน็
หลักสูตรอาชวี ศกึ ษาชน้ั สงู
พ.ศ. ๒๕๑๐ รว่ มสองโรงเรยี นเขา้ ดว้ ยกนั ใชช้ อ่ื วา่ “โรงเรยี นการช่างนา่ น” โดยทำ�การสอน ณ วทิ ยาลัย
สารพดั ช่างปัจจบุ นั
พ.ศ. ๒๕๑๒ เปิดสอนหลกั สูตร ปวช. แผนกวชิ าชา่ งยนต์

2 | ศูนู ย์์การเรียี นรู้�ผ้้าทอ : โรงเรีียนช่า่ งทอผ้า้ น่า่ น

พ.ศ. ๒๕๑๘ เปิดสอนหลักสตู ร ปวช. แผนกวิชาช่างเชอ่ื มโลหะ
พ.ศ. ๒๕๑๙ เปดิ สอนหลกั สูตร ปวช. แผนกวชิ าพาณิชยการ
พ.ศ. ๒๕๒๐ เปดิ สอนหลกั สตู ร ปวช. แผนกวชิ าชา่ งวทิ ยแุ ละโทรคมนาคม พรอ้ มทง้ั เปลย่ี นชอ่ื เปน็ โรงเรยี นเทคนคิ นา่ น
พ.ศ. ๒๕๒๓ ยกวทิ ยฐานะเปน็ วิทยาลัยเทคนคิ นา่ น

คณะกรรมการศูนยก์ ารเรยี นร้ผู ้าทอ โรงเรียนชา่ งทอผา้ น่าน
วิทยาลยั สงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เฉลมิ พระเกียรติสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี

4 | ศูนู ย์์การเรียี นรู้ผ� ้า้ ทอ : โรงเรีียนช่่างทอผ้า้ น่า่ น

เครอื ข่ายกลุ่มทอผา้ โรงเรียนชา่ งทอผ้านา่ น
วทิ ยาลัยสงฆน์ ครนา่ น มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
เฉลมิ พระเกียรติสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี

6 | ศูนู ย์์การเรียี นรู้ผ� ้า้ ทอ : โรงเรีียนช่่างทอผ้า้ น่า่ น

บรบิ ททางประวตั ศิ าสตร์ ที่ต้งั เมอื งนา่ น

8 | ศูนู ย์์การเรียี นรู้ผ� ้้าทอ : โรงเรีียนช่า่ งทอผ้า้ น่่าน

ตัง้ ถน่ิ ฐานของน่านสมยั ประวตั ศิ าสตร์

การตงั้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชนสมยั ประวตั ศิ าสตร์ จากหลกั ฐานทางต�ำ นานและพงศาวดารนน้ั จงั หวดั นา่ น เปน็
ดนิ แดนทมี่ ปี ระวตั ศิ าสตรอ์ นั ยาวนาน เคยี งคกู่ บั นครรฐั สโุ ขทยั นา่ นมที รพั ยากรทางธรรมชาตมิ ากมาย มวี ฒั นธรรม
อนั โดดเดน่ เปน็ ของตนเองสืบทอดจากอดตี มาถึงปจั จบุ ัน จนเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตน ทั้งทางดา้ นสถาปัตยกรรม
ประติมากรรม ศิลปกรรม หตั ถกรรมตา่ ง ๆ ตลอดจนขนบธรรมเนยี มประเพณีอันดงี าม
เมอื งนา่ น มีทีม่ าของชื่อปรากฏในต�ำ นานพระอัมภาควา่ “นันทสุวรรณนคร” ในต�ำ นานเกา่ ๆ เรียกเมอื ง
นา่ นอีกค�ำ หนง่ึ วา่ “กาวน่าน” ต่อมามีการเรียกชอ่ื เมืองน่านใหม่วา่ “นันทบุรี” หรือ “นันทบุรศี รีนครนา่ น” ที่มา
ของชอื่ เมอื งนา่ นมาจากชอื่ “แมน่ �้ำ นา่ น” อนั เปน็ ทตี่ งั้ ของเมอื งทอี่ ยบู่ นสองฟากฝง่ั แมน่ �ำ้ ชอื่ ของเมอื งนา่ นไดป้ รากฏ
ในศลิ าจารกึ ของพอ่ ขนุ รามค�ำ แหง เรยี กวา่ “เมอื งนา่ น” คอื ตงั้ แตแ่ รกตง้ั เมอื งใหม่ ณ ฝงั่ ตะวนั ออกของแมน่ �้ำ นา่ น
แม้จะมีการเรยี กชอ่ื ใหมซ่ ึ่งใช้กันในทางราชการในสมัยโบราณ และศภุ อกั ษรนามนันทบุรี เปน็ นามที่ไพเราะและมี
ความหมายมงคลนาม แตก่ ม็ หี ลายพยางคแ์ ละเรยี กยากจงึ กลบั มานยิ มเรยี กนามเมอื งตามเดมิ วา่ “เมอื งนา่ น” ตลอด
จนถงึ ปัจจบุ นั

ปฐมบทแหง่ วรนคร (นครรัฐน่าน)

ประวัติศาสตร์เมืองน่าน ตามพงศาวดารเมอื งนา่ น เร่มิ ปรากฏขึน้ ราว พ.ศ.๑๘๒๕ (พุทธศตวรรษที่ ๑๘)
โดยพญาภูคา นับเป็นปฐมกษตั รยิ ์แหง่ ราชวงศ์ภคู า และเป็นผรู้ วบรวมชุมชนเพอื่ กอ่ ต้งั เปน็ อาณาจักรน่าน บรเิ วณ
พน้ื ทร่ี าบอยทู่ เ่ี มอื งยา่ ง (รมิ ฝง่ั ดา้ นใตข้ องแมน่ �ำ้ ยา่ ง ใกลเ้ ทอื กเขาดอยภคู าในเขตบา้ นเสย้ี ว ต�ำ บลยม อ�ำ เภอทา่ วงั ผา
จังหวัดนา่ น) เพราะปรากฏรอ่ งรอย ชมุ ชนในสภาพทีเ่ ปน็ คนู �ำ ้ คนั ดิน ก�ำ แพงเมอื งซอ้ นกนั อยู่ ต่อมาพญาภคู า ได้
ขยายอาณาเขตปกครองออกไปใหก้ วา้ งขวาง ยง่ิ ขนึ้ โดยสง่ ราชบตุ รบญุ ธรรม ๒ คน ไปสรา้ งเมอื งใหม่ โดยขนุ นนุ่ ผู้
พไ่ี ปสร้างเมืองจนั ทบุรี (ปจั จบุ นั คือเมืองหลวงพระบาง) ซง่ึ ตัง้ อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของแมน่ ำ�้ของ (แม่นำ�้โขง) และ
ใหข้ นุ ฟองผู้นอ้ งสรา้ งเมืองวรนคร (เมอื งปัว) ซึ่งต้งั อยทู่ างทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ การทีใ่ ห้ชือ่ ว่าเมือง “วรนคร” ก็
เนอ่ื งมาจากเป็นชัยภมู ิทด่ี ี เหมาะสมในการสร้างเมอื ง ซง่ึ หมายถึง เมอื งดี นบั วา่ เป็นการเร่ิมต้นราชวงศภ์ ูคา
เจ้าขนุ ฟอง ทรงมีพระโอรส ๑ พระองค์ พระนามว่า “เจ้าเก้าเกลอ่ื น” และทรงมพี ระมเหสีพระนามว่า “
พญาแมท่ า้ วค�ำ พนิ ” ตอ่ มาไมน่ านนกั พญาขนุ ฟองสวรรคต พญาเกา้ เกลอื่ นราชบตุ ร จงึ ไดข้ น้ึ ครองเมอื งวรนครแทน
บ้านเมอื งร่มเย็นเป็นสขุ มนั่ คงเปน็ ปกึ แผ่นดี
ดา้ นพญาภูคาครองเมอื งย่างมานานและมอี ายุมากขนึ้ มีความประสงคจ์ ะให้พญาเก้าเกลือ่ นผเู้ ป็นหลาน
มาครองเมอื งย่างแทน จึงให้เสนาอำ�มาตย์ไปเชญิ ซึ่งพระองคไ์ มค่ อ่ ยพอพระทยั นัก แตพ่ ญาเกา้ เกลอื่ นเกรงใจปู่จงึ
ยอมไปครองเมอื งยา่ ง และมอบให้ชายาคือนางพญาแมท่ ้าวคำ�พนิ ซึ่งทรงครรภ์อยู่ปกครองดูแลรกั ษาเมอื ง วรนคร
(เมอื งปวั ) แทน ต่อมาไมน่ านพญาภูคากส็ วรรคต
ในชว่ งทเี่ มอื งวรนคร (เมอื งปวั ) ขาดผปู้ กครอง พญาง�ำ เมอื ง เจา้ ผคู้ รองเมอื งพะเยา จงึ ไดข้ ยายอทิ ธพิ ลเขา้
มายดึ ครองเมอื งวรนคร พญาแมท่ า้ วค�ำ พนิ พรอ้ มดว้ ยบตุ รในครรภ์ จงึ ไดห้ ลบหนไี ปอยใู่ นปา่ เขา จนคลอดบตุ รชาย
ทา่ มกลางทอ้ งไรน่ นั้ ตง้ั ชอ่ื วา่ “เจา้ ขนุ ใส” และไดพ้ บกบั นายบา้ นผหู้ นง่ึ ซง่ึ เปน็ อดตี พอ่ ครวั พญาพญาเกา้ เกลอื่ นมา
ก่อน จึงรบั พญาแม่ท้าวคำ�พิน และลกู ไปเลี้ยงดู จนเตบิ ใหญ่
อายไุ ด้ ๑๖ ปี กน็ �ำ ไปไหวส้ าพญางำ�เมือง เมือ่ พญาง�ำ เมอื งเห็น กม็ ีใจรักเอน็ ดรู บั เลี้ยงดูจนเตบิ ใหญ่ได้เปน็

วิทิ ยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | 9

ขนุ นางรบั ใชพ้ ญาง�ำ เมือง จนเป็นทโ่ี ปรดปราน พญางำ�เมืองจึงสถาปนาใหเ้ ปน็ “เจา้ ขนุ ใสยก” ใหค้ รองเมอื งปราด
และโปรดให้นางพญาอว้ั สิม พระชายามาครองเมอื งวรนคร (เมืองปวั ) เป็นผูส้ �ำ เรจ็ ราชการแทนพระองค์ และโปรด
ให้เจ้าอามปอ้ ม พระโอรสเสด็จติดตามมาดว้ ย
ภายหลงั เจา้ ขนุ ใสยก เจา้ เมอื งปราด มกี �ำ ลงั พลมากขนึ้ จงึ ยกทพั มายดึ ครองเมอื งวรนคร (เมอื งปวั ) ตอ่ สจู้ น
หลดุ พ้นจากอำ�นาจเมืองพะเยา แล้วไดอ้ ภเิ ษกกบั นางพญาอ้วั สิม เป็นมเหสีของพระองค์
พ.ศ.๑๘๖๕ เจา้ ขนุ ใสยก ได้รับการสถาปนาเปน็ “พญาผานอง” กษัตรยิ ์นา่ นพระองค์ท่ี ๓ ครองเมืองได้
๓๐ ปี พระองคแ์ ละนางพญาอัว้ สมิ ทรงมีพระโอรส ๖ พระองค์ คือ พญาครานเมือง ทา้ วเล้า ทา้ วเลนิ ทา้ วบาจาย
ท้าวควายตม (ควายด�ำ ) และพญาไส
เมือ่ พญาผานองสวรรคต เสนาอ�ำ มาตยจ์ ึงราชาภิเษกพญาไส เปน็ กษัตริยน์ า่ นพระองคท์ ่ี ๔ เพราะทรงมี
พระปรีชาญาณ ทรงครองราชยไ์ ด้ ๓ ปี กส็ วรรคต เสนาอ�ำ มาตยจ์ ึงทูลเชญิ “พญาครานเมือง” โอรสผูพ้ ่ขี น้ึ ครอง
ราชยเ์ ปน็ กษตั รยิ พ์ ระองคท์ ี่ ๕ แทน เมอื งวรนครจงึ กลายชอื่ มาเปน็ เมอื งปวั ตลอดจนมคี วามสมั พนั ธก์ บั เมอื งสโุ ขทยั
อยา่ งใกลช้ ดิ ในสมัยพอ่ ขนุ รามคาํ แหง ดังปรากฏชื่อ เมอื งปัวอยใู่ นหลกั ศลิ าจารกึ หลักที่ ๑

ยคุ เวยี งภูเพียงแช่แห้ง สู่ยุคเวยี งน่าน

พงศาวดารเมอื งน่าน กล่าวไว้วา่ ในสมยั ของพญาครานเมือง พ.ศ.๑๙๐๑ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญา
ลไิ ท) แหง่ กรงุ สโุ ขทยั ไดท้ ลู เชญิ พญาครานเมอื ง ไปรว่ มสรา้ งวดั หลวงอภยั (วดั อมั พวนาราม) ขากลบั พระมหาธรรม
ราชาที่ ๑ (พญาลไิ ท) ได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุ ๗ องค์ พระพมิ พ์ทอง ๒๐ องค์ พระพมิ พเ์ งิน ๒๐ องค์
ให้กับพญาครานเมืองมาบูชาดว้ ย
ครง้ั นน้ั พญาครานเมอื ง ไดป้ รกึ ษาพระมหาเถรเจา้ ธรรมบาล เหน็ สมควรประดษิ ฐานบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ
ไวท้ บ่ี นดอยภเู พยี งแชแ่ หง้ ดว้ ยเปน็ เนนิ ไมส่ งู นกั ตงั้ อยใู่ กลแ้ มน่ �ำ เ้ ตย๋ี นกบั น�ำ ล้ งิ ทางฟากตะวนั ออกของแมน่ �ำ น้ า่ น จงึ
ไดร้ ะดมผคู้ นกอ่ สรา้ งพระธาตุแช่แห้งข้ึน แลว้ อญั เชญิ พระบรมสารีรกิ ธาตุมาบรรจไุ ว้ พร้อมทั้งใหย้ ้ายราชธานี และ
ไดอ้ พยพผคู้ นจากเมอื งปวั ลงมาสร้างเมืองใหมท่ ีบ่ ริเวณใกล้พระธาตุแชแ่ หง้ เรยี กว่า “เวยี งภูเพียงแช่แหง้ ” เม่อื ปี
พ.ศ.๑๙๐๒ โดยมพี ระธาตุแชแ่ ห้งเปน็ ศนู ยก์ ลางเมือง พญาครานเมอื งครองเวียงภเู พียงแชแ่ หง้ ได้ ๕ ปี กส็ วรรคต
หลงั จากนน้ั พญาผากอง พระโอรสในพญาครานเมอื งขนึ้ เปน็ กษตั รยิ พ์ ระองคท์ ี่ ๖ ตอ่ มาเวยี งภเู พยี งแชแ่ หง้
ประสบปัญหาความแหง้ แลง้ เพราะเวียงแช่แหง้ อยบู่ นเนินสูง และล�ำ นำ�้ลงิ ที่แหลง่ น�ำ ส้ ำ�คญั นน้ั มีขนาดเล็ก น�ำ แ้ หง้
ขอดในฤดแู ลง้ ไมพ่ อกบั พลเมอื งทเ่ี พม่ิ ขนึ้ ในปี พ.ศ.๑๙๑๑ จงึ ไดย้ า้ ยมาสรา้ งเมอื งใหมท่ รี่ มิ แมน่ �ำ น้ า่ น ดา้ นตะวนั ตก
บรเิ วณบ้านหว้ ยไคร้ (บริเวณเมอื งน่านในปจั จบุ ัน) แรกต้งั เมอื งไดช้ ่ือวา่ “นนั ทบรุ ี” เพราะมีชปี ะขาวช่ือ “นันทะ”
อาศัยอย่ทู ่ีแหง่ นี้ ต่อมาภายหลังคนทั้งหลายเรียกว่า “เวียงน่าน” เพราะตั้งอย่ใู กล้แมน่ �ำ ้น่านนั่นเอง ซง่ึ เมอื่ มกี าร
อพยพหนนี ำ�ท้ ่วมไปเวียงเหนือ จึงเรียกอกี ชื่อว่า “เวยี งใต”้
พญาผากองครองเมืองนา่ นน้อี ยไู่ ด้ ๒๑ ปี ก็กส็ วรรคต และไดม้ ีรชั ทายาทครองเมืองน่านอกี ๑ องค์ คือ
“พญาค�ำ ตนั ” ครองเมอื งนา่ นได้ ๑๑ ปี กก็ ส็ วรรคต ใน พ.ศ.๑๙๔๑ พญาศรจี นั ตะ ไดค้ รองเมอื งนา่ นแทน พญาเถร
และพญาออนโมง จากเมืองแพรย่ กทัพมาตีเมอื งนา่ น และครองเมืองน่านอยู่ไดช้ ั่วเวลาอนั ส้ัน พญาหงุ น�ำ กองทัพ
ของพญาเชลยี ง มาตีเมอื งน่านกลบั คืนมาได้
ในสมยั พญาพเู ขง็ เปน็ กษตั รยิ น์ า่ น ระหวา่ งปี พ.ศ.๑๙๕๐ - ๑๙๖๐ ทรงท�ำ นบุ �ำ รงุ พระพทุ ธศาสนา ไดส้ รา้ ง
วัดพระธาตชุ า้ งค�ำ ว้ รวิหาร, วดั พระธาตเุ ขาน้อย, วัดพญาภู พญางัวผาสมุ ผู้เปน็ หลานของพญาพเู ข็ง ไดส้ ร้าง

1 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


พระพุทธรูปทองคำ�ปางลีลา พระนามว่า พระพทุ ธนันทบุรศี รศี ากยมุนี ประดิษฐานอยใู่ นวหิ ารวัดพระธาตุชา้ งคำ�้
วรวิหาร

เมอื งน่านสมัยลา้ นนา

ในปี พ.ศ. ๑๙๙๓ พระเจา้ ตโิ ลกราช กษัตริยน์ ครเชยี งใหม่ มคี วามประสงค์จะครอบครองเมืองนา่ น และ
แหล่งเกลือบอ่ มาง (ต.บ่อเกลือใต้ อ.บอ่ เกลอื ) ท่ีมีอย่างอุดมสมบูรณแ์ ละหาได้ยากทางภาคเหนอื จึงได้จัดกองทพั
เขา้ ยดึ เมอื งนา่ น ทรงตง้ั ทพั ทส่ี วนตาล และยงิ ปนื ใหญเ่ ขา้ ใสต่ วั เมอื ง พญาอนิ ทแกน่ ทา้ ว ไมอ่ าจตา้ นทานไดจ้ งึ อพยพ
หนไี ปอาศัยอยู่ทีเ่ มืองเชลยี ง (ศรสี ัชนาลัย) พระเจ้าตโิ ลกราช โปรดให้สร้างพระเจา้ ทองทพิ ย์ พระพุทธรปู ปางมาร
วชิ ัย หล่อด้วยทองสำ�ริด (ปัจจบุ ันประดษิ ฐาน ณ วดั สวนตาล อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั น่าน) พระเจ้าตโิ ลกราช โปรดให้
พญาผาแสง เป็นกษัตรยิ น์ ่าน พระองคท์ ่ี ๑๗ และเป็นกษัตรยิ ์พระองค์สดุ ท้ายแห่งราชวงศ์ภูคา ต่อมาเมืองน่านจึง
ถกู ผนวกเข้าไว้ในอาณาจักรลา้ นนา และมีเจ้าเมอื งผลดั เปล่ยี นกนั ปกครองตง้ั แตน่ ้นั เรอื่ ยมา
ตลอดระยะเวลาเกอื บ ๑๐๐ ปี ทเี่ มอื งนา่ นอยใู่ นครอบครองของอาณาจกั รลา้ นนาไดค้ อ่ ย ๆ ซมึ ชบั เอาศลิ ป
วฒั นธรรมของลา้ นนามาไวใ้ นวถิ ชี วี ติ โดยเฉพาะการรบั เอาศลิ ปกรรมทางดา้ นศาสนา ปรากฏศลิ ปกรรมแบบลา้ นนา
เขา้ มาแทนที่ศลิ ปกรรมแบบสโุ ขทัยอย่างชัดเจน เช่น เจดยี ์วดั พระธาตุแช่แหง้ เจดีย์วัดสวนตาล เจดยี ว์ ดั พระธาตุ
ชา้ งค�ำ้ แมจ้ ะเหลอื สว่ นฐานทมี่ ชี า้ งลอ้ มรอบ ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะศลิ ปะแบบสโุ ขทยั อยู่ แตส่ ว่ นองคเ์ จดยี ข์ นึ้ ไปถงึ สว่ นยอด
เปลี่ยนเปน็ ศิลปกรรมแบบล้านนา
จนกระทงั่ มาสมัยท้าวขาก่าน เจา้ เมืองน่านองคท์ ี่ ๒๒ ครองเมืองนา่ นระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓ ได้
บรู ณะพระธาตแุ ชแ่ หง้ จากสภาพรกรา้ งเปน็ จอมปลวกอยใู่ นปา่ ไผ่ โดยการกอ่ สรา้ งเปน็ เจดยี ค์ รอบองคพ์ ระธาตเุ ดมิ
ให้สงู ข้นึ อกี ๖ วา นอกจากนนั้ ยงั ไดป้ ราบญวนที่ยกมาตเี มอื งน่านไดร้ าบคาบ ท้าวขากา่ นทรงส่ังตัดศรี ษะทหารไป
ถวายพระเจ้าติดโลกราช พระองค์ทรงกริ้ว จึงโปรดให้ยา้ ยท้าวขาก่านไปครองเมอื งเชียงราย

เมืองน่านขึ้นกับพม่า

ปี พ.ศ.๒๑๐๑ เจา้ ฟา้ หงสามงั ตรา (บเุ รงนอง) แหง่ เมอื งหงสาวดี ยกกองทพั มาตเี มอื งเชยี งใหม่ ไดย้ ดึ เมอื ง
เชยี งใหมเ่ ปน็ ประเทศราชของพมา่ ตอ่ มากองทพั พมา่ ไดย้ กมาตเี มอื งนา่ น พญาหลวงพลเทพลอื ไชย หนไี ปเมอื งลา้ น
ช้าง นับตัง้ แตน่ นั้ มาเมืองนา่ นต้องขึ้นตรงต่อการปกครองของพมา่ ทเ่ี มืองเชียงใหม่ เปน็ ระยะเวลารว่ ม ๒๐๐ ปเี ศษ
ปี พ.ศ. ๒๑๐๓ พญาหน่อค�ำ เสถยี รไชยสงคราม ครองเมอื งนา่ น ได้บูรณปฏิสงั ขรณ์วัดพระธาตแุ ช่แหง้ ท่ี
ทรุดโทรม ร่วมกับเจ้าฟา้ สาระวดี (มังนรธาช่อ โอรสบเุ รงนอง) คร้ังทีพ่ ระองคท์ รงนำ�ทพั พมา่ ผา่ นเมืองนา่ นไปรบ
กับเมืองล้านชา้ ง พญาหนอ่ คำ�เสถียรไชยสงคราม ทรงมีพระโอรส ๔ พระองค์ คอื พญาเจตบตุ รพรหมนิ ทร์, เจ้านำ�้
บอ่ , พญาพลศึกซา้ ยไชยสงคราม (เจา้ ศรสี องเมอื ง), พญาอุ่นเมอื ง โหรทำ�นายวา่ พระยาพลศึกซา้ ยไชยสงคราม
เมอ่ื เตบิ โตไปภายหนา้ จะมบี ญุ ญาบารมมี าก แตว่ า่ จะท�ำ ปติ ฆุ าต ขอใหเ้ อาไปฆา่ ทง้ิ เสยี แตเ่ จา้ น�ำ บ้ อ่ ไดก้ ราบทลู ทดั ทาน
ไวเ้ พราะความสงสาร และทลู ขอเอาผเู้ ปน็ นอ้ งไปเลยี้ งเปน็ บตุ รบญุ ธรรม ซงึ่ พระบดิ ากท็ รงอนญุ าตตามความประสงค ์
เจา้ นำ�้บอ่ จงึ เอานอ้ งไปเล้ียงไว้จนเตบิ ใหญ่
ปี พ.ศ. ๒๑๓๔ พญาเจตบตุ รพรหมนิ ทร์ (โอรสพญาหนอ่ คำ�เสถียรไชยสงคราม) ครองเมอื งน่าน โปรดให้
สรา้ งวดั ดอนแทน่ ทเ่ี วยี งพอ้ (อ�ำ เภอเวยี งสา) และสรา้ งวดั พรหมนิ ทร์ (วดั ภมู นิ ทร)์ ตอ่ มาไดพ้ ยายามแขง็ เมอื งไมย่ อม

วิิทยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 1


สง่ สว่ ยใหก้ บั พมา่ (ตรงกบั สมยั ของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช) พระเจา้ สาระวดแี หง่ เมอื งเชยี งใหม่ จงึ ยกทพั มาปราบ
ปราม ครงั้ น้นั พญาเจตบุตรพรหมมินทร์ และเจา้ น�ำ ้บ่อได้มอบให้เจ้าศรีสองเมือง เป็นผรู้ ักษาดา้ นประตูหิ้งน้อย แต่
เจ้าศรสี องเมือง กลบั คิดเอาใจออกหากจากพ่ที ้ังสอง ไปเขา้ กับพระเจา้ เชยี งใหม่ เปิดประตูเมอื งใหก้ องทัพพม่าเขา้
เมอื ง พม่าจับตวั พญาเจตบุตรพรหมมนิ ทร์และเจา้ น�ำ ้บอ่ ผู้เป็นพ่ีเจ้าศรสี องเมืองได้ พมา่ จงึ ใหเ้ อาไม้หนบี อกเจ้านำ�้
บอ่ ไว้ อย่ไู ด้ ๗ วนั กถ็ ึงแกก่ รรม แลว้ ให้เอาศพไปทิ้งไวท้ ีบ่ อ่ นำ�้ข้างวัดภูมินทร์ทางทิศตะวันตก จึงเรียกวา่ “เจา้ น�ำ ้
บ่อ” ส่วนพญาเจตบุตรพรหมมินทร์ ถกู จับไปประหารชีวติ ทเี่ ชียงใหม่ ครั้นแล้วในปี พ.ศ. ๒๑๔๖ พระเจา้ เชยี งใหม่
กส็ ถาปนาใหเ้ จา้ ศรีสองเมือง เป็น “เจา้ พญาพลศกึ ซ้ายไชยสงคราม เจา้ เมืองน่าน”
ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๑๕๗ เจ้าเมืองเชยี งใหม่ ไมม่ ีราชบุตรทีจ่ ะสบื สนั ตติวงศ ์ บรรดาขุนนางทง้ั หลายและขา้
ราชบริพารท้งั มวล จงึ พรอ้ มใจกนั ไปเชิญเจ้าพญาพลศึกซา้ ยไชยสงคราม เจ้าเมืองนา่ น ผู้เป็นราชบุตรบุญธรรมของ
พระเจา้ สาระวดีแห่งเมอื งเชยี งใหม่ มาครองเมอื งเชียงใหม่ ทรงพระนามวา่ “พระเจา้ ศรีสองเมอื ง” แลว้ จึงโปรดให้
พญาอุ่นเมอื ง อนชุ าเปน็ เจ้าเมืองนา่ น
ปี พ.ศ.๒๑๕๘ พญาอุ่นเมือง ครองเมอื งน่าน ทรงยกทพั จากลา้ นชา้ งมารบกบั พม่าจนไดร้ บั ชยั ชนะตอ่ มา
เจ้าฟา้ สุทโธธรรมราช กษัตรยิ พ์ มา่ ยกทพั มาตชี งิ เมืองน่านคนื ชาวเมืองนา่ นจำ�นวนมากถูกกวาดตอ้ นไปไวท้ ี่เมอื ง
พมา่
ต่อมา ปี พ.ศ.๒๑๙๒ เจ้าพญาแหล่มุม เจ้าผคู้ รองนครน่าน ถกู กองทพั กรงุ ศรอี ยุธยา (สมัยสมเด็จพระ
นารายณ)์ ยกทัพมาตเี มอื งนา่ น และจับตวั ไปประหารชวี ิตท่กี รุงศรอี ยธุ ยา
ปี พ.ศ.๒๒๓๒ พระเมอื งราชา เจา้ ผคู้ รองนครนา่ น สมคบกบั ลาวแสนแกว้ แข็งเมืองกบั พมา่ พระเจ้ากรุง
อังวะ รขู้ า่ วจึงยกทัพมาปราบปราม เมอื งน่านถกู เผาทำ�ลายเสียหายหนัก ผู้คนหลบหนหี ลบซอ่ นตามป่าเขา เมือง
น่านถกู ทง้ิ รา้ งไปนานร่วม ๕ ปี เจา้ เมอื งอังวะแตง่ ตง้ั ใหพ้ ญานาซา้ ย (นอ้ ยอนิ ทร์ บา้ นฝายแก้ว) มีหนา้ ท่ดี แู ลเมอื ง
นา่ น รวบรวมไพร่พลเมอื งน่านท่หี ลบซอ่ นอยู่ในปา่ ใหอ้ อกมาร่วมสร้างเมอื งขึ้นใหม่
พ.ศ.๒๒๕๐ เจ้าฟ้ามยองคอง (เงี้ยว) ครองเมืองน่านรว่ มกบั พญานาซา้ ย รวบรวมผคู้ นสร้างเมอื งนา่ นให้
เปน็ ปกึ แผน่ และมิให้กอ่ การกระดา้ งกระเดื่อง ครองเมืองนา่ นได้ ๗ ปี ก็สวรรคต ตอ่ มาเจา้ ฟา้ มว่ ยซา (พม่า) ครอง
เมืองนา่ น (พ.ศ. ๒๒๕๗-๒๒๕๙) บรู ณะซ่อมแซมองค์พระธาตแุ ชแ่ ห้ง พรอ้ มทงั้ ยกฉตั ร ๗ ช้ัน
ใน พ.ศ.๒๒๖๙ พระนาซา้ ย ไดเ้ ล่ือนยศเป็น พญานาขวา ดูแลเมอื งนา่ นร่วม ๑๑ ปี จงึ ไดก้ ราบทูลพระเจ้า
กรุงองั วะ ขอใหเ้ จ้าพญาหลวงต๋นิ มหาวงศ์ ที่อยูเ่ มืองเชยี งใหม่มาครองเมืองนา่ น เจา้ พญาหลวงติ๋นมหาวงศ์ ครอง
เมืองน่านระหว่าง พ.ศ. ๒๒๖๙-๒๒๙๔ เป็นล�ำ ดับที่ ๕๑ นับเป็นบรรพบรุ ษุ สกลุ “ณ นา่ น”
ในชว่ ง พ.ศ. ๒๒๙๗-๒๓๒๗ พญาอรยิ วงส์ เจา้ ผคู้ รองเมอื งนา่ น องคท์ ่ี ๕๒ (ตน้ สกลุ ไชยวงศห์ วน่ั ทอ๊ ก) ทรง
แขง็ เมืองตอ่ พมา่ เพราะทนการกดขไ่ี ม่ไหว แตก่ ไ็ ม่สำ�เร็จ จนตอ้ งหนีไปเมอื งลาว หัวเมืองล้านนาต่าง ๆ ก็พยายาม
แขง็ ขอ้ ตอ่ พมา่ มกี ารสรู้ บกนั ตลอดมา สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช สามารถโจมตขี บั ไลพ่ มา่ ออกจากเชยี งใหมเ่ ปน็
ผลส�ำ เรจ็ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๑๗ พญาวฑิ รู เจา้ เมอื งนา่ น ทรงสรู้ บกบั พมา่ จนไดร้ บั ชยั ชนะ ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๓๒๑ พญา
วิฑรู ถูกจบั และถกู คุมตวั สง่ ไปยังกรุงธนบรุ ี เพราะไมจ่ งรักภกั ดี เมอื งนา่ นจงึ ขาดผู้นำ� พม่าได้ยกทัพกวาดต้อนผู้คน
ไปอยทู่ ่เี ชียงแสน ทำ�ใหเ้ มืองนา่ นถูกท้ิงรา้ งวา่ งเปล่านาน ๒๓ ปี

1 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


เมืองน่านสมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทร์

ในปี พ.ศ.๒๓๒๖ สยามไดแ้ ตง่ ตง้ั ใหพ้ ญามงคลวรยศ (ตน้ สกลุ “วรยศ”) หลานเจา้ พญาหลวง ตน๋ิ มหาวงศ์
เปน็ เจา้ ผ้คู รองนครน่าน ร้งั เมอื งท่าปลา (ทา่ ปลา อตุ รดติ ถ)์ สว่ นเจา้ สมุ นเทวราช รง้ั เมอื งเวียงพอ้ (เวยี งสา น่าน)
ส่วนพมา่ แตง่ ต้งั เจา้ ฟ้าอทั ธวรปัญโญ ร้งั เมืองเทิง (เทิง เชยี งราย)
ในยคุ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ มอื งนา่ นมฐี านะเปน็ หวั เมอื งประเทศราช เจา้ ผคู้ รองนครนา่ นในชน้ั หลงั ทกุ องค์
ต่างปฏบิ ัติหน้าทรี่ าชการด้วยความเที่ยงธรรม มีความซอ่ื สตั ย์ จงรักภักดีตอ่ พระมหากษตั ริย์ราชวงศ์จักรี ไดช้ ว่ ย
ราชการบา้ นเมอื งสำ�คญั หลายคร้ังหลายคราด้วยกัน สรปุ ได้ดังนี้
ปี พ.ศ. ๒๓๓๑ เจ้าฟา้ อตั ถวรปญั โญ ได้ลงมาเขา้ เฝา้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช
รัชกาลที่ ๑ เพอ่ื ขอเป็นข้าขอบขนั ทสมี า ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้เจ้าฟ้าอตั ถวรปญั โญ ขนึ้ ครองเมืองน่าน มี
ฐานะเปน็ เมอื งประเทศราช แตย่ งั มไิ ดเ้ ขา้ ไปอยเู่ มอื งนา่ นเสยี ทเี ดยี ว เนอ่ื งจากเมอื งนา่ นยงั รกรา้ งอยู่ ไดย้ า้ ยไปอาศยั
อยู่ตามทีต่ า่ ง ๆ คือ บา้ นตึด๊ บุญเรือง เมืองงว้ั (บรเิ วณอำ�เภอนานอ้ ย) เมืองพอ้ (บรเิ วณอำ�เภอเวียงสา) ต่อมาในป ี
พ.ศ. ๒๓๔๓ หลงั จากไดบ้ รู ณะซอ่ มแซมเมอื งนา่ นแลว้ พรอ้ มทงั้ ไดข้ อพระบรมราชานญุ าตกลบั เขา้ มาอยใู่ นเมอื งนา่ น
หลงั จากทง้ิ รา้ งมานาน เจา้ ฟา้ อตั ถวรปญั โญ มคี วามสามารถในการปกครองและบรหิ ารบา้ นเมอื งเปน็ อยา่ งยง่ิ และ
มผี ลงานมากมาย เช่น
- น�ำ ก�ำ ลงั ทพั รว่ มกบั เมอื งเชียงใหมแ่ ละล�ำ ปาง ตีเมอื งเชยี งแสน ยดึ คืนจากพม่าได้
- นำ�เมอื งสิบสองปันนา เชยี งรงุ้ มาสวามภิ ักด์ิ
- ถวายพระเกศาธาตุเจ้า
- บรู ณะปฏิสงั ขรณ์และสร้างบนั ไดนาควดั พระธาตุแช่แหง้ ครั้งใหญ่
- บูรณะเวยี งเก่าน่านขนึ้ ใหม่ และสร้างเสาพระหลักเมืองน่าน ท่ีวดั ม่งิ เมือง
- บูรณะสรา้ งเวียงพ้อ และสรา้ งวัดบญุ ยนื (เวียงสา)
ในปี พ.ศ.๒๓๕๓ เจา้ สมุ นเทวราช ไดร้ บั พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ จากรชั กาลที่ ๒ ใหเ้ ปน็ เจา้ ผคู้ รองนครนา่ น
(ตน้ สกลุ “สมณะชา้ งเผอื ก”) ในปี พ.ศ.๒๓๕๔ ทรงยกทพั ไปกวาดต้อนชาวไทลอื้ ๖,๐๐๐ คนจากแควน้ สบิ สองปนั
นามาไว้ที่เมอื งนา่ น เรียกยุคนวี้ ่า “ยุคเก็บผักใสซ่ า้ เกบ็ ข้าใสเ่ มือง”
ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ ในสมยั รชั กาลที่ ๒ เกดิ น�้ำ ทว่ มเมอื งนา่ นอยา่ งหนกั ไดพ้ ดั พาก�ำ แพงเมอื งทางดา้ นทศิ ตะวนั
ตกพงั ทลายลงทง้ั แถบ บา้ นเรอื นพงั เกอื บหมด วดั วาอารามในนครนา่ นหกั พงั เปน็ อนั มาก เจา้ สมุ นเทวราช จงึ ไดย้ า้ ย
เมอื งไปอยบู่ รเิ วณดงพระเนตรชา้ ง หา่ งจากเมอื งเกา่ ไปทางทศิ เหนอื ๓ กโิ ลเมตร ใชเ้ วลาสรา้ ง ๖ เดอื นจึงแลว้ เสรจ็
เรยี กวา่ “เวยี งเหนอื ” (ปจั จบุ นั อยใู่ นเขตบา้ นมหาโพธแ์ิ ละบา้ นสถารศ) มอี าณาเขตทศิ เหนอื จรดบา้ นเชยี งแขง็ ทศิ
ใต้ จรดทงุ่ นารนิ (บรเิ วณโรงเรยี นนา่ นครสิ เตยี นศกึ ษา) ทศิ ตะวนั ออกตดิ ตามถนนสมุ นเทวราช และทศิ ตะวนั ตกทอด
ตามแนวดา้ นนอกของสนามบนิ และมวี ดั สถารศ เปน็ วดั หลวงประจ�ำ เวยี งเหนอื ศนู ยก์ ลางนครนา่ น อยทู่ เี่ วยี งเหนอื
สบื กันมาได้ ๓๖ ปี
ในปี พ.ศ.๒๓๖๘ เจา้ มหายศ (ตน้ สกลุ มหายศนนั ทน)์ เปน็ เจา้ ผคู้ รองนครนา่ น รชั กาลที่ ๓ โปรดเกลา้ ฯ ให้
ไปชว่ ยกองทพั หลวงปราบกบฏเจา้ อนวุ งศ์ ทกี่ รงุ เวยี งจนั ทนจ์ นส�ำ เรจ็ และไดท้ รงเกณฑก์ �ำ ลงั พลไปรกั ษาเมอื งหลวง
พระบาง

วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติิฯ | 1


ในปี พ.ศ.๒๓๗๙ เจา้ อชิตวงษ์ (ตน้ สกุลจิตรวงศน์ นั ท์) เสด็จเจ้าเฝ้ารชั กาลท่ี ๓ ณ พระนคร เมื่อกลบั มา
แลว้ ทรงประชวรหนกั จนถงึ แกพ่ ริ าลยั ตอ่ มา พ.ศ.๒๓๘๑ เจา้ มหาวงษ์ (ตน้ สกลุ “มหาวงศน์ นั ทน”์ และ “พรหมวง
ศนนั ท์”) ครองเมอื งนา่ น พระองค์ทรงทำ�นุบำ�รงุ วดั วาอารามต่าง ๆ คอื วดั พระธาตุแช่แหง้ วดั พญาวดั วัดสถารศ
วดั พระเกดิ วัดท่าลอ้ วัดชา้ งเผือก วัดปงสนกุ (อำ�เภอเวียงสา) วดั ดอนหนาม (อำ�เภอปวั )
ในปี พ.ศ.๒๓๙๕ เจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดชฯ (ตน้ สกลุ “ณ นา่ น”) ผคู้ รองนครนา่ น ทรงโปรดใหส้ รา้ งวดั วหิ าร
พระธาตุ และโปรดให้จารพระไตรปฎิ กลงในคมั ภรี ์ใบลานและแผ่กุศลไปยงั เมอื งเชยี งใหม่ ลำ�พูน ล�ำ ปาง พะเยา
เชียงราย และหลวงพระบาง
ต่อมาใน พ.ศ.๒๓๙๘ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าตจากพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั รัชกาลท่ี ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อยา้ ยเมืองจากดงพระเนตรชา้ ง (เวยี งเหนือ) กลบั ไป
ยงั เวียงใต้ และได้ปฏสิ ังขรณก์ �ำ แพงเมืองสว่ นทเี่ คยถกู กระแสน�้ำ พดั พังทลาย และซ่อมแซมส่ิงช�ำ รุดทรุดโทรมให้ดี
ดงั เดมิ ในยคุ นเ้ี มอื งนา่ นใช้ “อาณาจกั รหลกั ค�ำ ” เปน็ กฎหมายเขม้ งวด และมบี ทลงโทษทร่ี นุ แรงถงึ ขนั้ ประหารชวี ติ
โดยมเี จา้ ขนั หา้ ใบ (เจา้ ผคู้ รองนคร เจา้ อปุ ราช เจา้ บรุ รี ตั น์ เจา้ ราชวงศ์ เจา้ ราชบตุ ร) และเคา้ สนามหลวง เปน็ ผชู้ ว่ ย
พิจารณาคดคี วาม ตอ่ มา พ.ศ.๒๓๙๙ เจ้าอนนั ตวรฤทธเิ ดชฯ โปรดให้ เจ้าสรุ ยิ พงษ์ผลติ เดชฯ (ครงั้ ด�ำ รงพระยศเจา้
ราชวงศ)์ ยกทพั ตเี มอื งพง เมอื งเชยี งแขง็ และกวาดตอ้ นชาวไทลอ้ื มาอยเู่ มอื งนา่ นเปน็ ครงั้ ท่ี ๓ (ครงั้ แรกสมยั เจา้ ฟา้
อทั ธวรปญั โญ, ครัง้ ท่ี ๒ สมยั เจ้าสมุ นเทวราช)
ในปี พ.ศ.๒๔๓๖ เจ้าสุรยิ พงษผ์ ลิตเดชฯ (ราชบตุ รของเจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดชฯ) ครองนครน่าน พระบาท
สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๕ ไดท้ รงแกไ้ ขวธิ กี ารปกครองแผน่ ดนิ ขนึ้ ใหม ่ โดยแบง่ การปกครองหวั
เมอื งออกเปน็ มณฑลเทศาภบิ าล ไดท้ รงสง่ ขา้ ราชการผใู้ หญท่ ว่ี างพระราชหฤทยั จากกรงุ เทพฯ เปน็ ผแู้ ทนมาก�ำ กบั
ดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจา้ ผ้คู รองนคร เรียกชื่อตามต�ำ แหนง่ ท�ำ เนยี บว่า “ข้าหลวงประจำ�เมอื ง”
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวฯ ไดท้ รงมพี ระกรณุ าโปรดเกล้าฯ สถาปนา
ให้ เจา้ สรุ ยิ พงษ์ผลิตเดชฯ เล่อื นยศฐานนั ดรศกั ดิข์ น้ึ เป็น “พระเจา้ นครนา่ น” ในฐานะท่มี ีความสามารถโดดเดน่ ใน
การบรหิ ารบา้ นเมอื ง และประกอบคณุ งามความดแี กร่ าชการดว้ ยความจงรกั ภกั ดี ถอื เปน็ พระเจา้ นครนา่ นองคแ์ รก
และองค์เดยี วในประวตั ศิ าสตร์น่าน ภายหลงั ได้รับการสถาปนาเปน็ พระเจา้ นา่ น พระเจา้ สุริยพงษผ์ รติ เดชฯ จึงได้
สรา้ งหอคำ� (คุ้มหลวง) ข้ึนแทนหลงั เดมิ ซ่ึงสร้างในสมัยของเจา้ อนันตวรฤทิ ธิเดชฯ และดา้ นหนา้ หอค�ำ มขี ว่ งไวท้ ำ�
หนา้ ทค่ี ลา้ ยสนามหลวง ส�ำ หรบั จดั งานพธิ ตี า่ ง ๆ ตลอดจนเปน็ ทจ่ี ดั ขบวนทพั ออกสศู้ กึ จดั ขบวนน�ำ เสดจ็ หรอื ขบวน
รกั แขกเมืองสำ�คญั
เมอื่ พระเจา้ สรุ ยิ พงษผ์ รติ เดชฯ สวรรคต ในปี พ.ศ.๒๔๖๑ เจา้ มหาพรหมสรุ ธาดาฯ (โอรสเจา้ อนนั ตวรฤทธิ
เดชฯ ประสตู แิ ตเ่ จา้ ขอดแกว้ และเปน็ อนชุ าตา่ งมารดาในพระเจา้ สรุ ยิ พงษผ์ รติ เดชฯ) ไดข้ นึ้ ครองเมอื งนา่ น แตส่ มยั
น้ีอำ�นาจของเจา้ ผูค้ รองนครลดนอ้ ยลง ทางกรุงเทพจึงได้สง่ ข้าราชการ เช่น ผู้ชว่ ยผวู้ า่ ราชการจงั หวัด คลังจังหวัด
สรรพากรจังหวัด ฯลฯ ไปประจำ�หน่วยท่เี รยี กว่า “เคา้ สนามหลวง” สว่ นเจ้าผูค้ รองนครได้ก�ำ หนดรายได้เป็นอตั รา
เงินเดือน สว่ ยอากรตา่ ง ๆ ตอ้ งเกบ็ เข้าท้องพระคลงั เมื่อเจา้ มหาพรหมสรุ ธาดา (เจ้าผ้คู รองนครนา่ นองคส์ ดุ ทา้ ย)
ถงึ แกพ่ ริ าลยั ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ทางกรงุ เทพฯ จงึ ไดย้ กเลกิ ต�ำ แหนง่ เจา้ ผคู้ รองนครของเมอื งในลา้ นนาตงั้ แตน่ น้ั เปน็ ตน้
มา สว่ นหอค�ำ ไดใ้ ชเ้ ปน็ ศาลากลางจงั หวดั นา่ น (ปจั จบุ นั คอื สถานทจี่ ดั ตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตนิ า่ น) จนกระทง่ั
ปจั จุบัน

1 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


บริบทชุมชนเมืองน่าน

จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดจี ะเหน็ ไดว้ า่ เมอื งนา่ นเปน็ ชมุ ชนและเมอื งโบราณทมี่ อี ายเุ กา่
แกเ่ มอื งหนง่ึ ในดนิ แดนลา้ นนาตะวนั ออก โดยทต่ี ง้ั ของตวั จงั หวดั ปจั จบุ นั ตง้ั ซอ้ นทบั บนตวั เมอื งโบราณเดมิ มกี ารยา้ ย
ถนิ่ ฐานและสรา้ งเมอื งใหมอ่ ยหู่ ลายครงั้ เนอ่ื งมาจากการปรบั ทตี่ งั้ ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตรแ์ ละปจั จยั
อนื่ ๆ เชน่ ความตอ้ งการเชอ่ื มตอ่ กบั เมอื งและอาณาจกั รใกลเ้ คยี ง และความจ�ำ เปน็ ในการขยายเมอื งเนอ่ื งจากจ�ำ นวน
ประชากรทเี่ พม่ิ ขน้ึ ซง่ึ การยา้ ยถนิ่ ฐานแตล่ ะครง้ั ลว้ นกอ่ ใหเ้ กดิ ชมุ ชนหรอื เมอื งอนั เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ่ี
ส�ำ คญั ในอดตี อาณาเขตการปกครองของเมอื งนา่ นกวา้ งกวา่ ปจั จบุ นั มอี าณาเขตในอ�ำ เภอเชยี งค�ำ อ�ำ เภอเชยี งมว่ น
อ�ำ เภอเชยี งของ อ�ำ เภอเทงิ ปจั จบุ นั เปน็ เขตการปกครองของจงั หวดั พะเยา เชยี งราย และอ�ำ เภอทอ่ี ยคู่ มุ้ น�ำ น้ า่ นในเขต
จงั หวดั อตุ รดติ ถบ์ างสว่ น นอกจากนยี้ งั รวมบรเิ วณหวั เมอื งฝง่ั ขวาของแมน่ �ำ้ โขงทตี่ อ้ งสญู เสยี ใหแ้ กป่ ระเทศฝรงั่ เศส
ในยคุ ลา่ อาณานคิ ม พ.ศ.๒๔๔๖ (ร.ศ.๑๒๒) ไดแ้ ก่ เมอื งเงนิ เมอื งหงสา เมอื งเชยี งลม เมอื งเชยี งฮอ่ น และเมอื งงอบ
ปจั จบุ นั เปน็ เขตการปกครองของสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว และบรรพบรุ ษุ ของชาวนา่ นสว่ นหนง่ึ กไ็ ด้
อพยพมาจากฝ่งั ดนิ แดนล้านชา้ งและสบิ สองปันนา
ในปจั จบุ นั ชาวเมอื งนา่ น จะเรยี กตนเองวา่ “คนเมอื ง” และพดู ภาษาค�ำ เมอื ง แตเ่ อกลกั ษณท์ างศลิ ปวฒั นธรรม
ทไ่ี ดถ้ กู หลอ่ หลอมจนเปน็ แบบแผนทเี่ รยี กวา่ “นา่ น” กเ็ กดิ จากการผสมผสานแลกเปลย่ี นหยบิ ยมื ระหวา่ งชาตพิ นั ธ์ุ
ต่าง ๆ ร่วมกันมานานกวา่ ๒๐๐ ปี และไดถ้ ่ายทอดส่งั สมจากรนุ่ สูร่ ่นุ จากอดตี จนถึงปจั จบุ ัน ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย
๑) ชาวไทยวน หรอื “คนเมอื ง” และ “อู้ค�ำ เมือง” ส่วนใหญ่อพยพมาจากเชียงแสนและบรเิ วณต่าง ๆ ของลา้ นนา
ซง่ึ เป็นประชากรสว่ นใหญ่ของจังหวัด ๒) ชาวไทลอื้ (ไทล้อื , ไทยอง) สว่ นใหญอ่ พยพมาจากสบิ สองปนั นาและหวั
เมอื งต่าง ๆ บริเวณทร่ี าบล่มุ แม่น�ำ โ้ ขง เมอื่ ประมาณ ๒๐๐ ปที ผ่ี ่านมา จากหลักฐานในพงศาวดารเมืองน่าน พ.ศ.
๒๓๕๕ เจา้ หลวงสมุ นเทวราช ยกทพั ไปตเี มอื งลา้ เมอื งพง เมอื งเชยี งแขง็ เมอื งหลวงภคู า และตอ้ นผคู้ นมาไวท้ เ่ี มอื ง
นา่ นถึง ๖,๐๐๐ คน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๙๙ เจา้ สรุ ยิ พงษผ์ ลิตเดชฯ ได้ยกทพั ไปตีเมอื งพง เขตสิบสองปันนา และ
ได้กวาดตอ้ นชาวไทลื้อเขา้ มาอยใู่ นเขตเมืองนา่ นประมาณอกี พันกวา่ คน ใหต้ ้ังภูมิลำ�เนาอยู่ทีเ่ ชยี งมว่ น และเชยี งคำ�
(ขณะน้นั อยู่ในเขตการปกครองของเมอื งนา่ น) ปัจจบุ ันชาวไทลอ้ื อาศยั ต้งั บา้ นเรอื นอยกู่ ระจดั กระจายตามลุม่ น�ำ ้
ตา่ ง ๆ ของจังหวัดน่าน ซึ่งมีมากท่สี ดุ คอื อำ�เภอปัว อ�ำ เภอท่าวงั ผา อำ�เภอสองแคว อำ�เภอเชียงกลาง และอำ�เภอ
ทุง่ ช้าง เลยไปถึงอ�ำ เภอเฉลมิ พระเกียรติ ๓) ชาวไทพวน หรอื ลาวพวน ตัง้ บ้านเรือนที่บ้านฝายมูล อ�ำ เภอทา่ วังผา
และบ้านหลับมนื พวน อำ�เภอเวยี งสา ๔) ชาวไทเขิน หรือ ชาวขนื อพยพมาจากเชียงตุง ๕) ชาวไทใหญ่ หรอื เงีย้ ว
หรอื ไตโหลง มถี ิ่นฐานในรฐั ฉานและเชยี งตุง อาศยั อยบู่ ริเวณอำ�เภอท่งุ ช้าง สว่ นบรเิ วณท่สี งู ตามไหลเ่ ขาเป็นชุมชน
ของชนกลุม่ นอ้ ย “ชาวเขา” ได้แก่ ชาวม้ง, เม่ียน, ลวั ะ หรอื ถน่ิ , ขมุ รวมถึงชาวตองเหลือง (มลาบร)ี
สรุปไดว้ ่า จากบันทึกพงศาวดารเมืองนา่ น ยนื ยนั ไดว้ ่าความหลากหลายทางด้านศิลปวัฒนธรรมในหลาย
ๆ เรือ่ ง เช่น ศาสนา ความเชอื่ การอยู่ การกิน การแตง่ กาย ฯลฯ มีผลสบื เน่ืองมาจากการอพยพโยกยา้ ยผู้คนจาก
เมอื งตา่ ง ๆ มาอยรู่ วมกนั และหลอ่ หลอมดว้ ยระยะเวลาทย่ี าวนานหลายชว่ั อายคุ น ผา้ ทอกเ็ ปน็ อกี สงิ่ หนงึ่ ทแี่ สดงถงึ
ความกลมกลนื อยา่ งแนบแนน่ ระหวา่ งชาวเมอื งนา่ นกบั ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งโดยเฉพาะชาวไทลอ้ื ไดส้ รา้ งอทิ ธพิ ลในวฒั นธรรม
ผา้ ทอเมอื งนา่ นอยา่ งมาก จนสามารถเรยี กไดว้ า่ ผา้ ทอเมอื งนา่ นคอื ผา้ ทอแบบชาวไทลอ้ื กว็ า่ ได้ เนอ่ื งจากเทคนคิ ขดิ
และลว้ งเปน็ เทคนคิ ทช่ี าวไทล้อื ชำ�นาญมากท่สี ดุ ตลอดจนรสนิยมในการใชส้ สี ันโดยเฉพาะสีดำ� สแี ดง สีขาวในผา้
หลบหรือผ้าปูท่นี อนและผ้าหม่ ทเ่ี รยี กว่า ผ้าตาโก้ง ก็เปน็ รสนยิ มในการใช้สสี นั แบบชาวไทลอื้ นอกจากนีผ้ า้ ซิ่นหรอื
ผ้านงุ่ ของผหู้ ญงิ เมืองน่านก็นยิ มเย็บตะเขบ็ สองขา้ งเป็นถุง ตามแบบชาวไทลือ้ ดว้ ย

วิิทยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติฯิ | 1


วถิ ีชวี ิตและวัฒนธรรม

ชาวนา่ นมวี ถิ ชี วี ติ เรยี บงา่ ย สบื ทอดวฒั นธรรมและประเพณอี นั ดงี ามมาจากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั ดว้ ยความหลาก
หลายทางวฒั นธรรมของแตล่ ะดา้ นอยา่ งเปน็ เอกลกั ษณ์ เชน่ ภาษา และวรรณกรรมของคนนา่ น “ค�ำ เมอื ง” ยงั เปน็
เอกลักษณท์ ช่ี ดั เจน มที ั้งภาษาพูด และภาษาเขียน นอกจากนัน้ ยงั มีพิธกี รรมและความเช่ือทีเ่ หมอื นกับชาวล้านนา
คอื เชื่อในทางพระพุทธศาสนา เช่อื ในทางไสยศาสตร์ และโหราศาสตรต์ ามวรรณกรรมลา้ นนา เชน่ การดฤู กษ์ยาม
พธิ สี ะเดาะเคราะหต์ อ่ ชะตา พธิ แี กม้ เลย้ี ง เปน็ ตน้ ส�ำ หรบั เทศกาลนนั้ จงั หวดั นา่ นมงี านเทศกาลทเี่ ปน็ เอกลกั ษณโ์ ดด
เดน่ คอื ประเพณแี ขง่ ขนั เรอื ยาวโขนพญานาค ตลอดจนการแตง่ กายดว้ ยผา้ พน้ื เมอื งโบราณเมอื งนา่ น และการแตง่
กายของแตล่ ะชนเผา่ รวมถงึ งานศลิ ปหตั ถกรรมทอ้ งถน่ิ ตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ ของชาวนา่ น จากการศกึ ษาขอ้ มลู
เอกสาร พบวา่ ชาวนา่ นมภี มู ปิ ัญญาในการทอผา้ การปกั ผา้ แบบชาวเขา การทำ�เครอ่ื งเงิน การทำ�เครื่องป้ันดนิ เผา
การท�ำ โคมผา้ การประดิษฐ์เครื่องจักสานเพ่อื ใชใ้ นชวี ติ ประจำ�วัน เป็นตน้ ซึ่งเปน็ ศลิ ปะหตั ถกรรมท่มี คี วามงดงาม
และมีเปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะตนอกี ด้วย

พนื้ ท่จี งั หวัดน่าน

ปจั จบุ นั นา่ นเปน็ จงั หวดั หนงึ่ ในภาคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย เปน็ จงั หวดั ชายแดนดา้ นตะวนั ออกของ
ภาคเหนือ ห่างจากกรุงเทพมหานคร ตามเส้นทางรถยนต์ประมาณ ๖๖๘ กิโลเมตร
- ทศิ เหนอื และทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว มคี วามยาวตาม
แนวชายแดนประมาณ ๒๗๗ กโิ ลเมตรห่างจากแขวงหลวงพระบาง ๒๓๐ กิโลเมตร
- ทิศตะวนั ตก ติดต่อกบั จงั หวัดแพรจ่ ังหวดั พะเยา
- ทศิ ใต้ ติดตอ่ กับจังหวดั แพรแ่ ละจงั หวดั อุตรดิตถ์
- มีจดุ ผ่านแดนสากล ๑ จุด คอื ด่านบ้านห้วยโก๋น
อำ�เภอเฉลิมพระเกียรตดิ ่านตรงขา้ มของ สปป.ลาว
คือ บ้านนำ�้เงิน เมืองเงนิ แขวงไชยะบลุ ี (ด่านสากล)
และจดุ ผ่อนปรนดา่ นบ้านใหม่ชนแดน อ�ำ เภอสองแคว
และบา้ นห้วยสะแตง อ�ำ เภอทุ่งช้าง กับเมอื งเชยี งฮ่อน สปป.ลาว
มพี ้ืนทร่ี วมทง้ั สิ้น ๗,๑๗๐,๐๔๕ ไร่ หรอื ๑๑,๔๗๒,๐๗๖
ตารางกิโลเมตร คิดเป็นรอ้ ยละ ๒.๒๓ ของพนื้ ท่ีท้งั ประเทศ
เป็นพ้ืนท่ปี ่าเขาและลาดชนั ประมาณ ๘๕% เหลอื ประมาณ ๑๕%
เปน็ พื้นทร่ี าบ มีสภาพภูมิประเทศสว่ นใหญ่เป็นภเู ขาอดุ มไปด้วยปา่ ไม้
เป็นแหล่งตน้ นำ�้ท่ีสำ�คญั คือ แมน่ ำ�น้ ่าน และแมน่ �ำ ้ยม ท่เี อ้อื ต่อระบบ
เกษตรกรรม มเี ขตการปกครอง ๑๕ อำ�เภอ ไดแ้ ก่ อำ�เภอเมืองน่าน แผนท่ีจังหวัดนา่ น
อำ�เภอทา่ วงั ผา อ�ำ เภอปวั อ�ำ เภอทุ่งช้าง อำ�เภอนาน้อย อ�ำ เภอนาหมื่น
อำ�เภอเชยี งกลาง อ�ำ เภอบอ่ เกลอื อำ�เภอบ้านหลวง อำ�เภอเวยี งสา
อ�ำ เภอแมจ่ ริม อ�ำ เภอสนั ตสิ ขุ อำ�เภอสองแคว อ�ำ เภอเฉลิมพระเกยี รติ และอ�ำ เภอภเู พยี ง

1 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


คุณค่าความสำ�คญั ของ “เมอื งเก่าน่าน”
ใจกลางเมืองนา่ น เปน็ พ้ืนทท่ี อี่ ย่ใู นเขตเทศบาลเมืองนา่ น อำ�เภอเมือง จังหวัดน่าน เปน็ ชมุ ชนศนู ย์กลาง
ลำ�ดับท่ี ๑ ตามผังโครงสร้าง มบี ทบาทเปน็ เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ สงั คม การปกครอง และการศึกษาของ
จงั หวดั ตลอดจนเปน็ แหลง่ รวบรวมและซอ้ื ขายผลผลติ ทางการเกษตร การทอ่ งเทย่ี วภายในจงั หวดั นา่ น ทเ่ี ชอ่ื มโยง
กับจังหวัดแพร่ พะเยา และเชียงราย นอกจากน้พี ื้นท่เี มอื งเก่านา่ น เปน็ พนื้ ท่ีท่ตี ั้งอยใู่ นเขตผังเมอื งรวมเมอื งน่าน
ตามประกาศผังเมอื งรวมน่าน ฉบบั ท่ี ๔๔๕ (พ.ศ.๒๕๔๓) ดังนน้ั สภาพเศรษฐกิจของพืน้ ทดี่ งั กลา่ วจงึ มีลกั ษณะท่ี
สอดคล้องกบั เศรษฐกิจของพ้ืนท่ีผงั เมอื งรวม และจงั หวดั นา่ น
“เมืองนา่ น” เป็นสัญลกั ษณข์ องอดีตที่มคี วามสัมพันธเ์ ก่ยี วเนื่องกับประวตั ศิ าสตร์อันยาวนานของจังหวัด
นา่ นมาจนถงึ ปจั จบุ นั เปน็ พนื้ ทที่ แ่ี สดงใหเ้ หน็ เคา้ โครงของชมุ ชนเมอื งในอดตี ตอ่ เนอื่ งกนั ยาวนานถงึ ๖๓๗ ปี ดงั นน้ั
จึงเป็นพ้ืนท่ีทมี่ คี ุณค่าในการอนรุ ักษ์และพัฒนาหลายด้าน ไดแ้ ก่
๑) คุณคา่ ทางวฒั นธรรม (Cultural Value) สามารถเหน็ ได้จากเอกลักษณข์ องพื้นที่ริมสองฝงั่ แมน่ ำ�้นา่ น
ซง่ึ ประกอบด้วยสถานทีท่ มี่ ีคุณคา่ ทางประวตั ศิ าสตร์และสถาปัตยกรรมเปน็ จ�ำ นวนมาก เช่น ค้มุ เจ้า วัด ยา่ นการ
คา้ ชมุ ชนที่พักอาศัยเกา่ แก่
๒) คณุ คา่ ทางเศรษฐกจิ (Value Added) บรเิ วณใจเมอื งนา่ นและพนื้ ทโ่ี ดยรอบ เปน็ พนื้ ทท่ี มี่ ศี กั ยภาพสงู ใน
การส่งเสริมคณุ คา่ เศรษฐกจิ ใหก้ ับชมุ ชน ด้วยการสง่ เสริมให้เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ประวตั ิศาสตร์ของเมอื งน่าน และเปน็
แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรมและเชงิ อนรุ กั ษ์ สนบั สนนุ การจดั ภมู ทิ ศั นเ์ มอื งในพนื้ ทป่ี ระวตั ศิ าสตร์ จดั ระบบคมนาคม
ใหเ้ หมาะสม สนบั สนนุ ใหม้ ถี นนคนเดนิ ในลกั ษณะทเ่ี ปน็ ถนนคา้ ขาย กจิ กรรมเหลา่ นลี้ ว้ นเปน็ สงิ่ ทท่ี �ำ ใหเ้ มอื งมบี ทบาท
ในดา้ นเศรษฐกจิ เพม่ิ มากขน้ึ ผลทไ่ี ดจ้ ากการจดั การทอ่ งเทยี่ ว ไดแ้ ก่ การคา้ ขายสนิ คา้ พนื้ บา้ น ผลผลติ จากสนวนผล
ไม้ ผลผลติ จากอตุ สาหกรรมในครวั เรอื นและอตุ สาหกรรมขนาดยอ่ ย ซง่ึ มผี ลท�ำ ใหเ้ ศรษฐกจิ ชมุ ชนเขม้ แขง็ เกดิ การ
จ้างงานเปน็ การกระจายรายได้สูท่ ้องถิน่ ทำ�ให้คณุ ภาพชวี ิตของคนในท้องถิน่ ดีขนึ้
๓) คณุ คา่ ดา้ นการใชง้ าน (Functional Value) แมว้ า่ บางสว่ นของโบราณสถาน ศาสนสถานดงั้ เดมิ ชมุ ชน
เดมิ ในอดตี หรอื สาธารณปู โภคดงั้ เดมิ ไดเ้ สอ่ื มลงตามกาลเวลาทย่ี าวนาน เนอ่ื งจากบรบิ ททางเศรษฐกจิ สงั คม และ
บรบิ ทของเมอื งนา่ นทเี่ ปลย่ี นแปลงไป แตก่ ารบรู ณะปรบั ปรงุ ใหน้ �ำ มาใชใ้ หม่ หรอื การปรบั เปลยี่ นประโยชนก์ ารใชส้ อย
ใหเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั นบั เปน็ หนทางหนง่ึ ในการอนรุ กั ษแ์ หลง่ มรดกทางวฒั นธรรม และยงั คงตอบสนองประโยชนใ์ ชส้ อบ
รว่ มสมยั ไดใ้ นเวลาเดียวกัน เช่น การจดั ระเบยี บถนนสายประวตั ศิ าสตรเ์ ปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วถนนคนเดิน เปน็ ต้น
๔) คณุ คา่ ด้านการศกึ ษา (Educational Value) นอกจากจะเป็นแหลง่ ทมี่ ีศักยภาพสงู ดา้ นการท่องเทย่ี ว
เชงิ วฒั นธรรมและประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ ยงั ถอื ไดว้ า่ มจี ดุ แขง็ ในการทจี่ ะพฒั นาเปน็ แหลง่ ความรเู้ พอ่ื ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ใน
การอนรุ กั ษแ์ ละสบื สานวฒั นธรรมโดยไมจ่ �ำ เปน็ จะตอ้ งละทงิ้ การพฒั นาเพอื่ รองรบั การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ และ
สงั คมทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป โดยการสรา้ งจดุ ขายใหบ้ รเิ วณใจเมอื งนา่ นและพนื้ ทโี่ ดยรอบ ใหเ้ ปน็ พพิ ธิ ภณั ฑม์ ชี วี ติ (Living
Museum) โดยการพฒั นาและสง่ เสรมิ บางสว่ นของพน้ื ทปี่ ระวตั ศิ าสตรใ์ นดา้ นการสอื่ ความหมายดา้ นประวตั ศิ าสตร์
ให้ผสมกลมกลนื ไปกบั บรเิ วณตอ่ เนื่องทีย่ งั มคี นใชช้ วี ติ อยู่ในปจั จุบนั
๕) คณุ ค่าด้านสงั คม (Social Value) ในความเปน็ มรดกทมี่ คี ณุ ค่าของจงั หวดั และประเทศนน้ั ความเกี่ยว
เนอื่ งของกจิ กรรมประเพณีทางสงั คมถูกน�ำ มาเชอ่ื มโยงกับการใช้สอยในยคุ ปจั จบุ ัน พน้ื ที่บริเวณใจเมอื งน่าน ยังถอื
เปน็ พน้ื ทท่ี มี่ คี ณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร์ สถาปตั ยกรรม ศลิ ปกรรม ประเภทตา่ ง ๆ ผคู้ นทอ่ี ยใู่ นชมุ ชนยงั คงใชส้ อยอยา่ ง
ตอ่ เนอื่ งในการท�ำ กจิ กรรมทางประเพณี ทางสงั คมตา่ ง ๆ ตลอดจนการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในการชว่ ยกนั ดแู ล
รกั ษาและใชส้ อยใหส้ มกบั คณุ คา่ ทบ่ี รรพบรุ ษุ ไดใ้ ชภ้ มู ปิ ญั ญาสรา้ งมาเชอ่ื มโยงปจั จบุ นั กบั อดตี ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งและผสม
กลมกลนื

ผา้ ทอโบราณเมอื งนา่ น

1 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ผา้ ทอในสมัยอาณาจกั รลา้ นนา

อาณาจักรลา้ นนา เปน็ อาณาจกั รเกา่ แก่เริ่มกอ่ ตง้ั เปน็ แวน่ แควน้ ขึ้นในสมยั พญามังราย แห่งราชวงศ์ลาว
หรือ ลวจังกราช เมอื งเชยี งแสน ตอ่ มาได้ขยายอาณาเขตลงมาทางใตใ้ นบรเิ วณลุ่มแมน่ ้ำ�ปิงและสร้างเมอื งเชียงใหม่
เปน็ ศนู ยก์ ลาง จนทส่ี ดุ ไดส้ ถาปนาเปน็ อาณาจกั รลา้ นนาในสมยั พระเจา้ ตโิ ลกราช ปกครองหวั เมอื งตา่ ง ๆ มากมาย
กลุ่มชาติพันธ์ุไทที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรล้านนากลุ่มใหญ่ที่สุดก็คือ“ชาติพันธ์ุไทยวน”หรือ“ชาติพันธ์ุไทล้านนา”
ซึ่งในระยะหลงั เรียกตนเองว่า “คนเมือง” และ “ชาติพนั ธ์ุลอ้ื ” ซง่ึ สว่ นใหญ่จะอพยพโยกย้ายมาจากดินแดนสิบ
สองปันนาเขา้ มาตั้งหลักแหลง่ ประมาณ ๒๐๐ ปีที่ผา่ นมา ส่วนชาติพันธุ์กลมุ่ ตา่ ง ๆ ที่ได้อพยพมาจากสาธารณรัฐ
ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว เขา้ มาอาศยั อยู่ในเขตล้านนานนั้ มักจะได้รบั การเรียกขานรวม ๆ วา่ “ชาติพันธุ์ลาว”
หรอื “ลาว” เรือ่ งราวในตำ�นานของล้านนา ไดก้ ลา่ วถึงแควน้ โยนก ซึ่งสนั นษิ ฐานกันวา่ เปน็ ต้นกำ�เนดิ ของชอ่ื กลุ่ม
ชาติพนั ธุ์ไท “โยนก” “โยน” “ยูน” และ “ยวน” ซ่งึ ไดก้ ล่าวถงึ ขนุ เจืองธรรมิกราช แหง่ ราชวงศ์ลวจงั กราช หรอื
ลวจกั กราช กษัตริยผ์ ู้มีอำ�นาจท่ีขยายอาณาเขตของแคว้นโยนกขึ้นไปทางทศิ เหนือถงึ สิบสองปนั นา และทางทิศ
ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ถงึ เมืองพวน สนั นิษฐานว่า ศูนยก์ ลางของอาณาจักร โยนกอย่บู ริเวณฝัง่ แม่น�ำ้ โขงแถบอ�ำ เภอ
เชยี งแสน จังหวัดเชียงรายในปจั จุบนั
กลุม่ ชาตพิ ันธุไ์ ทยวนล้านนามขี นบธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรม ความเชอื่ และ ศาสนาเป็นของตนเอง
แมป้ จั จบุ นั จะมกี ารปรบั ตวั เพอื่ ใหอ้ ยใู่ นระบบสงั คมและวฒั นธรรมเชน่ เดยี วกบั คนไทยภาคกลางจนแทบจะแยกไม่
ออก แตป่ ระเพณแี ละวฒั นธรรมเกา่ แกบ่ างอยา่ งทส่ี บื ทอดมาแตอ่ ดตี ยงั คงอยู่ โดยเฉพาะเรอ่ื งเกยี่ วกบั ความเชอ่ื พน้ื
ฐานของชวี ติ ไดแ้ ก่ ความเชอ่ื ในการนบั ถอื ผี และ ความเชอื่ ในพทุ ธศาสนา ทง้ั ยงั มลี กั ษณะทางสงั คมและวฒั นธรรม
คลา้ ยกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธอุ์ นื่ ๆ คอื เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ ดี่ �ำ รงชวี ติ อยไู่ ดด้ ว้ ยการผลติ ปจั จยั สไี่ ดเ้ องในกลมุ่ หรอื ในหมบู่ า้ น
ตงั้ แตก่ ารท�ำ เกษตรกรรมเพอื่ ใชเ้ ปน็ อาหาร มกี ารสรา้ งทอี่ ยอู่ าศยั มกี ารใชย้ ารกั ษาโรคจากพชื สมนุ ไพรพนื้ บา้ น และ
มีการผลติ เครือ่ งน่งุ หม่ กล่าวได้ว่าลกั ษณะเช่นนเ้ี ป็นรูปแบบของสงั คมทไี่ มจ่ ำ�เป็นตอ้ งพึ่งพาสงั คมภายนอกอนั เปน็
เสมือนกรอบบงั คับใหส้ มาชกิ ของสังคมรกั ษาเอกลกั ษณ์ทางศิลปะ วัฒนธรรม และ ขนบประเพณขี องตนไว้
ในอาณาจกั รลา้ นนา มคี วามมงั่ คงั่ และอดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยทรพั ยากรธรรมชาติ ทง้ั มพี นื้ ท่ี ตดิ ตอ่ กบั เขตแดนพมา่
ลาว และยนู นาน ดว้ ยลกั ษณะทางกายภาพของพนื้ ทซี่ งึ่ เปน็ แอง่ ทรี่ าบสามารถ ท�ำ การเกษตรกรรมไดด้ ี มที รพั ยากร
ทางธรรมชาติ ทงั้ แรธ่ าตุ พชื พนั ธ์ุ และสตั วป์ า่ ทอ่ี ดุ มสมบรู ณ์ มแี มน่ �ำ ส้ าละวนิ และแมน่ �ำ โ้ ขง ไหลมาจากแผน่ ดนิ ตอน
บน และมีแมน่ �ำ ก้ ก องิ ปิง วงั ยม นา่ น และ แมน่ �ำ้ สายยอ่ ยอื่น ๆ ไหลผ่าน มีเส้นทางสัญจรทัง้ ทางน�ำ ้ และทางบก
เพ่ือติดต่อค้าขาย แลกเปล่ียนสินคา้ ท้งั ภายใน และภายนอกอาณาจกั ร จงึ ส่งผลใหล้ ้านนาเป็น อาณาจกั รที่มีความ
พร้อมในการเปน็ เมืองส�ำ คญั ทางการคา้ ในอาณาจกั รลา้ นนานนั้ มีหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ท่กี ลา่ วว่า มกี ารทอ
ผ้าขึน้ ใช้ทว่ั ไป ทงั้ ท่ีใชส้ อยกนั ในครัวเรือน และทอเปน็ สนิ ค้าเพอื่ ซ้ือขายแลกเปลี่ยนกนั ดงั ปรากฏชอื่ ผา้ หลายชนิด
เชน่ ผ้าสีจันทร์ขาว ผา้ สีจนั ทรแ์ ดง และผ้าสีดอกจ�ำ ปา ซงึ่ เปน็ ผา้ ฝา้ ยทมี่ สี สี นั ต่าง ๆ กนั ผ้าเหล่านเ้ี ป็นผ้าธรรมดา
ทคี่ นทวั่ ไปใชน้ งุ่ หม่ ในอดตี มกี ารทอผา้ ฝา้ ยกนั มากจนเปน็ อตุ สาหกรรมใน ครวั เรอื นท�ำ ใหม้ กี ารปลกู ฝา้ ยกนั จ�ำ นวน
มาก และคงมกี ารสง่ ผา้ เปน็ สนิ คา้ ออกไปสแู่ หลง่ ใกลเ้ คยี ง โดยเฉพาะทางดนิ แดนตอนใตข้ องจนี ในมณฑลยนู าน เจา้
นายหรอื ชนชนั้ ปกครอง มบี ทบาทอยา่ งมากตอ่ ระบบเศรษฐกจิ ลา้ นนาโดยการคา้ แบบผกู ขาด พรอ้ มทงั้ เปน็ เจา้ ของ
ทรพั ยากรและผลผลติ ทเ่ี กดิ จากแผน่ ดนิ ทว่ั อาณาจกั ร มกี ารสรา้ ง ระบบการเกบ็ สว่ ยจากชนชน้ั ไพร่ ไดแ้ กผ่ ลผลติ ท่ี
เกดิ จากการเพาะปลกู งานหตั ถกรรม แรธ่ าตุ และของปา่ โดยมชี นชน้ั ปกครองระดบั หวั เมอื ง และระดบั หมบู่ า้ น ท�ำ
หนา้ ที่รวบรวมส่วยเขา้ สเู่ มืองเชียงใหม่ เครือข่ายการคา้ ท่ีสำ�คัญภายในอาณาจกั รลา้ นนามปี รากฏโดยรอบทกุ ทิศ

วิทิ ยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติิฯ | 1


เมืองศนู ย์กลางการคมนาคมทสี่ ำ�คัญ เชน่ เชียงใหม่ เชียงแสน เชียงราย น่าน แพร่ และฮอด เมืองเหล่านี้ โยงไปสู่
การตดิ ตอ่ เมอื งอนื่ ๆ อกี จ�ำ นวนมากทก่ี ระจายอยทู่ ว่ั ไปในอาณาจกั รลา้ นนา เชน่ เมอื งพรา้ ว เชยี งดาว ฝาง เวยี งพาง
ค�ำ (แม่สาย) ดอยสะเกด็ พะเยา เทงิ เชียงของ เชยี งมว่ น ปัว วังเหนือ วังชิน้ และเดนิ เปน็ ตน้ บางเมอื งยงั สามารถ
ค้าขายไปยังเมอื งตา่ ง ๆ ภายนอกอาณาจักร ไดแ้ ก่ สโุ ขทยั อยธุ ยา เชียงร่งุ ยูนนาน เชียงตุง หลวงพระบาง และ
สยาม เปน็ ต้น เกดิ การหมนุ เวียนสนิ ค้า ในตลาดตามหัวเมอื งน้อยใหญท่ ่ีท�ำ รายไดม้ หาศาล
ความมง่ั ค่ังของลา้ นนาสะท้อนผ่านความงดงามบนเครือ่ งแตง่ กายของเจา้ นายและชนช้นั สูงในราชสำ�นกั
ตา่ ง ๆ ซ่งึ เปน็ กล่มุ ชนชัน้ ท่ีมฐี านะและมคี วามสามารถในการบริโภคสินค้าประเภทผ้าทอทมี่ รี าคาสงู เสอื้ ผา้ และ
เครอื่ งนุ่งห่มไม่ได้เปน็ เพยี งปัจจัยพืน้ ฐานทส่ี ำ�คญั ต่อการดำ�รงชีวิตเทา่ น้ัน หากยังเปน็ เครอื่ งบ่งบอกถึงฐานะของผู้
สวมใส่โดยเฉพาะในกลุม่ ชนช้นั สูง ซงึ่ ต้องมีความพถิ พี ิถันในการผลิต การใช้วัสดุ คุณภาพในการทอ การเลือกใช้สี
ในการยอ้ ม ความประณีตในการตดั เยบ็ และการประดับตกแตง่ อย่างงดงามจากช่างภายในคมุ้ หลวง ซ่ึงมีรปู แบบ
และลวดลายทงี่ ดงาม ผสมผสานรปู แบบการแตง่ กายแหง่ ราชส�ำ นกั ในกลมุ่ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ไทยวน ไทลอื้ ไทลาว ไทเขนิ
และไทใหญ่ อนั เนอ่ื งมาจากการตดิ ตอ่ คา้ ขายเจรญิ สมั พนั ธไมตรแี ละการสมรสระหวา่ งเจา้ นายเมอื่ ราชส�ำ นกั คมุ้ หลวง
ในหวั เมอื งตา่ ง ๆ ไดม้ กี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายเจรญิ สมั พนั ธไมตรรี ะหวา่ งกนั มคี วามสมั พนั ธท์ างดา้ นการสมรสระหวา่ งเจา้
นายหวั เมอื งตา่ ง ๆ กอ่ ใหเ้ กดิ การเผยแพรร่ ปู แบบการแตง่ กายของเจา้ นายระหวา่ งราชส�ำ นกั คมุ้ หลวงและตอ่ ชนชน้ั
สงู ผมู้ ฐี านะ สง่ ผลใหเ้ กดิ การคา้ ขายน�ำ เขา้ และสง่ ออกผนื ผา้ ทมี่ คี ณุ ภาพ โดยเฉพาะอาณาจกั รลา้ นนา เสอ้ื ผา้ อาภรณ์
ในราชส�ำ นักคมุ้ หลวงจะมีความหลากหลาย มีการถา่ ยโอนทางวฒั นธรรมการแตง่ กายระหว่างกัน
ซ่งึ การแตง่ กายของสตรีชั้นสูงในกลุ่มชาตพิ นั ธไุ์ ทลือ้ ไดแ้ ก่ บริเวณเมอื งนา่ น เมืองพะเยา เมืองเชยี งราย
บางสว่ นนงุ่ ผา้ ซน่ิ ไหมหรอื ผา้ ทอลายรวิ้ ทม่ี กี ารจดั ระยะหา่ งของรวิ้ ไมส่ ม�ำ่ เสมอ แตเ่ ปน็ โครงสรา้ งทแ่ี นน่ อน ทอดว้ ย
เทคนคิ จก เทคนคิ เกาะลว้ ง และเทคนคิ มดั กน่ (มดั หมเี สน้ พงุ่ ) มกี ารใชเ้ สน้ เงนิ ทเี่ ปน็ วสั ดจุ �ำ พวกกระดาษเงนิ น�ำ เขา้
จากจีนพนั เข้ากบั เสน้ ด้าย เนือ่ งจากมีราคาถูกแต่เม่อื ใชเ้ ปน็ เวลานาน สีเงินจากกระดาษเงนิ จะหลดุ ออกทำ�ให้เหน็
เสน้ ดา้ ยทเี่ ปน็ แกนซง่ึ พบใน “ชน้ิ ไหมค�ำ ” ของเมอื งนา่ น นยิ มสวมเสอ้ื ปดั หรอื เสอ้ื ปา้ ยทท่ี อดว้ ยฝา้ ย ไหม หรอื แพร
จีน ปักตกแต่งลวดลายดว้ ยเส้นเงนิ เส้นทอง หรือวัสดอุ ่ืน ๆ นยิ มสวมเครื่องประดบั เงิน ทงั้ นเี้ สน้ ไหมท่ีใช้ทอน้ันได้
มาจากการสงั่ ซอื้ จากลาวและจนี เนอ่ื งจากชาวไทลอ้ื ไมถ่ นดั การเลยี้ งไหม และมคี วามเชอ่ื เรอ่ื งบาปเชน่ เดยี วกบั กลมุ่
ชาติพันธ์ุไทยวน

ภาพครอบครวั ของเจา้ ราชวงศ์ (สทุ ธสิ าร ณ นา่ น)
หอภาพถา่ ยลา้ นนา

ท่ี ม า : h t t p s : / / r o . p i n t e r e s t . c o m /
pin/700591285785443951

2 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ปัจจบุ ันดินแดนล้านนา คือ บริเวณภาคเหนือตอนบนของไทย ๘ จงั หวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำ�พูน ลำ�ปาง
แพร่ นา่ น พะเยา เชยี งราย และแมฮ่ อ่ งสอน เปน็ ทอี่ ยขู่ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธห์ุ ลากหลายชาตพิ นั ธุ์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กลมุ่
ชาตพิ นั ธไ์ุ ท ไดแ้ ก่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทยวน ชาตพิ นั ธไุ์ ทลอื้ และชาตพิ นั ธล์ุ าว ซงึ่ เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ ม่ี รี ปู แบบในการทอผา้ ท่ี
สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงเอกลกั ษณ์ของกล่มุ ชาติพนั ธ์ไุ ทดง่ั เดิม ในขณะเดยี วกันยงั แสดงใหเ้ ห็นถึงลักษณะพเิ ศษของผนื ผา้
แตล่ ะแหง่ ไดแ้ ก่ การจดั ลวดลายทแี่ สดงถงึ ภมู ลิ �ำ เนา และสถานภาพของผทู้ อ หรอื ผใู้ ช้ ผา้ ทอแตล่ ะชนิ้ นนั้ สามารถ
เห็นลกั ษณะพิเศษทเ่ี ป็นความสามารถในการสรา้ งสรรคข์ องผูท้ อแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

ผ้าทอในจิตรกรรมฝาผนังเมอื งน่าน

งานจติ รกรรมฝาผนงั จงั หวดั นา่ น มที งั้ เรอื่ งราวพทุ ธประวตั แิ ละปญั ญาสชาดก แสดงถงึ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยู่
ของชาวเมืองนา่ นระหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ อกี ทั้งการแต่งกายด้วยผ้าซ่นิ การทอผา้ ด้วยก่ที อมอื และการติดต่อ
ค้าขายกบั ตา่ งชาติ
วดั ภมู นิ ทร์ เดมิ ชอื่ วดั พรหมมนิ ทร ์ เปน็ วดั หลวงตง้ั อยใู่ นเขตพระนคร ต�ำ บลในเวยี ง จงั หวดั นา่ น พญาเจต
บตุ รพรหมนิ ทร์ เจา้ ผคู้ รองนครนา่ นองคท์ ี่ องคท์ ี่ ๔๐ สรา้ งขน้ึ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๑๓๔ ภายในพระวหิ ารปรากฎจติ รกรรม
ฝาผนงั วัดภมู ินทร ์ สนั นิษฐานวา่ ไดเ้ ขียนข้นึ ใน ราว พ.ศ. ๒๔๓๗ ในสมยั พระเจา้ สุรยิ พงษผ์ รติ เดช เจ้าผู้ครองนคร
นา่ นองค์ท่ี ๖๓ ชื่อวัดภูมนิ ทรป์ รากฏในหลกั ฐานเอกสารคร้ังแรกประมาณ พ.ศ. ๒๑๔๖ สมยั เจ้าเจตบตุ รฯ ตอ่ มา
ปรากฏชอ่ื วดั ภมู นิ ทรอ์ กี ครง้ั ในปี พ.ศ. ๒๒๔๗ ในชว่ งเวลาการ “ฟนื้ มา่ น” และต่อมามกี ารบรู ณะคร้ังใหญ่ ในสมยั
เจา้ อนันตวรฤทธ์เิ ดชฯ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๑๐ (ปลายสมยั รัชกาลท่ี ๔) ใช้เวลาซอ่ มแซมนาน ๗ ปี
วิหารวดั ภูมนิ ทร์ เป็นอาคารท่มี ีแผนผงั แบบจัตุรมขุ ภายในวหิ ารมีภาพจติ กรรมฝาผนงั ทกุ ด้าน ต้งั แต่สว่ น
บนของผนงั จนถงึ ระดับเสมอขอบหน้าต่างลา่ ง เขยี นภาพบุคคลขนาดใหญ่ทีส่ ว่ นบนของผนังทุกด้าน โดยผนังดา้ น
เหนอื ทศิ ตะวนั ออก และทิศใต้ เปน็ รปู พระพทุ ธเจ้าประทับนั่งปางมารวชิ ยั มีพระสาวกนง่ั ประนมมอื อยู่ด้านขา้ ง
เข้าใจว่าคงจะเปน็ ตอนท่พี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรมเทศนาเล่าเร่อื ง “คันทกุมารชาดก” พรอ้ มสอดแทรกอักขระ
ภาษาลา้ นนา สว่ นผนงั ทางทศิ ตะวนั ตก ดา้ นบนเขยี นภาพพระพทุ ธเจา้ ในปางไสยาสน์ สว่ นผนงั ลา่ งเขยี นเรอื่ ง “เนมิ
ราชชาดก” ทง้ั นี้ องคป์ ระกอบของภาพจติ รกรรมไดแ้ สดงใหเ้ หน็ เอกลกั ษณพ์ น้ื ถนิ่ ทเ่ี ปน็ จดุ เดน่ ของภาพจติ รกรรม
ฝาผนังมาจากการสะท้อนเหตกุ ารณ์ และการด�ำ เนนิ ชีวิตของผูค้ นเมืองน่านในอดีต ทัง้ ลักษณะบา้ นเรอื น การแต่ง
กาย การทอผา้ ดว้ ยกก่ี ระตกุ การสกั ยนั ตท์ ขี่ าหรอื การสกั ทง้ั ตวั โดยเฉพาะภาพทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ เครอื่ งแตง่ กายของ
สตรที น่ี งุ่ ผา้ ชนิ้ เมอื งนา่ นแบบตา่ ง ๆ มดั หรอื หม่ ผา้ สะหวา่ ยแลง่ แพรจนี เกลา้ มวยผม และประดบั เครอื่ งทองลานหู
อนั เปน็ เอกลกั ษณก์ ารแตง่ กายในรปู แบบเฉพาะของเมอื งนา่ น รวมทง้ั เหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตรใ์ นสมยั เจา้ อนนั ต
วรฤทธเิ ดช เจ้าผคู้ รองนครนา่ นไว้พอสงั เขป
และวหิ ารวดั หนองบวั ตําบลปา่ คา อําเภอทา่ วังผา จังหวดั นา่ น เปน็ สถาปัตยกรรมรปู แบบไทล้อื ท่มี ีความ
งดงามสมบรู ณ์ ลักษณะเดน่ ของอโุ บสถ วิหารในสถาปตั ยกรรมไทลอื้ ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมท่แี สดงเร่อื งราว
ทางพทุ ธชาดกของทางลา้ นนา สนั นษิ ฐานวา่ จติ รกรรมฝาผนงั วดั หนองบวั ไดเ้ ขยี นขน้ึ ราว พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๓๑ ซงึ่
ตรงกบั สมยั พระเจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดช เจา้ ผคู้ รองนครนา่ น โดยหนานบวั ผนั หรอื ทดิ บวั ผนั เขยี นแสดงรายละเอยี ด
เรอื่ งราวตามชาดกเรอ่ื ง จนั ทคารชาดก และเรอ่ื งพทุ ธประวตั ิ ทงั้ นอ้ี งคป์ ระกอบของภาพจติ รกรรมไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ
สภาพสงั คม วิถชี ีวิต และวัฒนธรรมของชาวเมอื งน่านในชว่ งเวลานนั้ อกี ท้ังการแต่งกายทไ่ี ดป้ รากฏเปน็ หลกั ฐาน
ทส่ี �ำ คญั ซงึ่ จติ รกรไดเ้ ขยี นจ�ำ ลองมาจากชวี ติ ของคนลา้ นนาในขณะนน้ั ผา่ นเสน้ สายและสสี นั จากหลกั ฐานทเ่ี หลอื

วิิทยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | 2


อยนู่ นั้ ไมส่ ามารถทจ่ี ะก�ำ หนดระยะเวลาการสรา้ งพระวหิ ารวดั หนองบวั ทแ่ี นน่ อนได้ หากแตม่ เี รอื่ งเลา่ ต�ำ นานจากค�ำ
บอกเลา่ ของชาวบา้ นเกย่ี วกบั เรอื่ งราวของวดั ทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั การอพยพโยกยา้ ยถน่ิ ฐานของชาวไทลอ้ื
ในดนิ แดนสิบสองปนั นาทเี่ ข้ามาในเมอื งน่าน
ดงั น้ัน จะเหน็ ไดว้ ่า ความเหมือนกนั ของวัดภมู ินทร์ และวดั หนองบัว มลี กั ษณะการเขียนภาพแบบล้านนา
การเขยี นเรอ่ื งชาดก เร่ืองราวการดำ�รงชวี ติ ซ่งึ สะท้อนใหเ้ ห็นสภาพสังคม วฒั นธรรม โดยเฉพาะการแตง่ กายทเี่ ป็น
อัตลกั ษณ์แบบพื้นเมืองน่านในยคุ สมยั นน้ั ได้อยา่ งชดั เจน ในขณะเดยี วกันไดส้ อดแทรกภาพบุคคลชาตติ า่ ง ๆ เช่น
ชาวตะวนั ตก ชาวจนี ด้วย แสดงถึงการตดิ ตอ่ ค้าขายระหว่างชาวนา่ นกับชาวกรงุ เทพฯ และชาวต่างชาตใิ นสมยั นั้น

การผลติ ฝ้าย และกรรมวิธกี ารท�ำ ฝา้ ย

ผา้ ทอเมอื งนา่ นเปน็ ผา้ ทที่ อจากฝา้ ย จะใชฝ้ า้ ยทมี่ ใี นทอ้ งถนิ่ ชาวไทยวนและไทลอื้ จะไมน่ ยิ มเลย้ี งไหม การ
ทอผ้าโบราณเมอื งน่านสว่ นใหญ่จงึ เปน็ ผ้าฝ้าย โดยเริม่ จากการปลูกฝา้ ย และเข้าสู่ขบวนการผลติ เป็นเสน้ ดา้ ย โดย
ภูมิปญั ญาของท้องถิน่ ทงั้ หมด โดยกระบวนการเร่ิมต้นต้งั แต่การเลือกวตั ถุดบิ ที่จะนำ�มาท�ำ เปน็ ผ้า ไดแ้ ก่ ฝ้าย วิธี
การปลูก การเกบ็ เก่ียว น�ำ ด้ายไปตม้ น�ำ้ ให้สะอาดแล้วตากแดดใหแ้ ห้ง จึงน�ำ ไปย้อมสที ส่ี กดั จากพืช เชน่ ต้นคราม
เพกา มะตมู มะเกลอื ขม้ิน เป็นต้น
รูปแบบของลวดลายผา้ ทอเปน็ รูปแบบดง้ั เดมิ สีเข้มตดั กบั โทนออ่ น กระบวนการผลติ สว่ นใหญ่ผหู้ ญิงจะ
เป็นผูท้ อเพอื่ นำ�ไปใช้ในชวี ิตประจ�ำ วัน หรอื ในครัวเรอื น เชน่ เคร่ืองนงุ่ หม่ ของผู้ชายในการทำ�งาน ที่นอน หมอน
ผา้ ปทู นี่ อน ผา้ หม่ ถงุ ยา่ ม ตงุ ฯลฯ และลวดลายทปี่ ระณตี ทมี่ กั พบในการสวมใสข่ องผใู้ หญใ่ นเทศกาลและพธิ กี รรม
และเมอ่ื ผหู้ ญงิ ไดส้ วมใสไ่ ปในงานแลว้ จะรไู้ ดท้ นั ทว่ี า่ มาจากชาตพิ นั ธใ์ุ ด เปน็ สญั ลกั ษณบ์ ง่ บอกถงึ วถิ ชี วี ติ เปน็ อยา่ งดี
กรรมวิธตี ้ังแตเ่ ริ่มตน้ ปลูก ดงั น้ี
๑) ปลกู ฝา้ ยในเดอื นแปด เดอื นเกา้ หรอื เดอื นพฤษภาคมเปน็ การปลกู กอ่ นฤดฝู นจะเรมิ่ ตน้ พนั ธท์ุ นี่ ยิ มปลกู
เปน็ พันพนื้ เมอื งเพราะทนตอ่ โรคไดด้ ี หากต้นฝ้ายเป็นโรคก็จะใช้นำ้�ผสมพริกฉดี พ่นโรคกจ็ ะรักษาได้นอกจากน้ียังมี
พันธุอ์ ่ืน ๆ ท่ีน�ำ ไปปลกู เพ่อื ฝา้ ยเรม่ิ ดอกใหผ้ ลิตจะเก็บฝา้ ยในเดอื นเกีย๋ งถงึ เดือนย่ปี ระมาณเดือนพฤศจิกายน
๒) เกบ็ เอาฝา้ ยมารวมกัน น�ำ มาตากแล้วเอาสิ่งทปี่ นมากบั ฝา้ ยออกนิยมเก็บฝ้ายกอ่ นที่ฝา้ ยจะรว่ งลงสู่พ้ืน
ปอ้ งกนั ไมใ่ หฝ้ า้ ยสกปรก หลงั จากเกบ็ ฝา้ ยแลว้ ชาวบา้ นตอ้ งน�ำ ฝา้ ยไปตาก เพอ่ื คดั เอาแมลงและสงิ่ สกปรกออก กอ่ น
จะน�ำ ไปหีบ แยกเอาเมล็ดออกก่อนน�ำ ไปปัน่ เป็นเสน้ ดา้ ย
๓) น�ำ มาหบี ฝา้ ย คอื เอาเมลด็ ของฝา้ ยออก เหลอื เฉพาะยวงฝา้ ยเปน็ ลกั ษณะเครอ่ื งหมนุ ไม้ ๒ ทอ่ นชดิ กนั
ลักษณะแนวนอนเวลาหบี ฝ้ายจะมีเฉพาะยวงฝา้ ยเทา่ นั้นทลี่ อดผ่าน
๔) หลังจากได้ยวงฝา้ ยจากการหีบเอาเมล็ดออกแล้วน�ำ ยวงฝ้ายมา “ปดฝ้าย” คอื ทำ�ใหฝ้ ้ายกระจายตวั
ในเขา้ กันได้ด้วยสายคนั ธนูตีให้ยวงฝายบาน
๕) น�ำ ฝา้ ยทไี่ ดม้ าปน่ั ดอกฝา้ ยดว้ ยเครอื่ งปนั่ ฝา้ ยเพอื่ ใหไ้ ดเ้ สน้ ใยฝา้ ยทม่ี คี วามหนา หรอื บาง ตามวตั ถปุ ระสงค์
ของผทู้ อ เกบ็ เสน้ ฝา้ ยดว้ ยหลอดฝา้ ยเพอื่ ใหส้ ะดวกตอ่ การน�ำ ไปทอแตล่ ะหลอดจะมขี นาดไมใ่ หญม่ ากเทา่ กบั หลอด
ดว้ ยเคร่อื งจักเย็บผา้ ปัจจุบัน
๖) นำ�มา “เป๋ฝา้ ย” คอื นำ�เส้นไหมท่ีได้จากการปนั่ ฝา้ ยมาทำ�เป็นต่อง (ไจ)
๗) น�ำ ต่องฝา้ ยมา “ปอ้ ” (ทบุ ) ฝ้าย แช่นำ�้ ๒ คนื ต่อมานำ�มานวดกบั นำ้�ขา้ ว (ข้าวเจ้า) ผึ่งไวใ้ ห้แห้ง

2 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


๘) น�ำ เส้นฝา้ ยทีไ่ ดม้ า “กวกั ฝ้าย” คือการน�ำ เส้นฝา้ ยมาล้วงกับไม้ทแยงมมุ เพอื่ ให้เสน้ ดา้ ยตึงไม่ตดิ กันง่าย
ต่อการดงึ เสน้ ฝ้าย
๙) น�ำ มา “ฮว้ น” หรอื เดนิ เส้นกับหลกั เสาเปน็ เสาโครงของกที่ อผ้า
๑๐) นำ�ไปใส่กี่ แล้วน�ำ ไปสบื กบั “ฟมื ” หรือกี่ทอผ้าเพอื่ ทอผา้ ตอ่ ไปฝ้ายท่เี หลอื จากการใส่ก่ี นำ�มาป่นั ใส่
หลอด แล้วนำ�หลอดฝา้ ยใส่กระสวยทอผ้าเร่ิมขั้นตอนในการทอผ้า
นอกจากนน้ั ส�ำ นักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน ไดอ้ ธิบาย วิธกี ารทอผา้ ของน่าน ไวว้ า่
การปลกู ฝา้ ย เรมิ่ จากการไหวผ้ เี สอื้ ไร่ คอื การบอกลา่ วอารกั ษท์ ป่ี กปกั รกั ษาไรฝ่ า้ ย ขออนญุ าตเจา้ ทเ่ี จา้ ทาง
ด้วยการนำ�ดอกไม้ ธปู เทียน ไปบูชาบนแท่นท่ีเตรยี มไว้ในบรเิ วณไร่ฝ้าย บอกกลา่ วใหผ้ เี ส้ือไร่ดูแลรักษา และดล
บนั ดาลให้มผี ลผลติ ฝา้ ยทด่ี ี
การเกบ็ ฝา้ ย เมอ่ื ตน้ ฝา้ ยเจรญิ เตบิ โตและออกดอกใหผ้ ลผลติ จะเกบ็ ดอกฝา้ ยใสถ่ งุ ยา่ ม เรยี กวา่ “ถงุ ขะปอ๋ื ”
หรอื “ถงุ ป๋อื ”
การอดี ฝา้ ย หรอื หบี ฝา้ ย คอื การแยกเมลด็ ออกจากอกฝา้ ยโดยน�ำ ดอกฝา้ ยทเ่ี กบ็ มาผา่ นเครอื่ งมอื ทเี่ รยี กวา่
“อดี ” เปน็ ทอ่ นไมก้ ลมวางขนานชดิ กนั ตามยาว มกี ลไกเปน็ มอื หมนุ ดา้ นหนงึ่ น�ำ ดอกฝา้ ยผา่ นชอ่ งตรงกลางระหวา่ ง
ทอ่ นไมแ้ ล้วหมนุ ฟันเฟอื ง เส้นฝา้ ยจะถูกรีดออกอกี ด้านแยกเมลด็ ฝา้ ยออกจากดอกฝ้ายไดใ้ ยฝ้ายบริสทุ ธ์ิ
การยิงฝ้าย หรอื การปดฝา้ ย น�ำ ปบุ ฝา้ ยทผ่ี ่านการแยกเมล็ดออกแล้วมาดีดดว้ ยอปุ กรณ์ เรียกวา่ “กง๋ ดดี
ฝา้ ย” มลี กั ษณะคลา้ ยคนั ธนู ดดี ฝา้ ยใหเ้ ปน็ ปยุ ละเอยี ดและเนยี นเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั ภายในภาชนะเครอ่ื งจกั สานคลา้ ย
กระบุง เรยี กวา่ “โก้นฝ้าย”
การลอ้ ฝ้าย คือ การม้วนปุยฝ้ายด้วยแกนไม้ขนาดเลก็ เปน็ หลอด เรยี กวา่ “หางฝ้าย”
การป่ันฝ้าย คือ การน�ำ หางฝ้ายท่ีล้อไว้แล้ว น�ำ มาปั่นเป็นเสน้ ด้าย โดยใชเ้ คร่ืองที่เรยี กว่า “กวงป่นั ฝ้าย”
หรอื “เผ่ยี น” ในกวงปัน่ ฝ้ายจะมี “แว” ทำ�จากผลน�ำ้ เต้าแห้ง หรือเขาควายตัดเจยี นเปน็ แผน่ กลมเจาะรู เพ่ือเสยี บ
กบั เขม็ เหลก็ สำ�หรับปน่ั หางฝ้ายใหก้ ลายเปน็ เสน้ ด้าย
การเปียฝ้าย หรอื การเปฝ๋ ้าย คือ การน�ำ เอาเส้นฝ้ายท่ผี ่านการปัน่ แล้ว ซ่ึงติดอยูก่ ับแกนเหล็กในกวงปัน่
ฝา้ ย น�ำ ออกมาพนั รอบอปุ กรณ์ ทเี่ รยี กวา่ “เผยี ” หรอื “เป”๋ เปน็ แทง่ ไมแ้ กะ ปลายทงั้ สองเปน็ รปู ตวั ทสี ลบั ดา้ นกนั
เพ่อื มว้ นเอาเสน้ ฝา้ ยออกมาเป็น “ไจ” หรอื เปน็ “ต่อง”
การผัดหลอด คือ การน�ำ เส้นดา้ ยทปี่ นั่ และรวบเป็นไจแลว้ น�ำ มาขงึ ใส่อุปกรณ์ท่ีเรยี กวา่ “โกง้ กว้าน” เพือ่
ดงึ เส้นฝา้ ยออกจากไจ สู่หลอดด้ายท่ที ำ�จากปล้องไม้ไผ่เลก็ ๆ แลว้ นำ�ไปใส่ในกระสวยใช้เป็นด้ายพงุ่ สำ�หรับทอผา้
การเขน็ หูก คือ การน�ำ เส้นดา้ ยขึงกับหูก หรอื กท่ี อผ้า เพื่อเปน็ เสน้ ยืน เรียกวา่ “เครอื ”
การต�่ำ หกู คอื การทอผา้ โดยใชอ้ ปุ กรณ์ หกู หรอื กที่ อผา้ ทอผา้ ดว้ ยเสน้ พงุ่ ผา่ นเสน้ ยนื เปน็ ผนื ผา้ ทอตกแตง่
ด้วยเทคนคิ ต่าง ๆ จนเกดิ เปน็ ผืนผ้าทอทสี่ วยงาม

กรรมวิธกี ารทอผ้าโบราณเมอื งน่าน

วฒั นธรรมการทอผา้ บง่ บอกถงึ การผสมผสานทางศลิ ปวฒั นธรรมเมอื งนา่ นไดอ้ ยา่ งลงตวั การผสมผสานอาจ
เกดิ ขนึ้ จากการลอกเลยี นแบบ การซอื้ หา หรอื การแลกเปลย่ี น และสบื ทอดมาจากบรรพบรุ ษุ หรอื การทช่ี า่ งทอไดม้ ี
ความซาบซงึ้ ตอ่ สง่ิ ทดี่ งี าม แลว้ น�ำ มาสรา้ งสรรคเ์ ปน็ ผลงาน นอกจากนนั้ ยงั มกี ารถา่ ยทอดความรทู้ างวฒั นธรรมของ

วิทิ ยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | 2


ชาวไทลอ้ื เชน่ ผ้หู ญิงไทล้อื สมยั ก่อนทยี่ งั ไมไ่ ด้ไปโรงเรยี นส่วนใหญ่ฝึกหดั ทอผ้าในชว่ งอายุ ๗- ๘ ขวบ เริ่มจากการ
ทอผา้ ฮำ� ฝกึ เทคนิคการขดั สานผา้ พืน้ ธรรมดา และการทอถุงย่าม ผา้ เช็ดน้อย เปน็ ต้น จากนน้ั ค่อยเรยี นรกู้ ารทอ
เทคนิคต่าง ๆ เชน่ การทอแบบยกดอก การทอลายขิด จก เกาะ ทย่ี ากขน้ึ โดยล�ำ ดบั
กรรมวธิ ใี นการทอ เรมิ่ หลงั จากทส่ี บื หกู หรอื ตอ่ ดา้ ยเสน้ ยนื เขา้ กบั ดา้ ยในตะกอทงั้ หมดแลว้ กเ็ ลอื่ นฟมื และ
เขาผา่ นรอยตอ่ ของดา้ ยไปขา้ งหนา้ จากนนั้ ใสฟ่ อกหรอื ไมป้ ระกบฟมื โดยผกู เชอื กแขวนไวก้ บั คานวางพาดบนโครงกี่
เขาคอื ตะกอทงั้ สองมเี ชอื กผกู โยงทนั ผา่ นหมา่ ลอ้ หรอื ลกู รอกทแ่ี ขวนเชอื กหอ้ ยเขาตะกอ จากนนั้ ใสไ่ มม้ า้ ทงั้ สองผกู
ตดิ กบั เขาแต่ละกรอ เม่อื ทอฝา้ ยนน้ั ให้เหยยี บไม้ม้าอนั หนงึ่ ปล่อยอันหน่งึ เพือ่ สง่ ก�ำ ลงั ผ่านลกู รอกให้ดา้ ยยืน แยก
ออกจากกนั เปน็ ซอ่ ง ใชห้ มา่ สวยหรอื กระสวยบรรจหุ ลอดดา้ ยพงุ่ พงุ่ ลอดระหวา่ งเสน้ ยนื ดงั ปรศิ นาค�ำ ทายบทหนงึ่ วา่
“บนกเ็ ปน็ ฝา้ ลมุ่ กเ็ ปน็ ฝา้ เรอื ใตห้ ลา้ ลอดพน้ื ” โดยใชม้ อื ซา้ ยจบั หมา่ สวยแลว้ พงุ่ เขา้ ทางดา้ นซา้ ย และใชม้ อื ขวารอ
รบั หมา่ สวยนน้ั ทางดา้ นขวา จากนน้ั ปลอ่ ยไมม้ า้ ทไ่ี ดเ้ หยยี บไว้ แลว้ เหยยี บอกี อนั หนง่ึ พรอ้ มกบั ใชม้ อื กระตกุ ฟมื เขา้ หา
ล�ำ ตวั เพอื่ ใหต้ ายทข่ี ดั กนั ไวใ้ หแ้ นน่ ท�ำ เชน่ นเี้ รอื่ ย ๆ จนสดุ ชว่ งแขนกต็ อ้ งมว้ นผา้ ทท่ี อไดแ้ ลว้ โดยคลายดา้ ยเสน้ ยนื ท่ี
ผกู โยงกบั คานก่ี พนั ผา้ เขา้ กบั ไมส้ ะปา้ นพนั ผา้ เสรจ็ แลว้ ผกู ดา้ ยเสน้ ยนื กบั คานกใ่ี หต้ งึ แลว้ ใชแ้ ปรงขนหมปู า่ หวตี า้ ย
ยนื ใหเ้ รียบแล้วจึงเริ่มทอต่อไป หากหน้าผ้ายน่ กใ็ ช้ไม้ผงั หรือไม้ไผ่ทเ่ี หลาไวม้ ีปลายทั้งสองเลก็ แหลม ขัดเขา้ กบั ขอบ
ผ้าทงั้ สองด้าน เม่ือทอไปจนเหลอื เส้นยนื ประมาณ ๑ ศอก สอดไม้ไผ่ท่ีเหลาอันเล็ก ๆ ตลอดหนา้ ผา้ แล้วทอเสน้ พุ่ง
ให้ยาวประมาณ ๒ – ๕ เซนติเมตร เรยี กว่า จา่ ม เพื่อใหเ้ หลอื รมิ ผ้าไว้ทอคร้ังตอ่ ไป แล้วตดั ผนื ผ้าท่ีทอออก เหลอื
ปลายดา้ ยเส้นยืนให้ติดอยู่กับฟืม และเขาเพ่อื สืบหกู หรอื ตอ่ กับ ดา้ ยเส้นขนึ้ ในการทอครัง้ ตอ่ ไป

เทคนคิ การทอผา้

ผา้ พนื้ เมอื งนา่ นในอดตี นยิ มทอดว้ ยเทคนคิ “เกบ็ มกุ ” ซงึ่ เปน็ เทคนคิ การท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยวธิ ี
การเพมิ่ ดา้ ยเสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไป โดยใชไ้ มค้ ดั ดา้ ยเสน้ ยนื หรอื ใชเ้ ขาทท่ี �ำ พเิ ศษ นอกจากเขาทที่ อแบบธรรมดา เทคนคิ
นดี้ า้ ยเสน้ พงุ่ พเิ ศษจะสอดเขา้ ไปตลอดผนื ผา้ จากรมิ ดา้ นหนง่ึ สรู่ มิ อกี ดา้ นหนง่ึ ท�ำ ตดิ ตอ่ กนั ตลอดหนา้ กวา้ งของผา้ และ
ลวดลายทเี่ กดิ ขน้ึ เรยี กวา่ “ลายมกุ ” มกี ารสลบั สพี นื้ เปน็ ชว่ ง ๆ โดยมกั ใชด้ น้ิ เงนิ ดน้ิ ทอง หรอื เสน้ ไหมเงนิ เสน้ ไหมทอง
เป็นวัสดุในการทอโดยใชเ้ ปน็ ดา้ ยเสน้ พุ่ง
และผา้ ชน้ิ เมอื งนา่ นทนี่ ยิ มทอดว้ ยเทคนคิ วธิ กี าร “จก” ซง่ึ เปน็ เทคนคิ การท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ย
วธิ กี ารเพมิ่ ดว้ ยเสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไปเปน็ ชว่ ง ๆ ไมต่ ดิ ตอ่ กนั ตลอดหนา้ กวา้ งผา้ โดยใชไ้ มห้ รอื ขนเมน้ หรอื นว้ิ มอื ยกหรอื
จกดา้ ยเสน้ ยนื ขนึ้ แลว้ สอดใสด่ า้ ยเสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไป เทคนคิ นเี้ มอ่ื ดงึ เสน้ ดา้ ยพเิ ศษทเ่ี พมิ่ เขา้ ไปออกกจ็ ะไมท่ �ำ ใหเ้ นอื้
ผา้ เสยี หาย
นอกจากนีแ้ ล้ว ยังพบเทคนิควิธกี ารทอผ้าซน่ิ เมอื งนา่ นอกี ๔ เทคนคิ คือ
การมดั กา่ น (Weft ikat) ซง่ึ เปน็ เทคนคิ ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยวธิ กี ารมดั ลวดลายลงบนดา้ ยเสน้ พงุ่
ดว้ ยเชอื กกอ่ นน�ำ ไปยอ้ มสี แลว้ น�ำ มาทอดว้ ยวธิ ขี ดั สานธรรมดา ซง่ึ สว่ นทไ่ี มต่ ดิ สกี จ็ ะเกดิ เปน็ ลวดลายตามทตี่ อ้ งการ
เทคนคิ นี้ คนไทยเรียกทว่ั ไปวา่ “มัดหม”่ี ส�ำ หรับเมืองนา่ นปรากฏในเทคนิคการทอผา้ ของชาวไทลอ้ื เรียกว่า “มัด
กา่ น” หรือ “คาดก่าน” เปน็ ลวดลายทป่ี รากฏเป็นลายขวางบนผืนผา้ ซิน่
เทคนคิ การยก (Twill and satin Weaves) ซง่ึ เปน็ เทคนคิ การท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายใน ระหวา่ งการทอโดยไม่
ได้เพิม่ เส้นดา้ ยพเิ ศษเข้าไปในผนื ผ้า เกดิ จากวธิ กี ารยกเขาแยกเสน้ ยนื ข้นึ ลง บางครัง้ จะมีการเพ่ิมดา้ ยเสน้ พุ่งพเิ ศษ
จ�ำ นวนสองเสน้ หรือมากกว่านั้น หรอื เพมิ่ เสน้ ใยโลหะสีเงินสีทองเขา้ ไป

2 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


เทคนคิ การเกาะ หรอื ลว้ ง (Tapestry weaving) ซงึ่ เปน็ เทคนคิ ท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลาย โดยใชด้ า้ ยเสน้ พงุ่ ธรรมดา
หลายสี พงุ่ ยอ้ นกลบั ไปมาเปน็ ชว่ ง ๆ โดยมดี า้ ยคน่ั เปน็ สสี ลบั ทอดว้ ยเทคนคิ ขดั สานธรรมดา แตม่ กี ารเกาะเกยี่ วและ
ผูกเปน็ หว่ งด้ายเส้นยนื เพื่อยึดด้ายเสน้ พุง่ แตล่ ะช่วงไว้เพมิ่ ความแข็งแรงให้เน้ือผ้า
และเทคนคิ การปน่ั ไก (Twisted) ซงึ่ เปน็ เทคนคิ การท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายโดยการปน่ั หรอื ตเี กลยี วเสน้ ดา้ ยสอง
สที ตี่ า่ งกนั เขา้ ดว้ ยกนั ท�ำ ใหเ้ กดิ สเี หลอื บเหมอื นตะไครน่ �ำ้ ทช่ี าวไทลอ้ื เรยี กวา่ “ไค” (ออกเสยี ง “ไก”) เชน่ สเี หลอื ง
กับสีเขยี ว สีแดงกบั สดี ำ� เป็นตน้ ชาวไทลาวเรยี กว่า “เป็น” และ ชาวไทยท่วั ไปเรียกเทคนิคนวี้ ่า “หางกระรอก
การลว้ ง ซง่ึ เปน็ ทน่ี ยิ มมากการทอผา้ ชนดิ นโ้ี ดยใชเ้ สน้ ดา้ ยหลกั หรอื ดา้ นเสน้ ยนื ธรรมดาตามความกวา้ งของ
หกู ทอหรอื ขนาดความต้องการ ผ้าลายในเน้ือเกดิ จากการใช้มอื จบั เส้นดา้ ย หรอื ไหมตา่ งสสี อด (ลว้ ง) ใหเ้ กิดลายที่
ตอ้ งการขณะทที่ อ มชี อ่ื ลายเรยี กตา่ งกนั ออกไป เชน่ ลายใบมดี ลายน�ำ้ ไหล ลายดอกไม้ ลายธาตุ ลายปู และลาย
จรวดท่ีพัฒนาขึน้ ในระยะหลัง เป็นตน้
ลายเกาะล้วงเกิดจากการใชน้ ว้ิ มือจบั เส้นดา้ ยสีต่าง ๆ สอดลงไปในดา้ ยเส้นยืนจนเกิดเปน็ ลวดลายตามท่ี
ช่างทอต้องการ มีลักษณะเปน็ ทางยาวและเป็นหยกั คลืน่ ๆ ตามแนวนอน จึงเปรยี บไดก้ บั สายนำ�้ ที่ไหล จึงตงั้ ช่อื ว่า
ลายน�ำ้ ไหล
การเกบ็ มกุ (ขดิ ) เปน็ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยวธิ กี ารเพมิ่ เสน้ ดา้ ยสที ตี่ อ้ งการ เชน่ ดา้ ยพน้ื สขี าวใชด้ า้ ยสแี ดง
อย่างใดอย่างหนง่ึ พงุ่ เสน้ ด้ายจากด้านหนึ่งไปอกี ด้านหนึ่ง มีวธิ ีทอท่สี ลับซบั ซ้อนกว่าลายธรรมดาคล้ายวธิ ที ่ที ำ�ลาย
ขิดภาคอสี าน ช่างทอจะเก็บลายทีต่ ้องการไว้ก่อนดว้ ยไม้ต่างขนาด คล้ายกับการสานเสือ่ ลวดลายมหี ลายชนิดดว้ ย
กัน คอื ลายดอกไม้ เชน่ ลายดอกจนั ทร์แปดกลบี ดอกแกว้ ดอกมะเฟอื ง ดอกกหุ ลาบ ดอกหมาก ดอกเปา
(เต็งรัง) ผกั กูด และขา้ วลีบ ฯลฯ ลายของใช้ เชน่ ลายโดม ผาสาท (ปราสาท) ลายสตั ว์ เช่น ลายนก นกกนิ น�ำ ้
(คณโฑ) พญานาค นาคชน นาคหวัน (กระหวดั ) ชา้ ง ชา้ งต่างม้า มา้ ตา่ งหงส์ กระตา่ ย ฯลฯ ลายอ่นื ๆ เช่น ลาย
กาบ กาบหลวง กาบซอ้ น เข้ียวหมา (ลายยอด) รวมทัง้ ลายไทล้ือชนิดตา่ ง ๆ
จก เป็นวิธีการทอลวดลายผา้ โดยเพมิ่ ดา้ นเส้นพุ่งพเิ ศษ กระท�ำ โดยใชน้ ิว้ มอื ไม้ หรือขนเม่น สอดนบั ดา้ ย
เส้นยนื แลว้ ยกขึ้น สอดใสด่ ้ายเส้นพ่งุ พิเศษเขา้ ไป ท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายเฉพาะจดุ หรือเป็นช่วง ๆ และสามารถสลบั สี
ลวดลายไดห้ ลากสี ตา่ งจากการขิดที่การขาดใชเ้ ส้นดา้ ยด้วยเสน้ พงุ่ พิเศษสเี ดยี วพุ่งตลอด
มดั หม่หี รอื มดั ก่าน วธิ ีทำ�คล้ายกบั “มดั หมอ่ี ีสาน” คอื มดั ย้อมลายท่ีตอ้ งการอยา่ งงา่ ย ๆ ด้วยเชอื กกลว้ ย
ลวดลายท่ีสำ�คัญ ไดแ้ ก่ ลายกา่ นแบบดง้ั เดิม คาดก่านน�้ำ ไหล และคาดกา่ นชนดิ ลายประดิษฐ์ ฯลฯ ชาวไทลือ้ นิยม
เรยี กวา่ ลายมดั กา่ น ไทลอ้ื ในกลมุ่ อ�ำ เภอทา่ วงั ผา อ�ำ เภอปวั และเชยี งกลาง ใชว้ ธิ กี ารมดั กา่ นเสน้ พงุ่ ในการทอผา้ ซน่ิ
ฝ้ายและไหมเปน็ ลายขวาง สีทนี่ ยิ ม คือ สคี ราม มว่ ง และชมพู
ยกดอก เป็นวธิ ีการทอทีท่ ำ�ลวดลายซง่ึ เกิดจากวธิ กี ารยกเข่าแยกเส้นยนื ขนึ้ ลง แตไ่ มไ่ ด้เพิ่มด้ายเสน้ พเิ ศษ
เข้าไปในผืนผา้ เช่น การจก หรอื การขีดการยกดอกในบางคร้งั จะมกี ารเพิ่มดา้ ยเสน้ พ่งึ จ�ำ นวนสองเสน้ หรอื มากกว่า
นน้ั ชาวไทลือ้ นยิ มยกดอกในการทอผา้ หม่ หรอื ผ่าปทู ่ีนอนโดยใชเ้ ขา ๔ เขา ใช้เสน้ ฝา้ ยสีขาวลว้ น หรือสดี �ำ แดง ขาว
สลบั กันทำ�ใหเ้ กดิ เปน็ ลายตารางส่ีเหลีย่ มขนาดใหญ่
การเย็บปักเสน้ เงินเสน้ ทอง โดยการน�ำ เส้นโลหะสเี งนิ หรือสีทองวางทาบลงบนผ้าให้เกิดเป็นลวดลายแล้ว
เยบ็ ตรงึ เป็นจดุ ๆ มกั ปรากฎในการปกหมอน ๓ เหล่ียม เพื่อน�ำ ไปถวายวดั หรอื ใช้ในคมุ้ เจ้านายบ่งบอกฐานะ
สรปุ ไดว้ า่ ลวดลายบนผนื ผา้ ทท่ี อทกุ ผนื ทผี่ า่ นกระบวนการทอจากฝมี อื ชาวบา้ น เกดิ จากกระบวนการผลติ
ดว้ ยวิธีทีห่ ลากหลายลวดลายในทกุ ๆ เทคนคิ ช่างทอผา้ อาจรวมไวใ้ นผ้าทอผืนเดยี ว เพื่อแสดงถงึ ความหลากหลาย
และแสดงความเช่ียวชาญของช่างทอผา้ ทไ่ี ด้สรา้ งสรรคอ์ กี ดว้ ย

วิทิ ยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติิฯ | 2


สี และการยอ้ มสีธรรมชาติ

การยอ้ มสธี รรมชาตทิ ปี่ รากฏในลา้ นนานนั้ ชาวไทยวน ไทลอ้ื และชาวลาว มวี ธิ กี ารยอ้ มสแี บบธรรมชาตมิ า
เปน็ เวลานานแลว้ แตใ่ นปัจจบุ ันน้ชี า่ งทอผา้ ไมค่ ่อยนยิ มทำ�สีธรรมชาติขึน้ เอง เน่ืองจากวิธีการน้ีตอ้ งผา่ นขบวนการ
ท่ียุ่งยากและใช้เวลานานจงึ หันมานยิ มใชส้ ีเคมี ซง่ึ มีสีสนั สดใส และหลายหลายมากกวา่ เดิม โดยเฉพาะชาวไทลื้อ
สเี คมที ถี่ กู น�ำ เขา้ มาจากประเทศตะวนั ตกในชว่ ง พทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ และเปน็ ทน่ี ยิ มอยา่ งแพรห่ ลายแมแ้ ตใ่ นชนบท
ที่ห่างไกล กอ่ นหน้าทจ่ี ะมีการใช้สี เคมนี ้นั มกี ารใช้สียอ้ มจากประเทศจีน โดยเฉพาะสีชมพูสด และมว่ งสดมาเปน็
เวลานาน
สยี อ้ มธรรมชาตเิ พอื่ ใชใ้ นการทอผา้ แตล่ ะแหง่ จะแตกตา่ งกนั ไป และเทคนคิ วธิ กี ารยอ้ มกแ็ ตกตา่ งดว้ ยเชน่
กนั ชา่ งทอผา้ แตล่ ะคนมวี ธิ กี ารยอ้ มสขี องตนเอง ซงึ่ จะเกบ็ ไวเ้ ปน็ ความลบั ในการท�ำ สยี อ้ มผา้ ใหแ้ กล่ กู สาว ปจั จบุ นั
ความลบั ในการท�ำ สยี อ้ มผา้ เหลา่ นไี้ ดส้ ญู หายไปเปน็ สว่ นมาก คงเหลอื แตค่ วามรใู้ นการท�ำ สแี ตเ่ พยี งบางสเี ทา่ นน้ั เชน่
สคี ราม ซงึ่ ในปจั จุบนั ชาวลาว และชาวไทลอ้ื ยังนยิ มใช้อยู่
ฝ้าย คือ เสน้ ด้าย ท่ใี ช้สำ�หรับการทอผ้าในแต่ละชนิด นอกจากจะมสี ีธรรมชาติ คือ สขี าวและสีตนุ่ เทา่ น้ัน
ยงั อาจยอ้ มใหเ้ ป็นสีตา่ ง ๆ ได้ทงั้ โดยใชส้ วี ิทยาศาสตรท์ ่มี ีขายทั่วไป และสที ไี่ ด้จากธรรมชาติ ซึ่งทไ่ี ด้จากธรรมชาติ
ไดจ้ ากเปลือกไม้ ใบไม้ และเมลด็ พืช สชี นดิ น้ีจะให้สที นี่ ุ่มนวลไมฉ่ ดู ฉาด ซึง่ สีต่าง ๆ จะได้จากธรรมชาติ ดงั น้ี
สีน�ำ เ้ งิน ได้จากการย้อมดว้ ยครามหรอื ห้อม
สดี �ำ ได้จากการย้อมผลมะเกลอื
สีน�ำ ้ตาล ได้จากการยอ้ มผลมะเกลือ
สีน�ำ ต้ าลออ่ น ได้จากการย้อมเปลอื กมะพร้าว
สแี ดง ไดจ้ ากการย้อมด้วยเมลด็ ในผลแสดหรือไม้เน้ือฝาง
สแี ดงช�ำ ้ ไดจ้ ากการย้อมด้วยเปลอื กไม้ประดู่
สเี หลือง ได้จากการย้อมดว้ ยหวั ขมิน้ เนื้อไมข้ นุน
สีม่วง ได้จากการยอ้ มด้วยเปลอื กตน้ สมอ
สีเขยี ว ไดจ้ ากการยอ้ มดว้ ยใบไม้

สคี ราม ได้จากตน้ ครามซง่ึ เปน็ ไม้ทขี่ ึ้นอยทู่ ว่ั ไปในถนิ่ ของชาวลาวและไทลอ้ื เม่อื ต้นครามนใ้ี ช้การได้กจ็ ะ
ตดั ตน้ ครามทปี่ ลายตน้ โดยจะเกบ็ ทง้ั ใบและกา้ นเมอื่ ยงั ไมอ่ อกดอก แลว้ น�ำ มามว้ นเปน็ มดั เปน็ ฟอน แชน่ �ำ ไ้ ว้ ๑ คนื
พลกิ ดา้ นบนลงอีก ๑ คืนจนเปื่อย จะมีกลิ่นเหมน็ และน�ำ ้จะเปน็ สเี ขยี ว ใสป่ นู เคย้ี วหมากลงไปจนหมดกล่นิ แลว้
จงึ กรอกเอาแตน่ �ำ ้ลงใสห่ มอ้ ขนาดใหญท่ ี่เรียกวา่ หม้อหอ้ ม ในการยอ้ มครามนั้น เมอ่ื ใส่น�ำ ้ลงหมอ้ ห้อมแล้ว กใ็ ส่ฝกั
สม้ ปอ่ ยเผาขมน้ิ น�ำ ด้ า่ งซงึ่ ไดจ้ ากการเกรอะขเี้ ถา้ และเปา่ เหลา้ ลงไป ใสไ่ ว้ ๓ - ๔ วนั แลว้ จงึ น�ำ ผา้ หรอื ฝา้ ยทตี่ อ้ งการ
ยอ้ มแชน่ �ำ บ้ ดิ หมาด ๆ ลงแชแ่ ลว้ พลกิ หลาย ๆ ครง้ั จงึ น�ำ ขนึ้ ตากแดด การยอ้ มฝา้ ยควรทง้ิ ชว่ งเวลาไวอ้ ยา่ งนอ้ ย ๑๒
ชว่ั โมง กอ่ นยอ้ มครั้งตอ่ ไป และการยอ้ มฝ้ายครั้งแรกจะไดส้ เี ขยี ว ผูย้ อ้ มสว่ นมากจะใช้สยี ้อมมากกวา่ หน่งึ ภาชนะ
โดยจะน�ำ ผ้าไปย้อมอีกครั้งในภาชนะตอ่ ไป ในการย้อมฝา่ ยจะถกู เขยา่ ประมาณ ๑๕ นาที เพ่ือให้สีเข้าเน้ือผา้ ได้ทั่ว
ถึง กวา่ จะไดส้ คี รามทแี่ ท้จรงิ จะตอ้ งยอ้ มฝา้ ยถึง ๑๐ ครงั้ ฝา่ ยท่นี �ำ ไปย้อมจะยังไมใ่ ชน้ �ำ้ ช�ำ ระลา้ ง จนกว่าการยอ้ ม
คร้งั สดุ ท้ายเสรจ็ สิน้ ลง ชาวไทล้อื ตากฝ้ายกลางแสงแดด ส่วนชาวลาวจะเก็บฝ้ายไว้ในภาชนะทมี่ ีฝาปดิ ซ่งึ ไวใ้ นทร่ี ่ม

2 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


สผี า้ ยอ้ มของชาวไทลอ้ื จะมสี แี ก่ ทง้ั นเี้ ปน็ เพราะหลงั จากการยอ้ มแตล่ ะครง้ั ฝา้ ยไดถ้ กู อากาศ ฝา้ ยสที ถ่ี กู อากาศนจี้ ะ
มสี ฟี ้า สว่ นฝ่ายที่ไม่ถกู อากาศจะมีสีเขียว หลงั จากการย้อมครง้ั สุดทา้ ยแลว้ อาจจะมีสีฟา้ ตกออกจากผืนผ้า เวลาซัก
แตจ่ ะไมก่ นิ ผา้ สขี าว ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากผา้ มดั หมซี่ งึ่ เมอ่ื น�ำ ไปใชน้ าน ๆ จนกระทง่ั สคี รามจางไป สขี าวกย็ งั เปน็ สขี าวอยู่
สแี ดง ชาวไทลอ้ื ในอดตี ใชย้ อ้ มผา้ จะเปน็ สแี ดง ซง่ึ ท�ำ จากตวั ครงั่ ตน้ ไมท้ เี่ หมาะสมในการเลย้ี งครงั่ ไดแ้ ก่ ตน้
ฉ�ำ ฉา และตน้ สาเก หลงั จากทเี่ กบ็ ครงั่ แลว้ จะน�ำ มาตากไวก้ ลางแดด และบดเปน็ ผงละเอยี ด การเตรยี มสยี อ้ มนแ้ี ตล่ ะ
แห่งใชท้ ฤษฎพี ืน้ ฐานเดียวกัน คอื ตอ้ งนำ�ครั่งไปผสมกบั น�ำ ้กรดแล้วยกข้ึนตัง้ ไฟให้ เดอื ด สว่ นผสมนำ�้กรดนั้นอาจจะ
ทำ�จากน�ำ ส้ ม้ นำ�ม้ ะกรูด ใบส้มต่าง ๆ สม้ มะขาม หรือรงั มด ส่ิงส�ำ คญั ในการท�ำ สีแดงจากครงั้ ขน้ึ อยู่กบั คณุ ภาพของ
ครงั้ และปริมาณนำ�้กรดทพ่ี อดี หลงั จากท่ีต้มเสร็จแลว้ จะนำ�สที ่ไี ดไ้ ปกรองกอ่ นท่ีจะนำ�ไปต้มอกี ครงั้ พรอ้ มกับฝ้ายท่ี
จะยอ้ มอกี ประมาณครงึ่ ชัว่ โมง เสรจ็ แลว้ น�ำ ไปล้างน�ำ ้ หลงั จากนน้ั นำ�ไปตากแดด
สีเหลือง โดยมากจะได้มาจากขม้นิ โดยนำ�เอาขมิ้นมาบดและผสมลงในนำ�เ้ ยน็ และเพอ่ื ป้องกันมใิ หส้ ีตกผู้
ย้อมบางคนจะใช้ไม้สมอ และเมด็ มะตูม ผสมลงไปและตม้ พร้อมกับเกลือ หลังจากตม้ ฝ้ายในสยี อ้ มเสร็จแล้วจะนำ�
ฝา้ ยลงไปชุบในน�ำ ้ท่ผี สมสารสม้ แลว้ นำ�ไปลา้ งน�ำ ้ และตากในท่ีรม่
สดี �ำ ผทู้ อสว่ นใหญจ่ ะเรยี ก สคี รามเขม้ ทย่ี อ้ มจากตน้ ครามวา่ สดี �ำ แตส่ ดี �ำ จรงิ ๆ นน้ั ไดม้ าจากเมด็ มะเกลอื
ซง่ึ ตอ้ งสกุ พอดไี มอ่ อ่ นหรอื ไมแ่ กเ่ กนิ ไป เมด็ มะเกลอื น้ี สามารถเกบ็ ไวไ้ ดน้ านถงึ ๖ เดอื น โดยแชไ่ วใ้ นน�ำ้ เพอ่ื ใหช้ มุ่ อยู่
ตลอดเวลา ในการเตรยี มสยี อ้ มนน้ั จะ น�ำ เอาเมด็ มะเกลอื มาบดและผสมกบั น�ำ ด้ า่ งเขม้ ขน้ เสรจ็ แลว้ น�ำ เอาผา้ ฝา้ ยมา
ชบุ ประมาณ ๓ คร้งั สจี ะคอ่ ย ๆ ด�ำ เข้มข้ึน เม่อื ตากในทีร่ ่มในการย้อมสอี ืน่ ๆ เพอื่ ใหผ้ ้ามีสีเสมอกนั ผยู้ ้อมผ้ามักจะ
น�ำ เอาผ้าฝ้ายที่จะยอ้ มมาชบุ นำ�้มะเกลือท่ีผสมออ่ น ๆ เสียก่อน เพราะจะท�ำ ใหส้ ที ี่จะย้อมนัน้ ตดิ ผา้ ได้ดีขน้ึ
สยี อ้ มธรรมชาตอิ น่ื ๆ ไดจ้ ากสคี ราม สแี ดง สเี หลอื ง และสดี �ำ ดงั กลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ นี้ โดย การชบุ ผา้ ลงใน
สว่ นผสม ๒ ครั้ง เชน่ สีน�ำ ท้ ะเลหรือสเี ขียวนัน้ จะท�ำ ได้จากการยอ้ มด้วยสีเหลือง และชบุ อยา่ งรวดเร็วลงในสีคราม
สว่ นสสี ม้ นน้ั จะไดจ้ ากสเี หลืองและสแี ดง ในขณะทีส่ มี ว่ งไดจ้ ากสแี ดงและสีคราม เป็นต้น

ประเภทผา้ ทอโบราณพ้ืนเมอื งนา่ น

ประเภทผา้ ทอโบราณพนื้ เมอื งนา่ น ซง่ึ สามารถแบง่ ผา้ ทอเมอื งนา่ นตามลกั ษณะการใชส้ อยออกเปน็ ๓ กลมุ่
ประเภทดว้ ยกัน ประกอบด้วย
๑) ผา้ ทอที่เปน็ เครอ่ื งแตง่ กาย ได้แก่ ผ้าซ่ิน ผา้ ต้อย ผ้าเดี่ยว ผ้าขาวม้า ผา้ เช็ด และเสอ้ื
๒) ผา้ ทอท่ีใช้ในชีวติ ประจ�ำ วนั ได้แก่ ผา้ หลบ (ปูฟกู ) สะลี (ฟกู ) ผา้ แหลบ ผา้ หม่
๓) ผา้ ทอทใี่ ชใ้ นพิธกี รรมทางพุทธศาสนา ได้แก่ ตงุ และผา้ ห่อคมั ภรี ใ์ บลาน

๑) ผา้ ทอท่ีเปน็ เครือ่ งแตง่ กาย
ผา้ ทอทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั รา่ งกายทม่ี ลี วดลายสสี นั จากเทคนคิ การทอผา้ หลาย ๆ เทคนคิ สามารถพบในผา้ ซน่ิ ของ
ผ้หู ญิง ผา้ ซิ่น หมายถึง ผา้ ทม่ี ลี กั ษณะส่ีเหลยี่ มผนื ผ้าเย็บริมเขา้ ด้วยกันปล่อย ให้ขอบบนขอบล่างใหส้ วมใสไ่ ด้ โดยมี
วธิ นี งุ่ ตามแตล่ ะกลมุ่ เชน่ บางกลมุ่ นงุ่ ผา้ แบบสน้ั บางกลมุ่ กน็ งุ่ ยาวกรอมเทา้ บางกลมุ่ ใชว้ ธิ แี บบทบผา้ จากดา้ ยซา้ ยไป
ด้านขวา หรือจากด้านขวาไปดา้ นซา้ ย ตามถนัดแล้วเหน็บชายขอบบนวกเข้าทเี่ อว เปน็ ต้น ในผ้าซ่นิ มีลวดลายตา่ งๆ
แบ่งออกไปตามความงามในเอกลกั ษณแ์ ต่ละทอ้ งถิ่นแลว้ ผ้าซิ่นยงั มีบทบาทในการแสดงฐานะของผู้นงุ่ หรือผู้สวมใส่

วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติฯิ | 2


อกี ด้วย เช่น ถา้ ผ้นู งุ่ มฐี านะดกี จ็ ะนยิ มผา้ ที่มีคณุ ภาพ เนอ้ื ดี เชน่ ผา้ ไหม หรอื ผา้ ที่ทอด้วยดนิ้ เงนิ หรือทอง เปน็ ต้น
ส�ำ หรบั ผา้ ซนิ่ เมอื งนา่ น ซงึ่ มคี วามหลากหลายมากทส่ี ดุ จนไดร้ บั การกลา่ วขานในวงการผา้ ไทยมาอยา่ งยาวนานในเรอื่ ง
ของความงามและชนดิ ผ้าซนิ่ ทีห่ ลากหลาย และรูปแบบแต่ละแบบต่างก็มชี ่อื เรียกเฉพาะส�ำ หรับผ้าซิ่นนนั้ ๆ บาง
ชนิดเรยี กชอ่ื ไปตามลวดลาย บางชนิดเรยี กตามวสั ดทุ สี่ อดแทรกเขา้ ไปในผนื ผา้ และแตล่ ะแบบขึ้นอยกู่ บั โครงสรา้ ง
ของผา้ ซนิ่ ประกอบดว้ ย ๓ สว่ น ทส่ี �ำ คญั คอื หวั ซน่ิ หรอื เอวซนิ่ (ขอบบน) ตวั ซน่ิ (ชว่ งกลาง) และตนี ซนิ่ (ขอบลา่ ง)

• หัวซิ่น เปน็ ส่วนบนสดุ ของซ่นิ ไมน่ ยิ มทอลวดลาย บางแห่งใชผ้ ้าขาวเยบ็ เป็นหวั ซิ่น และเหน็บพกไว้ มอง
ไม่เหน็ จากภายนอก
• ตวั ซ่นิ เป็นส่วนหลักของซน่ิ อาจมกี ารทอลวดลายบา้ งเล็กน้อยในลกั ษณะของลวดลายทก่ี ลมกลืน ไมใ่ ช่
ลายเดน่ มักเป็นสเี ดียวตลอด
• ตีนซิ่น เป็นสว่ นสุดของซิ่น ในบางท้องถ่นิ นิยมทอลวดลายเป็นพิเศษ สำ�หรับตนี ซ่ินโดยเฉพาะ แคบบา้ ง
กวา้ งบ้าง เชน่ ซิน่ ตนี จก ขณะท่ซี ่ินของชาวอสี าน จะใสต่ ีนซนิ่ แคบ ๆ
วิธีการเยบ็ ตะเข็บเปน็ ถุง ๒ วธิ ี คือ เยบ็ ตะเข็บขา้ งเดยี ว และเย็บตะเข็บสองขา้ งโดยการเยบ็ ตะเข็บผา้ ซ่ิน
สองขา้ งเปน็ ทนี่ ยิ มของคนไทลอื้ ซง่ึ ปรากฏวา่ ผา้ ชนิ้ เมอื งนา่ นกใ็ ชว้ ธิ กี ารเยบ็ ตะเขบ็ สองขา้ งเชน่ เดยี วกนั แสดงใหเ้ หน็
อิทธิพลการทอผา้ แบบไทล้อื ในผา้ ซิน่ เมอื งน่านได้ชดั เจน ลวดลายทีเ่ กิดข้นึ ตรงกลางของตัวช้นิ เมอื งนา่ น มกั จะเกิด
จากด้ายเส้นพ่งุ เนื่องจากในอดีต “ฟืม” ที่ใชใ้ นการทอผ้ามักจะมีหน้าแคบ ซึง่ ผา้ ซ่นิ ไทยวนทัว่ ไปมกั จะเย็บตะเขบ็
ขา้ งเดยี วจงึ ต้องตอ่ ส่วนหวั (สว่ นเอว) และสว่ นตีนดว้ ยผา้ พนื้ ธรรมดา เพือ่ ให้ผา้ ซนิ่ มคี วามยาวพอเหมาะ แตผ่ า้ ซิน่
เมอื งนา่ นมีการเย็บตะเขบ็ สองข้าง ซึ่งความยาวของผา้ ซน่ิ ไมไ่ ดข้ ้นึ อยู่กับความแคบของขนาดหนา้ ฟืม โดยจะทอให้
ยาวเทา่ ไหรก่ ไ็ ด้ และพบวา่ คนเมอื งนา่ นในอดตี นยิ มตอ่ สว่ นหวั ชน้ิ (สว่ นเอว) ดว้ ยผา้ พน้ื ธรรมดาอกี ดว้ ย ทง้ั นค้ี งเปน็
เพราะส่วนหัวผ้าช้ินนีเ้ ป็นสว่ นท่เี หน็บชายพก ซ่งึ มกั จะชำ�รดุ ฉกี ขาดเรว็ สามารถเปล่ยี นผา้ เฉพาะสว่ นนีใ้ หมไ่ ด้
จะเหน็ ไดว้ ่า รปู แบบผ้าทอเมืองน่านมีลักษณะเปน็ การผสมผสานวัฒนธรรมการทอผา้ ของคนไทยวน
ไทลอ้ื และไทลาว โดยมกี ารใชเ้ ทคนคิ การทอผา้ ทหี่ ลากหลายซงึ่ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความ เชยี่ วชาญของชา่ งทอเมอื งนา่ น
อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ซง่ึ ลกั ษณะผา้ ซน่ิ พน้ื เมอื งนา่ นทเ่ี ปน็ แบบมาตรฐานในอดตี สามารถจ�ำ แนกประเภทออกไดเ้ ปน็ ๙
ประเภทใหญ่ ๆ และแต่ละชนดิ ก็มีลวดลาย และชอ่ื เรยี กมาแต่บรรพบรุ ษุ ซง่ึ มลี ักษณะรปู แบบแตกตา่ งกัน ดงั น้ี

๑. ซนิ่ ม่าน มักจะมลี วดลาย เชน่ บวั ลอย ลายบวั ลอยพบั ครง่ึ เดียว หรือครงึ่ ดอกแตล่ ะชว่ งของช่องไฟ
จะไม่เท่ากัน โดยเฉพาะตอนบนช่วงกลางของตัวซน่ิ จะนยิ มใช้สชี มพูหรือมว่ งค่นั อยหู่ รอื บางผนื มลี ายดอกไม้ เชน่
ดอกจนั ทร์ ดอกแกว้ ฯลฯ แทรกอยมู่ ขี นาดไมใ่ หญม่ ากและจะเรยี กชว่ งนนั้ วา่ “ทอ้ งซน่ิ ” สว่ นตอนลา่ งของชว่ งกลาง
มกั จะนยิ มทอหมรู่ ้วิ ขวางมลี ายซกิ แซกขึ้นลงคลา้ ยฟันปลาแทรกอยู่ตรงกลางซึง่ มลี ักษณะใกลเ้ คยี งกบั ลานในผา้ ซิ่น
ลนุ ตยาแบบขิดของชาวพม่าที่ชาวลา้ นนา เรยี กว่า “ม่าน” แต่ขนาดของลายจะเล็กกวา่ (สันนษิ ฐานว่าทีเ่ รยี ก
“ซ่ินม่าน” เพราะมีความเกย่ี วขอ้ งกบั ชาวพมา่ )

๒. ซิน่ ป้อง มักจะมลี วดลาย เชน่ บวั ลอย บัวคว�่ำ บัวหงาย ดอกแก้ว ดอกจนั ทร์ ฯลฯ นยิ มทอดว้ ยฝา้ ย
หรือไหมกไ็ ด้ ลกั ษณะของลวดลายจะเปน็ ลายเล็ก ๆ อาจจะแซมดว้ ยเทคนิคมัดกา่ นท่ีเรยี กวา่ “ก่านปล้อง” “กา่ น
ขอ้ ” หรือดา้ ยสองสีท่ปี ่นั เข้าด้วยกันเรียกวา่ “ไก” ก็ได้ ลวดลายทมี่ กั เปน็ หมลู่ ายร้วิ ขวางมรี ะยะช่องไฟเท่ากนั โดย

2 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ตลอดทั้งผืน จงึ มลี ักษณะเปน็ ปลอ้ งหรอื กา่ น หมายถงึ มลี ายแนวขวางในผืนผ้า เชน่ เดยี วกบั ปล้องต้นไผ่ หรือต้น
ออ้ ยจงึ เรยี กซนิ่ ชนดิ นวี้ า่ “ซนิ่ ปอ้ ง” (ปลอ้ ง-ปอ่ ง) หากผา้ ซนิ่ ชนดิ นท้ี อดว้ ยดนิ้ แตม่ ลี ายแนวขวางมรี ะยะชอ่ งไฟตาม
แบบซ่นิ ป้องก็จะนยิ มเรยี กซ่นิ ปอ้ ง แบบนว้ี า่ เป็น “ซิน่ ไหม” ดว้ ย เช่นกนั หรอื หากต่อด้วยผ้าตนี จกฝ้ายธรรมดาก็
จะเรียกแบบลกั ษณะนีว้ า่ “ซ่นิ ปอ้ งตนี จกหรอื ซน่ิ ตีนจก” ในปัจจบุ ันจะนยิ มทอลายน�ำ ้ไหลผสมผสานไปในผา้ ชนิด
น้ดี ้วย จนเรยี กไปกันว่า “ซ่นิ นำ�ไ้ หล หรือ ซนิ่ นำ�้ไหลไทลอ้ื ” แต่กถ็ ือวา่ อยู่ในรูปแบบตามโครงสร้างแบบซน่ิ ปอ้ งท่ี
ประยกุ ต์ขน้ึ มาทหี ลัง

๓. ซนิ่ กา่ น มดั กา่ น หรอื คาดกา่ น ในภาษาไทลอื้ เปน็ การมดั เสน้ ดา้ ยใหเ้ กดิ ลวดลายกอ่ นน�ำ ไปยอ้ มสี เพอ่ื
ทอเปน็ ผนื ผา้ ซง่ึ ในภาษาลาวเรยี กวา่ “มดั หม”่ี ในจงั หวดั นา่ นใชว้ ธิ กี ารมดั กา่ นหรอื คาดกา่ นเสน้ พงุ่ ในการทอผา้ ฝา้ ย
หรอื ไหมเปน็ ลายขวาง สที นี่ ยิ ม คอื สคี ราม มว่ ง และชมพ ู จะมลี วดลาย เชน่ ลายขอ ลายผกั กดู ฯลฯ ลวดลายทไี่ ด้
เกดิ จากการมดั กา่ นหรอื มดั หมเ่ี สน้ พงุ่ มกั ทอสลบั กนั เปน็ ชว่ งกบั เทคนคิ ขดิ หรอื ตลอดทงั้ ผนื มขี นาดใหญห่ รอื เลก็ ก็
ขน้ึ อยกู่ บั ผทู้ อวา่ จะรงั สรรคล์ วดลายอะไรใหอ้ ยใู่ นชว่ งกลางของผา้ ซน่ิ และผา้ ซน่ิ ชนดิ นม้ี กั นยิ มทอในกลมุ่ ชาวไทลอื้
ในเขตอำ�เภอปวั อ�ำ เภอท่าวงั ผา อ�ำ เภอทงุ่ ช้าง และอำ�เภอเชยี งกลางเทา่ น้นั ส�ำ หรบั การ “มดั ก่าน” หรอื
“มัดหม่ี” เป็นเทคนคิ ทรี่ ูจ้ กั กันอย่างกวา้ งขวางในกลมุ่ ชน ไท-ลาว ซงึ่ อาศยั อย่ใู นบรเิ วณตอนกลางของท่ีราบลมุ่ แม่
น�ำ โ้ ขง นยิ มใชเ้ ทคนคิ มดั หมฝี่ า้ ยและไหม มกั จะเปน็ ลายทป่ี รากฎเปน็ ทางยาวหรอื ทางตงั้ บนผา้ ซน่ิ ซง่ึ ตา่ งจากชาวไท
ล้อื เมืองน่านท่ีทำ�เปน็ ลายขวางบนตวั ผ้าซ่นิ และลวดลายกต็ ่างกนั ดว้ ย เทคนิคการมดั ก่านของชาวไทลื้อเมอื งน่านก็
มขี น้ั ตอนการท�ำ คลา้ ยคลงึ กบั กลมุ่ ชนไทเหนอื ทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศลาว ซงึ่ อาจสนั นษิ ฐานไดว้ า่
ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมากไ็ ด้ แตโ่ ครงสรา้ งการจดั ลวดลายบนผา้ ซนิ่ ของชาวไทเหนอื ทเี่ ปน็ ทางยาวกต็ า่ งจากชาวไทลอื้ เมอื ง
นา่ นทเ่ี ปน็ ทางขวาง

๔. ซน่ิ ตีนจก เป็นผา้ ที่ใช้ในโอกาสพิเศษของชาวไทยวน มีโครงสรา้ งหลกั เหมอื นกบั ผ้าซิน่ เมืองน่านชนิด
อนื่ ๆ หากแตส่ ว่ นตนี ซนิ่ จะมลี กั ษณะทพี่ เิ ศษดว้ ยลวดลายทล่ี ะเอยี ดสวยงามซง่ึ เกดิ จากเทคนคิ การตกแตง่ ลวดลาย
ดว้ ยวธิ ีการ “จก” ซ่ึงเป็นเทคนคิ ทีเ่ หมาะสมกับลวดลายทม่ี ีความละเอยี ดซับซ้อนมาก โครงสร้างของผา้ ซิน่ ชนิดน้ี
ประกอบด้วย ๓ ส่วน คอื หัวซิ่น ตัวซิ่น และตนี ซ่ินเย็บต่อกัน หัวซ่นิ เปน็ ผา้ พ้ืนสแี ดง ๑ ชน้ิ หรอื มี ๒ ช้ิน สีแดง
และสีขาว ตวั ซนิ่ เป็นซ่นิ ลายขวาง เย็บ ๒ ตะเข็บ หรือ ๓ ตะเข็บ ส่วนตีนซิน่ เปน็ ผา้ ลายจกเยบ็ ตะเขบ็ เดยี ว ผ้าพื้น
ตรงสว่ นตนี จกมสี องแบบ คอื ๑) เปน็ สแี ดงลว้ น ๒) เปน็ สดี �ำ และสแี ดงอยา่ งละครงึ่ โดยจกลวดลายเฉพาะสว่ นสดี �ำ
ลวดลายจกมลี กั ษณะเปน็ แบบมาตรฐานของไทยวน คอื ประกอบดว้ ยลายหลกั เปน็ ลายขนาดใหญ่ ๑ แถว เปน็ รปู
สเ่ี หลยี่ มขนมเปยี กปนู เรยี กวา่ “ลายโดม” และมลี ายประกอบ ๒-๓ แถว ลายทน่ี ยิ มคอื ลายขอ อาจมลี ายแบบชาย
ครยุ เปน็ ส่วนลา่ งสุดหรอื ไม่มกี ็ได้

๕. ซนิ่ เชยี งแสน เปน็ ผา้ ซน่ิ ทมี่ ลี วดลายเสน้ ทางขวางธรรมดาซงึ่ ลายทางขวางนนั้ กลมุ่ ทอผา้ ในต�ำ บลสวก
มักเรียกวา่ “ลายตาข้เี ดอื น” (ไสเ้ ดอื น) หรอื บางคนก็เรยี กวา่ “ลายแซง” เกิดจากเสน้ พ่งุ สีดำ� น�ำ เ้ งนิ หรอื สขี าว
ท่ที อแทรกเป็นช่วงหมขู่ วางในผา้ พื้นบางผนื กน็ ยิ มใช้เส้นพุ่ง¬ลายกา่ นข้อหรือฝา้ ย ๒ สปี ัน่ เขา้ ดว้ ยกัน ทอแทรกใน
ส่วนบนขอบลา่ งของผา้ ซ่ินและมรี ะยะห่างที่แนน่ อน ซิ่นเจียงแสนเป็นผ้าซิน่ พืน้ บ้านไมน่ ยิ มใส่ออกงานมากนัก
ซ่ินชนดิ นห้ี ากไม่มีลวดลายใด ๆ ในส่วนของบนขอบลา่ งก็จะเรียกอีกช่ือหนงึ่ วา่ “ซิ่นอีหลอยหรอื ซิ่นตาขีเ้ ดอื น”
ซึง่ มีลกั ษณะใกลเ้ คยี งกบั ซิน่ เจียงแสน บางชุมชนในต�ำ บลสวกกไ็ ดเ้ รยี กผ้าซ่ินชนิดน้ีไดอ้ ย่างน่าสนใจเพิ่มอีกว่า

วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติฯิ | 2


“ซน่ิ อภสั รา” และมีการล้อเลยี นผู้ท่นี ่งุ ผา้ ชนดิ นว้ี ่า เปน็ ผ้ทู ี่ทอผ้าไม่เกง่ หรือมีความสามารถนอ้ ยหรอื ขาดทนุ ทรพั ย์
ในการซ้ือหาผ้าทอทมี่ ีมกุ และจะไดน้ ่งุ ผ้าทอทไี่ มม่ ีมกุ (ลวดลายท่ีเกดิ จากการขดิ ) ซ่งึ มรี าคาถูกกวา่ ผ้าซ่ินชนดิ อ่นื ๆ
เป็นต้น

๖. ซ่ินแบบเมืองเงนิ ผ้าซิ่นท่พี บในกลุม่ วฒั นธรรมไทลอ้ื แบบเมอื งเงนิ ปัจจุบันอย่ใู นเขตแขวงไชยบรุ ี
ประเทศลาว (ซงึ่ เดมิ เขตการปกครองเมอื งนา่ น) ชาวไทลอ้ื เมอื งเงนิ กลมุ่ หนง่ึ อาศยั อยใู่ นเขตอ�ำ เภอทงุ่ ชา้ ง และอ�ำ เภอ
เฉลมิ พระเกยี รติ มวี ฒั นธรรมการทอผา้ ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะกลมุ่ มลี กั ษณะเปน็ ผา้ ชนิ้ ลายขวางมกี ารเยบ็ ตะเขบ็
๒ ตะเขบ็ ทอดว้ ยฝา้ ยและไหม นยิ มสอดเสน้ โลหะแวววาว ตกแตง่ บนตวั ผา้ ดว้ ยลายมกุ (ขดิ ) และลายจก ตวั ผา้ ซน่ิ
และตีนผา้ ซ่นิ ทอตอ่ เน่อื งกนั โดยมี ๒ สี คอื สีดำ� และสีแดง เรียกวา่ “ตีนดำ�” และ “เล็บแดง” ตวั ผ้าขึ้นเปน็ ลาย
ร้วิ ขนาดกว้าง ส่วนบนสดุ เป็นพนื้ สดี ำ� ถัดลงมาเปน็ ลายร้วิ สลบั สีแดง กับสีด�ำ บางผนื มลี ายมุก (ขิด) สเี หลืองขนาด
เลก็ สลบั ขน้ั ตรงกลางตวั ซนิ่ ขน้ึ เปน็ ลายจกดว้ ยเสน้ ฝา้ ยหรอื เสน้ ไหมสเี หลอื ง ส�ำ หรบั สาวโสดมกั ใชน้ งุ่ ในโอกาสพเิ ศษ
และมกั จะมลี ายจกกลางตวั ผา้ ชนิ้ ดว้ ยสเี หลอื งขนาดใหญ ่ และมลี ายจกตกแตง่ สว่ นขอบลา่ งสดุ ของตนี ผา้ ซนิ่ สว่ น
ผูส้ งู อายุ หรือ “ผา้ ซน่ิ แมเ่ รือน” ลายจกจะมีขนาดเลก็ ลงและมลี วดลายตกแตง่ น้อยกวา่ ผ้าซิน่ หญงิ สาวโสด

๗. ซิ่นคำ�เคิบ คือ สุดยอดของซิ่นเมืองนา่ น ในอดีตผ้าซิ่นชนิดนีจ้ ะนยิ มใชส้ �ำ หรับชนช้นั สูงหรอื คนมฐี านะ
เทา่ นนั้ เปน็ ลายทว่ี จิ ติ รพสิ ดารกวา่ ลายอนื่ ๆ เปน็ ซนิ่ ทท่ี อดว้ ยเทคนคิ การเกบ็ มกุ (ขดิ ) ของชาวไทยวนจงั หวดั นา่ น
กล่าวคือ ใชด้ ้ินทองหรอื ด้นิ เงินสลบั กันทั้งผืน หรอื ตอ่ ตนี จก บางผนื จะใชล้ ายดอกพกิ ลุ เลก็ ยกดอกสลับสลับกันไป
ทงั้ ผนื หรือเก็บมกุ เปน็ ดอกลายต่าง ๆ คล้ายผา้ ยกดอกล�ำ พูนแต่เมืองน่านเรียกว่าซ่นิ ยก จะทอดว้ ยดนิ้ เงนิ ดน้ิ ทอง
เทา่ นน้ั เปน็ ของใชส้ วมใสข่ องสตรสี งู ศกั ดแิ์ ละผมู้ ฐี านะ บางผนื จะทอดว้ ยเสน้ เงนิ จรงิ หรอื เสน้ ทองค�ำ จรงิ ๆ เปน็ ซนิ่
ทมี่ ีราคาสูง เปน็ ที่นยิ มของคนท่ชี อบเกบ็ สะสมผา้
ซ่ินคำ�เคบิ มักจะมลี วดลาย เชน่ ดอกพิกลุ บัวลอย ฯลฯ นิยมทอด้วยดิ้นเงินหรอื ทองคำ� ชา่ ง ทอผา้ เมอื ง
นา่ นนยิ มเรยี กกนั วา่ เปน็ ไหมชนดิ หนง่ึ เพราะความแวววาว คลา้ ยไหมและมรี าคาแพง การทอดว้ ยดนิ้ มกั ทอสลบั กนั
ทวั่ ทง้ั ผนื หรอื อาจตอ่ เชงิ ดว้ ยผา้ ตนี จกตรงขอบลา่ งของผา้ ซนิ่ และตนี จกกต็ อ้ งทอดว้ ยดนิ้ เชน่ กนั จงึ เรยี กผา้ ซนิ่ ชนดิ น้ี
ว่า “เคิบ” หรือหากใช้ด้ินทองทอทัง้ ผนื ก็จะเรียกวา่ “ซ่นิ คำ�เคิบ หรือ ซิน่ ไหมค�ำ ”

๘. ซนิ่ น�ำ ไ้ หล ผา้ ทอลายน�ำ ไ้ หล ศลิ ปะการทอผา้ ดว้ ยมอื เปน็ การออกแบบลายผา้ ทอชาวไทลอื้ ซง่ึ สบื เชอื้
สายมาจากชาวไทล้ือในดินแดนสิบสองปันนา ประเทศจนี สาเหตทุ ี่เรยี กช่ือวา่ ผ้าทอลายน�ำ ไ้ หล เพราะลวดลาย
บนพนื้ ผา้ มลี กั ษณะเหมอื นสายน�ำ ไ้ หล จงึ เรยี กวา่ ผา้ ลายน�ำ ไ้ หล ซง่ึ เปน็ จนิ ตนาการของภมู ปิ ญั ญา เปน็ การทอลาย
เลยี นแบบการไหลของกระแสนำ�้ทพี่ ล้ิวไหว ใช้ฝา้ ยหลายสพี ุ่งสลับกัน มีทง้ั ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ตามความนยิ ม
อาจสอดแทรกดน้ิ เงนิ หรอื ดนิ้ ทองเพอ่ื ความสวยงามดว้ ยเทคนคิ การทอตา่ ง ๆ เชน่ การเกบ็ ขดิ สลบั สดี ว้ ยไหมใหง้ าม
เหมอื นสายนำ�้ทไี่ หล เปน็ ต้น

๙. ซ่นิ ไทลอ้ื เป็นลวดลายผา้ ของไทล้อื ทอี่ พยพมาจากสบิ สองปันนา ใช้ผา้ ไหมทมี่ สี ีสันสวยงามสะดดุ ตา
มีการตกแต่งด้วยเทคนคิ การขดิ , จก, และลว้ ง ซ่ึงลักษณะของซ่นิ ไทลื้อจะมีลวดลายแตกตา่ งกนั ตามวัยของผูน้ ุ่ง
ไดแ้ ก่ วยั สาวร่นุ แม่เรอื น ผู้สงู อายุ และคนชรา ซึง่ ซน่ิ ดังกล่าวจะมเี ทคนคิ การทอด้วยฝ้ายพืน้ สว่ นมากจะเปน็ สีด�ำ
สลับแดงเหลอื ง เขียวขาว และยงั สอดแทรกลวดลายการเก็บมกุ เป็นรปู ขอ รูปหงส์ รปู มา้ รปู ปลา รปู เขาปลอกเขา

3 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ยัง อนั เปน็ ชื่อเรียกของเทคนิคในการทอของผทู้ อผา้ และการทอด้วยลวดลายท่สี วยงามและช�ำ นาญลือลว้ ง เก็บมกุ
โดยความสามารถและฝีมือของผคู้ นไทลอื้
สรปุ ไดว้ า่ ผา้ ซน่ิ เมอื งนา่ น มชี อื่ เรยี กวา่ และลวดลายแตกตา่ งกนั ไปแตล่ กั ษณะการทอ และการน�ำ มาตดั เยบ็
เป็นผ้าถงุ สำ�หรับผ้หู ญงิ นงุ่ มกั มรี ูปแบบคลา้ ยกบั กล่มุ ชาวไทลอ้ื ทีม่ ลี กั ษณะเย็บ ๒ ข้างเป็นถุงหรอื ๒ ตะเขบ็ แสดง
ถึงการผสมผสานวฒั นธรรมการทอผา้ ในเร่อื งของรปู แบบ เทคนคิ ตลอดจนลวดลายทม่ี ีสสี นั งดงามไดอ้ ยา่ งลงตัว
นอกจากนกี้ ารใชผ้ า้ ซนิ่ ของหญงิ ชาวเมอื งนา่ นยงั ขน้ึ อยกู่ บั โอกาส เวลา และสถานท่ี ตลอดจนมคี ตคิ วามเชอื่ บางอยา่ ง
เกย่ี วกบั การทอและการนงุ่ ใชอ้ กี ดว้ ย เชน่ ลวดลายผา้ ทใี่ ชใ้ นงานพธิ กี รรม อาทเิ ชน่ ลายขา้ ง มา้ สงิ ห์ นาค และลาย
ปราสาท ผา้ ซิ่นทท่ี อดว้ ยด้ินจะใชใ้ นโอกาสที่มีพิธกี รรมทางศาสนาหรืองานบุญ เช่น วนั พระ ขนึ้ บา้ นใหม่ งานแตง่
สขู่ วญั งานบวชนาค เปน็ ตน้

๒) ผา้ ทอท่ีใชใ้ นชีวติ ประจำ�วัน
ผา้ ทอทใี่ ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ วนั หมายถงึ ผา้ ทใี่ ชภ้ ายในบา้ นเรอื น และบางครง้ั กเ็ กย่ี วเนอ่ื งกบั รา่ งกาย ดว้ ยแต่
สว่ นใหญก่ ม็ กั จะใชภ้ ายในบา้ น เชน่ ผา้ หม่ เวลานอน ผา้ ปทู นี่ อน หมอน มงุ้ ฟกู หรอื สะลี ผา้ มา่ น หรอื ผา้ กง้ั ผา้ คลมุ
โตะ๊ เปน็ ตน้ ในบรรดาผา้ เหลา่ นี้ ผา้ ปทู น่ี อนมักมลี วดลายทีส่ วยงามมากทีส่ ุด ถ้าหากมงี านมงคล เชน่ งานแต่งงาน
กจ็ ะมีการใช้ผ้าหลบทท่ี อข้ึนมาปทู นี่ อนให้เจา้ บา่ วเจา้ สาว ในหอ้ งหอ หรือบางครัง้ จะน�ำ มาใชใ้ นพธิ ีบวชนาค ปลู าด
เป็นท่นี งั่ เวลาทำ�ขวัญนาคอีกดว้ ย
ผา้ ปทู น่ี อนชาวเมอื งนา่ นมกั จะเรยี กวา่ “ผา้ หลบ” ผา้ ชนดิ นน้ี ยิ มทอลวดลาย เชน่ นาค มา้ ชา้ ง นกยงู หงส์
คน หมากสมุ่ หมากเบง็ ปราสาทและลายดอกไมต้ ่างๆ ลวดลายเหล่านีส้ ว่ นใหญ่เกิดจากเทคนคิ ขิด นิยมใชส้ ีขาว
สแี ดง สดี �ำ เปน็ พเิ ศษ มขี นาดหนา้ กวา้ งประมาณ ๔๐ - ๖๐ เซนตเิ มตร ดงั นนั้ จงึ ทอผา้ ๒ ผนื แลว้ น�ำ มาเยบ็ ตอ่ ตะเขบ็
ตรงกลางเพอ่ื ใหข้ นาดผ้าหลบมขี นาดใหญ่ข้ึนและเหมาะสมพอดแี กก่ ารปบู นฟูก (สะล)ี และลักษณะผา้ หลบแบบน้ี
มกั นยิ มทอใชใ้ นกลมุ่ ชาวไทลอ้ื แตผ่ า้ หลบทใ่ี ชใ้ นเขตเมอื งนา่ นมกั ไมม่ กี ารตอ่ ตะเขบ็ ตรงกลางเหมอื นชาวไทลอ้ื และ
มลี วดลายไม่ใหญ่ แต่มีสีสนั ตามแบบชาวไทลอ้ื คือ ด�ำ แดง ขาว เทา่ น้ัน
ลวดลายผ้าหลบของชาวเมอื งน่าน มีลวดลาย มากมายแตล่ ะลวดลายช่างทอก็ไดค้ วามหมายไว้ว่า ดงั นี้
๑. ลายช้างต่างปราสาท ความหมายของลายคอื ชัยชนะ สตั วม์ งคล บา้ นเมอื ง
๒. ลายมา้ ต่างฉตั ร ความหมายของลายคือ ความเจรญิ รุ่งเรอื ง สตั ว์มงคล
๓. ลายพญานาค ความหมายของลายคอื แมน่ ำ�้ ความชุ่มเยน็ อุดมสมบูรณ์
๔. ลายหงส ์ ความหมายของลายคอื สง่างาม สงู สง่ ผูห้ ญิงท่งี าม
๕. ลายนกยูง- นกงวง ความหมายของลายคือ สง่างาม
๖. ลายปราสาท ความหมายของลายคอื สวรรค์
๗. ลายนกคู่ ความหมายของลายคอื ความอดุ สมบรู ณ์ การบชู า
๘. ลายตะแหลวบดิ ความหมายของลายคือ เครอื่ งหมายสิ่งศักด์ิสทิ ธิ์
๙. ลายดอกแก้ว ความหมายของลายคอื ดอกไมม้ งคล
๑๐. ลายดอกจันทรแ์ ปดกลีบ ความหมายของลายคอื ดอกไมม้ งคล
๑๑. ลายแมงมมุ ความหมายของลายคือ ความขยัน
๑๒. ลายกำ�บ้ี กำ�เนอ้ ความหมายของลายคือ ความอดุ มสมบรู ณ์

วิทิ ยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติฯิ | 3


๑๓. ลายขอ ความหมายของลายคือ การเกบ็ เก่ยี วส่ิงมงคล โชคลาภ
๑๔. ลายสายยอ้ ย ความหมายของลายคือ น�ำ ้
๑๕. ลายหมากเบ็ง ความหมายของลายคือ เครื่องบชู าส่งิ ศักดส์ิ ิทธ์ิ
๑๖. ลายหมากสมุ่ ความหมายของลายคือ เครื่องบูชา
ลวดลายทที่ อในผา้ หลบสว่ นใหญเ่ ปน็ ลวดลายโบราณทท่ี อสบื กนั มาจากบรรพบรุ ษุ นยิ ม ทอดว้ ยผา้ ฝา้ ยสดี �ำ
และสีแดง สว่ นสขี าวจะเปน็ พืน้ เรยี กว่า “ปา้ น” แต่ละลายมักมคี วามหมายเชิงนามธรรมที่ซอ่ นคติ ความเชื่อบาง
อยา่ งด้วย เช่น ความเช่อื เร่อื งสุคตภิ มู ิ หรอื สญั ลกั ษณ์แทนสงิ่ มงคลดงี ามและศักด์ิสิทธิ์ เชน่ เชอื่ วา่ ลายตะแหลวบดิ
สามารถป้องกนั สงิ่ อัปมงคล ภูตผีปีศาจทีจ่ ะมาทำ�รา้ ยนอกจากจะเปน็ ลายหน่งึ ในผ้าหลบ และผา้ ซนิ่ แล้ว ตะแหลว
ยงั เปน็ เครอื่ งรางใชส้ �ำ หรบั ตดิ บนประตเู ขา้ บา้ นของชาวเมอื งนา่ น มกั สานดว้ ยเสน้ ตอก (ไมไ้ ผ)่ เปน็ รปู ดอกจนั ทรต์ ดิ
ตรงกลางเชอื กทีท่ ำ�ด้วยหญา้ คาเพอ่ื ป้องกนั สงิ่ อัปมงคล ภูตผปี ศี าจด้วยเช่นกนั นอกจากนีล้ ายดอกจันทร์แปดกลบี
กน็ า่ จะมคี วามหมายเชน่ เดยี วกบั ลายตะแหลว ส�ำ หรบั ลายอนื่ ๆ กแ็ สดงถงึ เรอ่ื งราวชาดกในพทุ ธศาสนา ทงั้ สนิ้ เชน่
มา้ ต่างฉัตร พญานาค ช้าง หงส์ นกยูง -นกงวง ปราสาท เปน็ ต้น

๓) ผา้ ทอทใ่ี ชใ้ นพิธกี รรมทางพุทธศาสนา
ผา้ ทอท่ีใช้ในพิธกี รรมทางพุทธศาสนา หมายถงึ ผา้ ทใ่ี ชเ้ ก่ียวกบั ศาสนา ความเชื่อ เพ่อื อธบิ ายลกั ษณะสิ่ง
ศักดส์ิ ิทธิ์หรือสรา้ งความขลงั ใหบ้ รรยากาศในพิธกี รรมเพ่อื คนจะได้ย�ำ เกรงเคารพมากยิ่งข้ึน
ตงุ จะเปน็ ผา้ ทอชนดิ หนง่ึ ทใี่ ชใ้ นพธิ กี รรม และมคี วามส�ำ คญั มากในงานมงคลและอวมงคลตา่ ง ๆ “ตงุ ” ใน
ภาษาล้านนา หมายถงึ “ธง” ในภาษาไทยกลาง “ตงุ ” เปน็ สิ่งทท่ี �ำ เพื่อใชใ้ นงานพิธีทางพุทธศาสนา โดยมขี นาดรูป
ทรง และรายละเอยี ดดา้ นวสั ดตุ กแตง่ แตกตา่ งกนั ไปตามความเชอื่ และพธิ กี รรม ตลอดจนตามความนยิ มในแตล่ ะทอ้ ง
ถน่ิ ซงึ่ มจี ดุ ประสงคใ์ นการทอเพอ่ื ถวายเปน็ พทุ ธบชู าและถอื วา่ เปน็ การท�ำ บญุ อทุ ศิ ใหแ้ กผ่ ทู้ ล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ หรอื สงั่ สม
บญุ ไวเ้ พอื่ ภพชาตหิ นา้ สสี นั และลวดลายของตงุ มกั คลา้ ยกบั ผา้ หลบท�ำ ดว้ ยฝา้ ยกวา้ งประมาณ ๑๐ - ๔๐ เซนตเิ มตร
ความยาวไมแ่ นน่ อน มโี ครงสรา้ งประกอบดว้ ยสว่ นหวั ตวั และหาง ไมไ้ ผส่ อดแทรกคลา้ ยบนั ไดแตล่ ะขน้ั มรี ะยะหา่ ง
เทา่ กัน และตงุ จะมีมีพู่หอ้ ยร้อยดว้ ยลกู เดอื ยหรอื ปล้องไมไ้ ผเ่ ลก็ ๆ ท้ังซีกซา้ ยและซกี ขวา และจะใชต้ ุงนแี้ ขวนกับ
ไมไ้ ผป่ กั ขา้ งถนนหรอื บรเิ วณวดั ชาวเมอื งนา่ นถอื วา่ ถา้ ไดถ้ วายตงุ จะไดบ้ ญุ มาก เพราะตงุ คอื บนั ไดสสู่ วรรคแ์ ละเปน็
เครือ่ งหมายว่าเปน็ พื้นทศี่ ักดิส์ ิทธ์ิ ยกเว้นตุงแดงหรือตุงซาววา ชาวเมอื งน่านถอื ว่าเปน็ ตงุ สำ�หรับคนตายโหง เปน็
สัญลักษณค์ วามเชอ่ื เรอื่ งวญิ ญาณหลังจากการมีชีวติ อยู่ ลวดลายตงุ ทีพ่ บมอี ยู่ ๒ ลาย ไดแ้ ก่
๑. ลายปลา ความหมายของลายคือ ความอดุ มสมบรู ณ์
๒. ลายช้างคู่ ความหมายของลายคือ สัตว์มงคล

สรปุ ไดว้ า่ ลวดลายในผา้ ทอเมอื งนา่ นทงั้ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ลวดลายในผา้ ซนิ่ ลวดลายในผา้ หลบและลวดลาย
ในตงุ จะเหน็ วา่ เปน็ การทอเพอื่ ตอบสนองในเรอื่ งของจติ ใจและความเชอ่ื ทมี่ ตี อ่ ศาสนา แสดงถงึ ความศรทั ธาตอ่ หลกั
ค�ำ สอนทางพทุ ธศาสนา เชน่ เชอ่ื วา่ การทอผา้ ท�ำ ใหเ้ กดิ สมาธิ สตปิ ญั ญา และเปน็ การรกั ษาศลี อยา่ งหนง่ึ เพราะเมอ่ื ทอ
ผา้ ชา่ งทอกจ็ ะนกึ ถงึ สงิ่ ทดี่ งี ามหรอื คตธิ รรมทางศาสนา เรอ่ื งนรก สวรรค์ การท�ำ บญุ ท�ำ ทาน เปน็ ตน้ แลว้ ไดถ้ า่ ยทอด
อดุ มการณแ์ ห่งความดงี ามน้ันเป็นลวดลายหรอื สัญลกั ษณ์ที่มีความหมายออกเผยแพร่ แสดงถงึ ความรู้ สตปิ ญั ญา
ความสามารถแหง่ ศิลปะเชงิ ชา่ งท่ชี า่ งทอไดส้ รา้ งสรรคข์ ึ้นน่นั เอง

อตั ลักษณ ์ ลวดลาย และเรื่องราวผ้าทอโบราณเมืองนา่ น

วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติฯิ | 3


อตั ลักษณ์ทางสงั คมและวัฒนธรรมของชาวเมอื งน่าน

“นา่ น” เปน็ จงั หวดั ทอ่ี ยใู่ นภาคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย เปน็ จงั หวดั ทอี่ ดุ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ยทรพั ยากร
ทางธรรมชาติ ภเู ขาทส่ี ลบั ซบั ซอ้ นสวยงาม ทศิ เหนอื และทศิ ตะวนั ออก มอี าณาเขตตดิ กบั สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย
ประชาชนลาว (สปป.ลาว) ทศิ ใต้ ตดิ กับจงั หวัดอตุ รดิตถ์ และทิศตะวนั ตก ติดกับจงั หวดั พะเยา, แพร่, เชียงราย
อกี ทงั้ เปน็ จงั หวดั หนง่ึ ในนามของดนิ แดน “ลา้ นนา” ปจั จบุ นั ดนิ แดนลา้ นนา คอื บรเิ วณภาคเหนอื ตอนบนของไทย
๘ จงั หวัด ไดแ้ ก่ เชยี งใหม่ ล�ำ พูน ลำ�ปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน
“เมืองนา่ น” มปี ระวัตศิ าสตร์อนั ยาวนาน และวัฒนธรรมอนั โดดเดน่ ที่ถูกถ่ายทอดจากรนุ่ ส่รู นุ่ ท้งั ดา้ น
สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม ศลิ ปกรรม หตั ถกรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม และทส่ี �ำ คญั มผี า้ ทอพน้ื เมอื ง
นา่ นเป็นเอกลักษณข์ องตนเอง และเมอื งโบราณท่ีมอี ายเุ ก่าแกเ่ มืองหน่งึ โดยทตี่ ้ังของตัวจังหวัดปจั จุบันต้ังซ้อนทบั
บนตัวเมืองโบราณเดิม ในอดตี อาณาเขตการปกครองของเมอื งนา่ นกว้างกว่าปัจจุบัน มอี าณาเขตในอ�ำ เภอเชียงคำ�
อ�ำ เภอเชยี งม่วน อำ�เภอเชยี งของ อ�ำ เภอเทิง ปจั จบุ ันเปน็ เขตการปกครองของจงั หวดั พะเยา เชียงราย และอำ�เภอ
ทอ่ี ยคู่ มุ่ น�ำ น้ า่ นในเขตจงั หวดั อตุ รดติ ถบ์ างสว่ น นอกจากนยี้ งั รวมบรเิ วณหวั เมอื งฝง่ั ขวาของแมน่ �ำ โ้ ขงทตี่ อ้ งสญู เสยี
ใหแ้ กป่ ระเทศฝรงั่ เศส ในยคุ ลา่ อาณานคิ ม พ.ศ.๒๔๔๖ (ร.ศ.๑๒๒) ไดแ้ ก่ เมอื งเงนิ เมอื งหงสา เมอื งเชยี งลม เมอื ง
เชยี งฮอ่ น และเมอื งงอบ ปจั จบุ นั เปน็ เขตการปกครองของสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว และบรรพบรุ ษุ
ของชาวนา่ นส่วนหนง่ึ กไ็ ดอ้ พยพมาจากฝัง่ ดินแดนลา้ นชา้ งและสิบสองปันนา
วิธชี ีวติ ของชาวน่านสะทอ้ นให้เหน็ การผสมผสานทั้งกรงุ สโุ ขทยั ล้านนา ลา้ นช้าง (หลวงพระบาง) สบิ สอง
ปนั นา พกุ ามอยา่ งกลมกลนื เปน็ แหลง่ อาศยั ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ ห่ี ลากหลาย ไดแ้ ก่ ชาตพิ นั ธไุ์ ทยวน หรอื ไทยโยนก
, ไทลอ้ื , ถนิ่ (ลัวะ), ขมุ, มง้ (แม้ว), เย้า (เมี่ยน) และมลาบรี (ชาวตองเหลอื ง) ประชากรเหลา่ นไ้ี ดอ้ พยพโยกยา้ ย
ถน่ิ ฐานและสรา้ งเมอื งใหมอ่ ยหู่ ลายครง้ั เนอื่ งมาจากการปรบั ทตี่ ง้ั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตร์ และปจั จยั
อน่ื ๆ เชน่ ความตอ้ งการเชอื่ มตอ่ กบั เมอื งและอาณาจกั รใกลเ้ คยี ง และการอพยพโยกยา้ ยถน่ิ ของผคู้ นภายหลงั การ
สงครามจากหวั เมอื งชายพระราชอาณาเขต เขา้ มาเปน็ ไพรพ่ ลเมอื งของเมอื งนา่ น มกี ารแลกเปลยี่ น ผสมผสาน และ
สรา้ งสรรคน์ วตั กรรมตอ่ กนั ตลอดเวลา จนหลายพน้ื ทกี่ ลายเปน็ พหวุ ฒั นธรรมของคนนา่ น ซง่ึ การยา้ ยถน่ิ ฐานแตล่ ะ
ครง้ั ลว้ นกอ่ ใหเ้ กดิ ชมุ ชนหรอื เมอื งอนั เปน็ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ สี่ �ำ คญั ประชากรสว่ นใหญป่ ระกอบอาชพี หลกั
คอื เกษตรกรรม นอกจากน้ี เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ มี่ รี ปู แบบในการทอผา้ ทสี่ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ เอกลกั ษณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ไทด้งั เดิม
“ชาวเมอื งน่าน” มขี นบธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรม ความเช่ือ และ ศาสนาเป็นของตนเองโดยเฉพาะ
เรอื่ งเกี่ยวกับความเชือ่ พ้ืนฐานของชวี ติ ได้แก่ ความเช่อื ในการนับถือผี และ ความเช่อื ในพทุ ธศาสนา แมป้ ัจจุบนั
จะมกี ารปรบั ตวั เพ่ือให้อย่ใู นระบบสงั คมและวัฒนธรรมเช่นเดยี วกบั คนไทยภาคกลาง แต่ประเพณีและวฒั นธรรม
เก่าแกบ่ างอย่างทีส่ ืบทอดมาแตอ่ ดีตกย็ งั คงอย่อู ยา่ งม่ันคง ทัง้ ยังมีลักษณะทางสงั คมและวัฒนธรรมคลา้ ยกบั กลมุ่
ชาติพันธุ์อ่นื ๆ คือ เปน็ กลมุ่ ชาตพิ ันธท์ุ ดี่ ำ�รงชวี ิตอยไู่ ดด้ ้วยการผลติ ปจั จัยส่ีไดเ้ องในกล่มุ หรอื ในหมู่บา้ น ตงั้ แต่การ
ท�ำ เกษตรกรรมเพอ่ื ใชเ้ ปน็ อาหาร มกี ารสรา้ งทอี่ ยอู่ าศยั มกี ารใชย้ ารกั ษาโรคจากพชื สมนุ ไพรพนื้ บา้ น เปน็ ตน้ กลา่ วได้
วา่ ลกั ษณะเชน่ นเี้ ปน็ รปู แบบของสงั คมทไี่ มจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งพง่ึ พาสงั คมภายนอกอนั เปน็ เสมอื นกรอบบงั คบั ใหส้ มาชกิ ของ
สงั คมรกั ษาเอกลกั ษณท์ างศลิ ปะ วฒั นธรรม และ ขนบประเพณขี องตนไว ้ ซงึ่ สามารถแบง่ ตามโบราณประเพณขี อง
“อาณาจักรหลกั ค�ำ เมอื งนา่ น” ซ่งึ ได้สืบทอดมาจนถงึ ปจั จุบัน เป็นประเพณีบญุ ๑๒ เดอื น ดังน้ี
เดอื นสาม เดือนส่ี (เดอื นธนั วาคม เดือนมกราคม) มหรสพตามกาล

3 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


เดือนห้า (เดือนกุมภาพนั ธ)์ ประเพณนี มัสการพระธาตุดอนแกว้ และประเพณีขน้ึ ถำ�ผ้ าตบู
เดอื นหก (เดอื นมนี าคม) ประเพณหี กเปง็ นมสั การพระมหาธาตภุ เู พยี งแชแ่ หง้ พธิ เี ลยี้ งผปี ยู่ า่ และพธิ เี ลยี้ ง
ผีหลวง
เดอื นเจ็ด (เดอื นเมษายน) ประเพณีสงกรานต์ พิธีส่งเคราะห์ สะเดาะเคราะห์ ประเพณีจดุ บอกไฟ และ
งานนมสั การพระธาตุท่าล้อ
เดอื นแปด (เดอื นพฤษภาคม) ประเพณีนมสั การพระธาตุเขานอ้ ย
เดือนเกา้ (เดือนมถิ นุ ายน) งานปอยบวชลกู แกว้ เดอื นสบิ (เดอื นกรกฎาคม) ประเพณเี ขา้ พรรษา และ
ประเพณแี รกนาขวัญ
เดอื นสิบเอ็ด ถงึ เดือนสิบสอง (สงิ หาคม ถึง กันยายน) ดแู ลเหมอื งฝาย ทำ�ไร่ ท�ำ นา
เดือนเกยี๋ ง (เดือนตุลาคม) ประเพณที านกฐนิ ทานสลากภัตร งานแหค่ รัวทาน และ ประเพณแี ขง่ เรือโขน
พญานาค
เดือนยี่ (เดอื นพฤศจิกายน) ประเพณลี อยกระทงยเี่ ป็ง (ภาคเหนอื )



ภาพประเพณีหกเป็งนมัสการพระมหาธาตเุ จา้ ภูเพยี งแชแ่ หง้ จังหวัดน่าน

วิทิ ยาลััยสงฆ์น์ ครน่่าน เฉลิิมพระเกีียรติิฯ | ข


ภาพประเพณีงานแหค่ รวั ทาน จังหวดั นา่ น

ภาพประเพณถี วายทานสลากภตั ร จังหวัดนา่ น

นอกจากน้ี ยงั มกี จิ กรรมทางวฒั นธรรมของชาวไทยภูเขาทีอ่ าศยั อย่ใู นจังหวัดน่าน เชน่ ประเพณปี ใี หม่
ของชาวเขาเผา่ มง้ บ้านปางแก บ้านมณพี ฤกษ ์ บ้านน�ำ้ สอด อำ�เภอทุง่ ช้าง ช่วงวนั ฉลองปีใหมส่ ่วนใหญ่จะตกอยู่
ประมาณชว่ งเดอื นพฤศจิกายน - เดอื นมกราคมของทุกป ี โดยงานจะมีการละเลน่ และพิธกี รรมทีเ่ ป็นเอกลักษณ์
ของชาวเขาเผ่าม้ง ซึง่ จะจดั ข้นึ หลงั จากได้เก็บเกยี่ วผลผลิตในรอบปเี รยี บรอ้ ย และเป็นการฉลองถึงความส�ำ เร็จใน
การเพาะปลูกของแต่ละปี ซึง่ จะต้องทำ�พิธีบูชาถงึ ผฟี ้า ผปี า่ ผบี ้าน ที่ให้ความค้มุ ครอง และดูแลความสขุ ส�ำ ราญ
ตลอดท้ังปี รวมถงึ ผลผลติ ท่ไี ด้ในรอบปีด้วย
กจิ กรรมทางวัฒนธรรม ประเพณบี ญุ ๑๒ เดอื น หรือแมแ้ ตป่ ระเพณขี องชาวไทยภเู ขา จะมผี ้าทอเขา้ มา
เกย่ี วขอ้ งท้ังสน้ิ คนเมอื งน่านมักจะสวมใส่ผา้ ซ่ินม่าน ซน่ิ ปอ้ งไปทำ�บญุ ทว่ี ัด ใสช่ ่นิ เชียงแสน (แบบธรรมดา) ท�ำ งาน
บ้าน ทำ�ไร่ ท�ำ นา และมกั จะใส่ผ้าตีนจก (แบบประยุกต์ในปัจจบุ นั ) ในงานกินดอง (แตง่ งาน) ท้งั น้ี ลวดลายและ
ชนิดของผ้าไมไ่ ดม้ กี ารจ�ำ แนกประเภทผ้าตามกิจกรรมทไ่ี ดเ้ ข้าร่วม หากแต่ดจู ากรสนิยมสว่ นบุคคลและความนยิ ม
ของแตล่ ะสมัยนั่นเอง

3 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


อตั ลกั ษณแ์ ละวัฒนธรรมการทอผ้าโบราณนา่ น

ผา้ ทอโบราณเมอื งนา่ น เปน็ งานหัตถกรรมพ้นื บา้ นทมี่ ชี ือ่ เสียง การทอผา้ นับว่าเป็นวิถชี วี ิตอย่างหน่ึงของ
สตรีชาวเมืองนา่ น ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สบื ทอดตอ่ กันมาจากบรรพบรุ ษุ มวี ิธีการและเทคนคิ การทอเป็น
เอกลกั ษณข์ องกลมุ่ ชน และมเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะถนิ่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ผา้ ทอพนื้ เมอื งเหลา่ นที้ อกนั มากในกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ไทยวน และกลมุ่ ชาตพิ นั ธไุ์ ทลอื้ ในเมอื งนา่ น เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ อ่ี าศยั อยบู่ นพนื้ ทรี่ าบลมุ่ รจู้ กั ท�ำ นาและท�ำ เหมอื งฝาย
เป็นกลุ่มชาติพนั ธ์ทุ ่มี ีลักษณะทางวัฒนธรรมเปน็ ของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิง่ วฒั นธรรมในดา้ นการทอผ้าพืน้ เมือง
ซึง่ มรี ปู แบบทส่ี ะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ประวัติ ความเปน็ มา ความสัมพันธ์ วิถีชวี ติ สงั คม และวัฒนธรรมท่ีเปน็ อตั ลักษณ์
ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ จากการอยอู่ าศยั รว่ มกนั จนมคี วามสมั พนั ธท์ เ่ี กย่ี วเนอื่ งกนั ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การผสมผสานวฒั นธรรม
การทอผา้ ระหวา่ งสองกลมุ่ ชาตพิ นั ธนุ์ ขี้ นึ้ และไดห้ ลอ่ หลอมจนเปน็ รปู แบบผา้ ทอทมี่ เี อกลกั ษณอ์ ยา่ งเดน่ ชดั ในแบบ
เฉพาะวัฒนธรรมเมอื งนา่ น
ผา้ ทอเมืองนา่ น จึงเปน็ ร่องรอยจากอดีตท่สี ะทอ้ นให้เห็นถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งกนั ของ กลุม่ ชาตพิ ันธุ์
ตา่ ง ๆ ซงึ่ ไดอ้ าศยั อยใู่ นพนื้ ทเี่ มอื งนา่ น จากการศกึ ษาวฒั นธรรมการทอผา้ และการใชส้ อยผา้ ในเมอื งนา่ นท�ำ ใหเ้ หน็
ถงึ ลกั ษณะอนั โดดเดน่ ในดา้ นรปู แบบทบี่ ง่ บอกถงึ การผสมผสานทาง วฒั นธรรมระหวา่ งกลมุ่ ชาตพิ นั ธไุ์ ทลอ้ื และกลมุ่
ชาตพิ ันธ์ุไทยวน อนั เป็นหลักฐานท่สี ะท้อนใหเ้ ห็นถึง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกัน
จากสภาพแวดลอ้ ม ภมู ิศาสตร์ และวัฒนธรรมของเมอื งนา่ น การทอผ้าและการใชส้ อยผา้ ท่ีปรากฏมาแต่
อดตี โดยสว่ นใหญจ่ ะมงุ่ เนน้ ความเปน็ เอกลกั ษณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธ ุ์ วฒั นธรรมและวถิ ชี วี ติ แบบดง้ั เดมิ ทมี่ ลี กู หลาน
สืบทอดต่อกนั มา ซ่ึงแตล่ ะทอ้ งถิน่ มีเอกลกั ษณข์ องตนเอง มีทง้ั ผา้ ทอที่ทอขึ้นโดยชาวเมอื งด้งั เดมิ และผ้าทอทีม่ ีมา
จากแหลง่ อน่ื ดงั นน้ั การทอผา้ และการใชส้ อยผา้ ในวฒั นธรรมเมอื งนา่ น โดยเฉพาะในดา้ นการแตง่ กาย ยงั แสดงให้
เหน็ ถงึ การรบั รแู้ ละเขา้ ใจถงึ กระบวนการทางความคดิ ทส่ี ะทอ้ นถงึ สภาพของการด�ำ รงชวี ติ ทเ่ี รยี บงา่ ย ของชาวเมอื ง
นา่ นภายใตว้ ฒั นธรรมอนั เปน็ อตั ลกั ษณเ์ ฉพาะตน จากความส�ำ คญั ดงั กลา่ ว กอ่ ใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรคเ์ ครอื่ งแตง่ กาย
ของชาวเมืองนา่ นขึ้นมาอยา่ งประณตี สวยงามโดยเฉพาะ “ผ้าซิ่น”
จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรท์ ปี่ รากฏในภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั ภมู นิ ทร์ จงั หวดั นา่ น ซง่ึ เขยี นขน้ึ ประมาณ
ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ ช่างไดถ้ ่ายทอดวิถีชีวติ สังคม และวฒั นธรรมของชาวเมืองนา่ นในช่วงเวลานนั้ ผ่านงาน
จิตรกรรมบนฝาผนังของพระวิหาร โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การถา่ ยทอดลักษณะเครอื่ งแต่งกายของสตรีเมอื งนา่ น เช่น
ภาพวิถชี วี ิตการทอผา้ ภาพสตรที ่ียืนจบั กลมุ่ อยูใ่ นอิริยาบถต่าง ๆ หรือสตรีกำ�ลังหาบกระบงุ ภาพสตรีในปราสาท
ราชวัง ภาพสตรีบนราชรถ เปน็ ตน้

วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติฯิ | 3


ภาพวิถชี วี ติ วฒั นธรรมการทอผา้ ในภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั ภูมนิ ทร์ จังหวัดนา่ น

ภาพผา้ ซนิ่ ตนี จก (เปน็ ผา้ ซ่นิ ที่สวมใส่ในงานสำ�คัญ เชน่ งานบญุ ใหญ่ งานแต่งงาน ฯลฯ)
ในภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภมู นิ ทร์ จังหวดั นา่ น

3 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ภาพสตรีนุ่งผา้ ซิน่ ในปราสาทราชวงั ภาพจิตรกรรมฝาผนังวดั ภูมนิ ทร์ จงั หวดั นา่ น

ภาพจติ รกรรมวัดภมู นิ ทร์ ยังเลา่ เร่ืองพระพุทธประวัตแิ ละคันธกมุ ารชาดก ตลอดจนวิถชี ีวิตของชาวเมือง
นา่ นในสมยั นนั้ ไมว่ า่ จะเปน็ ชวี ติ ประจ�ำ วนั การแต่งกาย หรอื แม้แตภ่ าพทีส่ ะทอ้ นใหเ้ หน็ บทบาทของหญงิ ทไี่ มน่ อ้ ย
หนา้ ชาย ภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั ภมู นิ ทร์ ยงั สะทอ้ นเรอื่ งราวของการทอผา้ ในอดตี แสดงการแตง่ กายของชาวเมอื ง
นา่ น ผู้หญงิ นุ่งซิ่นปอ้ ง ทอลายเกาะหรือล้วง และผา้ ซิน่ มัดก่านลายมดั หม่หี รือคาดกา่ น อีกทั้งการนงุ่ ซิน่ และการ
แตง่ กายของชาวนา่ นในอดตี นนั้ มวี ฒั นธรรมการใชผ้ า้ เปน็ ของตนเอง ตงั้ แตก่ ารทอ การสรา้ งลวดลาย จนถงึ การนงุ่
หม่ รปู แบบในการทอผา้ ทสี่ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ เอกลกั ษณข์ องวฒั นธรรมเมอื งนา่ น ทผี่ สมผสานระหวา่ งวฒั นธรรมไทย
วน และไทลอื้ อนั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ลกั ษณะเฉพาะของผา้ ทอเมอื งนา่ น คอื ผชู้ ายจะนงุ่ “ผา้ ตอ้ ย” ขนาดสนั้ แบบเขมร
เพอ่ื โชวล์ ายสกั หมกึ ซงึ่ สกั ตงั้ แตเ่ อวถงึ เขา่ หรอื นงุ่ ยาวแบบโจงกระเบน ไมส่ วมเสอ้ื มเี พยี งผา้ พาดไหล่ หรอื คลอ้ งคอ
ภายหลงั เรม่ิ มกี ารสวมเสือ้ คอตัง้ แขนยาวโดยเฉพาะผมู้ ฐี านะ ส่วนผู้หญงิ เมืองนา่ น จะนุ่ง “ซิน่ ” ไม่สวมเสอื้ มีเพยี ง
ผ้ามดั หรือพันอก หรือคลอ้ งคอ หรือหม่ เฉยี งแบบ “สะหว้ายแล่ง” หรอื “เบยี่ งบา้ ย” ผู้หญิงบางคนสวม เส้อื ปดั
ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของเสื้อหญิงชาวไทล้ือ ทรงผมของหญงิ เมืองน่านจะเกล้ามวยแบบไทล้อื ที่เรียกวา่ มวยวอ้ ง
คอื เกลา้ ผมไวก้ ลางศรี ษะ มปี อยผมทท่ี �ำ เปน็ วงยน่ื ออกมาจากมวย ปกั ปน่ิ ทองค�ำ และสวมเครอื่ งประดบั ตา่ ง ๆ เชน่
สร้อย กำ�ไล ทงั้ ชายและหญงิ นยิ มเจาะหใู ห้เปน็ รขู นาดใหญ่ เพื่อใสล่ านหู (ตุ้มหขู นาดใหญ่) หรือเสียบดอกไม้
การแตง่ กายเช่นน้ี ปรากฏหลกั ฐานอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนงั หลายแห่ง ดงั เชน่ ภาพเขยี นเกา่ แก่ชอ่ื ดัง
ก็คอื “ภาพปูม่ า่ นยา่ มา่ น” ซึง่ ไดร้ ับการขนานนามว่า “กระซิบรักบันลอื โลก” ในภาพจติ รกรรมฝาผนงั วัดภมู นิ ทร์
ต�ำ บลในเวยี ง อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั นา่ น

วิิทยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | 3


ภาพ “ปมู่ ่านยา่ ม่าน” จิตรกรรมฝาผนังวัดภมู ินทร์ อำ�เภอเมือง จงั หวัดน่าน

ภาพ ซิ่นนางยักษ์ การทอจะมีช่องว่างไมส่ มำ�่ เสมอ มีทงั้ ลายจก มดั กา่ น ฯลฯ
ในจติ รกรรมฝาผนังวดั ภมู นิ ทร์ อำ�เภอเมือง จังหวดั น่าน

4 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


สตรีนงุ่ ผา้ ซิ่นกำ�ลงั หาบกระบุง
ในจติ รกรรมฝาผนังวัดภูมนิ ทร์ อ�ำ เภอเมือง จงั หวัดนา่ น

เชน่ เดยี วกบั ภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั หนองบวั อ�ำ เภอทา่ วงั ผา จงั หวดั นา่ น (หมบู่ า้ นชาวไทลอื้ ซงึ่ มบี รรพบรุ ษุ
อพยพมาจากเมืองลา้ แควน้ สบิ สองปันนาของจนี ชาวไทล้ือได้กระจายไปตง้ั ถน่ิ ฐานตามทีร่ าบต่าง ๆ หนึ่งในนัน้
คือบ้านหนองบัว) ท่เี ขียนข้นึ ราว พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๓๑ โดยหนานบัวผัน หรือทิดบัวผนั ไดเ้ ขียนเร่อื งราวไว้ในภาพ
จติ รกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ เรือ่ ง “จันทคาธชาดก” และ “พทุ ธประวัต”ิ นอกจากนน้ั ยังสะทอ้ นวถิ ี
ชวี ติ และวัฒนธรรมการแต่งกายของไทลอื้ ทมี่ ีลกั ษณะโดดเดน่ มแี บบแผนการทอผา้ ซิ่น และการสร้างลวดลาย ซงึ่
แสดงถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณีของตนเองไดอ้ ย่างชัดเจน เชน่ ภาพสตรีที่ ก�ำ ลังนุ่งผ้าซิ่น ภาพกลุ่มสตรที ี่เดินถือ
ของ ภาพสตรบี นราชรถ ภาพสตรีบนหลงั ชา้ ง ภาพสตรีในปราสาทราชวงั เปน็ ต้น ซึ่งไทลอื้ จะมีเทคนคิ เกาะลว้ งท่ี
เรยี กว่า “ลายน�ำ ้ไหล”

ภาพจิตรกรรมฝาผนงั วัดหนองบัว อ�ำ เภอทา่ วงั ผา จงั หวัดน่าน

วิทิ ยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติฯิ | 4


ผา้ ซน่ิ ลายน�ำ ไ้ หล หรอื ผา้ ซน่ิ ตนี จก ถอื เปน็ ผา้ ทอพน้ื เมอื งโบราณของชาวนา่ นทย่ี งั คง อตั ลกั ษณโ์ ดดเดน่ และ
สบื ทอดมาจนถงึ ทกุ วนั น้ี โดยมกี ลมุ่ ชาวบา้ นหลายชมุ ชนรวมตวั กนั ทอผา้ แบบสมยั เกา่ (โบราณ) เพอ่ื รกั ษาวฒั นธรรม
ประเพณสี บื ตอ่ ใหก้ บั ลกู หลาน โดยกลมุ่ ผา้ ทอไทลอื้ บา้ นหนองบวั อ�ำ เภอทา่ วงั ผา กลมุ่ ผา้ ทอไทลอื้ บา้ นเกต็ อ�ำ เภอ
ปวั กล่มุ ผา้ ทอบ้านดอนไชย อำ�เภอ เวยี งสา เปน็ ตน้
ภาพดงั กลา่ ว แสดงให้เห็นถงึ การแต่งกายในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ หญงิ ไทลอื้ จะนุ่งซิ่น และนิยมเกลา้
ผมมวย โพกหวั ดว้ ยผา้ สขี าว โดยสตรนี ิยมนงุ่ ผา้ ตนี จก (ผ้าตีนจกเมอื งนา่ น) ได้อยา่ งชัดเจน และยังพบว่าภาพสตรี
ที่นุ่งผ้าตีนจก (ผ้าตนี จกเมืองนา่ น) สว่ นมากมกี ารประดบั ตกแต่งรา่ งกายด้วยเครอ่ื งประดับสที อง (ทองคาํ ) รวมไป
ถึงในภาพวาดผ้าตีนจกบางภาพมกี ารเขียนลวดลายสีทอง (ทองคาํ ) สว่ นผู้ชายจะนุง่ หยกั รั้งจนถงึ โคนขาเพื่ออวด
ลายสกั ตั้งแตเ่ หนอื เข่าข้นึ ไปจนถึงโคนขา ไม่สวมเสอื้ แตม่ ผี า้ ห้อยไหล่ ด้วยเหตุนีจ้ ึงสามารถสนั นษิ ฐานได้วา่ สตรีท่ี
นงุ่ ผา้ ตนี จกเมอื งนา่ น ในภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั ภมู นิ ทร์ และจติ รกรรมฝาผนงั วดั หนองบวั จงั หวดั นา่ น สว่ นมาก
น้นั เป็นสตรีในระดบั เจ้านาย หรอื กลมุ่ ชนชัน้ สงู หรือเปน็ สตรีทมี่ ีฐานะผูม้ ่ังค่ังเงนิ ทองในเมอื งนา่ น ทีส่ ามารถซอื้ หา
เคร่อื งประดับราคาแพง และหายากได้
การแตง่ กายของชาวเมอื งนา่ น หรอื ไทยวน ปจั จบุ นั เรยี กตนเองวา่ “คนเมอื ง” จะเดน่ ทก่ี ารทอตนี จก และ
ปรากฏซ่นิ เชียงแสนแบบน่าน ต่อมาหลังยคุ บา้ นเมืองระส�่ำ ระสาย คนทอผ้ามแี ตค่ วามทรงจำ�วา่ ผา้ ซิน่ ทตี่ ัวเองเคย
ใสเ่ ปน็ ยงั ไง ชว่ งรัชกาลท่ี ๑ ถงึ รัชกาลท่ี ๓ ยังไม่มกี ารทอผ้า และไม่พบซิ่นเชียงแสนทตี่ ดิ ตวั มาตอนเชยี งแสนแตก
จนยุคสร้างบา้ นแปงเมือง รัชกาลท่ี ๓ ถงึ รัชกาลที่ ๔ บ้านเมอื งเรม่ิ สงบสุข คนกเ็ อาทักษะการทอผา้ เดมิ มาทอขึ้น
ใหม่ แตซ่ นิ่ เชียงแสนน่านจะหลากหลายกวา่ ซนิ่ เชียงแสนที่อ่ืน เพราะความเปน็ พหุวฒั นธรรม มที ง้ั ยวน ลือ้ ลาว
ผ้าเมืองนา่ นเกา่ แกท่ ส่ี ุดเท่าท่พี บในสมยั รชั กาลท่ี ๔ เป็นผา้ ซน่ิ เชยี งแสนทอสามดกู ก็คือ ในสมัยก่อนฟมื ทอผ้าจะ
เล็กมาก ต้องทอ ๓ ครัง้ เพอ่ื ทีจ่ ะเอามาเยบ็ ตอ่ กนั เปน็ ผา้ ซิน่ ๑ ผนื ลายน้พี เิ ศษมากมชี ื่อวา่ “ซน่ิ วิเศษเมอื งนา่ น”
หรอื เรยี กอีกอยา่ งว่า “ซ่ินหล่ายน่าน” มเี ทคนคิ การทอท่หี ลากหลายเทคนิคด้วยกนั ทง้ั ตีนจก มัดหมี่ เกาะลว้ ง ยก
มกุ ฯลฯ อีกทงั้ ทั้งตัวซน่ิ ตีนซ่นิ และสขี องซิน่ เป็นซ่นิ เยบ็ ๓ ตะเข็บ (ปกตซิ ิ่นทีใ่ ชใ้ นปจั จบุ ันจะมี ๑ หรือ ๒ ตะเข็บ
) ผนื นไี้ ดช้ อ่ื วา่ “นางพญาผา้ ซน่ิ ลา้ นนา” รวมวฒั นธรรมการทอผา้ ทกุ ชาตพิ นั ธเุ์ ขา้ มาอยใู่ นผนื เดยี วกนั (สดุ ยอดของ
ซน่ิ ทง้ั มวล ในวงการผา้ โบราณนนั้ มอี ยู่ ๕ ชนดิ เทยี บเทา่ พระเครอื่ งเบญจภาคใี นวงการพระเครอ่ื ง ไดแ้ ก่ ๑) ซนิ่ ไหม
ค�ำ เมอื งเชยี งตงุ ๒) ซน่ิ ตีนจกไหมเงินไหมค�ำ ราชส�ำ นักเชียงใหม่ ๓) ซ่ินน�ำ ถ้ ้วม (หรือซนิ่ น�ำ ้ทว่ ม) ๔) ซ่นิ วิเศษเมอื ง
นา่ น ๕) ซิน่ นำ�้ปาด-ฟากทา่ อตุ รดิตถ)์ เป็นผา้ ทอโบราณทหี่ ายาก จะใส่ในพธิ สี �ำ คัญเท่าน้ัน เชน่ งานบวช งานแตง่
พธิ บี ชู าพระแม่โพสพ ฯลฯ หรือเกบ็ ไวเ้ ปน็ มรดกใหล้ ูกหลาน
การทอผา้ ถอื วา่ เปน็ คณุ สมบตั เิ ดน่ ของผหู้ ญงิ สมยั กอ่ น ซง่ึ การแตง่ กายดว้ ยเครอื่ งนงุ่ หม่ ผา้ ทอกเ็ ปน็ เอกลกั ษณ์
เฉพาะอยา่ งหนง่ึ ทไ่ี มใ่ ชแ่ คเ่ รอ่ื งของความสวยงาม แตเ่ ปน็ การบง่ บอกประวตั คิ วามเปน็ มาและวถิ ชี วี ติ ของคนในทอ้ ง
ถน่ิ วถิ ชี วี ติ ของจงั หวดั นา่ นผา่ นลายบนผนื ผา้ ผา้ ทอของจงั หวดั นา่ น ทเ่ี ปน็ การผสมผสานวฒั นธรรมการทอผา้ ของชาว
ไทยวน ไทลื้อ และไทลาว ท่ถี กู ถา่ ยทอดสืบตอ่ กันมาเป็นรอ้ ยปี “เสน้ สายลายทอ ผ้าทอเมืองนา่ น” เปน็ เอกลักษณ์
เพียงหน่ึงเดยี ว

4 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ภาพ ซิน่ หลา่ ยนา่ น หรือ ซิ่นวเิ ศษเมอื งนา่ น (ผ้าทอโบราณเมืองน่าน)

กระบวนการสรา้ งสรรค์ผ้าทอโบราณเมอื งนา่ น
ส�ำ หรบั ผา้ ทอโบราณพน้ื เมอื งนา่ น มที งั้ ผา้ ทท่ี อขนึ้ โดยชาวพน้ื เมอื งเมอื งนา่ นดง้ั เดมิ และผา้ ทอพนื้ เมอื งทมี่ า
จากแหลง่ อน่ื ผา้ พน้ื เมอื งนา่ นดง้ั เดมิ ไดแ้ ก่ ผา้ พนื้ ผา้ ขาวมา้ ถงุ ยา่ ม (ลายขาวด�ำ ) ผา้ หม่ (ผา้ ตาแสง หรอื ผา้ ตาโกง้ )
ผา้ ลายคาดกา่ นแบบนา่ น สว่ นผา้ พนื้ เมอื งจากแหลง่ อน่ื เชน่ ผา้ ตนี จกจากเมอื งพชิ ยั ซนิ่ มา่ น ซน่ิ เชยี งแสนจากเชยี ง
ตงุ ผา้ ลายลอ้ื จากเมอื งเงนิ เมอื งคง เมอื งฮนุ เมอื งลา้ และสบิ สองปนั นา ผา้ ไหมซนิ่ ลาวจากเมอื งหลวงพระบาง และ
เวยี งจนั ทน์ ซนิ่ ก่านคอควาย และซิน่ ตามะนาวจากแพร่ ซนิ่ ลายขวางจากเมืองเชยี งใหม่ เปน็ ต้น
ในอดตี นน้ั ผา้ ทอเมอื งนา่ นเปน็ ผา้ ทที่ อจากฝา้ ย จะใชฝ้ า้ ยทม่ี ใี นทอ้ งถนิ่ ชาวไทยวนและไทลอื้ จะไมน่ ยิ มเลย้ี ง
ไหม การทอผ้าโบราณเมืองนา่ นสว่ นใหญจ่ ึงเป็นผ้าฝ้าย โดยเรมิ่ จากการปลูกฝา้ ย และเข้าสขู่ บวนการผลิตเปน็ เส้น
ดา้ ย โดยภมู ปิ ญั ญาของทอ้ งถนิ่ ทง้ั หมด รวมทง้ั กรรมวธิ ยี อ้ มสธี รรมชาติ เชน่ สดี �ำ จากโคลน, ผลมะเกลอื , สแี ดงจาก
ครงั่ , สเี หลืองจากขม้นิ เปน็ ตน้ แต่ก็ไดม้ ีการนำ�ไหมมาทอปนฝา้ ย เรียกว่า “ไหมลาว” ซึง่ มแี หล่งผลติ ในอดีตอยใู่ น
หมบู่ า้ นชาวไทยลาว เชน่ ทตี่ �ำ บลน�ำ ป้ ว้ั อ�ำ เภอเวยี งสา เปน็ ตน้ แตก่ ารสบื ทอดทางวฒั นธรรม พบวา่ ผทู้ ม่ี อี าชพี ทอ
ผ้าส่วนใหญ่สบื เชื้อสายมาจากชาวไทยลอ้ื โบราณ
ผ้าทอโบราณเมืองนา่ น : วัสดุและกรรมวิธกี ารทอ
ผา้ ทอพื้นเมอื งน่าน วสั ดุหลกั ทใี่ ช้ในการทอ คอื เส้นฝา้ ย และเสน้ ไหม หรอื ไหมแกมฝา้ ยในการทอ
บางครง้ั มกี ารสอดแทรกดว้ ยไหมเงนิ ไหมค�ำ ท�ำ ใหม้ ลี วดลายทว่ี จิ ติ รงดงาม เปน็ การบง่ บอกถงึ ฐานะทางสงั คม ทงั้ นี้
ทนี่ ยิ มทส่ี ดุ ในการทอผ้าพื้นเมืองนา่ น ไดแ้ ก่ ผา้ ฝา้ ย ซงึ่ ทำ�มาจากใยฝา้ ย ได้จากตน้ ฝา้ ยทีส่ ามารถปลกู ไดด้ ใี นแถบท่ี

วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 4

มีอากาศอุ่นชน้ื และมแี ดดจัด เมอื่ ผลฝ้ายแกจ่ ัดแลว้ ผลจะแตกมีใยเปน็ ปยุ ขาว จงึ เกบ็ มาแยกเอาเปลอื กและเมล็ด
ออก แลว้ นำ�ไปปัน่ เป็นเสน้ ใยและเส้นดา้ ย จึงจะสามารถทอเป็นผนื ผา้ ได้แลว้ จงึ จะสามารถใชป้ ระโยชน์จากผา้ ฝ้าย
ได้ โดยการน�ำ ทอ มาตดั และเยบ็ เป็นเสอ้ื ผา้ เครื่องแตง่ กาย
กระบวนการเร่ิมต้นต้งั แตก่ ารเลอื กวตั ถดุ บิ ทจ่ี ะน�ำ มาทำ�เป็นผ้า ไดแ้ ก่
๑) เสน้ ฝา้ ย ทใ่ี ชใ้ นการทอผา้ พน้ื เมอื งนา่ น เกดิ จากการน�ำ ปยุ หมุ้ เมลด็ ทไี่ ดจ้ ากตน้ ฝา้ ยมาผา่ นกระบวนการ
ทำ�ใหเ้ ปน็ เสน้ ด้าย เพอ่ื ใชใ้ นการทอผ้าไดม้ าจาการผลิตขน้ึ ในครวั เรอื น โดยมกี ระบวนการทำ�เสน้ ใยฝ้ายจากปยุ ฝ้าย
ใหเ้ ปน็ เสน้ ฝา้ ย (เสน้ ดา้ ย) แบบพน้ื เมอื งจากอปุ กรณท์ ม่ี อี ยใู่ นทอ้ งถน่ิ จากนนั้ น�ำ ดา้ ยไปตม้ น�้ำ ใหส้ ะอาดแลว้ ตากแดด
ให้แห้ง จึงนำ�ไปยอ้ มสที ่ีสกัดจากพชื เช่น ต้นคราม เพกา มะตมู มะเกลอื ขม้ิน เป็นตน้ จากหลกั ฐานตา่ ง ๆ พบวา่
ชาวล้านนานิยมปลกู ฝา้ ยกนั อย่างแพรห่ ลายภายในอาณาจักร และมีวธิ ีการท�ำ ฝ้ายเป็นของตัวเอง
กรรมวิธีต้ังแตเ่ ร่มิ ต้นปลกู ดงั น้ี
๑) ปลูกฝ้ายในเดอื นแปด เดอื นเก้า หรือเดือนพฤษภาคมเป็นการปลกู ก่อนฤดฝู นจะเรม่ิ ต้น พนั ธทุ์ ่นี ยิ ม
ปลกู เปน็ พนั ธพ์ุ นื้ เมอื ง เชน่ ฝา้ ยขาว ฝา้ ยตนุ่ ฝา้ ยเขยี ว เปน็ ตน้ เพราะทนตอ่ โรคไดด้ ี เมอื่ ฝา้ ยเรมิ่ ออกดอกใหผ้ ลผลติ
กจ็ ะเกบ็ ฝา้ ยในเดอื นเกยี๋ งถงึ เดอื นย่ี (ประมาณเดอื นพฤศจกิ ายน) การเกบ็ ฝา้ ยในเมอื งนา่ นมกั เกบ็ ดว้ ยมอื โดยเลอื ก
จากผลฝ้ายท่ีแตกแล้ว

ภาพ ดอกฝา้ ย

๒) น�ำ มาอดี ฝา้ ย หรอื หบี ฝา้ ย คอื การแยกเมลด็ ออกจากดอกฝา้ ย หลงั จากเกบ็ ดอกฝา้ ยจากตน้ ฝา้ ย ผา่ น
เครื่องมอื ที่สร้างข้นึ เรียกวา่ “อีด” (ภาษาเหนือ สาเหตุเพราะเวลาหมุนอุปกรณแ์ ลว้ เสยี งจะดงั อีด ๆ) เป็นท่อนไม้
กลมวางขนานชิดกันตามยาว มีกลไกเปน็ มอื หมุนด้านหนึ่ง น�ำ ดอกฝา้ ยผา่ นชอ่ งตรงกลางระหว่างทอ่ นไม้แลว้ หมุน
ฟันเฟือง เส้นฝ้ายจะถกู รีดออกอกี ดา้ นแยกเมลด็ ฝ้ายออกจากดอกฝา้ ยได้ใยฝ้ายบริสทุ ธิ์

4 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน


ภาพ อุปกรณก์ ารอีดฝา้ ย


๓) การตฝี า้ ย หรือ การตีฟู หลงั จากอีดฝ้าย (อีด ภาษาเหนอื ) หรือ แยกดอกฝา้ ยกับเม็ดฝ้ายออกจากกนั
แลว้ จะน�ำ ปยุ ฝา้ ยทไ่ี ดม้ าตใี หล้ ะเอยี ดและเนยี นเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั โดยใชอ้ ปุ กรณท์ ชี่ าวบา้ นสรา้ งขน้ึ เอง เรยี กวา่ “กง๋
ดีดฝ้าย” มลี ักษณะคล้ายคนั ธนู และ “โจ”้ มีลกั ษณะเปน็ เคร่ืองจักสานคลา้ ยกระบุง เพื่อใหฝ้ า้ ยแตกและงา่ ยตอ่
การปนั่ เป็นเส้นฝ้ายตอ่ ไป

“ก๋ง” ใช้ในการดีดฝา้ ย และ “โจ”้ ใชบ้ งั ลม


Click to View FlipBook Version