The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

​คดีพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน​ (ปี 2563)

สำนักงานศาลปกครอง

Keywords: ด้านบริหารงานที่ดิน

คดีพิพาทเก่ียวกบั ท่ีดิน
ท่ีลงพิมพเ์ ผยแพรใ่ นวารสารวิชาการศาลปกครอง
ตงั้ แต่ ปี ท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มีนาคม) ๒๕๕๕
ถงึ ปี ท่ี ๑๙ ฉบบั ที่ ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒

โดย

กล่มุ เผยแพร่ข้อมลู ทางวิชาการและวารสาร
สาํ นักวิจยั และวิชาการ สาํ นักงานศาลปกครอง

สารบัญ
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ คดพี ิพาทเกีย่ วกับท่ดี นิ
จากวารสารวชิ าการศาลปกครอง ปที่ ๑๒ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕
ถงึ ปท่ี ๑๙ ฉบับท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒

วารสารวชิ าการศาลปกครอง
ปที่ ๑๒ ฉบับที่ ๑
ลาํ ดบั (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕ จํานวน / เร่อื ง คาํ พิพากษา/คําสงั่ หนา
ที่ ศาลปกครองสูงสดุ ๑
ถึง ปท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓ อ. ๓๔๕/๒๕๕๔
(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒

๑. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ เรือ่ ง
ปท ่ี ๑๒ ฉบบั ที่ ๑ - การเรยี กเกบ็ คา ธรรมเนยี มการจดทะเบียนสิทธิ
(มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕ และนิติกรรม มใิ ชเปนการไดท รพั ยสินมา
โดยปราศจากมลู อันจะอา งกฎหมายได
ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย

๒. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ เรื่อง
ปท่ี ๑๒ ฉบับท่ี ๒ - ฟองเพิกถอนหนังสือคัดคา นการออกโฉนด คําสงั่ ท่ี ๑/๒๕๕๕ ๕
(เมษายน-มิถุนายน) ๒๕๕๕ ท่ดี นิ และใบจองท่ีออกทับที่ดินทผี่ ฟู อ งคดี
ครอบครองและทาํ ประโยชนอยู เมื่อพน
กาํ หนดระยะเวลาการฟองคดี

๓. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ เร่อื ง อ. ๕๘๓/๒๕๕๕
ปที่ ๑๓ ฉบบั ที่ ๑ - การออกใบแทนโฉนดที่ดินบนพ้ืนฐาน ๘
(มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๖ ขอ เทจ็ จรงิ ทีผ่ ดิ พลาดคลาดเคลอื่ น ๑๒
และไมถ กู ตอ งตามความเปน จรงิ ๑๕
๔. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ เรอื่ ง
ปที่ ๑๓ ฉบบั ที่ ๒ - ผูข ออกโฉนดทดี่ นิ มใิ ชบุคคลทีไ่ ดรบั คัดเลือก อ. ๘๒๗/๒๕๕๕
(เมษายน-มิถุนายน) ๒๕๕๖ ใหเขายึดถือครอบครองทด่ี ินของรฐั
ตามหลักฐานใบจอง
๕. วารสารวิชาการศาลปกครอง จาํ นวน ๓ เรอ่ื ง
ปท่ี ๑๓ ฉบับท่ี ๓ - เจาพนกั งานที่ดินไมจ ดทะเบียนโอนมรดก อ. ๘๒๘/๒๕๕๕
(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖ ทดี่ ินตามพนิ ยั กรรม เนอื่ งจากศาลมคี ําสง่ั
ตัง้ ผจู ัดการมรดกหลายคน



วารสารวชิ าการศาลปกครอง
ปท ่ี ๑๒ ฉบับที่ ๑
ลําดับ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕ จาํ นวน / เร่อื ง คําพิพากษา/คําส่ัง หนา
ท่ี ศาลปกครองสูงสดุ ๑๖
ถงึ ปที่ ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓ ๑๙
(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒ อ. ๑๕/๒๕๕๖ ๒๔
อ. ๘๗๓/๒๕๕๕ ๒๙
- ผขู อออกโฉนดมใิ ชผ ูทคี่ รอบครอง อ. ๒๕๔/๒๕๕๖ ๓๓
และทาํ ประโยชนใ นทดี่ ินตอ เนอื่ งจาก อ. ๔๔๕/๒๕๕๖ ๓๖
ผคู รอบครองเดิม ๔๑
- การใชประโยชนใ นทด่ี ินจดั สรรผดิ ไปจาก อ. ๔๗๑/๒๕๕๖
แผนผังโครงการจดั สรรทดี่ ิน อ. ๘๘๔/๒๕๕๖ ๔๔
๖. วารสารวิชาการศาลปกครอง จาํ นวน ๒ เรื่อง อ. ๑๓๓/๒๕๕๗
ปท่ี ๑๓ ฉบับที่ ๔ - การออก น.ส. ๓ ก. ในท่ดี นิ ทม่ี ลี กั ษณะ
(ตลุ าคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖ ตอ งหาม และผมู ชี อ่ื ใน น.ส. ๓ ก. อ. ๖๕๘/๒๕๕๗
ไมใ ชบ ุคคลทไี่ ดร ับความคุมครองสทิ ธิ
ตามประมวลกฎหมายท่ดี ิน
- ผูซ ื้อที่ดินมีสว นรวมรเู หน็ กบั เจา หนาที่ที่ดิน
ซง่ึ ประพฤติมิชอบ จะอา งหลักความสุจรติ
ไมได
๗. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๒ เรื่อง
ปที่ ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ - การออกโฉนดทด่ี นิ ตามหลกั ฐาน ส.ค. ๑
(เมษายน-มิถนุ ายน) ๒๕๕๗ ซงึ่ เจา ของยกใหเ ปนสาธารณสมบตั ิ
ของแผนดิน
- การขอเวนคืนที่ดนิ ทม่ี อบใหร าชการ
ตามเง่ือนไขที่ไดแสดงเจตนาไว

๘. วารสารวชิ าการศาลปกครอง จํานวน ๑ เร่อื ง
ปที่ ๑๔ ฉบบั ท่ี ๔ - การออกโฉนดใหแ กบ คุ คลท่คี รอบครอง
(ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๗ คลองสาธารณประโยชนท ี่ประชาชน
ใชประโยชนรว มกนั ซ่งึ ไดเ ปลีย่ นสภาพ
มาเปน ท่ดี ินรกรา งวา งเปลา
๙. วารสารวชิ าการศาลปกครอง จาํ นวน ๑ เร่ือง
ปท่ี ๑๕ ฉบบั ที่ ๒ - เจาพนกั งานทด่ี ินปฏเิ สธไมออกโฉนดท่ดี ิน
(เมษายน-มถิ นุ ายน) ๒๕๕๘ กรณีที่ดนิ มีสภาพเปนทชี่ ายตลงิ่ นาํ้ ทะเล
ทวมถึง มิใชท ่ีงอกทีเ่ กดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ



วารสารวิชาการศาลปกครอง
ปท่ี ๑๒ ฉบับท่ี ๑
ลําดบั (มกราคม-มีนาคม) ๒๕๕๕ จํานวน / เร่อื ง คาํ พพิ ากษา/คําส่งั หนา
ท่ี ศาลปกครองสูงสดุ ๔๘
ถงึ ปที่ ๑๙ ฉบบั ที่ ๓ อ. ๔๓๖/๒๕๕๘ ๕๒
(กรกฎาคม-กันยายน) ๒๕๖๒ อ. ๖๘๗/๒๕๕๗ ๕๖
อ. ๙๓๖/๒๕๕๘ ๖๑
๑๐. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ เร่อื ง อ. ๑๒๔๔/๒๕๕๘ ๖๕
ปท ่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๓ - เจา พนักงานที่ดนิ ละเลยตอหนาท่ี กรณมี ีการ อ. ๑๗๕/๒๕๕๙
๖๙
(กรกฎาคม-กันยายน) ๒๕๕๘ รองเรียนวาออกโฉนดทด่ี นิ โดยคลาดเคล่ือน อ. ๑๐๔๗/๒๕๕๙

๑๑. วารสารวิชาการศาลปกครอง จาํ นวน ๑ เร่ือง
ปท่ี ๑๕ ฉบับท่ี ๔ - การมีคําสั่งยกเลกิ คาํ ขอออกโฉนดทดี่ ิน

(ตุลาคม-ธันวาคม) ๒๕๕๘ กรณที ด่ี ินตาม ส.ค. ๑ มีสภาพเปนคลองนาเกลอื
และผขู ายซึง่ เปน เจา ของเดมิ มไิ ดครอบครอง
และทาํ ประโยชนในทดี่ ินดงั กลาว

๑๒. วารสารวิชาการศาลปกครอง จาํ นวน ๑ คดี
ปท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๑ - กระทรวงการคลังไมค นื ทด่ี นิ ทไ่ี ดร บั การยกให

(มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๙ แกท ายาทผยู กให กรณีเปนท่รี าชพัสดุ
และมีการเลกิ ใชประโยชนใ นที่ดิน
ตามเจตนาของผูย กใหแลว

๑๓. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ คดี
ปท่ี ๑๖ ฉบับที่ ๒ - เจาหนา ทกี่ รมทดี่ ินจดทะเบียนโอนทดี่ นิ ซงึ่ เปน

(เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๙ สนิ สมรส โดยคสู มรสของผขู ายไมใหความยินยอม
แตม บี นั ทกึ คาํ ยืนยันใหจ ดทะเบยี นเปน หลกั ฐาน

๑๔. วารสารวิชาการศาลปกครอง จาํ นวน ๑ คดี
ปท ่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๓ - อธบิ ดีกรมท่ดี นิ มคี าํ สง่ั ใหแกไ ขรปู แบบ

(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๙ แผนที่และเน้ือทีใ่ นโฉนดทด่ี นิ โดยพนักงาน
เจา หนา ทีท่ ี่ออกโฉนดไมไดต รวจสอบ
ตาํ แหนง ทต่ี ้ังของท่ดี นิ เปน เหตุใหท ่ดี ิน
ทับซอ นกับที่ดินแปลงอนื่

๑๕. วารสารวชิ าการศาลปกครอง จํานวน ๑ เร่ือง
ปท ่ี ๑๗ ฉบับท่ี ๑ - พนกั งานเจาหนา ท่อี อกโฉนดมไิ ดตรวจสอบ

(มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๐ ขอ มลู ใหช ดั เจนกอนวาที่ดนิ มีการจดทะเบียน
จาํ นองกบั ธนาคาร ถือเปน การปฏบิ ตั ิหนา ท่ี
โดยปราศจากความระมัด



วารสารวชิ าการศาลปกครอง
ปที่ ๑๒ ฉบับท่ี ๑
ลําดับ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕ จาํ นวน / เร่อื ง คําพิพากษา/คําสัง่ หนา
ที่ ศาลปกครองสูงสุด ๗๓
ถึง ปท ี่ ๑๙ ฉบับท่ี ๓ อ. ๔๔๑/๒๕๖๐ ๗๗
(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒ ๘๔
ฟส. ๕/๒๕๖๐
๑๖. วารสารวชิ าการศาลปกครอง จาํ นวน ๑ เรอ่ื ง
ปที่ ๑๗ ฉบบั ท่ี ๓ - กรงุ เทพมหานครอนญุ าตใหเ จาของท่ีดนิ อ. ๑๓๙๒/๒๕๖๐

(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๐ นอกโครงการจดั สรรทุบรอ้ื รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็
ของโครงการ เพ่ือทําทางเช่ือมกับสาธารณประโยชน
ในโครงการ โดยไมชอบดว ยกฎหมาย

๑๗. วารสารวิชาการศาลปกครอง จาํ นวน ๑ คดี
ปที่ ๑๘ ฉบับท่ี ๑ - การกําหนดใหท ี่ดนิ ซ่ึงมสี ภาพเปนบอน้าํ พรุ อ น

(มกราคม-มีนาคม) ๒๕๖๑ และมีบคุ คลเขา ครอบครองทําประโยชน
อยกู อนใหอยูในแนวเขตอทุ ยานแหงชาติ
โดยชอบดว ยกฎหมาย

๑๘. วารสารวชิ าการศาลปกครอง จํานวน ๑ คดี
ปที่ ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ - อธิบดีกรมทีด่ ินมคี ําสัง่ เพิกถอนโฉนดท่ดี ิน

(เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑ โดยไมชอบดวยกฎหมาย กรณีเจาหนาที่
ออกโฉนดทด่ี ินผดิ แปลงเพราะผรู บั มอบ
อํานาจจากผขู ายนาํ ทด่ี นิ แปลงอ่นื ไปย่ืน
คาํ ขอจดทะเบยี น

๑๙. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ เรื่อง อ. ๘๕๙/๒๕๖๑ ๙๐
ปท ี่ ๑๘ ฉบับท่ี ๔ - เจาพนักงานทด่ี นิ ยกเลิกใบไตส วน อ. ๑๑๒๔/๒๕๖๑ ๙๕

(ตลุ าคม-ธันวาคม) ๒๕๖๑ และไมอ อกโฉนดทดี่ ินใหแ กผ คู รอบครอง
ทําประโยชน กรณีที่ดินเปนที่ทแี่ มน ้ํา
สาธารณะเคยไหลผาน และมลี ักษณะ
เปนที่ชายตลิง่ แตก ลายสภาพเปน
ท่ดี ินตน้ื เขินรมิ ตล่งิ

๒๐. วารสารวิชาการศาลปกครอง จํานวน ๑ คดี
ปท ่ี ๑๙ ฉบับที่ ๑ - เจาพนักงานทีด่ นิ จังหวัดออกโฉนดทดี่ ิน

(มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๒ โดยการสอบสวนเปรยี บเทยี บยังฟง
ไมเ ปนทีย่ ตุ ิ เนอื่ งจากผูขอออกโฉนด
กับผคู ดั คานยงั โตแยง การแยง
สทิ ธิครอบครองในท่ีดินพิพาท



วารสารวชิ าการศาลปกครอง
ปท ี่ ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑
ลาํ ดับ (มกราคม-มีนาคม) ๒๕๕๕ จํานวน / เรื่อง คาํ พพิ ากษา/คําสงั่ หนา
ที่ ศาลปกครองสูงสุด
ถึง ปท ่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓
(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒

๒๑. วารสารวชิ าการศาลปกครอง จํานวน ๑ เร่ือง อ. ๒๙๙/๒๕๖๒ ๑๐๐
ปท ่ี ๑๙ ฉบับที่ ๓ - เจา ของอทุ ิศที่ดนิ ใหเ ปนทางสาธารณะ

(กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒ แตอ งคการบรหิ ารสว นตาํ บลกอสรา ง
และปรับปรุงถนนรกุ ลาํ้ ท่ดี ินเกินกวา
สวนทเี่ จา ของไดอุทิศให

1

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน

เมื่อการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินไม่ได้เกิดจากการปฏิบตั ิหน้าท่ี
ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ กรมท่ีดินกไ็ ม่จาํ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
รวมทัง้ เงินค่าธรรมเนี ยมจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรมอันเนื่ องจากการเพิกถอน
การจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรม และเน่ืองจากเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ
และนิ ติกรรมเก่ียวกบั ที่ดินหรืออสังหาริมทรพั ย์ เป็ นเงินท่ีรฐั เรียกเก็บจากราษฎร
เป็ นค่าตอบแทนการท่ีรฐั ให้บริการแก่ราษฎรในการทําให้สิทธิและนิ ติกรรมเก่ียวกบั
อสงั หาริมทรพั ย์ของราษฎรมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จึงไม่อาจถือได้ว่ากรมท่ีดิน
ได้ ทรัพย์สิ นมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้ างกฎหมายได้ ตามนั ยมาตรา ๔๐๖
แห่ งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ แม้ต่ อมากรมที่ ดิ นจะมีคําสัง่ เพิ กถอน
รายการจดทะเบียน ก็มิได้มีผลเป็ นการเพิกถอนการดําเนิ นการจดทะเบียนสิทธิ
และนิ ติกรรมตามกฎหมาย อีกทงั้ ไม่มีบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายใดให้นําหลกั กฎหมาย
เรื่องลาภมิควรได้มาใช้บังคับโดยอนุโลม กรมท่ีดิ นจึงไม่มีหน้ าที่ (หนี้ ) ต้องคืน
ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรมให้แก่ราษฎรอนั เนื่องจากการมีคาํ สงั่
เพิกถอนรายการจดทะเบยี นสิทธิและนิติกรรมดงั กล่าว

ผฟู้ ้องคดฟี ้องวา่ ผฟู้ ้องคดปี ระมลู ซอ้ื ทด่ี นิ โฉนดเลขท่ี ๔๒๘๘๔ พรอ้ มสงิ่ ปลกู สรา้ ง
จากการขายทอดตลาดของสํานักงานบงั คบั คดจี งั หวดั เชยี งใหม่ และไดโ้ อนกรรมสทิ ธทิ ์ ่ดี นิ จาก
เจา้ ของทด่ี นิ และชําระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมและภาษีเงนิ ไดบ้ ุคคล
ธรรมดาและในวนั เดยี วกนั นัน้ ไดข้ ายทด่ี นิ ดงั กล่าวใหก้ บั นาย น. ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ได้มี
คําพพิ ากษาเพกิ ถอนการขายทอดตลาดทด่ี นิ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (สํานักงานทด่ี นิ จงั หวดั เชยี งใหม่)
จงึ เพกิ ถอนรายการจดทะเบยี นท่ดี นิ ทงั้ หมด ผู้ฟ้องคดจี งึ ได้ย่นื คํารอ้ งขอคนื เงนิ ค่าธรรมเนียม
และคา่ ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดาทไ่ี ดช้ ําระไวเ้ ป็นค่าโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ด่ี นิ โดยสาํ นักงานสรรพากร
จงั หวดั เชยี งใหมไ่ ดค้ นื ค่าภาษเี งนิ ไดบ้ ุคคลธรรมดา แต่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ปฏเิ สธไม่คนื ค่าธรรมเนียม
ในการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรม ผู้ฟ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ แต่ผู้ว่าราชการจงั หวดั เชยี งใหม่
ไม่เหน็ ด้วยกับคําอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดจี งึ ขอให้ศาลมคี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ ให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑
คนื เงนิ คา่ ธรรมเนียม

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕ ๑

2

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า มาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ บญั ญตั ิว่า ผูใ้ ดจงใจหรอื ประมาทเลนิ เล่อ ทําต่อบุคคลอ่นื โดยผดิ กฎหมายให้เขา
เสยี หายถงึ แก่ชวี ติ กด็ ี แก่รา่ งกายกด็ ี อนามยั กด็ ี เสรภี าพกด็ ี ทรพั ยส์ นิ หรอื สทิ ธอิ ยา่ งหน่ึงอย่างใด
กด็ ี ทา่ นวา่ ผนู้ นั้ ทาํ ละเมดิ จาํ ตอ้ งใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเพ่อื การนนั้ และมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ บญั ญตั ิว่า หน่วยงานของรฐั ต้องรบั ผิด
ต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดท่ีเจ้าหน้าท่ีของตนได้กระทําในการปฏิบตั ิหน้าท่ี ในกรณีน้ี
ผเู้ สยี หายอาจฟ้องหน่วยงานของรฐั ไดโ้ ดยตรง แต่จะฟ้องเจา้ หน้าทไ่ี ม่ได้และถ้าการละเมดิ เกดิ
จากเจา้ หน้าท่ซี ง่ึ ไม่ได้สงั กดั หน่วยงานของรฐั แห่งใด ใหถ้ อื ว่ากระทรวงการคลงั เป็นหน่วยงาน
ของรฐั ท่ตี ้องรบั ผดิ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั เป็นยุติว่า ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้ซ้อื ท่ดี นิ โฉนดเลขท่ี ๔๒๘๘๔
พรอ้ มสงิ่ ปลูกสรา้ งจากการขายทอดตลาด และต่อมาสํานักงานบงั คบั คดจี งั หวดั เชยี งใหม่ได้มี
หนังสอื ถงึ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ขอใหจ้ ดทะเบยี นระงบั การจํานองและจดทะเบยี นขายโอนกรรมสทิ ธิ ์
ท่ีดินพร้อมส่งิ ปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิต์ ่อไป ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
จงึ จดทะเบียนระงบั การจํานองและโอนท่ีดินพร้อมส่งิ ปลูกสร้างให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยเรยี กเก็บ
ค่าธรรมเนียมการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมจากผฟู้ ้องคดี และในวนั เดยี วกนั นนั้ ผถู้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ได้จดทะเบยี นขายทด่ี นิ พรอ้ มสงิ่ ปลูกสรา้ งดงั กล่าวให้แก่นาย น. ตามคําขอของผู้ฟ้องคดี
โดยผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้เรยี กเกบ็ ค่าธรรมเนียมการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมดงั กล่าวจาก
ผู้ฟ้องคดี กรณีจงึ เหน็ ได้ชดั ว่าผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ มไิ ด้ดําเนินการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรม
เกย่ี วกบั ทด่ี นิ พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ งทงั้ สองครงั้ อนั เป็นการปฏบิ ตั หิ น้าทด่ี ว้ ยความจงใจหรอื ประมาท
เลนิ เลอ่ เลยแมแ้ ต่น้อย ดงั นนั้ แมต้ ่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ จะไดม้ คี ําพพิ ากษาถงึ ทส่ี ุดใหเ้ พกิ ถอน
การขายทอดตลาดท่ีดนิ พร้อมสง่ิ ปลูกสร้างดงั กล่าว อนั เป็นเหตุให้อธบิ ดกี รมท่ีดนิ ได้มคี ําสงั่
ให้เพกิ ถอนรายการจดทะเบยี นอนั เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดไี ด้รบั ความเสยี หาย ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑
และผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ (กรมทด่ี นิ ) ซง่ึ เป็นหน่วยงานของรฐั ต้นสงั กดั ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ กไ็ ม่จาํ ต้อง
ชดใช้ค่าเสยี หายอย่างใดๆ รวมทงั้ เงนิ ค่าธรรมเนียมจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิติกรรมท่ผี ูฟ้ ้องคดี
ได้ชําระให้แก่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ
มาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่อย่างใด
และเงนิ ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธแิ ละนิติกรรมเก่ียวกับท่ดี ินหรอื อสงั หารมิ ทรพั ยอ์ ่ืนใด
เป็นเงนิ ทร่ี ฐั เรยี กเก็บจากราษฎรเป็นค่าตอบแทนการท่รี ฐั ใหบ้ รกิ ารแก่ราษฎรในการทําใหส้ ทิ ธิ
และนิติกรรมเก่ียวกับอสงั หารมิ ทรพั ยข์ องราษฎรมผี ลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามบทบญั ญัติ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕

3

มาตรา ๑๐๓ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ และขอ้ ๒ (๗) (ก) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๗
(พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ดี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗
ประกอบกบั ขอ้ ๗ (๑) ของบญั ชอี ตั ราค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายท้ายประมวลกฎหมายทด่ี นิ
ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบญั ญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายท่ีดิน
(ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ การท่ีผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ เรยี กเก็บเงนิ ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ
และนิติกรรมเก่ียวกับท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๔๒๘๘๔ พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้ฟ้ องคดี เพ่ือเป็น
ค่าตอบแทนการทผ่ี ถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ไดจ้ ดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธใิ ์ หแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี ซง่ึ เป็นผูซ้ อ้ื ทด่ี นิ
พรอ้ มสงิ่ ปลกู สรา้ งจากการขายทอดตลาดของสํานกั งานบงั คบั คดจี งั หวดั เชยี งใหม่ และระหว่าง
ผฟู้ ้องคดซี ง่ึ เป็นผูข้ ายทด่ี นิ พรอ้ มสง่ิ ปลูกสรา้ งดงั กล่าวกบั นาย น. ผูซ้ อ้ื ตามคาํ ขอของผฟู้ ้องคดี
จงึ ไม่อาจถอื ได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ และผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ซ่งึ เป็นหน่วยงานของรฐั ต้นสงั กดั
ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้ทรพั ยส์ นิ มาโดยปราศจากมลู อนั จะอ้างกฎหมายได้ ตามนยั มาตรา ๔๐๖
วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และแม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ได้มี
คําพพิ ากษาถึงท่สี ุดให้เพกิ ถอนการขายทอดตลาดท่ดี นิ พรอ้ มส่ิงปลูกสรา้ งอันเป็นเหตุให้อธบิ ดี
กรมทด่ี นิ ไดม้ คี าํ สงั่ ใหเ้ พกิ ถอนรายการจดทะเบยี นในโฉนดทด่ี นิ พพิ าท แต่การเพกิ ถอนรายการ
จดทะเบยี นดงั กล่าว ก็ไม่ได้มผี ลทางกฎหมายเป็นการเพกิ ถอนการดําเนินการจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิตกิ รรมเกย่ี วกบั ทด่ี นิ และสงิ่ ปลูกสรา้ งดงั กล่าวตามคาํ ขอของผูฟ้ ้องคดี อนั เป็นการใหบ้ รกิ าร
แก่ผู้ฟ้องคดตี ามอํานาจหน้าท่ที ่กี ฎหมายกําหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ต้องปฏบิ ตั แิ ต่อย่างใด กรณี
จงึ ไม่อาจถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ซ่งึ เป็นหน่วยงานของรฐั ต้นสงั กดั
ของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้ทรพั ย์สนิ มาเพราะเหตุอย่างใดอย่างหน่ึงซ่งึ มไิ ด้มไี ด้เป็นขน้ึ ตามนัย
มาตรา ๔๐๖ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยเ์ ช่นกนั นอกจากนัน้ ยงั ไม่ปรากฏ
ว่ามบี ทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายใดบญั ญตั ใิ หผ้ ถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ และหรอื ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ตอ้ งคนื เงนิ
ค่าธรรมเนียมการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมทเ่ี รยี กเกบ็ จากราษฎรเป็นค่าตอบแทนการให้บรกิ าร
แก่ราษฎรในการทําให้สิทธิและนิติกรรมเก่ียวกับอสังหาริมทรพั ย์ของราษฎรมีผลสมบูรณ์
ตามกฎหมายตามคําขอของราษฎรแล้วต่อมารายการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละ นิติกรรมเก่ยี วกบั
อสงั หารมิ ทรพั ยด์ งั กล่าวถูกเพกิ ถอน โดยมไิ ดเ้ กดิ จากความผดิ หรอื ความบกพรอ่ งของเจา้ หน้าท่ี
ในสงั กดั ของผู้ถูกฟ้องคดที งั้ สอง โดยให้นําบทบญั ญตั ิว่าด้วยลาภมคิ วรได้ในประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์มาใชบ้ งั คบั กบั การใชส้ ทิ ธเิ รยี กคนื และการคนื เงนิ ดงั กล่าวโดยอนุโลมอกี ดว้ ย

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕ ๓

4

ผู้ฟ้ องคดีจงึ ไม่มีสิทธิเรยี กให้ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ คืนเงนิ ค่าธรรมเนียม
การจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมเกย่ี วกบั ทด่ี นิ พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ งดงั กล่าว และผูถ้ ูกฟ้องคดที งั้ สอง
ไมม่ หี น้าท่ี (หน้ี) ทจ่ี ะตอ้ งคนื เงนิ จาํ นวนดงั กลา่ วใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ.๓๕๔/๒๕๕๔)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๕

5

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน - ท่ีราชพสั ดุ

วตั ถปุ ระสงคข์ องการกาํ หนดระยะเวลาในการฟ้ องคดีตามพระราชบญั ญตั ิ
จดั ตงั้ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องการป้ องกนั มิให้เกิด
ความเสียหายต่อส่วนรวมและราชการต้องเสียไป และการท่ีองค์กรตุลาการเข้าไป
ตรวจสอบความชอบในการกระทําของฝ่ ายปกครองย่อมเป็ นผลทําให้เกิดระบบ
การบริหารราชการแผ่นดินที่ดี เมื่อผู้ฟ้ องคดีได้ติดตามทวงถามเก่ียวกับข้อพิพาท
ที่เกิดขึ้น รวมทงั้ หน่วยงานของรฐั และเจ้าหน้าท่ีของรฐั ท่ีเกี่ยวข้องได้มีความพยายาม
ท่ีจะดาํ เนิ นการแก้ไขเร่ืองมาโดยตลอด โดยวิสยั ของวิญ�ชู นคงคาดหวงั ได้ว่าจะได้รบั
การพิจารณาจากหน่วยงานของรฐั ท่ีเก่ียวข้องให้เสรจ็ สิ้นไปได้ในระยะเวลาอนั รวดเรว็
และพฤติการณ์ของหน่วยงานของรฐั และเจ้าหน้าท่ีที่เก่ียวข้องกม็ ีผลทาํ ให้ผ้ฟู ้ องคดีและ
วิญ�ชู นทวั่ ไปเช่ือว่าหน่วยงานของรฐั และเจ้าหน้าที่ของรฐั จะดาํ เนินการให้แก่ผ้ฟู ้ องคดีได้
โดยไม่จาํ เป็ นต้องฟ้ องเป็ นคดี กรณีจึงถือเป็ นเหตุจาํ เป็ นอื่นท่ีศาลจะรบั คาํ ฟ้ องที่ยื่น
เมื่อล่วงพ้นกาํ หนดระยะเวลาการฟ้ องคดีได้ตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบญั ญตั ิจดั ตงั้
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

ผู้ฟ้องคดเี ก้าสบิ ห้าคนฟ้องว่า ผู้ว่าราชการจงั หวดั ประกาศกําหนดทอ้ งท่แี ละ
วนั เรมิ่ ทําการสาํ รวจรงั วดั เพ่อื ออกโฉนดท่ดี นิ และสอบเขตทด่ี นิ ในทอ้ งทซ่ี ง่ึ รวมทด่ี นิ ของผู้ฟ้องคดี
ซง่ึ ได้อาศยั อย่บู นทด่ี นิ สบื เน่ืองจากบรรพบุรุษดว้ ย แต่ไม่สามารถออกโฉนดทด่ี นิ ได้ เน่ืองจาก
ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (สํานักงานธนารกั ษ์พ้ืนท่ีเพชรบูรณ์) มหี นังสอื ท่ี กค ๐๓๐๙.๕๓/๑๒๒๐
ลงวนั ท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ คดั คา้ นการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ เน่ืองจากรุกล้ําแนวเขตท่รี าชพสั ดุ
แปลงหมายเลขทะเบยี น ท่ี พช. ๔๖๗ ออกตามใบจองเลขท่ี ๔๓ ผูฟ้ ้องคดเี หน็ ว่าทด่ี นิ ทผ่ี ูฟ้ ้องคดี
อยู่อาศัยกับท่ีดินท่ีข้ึนทะเบียนเป็นท่ีราชพัสดุเป็นคนละแปลงกัน มีอาณาเขตทิศทางและ
จาํ นวนเน้ือทแ่ี ตกต่างกนั และไดโ้ ตแ้ ยง้ มาโดยตลอด การกระทําของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ทาํ ใหเ้ กดิ
ความเสียหายกับผู้ฟ้ องคดี จึงขอให้ศาลมคี ําพิพากษาหรอื คําสัง่ เพิกถอนหนังสือคดั ค้าน
การออกโฉนดท่ดี นิ และใบจองท่อี อกทบั ทด่ี นิ ท่ผี ู้ฟ้องคดคี รอบครองและทําประโยชน์อยู่ และ
เรยี กค่าเสยี หายพรอ้ มดอกเบย้ี รวมทงั้ ใหล้ งโทษทางอาญาแก่ผถู้ กู ฟ้องคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า การคดั ค้านการรงั วดั ท่ดี นิ สบื เน่ืองจากการท่ี
ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ มีหน้าท่ใี นการดูแลท่ีพพิ าทอันเป็นท่รี าชพสั ดุตามข้อ ๘ และข้อ ๑๑ ของ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๕ ๑

6

กฎกระทรวงว่าด้วยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารปกครอง ดูแล บํารุงรกั ษา ใช้ และจดั หาประโยชน์
เก่ียวกบั ท่ีราชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงเป็นการใช้อํานาจท่กี ่อให้เกิดความเดือดร้อนเสยี หาย
แก่ผฟู้ ้องคดี ดงั นัน้ จงึ เป็นคดพี พิ าทเก่ยี วกบั การทห่ี น่วยงานทางปกครองกระทําการโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายและการกระทําละเมิดอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙
วรรคหน่ึง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซง่ึ การฟ้องคดตี ามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) ตอ้ งยน่ื ฟ้องภายในเกา้ สบิ วนั นับแต่วนั ทร่ี ู้
หรอื ควรรถู้ งึ เหตุแห่งการฟ้องคดตี ามมาตรา ๔๙ และการฟ้องคดตี ามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓)
ตอ้ งยน่ื ฟ้องภายในหน่ึงปีนับแต่วนั ทร่ี ถู้ งึ เหตุแห่งการฟ้องคดตี ามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
จดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เม่อื หลงั จากผูถ้ ูกฟ้องคดมี หี นงั สอื
ลงวนั ท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ คดั ค้านการเดินสํารวจออกโฉนดท่ดี ินแล้ว ผู้ฟ้องคดมี หี นังสือ
ลงวนั ท่ี ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๐ ถงึ ผู้ว่าราชการจงั หวดั เพ่อื ขอความเป็นธรรมและเดนิ ทางไปพบ
ผู้ว่าราชการจงั หวดั เพ่ือขอทราบเหตุผลการคดั ค้านการออกโฉนดท่ีดนิ วันท่ี ๓๑ มกราคม
๒๕๕๑ ผูว้ ่าราชการจงั หวดั ไดน้ ําเร่อื งเขา้ ส่กู ารพจิ ารณาของคณะกรรมการแก้ไขปญั หาการบุกรุก
ทด่ี นิ ของรฐั จงั หวดั เพชรบูรณ์ (กบร. จงั หวดั เพชรบูรณ์) ต่อมา ตวั แทนของผูฟ้ ้องคดไี ดม้ หี นังสอื
ลงวนั ท่ี ๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๑ ถงึ ประธาน กบร. จงั หวดั เพชรบูรณ์ เพ่อื ขอทราบความคบื หน้า
และผู้ว่าราชการจงั หวดั มหี นังสือแจ้งเร่อื งการแต่งตัง้ คณะทํางานตรวจสอบการครอบครอง
ท่ีราชพสั ดุให้ผู้ฟ้ องคดีทราบซ่ึงคณะกรรมการได้มีการประชุมวันท่ี ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
โดยผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ขอถอนเร่อื งเพ่ือดําเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย เน่ืองจาก
ท่ปี ระชุมไม่สามารถตกลงกนั ได้ว่าท่ดี นิ พพิ าทเป็นของผู้ใด จากขอ้ เท็จจรงิ ดงั กล่าวเห็นได้ว่า
ผู้ฟ้องคดไี ด้ติดตามทวงถาม รวมทงั้ หน่วยงานของรฐั และเจ้าหน้าท่ขี องรฐั ท่เี ก่ยี วขอ้ งในการ
แกไ้ ขปญั หาทด่ี นิ พพิ าทไดม้ คี วามพยายามทจ่ี ะดําเนินการแก้ไขเร่อื งน้ีมาโดยตลอด ซง่ึ โดยวสิ ยั
ของวญิ �ูชนคงคาดหวงั ได้ว่ากรณีการคดั ค้านการออกโฉนดท่ดี นิ จะได้รบั การพจิ ารณาจาก
หน่วยงานของรฐั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งใหเ้ สรจ็ สน้ิ ไปไดใ้ นระยะเวลาอนั รวดเรว็ พฤตกิ ารณ์ของหน่วยงาน
ของรฐั และเจา้ หน้าทท่ี เ่ี ก่ยี วขอ้ งจงึ ย่อมมผี ลทําให้ผูฟ้ ้องคดแี ละวญิ �ชู นทวั่ ไปเช่อื ว่าหน่วยงาน
ของรฐั และเจา้ หน้าท่ขี องรฐั จะดําเนินการออกโฉนดทด่ี นิ ให้แก่ผู้ฟ้องคดโี ดยไมจ่ ําเป็นต้องฟ้อง
เป็นคดี ซง่ึ ก็มผี ลทาํ ใหผ้ ู้ฟ้องคดไี ม่ดําเนินการฟ้องรอ้ งจนล่วงเลยกําหนดเวลาทก่ี ฎหมายกําหนด
ให้ฟ้ องคดี ดงั นัน้ แม้ผู้ฟ้องคดีนําคดีมาย่นื ฟ้ องเม่อื พ้นกําหนดระยะเวลาตามมาตรา ๔๙
และมาตรา ๕๑ แต่กห็ าไดท้ าํ ใหว้ ตั ถุประสงคข์ องการกาํ หนดระยะเวลาในการฟ้องคดซี ง่ึ ตอ้ งการ
ป้องกันมใิ ห้เกิดความเสยี หายต่อส่วนรวมและราชการต้องเสยี ไป ในทางตรงกนั ข้าม การท่ี

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๕

7

องคก์ รตุลาการเขา้ ไปตรวจสอบความชอบในการกระทําของฝ่ายปกครอง ย่อมเป็นผลท่ที ําให้
เกดิ ระบบการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ทด่ี เี กดิ ขน้ึ จงึ ถอื ว่ามเี หตุจาํ เป็นอ่นื ทศ่ี าลจะรบั ไวพ้ จิ ารณาได้
ตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
และให้เรียกเจ้าพนักงานท่ีดินจงั หวดั เพชรบูรณ์เข้ามาเป็นผู้ถูกฟ้ องคดีเพ่ือประโยชน์แห่ง
ความยุติธรรม ส่วนการขอให้ศาลปกครองลงโทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ
หรอื โดยทุจรติ ตามมาตรา ๑๕๗ ประมวลกฎหมายอาญานัน้ การดําเนินคดอี าญาเป็นขนั้ ตอน
ดาํ เนินการเพ่อื นําไปสู่การลงโทษผกู้ ระทาํ ความผดิ ทางอาญา และเป็นขนั้ ตอนทป่ี ระมวลกฎหมาย
วธิ พี จิ ารณาความอาญาบญั ญตั ิไว้เป็นการเฉพาะโดยตรงให้อยู่ในอํานาจพจิ ารณาพพิ ากษา
ของศาลยตุ ธิ รรม จงึ ไมอ่ ยใู่ นอาํ นาจพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง

(คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่๑/๒๕๕๕)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๒ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๕ ๓

8

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ที่ดิน
การขอออกใบแทนโฉนดท่ีดินที่สูญหาย เจ้าพนักงานท่ีดินต้องทาํ การสอบสวน

พยานหลกั ฐานให้เพียงพอและเช่ือได้ว่าผ้ขู อออกใบแทนโฉนดที่ดินเป็นเจ้าของโฉนดท่ีดิน
ท่ีแท้จริง การที่เจ้าพนักงานท่ีดินออกใบแทนโฉนดที่ดินโดยสอบสวนพยานหลกั ฐาน
แต่เพียงผมู้ สี ่วนเก่ียวข้องและมสี ่วนได้เสียกบั ผ้ขู อออกใบแทนโฉนดท่ีดิน ย่อมมีน้ําหนัก
ให้เช่ือฟังได้น้อย และการตรวจสอบเฉพาะโฉนดท่ีดินฉบบั สาํ นักงานท่ีดินโดยไม่สอบสวน
จนสิ้นข้อสงสยั เกี่ยวกบั การบนั ทึกรายการซ่ึงระบรุ ายการไถ่ถอนการขายฝาก แต่มีรายขีดฆ่า
สีแดงตรงช่องผรู้ บั สญั ญา ไม่มีลายมือชื่อเจ้าพนักงานท่ีดินและตราประทบั ในโฉนดที่ดิน
และสญั ญาขายฝากไม่มีการจดแจ้งระบุรายการไถ่ถอนทงั้ ที่ปรากฏพยานหลกั ฐาน เช่น
ใบสงั่ เงินค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายและค่าภาษี ใบเสร็จรบั เงินท่ีระบุว่าเป็ นค่าไถ่ถอน
การขายฝากที่ดิน อีกทงั้ โฉนดที่ดินฉบบั เจ้าของที่ดินและสญั ญาขายฝากก็มีรายการ
จดทะเบียนการไถ่ถอนท่ีดิน มีรอยตราประทบั และเจ้าพนักงานที่ดินลงลายมือช่ือกาํ กบั
เป็ นการออกคําสัง่ ทางปกครองที่วางอยู่บนข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดคลาดเคล่ือน
ไมถ่ กู ต้องตามความเป็นจริง อนั เป็นการกระทาํ ท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ผูฟ้ ้องคดฟี ้องว่า ผูฟ้ ้องคดเี ป็นผู้ถือกรรมสทิ ธโิ ์ ฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ได้ทํา
หนงั สอื มอบอาํ นาจใหน้ าย ส. ไปดาํ เนนิ การขายฝากทด่ี นิ พรอ้ มสงิ่ ปลกู สรา้ งกบั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
(นายเพมิ่ ศกั ด)ิ ์ ณ สํานักงานทด่ี นิ จงั หวดั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๘ และต่อมาในวนั ท่ี ๔
มถิ ุนายน ๒๕๓๙ ได้มอบอํานาจให้นาย ส. ไปทําการจดทะเบยี นไถ่ถอนการขายฝากท่ีดิน
พรอ้ มสงิ่ ปลูกสรา้ งดงั กล่าว และเจา้ พนักงานทด่ี นิ ไดด้ ําเนินการจดทะเบยี นไถ่ถอนการขายฝาก
ใหผ้ ฟู้ ้องคดเี ป็นผถู้ อื กรรมสทิ ธใิ ์ นทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวดงั เดมิ ต่อมา วนั ท่ี ๑๙ มถิ ุนายน ๒๕๔๕
ผฟู้ ้องคดไี ดม้ อบอํานาจใหม้ ารดานําโฉนดทด่ี นิ ฉบบั เจา้ ของทด่ี นิ ไปดําเนินการจดทะเบยี นรบั ให้
ทด่ี นิ เป็นกรรมสทิ ธขิ ์ องตน แต่ไมส่ ามารถดาํ เนินการได้ เน่ืองจากรายการจดทะเบยี นโฉนดทด่ี นิ
ฉบบั เจา้ ของทด่ี นิ กบั ฉบบั สาํ นกั งานทด่ี นิ มรี ายการไมต่ รงกนั และไดม้ กี ารออกใบแทนโฉนดทด่ี นิ
เลขท่ี ๒๙๙๘ ให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นผู้ถอื กรรมสทิ ธิ ์ ผู้ฟ้องคดจี งึ ย่นื คําขออายดั ท่ดี นิ แปลง
ดงั กล่าว ผู้ฟ้องคดเี หน็ ว่าการทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (เจา้ พนกั งานท่ดี นิ จงั หวดั ... สาขา) ออกใบแทน
โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ใหเ้ ป็นช่อื ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ผูร้ บั ซอ้ื ฝากทด่ี นิ ทงั้ ทไ่ี ดม้ กี ารจดทะเบยี น
ไถ่ถอนการขายฝากท่ดี นิ ไปแลว้ ตงั้ แต่วนั ท่ี ๔ มถิ ุนายน ๒๕๓๙ และทด่ี นิ ได้ตกเป็นกรรมสทิ ธิ ์

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๖ ๑

9

ของผู้ฟ้องคดแี ล้ว เป็นการกระทําท่ไี ม่ชอบด้วยกฎหมายทําให้ผู้ฟ้องคดีได้รบั ความเสียหาย
จงึ ขอใหศ้ าลปกครองมคี าํ พพิ ากษาหรอื คาํ สงั่ ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ เพกิ ถอนนิตกิ รรมการออกใบแทน
โฉนดท่ีดินเลขท่ี ๒๙๙๘ ท่ีมชี ่ือผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิใ์ ห้ผู้ฟ้ องคดีเป็นผู้ถือ
กรรมสทิ ธทิ ์ ด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ ดงั เดมิ

ศาลปกครองสงู สุดวินิ จฉัยว่า เม่อื ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดย้ ่นื คําขอออกใบแทน
โฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ต่อผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ โดยแจ้งว่าโฉนดท่ดี นิ ฉบบั เจ้าของท่ดี นิ สูญหาย
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ มหี น้าทท่ี จ่ี ะต้องทําการสอบสวนพยานหลกั ฐานต่างๆ เพ่อื ใหไ้ ดค้ วามเป็นท่ี
ยตุ แิ ละเช่อื ถอื ได้ว่าผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นเจา้ ของทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ อยใู่ นเวลาท่ยี ่นื คําขอออก
ใบแทนโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ หรอื ไม่ ตามมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ และขอ้ ๑๗
(๑) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวล
กฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ แต่ในการออกใบแทนโฉนดท่ีดินดังกล่าว ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑
ได้ตรวจสอบโฉนดท่ีดินฉบบั สํานักงานท่ีดินและพยานบุคคลอีก ๒ คน ซ่ึงเป็นภรรยาและ
คนขบั รถของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เท่านัน้ กรณีจงึ ต้องพจิ ารณาว่าการสอบสวนพยานหลกั ฐาน
ดงั กล่าวเพยี งพอแลว้ หรอื ไมท่ จ่ี ะทาํ ใหเ้ ช่อื ถอื ไดว้ า่ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นเจา้ ของทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ
เลขท่ี ๒๙๙๘ และมสี ทิ ธขิ อออกใบแทนโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าว เม่อื ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าโฉนดทด่ี นิ
เลขท่ี ๒๙๙๘ ฉบบั สาํ นกั งานทด่ี นิ มกี ารจดรายการไถ่ถอนการขายฝากระหว่างผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
ผูซ้ ้อื ฝากกบั ผูฟ้ ้องคดผี ู้ขายฝากเม่อื วนั ท่ี ๔ มถิ ุนายน ๒๕๓๙ มรี ายขดี ฆ่าสแี ดงตรงช่องผู้รบั
สญั ญาและไม่มลี ายมอื ช่อื เจ้าพนักงานท่ดี นิ และตราประทบั ในช่องตําแหน่งเจา้ พนักงานท่ดี นิ
เม่อื พจิ ารณาตามวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์ของวญิ �ูชน ซ่งึ มหี น้าท่ใี นการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรม
ดงั เช่นผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ยอ่ มต้องเกดิ ความสงสยั ว่าเหตุใดโฉนดทด่ี นิ ฉบบั สํานกั งานทด่ี นิ ซง่ึ เป็น
เอกสารราชการและอยู่ในความครอบครองดูแลรกั ษาของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ จงึ มกี ารบนั ทึก
รายการไถ่ถอนการขายฝากทด่ี นิ ไวใ้ นสารบญั จดทะเบยี นทด่ี นิ ดงั กล่าวได้ ซง่ึ หากไม่มเี หตุใดๆ
ก็ย่อมจะไม่มกี ารบนั ทกึ รายการไถ่ถอนการขายฝากท่ดี นิ ลงในเอกสารดงั กล่าว ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑
จงึ ชอบทจ่ี ะทําการตรวจสอบพยานหลกั ฐานต่างๆ ใหส้ ้นิ สงสยั ว่าไดม้ กี ารไถ่ถอนการขายฝาก
ท่ดี นิ ตามรายการท่รี ะบุไว้ในสารบญั จดทะเบียนท่ดี ินจรงิ หรอื ไม่ และเจ้าพนักงานท่ีดนิ ผู้ใด
เป็นผู้จดรายการไถ่ถอนการขายฝากและเหตุใดเจ้าพนักงานท่ดี ินจงึ ไม่ได้ลงลายมอื ช่ือและ
ตราประทบั สารบญั จดทะเบยี นท่ดี นิ ซ่งึ อยู่ในวสิ ยั ท่ผี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ สามารถทําได้ โดยอาศยั
อํานาจตามมาตรา ๗๔ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ เรยี กผู้ฟ้องคดซี ่งึ เป็นผูจ้ ดทะเบยี น
ขายฝากทด่ี นิ กบั ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ มาสอบถาม ตลอดจนตรวจสอบเอกสารหลกั ฐานการรบั คาํ ขอ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๖

10

จดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมท่เี ก็บไว้ทส่ี ํานักงานท่ดี นิ แต่ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ หาได้กระทําการ
เช่นว่านัน้ ไม่ คงทําการสอบสวนแต่เพยี งพยานบุคคลซง่ึ เป็นภรรยาและคนขบั รถของผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ ซง่ึ ลว้ นแต่เป็นบุคคลทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งและมสี ่วนไดเ้ สยี กบั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ซง่ึ ผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ยอ่ มตระหนักว่าถ้อยคาํ ของบุคคลดงั กล่าวมนี ้ําหนกั ใหเ้ ช่อื ฟงั ได้น้อย กบั ตรวจสอบโฉนดทด่ี นิ
ฉบบั สาํ นกั งานทด่ี นิ เม่อื เหน็ ว่าโฉนดทด่ี นิ ฉบบั สาํ นักงานทด่ี นิ มกี ารจดรายการไถ่ถอนการขายฝาก
โดยระบุว่าไถ่ถอนการขายฝากเม่อื วนั ท่ี ๔ มถิ ุนายน ๒๕๓๙ แต่มรี ายขดี ฆ่าสแี ดงตรงช่องผูร้ บั
สญั ญาและไม่มลี ายมอื ช่อื เจา้ พนักงานท่ดี นิ และตราประทบั ในช่องตําแหน่งเจา้ พนักงานท่ดี นิ
รวมทงั้ หนังสอื สญั ญาขายฝากฉบบั สาํ นกั งานทด่ี นิ กไ็ มม่ กี ารจดแจง้ ระบุรายการไถ่ถอนการขายฝาก
และพน้ กําหนดเวลาไถ่ถอนการขายฝากแลว้ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ จงึ เป็นเจา้ ของทด่ี นิ กรณีจงึ เป็น
การสอบสวนพยานหลกั ฐานท่ียงั ไม่เพยี งพอให้วิญ�ูชนเช่นผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ เช่ือถือได้ว่า
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นเจา้ ของทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ทจ่ี ะมสี ทิ ธขิ อออกใบแทนโฉนดทด่ี นิ
ดงั กล่าวได้ หากผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้ตรวจสอบพยานหลกั ฐานต่างๆ และเจา้ หน้าทท่ี ่เี ก่ยี วขอ้ ง
ย่อมจะทราบว่าโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ได้มกี ารไถ่ถอนการขายฝากท่ดี นิ ไปแล้วตงั้ แต่วนั ท่ี
๔ มถิ ุนายน ๒๕๓๙ เน่ืองจากปรากฏพยานหลกั ฐานหลายประการว่าไดม้ กี ารไถ่ถอนการขายฝาก
เป็นต้นว่าใบสงั่ เงนิ ค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายและค่าภาษีอากรของสํานักงานท่ดี นิ จงั หวดั และ
ใบเสรจ็ รบั เงนิ ในราชการกรมทด่ี นิ ของสาํ นักงานทด่ี นิ จงั หวดั ทร่ี ะบุว่าไดร้ บั เงนิ จากผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
และผู้ฟ้องคดเี ป็นค่าไถ่ถอนการขายฝากท่ดี นิ ตามโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ประกอบกบั โฉนดท่ดี นิ
ฉบบั เจ้าของท่ดี นิ มกี ารจดทะเบยี นไถ่ถอนการขายฝากท่ดี นิ โฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ระหว่าง
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ กบั ผูฟ้ ้องคดโี ดยมรี อยตราประทบั และเจา้ พนักงานทด่ี นิ ไดล้ งลายมอื ช่อื กํากบั
ไวด้ ้วย รวมทงั้ หนังสอื สญั ญาขายฝากทด่ี นิ ลงวนั ท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๘ ระหว่างผู้ฟ้องคดี
กบั ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ปรากฏขอ้ ความตรงมมุ ขวาดา้ นบนของหนังสอื สญั ญาขายฝากดงั กล่าวว่า
จดทะเบยี นไถ่ถอนแลว้ ลงวนั ท่ี ๔ มถิ ุนายน ๒๕๓๙ ดงั นนั้ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ จงึ ตกเป็น
กรรมสทิ ธขิ ์ องผูฟ้ ้องคดดี งั เดมิ ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๔๙๒ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ จงึ มไิ ด้เป็นเจ้าของทด่ี นิ แปลงดงั กล่าว ประกอบกบั โฉนดท่ดี นิ
ฉบบั เจ้าของท่ีดนิ อยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดีตลอดมานับแต่เวลาท่ีมีการไถ่ถอน
การขายฝากโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ โฉนดทด่ี นิ ฉบบั เจา้ ของทด่ี นิ จงึ มไิ ดส้ ูญหายตามทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ กล่าวอ้างแต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ จึงไม่มีสิทธิย่ืนคําขอออกใบแทนโฉนดท่ีดิน
ตามมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ การทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ออกใบแทนโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่
ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ โดยตรวจสอบเฉพาะโฉนดทด่ี นิ ฉบบั สาํ นักงานทด่ี นิ และสอบสวนพยานบุคคล

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๖ ๓

11

จาํ นวน ๒ คน แลว้ ออกใบแทนโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๙๙๘ ใหแ้ ก่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ จงึ เป็นการออกคาํ สงั่
ทางปกครองทว่ี างอยบู่ นพน้ื ฐานของขอ้ เทจ็ จรงิ ทผ่ี ดิ พลาดคลาดเคล่อื น ไม่ถูกตอ้ งตามความเป็นจรงิ
อนั เป็นการกระทําท่ไี ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย เน่ืองจากขดั หรอื ไม่ถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา ๙
วรรคหน่ึง (๑) แห่งพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๕๘๓/๒๕๕๕)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๖

12

คดีพิพาทเก่ียวกบั ท่ีดิน
การขอออกโฉนดท่ีดินเป็ นการเฉพาะรายตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวล

กฎหมายท่ีดิน มีหลกั เกณฑ์ในการพิจารณาสองประการ คือ ๑) ผู้ขอออกโฉนดท่ีดิน
ต้องเป็ นบุคคลซ่ึงพนักงานเจ้าหน้ าที่สามารถออกโฉนดท่ีดินให้ได้ และ ๒) ท่ีดิ น
ที่ขอออกโฉนดที่ดินต้องไมม่ ลี กั ษณะต้องห้าม เม่ือที่ดินบริเวณที่นํารงั วดั ออกโฉนดท่ีดิน
มิใช่ที่ดินตามหลกั ฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) จึงเป็ นการนําแบบแจ้ง
การครอบครองท่ีดิน (ส.ค. ๑) สาํ หรบั ที่ดินแปลงอื่นมาใช้เป็นหลกั ฐานในการออกโฉนดที่ดิน
ผ้ขู อออกโฉนดท่ีดินจึงมิใช่ผ้มู ีสิทธิครอบครองท่ีดินโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะมีสิทธิ
ขอออกโฉนดท่ีดินเป็นการเฉพาะราย ส่วนที่ดินตามหลกั ฐานใบจองยงั คงมีสถานะเป็นที่ดิน
ของรฐั และไม่สามารถโอนไปยงั บุคคลอื่นได้หากยงั ไม่ได้รบั คาํ รบั รองจากนายอาํ เภอ
ว่าได้ทาํ ประโยชน์แล้ว เว้นแต่จะตกทอดทางมรดกตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อผู้ขอออกโฉนดที่ดินมิใช่บุคคลที่ได้รบั
การคัดเลือกให้เข้ายึดถือครอบครองท่ีดินของรฐั ตามหลักฐานใบจอง แม้จะอ้างว่า
ได้รับโอนที่ดิ นมาจากผู้ท่ีได้รับอนุญาตให้จับจองก็ตาม ก็ไม่อาจยกเป็ นข้ออ้าง
ต่อเจ้าพนักงานท่ีดินเพ่ือให้ออกโฉนดท่ีดินเป็ นการเฉพาะรายได้

ผู้ฟ้องคดฟี ้ องว่า มสี ิทธคิ รอบครองท่ดี นิ รวม ๓ แปลง แปลงท่ี ๑ เป็นท่ดี ิน
ตามหลกั ฐานแบบแจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) มชี ่อื นาย ง. เป็นผแู้ จง้ การครอบครองทด่ี นิ
แปลงท่ี ๒ เป็นท่ดี นิ ตามหลกั ฐานใบจองเลขท่ี ๓๔ มชี ่อื นาย ป. เป็นผู้ไดร้ บั อนุญาตใหจ้ บั จอง
และแปลงท่ี ๓ เป็นทด่ี นิ ตามหลกั ฐานใบจองเลขท่ี ๓๖ มชี ่อื นาย อ. เป็นผูไ้ ดร้ บั อนุญาตใหจ้ บั จอง
นาย ง. นาย ป. และนาย อ. ไดโ้ อนสทิ ธคิ รอบครองท่ดี นิ ดงั กล่าวใหผ้ ูฟ้ ้องคดี ผูฟ้ ้องคดไี ด้เขา้
ทําประโยชน์ในท่ีดินและเสียภาษีบํารุงท้องท่ีมาโดยตลอด ต่อมา ได้ย่นื คําขอออกโฉนดท่ดี ิน
เป็นการเฉพาะรายสําหรบั ท่ีดินทงั้ สามแปลง แต่ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๓ (เจ้าพนักงานท่ีดินจงั หวดั )
แจ้งว่าสภาพท่ีดินท่ีขอออกโฉนดเป็นเนินเขาสูงและป่ารกทึบ ช่างทําการรงั วัดไม่ได้ และ
ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบรเิ วณท่ดี นิ ดงั กล่าวตรงตามหลกั ฐาน ส.ค. ๑ และใบจองหรอื ไม่
และแจ้งว่านายอําเภอและองค์การบริหารส่วนตําบลคัดค้านการรังวัด อีกทัง้ เจ้าหน้าท่ี
ของผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๔ (ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจงั หวดั ) ซ่งึ ร่วมระวงั ช้ีแนวเขต
ยงั ไม่ทราบค่าพกิ ดั และรปู แผนท่ขี องท่ดี นิ จงึ ไม่สามารถรบั รองว่าทด่ี นิ อยู่ในหรอื นอกเขตป่าไม้

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๖ ๑

13

ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ จงึ มคี าํ สงั่ ยกเลกิ คาํ ขอออกโฉนดทด่ี นิ เน่ืองจากเหน็ ว่าตําแหน่งทด่ี นิ ไมต่ รงกบั
หลกั ฐาน ส.ค. ๑ และหลกั ฐานใบจองมชี ่อื ผู้ครอบครองท่ดี นิ ไม่ตรงกบั ช่อื ผูถ้ อื สทิ ธติ ามใบจอง
ซ่งึ ไม่อยู่ในหลกั เกณฑ์ท่ีจะออกโฉนดท่ีดนิ เป็นการเฉพาะรายได้ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวล
กฎหมายทด่ี นิ ผฟู้ ้องคดโี ตแ้ ยง้ คาํ สงั่ ดงั กล่าวและผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ ยนื ยนั คําสงั่ เดมิ จงึ ขอใหศ้ าล
มคี าํ พพิ ากษาหรอื คาํ สงั่ ใหผ้ ถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ถงึ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ รว่ มกนั หรอื แทนกนั ออกโฉนดทด่ี นิ
ตามหลกั ฐาน ส.ค. ๑ เลขท่ี ๓ และใบจองเลขท่ี ๓๔ และเลขท่ี ๓๖ ใหแ้ ก่ตน และหา้ มผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๔ คดั คา้ นการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ทงั้ สามแปลง

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า การออกโฉนดท่ีดินเป็นการเฉพาะราย
ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ มหี ลกั เกณฑใ์ นการพจิ ารณา ๒ ประการ ประการทห่ี น่ึง
ผขู้ อออกโฉนดทด่ี นิ เป็นบคุ คลซง่ึ พนกั งานเจา้ หน้าทอ่ี าจออกโฉนดทด่ี นิ ใหไ้ ดห้ รอื ไม่ ประการทส่ี อง
ทด่ี นิ ทข่ี อออกโฉนดมลี กั ษณะตอ้ งหา้ มหรอื ไม่ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามผลการสอบสวนพยานบุคคล
เอกสารหลกั ฐานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง รวมทงั้ ระวางแผนทภ่ี าพถ่ายทางอากาศของคณะทํางานตามคําสงั่
สาํ นกั งานทด่ี นิ จงั หวดั และของคณะกรรมการสอบสวนขอ้ เทจ็ จรงิ ตามคําสงั่ ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
(อธบิ ดกี รมทด่ี นิ ) ปรากฏวา่ ตําแหน่งบรเิ วณทท่ี าํ การรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ตามหลกั ฐานแบบแจง้
การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) เลขท่ี ๓ ใบจองเลขท่ี ๓๔ และเลขท่ี ๓๖ รปู ถ่ายสภาพทด่ี นิ ทข่ี อ
รงั วดั ออกโฉนด และระวางแผนทซ่ี ง่ึ แสดงแนวเขตปา่ ไมถ้ าวรและป่าสงวนแห่งชาตซิ ง่ึ ตรวจสอบ
ความถูกต้องแล้ว ว่าผู้ฟ้องคดยี ่นื คําขอออกโฉนดทด่ี นิ เป็นการเฉพาะรายโดยอาศยั หลกั ฐาน
ส.ค. ๑ เลขท่ี ๓ ซง่ึ มชี ่อื นาย ง. เป็นผแู้ จง้ การครอบครอง ผลการรงั วดั ไดเ้ น้ือทแ่ี ละระยะไม่ตรง
ตามแบบแจง้ การครอบครอบท่ดี นิ (ส.ค. ๑) สภาพท่ดี นิ เป็นเนินเขาสูง เม่อื ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔
ตรวจสอบแล้วพบว่าท่ดี ินเกือบทงั้ แปลงคาบเก่ียวกบั เขตป่าไม้ถาวร ขา้ งเคยี งเปล่ียนแปลง
ไมส่ อดคลอ้ งสมั พนั ธก์ บั หลกั ฐาน ส.ค. ๑ นอกจากน้ี ผู้เป็นเจา้ ของทด่ี นิ และอาศยั อย่ใู กลเ้ คยี ง
กบั ท่ดี นิ ท่ขี อรงั วดั ออกโฉนด และเป็นผู้ทราบขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั ประวตั คิ วามเป็นมาของทด่ี นิ
แปลงดงั กล่าวได้ให้ถ้อยคําว่าท่ดี นิ ท่ขี อรงั วดั เดมิ เป็นของนาย ป. ไม่มหี ลกั ฐานสําหรบั ท่ดี ิน
และมิใช่ท่ีดินของนาย ง. แต่อย่างใด อีกทัง้ บุตรของนาย ง. ผู้แจ้งการครอบครองท่ีดิน
กใ็ ห้ถ้อยคํายนื ยนั เช่นเดยี วกนั ว่าเป็นท่ดี นิ ของนาย ป. จงึ รบั ฟงั ได้ว่าท่ดี นิ บรเิ วณท่ผี ู้ฟ้องคดี
นํารงั วดั ออกโฉนดมใิ ช่ทด่ี นิ ตามหลกั ฐานแบบแจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) เลขท่ี ๓ กรณี
จงึ เป็นการนําแบบแจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) สําหรบั ทด่ี นิ แปลงอ่นื มาใช้เป็นหลกั ฐาน
ในการออกโฉนดทด่ี นิ ซง่ึ มผี ลใหผ้ ูฟ้ ้องคดมี ใิ ช่ผูม้ สี ทิ ธคิ รอบครองท่ดี นิ โดยชอบด้วยกฎหมาย
ทจ่ี ะมสี ทิ ธขิ อออกโฉนดทด่ี นิ เป็นการเฉพาะรายไดต้ ามมาตรา ๕๙ แหง่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๖

14

สําหรบั ท่ดี นิ ตามหลกั ฐานใบจองเลขท่ี ๓๔ และเลขท่ี ๓๖ นัน้ เหน็ ว่า ใบจอง
เป็นหลกั ฐานท่อี อกใหแ้ ก่บุคคลทม่ี คี ุณสมบตั เิ ฉพาะและไดร้ บั การคดั เลอื กใหเ้ ขา้ ยดึ ถอื ครอบครอง
ทด่ี นิ ของรฐั เพ่อื อยู่อาศยั หรอื ประกอบการทํามาหาเล้ยี งชพี เป็นการชวั่ คราว โดยบุคคลทไ่ี ดร้ บั
ใบจองจะต้องเรมิ่ ทําประโยชน์ในท่ดี นิ ภายในเวลาท่กี ําหนด หากบุคคลดงั กล่าวไม่ปฏบิ ตั ติ าม
ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ มอี ํานาจสงั่ ให้บุคคลนัน้ ออกไปจากท่ดี นิ นัน้ ได้ และนับแต่วนั ท่ไี ด้รบั คําสงั่
ให้บุคคลนัน้ ขาดสทิ ธิอนั จะพงึ ได้รบั ตามระเบียบข้อบงั คบั ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๑ มาตรา ๒๗
มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๓ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ประกอบกบั ระเบยี บว่าดว้ ยการจดั ทด่ี นิ
เพ่อื ประชาชน ลงวนั ท่ี ๒๔ สงิ หาคม ๒๔๙๘ ดงั นัน้ ทด่ี นิ ตามหลกั ฐานใบจองดงั กล่าวจงึ ยงั คง
มีสถานะเป็นท่ีดินของรัฐ และท่ีดินท่ีได้รบั อนุญาตให้จับจองจะโอนไปยังบุคคลอ่ืนไม่ได้
หากไม่ไดร้ บั คํารบั รองจากนายอําเภอว่าไดท้ ําประโยชน์แลว้ เวน้ แต่จะตกทอดทางมรดก ทงั้ น้ี
ตามมาตรา ๘ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ เม่อื ขอ้ เทจ็ จรงิ
ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดมี ใิ ช่ผู้ได้รบั การคดั เลอื กให้เข้ายดึ ถอื ครอบครองท่ดี นิ ของรฐั ตามหลกั ฐาน
ใบจองเลขท่ี ๓๔ และเลขท่ี ๓๖ และแม้จะอ้างว่าไดร้ บั โอนท่ดี นิ โดยซอ้ื มาจากผูไ้ ดร้ บั อนุญาต
ให้จบั จองก็ตาม ผู้ฟ้องคดกี ็ไม่อาจยกข้อเท็จจรงิ ดงั กล่าวเป็นข้ออ้างต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี
และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ เพ่อื ให้ออกโฉนดท่ีดนิ เป็นการเฉพาะรายโดยอาศยั หลกั ฐานใบจองได้
เน่ืองจากทพ่ี พิ าทตามหลกั ฐานใบจองทงั้ สองฉบบั ยงั คงมสี ถานะเป็นท่ดี นิ ของรฐั และต้องหา้ มโอน
ผู้ฟ้องคดจี งึ มใิ ช่ผู้มสี ทิ ธคิ รอบครองท่ดี ินโดยชอบด้วยกฎหมายท่จี ะมสี ทิ ธขิ อออกโฉนดท่ดี ิน
เป็นการเฉพาะรายโดยอาศยั หลกั ฐานใบจองดงั กล่าวไดต้ ามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ
ดงั นัน้ การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๓ มคี ําสงั่ ให้ยกเลกิ คําขอออกโฉนดท่ดี นิ ทงั้ สามแปลงของผู้ฟ้องคดี
จงึ เป็นคาํ สงั่ ทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๘๒๗/๒๕๕๕)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๖ ๓

15

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ที่ดิน

กรณีที่ศาลจงั หวดั มีคาํ สงั่ ตงั้ ผ้จู ดั การมรดกไว้หลายคน ผ้จู ดั การมรดก
แต่ละคนมีหน้าที่ในการจดั การทรพั ยม์ รดกร่วมกนั ตามท่ีกาํ หนดไว้ในมาตรา ๑๗๒๖ แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดงั นัน้ การที่ทายาทผมู้ ีสิทธิรบั มรดกตามพินัยกรรม
และศาลมีคําสัง่ ตัง้ เป็ นผ้จู ดั การมรดกตามข้อกําหนดพินัยกรรม ยื่นคําขอจดทะเบียน
โอนมรดกท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามที่พินัยกรรมกาํ หนดไว้ อนั ถือเป็ นการจดั การทรพั ย์
มรดกโดยลาํ พงั เพียงผเู้ ดียวและเจ้าพนักงานท่ีดินมีคาํ สงั่ ไม่จดทะเบียนโอนมรดกให้ตามที่
ร้องขอ จึงเป็ นคาํ สงั่ ทางปกครองท่ีชอบด้วยกฎหมายและไม่ถือว่าเจ้าพนักงานที่ดิน
ละเลยต่อหน้าท่ีในการจดทะเบียนโอนมรดกให้แก่ผ้ยู ื่นคาํ ขอตามมาตรา ๗๑ ประกอบกบั
มาตรา ๘๒ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

ผู้ฟ้ องคดีฟ้ องว่า นาย บ. ได้ทําพินัยกรรมระบุยกท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๑๙๐
และเลขท่ี ๕๐๐๙๒ พร้อมสง่ิ ปลูกสรา้ งให้แก่ตน และตงั้ ตนเองเป็นผู้จดั การมรดก เม่อื นาย บ.
ถึงแก่ความตาย ศาลจงั หวดั ได้มคี ําสงั่ ตงั้ ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้จดั การมรดกเม่อื วนั ท่ี ๑๙ ตุลาคม
๒๕๕๐ กบั ใหม้ สี ทิ ธหิ น้าทต่ี ามกฎหมาย ต่อมา ผฟู้ ้องคดกี ไ็ ดน้ ําโฉนดทด่ี นิ ทงั้ สองแปลงไปย่นื
คําขอจดทะเบยี นลงช่อื ตนเองเป็นผู้จดั การมรดกและขอให้โอนมรดกท่ดี นิ ทงั้ สองแปลงใหต้ าม
พินัยกรรม พนักงานเจ้าหน้าท่ีได้จดทะเบียนลงช่ือผู้ฟ้ องคดีเป็นผู้จดั การมรดก แต่ไม่ได้
จดทะเบยี นโอนมรดกทด่ี นิ ให้ โดยผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (เจา้ พนกั งานทด่ี นิ จงั หวดั ) แจง้ ว่าผูฟ้ ้องคดี
จะจดั การทรพั ยม์ รดกโดยขอโอนมรดกใหแ้ ก่ทายาทตามพนิ ัยกรรมฝ่ายเดยี วไม่ได้ แต่จะต้อง
จดทะเบียนลงช่อื นาย ล. ซ่งึ เป็นผู้จดั การมรดกตามคําสงั่ ศาลจงั หวดั ลงวนั ท่ี ๑๑ กนั ยายน
๒๕๕๐ ในโฉนดทด่ี นิ ด้วย ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ มคี ําสงั่ ไม่จดทะเบยี นโอนมรดกตามพนิ ัยกรรม
ใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี ผฟู้ ้องคดไี มเ่ หน็ ดว้ ยจงึ อุทธรณ์คาํ สงั่ ดงั กล่าว แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (ผูว้ ่าราชการ
จงั หวดั ) ในฐานะผู้มอี ํานาจพิจารณาอุทธรณ์มคี ําสงั่ ยกอุทธรณ์ จึงขอให้ศาลมคี ําพิพากษา
ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จดทะเบยี นโอนมรดกทด่ี นิ พพิ าทใหแ้ ก่ตน

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า เม่อื ปรากฏว่าก่อนท่ศี าลจงั หวดั จะมคี ําสงั่ ตงั้
ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้จดั การมรดก ศาลจงั หวดั ได้มคี ําสงั่ ตงั้ นาย ล. เป็นผู้จดั การมรดกของนาย บ.
และให้มสี ทิ ธหิ น้าทต่ี ามกฎหมายไวแ้ ล้ว แมต้ ามคําสงั่ ศาลดงั กล่าวจะไม่ปรากฏว่าใหผ้ ู้ฟ้องคดี
และนาย ล. เป็นผู้จดั การมรดกร่วมกนั แต่คําสงั่ ศาลดงั กล่าวก็มผี ลทําให้ผู้ฟ้องคดแี ละนาย ล.
ในฐานะผูจ้ ดั การมรดกตามคาํ สงั่ ศาลมสี ทิ ธแิ ละหน้าทจ่ี ดั การทรพั ยส์ นิ อนั เป็นมรดกของนาย บ.

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖ ๑

16

เจา้ มรดกทงั้ หมดเพ่อื ให้เป็นไปตามขอ้ กําหนดพนิ ัยกรรม และจดั การมรดกทวั่ ไปเพ่อื แบ่งปนั
ให้แก่ทายาทผู้มสี ิทธิรบั มรดกตามมาตรา ๑๗๑๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และเป็นกรณีท่มี ผี ู้จดั การมรดกหลายคนซ่งึ ในการจดั การมรดกหากตกลงกนั ไม่ได้ต้องถือเอา
เสยี งขา้ งมากในการจดั การ เว้นแต่จะมขี อ้ กําหนดพนิ ัยกรรมเป็นอย่างอ่นื ถ้าเสยี งเท่ากนั ก็ให้ศาล
เป็นผชู้ ข้ี าด ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๑๗๒๖ แหง่ ประมวลกฎหมายขา้ งต้น ผูฟ้ ้องคดจี งึ ไม่มสี ทิ ธหิ น้าท่ี
ตามกฎหมายท่จี ะจดั การทรพั ย์มรดกของนาย บ. โดยลําพงั แต่เพยี งผู้เดยี ว แมว้ ่าผู้ฟ้องคดี
จะเป็นทายาทผู้มีสิทธิรบั มรดกตามพินัยกรรมและศาลจงั หวัดได้มีคําสัง่ ตัง้ ผู้ฟ้ องคดีเป็น
ผจู้ ดั การมรดกตามขอ้ กําหนดพนิ ยั กรรมกต็ าม ดงั นัน้ การทผ่ี ฟู้ ้องคดซี ง่ึ มชี ่อื เป็นผูจ้ ดั การมรดก
ในท่ดี นิ โฉนดเลขท่ี ๑๙๐ และเลขท่ี ๕๐๐๙๒ ย่นื คําขอจดทะเบยี นโอนมรดกทด่ี นิ ทงั้ สองแปลง
ดงั กล่าวพรอ้ มสงิ่ ปลูกสรา้ งใหแ้ ก่ตนเองตามพนิ ัยกรรมของนาย บ. และต่อมาผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑
มคี ําสงั่ ไม่จดทะเบยี นโอนมรดกท่ดี นิ ให้ตามท่รี อ้ งขอ เน่ืองจากเห็นว่าการจดั การทรพั ยม์ รดก
ดงั กล่าวถือเป็นกรณีท่ีศาลตงั้ ผู้จดั การมรดกไว้หลายคน ผู้จดั การมรดกแต่ละคนจะจดั การ
ทรพั ย์มรดกเพยี งลําพงั ไม่ได้ ต้องจดั การร่วมกนั หากตกลงกนั ไม่ได้ต้องให้ศาลเป็นผู้ช้ขี าด
คาํ สงั่ ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ดงั กล่าวจงึ เป็นคําสงั่ ทางปกครองท่ชี อบด้วยกฎหมาย และถอื ไม่ไดว้ ่า
ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ละเลยต่อหน้าท่ใี นการจดทะเบยี นโอนมรดกให้แก่ผูฟ้ ้องคดตี ามมาตรา ๗๑
ประกอบกบั มาตรา ๘๒ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ เมอ่ื คาํ สงั่ ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ชอบดว้ ยกฎหมาย
คาํ สงั่ ยกอุทธรณ์ของผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ จงึ ชอบดว้ ยกฎหมายเชน่ กนั

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ. ๘๒๘/๒๕๕๕)
ผทู้ ่ีจะมสี ิทธิแจ้งความประสงคจ์ ะได้สิทธิในท่ีดิน (ส.ค. ๒) ตามมาตรา ๒๗ ตรี
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต้องเป็ นผ้ทู ่ีครอบครองและทาํ ประโยชน์ในที่ดินเท่านัน้ การท่ี
บุคคลใดได้รบั โอนและครอบครองทําประโยชน์ในที่ดินต่อจากผ้แู ย่งการครอบครอง
ย่อมได้รบั โอนสิทธิและหน้าที่เท่าที่ผโู้ อนการครอบครองมีอยู่เท่านัน้ ถือไม่ได้ว่าผ้รู บั โอน
เป็นผ้คู รอบครองและทาํ ประโยชน์ในท่ีดินต่อเน่ืองจากผคู้ รอบครองเดิมตามมาตรา ๒๗ ตรี
วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน และไม่อาจนําหลกั ฐาน ส.ค. ๒ ท่ีผ้คู รอบครองเดิม
เคยแจ้งไว้โดยไม่ชอบ มาเป็ นหลกั ฐานประกอบการขอออกโฉนดท่ีดินสําหรบั ท่ีดิน
ดงั กล่าวได้ ดงั นัน้ เม่ือผ้รู บั โอนไม่มีหลกั ฐานอื่นใดท่ีแสดงว่าเป็ นผ้มู ีสิทธิในที่ดินที่ได้

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖

17

ครอบครองและทาํ ประโยชน์อนั จะมีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินได้ การท่ีเจ้าพนักงานที่ดิน
มีคาํ สงั่ ไม่ออกโฉนดท่ีดินให้ตามคาํ ขอ จึงเป็นคาํ สงั่ ท่ีชอบด้วยกฎหมาย

ผู้ฟ้องคดฟี ้องว่า ได้ขอออกโฉนดท่ดี นิ โดยใช้หลกั ฐานใบแจ้งความประสงค์
จะได้สทิ ธใิ นท่ดี นิ (ส.ค. ๒) เลขท่ี ๔๔ เน้ือท่ปี ระมาณ ๕๔ ไร่ ท่ีนาง ค. เป็นผู้แจง้ เม่อื วนั ท่ี
๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๑๙ แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (เจา้ พนกั งานทด่ี นิ สาขา) แจง้ ว่าทด่ี นิ ทข่ี อออกโฉนด
ไม่อยู่ในหลกั เกณฑท์ ่จี ะออกโฉนดท่ดี นิ ได้ เน่ืองจากบรเิ วณท่ขี อรงั วดั นาง ค. (ผู้ครอบครองเดมิ )
ไม่ได้นําเดนิ สํารวจเพ่อื ออกเอกสารสทิ ธใิ นท่ดี นิ หมดทงั้ แปลง ( น.ส. ๓ ก.) เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๑
เพราะทด่ี นิ ยงั มสี ภาพเป็นปา่ ทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ ไมเ่ ตม็ เน้ือทต่ี ามทน่ี าง ค. แจง้ ส.ค. ๒ การรวม
ทด่ี นิ ทไ่ี ม่ไดท้ ําประโยชน์เขา้ ไปดว้ ยย่อมไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย นอกจากนนั้ การทผ่ี ู้ฟ้องคดไี ดซ้ ้อื
ทด่ี นิ มาจากนาย ม. เน้ือทป่ี ระมาณ ๕ ไร่ โดยนาย ม. ไดแ้ ยง่ การครอบครองทด่ี นิ ส่วนทเ่ี หลอื จาก
นาง ค. จงึ ไมถ่ อื เป็นผคู้ รอบครองต่อเน่ืองจากผู้ครอบครองเดมิ และไม่อาจนําหลกั ฐาน ส.ค. ๒
เลขท่ี ๔๔ ของนาง ค. มาเป็นหลกั ฐานในการออกโฉนดท่ดี นิ ไดต้ ามมาตรา ๕๙ ทวิ ผู้ฟ้องคดี
อุทธรณ์คําสงั่ แต่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (เจา้ พนักงานทด่ี นิ จงั หวดั ) เหน็ เป็นอย่างเดยี วกบั คําสงั่ ของ
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ผูฟ้ ้องคดเี หน็ ว่าตนไดซ้ อ้ื ทด่ี นิ มาโดยสุจรติ และการทน่ี าย ม. แยง่ การครอบครอง
และทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ มาประมาณ ๓๕ ปีนัน้ นาง ค. กไ็ มไ่ ดค้ ดั คา้ นหรอื ฟ้องเรยี กคนื แต่อย่างใด
นาย ม. จงึ เป็นผู้ครอบครองต่อเน่ืองจากนาง ค. จงึ ขอให้ศาลปกครองเพกิ ถอนคําสงั่ ไม่ออก
โฉนดทด่ี นิ และใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ดาํ เนินการออกโฉนดทด่ี นิ

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า เม่อื ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าทด่ี นิ แปลงน้ีเดมิ นาง ค.
ไดค้ รอบครองโดยไมม่ หี ลกั ฐานใดๆ ต่อมา นาง ค. ไดแ้ จง้ ความประสงคจ์ ะไดส้ ทิ ธใิ นทด่ี นิ (ส.ค. ๒)
เม่อื วนั ท่ี ๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๑๙ เน้ือทป่ี ระมาณ ๕๔ ไร่ และในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นาง ค. ได้นํา
เดนิ สาํ รวจทด่ี นิ และไดร้ บั น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๓๐๔ ไดเ้ น้ือทป่ี ระมาณ ๓๓ ไร่ ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑
นาง ค. ไดข้ อรงั วดั ตรวจสอบเน้ือทต่ี ามหลกั ฐาน น.ส. ๓ ก. แปลงดงั กล่าวไดเ้ น้ือทป่ี ระมาณ ๔๔ ไร่
โดยไม่ได้นํา ส.ค. ๒ เลขท่ี ๔๔ ไปเป็นหลกั ฐานในการออก น.ส. ๓ ก. ดงั กล่าว ซ่งึ ตามหลกั ฐาน
ส.ค. ๒ เลขท่ี ๔๔ ท่นี าง ค. ได้แจ้งความประสงค์จะได้สทิ ธใิ นท่ดี ินมเี น้ือท่ปี ระมาณ ๕๔ ไร่
แต่นาง ค. ไม่ได้นําเดนิ สํารวจเพ่ือออกเอกสารสทิ ธใิ นท่ดี นิ หมดทงั้ แปลง การท่ีนาง ค. ได้ให้
ถ้อยคําว่าท่ดี นิ แปลงท่เี หลอื ยงั เป็นป่าทําประโยชน์ในทด่ี นิ ไม่หมด เม่อื นาง ค. แจง้ ความประสงค์
จะได้สิทธิในท่ีดิน (ส.ค. ๒) โดยรวมเอาท่ีดินท่ียังไม่ได้ทําประโยชน์ไปด้วยย่อมไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมาย เน่ืองจากกฎหมายกําหนดใหผ้ คู้ รอบครองและทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ เท่านนั้ ถงึ จะมสี ทิ ธิ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖ ๓

18

แจ้งความประสงค์จะได้สทิ ธใิ นท่ดี นิ (ส.ค. ๒) ตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
อกี ทงั้ ผู้ฟ้องคดไี ด้ซ้อื ท่ดี นิ แปลงน้ีมาจากนาย ม. โดยเป็นท่ดี นิ ทน่ี าย ม. เขา้ แย่งการครอบครอง
ท่ดี นิ ส่วนท่เี หลอื ดงั กล่าวจากนาง ค. โดยนาย ม. ไม่ได้ดําเนินการใดๆ เก่ียวกบั เอกสารสทิ ธิ
ในท่ีดินสําหรบั ท่ีดินแปลงน้ี จนกระทัง่ ผู้ฟ้ องคดีได้ซ้ือท่ีดนิ แปลงท่เี หลือเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๗
จากนาย ม. เน้ือท่ีประมาณ ๕ ไร่ และครอบครองทําประโยชน์เร่ือยมา โดยท่ีผู้ฟ้ องคดี
ไดค้ รอบครองต่อเน่ืองมาจากการแย่งการครอบครองของนาย ม. ผูฟ้ ้องคดยี ่อมได้รบั โอนสทิ ธิ
และหน้าท่เี ท่าท่มี อี ย่ขู องนาย ม. ผู้โอนการครอบครองเท่านัน้ กรณีจงึ ถอื ไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดเี ป็น
ผคู้ รอบครองและทําประโยชน์ในทด่ี นิ ต่อเน่ืองจากนาง ค. ผูค้ รอบครองเดมิ ตามมาตรา ๒๗ ตรี
วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ผูฟ้ ้องคดจี งึ ไมอ่ าจนําหลกั ฐาน ส.ค. ๒ ของนาง ค. มาย่นื
คาํ ขอต่อผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ เพอ่ื ขอใหอ้ อกโฉนดสาํ หรบั ทด่ี นิ ดงั กลา่ วได้ ประกอบกบั ผูฟ้ ้องคดไี ม่มี
หลกั ฐานอ่นื ใดท่แี สดงว่าเป็นผู้มสี ทิ ธใิ นทด่ี นิ ทไ่ี ดค้ รอบครองและทาํ ประโยชน์แลว้ อนั จะมสี ทิ ธิ
ขอออกโฉนดทด่ี นิ ไดต้ ามมาตรา ๕๙ และมาตรา ๕๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายดงั กล่าว อกี ทงั้
ผฟู้ ้องคดไี ดซ้ อ้ื ทด่ี นิ แปลงดงั กลา่ วมาภายหลงั จากทพ่ี ระราชกฤษฎกี ากําหนดเขตทด่ี นิ ในบรเิ วณ
ท่พี พิ าทให้เป็นเขตปฏริ ูปท่ดี นิ มผี ลใช้บงั คบั แล้ว จงึ ไม่สามารถออกโฉนดท่ดี นิ ซ่งึ ไม่มหี ลกั ฐาน
ในทด่ี นิ ได้ ดงั นนั้ การทผ่ี ถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ มคี าํ สงั่ ไมอ่ อกโฉนดทด่ี นิ ตามคาํ ขอรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ
ให้ผู้ฟ้องคดจี งึ เป็นคําสงั่ ท่ชี อบด้วยกฎหมาย และเม่อื คําสงั่ ดงั กล่าวชอบด้วยกฎหมาย การท่ี
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ มคี าํ วนิ จิ ฉยั ยกอุทธรณ์ของผฟู้ ้องคดจี งึ เป็นคาํ สงั่ ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายเชน่ กนั

ส่วนทผ่ี ฟู้ ้องคดอี า้ งวา่ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดส้ งั่ การตามหนังสอื ร.ว. ๓ ก ใหเ้ จา้ หน้าท่ี
ดาํ เนินการตามเสนอแลว้ แต่กลบั มคี ําสงั่ ไม่ออกโฉนดใหน้ ัน้ เหน็ ว่า ร.ว. ๓ ก ดงั กล่าวเป็นเอกสาร
รายงานการรงั วดั ทพ่ี นักงานเจา้ หน้าท่ี (ช่างรงั วดั ) ทําขน้ึ เพ่อื ทําการรงั วดั ออกโฉนดท่ดี นิ เม่อื มี
ผมู้ ายน่ื ขอออกโฉนดทด่ี นิ แลว้ รายงานใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาทราบ ซง่ึ การรงั วดั เป็นเพยี งขนั้ ตอนหน่ึง
ในการออกโฉนดท่ดี นิ โดยคําสงั่ ให้ดําเนินการตามเสนอดงั กล่าวเป็นการสงั่ การตามความเหน็
ของฝา่ ยรงั วดั ทใ่ี หส้ ่งฝา่ ยทะเบยี นดาํ เนินการตามขนั้ ตอนต่อไปเท่านนั้ ไมใ่ ช่คําสงั่ ใหอ้ อกโฉนดทด่ี นิ
แต่อย่างใด ซ่งึ กรณีของผู้ฟ้องคดนี ัน้ เจ้าพนักงานท่ดี ินจงั หวดั ผู้มอี ํานาจพิจารณาออกโฉนด
ยงั ไมไ่ ดพ้ จิ ารณาออกโฉนดทด่ี นิ แต่อยา่ งใด ขอ้ กลา่ วอา้ งของผฟู้ ้องคดใี นประเดน็ น้ีจงึ ฟงั ไมข่ น้ึ

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๑๕/๒๕๕๖)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖

19

คดีพิพาทเก่ียวกบั การจดั สรรที่ดิน

ผ้จู ดั สรรที่ดินจะต้องทําการจดั สรรที่ดินและใช้ประโยชน์ท่ีดินจดั สรร
ให้เป็ นไปตามแผนผงั โครงการจดั สรรท่ีดินตามที่ได้รบั อนุญาต ซ่ึงข้อกาํ หนดการใช้
ประโยชน์ท่ีดินจดั สรรตามแผนผงั โครงการจดั สรรท่ีดินท่ีได้รบั อนุญาตมิได้มีผลผกู พนั
เฉพาะผ้จู ดั สรรหรือบุคคลผ้รู บั โอนท่ีดินจดั สรรเท่านัน้ แต่เป็ นข้อกาํ หนดที่มีลกั ษณะ
ผูกพนั ต่อที่ดินจดั สรรในโครงการจดั สรรตราบเท่าที่ที่ดินนัน้ ยงั คงเป็ นท่ีดินจดั สรร
ตามกฎหมาย และย่อมผกู พนั ไปกบั ที่ดินจดั สรรเสมอไม่ว่าที่ดินจดั สรรนัน้ จะโอนไปเป็น
ของบุคคลใดกต็ าม นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าผ้จู ดั สรรที่ดินจะอุทิศถนนในโครงการจดั สรร
ท่ีดินให้เป็นสาธารณประโยชน์กม็ ีความหมายแต่เพียงว่าผ้จู ดั สรรที่ดินหมดหน้าที่ในการ
บาํ รงุ รกั ษากิจการสาธารณูปโภคเท่านัน้ มิได้มีความหมายหรือมีผลให้ข้อกาํ หนดการใช้
ประโยชน์ที่ดินจดั สรรตามแผนผงั โครงการจดั สรรท่ีดินท่ีได้รบั อนุญาตต้องเปลี่ยนแปลง
หรอื สิ้นผลไป ดงั นัน้ เมื่อแผนผงั โครงการจดั สรรที่ดินกาํ หนดให้ท่ีดินแปลงพิพาทใช้สาํ หรบั
ก่อสร้างอาคารบ้านเด่ียวเพื่อเป็ นท่ีพกั อาศยั การใช้ประโยชน์ในที่ดินจดั สรรจึงกระทาํ ได้
แต่เฉพาะเป็ นบ้านเดี่ยว ไม่สามารถนําไปใช้ประกอบการพาณิ ชย์หรือการอื่นใดให้ผิดไป
จากแผนผงั โครงการตามท่ีได้รบั อนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการจดั สรรที่ดิน การที่
เจ้าพนักงานท้องถ่ินได้ออกใบอนุญาตให้ผรู้ บั โอนที่ดินจดั สรรก่อสร้างอาคาร ๔ ชนั้ ๔ คหู า
จาํ นวน ๓๒ ห้อง เป็นอาคารอยู่อาศยั รวมและอาคารพาณิ ชยบ์ นที่ดินแปลงพิพาท อนั เป็ น
การใช้ประโยชน์ท่ีดินจดั สรรผิดไปจากข้อกาํ หนดในแผนผงั โครงการจดั สรรท่ีดิน จึงเป็ น
การออกใบอนุญาตท่ีใช้ดลุ พินิจโดยไม่คาํ นึงถึงสิทธิประโยชน์ของผ้ซู ื้อท่ีดินจดั สรรส่วนรวม
ที่ต้องได้รบั ผลกระทบต่อชีวิตความเป็ นอยู่ที่ไม่เหมาะสมต่อการอยู่อาศยั อย่างปกติสุข
ภายในหมู่บ้านจดั สรร และขดั ต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายเก่ียวกบั การจดั สรรท่ีดิน

ผู้ฟ้องคดีทงั้ หกสบิ ห้าคนฟ้องว่า ได้ซ้ือบ้านพร้อมท่ดี ินจากบรษิ ัท ศ. ผู้ได้รบั
อนุญาตให้เป็นผู้จดั สรรท่ดี ินตามประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕) โดย
แผนผงั โครงการจดั สรรท่ดี นิ ไดแ้ บ่งแยกท่ดี นิ ออกเป็นทอ่ี ย่อู าศยั ประเภทบา้ นเดย่ี วและเรอื นแถว
แบบทาวน์เฮ้าสท์ ่มี คี วามสูงไม่เกิน ๒ ชนั้ โดยมคี ณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผูด้ ําเนินการบรหิ าร
จดั การเกย่ี วกบั สาธารณูปโภคและกจิ การต่างๆ ภายในหมบู่ า้ นเป็นเวลาไม่ต่ํากว่า ๑๕ ปี ต่อมา
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (นายกเทศมนตรนี ครปากเกรด็ ) ไดอ้ อกใบอนุญาตก่อสรา้ งอาคาร ค.ส.ล. ๔ ชนั้

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖ ๕

20

จํานวน ๔ คูหา ให้แก่ผูร้ อ้ งสอดเพ่อื ใชเ้ ป็นท่พี กั อาศยั ในท่ดี นิ จดั สรรแปลงท่ี ๑๔๗ และ ๑๔๘
และได้ออกใบอนุญาตให้ผู้ร้องสอดดดั แปลงอาคารเดมิ ท่ขี ออนุญาต แต่การก่อสร้างอาคาร
ดงั กล่าวไม่ได้เป็นอาคาร ๔ คูหา กลบั มลี กั ษณะเป็นตึกเดยี วกนั แต่ละชนั้ แบ่งเป็นห้องย่อย
หลายห้อง และมหี ้องน้ําในตวั เป็นการเฉพาะ มลี กั ษณะเป็นการทําธุรกจิ ให้บุคคลภายนอกเช่า
ผฟู้ ้องคดเี หน็ วา่ การทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ อนุญาตใหก้ ่อสรา้ งอาคารดงั กล่าวไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
เพราะผดิ ไปจากเง่อื นไขตามแผนผงั โครงการจดั สรรทด่ี นิ ท่ไี ด้รบั อนุญาตและเจตนารมณ์ของ
การจดั สรรท่ดี นิ ทจ่ี าํ กดั ใหม้ อี าคารประเภทบา้ นเด่ยี วและบา้ นแถวแบบทาวน์เฮาส์ ทําให้ผูฟ้ ้องคดี
ได้รบั ความเดือดร้อนเสยี หาย จงึ ฟ้ องขอให้ศาลปกครองมคี ําพิพากษาหรอื คําสงั่ เพกิ ถอน
ใบอนุญาตใหก้ ่อสรา้ งอาคารดงั กลา่ ว

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า ในการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคาร
เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบญั ญตั คิ วบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ นอกจากจะต้องพจิ ารณา
ตามพระราชบญั ญตั คิ วบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ แลว้ ยงั ต้องพจิ ารณากฎหมายอ่นื ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งดว้ ย
ได้แก่ กฎหมายผงั เมอื ง กฎหมายจดั สรรท่ดี นิ เม่อื อาคารพพิ าทได้ก่อสร้างอยู่ในท่ดี นิ จดั สรร
การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ จะพจิ ารณาออกใบอนุญาตก่อสรา้ งอาคาร จงึ ต้องพจิ ารณากฎหมาย
ท่ีเก่ียวกับการจัดสรรท่ีดินด้วย ซ่ึงประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕)
เป็นกฎหมายเก่ยี วกบั การจดั สรรท่ดี นิ ท่ใี ชบ้ งั คบั อยู่ในขณะท่บี รษิ ทั ศ. ทําการจดั สรรท่ดี นิ และ
เป็นกฎหมายท่กี ําหนดหลกั เกณฑ์เก่ยี วกบั การจดั สรรท่ดี ินท่มี เี จตนารมณ์เพ่อื คุ้มครองผู้ซ้ือ
ท่ดี นิ จดั สรร และต้องการควบคุมดูแลและกําหนดมาตรการใช้ประโยชน์ท่ดี ินเพ่ือประโยชน์
แห่งการผงั เมอื ง ความสะดวกแก่การจราจร สุขลกั ษณะ ความปลอดภยั และความเป็นระเบยี บ
เรียบร้อยของเมือง โดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวแบ่งการจัดสรรท่ีดินออกเป็น
๓ ประเภท คือ (๑) ท่ีอยู่อาศัย (๒) ท่ีประกอบการพาณิชย์ (๓) ท่ีประกอบการอุตสาหกรรม
และกําหนดให้ผู้จดั สรรท่ดี นิ ต้องย่นื คําขออนุญาตจดั สรรท่ดี นิ พร้อมทงั้ แผนผงั โครงการและ
วิธีการจดั สรรท่ีดินต่อคณะกรรมการควบคุมการจดั สรรท่ีดิน และเม่ือได้รบั อนุญาตให้ทําการ
จดั สรรทด่ี นิ แลว้ ผูจ้ ดั สรรทด่ี นิ จะต้องทําการจดั สรรทด่ี นิ และใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ จดั สรรใหเ้ ป็นไป
ตามแผนผงั โครงการจดั สรรทด่ี นิ ตามท่ไี ดร้ บั อนุญาตด้วย หากมกี ารแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงแผนผงั
โครงการกจ็ ะตอ้ งไดร้ บั อนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการจดั สรรทด่ี นิ ก่อนตามขอ้ ๗ ขอ้ ๙
ขอ้ ๑๐ ขอ้ ๑๑ ขอ้ ๑๗ และขอ้ ๓๙ แห่งประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕)
ซ่งึ ข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ท่ดี ินจดั สรรตามแผนผงั โครงการจดั สรรท่ีดนิ ท่ไี ด้รบั อนุญาต
เป็นขอ้ กําหนดทม่ี ลี กั ษณะผกู พนั กบั ทด่ี นิ จดั สรรในโครงการจดั สรรตราบเท่าทท่ี ด่ี นิ นนั้ ยงั คงเป็น

๖ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖

21

ทด่ี นิ จดั สรรตามกฎหมาย และย่อมผูกพนั ไปกบั ท่ดี นิ จดั สรรเสมอไม่ว่าท่ดี นิ จดั สรรนัน้ จะโอน
ไปเป็นของบุคคลใดกต็ ามมใิ ชเ่ ป็นเพยี งขอ้ กําหนดทผ่ี ูกพนั กบั บุคคลหรอื เฉพาะกบั ผจู้ ดั สรรทด่ี นิ
เท่านัน้ ดงั นัน้ เม่อื ผู้รอ้ งสอดเป็นผู้รบั โอนกรรมสทิ ธใิ ์ นท่ดี นิ จดั สรร ผู้รอ้ งสอดจงึ ต้องผูกพนั
ตามขอ้ กําหนดการใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ จดั สรรตามผงั การจดั สรรทด่ี นิ ตามทบ่ี รษิ ทั ศ. ไดร้ บั อนุญาต
จากคณะกรรมการควบคุมการจดั สรรท่ดี นิ ด้วย ส่วนการท่บี รษิ ทั ศ. ผู้จดั สรรท่ดี ินอุทิศถนน
ในท่ดี นิ จดั สรรให้เป็นสาธารณประโยชน์นัน้ เม่อื การวางแผนผงั โครงการจดั สรรท่ีดนิ ถือเป็น
การวางขอ้ กําหนดการใช้ประโยชน์ท่ดี นิ จดั สรรในเร่อื งต่างๆ ภายในบรเิ วณขอบเขตแผนผงั
เพ่อื ใหก้ ารใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ เป็นไปตามแนวทางทก่ี ําหนด ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยระบบและมาตรฐาน
ของถนนและทางเท้า ระบบการระบายน้ํา ระบบบําบดั น้ําโสโครก ระบบไฟฟ้า ระบบประปา
ระบบโทรศพั ท์ ตลอดจนสาธารณูปโภคและบรกิ ารสาธารณะอ่นื ท่จี ําเป็น มไิ ด้จาํ กดั เฉพาะเร่อื ง
ของถนน ซ่งึ การกําหนดระบบต่างๆ ขา้ งต้นต้องมคี วามเหมาะสมกบั จํานวนผูอ้ าศยั ในโครงการ
จดั สรรท่ีดิน การจะแก้ไขเปล่ียนแปลงข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ท่ีดินจดั สรรตามแผนผัง
โครงการจดั สรรท่ดี นิ จะทําได้กต็ ่อเม่อื คณะกรรมการควบคุมการจดั สรรท่ดี นิ อนุญาตให้แก้ไข
เปล่ยี นแปลงได้ตามข้อ ๑๗ แห่งประกาศของคณะปฏิวตั ิฉบบั ท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕) แมว้ ่า
ขอ้ ๓๐ วรรคสอง แห่งประกาศของคณะปฏวิ ตั ฉิ บบั ดงั กลา่ ว จะกําหนดใหห้ น้าทใ่ี นการบํารงุ รกั ษา
สาธารณูปโภคซ่งึ ผู้จดั สรรท่ดี นิ ได้จดั ให้มขี ้นึ มใิ ห้ใช้บงั คบั ในกรณีท่ผี ู้จดั สรรท่ดี นิ หรอื ผู้รบั โอน
กรรมสทิ ธคิ ์ นต่อไป ไดอ้ ุทศิ ทรพั ยส์ นิ ดงั กล่าวใหเ้ ป็นสาธารณประโยชน์ หรอื ไดโ้ อนใหแ้ ก่เทศบาล
สุขาภบิ าลหรอื องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั แห่งท้องท่ที ่ีท่ดี นิ จดั สรรอยู่ในเขต ก็มคี วามหมาย
แต่เพยี งว่าหากไดอ้ ุทศิ ทรพั ยส์ นิ ดงั กล่าวใหเ้ ป็นสาธารณประโยชน์แลว้ ผูจ้ ดั สรรทด่ี นิ หมดหน้าท่ี
ในการบํารุงรกั ษากจิ การสาธารณูปโภคต่อไปเท่านัน้ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ จะมหี น้าท่ี
ในการบํารุงรกั ษาทรพั ย์สินนัน้ แทนผู้จดั สรร มไิ ด้มคี วามหมายหรอื มผี ลให้ข้อกําหนดการใช้
ประโยชน์ท่ดี นิ จดั สรรตามแผนผงั โครงการจดั สรรท่ดี นิ ท่ไี ด้รบั อนุญาตจากคณะกรรมการควบคุม
การจดั สรรท่ดี นิ ต้องเปล่ียนแปลงหรอื ส้นิ ผลไป แม้โดยผลของการอุทิศถนนในท่ีดินจดั สรรให้เป็น
สาธารณประโยชน์จะมผี ลใหป้ ระชาชนทวั่ ไปมสี ทิ ธทิ จ่ี ะใชถ้ นนในหมู่บา้ นสญั จรไป – มา หรอื ใชป้ ระโยชน์
ดงั เช่นถนนสาธารณะทวั่ ไปได้ก็ตาม แต่ประชาชนทวั่ ไปก็มเี พยี งสทิ ธทิ จ่ี ะใชถ้ นนในการสญั จร
ไป – มาเท่านนั้ มไิ ดม้ ผี ลใหป้ ระชาชนทวั่ ไปกลายเป็นผทู้ อ่ี ยอู่ าศยั ในโครงการจดั สรร อนั จะมผี ล
ไปถงึ ระบบสาธารณูปโภค และบรกิ ารสาธารณะอ่นื ๆ ในโครงการไปด้วยไม่ ดงั นัน้ ขอ้ กําหนด
การใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ จดั สรรตามแผนผงั โครงการจดั สรรทด่ี นิ ทก่ี ําหนดใหเ้ ป็นทอ่ี ยอู่ าศยั ประเภท
บา้ นเดย่ี วจงึ มผี ลใชบ้ งั คบั อยู่

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖ ๗

22

ส่วนกรณีท่ีผู้ถูกฟ้องคดอี นุญาตให้ผู้ร้องสอดก่อสร้างอาคาร ๔ ชัน้ ๔ คูหา
จาํ นวน ๓๒ หอ้ ง เพ่อื ใชพ้ กั อาศยั ซง่ึ ตามแบบแปลนในแต่ละคหู าไดก้ ําหนดใหม้ กี ารแบ่งกนั้ หอ้ ง
ออกเป็นหอ้ งยอ่ ยๆ คหู าละ ๘ หอ้ ง รวม ๔ คูหา จาํ นวน ๓๒ หอ้ ง แต่ละหอ้ งมหี อ้ งน้ํา หอ้ งสว้ ม
ในตวั แยกต่างหากจากกนั จงึ มลี กั ษณะเป็นอาคารท่ใี ช้เป็นทอ่ี ย่อู าศยั สําหรบั หลายครอบครวั
โดยแบ่งออกเป็นหน่วยแยกจากกนั สาํ หรบั แต่ละครอบครวั กรณจี งึ เหน็ ได้อยา่ งชดั แจง้ ว่า อาคาร
พิพาทดงั กล่าวผู้ร้องสอดมไิ ด้มเี จตนาสร้างข้นึ เพ่ือเป็นท่ีพกั อาศยั สําหรบั ครอบครวั ซ่ึงเป็น
เจา้ ของอาคารและบรวิ ารแต่เพยี งอย่างเดยี วเท่านัน้ แต่มเี จตนาสรา้ งอาคารพพิ าทเป็นอาคาร
อยู่อาศยั รวมเพ่อื เป็นท่ปี ระกอบกจิ การพาณิชย์ หรอื แสวงหาประโยชน์อย่างใดอย่างหน่ึงด้วย
อาคารพิพาทจงึ มลี กั ษณะเป็นอาคารพาณิชย์ ทงั้ น้ี ตามคํานิยามในข้อ ๑ ของกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบญั ญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
เม่ือบรษิ ัท ศ. ผู้ได้รับอนุญาตให้จดั สรรท่ีดินได้กําหนดการใช้ประโยชน์ท่ีดินตามแผนผัง
โครงการจดั สรรทด่ี นิ ให้เป็นประเภทท่ปี ระกอบการพาณิชย์ บา้ นเดย่ี ว บา้ นแถว (ทาวน์เฮาส์)
โดยทด่ี นิ ทผ่ี ูร้ อ้ งสอดไดก้ ่อสรา้ งอาคารพพิ าท ตามแผนผงั โครงการจดั สรรทด่ี นิ ทไ่ี ด้รบั อนุญาต
จากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรท่ีดินกําหนดให้ก่อสร้างอาคารบ้านเด่ียวใช้สําหรบั
เป็นท่พี กั อาศยั นอกจากน้ี ในใบโฆษณาขายบ้านของโครงการจดั สรรยงั ได้กําหนดให้ท่ดี นิ
แปลงดงั กลา่ วเป็นบา้ นเดย่ี ว ๒ ชนั้ จงึ เหน็ ไดว้ ่าการใชป้ ระโยชน์ในทด่ี นิ จดั สรรดงั กล่าว จะกระทําได้
แต่เฉพาะเป็นบ้านเด่ยี วใช้สําหรบั พกั อาศยั เท่านัน้ ไม่สามารถนําไปใช้ประกอบการพาณิชย์
หรอื การอ่นื ใดใหผ้ ดิ ไปจากแผนผงั โครงการตามท่ไี ด้รบั อนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการ
จดั สรรท่ดี นิ ได้ และเม่อื ได้วนิ ิจฉัยแล้วว่าอาคารพพิ าทมลี กั ษณะเป็นอาคารอยู่อาศยั รวมและ
อาคารพาณิชย์ จงึ เป็นการใช้ประโยชน์ท่ดี นิ จดั สรรผิดไปจากข้อกําหนดในแผนผงั โครงการ
จดั สรรทด่ี นิ การทผ่ี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ในฐานะเจา้ พนักงานทอ้ งถน่ิ ออกใบอนุญาตก่อสรา้ งอาคาร
ใหผ้ รู้ อ้ งสอดก่อสรา้ งอาคาร ๔ ชนั้ รวม ๓๒ หอ้ ง โดยระบุว่าเพ่อื ใชเ้ ป็นทพ่ี กั อาศยั เท่านัน้ จงึ เป็น
การใชด้ ุลพนิ ิจออกใบอนุญาตท่ฝี ่าฝืนต่อข้อกําหนดและเจตนารมณ์ของการใช้ประโยชน์ทด่ี นิ
จดั สรร นอกจากน้ี การอนุญาตใหก้ ่อสรา้ งอาคารทม่ี กี ารแบ่งออกเป็นหอ้ งจํานวนมาก ยอ่ มส่งผล
กระทบต่อระบบมาตรฐานดา้ นสาธารณูปโภค และบรกิ ารสาธารณะเพ่อื รองรบั ผูซ้ อ้ื ท่ดี นิ จดั สรร
หรอื ผู้อย่อู าศยั และบรวิ ารย่อมเส่อื มประโยชน์ต่อการใช้สอยและจะจดั ใหเ้ กดิ ความไม่สะดวกสบาย
ความไม่พอเพยี งของสาธารณูปโภคและบรกิ ารสาธารณะ ดงั นัน้ การออกใบอนุญาตดงั กล่าว
จงึ เป็นการใช้ดุลพนิ ิจโดยไม่คํานึงถงึ สทิ ธปิ ระโยชน์ของผู้ซ้อื ท่ดี นิ จดั สรรส่วนรวมทต่ี ้องได้รบั
ผลกระทบต่อชวี ติ ความเป็นอยทู่ ไ่ี มเ่ หมาะสมต่อการอยอู่ าศยั อยา่ งปกตสิ ุขภายในหม่บู า้ นจดั สรร
และขดั ต่อเจตนารมณ์แห่งประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕) แม้ต่อมาจะมี

๘ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖

23

การตราพระราชบญั ญตั กิ ารจดั สรรทด่ี นิ พ.ศ. ๒๕๔๓ ออกมาบงั คบั ใชแ้ ทนประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ
ฉบบั ดงั กล่าว โดยใหม้ ผี ลตงั้ แต่วนั ท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓ แต่พระราชบญั ญตั กิ ารจดั สรรทด่ี นิ
พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็มีเจตนารมณ์ท่ีจะคุ้มครองผู้ซ้ือท่ีดินจดั สรรโดยจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามท่ี
ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจดั สรรท่ีดินเช่นกัน ดงั นัน้ การท่ีผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ ในฐานะ
เจา้ พนักงานท้องถนิ่ ออกใบอนุญาตก่อสรา้ งอาคาร และใบอนุญาตดดั แปลงอาคารให้ผู้รอ้ งสอด
จงึ เป็นการกระทําท่ฝี ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยการจดั สรรท่ดี นิ ซง่ึ เป็นกฎหมายอ่นื ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั
การควบคุมอาคาร การออกใบอนุญาตดงั กล่าวจงึ เป็นการกระทําทไ่ี ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย พพิ ากษา
ใหเ้ พกิ ถอนใบอนุญาตก่อสรา้ งอาคารและดดั แปลงอาคารโดยใหม้ ผี ลตงั้ แต่วนั ทอ่ี อกใบอนุญาต

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ. ๘๗๓/๒๕๕๕)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๖ ๙

24

คดีพิพาทเก่ียวกบั ท่ีดิน

การท่ีเจ้าหน้าท่ีของกรมท่ีดินออก น.ส. ๓ ก. ในที่ดินท่ีมีลกั ษณะต้องห้าม
เน่ืองจากเป็ นที่เขาและที่ภูเขาอยู่ในเขตที่ทางราชการได้จําแนกไว้เป็ นเขตป่ าไม้ถาวร
ตามข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ประกอบกบั ข้อ ๘ (๒) ของกฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ และบุคคลผู้มีชื่อใน น.ส. ๓ ก. ไม่ได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑)
ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงมิใช่
เป็ นบุคคลท่ีได้รับความคุ้มครองสิ ทธิ ตามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิ น
ซึ่งเป็ นการกระทําโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คาํ สงั่ อธิบดีกรมที่ดินให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก.
จึงชอบด้วยกฎหมาย และการออก น.ส. ๓ ก. ดงั กล่าวเป็ นการกระทาํ โดยจงใจ ซ่ึงพนักงาน
เจ้าหน้ าที่ย่อมเล็งเห็นได้ว่าบุคคลผู้มีช่ือใน น.ส. ๓ ก. อาจจะนําที่ดิ นดังกล่าว
ไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกบั บุคคลภายนอก และบุคคลภายนอกย่อมมีเหตุอนั ควร
เชื่อได้ว่า น.ส. ๓ ก. เป็ นเอกสารมหาชนที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย เม่ือต่อมากรมที่ดิน
มีคําสัง่ ให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เป็ นเหตุให้บุคคลภายนอกซึ่งเป็ นผู้ซื้อท่ีดินได้รับ
ความเสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลโดยตรงจากการที่เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน
ออก น.ส. ๓ ก. ให้แก่บุคคลผ้มู ีชื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อนั เป็ นการกระทาํ ละเมิด
ต่อผ้ซู ื้อที่ดินตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นการกระทาํ
ในการปฏิบตั ิหน้าที่ซึ่งกรมท่ีดินท่ีเป็ นหน่วยงานต้นสงั กดั ต้องรบั ผิดชดใช้ค่าเสียหาย
ให้แก่ผู้ซื้อที่ดิ นตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิ ด
ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่เมื่อผ้ซู ื้อที่ดินมิได้ตรวจสอบการได้มาซ่ึงสิทธิในที่ดิน
ให้แน่นอนชดั เจนก่อนซื้อ ทงั้ ท่ีท่ีดินมีลกั ษณะเป็ นที่เขาและท่ีภเู ขา มีเนื้อท่ีจาํ นวนมาก
และใช้ทุนทรัพย์สูง กรณี จึงถือว่ามีส่วนประมาทเลิ นเล่อในการซื้อที่ดิ นด้วย
ทัง้ การยึดถือและทําประโยชน์ในที่ดิ นส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ท่ีมี
ความสาํ คญั และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจึงกาํ หนดค่าเสียหายให้ตามราคาท่ีดินท่ีซื้อ

ผู้ฟ้องคดฟี ้องว่า ตนเป็นเจา้ ของผู้มสี ทิ ธคิ รอบครองท่ีดนิ ตามหนังสอื รบั รอง
การทาํ ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) จาํ นวน ๑๑ แปลง โดยไดซ้ อ้ื ทด่ี นิ ดงั กล่าวมาจากเจา้ ของเดมิ ผูม้ ชี ่อื
ใน น.ส. ๓ ก. และจดทะเบยี นกบั พนักงานเจา้ หน้าทถ่ี ูกตอ้ งตามกฎหมาย และไดท้ ําประโยชน์

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖ ๑

25

โดยปลูกปาล์มเต็มพ้ืนท่ีตลอดมาจนถึงปจั จุบัน ซ่ึงก่อนจะซ้ือท่ีดินตนได้ตรวจสอบกับ
เจ้าพนักงานท่ดี นิ อําเภอแล้วเห็นว่าเป็นท่ดี ินท่มี หี ลกั ฐาน น.ส. ๓ ก. ท่ีออกโดยถูกต้องจาก
ทางราชการทุกแปลง โดยทด่ี นิ ทงั้ ๑๑ แปลงน้ีทางราชการไดอ้ อกใหแ้ ก่เจา้ ของเดมิ ตามโครงการ
เดนิ สํารวจออก น.ส. ๓ ก. และเจ้าของเดมิ ได้ครอบครองและทําประโยชน์มาก่อนท่ปี ระมวล
กฎหมายทด่ี นิ ใชบ้ งั คบั แต่มไิ ดแ้ จง้ การครอบครอง (ส.ค. ๑) ไวต้ ามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ให้ใชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ และต่อมาได้ปฏบิ ตั ติ ามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวล
กฎหมายทด่ี นิ จงึ เป็นกรณีทอ่ี าจออก น.ส. ๓ ก. ใหไ้ ดต้ ามมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมาย
เดียวกัน แต่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดี (กรมท่ีดนิ ) ได้มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๔๖ และ
ลงวนั ท่ี ๗ สงิ หาคม ๒๕๔๖ เพกิ ถอน น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลง โดยให้เหตุผลว่าออกทบั ทเ่ี ขา
และทภ่ี เู ขาซง่ึ เป็นทห่ี วงหา้ ม ผูฟ้ ้องคดเี หน็ ว่าคําสงั่ ดงั กล่าวไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จงึ ยน่ื อุทธรณ์
แต่ปลดั กระทรวงมหาดไทยมคี ําสงั่ ใหย้ กอุทธรณ์ ผูฟ้ ้องคดจี งึ นําคดมี าฟ้องเพ่อื ขอใหศ้ าลปกครอง
มคี าํ พพิ ากษาใหผ้ ถู้ กู ฟ้องคดชี ดใชค้ า่ เสยี หายในมลู ค่าทด่ี นิ ตามราคาประเมนิ ทุนทรพั ย์ ค่าขาดรายได้
จากการทาํ สวนปาลม์ และเงนิ ลงทนุ ทใ่ี ชไ้ ปในการทาํ สวนปาลม์ รวมเป็นเงนิ ๑๕,๐๔๓,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า มาตรา ๕ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ช้
ประมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ กําหนดใหผ้ ูท้ ไ่ี ดค้ รอบครองและทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ อยู่ก่อน
วนั ทป่ี ระมวลกฎหมายทด่ี นิ ใช้บงั คบั โดยไม่มหี นังสอื แสดงกรรมสทิ ธทิ ์ ด่ี นิ แจง้ การครอบครองทด่ี นิ
ต่อนายอําเภอท้องท่ีภายในหน่ึงรอ้ ยแปดสบิ วนั นับแต่วนั ท่พี ระราชบญั ญตั ิน้ีใช้บงั คบั มาตรา ๔
แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ กําหนดใหบ้ ุคคลทไ่ี ดม้ าซง่ึ สทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ ก่อนวนั ทป่ี ระมวล
กฎหมายน้ีใชบ้ งั คบั มสี ทิ ธคิ รอบครองสบื ไปและคุม้ ครองตลอดถงึ ผรู้ บั โอนดว้ ย มาตรา ๕๘ วรรคหน่ึง
แหง่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมาย
ท่ดี นิ (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๒๘ กําหนดว่าเม่อื รฐั มนตรเี หน็ สมควรจะให้มกี ารออกโฉนดท่ดี นิ
หรอื หนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ในจงั หวดั ใดในปีใด ให้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษากําหนด
จงั หวดั ทจ่ี ะทาํ การสาํ รวจรงั วดั ทาํ แผนทห่ี รอื พสิ ูจน์สอบสวนการทาํ ประโยชน์ โดยเขตจงั หวดั นัน้
ไมร่ วมทอ้ งทท่ี ท่ี างราชการไดจ้ าํ แนกใหเ้ ป็นเขตป่าไมถ้ าวร มาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง แห่งประมวล
กฎหมายขา้ งต้น กําหนดว่าบุคคลซง่ึ อาจออกโฉนดท่ดี นิ หรอื หนงั สอื รบั รองการทําประโยชน์ให้ได้
คอื ผซู้ ง่ึ มหี ลกั ฐานการแจง้ การครอบครองทด่ี นิ มใี บจอง ใบเหยยี บย่าํ หนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน์
โฉนดตราจอง ตราจองท่ตี ราว่า “ได้ทําประโยชน์แล้ว” หรอื เป็นผู้มสี ทิ ธติ ามกฎหมายว่าด้วย
การจดั ท่ดี นิ เพ่อื การครองชพี และข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ประกอบ
ข้อ ๘ (๒) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบญั ญัติให้ใช้

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖

26

ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ กําหนดว่าท่ดี ินท่ีจะพึงออกโฉนดต้องเป็นท่ีดินท่ีผู้มสี ิทธิ
ไดค้ รอบครองและทาํ ประโยชน์แลว้ แต่หา้ มมใิ หอ้ อกโฉนดทด่ี นิ สาํ หรบั ทเ่ี ขา ทภ่ี เู ขา หรอื ทส่ี งวน
หวงหา้ ม หรอื ทด่ี นิ ซง่ึ ทางราชการเหน็ ว่าควรสงวนไวเ้ พ่อื ทรพั ยากรธรรมชาติ

การออกหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์โดยวธิ กี ารเดนิ สํารวจจงึ มหี ลกั เกณฑ์
ในการพิจารณา ๒ ประการ คอื ประการท่หี น่ึง ผู้ขอเป็นบุคคลซ่ึงพนักงานเจ้าหน้าท่ีอาจออก
หนังสือรบั รองการทําประโยชน์ให้ได้หรอื ไม่ ประการท่ีสอง ท่ีดินมีลกั ษณะต้องห้ามหรอื ไม่
เม่อื ปรากฏข้อเท็จจรงิ ว่าก่อนท่ผี ู้ถูกฟ้องคดจี ะมคี ําสงั่ ให้เพกิ ถอน น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลงนัน้
ผู้ถูกฟ้ องคดีได้มคี ําสงั่ แต่งตัง้ คณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายท่ดี นิ ซ่งึ คณะกรรมการฯ ตรวจสอบแล้วพบว่าท่ีดนิ บรเิ วณดงั กล่าวมสี ภาพเป็นท่เี ขา
และท่ภี ูเขา นอกจากน้ี ยงั ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ตามคําพพิ ากษาศาลฎกี าว่าทด่ี นิ ทอ่ี อก น.ส. ๓ ก.
ทงั้ ๑๑ แปลงเป็นท่ภี ูเขา ประกอบกบั ตามสํานวนคดปี รากฏว่าท่พี พิ าทอยู่ในเขตท่ที างราชการ
ได้จําแนกไว้เป็นเขตป่าถาวร กรณีจงึ รบั ฟงั ได้ว่าบรเิ วณทพ่ี พิ าทมใิ ช่ท้องท่ที ่พี นักงานเจา้ หน้าท่ี
มอี าํ นาจทาํ การสาํ รวจรงั วดั พสิ ูจน์สอบสวนการทําประโยชน์เพ่อื ออกหนงั สอื รบั รองการทําประโยชน์
ด้วยวิธเี ดนิ สํารวจให้แก่บุคคลผู้มชี ่ือใน น.ส. ๓ ก. ตามมาตรา ๕๘ วรรคหน่ึง แห่งประมวล
กฎหมายท่ดี นิ และท่พี พิ าทเป็นท่เี ขาและท่ภี ูเขา อยู่ในเขตท่ที างราชการไดจ้ ําแนกไว้เป็นเขต
ป่าไมถ้ าวรซง่ึ มลี กั ษณะต้องห้ามมใิ หอ้ อกหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ตามขอ้ ๓ ของกฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ประกอบกบั ขอ้ ๘ (๒) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตาม
ความในพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ดี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซ่งึ ใช้บงั คบั อยู่ในขณะนัน้
เม่อื บุคคลผูม้ ชี ่อื ใน น.ส. ๓ ก. ท่พี พิ าทไม่ได้แจง้ การครอบครองท่ดี นิ (ส.ค. ๑) ตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงมิใช่บุคคลท่ีจะได้รับ
การคุม้ ครองสทิ ธติ ามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ประกอบกบั ไม่ปรากฏว่าบุคคลผูม้ ชี ่อื
ใน น.ส. ๓ ก. ได้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ดี นิ โดยมหี นังสอื แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ โดยชอบ
ดว้ ยกฎหมาย บุคคลผมู้ ชี อ่ื ใน น.ส. ๓ ก. จงึ มใิ ช่บุคคลซง่ึ พนักงานเจา้ หน้าทอ่ี าจออกหนังสอื รบั รอง
การทําประโยชน์ใหไ้ ดต้ ามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ซง่ึ แก้ไขเพมิ่ เตมิ
โดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายท่ดี นิ (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๒๘ เม่อื บุคคล
ผมู้ ชี ่อื ใน น.ส. ๓ ก. ไมใ่ ชบ่ คุ คลซง่ึ พนกั งานเจา้ หน้าทอ่ี าจออกหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน์ใหไ้ ด้
การท่ีพนักงานเจา้ หน้าท่ขี องผู้ถูกฟ้องคดอี อก น.ส. ๓ ก. ให้ จงึ เป็นการกระทําโดยไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมาย

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖ ๓

27

ส่วนคําสงั่ อธบิ ดีกรมท่ีดินท่ีให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลงเป็นคําสงั่ ท่ี
ชอบด้วยกฎหมายหรอื ไม่นัน้ เห็นว่า เม่อื ข้อเท็จจรงิ ปรากฏว่าหนังสือรบั รองการทําประโยชน์
ทัง้ ๑๑ แปลงออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ถูกฟ้ องคดีได้มคี ําสัง่ แต่งตัง้ คณะกรรมการ
สอบสวนตามความในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ซง่ึ คณะกรรมการฯ ไดร้ ่วมกนั ออกไป
ตรวจสอบสภาพท่ีดิน พร้อมทงั้ มหี นังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดแี ละธนาคารผู้รบั จํานองท่ีดินในฐานะ
เป็นผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี ทราบ เพ่อื ใหโ้ อกาสคดั คา้ นการเพกิ ถอน น.ส. ๓ ก. ดงั กล่าวแลว้ จากนนั้ จงึ มมี ติ
เหน็ ควรใหเ้ พกิ ถอน และไดเ้ สนอรายงานการสอบสวนใหร้ องอธบิ ดกี รมทด่ี นิ ผู้ได้รบั มอบหมายจาก
ผู้ถูกฟ้ องคดีพิจารณาแล้ว จึงมีคําสัง่ อธิบดีกรมท่ีดินให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ทัง้ ๑๑ แปลง
จงึ ถือได้ว่าการดําเนินการเพิกถอนหนังสือรับรองการทําประโยชน์เป็นไปตามหลกั เกณฑ์
และวิธีการท่ีกําหนดไว้ในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบญั ญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายท่ีดิน (ฉบับท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ ประกอบ
กฎกระทรวงกําหนดหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารในการตงั้ คณะกรรมการสอบสวน การสอบสวน การแจง้
ผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี เพ่อื ใหโ้ อกาสคดั คา้ น และการพจิ ารณาเพกิ ถอนหรอื แก้ไขการออกโฉนดทด่ี นิ หรอื
หนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ การจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมเก่ยี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ย์ หรอื
การจดแจง้ เอกสารรายการจดทะเบยี นอสงั หารมิ ทรพั ยโ์ ดยคลาดเคล่อื นหรอื ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๔๔ แล้ว ดงั นัน้ การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดีมคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๔๖ และลงวนั ท่ี
๗ สงิ หาคม ๒๕๔๖ ใหเ้ พกิ ถอน น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลง จงึ ชอบดว้ ยกฎหมาย

เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดว้ ่าทด่ี นิ ทงั้ ๑๑ แปลงทพ่ี นกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดี
ออก น.ส. ๓ ก. เป็นทด่ี นิ ทม่ี ลี กั ษณะตอ้ งหา้ มมใิ หอ้ อกโฉนดทด่ี นิ หรอื หนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน์
เน่ืองจากเป็นท่เี ขาและท่ภี ูเขาอยู่ในเขตท่ที างราชการได้จําแนกไว้เป็นเขตป่าไมถ้ าวร การท่ี
พนักงานเจ้าหน้าท่ีของผู้ถูกฟ้ องคดีออก น.ส. ๓ ก. ให้แก่บุคคลผู้มชี ่อื จงึ เป็นการกระทํา
ด้วยความจงใจ และโดยท่ี น.ส. ๓ ก. เป็นหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ ท่รี บั รองว่าบุคคลผู้มชี ่ือ
เป็นผู้มสี ทิ ธคิ รอบครองท่ดี ิน ซ่งึ พนักงานเจ้าหน้าท่ขี องผู้ถูกฟ้องคดยี ่อมเล็งเห็นได้ตัง้ แต่เวลา
ทไ่ี ด้ดําเนินการออก น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลง ว่าบุคคลดงั กล่าวอาจจะนําท่ดี นิ ไปจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิติกรรมกับบุคคลภายนอก และบุคคลภายนอกย่อมมเี หตุผลอนั ควรเช่ือได้ว่า น.ส. ๓ ก.
ทงั้ ๑๑ แปลง ซง่ึ เป็นเอกสารมหาชนเป็น น.ส. ๓ ก. ทอ่ี อกโดยชอบดว้ ยกฎหมาย เมอ่ื บุคคลผมู้ ชี ่อื
นําทด่ี นิ ตาม น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลงดงั กล่าวไปจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมขายใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดี
แลว้ ต่อมาผูถ้ ูกฟ้องคดมี คี าํ สงั่ ใหเ้ พกิ ถอน เป็นเหตุใหผ้ ูฟ้ ้องคดซี ง่ึ เป็นผูซ้ อ้ื ทด่ี นิ ตาม น.ส. ๓ ก.
ทงั้ ๑๑ แปลงและถูกเพกิ ถอนในเวลาต่อมา ไดร้ บั ความเสยี หายโดยไม่อาจอา้ งการไดม้ าซง่ึ สทิ ธิ

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖

28

ในท่ดี นิ ท่ไี ด้มาโดยทางนิติกรรมและจดทะเบยี นต่อพนักงานเจา้ หน้าท่แี ล้วได้ ความเสยี หาย
ทเ่ี กดิ ขน้ึ จงึ เป็นผลโดยตรงจากการทพ่ี นักงานเจา้ หน้าท่ขี องผูถ้ ูกฟ้องคดกี ระทาํ ดว้ ยความจงใจ
ในการออก น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลงใหแ้ ก่บคุ คลผมู้ ชี ่อื โดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย อนั เป็นการกระทํา
ละเมดิ ต่อผฟู้ ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ และเป็นการกระทาํ
ในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ี ผถู้ ูกฟ้องคดซี ง่ึ เป็นหน่วยงานตน้ สงั กดั จงึ ตอ้ งรบั ผดิ ในผลแห่งละเมดิ ตามนัย
มาตรา ๕ แหง่ พระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙

ส่วนผู้ถูกฟ้องคดตี ้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าเสยี หายเพยี งใดนัน้ เหน็ ว่า เม่อื ท่พี พิ าท
เป็นทเ่ี ขาและทภ่ี ูเขา มเี น้ือทจ่ี าํ นวนมาก และต้องใชท้ ุนทรพั ยจ์ ํานวนสูงในการชําระราคาท่ดี นิ
จงึ ตอ้ งใชค้ วามระมดั ระวงั ยง่ิ กวา่ การซอ้ื ทด่ี นิ ทม่ี สี ภาพเป็นพน้ื ทด่ี นิ ทวั่ ไป โดยผูฟ้ ้องคดคี วรตรวจสอบ
การไดม้ าซง่ึ สทิ ธใิ นทด่ี นิ ของบุคคลผมู้ ชี ่อื ใน น.ส. ๓ ก. ก่อนตกลงทาํ สญั ญาซอ้ื ขายว่าเป็นบุคคล
ทพ่ี นกั งานเจา้ หน้าทอ่ี าจออกหนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ใหไ้ ดห้ รอื ไม่ และทด่ี นิ
มลี กั ษณะตอ้ งหา้ มหรอื ไม่ เมอ่ื ผฟู้ ้องคดมี ไิ ดต้ รวจสอบการไดม้ าซง่ึ สทิ ธใิ นทด่ี นิ พพิ าทใหแ้ น่นอน
ชดั เจนก่อนท่จี ะซ้อื กรณีจงึ ถอื ไดว้ ่ามสี ่วนประมาทเลนิ เล่อในการซ้อื ท่ดี นิ ดงั กล่าวดว้ ย อกี ทงั้
การทผ่ี ูฟ้ ้องคดเี ขา้ ไปยดึ ถอื ครอบครอง รวมตลอดถงึ ก่นสรา้ งทําประโยชน์ในท่พี พิ าทจนเตม็ พน้ื ท่ี
ย่อมส่งผลกระทบต่อทรพั ยากรธรรมชาตทิ ม่ี คี วามสําคญั และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จงึ เหน็ ควร
กาํ หนดคา่ เสยี หายใหต้ ามราคาทด่ี นิ ทผ่ี ฟู้ ้องคดไี ดซ้ อ้ื มาจากบุคคลผูม้ ชี ่อื ใน น.ส. ๓ ก. รวมเป็นเงนิ
ทงั้ สน้ิ ๙๑๗,๕๐๐ บาท แต่ทผ่ี ฟู้ ้องคดอี า้ งว่าไดร้ บั ความเสยี หายจากการขาดรายไดใ้ นการเกบ็ เกย่ี ว
และจากการทต่ี อ้ งใชเ้ งนิ ในการทาํ สวนปาลม์ โดยเป็นเงนิ ลงทุนค่าทาํ ถนน ค่าทําสะพาน ค่าก่อสรา้ ง
อาคารสาํ นกั งานและบา้ นพกั คนงานนนั้ ไมส่ ามารถรบั ฟงั ได้ เน่ืองจากหลงั จากผูถ้ ูกฟ้องคดมี คี าํ สงั่
เพกิ ถอน น.ส. ๓ ก. ทงั้ ๑๑ แปลงแลว้ ทางราชการยงั ไมเ่ คยมหี นังสอื แจง้ ใหผ้ ูฟ้ ้องคดอี อกจากทด่ี นิ
และผฟู้ ้องคดกี ย็ งั คงเกบ็ เกย่ี วผลปาลม์ อยู่ จงึ เหน็ ว่าเม่อื ผูฟ้ ้องคดยี งั คงทําประโยชน์และไดเ้ กบ็ เกย่ี ว
ผลปาลม์ ในทด่ี นิ ทถ่ี ูกเพกิ ถอน น.ส. ๓ ก. อยู่ตลอดมา และคําสงั่ ของผูถ้ ูกฟ้องคดกี ม็ ไิ ด้มผี ลทําให้
ผฟู้ ้องคดไี มอ่ าจใชป้ ระโยชน์ในทด่ี นิ และเกบ็ เกย่ี วผลปาลม์ ในทด่ี นิ ไดแ้ ต่อย่างใด กรณีจงึ ถอื ไมไ่ ดว้ ่า
ผฟู้ ้องคดไี ดร้ บั ความเสยี หายจากการขาดรายไดแ้ ละจากการเสยี เงนิ ลงทุนในการทาํ สวนปาลม์
ตามทก่ี ล่าวอา้ งแต่อยา่ งใด จงึ พพิ ากษาใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดชี ดใชค้ ่าเสยี หายตามราคาทด่ี นิ ทซ่ี อ้ื มา

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่อ. ๒๕๔/๒๕๕๖)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖ ๕

29

การที่ผซู้ ื้อที่ดินได้ทาํ สญั ญาจะซื้อจะขายท่ีดินท่ีมีเนื้อที่จาํ นวนหลายพนั ไร่
และต้องใช้ทุนทรพั ย์จาํ นวนมากในการชําระราคาท่ีดินกบั ผ้ทู ี่มิได้เป็ นเจ้าของหรือ
ผคู้ รอบครองและทาํ ประโยชน์ในที่ดินโดยตรง ทงั้ ที่ที่ดินยงั ไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
ผซู้ ื้อท่ีดินย่อมต้องใช้ความระมดั ระวงั ย่ิงกว่าการซื้อขายท่ีดินที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
โดยต้องติดต่อซื้อขายโดยตรงกบั ผ้คู รอบครองและทาํ ประโยชน์ในท่ีดินเพื่อตรวจสอบ
บุคคลที่เป็ นผ้คู รอบครองและทําประโยชน์ในท่ีดินและลกั ษณะต้องห้ามของท่ีดินในการ
ออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรบั รองการทําประโยชน์ตามกฎหมาย พฤติการณ์ดงั กล่าว
ถ้ามิใช่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผ้ซู ื้อท่ีดิน กเ็ ป็ นการตงั้ ใจเข้าเสี่ยงภยั
อนั ถือเป็นการยอมรบั ความเสียหายที่อาจจะเกิดมีขึ้นแก่ตน และเมื่อพยานต่างให้ถ้อยคาํ
สอดคล้องและรบั กนั ว่า ผ้ซู ื้อท่ีดินมีส่วนร่วมร้เู ห็นกบั เจ้าหน้าที่ท่ีดินซ่ึงประพฤติมิชอบ
ในการออกหนังสือรบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) โดยเป็ นผ้ชู ําระเงินค่าใช้จ่าย
และนําช่ือบุคคลต่างๆ อาํ พรางว่าเป็ นผ้คู รอบครองและทาํ ประโยชน์ในที่ดินเพ่ือนําไปใช้
ขอออก น.ส. ๓ ก. และรับโอนโดยทําสัญญาซื้อขายเพื่อยืนยันว่าได้ท่ีดิ นมาโดย
เสียค่าตอบแทนจริง โดยไม่ปรากฏว่าผู้มีช่ือตามหนังสือรบั รองการทําประโยชน์
ได้รบั ค่าตอบแทน ผ้ซู ื้อที่ดินจึงไม่อาจอ้างหลกั ความสุจริตตามมาตรา ๕ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ได้ การที่อธิบดีกรมที่ดินมีคําสัง่ เพิกถอนหนังสือรบั รอง
การทําประโยชน์ในท่ีดิ นดังกล่าว จึงไม่เป็ นการกระทําละเมิดต่อผู้ซื้อที่ดิ นตาม
มาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ผฟู้ ้องคดฟี ้องว่า เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ไดซ้ อ้ื ท่ดี นิ มหี ลกั ฐานเป็นหนังสอื รบั รอง
การทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) จาํ นวนหลายสบิ แปลงจากเจา้ ของทด่ี นิ ผูม้ สี ทิ ธคิ รอบครองหลายราย
โดยได้ทํานิติกรรมการซ้อื ขายและจดทะเบยี นโอนสทิ ธติ ่อเจ้าหน้าท่ขี องสํานักงานท่ดี ินแล้ว
โดยในจํานวนน้ีมที ด่ี นิ พพิ าทจาํ นวน ๕๕ แปลงรวมอย่ดู ว้ ย ซง่ึ ก่อนทําการจดทะเบยี นนิตกิ รรม
ซ้ือขายท่ีดินพิพาทได้ร้องขอให้เจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้องร่วมกับเจ้าของท่ีดินเดิมช้ีและสํารวจ
แนวเขตท่ดี นิ แต่ละแปลงจนครบถว้ น และไดร้ บั การยนื ยนั จากเจา้ หน้าทว่ี ่าทด่ี นิ ไม่อยใู่ นเขตสงวน
หวงห้าม อนั เป็นการซ้อื ทด่ี นิ พพิ าทโดยสุจรติ และมกี ารจดทะเบยี นนิตกิ รรมโอนสทิ ธคิ รอบครอง
โดยเจา้ หน้าทท่ี ่ดี นิ ซ่งึ ได้ตรวจสอบหลกั ฐานทางทะเบยี นทเ่ี ก่ยี วขอ้ งทงั้ น.ส. ๓ ก. ฉบบั สาํ นักงาน
ท่ดี ินและฉบบั เจ้าของท่ีดินถูกต้องตรงกันแล้ว แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ (อธิบดีกรมท่ดี นิ )
ได้มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เพกิ ถอนหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)

๖ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖

30

จาํ นวน ๕๕ แปลงดงั กล่าว เน่ืองจากเหน็ ว่าออกโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมายและเป็นทด่ี นิ ทอ่ี ยใู่ นเขต
ป่าสงวนแห่งชาติ ผู้ฟ้องคดจี งึ อุทธรณ์คําสงั่ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ (ปลดั กระทรวงมหาดไทย)
ยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้ องคดีเห็นว่าตนได้ซ้ือท่ีดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน พร้อมทัง้ ได้
ชําระค่าธรรมเนียมภาษีในการจดทะเบียนนิติกรรมครบถ้วน จึงขอให้ศาลมีคําพิพากษา
หรอื คาํ สงั่ เพกิ ถอนคําสงั่ ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ และใหช้ ดใชค้ า่ เสยี หาย

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า เม่ือคําให้การต่อคณะกรรมการตรวจสอบ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ของนาย ว. และนาง ก. สรปุ วา่ บคุ คลทงั้ สองไดร้ บั การตดิ ต่อจากนายหน้าและนาย บ.
เจา้ หน้าทท่ี ด่ี นิ ใหม้ าตดิ ต่อซ้อื ท่ดี นิ ทม่ี หี ลกั ฐานและทด่ี นิ ไม่มหี ลกั ฐานในทอ้ งทพ่ี พิ าท โดยหาก
เป็นทด่ี นิ ไมม่ หี ลกั ฐานการครอบครอง นาย บ. แนะนําใหไ้ ปตดิ ต่อซอ้ื ส.ค. ๑ ในทอ้ งทไ่ี วจ้ าํ นวน
หน่ึง จากนนั้ นาย บ. จะรว่ มกบั เจา้ หน้าท่บี รหิ ารงานทด่ี นิ อําเภอดาํ เนินการออกเป็น น.ส. ๓ ก.
ซง่ึ นาย บ. คดิ ค่าออก น.ส. ๓ ก. ในราคาไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท โดยผูฟ้ ้องคดมี อบหมายใหน้ าย ว.
และนาง ก. เป็นผูด้ ําเนินการแทนและมอบเงนิ ให้ไว้จาํ นวนหน่ึงเพ่อื เป็นค่าใช้จ่ายในการจดั ซ้อื
ทด่ี นิ และดําเนินการออก น.ส. ๓ ก. ประกอบกบั เม่อื พจิ ารณาจากคําให้การของผูม้ ชี ่อื ครอบครอง
ทด่ี นิ ตาม น.ส. ๓ ก. ท่พี พิ าทรวม ๔ ฉบบั ซ่งึ ใหไ้ วต้ ่อเจา้ พนักงานท่ดี นิ ว่าก่อนโอนขายใหแ้ ก่
ผฟู้ ้องคดตี นเป็นลูกจา้ งของนาย ว. และนาง ก. และไม่เคยครอบครองทด่ี นิ แปลงดงั กล่าว แต่ได้มี
หวั หน้าคนงานนําเอกสารมาใหล้ งช่อื โดยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร และจากคาํ ใหก้ ารของผมู้ ชี ่อื
ครอบครองท่ดี นิ ตาม น.ส. ๓ ก. ท่พี พิ าทอีก ๑๔ ฉบบั ซ่งึ ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวน
ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ว่าก่อนโอนขายใหแ้ ก่ผู้ฟ้องคดี ไม่เคยมที ด่ี นิ ในทอ้ งท่ี
ทน่ี ําไปออก น.ส. ๓ ก. ทพ่ี พิ าท ทงั้ ยงั ไมท่ ราบเร่อื งการออก น.ส. ๓ ก. ใหเ้ ป็นช่อื ของตน โดยผมู้ ชี ่อื
ครอบครองบางคนได้นําเอกสารไปให้นาง ก. เพ่อื สมคั รงานในบรษิ ทั ผู้ฟ้องคดี และผูฟ้ ้องคดี
เป็นผู้นําเอกสารต่างๆ มาให้ลงช่อื โดยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร ส่วนบางคนก็เป็นลูกจ้าง
ของผฟู้ ้องคดซี ง่ึ ไดล้ งช่อื ในเอกสารทผ่ี ฟู้ ้องคดนี ํามาใหโ้ ดยไมท่ ราบว่าเป็นเอกสารอะไรเช่นเดยี วกนั
และบางคนก็ให้ถ้อยคําว่ามีตัวแทนของผู้ฟ้ องคดีติดต่อขอสําเนาทะเบียนบ้านและสําเนา
บตั รประจําตวั ประชาชนโดยไมท่ ราบว่านําไปทาํ อะไร ประกอบกบั ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ตามคําชแ้ี จง
ของผู้ฟ้องคดตี ่อศาลว่า ก่อนการจดทะเบยี นซอ้ื ขายท่ดี นิ พพิ าททงั้ ๕๕ แปลง ผู้ฟ้องคดไี ด้ทํา
สัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินกับนาย ว. และนาง ก. ในขณะท่ีท่ีดินดังกล่าวยังไม่มีหลักฐาน
เป็นโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน์ จึงเห็นว่าการซ้ือขายท่ีดินพิพาท
ซ่งึ ไม่มหี นังสอื แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ มเี น้ือท่จี ํานวนหลายพนั ไร่ และต้องใช้ทุนทรพั ย์จํานวนมาก
ในการชําระราคาท่ดี ิน ผู้ฟ้องคดีย่อมต้องใช้ความระมดั ระวงั ยงิ่ กว่าการซ้อื ขายท่ีดนิ ท่มี หี นังสอื

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖ ๗

31

แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ แล้ว โดยต้องตดิ ต่อซอ้ื ขายโดยตรงกบั ผูค้ รอบครองและทําประโยชน์ในทด่ี นิ
ทงั้ น้ี เพ่อื ตรวจสอบว่าบุคคลดงั กล่าวเป็นผูค้ รอบครองและทําประโยชน์ในทด่ี นิ และเป็นบุคคลท่ี
พนักงานเจา้ หน้าทอ่ี าจออกโฉนดทด่ี นิ หรอื หนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ใหไ้ ด้หรอื ไม่ และทด่ี นิ
มลี กั ษณะตอ้ งหา้ มมใิ หอ้ อกโฉนดทด่ี นิ หรอื หนงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชน์ตามกฎหมายหรอื ไม่

แต่เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่าผฟู้ ้องคดไี ปทาํ ความตกลงจะซอ้ื จะขายทด่ี นิ กบั นาย ว.
และนาง ก. ทงั้ ท่รี ูว้ ่าบุคคลทงั้ สองมไิ ด้เป็นเจา้ ของหรอื ผู้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ดี นิ
พฤติการณ์ดงั กล่าวถ้ามใิ ช่ความประมาทเลนิ เล่ออย่างรา้ ยแรงของผู้ฟ้องคดี ก็เป็นการตงั้ ใจ
เข้าเส่ยี งภยั อนั ถือเป็นการยอมรบั ความเสยี หายท่อี าจจะเกิดมขี ้นึ แก่ตน และตามท่ผี ู้ฟ้องคดี
กล่าวอา้ งว่าไดข้ อใหพ้ นกั งานเจา้ หน้าทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ งร่วมกบั เจา้ ของทด่ี นิ เดมิ ชแ้ี ละสาํ รวจแนวเขต
ท่ดี ินจนครบทุกแปลงและได้รบั การยนื ยนั ว่าไม่อยู่ในเขตสงวนหวงห้ามนัน้ เม่อื ศาลมคี ําสงั่
ใหแ้ สดงพยานหลกั ฐานตามทก่ี ล่าวอ้าง แต่ผูฟ้ ้องคดไี ม่สามารถแสดงไดท้ งั้ ทห่ี ลกั ฐานดงั กล่าว
เป็นการยนื ยนั โดยเจ้าหน้าท่ขี องรฐั อนั สามารถยนื ยนั ถึงความสุจรติ ของผู้ฟ้องคดไี ด้ ดงั นัน้
จงึ ต้องรบั ฟงั พยานหลักฐานตามรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงข้างต้น
ซ่ึงพยานต่างให้ถ้อยคําสอดคล้องและรบั กัน เม่ือไม่ปรากฏว่าพยานเคยมีเหตุโกรธเคือง
หรือขดั แย้งกับผู้ฟ้ องคดีมาก่อน จึงไม่มีเหตุจูงใจท่ีจะให้ถ้อยคําเป็นปฏิปกั ษ์ต่อผู้ฟ้ องคดี
ทงั้ การทผ่ี ู้ฟ้องคดรี บั ในคําคดั คา้ นคําใหก้ ารว่าไดส้ นบั สนุนเงนิ ค่าใชจ้ ่ายในการออก น.ส. ๓ ก.
ท่พี ิพาทให้แก่ราษฎรท่ีขดั สน อันแสดงให้เห็นว่ามีส่วนรบั รู้ตัง้ แต่ขณะมีการออก น.ส. ๓ ก.
ท่พี พิ าท จงึ เช่อื ได้ว่าผู้ฟ้องคดมี สี ่วนร่วมรูเ้ ห็นกบั เจา้ หน้าท่ขี องรฐั ท่ปี ระพฤติมชิ อบในการออก
น.ส. ๓ ก. ทัง้ ๕๕ แปลง โดยเป็นผู้ชําระเงนิ ค่าใช้จ่ายและนําช่ือบุคคลต่างๆ อําพรางว่า
เป็นผู้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ีดนิ เพ่ือขอออก น.ส. ๓ ก. แล้วรบั โอนโดยทําสญั ญา
ขายท่ีดินเพ่ือเป็นการยืนยันว่าผู้ฟ้ องคดีได้เสียค่าตอบแทนให้แก่บุคคลดังกล่าวจริง
โดยไม่ปรากฏว่าผมู้ ชี ่อื ตามหลกั ฐาน น.ส. ๓ ก. ไดร้ บั เงนิ ค่าทด่ี นิ แต่อยา่ งใด ผูฟ้ ้องคดจี งึ ไม่อาจ
อ้างหลักความสุจริตตามมาตรา ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และฟงั ไม่ได้ว่า
ผู้ฟ้ องคดีซ้ือท่ีดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนัน้ การท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ี
ดาํ เนินการออก น.ส. ๓ ก. รวม ๕๕ ฉบบั ใหแ้ ก่ผูม้ ชี ่อื และบุคคลดงั กล่าวไดข้ ายใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี
แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ มีคําสัง่ เพิกถอนหนังสือรับรองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
ทงั้ ๕๕ ฉบบั ดงั กล่าว จงึ ถอื ไม่ได้ว่าเป็นการกระทําละเมดิ ต่อผู้ฟ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แห่ง
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ และผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๔ (กระทรวงมหาดไทย)
จงึ ไมต่ อ้ งรบั ผดิ ชดใชค้ า่ เสยี หายใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี

๘ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖

32

ส่วนทผ่ี ฟู้ ้องคดกี ล่าวอา้ งว่าไดย้ น่ื คาํ รอ้ งเพ่อื ขอใหม้ กี ารสบื พยานบุคคลทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
กบั การซ้อื ขายท่ดี นิ พิพาททงั้ หมด แต่ศาลปกครองชนั้ ต้นไม่อนุญาต จงึ เป็นการขดั กับหลกั
การพจิ ารณาคดที ่จี ะต้องให้โอกาสแก่คู่ความในการนําสบื พยานเพ่อื สนับสนุนขอ้ อ้างของตนนัน้
ก็ไม่อาจรับฟงั ได้ เน่ืองจากบทบัญญัติมาตรา ๕๕ วรรคสาม และมาตรา ๕๗ วรรคสอง
แหง่ พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบขอ้ ๕๐
แห่งระเบยี บของท่ปี ระชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ใหอ้ ํานาจศาลใชด้ ุลพนิ ิจในการแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ ไดต้ ามความเหมาะสม และเมอ่ื
พจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ ในสาํ นวนคดแี ลว้ ปรากฏว่าศาลปกครองชนั้ ตน้ ไดด้ าํ เนินการแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ
ทงั้ จากพยานบุคคล พยานเอกสาร ตลอดจนมกี ารใหโ้ อกาสผูฟ้ ้องคดที ราบถงึ ขอ้ อ้างหรอื ขอ้ แยง้
และใหแ้ สดงพยานหลกั ฐานเพ่อื ยนื ยนั หรอื หกั ล้างขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมายของผูถ้ ูกฟ้องคดี
ทงั้ ส่ี โดยมคี าํ สงั่ ใหช้ แ้ี จงขอ้ เทจ็ จรงิ เพม่ิ เตมิ ตามคํากล่าวอ้างเพ่อื นํามาประกอบการพจิ ารณาวนิ ิจฉัย
คดอี นั เป็นการพจิ ารณาคดตี ามหลกั การฟงั ความทุกฝ่ายแล้ว เม่อื เห็นว่าข้อเท็จจรงิ เพยี งพอ
ทจ่ี ะวนิ ิจฉัยไดโ้ ดยไม่จาํ ต้องสบื พยานบุคคลต่อไป ศาลย่อมมอี ํานาจสงั่ ไม่อนุญาตใหผ้ ู้ฟ้องคดี
นําพยานบุคคลมาสบื เพมิ่ เตมิ ได้

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่อ. ๔๔๕/๒๕๕๖)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๓ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๖ ๙

33

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน
การที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ดําเนิ นการออกโฉนดท่ีดินในบริเวณที่ดิน

ตามหลักฐานการแจ้งการครอบครองท่ีดิน (ส.ค. ๑) ท่ีเจ้าของที่ดินยกให้ประชาชน
ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อันเป็ นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดิ นสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่ใช้ความร้คู วามชาํ นาญ
และความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบการครอบครองและการทําประโยชน์ในที่ดิน
และสภาพท่ีดินตามความเป็ นจริงที่ปรากฏในขณะทําการรงั วดั ถือว่าเจ้าพนักงานท่ีดิน
กระทําโดยประมาทเลินเล่อในการออกโฉนดท่ีดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เม่ือต่อมา
อธิบดีกรมท่ีดินมีคาํ สงั่ เพิกถอนโฉนดท่ีดินดงั กล่าวและทาํ ให้ผ้ซู ื้อท่ีดินซ่ึงเป็ นเทศบาล
ตาํ บล (สุขาภิบาล เดิม) ได้รบั ความเสียหายจากการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน จึงเป็ นการ
กระทําละเมิดต่อผู้ซื้อท่ีดินตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
กรมที่ ดิ นต้ องชดใช้ ค่ าสิ นไหมทดแทนในผลแห่ งละเมิ ดที่ เจ้ าหน้ าที่ ของตนได้ กระทํา
ในการปฏิบตั ิหน้าที่ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิความรบั ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ ส่วนค่าสินไหมทดแทนท่ีกรมที่ดินต้องชําระให้แก่ผ้ซู ื้อท่ีดินนัน้ เม่ือผ้ขู าย
มฐี านะเป็นกรรมการสุขาภิบาลและนายอาํ เภอได้มีคาํ สงั่ แต่งตงั้ ให้เป็นผ้แู ทนนายอาํ เภอ
ในฐานะเจ้าพนักงานปกครองท้องที่รับรองแนวเขตท่ีสาธารณสมบัติ ของแผ่นดิ น
ประกอบกบั คณะกรรมการสุขาภิบาลเป็ นคนในพื้นท่ีและมีหน้าท่ีในการบริหารกิจการ
ของสุขาภิบาล ย่อมสามารถตรวจสอบได้ว่าที่ดินแปลงท่ีจะซื้อเป็ นของผใู้ ดและมีสภาพ
อย่างไร อีกทงั้ เมื่อได้มีการขายที่ดินในราคาสูงกว่าราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรพั ย์
ค่อนข้างมาก จึงถือว่าผ้ขู ายและคณะกรรมการสุขาภิบาลมีส่วนสาํ คญั ในการก่อให้เกิด
ความเสียหายด้วย กรมที่ดินจึงควรรบั ผิดเพียง ๑ ใน ๔ ส่วนของราคาท่ีดินที่ซื้อขาย
ทงั้ นี้ ตามนัยมาตรา ๔๔๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ผูฟ้ ้องคดี (เทศบาลตําบล) ไดซ้ อ้ื ทด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๒๘๕๒ จากนาย ช.
เพ่อื ใชเ้ ป็นทท่ี ง้ิ ขยะมลู ฝอย และไดจ้ ดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธเิ ์ ม่อื วนั ท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๕
ต่อมา ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (อธบิ ดกี รมท่ดี นิ ) ได้มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๒๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๖ เพกิ ถอน
โฉนดท่ีดินดงั กล่าวเน่ืองจากออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสํานักงาน ป.ป.ป. (ปจั จุบัน
คอื สาํ นกั งาน ป.ป.ช.) ไดม้ กี ารตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ตามขอ้ รอ้ งเรยี นพบว่านาย ช. กํานันตําบล

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗ ๑

34

มะขามหลวง ในฐานะผูแ้ ทนนายอําเภอสนั ปา่ ตอง เจา้ พนักงานปกครองทอ้ งท่ี ไดท้ าํ การชแ้ี นวเขต
และลงนามรบั รองแนวเขตท่สี าธารณประโยชน์ในการออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๒๘๕๒ เป็นของ
ตนเอง ทบั ทด่ี นิ ส.ค. ๑ เลขท่ี ๕๐๔ ซง่ึ เดมิ เป็นทด่ี นิ ของนาย ท. ทไ่ี ดม้ อบใหเ้ ป็นทส่ี าธารณประโยชน์
ผฟู้ ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ พจิ ารณาอุทธรณ์แล้วเหน็ ว่าคําสงั่ เพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ
ชอบดว้ ยกฎหมายแล้ว ผูฟ้ ้องคดเี หน็ ว่าตนเป็นบุคคลภายนอกได้ซอ้ื ทด่ี นิ แปลงน้ีมาโดยสุจรติ
และเสียค่าตอบแทนต้องได้รบั ความเสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ในท่ีดินได้ จึงขอให้ศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสัง่ เพิกถอนคําสัง่ ของผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ หากไม่สามารถเพิกถอนได้
ขอใหผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (กรมท่ดี นิ ) ชดใช้ค่าเสยี หายเป็นเงนิ ๑,๐๕๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบย้ี
ในอตั รารอ้ ยละ ๑๕ ต่อปี จนกวา่ จะชาํ ระเสรจ็

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า เม่อื ปรากฏข้อเท็จจรงิ ว่าในการเดนิ สํารวจ
ออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๒๘๕๒ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ เมษายน ๒๕๓๒ นาย ช. ไดน้ ําพนักงานเจา้ หน้าท่ี
ทําการรงั วัดท่ีดินแปลงพิพาท โดยให้ถ้อยคําต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ีผู้ทําการสํารวจและ
ผู้ส อ บ ส ว น สิท ธิว่ า ท่ีดิน ดัง ก ล่ า ว เ ป็ น ท่ีดิน ท่ีม า ร ด า ไ ด้ค ร อ บ ค ร อ ง ทํ า ป ร ะ โ ย ช น์ เ ป็ น ท่ีส ว น
มาประมาณ ๔๐ ปี โดยไม่ไดแ้ จง้ การครอบครอง และรบั ใหจ้ ากมารดามาประมาณ ๑๐ ปี ปจั จุบนั
ใช้เป็นท่ีทําสวนลําไย และมีอาณาเขตทิศตะวันออกจดท่ีดินเลขท่ี ๓๐๒ เลขท่ี ๓๐๓ และ
ทา ง สาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตกจดลําเหมืองสาธารณประโยชน์ ทิศเหนื อจด
ทางสาธารณประโยชน์ ทศิ ใต้จดท่ดี นิ เลขท่ี ๓๐๔ เลขท่ี ๓๐๕ หลงั จากนัน้ เจา้ พนักงานท่ดี นิ
จงั หวดั ได้มคี ําสงั่ แต่งตงั้ คณะทํางานเพ่อื ตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ กรณีออกโฉนดท่ดี นิ โดยมไิ ด้แจง้
การครอบครองจํานวน ๕ คน โดยให้คณะทํางานอย่างน้อย ๒ คน เป็นผู้ออกไปตรวจสอบ
ข้อเท็จจริงและระวางแผนท่ีว่าสมควรออกโฉนดท่ีดินโดยมิได้แจ้งการครอบครองหรือไม่
แต่ตามบนั ทกึ ถอ้ ยคาํ ปรากฏช่อื นาย ส. ทําการตรวจสอบทด่ี นิ เพยี งคนเดยี วและไดเ้ สนอความเหน็
ว่าควรออกโฉนดท่ดี ินให้แก่นาย ช. ได้ เจ้าพนักงานท่ีดนิ จงั หวดั จงึ ออกโฉนดท่ีดินพิพาทให้
ในวันเดียวกัน ซ่ึงต่อมาวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ นาย ช. ได้ขายท่ีดินให้แก่ผู้ฟ้ องคดี
ต่อมา สํานักงาน ป.ป.ป. ได้มหี นังสอื แจ้งผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ว่า ได้รบั เร่ืองร้องเรยี นว่านาย ส.
เจา้ หน้าท่บี รหิ ารงานท่ดี นิ กบั นาย ช. กํานันตําบลมะขามหลวงได้ร่วมกนั ทําเอกสารอนั เป็นเทจ็
เพ่อื ออกโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๓๒๘๕๒ ทบั ท่ดี นิ ส.ค. ๑ เลขท่ี ๕๐๔ อนั เป็นท่สี าธารณประโยชน์
แล้วนําไปขายให้ผู้ฟ้ องคดีโดยทุจริต ถือว่าเป็นการออกโฉนดท่ีดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ซ่ึงจากข้อเท็จจริงดงั กล่าวประกอบกับรายงานการสืบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ป. นาย จ.
ช่างรงั วดั ๓ สงั กดั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ได้ใหถ้ ้อยคําว่าตนได้รบั คําสงั่ ใหเ้ ดนิ สํารวจออกโฉนดท่ดี นิ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗

35

เลขท่ี ๓๒๘๕๒ และจําได้ว่านาย ช. ได้นําช้แี นวเขตโดยอ้างว่าเป็นเจา้ ของท่ดี นิ แปลงดงั กล่าว
สภาพท่ดี ินมีลกั ษณะเป็นแอ่งน้ํา มนี ้ําท่วมขงั ไม่มสี งิ่ ปลูกสร้างหรอื ต้นไม้ในท่ีดนิ แต่อย่างใด
ส่วนนาย ท. ใหถ้ ้อยคาํ ว่าทด่ี นิ ส.ค. ๑ เลขท่ี ๕๐๔ เป็นของตนเอง ต่อมา นาย ท. ไดข้ ายหน้าดนิ
ให้กรมชลประทาน ทําให้ท่ีดินมีลกั ษณะเป็นแอ่งน้ําขนาดใหญ่ไม่สามารถทําประโยชน์ได้
จงึ มอบใหร้ าษฎรในหมู่บ้านใช้ประโยชน์ร่วมกนั และในใบไต่สวนออกโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๔๐๐๒๐
เลขทด่ี นิ ๓๐๒ และโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๔๐๐๒๑ เลขทด่ี นิ ๓๐๓ พนักงานเจา้ หน้าทผ่ี ูส้ อบสวนสทิ ธิ
ไดส้ อบสวนทด่ี นิ ทงั้ สองแปลง มอี าณาเขตขา้ งเคยี งดา้ นทศิ ตะวนั ตกจดสระน้ําสาธารณประโยชน์
แต่มกี ารขดี ฆา่ ออกแลว้ แกเ้ ป็นจดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๐๑ และในใบไต่สวนออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๔๐๐๒๒
เลขทด่ี นิ ๓๐๕ ก็มกี ารแก้ไขอาณาเขตขา้ งเคยี งดา้ นทศิ เหนือจากจดสระน้ําสาธารณประโยชน์
เป็นทด่ี นิ เลขท่ี ๓๐๑

กรณีเหน็ ว่าหากพนกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดใ้ ชค้ วามรคู้ วามชํานาญ
และความละเอยี ดรอบคอบในการตรวจสอบการครอบครองและทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ ตามพยานหลกั ฐาน
การให้ถ้อยคําเก่ยี วกบั การขอออกโฉนดท่ดี นิ ของนาย ช. และสภาพท่ดี นิ ตามความเป็นจรงิ
ทป่ี รากฏขณะทาํ การรงั วดั แลว้ ยอ่ มพบว่าทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวมไิ ดม้ กี ารครอบครองและทําประโยชน์
เป็นสวนลาํ ไยตามทน่ี าย ช. ใหถ้ อ้ ยคาํ หากแต่มสี ภาพเป็นแอ่งน้ําขนาดใหญ่ ประกอบกบั ก่อนท่ี
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ จะมคี ําสงั่ เพกิ ถอนโฉนดท่ีดนิ เลขท่ี ๓๒๘๕๒ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้มคี ําสงั่
แต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าท่ดี นิ ท่นี าย ช. ขอออกโฉนดเป็นท่ดี นิ ตาม ส.ค. ๑
เลขท่ี ๕๐๔ ของนาย ท. โดยนาย ท. ไดย้ กใหป้ ระชาชนใชร้ ่วมกนั แลว้ จงึ ฟงั เป็นยตุ วิ ่าทด่ี นิ แปลงน้ี
เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สาํ หรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จงึ ไม่อาจออกโฉนดท่ดี นิ ได้ การท่พี นักงานเจ้าหน้าท่ดี ําเนินการ
ออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๒๘๕๒ ใหแ้ ก่นาย ช. ถอื เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมดั ระวงั
ซง่ึ บคุ คลในภาวะเชน่ นนั้ จกั ตอ้ งมตี ามวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์ และพนกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ อาจใช้ความระมดั ระวงั เช่นว่านัน้ ในการตรวจสอบสภาพและสถานะของทด่ี นิ ดงั กล่าวได้
แต่หาไดใ้ ช้ใหเ้ พยี งพอไม่ พฤตกิ ารณ์ถอื ไดว้ ่าพนักงานเจา้ หน้าท่ขี องผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ กระทํา
โดยประมาทเลินเล่อในการออกโฉนดท่ีดนิ พิพาท เม่อื นาย ช. ได้ขายท่ีดินให้แก่ผู้ฟ้ องคดี
แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ มคี ําสงั่ ให้เพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ ทําให้ผู้ฟ้องคดไี ด้รบั ความเสยี หาย
ไมอ่ าจใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ ได้ จงึ เป็นการกระทาํ ละเมดิ ต่อผูฟ้ ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเม่อื นาย ช. มฐี านะเป็นกรรมการสุขาภบิ าลตามมาตรา ๗ (๓)
แห่งพระราชบญั ญตั สิ ุขาภบิ าล พ.ศ. ๒๔๙๕ และนายอําเภอสนั ป่าตองได้มคี ําสงั่ แต่งตงั้ นาย ช.

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗ ๓

36

ให้เป็นผู้แทนนายอําเภอในฐานะเจา้ พนักงานปกครองท้องท่รี บั รองแนวเขตท่สี าธารณสมบตั ิ
ของแผ่นดนิ เพอ่ื ออกโฉนดทด่ี นิ ประกอบกบั ทป่ี ระชุมคณะกรรมการสุขาภบิ าลมมี ตใิ หค้ ณะกรรมการฯ
ออกไปตรวจสอบสภาพทด่ี นิ ทจ่ี ะซอ้ื เป็นทท่ี ง้ิ ขยะของนาย ช. โดยคณะกรรมการฯ เป็นคนในพน้ื ท่ี
และมหี น้าทใ่ี นการบรหิ ารกจิ การของสุขาภบิ าล ยอ่ มสามารถตรวจสอบไดว้ ่าทด่ี นิ แปลงดงั กล่าว
เป็นของผใู้ ดและสภาพทด่ี นิ เป็นอยา่ งไร อกี ทงั้ เจา้ พนกั งานทด่ี นิ จงั หวดั ไดม้ หี นงั สอื แจง้ ประธาน
กรรมการสุขาภบิ าลว่าในบรเิ วณใกลเ้ คยี งกบั ทด่ี นิ ทจ่ี ะซอ้ื มกี ารซอ้ื ขายทด่ี นิ ๑ ราย เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕
ตุลาคม ๒๕๓๓ โดยราคาประเมนิ ทุนทรพั ยท์ ่ดี นิ ในบรเิ วณดงั กล่าวราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐ บาท
การท่ีนาย ช. ขายท่ีดินให้แก่ผู้ฟ้ องคดีในราคา ๑,๐๕๐,๐๐๐ บาท หรือเฉล่ียไร่ละประมาณ
๒๐๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงสูงกว่าราคาซ้อื ขายและราคาประเมินทุนทรพั ย์ค่อนข้างมาก กรณีถือได้ว่า
การกระทําของนาย ช. และคณะกรรมการสุขาภบิ าลมสี ่วนสาํ คญั ในการก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่
ผู้ฟ้องคดดี ้วย จงึ เหน็ ควรให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ซ่ึงเป็นหน่วยงานของรฐั รบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนให้แก่ผู้ฟ้ องคดี ๑ ใน ๔ ส่วนของราคาท่ีดินท่ผี ู้ฟ้ องคดีซ้ือจากนาย ช. คดิ เป็นเงิน
๒๖๒,๕๐๐ บาท และเน่ืองจากความเสยี หายของผูฟ้ ้องคดมี ขี น้ึ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๖
อนั เป็นวนั ทม่ี คี ําสงั่ เพกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ จงึ ถอื ว่ามลู ละเมดิ เกดิ ขน้ึ ในวนั ดงั กล่าวตามมาตรา ๒๐๖
แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ผฟู้ ้องคดจี งึ มสี ทิ ธไิ ดร้ บั ดอกเบย้ี ผดิ นดั ในอตั รารอ้ ยละ ๗.๕
ต่อปีนบั แต่วนั ดงั กล่าวตามนยั มาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายเดยี วกนั แต่เมอ่ื ผูฟ้ ้องคดมี คี าํ ขอ
ใหช้ ดใชค้ ่าเสยี หายพรอ้ มดอกเบย้ี นบั แต่วนั ฟ้องเป็นตน้ ไป ศาลจงึ มอิ าจพพิ ากษาเกนิ คาํ ขอได้

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่อ. ๔๗๑/๒๕๕๖)

หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการในกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบญั ญตั ิที่ราชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ไม่มีผลบงั คบั แก่การโอนกรรมสิทธ์ิท่ีราชพสั ดุ
ท่ีเป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่มีผลบงั คบั
แก่การโอนกรรมสิทธ์ิท่ีราชพสั ดุอ่ืน การที่เจ้าของที่ดินได้แสดงเจตนามอบที่ดินให้
ราชการโดยมีเงื่อนไขในการขอท่ีดินคืนถ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์ เม่ือราชการได้ใช้ประโยชน์
ตามวัตถุประสงค์ของการให้แล้ว ท่ีพิ พาทจึงตกเป็ นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดิ น
ท่ีใช้เพ่ือประโยชน์ของแผน่ ดินโดยเฉพาะตามมาตรา ๑๓๐๔ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ และมีสถานะเป็ นท่ีราชพสั ดุตามมาตรา ๔ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ที่ราชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ การโอนกรรมสิทธ์ิจึงต้องอาศยั อาํ นาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ
ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบญั ญตั ิที่ราชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ เม่ือต่อมาราชการไม่ได้ใช้ประโยชน์

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗

37

ในที่ดินตามเง่ือนไขและทายาทของผ้ใู ห้ขอที่พิพาทคืน หน่วยงานทางปกครองซึ่งมีอาํ นาจ
หน้าที่ในการจดั ทําบริการสาธารณะให้บรรลุผลจะต้องไม่กระทําการอย่างหน่ึงอย่างใด
อนั เป็ นการสร้างนิ ติสมั พนั ธ์ที่มีลกั ษณะเป็ นการเอาเปรียบหรือสร้างความไม่เป็ นธรรม
ต่อประชาชน ซ่ึงมิใช่การดาํ เนิ นการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี การท่ีกระทรวงการคลงั
มคี าํ สงั่ ปฏิเสธการคืนที่พิพาทโดยอ้างหลกั เกณฑใ์ นกฎกระทรวงดงั กล่าว ถือเป็นการกระทาํ
โดยไม่มีอาํ นาจและไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเม่ือทายาทของผ้ใู ห้ได้รบั ความเสียหาย
ในการได้มาซึ่งสิทธิในท่ีดินอนั ควรเป็ นมรดกตกทอดแก่ตนเองและทายาทอ่ืน จึงเป็ น
การกระทาํ ละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ผู้ฟ้องคดฟี ้องว่า นาย ภ. และนาง ส. ไดท้ ําหนังสอื ลงวนั ท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๐๓
แสดงเจตนามอบท่ดี นิ ให้สรา้ งโรงเรยี นกบั ศกึ ษาธกิ ารอําเภอเมอื งสุราษฎรธ์ านี ประมาณ ๖ ไร่
โดยมขี อ้ ผกู พนั ว่าหากโรงเรยี นเลกิ ลม้ ไปขอทด่ี นิ คนื และนาง ส. ไดท้ าํ หนังสอื สญั ญาแบ่งใหท้ ด่ี นิ
ลงวนั ท่ี ๗ มถิ ุนายน ๒๕๐๓ แบ่งทด่ี นิ ดงั กล่าวใหแ้ ก่โรงเรยี นประชาบาลบา้ นคอ้ ล่าง โดยจดทะเบยี น
สทิ ธแิ ละนติ กิ รรมต่อพนกั งานเจา้ หน้าท่ี ต่อมา คณะกรรมการการประถมศกึ ษาจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี
ไดม้ มี ตเิ หน็ ชอบใหเ้ ลกิ โรงเรยี นดงั กล่าวตงั้ แต่ปีการศกึ ษา ๒๕๔๑ ภาคเรยี นท่ี ๒ และทด่ี นิ แปลงน้ี
ไม่มกี ารใช้ประโยชน์ ผูฟ้ ้องคดซี ่งึ เป็นบุตรบุญธรรมและเป็นผูจ้ ดั การมรดกจงึ มหี นังสอื ลงวนั ท่ี
๒๐ สงิ หาคม ๒๕๔๒ ถึงผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (กรมธนารกั ษ์) ขอท่ดี นิ คนื เพ่อื แบ่งปนั แก่ทายาท
ตามเงอ่ื นไขการให้ แต่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ โดยความเหน็ ชอบของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (กระทรวงการคลงั )
มหี นังสอื ลงวนั ท่ี ๑๑ มกราคม ๒๕๕๑ แจง้ ว่าไม่คนื ท่ดี นิ โดยใหเ้ หตุผลว่าทร่ี าชพสั ดุดงั กล่าว
ได้มกี ารสร้างโรงเรยี นตามเจตนารมณ์ของผู้บรจิ าคแล้ว จงึ เป็นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ
ท่ใี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ จงึ ไม่อาจคนื ให้ไดต้ ามหลกั เกณฑท์ ่กี ําหนดในขอ้ ๘
วรรคหน่ึง (๑) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ
ท่ีราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงขอให้ศาลปกครองมีคําพิพากษาหรือคําสัง่ เพิกถอนคําสัง่
ของผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ทไ่ี มค่ นื ทด่ี นิ และใหผ้ ถู้ กู ฟ้องคดที งั้ สองคนื ทด่ี นิ ให้

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า ท่ดี ินใดจะเปล่ยี นสภาพเป็นสาธารณสมบตั ิ
ของแผ่นดนิ จะต้องประกอบด้วยลกั ษณะสองประการ คอื เป็นทรพั ยส์ นิ ของแผ่นดนิ และไดใ้ ช้
ทด่ี นิ นัน้ เพ่อื สาธารณประโยชน์หรอื สงวนไว้เพ่อื ประโยชน์ร่วมกนั ดงั นัน้ เม่อื นาย ภ. และนาง ส.
ไดท้ าํ หนงั สอื มอบทด่ี นิ ใหส้ รา้ งโรงเรยี นกบั ศกึ ษาธกิ ารอําเภอ และไดด้ ําเนินการจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิติกรรมแบ่งให้ท่ดี ินดงั กล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี จงึ มผี ลทําให้ท่พี ิพาทเป็นทรพั ย์สิน

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗ ๕

38

ของแผ่นดนิ และเม่อื ไดม้ กี ารใชป้ ระโยชน์ในการสรา้ งโรงเรยี นบา้ นค้อล่าง จงึ ถอื ว่าโรงเรยี นได้ใช้
ท่ีพิพาทนัน้ เพ่อื สาธารณประโยชน์แล้ว ท่ีพิพาทจงึ ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินท่ีใช้
เพอ่ื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะตามมาตรา ๑๓๐๔ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
และต่อมาเม่อื ได้มกี ารโอนบรรดากจิ การ ทรพั ยส์ นิ หน้ี และเงนิ งบประมาณส่วนทเ่ี ป็นเงนิ อุดหนุน
งบประถมศึกษาขององค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั ในส่วนท่เี ก่ยี วกบั โรงเรยี นประชาบาลไปเป็นของ
สาํ นกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จงึ ทําใหท้ พ่ี พิ าทโอนมาเป็น
ของสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ และมสี ถานะเป็นท่รี าชพสั ดุตามมาตรา ๔
วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมผี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นผถู้ อื กรรมสทิ ธิ ์
ตามมาตรา ๕ และมาตรา ๑๒ แหง่ พระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั และเมอ่ื ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าไดม้ ปี ระกาศ
คณะกรรมการการประถมศกึ ษาจงั หวดั ใหเ้ ลกิ ลม้ โรงเรยี นบา้ นคอ้ ล่างโดยใหเ้ อกสารและทรพั ยส์ นิ
อยู่ในความดูแลของโรงเรียนบ้านทอนหญ้าปล่อง ทําให้ไม่มีการใช้ประโยชน์ในท่ีพิพาท
ตามวตั ถุประสงคข์ องผใู้ ห้ ผฟู้ ้องคดจี งึ มหี นังสอื ถงึ อธบิ ดขี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ แจง้ ความประสงค์
ขอท่ีพิพาทคืน ต่อมา ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ แจ้งคําสัง่ ของผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ ให้ผู้ฟ้ องคดีทราบ
ตามหนังสอื ด่วนทส่ี ุดลงวนั ท่ี ๑๑ มกราคม ๒๕๕๑ ว่าท่รี าชพสั ดุดงั กล่าวไดใ้ ช้ประโยชน์เป็นท่ตี งั้
ของโรงเรยี นบ้านค้อล่างตามเจตนารมณ์ของผู้บรจิ าคแล้ว จงึ เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ท่ใี ช้
เพอ่ื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ ไม่อาจคนื ทพ่ี พิ าทใหไ้ ดต้ ามหลกั เกณฑ์ ขอ้ ๘ วรรคหน่ึง (๑)
ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘
เห็นว่า แม้ไม่มกี ารใช้ประโยชน์ในท่พี พิ าทตามวตั ถุประสงค์ของผู้ให้ตามท่รี ะบุไว้ในหนังสอื
ลงวนั ท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๐๓ และท่พี พิ าทมสี ภาพรกร้าง ไม่มกี ารใช้ประโยชน์อย่างใดอีก
แต่ทพ่ี พิ าทกย็ งั คงมสี ถานะเป็นทร่ี าชพสั ดุอนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์
ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะอยู่เช่นเดมิ โดยหลกั เกณฑใ์ นการโอนทรพั ยส์ นิ ซง่ึ เป็นสาธารณสมบตั ิ
ของแผ่นดนิ ตามมาตรา ๑๓๐๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะกระทําได้ต่อเม่อื
อาศยั อํานาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรอื พระราชกฤษฎกี า การโอนท่พี พิ าทในกรณีน้ีจงึ ต้อง
อาศยั อํานาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ กล่าวคือ หลกั เกณฑ์ในการโอนกรรมสิทธิท์ ่ีราชพสั ดุ
ตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญตั ิท่ีราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่ึงแบ่งออกเป็นสองกรณี คือ
การโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ่รี าชพสั ดุท่เี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ
โดยเฉพาะให้กระทําโดยการออกพระราชบญั ญัติโอนกรรมสิทธิ ์ ส่วนการโอนท่ีราชพสั ดุอ่ืน
ให้กระทําตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารท่กี ําหนดในกฎกระทรวง อนั ได้แก่ กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑
(พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ซง่ึ ใชบ้ งั คบั อย่ใู นขณะนนั้

๖ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗

39

ดงั นัน้ หลกั เกณฑ์และวธิ กี ารในกฎกระทรวงดงั กล่าวจงึ ไม่มผี ลบงั คบั แก่การโอนกรรมสทิ ธิ ์
ทร่ี าชพสั ดุท่เี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ หากแต่
มผี ลบงั คบั แก่การโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ร่ี าชพสั ดุอ่นื ทไ่ี มใ่ ช่สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ช้เพ่อื ประโยชน์
ของแผ่นดินโดยเฉพาะเท่านัน้ ท่ีพิพาทจึงไม่ตกอยู่ในบังคบั ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๑๑
(พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ การทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เหน็ ชอบกบั ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในการไมค่ นื ทพ่ี พิ าทและ
มคี ําสงั่ ปฏเิ สธการคนื ท่พี พิ าทใหแ้ ก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้เหตุผลดงั กล่าวขา้ งต้นเป็นการใชด้ ุลพนิ ิจ
โดยไม่ชอบ เน่ืองจากกฎกระทรวงดงั กล่าวไม่มผี ลบงั คบั แก่ท่พี พิ าทท่มี สี ถานะเป็นทร่ี าชพสั ดุ
อนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พอ่ื ประโยชน์ของแผน่ ดนิ โดยเฉพาะ

นอกจากน้ี ในการพจิ ารณาเพ่อื โอนคนื ท่รี าชพสั ดุอนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ
ท่ีใช้เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะนั้น ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ ในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ ์
และมอี ํานาจหน้าทเ่ี กย่ี วกบั ทร่ี าชพสั ดุอาจพจิ ารณาดําเนินการเพ่อื ใหม้ กี ารโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ร่ี าชพสั ดุ
ดงั กล่าวให้แก่หน่วยงานของรฐั อ่ืนหรอื เอกชนใช้ประโยชน์ได้โดยคํานึงถงึ ประโยชน์ท่ีจะเกิด
แก่สว่ นรวมหรอื ประชาชนเป็นสาํ คญั โดยจะตอ้ งตราเป็นพระราชบญั ญตั โิ อนกรรมสทิ ธติ ์ ามมาตรา ๘
แห่งพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ และผมู้ อี ํานาจในการพจิ ารณาดําเนินการเพ่อื โอนคนื
ท่รี าชพสั ดุอนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ท่ใี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะให้แก่
ผฟู้ ้องคดี หมายความถงึ คณะรฐั มนตรซี ง่ึ จะตอ้ งพจิ ารณาดาํ เนินการเสนอรา่ งพระราชบญั ญตั โิ อน
ทร่ี าชพสั ดุทเ่ี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะคนื ใหแ้ ก่
ผฟู้ ้องคดซี ง่ึ เป็นผจู้ ดั การมรดกของผใู้ หต้ ่อรฐั สภา ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ มอี ํานาจหน้าทเ่ี พยี งรวบรวม
ขอ้ เทจ็ จรงิ พรอ้ มเสนอความเหน็ เก่ยี วกบั การขอโอนคนื ทพ่ี พิ าทต่อคณะรฐั มนตรเี พ่อื พจิ ารณา
ดาํ เนินการต่อไปเทา่ นนั้ ประกอบกบั ผถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สองรบั ว่านาย ภ. และนาง ส. ไดท้ าํ หนังสอื
ลงวนั ท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๐๓ มอบทด่ี นิ ใหโ้ ดยมเี งอ่ื นไขวา่ หากโรงเรยี นเลกิ ลม้ ไป ผใู้ หข้ อทพ่ี พิ าทคนื
เม่อื ผูถ้ ูกฟ้องคดที งั้ สองเป็นหน่วยงานทางปกครองซ่งึ มอี ํานาจหน้าทใ่ี นการจดั ทําบรกิ ารสาธารณะ
ใหบ้ รรลุผล ผูถ้ ูกฟ้องคดที งั้ สองจะต้องไมก่ ระทําการอย่างหน่ึงอย่างใดอนั เป็นการสรา้ งนิตสิ มั พนั ธ์
ทม่ี ลี กั ษณะเป็นการเอาเปรยี บหรอื สรา้ งความไมเ่ ป็นธรรมต่อประชาชน ซง่ึ มใิ ช่การดําเนินการ
บรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี ี ดงั นัน้ การทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เหน็ ชอบกบั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในการ
ไม่คืนท่ีพิพาทและมีคําสัง่ ปฏิเสธการคืนท่ีพิพาทให้แก่ผู้ฟ้ องคดี จึงเป็นการกระทําโดย
ไม่มอี ํานาจและเป็นการกระทําท่ไี ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย มผี ลทําใหผ้ ู้ฟ้องคดไี ด้รบั ความเสยี หาย
ในการได้มาซ่ึงสิทธิในท่ีดินพิพาทอันเป็นทรัพย์สินท่ีควรเป็นมรดกตกทอดแก่ผู้ฟ้ องคดี
และทายาทอ่ืน การกระทําดังกล่าวจึงเป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้ องคดีตามมาตรา ๔๒๐

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗ ๗

40

แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ซง่ึ ผถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สองจะต้องคนื ทพ่ี พิ าทให้แก่ผฟู้ ้องคดี
โดยดาํ เนนิ การใหถ้ กู ตอ้ งตามขนั้ ตอนและวธิ กี ารทก่ี ฎหมายกําหนด

ส่วนกรณที ผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สองอา้ งว่าการใชด้ ุลพนิ ิจว่าจะคนื หรอื ไมค่ นื ทพ่ี พิ าท
เพราะเหตุเง่อื นไขบงั คบั หลงั ตามท่รี ะบุในหนังสอื ลงวนั ท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๐๓ เป็นการใชด้ ุลพนิ ิจ
ตามสญั ญาทางแพ่ง มใิ ช่การกระทําทางปกครองทศ่ี าลปกครองจะมอี ํานาจพจิ ารณาพพิ ากษา
หรอื มคี ําสงั่ ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ นัน้ ผู้ถูกฟ้ องคดีทัง้ สองต้องย่ืนคําร้องโต้แย้งเขตอํานาจศาลปกครองก่อน
วนั นัง่ พจิ ารณาคดคี รงั้ แรกตามมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการวนิ ิจฉัย
ชข้ี าดอํานาจหน้าทร่ี ะหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่คดนี ้ีศาลปกครองชนั้ ต้นไดร้ บั คําฟ้องไวพ้ จิ ารณา
และดาํ เนินกระบวนพจิ ารณาจนกระทงั่ มคี ําพพิ ากษาแล้ว โดยผูถ้ ูกฟ้องคดที งั้ สองไม่ไดย้ น่ื คาํ รอ้ ง
ก่อนวนั นัง่ พจิ ารณาคดีครงั้ แรกแต่อย่างใด ดงั นัน้ การท่ีผู้ถูกฟ้องคดที งั้ สองกลบั มาโต้แย้ง
เขตอํานาจศาลในชนั้ พจิ ารณาของศาลปกครองสงู สดุ จงึ ล่วงเลยระยะเวลาดงั กล่าวแลว้

พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนคําสงั่ ของผู้ถูกฟ้องคดที งั้ สองทป่ี ฏเิ สธการคนื ทด่ี นิ พพิ าท
ใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี และให้ผู้ถูกฟ้องคดที งั้ สองคนื ทด่ี นิ พพิ าทใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดโี ดยดาํ เนินการใหถ้ ูกต้อง
ตามกระบวนการทก่ี ฎหมายกาํ หนด

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๘๘๔/๒๕๕๖)

๘ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๗

41

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน

เมือ่ คลองสาธารณประโยชน์ท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกนั ได้เปล่ียนสภาพ
จากที่สาธารณประโยชน์สาํ หรบั พลเมืองใช้ร่วมกนั มาเป็ นท่ีดินรกร้างว่างเปล่า ก่อนท่ี
บทบญั ญตั ิบรรพส่ี แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชยใ์ ช้บงั คบั และในขณะนัน้ ยงั ไม่มี
การแยกประเภทท่ีสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๔ แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิ ชย์ และยงั ไม่มีบทบญั ญัติที่กําหนดแบบพิธีการเปล่ียนแปลงสถานะ
ของท่ีดิ นรัฐ สถานะของที่ดิ นรัฐจึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าสภาพท่ีดินเป็ นอย่างไร
และมีการใช้ประโยชน์ที่ดินนั้นอย่างไร การท่ีเจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดท่ีดิน
อนั เป็ นที่ดินรกร้างว่างเปล่าดงั กล่าวให้เอกชนซ่ึงครอบครองทาํ ประโยชน์มานาน ๑๐ ปี
ก่อนยื่นคาํ ขอออกโฉนดที่ดิน การออกโฉนดที่ดินจึงชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อคลอง
ได้เปล่ียนสภาพเป็ นที่ดินรกร้างว่างเปล่า นายอาํ เภอจึงไม่มีอาํ นาจหน้าที่ในการดูแล
ปกป้ องรกั ษาตามมาตรา ๑๑๗ และมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครอง
ท้องที่ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗

ผูฟ้ ้องคดฟี ้องว่า ผูฟ้ ้องคดเี ป็นเจา้ ของกรรมสทิ ธทิ ์ ด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๐๗๐
ออกใหเ้ มอ่ื ปี ๒๔๖๕ มอี าณาเขตตดิ คลองบา้ นเกาะไผ่พระ ซง่ึ เป็นคลองสาธารณประโยชน์ทผ่ี ฟู้ ้องคดี
และประชาชนใชป้ ระโยชน์รว่ มกนั แต่เมอ่ื ผฟู้ ้องคดยี น่ื คาํ ขอรงั วดั สอบเขตทด่ี นิ ต่อผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
(เจา้ พนักงานท่ดี นิ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา) จงึ รูว้ ่ามบี ุคคลนําคลองบา้ นเกาะไผ่พระไปออกเป็น
โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๙๘๐๖ ผูฟ้ ้องคดรี อ้ งเรยี นต่อผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (นายอําเภอ) และไดร้ บั คาํ ชแ้ี จงว่า
โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๙๘๐๖ ไดอ้ อกมาก่อนทป่ี ระมวลกฎหมายทด่ี นิ ใชบ้ งั คบั และผ่านการตรวจสอบ
และพจิ ารณาจากคณะกรมการจงั หวดั และคณะกรมการอําเภอแล้ว จงึ เป็นการออกโฉนดทด่ี นิ
ท่ีชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้ องคดไี ม่เห็นด้วย เน่ืองจากเป็นการออกทบั คลองบ้านเกาะไผ่พระ
ซ่ึงมคี วามกว้างประมาณ ๔๐ เมตร มใิ ช่เป็นเพยี งลํารางเล็ก ๆ ทัง้ การท่คี ลองดังกล่าวต้ืนเขิน
เกิดจากนาย ฮ. ถมดนิ ปิดหวั ท้ายคลองบ้านเกาะไผ่พระแล้วถมดนิ เสมอกบั พน้ื ท่ที วั่ ไปเพ่อื ทํานา
มไิ ดเ้ กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตแิ ละนาย ฮ. ผขู้ อออกโฉนดทด่ี นิ มตี ําแหน่งเป็นผใู้ หญ่บา้ นและเจา้ ของทด่ี นิ
ขา้ งเคยี งกบั ทด่ี นิ ทข่ี อออกโฉนดทด่ี นิ เป็นญาตกิ บั นาย ฮ. จงึ ไม่มบี ุคคลใดคดั คา้ นการออกโฉนด
ผู้ฟ้ องคดีจึงขอให้ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ เพิกถอนโฉนดดังกล่าว เพ่ือให้กลับคืนเป็นคลอง
สาธารณประโยชน์สําหรบั ประชาชนใช้เป็นทางสญั จรและทําการเกษตรดงั เดมิ แต่ไม่ได้รบั

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๗ ๑

42

การแก้ไข จงึ ขอให้ศาลมคี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ เพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๙๘๐๖ และขุดลอก
คลองบา้ นเกาะไผ่พระใหก้ ลบั คนื เป็นคลองสาธารณประโยชน์ดงั เดมิ

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟงั ได้ว่าเดิมท่ีดินท่ีนาย ฮ.
ขอออกโฉนดท่ีดินเป็นคลองบ้านเกาะไผ่พระซ่ึงเป็นคลองสาธารณประโยชน์ และนาย ฮ.
ไดย้ ่นื คําขอออกโฉนดท่ดี นิ เม่อื วนั ท่ี ๗ กนั ยายน ๒๔๘๓ โดยใหถ้ ้อยคําว่าทด่ี นิ ทข่ี อออกโฉนด
ท่ดี ินมเี น้ือท่ปี ระมาณ ๕ ไร่ ท่ีดนิ แปลงดงั กล่าวไม่เป็นท่หี ลวงหวงห้ามหรอื ท่ีสาธารณประโยชน์
ผู้ขอได้ครอบครองทําประโยชน์ในท่ีดินด้วยการทํานามาประมาณ ๑๐ ปี เม่อื พนักงานท่ีดิน
พิจารณาแล้วเห็นว่าท่ีดินท่ีขอออกโฉนดท่ีดินเป็นคลองบ้านเกาะไผ่พระ ซ่ึงเป็นคลอง
สาธารณประโยชน์ไม่สามารถออกหนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ จงึ ใหผ้ ูข้ อหาหลกั ฐานมาแสดงก่อน
ว่าท่ดี นิ ดงั กล่าวได้ถอนสภาพจากการเป็นท่สี าธารณประโยชน์แลว้ หรอื ไม่ อย่างไร คณะกรมการ
อาํ เภอบางไทรไดม้ หี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๗ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๘๔ แจง้ ว่า เดมิ ทด่ี นิ ดงั กล่าวเป็นลํารางเลก็ ๆ
แลว้ ต้นื เขนิ ขน้ึ นาย ฮ. เขา้ ครอบครองมาประมาณ ๑๐ ปี ไม่มผี ูใ้ ดกดี ขวางและไม่เป็นการเดอื ดรอ้ น
แก่ประชาชน จงึ ไมข่ ดั ขอ้ งทจ่ี ะออกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่นาย ฮ. ได้ และไดม้ หี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๑ มนี าคม
๒๔๘๔ ยืนยันว่าท่ีดินท่ีนาย ฮ. ขอออกโฉนดท่ีดิน ไม่ปรากฏว่าได้ประกาศสงวนไว้เป็น
ท่สี าธารณประโยชน์ จงึ ไม่ต้องเพกิ ถอนท่ดี นิ ดงั กล่าวแต่ประการใด ต่อมาคณะกรมการจงั หวดั
พระนครศรอี ยุธยาได้มหี นังสือท่ีดนิ และโลหะกิจจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยาลงวนั ท่ี ๗ มนี าคม
๒๔๘๔ ถึงคณะกรมการอําเภอบางไทรว่า แม้ท่ีดินดังกล่าวจะไม่ได้ประกาศสงวนเป็น
ท่ีสาธารณประโยชน์โดยข้ึนทะเบียนไว้ก็ดี ท่ีลําคลองนัน้ ก็ย่อมเป็นท่ีสาธารณประโยชน์อยู่
ตามสภาพแล้ว การแปรสภาพเป็นท่ีต้ืนเขินของลําคลองข้นึ นัน้ ก็ยงั หาได้ทําให้หมดสภาพ
ไปจากท่ีสาธารณประโยชน์ไม่ และในการจะอนุญาตออกโฉนดท่ีดินให้บุคคลเข้าถือสิทธิ
ควรระลึกการท่ีจะบํ ารุ งขุ ดซ่ อมลอกคลองสํ าหรับให้ ประชาชนใช้ เป็ นท่ีสาธารณประโยชน์
ในกาลต่อไปเสยี ก่อนดว้ ย จงึ ให้คณะกรมการอําเภอพจิ ารณาอกี ครงั้ ว่าท่ดี นิ รายน้ีควรจะบํารุงไว้
ให้เป็นทส่ี าธารณประโยชน์ตามเดมิ หรอื ควรให้เอกชนถอื สทิ ธไิ ดป้ ระการใดด้วยเหตุผลอย่างใด
ซง่ึ คณะกรมการอําเภอบางไทรได้มหี นังสอื ลงวนั ท่ี ๑๔ มนี าคม ๒๔๘๔ ยนื ยนั ว่าควรใหเ้ อกชน
ถอื สทิ ธไิ ด้เพราะท่ดี นิ แปลงน้ีถงึ แมท้ างราชการจะบํารุงรกั ษาก็ไม่ได้รบั ประโยชน์เพราะทางการ
ไดจ้ ดั ทาํ ประตูระบายน้ํามลี าํ คลองขา้ งเคยี งรบั น้ําจากประตูส่งน้ําทวั่ ไป ประกอบกบั ทด่ี นิ รายน้ีขณะน้ี
พ้นื ท่ีเสมอกบั พ้ืนท่ีนาของราษฎรทวั่ ไป ดงั นัน้ เพ่อื มใิ ห้ท่ดี นิ ว่างเปล่าโดยมไิ ด้รบั ประโยชน์
และนาย ฮ. ก็ได้ครอบครองทํานาตลอดมา จึงควรรงั วัดออกโฉนดท่ีดินให้ตามระเบียบต่อไป
ข้อเท็จจรงิ จึงรบั ฟงั ได้ว่า ในขณะท่ีนาย ฮ. ขอออกโฉนดท่ีดินคลองบ้านเกาะไผ่พระท่ีพิพาท

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๗

43

ได้ต้ืนเขินจนเสมอกับพ้ืนท่ีทวั่ ไป และนาย ฮ. ได้เข้าครอบครองทําประโยชน์โดยการทํานา
มาประมาณ ๑๐ ปีแล้ว คลองพิพาทจงึ ได้เปล่ียนสภาพจากท่สี าธารณประโยชน์สําหรบั พลเมอื ง
ใช้ร่วมกันมาเป็นท่ีดินรกร้างว่างเปล่า ก่อนท่ีบทบัญญัติบรรพส่ี แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ใช้บังคับ ซ่ึงในขณะนัน้ ยงั ไม่มกี ารแยกประเภทท่ีสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินตาม
มาตรา ๑๓๐๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และยังไม่มีบทบัญญัติท่ีกําหนด
แบบพิธีการเปล่ียนแปลงสถานะของท่ีดินรัฐ สถานะของท่ีดินรฐั จึงข้ึนอยู่กับข้อเท็จจริงว่า
สภาพท่ีดินเป็นอย่างไร และมีการใช้ประโยชน์ท่ีดินนั้นอย่างไร ดังนั้น เม่ือท่ีดินท่ีนาย ฮ.
ขอออกโฉนดทด่ี นิ เป็นทด่ี นิ รกรา้ งว่างเปล่า และคณะกรมการอําเภอบางไทรเหน็ ควรออกโฉนดทด่ี นิ
ใหแ้ ก่นาย ฮ. ผคู้ รอบครองทาํ ประโยชน์ได้ การออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๙๘๐๖ ใหแ้ ก่นาย ฮ. เม่อื วนั ท่ี
๒๗ มถิ ุนายน ๒๔๘๕ จงึ ชอบดว้ ยกฎหมาย ไม่มกี รณีท่ผี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ต้องเพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ
ดงั กล่าวแต่อยา่ งใด เม่อื การออกโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าวชอบดว้ ยกฎหมายและคลองบา้ นเกาะไผ่พระ
ทพ่ี พิ าทไดเ้ ปลย่ี นสภาพเป็นทด่ี นิ รกรา้ งว่างเปล่าแลว้ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ ไมม่ อี ํานาจหน้าทใ่ี นการ
ดูแลปกป้องรกั ษาตามมาตรา ๑๑๗ และมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองทอ้ งท่ี
พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ มไิ ดล้ ะเลยต่อหน้าท่ตี ามทก่ี ําหนดให้ต้องปฏบิ ตั ิ
ในการดูแลปกป้องรกั ษาคลองบ้านเกาะไผ่พระท่พี พิ าทหรอื ทอ่ี นั เป็นสาธารณประโยชน์แต่อย่างใด
สําหรบั กรณีท่ผี ู้ฟ้องคดอี ้างในอุทธรณ์ว่า การท่คี ลองบ้านเกาะไผ่พระท่พี พิ าทต้นื เขนิ ขน้ึ เกดิ จาก
การท่นี าย ฮ. ถมดนิ ปิดหวั ท้ายคลองแลว้ ถมดนิ เสมอกบั พ้นื ท่ที วั่ ไปและเจา้ ของท่ดี นิ ข้างเคยี ง
ทด่ี นิ ทน่ี าย ฮ. ขอออกโฉนดทด่ี นิ เป็นญาตกิ บั นาย ฮ. จงึ ไมม่ ผี ู้ใดคดั คา้ นการออกโฉนดทด่ี นิ ของ
นาย ฮ. นนั้ เหน็ ว่า ผฟู้ ้องคดไี ดซ้ อ้ื ทด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๓๐๗๐ วนั ท่ี ๒๔ มกราคม ๒๕๒๖
ซ่งึ เป็นเวลาภายหลงั การออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๙๘๐๖ แล้วถึง ๔๑ ปี และในขณะนัน้ ผูฟ้ ้องคดี
ยงั มอี ายไุ มถ่ งึ ๑๐ ปี ประกอบกบั ผฟู้ ้องคดมี ไิ ดเ้ สนอพยานหลกั ฐานต่อศาลเพ่อื พสิ จู น์ขอ้ เทจ็ จรงิ
ดงั กล่าวแต่อยา่ งใด

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่อ. ๑๓๓/๒๕๕๗)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๔ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๗ ๓


Click to View FlipBook Version