The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

​คดีพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน​ (ปี 2563)

สำนักงานศาลปกครอง

Keywords: ด้านบริหารงานที่ดิน

44

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน

การได้มาซ่ึงสิทธิในที่ดินในที่งอกริมตลิ่งโดยผลของกฎหมายตามบทบญั ญตั ิ
มาตรา ๑๓๐๘ ประกอบมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
ท่ีงอกนัน้ จะต้องเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยงอกออกจากที่ดินริมตล่ิง ซ่ึงในฤดูนํ้า
ตามปกติน้ําจะท่วมไม่ถึงและมีลกั ษณะเป็ นส่วนควบติดกบั ท่ีดินริมตล่ิง เม่ือที่พิพาท
ของผ้รู ้องขอออกโฉนดที่ดินมีสภาพเป็ นที่ลุ่มราบน้ําทะเลขึ้นถึง ซึ่งเกิดจากอิทธิพล
ของน้ําทะเลขึ้นลงตามปกติ โดยเป็ นบริเวณที่น้ําทะเลท่วมถึงเมื่อเวลานํ้าขึ้นและโผล่
เม่ือเวลานํ้าลง เนื้อดินมีลกั ษณะเป็ นตะกอนดินโคลนเกิดจากนํ้าทะเลพดั พามาสะสมตวั
มีสภาพเป็นป่ าชายเลนตามธรรมชาติ และไม่ปรากฏว่ามีการครอบครองและทาํ ประโยชน์
ในท่ีดินตามสมควรแก่สภาพของท่ีดินในท้องถิ่น จึงถือได้ว่าที่พิพาทมีสภาพเป็ นที่
ชายตล่ิงน้ําทะเลท่วมถึง อนั เป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินประเภททรพั ยส์ ินสาํ หรบั
พลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
มิได้มีสภาพเป็ นท่ีงอกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอนั จะได้รบั ความคุ้มครองสิทธิในท่ีดิน
ว่าเป็ นเจ้าของกรรมสิทธ์ิโดยผลของกฎหมายดงั กล่าว ผรู้ ้องขอจึงไม่เป็นผ้มู ีสิทธิในท่ีดิน
โดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิย่ืนคําขอต่อเจ้าพนักงานท่ีดินจงั หวดั เพ่ือให้ออก
โฉนดท่ีดินเป็ นการเฉพาะรายได้ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไข
เพ่ิ มเติ มโดยประกาศของคณะปฏิ วัติ ฉบับที่ ๙๖ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕
ประกอบมาตรา ๑๓๐๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ และท่ีพิพาทมีลักษณะ
ต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินตามข้อ ๑๔ (๑) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)
ออกตามความในพระราชบญั ญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนั้น
การที่เจ้าพนักงานท่ีดินจังหวัดมีคําสัง่ ปฏิ เสธการออกโฉนดที่ดินสําหรับท่ีพิพาท
จึงเป็ นการกระทําท่ีชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็ นการกระทําละเมิดต่อผู้ย่ืนคาํ ร้อง
ขอออกโฉนดที่ดิน

ผู้ฟ้ องคดีฟ้ องว่า ผู้ฟ้ องคดีมีช่ือเป็นผู้ถือกรรมสิทธิใ์ นท่ีดินตามโฉนดท่ีดิน
สามแปลงและทด่ี นิ ดงั กล่าวเกดิ ทง่ี อก จงึ ไดย้ น่ื คําขอออกโฉนดทด่ี นิ สําหรบั ทง่ี อกต่อสํานกั งานทด่ี นิ
จงั หวดั โดยการรงั วดั เพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (ผู้ว่าราชการจงั หวดั ) ได้มหี นังสอื
ขอความร่วมมอื จากกรมทรพั ยากรธรณีให้จดั ส่งเจา้ หน้าท่ีไปตรวจสภาพท่ดี นิ ผลปรากฏว่า

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๘ ๑

45

บรเิ วณทด่ี นิ ดงั กลา่ วเป็นทล่ี ุ่มราบน้ําขน้ึ ถงึ ประกอบดว้ ยตะกอนดนิ โคลนและตะกอนทรายทเ่ี กดิ จาก
การสะสมตวั โดยธรรมชาตจิ ากอทิ ธพิ ลของกระแสน้ําขน้ึ ลง ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (เจา้ พนักงานทด่ี นิ
จงั หวดั ) จงึ มหี นังสอื แจง้ ผู้ฟ้องคดวี ่าท่ดี นิ ท่ขี อออกโฉนดท่ดี นิ (ท่งี อก) ยงั ไม่พ้นจากการเป็น
สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ มใิ ช่ทง่ี อกชายทะเลออกจากทด่ี นิ ของผูฟ้ ้องคดี จงึ ไม่อย่ใู นหลกั เกณฑ์
ทจ่ี ะออกโฉนดท่ดี นิ ได้ ผูฟ้ ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไมร่ บั อุทธรณ์ ผูฟ้ ้องคดเี หน็ ว่า
ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ ไดเ้ คยพจิ ารณาออกโฉนดทด่ี นิ ในทง่ี อกซง่ึ ตงั้ อยขู่ า้ งเคยี งและอย่ใู นแนวเดยี วกนั
กบั ทด่ี นิ ของผฟู้ ้องคดี โดยทด่ี นิ ของตนมสี ภาพไมแ่ ตกต่างจากทง่ี อกทผ่ี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ได้เคย
ออกโฉนดท่ีดินให้แก่บุคคลอ่ืนไปแล้ว อีกทงั้ ก่อนท่จี ะย่นื คําขอออกโฉนดท่ดี นิ ทางราชการ
ไดก้ ่อสรา้ งแนวคนั ดนิ กนั้ น้ําทะเลเสรจ็ แล้ว จงึ เป็นเหตุใหน้ ้ําทะเลไม่สามารถท่วมถงึ ท่งี อกของตน
ไดต้ ามธรรมชาติ การไมอ่ อกโฉนดทด่ี นิ ในทง่ี อกทงั้ สามแปลงใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดไี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย
จึงนําคดีมาฟ้ องเพ่ือขอให้ศาลปกครองมีคําพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ เพิกถอนคําสัง่
ไม่ออกโฉนดท่ดี ิน และให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ มคี ําสงั่ ให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ออกโฉนดท่ดี นิ ในท่งี อก
ทงั้ สามแปลงใหแ้ ก่ตน

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า การได้มาซ่ึงสิทธิในท่ีดินในท่ีงอกรมิ ตลิ่ง
โดยผลของกฎหมายตามบทบญั ญัติมาตรา ๑๓๐๘ ประกอบมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่งี อกนัน้ จะตอ้ งเกดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาตโิ ดยงอกออกจาก
ทด่ี นิ รมิ ตลงิ่ ซง่ึ ในฤดนู ้ําตามปกตนิ ้ําจะท่วมไม่ถงึ และมลี กั ษณะอนั เป็นส่วนควบตดิ กบั ทด่ี นิ รมิ ตลงิ่
เจ้าของท่ดี นิ รมิ ตลง่ิ จงึ จะเป็นผูไ้ ด้สทิ ธใิ นท่ดี นิ โดยชอบด้วยกฎหมายในท่งี อกนัน้ เม่อื ปรากฏ
ตามผลการตรวจสภาพทด่ี นิ ของคณะกรรมการตรวจสภาพทง่ี อกเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ว่าบรเิ วณ
ท่ีพิพาททงั้ สามแปลงท่ผี ู้ฟ้องคดขี อออกโฉนดท่ีดนิ โดยอ้างว่าเป็นท่ีงอกออกจากท่ดี นิ ท่ตี น
เป็นเจา้ ของกรรมสทิ ธนิ ์ ัน้ เป็นทล่ี ุ่มราบน้ําขน้ึ ถงึ ยงั ไมพ่ ้นจากการเป็นทส่ี าธารณประโยชน์ มใิ ช่
ทง่ี อกชายทะเลออกจากทด่ี นิ ของผู้ฟ้องคดี และผลการตรวจสภาพทพ่ี พิ าทของคณะเจา้ หน้าท่ี
ของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๓ (อธบิ ดกี รมทรพั ยากรธรณี) ท่ไี ด้ออกไปทําการตรวจสอบตําแหน่งท่ตี งั้
และธรณีสณั ฐานของท่พี พิ าทและตะกอนทางธรณีวทิ ยาด้วยวธิ กี ารเจาะสํารวจด้วยเคร่อื งมอื
เจาะสาํ รวจ ชนิดมอื หมนุ (hand auger drilling sets) เพอ่ื เกบ็ ตวั อยา่ งตะกอนแลว้ พบว่าลกั ษณะ
ของตะกอนประกอบดว้ ยดนิ เหนียวสดี ําเขม้ ถงึ ดาํ ทรายและทรายแป้งสนี ้ําตาลปนเทา มเี ศษพชื
แรไ่ มกา และเศษเปลอื กหอยปะปนเลก็ น้อย บรเิ วณดงั กล่าวจงึ เป็นทล่ี ุ่มราบน้ําขน้ึ ถงึ (tidal flat)
เกดิ จากอทิ ธพิ ลของน้ําขน้ึ น้ําลง เป็นบรเิ วณทน่ี ้ําท่วมถงึ เม่อื เวลาน้ําขน้ึ และโผล่เมอ่ื เวลาน้ําลง
และเป็นป่าชายเลนท่เี กิดข้นึ เองตามธรรมชาตจิ ากกระแสน้ําข้นึ น้ําลง (tidal currents) อีกทงั้

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๘

46

ทางราชการได้ทําการก่อสรา้ งแนวคนั ดนิ กนั้ น้ําทะเลระหว่างทพ่ี พิ าททงั้ สามแปลงกบั ชายทะเล
ซ่งึ เม่อื พจิ ารณาประกอบกบั ภาพถ่ายในพ้ืนท่จี รงิ ท่ผี ู้ฟ้องคดอี ้างเป็นพยานหลกั ฐานและของ
กรมทรพั ยากรธรณีก็จะเห็นถึงสภาพท่ีดนิ โดยชดั แจ้งว่าบรเิ วณท่ีพิพาทซ่งึ ตัง้ อยู่เหนือแนว
คนั ดนิ กนั้ น้ําทะเลกบั บรเิ วณทด่ี นิ ซง่ึ ตงั้ อยถู่ ดั ลงมาจากแนวคนั ดนิ กนั้ น้ําทะเลดงั กล่าว มลี กั ษณะ
เป็นท่ีลุ่มราบน้ําข้ึนถึง มีตะกอนดินโคลนสีเทาดําเหมือนกัน และมสี ภาพเป็นป่าชายเลน
มตี น้ แสมขน้ึ งอกงามอยู่ทวั่ ไปเกอื บทงั้ พน้ื ทโ่ี ดยเฉพาะทพ่ี พิ าท ประกอบกบั ผลการตรวจสภาพ
ทง่ี อกของคณะกรรมการตรวจสภาพทง่ี อกเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ก็ยนื ยนั ว่าทพ่ี พิ าททงั้ สามแปลง
ดงั กล่าวมตี น้ แสมขน้ึ เตม็ ทงั้ แปลง

กรณีจงึ รบั ฟงั ได้ว่าท่พี พิ าททงั้ สามแปลงท่ผี ูฟ้ ้องคดขี อออกโฉนดทด่ี นิ โดยอ้างว่า
เป็นทง่ี อกนนั้ มสี ภาพเป็นทล่ี ุ่มราบน้ําทะเลขน้ึ ถงึ ซง่ึ เกดิ จากอทิ ธพิ ลของน้ําทะเลขน้ึ ลงตามปกติ
เป็นบรเิ วณทน่ี ้ําทะเลท่วมถงึ เมอ่ื เวลาน้ําขน้ึ และโผล่เมอ่ื เวลาน้ําลง เน้ือดนิ มลี กั ษณะเป็นตะกอน
ดนิ โคลนเกดิ จากน้ําทะเลพดั พามาสะสมตวั มตี ้นแสมเจรญิ เตบิ โตงอกงามเป็นจาํ นวนมากอนั มี
สภาพเป็นป่าชายเลนตามธรรมชาติ อกี ทงั้ สภาพท่พี พิ าทไม่ปรากฏว่าได้มกี ารครอบครองและ
ทําประโยชน์ในท่ีดนิ ตามสมควรแก่สภาพของท่ีดนิ ในท้องถิ่นหรอื สภาพของกิจการท่ีได้ทํา
ประโยชน์แต่อย่างใด จงึ ยงั คงถอื ได้ว่าท่พี พิ าทมสี ภาพเป็นท่ชี ายตลงิ่ น้ําทะเลท่วมถึง อนั เป็น
สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ประเภททรพั ยส์ นิ สําหรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒)
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มไิ ดม้ สี ภาพเป็นทง่ี อกทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาตโิ ดยงอก
ออกจากทด่ี นิ ของผฟู้ ้องคดแี ต่อยา่ งใด ผฟู้ ้องคดจี งึ มไิ ดร้ บั ความรบั รองหรอื คุม้ ครองสทิ ธใิ นทด่ี นิ
ว่าเป็นเจา้ ของกรรมสทิ ธใิ ์ นทพ่ี พิ าทโดยผลของกฎหมายตามมาตรา ๑๓๐๘ ประกอบมาตรา ๑๔๔
วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายข้างต้น อนั จะถือได้ว่าผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้มสี ทิ ธใิ นท่ดี นิ โดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายและมสี ทิ ธยิ น่ื คําขอต่อผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เพ่อื ใหอ้ อกโฉนดทด่ี นิ เป็นการเฉพาะราย
ได้ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ ซ่งึ แก้ไขเพมิ่ เติมโดยประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ
ฉบบั ท่ี ๙๖ ลงวนั ท่ี ๒๙ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๕ ประกอบมาตรา ๑๓๐๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ เม่อื ทพ่ี พิ าททงั้ สามแปลงของผูฟ้ ้องคดเี ป็นทช่ี ายตลงิ่ อนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ
ประเภททรพั ยส์ นิ สําหรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายขา้ งต้น
ท่พี พิ าทดงั กล่าวจงึ มลี กั ษณะต้องห้ามมใิ ห้ออกโฉนดท่ดี ินตามขอ้ ๑๔ (๑) ของกฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗
ดงั นัน้ การทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดมี คี ําสงั่ ปฏเิ สธการออกโฉนดท่ดี นิ สําหรบั ทพ่ี พิ าททงั้ สามแปลงให้แก่
ผฟู้ ้องคดี จงึ เป็นการกระทาํ ทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย และการทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในฐานะผมู้ อี ํานาจ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๘ ๓

47

พจิ ารณาอุทธรณ์ได้พจิ ารณาคําอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดแี ล้ววนิ ิจฉัยไม่รบั คําอุทธรณ์ คําวนิ ิจฉัย
ดงั กล่าวจงึ ชอบดว้ ยกฎหมายเชน่ กนั เมอ่ื การกระทาํ ดงั กลา่ วของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ และผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ ชอบดว้ ยกฎหมาย กรณจี งึ ไมเ่ ป็นการกระทาํ ละเมดิ ต่อผฟู้ ้องคดี

สาํ หรบั กรณกี ารทผ่ี ฟู้ ้องคดอี า้ งว่าไมไ่ ดร้ บั ความเป็นธรรมจากการทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ และผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดอ้ อกโฉนดทด่ี นิ ในทง่ี อกตามโฉนดทด่ี นิ สองแปลงใหแ้ ก่บรษิ ทั ล. จาํ กดั
โดยได้ทําการตรวจสภาพท่งี อกซ่งึ มรี ะยะเวลาห่างจากการพจิ ารณาออกโฉนดท่ดี นิ ทงั้ สามแปลง
ของผูฟ้ ้องคดเี พยี ง ๑๔ วนั แต่บรษิ ทั ล. จาํ กดั กลบั ไดร้ บั การพจิ ารณาออกโฉนดทด่ี นิ (ทง่ี อก)
ใหโ้ ดยมเี น้ือทแ่ี ตกต่างกบั โฉนดทด่ี นิ ทงั้ สามแปลงของผูฟ้ ้องคดเี ป็นอยา่ งมาก การปฏเิ สธทจ่ี ะออก
โฉนดทด่ี นิ ในทง่ี อกใหแ้ ก่ตนจงึ ถอื เป็นการเลอื กปฏบิ ตั โิ ดยไม่เป็นธรรมและไม่ชอบดว้ ยกฎหมายนัน้
เหน็ วา่ การออกโฉนดทด่ี นิ ทงั้ สองกรณขี า้ งตน้ เป็นการออกโฉนดทด่ี นิ เฉพาะรายในทง่ี อกเช่นเดยี วกนั
แมก้ ารพจิ ารณาดําเนินการออกโฉนดทด่ี นิ แปลงของผูฟ้ ้องคดแี ละของบรษิ ทั ล. จาํ กดั จะอย่ใู น
ระยะเวลาทใ่ี กลเ้ คยี งกนั แต่ในการออกโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าวทงั้ ผฟู้ ้องคดแี ละตวั แทนบรษิ ทั ล. จาํ กดั
จะต้องเป็นผู้นําพนักงานเจา้ หน้าท่ที าํ การสํารวจรงั วดั ทําแผนทเ่ี พ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ตามอาณาเขต
ทผ่ี ู้ขอครอบครองทําประโยชน์และอ้างว่าไดส้ ทิ ธใิ นท่ดี นิ ท่งี อกโดยผลของมาตรา ๑๓๐๘ แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เม่อื ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าในการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ทงั้ ของ
ผฟู้ ้องคดแี ละของบรษิ ทั ล. จาํ กดั ไดม้ กี ารโตแ้ ยง้ คดั คา้ นสทิ ธใิ นทด่ี นิ กนั ประกอบกบั คณะกรรมการ
ตรวจสภาพทง่ี อกในขณะนนั้ ไดอ้ อกไปตรวจสภาพทด่ี นิ แลว้ เหน็ ว่าทง่ี อกดงั กล่าวมลี กั ษณะตน้ื เขนิ
งอกออกจากทด่ี นิ เดมิ พ้นจากการเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ อย่ใู นหลกั เกณฑท์ จ่ี ะออกโฉนด
ทด่ี นิ ได้ ในชนั้ น้ีจงึ ฟงั ไดว้ ่าผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดพ้ จิ ารณาผลการตรวจสภาพทง่ี อกของคณะกรรมการ
ตรวจสภาพทง่ี อกและเหน็ ดว้ ยกบั ความเหน็ ของคณะกรรมการดงั กล่าว และต่อมาผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
ได้ออกโฉนดท่ดี นิ ให้แก่ผู้ฟ้องคดแี ละบรษิ ทั ล. จํากดั จงึ เป็นการใช้ดุลพินิจออกโฉนดท่ีดิน
ตามขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี ป็นอยใู่ นขณะออกโฉนดทด่ี นิ แลว้ และไมถ่ อื ว่าเป็นการเลอื กปฏบิ ตั ติ ่อผูฟ้ ้องคดี
แต่อยา่ งใด เพราะหากขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏในภายหลงั ว่าโฉนดทด่ี นิ ทงั้ สองแปลงของบรษิ ทั ล. จาํ กดั
ออกโดยคลาดเคล่อื นหรอื ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อธบิ ดกี รมท่ดี นิ หรอื ผู้ซ่งึ ได้รบั มอบหมายย่อม
มอี ํานาจสงั่ เพกิ ถอนหรอื แก้ไขโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าวไดต้ ามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ
ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ (ฉบบั ท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑
พพิ ากษายกฟ้อง

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ. ๖๕๘/๒๕๕๗)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๘

48

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน
การเพิกถอนหรือแก้ไขโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรบั รองการทําประโยชน์

เป็ นคาํ สงั่ ทางปกครองท่ีมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิของบุคคล โดยอธิบดีกรมที่ดิน
มีอาํ นาจหน้าท่ีตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ในการเพิกถอนหรือแก้ไข
โฉนดท่ีดินหรือหนังสือรบั รองการทําประโยชน์ท่ีออกโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ซึ่งหากความปรากฏต่อเจ้าพนักงานท่ีดินจงั หวดั ไม่ว่าจะปรากฏจากเหตุใด
หรือทางใด เช่น โดยวิธีการร้องเรียนขอความเป็ นธรรมหรือจากการตรวจพบเอง
เจ้าพนักงานที่ดินจงั หวดั ในฐานะผ้มู ีอาํ นาจหน้าท่ีออกโฉนดที่ดินมีหน้าที่ตรวจสอบ
ข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลกั ฐานในเบื้องต้นและรายงานความเห็น พร้อมทัง้
ให้ความเหน็ ต่ออธิบดีกรมที่ดินว่าหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินได้ออกไปโดยคลาดเคล่ือน
หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไร และควรพิจารณาดาํ เนินการประการใดเพ่ือให้อธิบดี
กรมท่ีดินพิจารณา การที่เจ้าพนักงานที่ดินจงั หวดั ได้รบั เร่ืองร้องเรียนและปรากฏข้อเทจ็ จริง
ตามบนั ทึกคําชี้แจงของเจ้าหน้าที่รงั วดั ที่ดินว่ามีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
ทบั ซ้อนกนั แต่เจ้าพนักงานท่ีดินจงั หวดั ไม่ได้ปฏิบตั ิตามแนวทางการดาํ เนินการที่กรมที่ดิน
กาํ หนดไว้ตามกฎหมาย กรณีจึงถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินจงั หวดั ละเลยต่อหน้าท่ีตามที่
กฎหมายกาํ หนดให้ต้องปฏิบตั ิในการพิจารณาดาํ เนิ นการกรณีมีการออกโฉนดท่ีดิน
โดยคลาดเคลื่อนหรอื ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ผู้ฟ้ องคดีฟ้ องว่า ผู้ฟ้ องคดีได้ย่ืนคําขอออกโฉนดท่ีดินเป็นการเฉพาะราย
ต่อผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (เจา้ พนักงานทด่ี นิ จงั หวดั ) โดยอาศยั ใบจอง (น.ส. ๒) เน้ือท่ี ๒๒ ไร่ ๑ งาน
๖๐ ตารางวา ทผ่ี ูฟ้ ้องคดคี รอบครองทาํ ประโยชน์โดยสงบเปิดเผยมาโดยตลอดตงั้ แต่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๐
ต่อมา ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ไดต้ รวจสอบระวางแผนทแ่ี ละแจง้ ว่าไดม้ กี ารออกโฉนดทด่ี นิ ใหก้ บั บุคคลอ่นื
เต็มพ้ืนท่ีดังกล่าวแล้ว รวม ๓๒ แปลง และปญั หาข้อพิพาทในพ้ืนท่ีบริเวณน้ีได้มีการฟ้ อง
ต่อศาลยุติธรรมแล้ว หากศาลยุติธรรมพพิ ากษาอย่างไรก็จะดําเนินการต่อไป ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า
ตนเป็นผูม้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ โดยการครอบครองทําประโยชน์ตามหลกั ฐานใบจองและโต้แยง้ ว่าการท่ี
ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ออกโฉนดท่ดี นิ ให้กบั บุคคลอ่นื ทบั พ้นื ท่ที ่ผี ู้ฟ้องคดคี รอบครองทําประโยชน์
เป็นการกระทาํ ทไ่ี ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จงึ ขอใหศ้ าลมคี ําพพิ ากษาหรอื คาํ สงั่ ใหผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑
ตรวจสอบและเพกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ ทอ่ี อกทบั ทด่ี นิ ผฟู้ ้องคดี

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๘ ๑

49

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า มาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ แกไ้ ข
เพิม่ เติมโดยพระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมายท่ดี นิ (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
กําหนดว่า เม่อื ความปรากฏว่าได้ออกโฉนดท่ีดนิ หรอื หนังสือรบั รองการทําประโยชน์ หรือ
ไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมเกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ย์ หรอื จดแจง้ เอกสารรายการจดทะเบยี น
อสงั หารมิ ทรพั ย์ให้แก่ผู้ใดโดยคลาดเคล่อื นหรอื ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ให้อธบิ ดหี รอื รองอธบิ ดี
ซ่งึ อธบิ ดมี อบหมายมอี ํานาจหน้าทส่ี งั่ เพกิ ถอนหรอื แก้ไขได้ ประกอบกบั กรมท่ดี นิ ไดม้ หี นังสอื
ท่ี มท. ๐๗๒๙.๒/ว ๒๑๑๗๙ ลงวนั ท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๕ วางแนวทางปฏบิ ตั เิ พ่อื ดําเนินการ
ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ โดยสรุปไดว้ ่า ใหจ้ งั หวดั สอบสวนขอ้ เทจ็ จรงิ ใหไ้ ด้
ความชดั เจนและจดั ส่งเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาว่า โฉนดท่ีดินใดได้ออกไป
โดยคลาดเคลอ่ื นหรอื ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ออกใหแ้ ก่ผใู้ ด เม่อื ใด เน้ือทเ่ี ท่าใด โดยอาศยั หลกั ฐานใด
ปจั จบุ นั ผใู้ ดเป็นผมู้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ และหากหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ออกทบั ซอ้ นกนั ใหต้ รวจสอบ
หนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ทุกแปลงโดยละเอยี ด พรอ้ มทงั้ ใหค้ วามเหน็ และขอ้ พจิ ารณาว่าควรดาํ เนินการ
ประการใด ดงั นัน้ เม่อื ความปรากฏแก่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไมว่ ่าจะปรากฏจากเหตุใดหรอื ทางใด
เชน่ โดยวธิ กี ารรอ้ งเรยี นขอความเป็นธรรมหรอื เกดิ จากการตรวจพบเองว่ามกี ารออกโฉนดทด่ี นิ
โดยคลาดเคล่อื นหรอื ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในฐานะผมู้ อี ํานาจหน้าทอ่ี อกโฉนดทด่ี นิ
จงึ มหี น้าท่ตี ้องตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ และรวบรวมพยานหลกั ฐานในเบ้อื งต้นและรายงานความเห็น
พรอ้ มทงั้ ให้ความเหน็ ต่อผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ (อธบิ ดกี รมทด่ี นิ ) ว่าหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ ไดอ้ อกไป
โดยคลาดเคล่ือนหรอื ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไร และควรพจิ ารณาดําเนินการประการใด
เพ่อื ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ พจิ ารณาโดยไมจ่ าํ เป็นตอ้ งรบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ เป็นทย่ี ตุ โิ ดยปราศจากขอ้ สงสยั
ก่อนว่ามกี ารออกโฉนดทด่ี นิ หรอื หนังสอื รบั รองการทําประโยชน์โดยคลาดเคล่อื นหรอื ไม่ชอบด้วย
กฎหมายตามทผ่ี ูฟ้ ้องคดที ่ี ๑ กล่าวอ้าง เน่ืองจากการเพกิ ถอนหรอื แก้ไขโฉนดทด่ี นิ หรอื หนงั สอื
รบั รองการทําประโยชน์เป็นคําสงั่ ทางปกครองท่มี ผี ลกระทบต่อสถานภาพของสทิ ธขิ องบุคคล
ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ซ่งึ มอี ํานาจหน้าท่ใี นการเพิกถอนหรอื แก้ไขโฉนดท่ดี ินหรอื หนังสอื รบั รอง
การทําประโยชน์ มหี น้าทต่ี ้องดําเนินการตามขนั้ ตอนและวธิ กี ารในการสอบสวนหาขอ้ เทจ็ จรงิ
ตามท่กี ําหนดไว้ในกฎกระทรวงกําหนดหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารในการแต่งตงั้ คณะกรรมการสอบสวน
การแจง้ ผูม้ สี ่วนไดเ้ สยี เพ่อื ใหโ้ อกาสคดั คา้ นและการพจิ ารณาเพกิ ถอนหรอื แก้ไขโฉนดทด่ี นิ หรอื
หนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ การจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมเก่ยี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ยห์ รอื
การจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบยี นอสงั หารมิ ทรพั ยโ์ ดยคลาดเคล่อื นหรอื ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๔๔ เม่อื ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามหลกั ฐานใบจอง (น.ส. ๒) มชี ่อื ผฟู้ ้องคดเี ป็นผูค้ รอบครองทด่ี นิ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๘

50

เลขท่ี ๑๘๔ เน้ือท่ี ๒๒ ไร่ ๑ งาน ๖๐ ตารางวา ออกให้เม่อื วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๑๐ แต่ปรากฏ
ตามหมายเหตุทา้ ยบนั ทกึ คาํ ชแ้ี จงเรอ่ื งตรวจและชแ้ี ผนทร่ี ะวาง ฉบบั วนั ท่ี ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๔๗
ซง่ึ เจา้ หน้าทร่ี งั วดั ทด่ี นิ ไดร้ ายงานต่อผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ว่า ผูฟ้ ้องคดไี ดน้ ําชร้ี ะวางแผนทท่ี บั ซอ้ น
เลขทด่ี นิ แปลงอ่นื จงึ เป็นกรณที ค่ี วามปรากฏแลว้ ว่ามกี ารออกหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ทบั ซอ้ นกนั
ซง่ึ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ต้องปฏบิ ตั ติ ามแนวทางการดาํ เนินการของจงั หวดั ก่อนส่งเร่อื งใหก้ รมทด่ี นิ
พจิ ารณาเพ่อื ดําเนินการตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ แต่เมอ่ื ไม่ปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ว่า
ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้มกี ารดําเนินการสอบสวนหรอื เรยี กโฉนดท่ดี นิ หรอื เอกสารอ่นื ท่เี ก่ยี วขอ้ ง
กบั ท่ดี นิ แปลงพพิ าทมาพจิ ารณาและตรวจสอบว่าเหตุใดจงึ มกี ารอ้างสทิ ธใิ นท่ดี นิ ทบั ซ้อนกนั
พรอ้ มจาํ ลองรปู แผนทข่ี องหนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ทท่ี บั กนั นนั้ ลงในสาํ เนาระวางรปู ถ่ายทางอากาศ
หรอื สาํ เนาระวางแผนทเ่ี พ่อื การออกโฉนดทด่ี นิ พรอ้ มหมายสแี สดงตําแหน่งใหช้ ดั เจนและมกี ารเสนอ
รายงานพรอ้ มความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ เพ่อื พจิ ารณาสงั่ การตามอํานาจหน้าท่ี ทงั้ ยงั มี
หนังสอื ช้แี จงผู้ฟ้องคดวี ่ากรณีดงั กล่าวได้มกี ารฟ้องต่อศาลยุตธิ รรมเก่ียวกบั สทิ ธใิ นท่ดี นิ แล้ว
หากศาลยุติธรรมพพิ ากษาอย่างไรจึงจะดําเนินการต่อไป การกระทําของผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑
จงึ เป็นการละเลยต่อหน้าท่ตี ามท่กี ฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบตั ิในการพจิ ารณาดําเนินการ
กรณมี กี ารออกโฉนดทด่ี นิ โดยคลาดเคลอ่ื นหรอื ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

ส่วนการท่ีผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ อ้างว่า ได้รายงานผลการตรวจสอบท่ีดินให้
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ทราบโดยผ่านผูว้ ่าราชการจงั หวดั และผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ มหี นังสอื ลงวนั ท่ี ๑๖
กนั ยายน ๒๕๕๔ ถึงผู้ว่าราชการจงั หวดั แจ้งว่ากรมท่ดี นิ พจิ ารณาแล้ว เม่อื ผลการตรวจสอบ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ของจงั หวดั ปรากฏว่า ผฟู้ ้องคดไี ดน้ ํารงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ไมต่ รงหลกั ฐานใบจองเลขท่ี
๑๘๔ ทบั โฉนดทด่ี นิ แปลงอ่นื ซง่ึ ออกโดยชอบดว้ ยกฎหมาย จงึ ไม่อาจรบั ฟงั ไดว้ ่าทด่ี นิ แปลงอ่นื
ตามโฉนดดงั กล่าวกับท่ีดินตามหลกั ฐานใบจองเลขท่ี ๑๘๔ เป็นท่ีดินตําแหน่งเดียวกันอันอาจ
เพกิ ถอนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ นัน้ เม่อื พจิ ารณาหนังสอื กรมทด่ี นิ ลงวนั ท่ี
๑๖ กนั ยายน ๒๕๕๔ ท่อี ้างถึงหนังสอื ของจงั หวดั ลงวนั ท่ี ๒๒ มนี าคม ๒๕๕๔ ซ่งึ ได้แจ้งผล
การตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ กรณีกรมสอบสวนคดพี เิ ศษได้ดําเนินการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ กรณี
ผฟู้ ้องคดไี ด้รอ้ งเรยี นต่อกระทรวงยุตธิ รรมขอให้ตรวจสอบการออกเอกสารสทิ ธโิ ดยไม่ชอบนัน้
เป็นกรณีท่จี งั หวดั ไดด้ ําเนินการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั ท่ดี นิ พพิ าทตามผลการสอบสวน
ของกรมสอบสวนคดพี เิ ศษ มใิ ช่เป็นกรณีท่ผี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดด้ ําเนินการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ
เกย่ี วกบั ทด่ี นิ พพิ าทตามทผ่ี ฟู้ ้องคดรี อ้ งขอ ประกอบกบั ไมป่ รากฏว่ามกี ารแจง้ ผลการตรวจสอบ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าวใหผ้ ฟู้ ้องคดที ราบ แต่อยา่ งใด

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๘ ๓

51

พพิ ากษาใหผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ เสนอเร่อื งการตรวจสอบเขตทด่ี นิ ตามหลกั ฐานใบจอง
ทม่ี กี ารออกโฉนดท่ดี นิ ทบั ซ้อนกนั ต่อผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เพ่อื ดําเนินการตามขนั้ ตอนต่อไป ทงั้ น้ี
ภายในเกา้ สบิ วนั นบั แต่วนั ทศ่ี าลมคี าํ พพิ ากษา และใหแ้ จง้ ผลการดาํ เนินการดงั กล่าวใหผ้ ูฟ้ ้องคดที ราบ
ภายในสบิ หา้ วนั นบั แต่วนั ทไ่ี ดด้ าํ เนินการแลว้ เสรจ็

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๔๓๖/๒๕๕๘)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๘

52

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน
กรณีผ้ซู ื้อท่ีดินได้นําหลกั ฐาน ส.ค. ๑ ไปยื่นคาํ ขอรงั วดั ออกโฉนดที่ดิน

ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจงั หวดั แต่จากการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ประกอบกบั
ภาพถา่ ยทางอากาศปรากฏว่า เม่ือครงั้ เกิดอทุ กภยั นํ้าได้เซาะที่พิพาทพงั ทลายกลายเป็น
ปากคลองนาเกลือ ใช้เป็ นทางออกของนํ้าในคลองนาเกลือส่ทู ะเล และเป็ นที่ดินบริเวณ
นํ้าท่วมถึง ทาํ ให้ท่ีพิพาทมีสภาพเป็ นคลองนาเกลืออนั เป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดิน
สาํ หรบั พลเมืองใช้รว่ มกนั ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประกอบกบั เจ้าของเดิม (ผู้ขาย) มิได้ครอบครองและทําประโยชน์ในที่พิพาทขณะแจ้ง
การครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) จึงไม่ชอบด้วยมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวล
กฎหมายที่ดิ น พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนั้น เจ้าของเดิ มและผู้ซื้อซ่ึงเป็ นผู้รับโอนที่พิ พาท
จึงไม่ได้รบั การค้มุ ครองสิทธิในที่ดินตามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ผซู้ ื้อจึงไม่เป็น
ผ้มู ีสิทธิครอบครองท่ีดินที่จะมีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายได้ตามมาตรา ๕๙
แห่งประมวลกฎหมายข้างต้น อีกทัง้ การที่ที่ดินพิพาทเป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดิน
สําหรบั พลเมืองใช้ร่วมกนั จึงมีลักษณะต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินตามข้อ ๑๔ (๑)
ของกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ การท่ีเจ้าพนักงานที่ดินจงั หวดั มีคาํ สงั่ ยกเลิกคาํ ขอ
ออกโฉนดที่ดินของผซู้ ื้อจึงเป็นคาํ สงั่ ที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการละเลยต่อหน้าท่ี
ตามที่กฎหมายกาํ หนด ให้ต้องปฏิบตั ิ

ผฟู้ ้องคดฟี ้องว่า ผฟู้ ้องคดเี ป็นผมู้ สี ทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ ตามแบบแจง้ การครอบครอง
ทด่ี นิ (ส.ค. ๑) โดยซอ้ื มาจากนาง ส. และไดค้ รอบครองและทําประโยชน์ในทด่ี นิ ต่อจากนาง ส.
จนถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ ทด่ี นิ แปลงน้นี าง ส. เป็นผแู้ จง้ การครอบครองทด่ี นิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๙๘
ต่อมา ผฟู้ ้องคดไี ดน้ ําหลกั ฐาน ส.ค. ๑ แปลงดงั กล่าวไปย่นื คาํ ขอออกโฉนดทด่ี นิ ต่อผถู้ ูกฟ้องคดี
(เจา้ พนกั งานทด่ี นิ จงั หวดั ) ตามคาํ ขอลงวนั ท่ี ๔ สงิ หาคม ๒๕๕๑ และผูถ้ ูกฟ้องคดไี ดม้ อบหมาย
ใหพ้ นักงานเจา้ หน้าทอ่ี อกไปรงั วดั พสิ ูจน์สอบสวนการทําประโยชน์แล้ว ปรากฏว่าท่ดี นิ แปลงน้ี
เป็นแปลงเดยี วกนั และบรเิ วณเดยี วกนั กบั ทด่ี นิ ทน่ี าง ส. เคยนําทําการเดนิ สาํ รวจออกโฉนดทด่ี นิ
ซง่ึ คณะอนุกรรมการแก้ไขปญั หาการบุกรกุ ทด่ี นิ ของรฐั จงั หวดั (กบร. จงั หวดั ) ไดพ้ จิ ารณามมี ตวิ ่า
ไมอ่ ยู่ในหลกั เกณฑท์ จ่ี ะออกโฉนดทด่ี นิ ได้ เน่ืองจากผลการอ่าน แปล ตคี วามภาพถ่ายทางอากาศ
ปรากฏว่าเป็นแหล่งน้ําธรรมชาตแิ ละไมม่ รี ่องรอยการทําประโยชน์ ผถู้ ูกฟ้องคดจี งึ มคี ําสงั่ ยกเลกิ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๘ ๑

53

คําขอออกโฉนดทด่ี นิ ของผูฟ้ ้องคดี ผู้ฟ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดยี กอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดี
เหน็ ว่าการทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดนี ํามตขิ อง กบร. จงั หวดั มาพจิ ารณาเพ่อื ไมอ่ อกโฉนดทด่ี นิ ตามคําขอนัน้
ภาพถ่ายดงั กล่าวถ่ายไวใ้ นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ซง่ึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ในขณะนนั้ กบั ในขณะทย่ี ่นื คาํ ขอมรี ะยะเวลา
ห่างกันประมาณ ๕๐ ปี สภาพท่ีดนิ ย่อมมกี ารเปล่ียนแปลงไปตามธรรมชาติ การพิจารณาของ
ผู้ถูกฟ้องคดจี งึ ไม่ถูกต้องตามความเป็นจรงิ และไม่ชอบด้วยมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมาย
ทด่ี นิ และท่ดี นิ ของตนมหี ลกั ฐานแสดงการครอบครองทด่ี นิ ซง่ึ นาง ส. ไดแ้ จง้ การครอบครองไวว้ ่า
พ่อแม่ยกให้ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ สภาพท่ดี นิ เป็นทป่ี ลูกบ้านอยู่อาศยั และทางอําเภอกย็ นื ยนั ว่า
ไม่เป็นท่ีสงวนหวงห้ามหรอื ท่ีสาธารณประโยชน์แต่อย่างใด อีกทัง้ อธบิ ดีกรมเจ้าท่า (ท่ีถูก
คอื เจา้ ท่าเขต ๖) ไดร้ บั รองเขตทด่ี นิ ของนาง ส. แลว้ ปรากฏว่ามไิ ดร้ ุกล้าํ ทะเล เมอ่ื ผฟู้ ้องคดซี อ้ื ต่อ
มาจากนาง ส. และไดค้ รอบครองทาํ ประโยชน์ต่อมา จงึ สามารถออกโฉนดทด่ี นิ ได้ แมต้ ่อมาประมาณ
ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้เกิดอุทกภยั น้ําได้เซาะท่ดี ินพงั ทลายกลายเป็นปากคลองนาเกลือ ท่ดี ิน
ของผู้ฟ้ องคดีเป็นท่ีดินท่ีมีการครอบครองมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
เม่อื ทด่ี นิ ของผู้ฟ้องคดมี สี ภาพเช่นเดยี วกบั ทด่ี นิ ขา้ งเคยี งซ่งึ ไดข้ อรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ไปแล้ว
โดยมลี กั ษณะและทต่ี งั้ อยตู่ ดิ ทะเลในแนวเดยี วกนั กบั ทด่ี นิ ของตน การทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดมี คี าํ สงั่ ยกเลกิ
คาํ ขอออกโฉนดทด่ี นิ จงึ เป็นคาํ สงั่ ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย ขอใหศ้ าลปกครองมคี ําพพิ ากษาเพกิ ถอน
คาํ สงั่ ดงั กล่าว และใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดดี าํ เนนิ การออกโฉนดทด่ี นิ ใหต้ ามคาํ ขอ

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า คําขอออกโฉนดท่ดี นิ ของผู้ฟ้องคดเี ป็นการ
ขอออกโฉนดท่ีดินเป็นการเฉพาะรายตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายท่ดี ิน ซ่ึงจาก
การตรวจสอบท่ดี นิ ก่อนการออกโฉนดท่ดี นิ ให้แก่นาง ส. ทงั้ สองครงั้ นัน้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่า
เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้เกดิ อุทกภยั น้ําได้เซาะท่พี พิ าทพงั ทลายกลายเป็นปากคลองนาเกลอื
ใช้เป็นทางออกของน้ําในคลองนาเกลอื สู่ทะเล เป็นท่ดี ินบรเิ วณน้ําท่วมถึง ซ่งึ สอดคล้องกับ
การอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศของคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศทถ่ี ่ายไว้
เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ปรากฏว่าท่พี พิ าทอยู่ในระดบั W๑ เป็นแหล่งน้ําธรรมชาติ ไม่มรี ่องรอย
การทําประโยชน์ กบร. จงั หวดั จงึ มมี ตวิ ่าทพ่ี พิ าทไม่อย่ใู นหลกั เกณฑท์ จ่ี ะออกโฉนดทด่ี นิ ใหไ้ ด้
เมอ่ื ผฟู้ ้องคดไี ดน้ ํา ส.ค. ๑ ฉบบั ทพ่ี พิ าทไปยน่ื คําขอรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ต่อผูถ้ ูกฟ้องคดอี กี ครงั้
พนกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผถู้ กู ฟ้องคดไี ดอ้ อกไปรงั วดั ทําแผนทแ่ี ละผลปรากฏว่าทด่ี นิ ตามหลกั ฐาน
ส.ค. ๑ ทผ่ี ูฟ้ ้องคดนี ํามาขอออกโฉนดท่ดี นิ เป็นแปลงเดยี วกบั ทด่ี นิ ตามหลกั ฐาน ส.ค. ๑ ทน่ี าง ส.
เคยนํามาย่นื ขอออกโฉนดทด่ี นิ แล้วถึงสองครงั้ และในการรงั วดั ครงั้ น้ีสํานักงานขนส่งทางน้ําท่ี ๖
และนายอําเภอได้คดั ค้านการรงั วดั ว่าเป็นทน่ี ้ําท่วมถงึ นอกจากน้ี ผู้ฟ้องคดยี งั รบั ในคาํ คดั คา้ น
คําใหก้ ารและคําอุทธรณ์ว่าเม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ไดเ้ กดิ อุทกภยั น้ําได้กดั เซาะทพ่ี พิ าทพงั ทลาย

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๘

54

เป็นคลองนาเกลอื อกี ทงั้ ตามคําขอออกโฉนดทด่ี นิ ของนาง ส. เจา้ ของทด่ี นิ ในขณะนัน้ ปรากฏ
ข้อเท็จจรงิ ตามรายงานการรงั วดั (ร.ว. ๓) ว่าท่พี พิ าทเป็นท่ดี นิ รมิ ทะเล เป็นท่วี ่าง ยงั ไม่ได้
ปลกู พชื ผลและไมม่ สี ง่ิ ปลกู สรา้ งใด ๆ ในทด่ี นิ จงึ รบั ฟงั เป็นทย่ี ตุ วิ ่าทพ่ี พิ าทมสี ภาพเป็นคลองนาเกลอื
อนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สําหรบั พลเมอื งใช้ร่วมกนั ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และนาง ส.
มไิ ดค้ รอบครองและทาํ ประโยชน์ในทพ่ี พิ าทขณะแจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) การทน่ี าง ส.
แจ้งการครอบครองท่ดี นิ (ส.ค. ๑) ในท่ีพพิ าทเม่อื วนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๙๘ จงึ ไม่ชอบ
ดว้ ยมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ เน่ืองจากมไิ ดเ้ ป็น
ผู้ครอบครองและทําประโยชน์ในทด่ี นิ และเป็นการแจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) ในทด่ี นิ
ซง่ึ มสี ภาพเป็นคลองอนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สาํ หรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั การทน่ี าง ส.
แจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) ในทด่ี นิ ดงั กล่าวจงึ ไมก่ ่อใหเ้ กดิ สทิ ธขิ น้ึ ใหมแ่ ก่นาง ส. แต่อยา่ งใด

ดงั นัน้ นาง ส. และผู้ฟ้องคดีซ่งึ เป็นผู้รบั โอนท่ดี นิ จงึ ไม่ได้รบั การคุ้มครองสิทธิ
ในท่ดี นิ ตามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ กรณีจงึ ไม่อาจถอื ไดว้ ่าผูฟ้ ้องคดเี ป็นผูม้ สี ทิ ธิ
ครอบครองท่ดี นิ ท่จี ะมสี ิทธขิ อออกโฉนดท่ีดนิ เป็นการเฉพาะรายตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวล
กฎหมายดงั กล่าว อีกทงั้ ท่พี พิ าทเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สําหรบั พลเมอื งใช้ร่วมกนั จงึ มี
ลกั ษณะต้องหา้ มมใิ หอ้ อกโฉนดท่ดี นิ ตามขอ้ ๑๔ (๑) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)
ออกตามความในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ การทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดมี คี าํ สงั่
ยกเลกิ คําขอออกโฉนดท่ดี นิ ของผูฟ้ ้องคดี จงึ เป็นคาํ สงั่ ท่ชี อบดว้ ยกฎหมาย และเม่อื ไดว้ นิ ิจฉัย
แลว้ ว่าผฟู้ ้องคดมี ใิ ช่ผูม้ สี ทิ ธคิ รอบครองทจ่ี ะมสี ทิ ธขิ อออกโฉนดทด่ี นิ เป็นการเฉพาะรายได้ และ
ท่ีพิพาทเป็นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ สําหรบั พลเมอื งใช้ร่วมกัน ซ่ึงมลี กั ษณะต้องห้ามมใิ ห้
ออกโฉนดทด่ี นิ การทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดไี มด่ าํ เนินการออกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดตี ามคาํ ขอ จงึ มไิ ด้
เป็นการละเลยต่อหน้าทต่ี ามทก่ี ฎหมายกําหนดใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ิ

ส่วนท่ผี ู้ฟ้องคดีอ้างว่าในการรงั วดั กํานันผู้ดําเนินการแทนนายอําเภอไม่ได้
คดั คา้ นและสาํ นกั งานเจา้ ท่า เขต ๖ ไดร้ บั รองแนวเขตทพ่ี พิ าทแลว้ ว่ามไิ ดร้ กุ ล้าํ ทะเลนัน้ เหน็ ว่า
ในการพจิ ารณาเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี ผถู้ กู ฟ้องคดมี อี ํานาจพจิ ารณาพยานหลกั ฐาน
ทต่ี นเหน็ วา่ จาํ เป็นแก่การพสิ จู น์ขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าทพ่ี พิ าทอยใู่ นหลกั เกณฑท์ จ่ี ะออกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่
ผฟู้ ้องคดหี รอื ไม่ การทก่ี าํ นนั ไมไ่ ดค้ ดั คา้ นแต่รบั รองการออกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดี ไมผ่ กู พนั
ให้ผู้ถูกฟ้องคดจี ําต้องถอื ข้อเท็จจรงิ ยุตติ ามนัน้ แต่สามารถแสวงหาพยานหลกั ฐานทุกอย่าง
ท่ีเก่ียวข้องเพิ่มเติมได้ตามมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบญั ญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ สาํ หรบั การทส่ี ํานกั งานเจา้ ท่า เขต ๖ ระบุเพยี งว่าทพ่ี พิ าทมไิ ดร้ ุกล้ําทะเล กห็ าได้

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๘ ๓

55

ยนื ยนั วา่ ทพ่ี พิ าทมใิ ชค่ ลองนาเกลอื อนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สําหรบั พลเมอื งใชร้ ว่ มกนั ไม่
ขอ้ กล่าวอา้ งน้ีจงึ ฟงั ไมข่ น้ึ

และเม่อื ขอ้ เทจ็ จรงิ ในคดรี บั ฟงั เป็นยุตแิ ลว้ ว่าการเกดิ อุทกภยั เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๙๗
ทาํ ใหท้ พ่ี พิ าทซง่ึ นาง ส. ไดค้ รอบครองทาํ ประโยชน์มาตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ไดก้ ลายเป็นส่วนหน่ึง
ของปากคลองนาเกลอื แลว้ นับตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และถอื ว่าทพ่ี พิ าทมสี ภาพเป็นทางน้ําอนั เป็น
สาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ สําหรบั พลเมอื งใช้ร่วมกันตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ แมผ้ ูฟ้ ้องคดจี ะอ้างว่าทพ่ี พิ าทเป็นทางน้ําเพยี งชวั่ คราวในปี พ.ศ. ๒๔๙๗
เทา่ นนั้ ในปีต่อ ๆ มาน้ําในคลองกไ็ ดไ้ หลปกตติ ามร่องน้ําเดมิ และนาง ส. ไดค้ รอบครองทําประโยชน์
ต่อมาก็ตาม แต่เม่อื ยงั ไม่มกี ฎหมายเฉพาะหรอื พระราชกฤษฎกี าให้ถอนสภาพท่พี ิพาทจาก
การเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรบั พลเมอื งใช้ร่วมกนั ท่ีพพิ าทก็ยงั คงมสี ภาพเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรบั พลเมืองใช้ร่วมกันเช่นเดิม การท่ีผู้ฟ้ องคดีหรอื นาง ส.
(เจ้าของเดมิ ) ได้ครอบครองหรอื ทําประโยชน์ในท่พี พิ าทต่อมา ก็เป็นการยดึ ถือครอบครอง
ทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ ซง่ึ เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สาํ หรบั พลเมอื งใชร้ ว่ มกนั พพิ ากษายกฟ้อง

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ. ๖๘๗/๒๕๕๗)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๕ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๕๘

56

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน

การที่เอกชนโอนที่ดินให้องค์การบริหารส่วนจงั หวดั โดยมีวตั ถปุ ระสงค์
เพ่ือให้ใช้สร้างโรงเรียนและทางราชการได้สร้างโรงเรียนบนที่ดินดงั กล่าว จึงเป็ น
ที่ราชพสั ดุประเภทสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินท่ีใช้เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ ซ่ึงการโอนทรพั ย์สิน
ท่ีเป็ นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ จะกระทาํ ได้ต่อเม่ืออาศยั อํานาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ เมื่อท่ีราชพสั ดุ
เป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินที่ใช้เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ การโอน
จึงต้องอาศยั อาํ นาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบญั ญตั ิที่ราชพสั ดุ
พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยการออกพระราชบญั ญตั ิโอนกรรมสิทธ์ิ และเมื่อทายาทของผ้ยู กที่ดิน
ให้ทางราชการขอให้องค์การบริหารส่วนจงั หวดั โอนท่ีดินกลบั คืนแก่ทายาทเพราะกิจการ
โรงเรียนที่ได้สร้างตามเจตนาของผยู้ กให้ท่ีดินได้ยบุ เลิกแล้ว กรมธนารกั ษ์ กระทรวงการคลงั
ซึ่งมีอํานาจหน้ าที่ในการปกครองดูแลและบาํ รุงรกั ษาที่ราชพสั ดุ จึงต้องดําเนิ นการ
รวบรวมพยานหลกั ฐานข้อเทจ็ จริงเสนอต่อคณะรฐั มนตรีเพื่อพิจารณาเก่ียวกบั การโอนคืน
ที่ดินดงั กล่าวให้แก่ทายาทผ้ยู กที่ดินให้ทางราชการ แต่เมื่อมิได้มีการดาํ เนินการตามนัย
ดงั กล่าว จึงถอื ว่าละเลยต่อหน้าที่ตามท่ีกฎหมายกาํ หนดให้ต้องปฏิบตั ิ

ผฟู้ ้องคดที งั้ หกฟ้องวา่ นาย ฟ. บดิ าของผูฟ้ ้องคดที งั้ หกไดท้ าํ สญั ญา ลงวนั ท่ี ๑๓
ธนั วาคม ๒๕๑๖ ยกทด่ี นิ ใหแ้ ก่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (องคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั ) เพ่อื สรา้ งโรงเรยี น
จํานวน ๖ ไร่ โดยมเี ง่อื นไขว่า เม่อื โอนท่ีดินแล้วถ้าไม่สร้างโรงเรยี นหรอื สร้างแล้วไม่ได้เรยี น
หรอื ถูกยบุ เลกิ หรอื ดว้ ยเหตุใดกต็ าม ใหโ้ อนทด่ี นิ กลบั คนื ใหแ้ ก่นาย ฟ. หรอื ทายาท ต่อมา ไดม้ ี
การสรา้ งโรงเรยี นบา้ นหว้ ยกรวดในทด่ี นิ ดงั กลา่ ว หลงั จากนนั้ ทางราชการไดป้ ระกาศยบุ เลกิ โรงเรยี น
บา้ นหว้ ยกรวด ผฟู้ ้องคดที งั้ หกจงึ ไดม้ หี นังสอื ลงวนั ท่ี ๓๐ สงิ หาคม ๒๕๔๘ ขอรบั โอนทด่ี นิ คนื จาก
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ แต่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ มหี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๘ แจง้ ใหผ้ ูฟ้ ้องคดที งั้ หก
ทราบว่า ท่ดี ินแปลงดังกล่าวได้ข้นึ ทะเบียนเป็นท่ีราชพสั ดุแล้ว และกรมธนารกั ษ์มหี นังสือ
ลงวนั ท่ี ๑๔ มถิ ุนายน ๒๕๔๙ แจง้ วา่ ไม่อย่ใู นหลกั เกณฑท์ จ่ี ะพจิ ารณาโอนกรรมสทิ ธท์ ด่ี นิ ราชพสั ดุ
ดงั กลา่ วคนื ใหไ้ ด้ ผฟู้ ้องคดที งั้ หกเหน็ วา่ ทด่ี นิ ดงั กล่าวยงั เป็นของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ทเ่ี ป็นคู่สญั ญา
กบั นาย ฟ. เพราะช่อื ในหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓) ยงั เป็นของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๙ ๑

57

จงึ ถอื วา่ ทด่ี นิ พพิ าทยงั มไิ ดม้ กี ารโอนโดยผลของกฎหมาย การทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไม่ไดโ้ อนทด่ี นิ
คนื ให้แก่ผู้ฟ้องคดที งั้ หก ทําใหผ้ ู้ฟ้องคดที งั้ หกไดร้ บั ความเสยี หาย จงึ ขอให้ศาลมคี ําพพิ ากษา
หรอื คาํ สงั่ ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ คนื ทด่ี นิ พพิ าทแก่ผฟู้ ้องคดที งั้ หก และหากผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไม่ปฏบิ ตั ิ
ให้ถอื เอาคําสงั่ หรอื คําพพิ ากษาแทนการแสดงเจตนา และใหผ้ ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ชําระค่าเสยี หาย
ในการดาํ เนินคดแี ก่ผฟู้ ้องคดที งั้ หก พรอ้ มดอกเบย้ี ศาลปกครองชนั้ ต้นมคี าํ สงั่ เรยี กผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
(กระทรวงการคลงั ) เขา้ มาในคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า ท่ดี ินใดจะเปล่ยี นสภาพเป็นสาธารณสมบตั ิ
ของแผน่ ดนิ จะตอ้ งประกอบดว้ ยลกั ษณะสองประการ คอื เป็นทรพั ยส์ นิ ของแผ่นดนิ และไดใ้ ชท้ ด่ี นิ นัน้
เพ่อื สาธารณประโยชน์หรอื สงวนไวเ้ พ่อื ประโยชน์ร่วมกนั ดงั นัน้ เมอ่ื นาย ฟ. ไดท้ าํ สญั ญาแบ่งแยก
ทด่ี นิ เพอ่ื ทาํ โรงเรยี น ลงวนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๑๖ กบั นายอําเภอบา้ นนาสาร และต่อมาไดด้ าํ เนนิ การ
จดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิติกรรมแบ่งให้ท่ดี นิ ดงั กล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าท่เี ม่อื วนั ท่ี ๕ มนี าคม
๒๕๑๗ จงึ มผี ลทําให้ท่ีพิพาทเป็นทรพั ย์สินของแผ่นดิน และต่อมาเม่อื มกี ารสร้างโรงเรียน
บา้ นห้วยกรวด จงึ ถอื ว่าผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดใ้ ชท้ พ่ี พิ าทนัน้ เพ่อื สาธารณประโยชน์แลว้ ทพ่ี พิ าท
จงึ ตกเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ท่ใี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา ๑๓๐๔ (๓) ต่อมา ได้มพี ระราชบญั ญตั ิโอนกิจการบรหิ าร
โรงเรยี นประชาบาลขององคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั และโรงเรยี นประถมศกึ ษาของกรมสามญั ศกึ ษา
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไปเป็นของสาํ นักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ กระทรวง
ศกึ ษาธกิ าร พ.ศ. ๒๕๒๓ มผี ลใช้บงั คบั ตงั้ แต่วนั ท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ จงึ มผี ลทําให้ท่ีพพิ าท
โอนมาเป็นของสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ และมสี ถานะเป็นท่ีราชพสั ดุ
ตามมาตรา ๔ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดว้ ย โดยมผี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
(กระทรวงการคลงั ) เป็นผถู้ อื กรรมสทิ ธติ ์ ามมาตรา ๕ และมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั
เม่อื ได้มปี ระกาศสํานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาสุราษฎรธ์ านี เขต ๓ เร่อื ง การเลกิ สถานศกึ ษา
ขนั้ พ้นื ฐาน สงั กดั สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน ลงวนั ท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ให้เลิกสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐานโรงเรียนบ้านห้วยกรวด และไม่มีการใช้ประโยชน์ในท่ีพิพาท
ตามวตั ถุประสงค์ของผู้ยกให้ แต่ทพ่ี พิ าทก็ยงั คงมสี ถานะเป็นทร่ี าชพสั ดุอนั เป็นสาธารณสมบตั ิ
ของแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พอ่ื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะอยเู่ ช่นเดมิ โดยหลกั เกณฑใ์ นการโอนทรพั ยส์ นิ
ซง่ึ เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิ ตามมาตรา ๑๓๐๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยน์ นั้
จะกระทําได้ต่อเม่ืออาศัยอํานาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรอื พระราชกฤษฎีกา ซ่ึงกรณีน้ี
ทพ่ี พิ าทมสี ถานะเป็นทร่ี าชพสั ดุอนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๙

58

โดยเฉพาะ การโอนทพ่ี พิ าทดงั กล่าวจงึ ตอ้ งอาศยั อาํ นาจแหง่ บทกฎหมายเฉพาะ กล่าวคอื หลกั เกณฑ์
ในการโอนกรรมสทิ ธิท์ ่รี าชพสั ดุตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบญั ญัติท่ีราชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘
ซง่ึ แบ่งออกเป็นสองกรณี คอื การโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ่รี าชพสั ดุท่เี ป็นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ
ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะใหก้ ระทําโดยการออกพระราชบญั ญตั โิ อนกรรมสทิ ธิ ์
สว่ นการโอนทร่ี าชพสั ดุอ่นื ใหโ้ อนกรรมสทิ ธไิ ์ ดต้ ามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง
อนั ได้แก่ กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ
พ.ศ. ๒๕๑๘ ดงั นนั้ หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารในกฎกระทรวงดงั กล่าว จงึ ไมม่ ผี ลบงั คบั แก่การโอน
กรรมสทิ ธทิ ์ ร่ี าชพสั ดุทเ่ี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ
หากแต่มผี ลบงั คบั แก่การโอนกรรมสิทธิท์ ่ีราชพสั ดุอ่ืนท่ีไม่ใช่สาธารณสมบตั ิของแผ่นดินท่ีใช้
เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะเท่านัน้ และเม่อื ท่พี ิพาทมีสถานะเป็นท่ีราชพัสดุอันเป็น
สาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ ท่ใี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ จงึ ไม่ตกอยู่ในบงั คบั ของ
กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘
ซ่งึ ต่อมาได้มกี ารใช้บงั คบั กฎกระทรวงว่าด้วยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ่รี าชพสั ดุ
ทม่ี ใิ ช่ทด่ี นิ ท่เี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ พ.ศ. ๒๕๕๐
อนั มผี ลเป็นการยกเลกิ กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ
ทร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ และข้อ ๒ ของกฎกระทรวงว่าด้วยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารโอนกรรมสทิ ธิ ์
ทร่ี าชพสั ดุทม่ี ใิ ช่ทด่ี นิ ทเ่ี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ
พ.ศ. ๒๕๕๐ กําหนดว่า กฎกระทรวงน้ีใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่การโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ร่ี าชพสั ดุทม่ี ใิ ช่ทด่ี นิ ทเ่ี ป็น
สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ อย่างไรกต็ าม ทร่ี าชพสั ดุ
อนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ท่ใี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒
ในฐานะผถู้ อื กรรมสทิ ธทิ ์ ร่ี าชพสั ดุและมอี ํานาจหน้าทเ่ี กย่ี วกบั ทร่ี าชพสั ดุอาจพจิ ารณาดําเนินการ
เพอ่ื ใหม้ กี ารโอนกรรมสทิ ธทิ ์ ร่ี าชพสั ดุดงั กล่าวใหแ้ ก่หน่วยงานอ่นื ของรฐั หรอื เอกชนใชป้ ระโยชน์ได้
โดยคาํ นึงถงึ ประโยชน์ทจ่ี ะเกดิ แก่ส่วนรวมหรอื ประชาชนเป็นสําคญั เช่น การโอนทร่ี าชพสั ดุทเ่ี ป็น
สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะแลกเปลย่ี นกบั ทด่ี นิ ของเอกชน
เพอ่ื การใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ ราชพสั ดุใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถุประสงคใ์ นการใชป้ ระโยชน์ การโอนทร่ี าชพสั ดุ
ทเ่ี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิ ทใ่ี ชเ้ พ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะทไ่ี มไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชน์ใหว้ ดั
เพ่อื ดําเนินกิจการทางศาสนา เป็นต้น ทงั้ น้ี จะต้องกระทําโดยพระราชบญั ญตั ติ ามมาตรา ๘
แหง่ พระราชบญั ญตั ทิ ร่ี าชพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดงั นัน้ เม่อื ผูฟ้ ้องคดที งั้ หกซง่ึ เป็นทายาทของนาย ฟ.
ผยู้ กใหม้ หี นังสอื ลงวนั ท่ี ๓๐ สงิ หาคม ๒๕๔๘ และหนังสอื ลงวนั ท่ี ๑๓ กนั ยายน ๒๕๔๘ ขอให้

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๙ ๓

59

ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ โอนท่ดี นิ ตามหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขท่ี ๔๖๘ กลบั คนื
แก่ผฟู้ ้องคดที งั้ หก เพราะกจิ การโรงเรยี นทไ่ี ดส้ รา้ งตามเจตนาของผูย้ กให้ทด่ี นิ ไดย้ ุบเลกิ แล้ว และ
กรมธนารกั ษ์ซง่ึ เป็นหน่วยราชการในสงั กดั ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ และมอี ํานาจหน้าทใ่ี นการปกครองดแู ล
และบํารุงรกั ษาท่รี าชพสั ดุไดร้ บั แจง้ เร่อื งการขอคนื ท่ดี นิ ของผู้ฟ้องคดที งั้ หกตามหนังสอื จงั หวดั
สรุ าษฎรธ์ านี ลงวนั ท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๔๙ จงึ เป็นหน้าทข่ี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ โดยตรงในการพจิ ารณา
พยานหลกั ฐานทุกอยา่ งทเ่ี กย่ี วขอ้ งและรวบรวมขอ้ เทจ็ จรงิ พรอ้ มเสนอความเหน็ เก่ยี วกบั การขอโอนคนื
ทพ่ี พิ าทต่อคณะรฐั มนตรี เพ่อื พจิ ารณาว่าจะดาํ เนินการเสนอร่างพระราชบญั ญตั โิ อนท่รี าชพสั ดุ
ท่เี ป็นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ ท่ใี ช้เพ่อื ประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะดงั กล่าวคนื ให้แก่
ผู้ฟ้องคดีทงั้ หกซ่ึงเป็นทายาทของนาย ฟ. ผู้ยกให้ต่อรฐั สภาหรอื ไม่ การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒
ยงั ไม่ได้ดําเนินการในกรณีดงั กล่าว ถอื ไดว้ ่าผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ละเลยต่อหน้าท่ตี ามท่กี ฎหมาย
กําหนดใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ิ

ส่วนท่ผี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ อุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องคดที งั้ หกซง่ึ เป็นทายาทของนาย ฟ.
ผยู้ กใหต้ อ้ งผกู พนั ตามเงอ่ื นไขการใหแ้ บบเดด็ ขาดตามหนังสอื สญั ญาแบ่งให้ ลงวนั ท่ี ๕ มนี าคม
๒๕๑๗ ซง่ึ เป็นไปตามมาตรา ๑๕๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ทบ่ี ญั ญตั วิ ่า การแสดง
เจตนาใด แมใ้ นใจจรงิ ผแู้ สดงจะมไิ ดเ้ จตนาใหต้ นตอ้ งผูกพนั ตามทไ่ี ดแ้ สดงออกมากต็ าม หาเป็น
มลู เหตุใหก้ ารแสดงเจตนานัน้ เป็นโมฆะไม่ เวน้ แต่ค่กู รณีอกี ฝ่ายหน่ึงจะไดร้ ถู้ งึ เจตนาอนั ซ่อนอยู่
ในใจของผแู้ สดงนนั้ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ จงึ ไมม่ นี ิตสิ มั พนั ธท์ จ่ี ะต้องโอนทด่ี นิ พพิ าทคนื ใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดี
ทงั้ หกนัน้ เหน็ ว่า ในการทําสญั ญาแบ่งแยกทด่ี นิ เพ่อื ทําโรงเรยี นเม่อื วนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๑๖
และการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมประเภทแบ่งใหเ้ ม่อื วนั ท่ี ๕ มนี าคม ๒๕๑๗ นายอําเภอ
ในฐานะผู้รบั ให้และพนักงานเจ้าหน้าท่ีในการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิติกรรมย่อมทราบเจตนา
ของนาย ฟ. ผยู้ กใหอ้ ยแู่ ลว้ ว่า ผูย้ กใหม้ เี จตนายกทพ่ี พิ าทใหเ้ พ่อื ใชเ้ ป็นสถานทก่ี ่อสรา้ งโรงเรยี น
และมเี ง่อื นไขว่า ถ้าไม่สร้างโรงเรยี นหรอื สร้างโรงเรยี นแล้วยกเลกิ ผู้ยกให้มคี วามประสงค์ขอรบั
ทพ่ี พิ าทคนื ใหแ้ ก่ทายาทของตน ประกอบกบั ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นหน่วยงานทางปกครองมอี ํานาจ
หน้าทใ่ี นการจดั ทาํ บรกิ ารสาธารณะ และในการจดั ทําบรกิ ารสาธารณะใหบ้ รรลุผลผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
ในฐานะหน่วยงานทางปกครองจะต้องไมก่ ระทําการอย่างหน่ึงอย่างใดอนั เป็นการสรา้ งนิตสิ มั พนั ธ์
ทม่ี ลี กั ษณะเป็นการเอาเปรยี บหรอื สรา้ งความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนซ่งึ มใิ ช่การดําเนินการ
บรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งทด่ี ี

พพิ ากษาใหผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ดําเนินการรวบรวมขอ้ เทจ็ จรงิ พรอ้ มเสนอความเหน็
กรณีผู้ฟ้องคดีทงั้ หกขอโอนคืนท่รี าชพสั ดุแปลงตาม น.ส. ๓ เลขท่ี ๔๖๘ ต่อคณะรฐั มนตรี

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๙

60

เพ่อื พจิ ารณาดําเนินการตราพระราชบญั ญตั โิ อนทร่ี าชพสั ดุท่เี ป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ท่ใี ช้
เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดนิ โดยเฉพาะคนื ให้แก่ผู้ฟ้องคดที งั้ หกตามขนั้ ตอนและวธิ ีการต่อไป
ทงั้ น้ีให้ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ดําเนินการให้แลว้ เสรจ็ ภายใน ๖๐ วนั นับแต่วนั ท่ศี าลปกครองสูงสุด
มคี าํ พพิ ากษา

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ. ๙๓๖/๒๕๕๘)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๕๙ ๕

61

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ กรณีที่ดินพร้อมส่ิงปลูกสร้าง
เป็ นสินสมรส คู่สมรสต้องจดั การร่วมกนั หรือได้รบั ความยินยอมจากอีกฝ่ ายหน่ึงก่อน
แต่หากค่สู มรสฝ่ ายหนึ่งฝ่ายใดได้กระทาํ การฝ่าฝื นมาตรา ๑๔๗๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ โดยไม่ได้จดั การร่วมกนั หรือไม่ได้รบั ความยินยอมจากฝ่ ายหน่ึงฝ่ ายใด
ผลของการทํานิ ติกรรมท่ียงั ไม่ได้รบั ความยินยอมจากคู่สมรส ไม่ทําให้ตกเป็ นโมฆะกรรม
หรอื โมฆียะกรรม แต่เป็นเพียงนิติกรรมท่ีไมส่ มบรู ณ์จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้ให้สตั ยาบนั
หรือค่สู มรสท่ีไมไ่ ด้ให้ความยินยอมฟ้ องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนัน้ และเม่ือมาตรา ๗๓
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้ให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิเสธการจดทะเบียน
เฉพาะแต่กรณีนิ ติกรรมเป็ นโมฆะกรรม การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนสิทธิ
และนิ ติ กรรมขายท่ีดิ นพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรส
ของผ้ขู าย โดยได้สอบสวนและบนั ทึกคาํ ยืนยนั ให้จดทะเบียนของผ้ซู ื้อและผ้ขู ายไว้เป็ น
หลกั ฐานตามแนวปฏิบตั ิของกรมท่ีดิน การกระทาํ ของพนักงานเจ้าหน้าที่จึงชอบด้วยกฎหมาย
อีกทัง้ เม่ือผู้ซื้อเช่ือโดยสุจริตว่า คู่สมรสของผู้ขายได้ทราบและให้ความยินยอมแล้ว
จึงเป็ นนิ ติกรรมท่ีบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน การท่ีคู่สมรส
ของผ้ขู ายท่ีมิได้ให้ความยินยอมย่ืนฟ้ องให้ศาลเพิกถอนนิ ติกรรมเมื่อพ้นหนึ่งปี นับแต่
วนั ท่ีได้ร้เู หตอุ นั เป็นมลู ให้เพิกถอนนิติกรรม จึงต้องห้ามตามมาตรา ๑๔๘๐ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ กรมท่ีดิ นจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทน
จากการปฏิบตั ิหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

ผู้ฟ้ องคดีฟ้ องว่า ผู้ฟ้ องคดีเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย พ.
จดทะเบยี นสมรสเมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ กนั ยายน ๒๕๒๔ ในระหว่างสมรสนาย พ. ไดซ้ อ้ื ทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ
เลขท่ี ๑๔๕๕๒๘ จากบรษิ ทั ก. จาํ กดั โดยลงช่อื นาย พ. เป็นผูถ้ อื กรรมสทิ ธใิ ์ นโฉนดทด่ี นิ เพยี งผเู้ ดยี ว
และนาย พ. ได้กู้ยมื เงนิ จากธนาคารโดยจดทะเบยี นจํานองท่ดี นิ แปลงดงั กล่าวไว้เป็นประกนั
โดยผู้ฟ้องคดใี นฐานะภรยิ าได้ใหค้ วามยนิ ยอม ต่อมา วนั ท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๔ นาย พ.
ไดด้ าํ เนนิ การจดทะเบยี นไถ่ถอนจาํ นองและจดทะเบยี นโอนทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวใหแ้ ก่ผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๔ (นางสาว ก.) เพ่ือชําระหน้ีสถาบันการเงนิ หลงั จากนาย พ. ได้ถึงแก่กรรมเม่อื วนั ท่ี ๒๐
เมษายน ๒๕๔๙ ผฟู้ ้องคดไี ดไ้ ปขอคดั สาํ เนาโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๔๕๕๒๘ จงึ ทราบวา่ มกี ารจดทะเบยี น

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๙ ๑

62

โอนท่ีดินดงั กล่าวโดยท่ีผู้ฟ้องคดีมิได้ให้ความยนิ ยอม ผู้ฟ้ องคดเี ห็นว่า พนักงานเจ้าหน้าท่ี
รบั จดทะเบียนโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เน่ืองจากมไิ ด้ตรวจสอบหลักฐานเอกสาร
ใหถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น ขาดความระมดั ระวงั อยา่ งเชน่ วญิ �ชู นจะกระทาํ ทาํ ใหผ้ ฟู้ ้องคดตี อ้ งสูญเสยี ทด่ี นิ
พร้อมส่ิงปลูกสร้าง จึงขอให้ศาลมคี ําพพิ ากษาหรือคําสัง่ ให้เพกิ ถอนการจดทะเบียนโอนท่ดี ิน
และใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดชี ดใชค้ า่ เสยี หาย

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า จากบทบญั ญตั มิ าตรา ๗๓ วรรคหน่ึง และวรรคสอง
แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ และมาตรา ๑๔๗๔ วรรคหน่ึง (๑) มาตรา ๑๔๗๖ วรรคหน่ึง (๑)
และมาตรา ๑๔๘๐ วรรคหน่ึง และวรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เหน็ ไดว้ ่า
สามแี ละภรยิ าต้องจดั การสนิ สมรสร่วมกันหรอื ได้รบั ความยนิ ยอมจากอีกฝ่ายหน่ึงก่อน แต่หาก
คู่สมรสฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดได้กระทําการฝ่าฝืนมาตรา ๑๔๗๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ กล่าวคือ ไม่ได้จัดการร่วมกันหรือไม่ได้รับความยินยอมจากฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด
กฎหมายมไิ ด้บญั ญตั ใิ ห้การทํานิตกิ รรมท่ฝี ่าฝืนมาตรา ๑๔๗๖ เป็นโมฆะกรรมหรอื โมฆยี ะกรรม
ผลของการทํานิตกิ รรมทย่ี งั ไม่ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากคู่สมรสจงึ เป็นนิตกิ รรมทไ่ี มส่ มบรู ณ์ คู่สมรส
ท่ไี ม่ได้ให้ความยนิ ยอมอาจฟ้องให้ศาลเพกิ ถอนนิติกรรมนัน้ ได้ตามมาตรา ๑๔๘๐ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เม่อื นาย พ. ซอ้ื ทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๔๕๕๒๘ พรอ้ มสงิ่ ปลูกสรา้ ง
จากบรษิ ัท ก. จํากดั ในระหว่างสมรสกบั ผู้ฟ้องคดี ท่ดี ินพร้อมส่ิงปลูกสร้างดงั กล่าว จงึ เป็น
สนิ สมรสของนาย พ. กับผู้ฟ้ องคดีตามมาตรา ๑๔๗๔ วรรคหน่ึง (๑) แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ การทน่ี าย พ. ขายทด่ี นิ พรอ้ มสง่ิ ปลูกสรา้ งซง่ึ เป็นสนิ สมรสให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔
เม่อื วนั ท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๔ นาย พ. จงึ ต้องร่วมกบั ผู้ฟ้องคดหี รอื ได้รบั ความยนิ ยอมจาก
ผู้ฟ้ องคดีให้ขายท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง นาย พ. จึงจะทํานิติกรรมดังกล่าวได้ ทั้งน้ี
ตามมาตรา ๑๔๗๖ วรรคหน่ึง (๑) แห่งประมวลกฎหมายดงั กล่าว แต่อย่างไรก็ตาม เม่อื นาย พ.
ขายท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยผู้ฟ้ องคดีไม่ได้ร่วมจัดการ
หรอื ใหค้ วามยนิ ยอม นิตกิ รรมดงั กล่าวจงึ มไิ ด้ตกเป็นโมฆะกรรมหรอื โมฆยี ะกรรม แต่เป็นเพยี ง
นิตกิ รรมทไ่ี มส่ มบรู ณ์ จนกว่าผูฟ้ ้องคดจี ะไดใ้ หส้ ตั ยาบนั หรอื นําคดมี าฟ้องใหศ้ าลเพกิ ถอนนิตกิ รรม
นัน้ ได้เท่านัน้ และเม่อื นิตกิ รรมระหว่างนาย พ. กบั ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔ มไิ ด้ตกเป็นโมฆะกรรมหรอื
โมฆยี ะกรรม และโดยทม่ี าตรา ๗๓ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ กเ็ พยี งแต่บญั ญตั ใิ หอ้ ํานาจพนักงาน
เจ้าหน้าท่ีปฏิเสธการจดทะเบียนเฉพาะแต่กรณีนิติกรรมเป็นโมฆะกรรมเท่านัน้ ประกอบกับ
ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (กรมท่ดี นิ ) ไดม้ หี นังสอื ด่วนมาก ท่ี มท ๐๖๑๒/๑/ว ๔๑๔๘๘ ลงวนั ท่ี ๓ ธนั วาคม
๒๕๑๙ และหนังสือ ท่ี มท ๐๖๑๒/๑/ว ๒๑๔๗๙ ลงวันท่ี ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๐ วางแนวปฏิบัติ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๙

63

ในเร่อื งความยนิ ยอมของคู่สมรสต้องทําเป็นหนังสอื ถ้าไม่มคี วามยนิ ยอมเป็นหนังสอื หรอื ไมม่ คี ําสงั่
ของศาลอนุญาตแทนตามมาตรา ๑๔๗๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พนักงาน
เจา้ หน้าทจ่ี ะรบั จดทะเบยี นใหไ้ ดต้ ่อเมอ่ื ค่กู รณที งั้ สองฝา่ ย ยนื ยนั ใหจ้ ดทะเบยี น โดยตอ้ งบนั ทกึ ถ้อยคํา
ของค่กู รณที งั้ สองฝา่ ยไวเ้ ป็นหลกั ฐาน ดงั นนั้ การทน่ี าย พ. ไดย้ น่ื คําขอจดทะเบยี นขายทด่ี นิ พรอ้ ม
สิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๔ ต่อผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๓ (นาย ท.) ไปแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยผู้ฟ้องคดไี ม่ได้ร่วมจดั การหรอื ให้ความยนิ ยอม ซ่งึ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ ได้สอบสวนแล้ว นาย พ.
ยืนยันความประสงค์ขายท่ีดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๔ ส่วนผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๔
โดยนาย พ. ผู้รับมอบอํานาจจากผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๔ ยืนยนั ว่าประสงค์จะซ้ือท่ีดินดังกล่าว
และขณะทาํ นิตกิ รรมผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๔ ไมม่ คี ่สู มรส ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๓ จงึ ไดแ้ จง้ ใหน้ าย พ. ซง่ึ เป็น
ผูข้ ายและผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔ ซง่ึ เป็นผู้ซอ้ื ทราบว่า การทน่ี าย พ. จะขายทด่ี นิ อนั เป็นสนิ สมรสได้นัน้
จะต้องได้รบั ความยนิ ยอมจากผูฟ้ ้องคดี หากไม่ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผูฟ้ ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๓
จะรบั จดทะเบยี นใหไ้ ดต้ ่อเมอ่ื ผูข้ ายและผูซ้ อ้ื ยนื ยนั ใหจ้ ดทะเบยี น ซง่ึ นาย พ. ผูข้ ายและในฐานะ
ผรู้ บั มอบอํานาจของผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๔ ผซู้ อ้ื ยนื ยนั ใหจ้ ดทะเบยี น ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ จงึ บนั ทกึ ถอ้ ยคาํ ว่า
นิติกรรมน้ีไม่สมบูรณ์เพราะปราศจากการยินยอมจากคู่สมรสของผู้ขาย คู่สมรสของผู้ขาย
สามารถเพิกถอนนิติกรรมน้ีได้ แล้วดําเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขาย
(โอนใหบ้ คุ คลทส่ี ามเพ่อื ชาํ ระหน้ีสถาบนั การเงนิ ) ใหแ้ ก่นาย พ. และผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ การกระทาํ ดงั กล่าว
ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ จงึ ชอบดว้ ยมาตรา ๗๓ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ

กรณีทจ่ี ะต้องวนิ ิจฉัยต่อไปมวี ่า ผฟู้ ้องคดจี ะฟ้องขอใหเ้ พกิ ถอนการจดทะเบยี น
ดงั กล่าวไดห้ รอื ไม่ 50ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่า 50นาย พ. กบั ผฟู้ ้องคดเี ป็นหน้ีเงนิ กู้ธนาคาร โดยจดทะเบยี น
จํานองท่ีดินโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๑๔๕๕๒๘ พร้อมสง่ิ ปลูกสร้างไว้เป็นประกนั ต่อมา นาย พ.
ไดข้ อรอ้ งผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ ใหช้ ่วยซอ้ื ทด่ี นิ ดงั กล่าว ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ เหน็ ว่า เพ่อื ช่วยเหลอื นาย พ.
และครอบครวั จงึ ยอมซอ้ื ทด่ี นิ แปลงดงั กล่าว โดยนาย พ. ไดย้ นื ยนั กบั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ ว่า ผฟู้ ้องคดี
ไดท้ ราบการทน่ี าย พ. จะขายทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวใหแ้ ก่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ และไดใ้ หค้ วามยนิ ยอมแลว้
จงึ เหน็ ไดว้ ่าผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๔ ไดเ้ ชอ่ื โดยสุจรติ ว่าการซอ้ื ขายทด่ี นิ ระหวา่ งนาย พ. กบั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔
ผูฟ้ ้องคดที ราบและได้ให้ความยนิ ยอมแก่นาย พ. แล้ว ดงั นัน้ กรณีดงั กล่าวจงึ เป็นนิติกรรม
ท่บี ุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจรติ และเสยี ค่าตอบแทน นอกจากน้ี แม้ว่าการซ้อื ขายท่ดี นิ
ระหว่างนาย พ. กบั ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ ผฟู้ ้องคดไี ม่ไดร้ ่วมจดั การหรอื ใหค้ วามยนิ ยอม แต่จากคาํ ชแ้ี จง
ของนาย ส. บุตรชายของผูฟ้ ้องคดกี บั นาย พ. ซ่งึ รบั ราชการเป็นทนั ตแพทยไ์ ดช้ ้แี จงต่อศาลว่า
ผฟู้ ้องคดที ราบเรอ่ื งการจดทะเบยี นโอนขายทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทตงั้ แต่ก่อนบดิ า คอื นาย พ. จะเสยี ชวี ติ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๙ ๓

64

กล่าวคอื หลงั จากผฟู้ ้องคดรี ถู้ งึ การซอ้ื ขายทด่ี นิ ดงั กล่าว ผูฟ้ ้องคดกี บั นาย พ. กเ็ กดิ การทะเลาะ
โต้เถยี งกนั เป็นประจาํ เม่อื นาย ส. เป็นบุตรผู้ฟ้องคดจี งึ ไม่มเี หตุผลใดทจ่ี ะใหก้ ารเช่นนัน้ และท่ี
ผฟู้ ้องคดอี า้ งว่าคําใหก้ ารของนาย ส. เป็นการเขา้ ใจคลาดเคล่อื นเพราะขณะนัน้ นาย ส. อายุ ๑๘ ปี
พกั อย่หู อพกั มไิ ดก้ ลบั บา้ นจงึ ไม่ไดใ้ ส่ใจเร่อื งต่าง ๆ ซ่งึ อาจจาํ ผดิ หรอื เขา้ ใจไขวเ้ ขวได้ ขอ้ กล่าวอา้ ง
ดงั กลา่ วเป็นเพยี งการคาดการณ์ของผูฟ้ ้องคดี หาไดท้ ําใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ท่ี นาย ส. ไดช้ แ้ี จงต่อศาล
เปลย่ี นแปลงแต่อย่างใด ดงั นัน้ เมอ่ื นาย พ. เสยี ชวี ติ ในวนั ท่ี ๒๐ เมษายน ๒๕๔๙ ผู้ฟ้องคดี
นําคดมี าฟ้องต่อศาลโดยยน่ื ทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นในวนั ท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ซง่ึ เป็นการย่นื ฟ้อง
เม่อื พ้นหน่ึงปีนับแต่วนั ท่ไี ดร้ ูก้ ารซ้อื ขายดงั กล่าว จงึ ต้องหา้ มมใิ ห้ฟ้องเพกิ ถอนนิตกิ รรมทน่ี าย พ.
ได้ขายทด่ี นิ ให้แก่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ ตามมาตรา ๑๔๘๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และเม่ือการท่ีผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๓ ดําเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขาย
(โอนให้บุคคลท่ีสามเพ่ือชําระหน้ีสถาบนั การเงนิ ) ท่ีดิน ระหว่างนาย พ. กับผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๔
เป็นการกระทําท่ีชอบด้วยกฎหมาย จึงมิได้กระทําละเมิดต่อผู้ฟ้ องคดี ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑
จงึ ไมจ่ าํ ตอ้ งรบั ผดิ ชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนจากการปฏบิ ตั หิ น้าทข่ี องผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๓ แต่อยา่ งใด

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๑๒๔๔/๒๕๕๘)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๕๙

65

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน

35โฉนดท่ีดินเป็ นเอกสารมหาชนที่รบั รองว่าผมู้ ีชื่อในโฉนดท่ีดินมีกรรมสิทธ์ิ
ในท่ีดินตามจํานวนเนื้ อที่ท่ีระบุไว้และมีอํานาจนําท่ีดินตามจํานวนเนื้ อที่ดังกล่าว
ไปดําเนิ นการจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรมเพื่อแสวงหาประโยชน์กบั บุคคลภายนอก
โดยบุคคลภายนอกย่อมมีเหตุอนั ควรเชื่อได้ว่าโฉนดที่ดินนัน้ ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย
และสาํ แดงข้อมลู ที่ถกู ต้องทุกรายการ 35ทงั้ การออกโฉนดท่ีดินเป็ นการใช้อาํ นาจตามประมวล
กฎหมายที่ดิ นของพนักงานเจ้าหน้ าที่และมีผลกระทบต่ อสถานภาพของสิ ทธิ หรือหน้ าท่ี
ของบุคคล อนั เป็ นคาํ สงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิวิธีปฏิบตั ิราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีอาํ นาจหน้าท่ีในการตรวจสอบข้อเทจ็ จริง
ได้ตามความเหมาะสมตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบญั ญตั ิวิธีปฏิบตั ิราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่พนักงานเจ้าหน้าท่ีของกรมที่ดินออกโฉนดท่ีดินโดยมิได้
ตรวจสอบตาํ แหน่งที่ตงั้ ของท่ีดินตาม น.ส. ๓ ก. ท่ีนํามาเป็นหลกั ฐานในการขอออกโฉนดท่ีดิน
ซึ่งหากตรวจสอบก็จะพบว่ามีบางส่วนทับซ้อนกบั ที่ดินแปลงอ่ืน พฤติการณ์จึงเป็ น
การกระทาํ โดยปราศจากความระมดั ระวงั ซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นนัน้ จกั ต้องมีตามวิสยั
และพฤติการณ์ของผมู้ อี าํ นาจหน้าที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินและสามารถตรวจสอบเอกสาร
หลกั ฐานเช่นว่านัน้ ได้ แต่หาได้ใช้ความระมดั ระวงั ให้เพียงพอไม่ ถือได้ว่าเป็ นการกระทาํ
โดยประมาทเลินเล่อในการออกโฉนดท่ีดิน ทําให้ผ้มู ีกรรมสิทธ์ิที่ดินที่ทบั ซ้อนกบั ที่ดิน
แปลงอื่นและเป็ นผ้ซู ื้อท่ีดินโดยสุจริตได้รบั ความเสียหาย และเป็ นการกระทําละเมิด
ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ กรมที่ดินจึงต้องรบั ผิดชดใช้
ในผลแห่งละเมิดท่ีเจ้าหน้ าที่ของตนได้กระทําในการปฏิ บตั ิ หน้ าท่ีตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบญั ญตั ิความรบั ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙

ผฟู้ ้องคดฟี ้องว่า ผฟู้ ้องคดเี ป็นเจา้ ของทด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๑๙๐๓๑ เน้ือท่ี
ปรากฏตามโฉนดทด่ี นิ จาํ นวน ๘ ไร่ ๖๙ ตารางวา ซง่ึ เดมิ นางสาว ด. ไดแ้ จง้ การครอบครองทด่ี นิ
ดงั กลา่ วตามแบบแจง้ การครอบครองทด่ี นิ (ส.ค. ๑) เลขท่ี ๑๗๒ เมอ่ื วนั ท่ี ๑ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๘๔
เน้ือท่ี ๑๑ ไร่ ๒ งาน ๔ ตารางวา และนายอําเภอบางละมงุ ไดอ้ อกหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๓๙๕ เน้ือท่ี ๑๒ ไร่ ๒๕ ตารางวา ใหแ้ ก่นางสาว ด. ต่อมา นางสาว ด. ถงึ แก่ความตาย
นางสาว ท. ซง่ึ เป็นผจู้ ดั การมรดกของนางสาว ด. ไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธใิ นทด่ี นิ ดงั กล่าวเป็นช่อื ของ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๙ ๑

66

ผู้จดั การมรดกและนําหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดงั กล่าวไปขอออกโฉนดท่ดี นิ
เป็นการเฉพาะราย เจ้าพนักงานท่ดี นิ จงึ ออกโฉนดท่ีดนิ เลขท่ี ๑๑๙๐๓๑ เลขท่ีดนิ ๘๔๗ ให้แก่
นางสาว ท. เน้ือท่ี ๘ ไร่ ๖๙ ตารางวา และนางสาว ท. ไดจ้ ดทะเบยี นขายทด่ี นิ ดงั กล่าวใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี
ต่อมา บรษิ ทั อ. จํากดั เจา้ ของทด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๖ โฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๖๗ และโฉนดทด่ี นิ
เลขท่ี ๖๘ ได้ย่นื คําขอรวมโฉนดท่ดี นิ ทงั้ สามแปลง เจ้าหน้าท่ขี องผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้ทําการ
รงั วดั รวมโฉนดท่ดี นิ ดงั กล่าว โดยเม่อื ลงระวางแล้วปรากฏว่าทบั โฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๑๑๙๐๓๑
ของผฟู้ ้องคดบี างสว่ น เน้ือท่ี ๒ ไร่ ๒ งาน ๙ ตารางวา ผูฟ้ ้องคดจี งึ มหี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๑๗ พฤษภาคม
๒๕๔๙ คดั คา้ นการรงั วดั แต่สํานักงานท่ดี นิ จงั หวดั ชลบุรเี หน็ ว่าโฉนดทด่ี นิ ของผูฟ้ ้องคดอี อกทบั
โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๘ บางส่วน ซง่ึ ตอ้ งดาํ เนินการเพกิ ถอนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ
รองอธบิ ดซี ง่ึ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (อธบิ ดกี รมทด่ี นิ ) มอบหมายมคี ําสงั่ อธบิ ดกี รมท่ดี นิ ลงวนั ท่ี ๒๙
กนั ยายน ๒๕๕๑ แกไ้ ขรปู แผนทใ่ี นโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๑๙๐๓๑ ของผูฟ้ ้องคดี โดยกนั พน้ื ทส่ี ่วนทท่ี บั
โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๘ ออก และใหแ้ กไ้ ขเน้ือทจ่ี าก ๘ ไร่ ๖๙ ตารางวา เป็น ๕ ไร่ ๒ งาน ๖๐ ตารางวา
ผู้ฟ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ ดงั กล่าว แต่รองปลดั กระทรวงมหาดไทยให้ยกอุทธรณ์ จงึ ขอให้ศาล
มคี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ ให้เพกิ ถอนคําสงั่ ของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๑
เรอ่ื ง การแกไ้ ขรปู แผนทแ่ี ละเน้ือทใ่ี นโฉนดทด่ี นิ และหากไมเ่ พกิ ถอนคาํ สงั่ ดงั กล่าวใหผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ชดใชค้ า่ ทด่ี นิ แก่ผฟู้ ้องคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า 35โฉนดทด่ี นิ เป็นเอกสารมหาชนอนั รบั รองว่าบุคคล
ผมู้ ชี อ่ื ในโฉนดทด่ี นิ มกี รรมสทิ ธใิ ์ นทด่ี นิ ตามจาํ นวนเน้ือทท่ี ร่ี ะบุไว้ ซง่ึ บุคคลผมู้ ชี ่อื ในโฉนดทด่ี นิ นัน้
มอี ํานาจนําท่ดี นิ ตามจํานวนเน้ือทด่ี งั กล่าวไปดําเนินการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมเพ่อื แสวงหา
ประโยชน์กบั บุคคลภายนอก โดยบุคคลภายนอกนนั้ ย่อมมเี หตุอนั ควรเช่อื ไดว้ ่าโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าว
เป็นโฉนดทด่ี นิ ทอ่ี อกโดยชอบดว้ ยกฎหมายและสาํ แดงขอ้ มลู ทถ่ี ูกตอ้ งทกุ รายการ พนกั งานเจา้ หน้าท่ี
ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ผู้มหี น้าท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การออกโฉนดท่ดี นิ ซง่ึ เป็นผู้มวี ชิ าชพี มคี วามชํานาญ
และความเช่ยี วชาญเป็นพเิ ศษมากกว่าบุคคลทวั่ ไป จงึ ต้องดําเนินการออกโฉนดทด่ี นิ ซง่ึ เป็นเอกสาร
สาํ คญั ดว้ ยความระมดั ระวงั และละเอยี ดรอบคอบ เพ่อื ใหก้ ารออกโฉนดทด่ี นิ ทอ่ี ย่ใู นความรบั ผดิ ชอบ
เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกบั การออกโฉนดท่ดี นิ เป็นการใช้อํานาจตามประมวล
กฎหมายทด่ี นิ ของพนักงานเจา้ หน้าท่ขี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ และมผี ลกระทบต่อสถานภาพของสทิ ธิ
หรอื หน้าท่ขี องบุคคล อนั เป็นคําสงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ิ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ พนักงานเจ้าหน้าท่ผี ู้มอี ํานาจหน้าท่ใี นการออกโฉนดท่ดี นิ จงึ มี
อํานาจหน้าทใ่ี นการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ไดต้ ามความเหมาะสมในเร่อื งนัน้ ๆ โดยไมต่ ้องผกู พนั

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๙

67

อยกู่ บั คาํ ขอหรอื พยานหลกั ฐานของค่กู รณี รวมทงั้ ตอ้ งพจิ ารณาพยานหลกั ฐานทต่ี นเหน็ ว่าจาํ เป็น
แก่การพสิ ูจน์ขอ้ เทจ็ จรงิ ซ่งึ รวมถงึ การดําเนินการแสวงหาพยานหลกั ฐานทุกอย่างทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
รบั ฟงั พยานหลกั ฐาน คําช้แี จง หรอื ความเหน็ ของคู่กรณีหรอื ของพยานบุคคลหรอื พยานผู้เชย่ี วชาญ
ท่คี ู่กรณีกล่าวอ้าง เว้นแต่เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างท่ไี ม่จําเป็น ฟุ่มเฟือยหรอื เพ่อื ประวงิ เวลา
ขอขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ความเหน็ จากคู่กรณี พยานบุคคลหรอื พยานผูเ้ ชย่ี วชาญ ขอใหผ้ ูค้ รอบครอง
เอกสารส่งเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และออกไปตรวจสถานท่ี ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙
แห่งพระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าว พนักงานเจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ มโี อกาสในการไต่สวน
แสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การออกโฉนดทด่ี นิ นัน้ ไดต้ ามทเ่ี หน็ สมควร โดยตอ้ งตรวจสอบ
ตําแหน่งและแนวเขตทด่ี นิ ทข่ี อออกโฉนดทด่ี นิ ว่าจดทด่ี นิ ของบุคคลใดบา้ ง และแจง้ ใหเ้ จา้ ของทด่ี นิ
ขา้ งเคยี งมาระวงั แนวเขตทด่ี นิ รวมทงั้ ตอ้ งตรวจสอบระวางแผนทว่ี ่าทด่ี นิ ดงั กล่าวทบั ซ้อนกบั ทด่ี นิ
ของบุคคลใดหรอื ไม่ เมอ่ื โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๑๙๐๓๑ ตําบล35บางละมงุ อําเภอบางละมุง จงั หวดั ชลบุรี
เป็นเอกสารทอ่ี อกไปโดยคลาดเคล่อื น เน่อื งจากออกทบั โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๘ ทอ่ี อกเมอ่ื วนั ท่ี ๑๕
มกราคม ร.ศ. ๑๒๗ บางสว่ น เน้ือท่ี ๒ ไร่ ๒ งาน ๙ ตารางวา จนรองอธบิ ดซี ง่ึ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
มอบหมาย อาศัยอํานาจตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ มคี ําสงั่ อธบิ ดีกรมท่ดี ิน
ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๑ แกไ้ ขรปู แผนทแ่ี ละเน้ือทจ่ี าก ๘ ไร่ ๖๙ ตารางวา เป็นเน้ือท่ี ๕ ไร่
๒ งาน ๖๐ ตารางวา การทพ่ี นกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี 35๑๑๙๐๓๑
ตําบล35บางละมงุ อําเภอบางละมงุ จงั หวดั ชลบุรี ใหแ้ ก่นางสาว ท. ในฐานะผจู้ ดั การมรดกของนางสาว ด.
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๔๘ โดยมไิ ดต้ รวจสอบตําแหน่งทต่ี งั้ ของทด่ี นิ ตามหนังสอื รบั รองการทาํ
ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๓๙๕ ทน่ี างสาว ท. นํามาเป็นหลกั ฐานในการขอออกโฉนดท่ดี นิ
ว่าท่ดี นิ ดงั กล่าวมอี าณาเขตขา้ งเคยี งอย่างไร และมเี น้ือท่ที บั ซ้อนกบั ท่ดี นิ แปลงอ่ืนหรอื ไม่ ซง่ึ หาก
พนกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ นํารปู แผนทท่ี ไ่ี ดจ้ ากการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ลงในระวาง
แผนท่เี พ่อื การออกโฉนดท่ดี นิ แลว้ ก็จะพบว่าตําแหน่งท่ตี งั้ ของท่ดี นิ ดงั กล่าวอยู่ในตําแหน่งทด่ี นิ
ระวาง ๕๓๑๕ II ๐๘๔๔ เช่นเดยี วกบั โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๖ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๗ และโฉนดทด่ี นิ
เลขท่ี ๖๘ ต35 าํ บล35บางละมงุ อาํ เภอบางละมงุ จงั หวดั ชลบุรี และพบว่าทด่ี นิ ดงั กล่าวมบี างส่วนทบั ซอ้ น
กบั ทด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๘ ประกอบกบั ทด่ี นิ ดงั กล่าวนางสาว ท. ไดน้ ําทาํ การรงั วดั ออกโฉนด
ท่ดี นิ เม่อื วนั ท่ี ๑๙ สงิ หาคม ๒๕๔๒ ผลการรงั วดั ปรากฏว่าท่ดี นิ ตามหลกั ฐานหนังสือรบั รอง
การทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๓๙๕ ทบั ซ้อนกบั ท่ดี นิ ตามโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๖๘ ซ่งึ หาก
พนกั งานเจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ตรวจสอบจากสารบบทด่ี นิ หนงั สอื รบั รองการทําประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๓๙๕ กจ็ ะพบขอ้ เทจ็ จรงิ เช่นว่านัน้ พฤตกิ ารณ์แห่งการกระทําของพนักงาน

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๙ ๓

68

เจา้ หน้าท่ขี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมดั ระวงั ซง่ึ บุคคลในภาวะ
เช่นนัน้ จกั ตอ้ งมตี ามวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์ของผูม้ อี ํานาจหน้าทอ่ี อกเอกสารสทิ ธใิ นทด่ี นิ และพนักงาน
เจา้ หน้าทข่ี องผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ สามารถตรวจสอบหลกั ฐานเช่นว่านนั้ ได้ แต่หาไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั
ใหเ้ พยี งพอไม่ พฤตกิ ารณ์ดงั กล่าวถอื ไดว้ ่าพนกั งานเจา้ หน้าท่ขี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ กระทําการ
โดยประมาทเลนิ เล่อในการออกโฉนดท่ดี นิ ทําให้ท่ดี นิ ท่ผี ู้ฟ้องคดมี กี รรมสทิ ธทิ ์ บั ซ้อนกบั ทด่ี นิ
ตามโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๖๘ จาํ นวน ๒ ไร่ ๒ งาน ๙ ตารางวา ผูฟ้ ้องคดซี ง่ึ เป็นผูซ้ ้อื ท่ดี นิ ดงั กล่าว
โดยสุจรติ ย่อมได้รบั ความเสยี หาย และเป็นการกระทําละเมดิ ต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๔๒๐
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่เี กิดข้นึ จากการปฏบิ ตั หิ น้าท่ใี นการออกโฉนดท่ดี นิ
ของพนักงานเจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ดงั นัน้ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ซง่ึ เป็นหน่วยงานของรฐั
จงึ ต้องรบั ผดิ ต่อผู้ฟ้องคดีในผลแห่งละเมดิ ท่เี จ้าหน้าท่ีของตนได้กระทําในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี
ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่โดยท่ี
ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ นางสาว ท. ผจู้ ดั การมรดกของนางสาว ด. เคยนําหนังสอื รบั รองการทาํ ประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๓๙๕ มาเป็นหลกั ฐานในการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ เป็นการเฉพาะรายเมอ่ื วนั ท่ี
๑๙ สงิ หาคม ๒๕๔๒ และปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ในขณะนนั้ ว่าท่ดี นิ ตามหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๓๙๕ ท่นี ํามาเป็นหลกั ฐานในการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ มอี าณาเขตทบั ซ้อน
กบั ทด่ี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๖๘ ซง่ึ นางสาว ท. ยอ่ มทราบขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าวแลว้ การทน่ี างสาว ท.
นําหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดงั กล่าวมาเป็นหลกั ฐานในการออกโฉนดท่ดี นิ
โดยวธิ เี ดนิ สํารวจอกี นางสาว ท. จงึ มสี ่วนประมาทเลนิ เล่อในการออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๑๙๐๓๑
อยดู่ ว้ ย

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่อ. ๑๗๕/๒๕๕๙)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๖ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๕๙

69

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน

พนักงานเจ้าหน้าที่ผ้มู ีอาํ นาจหน้าท่ีในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
เก่ียวกบั อสงั หาริมทรพั ยแ์ ละออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินต้องตรวจสอบข้อมลู ที่เก่ียวข้อง
อย่างรอบคอบทัง้ จากเอกสารหลกั ฐานของผู้ย่ืนคาํ ขอและจากสารบบจดั เก็บข้อมูล
ของหน่วยงานก่อนดาํ เนิ นการดงั กล่าว รวมทงั้ ต้องปฏิบตั ิหน้าท่ีตามที่กฎหมายกาํ หนด
อย่างเคร่งครดั การท่ีพนักงานเจ้าหน้าที่มิได้จดแจ้งรายการจดทะเบียนจาํ นองลงในสารบญั
จดทะเบียนที่ดิน น.ส.๓ ก. ฉบบั ท่ีทาํ การท่ีดินอาํ เภอ เป็นการกระทาํ ท่ีฝ่าฝื นมาตรา ๗๕
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน และการท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีออกใบแทน น.ส. ๓ ก. ดงั กล่าว
ซึ่งต่อมาได้นําไปใช้เป็นหลกั ฐานในการออกโฉนดท่ีดินโดยพนักงานเจ้าหน้าที่มิได้ตรวจสอบ
ข้อมูลให้ชดั เจนก่อนว่าที่ดินมีการจดทะเบียนจาํ นองกบั ธนาคารอนั เป็ นข้อมูลท่ีมีอยู่ใน
สารบบจดั เกบ็ ข้อมูลของหน่วยงาน ถือเป็ นการปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยปราศจากความระมดั ระวงั
ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสยั และพฤติการณ์ และสามารถ
ใช้ความระมดั ระวงั เช่นนัน้ ได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงเป็นการปฏิบตั ิหน้าที่โดยประมาท
เลินเล่ออย่างร้ายแรง เมื่อต่อมาโฉนดที่ดินดงั กล่าวถกู เพิกถอนทาํ ให้ผซู้ ื้อที่ดินโดยสจุ ริต
ได้รบั ความเสียหาย หน่วยงานของรฐั จะต้องรบั ผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผ้ซู ื้อ
ในผลแห่งละเมิดที่พนักงานเจ้าหน้ าท่ีของตนกระทําในการปฏิ บตั ิ หน้ าที่ดังกล่าว
โดยในการพิจารณากาํ หนดค่าสินไหมทดแทนนัน้ ศาลจะกาํ หนดตามราคาท่ีซื้อขายกนั
ตามความเป็ นจริง โดยไม่จาํ ต้องยึดถือราคาซื้อขายตามที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี
ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกไ็ ด้

ผู้ฟ้ องคดีฟ้ องว่า ผู้ฟ้ องคดีเป็นผู้ถือกรรมสิทธใิ ์ นท่ีดินตามโฉนดท่ีดินเลขท่ี
๑๕๘๘๓๘ โดยซ้ือมาจากนาง อ. ซ่ึงนาง อ. ได้ซ้ือมาจากนาย ส. เจ้าของเดมิ โดยท่ีผู้ซ้ือ
ทงั้ สองรายไม่ทราบว่านาย ส. ได้โฉนดท่ีดนิ มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะท่ีดินแปลง
ดงั กล่าว นาย ส. ไดจ้ ดทะเบยี นจาํ นองไว้กบั ธนาคาร ก. แต่กลบั แจง้ ความต่อเจา้ หน้าทต่ี ํารวจ
และแจง้ ต่อพนักงานเจา้ หน้าทว่ี ่าหนังสอื รบั รองการทาํ ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบบั เจา้ ของทด่ี นิ
ได้สูญหาย พร้อมกับย่นื คําขอรบั ใบแทน น.ส. ๓ ก. และพนักงานเจ้าหน้าท่ีได้ดําเนินการ
ออกใบแทน น.ส. ๓ ก. ใหแ้ ก่นาย ส. โดยไมต่ รวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ใหร้ อบคอบ เป็นเหตุใหน้ าย ส.
นําใบแทน น.ส. ๓ ก. ท่อี อกโดยไม่ชอบด้วยมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ ใช้เป็น

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๐ ๑

70

หลกั ฐานในการขอออกโฉนดท่ดี นิ ดงั กล่าว โดยหลงั จาก นาย ส. ไดร้ บั โฉนดทด่ี นิ จากพนักงาน
เจ้าหน้าท่แี ล้ว นาย ส. ก็ได้นําท่ีดนิ มาขายต่อให้แก่นาง อ. และนาง อ. นํามาขายต่อให้แก่
ผู้ฟ้องคดี จนกระทงั่ พนักงานเจา้ หน้าท่ไี ด้ตรวจสอบพบในเวลาต่อมาว่าโฉนดท่ีดินดงั กล่าว
ออกโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (อธบิ ดกี รมทด่ี นิ ) จงึ มคี าํ สงั่ ลงวนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน
๒๕๕๑ เพกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ เลขทด่ี งั กล่าว ผูฟ้ ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ แต่ถูกยกอุทธรณ์ จงึ ย่นื ฟ้อง
อธบิ ดกี รมท่ดี นิ และกรมท่ดี นิ (ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ และผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ตามลําดบั ) เพ่อื ขอให้
ชดใชค้ ่าเสยี หายเป็นเงนิ จาํ นวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ซง่ึ เป็นราคาทผ่ี ฟู้ ้องคดซี อ้ื ทด่ี นิ ต่อมาจากนาง อ.

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า พนักงานเจา้ หน้าท่ขี องสํานักงานทด่ี นิ จงั หวดั
ซง่ึ เป็นเจา้ หน้าทข่ี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดอ้ อกใบแทน น.ส. ๓ ก. ใหแ้ ก่นาย ส. เจา้ ของทด่ี นิ เดมิ
โดยท่ี น.ส. ๓ ก. ฉบบั เจา้ ของท่ีดนิ มไิ ด้สูญหายไปจรงิ แต่นาย ส. จํานองไว้กบั ธนาคาร ก.
ซง่ึ พนกั งานเจา้ หน้าทท่ี ด่ี าํ เนนิ การจดทะเบยี นจาํ นองมไิ ดจ้ ดแจง้ รายการจดทะเบยี นจาํ นองลงใน
สารบญั จดทะเบยี นทด่ี นิ น.ส. ๓ ก. ฉบบั ทท่ี ําการทด่ี นิ อําเภอ อนั เป็นการกระทําทฝ่ี ่าฝืนมาตรา ๗๕
แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ และเมอ่ื นาย ส. ยน่ื คาํ ขอออกใบแทน น.ส. ๓ ก. พนักงานเจา้ หน้าท่ี
กม็ ไิ ดต้ รวจสอบเอกสารหลกั ฐานในสารบบทด่ี นิ น.ส. ๓ ก. ใหล้ ะเอยี ดรอบคอบก่อนดําเนินการ
ออกใบแทน ทงั้ ท่ปี รากฏเอกสารคําขอจดทะเบยี นจํานองในสารบบท่ดี นิ อยู่แล้ว นอกจากน้ี
เมอ่ื นาย ส. นําใบแทน น.ส. ๓ ก. มาใชเ้ ป็นหลกั ฐานในการขอรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ เป็นการเฉพาะราย
เจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ กอ็ อกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่นาย ส. โดยมไิ ดต้ รวจสอบเอกสารในสารบบ
ท่ดี นิ ให้รอบคอบก่อนออกโฉนดท่ดี นิ อกี เช่นกนั จนกระทงั่ นาย ส. จดทะเบยี นขายท่ดี นิ ให้กบั
นาง อ. และนาง อ. จดทะเบยี นขายทด่ี นิ ใหก้ บั ผูฟ้ ้องคดี โดยผูฟ้ ้องคดไี มท่ ราบว่าทด่ี นิ ดงั กล่าว
มกี ารจํานองเป็นประกนั ไว้กบั ธนาคาร ก. มาก่อน จงึ เห็นได้ว่า การกระทําของเจ้าหน้าท่ขี อง
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นการปฏบิ ตั หิ น้าท่โี ดยปราศจากความระมดั ระวงั ซง่ึ เจา้ หน้าทใ่ี นภาวะเช่นนัน้
จกั ตอ้ งมตี ามวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์และสามารถใชค้ วามระมดั ระวงั เช่นนนั้ ได้ แต่หาไดใ้ ชเ้ พยี งพอ
ไม่ จงึ เป็นการปฏบิ ตั หิ น้าทโ่ี ดยประมาทเลนิ เล่ออยา่ งรา้ ยแรงในการออกใบแทน น.ส. ๓ ก. และ
ออกโฉนดท่ดี ินเลขท่ี ๑๕๘๘๓๘ เม่อื ต่อมามกี ารเพิกถอนโฉนดท่ีดนิ ดงั กล่าวและทําให้เกิด
ความเสยี หายแก่ผฟู้ ้องคดี จงึ เป็นการกระทําละเมดิ ต่อผูฟ้ ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ ในฐานะหน่วยงานของรฐั ทเ่ี จา้ หน้าทด่ี งั กล่าวสงั กดั
จงึ ต้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนแก่ผฟู้ ้องคดใี นผลแห่งละเมดิ ทเ่ี จา้ หน้าทข่ี องตนไดก้ ระทํา
ในการปฏบิ ตั หิ น้าทต่ี ามมาตรา ๕ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั คิ วามรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าท่ี
พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่อื ผูฟ้ ้องคดซี อ้ื ท่ดี นิ มาโดยสุจรติ แต่ไม่ได้กรรมสทิ ธใิ ์ นท่ดี นิ ตามโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าว

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๐

71

แม้การพจิ ารณากําหนดค่าเสยี หายให้แก่ผู้ฟ้องคดจี ากการถูกเพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ นัน้ จะต้อง
พจิ ารณาถงึ ความเสยี หายทผ่ี ูฟ้ ้องคดไี ดร้ บั ณ วนั ทไ่ี ดร้ บั แจง้ คําสงั่ ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ แต่เม่อื
คาํ นงึ ถงึ พฤตกิ ารณ์และความรา้ ยแรงแห่งละเมดิ ในคดนี ้ี ซง่ึ แมข้ อ้ เทจ็ จรงิ จะปรากฏว่า ผฟู้ ้องคดี
ได้แจง้ ต่อพนักงานเจา้ หน้าท่ใี นการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมว่า มกี ารซ้อื ขายท่ดี นิ กนั ในราคา
๑๓๐,๐๐๐ บาท ตามสญั ญาซอ้ื ขายทด่ี นิ กต็ าม แต่พจิ ารณาจากการทน่ี าย ส. เจา้ ของทด่ี นิ เดมิ
ได้จาํ นองท่ดี นิ แปลงดงั กล่าวไวก้ บั ธนาคาร ก. ในราคา ๒๕๐,๐๐๐ บาท หลงั จากนัน้ เป็นเวลา
๘ ปี ผฟู้ ้องคดไี ดซ้ อ้ื ทด่ี นิ แปลงเดยี วกนั มาจากนาง อ. โดยจดทะเบยี น ณ สาํ นักงานทด่ี นิ จงั หวดั
ตามพยานหลกั ฐานทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สองกล่าวอ้างเป็นเงนิ เพยี ง ๑๓๐,๐๐๐ บาท ราคาซอ้ื ขาย
ทด่ี นิ ดงั กลา่ วไมน่ ่าจะเป็นราคาทซ่ี อ้ื ขายกนั ทแ่ี ทจ้ รงิ เพราะโดยปกตแิ ลว้ ราคาทด่ี นิ มแี ต่จะสงู ขน้ึ
เมอ่ื ระยะเวลาผา่ นไปในแต่ละปี มใิ ช่ทด่ี นิ มรี าคาต่าํ ลงอย่างเช่นในกรณนี ้ี ดงั นนั้ ราคาทผ่ี ูฟ้ ้องคดี
แจง้ ต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ใี นการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิติกรรมขา้ งต้น จงึ ไม่น่าเช่อื ว่าเป็นราคา
ทม่ี กี ารซอ้ื ขายทด่ี นิ กนั ตามความเป็นจรงิ และเมอ่ื พจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทผ่ี ฟู้ ้องคดกี ล่าวอา้ งว่า
ได้ซ้อื ท่ดี นิ มาจากนาง อ. เม่อื วนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๗ ในราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยผู้ฟ้องคดี
มพี ยานหลกั ฐานเป็นหนังสอื สญั ญาซอ้ื ขาย ลงวนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๗ ทท่ี าํ ขน้ึ ระหว่างผูฟ้ ้องคดี
กบั นาง อ. ประกอบหลกั ฐานการถอนเงนิ ของผูฟ้ ้องคดจี ากธนาคาร เม่อื วนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๗
จํานวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท อนั เป็นวนั เดยี วกนั กบั วนั ท่มี กี ารจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิติกรรม อกี ทงั้
ข้อเท็จจรงิ ปรากฏต่อมาว่าธนาคาร ก. เป็นเจ้าของท่ดี ินแปลงดงั กล่าวได้ประกาศขายท่ีดิน
เม่อื วนั ท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ และเม่อื วนั ท่ี ๑๘ ธนั วาคม ๒๕๕๒ ในราคา ๔๙๕,๐๐๐ บาท
และราคา ๕๒๑,๐๐๐ บาท ตามลําดบั เม่อื พจิ ารณาเปรยี บเทยี บราคาจาํ นองท่ดี นิ และราคาซ้อื ขาย
ทด่ี นิ ทผ่ี ูฟ้ ้องคดกี ล่าวอ้าง กบั ราคาท่ดี นิ ท่ธี นาคาร ก. ประกาศขายดงั กล่าวแลว้ เหน็ ว่า ราคาทด่ี นิ
เพมิ่ สงู ขน้ึ และมอี ตั ราการเพมิ่ ขน้ึ สอดคลอ้ งใกลเ้ คยี งกนั กบั ราคาทผ่ี ูฟ้ ้องคดกี ล่าวอา้ งว่าซอ้ื ทด่ี นิ มา
ในราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท จงึ เช่อื ไดว้ ่าผู้ฟ้องคดซี อ้ื ทด่ี นิ มาจากนาง อ. ในราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท
จรงิ ตามท่กี ล่าวอ้าง และกรณีถอื ว่าราคาซ้อื ท่ดี นิ ดงั กล่าวเป็นความเสยี หายท่ผี ู้ฟ้องคดไี ด้รบั
เน่ืองมาจากการกระทาํ ละเมดิ ของพนักงานเจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ดงั นนั้ จงึ สมควรกําหนด
ค่าเสยี หายใหแ้ ก่ผู้ฟ้องคดเี ป็นเงนิ ๔๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบ้ยี ในอตั รารอ้ ยละเจด็ ครง่ึ ต่อปี
ของตน้ เงนิ จํานวนดงั กล่าวนบั แต่วนั ท่ที ําละเมดิ ตามมาตรา ๒๐๖ และมาตรา ๒๒๔ วรรคหน่ึง
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ เม่อื คดนี ้ีผูฟ้ ้องคดไี ด้รบั แจง้ คําสงั่ ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑
ท่ใี ห้เพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ พพิ าทตามหนังสอื ลงวนั ท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ จงึ ถือว่ามูลละเมดิ
เกดิ ขน้ึ ในวนั ทผ่ี ฟู้ ้องคดไี ดร้ บั หนงั สอื แจง้ คาํ สงั่ ดงั กล่าว คอื วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๑ ผูฟ้ ้องคดี

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๐ ๓

72

จงึ มสี ทิ ธไิ ดร้ บั ดอกเบย้ี นบั แต่วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๑ เป็นต้นไป จงึ พพิ ากษาใหผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
ชดใชค้ ่าเสยี หายใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดเี ป็นเงนิ ๔๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบย้ี ในอตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ต่อปี
ของต้นเงนิ จํานวนดงั กล่าวนับแต่วนั ท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสรจ็
ใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี โดยใหช้ าํ ระใหเ้ สรจ็ ภายในกําหนด ๓๐ วนั นบั แต่วนั ทม่ี คี าํ พพิ ากษา

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่อ. ๑๐๔๗/๒๕๕๙)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๐

73

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน
แม้ผจู้ ดั สรรท่ีดินจะได้จดทะเบยี นโอนที่ดินที่เป็นถนนภายในโครงการจดั สรร

ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์อนั มีผลทาํ ให้ตกเป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินประเภท
พลเมืองใช้ร่วมกนั ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ไม่อาจ
หมายความรวมถึงรวั้ คอนกรีตเสริมเหลก็ ซึ่งมิได้มีสภาพเป็นถนนและสร้างขึ้นตามแนวเขต
ของที่ดินท่ีทาํ การจดั สรร ถนนและรวั้ คอนกรีตเสริมเหลก็ จึงมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสญั จร
ร่วมกนั และการรกั ษาความปลอดภยั ต่อชีวิตและทรพั ยส์ ิน ตลอดจนการดาํ รงชีวิตอย่ไู ด้
ตามปกติสุขของผ้อู ยู่อาศยั ในชุมชนหมู่บ้านจดั สรร อันเป็ นสาธารณูปโภคที่ตกอยู่ใน
ภาระจาํ ยอมเพ่ือประโยชน์แก่ที่ดินจดั สรรตามข้อ ๓๐ แห่งประกาศของคณะปฏิวตั ิ
ฉบบั ที่ ๒๘๖ ลงวนั ท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ถึงแม้ผ้อู าํ นวยการเขตจะมีอาํ นาจอนุญาต
ให้เจ้าของท่ีดินนอกโครงการทาํ ทางเช่ือมในที่ดินที่เป็ นทางสาธารณะดงั กล่าวได้ตาม
ระเบียบกรงุ เทพมหานคร ว่าด้วยการขออนุญาตตดั คนั หินทางเท้า ลดระดบั คนั หินทางเท้า
และทาํ ทางเช่ือมในที่สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๓๑ กต็ าม แต่การออกใบอนุญาตให้เจ้าของท่ีดิน
นอกโครงการทุบรื้อรวั้ คอนกรีตเสริมเหล็กย่อมทําให้ประโยชน์แห่งภาระจาํ ยอมของ
รวั้ คอนกรตี เสริมเหลก็ ลดไป จึงเป็นการฝ่าฝื นพระราชบญั ญตั ิการจดั สรรท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๔๓
เม่อื รวั้ คอนกรีตเสริมเหลก็ เป็นประโยชน์ต่อผ้อู ยู่อาศยั ในหมู่บ้านจดั สรรมากกว่าประโยชน์
ท่ีเจ้าของที่ดินนอกโครงการจะได้มีทางออกสู่ทางสาธารณะอีกทางหน่ึง ทงั้ ฟังไม่ได้ว่า
หากเจ้าของท่ีดินนอกโครงการผ้ขู ออนุญาตไม่ได้รบั อนุญาตให้ทาํ ทางเชื่อมแล้วจะได้รบั
ความเดือดร้อนเกินสมควรจากการเดินทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ การอนุญาตให้เจ้าของ
ท่ีดินนอกโครงการทาํ ทางเช่ือมในที่สาธารณะและอนุญาตให้ทุบรือ้ รวั้ คอนกรีต จึงไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายและเป็ นการกระทําละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์

ผู้ฟ้องคดที งั้ ย่สี บิ สองคนฟ้องว่า ได้ซ้อื ท่ดี ินพร้อมสิง่ ปลูกสร้างและอยู่อาศัย
ในโครงการหมู่บ้านซ่งึ เป็นท่ดี นิ ตามโครงการจดั สรรของบรษิ ัท พ. จํากดั โดยบรษิ ทั ดงั กล่าว
ได้โอนท่ดี นิ เฉพาะส่วนท่เี ป็นถนนในโครงการจดั สรรท่ดี ิน แต่ไม่รวมรวั้ คอนกรตี เสรมิ เหล็ก
รอบโครงการจดั สรร ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒
(ผวู้ า่ ราชการกรงุ เทพมหานคร) โดยผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ (ผอู้ ํานวยการเขต) ไดอ้ อกใบอนุญาตลงวนั ท่ี
๗ มกราคม ๒๕๕๓ อนุญาตใหผ้ ูร้ อ้ งสอด (นาย พ.) ทําทางเช่อื มขนาดกว้าง ๔ เมตร กบั ถนน

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๐ ๑

74

สาธารณประโยชน์ดงั กล่าวเพอ่ี เขา้ สู่ทด่ี นิ ของผูร้ อ้ งสอดและอนุญาตใหท้ ุบรอ้ื รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็
อนั เป็นภาระจาํ ยอมแก่ทด่ี นิ ของผฟู้ ้องคดแี ละชุมชน ซง่ึ ผรู้ อ้ งสอดไดท้ าํ การทุบรอ้ื รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็
ผฟู้ ้องคดแี ละตวั แทนชุมชนจงึ ไดม้ หี นงั สอื รอ้ งเรยี นคดั คา้ น แต่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ แจง้ ว่า ผูร้ อ้ งสอด
ทุบรอ้ื รวั้ คอนกรตี ผดิ ตาํ แหน่งและมหี นงั สอื แจง้ ใหซ้ ่อมแซมรวั้ คอนกรตี และทาํ ทางเช่อื มใหต้ รงกบั
ตําแหน่งท่ไี ด้อนุญาต ผู้ฟ้องคดเี ห็นว่า รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทผู้จดั สรรได้ก่อสร้างข้นึ
เพอ่ื ประโยชน์ในการป้องกนั อนั ตราย ปกป้องชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของผูท้ ซ่ี อ้ื ทด่ี นิ พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ ง
ในโครงการจดั สรรดงั กล่าว ประกอบกบั ท่ดี นิ ของผูร้ อ้ งสอดมที างเขา้ ออกสู่ทางสาธารณะได้ ๒ ทาง
การอนุญาตใหผ้ รู้ อ้ งสอดทาํ ทางเช่อื มในทส่ี าธารณะ โดยไมไ่ ดจ้ ดั ใหม้ กี ารรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และยนิ ยอม
จากเจา้ ของชุมชนก่อนการอนุญาต เป็นการกระทําทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมายและมผี ลกระทบกระเทอื น
ต่อสิทธิเสรีภาพ ทรพั ย์สนิ คุณภาพชีวิต สุขอนามยั อันเป็นการกระทําละเมดิ ต่อผู้ฟ้ องคดี
ทงั้ ย่สี บิ สองรายและผู้ท่อี ยู่อาศยั ในชุมชน จงึ ขอใหศ้ าลมคี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ เพกิ ถอนคําสงั่
ตามใบอนุญาตลงวนั ท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๓ และใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดรี ่วมกนั ดําเนินการปรบั ปรุงซ่อมแซม
รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทใหอ้ ยใู่ นสภาพเดมิ

ศาลปกครองสงู สุดวินิจฉัยว่า เมอ่ื ศาลปกครองชนั้ ต้นรบั ฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ กรณีน้ีว่า
บรษิ ทั พ. จาํ กดั ผจู้ ดั สรรทด่ี นิ โครงการหมบู่ า้ นไดโ้ อนทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๘๐๒ ซง่ึ เป็นถนน
ในโครงการจดั สรรทด่ี นิ ใหเ้ ป็นทางสาธารณประโยชน์ เมอ่ื วนั ท่ี ๘ มกราคม ๒๕๓๓ และถนนดงั กล่าว
มสี งิ่ ปลกู สรา้ งทเ่ี ป็นรวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทซง่ึ เป็นส่วนหน่ึงของแผนผงั โครงการในการแบ่งเขต
ท่ดี นิ ท่จี ดั สรรกบั ท่ดี นิ ของบุคคลอ่นื ดงั นัน้ บรษิ ทั พ. จํากดั ผู้จดั สรรท่ดี นิ จงึ เป็นผู้จดั ให้มรี วั้
คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทขน้ึ เพ่อื การจดั สรรท่ีดนิ ตามแผนผงั และโครงการท่ไี ด้รบั อนุญาตตาม
ใบอนุญาตใหท้ าํ การจดั สรรทด่ี นิ โดยทถ่ี นนภายในโครงการจดั สรรและรวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าท
ดงั กล่าวมไี วเ้ พ่อื ประโยชน์ในการสญั จรร่วมกนั และการรกั ษาความปลอดภยั ต่อชวี ติ และทรพั ยส์ นิ
ตลอดจนการดาํ รงชวี ติ อยไู่ ดต้ ามปกตสิ ุขของผอู้ ยอู่ าศยั ในชมุ ชนหม่บู า้ นจดั สรร ถนนและรวั้ คอนกรตี
เสรมิ เหลก็ พพิ าท จงึ เป็นสาธารณูปโภคท่ตี กอยู่ในภาระจํายอมเพ่อื ประโยชน์แก่ท่ดี นิ จดั สรร
ตามขอ้ ๓๐ แห่งประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ ลงวนั ท่ี ๒๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๑๕ แมต้ ่อมา
บรษิ ทั พ. จาํ กดั ผูจ้ ดั สรรทด่ี นิ จะไดจ้ ดทะเบยี นโอนท่ดี นิ ทเ่ี ป็นถนนภายในโครงการจดั สรรให้เป็น
ทางสาธารณประโยชน์ เมอ่ื วนั ท่ี ๘ มกราคม ๒๕๓๓ มผี ลทําใหถ้ นนดงั กล่าวตกเป็นสาธารณสมบตั ิ
ของแผ่นดินประเภทพลเมอื งใช้ร่วมกันตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ ซ่งึ อยู่ในอํานาจการดูแลรกั ษาของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔ ก็ตาม แต่ไม่อาจหมายความรวมถึง
รวั้ คอนกรีตเสริมเหล็กพิพาท ซ่ึงมิได้มีสภาพเป็นถนนและสร้างข้นึ ตามแนวเขตของท่ีดิน
ท่ที ําการจดั สรรเพ่อื ป้องกนั การรุกล้ําแนวเขตท่ดี นิ ระหว่างท่ดี นิ โครงการจดั สรรกบั ท่ดี นิ ของผู้อ่นื

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๐

75

ทอ่ี ยขู่ า้ งเคยี ง และป้องกนั การล่วงล้ําของบุคคลภายนอกเพ่อื ความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ
ตลอดจนการดํารงชีวิตอยู่ได้ตามปกติสุขของผู้อยู่อาศัยในชุมชนหรอื หมู่บ้านจดั สรร อันเป็น
มาตรการรกั ษาความปลอดภยั และความสงบเรยี บรอ้ ยของชุมชนหมู่บ้านจดั สรรตามโครงการ
จดั สรรทด่ี นิ หากวา่ มบี คุ คลภายนอกทบุ ทาํ ลายรวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าท ผูฟ้ ้องคดที งั้ ยส่ี บิ สองราย
และผูอ้ าศยั ในโครงการจดั สรรท่ดี นิ ย่อมเป็นผูไ้ ด้รบั ความเดอื ดรอ้ นเสยี หายทม่ี สี ทิ ธหิ วงกนั ไว้
ไมใ่ หผ้ อู้ ่นื รกุ ล้าํ เพอ่ื ประโยชน์ของชุมชนหมบู่ า้ นจดั สรรต่อไป

เม่ือรัว้ คอนกรีตเสริมเหล็กพิพาทเป็นสาธารณูปโภคท่ีตกเป็นภาระจํายอม
เพ่ือประโยชน์แก่ท่ดี ินจดั สรร ประกอบกับท่ดี นิ ตามโฉนดท่ดี ินเลขท่ี ๑๐๑๑๓๐ ของผู้ร้องสอด
แบ่งแยกมาจากโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๘๐๑ ถา้ การแบ่งแยกทด่ี นิ ดงั กล่าวเป็นเหตุใหท้ ด่ี นิ ของผูร้ อ้ งสอด
ไมม่ ที างออกไปส่ทู างสาธารณะ ผูร้ อ้ งสอดกช็ อบทจ่ี ะมสี ทิ ธเิ รยี กรอ้ งเอาทางเดนิ ออกส่ทู างสาธารณะ
ได้จากท่ดี นิ โฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๘๐๑ โดยไม่ต้องเสยี ค่าทดแทนตามมาตรา ๑๓๕๐ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีกทงั้ ผู้ร้องสอดได้จดทะเบียนภาระจํายอมตามบันทึกข้อตกลง
เรอ่ื ง ภาระจาํ ยอม (มคี า่ ตอบแทน) ลงวนั ท่ี ๖ สงิ หาคม ๒๕๕๒ ความว่า นาย ส. เจา้ ของภารยทรพั ย์
ยนิ ยอมใหท้ ด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๔๙๕๗๗ ตกอยภู่ ายในบงั คบั ภาระจาํ ยอม เรอ่ื ง ทางเดนิ ทางรถยนต์
ไฟฟ้า ประปา ตลอดจนสาธารณูปโภคต่าง ๆ ของท่ดี นิ โฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๑๐๑๑๓๐ ของผู้ร้องสอด
เจ้าของสามยทรพั ย์ ไม่มกี ําหนดระยะเวลา และผู้รอ้ งสอดยอมรบั ประโยชน์จากภาระจํายอม
ดงั กล่าวแล้ว กรณีจงึ ฟงั ไม่ได้ว่าหากผู้รอ้ งสอดไม่ได้รบั อนุญาตให้ทําทางเช่อื มดงั กล่าวแล้ว
จะไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นเกนิ สมควรจากการเดนิ ทางเขา้ ออกส่ทู างสาธารณะ แมผ้ ถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
โดยผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ จะมอี ํานาจอนุญาตใหท้ าํ ทางเช่อื มในทด่ี นิ ทเ่ี ป็นทางสาธารณะไดต้ ามระเบยี บ
กรุงเทพมหานคร ว่าดว้ ยการขออนุญาตตดั คนั หนิ ทางเท้า ลดระดบั คนั หนิ ทางเทา้ และทําทางเช่อื ม
ในทส่ี าธารณะ พ.ศ. ๒๕๓๑ กต็ าม แต่การออกใบอนุญาตดงั กลา่ วใหผ้ รู้ อ้ งสอดทุบรอ้ื รวั้ คอนกรตี
เสรมิ เหลก็ พพิ าทย่อมทําใหป้ ระโยชน์แห่งภาระจาํ ยอมของรวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทลดไป
จงึ ฝ่าฝืนมาตรา ๔๓ วรรคหน่ึง ประกอบกบั มาตรา ๖๙ แห่งพระราชบญั ญตั ิการจดั สรรท่ดี นิ
พ.ศ. ๒๕๔๓ และเม่อื พจิ ารณาถึงประโยชน์ของรวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทท่มี ไี ว้เพ่อื รกั ษา
ความปลอดภยั ต่อชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ตลอดจนการดํารงชวี ติ อยู่ได้ตามปกตสิ ุขของผู้อยู่อาศยั
ในชมุ ชนหมบู่ า้ นจดั สรรกบั ประโยชน์ของผรู้ อ้ งสอดแลว้ เหน็ ไดว้ ่า รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าท
ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟ้องคดแี ละผู้อยู่อาศยั ในชุมชนหมู่บ้านจดั สรรดงั กล่าวมากกว่าประโยชน์
ท่ีผู้ร้องสอดจะได้มีทางออกสู่ทางสาธารณะอีกทางหน่ึง ซ่ึงรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ทใ่ี ชบ้ งั คบั ในขณะนัน้ ได้บญั ญตั ใิ ห้ความคุม้ ครองเก่ยี วกบั สทิ ธขิ องบุคคล
ในทรพั ยส์ นิ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวขา้ งต้น การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๐ ๓

76

โดยผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๔ ออกใบอนุญาตใหผ้ ูร้ อ้ งสอดทาํ ทางเช่อื มในทส่ี าธารณะ และอนุญาตใหท้ ุบรอ้ื
รวั้ คอนกรตี เสรมิ เหลก็ พพิ าทจงึ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทําให้ผูฟ้ ้องคดไี ด้รบั ความเสยี หาย
อนั เป็นการกระทําละเมดิ ต่อผฟู้ ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และเมอ่ื เป็นความเสยี หายเกดิ จากการกระทาํ ละเมดิ ทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ตั หิ น้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔ ในการออกใบอนุญาต ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (กรุงเทพมหานคร) ซ่งึ เป็น
หน่วยงานของรฐั ต้นสงั กัดของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๔ จงึ ต้องรบั ผิดต่อผู้ฟ้ องคดีในผลแห่งละเมิด
ทเ่ี จา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดก้ ระทําในการปฏบิ ตั หิ น้าทต่ี ามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ความรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่อ. ๔๔๑/๒๕๖๐)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๐

77

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน

การที่รฐั จะกําหนดให้ที่ดินใดเป็ นเขตอุทยานแห่งชาติ มีหลักเกณฑ์
พิจารณา ๒ ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ต้องเป็นท่ีดินท่ีมิได้อยู่ในกรรมสิทธ์ิหรือครอบครอง
โดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง ประการท่ีสอง ท่ีดินนัน้ ต้องมี
สภาพธรรมชาติเป็ นท่ีน่าสนใจ และมีความจาํ เป็ นต้องให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม
เพ่ือสงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมยข์ องประชาชน

เม่ือกระบวนการตราพระราชกฤษฎีกากาํ หนดเขตอทุ ยานแห่งชาติ เป็ นไป
ตามรปู แบบและขนั้ ตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมายกาํ หนด และผ้คู รอบครองและทาํ ประโยชน์
ในท่ี ดิ นบริ เวณบ่อพุนํ้ าร้อนท่ี อยู่ในแนวเขตอุทยานแห่ งชาติ ตามพระราชกฤษฎี กา
ดงั กล่าวได้ที่ดินมาโดยการซื้อจากผ้คู รอบครองเดิม มีเพียงหลกั ฐานการเสียภาษีบาํ รงุ
ท้องท่ี ภ.บ.ท. ๕ ซึ่งมิใช่หลกั ฐานแสดงกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครองที่ดินตามประมวล
กฎหมายที่ดิน ทงั้ ไมป่ รากฏว่าผคู้ รอบครองเดิมมีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวล
กฎหมายท่ีดินหรือมบี คุ คลใดเป็นผถู้ ือกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผคู้ รอบครองและทาํ ประโยชน์ในท่ีดินดงั กล่าวจึงมิใช่บุคคลที่ได้รบั การค้มุ ครองตามกฎหมาย
ให้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมือ่ บริเวณที่ดินดงั กล่าว
มีสภาพเป็ นบ่อพนุ ้ําร้อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีชาวบ้านใช้นํ้าในบ่อพนุ ้ําร้อนรกั ษาโรค
ช่วยกนั ดูแลรกั ษาตลอดจนใช้ประโยชน์มาเป็ นระยะเวลานาน มีการพฒั นาปรบั ปรุง
บ่อพนุ ํ้าร้อนจนเป็ นสถานท่ีที่ราษฎรในพื้นท่ีและนักท่องเท่ียวมาใช้ประโยชน์และพกั ผ่อน
หย่อนใจ จึงเป็ นท่ีดินที่มีสภาพธรรมชาติที่น่าสนใจ และมีความจาํ เป็ นต้องให้คงอยู่ใน
สภาพธรรมชาติเดิมเพ่ือสงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมยข์ องประชาชน
การที่รฐั ใช้ดุลพินิ จกาํ หนดให้ท่ีดินซึ่งมีสภาพเป็ นบ่อพุน้ําร้อนอยู่ในแนวเขตอุทยาน
แห่งชาติจึงชอบด้วยกฎหมาย

ผูฟ้ ้องคดฟี ้องว่า ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ดี นิ ซ่งึ รวมถึง
บ่อน้ํารอ้ นท่พี พิ าทเน้ือทป่ี ระมาณ ๒๐๐ ไร่ ตามสญั ญาซอ้ื ขายกบั เจา้ ของทด่ี นิ เดมิ ลงวนั ท่ี ๒๖
กรกฎาคม ๒๕๓๒ และได้ใช้การเสยี ภาษบี ํารุงท้องท่ี ภ.บ.ท. ๕ เป็นหลกั ฐานการครอบครอง
ตลอดมาจนถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ต่อมา คณะกรรมการปฏริ ปู ทด่ี นิ จงั หวดั ราชบุรี (คปจ.ราชบุร)ี มมี ติ
ให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ (กรมอุทยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์พืช) ประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑ ๑

78

เฉลมิ พระเกยี รตไิ ทยประจนั โดยครอบคลุมบรเิ วณทด่ี นิ ซง่ึ เป็นบ่อน้ํารอ้ น จากนนั้ ผถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สาม
ได้ตราพระราชกฤษฎกี ากําหนดบรเิ วณท่ดี นิ ป่าฝงั่ ซ้ายแม่น้ําภาชี ป่ากงเกวยี น และป่าพุยาง
และปา่ พสุ ามซอ้ น ในทอ้ งทต่ี ําบลอ่างหนิ ตําบลทุ่งหลวง ตาํ บลยางหกั อาํ เภอปากท่อ และตําบล
หนองพนั จนั ทร์ ตําบลบ้านคา ตําบลบ้านบึง อําเภอบ้านคา จงั หวัดราชบุรี ให้เป็นอุทยาน
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ทบั ท่ดี นิ ทผ่ี ู้ฟ้องคดคี รอบครองและมสี ภาพเป็นบ่อน้ํารอ้ น เน้ือท่ี ๑ ไร่
๓ งาน ๓๓.๔ ตารางวา ผู้ฟ้องคดเี หน็ ว่าบรเิ วณท่ดี นิ ท่ผี ู้ฟ้องคดคี รอบครองและทําประโยชน์
โดยทําสวนผลไมอ้ ยู่ในเขตปฏริ ูปทด่ี นิ ซ่งึ ผู้ฟ้องคดมี สี ทิ ธทิ ่จี ะได้รบั การจดั สรรสทิ ธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑
ตามพระราชบญั ญตั กิ ารปฏริ ปู ทด่ี นิ เพ่อื เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ การนําทด่ี นิ ดงั กล่าวซง่ึ อย่ใู น
เขตปฏริ ปู ทด่ี นิ ไปประกาศเป็นเขตอุทยานแหง่ ชาตติ ามมติ คปจ.ราชบุรี จงึ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย
ผฟู้ ้องคดจี งึ ขอใหศ้ าลมคี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ เพกิ ถอนหรอื แก้ไขเปลย่ี นแปลงแนวเขตอุทยาน
แห่งชาตติ ามแผนทแ่ี นบทา้ ยพระราชกฤษฎกี าดงั กล่าวโดยกนั แนวเขตทด่ี นิ บ่อพุน้ํารอ้ นทผ่ี ูฟ้ ้องคดี
ครอบครองออกไปจากแนวเขตอุทยานแห่งชาติ และให้เพกิ ถอนหรอื แก้ไขเปล่ยี นแปลงแนวเขต
อุทยานแห่งชาตฯิ ตามแผนท่ปี ฏบิ ตั กิ ารของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (แผนทฉ่ี บบั เตม็ ) ซง่ึ ใช้ประกอบ
แผนทแ่ี นบทา้ ยพระราชกฤษฎกี าดงั กล่าว

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า ตามพระราชบญั ญตั อิ ุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔
รฐั บาลมอี ํานาจกําหนดใหบ้ รเิ วณทด่ี นิ แห่งใดทม่ี สี ภาพธรรมชาตเิ ป็นทน่ี ่าสนใจ จาํ เป็นตอ้ งใหค้ งอยู่
ในสภาพธรรมชาติเดมิ เพ่อื สงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศกึ ษาและร่นื รมย์ของประชาชน
และเป็นทด่ี นิ ท่มี ไิ ดอ้ ย่ใู นกรรมสทิ ธหิ ์ รอื ครอบครองโดยชอบดว้ ยกฎหมายของบุคคลใดซ่งึ มใิ ช่
ทบวงการเมอื ง ใหเ้ ป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ซ่งึ มหี ลกั เกณฑแ์ ละเง่อื นไขว่า จะต้องกระทําโดย
ประกาศเป็นพระราชกฤษฎกี าและให้มแี ผนทแ่ี สดงแนวเขตแห่งบรเิ วณท่กี ําหนดนัน้ แนบท้าย
พระราชกฤษฎกี าดว้ ย ซง่ึ อํานาจในการตราพระราชกฤษฎกี ากําหนดบรเิ วณทด่ี นิ แห่งใดเป็นเขต
อุทยานแห่งชาติเป็นพระราชอํานาจของพระมหากษตั รยิ ์ตามมาตรา ๑๘๗ ของรฐั ธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ประกอบกบั มาตรา ๖ แห่งพระราชบญั ญตั อิ ุทยาน
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ตามคําแนะนําของคณะรฐั มนตรี โดยมนี ายกรฐั มนตรเี ป็นผู้รบั สนอง
พระบรมราชโองการ สําหรบั ลําดบั ขนั้ ตอนในการกําหนดเขตอุทยานแห่งชาตนิ ัน้ แมม้ าตรา ๖
แห่งพระราชบญั ญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ จะมไิ ด้บญั ญัติถึงกระบวนการมสี ่วนร่วม
ของชุมชนกต็ าม แต่เม่อื ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดก้ ําหนดขนั้ ตอนในการกําหนดเขตอุทยานแห่งชาติ
เพ่อื เป็นแนวทางใหห้ น่วยงานในสงั กดั ปฏบิ ตั ติ ามหนังสอื ท่ี ทส ๐๙๑๐.๕๐๒/๑๑๔๘๙ ลงวนั ท่ี
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยมสี าระสําคญั ให้เจ้าหน้าท่ตี ้องนําเร่อื งกําหนดเขตอุทยานแห่งชาติ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑

79

หรอื การขยายเขตอุทยานแห่งชาตเิ ขา้ สู่กระบวนการพจิ ารณาของสภาองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ
หากผลการพจิ ารณาของสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้รบั ความเห็นชอบประการใด
ให้หัวหน้าหน่วยงานภาคสนามท่ีได้รบั การแต่งตัง้ ตรวจสอบข้อมูลของพ้ืนท่ีโดยละเอียด
หากปรากฏว่าบรเิ วณทด่ี าํ เนินการสาํ รวจเพ่อื กําหนดเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ หรอื ขยายเขตอุทยาน
แห่งชาตมิ สี ภาพปา่ ทส่ี มบรู ณ์ ไมม่ รี าษฎรถอื ครองทด่ี นิ ทํากนิ ในบรเิ วณดงั กล่าวแลว้ ใหจ้ ดั ทาํ ขอ้ มลู
โดยละเอยี ดเสนอใหท้ ่ปี ระชุมคณะอนุกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทําลายทรพั ยากรป่าไม้
ประจําจงั หวดั หรอื ท่ปี ระชุมหวั หน้าส่วนราชการประจําจงั หวดั หรอื เสนอผู้ว่าราชการจงั หวดั
โดยช้แี จงให้เหน็ ถงึ ความสําคญั และความจาํ เป็นในการกําหนดหรอื การขยายเขตอุทยานแห่งชาติ
พร้อมทงั้ จดั ทําแผนงาน/โครงการ โดยการมสี ่วนร่วมของชุมชนในท้องถ่ินด้านการอนุรกั ษ์
ทรพั ยากรเสนอทป่ี ระชมุ ฯ ดงั กล่าว ดงั นนั้ ในการกําหนดเขตอุทยานแห่งชาตหิ รอื ขยายเขตอุทยาน
แหง่ ชาติ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ มหี น้าทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนและแนวทางทต่ี นไดก้ ําหนดขน้ึ

เม่อื ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ในฐานะรฐั มนตรผี ู้รกั ษาการตามพระราชบญั ญัติอุทยาน
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้พิจารณาความเหมาะสมท่ีจะประกาศจดั ตัง้ พ้นื ท่โี ครงการอุทยาน
เฉลิมพระเกียรติไทยประจนั ให้เป็นอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจนั พร้อมทงั้
ไดด้ าํ เนินการสํารวจพน้ื ทท่ี ่มี คี วามเหมาะสมอยใู่ นหลกั เกณฑท์ จ่ี ะประกาศกําหนดพ้นื ทเ่ี ป็นอุทยาน
แห่งชาตฯิ โดยไดส้ าํ รวจรงั วดั หมายแนวเขตบรเิ วณทด่ี นิ ปา่ ฝงั่ ซา้ ยแมน่ ้ําภาชี ปา่ กงเกวยี น และ
ปา่ พยุ าง และปา่ พุสามซอ้ น ในทอ้ งทต่ี ําบลอ่างหนิ ตําบลทุ่งหลวง ตําบลยางหกั อําเภอปากท่อ
ตําบลหนองพนั จนั ทร์ ตําบลบา้ นคา ตําบลบา้ นบงึ อําเภอบา้ นคา จงั หวดั ราชบุรี รวม ๒๑ หมบู่ า้ น
๖ ตําบล ซ่ึงมอี งค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตลอดจนกํานันและผู้ใหญ่บ้านในพ้ืนท่ีดังกล่าว
รว่ มดาํ เนินการสํารวจรงั วดั หมายแนวเขตกบั เจา้ หน้าทข่ี องผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ และร่วมลงลายมอื ช่อื
แนบทา้ ยบนั ทกึ รงั วดั หมายแนวเขตอุทยานแห่งชาตขิ องแต่ละหม่บู า้ น ตลอดจนไดน้ ําผลการดําเนินการ
สาํ รวจรงั วดั หมายแนวเขตอุทยานแหง่ ชาตฯิ และแผนทแ่ี นวเขตอุทยานแห่งชาตฯิ เขา้ ส่กู ารประชาคม
ของแต่ละหมบู่ า้ น ซง่ึ ท่ปี ระชุมประชาคมของหมบู่ า้ นมมี ตเิ หน็ ชอบ พรอ้ มทงั้ รบั รองแนวเขตอุทยาน
แห่งชาตเิ ฉลมิ พระเกยี รตไิ ทยประจนั และเขา้ ทป่ี ระชมุ ส่วนราชการในพน้ื ท่ี จากนนั้ ผถู้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ไดน้ ําเรอ่ื งการรงั วดั หมายแนวเขตเขา้ สู่วาระการประชุมสภาขององคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบล
ทงั้ ๖ ตําบล ซ่งึ ทป่ี ระชุมมมี ตริ บั รองแนวเขตอุทยานแห่งชาตเิ ฉลมิ พระเกยี รตไิ ทยประจนั อนั เป็น
การดาํ เนนิ การโดยการมสี ่วนร่วมของชุมชนในทอ้ งถนิ่ ดา้ นการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ และ
เป็นไปตามขนั้ ตอนทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ กําหนดแลว้ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ (รฐั มนตรวี ่าการ
กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม) ไดน้ ําเรอ่ื งเสนอผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓ (คณะรฐั มนตร)ี

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑ ๓

80

เพ่อื พจิ ารณากําหนดบรเิ วณทด่ี นิ ปา่ ฝงั่ ซา้ ยแมน่ ้ําภาชี ป่ากงเกวยี น และป่าพุยาง และป่าพุสามซอ้ น
ในทอ้ งท่ตี ําบลอ่างหนิ ตําบลทุ่งหลวง ตําบลยางหกั อําเภอปากท่อ และตําบลหนองพนั จนั ทร์
ตาํ บลบา้ นคา ตาํ บลบา้ นบงึ อาํ เภอบา้ นคา จงั หวดั ราชบรุ ี ใหเ้ ป็นอุทยานแห่งชาติ และผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๓
ได้ถวายคําแนะนําต่อพระมหากษตั รยิ เ์ พ่อื ทรงใช้พระราชอํานาจตามมาตรา ๑๘๗ ของรฐั ธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ประกอบกบั มาตรา ๖ แห่งพระราชบญั ญตั อิ ุทยาน
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ในการตราพระราชกฤษฎีกากําหนดบรเิ วณท่ดี นิ ป่าฝงั่ ซ้ายแม่น้ําภาชี
ปา่ กงเกวยี น และป่าพุยาง และปา่ พุสามซอ้ น ในทอ้ งทต่ี ําบลอ่างหนิ ตําบลทุ่งหลวง ตําบลยางหกั
อําเภอปากท่อ และตําบลหนองพนั จนั ทร์ ตําบลบา้ นคา ตําบลบา้ นบงึ อําเภอบา้ นคา จงั หวดั ราชบุรี
ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ พรอ้ มด้วยแผนท่แี สดงแนวเขตแห่งบรเิ วณท่ีกําหนดให้
เป็นอุทยานแห่งชาตแิ นบทา้ ยพระราชกฤษฎกี าฯ และไดป้ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๒๙
ตอนท่ี ๙ ก ลงวนั ท่ี ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ กรณีจงึ ถือได้ว่า กระบวนการตราพระราชกฤษฎีกา
กาํ หนดบรเิ วณทด่ี นิ ปา่ ฝงั่ ซา้ ยแมน่ ้ําภาชี ปา่ กงเกวยี น และปา่ พุยาง และปา่ พุสามซอ้ น ในทอ้ งท่ี
ตําบลอ่างหนิ ตําบลทุ่งหลวง ตําบลยางหกั อําเภอปากท่อ และตําบลหนองพนั จนั ทร์ ตําบลบา้ นคา
ตําบลบา้ นบงึ อําเภอบ้านคา จงั หวดั ราชบุรี ใหเ้ ป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นไปตาม
รปู แบบ ขนั้ ตอน หรอื วธิ กี ารทก่ี ฎหมายกาํ หนดแลว้

สําหรบั กรณีท่ีรัฐจะกําหนดให้ท่ีดินใดเป็นอุทยานแห่งชาติ มีหลักเกณฑ์
ตอ้ งพจิ ารณา ๒ ประการ คอื ประการทห่ี น่งึ ตอ้ งเป็นทด่ี นิ ทม่ี ไิ ดอ้ ยใู่ นกรรมสทิ ธหิ ์ รอื ครอบครอง
โดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใดซง่ึ มใิ ช่ทบวงการเมอื ง ประการทส่ี อง ทด่ี นิ นนั้ ต้องมสี ภาพ
ธรรมชาติเป็นท่นี ่าสนใจ และมคี วามจําเป็นต้องให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดมิ เพ่ือสงวนไว้
ใหเ้ ป็นประโยชน์แก่การศกึ ษาและรน่ื รมยข์ องประชาชน ผูฟ้ ้องคดไี ดค้ รอบครองและทําประโยชน์
ในทด่ี นิ เน้ือทป่ี ระมาณ ๒๐๐ ไร่ รวมถงึ ทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทซง่ึ มสี ภาพเป็นบ่อพุน้ํารอ้ น เน้ือท่ี ๑ ไร่ ๓ งาน
๓๓.๔ ตารางวา เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยไม่มหี นังสอื แสดงสิทธใิ นท่ีดิน แม้ผู้ฟ้องคดีจะอ้างว่า
ได้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ดี นิ ต่อเน่ืองมาจากผู้ครอบครองเดมิ ซ่งึ ไดเ้ ข้าไปครอบครอง
และทําประโยชน์ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก่อนทจ่ี ะมกี ารกําหนดใหท้ ด่ี นิ ทพ่ี พิ าทอย่ใู นเขตปา่ สงวน
แห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๑,๐๖๙ (พ.ศ. ๒๕๒๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และก่อนท่ผี ถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สามจะประกาศกําหนดใหท้ ด่ี นิ ทพ่ี พิ าท
ซ่งึ มสี ภาพเป็นบ่อพุน้ําร้อน เน้ือท่ี ๑ ไร่ ๓ งาน ๓๓.๔ ตารางวา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ
ตามพระราชกฤษฎีกากําหนดบรเิ วณท่ีดินป่าฝงั่ ซ้ายแม่น้ําภาชี ป่ากงเกวียน และป่าพุยาง
และปา่ พสุ ามซอ้ น ในทอ้ งทต่ี าํ บลอ่างหนิ ตําบลทงุ่ หลวง ตาํ บลยางหกั อาํ เภอปากท่อ และตําบล

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑

81

หนองพนั จนั ทร์ ตําบลบา้ นคา ตําบลบา้ นบงึ อําเภอบา้ นคา จงั หวดั ราชบุรี ใหเ้ ป็นอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๕ ก็ตาม แต่เม่อื ไม่ปรากฏว่าผูค้ รอบครองเดมิ ได้แจง้ การครอบครองท่ดี นิ ทพ่ี พิ าท
ตามมาตรา ๕ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ช้ประมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ กรณี
จงึ ถอื ไดว้ ่า ผูค้ รอบครองเดมิ เจตนาสละสทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ ท่พี พิ าทตามมาตรา ๕ วรรคสอง
แห่งพระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าว อกี ทงั้ ภายหลงั จากทม่ี กี ารประกาศใหท้ ่ดี นิ ท่พี พิ าทเป็นเขตป่าสงวน
แห่งชาติ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ กไ็ ม่ปรากฏหลกั ฐานว่าผคู้ รอบครองเดมิ ไดย้ ่นื คํารอ้ งเป็นหนงั สอื
ต่อนายอําเภอทอ้ งทอ่ี า้ งว่าตนมสี ทิ ธหิ รอื ไดท้ าํ ประโยชน์ในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาตกิ ่อนวนั ทก่ี ฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๑,๐๖๙ (พ.ศ. ๒๕๒๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ปิ ่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
มผี ลใชบ้ งั คบั จงึ ถอื ว่าผคู้ รอบครองเดมิ ไดส้ ละสทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทตามมาตรา ๑๒ แห่ง
พระราชบญั ญตั ปิ ่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ทงั้ ไมป่ รากฏว่าผคู้ รอบครองเดมิ มหี นังสอื แสดงสทิ ธิ
ในทด่ี นิ ตามประมวลกฎหมายทด่ี นิ หรอื มบี ุคคลใดเป็นผูถ้ อื กรรมสทิ ธหิ ์ รอื สทิ ธคิ รอบครองโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายในท่ดี นิ ท่พี พิ าทตามประมวลกฎหมายท่ดี นิ เม่อื ผูฟ้ ้องคดไี ดเ้ ขา้ ครอบครองและ
ทาํ ประโยชน์ในท่ดี นิ ท่พี พิ าทโดยซอ้ื และครอบครองต่อเน่ืองมาจากผูค้ รอบครองเดมิ แมผ้ ูฟ้ ้องคดี
จะมหี ลกั ฐานเกย่ี วกบั การเสยี ภาษบี าํ รงุ ทอ้ งท่ี ภ.บ.ท. ๕ และไดเ้ สยี ภาษบี ํารงุ ทอ้ งทต่ี ลอดมาจนถงึ
ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ กต็ าม แต่หลกั ฐานการเสยี ภาษบี าํ รงุ ทอ้ งท่ี ภ.บ.ท. ๕ เป็นเพยี งเอกสารทอ่ี อกตาม
พระราชบญั ญตั ภิ าษบี าํ รงุ ทอ้ งท่ี พ.ศ. ๒๕๐๘ ทส่ี นั นิษฐานในเบอ้ื งต้นว่าบุคคลทค่ี รอบครองทด่ี นิ
ไดช้ าํ ระภาษบี ํารุงทอ้ งทใ่ี หแ้ ก่ราชการแลว้ เท่านนั้ มใิ ช่หลกั ฐานแสดงกรรมสทิ ธหิ ์ รอื สทิ ธคิ รอบครอง
ทด่ี นิ ตามประมวลกฎหมายท่ดี นิ เม่อื ผู้ครอบครองเดมิ ไม่มสี ทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดซี ่งึ เป็นผู้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ดี นิ ท่พี พิ าทต่อเน่ืองมาจาก
ผคู้ รอบครองเดมิ จงึ มใิ ช่บุคคลทไ่ี ด้รบั การคุ้มครองตามกฎหมายใหม้ สี ทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ ทพ่ี พิ าท
สบื ไปตามมาตรา ๔ แหง่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ ดงั นนั้ ผฟู้ ้องคดจี งึ มใิ ชผ่ มู้ สี ทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ
ทพ่ี พิ าทโดยชอบด้วยกฎหมาย เมอ่ื ทด่ี นิ พพิ าทเป็นท่ดี นิ ทม่ี ไิ ดอ้ ย่ใู นกรรมสทิ ธหิ ์ รอื ครอบครอง
โดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใดซ่งึ มใิ ช่ทบวงการเมอื ง จงึ มปี ระเด็นท่ตี ้องวนิ ิจฉัยต่อไปว่า
ทด่ี นิ ท่พี พิ าทมสี ภาพธรรมชาติเป็นทน่ี ่าสนใจ และจําเป็นต้องให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาตเิ ดมิ
เพ่อื สงวนไว้ใหเ้ ป็นประโยชน์แก่การศกึ ษาและร่นื รมยข์ องประชาชน หรอื ไม่ ตามรายงานผล
การตรวจสอบการละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชน โดยคณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาตริ ายงานผล
การตรวจสอบท่ี ๔๒๖/๒๕๕๑ กรณีท่รี าษฎรตําบลบ้านบงึ ก่ิงอําเภอบ้านคา จงั หวดั ราชบุรี
ไดร้ อ้ งเรยี นผฟู้ ้องคดวี ่าบกุ รกุ พน้ื ทป่ี า่ บา้ นพุน้ํารอ้ นและอา้ งสทิ ธคิ รอบครองบ่อพุน้ํารอ้ น ปรากฏว่า
พยานบุคคลตลอดจนผนู้ ําทอ้ งทใ่ี หถ้ อ้ ยคาํ เก่ยี วกบั ประวตั คิ วามเป็นมาของบ่อพุน้ํารอ้ นทพ่ี พิ าทว่า

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑ ๕

82

เดมิ เป็นตาน้ํารอ้ นขนาดเลก็ ไมม่ บี คุ คลใดเป็นเจา้ ของ เม่อื ถงึ ฤดแู ลง้ ไมม่ นี ้ําใชช้ าวบา้ นจงึ ขดุ บ่อ
และพบบ่อพุน้ํารอ้ น ชาวบา้ นจงึ ใชน้ ้ําในบ่อพุน้ํารอ้ นรกั ษาโรค และช่วยกนั ดูแลรกั ษาตลอดจน
ใชป้ ระโยชน์มาเป็นระยะเวลานาน ต่อมา มกี ารพฒั นาปรบั ปรงุ บ่อพุน้ํารอ้ นจนเป็นสถานทท่ี ร่ี าษฎร
ในพน้ื ทแ่ี ละนกั ท่องเทย่ี วมาใชป้ ระโยชน์ ทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทมสี ภาพเป็นบ่อพุน้ํารอ้ นทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ
มรี าษฎรในพน้ื ทใ่ี ชป้ ระโยชน์มาอย่างต่อเน่ืองและยาวนาน จากนัน้ ไดม้ กี ารพฒั นาจนกลายเป็น
สถานทท่ี ่องเทย่ี ว มนี กั ท่องเทย่ี วมาใชป้ ระโยชน์และพกั ผ่อนหย่อนใจ จงึ ถอื ไดว้ ่าทด่ี นิ ทพ่ี พิ าท
มสี ภาพธรรมชาตเิ ป็นทน่ี ่าสนใจ และมคี วามจาํ เป็นตอ้ งใหค้ งอย่ใู นสภาพธรรมชาตเิ ดมิ เพ่อื สงวนไว้
ให้เป็นประโยชน์แก่การศกึ ษาและร่นื รมยข์ องประชาชน อกี ทงั้ เป็นท่ดี นิ ทม่ี ไิ ด้อยู่ในกรรมสทิ ธิ ์
หรอื ครอบครองโดยชอบดว้ ยกฎหมายของบุคคลใดซง่ึ มใิ ช่ทบวงการเมอื ง ท่ดี นิ ทพ่ี พิ าทจงึ อย่ใู น
หลกั เกณฑท์ ร่ี ฐั มอี ํานาจกําหนดเป็นอุทยานแห่งชาตไิ ดต้ ามมาตรา ๖ แห่งพระราชบญั ญตั อิ ุทยาน
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ดงั นัน้ การทผ่ี ถู้ ูกฟ้องคดที งั้ สามใช้ดุลพนิ ิจในการกําหนดใหท้ ด่ี นิ ทพ่ี พิ าท
ซง่ึ มสี ภาพเป็นบ่อพุน้ํารอ้ นอยใู่ นแนวเขตอุทยานแห่งชาตติ ามแผนทแ่ี นบทา้ ยพระราชกฤษฎกี า
กําหนดบรเิ วณทด่ี นิ ปา่ ฝงั่ ซา้ ยแมน่ ้ําภาชี ปา่ กงเกวยี น และป่าพุยาง และปา่ พุสามซอ้ น ในทอ้ งท่ี
ตาํ บลอ่างหนิ ตําบลทุ่งหลวง ตาํ บลยางหกั อําเภอปากท่อ และตําบลหนองพนั จนั ทร์ ตําบลบา้ นคา
ตําบลบา้ นบงึ อําเภอบา้ นคา จงั หวดั ราชบรุ ี ใหเ้ ป็นอุทยานแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ จงึ ชอบดว้ ยกฎหมาย
และถงึ แมห้ น่วยงานราชการทเ่ี กย่ี วขอ้ งยงั ไมส่ ามารถหาขอ้ ยตุ เิ กย่ี วกบั สถานะของทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทว่า
เป็นท่ดี นิ ในเขตป่าสงวนแห่งชาตหิ รอื เป็นทด่ี นิ ในเขตปฏริ ูปท่ดี นิ กต็ าม แต่เม่อื ไดว้ นิ ิจฉัยแล้วว่า
ทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทซง่ึ มสี ภาพเป็นบ่อพุน้ํารอ้ นมไิ ดอ้ ยใู่ นกรรมสทิ ธหิ ์ รอื ครอบครองโดยชอบดว้ ยกฎหมาย
ของบุคคลใดซง่ึ มใิ ช่ทบวงการเมอื ง ทด่ี นิ ทพ่ี พิ าทจงึ ยงั คงมสี ถานะเป็นทด่ี นิ ของรฐั เม่อื ผถู้ ูกฟ้องคดี
ทงั้ สามเห็นว่าท่ีดนิ ท่ีพพิ าทมสี ภาพธรรมชาติเป็นท่นี ่าสนใจ และมคี วามจําเป็นต้องให้คงอยู่
ในสภาพธรรมชาติเดิมเพ่อื สงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและร่นื รมย์ของประชาชน
ตามหลกั เกณฑ์ท่บี ญั ญตั ิไว้ในมาตรา ๖ แห่งพระราชบญั ญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔
ผถู้ กู ฟ้องคดที งั้ สามยอ่ มมอี าํ นาจกําหนดใหท้ ด่ี นิ ทพ่ี พิ าทอย่ใู นแนวเขตอุทยานแห่งชาตไิ ด้ ประกอบกบั
ผู้แทน ส.ป.ก. ได้ช้ีแจงในท่ีประชุมการแก้ไขปญั หาข้อขดั แย้งในการจดั การพ้ืนท่ีป่าโซน E
จงั หวดั ราชบุรี ซ่ึงจดั โดยสํานักงานปลดั สํานักนายกรฐั มนตรเี ม่อื วนั ท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ ว่า
การไดม้ าซง่ึ เอกสารสทิ ธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ในเขตปฏริ ปู ทด่ี นิ ต้องเป็นไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี าร
ตามทก่ี ฎหมายว่าดว้ ยการปฏริ ปู ทด่ี นิ กําหนด หากทด่ี นิ ทร่ี าษฎรมาขอเอกสารสทิ ธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑
เป็นทด่ี นิ ท่เี ป็นบ่อพุน้ํารอ้ น ส.ป.ก. ก็ไม่สามารถออกเอกสารสทิ ธใิ ห้ได้และต้องกนั คนื กรมป่าไม้
ตามบนั ทกึ ขอ้ ตกลงระหว่างกรมป่าไมแ้ ละ ส.ป.ก. ว่าด้วยแนวทางการปฏบิ ตั ใิ นการกนั พ้นื ท่ี

๖ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑

83

ปา่ สงวนแห่งชาตกิ ลบั คนื กรมป่าไมเ้ ม่อื วนั ท่ี ๑๔ กนั ยายน ๒๕๓๘ ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั ความเหน็
ของ ส.ป.ก. ราชบุรี ในการประชุมคณะกรรมการปฏริ ปู ทด่ี นิ จงั หวดั ราชบุรี (คปจ.ราชบุร)ี เมอ่ื วนั ท่ี
๒๓ กนั ยายน ๒๕๕๒ ว่า พน้ื ท่บี รเิ วณบ่อพุน้ํารอ้ นซ่งึ ผู้ฟ้องคดอี ้างสทิ ธคิ รอบครอง มใิ ช่พ้นื ท่ี
เกษตรกรรม ส.ป.ก. ไมส่ ามารถนําทด่ี นิ มาดาํ เนินการปฏริ ปู ทด่ี นิ ได้ ดงั นนั้ ไมว่ ่าทด่ี นิ ทพ่ี พิ าท
จะอยใู่ นเขตปฏริ ปู ทด่ี นิ หรอื อยใู่ นเขตป่าสงวนแห่งชาตทิ ด่ี นิ ทพ่ี พิ าทกย็ งั คงเป็นทด่ี นิ ของรฐั ซง่ึ รฐั
มอี ํานาจกําหนดใหเ้ ป็นอุทยานแห่งชาตไิ ด้

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ฟส. ๕/๒๕๖๐)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๑ ๗

84

คดีพิพาทเกี่ยวกบั ท่ีดิน
เม่ือการแสดงเจตนาซื้อขายท่ีดิน ผ้ซู ื้อผ้ขู ายมีเจตนาที่แท้จริงท่ีจะซื้อขาย

ท่ีดินแปลงที่มหี ลกั ฐานสาํ หรบั ที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๘๒๙/๓๒๓ และผ้ขู ายกไ็ ด้สละและส่งมอบ
การครอบครองที่ดินให้แก่ผ้ซู ื้อ โดยผซู้ ื้อได้เข้าครอบครองทาํ ประโยชน์ปลูกบ้านอยู่อาศยั
ผู้ซื้ อ จึ งไ ด้ ไป ซ่ึ งสิ ทธิ ก ารค รอบ ครอ ง ใน ท่ี ดิ น แปล งดัง กล่ า วโด ยชอ บด้ ว ยกฎ หมา ย
ตามมาตรา ๑๓๖๗ และมาตรา ๑๓๗๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถึงแม้ว่า
การขอจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรมโอนขายท่ีดินดงั กล่าว ผ้รู บั มอบอาํ นาจจากผ้ขู าย
จะได้นําที่ดินแปลงอื่น (น.ส. ๓ เลขที่ ๘๑๖/๓๒๓) ไปยื่นคาํ ขอจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรม
โอนขายต่อพนักงานเจ้าหน้ าที่และพนักงานเจ้าหน้ าท่ีได้จดทะเบียนให้แก่ผู้ขอ
ตามความประสงคก์ ต็ าม กเ็ ป็นเพียงการสาํ คญั ผิดในข้อเทจ็ จริงเกี่ยวกบั เอกสารหนังสือ
แสดงสิทธิในที่ดิน มิใช่เรอ่ื งสาํ คญั ผิดในแปลงที่ดินซึ่งเป็นทรพั ยส์ ินที่เป็นวตั ถแุ ห่งนิติกรรม
อนั จะถือเป็นการแสดงเจตนาโดยสาํ คญั ผิดในส่ิงซ่ึงเป็นสาระสาํ คญั แห่งนิติกรรมที่จะทาํ ให้
การแสดงเจตนาซื้อขายเป็ นโมฆะตามมาตรา ๑๕๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์
ดงั นัน้ การท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีออกโฉนดที่ดินให้กบั ผ้ซู ื้อท่ีได้เข้าครอบครองทาํ ประโยชน์
ในท่ีดินดงั กล่าวและท่ีดินไม่มีลกั ษณะต้องห้ามมิให้ออกโฉนดท่ีดิน การออกโฉนดที่ดิน
จึงเป็ นไปโดยผิดพลาดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกบั เอกสารหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินท่ีใช้
เป็ นหลกั ฐานประกอบการขอออกโฉนดท่ีดิน มิได้มีสาเหตุจากปัญหาการครอบครอง
ทําประโยชน์ในที่ดิ น เหตุแต่เพียงความสําคัญผิดในข้อเท็จจริงจึงหาอาจทําให้
การออกโฉนดท่ีดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย อธิบดีกรมที่ดินจึงชอบท่ีจะใช้ดุลพินิ จสงั่ แก้ไข
รายการจดทะเบียนสิทธิและนิ ติกรรรมทงั้ ฉบบั สาํ นักงานที่ดินและฉบบั ผ้ถู ือ รวมทงั้ แก้ไข
เอกสารท่ีได้จดแจ้งรายการจดทะเบียนอสงั หาริมทรพั ย์ ตลอดจนเอกสารอื่นที่เก่ียวข้อง
ให้เป็นไปตามข้อเทจ็ จริงท่ีถกู ต้องต่อไป

ผู้ฟ้องคดฟี ้องว่า ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้จดั การมรดกของนาย ส. ตามคําสงั่ ศาลและ
วนั ท่ี ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๒ ได้จดทะเบยี นลงช่อื ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้จดั การมรดกในโฉนดท่ดี นิ
เลขท่ี ๒๐๕๑๐ เน้ือท่ี ๑ งาน ๕ ตารางวา จากนัน้ รองอธบิ ดกี รมท่ดี นิ ผู้ได้รบั มอบหมายจาก
ผู้ถูกฟ้องคดี (อธบิ ดีกรมท่ดี นิ ) ได้มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๒๐ ธนั วาคม ๒๕๔๘ เพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ
เลขท่ี ๒๐๕๑๐ เน่อื งจากโฉนดทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวไดอ้ อกใหแ้ ก่นาย ส. เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๑๕

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑ ๑

85

โดยอาศยั หลกั ฐาน น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ ซ่งึ เป็นการออกไม่ตรงตําแหน่งตามหลกั ฐานเดมิ
และออกทบั ท่ีดนิ แปลงอ่ืนท่มี ี น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๒๙/๓๒๓ ผู้ฟ้องคดีจงึ อุทธรณ์คําสงั่ ดงั กล่าว
ต่อผถู้ กู ฟ้องคดี ซง่ึ ต่อมารองปลดั กระทรวงมหาดไทยไดพ้ จิ ารณาแลว้ มคี าํ วนิ ิจฉัยใหย้ กอุทธรณ์
ผฟู้ ้องคดเี หน็ วา่ คาํ สงั่ ลงวนั ท่ี ๒๐ ธนั วาคม ๒๕๔๘ ทเ่ี พกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ ไม่ถูกต้องตามมาตรา ๖๑
แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ จงึ ขอใหศ้ าลมคี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ ให้กรมทด่ี นิ ยกเวน้ ค่าธรรมเนียม
ในการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมทไ่ี ดม้ าโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
มาตรา ๑๓๖๗ และค่าใชจ้ า่ ยในการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ครงั้ ใหมแ่ ก่ผฟู้ ้องคดี

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า ผลการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ของคณะกรรมการ
ตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ ตามคําสงั่ สํานักงานท่ดี นิ จงั หวดั เชยี งใหม่ ลงวนั ท่ี ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗
เร่ือง แต่งตัง้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงปรากฏตามผลการสอบสวน
เพ่อื พจิ ารณาเพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ ของคณะกรรมการสอบสวนตามคาํ สงั่ อธบิ ดกี รมทด่ี นิ ลงวนั ท่ี
๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๔๘ เรอ่ื ง ตงั้ คณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมาย
ท่ดี นิ ว่าทด่ี นิ พพิ าทแปลงทน่ี าย ส. ครอบครองทําประโยชน์ปลูกบ้านอยู่อาศยั เป็นท่ดี นิ แปลงย่อย
ซง่ึ แบ่งแยกมาจากทด่ี นิ ตามหลกั ฐาน น.ส. ๓ เลขท่ี ๓๒๓ เน้อื ทป่ี ระมาณ ๑๑ ไร่ ๒ งาน ๒๖ ตารางวา
ออกในนามนาย น. และนาง ค. เม่อื วนั ท่ี ๑๙ กนั ยายน ๒๕๐๓ และในวนั เดียวกนั นาย น.
และนาง ค. ไดจ้ ดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมโอนขายทด่ี นิ แปลงดงั กลา่ วใหแ้ ก่นาง บ. ต่อมา นาง บ.
ได้ย่นื คําขอรงั วดั แบ่งแยกทด่ี นิ ในนามเดมิ โดยออกเป็น น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๐๗/๓๒๓ รวม ๓๕ แปลง
เม่อื วนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๐๔ จากนัน้ นาง บ. ได้ตกลงขายและส่งมอบการครอบครองทด่ี นิ
แปลงซ่งึ มหี ลกั ฐานสําหรบั ท่ดี นิ เป็น น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๒๙/๓๒๓ เน้ือทป่ี ระมาณ ๑ งาน ๑๑ ตารางวา
ใหแ้ ก่นาย ส. แต่ในการดําเนินการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมโอนขายทด่ี นิ ดงั กล่าวนัน้ นาง บ.
(ผขู้ าย) และนาย ส. (ผซู้ อ้ื ) ไดม้ อบอํานาจใหน้ าย ญ. เป็นผูด้ ําเนินการย่นื คาํ ขอจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิติกรรมโอนขายท่ดี ินแทน โดยนาย ญ. ได้นํา น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ เน้ือท่ีประมาณ
๙๕ ตารางวา ซง่ึ เป็นหลกั ฐานสําหรบั ทด่ี นิ แปลงอ่นื ไปย่นื คําขอจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรรม
โอนขายท่ดี นิ ใหแ้ ก่นาย ส. และพนักงานเจา้ หน้าทไ่ี ดท้ ําการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมโอนขาย
ท่ีดินในหลักฐาน น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ ทัง้ ฉบบั สํานักงานท่ีดินและฉบับผู้ถือเม่ือวันท่ี
๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ และได้มอบ น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ ฉบับผู้ถือให้แก่นาย ส. ยึดถือไว้
ในความครอบครอง เหน็ ว่า ในการแสดงเจตนาทาํ สญั ญาซอ้ื ขายทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวระหว่างนาง บ.
(ผู้ขาย) กบั นาย ส. (ผู้ซ้อื ) บุคคลทงั้ สองมเี จตนาทแ่ี ท้จรงิ ท่จี ะซอ้ื ขายท่ดี นิ แปลงซ่งึ มหี ลกั ฐาน
สําหรบั ท่ดี นิ เป็น น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๒๙/๓๒๓ และนาง บ. ก็ไดส้ ละและส่งมอบการครอบครองท่ดี นิ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑

86

แปลงดงั กล่าวให้แก่นาย ส. และนาย ส. ได้เขา้ ครอบครองทําประโยชน์แล้วโดยปลูกบ้านอย่อู าศยั
นาย ส. จงึ ไดไ้ ปซง่ึ สทิ ธกิ ารครอบครองในทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวโดยชอบดว้ ยกฎหมายตามมาตรา ๑๓๖๗
และมาตรา ๑๓๗๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้ในการดําเนินการจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิตกิ รรมโอนขายทด่ี นิ พพิ าทดงั กล่าว นาย ญ. ผรู้ บั มอบอํานาจของบุคคลทงั้ สองจะไดน้ ํา น.ส. ๓
เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ ซง่ึ เป็นหลกั ฐานสาํ หรบั ทด่ี นิ แปลงอ่นื ไปยน่ื คาํ ขอจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรม
โอนขายต่อพนกั งานเจา้ หน้าท่ี และพนกั งานเจา้ หน้าทไ่ี ดจ้ ดทะเบยี นใหแ้ ก่ผขู้ อตามความประสงค์
กต็ าม ก็เป็นเพยี งความสําคญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั เอกสารหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ เท่านัน้
มใิ ช่เป็นเร่อื งความสําคญั ผดิ ในแปลงทด่ี นิ ซ่งึ เป็นทรพั ยส์ นิ ทเ่ี ป็นวตั ถุแห่งนิตกิ รรม อนั จะถอื ไดว้ ่า
เป็นการแสดงเจตนาโดยสําคญั ผดิ ในสงิ่ ซง่ึ เป็นสาระสําคญั แห่งนิตกิ รรมทจ่ี ะทําใหก้ ารแสดงเจตนา
ซอ้ื ขายทด่ี นิ พพิ าทเป็นโมฆะเสยี เปลา่ มาตงั้ แต่ต้นแต่อย่างใดไม่ ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๑๕๖ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบกับในการดําเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของ
พนักงานเจ้าหน้าท่ีไม่ปรากฏข้อเท็จจรงิ ในสํานวนคดีว่า คู่กรณีมีความบกพร่องในเร่ืองสิทธิ
และความสามารถ รวมตลอดถงึ ความไมส่ มบรู ณ์ของนติ กิ รรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และการขอจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมนนั้ จะเป็นการหลกี เล่ยี งกฎหมาย การจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิตกิ รรมโอนขายทด่ี นิ พพิ าทจงึ ชอบดว้ ยกฎหมายตามมาตรา ๗๒ มาตรา ๗๓ และมาตรา ๗๔
แหง่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ ประกอบขอ้ ๑ และขอ้ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗)
ออกตามความในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซง่ึ เป็นกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั
อยู่ในขณะนัน้ เม่อื การแสดงเจตนาทํานิตกิ รรมสญั ญาซอ้ื ขายทด่ี นิ พพิ าทระหว่างนาง บ. (ผู้ขาย)
กบั นาย ส. (ผู้ซอ้ื ) เม่อื วนั ท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ เป็นการทํานิตกิ รรมทส่ี มบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย
การจะผลกั ภาระให้ผู้ฟ้องคดเี ป็นผู้ย่นื คําขอจดทะเบียนได้มาโดยการครอบครองตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ ซง่ึ ผู้ฟ้องคดจี ะต้องเสยี ค่าธรรมเนียมจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนติ กิ รรมตามราคาประเมนิ ทุนทรพั ยท์ ด่ี นิ ในอตั รารอ้ ยละ ๒ ตามขอ้ ๒ (๗) (ก) ของกฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗
ซง่ึ เป็นกฎหมายท่ใี ช้บงั คบั อยใู่ นปจั จุบนั และยงั ให้มผี ลตามกฎหมายว่า ท่ดี นิ ทผ่ี ูฟ้ ้องคดไี ด้มา
โดยการครอบครองเป็นเงนิ ไดพ้ งึ ประเมนิ ตามมาตรา ๓๙ แห่งประมวลรษั ฎากร และอาจอยใู่ นข่าย
ท่ผี ู้ฟ้องคดีจะต้องนํามาคํานวณภาษีเงนิ ได้บุคคลธรรมดา ทงั้ ท่เี ม่อื ครงั้ การจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิติกรรมโอนขายท่ีดินพิพาทในวนั ท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ พนักงานเจ้าหน้าท่ีได้เรยี กเก็บ
ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบยี นโอนขายทด่ี นิ ตามกฎหมายจากนาง บ. และนาย ส. ซง่ึ เป็นคู่สญั ญา
ไปแล้ว จงึ ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี ซ่งึ ในกรณีเช่นน้ีอธบิ ดกี รมท่ดี นิ หรอื รองอธบิ ดกี รมทด่ี นิ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑ ๓

87

ซ่งึ อธบิ ดกี รมท่ดี ินมอบหมายในฐานะผู้มอี ํานาจหน้าท่สี งั่ เพกิ ถอนหรอื แก้ไขตามบทบญั ญตั ิ
มาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ ซง่ึ แก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพมิ่ เตมิ ประมวล
กฎหมายทด่ี นิ (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ ซง่ึ เป็นกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั อยใู่ นขณะนนั้ ชอบทจ่ี ะใชด้ ลุ พนิ จิ
ตามอํานาจหน้าทท่ี ก่ี ฎหมายกําหนด โดยสงั่ ใหแ้ ก้ไขรายการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมท่เี ป็น
มูลเหตุให้เกิดข้อพพิ าทใน น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ และ น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๒๙/๓๒๓ ทงั้ ฉบบั
สํานักงานทด่ี นิ และฉบบั ผู้ถือ รวมทงั้ แก้ไขเอกสารทไ่ี ด้จดแจง้ รายการจดทะเบยี นอสงั หารมิ ทรพั ย์
ตลอดจนเอกสารอ่นื ท่เี กย่ี วขอ้ ง ซ่งึ ไดจ้ ดั ทําขน้ึ เม่อื ครงั้ ทไ่ี ด้มกี ารจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรม
โอนขายท่ดี นิ พพิ าทในวนั ท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ เพ่อื ให้เป็นไปตามขอ้ เทจ็ จรงิ ทถ่ี ูกต้อง และมใิ ห้
ผฟู้ ้องคดตี ้องรบั ภาระในเรอ่ื งค่าธรรมเนียม ตลอดจนภาษีเงนิ ไดบ้ ุคคลธรรมดา อนั สบื เน่ืองมาจาก
การจดทะเบยี นได้มาโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗
ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และแนวทางปฏบิ ตั ทิ ผ่ี ถู้ กู ฟ้องคดกี าํ หนด

กรณีมปี ระเดน็ ท่จี ะต้องวนิ ิจฉัยต่อไปว่า การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดไี ด้มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี
๒๐ ธนั วาคม ๒๕๔๘ ใหเ้ พกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ ซง่ึ มชี ่อื ผฟู้ ้องคดี ในฐานะผจู้ ดั การมรดก
ของนาย ส. (ผูต้ าย) เป็นผู้ถอื กรรมสทิ ธิ ์ตลอดจนเอกสารหลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ งทงั้ หมด เป็นการใช้
ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายหรอื ไม่ เห็นว่า นาย ส. ได้นํา น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ ท่ีตน
ได้ยดึ ถือไว้โดยเข้าใจว่า เป็นหลกั ฐานสําหรบั ท่ดี ินแปลงพพิ าทท่ีครอบครองและทําประโยชน์
ปลูกบ้านอยู่อาศัย ใช้เป็นหลกั ฐานประกอบการย่นื คําขอออกโฉนดท่ดี นิ เป็นการเฉพาะราย
ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ และพนกั งานเจา้ หน้าทผ่ี ูม้ อี ํานาจหน้าทใ่ี นขณะนัน้
ได้ทําการรงั วดั ทําแผนท่ี พสิ ูจน์สอบสวนการทําประโยชน์ท่ดี นิ แลว้ ปรากฏว่า นาย ส. เป็นผู้มี
สทิ ธิครอบครองในท่ดี ินพิพาทท่ีนํารงั วดั และท่ีดนิ ไม่มลี กั ษณะต้องห้ามมใิ ห้ออกโฉนดท่ดี นิ
รวมทงั้ ไม่มผี ู้ใดโต้แยง้ คดั ค้านการออกโฉนดท่ดี นิ ดงั กล่าว ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวล
กฎหมายท่ีดิน ประกอบข้อ ๘ ข้อ ๙ และข้อ ๑๐ ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗)
ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซ่งึ เป็นกฎหมาย
ทใ่ี ชบ้ งั คบั อยใู่ นขณะนัน้ และพนกั งานเจา้ หน้าทไ่ี ดอ้ อกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ เน้ือท่ี ๑ งาน
๕ ตารางวา ให้แก่นาย ส. เม่ือวันท่ี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๕ แม้นาย ส. จะได้ใช้ น.ส. ๓
เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ เป็นหลักฐานในการย่ืนคําขอออกโฉนดท่ีดินก็ตาม แต่โดยข้อเท็จจริง
ปรากฏตามหนังสอื แสดงการสอบสวนเพ่อื ออกโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ (ใบไต่สวน (น.ส. ๕))
ว่า พนักงานเจ้าหน้าท่ีได้ทําการรงั วดั ทําแผนท่ี พิสูจน์สอบสวนการทําประโยชน์ในท่ดี ินแล้ว
ปรากฏว่า นาย ส. เป็นผูค้ รอบครองทด่ี นิ ทน่ี ํารงั วดั โดยซอ้ื มาจากนาง บ. ทําประโยชน์ปลกู บา้ น

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑

88

อยู่อาศยั เต็มทงั้ แปลง และกํานันในฐานะผู้ปกครองท้องท่ี รบั รองว่าท่ดี นิ ท่นี ํารงั วดั มไิ ด้เป็น
ทห่ี ลวงหวงหา้ มหรอื ทส่ี าธารณประโยชน์ และไมไ่ ดท้ บั ทด่ี นิ ของบุคคลอ่นื จงึ รบั ฟงั ไดว้ ่า นาย ส.
เป็นบคุ คลซง่ึ พนกั งานเจา้ หน้าทอ่ี าจออกโฉนดทด่ี นิ ใหไ้ ด้ และทด่ี นิ ทน่ี ํารงั วดั ไมม่ ลี กั ษณะตอ้ งหา้ ม
มใิ ห้ออกโฉนดท่ดี นิ โดยในการพจิ ารณาดําเนินการออกโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ นาย ส. และ
พนักงานเจา้ หน้าท่ไี ดส้ าํ คญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั เอกสารหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ท่ใี ชเ้ ป็น
หลกั ฐานประกอบการออกโฉนดท่ดี นิ ว่า น.ส. ๓ เลขท่ี ๘๑๖/๓๒๓ เป็นหลกั ฐานสําหรบั ท่ดี นิ
แปลงทน่ี าย ส. ครอบครองทาํ ประโยชน์ และไดน้ ําทาํ การรงั วดั เพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ การดาํ เนินการ
ออกโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าว จงึ เป็นไปโดยผดิ พลาดคลาดเคล่อื นเกย่ี วกบั เอกสารหนังสอื แสดงสทิ ธิ
ในทด่ี นิ ทใ่ี ชเ้ ป็นหลกั ฐานในการออกโฉนดทด่ี นิ โดยมไิ ดม้ สี าเหตุมาจากปญั หาเก่ยี วกบั การครอบครอง
ทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ ของนาย ส. แต่ประการใด ซง่ึ เหตุแต่เพยี งความสาํ คญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าว
หาอาจถงึ กบั ทําใหก้ ารออกโฉนดทด่ี นิ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย และเป็นอํานาจหน้าทต่ี ามกฎหมาย
ของอธบิ ดกี รมทด่ี นิ หรอื รองอธบิ ดกี รมท่ดี นิ ซง่ึ อธบิ ดกี รมท่ดี นิ มอบหมาย ชอบทจ่ี ะดําเนินการ
สงั่ ให้มกี ารแก้ไขเอกสารหลกั ฐานเรอ่ื งราวการออกโฉนดท่ดี นิ ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามขอ้ เทจ็ จรงิ
โดยมติ อ้ งสงั่ ใหเ้ พกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ และเอกสารหลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ งแต่อย่างใด ทงั้ น้ี ตามบทบญั ญตั ิ
มาตรา ๖๑ วรรคหน่งึ แหง่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ
ประมวลกฎหมายทด่ี นิ (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ ประกอบกฎกระทรวง กําหนดหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี าร
ในการตงั้ คณะกรรมการสอบสวน การสอบสวน การแจง้ ผู้มสี ่วนได้เสยี เพ่อื ให้โอกาสคดั ค้าน
และการพจิ ารณาเพกิ ถอนหรอื แก้ไขการออกโฉนดท่ีดนิ หรอื หนังสอื รบั รองการทําประโยชน์
การจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมเกย่ี วกบั อสงั หารมิ ทรพั ย์ หรอื การจดแจง้ เอกสารรายการจดทะเบยี น
อสงั หารมิ ทรพั ย์ โดยคลาดเคล่อื นหรอื ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๔๔ ซ่ึงเป็นกฎหมาย
ทใ่ี ชบ้ งั คบั อยใู่ นขณะทม่ี คี าํ สงั่ เพกิ ถอน

ดงั นนั้ การทร่ี องอธบิ ดกี รมทด่ี นิ ผไู้ ดร้ บั มอบหมายจากผถู้ ูกฟ้องคดพี จิ ารณาแลว้
เหน็ วา่ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ ซง่ึ ปจั จบุ นั มชี ่อื ผฟู้ ้องคดเี ป็นผถู้ อื กรรมสทิ ธิ ์ในฐานะผูจ้ ดั การมรดก
ของนาย ส. (ผตู้ าย) ตามคาํ สงั่ ศาลจงั หวดั เป็นโฉนดทด่ี นิ ทอ่ี อกไปโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย เน่ืองจาก
ออกไม่ตรงตําแหน่งตามหลกั ฐานเดมิ และออกทบั ท่ดี นิ แปลงอ่นื ซง่ึ มหี ลกั ฐานเป็นหนังสอื รบั รอง
การทําประโยชน์แลว้ และผู้ถูกฟ้องคดไี ดม้ คี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๒๐ ธนั วาคม ๒๕๔๘ เร่อื ง การเพกิ ถอน
โฉนดท่ดี นิ ให้เพกิ ถอนโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ ตลอดจนเอกสารหลกั ฐานทเ่ี ก่ียวขอ้ งทงั้ หมด
จงึ เป็นการออกคาํ สงั่ ทางปกครองทอ่ี าศยั ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ สนับสนุนในการใชด้ ุลพนิ ิจทไ่ี มเ่ หมาะสม
กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และเป็นการสรา้ งภาระใหเ้ กดิ กบั ประชาชนรวมทงั้ ผูฟ้ ้องคดเี กนิ สมควร

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑ ๕

89

อนั เป็นการกระทาํ ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมายตามบทบญั ญตั มิ าตรา ๖๑ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ
ซง่ึ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓

พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนคําสงั่ ลงวนั ท่ี ๒๐ ธนั วาคม ๒๕๔๘ เฉพาะในส่วนทม่ี คี ําสงั่
ใหเ้ พกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ ซง่ึ มผี ฟู้ ้องคดี ในฐานะผูจ้ ดั การมรดกของนาย ส. (ผูต้ าย)
เป็นผถู้ อื กรรมสทิ ธิ ์และเอกสารหลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยใหม้ ผี ลยอ้ นหลงั ไปตงั้ แต่วนั ทอ่ี อกคําสงั่
เพกิ ถอนโฉนดทด่ี นิ ดงั กล่าว และมขี อ้ สงั เกตเก่ยี วกบั แนวทางหรอื วธิ กี ารดาํ เนินการใหเ้ ป็นไปตาม
คําพพิ ากษาว่า ผูถ้ ูกฟ้องคดสี มควรทจ่ี ะแกไ้ ขรายการจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนิตกิ รรมใหป้ รากฏช่อื
นาย ส. เป็นผู้ถอื สทิ ธคิ รอบครองในหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ข.) เลขท่ี ๘๒๙/๓๒๓
ฉบบั ท่ีได้จดั ทําข้ึนใหม่ตามมาตรา ๖๔ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ตลอดจนแก้ไขข้อเท็จจริง
ในเอกสารหลกั ฐานเรอ่ื งราวการออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๒๐๕๑๐ ใหถ้ กู ตอ้ งตรงกนั ดว้ ย

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุที่อ. ๑๓๙๒/๒๕๖๐)

๖ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๒ (เมษายน-มถิ ุนายน) ๒๕๖๑

90

คดีพิพาทเก่ียวกบั ท่ีดิน

การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนด
ท่ีดิน (ใบไต่สวน) ที่สภาพที่ดินไม่ได้งอกมาจากที่ดินที่มีโฉนด แต่เป็นท่ีแม่น้ําหรือเป็นที่
ท่ีแม่น้ําเคยไหลผ่านอนั มีลกั ษณะเป็ นท่ีชายตล่ิง ซึ่งเป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดิน
สาํ หรบั พลเมืองใช้ร่วมกนั แมต้ ่อมาจะกลายสภาพเป็นท่ีตื้นเขินริมตลิ่งแม่นํ้า ซึ่งอาจเกิดจาก
กระแสนํ้าเปลี่ยนทิศทาํ ให้ท้องนํ้าเดิมตื้นเขินขึ้นจนทาํ ให้สภาพท่ีดินพ้นจากสภาพที่ชายตลิ่ง
และมีการเข้าไปทาํ ประโยชน์ตลอดแนวแล้วก็ตาม แต่สถานะทางกฎหมายของที่ดิน
บริเวณดงั กล่าวก็ยงั คงเป็ นท่ีสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินสําหรบั พลเมืองใช้ร่วมกนั
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) และมาตรา ๑๓๐๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงถือได้ว่า
เป็ นท่ีดินท่ีมีลกั ษณะต้องห้ามมิให้ออกโฉนดท่ีดินตามข้อ ๑๔ (๑) ของกฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ และไม่อาจยกอายคุ วามเพ่ือการใช้สิทธิเรียกร้องในการที่จะให้ได้สิทธิใด ๆ
ขึ้นเป็ นข้อต่อสู้กบั แผ่นดินในเรื่องทรพั ย์สินอันเป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินได้
ตามมาตรา ๑๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าพนักงานที่ดินจึงมีอาํ นาจ
ยกเลิกใบไต่สวนและไมจ่ าํ เป็นต้องออกโฉนดท่ีดินให้แก่เจ้าของท่ีดินอีกต่อไป

ผู้ฟ้ องคดีฟ้ องว่า ผู้ฟ้ องคดีครอบครองทําประโยชน์ในท่ีดินพิพาท ตัง้ อยู่ท่ี
บา้ นหว้ ยเกยี๋ ง หมทู่ ่ี ๘ ตําบลเวยี ง อาํ เภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งราย มานานกว่า ๒๐ ปี เน้ือท่ี ๕ ไร่
๓ งาน ๙๗ ตารางวา โดยไมม่ หี ลกั ฐานสําหรบั ท่ดี นิ และไม่มผี ู้ใดคดั คา้ น ต่อมา ผูฟ้ ้องคดไี ดน้ ํา
พนกั งานเจา้ หน้าทท่ี าํ การเดนิ สาํ รวจรงั วดั ทด่ี นิ แปลงดงั กล่าวเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ตามโครงการเร่งรดั
การออกโฉนดทด่ี นิ ให้ครอบคลุมทวั่ ประเทศ ประจาํ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พนักงานเจา้ หน้าท่ี
ได้ออกหนังสอื แสดงการสอบสวนเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ (ใบไต่สวน) ใหผ้ ู้ฟ้องคดแี ล้ว แต่ต่อมา
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (เจา้ พนกั งานทด่ี นิ จงั หวดั ... สาขา) มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๑๓ มนี าคม ๒๕๕๘ ยกเลกิ
ใบไต่สวน โดยอา้ งวา่ ทด่ี นิ ไมอ่ ยใู่ นหลกั เกณฑท์ จ่ี ะออกโฉนดทด่ี นิ ได้ ถอื วา่ มเี หตุขดั ขอ้ งทไ่ี มอ่ าจแกไ้ ข
ใหอ้ อกโฉนดทด่ี นิ ได้ ผฟู้ ้องคดอี ุทธรณ์ แต่ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ (เจา้ พนกั งานทด่ี นิ จงั หวดั ) มคี ําวนิ ิจฉัย
ใหย้ กอุทธรณ์ ผฟู้ ้องคดเี หน็ วา่ ตนครอบครองและทําประโยชน์ในทด่ี นิ ต่อเน่ืองมาจากบรรพบุรุษ
การออกใบไต่สวนย่อมแสดงว่าผู้ฟ้องคดเี ป็นผูม้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ พพิ าทโดยถูกต้อง จงึ นําคดมี าฟ้อง

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๖๑ ๑

91

ขอใหศ้ าลมคี าํ พพิ ากษาหรอื คาํ สงั่ เพกิ ถอนคาํ สงั่ ทใ่ี หย้ กเลกิ ใบไต่สวนและเพกิ ถอนคาํ วนิ ิจฉยั อุทธรณ์
รวมทงั้ ใหด้ าํ เนินการออกโฉนดทด่ี นิ แก่ผฟู้ ้องคดตี ามจาํ นวนเน้ือทท่ี ป่ี รากฏในใบไต่สวน

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า การออกโฉนดท่ีดินโดยวิธีการเดินสํารวจ
มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ๒ ประการ ประการท่ีหน่ึง ผู้ขอออกโฉนดท่ีดินเป็นบุคคล
ซง่ึ พนกั งานเจา้ หน้าท่อี าจออกโฉนดทด่ี นิ ใหไ้ ดห้ รอื ไม่ ประการทส่ี อง ท่ดี นิ ทข่ี อออกโฉนดทด่ี นิ
มลี ักษณะต้องห้ามมใิ ห้ออกโฉนดท่ีดินหรอื ไม่42 เม่อื พิจารณาจากระวางรูปถ่ายทางอากาศ
หมายเลข ๕๐๔๙ IV แผ่นท่ี ๑๔๙ มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ ซง่ึ ถ่ายเมอ่ื ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗
และระวางรปู ถ่ายทางอากาศ หมายเลข ๕๐๔๙ IV แผ่นท่ี ๑๔๙ ซง่ึ ถ่ายเมอ่ื เดอื นมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐
เพ่อื ใชใ้ นการออกหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) รวมทงั้ แผนทภ่ี มู ปิ ระเทศปรากฏ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ว่า ในขณะนนั้ บรเิ วณทด่ี นิ รมิ แมน่ ้ําโขง บา้ นหว้ ยเกยี๋ ง หมทู่ ่ี ๘ ตําบลเวยี ง อําเภอเชยี งแสน
จงั หวดั เชยี งราย ซง่ึ เป็นบรเิ วณทผ่ี ฟู้ ้องคดรี วมทงั้ ผูน้ ําเดนิ สาํ รวจรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ รายอ่นื ๆ
อ้างการครอบครองและทําประโยชน์ มสี ภาพขาวโพลน ลกั ษณะเป็นชายหาดหรอื หาดทราย
เป็นสนั ดอนทรายครอบคลุมพน้ื ทเ่ี ป็นบรเิ วณกวา้ ง ไมม่ รี อ่ งรอยการทําประโยชน์ และสอดคลอ้ งกบั
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจรงิ ของคณะกรรมการซ่งึ แต่งตงั้ ตามคําสงั่ อําเภอเชยี งแสน ลงวนั ท่ี
๑๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๕ ประกอบดว้ ย ปลดั อําเภอหวั หน้ากลุ่มงานบรหิ ารงานปกครอง เป็นประธาน
กรรมการและกรรมการ ปลดั อําเภอหวั หน้าฝ่ายความมนั่ คง เป็นกรรมการ ผอู้ ํานวยการสํานกั งานเจา้ ท่า
ภูมภิ าคท่ี ๑ สาขาเชียงราย เป็นกรรมการ หวั หน้าศูนย์สํารวจอุทกวิทยาท่ี ๑๒ (เชยี งแสน)
เป็นกรรมการ ปลดั เทศบาลตําบลเวยี ง เป็นกรรมการและเลขานุการ หวั หน้าฝ่ายอํานวยการ
สํานักงานท่ีดินจงั หวัดเชียงราย สาขาเชียงแสน เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และ
ปลดั อําเภอศูนยอ์ ํานวยความเป็นธรรม เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ท่มี คี วามเห็นว่า
บรเิ วณพน้ื ทพ่ี พิ าทมสี ภาพขาวโพลนยาวตลอดแนว ลกั ษณะเป็นชายหาดหรอื หาดทราย ไม่มสี ภาพ
การทําประโยชน์มาก่อน น่าจะเป็นท่ชี ายตลงิ่ ซ่งึ ต่อมาสภาพพ้นื ท่ไี ดเ้ ปล่ยี นแปลงกลายเป็น
ทต่ี น้ื เขนิ รมิ ตลง่ิ แมน่ ้ําโขง และมรี าษฎรเขา้ ไปทาํ ประโยชน์ตลอดแนว พน้ื ทบ่ี รเิ วณนนั้ จงึ พน้ จาก
สภาพท่ีชายตลิ่งปรากฏตามระวางแผนท่ีรูปถ่ายทางอากาศ หมายเลข ๕๐๔๙ IV ๑๔๔๔
มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ ซง่ึ ถ่ายเมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นอกจากน้ี ตามผลการตรวจสอบ
สภาพพน้ื ทข่ี องคณะกรรมการตรวจสอบสภาพทด่ี นิ ท่ขี อออกโฉนดท่ดี นิ ในท่งี อกรมิ ตลงิ่ แม่น้ําโขง
กรณีบรษิ ัท ม. ผู้มชี ่อื ถือกรรมสทิ ธใิ ์ นโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๑๕๖๔๓ ตําบลเวยี ง อําเภอเชยี งแสน
จงั หวดั เชยี งราย ไดย้ น่ื คาํ ขอออกโฉนดทด่ี นิ (ทง่ี อก) ฉบบั ลงวนั ท่ี ๑๑ มนี าคม ๒๕๔๒ ต่อผถู้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ อนั เป็นการขอออกโฉนดทด่ี นิ ในทง่ี อกรมิ ตลงิ่ ของทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๕๖๔๓ ซ่งึ ตงั้ อยู่

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๖๑

92

บรเิ วณด้านทศิ เหนือของท่ดี นิ ผู้ฟ้องคดี โดยในท่ปี ระชุมของคณะกรรมการดงั กล่าวเม่อื วนั ท่ี
๙ มถิ ุนายน ๒๕๔๒ กํานนั ตาํ บลเวยี งไดช้ แ้ี จงว่า ทด่ี นิ บรเิ วณพพิ าทเป็นทด่ี นิ ทม่ี ที รายทบั ถมกนั
มานานหลายปีแลว้ และคณะกรรมการตรวจสอบสภาพทง่ี อกไดส้ ่งเร่อื งใหก้ รมทรพั ยากรธรณี
ตรวจสอบชนั้ ดนิ ผลปรากฏว่าสภาพชนั้ ดนิ ของพน้ื ทโ่ี ฉนดทด่ี นิ เดมิ และพ้นื ท่ที ่ขี อออกโฉนดทด่ี นิ
ในท่งี อกสามารถแบ่งชนั้ ดนิ จากการขดุ หลุมทดลอง จาํ นวน ๘ หลุม ออกเป็น ๒ ชนั้ คอื ดนิ ชนั้ ล่าง
เป็นดนิ เหนียวปนทรายแป้งถงึ ทรายละเอยี ด สนี ้ําตาล ซง่ึ เป็นชนั้ ดนิ เดมิ ทเ่ี กดิ จากตะกอนทแ่ี ม่น้ําโขง
พดั พามาสะสมตวั ตามธรรมชาติ และดนิ ชนั้ บน เป็นดนิ เหนียวปนลูกรงั สนี ้ําตาลแดง ได้นํามา
ถมปรบั ทด่ี นิ ใหอ้ ยใู่ นระดบั เดยี วกนั หรอื ใกลเ้ คยี ง ความหนาของดนิ ชนั้ บน ๑.๕๐ ถงึ ๔.๐๐ เมตร
บรเิ วณทต่ี ่ําสุดของชนั้ ดนิ เดมิ ทม่ี กี ารสะสมของตะกอนตามธรรมชาติ (หลุม ๗) อยสู่ ูงกว่าระดบั
แม่น้ําโขง ณ วนั ท่ี ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๔๒ ประมาณ ๒.๕๐ เมตร ประกอบกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏ
ตามหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ซ่งึ ออกเม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ และได้ใช้เป็น
หลกั ฐานในการออกโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๕๖๔๓ เลขทด่ี นิ ๑ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๙๗๗๓ เลขทด่ี นิ ๔๐
และโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๙๗๗๔ เลขทด่ี นิ ๔๑ ตําบลเวยี ง อําเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งราย ว่า
ดา้ นทศิ ตะวนั ออกของท่ดี นิ ตามหลกั ฐาน น.ส. ๓ ก. ดงั กล่าว ระบุจดแม่น้ําโขง ซง่ึ เป็นบรเิ วณ
เดยี วกนั กบั ท่ีดนิ ของผู้ฟ้องคดี ขณะเดยี วกันผู้ฟ้องคดีก็ได้ยอมรบั ว่า ผู้ฟ้องคดีครอบครอง
ทําประโยชน์ในทด่ี นิ พพิ าทมาประมาณ ๒๒ ปี ต่อเน่ืองจากเจา้ ของทด่ี นิ เดมิ หลงั จากทท่ี ด่ี นิ นัน้
ไดต้ น้ื เขนิ น้ําท่วมไมถ่ งึ แลว้ จากขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าวจงึ มเี หตุอนั ควรและเพยี งพอทจ่ี ะรบั ฟงั ไดว้ ่า
แต่เดมิ ท่ดี นิ พพิ าทท่ผี ู้ฟ้องคดคี รอบครองทําประโยชน์และท่ดี นิ บรเิ วณใกล้เคยี ง มสี ภาพเป็น
ส่วนหน่ึงของแม่น้ําโขงและหรอื เป็นท่ชี ายตลงิ่ รมิ ฝงั่ แม่น้ําโขง ซ่งึ ในฤดูน้ําตามปกตนิ ้ําจะท่วมถึง
ต่อมา ทด่ี นิ บรเิ วณดงั กล่าวซง่ึ รวมถงึ ทด่ี นิ แปลงทผ่ี ูฟ้ ้องคดคี รอบครองทําประโยชน์ดว้ ยไดต้ ้นื เขนิ ขน้ึ
จนน้ําท่วมไม่ถึง โดยเกิดข้นึ จากการสะสมตัวของตะกอนตามธรรมชาติท่ีเกิดจากการไหล
ของแมน่ ้ําโขง หรอื เกดิ การสะสมตวั ของตะกอนทแ่ี ม่น้ําโขงพดั พามาบรเิ วณพน้ื ทท่ี ข่ี อออกโฉนดทด่ี นิ
จนเกดิ สนั ดอนทรายผนื ใหญ่ในแมน่ ้ําโขง และต่อมาเมอ่ื ระดบั น้ําในแมน่ ้ําโขงลดลงหรอื กระแสน้ํา
เปลย่ี นทศิ ทางการไหลและเกดิ การตน้ื เขนิ ทาํ ใหส้ นั ดอนทรายอนั เกดิ จากการตน้ื เขนิ ของตะกอน
ตามธรรมชาตนิ นั้ เช่อื มเขา้ มาหาพน้ื ดนิ รมิ ฝงั่ แมน่ ้ําโขง ทําใหพ้ น้ื ทบ่ี รเิ วณดงั กล่าวเปลย่ี นสภาพ
การเป็นท่ชี ายตลงิ่ ซ่งึ น้ําท่วมถึงกลายเป็นท่ดี นิ ต้ืนเขนิ รมิ ตลง่ิ แม่น้ําโขง มลี กั ษณะเป็นท่รี าบ
พ้นื ดนิ ทอดยาวไปตามแนวรมิ ตลงิ่ แม่น้ําโขงครอบคลุมพน้ื ทเ่ี ป็นบรเิ วณกว้าง และได้มรี าษฎร
เขา้ ไปครอบครองทําประโยชน์พ้นื ท่บี รเิ วณดงั กล่าวตลอดแนวรมิ ตลง่ิ แม่น้ําโขง ปรากฏตาม
ระวางแผนท่รี ปู ถ่ายทางอากาศ หมายเลข ๕๐๔๙ IV ๑๔๔๔ มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ ถ่ายเม่อื

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๖๑ ๓

93

ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ซง่ึ สอดคล้องกบั ผลการสํารวจตรวจสอบและความเหน็ ของคณะกรรมการ
ซง่ึ แต่งตงั้ ตามคาํ สงั่ อําเภอเชยี งแสน ลงวนั ท่ี ๕ เมษายน ๒๕๕๕ เกย่ี วกบั ระดบั น้ําในแม่น้ําโขง
และระดบั ดนิ เดมิ เฉลย่ี แปลงทข่ี อออกโฉนดทด่ี นิ ในรอบ ๑๐ ปี ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕
ทไ่ี ดท้ าํ การตรวจสอบพบว่า ตําแหน่งทด่ี นิ โซน C ซง่ึ เป็นพ้นื ทบ่ี รเิ วณท่ดี นิ ทผ่ี ู้ฟ้องคดคี รอบครอง
และโซน D โซน G เป็นโซนทน่ี ้ําท่วมไม่ถงึ ในฤดนู ้ําตามปกติ ถอื ว่าไมใ่ ช่แมน่ ้ําโขง ไม่ใช่ทช่ี ายตลง่ิ
กรณจี งึ ถอื ว่าบรเิ วณทด่ี นิ พพิ าทซง่ึ รวมถงึ ทด่ี นิ ของผฟู้ ้องคดี เดมิ มสี ภาพเป็นทอ้ งทางน้ําในแม่น้ําโขง
ทต่ี น้ื เขนิ ขน้ึ จนเกดิ เป็นหาดทรายหรอื สนั ดอนทรายในแมน่ ้ําตามธรรมชาติ อนั มสี ถานะเป็นทรพั ยส์ นิ
ของแผ่นดนิ ตามมาตรา ๑๓๐๙ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มไิ ดม้ ลี กั ษณะเป็นการต้นื เขนิ
ออกไปจากฝงั่ หน้าทด่ี นิ ของแปลงโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๖๙๖๖ เลขทด่ี นิ ๓๑ ตาํ บลเวยี ง อําเภอเชยี งแสน
จงั หวดั เชยี งราย ซง่ึ เดมิ เป็นส่วนหน่งึ ของทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๕๖๔๓ และโฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๑๖๓๘๐
ตงั้ อยบู่ รเิ วณดา้ นทศิ เหนอื ถดั ขน้ึ ไปตามทผ่ี ฟู้ ้องคดกี ล่าวอ้าง ในอนั ทจ่ี ะถอื ไดว้ ่าทด่ี นิ ของผูฟ้ ้องคดี
เป็นท่ีงอกริมตลิ่ง และก่อให้เกิดความชอบธรรมแก่ผู้ฟ้ องคดีรวมถึงผู้ท่ีเข้ายึดถือครอบครอง
ทําประโยชน์ในท่ดี นิ ท่ตี ้ืนเขนิ นัน้ โดยพลการ ท่จี ะสามารถยกข้นึ อ้างเอาเป็นประโยชน์แก่ตนว่า
เป็นการไดม้ าซ่งึ สทิ ธใิ นทด่ี นิ โดยผลของกฎหมายในทง่ี อกรมิ ตลง่ิ ตามบทบญั ญตั มิ าตรา ๑๓๐๘
ประกอบกบั มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ แต่อย่างใด เน่ืองจาก
ท่ีดินท่ีต้ืนเขินท่ีจะถือว่ามสี ภาพเป็นท่ีงอกรมิ ตล่ิง และบุคคลอาจได้มาซ่ึงสิทธิในท่ีงอกได้
ตามมาตรา ๑๓๐๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะต้องเกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ
โดยงอกจากฝงั่ หน้าทด่ี นิ รมิ ตลง่ิ ออกไปสู่แหล่งน้ําสาธารณะ ซง่ึ ในฤดูน้ําตามปกตนิ ้ําจะท่วมไม่ถงึ
และมลี กั ษณะอนั เป็นส่วนควบตดิ กบั ทด่ี นิ รมิ ตลงิ่ เจา้ ของทด่ี นิ รมิ ตลง่ิ จงึ จะเป็นผูไ้ ดส้ ทิ ธใิ นทด่ี นิ
โดยชอบด้วยกฎหมายในท่งี อกนัน้ ดงั นัน้ เม่อื ได้วนิ ิจฉัยแล้วว่า แต่เดมิ ท่ดี นิ พพิ าทท่ผี ู้ฟ้องคดี
ครอบครองทําประโยชน์และทด่ี นิ บรเิ วณใกล้เคยี ง มสี ภาพเป็นส่วนหน่ึงของแม่น้ําโขงและหรอื
เป็นทช่ี ายตลงิ่ รมิ ฝงั่ แม่น้ําโขง ซง่ึ ในฤดูน้ําตามปกตนิ ้ําจะท่วมถงึ ต่อมา ท่ดี นิ บรเิ วณดงั กล่าว
ซ่งึ รวมถึงท่ีดินแปลงท่ีผู้ฟ้องคดีครอบครองทําประโยชน์ด้วยได้ต้ืนเขนิ ข้นึ จนน้ําท่วมไม่ถึง
อนั เกดิ จากตะกอนท่แี ม่น้ําโขงกดั เซาะพดั พามาสะสมตวั ตามธรรมชาติ มสี ภาพเป็นสนั ดอนทราย
และกลายเป็นท่รี าบพ้นื ดนิ ธรรมดาเป็นแนวทอดยาวไปตามรมิ ตลง่ิ แม่น้ําโขง ครอบคลุมพน้ื ท่ี
เป็นบรเิ วณกวา้ ง พน้ื ทบ่ี รเิ วณแม่น้ําโขงในส่วนท่ตี ้นื เขนิ ขน้ึ ดงั กล่าวยอ่ มพ้นจากสภาพการเป็น
ทางน้ําหรอื ทช่ี ายตลงิ่ และเมอ่ื ไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จรงิ ในสาํ นวนคดวี ่า ทางราชการไดต้ รากฎหมาย
ถอนสภาพทด่ี นิ นนั้ จากการเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สาํ หรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั ตามมาตรา ๘
วรรคสอง (๑) แหง่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ ซง่ึ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๓๓๔

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๖๑


Click to View FlipBook Version