วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติฯิ | 4
๔) การท�ำ หางฝา้ ย หรอื การมว้ นปยุ ฝา้ ย หลงั จากทต่ี ฝี า้ ยใหฟ้ แู ลว้ น�ำ ฝา้ ยทไ่ี ด้ มามว้ นเปน็ แทง่ เรยี กวา่
“หางฝ้าย เพอ่ื จะนำ�ไปป่นั เป็นเสน้ ฝ้ายตอ่ ไป
ภาพ “หางฝา้ ย” (ภาษาท้องถนิ่ )
๕) การปัน่ ฝ้าย เป็นวิธีการนำ�หางฝ้าย นำ�มาปนั่ เป็นเส้นด้าย เพ่ือใหไ้ ด้เสน้ ใยฝ้ายท่ีมคี วามหนา หรอื บาง
ตามวตั ถุประสงค์ของผทู้ อ โดยใช้เครือ่ งทเี่ รียกวา่ “กวงปน่ั ฝ้าย” หรอื “เผี่ยน” กอ่ นทจี่ ะน�ำ ไปกรอหรือยอ้ ม
(การปั่นฝ้ายจะปนั่ ในชว่ งฤดูหนาว เพราะจะลื่นไหล และฝ้ายดึงออกเป็นเสน้ ไดด้ ี ส่วนในฤดูฝน จะปน่ั ได้ดีในวันท่ี
อากาศเย็น ๆ)
ภาพ “กวงป่นั ฝ้าย” หรอื “เผ่ียน”
4 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๖) “เปฝ๋ า้ ย หรอื เปยี ฝา้ ย” คอื น�ำ เสน้ ฝา้ ยทไี่ ดจ้ ากการปน่ั ฝา้ ยมาท�ำ ใหฝ้ า้ ยเรยี งออกมาเปน็ มว้ น หรอื ๑
ไจ หรือต่อง
ภาพ “เป๋ หรอื เปีย” คอื อุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการมว้ นฝ้ายออกจากอุปกรณ์ปั่นฝา้ ย
เปน็ แท่งไม้ ปลายทง้ั สองเปน็ รูปตวั ทีสลบั ด้านกนั
๗) “การทุบฝ้าย” หลังจากแช่ฝ้ายไว้แล้วประมาณ ๑ คนื ๒ วนั เราก็จะเอาฝา้ ยที่แชไ่ วม้ าทุบ เพือ่ ให้ฝ้าย
มคี วามน่มุ ทส่ี ำ�คญั คอื เพอ่ื ให้ฝ้ายดดู ซึมสที ี่ย้อมได้ดีอีกด้วย
ภาพ “การทบุ ฝา้ ย หรอื “ปอ้ ฝา้ ย”
วิิทยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติฯิ | 4
๘) “การฆา่ ฝา้ ย” เปน็ วธิ กี ารท�ำ ใหฝ้ า้ ยเหนยี ว ไมเ่ ปอ่ื ย งา่ ยตอ่ การทอผา้ โดยวธิ กี ารฆา่ ฝา้ ย(วธิ โี บราณ) คอื
แชฝ่ า้ ยในน�ำ ซ้ าวขา้ ว “ขา้ วจา้ ว” อยา่ งนอ้ ย ๘ ชวั่ โมง จากนน้ั น�ำ ฝา้ ยออกตากใหแ้ หง้ และซกั ใหส้ ะอาด จะท�ำ ใหไ้ ด้
เส้นฝ้ายท่เี หนียวขึน้ ไม่เปือ่ ย และไมข่ าดง่ายอีกดว้ ย
๙) “การซกั ฝา้ ย” หลงั จากตากฝา้ ยทย่ี อ้ มแลว้ จนแหง้ ประมาณ ๑ คนื จะตอ้ งเอาฝา้ ยมาซกั ใหส้ ะอาด แลว้
น�ำ ฝา้ ยไปตากให้แหง้ พรอ้ มที่จะนำ�ไปกรอ และทอเป็นผนื ต่อไป
๑๐) “การกรอฝา้ ย” เป็นการเปลีย่ นเส้นฝ้ายออกจากไจ (ต่อง ภาษาท้องถนิ่ ) น�ำ หลอดสอดเขา้ เครือ่ ง
ปั่นเส้นฝา้ ย หรือชาวบ้านเรียกว่า กงป่นั เส้นฝา้ ย สูห่ ลอดด้ายหลอดเลก็ ๆ หลาย ๆ หลอด ทีท่ �ำ จากปลอ้ งไมเ้ ลก็ ๆ
หลอดฝ้ายใชใ้ สใ่ นสวย แล้วทอเป็นผนื ผา้ ลวดลายต่าง ๆ (ฝ้าย ๑ ไจ จะกรอหลอดไดป้ ระมาณ ๑๐-๑๑ หลอด)
ภาพ “กงปั่นเส้นฝา้ ย”
ภาพ หลอด หรือ ฝา้ ยมว้ นเล็ก ๆ
4 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๑๑) ฟนั หวี หรอื ฟมื (ภาษาไทลือ้ ) ผ้าฝ้ายทอมอื บางผืนน่มุ พริ้ว บางผืนแน่นหยาบ เกิดจากฟันหวี
หรือ ฟมื รวมไปถงึ นำ�้หนกั มือของคนทอแตล่ ะคนดว้ ย ดังนั้น ผา้ ฝ้ายทอมอื แต่ละผนื เนอื้ ผา้ จะมคี วามหนาบางไม่
สม�่ำ เสมอกนั
ภาพ ฟันหวี หรอื ฟมื (ภาษาไทล้อื )
๑๒) การต�่ำ หกู คอื การทอผ้าโดยใชอ้ ปุ กรณ์ “หกู ” หรอื “ก่ที อผา้ ” ทอผา้ ดว้ ยเส้นพุ่งผ่านเสน้ ยืน เปน็
ผืนผ้าทอตกแต่งดว้ ยเทคนิคตา่ ง ๆ จนเกิดเป็นผืนผา้ ทอท่ีสวยงาม
กี่ หรอื หกู เปน็ เครอ่ื งมอื ส�ำ หรับทอผ้า ท�ำ มาจากไม้ สามารถทอผ้าได้หลายชนิด เชน่ ผา้ ซ่นิ ผา้ คลุมไหล่
ผา้ ขาวม้า เปน็ ตน้ กี่ หรอื หกู มีหลายขนาดและหลายชนิด แตล่ ะชนิดมีวธิ กี ารทอที่แตกต่างกัน และใหล้ ายผ้าที่
แตกตา่ งกนั แตม่ หี ลกั การพนื้ ฐานอยา่ งเดยี วกนั คอื การขดั ประสานระหวา่ ง ดา้ ยเสน้ พงุ่ และ ดา้ ยเสน้ ยนื จนแนน่
เปน็ เนอื้ ผา้ คลา้ ยกบั การจกั สาน แตม่ คี วามละเอยี ดสงู กวา่ เนอื่ งจากเสน้ ดา้ ยมขี นาดทเ่ี ลก็ และละเอยี ดกวา่ กท่ี นี่ ยิ ม
ใชท้ อผา้ ไดแ้ ก่ กพ่ี ้ืนเมือง และกี่กระตุก
ภาพ กท่ี อผา้ พน้ื เมอื งนา่ น
วิทิ ยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 4
๒) เสน้ ไหม เกดิ จากการน�ำ ใยของรงั ดกั แด้ มาผา่ นกระบวนการท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ เสน้ ดา้ ย เพอื่ น�ำ ไปใชใ้ นการ
ทอผา้ เสน้ ไหมทใ่ี ชใ้ นการทอผา้ พนื้ เมอื งนา่ น นน้ั มที มี่ าจากแหลง่ ภายนอก เนอ่ื งดว้ ยไมพ่ บหลกั ฐานการท�ำ เสน้ ไหม
ในเมืองนา่ น ซ่งึ สามารถสนั นิษฐานทม่ี าของเสน้ ไหมท่ีน�ำ มาใชใ้ นการทอผ้าพ้ืนเมอื งนา่ น ดงั น้ี
๑. คาราวานพอ่ คา้ ววั จากเมอื งหลวงพระบาง ซงึ่ เปน็ เมอื งศนู ยก์ ลางของอาณาจกั รลา้ นชา้ ง น�ำ เขา้ มาคา้ ขาย
ในเมอื งนา่ น
๒. การคา้ ขายภายในอาณาจกั รลา้ นนา โดยมศี นู ยก์ ลางอยทู่ เ่ี มอื งเชยี งใหม่ จงึ ไดน้ �ำ เขา้ เสน้ ไหม และสนิ คา้
จากไหมเขา้ มาขายได้แก่ ผ้าไหมดบิ เสน้ ไหมดิบ ผ้าไหมปกั เสน้ ดา้ นไหม และแพร รวมถงึ ผ้าไหมจีน เปน็ ต้น
๓. เสน้ ไหมจากชาวไทลาวในพ้นื ท่อี ำ�เภอบ้านโคก อ�ำ เภอน้�ำ ปาด และอ�ำ เภอฟากท่า จงั หวัดอุตรดติ ถ์ ซ่ึง
เป็นกล่มุ คนท่อี พยพมาจากเมืองหลวงพระบาง มคี วามสามารถในการเล้ียงไหม และการทอผ้าไหมมัดหมอี่ ันเปน็
เอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทลาว ซ่งึ ต�ำ แหนง่ ทีต่ งั้ อำ�เภอนานอ้ ย และอ�ำ เภอนาหมืน่ จงั หวดั นา่ น มอี าณาเขตตดิ
กับอ�ำ เภอบ้านโคก จงั หวัดอุตรดติ ถ์ นอกจากนนั้ ยังใกล้เคยี งกับอำ�เภอน้�ำ ปาด อำ�เภอฟากทา่ จงั หวัดอุตรดติ ถ์อีก
ด้วย
๔. เสน้ ไหมทไ่ี ดม้ าจากชาวไทลาวบรเิ วณต�ำ บลน�ำ้ ปวั้ อ�ำ เภอเวยี งสา จงั หวดั นา่ น ซง่ึ เปน็ หมบู่ า้ นชาวไทลาว
ทอ่ี พยพมาจากหลวงพระบางเชน่ เดยี วกนั บรเิ วณนพ้ี บหลกั ฐานผา้ ทอพน้ื เมอื งนา่ น เชน่ ผา้ ซน่ิ ตนี จก ผา้ ซนิ่ มา่ น และ
ผา้ ซนิ่ ปอ้ งโบราณทม่ี กี ารใชเ้ สน้ ไหมในการทอลวดลายรว้ิ แนวขวาง และลวดลายกา่ นขอ้ จงึ สนั นษิ ฐานวา่ มกี ารผลติ
เส้นไหมเพอื่ ใช้ในการทอผ้าซิ่น โดยเรียกเสน้ ไหมน้วี า่ “ไหมลาว”
กระบวนการเริม่ ต้นต้ังแต่การเลือกวตั ถุดิบที่จะนำ�มาท�ำ เป็นผา้ ไดแ้ ก่ ฝ้าย วธิ ีการปลูก การเก็บเกีย่ ว
จนกระทงั่ สที ยี่ อ้ มคดั สรรคม์ าจากธรรมชาติ เชน่ เปลอื กประดู่ เปลอื กเพกา ใบหกู วาง เปน็ ตน้ รปู แบบของลวดลาย
ผา้ ทอเปน็ รปู แบบดงั้ เดมิ สเี ขม้ ตดั กบั โทนออ่ น กระบวนการผลติ สว่ นใหญผ่ หู้ ญงิ จะเปน็ ผทู้ อเพอ่ื น�ำ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำ
วัน หรอื ในครวั เรอื น เช่น เครื่องนุ่งหม่ ของผู้ชายในการท�ำ งาน ผ้าปทู ีน่ อน ผ้าห่ม ถงุ ยา่ ม ตงุ ฯลฯ และลวดลายท่ี
ประณตี ทมี่ กั พบในการสวมใสข่ องผใู้ หญใ่ นเทศกาลและพธิ กี รรม และเมอ่ื ผหู้ ญงิ ไดส้ วมใสไ่ ปในงานแลว้ จะรไู้ ดท้ นั ท่ี
ว่ามาจากชาติพันธ์ใุ ด เป็นสญั ลักษณ์บง่ บอกถงึ วิถีชีวติ เป็นอยา่ งดี
ผา้ ทอโบราณเมืองน่าน : การย้อมสี
การยอ้ มสธี รรมชาตทิ ป่ี รากฏในลา้ นนานนั้ ชาวไทยวน ไทลอ้ื และชาวลาว มวี ธิ กี ารยอ้ มสแี บบธรรมชาตมิ า
เปน็ เวลานานแล้ว แตใ่ นปัจจบุ ันนี้ชา่ งทอผ้าไมค่ อ่ ยนยิ มท�ำ สีธรรมชาตขิ นึ้ เอง เนือ่ งจากวิธกี ารนตี้ ้องผา่ นขบวนการ
ทย่ี งุ่ ยากและใชเ้ วลานานจงึ หนั มานยิ มใชส้ เี คมี ซง่ึ มสี สี นั สดใส และหลายหลายมากกวา่ เดมิ โดยเฉพาะชาวไทลอื้ สี
เคมที ถี่ กู น�ำ เขา้ มาจากประเทศตะวนั ตกในชว่ ง พทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ และเปน็ ทน่ี ยิ มอยา่ งแพรห่ ลายแมแ้ ตใ่ นชนบทท่ี
หา่ งไกล กอ่ นหนา้ ทจ่ี ะมกี ารใชส้ เี คมนี น้ั มกี ารใชส้ ยี อ้ มจากประเทศจนี โดยเฉพาะสชี มพสู ด และมว่ งสดมาเปน็ เวลา
นาน
สยี อ้ มธรรมชาตเิ พอื่ ใชใ้ นการทอผา้ แตล่ ะแหง่ จะแตกตา่ งกนั ไป และเทคนคิ วธิ กี ารยอ้ มกแ็ ตกตา่ งดว้ ยเชน่ กนั
ช่างทอผา้ แตล่ ะคนมวี ิธกี ารยอ้ มสีของตนเอง ซึง่ จะเก็บไวเ้ ปน็ ความลับในการทำ�สียอ้ มผ้าให้แกล่ กู สาว ในปัจจุบัน
ความลบั ในการท�ำ สยี อ้ มผา้ เหลา่ นไ้ี ดส้ ญู หายไปเปน็ สว่ นมาก คงเหลอื แตค่ วามรใู้ นการท�ำ สแี ตเ่ พยี งบางสเี ทา่ นนั้ เชน่
สคี ราม ซึง่ ในปจั จบุ นั ชาวลาว และชาวไทลอ้ื ยังนยิ มใช้อยู่
ฝ้าย คอื เสน้ ดา้ ย ที่ใชส้ ำ�หรบั การทอผ้าในแต่ละชนดิ นอกจากจะมสี ีธรรมชาติ คือ สขี าวและสตี นุ่ เทา่ น้ัน
5 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ยงั อาจย้อมใหเ้ ปน็ สตี ่าง ๆ ไดท้ ้งั โดยใชส้ วี ิทยาศาสตร์ท่มี ีขายท่วั ไป และสที ีไ่ ด้จากธรรมชาติ ซง่ึ ท่ไี ด้จากธรรมชาติ
ไดจ้ ากเปลือกไม้ ใบไม้ และเมลด็ พืช สชี นดิ นจี้ ะให้สที ่นี มุ่ นวล ไมฉ่ ูดฉาด ซง่ึ สีต่าง ๆ จะไดจ้ ากธรรมชาติ
การยอ้ มสธี รรมชาติ เน่ืองจากในอดตี ชาวไทยวนและชาวไทล้อื ไมม่ ีสารเคมี เครือ่ งแตง่ กายมนี ้อย ดงั นั้น
จึงเลอื กใชว้ ัสดทุ ี่หาได้ในท้องถิน่ มาประยกุ ตใ์ ช้ท�ำ ให้เกิดสตี ่าง ๆ ได้ดังนี้
ฝา้ ยย้อมด้วยใบมะม่วง การย้อมฝ้ายดว้ ยใบมะม่วง มีขนั้ ตอน ได้แก่ สับใบมะม่วงเปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ น�ำ ใบ
มะมว่ งตม้ ในนำ�เ้ ดอื ดประมาณ ๔ ชวั่ โมง เสรจ็ แลว้ ใหก้ รองเอาเศษใบมะมว่ งออกจากนำ�้ทตี่ ม้ แล้วเตมิ เกลอื และ
น�ำ ป้ นู ขาวลงไปในน�ำ ใ้ บมะมว่ งทตี่ ม้ สกุ แลว้ หลงั จากนนั้ น�ำ ฝา้ ยทซ่ี กั สะอาดแลว้ ลงยอ้ ม แชไ่ วป้ ระมาณ ๑ ชวั่ โมง น�ำ
ฝา้ ยออกตากใหแ้ หง้ แลว้ แชไ่ วใ้ นน�ำ ส้ ารน�ำ อ้ กี ประมาณ ๑ ชว่ั โมง เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หส้ ตี ก และน�ำ ไปซกั จนสะอาด น�ำ
มาตากใหแ้ หง้ อีกคร้งั และน�ำ ไปกรอเพือ่ ทอผ้าตอ่ ไป สที ่ไี ดจ้ ากการยอ้ ม คอื สเี หลือง
ฝา้ ยย้อมใบลูกท้อ การยอ้ มฝา้ ยด้วยใบลูกทอ้ มขี น้ั ตอน ไดแ้ ก่ นำ�ใบลกู ทอ้ มาต้มในนำ�้เดือดประมาณ ๒
ชว่ั โมง จากน้นั แยกใบลกู ทอ้ ออกจากนำ� ้ เทน�ำ ้ปูนขาวลงไป แลว้ คนใหเ้ ข้ากัน น�ำ ฝา้ ยทเ่ี ตรยี มไวส้ ำ�หรับยอ้ มใส่แช่
ในนำ�ป้ ระมาณ ๑-๒ ช่วั โมง กจ็ ะไดฝ้ ้ายเปน็ สีนำ�้ตาล อมชมพู
เปลือกต้นเพกา หรือที่ชาวบา้ นเรยี กว่า ลน้ิ ไม้ การย้อมฝ้ายดว้ ยตน้ เพกา มีขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ น�ำ เปลอื กต้น
เพกา มาแช่นำ้�ไวป้ ระมาณ ๒ คืน แลว้ นำ�มาต้มประมาณ ๒ ชว่ั โมง แยกเปลอื กออกจากนำ�้ น�ำ เสน้ ฝา้ ยลงย้อมแช่
ไวป้ ระมาณ ๑ ช่วั โมง จะได้ฝ้าย สเี ขยี วอมเหลอื ง
การย้อมฝ้ายดว้ ยครัง่ การย้อมฝ้ายดว้ ยครงั่ มีข้ันตอน ได้แก ่ ตม้ นำ�ค้ รั่งใหเ้ ดอื ด แชฝ่ ้ายทเ่ี ตรยี มไวล้ งไป
ในน�ำ ค้ รงั่ ประมาณ ๑ ชว่ั โมง จากนนั้ ยกขนึ้ ตากในทรี่ ม่ รอจนฝา้ ยแหง้ สนทิ ๑ คนื แลว้ น�ำ ฝา้ ยทแี่ หง้ แลว้ ซกั ดว้ ยน�ำ ้
สะอาด จนน�ำ ้ใส หลงั จากนั้นตากฝา้ ยในที่รม่ จนแหง้ แลว้ จึงนำ�ฝ้ายท่ไี ด้ไปกรอ แล้วทอเป็นลวดลายต่าง ๆ
การยอ้ มประดู่ การยอ้ มฝา้ ยด้วยประดู่ มีข้นั ตอน ได้แก ่ เตรยี มฝา้ ยแชน่ �ำ ไ้ วป้ ระมาณ ๑-๒ คนื และ
เตรียมเปลือกประดู่ โดยสบั ใหล้ ะเอียด นำ�ไปตม้ ในน้�ำ เดือด ๒ ชว่ั โมง หลังจากนั้นน�ำ เปลือกประด่อู อกแลว้ ใสน่ �ำ ้
ปูนใสและเกลอื ลงไป เพื่อใหน้ ำ�ส้ ีประดู่ท่ไี ด้ทำ�ปฏิกริ ิยากบั ฝา้ ยน�ำ กลับไปต้มอีก ๒๐ นาที น�ำ ฝ้ายที่เตรยี มไวแ้ ชใ่ น
น�ำ ป้ ระดปู่ ระมาณ ๒ ชวั่ โมง น�ำ ฝา้ ยออกมาตากจนแหง้ แลว้ จงึ น�ำ ฝา้ ยไปซกั ใหส้ ะอาด น�ำ ไปตากใหแ้ หง้ อกี ครง้ั จะ
ได้ฝ้ายพร้อมทอเป็นผืน
สีนำ�เ้ งนิ ได้จากการย้อมดว้ ยคราม, หอ้ ม
สีด�ำ /เทา ไดจ้ ากการย้อมจากโคลน, ผลมะเกลอื
สนี �ำ ต้ าล ได้จากการย้อมด้วยเปลอื กประด่,ู เปลือกยูคาลปิ ตัส, ใบแก่ตน้ สกั
สนี �ำ ้ตาลออ่ น ได้จากการยอ้ มดว้ ยเปลอื กมะพรา้ ว
สนี ำ�้ตาลอมชมพู ไดจ้ ากการยอ้ มดว้ ยใบลูกท้อ
สีแดง ได้จากการย้อมด้วยเมล็ดในผลแสด, เปลอื กประด่,ู ครัง่
สเี ขียว ไดจ้ ากการย้อมด้วยใบมะมว่ ง, ห้อม
สเี หลือง ได้จากการย้อมด้วยใบมะมว่ ง, หวั ขม้ิน, คำ�แสด
สีเขยี ว อมเหลอื ง ได้จากการยอ้ มดว้ ยเปลือกตน้ เพกา
สีม่วง ได้จากการย้อมดว้ ยเปลอื กต้นสมอ, ครัง่ (น�ำ แ้ รก)
สสี ้ม ได้จากการย้อมดว้ ยค�ำ แสด
วิิทยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | 5
สชี มพู ไดจ้ ากการย้อมด้วยคร่งั
สีโอรสอมชมพ ู ไดจ้ ากการย้อมด้วยแกน่ ไมฝ้ าง ทับ คำ�แสด
สขี าว ไดจ้ ากการยอ้ มด้วยสีของฝ้ายธรรมชาติ
ภาพ ผ้าฝ้ายทไี่ ดจ้ ากการย้อมคราม
ผ้าทอโบราณเมืองน่าน : เทคนคิ การทอผา้
ผา้ พน้ื เมอื งนา่ นในอดตี นยิ มทอดว้ ยเทคนคิ “เกบ็ มกุ ” ซงึ่ เปน็ เทคนคิ การท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยวธิ ี
การเพม่ิ ดา้ ยเสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไป โดยใชไ้ มค้ ดั ดา้ ยเสน้ ยนื หรอื ใชเ้ ขาทท่ี �ำ พเิ ศษ นอกจากเขาทท่ี อแบบธรรมดา เทคนคิ
นด้ี า้ ยเสน้ พงุ่ พเิ ศษจะสอดเขา้ ไปตลอดผนื ผา้ จากรมิ ดา้ นหนง่ึ สรู่ มิ อกี ดา้ นหนง่ึ ท�ำ ตดิ ตอ่ กนั ตลอดหนา้ กวา้ งของผา้ และ
ลวดลายทเี่ กดิ ขนึ้ เรยี กวา่ “ลายมกุ ” มกี ารสลบั สพี น้ื เปน็ ชว่ ง ๆ โดยมกั ใชด้ น้ิ เงนิ ดน้ิ ทอง หรอื เสน้ ไหมเงนิ เสน้ ไหมทอง
เปน็ วสั ดใุ นการทอโดยใชเ้ ปน็ ดา้ ยเสน้ พงุ่ และผา้ ชนิ้ เมอื งนา่ นทน่ี ยิ มทอดว้ ยเทคนคิ วธิ กี าร “จก” ซงึ่ เปน็ เทคนคิ การ
ทำ�ให้เกดิ ลวดลายบนผนื ผ้า ดว้ ยวิธกี ารเพมิ่ ด้วยเส้นพงุ่ พิเศษเขา้ ไปเปน็ ชว่ ง ๆ ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างผา้ โดย
ใช้ไมห้ รือขนเมน้ หรอื นวิ้ มอื ยกหรอื จกดา้ ยเสน้ ยืนขึน้ แล้วสอดใสด่ ้ายเส้นพงุ่ พิเศษเขา้ ไป เทคนคิ น้ีเม่ือดงึ เส้นด้าย
พเิ ศษทเ่ี พมิ่ เข้าไปออกก็จะไมท่ �ำ ให้เนอื้ ผ้าเสยี หาย
ลักษณะดงั กล่าวของผ้าทอเมอื งนา่ นทเี่ ด่นชดั นน้ั คอื เกดิ จากการทอดว้ ยเทคนิคต่าง ๆ หลายเทคนิค ดังนี้
๑) เกาะ หรอื ลว้ ง (Tapestry Weave)
เทคนคิ เกาะ คอื การทอผา้ ใหเ้ กดิ ลวดลายโดยใชเ้ สน้ พงุ่ ธรรมดาหลายสพี งุ่ ยอ้ นกลบั ไปมาเปน็ ชว่ ง ๆ ทอดว้ ย
เทคนคิ ขดั สานธรรมดา ท�ำ การเกาะเกี่ยวและผูกเป็นหว่ งรอบด้ายเสน้ ยนื เพอื่ ยดึ เส้นพุ่งแตล่ ะช่วงไว้ ใหแ้ น่น แต่ไม่
ไดเ้ อาเสน้ พงุ่ สอดจากรมิ ผา้ ดา้ นหนงึ่ ไปสรู่ มิ ผา้ อกี ดา้ นหนงึ่ ชาวไทลอื้ บางพนื้ ทน่ี ยิ มใชเ้ ทคนคิ เกาะในการทอลวดลาย
ผ้าซ่ินโดยเฉพาะในแถบลุ่มแม่นำ้�โขงตอนบนของประเทศลาว ไดแ้ ก่ แขวงหลวงนำ�้ ทา บ่อแก้ว อดุ มไชย และไชยะ
บุรี
5 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ซ่ึงจังหวดั นา่ น ก็จะมีการทอดว้ ยเทคนคิ น้ี รวมถงึ เชยี งราย และพะเยาด้วย ส่วนชาวไทลอ้ื เมืองเงินในอดีตเม่ือดู
ลักษณะผา้ เก่าประมาณ ๕๐ - ๘๐ ปี ไม่ค่อยนิยมใช้เทคนิคเกาะ แตใ่ นปจั จุบนั ไดท้ อผา้ ซิ่นด้วยเทคนิคน้ีอยา่ งแพร่
หลายในเมอื งเงนิ ตามการสงั่ ซอื้ จากแมค่ า้ ของจงั หวดั นา่ น เรยี กวา่ “ลายน�ำ ไ้ หล” สนั นษิ ฐานวา่ เรมิ่ ตน้ ในชว่ งแมค่ า้
ชาวไทลอ้ื จากจงั หวดั นา่ นเข้ามาส่ังซ้ือผา้ ซนิ่ เมอื งเงนิ สมัย ๑๕ - ๒๐ ปี ท่ีแลว้
๒) ขิด หรือ เก็บมกุ (Continuous Supplementary Weft)
ขดิ เปน็ เทคนคิ การท�ำ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยวธิ กี ารเพมิ่ เสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไป โดยพงุ่ ดา้ ยจากรมิ ผา้ ดา้ นหนงึ่ สู่
รมิ ผา้ อกี ด้านหนงึ่ ท�ำ ใหเ้ กิดลวดลายตลอดหนา้ กวา้ งของผนื ผ้า ในการท�ำ ลายขดิ จะใชไ้ มค้ �ำ ้ หรอื เขา ท�ำ ดว้ ยไมไ้ ผ่
เหลาโยงเขา้ กบดา้ ยเสน้ ยนื เมอื่ ตอ้ งการทอลายใดกด็ งึ เขาชดุ นนั้ มาเพอ่ื แยกเสน้ ยนื ทจ่ี ะท�ำ เปน็ ลวดลาย โดยใชไ้ มด้ าบ
สอดผา่ นเสน้ ยนื ไปตามทกี่ �ำ หนดไว้ แลว้ พลกิ ดาบใหเ้ สน้ ตง้ั ขนึ้ พอทจ่ี ะสอดกระสวยเขา้ ไปได้ เมอื่ กระสวยผา่ นหนา้ ผา้
ไปแลว้ ก็จะดงึ ไมด้ าบออก เขาลักษณะน้ี ชาวไทลื้อเมืองเงินเรียกวา่ “เขายัง” โดยเร่ิมตน้ จากแมค่ า้ ผา้ จงั หวดั นา่ น
จา้ งหญงิ ไทลอ้ื เมอื งเงนิ ทอผา้ เพอ่ื สง่ ไปขายในไทย การใชเ้ ขายงั สามารถเกบ็ ไวใ้ ชต้ อ่ ไดใ้ นการทอลวดลายเดยี วกนั จงึ
ไมต่ อ้ งท�ำ เขาชดุ ใหมแ่ ตล่ ะครงั้ กอ่ นหนา้ นน้ั ชาวไทลอื้ เมอื งเงนิ ใชเ้ ขาอกี แบบหนงึ่ ทเี่ รยี กวา่ “เขาปอ๊ ก” หมายถงึ เขา
ขนาดเล็ก เวลาทอจะใชเ้ ทา้ เหยยี บและดึงเชอื กยกตะกอขึน้ ตามลวดลายแลว้ ใชม้ ือสอดด้ายเสน้ พงุ่ พเิ ศษ ท�ำ ให้เกดิ
ลายรูปสเี่ หลี่ยมขนาดเล็กประกอบกนั จนกลายเปน็ ลวดลาย ชาวไทลื้อเมืองเงนิ เรียกเทคนิคนี้วา่ “มุกหมดั ” การ
ท�ำ “มุก” หรอื “เกบ็ มกุ ” ในภาษาไทลอื้ หมายถึง การทำ�ลายขดิ ท่ีเกดิ จากเส้นพงุ พเิ ศษ เรยี กลวดลายทีเ่ กิดจาก
เทคนคิ นว้ี า ่ “มุกเกบ็ ” หรอื “มุก” ส่วนคำ�วา่ “หมดั ” เป็นลายทีข่ นาดเล็กเปน็ จุด เปน็ เหมอื นตัวหมัด หรืออาจมี
ความเกยี่ วขอ้ งกบั ต�ำ นานเรอื่ ง “ธาตหุ มดั ค�ำ ” ทช่ี าวไทลอ้ื เมอื งเงนิ เลา่ สบื ตอ่ กนั มา เทคนคิ ขดิ หรอื มกุ เกบ็ ในการ
ตกแต่งผา้ หลายชนดิ เช่น ผ้าเช็ด ผา้ หลบ ผา้ หม่ ตงุ ฯลฯ
๓) จก (Discontinuous Supplementary Weft)
จก เปน็ เทคนคิ การท�ำ ลวดลายบนผนื ผา้ ดว้ ยวธิ กี ารเพมิ่ เสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไป จะใชน้ ว้ิ มอื ไม้ หรอื ขนเมน่ สอด
นบั ดา้ ยเสน้ ยนื แลว้ ยกขนึ้ จากนน้ั สอดใสเ่ สน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไปท�ำ ใหเ้ กดิ ลวดลายเฉพาะจดุ หรอื เปน็ ชว่ ง ๆ สามารถสลบั
สีลวดลายได้หลากสี ต่างจากลายขดิ ทเ่ี ป็นการใชด้ า้ ยเส้นพุ่งพเิ ศษสเี ดยี วพงุ ตลอดหนา้ กวา้ งของผืนผา้ ชาวไทลอ้ื
ในอดตี นยิ มจกดว้ ยเสน้ พงุ่ เปน็ ดา้ ยเสน้ ไหมตกแต่งบนผนื ผา้ ของซิ่น ผา้ ผา้ เชด็ ตงุ และผา้ หลบ แต่ปัจจุบนั มกั จะใช้
เสน้ ฝา้ ยโรงงาน หรอื เสน้ ดา้ ยไหมโทเรแทนเสน้ ไหม ในปจั จบุ นั นยิ มใชเ้ ขายงั เพอื่ ท�ำ ลวดลายจกเชน่ เดยี วกบั เทคนคิ ขดิ
เพราะสามารถเกบ็ เขาใชไ้ ดซ้ �ำ ก้ นั แตย่ งั ใชเ้ ทคนคิ “มกุ หมดั ” เพอื่ ทอลวดลายของซน่ิ ลายคอเสอื้ ของชาย ลายสาบ
เส้อื เมอื งของผ้หู ญิง ผา้ เชด็ และตงุ ซ่ึงเปน็ ลกั ษณะพิเศษและโดดเดน่
๔) มดั หมี่ หรือ มัดก่าน (Weft Ikat)
เทคนคิ การมดั ดา้ ยใหเ้ กดิ ลวดลายกอ่ นน�ำ ไปยอ้ มสี ภาษาไทลอื้ เรยี กวา่ “มดั กา่ น” โดยรวมมดั ดา้ ยเสน้ พงุ่
ในอดตี ประมาณ ๔๐ - ๕๐ ปี ทแี่ ลว้ นยิ มใชว้ ธิ มี ดั กา่ นในการท�ำ ลวดลายเปน็ จดุ ๆ ของซนิ่ ตาลอื้ และซนิ่ ตาโยน โดย
ยอ้ มด้ายเสน้ พุ่งดว้ ยหมอ้ หอ้ ม แตไ่ ม่ไดท้ �ำ มดั กา่ นเพอื่ เกดิ ลวดลายอยา่ งชดั เจน
๕) ยกดอก (Twill and Satin weave)
เทคนคิ การท�ำ ลวดลายทเี่ กดิ จากวธิ กี ารยกเขาแยกเสน้ ยนื ขน้ึ ลง แตไ่ มไ่ ดเ้ พม่ิ เสน้ พงุ่ พเิ ศษเขา้ ไปในผนื ผา้ เชน่
จก หรอื ขดิ การยกดอกในบางครง้ั จะมกี ารใชเ้ สน้ พงุ่ จ�ำ นวนสองเสน้ หรอื มากกวา่ นน้ั เขา้ ไป หรอื ใชเ้ สน้ ใยโลหะสเี งนิ
สที องเขา้ ไปอกี ดว้ ย นยิ มใชเ้ ทคนคิ ยกดอกในการทอผา้ หม่ โดยใชเ้ ขา ๔ เขา ใชเ้ สน้ ฝา้ ยสขี าวลว้ นหรอื สดี �ำ แดง ขาว
สลบั กนั ทำ�ใหเ้ กดิ เปน็ ลายตารางส่เี หล่ยี มขนาดใหญ่
วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 5
๖) ปน่ั ไก (Twisted yarn)
ปนั่ ไก คอื การปน่ั หรอื ตเี กลยี วเสน้ ดา้ ยสองสที ตี่ า่ งกนั เขา้ ดว้ ยกนั ท�ำ ใหเ้ กดิ สเี หลอื งเหมอื นตะไครน่ �ำ ้ ทช่ี าว
ไทลื้อ เรยี กว่า “ไค” (ออกเสียง “ไก”) เช่น สเี หลืองกับเขยี ว สแี ดงกบั สดี ำ� เปน็ ตน้ เทคนคิ นพี้ บในการตกแต่งลาย
ริว้ ของผ้าซน่ิ ไทล้ือแทบทกุ กลมุ่ ชาวไทลือ้ จะเรยี กเทคนิคน้วี า่ “ลัน่ หวั ไก” (ลน่ั นา่ จะมาจากเสียงลน่ั ในขณะท่ปี นั่
ฝา้ ย) หรอื “บิดหัวไก”
คนไทยทวั่ ไปเรยี กเทคนคิ เชน่ น้วี ่า “หางกระรอก” ผ้าหางกระรอกเป็นผา้ ไหมโดยใช้เสน้ ไหมสีพ้นื เปน็ เสน้
ยนื และใชเ้ สน้ ไหมเสน้ พงุ่ ทต่ี เี กลยี วควบกนสองเสน้ ระหวา่ งไหมสี กบั ไหมขาว เมอื่ น�ำ มาทอกบั เสน้ ยนื สพี นื้ จะท�ำ ให้
เกดิ ลายเหล่อื มกันเป็นสีเหลืองคล้ายหางกระรอก ผ้าหางกระรอกนจี้ ะนยิ มใชเ้ ปน็ ผ้านงุ่ ของผชู้ าย
๗) อน่ื ๆ
การเยบ็ ปกั เสน้ เงนิ เสน้ ทอง (Couching) เปน็ เทคนคิ การใชเ้ สน้ โลหะสเี งนิ สที องวางทาบลงบนผนื ผา้ ใหเ้ กดิ
ลวดลาย แลว้ เยบ็ ตรงึ เปน็ จดุ ๆ เทคนคิ นป้ี รากฏบนลายหนา้ หมอนทช่ี าวไทลอื้ ท�ำ หรอื ใชใ้ นโอกาสพเิ ศษการปกั เลอ่ื ม
(Sequins) เปน็ การเอาเลอ่ื มเงนิ ขนาดเลก็ เยบ็ ตดิ ตกแตง่ บนผา้ ใหเ้ กดิ ความแวววาว นยิ มตกแตง่ แบบนกี้ บั เสอ้ื ทสี่ วม
ใสใ่ นโอกาสพเิ ศษ และหน้าหมอนถัก (Macramé) เปน็ เทคนิคการเก็บชายครุยดา้ ยเสน้ ยนื โดยการมดั และถักให้
เปน็ ลวดลายต่าง ๆ ตกแต่งชายผา้ ให้สวยงาม นอกจากน้ี ยังปรากฏลวดลายทกี่ ลุ่มชาตพิ ันธ์อุ นื่ ๆ นิยม เช่น การ
ปกั เลอื่ ม การถัก โดยใช้กเี่ อวในการดำ�เนนิ การทอ เปน็ ตน้
วิถชี วี ติ ของหญิงไทลื้อบา้ นงอบ อำ�เภอท่งุ ชา้ ง จังหวดั น่านในอดตี ไมค่ ่อยต่างไปจากผหู้ ญงิ ในสงั คม นับ
ตั้งแต่แรกเกิดผา่ นวัยเดก็ สูว่ ัยรนุ่ และก่อนแตง่ งาน ผ้หู ญงิ จะไดร้ บั การเรียนร้แู ละฝกึ การทอผา้ จากรนุ่ สู่ร่นุ ภายใน
ครอบครวั การทอผา้ เดก็ หญงิ จะเรมิ่ หดั ทอ ถงุ ยา่ ม หรอื ผา้ เชด็ นอ้ ย จากเทคนคิ การขดั สานผา้ พน้ื ธรรมดาทเี่ รยี กวา่
“ผา้ ฮ�ำ ” ไปสเู่ ทคนคิ การทอยกดอกมกุ (ขดิ ) จก และเกาะ (ลว้ ง) ทยี่ ากขนึ้ โดยล�ำ ดบั ความหมายของลวดลายบนผนื
ผา้ ลวดลายบนผนื ผา้ เกดิ จากเทคนคิ การถกั ทอ การขดั สานของเสน้ ใยและสสี นั จากลวดลายพนื้ ฐานทไี่ มอ่ าจมคี วาม
หมายใด ๆ พฒั นาไปสลู่ วดลายทม่ี คี วามหมายในเชงิ สญั ลกั ษณ์ อนั สบื เนอื่ งมาจากธรรมชาติ จนิ ตนาการ ความเชอ่ื
อดุ มคติและความศรัทธา ลวดลายบนผืนผา้ จงึ มีสัญลักษณ์ทีม่ ีสะท้อนถงึ คตคิ วามเช่อื ของผู้หญงิ ผู้ต่อผา้ มาแตอ่ ดตี
การทอผา้ ของผหู้ ญงิ ไทลอ้ื บา้ นงอบมบี ทบาทส�ำ คญั ในพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ การสะสมสรา้ งบญุ ดว้ ยความ
ศรัทธาดว้ ยการทอผา้ ถวายให้พระสงฆเ์ พ่ือใช้ในโอกาสตา่ ง ๆ และถวายเปน็ พทุ ธบูชาเนือ่ งจากมลี วดลายท่ีปรากฏ
บน ผา้ ทอบางชนิด เชน่ ตุง ผา้ เช็ดหลวงยังมีสญั ลักษณ์เกา่ แกท่ ส่ี ืบทอดมาจากความเช่อื ด้ังเดมิ ในการนบั ถอื ผหี รือ
สงิ่ ศักดิส์ ทิ ธเ์ิ หนอื ธรรมชาตติ ่าง ๆ อกี ด้วย ชาวไทลื้อมปี ระเพณีการทำ�บญุ ถวายทานในแตล่ ะเดอื นทเี่ รยี กว่า “ฮีต
สบิ สอง” คลา้ ยคลงึ กบั ประเพณขี องชนชาตไิ ทกลมุ่ อน่ื ๆ สง่ิ ของในเครอ่ื งไทยทานทเี่ รยี กวา่ ครวั ทาน นน้ั มกั จะมผี นื
ผา้ เป็นส่วนประกอบเสมอ เชน่ ในชว่ งวนั สงกรานตม์ ีการทอตงุ ถวายวัด ในชว่ งกอ่ นออกพรรษามปี ระเพณที านผา้
ทนั ใจ หรอื จลุ กฐนิ เปน็ การรว่ มมอื รว่ มใจของผหู้ ญงิ ทง้ั หมบู่ า้ นทอผา้ จวี รใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายใน ๑ วนั ถอื วา่ ไดอ้ านสิ งส์
มาก
ส่วนเทคนคิ การทอผ้าของบา้ นซาวหลวง บา้ นนามน และบ้านปา่ ฝางสามัคคี ตำ�บลสวก อำ�เภอเมืองนา่ น
มีดงั น้ี
๑) เทคนคิ มัดก่าน เช่น ลายกา่ นขอ้ ในซิน่ มัดถา่ น
๒) เทคนคิ จก เช่น ลายตนี จก
๓) เทคนิคยกดอก เชน่ ลายลกู แก้ว ในผ้าห่มตาโกง้
๔) เทคนคิ ลว้ งหรือเกาะ เชน่ ลายน�ำ ไ้ หล ในซิ่นนำ�ไ้ หลไทลื้อ
5 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๕) เทคนิคขิดหรือเกบ็ มุก เช่น ลายซกิ แซกในซนิ่ มา่ น ลายบวั ลอย ในซน่ิ ปอ้ ง
๖) เทคนคิ Twist หรือปั่นไก เชน่ ลายเครอื บัน หรอื ลายไกในซ่นิ เชียงแสน
ลวดลายบนผนื ผ้าทที่ อทุกผนื ทีผ่ า่ นกระบวนการทอจากฝีมือชาวบ้าน เกดิ จากกระบวนการผลติ ดว้ ยวธิ ีท่ี
หลากหลายลวดลาย ในทกุ ๆ เทคนคิ ชา่ งทอผา้ อาจรวมไวใ้ นผ้าทอผืนเดยี ว เพอื่ แสดงถึงความหลากหลาย และ
แสดงความเชีย่ วชาญของชา่ งทอผ้าทไ่ี ดส้ รา้ งสรรค์อกี ด้วย
ลวดลายผา้ ทอเมอื งน่าน
ผา้ ซน่ิ เมอื งนา่ น เปน็ ผา้ ชนดิ หนงึ่ ทมี่ ชี อื่ เสยี งของจงั หวดั นา่ น เปน็ ผา้ ฝา้ ยยอ้ มสธี รรมชาตทิ สี่ บื ทอดวฒั นธรรม
การทอผา้ มาจากชาวไทยลอ้ื โบราณ ซง่ึ ปจั จบุ นั มชี าวไทยลอ้ื อาศยั อยเู่ กอื บทกุ อ�ำ เภอของจงั หวดั นา่ น ลกั ษณะเดน่ ของ
ผา้ ซนิ่ เมอื งนา่ นจะเนน้ ความส�ำ คญั ของการออกแบบลวดลายสว่ นกลางผนื ทเ่ี ลยี นแบบลายเรขาคณติ และธรรมชาติ
ลวดลายบนผนื ผา้ ทท่ี อทกุ ผนื ทผี่ า่ นกระบวนการทอจากฝมี อื ชาวบา้ น โดยผวู้ จิ ยั ไดส้ มั ภาษณก์ ลมุ่ ผผู้ ลติ และปราชญ์
ชาวบา้ น ในสว่ นทป่ี รากฏบนลวดลายบนผนื ผา้ นน้ั เกดิ ขนึ้ จากเทคนคิ การถกั ทอ การขดั สานของเสน้ ใยและสสี นั ซง่ึ
สามารถแบ่งลวดสายออกตามลกั ษณะได ้ ๒ ลักษณะ คอื ลวดลายเรขาคณิต และลวดลายทางธรรมชาติ
ลวดลายเรขาคณิต คอื ลวดลายพื้นฐานเกิดขึน้ จากเทคนคิ การถักทอ การขดั สาน ของเส้นใย และสสี ัน
มรี ปู รา่ งทเี่ ปน็ มมุ เหลย่ี มตา่ ง ๆ อนั ไดแ้ ก่ ลายรปู ทรงสามเหลย่ี ม สเี่ หลยี่ มเสน้ ตรงเสน้ ทแยงกากบาท ลายเรขาคณติ
เปน็ ลวดลายพ้ืนฐานท่จี ะมกี ารพฒั นาต่อไปเป็นลวดลายชนดิ อ่ืน ๆ ได้แก่
๑. ลายหนว่ ย คอื ลายรูปสเี่ หลย่ี มขนาดเลก็
๒. ลายกาบ คอื ลายรปู สามเหล่ียมขนาดเล็ก
๓. ลายขอ คือ ลายโคง้ งอในลกั ษณะขอ มีทง้ั “ลายขอเลก็ ” คอื ลายขอขนาดเล็ก และ
“ลายขอใหญ”่ คือ ลายขอขนาดใหญ่
๔. ลายเครือขอ คือ ลายขอที่ทอต่อเน่ืองกนั ไปเปน็ แถวยาว
๕. ลายซิกแซก คือ ลายเสน้ ทแยงตอ่ เน่อื ง หรอื เรียกวา่ ลายงลู อย
ลวดลายทางธรรมชาติ หรือลวดลายอ่นื ๆ คือ ลวดลายที่พฒั นามาจากลวดลายพ้นื ฐาน เกิดจากการนำ�
ลวดลายมาประกอบรวมเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งอสิ ระตามจนิ ตนาการจนไดเ้ ปน็ รปู ตา่ ง ๆ จากความรสู้ กึ นกึ คดิ เปน็ ลวดลาย
ท่ีมีความหมายในเชิงสญั ลกั ษณ ์ อนั สืบเนือ่ งมาจากธรรมชาติ จินตนาการ ความเช่ือ อุดมคติ และความศรัทธาใน
หลักคำ�สอนทางพระพุทธศาสนา อนั สั่งสมเป็นประสบการณ์ทช่ี า่ งทอผา้ ไดถ้ ่ายทอดออกมาเป็นลวดลายเพอ่ื ใชใ้ น
งานพิธกี รรมตา่ ง ๆ เช่น งานบญุ งานบวชลูกแก้ว และงานสู่ขวัญ เป็นตน้ โดยเฉพาะลวดลายในผ้าซิ่นเมืองน่าน
ไดแ้ ก่
๑. ลายดอกฝา้ ย-ใบฝา้ ย ความหมายของลายคอื ความบรสิ ุทธิ์
๒. ลายดอกแก้ว ความหมายของลาย คือ ดอกไม้มงคล
๓. ลายจนั แปดกลบี ความหมายของลาย คอื ดอกไม้มงคล
๔. ลายบวั ลอย ความหมายของลาย คอื ความสวา่ งทางปญั ญา เฟื่องฟู
๕. ลายบวั คว�ำ่ บัวหงาย ความหมายของลาย คอื สงิ่ เกา่ และส่ิงใหม่
วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติฯิ | 5
๖. ลายดอกพกิ ลุ ความหมายของลาย คอื ดอกไมม้ งคลที่มกี ล่นิ หอม
๗. ลายนกคู่-ไกค่ ู่ ความหมายของลาย คอื ความอุดมสมบูรณ์ การบูชา
๘. ลายเต่าทอง ความหมายของลาย คอื อายุยืน
๙. ลายดอกบานข้นึ ความหมายของลาย คือ ความสุข
๑๐. ลายตะแหลวบดิ ความหมายคือ เคร่ืองหมายส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ ป้องกนั สิง่ ร้าย
๑๑. ลายนำ�้ไหล ความหมายคือ สายน�ำ แ้ ละความราบรื่นจากอปุ สรรค
๑๒. ลายโซ่ทอง-โซเ่ งนิ ความหมายของลายคือ ของมคี า่
๑๓. ลายไหบอ่ สวก ความหมายคือ หม้อไหทถี่ ูกคน้ พบจากเตาเผาโบราณ
๑๔. ลายดอกเปา ความหมายของลาย คอื ความละเอียดอ่อน
๑๕. ลายลว้ งภเู ขา ความหมายของลาย คือ อปุ สรรค ความซบั ซอ้ น
๑๖. ลายดาวลอ้ มเดือน ความหมายของสาย คือ ทอ้ งฟ้าและดวงดาว
๑๗. ลายหย่อมตีนหมา (รอยเทา้ หมา) ความหมายของลาย คอื แทนความสตั ยซ์ อื่
๑๘. ลายขเ้ี ดอื น (ไสเ้ ดอื น) ความหมายของลายคอื ความอดุ มสมบูรณแ์ หง่ ดนิ
นอกจากนี้ ลวดลายผา้ หลบของชาวเมอื งนา่ น มลี วดลาย มากมายแตล่ ะลวดลายชา่ งทอกไ็ ดค้ วามหมายไว้
วา่ ดังนี้
๑. ลายช้างตา่ งปราสาท ความหมายของลายคือ ชยั ชนะ สตั ว์มงคล บา้ นเมอื ง
๒. ลายม้าตา่ งฉัตร ความหมายของลายคอื ความเจรญิ รุ่งเรือง สัตว์มงคล
๓. ลายพญานาค ความหมายของลายคอื แม่นำ�้ ความชมุ่ เยน็ อดุ มสมบรู ณ์
๔. ลายหงส ์ ความหมายของลายคือ สง่างาม สูงส่ง ผูห้ ญิงท่งี าม
๕. ลายนกยูง - นกงวง ความหมายของลายคือ สงา่ งาม
๖. ลายปราสาท ความหมายของลายคือ สวรรค์
๗. ลายนกคู่ ความหมายของลายคอื ความอดุ สมบรู ณ์ การบูชา
๘. ลายแมงมุม ความหมายของลายคือ ความขยนั
๙. ลายกำ�บี้ ก�ำ เน้อ ความหมายของลายคอื ความอดุ มสมบูรณ์
๑๐. ลายขอ ความหมายของลายคอื การเกบ็ เก่ียวสง่ิ มงคล โชคลาภ
๑๑. ลายสายย้อย ความหมายของลายคอื นำ�้
๑๒. ลายหมากเบง็ ความหมายของลายคอื เคร่ืองบูชาสงิ่ ศักดส์ิ ิทธิ์
๑๓. ลายหมากสุ่ม ความหมายของลายคอื เคร่ืองบชู า
5 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ประเภทผา้ ทอโบราณพนื้ เมืองน่านที่นิยมในปัจจุบัน
ประเภทผา้ ทอโบราณพนื้ เมอื งนา่ น ซง่ึ สามารถแบง่ ผา้ ทอเมอื งนา่ นตามลกั ษณะการใชส้ อยออกเปน็ ๓ กลมุ่
ประเภทดว้ ยกัน ประกอบด้วย
๑) ผา้ ทอทใ่ี ชเ้ ป็นเคร่ืองแต่งกาย ไดแ้ ก่ ผา้ ซ่ิน เชน่ ซ่นิ ม่าน ซน่ิ กา่ น ซ่ินเชียงแสน ซ่ินลายนำ�ไ้ หล ซ่นิ ไทล้ือ
ซิน่ ปอ้ ง ซิ่นค�ำ เคบิ เป็นต้น, ผ้าคลุมไหล่, ผา้ พนั คอ, ผ้าขาวมา้ , และเส้อื
๒) ผ้าทอทใ่ี ช้ในชวี ิตประจ�ำ วัน ได้แก่ ผา้ ปทู น่ี อน (ผา้ หลบ), ผ้าห่ม, ผา้ ฮ�ำ , ผา้ กงั้ , ผ้าสะหว้ายแลง่ , ผา้
สะว่านอก และถุงยา่ ม เป็นตน้
๓) ผ้าทอที่ใช้ในพิธกี รรมทางพทุ ธศาสนา ได้แก่ ตงุ , ผ้าห่อคมั ภรี ์ เปน็ ตน้
ผา้ ทอที่ใช้เปน็ เคร่ืองแตง่ กาย
เป็นผ้าทอท่ีมีลักษณะการทอลายขวางในผืนผ้า
ขนาดประมาณ ๓๖x๔๐ นิ้ว ส�ำ หรบั เป็นเครือ่ งนงุ่
ห่ม สำ�หรับสตรี มีความยาวระดบั เอวถึงขอ้ เทา้
มลี วดลายเฉพาะของกลมุ่ แตล่ ะทอ้ งถนิ่ และมเี ทคนคิ
การทอหลากหลายรปู แบบ
ผา้ ซนิ่ เมืองนา่ น
ผา้ ผนื อเนกประสงค์ เปน็ ผา้ ทอขนาดเลก็
ใช้งานตามความประสงคข์ องผ้เู ลอื กใช้
ผ้าคลุมไหล่, ผา้ พันคอ
วิทิ ยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 5
ผ้าขาวมา้ ลวดลายของผา้ ไดบ้ อกเลา่ ความเป็นมา
ของวถิ ีชีวิตคนเมืองน่านผ่านลวดลายทีม่ ีดว้ ยกนั ๒
แบบคอื ลวดลายด้ังเดิมมาจากชาวพนื้ เมอื งดงั้ เดมิ
ได้แก่ ผา้ พืน้ ผ้าขาวมา้
ผ้าตอ้ ย, ผ้าขาวม้า, ผา้ หวั
การแต่งกายสมยั กอ่ นของชาวเมืองนา่ นนน้ั ผหู้ ญงิ
จะสวมเสอ้ื ปัดมีสายหน้าเฉียงมาผูกตดิ กนั หรือใช้
กระดุมเงินขนาดใหญ่ เรียกว่า เส้อื ป๊ัด สว่ นผชู้ าย
มักใสช่ ดุ มอ่ ฮอ่ ม
เสื้อ
ผา้ ทอทีใ่ ชใ้ นชวี ิตประจำ�วนั
ผ้าหลบเป็นผา้ ทอผืนยาว ขนาด ๒๙x๗๐ นว้ิ
หรอื ขนาด ๓๗x๗๗ นิ้ว มีลวดลายเชิงดา้ นลา่ ง
และสที ่เี ปน็ เอกลักษณ์ใช้ส�ำ หรบั ปทู ่ีนอน
ผา้ ปูทน่ี อน (ผา้ หลบ)
5 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ผ้าทอขนาด ๓๘x๗๘ น้วิ นิยมทอให้มีลวดลาย
เปน็ ตาราง นยิ มใชส้ แี ดง ด�ำ ขาว นำ�ไปใช้สำ�หรับ
หม่ นอน หรอื อาจนำ�ไปใชต้ ัดเย็บเป็นเครอ่ื งใชต้ าม
ตอ้ งการ
ผ้าหม่
ถงุ ย่ามอัตลกั ษณ์น่านจากลวดลายต่าง ๆ
ที่แฝงด้วยวฒั นธรรมของแต่ละท้องถ่ิน
ออกมาเปน็ สสี นั ทีส่ วยงาม และขนาดท่พี อ
เหมาะ
ถุงย่าม
ผ้าทอที่ใช้ในพิธกี รรมทางพทุ ธศาสนา
ตงุ ผา้ มลี กั ษณะแถบยาวมหี ลายรปู แบบและหลายขนาด
ทอดว้ ยลวดลายทแ่ี ฝงดว้ ยความหมายของแตล่ ะลวดลาย
ใชใ้ นพธิ กี ารและพธิ กี รรมตา่ ง ๆ แสดงถงึ ศรทั ธาความเชอื่
เปน็ ภูมปิ ญั ญาพ้ืนบ้านที่ส่ือถึงวถิ พี ุทธลงบนผืนผา้
เปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ ชยั ชนะของพระพทุ ธศาสนาทมี่ ตี อ่ ความ
ช่วั รา้ ยทั้งปวง
ตงุ
วิทิ ยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 5
จะใชส้ ำ�หรบั การห่อคมั ภีร์ใบลาน ซ่ึงนอกจาก
จะเปน็ การปอ้ งกนั การช�ำ รดุ เสยี หายทจี่ ะเกดิ แก่
ตวั คมั ภรี แ์ ลว้ ผา้ หอ่ คมั ภรี ท์ ที่ อขนึ้ ยงั สะทอ้ นถงึ
วฒั นธรรมของกลมุ่ ชนทอ้ งถนิ่ และความเชอ่ื อกี
ดว้ ย
ผ้าหอ่ คัมภรี ์
ผ้าซ่นิ : อตั ลกั ษณ์แห่งผา้ ทอเมอื งนา่ น
ผา้ ซิน่ ของจงั หวัดนา่ น เป็นผา้ ซ่นิ ทีม่ ีชอื่ เสยี งด้านความงดงามและมีอตั ลักษณ์ แต่ละท้องถิน่ หรอื แต่ละ
กลมุ่ ทอผา้ มกี ารทอผ้าซนิ่ เปน็ หลัก แต่ละกลุ่มมีทกั ษะแตกตา่ งกันไป เช่น ดา้ นการยอ้ มสธี รรมชาติ การทอ
ลวดลาย และทักษะด้านภูมปิ ัญญาที่ถูกถ่ายทอดมาตง้ั แตบ่ รรพบุรษุ เปน็ สิง่ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมจากอดีต
ปจั จบุ ันการทอผา้ ยงั ใหค้ วามสำ�คัญในการทอผ้าซน่ิ ลักษณะเดมิ แต่จะมีจดุ เดน่ เร่อื งลวดลายท่ีแตกต่าง
กนั ไป มีการปรับปรงุ คุณภาพการทอ และมีการประยุกตล์ วดลายใหม่ ๆ มาผสมผสานให้สวยงามย่ิงข้ึน เน่อื งจาก
ความทนั สมัย หรอื กาลเวลาเปล่ียนจงึ ท�ำ ใหต้ อ้ งมกี ารเปล่ยี นแปลงใหเ้ ขา้ กบั สังคมปจั จุบนั จนกระทัง่ บทบาทของ
การทอ่ งเทย่ี วทำ�ใหช้ าวบ้านไดพ้ ัฒนา และยกระดบั ของการทอผา้ จากการใชใ้ นครวั เรือน กลายเปน็ การทอเพ่ือ
ธุรกจิ เรม่ิ ต้นจากการรวมกลมุ่ ของชุม่ ชนเล็กท่มี ีการทอผา้ เหมอื นกนั รวมกล่มุ ทอเพื่อใหไ้ ดผ้ า้ ท่มี ีจ�ำ นวนมากขนึ้
มีลวดลายหลากหลายใหน้ ักท่องเท่ยี วสามารถเลอื กสรรไดต้ ามความชอบ ใชว้ ิธีการและกระบวนการผลติ น�ำ มา
เปน็ แหลง่ ทอ่ งเทีย่ วศนู ย์การเรยี นรขู้ องชุมชน การเผยแพร่วธิ ีการผลติ จนทำ�ให้หลาย ๆ หนว่ ยงานให้ความสำ�คัญ
เกิดการพัฒนาปรบั ปรุงระบบการผลิตโดยใช้เทคโนโลยใี หม่ ๆ จากภายนอก การรบั รขู้ อ้ มูลขา่ วสาร การพฒั นา
และยกระดับความคิดค่านิยมตามวถิ ีชวี ติ
6 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ซ่นิ คือ ผ้าท่ีเย็บเป็นถุงส�ำ หรับสตรี มีลักษณะเปน็ ผ้าทีผ่ ่านการเยบ็ เป็นถงุ มขี นาดสนั้ ขนาดยาว และ
ความกวา้ ง ความแคบต่าง ๆ กนั ออกไป ซึ่งจะขึน้ อยูก่ ับรูปร่างของผูน้ ่งุ นอกจากน้ันยังขน้ึ อยกู่ บั โอกาส เวลา และ
สถานที่ ตลอดจนอาจจะเปล่ียนแปลงตามความนิยมในแต่ละยคุ สมยั ด้วย วิธีการนงุ่ ผ้าซ่ินของชาวนา่ น จะทบจาก
ซา้ ยไปขวา หรือจากขวาไปซ้ายกไ็ ด้ โดยเหนบ็ ชายพกไวต้ รงเอว ส่วนเชงิ หรือตีนผา้ ซ่ินจะเสมอกนั บางครั้งนิยมให้
ส่วนตนี ซน่ิ ทบมาดา้ นหนา้ ในลักษณะเฉยี งหยอ่ นลงเลก็ น้อย ท้ังน้ี ผ้าซ่นิ ของกลมุ่ ไทยวนและไทลอื้ มโี ครงสร้างที่
เปน็ สว่ นประกอบคลา้ ยคลงึ กนั แบง่ เป็น ๓ สว่ น ไดแ้ ก ่
– หวั ซ่ิน ส่วนทีอ่ ยตู่ ดิ กับเอว เปน็ ผา้ สีพน้ื ทอดว้ ย
เทคนิคสเี ดยี วหรอื ลวดลายธรรมดากว้างประมาณ ๑๕
เซนติเมตร มกั ใชผ้ า้ พืน้ สขี าว สแี ดง หรือสีด�ำ ต่อกบั ตัวซนิ่
เพอ่ื ใหซ้ นิ่ ยาวพอดกี บั ความสงู ของผนู้ งุ่ และชว่ ยใหใ้ ชไ้ ดค้ งทน
เพราะเป็นชายพกต้องขมวดเหนบ็ เอวบ่อย ๆ
– ตวั ซนิ่ สว่ นกลางของซนิ่ กวา้ งตามความกวา้ งของ
ฟืม ทำ�ให้ลายผา้ ขวางล�ำ ตวั มักทอเปน็ ริว้ ๆ มสี ตี ่าง ๆ กนั
คือ มีลวดลายริว้ ขวางล�ำ ตวั ของผู้นงุ่ เป็นผ้าซน่ิ ท่ีเยบ็ แบบ ๒
ตะเข็บ เพราะฉะน้ันลายร้วิ ของบนตัวซิน่ จึงเกิดจากเส้นด้าย
พงุ่ โดยใชไ้ ดห้ ลากสพี งุ่ สลบั กนั ขดั สานกบั ดา้ ยเสน้ ยนื ท�ำ ใหเ้ กดิ
ลวดลายร้วิ เช่น ร้วิ เหลืองพืน้ ดำ� หรอื ทอยกเปน็ ตาสีเหลีย่ ม
หรือทอเปน็ ลายเลก็ ๆ ลายขวาง
โครงสรา้ งของซ่ิน
– ตนี ซ่ิน ส่วนล่างสุด อาจเปน็ สีแดง สีด�ำ หรือทอลายจก เรยี กซิ่นตีนจก ตีนซนิ่ จะเรยี บไมม่ ลี วดลายอาจ
มีการตกแต่งในส่วนริมผ้าดา้ นล่างสุด ใชแ้ ถบริบบนิ้ จากเมอื งจีนมาเยบ็ ตดิ หรือใช้ผา้ ลายดอกมากุน้ เพ่ือความแขง็
แรงของรมิ ผ้าซิ่นในโอกาสพเิ ศษทที่ อดว้ ยเสน้ ไหม หรอื ไหมคำ�จะต่อเสน้ ดว้ ยผา้ พเิ ศษคอื ผา้ ก�ำ มะหย่หี รอื ผ้าแพร
จีน ซน่ิ ตีนจกของคหบดีหรอื เจ้านายมกั สอดดนิ้ เงินหรอื ด้ินทองใหส้ วยงามยง่ิ ขน้ึ
ซน่ิ โบราณเมอื งนา่ น เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมจากอดตี ทเี่ ปน็ ศลิ ปหตั ถกรรมพน้ื เมอื งทเ่ี ปยี่ มดว้ ยคณุ คา่ ทง้ั
ในรูปแบบทสี่ วยงาม วิธกี ารทอที่ละเอียด ประณีต มคี ุณค่า ซ่ึงสะทอ้ นความเปน็ มา ความสัมพันธแ์ ละวิถชี ีวิตของ
กลมุ่ ชนผผู้ ลติ และผใู้ ชผ้ า้ นนั้ ๆ ตามทอ้ งถนิ่ ของกลมุ่ ทอผา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป แตส่ งิ่ ทเี่ ปน็ ภมู ปิ ญั ญา คอื ทกั ษะการทอ
ทไี่ ดถ้ กู ถา่ ยทอดสบื มาจากรนุ่ สรู่ นุ่ เปน็ การแสดงถงึ วฒั นธรรมจากอดตี ทย่ี งั คงอยถู่ งึ ปจั จบุ นั และมกี ารพฒั นาตอ่ ยอด
จากดงั่ เดมิ ดว้ ยการประยกุ ตล์ วดลายใหม่ ๆ ผสมผสานลวดลายตามกระแสนยิ มและแนวโนม้ ของแฟชนั่ ในปจั จบุ นั
วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติฯิ | 6
ผา้ ซน่ิ เมอื งนา่ นจงึ แบง่ ออกเปน็ หลายชนดิ ตามโครงสรา้ งและลวดลายทป่ี รากฎบนผนื ผา้ ซงึ่ เปน็ อตั ลกั ษณ์
เฉพาะกลุ่ม มดี ังน้ี
๑) ซิ่นค�ำ เคบิ
ซิน่ ค�ำ เคบิ คอื สดุ ยอดของซ่นิ เมอื งนา่ นในอดตี เปน็ ผ้าซนิ่ ท่ีใช้กนั เฉพาะในราชส�ำ นักเจ้าผ้คู รองนครน่าน
เท่านั้น เป็นซน่ิ ทม่ี รี าคาสงู เป็นลายทีว่ ิจติ รงดงามกวา่ ลายอ่นื ๆ
ไมม่ โี ครงสรา้ งหลกั ของตวั ผา้ ซนิ่ เอง ใชโ้ ครงสรา้ งหลกั แบบซนิ่ ปอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่ แตกตา่ งดว้ ยการทอเทคนคิ
“การเกบ็ ขดิ ” ของชาวไทยวนจงั หวดั นา่ น กลา่ วคอื ใชด้ นิ้ ทองหรอื ดน้ิ เงนิ สลบั กนั ทง้ั ผนื หรอื ตอ่ ตนี จก บางผนื จะใช้
ลายดอกพิกลุ เล็กยกดอกสลบั สลบั กันไปท้ังผืน หรอื เก็บมกุ เป็นดอกลายต่าง ๆ คลา้ ยผา้ ยกดอกลำ�พูนแตเ่ มืองนา่ น
เรยี กวา่ ซนิ่ ยก จะทอด้วยดนิ้ เงินดิ้นทองเท่านน้ั เป็นของใชส้ วมใส่ของสตรีสงู ศักดิ์และผู้มฐี านะ บางผนื จะทอด้วย
เสน้ เงินจรงิ หรอื เสน้ ทองคำ�จริง ๆ เป็นซ่ินทมี่ รี าคาสงู เปน็ ท่นี ิยมของคนที่ชอบเก็บสะสมผา้
ภาพ ซ่ินค�ำ เคบิ
6 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๒) ซน่ิ ปอ้ ง
ซ่นิ ป้อง โครงสร้างท่ีโดดเดน่ ของซ่นิ ป้อง คอื การวางชอ่ งไฟแนวนอนมรี ะยะสม่�ำ เสมอกนั ตลอดทง้ั ผนื
อาจมกี ารทอลายขวางดว้ ยเทคนิคขิดสลับบ้าง (ซึ่งในเมืองนา่ น เรยี กว่าเทคนิคเกบ็ มุก ยกมุก หรอื เก็บดอก) วัสดุ
ท่ใี ช้ทอมที ้งั ฝ้าย ไหม และไหมเงนิ ไหมคำ� ลกั ษณะเดน่ คอื ทอเป็นริ้วเล็ก ทอสลบั กบั ลายมุกคั่นดว้ ยริว้ ไหมเงนิ หรือ
ไหมทองสสี ลบั น้นั เปน็ สเี ดยี วกนั ทั้งผนื เชน่ พ้นื แดง พน้ื เขยี ว พื้นสนี �้ำ ตาล สลบั ลายมกุ โดยรวมจะเหน็ ความเป็น
ระเบยี บของชอ่ งไฟทส่ี ม�ำ่ เสมอ ปจั จบุ นั นยิ มสวมใสใ่ นงานพธิ สี �ำ คญั ตา่ ง ๆ ซงึ่ อาจมกี ารประยกุ ตก์ ารตอ่ ตนี จก ท�ำ ให้
มคี วามสวยงามย่งิ ข้นึ
ภาพ ซิน่ ป้อง
โครงสร้างของซ่ินป้องอาจแบง่ ออกได้เปน็ ๔ แบบใหญ่ ได้แก่
๑. ซน่ิ ปอ้ งตาเหลม้ (ออกเสยี งวา่ ตา๋ -เลม่ ) หรอื ซน่ิ ปอ้ งตาโทน (ออกเสยี งวา่ ตา๋ -โดน) เปน็ ซนิ่ ทมี่ ลี ายขวาง
ขนาดเทา่ กนั สลบั สพี นื้ โดยเวน้ ชว่ งระยะเทา่ กนั ตลอดผนื ลายขวาง (หรอื ตา) ทเี่ ปน็ มาตรฐานจะประกอบดว้ ยลายรว้ิ
๕ แถว มีลายร้วิ ใหญ่หรือลายหลักอยู่ตรงกลาง และมีลายริ้วขนาดเล็กอีก ๔ แถว ประกอบ ๒ ขา้ ง ดรู วม ๆ แล้ว
กจ็ ะเป็นลายใหญแ่ ถวเดยี ว มลี ายแถวสุดทา้ ยก่อนถงึ ตนี ซิ่น ทีม่ กั จัดองค์ประกอบตา่ งจากลายอื่น ๆ (ค�ำ วา่ เหลม้
หรือ โทน บ่งบอกวา่ เปน็ ตาเดยี่ วหรอื แถวเดยี วไม่มลี ายอนื่ มาสลับอีก) ส่วนตีนซิน่ มีลกั ษณะเดน่ ทอตอ่ เนือ่ งเปน็
ผา้ พืน้ ๓ ชว่ ง เรยี กว่า ป้าน ตีน และ เลบ็ เหมือนกบั ซ่ินมา่ น
๒. ซ่ินป้องตาคีบ (ออกเสยี งว่า ต๋า-กบ้ี ) หรอื ซ่นิ ปอ้ งดาผา่ (ออกเสยี งวา่ ต๋า-ผ่า) เปน็ ซิ่นทมี่ ีลายแถบเล็ก
คนั่ สลบั กบั ลายขวางแถบใหญล่ ายขวางแถบเลก็ นเ้ี องทชี่ าวบา้ นผทู้ ออธบิ ายวา่ เหมอื นกบั “คบี ” หรอื ขนาบ ๒ ขา้ ง
ของลายแถบใหญห่ รือเหมือนกบั เป็นลายทีแ่ ทรก “ผ่า” กลางเขา้ มาระหว่างลายใหญอ่ ีกทีหน่ึง
วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติิฯ | 6
การทอสลบั ลายหรอื ตาเลก็ สลบั ดาใหญน่ จ้ี ะไดช้ ว่ งจงั หวะเทา่ ๆ กนั ตลอดทง้ั ผนื สว่ นตนี ซน่ิ นน้ั ประกอบดว้ ย ปา้ น
ตีน และ เล็บ เช่นเดยี วกับซนิ่ ป้องตาเหล้ม
๓. ซิ่นป้องเคบิ ไหมค�ำ ซนิ่ ชนดิ น้ีอาจเรยี กชอื่ ตามวัสดทุ ที่ อว่า ซน่ิ ไหมค�ำ ซน่ิ ไหมค�ำ เคบิ ซ่ินคำ�เคิบ หรอื
ซน่ิ เคบิ กไ็ ดเ้ ปน็ ซน่ิ ทมี่ กี ารจดั ระยะของลายขวางเทา่ ๆ กนั ตลอดผนื แบบเดยี วกบั ซนิ่ ปอ้ งตาเหลม้ เพยี งแตท่ อดว้ ย
เสน้ โลหะหรอื วสั ดทุ ใี่ หค้ วามแวววาว ทเี่ รยี กกนั วา่ “ไหมเงนิ ไหมค�ำ ” ค�ำ วา่ “เคบิ ” อาจมาจาก “เคลอื บ” ตามการ
ออกเสยี งของชาวไทลอ้ื ทง้ั นว้ี สั ดทุ ใี่ ชส้ ว่ นใหญเ่ ทา่ ทพ่ี บเปน็ ฝา้ ยปนั่ กบั กระดาษเคลอื บสี หรอื สที องทเี่ ปน็ เสน้ โลหะ
กะไหลเ่ งนิ หรอื กะไหลท่ องพบนอ้ ย เนอ่ื งจากเปน็ วสั ดนุ �ำ เขา้ มรี าคาแพง จงึ มกั พบในผา้ ซน่ิ ของเจา้ นาย หรอื ชนชนั้ สงู
ในเมอื ง สว่ นวสั ดกุ ระดาษเคลอื บเงนิ หรอื ทองนน้ั ไมค่ อ่ ยทนทานเมอ่ื ใชไ้ ปกจ็ ะหลดุ เหลอื เพยี งเสน้ ใยฝา้ ย แตย่ งั คงมี
เศษสเี งิน เหลอื อย่บู า้ งเปน็ หลักฐาน วสั ดสุ เี งินสีทองทใี่ ชใ้ นยคุ หลงั ใยสังเคราะหห์ รอื พลาสตกิ ซนิ่ ปอ้ งเคิบไหมค�ำ นี้
เทา่ ทพี่ บสว่ นใหญน่ น้ั พน้ื ผา้ นยิ มทอดว้ ยเสน้ ยนื เปน็ ฝา้ ยสดี �ำ เปน็ ไหมสมี ว่ ง ตรงสว่ นเชงิ ของลายขวางกอ่ นถงึ ตนี สนิ้
จะมลี ายเปน็ เสน้ ๆ แบบชายครยุ เรยี กวา่ “สายขอ้ ” (ในยคุ หลงั พบวา่ ผา้ พนื้ ทอดว้ ยฝา้ ย และในตวั ซนิ่ บางผนื มกี าร
ทอเกาะลว้ งลายน�้ำ ไหลสลบั ลายมุกด้วย)
๔. ซนิ่ ปอ้ งกา่ น คอื ซนิ่ ปอ้ งทม่ี ลี ายมดั กา่ น (มดั หมเี่ สน้ พงุ่ ) สลบั ลายมกุ ลกั ษณะเดน่ คอื ชว่ งใชล้ ายมดั กา่ น
สลบั แทน ลายมดั กา่ นนเ้ี ปน็ ลายเลขาคณติ มดั ลายเลยี นแบบลายมกุ เชน่ ลายขอ ลายกาบ สมี ว่ งเขม้ บานเยน็ เขยี ว
ภาพ ลวดลายซิน่ ปอ้ ง
6 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๓) ซนิ่ ลายน�ำ ้ไหล
ผา้ ทอลายน�ำ ไ้ หล ศลิ ปะการทอผา้ ดว้ ยมอื เปน็ การออกแบบลายผา้ ทอทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องชาวไทยลอื้ ซง่ึ
สืบเชือ้ สายมาจากชาวไทยลอ้ื ในดินแดนสิบสองปนั นา ประเทศจีน สาเหตุทเี่ รยี กชอื่ วา่ ผา้ ทอลายน�ำ ้ไหล เพราะ
ลวดลายบนพนื้ ผ้ามลี ักษณะเหมอื นสายน�ำ ไ้ หล จงึ เรียกว่า ผา้ ลายน�ำ ้ไหล ซ่ึงเปน็ จนิ ตนาการของภมู ปิ ัญญาทอ้ งถนิ่
ในยคุ แรก ๆ นิยมใช้ไหมเงนิ และไหมทองตรงลายผา้ ท่ีเป็นหยักเหมือนลายน�ำ ้ ซ่ึงทอด้วยเทคนคิ ทส่ี ืบทอดมาจาก
บรรพบุรุษ เรยี กวา่ “การเกาะล้วง” ใชฝ้ ้ายหลายสพี ุ่งสลบั กัน ลักษณะลายน้ำ�ไหล มีท้ังขนาดเล็ก ขนาดใหญแ่ ล้ว
แต่ความนยิ ม อาจสอดแทรกดน้ิ เงนิ หรอื ดิน้ ทองเพื่อความงดงามดว้ ยลกั ษณะเทคนิคการทอ คือ การเกบ็ ขิดสลับ
สใี ห้ความงดงามด้วยไหมใหง้ ามเหมือนสายน�ำ ท้ ีไ่ หล เชน่ น้�ำ ไหลใบข้าว นำ�้ไหลเมด็ แตง นำ�้ ไหลขบิ น�ำ ไ้ หลระเบดิ
นำ�้ไหลภูเขา ฯลฯ ซ่ินลายนำ�้ไหลแบบไทลื้อเป็นลวดลายทคี่ วรคา่ แก่การอนุรักษอ์ ยา่ งยิ่ง และปจั จบุ ันมีการพฒั นา
ลวดลายตา่ ง ๆ เพม่ิ ข้ึนอกี มาก แตย่ งั คงเรียกชอื่ เดมิ ว่าผา้ ลายนำ�ไ้ หลเช่นเดิม ถือเปน็ การขยายพน้ื ทีแ่ วดวงการทอ
ผา้ ใหก้ ว้างข้ึน
ภาพ ผ้าซน่ิ ลายน�ำ้ ไหล
วิทิ ยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติฯิ | 6
๔) ซน่ิ ม่าน
ซน่ิ มา่ น เอกลกั ษณข์ องซน่ิ มา่ น คอื ลกั ษณะความถแ่ี ละความหา่ ง ระยะของชอ่ งไฟแนวนอนไมเ่ ทา่ กนั ใหญ่
บา้ งเลก็ บา้ งสลบั กนั ไปมา แตง่ ดงามดว้ ยการจดั โครงสรา้ งสใี หส้ ลบั กนั อยา่ งกลมกลนื เปน็ ซน่ิ ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณด์ งั้ เดมิ
ของเมอื งนา่ น เปน็ ลายขวางเยบ็ ๒ ตะเขบ็ ทอดว้ ยฝา้ ยปนไหม และนยิ มทอลายมกุ (ขดิ ) ดว้ ยเสน้ ใยโลหะ (ไหมเงนิ
ไหมค�ำ ) สีทนี่ ยิ มของซนิ่ มา่ น คอื สีชมพแู ละสีน�ำ้ เงนิ หรือภาษาพ้ืนเมอื ง เรยี กว่า “การจ๊ัดออน จ๊ดั แล้”
โดยตวั ซนิ่ ทอตอ่ เนอ่ื งกบั ตนี ซน่ิ เยบ็ ตอ่ หวั ซน่ิ ดว้ ยผา้ พนื้ สแี ดง โครงสรา้ งของตวั ซน่ิ อาจแบง่ องคป์ ระกอบเปน็ ๕ ชว่ ง
จากบนถงึ ลา่ ง ได้แก่
๑) ตาหมู่ทอ้ ง เป็นแถบลายมกุ (ขดิ ) 1 แถว ลายมกุ นม้ี ักประกอบด้วยลายร้ิวขนาดเลก็ ๓ - ๕ แถว ท่ีดู
รวมกนั แล้วเป็นลักษณะแถบใหญ่ ที่เรยี กว่า “ตาหมู”่
๒) ทอ้ งซนิ่ เปน็ ผา้ พนื้ สเี ขม้ ขนาดกวา้ งกวา่ ชว่ งอน่ื ใชเ้ สน้ พงุ่ ฝา้ ย นยิ มสดี �ำ น�ำ ต้ าล หรอื คราม คนั่ ดว้ ยลาย
มุก (ขดิ ) ๑ แถว ทเ่ี รยี กวา่ “ตาหับบน”
๓) จ้ัดออน เป็นผา้ พืน้ สีออ่ นใช้เส้นพงุ่ ไหม นยิ มสีบานเยน็ เขยี ว หรอื ชมพู คัน่ ด้วยดาหมู่ลายมกุ (ขิด) อีก
๑ แถว ทเี่ รยี กว่า “ตาหับล่าง”
๔) จ้ัดแหล้ เป็นผา้ พน้ื สเี ขม้ ใชเ้ สน้ พงุ่ ไหม (แหล้= สเี ขม้ เชน่ สดี �ำ คราม) นิยมสีมว่ งเขม้ สคี รามหรอื สนี ำ�้
เงินเข้ม
๕) ตาหมู่ เป็นลายมุก (ขิด) กลุ่มใหญ่ ๓ แถว หรอื ๔ แถว นิยมทอดว้ ยเสน้ โลหะ (ไหมเงิน ไหมคํา) หรอื
ใช้ไหมสสี ด เชน่ สีมว่ ง เหลือง แดง
ลายท่ีนิยมคอื ลอยมกุ กน้ ถ้วยหรอื มกุ ดอกแก้ว ลกั ษณะตีนซิ่น ท่เี ป็นแบบมาตรฐานจะประกอบดว้ ยส่วน
ของผา้ พน้ื ๓ สี เรยี กวา่ ปา้ น ตนี เลบ็ คอื มี ๓ แถว ใชเ้ สน้ พงุ่ ฝา้ ยใหม้ สี ตี ดั กนั เชน่ แดง-ด�ำ -แดง หรอื มว่ ง-น�ำ ต้ าล
เข้ม-ม่วง เป็นต้น
ภาพ ซ่ินม่าน
6 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๕) ซ่ินก่าน
ซนิ่ ก่าน เป็นซน่ิ ของชาวไทล้อื เมอื งน่านทที่ อดว้ ยลวดลายมัดหมี่ ในภาษาถน่ิ เมืองนา่ นเรียกว่า “มัดก่าน”
หรือ “คาดกา่ น” (อีสานจะเรียกวธิ เี ชน่ นี้วา่ “มดั หม”ี่ )
ซนิ่ กา่ นนมี้ ที ง้ั ทท่ี อในลกั ษณะโครงสรา้ งของซน่ิ ปอ้ งและซน่ิ มา่ น ซงึ่ เดน่ ดว้ ยเทคนคิ ลายมดั กา่ นหรอื มดั หมเ่ี สน้
พุ่ง เป็นซิน่ ลายขวางเยบ็ ๒ ตะเขบ็ ความสวยงามของซ่นิ คาดกา่ นอยู่ทก่ี ารผกู ลวดลายตอนมัดย้อม ในอดตี ใชเ้ ชือก
กล้วยเปน็ เชือกมดั เส้นด้ายกอ่ นนำ�ไปยอ้ ม นยิ มใช้เทคนคิ การย้อมเย็นเพือ่ ใหล้ วดลายไม่ผิดเพ้ยี น พบในวัฒนธรรม
ผา้ ทอไทลื้อ แถบอำ�เภอทา่ วังผา อำ�เภอเชียงกลาง และอ�ำ เภอปวั มที ง้ั มัดกา่ นฝา้ ยและมดั ก่านไหม สที ่ีนยิ มคือ สี
มว่ ง คราม บานเยน็ เชยี ว ลายมดั กา่ นเปน็ ลายเรขาคณติ เลยี นแบบลายมกุ เชน่ ลายดอกจนั ดอกแกว้ ลายกาบ ลาย
ขอ ซิน่ มดั ก่านฝ้ายลว้ นพบในแถบอำ�เภอทา่ วงั ผา ส่วนซน่ิ มัดก่านไหมท่ีเส้นยนื เป็นฝา้ ยหรือเสน้ ยนื เป็นไหมกไ็ ด้นั้น
พบในแถบอ�ำ เภอปัว และอ�ำ เภอเชียงกลาง
ภาพ ซนิ่ กา่ น
วิิทยาลััยสงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติิฯ | 6
โครงสรา้ งของซนิ่ ก่าน อาจแบง่ ย่อยได้ ๓ ประเภท ดงั ตอ่ ไปนี้
๑) ซน่ิ กา่ นปอ้ ง คอื ซิ่นกา่ นท่เี ปน็ โครงสร้างของซิน่ ป้องตาเหล้ม มีลายขวางมดั กา่ น สลับลายมุกเท่า ๆ
กนั ตลอดตัวซ่ิน ตนี ซ่นิ เป็นสีพน้ื ทอต่อเน่ืองตามแบบมาตรฐานซนิ่ ป้อง คือ มีปา้ น ตีน เล็บ หรอื อาจเป็นตนี ซ่ินสี
เดยี วกไ็ ด้ ซน่ิ กา่ นปอ้ งบางผนื มลี กั ษณะพเิ ศษ คอื ไมม่ ลี ายมกุ สลบั ใชผ้ า้ สพี น้ื สลบั ลายมดั กา่ นหรอื ใชล้ ายมดั กา่ นลว้ น
แตส่ ลบั สี เชน่ สลับสมี ่วง กับบานเยน็ ทำ�ให้เห็นเป็นลายขวางในโครงสร้างแบบซิ่นป้องอยู่
๒) ซ่ินกา่ นมา่ น คือ ซิ่นก่านท่เี ป็นโครงสรา้ งของซน่ิ มา่ น การจัดลายขวางมัดกา่ น สลบั สีพน้ื กบั ลายมกุ
ชืน่ บางฟมื มที ง้ั ลายมุกสลบั ลายมดั กา่ นและสีพ้ืน แตบ่ างผืนเปน็ ลายมัดกานสลบั สีพ้นื เท่านน้ั ซง่ึ แตล่ ะผืนแมจ้ ะมี
รายละเอยี ดของการทอทแ่ี ตกตา่ งกนั แตย่ งั คงเหน็ โครงสรา้ งของความเปน็ ซนิ่ มา่ นชดั เจนโดยดไู ดจ้ ากการจดั สแี ละ
กลุม่ ลายขวาง
๓) ซน่ิ กา่ นลว้ น คอื ซน่ิ ทเ่ี ปน็ ลายมดั กา่ นทงั้ ผนื โดยไมไ่ ดจ้ ดั โครงสรา้ งเปน็ ลายขวาง ตามแบบซน่ิ ปอ้ งหรอื
ซนิ่ ม่านแตอ่ ย่างใด เปน็ มดั กา่ นไหม นยิ มสมี ว่ ง ซ่ินประเภทนีพ้ บในกล่มุ ไทลอ้ื แถบอ�ำ เภอปวั แตพ่ บไม่มากนัก
ภาพ ซนิ่ มดั กา่ นเมืองปัว
6 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๖) ซ่ินตนี จก
ซน่ิ ตนี จก เปน็ ผา้ ทใี่ ชใ้ นโอกาสพเิ ศษของชาวไทย
วน มีโครงสรา้ งหลักเหมอื นกบั ผา้ ซิ่นเมอื งนา่ นชนดิ อ่นื ๆ
หากแต่ส่วนตีนซ่ินจะมีลักษณะท่ีพิเศษด้วยลวดลายท่ี
ละเอียดสวยงามซ่ึงเกิดจากเทคนิคการตกแต่งลวดลาย
ด้วยวธิ ีการ “จก” ซ่ึงเป็นเทคนิคที่เหมาะสมกับลวดลาย
ท่ีมคี วามละเอยี ดซับซอ้ นมาก
โครงสร้างของผา้ ซนิ่ ชนดิ นี้ประกอบด้วย ๓ สว่ น ภาพ ซิ่นตนี จกโบราณ
คือ หัวซิ่น ตวั ซนิ่ และตีนซิ่นเยบ็ ต่อกนั หวั ซ่นิ เปน็ ผ้าพ้ืน
สีแดง ๑ ช้นิ หรือมี ๒ ช้ิน สีแดงและสขี าว ตัวซน่ิ เปน็ ซิน่
ลายขวางเยบ็ ๒ ตะเข็บ หรือ ๓ ตะเขบ็ สว่ นตีนซ่นิ เปน็
ผา้ ลายจกเยบ็ ตะเขบ็ เดยี ว ผา้ พน้ื ตรงสว่ นตนี จกมสี องแบบ
คอื ๑) เปน็ สีแดงล้วน ๒) เปน็ สดี ำ�และสีแดงอย่างละคร่งึ
โดยจกลวดลายเฉพาะสว่ นสดี �ำ ลวดลายจกมลี กั ษณะเปน็
แบบมาตรฐานของไทยวน คอื ประกอบดว้ ยลายหลกั เปน็
ลายขนาดใหญ่ ๑ แถว เป็นรูปสี่เหลยี่ มขนมเปียกปนู
เรียกว่า “ลายโดม” และมีลายประกอบ ๒ - ๓ แถว ลายที่นิยมคือ ลายขอ อาจมลี ายแบบชายครุยเปน็ ส่วนล่าง
สุดหรือไม่มีก็ได้ ซ่งึ ตนี จกทพี่ บในเมอื งน่าน คอ่ นขา้ งมลี ักษณะหลากหลายรปู แบบ มที ง้ั ที่ทอดว้ ยฝ้าย ฝ้ายปนไหม
และนยิ มทอดว้ ยเสน้ ใยโลหะ (ไหมเงนิ ไหมคำ�) หลกั ฐานผา้ ซ่นิ ตนี จกโบราณในจังหวัดน่าน พบในทกุ เขตกระจาย
อยู่ทว่ั ไป เราอาจจ�ำ แนกลกั ษณะเด่นของผา่ ซิ่นตนี จก จากหลกั ฐานทีพ่ บในจังหวัดนา่ นออกไดเ้ ปน็ ๓ กลุ่ม ดังน้ี
๑) กล่มุ ซิน่ ตีนจกแบบเชยี งแสนโบราณ ผา้ ซ่นิ กลุ่มน้ีมีอายรุ าว ๑๕๐ ปี ข้นึ ไป เปน็ รูปแบบดั้งเดิมที่ทอ
ดว้ ยไหมล้วน นยิ มวรรณะสแี ดง เย็บ ๓ ตะเขบ็ (เรียกว่าซ่นิ ๓ ดูก) ผา้ ซิ่นผืนนเ่ี ป็นเอกลกั ษณด์ ง้ั เดมิ ของเมอื งนา่ น
ทอดว้ ยเทคนิค เกาะล้วง ชิด และมดั หมี่ ทอด้วยฟืมหนา้ แคบ (กวา้ งประมาณ ๔๕ เซนติเมตร) ประกอบดว้ ยแถว
ลาย เกาะ ๖ แถว เป็นลายเรขาคณติ โดยใช้ไหมสแี ดงเขม้ เปน็ เสน้ ยนื เส้นพุ่งใช้ไหมสีเขียวเขม้ สีเขยี วอ่อน สีแดง
เขม็ และสฟี า้ ทงั้ นสี้ แี ดงเขม้ ของเสน้ ยนื ชว่ ยลดความสดของสเี หลา่ นลี้ ง ท�ำ ใหส้ โี ดยรวมของผา้ นดี้ เู ยน็ ตา โดยมลี าย
ชนั้ บนั ไดคน้ั ระหวา่ งสตี า่ งๆ ใชเ้ สน้ ไหมสขี าวสลบั ชอ่ งกบั เสน้ ไหมสเี งนิ ท�ำ ใหแ้ ตล่ ะชอ่ งสตี ดั กนั ชดั เจนฝมี อื ประณตี
มาก มีลายชิดและลายมดั หมี่เปน็ แถวคั่น ๗ แถว ส่วนตีนจกเป็นมาตรฐานเชยี งแสน ผืนผา้ สแี ดง ลว้ นทอดว้ ยไหม
ปนฝา้ ย ท�ำ ใหม้ นี �ำ ห้ นกั เวลานงั่ มี “เลบ็ เหลอื ง” ลา่ งสดุ ลวดลายจกทอดว้ ยไหมและฝา้ ยลายโปรง่ เหน็ ผา้ พนื้ ชดั เจน
ลายจกหลักคือลายโดมใช้โหมสเี หลือง ท�ำ ให้ลายเดน่ ชดั ดัดกบั ลายหงส์ดำ�ในโดม สว่ นลายประกอบ บน - ลา่ ง
มี ๓ แถว เป็นลายขอ และลายพุ่มดอกไมส้ ลับลายนกคู่ ไมม่ ีลายเส้นอ่ืนทเ่ี รียกวา่ “หางสะเปา” หัวซิ่นเยบ็ ต่อ
ด้วยผ้าไหมสีแดงเข็มเนอ้ื ละเอยี ด ถักตกแต่งริมผ้าดว้ ยไหมสีเหลือง ผา้ ซิ่นผืนนมี้ คี วามหายากมาก และงดงามเปน็
พเิ ศษดว้ ยวธิ ีการทอและการใช้สีสัน ดว้ ยจดุ มุ่งหมายเพอื่ ใชเ้ ปน็ ผา้ ศักดส์ิ ทิ ธใิ์ นพิธีกรรมระลกึ ถงึ บรรพบุรุษ ว่ากัน
วา่ ซนิ่ ชนิดนี้ไม่ปรากฏรอ่ งรองการใช้ แต่ทีเ่ กา่ กเ็ พราะการเก็บรักษาเปน็ ซนิ่ ทต่ี กทอด ไว้ข้นึ ห้ิงบชู า ใน ๑ ปี เม่ือมี
พิธีกรรมจงึ น�ำ ออกมาใชน้ ี้ จึงเปน็ อกี สาเหตทุ ่ีพบน้อยผืนเพราะไม่ค่อยมีคนทอเพม่ิ และมิได้นำ�มาใชน้ ุ่งในชวี ติ จรงิ
แหลง่ ทพี่ บอาจแยกเปน็ ๓ แหลง่ ใหญ่ ไดแ้ ก่ ๑) ในอ�ำ เภอเมอื ง ซงึ่ มกั เปน็ สมบตั ขิ องเจา้ นายหรอื คหบดี ๒) อ�ำ เภอ
ทา่ วงั ผา อ�ำ เภอปัว และอำ�เภอเชยี งกลาง ๓) อ�ำ เภอเวยี งสา อำ�เภอนาน้อย และอ�ำ เภอนาหมนื่
วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติฯิ | 6
๒ กล่มุ ผา้ ซนิ่ แบบมาตรฐานเมืองนา่ น ซิน่ ในกลุ่มนม้ี ีอายุ ๖๐ - ๑๐๐ ปี ทเ่ี ป็นที่นยิ มมากคือ ตัวซนิ่ ทอ
ด้วยเทคนคิ ยกมุก (ชิด) เยบ็ ๒ ตะเขบ็ แบบเดียวกบั ซนิ่ ป้อง นยิ มทอดว้ ยเส้นใยโลหะ จงึ เรียกกนั ว่า ซิ่นไหมคำ� ซิ่น
ไหมค�ำ เคบิ หรอื ซนิ่ เคบิ ลกั ษณะตนี จก นยิ มจกดว้ ยเสน้ ใยแวววาวเชน่ เดยี วกบั ตวั ซน่ิ จกบนพน้ื สดี �ำ สว่ นลา่ งสดุ เปน็
ผา้ พน้ื สีแดง
๓) กลมุ่ ผ้าซน่ิ แบบรว่ มสมัย ตั้งแตช่ ่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ เปน็ ตน้ มา มกี ารสง่ เสริมการทอผา้ ลายนำ�ไ้ หล
ที่สบื ทอดมาจากลวดลายเกาะลว้ งของผา้ ซิ่นโบราณ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของผา้ ซ่ินเมืองนา่ น ตอ่ มาในปี พ.ศ.
๒๕๒๙ ท�ำ ใหห้ ลงั จากนนั้ ผา้ ซน่ิ ตนี จกเมอื งนา่ นไดร้ บั การฟน้ื ฟขู นึ้ มาใหม่ และมกี ารทอสบื เนอื่ งมาจนถงึ ปจั จบุ นั ซน่ิ
แบบรว่ มสมัยของเมอื งนา่ นจงึ มหี ลากหลายแบบ มีท้ังการทอตวั ซิ่นดว้ ยเทคนิคมกุ (ขิด) เกาะลว้ ง จก มัดก่าน และ
ทอตนี จกตามแบบซ่นิ เชยี งแสนโบราณ แบบมาตรฐานเมืองน่าน
ภาพ ซนิ่ ตนี จก
7 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๗) ซน่ิ เชียงแสน
ซิน่ เชยี งแสน เปน็ ซิ่นพื้นบา้ นท่ีใช้นงุ่ ในชีวิตประจำ�
วนั ของชาวเมอื งนา่ น ซิน่ ชนิดนแ้ี สดงถงึ แหล่งก�ำ เนิดว่าเปน็
เอกลกั ษณด์ ง่ั เดมิ ของชาวเชยี งแสนในอดตี ลกั ษณะเปน็ ผา้ ซนิ่
ฝา้ ยลายขวางเยบ็ ๒ ตะเขบ็ สพี น้ื หลกั คอื สแี ดงเขม้ หรอื สคี ราม
ลายขวางเป็นสดี ำ� คราม หรือขาว ทอด้วยเทคนิคธรรมดา
การจัดโครงสร้างมีลักษณะลายขวางบนตัวซิ่นเป็น ภาพ ลวดลายซนิ่ เชยี งแสน
ระยะทแี่ นน่ อน ประกอบดว้ ยแถบลายใหญ่ ๑ แถว สลบั กับ
แถบลายเลก็ ๓ แถว ตลอดตวั ซนิ่ ในแถบลายใหญ่น้ันมีลาย
รว้ิ เล็ก ๆ ๕ แถว เปน็ สว่ นประกอบ ซง่ึ ลายรวิ้ เลก็ ๆ นี้ นยิ ม
ใชด้ า้ ยควบเสน้ สขี าวกบั สคี ราม ทเี่ รยี กวา่ “ปนั่ ไก” หรอื ใชด้ า้ ย
มดั กา่ น ทเี่ รยี กวา่ “กา่ นขอ้ ” คอื มดั เปน็ ขอ้ ๆ ท�ำ ใหล้ ายรว้ิ นมี้ ี
สขี าวประเปน็ จดุ ๆ ชว่ ยเนน้ ใหแ้ ถบลายขวาง เดน่ ชดั ขนึ้ ดดั กบั
สพี น้ื หลกั มกี ารตกแตง่ แถบลายใหญแ่ ถวสดุ ทา้ ยกอ่ นถงึ ตนี ซน่ิ
ดว้ ยเทคนคิ ปนั่ ไก หรอื กา่ นขอ้ เปน็ พเิ ศษ ลา่ งสดุ เปน็ ตนี ซน่ิ ทอ
ตอ่ เนอื่ งนิยมสีด�ำ และแดง ส่วนหัวซนิ่ เยบ็ ต่อด้วยผ้าพืน้ สีแดง
ลกั ษณะการมดั กา่ นเปน็ จดุ สขี าวเลก็ ๆ บนลายขวางของตวั ซน่ิ เชยี งแสนของจงั หวดั นา่ นนคี้ ลา้ ยคลงึ กนั มาก
กบั “ซิน่ ลบั แลง” ซง่ึ เป็นซน่ิ พ้นื บา้ นของชาวไทยวน อ�ำ เภอลบั แล จงั หวดั อุตรดิตถ์ เป็นซิ่นฝา้ ยสแี ดงเข้มเหมอื น
กัน ตา่ งกันตรงที่ “ซ่นิ ลับแลง” เป็นซนิ่ เย็บตะเข็บเดยี ว ลายมัดกา่ นทเ่ี ปน็ จุดประสขี าว จึงเป็นการมดั เส้นยืน สว่ น
“ซนิ่ เชียงแสน” ของน่านเปน็ ลายมัดก่านเส้นพ่งุ เพราะเปน็ ซน่ิ เย็บ ๒ ตะเข็บ
ภาพ ซนิ่ เชยี งแสน
วิิทยาลััยสงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกียี รติฯิ | 7
๘) ซนิ่ แบบเมอื งเงนิ
ซน่ิ ทีพ่ บในกลุม่ วฒั นธรรมไทลอื้ แบบเมอื งเงิน ปจั จบุ ันอยู่ในเขตแขวงไชยบรุ ี ประเทศลาว (ซง่ึ เดมิ เขตการ
ปกครองเมอื งนา่ น) ชาวไทลอ้ื เมอื งเงนิ กลมุ่ หนง่ึ อาศยั อยใู่ นเขตอ�ำ เภอทงุ่ ชา้ ง และอ�ำ เภอเฉลมิ พระเกยี รติ มวี ฒั นธรรม
การทอผา้ ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะกลมุ่
การจดั โครงสรา้ ง มลี กั ษณะเปน็ ผา้ ชนิ้ ลายขวางมกี ารเยบ็ ตะเขบ็ ๒ ตะเขบ็ ทอดว้ ยฝา้ ยและไหม นยิ มสอด
เสน้ โลหะแวววาว ตกแตง่ บนตัวผา้ ด้วยลายมุก (ขดิ ) และลายจก ตัวผ้าซ่ินและตนี ผา้ ซนิ่ ทอต่อเนอ่ื งกัน โดยมี ๒ สี
คือ สดี ำ� และสีแดง เรยี กว่า “ตีนดำ�” และ “เลบ็ แดง” ตวั ผ้าขึน้ เปน็ ลายริ้วขนาดกวา้ ง ส่วนบนสดุ เปน็ พืน้ สดี ำ� ถดั
ลงมาเปน็ ลายรวิ้ สลบั สแี ดง กบั สดี �ำ บางผนื มลี ายมกุ (ขดิ ) สเี หลอื งขนาดเลก็ สลบั ขนั้ ตรงกลางตวั ซนิ่ ผา้ ขนึ้ เปน็ ลาย
จกด้วยเสน้ ฝา้ ยหรอื เสน้ ไหมสีเหลอื ง สำ�หรบั สาวโสดมกั ใช้นุง่ ในโอกาสพิเศษ มักจะมลี ายจกกลางตวั ผ้าชิน้ ดว้ ยสี
เหลอื งขนาดใหญ่ และมลี ายจกตกแตง่ สว่ นขอบลา่ งสุดของตนี ผา้ ซิน่ ส่วนผสู้ ูงอายุ หรือ “ผ้าซน่ิ แมเ่ รอื น” ลายจก
จะมขี นาดเลก็ ลงและมลี วดลายตกแต่งน้อยกว่าผา้ ซิน่ หญิงสาวโสด
ภาพ ซ่ินแบบเมอื งเงนิ
7 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
๙) ซ่ินไทลือ้
เปน็ ลวดลายผา้ ของชาวไทลอื้ ทอ่ี พยพมาจากสบิ สองปนั นา ใชผ้ า้ ไหมทม่ี สี สี นั สวยงามสะดดุ ตา มกี ารตกแตง่
ดว้ ยเทคนคิ การขดิ , จก และลว้ ง ซงึ่ ลกั ษณะของซนิ่ ไทลอ้ื จะมลี วดลายแตกตา่ งกนั ตามวยั ของผนู้ งุ่ ไดแ้ ก่ วยั สาวรนุ่
แมเ่ รอื น ผสู้ งู อายุ และคนชรา ซง่ึ ซน่ิ ดงั กลา่ วจะมเี ทคนคิ การทอดว้ ยฝา้ ยพน้ื สว่ นมากจะเปน็ สดี �ำ สลบั แดง เหลอื ง เขยี ว
ขาว และยงั สอดแทรกลวดลายการเกบ็ มกุ เปน็ รปู ขอ รปู หงส์ รปู มา้ รปู ปลา รปู เขาปลอกเขายงั อนั เปน็ ชอื่ เรยี กของ
เทคนคิ ในการทอของผทู้ อผา้ และการทอดว้ ยลวดลายทส่ี วยงามและเกบ็ มกุ โดยความสามารถและฝมี อื ของผคู้ นไทลอื้
ภาพ ซ่ินไทลื้อ
ภาคผนวก
7 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสด็จพระราชด�ำ เนนิ เยย่ี มชม
นิทรรศการผา้ ราชสำ�นักนครนา่ น เน่อื งในงานประชุมวิชาการทางพระพุทธศาสนาระดับนานาชาติ คร้งั ท่ี ๒
เมอ่ื วนั ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ อาคารหอประชมุ วทิ ยาลยั สงฆ์นครนา่ น เฉลิมพระเกยี รติฯ
วิทิ ยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติิฯ | 7
คณะผ้บู ริหาร คณาจารย์ เจา้ หน้าที่ วิทยาลัยสงฆ์
นครน่าน มจร เฉลมิ พระเกียรติฯ พร้อมดว้ ยคณะผู้บรหิ าร
จากวิทยาศาสตร์การแพทย์เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณ์ ราชวิทยาลยั
จุฬาภรณ์ โดยมศี าสตราจารยค์ ลนิ คิ แพทย์หญิงโฉมศรี
โฆษิตชัยวฒั น์ อธกิ ารบดีวทิ ยาลัยวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์
เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณ์ ราชวทิ ยาลยั จฬุ าภรณ์ เปน็ ประธานเปดิ ปา้ ย
โรงเรยี นชา่ งทอผา้ นา่ น วทิ ยาลยั สงฆน์ ครนา่ น มหาวทิ ยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เฉลมิ พระเกยี รติสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เมอ่ื วันที่ ๕
พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น.
7 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
พระพรหมโมลี (สชุ าติ ธมมฺ รตโน) กรรมการมหาเถรสมาคม เจา้ คณะภาค ๕ ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั ปากน�ำ ก้ รรมการ
มหาเถรสมาคม ผู้รกั ษาการแทนเจา้ คณะใหญห่ นเหนอื ได้เยีย่ มชมโรงเรยี นชา่ งทอผา้ นา่ น วิทยาลัยสงฆน์ ครน่าน มจร
เฉลิมพระเกยี รตฯิ เมือ่ วันท่ี ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ศนู ยก์ ารเรียนรผู้ า้ ทอ โรงเรียนช่างทอผ้า
นา่ น วทิ ยาลยั สงฆ์นครนา่ น มจร เฉลิมพระเกยี รติฯ
วิทิ ยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติฯิ | 7
วทิ ยาลยั สงฆน์ ครนา่ น มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราช
สดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดต้ อ้ นรบั รองศาสตราจารย์ ดร.สภุ าวณิ ี สตั ยาภรณ์ อธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์
และคณะ พรอ้ มดว้ ยนายสเุ มธ สายสูง ผู้อำ�นวยการวิทยาลัยชุมชนน่านและคณะ ได้เยีย่ มชมโรงเรียนชา่ งทอผา้ นา่ น
วทิ ยาลยั สงฆน์ ครนา่ น มจร เฉลมิ พระเกียรติฯ เมื่อวนั ท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ศนู ย์การเรียน
รูผ้ ้าทอ โรงเรียนชา่ งทอผา้ น่าน วทิ ยาลัยสงฆ์นครนา่ น มจร เฉลิมพระเกยี รตฯิ
7 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
นายชยั วุฒิ หลกั เมือง ผอู้ าํ นวยการฝ่ายบริหารด้านการใชไ้ ฟฟา้ และกิจการเพ่อื สงั คม น.ส.เกษณภา มหารตั น
วงศ์ หวั หนา้ กองกิจการเพอื่ สงั คม ฝา่ ยบรหิ ารดา้ นการใชไ้ ฟฟา้ และกจิ การเพอ่ื สงั คม น.ส.พรอมุ า หาระบตุ ร หวั หนา้ กอง
ออกแบบงานและตรวจพิสูจน์ผล พร้อมดว้ ยคณะผู้ปฏบิ ตั งิ าน การไฟฟ้าฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย(กฟผ.) ไดเ้ ยี่ยมชม
โรงเรยี นช่างทอผ้าน่าน วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย เฉลมิ พระเกยี รตฯิ เม่ือวนั ท่ี
๑๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ศนู ย์การเรยี นรูผ้ า้ ทอ โรงเรียนชา่ งทอผ้าน่าน วทิ ยาลยั สงฆน์ ครน่าน มจร
เฉลิมพระเกยี รตฯิ
วิิทยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติิฯ | 7
ศนู ย์การเรียนรผู้ า้ ทอ : โรงเรยี นช่างทอผ้านา่ น
วทิ ยาลัยสงฆ์นครนา่ น มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
8 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ศูนยก์ ารเรียนรผู้ า้ ทอ : โรงเรยี นชา่ งทอผ้าน่าน
วิทยาลยั สงฆ์นครนา่ น มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วิิทยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติิฯ | 8
ศนู ย์การเรียนรผู้ า้ ทอ : โรงเรยี นช่างทอผ้านา่ น
วทิ ยาลัยสงฆ์นครนา่ น มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
8 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ศูนยก์ ารเรียนรผู้ า้ ทอ : โรงเรยี นชา่ งทอผ้าน่าน
วิทยาลยั สงฆ์นครนา่ น มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วิทิ ยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติิฯ | 8
ศนู ย์การเรียนรผู้ า้ ทอ : โรงเรียนช่างทอผา้ นา่ น
วทิ ยาลัยสงฆ์นครนา่ น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
8 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
ศูนย์การเรียนรผู้ ้าทอ : โรงเรยี นชา่ งทอผ้าน่าน
วิทยาลยั สงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
เฉลิมพระเกยี รติสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วิิทยาลัยั สงฆ์น์ ครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติิฯ | 8
ศนู ย์การเรียนรผู้ า้ ทอ : โรงเรยี นช่างทอผ้านา่ น
วทิ ยาลัยสงฆ์นครนา่ น มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
เฉลิมพระเกยี รตสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
8 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
การแตง่ กายของสตรีล้านนา
(ภาพจาก Chiang Mai House of Photography)
ภาพนางแมนเหลาแตง่ กายแบบหญงิ สาวชาวไทยวนในลา้ นนา คอื เปลือยอกนำ�ผา้ แถบสีเรียบ
มาหม่ คล้องทิ้งชายไปดา้ นหลงั นุ่งชิ่นตีนจก คอื ซิ่นต๋าที่ต่อด้วยตีนจก ที่นิยมใช้ในหญงิ ไทยวนของลา้ น
นา สว่ นทอ้ งชน่ื น่าจะเปน็ “ซน่ิ ต๋ามะนาว” คอื ท้องซิ่นรูปแบบเฉพาะท่พี บไดแ้ ต่ในเมอื งแพรเ่ ทา่ น้นั
นับเปน็ เอกลกั ษณ์อย่างหนึง่ ของผา้ ซิน่ ตึนจกในเมอื งแพร่ ไวผ้ มมุ่นมวยเรยี กวา่ เกลา้ แบบ “วดิ ว้อง”
ไว้กลางศีรษะมกี ารนำ�ดอกไมม้ าขดั ทมี่ วยผม และไมส่ วมรองเท้า
สว่ นเหลา่ นางสนมแตง่ กายแบบสาวไทยวนโดยทว่ั ไปในลา้ นนา คอื เปลอื ยอกมกี ารน�ำ ผา้ แถบสี
เรยี บและมลี วดลาย น�ำ มาหม่ คลอ้ งคอหอ้ ยชายไปดา้ นหลงั นงุ่ ชน้ิ ตา๋ ตอ่ ตนี แดงทเ่ี ปน็ ทน่ี ยิ มของหญงิ ชาว
ไทยวนในลา้ นนาไวผ้ มมน่ มวยเรยี กวา่ เกลา้ แบบ “วดิ วอ้ ง” ไวก้ ลางศรี ษะ น�ำ ดอกไมม้ าทดั ทม่ี วยผม และ
ไมส่ วมรองเท้า
วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติิฯ | 8
การแตง่ กายของสตรลี ้านนา
(ภาพจาก Chiang Mai House of Photography)
ภาพเขียนเหลา่ นางสนมก�ำ นัล ขณะก�ำ ลังเก็บผลงว้ิ (ผลน่นุ ) ท่แี ห้งร่วงลงบนพนื้ ดนิ เหล่านาง
สนมก�ำ นลั แตง่ กายแบบหญงิ ชาวไทยวนในลา้ นนา คอื เปลอื ยอกมกี ารน�ำ ผา้ แถบสเี รยี บและมลี วดลายน�ำ
มาหม่ คลอ้ งคอหอ้ ยชายไปดา้ นหลงั และหม่ แบบทเี่ รยี กวา่ “สะหวา้ ยแหลง้ ” หรอื “เบย่ี งบา้ ย” นงุ่ ชนื่ ตา๋
ทเี่ ป็นท่ีนยิ มของหญงิ ชาวไทยวนในลา้ นนา ไวผ้ มมุ่นมวยเรยี กว่าเกล้าแบบ “วิดวอ้ ง”ไวก้ ลางศีรษะส่วน
พนกั งานทกี่ �ำ ลงั ปนี ตน้ งว้ิ แตง่ กายแบบชายชาวไทยวนทวั่ ไปในลา้ นนา คอื เปลอื ยอก นงุ่ ผา้ พน้ื สเี รยี บผนื
เดยี วทเี่ รยี กวา่ นงุ่ แบบ “นงุ่ ผา้ ตอ้ ย” หรอื “เคด็ มา่ ม” โดยจะมว้ นผา้ เปน็ เกลยี วสอดระหวา่ งขาเปน็ การนงุ่
แบบเดยี วกบั การถกเขมร หรอื โจงกระเบน เผยใหเ้ หน็ ลายสกั ยนั ตต์ ง้ั แตท่ อ้ งนอ้ ยจนถงึ หวั เขา่ เปน็ ลวดลาย
สตั วห์ มิ พานต์ อันเป็นเอกลกั ษณอ์ ยา่ งหนึง่ ของชายชาวไทยวนในแถบน้ี
8 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
การแต่งกายของสตรลี ้านนา
(ภาพจาก Chiang Mai House of Photography)
ภาพนางปกั ขกิ าแต่งกายแบบหญงิ ชาวไทยวนในแพร่ คอื เปลือยอก มุ่นมวยไวก้ ลางศรี ษะดา้ น
หลงั ทรง “ต้งั เกลา้ ” นุ่งผา้ “ซิน่ ตา๋ ด�ำ แดง” เปน็ ซนิ่ ทม่ี ลี กั ษณะพ้ืนสแี ดงมลี ายแถบในแนวขวางลำ�ตัว
สดี �ำ มาค่ันเป็นแนวเทา่ ๆ กนั ตลอดทั้งผืนผา้ นับเป็นชน่ื ท่ีสามารถพบไดใ้ นเมอื งแพรเ่ ท่านนั้ สว่ นกำ�กา๋
ดำ�แต่งกายแบบชายชาวกรงุ เทพ คือ สวมเส้ือแขนยาว นงุ่ โจงกระเบน ไว้ผมสน้ั
วิทิ ยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกียี รติฯิ | 8
ภาพถ่ายโดย เค ยากี ห้างยากี ยี่ปุ่น เชียงใหม่
สำ�เนาภาพจากคุณสุคนธ์ ยากี
(ภาพจากเพจ หมายเหตุหรภิ ุญชยั )
ภาพหญงิ สาวชนชนั้ สงู ชาวลา้ นนา สวมเสอ้ื ลกู ไมแ้ บบยโุ รป ทนี่ ยิ มใน
บางกอก สมยั ปลายรชั กาลท่ี ๕ กับ ซนิ่ คำ�เคิบนา่ น
นางพญาผ้าซิ่น ของราชสำ�นกั เมืองนา่ น ทอจากชา่ งที่มฝี ีมอื ละเอียด
สวยงาม โดยใชฝ้ า้ ยสอดด้นิ ทองเตม็ ผนื
ในอดตี ถอื เปน็ ผา้ ซนิ่ ทเี่ จา้ นายในราชส�ำ นกั นา่ นนยิ มใช้ เปน็ ผา้ ซนิ่ ทอ
มือ ต่อตนี จกสอดดน้ิ
9 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
(ภาพจาก หอภาพถ่ายลา้ นนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
นายรอ้ ยเอก เจ้าวรญาติ นครเมืองนา่ น (เจ้าทองค�ำ ณ นา่ น)
และ ชายา (เจา้ ขน้ แกว้ ณ นา่ น) โดยเจา้ ข้นแก้วสวมผา้ ซิ่นไหมไม่มลี วดลาย
ทอจากเมอื งเชยี งใหม่ ซึ่งเปน็ ท่ีนิยมในสมยั น้ัน
วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิมิ พระเกีียรติิฯ | 9
(ภาพจาก หอภาพถ่ายลา้ นนา มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม)่
ภาพถ่าย แมอ่ ุ้ยบวั ติ๊บ ใจมา มศี กั ด์เิ ป็นคุณเทยี ด (แม่ของคุณทวด)
ของ อ.เธยี รชาย อกั ษรดษิ ฐ์ พ.ศ.๒๔๐๔ - ๒๔๗๔ บา้ นนาราบ อ.นานอ้ ย จ.นา่ น
แมอ่ ยุ้ บวั ตบิ๊ สวมชนื่ ตนี จกทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ องหญงิ ไทยวน ในลา้ นนา แตท่ อ้ ง
ชื่นมีการตกแต่งในรปู แบบท่ีนบั เปน็ เอกลกั ษณข์ องเมืองน่าน
9 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ้� าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
(ภาพจาก หอภาพถา่ ยล้านนา มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่)
พิธใี นงานขึ้นบา้ นใหม่ ท่ตี อ้ งมีการท�ำ พิธใี หถ้ ูกต้องก่อนทีจ่ ะเช้าอยู่
อาศัย หญิงยืนกลางภาพสวม ซ่นิ ต๋า เปน็ ชิน้ ทีใ่ ชก้ นั ท่ัวไปของหญงิ ในลา้ นนา
วิิทยาลัยั สงฆ์์นครน่า่ น เฉลิิมพระเกีียรติฯิ | 9
(ภาพจาก หอภาพถ่ายล้านนา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่)
หมอ่ นแก้ว สุคำ� (ซ้ายมอื ) และ น้องสาว หมอ่ นฝัน กองวี (ขวามือ)
ทง้ั คเู่ ปน็ บตุ รของหมอ่ นค�ำ ทงั้ สองทา่ นสวมซน่ิ เคบิ ในรปู แบบเฉพาะของเมอื ง
น่าน อกี ท้ังมีลวดลายตกแตง่ ท่ีเปน็ เอกลักษณข์ องกลุม่ อ.นาหม่นื
9 | ศูนนย์กการเรียยนรู้ผผ�้าาทอ : โรงเรียยนช่าางทอผ้าาน่าาน
(ภาพจาก หอภาพถ่ายล้านนา โดย มลู นธ์ ิรองศาสตราจารยก์ ันต์ พูนพพิ ฒั น)์
บดิ าและมารดาของเจา้ บญุ สม รตั นวงศไ์ ชย การแตง่ กายของฝา่ ยชาย
คอื สวมเสอ้ื ราชปะแตนทเ่ี ปน็ นยิ มจากกรงุ เทพและนงุ่ โจงกระเบน สว่ นฝา่ ยหญงิ
ใส่เสื้อแขนยาวและห่มผา้ แบบสวายเฉยี ง (คลา้ ยกบั การหม่ สไบ) และสวมซนิ่
ตีนจกทีเ่ ปน็ ลกั ษณะลวดลายในรปู แบบของเมอื งนา่ น