The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

​คดีพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน​ (ปี 2563)

สำนักงานศาลปกครอง

Keywords: ด้านบริหารงานที่ดิน

94

ลงวนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๑๕ หรอื เป็นกรณีทถ่ี อื ว่าทด่ี นิ นัน้ ไดถ้ ูกถอนสภาพโดยผลของกฎหมายแลว้
ทด่ี นิ นัน้ จงึ ยงั คงมสี ถานะทางกฎหมายเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สําหรบั พลเมอื งใชร้ ่วมกนั
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต่อไปเช่นเดิม แม้จะไม่ปรากฏ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ว่า หลงั จากทท่ี ด่ี นิ ทต่ี น้ื เขนิ จนเป็นทร่ี าบแลว้ ไดม้ ปี ระชาชนเขา้ ไปใชป้ ระโยชน์ในลกั ษณะ
เป็นการใชร้ ่วมกนั กต็ าม และแมว้ ่าผฟู้ ้องคดจี ะครอบครองทําประโยชน์ในท่ดี นิ ตลอดมา แต่การท่ี
ท่ดี นิ พพิ าทมสี ถานะเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ย่อมมผี ลใหผ้ ู้ฟ้องคดไี ม่อาจยกอายุความ
เพ่อื การใช้สทิ ธเิ รยี กรอ้ งในการท่จี ะให้ไดส้ ทิ ธใิ ด ๆ ขน้ึ เป็นขอ้ ต่อสูก้ บั แผ่นดนิ ในเร่อื งทรพั ยส์ นิ
อนั เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ไดต้ ามมาตรา ๑๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดงั นนั้ เม่อื ทด่ี นิ แปลงทผ่ี ฟู้ ้องคดคี รอบครองทาํ ประโยชน์และไดน้ ําพนักงานเจา้ หน้าทท่ี าํ การสํารวจ
รงั วดั ทําแผนท่เี พ่อื ออกโฉนดท่ดี นิ และกําหนดตําแหน่งท่ดี นิ เป็นโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๔๒๕๒
เลขทด่ี นิ ๕๒ ตําบลเวยี ง อําเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งราย เน้ือท่ี ๕ ไร่ ๓ งาน ๙๗ ตารางวา มสี ถานะ
ทางกฎหมายเป็นทส่ี าธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ สาํ หรบั พลเมอื งใชร้ ว่ มกนั ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒)
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่ดี นิ แปลงดงั กล่าวจงึ มลี กั ษณะต้องห้ามมใิ ห้ออกหนังสอื
แสดงสทิ ธใิ นท่ดี นิ ตามข้อ ๑๔ (๑) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความใน
พระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ การทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ในฐานะผมู้ อี ํานาจ
หน้าท่ใี นการออกโฉนดท่ดี นิ ตามมาตรา ๕๗ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดนิ ได้พจิ ารณาเห็นว่า
การเดนิ สาํ รวจรงั วดั ทาํ แผนทเ่ี พอ่ื ออกโฉนดทด่ี นิ รายของผฟู้ ้องคดี เป็นไปโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
และระเบยี บวธิ กี าร เน่ืองจากท่ดี นิ มลี กั ษณะต้องห้ามมใิ ห้ออกโฉนดท่ดี นิ และถือเป็นกรณีท่ี
มเี หตุขดั ขอ้ งซ่งึ ไม่อาจแก้ไขให้ออกโฉนดทด่ี นิ แก่ผฟู้ ้องคดไี ด้ และมคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๑๓ มนี าคม
๒๕๕๘ ใหย้ กเลกิ หนังสอื แสดงการสอบสวนเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ (ใบไต่สวน) สําหรบั ท่ดี นิ ของ
ผู้ฟ้ องคดี อนั มผี ลเป็นการปฏิเสธการออกโฉนดท่ีดินให้แก่ผู้ฟ้ องคดี จึงเป็นการออกคําสัง่
ทางปกครองทป่ี ระกอบดว้ ยขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ กฎหมาย ขอ้ พจิ ารณา และขอ้ สนบั สนุนในการใชด้ ุลพนิ ิจ
อนั เป็นการกระทําท่ชี อบด้วยกฎหมายแล้ว และคําวนิ ิจฉัยอุทธรณ์จงึ เป็นคําสงั่ ทางปกครอง
ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายเชน่ กนั

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ. ๘๕๙/๒๕๖๑)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๘ ฉบบั ท่ี ๔ (ตุลาคม-ธนั วาคม) ๒๕๖๑ ๕

95

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน

คาํ สงั่ ออกโฉนดที่ดินเป็นคาํ สงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งอยู่ภายใต้บงั คบั บทบญั ญตั ิมาตรา ๒๘
และมาตรา ๒๙ วรรคหน่ึ ง แห่งพระราชบัญญัติ เดียวกัน พนักงานเจ้าหน้ าที่ที่มี
อาํ นาจหน้าที่สอบสวนเปรียบเทียบเพ่ือพิสูจน์สิทธิในที่ดินและการครอบครองทาํ ประโยชน์
ในท่ีดินพิพาทจึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเก่ียวกบั ท่ีดินที่มีผ้ยู ื่นคําขอออกโฉนดที่ดิน
จากพยานหลกั ฐานทุกอย่างท่ีเห็นว่าจาํ เป็ นเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงอนั เป็ นสาระสําคัญ
เพื่อให้ได้ข้อเทจ็ จริงเป็นท่ียตุ ิเสียก่อนโดยไม่ต้องผกู พนั อย่กู บั คาํ ขอหรือพยานหลกั ฐาน
ของค่กู รณีว่าผขู้ อออกโฉนดท่ีดินได้ครอบครองทาํ ประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยเจตนายึดถือ
เพ่ือตนเองและได้มีการครอบครองและทาํ ประโยชน์ตามสมควรแก่สภาพที่ดินในท้องถ่ิน
ตลอดจนสภาพของกิจการที่ได้ทําประโยชน์แล้วหรือไม่ เพ่ือให้การสัง่ การเป็ นไป
โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อการสอบสวนเปรียบเทียบยงั ฟังไม่เป็ นท่ียุติ เนื่องจากยงั คง
โต้แย้งระหว่างผ้ขู อออกโฉนดท่ีดินกบั ผ้คู ดั ค้านในเรื่องการแย่งสิทธิการครอบครอง
ที่ดินพิพาท และแม้ผ้ขู อออกโฉนดที่ดินจะเป็ นผ้มู ีสิทธิในท่ีดินตามหนังสือ น.ส. ๓ ก.
และได้รบั ประโยชน์จากข้อสนั นิ ษฐานตามมาตรา ๑๓๗๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ แต่มิใช่บทสันนิ ษฐานเด็ดขาด เจ้าพนักงานท่ีดินจึงจําเป็ นต้องพิสูจน์
ข้อเทจ็ จริงให้เป็ นที่ยตุ ิเสียก่อน เม่ือไม่อาจพิสจู น์ได้โดยพิจารณาแต่เพียงพยานเอกสาร
น.ส. ๓ ก. และพยานบุคคลท่ียืนยนั ว่าผู้ขอออกโฉนดที่ดินเป็ นเจ้าของที่ดินพิพาท
ส่วนผู้คัดค้านไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงว่าเป็ นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท คําสัง่
ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผขู้ อออกโฉนดท่ีดิน จึงเป็นการใช้ดลุ พินิจที่ไมช่ อบด้วยกฎหมาย

ผฟู้ ้องคดฟี ้องว่า ผูฟ้ ้องคดเี ป็นเจา้ ของทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๙๓๐ ตดิ กบั ท่ดี นิ
น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๗๒๓ ของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ (เทศบาล) โดยได้รบั มรดกจากมารดา ต่อมา
ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ขอรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ ตามหลกั ฐาน น.ส. ๓ ก. โดยเจา้ หน้าทข่ี องผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑
(เจา้ พนักงานท่ดี นิ จงั หวดั ) ได้ออกไปทําการรงั วดั เพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ แต่ผู้ฟ้องคดไี ดค้ ดั ค้าน
การรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ อา้ งว่า ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ไดน้ ํารงั วดั รกุ ล้าํ แนวเขตทด่ี นิ ทผ่ี ฟู้ ้องคดคี รอบครอง
และทาํ ประโยชน์มากวา่ ๓๐ ปี ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ สอบสวนเปรยี บเทยี บ ต่อมา ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
ไดย้ กเลกิ เรอ่ื งการรงั วดั ออกโฉนดทด่ี นิ แต่เทศบาลไดย้ ่นื คาํ ขอออกโฉนดทด่ี นิ อกี ครงั้ เจา้ หน้าท่ี

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๒ ๑

96

ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ไดอ้ อกไปรงั วดั ทด่ี นิ ผูฟ้ ้องคดไี ดค้ ดั คา้ นการรงั วดั เช่นเดมิ แต่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑
ได้มคี ําสงั่ ลงวนั ท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ออกโฉนดท่ดี นิ ใหแ้ ก่ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ และไดแ้ จง้ คําสงั่
สอบสวนเปรยี บเทียบให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ผู้ฟ้องคดอี ุทธรณ์คําสงั่ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้มหี นังสือ
ลงวนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ แจ้งผู้ฟ้องคดวี ่าให้ฟ้องต่อศาลปกครองภายใน ๖๐ วนั นับแต่
วันท่ีได้รับทราบคําสัง่ ตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน โดยไม่ต้องอุทธรณ์
ผู้ฟ้ องคดีจึงขอให้ศาลมคี ําพิพากษาหรอื คําสัง่ เพิกถอนคําสัง่ ของผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ ลงวนั ท่ี
๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ และเพกิ ถอนผลการพจิ ารณาอุทธรณ์ลงวนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยว่า ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นผมู้ สี ทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ
ตามหลกั ฐานหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๗๒๓ จงึ มสี ทิ ธขิ อออกโฉนดทด่ี นิ
เฉพาะรายได้ตามมาตรา ๕๙ แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ ประกอบขอ้ ๑๔ ของกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ได้ย่นื คําขอออกโฉนดท่ีดินโดยอาศัยหลกั ฐาน น.ส. ๓ ก.
เจ้าหน้าท่ไี ด้ออกไปทําการรงั วดั ท่ดี นิ ตามคําขอ ผลการรงั วดั คํานวณเน้ือท่ไี ด้ ๒ ไร่ ๓ งาน
๕๑๓/๑๐ ตารางวา แต่ผฟู้ ้องคดซี ง่ึ เป็นเจา้ ของทด่ี นิ โฉนดทด่ี นิ เลขท่ี ๙๓๐ และมที ศิ ใตต้ ดิ กบั ทด่ี นิ
ตามหลกั ฐาน น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๗๒๓ ของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ได้คดั ค้านการออกโฉนดท่ีดิน
ในวนั ท่ที ําการรงั วดั โดยอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ นํารงั วดั ออกโฉนดท่ีดนิ รุกล้ําแนวเขตท่ดี นิ
ทผ่ี ฟู้ ้องคดคี รอบครองทาํ ประโยชน์ เน้ือท่ี ๑ งาน ๑๓๗/๑๐ ตารางวา จงึ เป็นกรณีทม่ี ผี โู้ ต้แยง้ สทิ ธกิ นั
ซง่ึ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ มอี ํานาจทําการสอบสวนเปรยี บเทยี บและดําเนินการไปตามท่ตี กลงกนั ได้
หากตกลงกนั ไมไ่ ด้ ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ มอี ํานาจพจิ ารณาสงั่ การไปตามทเ่ี หน็ สมควรไดต้ ามมาตรา ๖๐
วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายท่ดี นิ เม่อื ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้ทําการสอบสวนเปรยี บเทยี บ
แต่ไม่สามารถตกลงกนั ได้ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ ได้รบั ฟงั ถ้อยคําจากผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ผู้ฟ้องคดี
และพยานบุคคล และมคี วามเหน็ ว่าผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ มสี ทิ ธใิ นท่ดี นิ ดกี ว่าผูฟ้ ้องคดี จงึ มคี ําสงั่
ลงวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ออกโฉนดท่ีดินให้แก่ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ โดยอาศัยอํานาจ
ตามมาตรา ๖๐ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายท่ดี ิน อันเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย
ของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ซ่งึ เป็นเจา้ หน้าท่ขี องรฐั ท่มี ผี ลกระทบต่อสถานภาพของสทิ ธหิ รอื หน้าท่ขี อง
ผฟู้ ้องคดี คําสงั่ ดงั กล่าวจงึ เป็นคําสงั่ ทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่ีอยู่ภายใต้บังคบั บทบญั ญัติมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ วรรคหน่ึง
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กล่าวคือ ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑
ในฐานะพนั กง านเ จ้าหน้ าท่ีผู้มีอํ านาจหน้ าท่ีสอ บส วนเ ปรียบเทียบเพ่ือ พิสู จน์ สิทธิใ นท่ีดิน

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๒

97

และการครอบครองทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ พพิ าทมหี น้าทท่ี จ่ี ะตอ้ งตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกบั ทด่ี นิ
ท่มี ผี ู้ย่นื คําขอออกโฉนดทด่ี นิ ให้ได้ขอ้ เท็จจรงิ เป็นท่ยี ุตเิ สยี ก่อนว่าทด่ี นิ ท่จี ะพงึ ออกโฉนดท่ดี นิ
เป็นทด่ี นิ ทผ่ี ูข้ อเป็นผู้มสี ทิ ธใิ นท่ดี นิ และผูม้ สี ทิ ธใิ นท่ดี นิ ดงั กล่าวไดค้ รอบครองทําประโยชน์แล้ว
อนั ถอื ว่าเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ อนั เป็นสาระสําคญั ในการออกโฉนดท่ดี นิ ให้แก่ผู้ย่นื คําขอ โดยมอี ํานาจ
พจิ ารณาจากพยานหลกั ฐานทุกอย่างท่ีเห็นว่าจําเป็นเพ่ือพสิ ูจน์ขอ้ เท็จจรงิ อนั เป็นสาระสําคญั
และไม่ต้องผูกพันอยู่กับคําขอหรือพยานหลักฐานของคู่กรณี เพ่ือให้การสัง่ การเป็นไป
โดยชอบดว้ ยกฎหมาย

เม่อื การสอบสวนเปรยี บเทยี บ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ เห็นว่าท่ดี ินตาม น.ส. ๓ ก.
เลขท่ี ๗๒๓ ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ซอ้ื มาจากนาง ส. เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ ได้ใหถ้ อ้ ยคําว่าไดน้ ําช่างทําการรงั วดั ปกั หลกั เขตท่ดี นิ ตามทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ได้ครอบครอง
ทําประโยชน์ โดยมตี น้ มะพรา้ ว มะม่วง ขนุน และกอไผ่ ซง่ึ เจา้ ของท่ดี นิ เดมิ ได้ปลูกไวเ้ ป็นแนวเขต
ท่ดี นิ และได้ก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชพี หน่ึงตําบลหน่ึงผลิตภณั ฑ์ในบรเิ วณท่ดี ินแปลงน้ี นาง ส.
เจา้ ของท่ีดนิ คนเดมิ ให้ถ้อยคําว่า ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ได้นํารงั วดั ปกั หลกั เขตตรงตามแนวเขต
ท่ตี นเองได้ครอบครองทําประโยชน์อยู่เดมิ และนาย บ. สามนี าง ส. เป็นคนปลูกต้นมะพรา้ ว
มะม่วงและกอไผ่เป็นแนวเขตท่ีดินทางทิศเหนือของ น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๗๒๓ ดังกล่าว
ซ่งึ เป็นแนวเขตพพิ าท ส่วนผู้ฟ้องคดอี ้างว่าได้ครอบครองทําประโยชน์ในท่ดี นิ พพิ าทจํานวน
๑ งาน ๑๓๗/๑๐ ตารางวา มนี าย ท. และนาง ว. เป็นพยาน แต่พยานทงั้ สองกลบั ใหก้ ารว่าไม่ทราบ
แนวเขตทด่ี นิ ทผ่ี ฟู้ ้องคดคี รอบครองแต่อย่างใด ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ พจิ ารณาพยานหลกั ฐานต่าง ๆ
ท่ีคู่กรณีนํามาแสดงแล้ว เห็นว่า ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ มีพยานเอกสารเป็นหนังสือรับรอง
การทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๗๒๓ และพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒
เป็นเจ้าของท่ีดินพิพาท ส่วนผู้ฟ้ องคดีไม่มพี ยานหลกั ฐานใด ๆ มาแสดงว่าเป็นผู้ครอบครอง
ท่ีดนิ พิพาทดงั กล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ จงึ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๖๐ แห่งประมวล
กฎหมายท่ีดิน มีคําสัง่ ออกโฉนดท่ีดินให้แก่ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๒ แต่โดยท่ีข้อเท็จจริง
อนั เป็นสาระสําคญั ในการพจิ ารณาสอบสวนเปรยี บเทยี บเพ่อื ออกโฉนดทด่ี นิ ใหแ้ ก่ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒
ว่า ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ผู้ขอออกโฉนดท่ดี นิ ได้ครอบครองทําประโยชน์ในท่ดี นิ พพิ าทแล้วหรอื ไม่
หรอื ผูฟ้ ้องคดซี ง่ึ เป็นผูโ้ ตแ้ ยง้ คดั คา้ นการออกโฉนดทด่ี นิ ของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ เป็นผคู้ รอบครอง
และทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ ดงั กล่าวอนั จะส่งผลต่อสถานะของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ในการเป็นผมู้ สี ทิ ธิ
ขอออกโฉนดทด่ี นิ เน่ืองจากเป็นผูม้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ และไดค้ รอบครองทําประโยชน์ในทด่ี นิ พพิ าทแลว้
ตามข้อ ๑๔ ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๒ ๓

98

ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ดี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ยงั ฟงั ไม่เป็นท่ยี ุติ เน่ืองจากผู้ฟ้องคดยี งั คงโต้แย้ง
ในเร่ืองท่ีผู้ฟ้ องคดีได้แย่งสิทธิการครอบครองท่ีดินพิพาทว่าได้ทําประโยชน์ในท่ีดินพิพาท
มามากกวา่ ๓๐ ปี โดยการปลกู กลว้ ย มะพรา้ ว กอไผ่ มะมว่ ง ขนุน มาโดยตลอด และผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒
ได้กล่าวอ้างว่าซ้อื ท่ดี นิ ต่อมาจากนาง ส. ซ่งึ นาง ส. และนาย บ. สามขี องนาง ส. ได้ให้ถ้อยคํา
ในทํานองเดียวกันว่านาง ส. ได้ครอบครองและทําประโยชน์ในท่ีดินบริเวณพิพาท
โดยปลูกขา้ วโพดตามฤดูกาล และนาย บ. ได้ปลูกต้นมะม่วง มะพรา้ ว และกอไผ่ เป็นแนวเขต
ทด่ี นิ บรเิ วณพพิ าท แมว้ ่าผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ผูข้ อออกโฉนดทด่ี นิ จะเป็นผูม้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ ตามหนังสอื
รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๗๒๓ และได้รบั ประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน
ตามมาตรา ๑๓๗๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ว่าเป็นผมู้ สี ทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ กต็ าม
แต่บทบญั ญตั ดิ งั กล่าวมใิ ช่บทสนั นิษฐานเดด็ ขาด เน่ืองจากการมสี ทิ ธคิ รอบครองในทด่ี นิ จะตอ้ ง
เป็ นการยึดถือท่ีดินนั้นด้วยเจตนาเพ่ือประโยชน์ตนเอง ประกอบกับการโอนไปซ่ึง
สทิ ธคิ รอบครองในท่ดี นิ สามารถโอนให้แก่กนั ได้เพยี งแค่ส่งมอบทด่ี นิ หรอื ผู้มสี ทิ ธคิ รอบครอง
ในท่ีดินสละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือท่ีดินต่อไปตามบทบัญญัติมาตรา ๑๓๗๗
และมาตรา ๑๓๗๘ แห่งประมวลกฎหมายดงั กล่าว การพจิ ารณาว่าผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ผู้ขอออก
โฉนดท่ีดนิ เป็นผู้มสี ทิ ธใิ นการออกโฉนดท่ดี ินในท่ีดนิ พพิ าทหรอื ไม่ ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ จะต้อง
พจิ ารณาจากการยดึ ถอื ครอบครองทด่ี นิ ดว้ ยเจตนาเพ่อื ประโยชน์ของผขู้ อออกโฉนดทด่ี นิ อกี ทงั้
ได้มกี ารครอบครองและทําประโยชน์ตามสมควรแก่สภาพท่ีดินในท้องถ่ิน ตลอดจนสภาพของ
กจิ การท่ไี ด้ทําประโยชน์ตามข้อ ๑๐ ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ช้ประมวลกฎหมายท่ดี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามความเป็นจรงิ ด้วยการตรวจสอบ
ข้อ เ ท็จ จ ริง เก่ียวกับก ารค รอบค รอ งแ ล ะก ารทํ าประโยชน์ ใ นท่ีดินพิพ าทจึง เ ป็ นส าระสําค ัญ
ซง่ึ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ จะตอ้ งพจิ ารณาพยานหลกั ฐานต่าง ๆ ทจ่ี าํ เป็นเพ่อื พสิ จู น์ขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กล่าว
ให้เป็นท่ียุติเสียก่อน ท่ีจะมีคําสัง่ ทางปกครอง เม่ือข้อเท็จจริงตามท่ีผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑
ทําการสอบสวนเปรยี บเทยี บและใช้ประกอบการพจิ ารณาในการใช้ดุลพนิ ิจมคี ําสงั่ ทางปกครอง
ดงั กล่าวยงั ไม่อาจพสิ ูจน์ข้อเท็จจรงิ ได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๒ ผู้ขอออกโฉนดท่ดี นิ ได้ครอบครอง
ทาํ ประโยชน์ในทด่ี นิ พพิ าทดว้ ยเจตนายดึ ถอื เพอ่ื ตนเองและไดม้ กี ารครอบครองและทําประโยชน์
ตามสมควรแก่สภาพท่ดี นิ ในท้องถนิ่ ตลอดจนสภาพของกจิ การท่ไี ด้ทําประโยชน์แล้วหรอื ไม่
ดังนัน้ การท่ีผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ มีคําสงั่ ลงวันท่ี ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ออกโฉนดท่ีดินให้แก่
ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ โดยอาศยั ขอ้ เทจ็ จรงิ ดงั กลา่ ว จงึ เป็นการใชด้ ุลพนิ ิจทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๒

99

ส่วนหนงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เป็นเพยี งหนังสอื แจง้ สทิ ธใิ หผ้ ูฟ้ ้องคดี
ทราบถงึ สทิ ธใิ นการฟ้องคดตี ่อศาลเท่านัน้ ไม่มขี ้อความใดท่มี ผี ลกระทบต่อสทิ ธิครอบครอง
การทําประโยชน์ของผูฟ้ ้องคดที จ่ี ะเป็นเหตุให้ทรพั ยส์ นิ ในทด่ี นิ และทด่ี นิ ของผูฟ้ ้องคดสี ่วนท่พี พิ าท
ต้องสูญเสยี ไป เน่ืองจากขนั้ ตอนตามท่ีกําหนดไว้ในมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดนิ
เป็นวิธีการปฏิบตั ิราชการทางปกครองท่ีกฎหมายกําหนดไว้โดยเฉพาะ และมีหลกั เกณฑ์
ท่ปี ระกนั ความเป็นธรรมหรอื มมี าตรฐานในการปฏบิ ตั ริ าชการไม่ต่ํากว่าหลกั เกณฑท์ ่กี ําหนด
ในพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณจี งึ ไมม่ เี หตุทจ่ี ะตอ้ งเพกิ ถอน
หนงั สอื ของผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ ลงวนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๑๑๒๔/๒๕๖๑)

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม-มนี าคม) ๒๕๖๒ ๕

100

คดีพิพาทเก่ียวกบั ที่ดิน

ที่ดินที่เป็ นของเอกชนจะเป็ นทางสาธารณประโยชน์ได้กโ็ ดยการอุทิศให้
ซึ่งการอทุ ิศดงั กล่าวมีทงั้ การแสดงเจตนาโดยชดั แจ้งและโดยปริยาย และที่ดินตามที่อุทิศ
จะกลายเป็นท่ีสาธารณประโยชน์โดยไม่ต้องทาํ พิธีการหรือทาํ การจดทะเบียนอีก กรณีที่
หน่วยงานของรฐั ได้ก่อสร้างและปรบั ปรงุ ถนนตามแนวถนนเดิมที่เจ้าของที่ดินได้อทุ ิศไว้ให้
เป็ นทางสาธารณะ แต่เกินกว่าขอบเขตเนื้อที่ดินท่ีเจ้าของอุทิศไว้ให้ เมื่อเจ้าของท่ีดิน
ได้มีการโต้แย้งแล้ว หน่วยงานของรฐั จึงต้องกระทาํ การด้วยความระมดั ระวงั ในการตรวจสอบ
แนวเขตทางสาธารณะเดิมว่าอยู่บริเวณใด การที่หน่วยงานของรฐั ไม่ได้ทาํ การตรวจสอบ
แนวเขตทางสาธารณะให้แน่นอนชดั เจนหรือให้เจ้าของที่ดินตกลงยินยอมอทุ ิศหรือยกท่ีดิน
ให้เป็นทางสาธารณะก่อนเพื่อให้ได้ข้อยตุ ิ จึงเป็นการกระทาํ โดยปราศจากความระมดั ระวงั
ซึ่งบคุ คลโดยภาวะเช่นนัน้ จกั ต้องมีตามวิสยั และพฤติการณ์ และอาจใช้ความระมดั ระวงั
เช่นว่านัน้ ได้ เม่ือมิได้ดาํ เนินการตรวจสอบแนวเขตให้ชดั เจน จึงเป็นการกระทาํ โดยประมาท
เลินเล่อเป็ นเหตุให้เจ้าของท่ีดินได้รบั ความเสียหายในทรพั ยส์ ิน อนั เป็ นการกระทาํ ละเมิด
ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หน่วยงานของรฐั จึงต้องชดใช้
ค่าเสียหายในท่ีดินส่วนท่ีรกุ ลา้ํ เกินกว่าที่เจ้าของท่ีดินได้อทุ ิศให้ และเมื่อการก่อสร้างถนนดงั กล่าว
ยงั เป็นผลให้ที่ดินของเจ้าของที่ดินตลอดแนวด้านทิศเหนือเหลืออยู่เป็นเศษเสี้ยวและต้อง
ถกู จาํ กดั การใช้ประโยชน์จากเดิม จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้แก่เจ้าของท่ีดินด้วย

ผฟู้ ้องคดฟี ้องว่า ผฟู้ ้องคดเี ป็นผคู้ รอบครองทด่ี นิ ตามหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) เน้ือท่ี ๙ ไร่ ๒๓ ตารางวา ซง่ึ นาย ล. บดิ าบุญธรรมได้เคยอุทศิ ท่ดี นิ ทางทศิ เหนือ
ของทด่ี นิ ตลอดแนวมขี นาดความกวา้ ง ๔ เมตร เพ่อื ทําเป็นถนน และมปี ระชาชนในพน้ื ทใ่ี ชถ้ นน
สายดงั กล่าวเพม่ิ มากขน้ึ ทําให้ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อและผู้ใชถ้ นนได้หลบหลกี หลุมบ่อเข้าไป
ในท่ดี นิ เป็นเหตุใหถ้ นนมคี วามกวา้ งมากขน้ึ และเปลย่ี นทศิ ทางเขา้ ไปในทด่ี นิ ห่างจากเขตทด่ี นิ
๓ เมตร และ ๔ เมตร แต่ละช่วงไมเ่ ท่ากนั ต่อมา ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ (องคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบล)
ได้เข้าไปปรบั ปรุงถนนและเกล่ยี ดนิ เข้าไปในท่ดี นิ ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดจี งึ ได้ให้เจ้าหน้าท่ี
บรหิ ารงานทด่ี นิ อําเภอทาํ การสาํ รวจรงั วดั ทด่ี นิ ปรากฏว่าแนวถนนไดข้ ยายเพมิ่ ขน้ึ โดยมคี วามกวา้ ง
๑๐ ถงึ ๑๑ เมตร ทําให้ท่ดี นิ ของผู้ฟ้องคดขี าดหายไป ๑ ไร่ ๓ งาน ๔๒ ตารางวา ผู้ฟ้องคดี
ได้คดั ค้านการกระทําดงั กล่าวของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ต่อนายกองค์การบรหิ ารส่วนตําบล ต่อมา
ผรู้ บั จา้ งไดเ้ ขา้ ไปเทคอนกรตี ในถนนสายดงั กลา่ วโดยไมไ่ ดแ้ จง้ ใหผ้ ฟู้ ้องคดที ราบ เม่อื ผูฟ้ ้องคดที ราบ

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒ ๑

101

จงึ ห้ามไม่ให้เทคอนกรตี และได้ย่นื เร่อื งต่ออําเภอเพ่ือขอความเป็นธรรมและให้ตรวจสอบ
แต่รองนายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบลและสมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบลได้สงั่ ใหผ้ ู้รบั จา้ ง
เทคอนกรตี เพ่อื สรา้ งถนนสายดงั กล่าวต่อไป ผูฟ้ ้องคดเี หน็ ว่าการทผ่ี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ตดั ถนนผ่าน
ทด่ี นิ ของผูฟ้ ้องคดเี ป็นระยะทางประมาณ ๑๗๐ เมตร กวา้ ง ๕ เมตร โดยทผ่ี ฟู้ ้องคดไี มย่ นิ ยอม
หรอื อุทศิ ใหห้ รอื มกี ารเวนคนื ทด่ี นิ และการก่อสรา้ งถนนดงั กล่าวไดม้ กี ารตดั ฟนั ต้นไมแ้ ละถมดนิ
เขา้ ไปปกปิดโคนต้นปาลม์ ทผ่ี ู้ฟ้องคดปี ลูกไว้เสยี หาย อกี ทงั้ ยงั ทําให้ท่ดี นิ ซ่งึ เป็นทรพั ยส์ นิ ของ
ผฟู้ ้องคดเี ป็นเศษเสย้ี วเสยี หายใชป้ ระโยชน์ไมไ่ ด้ จงึ ขอใหศ้ าลมคี าํ พพิ ากษาหรอื คําสงั่ ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ร้อื ถอนถนนและดําเนินการให้ท่ดี นิ กลบั คนื สู่สภาพเดมิ หรอื หากไม่สามารถร้อื ถอนได้
ใหผ้ ถู้ กู ฟ้องคดที งั้ สองรว่ มกนั ชดใชค้ ่าเสยี หายเป็นเงนิ ๒๐๐,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสูงสุดวินิ จฉัยว่า 45จากบทบญั ญตั ิมาตรา ๑๓๐๔ แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เหน็ ไดว้ ่า 45ทรพั ยส์ นิ ใดจะเป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ ยอ่ มเป็นไป
ตามสภาพของท่ดี นิ นัน้ เองว่าเป็นทรพั ยส์ นิ เพ่อื สาธารณประโยชน์ หรอื สงวนไว้เพ่อื ประโยชน์
รว่ มกนั และทด่ี นิ ทเ่ี ป็นของเอกชนจะเป็นทส่ี าธารณประโยชน์ทป่ี ระชาชนใชป้ ระโยชน์รว่ มกนั ได้
เชน่ ทางสาธารณะ กโ็ ดยการอุทศิ ซง่ึ การอุทศิ ทด่ี นิ ใหเ้ ป็นทางสาธารณประโยชน์นนั้ มที งั้ การแสดง
เจตนาโดยชดั แจง้ และโดยปรยิ าย เน่ืองจากไมม่ กี ฎหมายบญั ญตั วิ ธิ กี ารไว้ เมอ่ื เจา้ ของทด่ี นิ อุทศิ
ทด่ี นิ ของตนใหเ้ ป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ทด่ี นิ ตามทอ่ี ุทศิ กก็ ลายเป็นทส่ี าธารณประโยชน์ไป
โดยไม่ต้องกระทําพธิ ีการอย่างใดหรอื ทําการจดทะเบยี นอกี คดนี ้ีข้อเท็จจรงิ ปรากฏว่า ท่ดี ิน
ทผ่ี ูฟ้ ้องคดคี รอบครองตามหนังสอื รบั รองการทาํ ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) มที างสาธารณะพาดผ่านอยู่
บรเิ วณดา้ นทศิ เหนือ แต่ยงั มไิ ดม้ กี ารจดทะเบยี นแบง่ หกั ทด่ี นิ ส่วนดงั กล่าวออกจากทด่ี นิ ส่วนทเ่ี หลอื
ซง่ึ ผฟู้ ้องคดยี อมรบั ว่า ทด่ี นิ ดงั กล่าวบดิ าบญุ ธรรมของตนไดย้ กใหเ้ ป็นทางสาธารณะเม่อื ประมาณ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยยกใหเ้ ฉพาะส่วนทต่ี ดิ อย่กู บั แนวเขตท่ดี นิ ด้านทศิ เหนือมคี วามกว้างประมาณ
๔ เมตร ตลอดแนว แต่ปจั จุบนั แนวถนนดงั กล่าวได้ร่นเขา้ มาในท่ดี นิ ส่วนใหญ่ รวมทงั้ มขี นาด
ความกวา้ งเพมิ่ ขน้ึ จากเดมิ และผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ อา้ งว่า ไดป้ รบั ปรุงถนนตามแนวถนนเดมิ และมไิ ด้
มกี ารขยายความกวา้ งของถนนพพิ าท ดงั นัน้ จงึ รบั ฟงั ในเบอ้ื งต้นว่ามที างสาธารณะอย่ใู นทด่ี นิ
ของผฟู้ ้องคดจี รงิ

เม่อื พจิ ารณาจากแผนทท่ี ้ายหนังสอื รบั รองการทําประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ท่พี พิ าท
ประกอบกบั บนั ทกึ ปากคําของพยานท่ปี รากฏในสํานวนคดี จะเหน็ ได้ว่าทางสาธารณะพพิ าท
มไิ ด้มอี ยู่เดมิ แต่เกิดจากการท่บี ดิ าบุญธรรมของผู้ฟ้องคดไี ด้มเี จตนายกท่ดี นิ ดงั กล่าวให้เป็น
ทางสาธารณะ และจากบนั ทกึ จากการให้ถ้อยคําของอดตี สมาชกิ สภาองค์การบรหิ ารส่วนตําบล
ในขณะนนั้ ซง่ึ เป็นผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งโดยตรง ใหก้ ารยนื ยนั สอดคลอ้ งกนั ว่า การก่อสรา้ งถนนตามโครงการ

๒ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒

102

ผนั เงนิ สู่ชนบทนัน้ เจา้ ของทด่ี นิ ไดอ้ ุทศิ ทด่ี นิ ให้ทาํ ถนนได้กวา้ ง ๔ เมตร และคดั ค้านการขยาย
แนวเขตของถนน โดยไม่ปรากฏว่ามกี ารอุทศิ ทด่ี นิ ให้เพม่ิ เตมิ และได้ทําไปตามถนนเดมิ กว้าง
๔ เมตร ประกอบกบั ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ รบั ในคาํ อุทธรณ์วา่ ไดก้ ่อสรา้ งถนนลกู รงั เดมิ กวา้ ง ๔ เมตร
และตามโครงการปรบั ปรุงถนนคอนกรตี เสรมิ เหล็กก็มคี วามกว้าง ๔ เมตร พร้อมไหล่ทาง
กรณีจงึ เช่อื ไดว้ ่าถนนสาธารณะในท่ดี นิ ของผู้ฟ้องคดยี งั คงมคี วามกวา้ งเพยี ง ๔ เมตร เท่านัน้
ทผ่ี ถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ อา้ งว่าไดก้ ่อสรา้ งและปรบั ปรุงถนนตามแนวถนนเดมิ ทเ่ี จา้ ของเดมิ ไดอ้ ุทศิ ไวใ้ ห้
และตามแนวทค่ี ณะผบู้ รหิ ารสมยั นาย ป. เป็นประธานกรรมการบรหิ ารองคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบล
ได้ทําการปรบั ปรุงไว้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่งึ เป็นไปตามประกาศของผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ลงวนั ท่ี
๑๗ สงิ หาคม ๒๕๔๒ กําหนดปรบั ปรุงถนนกว้าง ๖ เมตร นัน้ ไม่ปรากฏว่ามพี ยานหลกั ฐาน
สนบั สนุนว่าไดข้ ยายถนนพพิ าทดงั กล่าวออกไปกวา้ ง ๖ เมตร จรงิ ตามขอ้ กล่าวอา้ งของผถู้ ูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ แต่อย่างใด ดงั นัน้ เม่อื ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ได้ดําเนินโครงการปรบั ปรุงถนนพพิ าทอกี ครงั้
ตามประกาศของผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙ โดยผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑
สรา้ งถนนคอนกรตี เสรมิ เหลก็ กว้าง ๔ เมตร ไหล่ทางขา้ งละ ๐.๕ เมตร รวมเป็นถนนกว้าง ๕ เมตร
ซง่ึ ก่อสรา้ งในทด่ี นิ ของผู้ฟ้องคดี จงึ เป็นการสรา้ งถนนกวา้ งเกนิ กว่าถนนสาธารณะเดมิ จาํ นวน
๑ เมตร และเมอ่ื พจิ ารณาตามแผนทท่ี เ่ี จา้ พนกั งานทด่ี นิ อําเภอทาํ ขน้ึ ตามคาํ สงั่ ศาลกจ็ ะเหน็ ไดว้ ่า
ถนนดงั กล่าวอยู่ด้านทศิ เหนือในท่ดี นิ ของผู้ฟ้องคดี การท่ผี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ ซ่งึ เป็นหน่วยงาน
ทางปกครองมหี น้าทจ่ี ดั ใหม้ แี ละบาํ รงุ รกั ษาทางน้ําและทางบกตามมาตรา ๖๗ (๑) แห่งพระราชบญั ญตั ิ
สภาตําบลและองค์การบรหิ ารส่วนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗ และได้ใช้อํานาจตามกฎหมายทําการ
ก่อสรา้ งถนนคอนกรตี เสรมิ เหลก็ พรอ้ มไหล่ทางเกนิ กว่าแนวเขตทางสาธารณะเดมิ และการก่อสรา้ ง
ถนนคอนกรตี เสรมิ เหล็กดงั กล่าวเป็นผลให้ท่ีดินของผู้ฟ้ องคดีตลอดด้านทิศเหนือเหลืออยู่
เป็นเศษเสย้ี วตามแผนทท่ี พ่ี พิ าทมคี วามยาวตลอดแนวถนนคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ดา้ นหน่ึงกว้าง
เพยี ง ๒.๙๕ เมตร อกี ดา้ นหน่ึงกวา้ ง ๕.๖๓ เมตร มเี น้ือท่ี ๑๘๐ ตารางวา ซง่ึ โดยสภาพตอ้ งถูก
จาํ กดั การใชป้ ระโยชน์จากเดมิ และผู้ฟ้องคดซี ง่ึ เป็นผูม้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ ไดโ้ ต้แยง้ คดั คา้ นการกระทํา
ดงั กล่าวแลว้ ผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ จงึ ต้องกระทาํ การดว้ ยความระมดั ระวงั โดยการตรวจสอบใหช้ ดั เจนว่า
แนวเขตทางสาธารณะเดมิ อย่บู รเิ วณใด เน่ืองจากโดยสภาพแวดลอ้ มและการใชง้ านอาจเปลย่ี น
ทศิ ทางไปมาจงึ ไม่อาจกําหนดแนวเขตถนนท่แี น่นอนชดั เจนได้ดงั เช่นถนนลาดยางหรอื ถนน
คอนกรตี เสรมิ เหลก็ เมอ่ื กรณเี ช่อื ไดว้ ่าแนวเขตทางสาธารณะเดมิ ทม่ี กี ารอุทศิ ทด่ี นิ ดา้ นทศิ เหนือ
ของท่ดี นิ พพิ าทให้เป็นทางสาธารณะหมายถึงการอุทศิ ท่ดี นิ ในส่วนท่ชี ดิ แนวเขตดา้ นทศิ เหนือ
สมควรทผ่ี ู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ จะต้องสรา้ งถนนคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ให้ชดิ แนวเขตท่ดี นิ ด้านทศิ เหนือ
เพ่อื ความเป็นธรรมและใหเ้ กดิ ความเสยี หายน้อยท่สี ุดแก่เจา้ ของทด่ี นิ ท่สี ละทด่ี นิ เพ่อื ประโยชน์

วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒ ๓

103

ส่วนรวม แต่ผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ หาไดท้ ําการตรวจสอบแนวเขตทางสาธารณะให้แน่นอนชดั เจนหรอื
ให้ผู้ฟ้องคดตี กลงยนิ ยอมอุทศิ หรอื ยกท่ดี นิ น้ีให้เป็นทางสาธารณะก่อนเพ่อื ให้ได้ขอ้ ยุติไม่ การท่ี
ผู้ถูกฟ้ องคดีท่ี ๑ ก่อสร้างถนนคอนกรตี เสรมิ เหล็กดงั กล่าว จงึ เป็นการกระทําโดยปราศจาก
ความระมดั ระวงั ซง่ึ บุคคลโดยภาวะเช่นนัน้ จกั ต้องมตี ามวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์ และผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑
อาจใชค้ วามระมดั ระวงั เช่นว่านัน้ ในการตรวจสอบแนวเขตทางสาธารณะพพิ าทน้ีได้ แต่หาไดใ้ ช้
เพยี งพอไม่ พฤตกิ ารณ์ดงั กลา่ วถอื ไดว้ ่าผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ กระทาํ การโดยประมาทเลนิ เล่อในการก่อสรา้ ง
ถนนคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ทําใหผ้ ฟู้ ้องคดไี ดร้ บั ความเสยี หายในทรพั ยส์ นิ อนั เป็นการกระทาํ ละเมดิ
ต่อผฟู้ ้องคดตี ามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ และต้องชดใชค้ ่าเสยี หาย
ใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดเี ป็นเงนิ ๕๒,๔๐๐ บาท

(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่อ. ๒๙๙/๒๕๖๒)

๔ วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปีท่ี ๑๙ ฉบบั ท่ี ๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน) ๒๕๖๒


Click to View FlipBook Version