The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารวิชาการชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช

ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช

Keywords: ชีวภัณฑ์,การป้องกันกำจัดศัตรูพืช,ชีววิธี,ตัวห้ำ,ตัวเบียน

หนอนกอลายจุุดใหญ่่ (stem borer)

ช่ือวิทยาศาสตร:์ Chilo tumidicostalis (Hampson)
ชื่�อสามััญ: stem borer/ หนอนกอลายจุดุ ใหญ่่
วงศ์: Noctuidae
อันดบั : Lepidoptera

หนอนกอลายจุุดใหญ่่ Chilo tumidicostalis (Hampson) เป็็นแมลงศััตรููที่่�สำำ�คััญในระยะอ้้อยเป็็นลำำ�
สาเหตุุการระบาดหลัักคืือหากฝนตกชุุกทำำ�ให้้มีีความชื้�นสููง 70-80% จะพบหนอนกอลายจุุดใหญ่่ระบาดมาก
และพัันธุ์์�อ้้อยเป็็นปััจจััยที่่�ทำำ�ให้้มีีการระบาด พัันธุ์์�อ้้อยที่่�อ่่อนแอ คืือพัันธุ์�มาร์์กอส คิิว 130 ซึ่�งเป็็นพัันธุ์�ที่�
หนอนกอลายจุุดใหญ่่ชอบเข้้าทำำ�ลาย ถ้้ามีีการระบาดแล้้วจะทำำ�ให้้อ้้อยสููญเสีียน้ำำ��หนัักและความหวาน การระบาด
ของหนอนกอลายจุุดใหญ่่ส่่วนมากพบการระบาดในบริิเวณที่่�มีีการปลููกอ้้อยเหนืือนาข้้าว เพราะบริิเวณนั้�น
จะมีีความชื้�นสูงู อยู่�ตลอดเวลา
ลักษณะการเข้าท�ำลายของหนอนกอลายจุดใหญ่ คือเมื่ออ้อยอายุ 5-6 เดือน หรืออ้อยอยู่ในระยะ
ย่่างปล้้อง ตััวเต็็มวััยของหนอนกอลายจุุดใหญ่่จะเริ่�มเข้้ามาวางไข่่ที่�ใบอ้้อย เมื่�อหนอนฟัักแล้้วเจาะที่�ยอดอ้้อย
ห่่างจากที่�วางไข่่ประมาณ 1 ปล้้อง หนอนเจาะเข้้าไปอยู่่�ข้้างในลำำ�ต้้นประมาณ 300-400 ตััว โดยเจาะเข้้าไป
รูเดียว และกดั ทำ� ลาย ถา้ เป็นอ้อยพันธ์ุที่ออ่ นแอหนอนจะเจาะไปถึงโคนต้น และกินเนอื้ อ้อยจนหมดเหลอื แต่เปลือก

กข ค

ก) ลักษณะการเขา้ ทำ� ลายของหนอนกอลายจุดใหญ่ Chilo tumidicostalis (Hampson)
(ที่�มา: สุมุ าลีี, 2563)
ข) ไข่ข่ องหนอนกอลายจุุดใหญ่่ Chilo tumidicostalis (Hampson)
(ที่มา: สถาบนั วจิ ัยพชื ไรแ่ ละพชื ทดแทนพลงั งาน, 2544)
ค) หนอนกอลายจดุ ใหญ่ Chilo tumidicostalis (Hampson)
(ที่�มา: สุมุ าลี,ี 2563)

เอกสารวชิ าการ 195

ชวี ภณั ฑ์ป้องกันกำ� จดั ศตั รูพื ช

การผลิตขยายชวี ภณั ฑ์

ผลติ ขยายโดยเกษตรกรเพ่ื อใชเ้ อง

กรมวิชาการเกษตรได้พัฒนาการผลิตขยายแมลงหางหนีบขาวงแหวนให้ได้ปริมาณมาก สามารถ
แจกจ่ายพ่อแม่พันธุ์และพันธุ์ขยายให้กับเกษตรกร หรือผู้สนใจน�ำไปเพาะเล้ียงเพ่ิมปริมาณและใช้ในการควบคุม
ศัตรูพืชตา่ งๆ การผลติ ขยายแมลงหางหนบี มีข้นั ตอนดงั นี้
1. น�ำแกลบด�ำหรือดินผสมเศษใบไม้แห้งตากแดดอย่างน้อย 3 วัน โดยพยายามพลิกแกลบหรือดินให้ท่ัว
เพ่ือท�ำลายโรคและแมลงชนดิ อน่ื ๆ
2. น�ำแกลบด�ำหรือดินผสมเศษใบไม้แห้งท่ีตากแดดแล้วใส่ในภาชนะส�ำหรับเล้ียง (กล่องหรือกะละมัง)
หนาประมาณ 3-4 เซนติเมตร หรอื คร่งึ กะละมัง พ่นน้ำ� บนแกลบดำ� ใหท้ ัว่ เพอ่ื ใหค้ วามช้นื
3. ใส่แมลงหางหนีบขาวงแหวนตัวเต็มวัยท่ีได้มาหรือที่เพาะเล้ียงไว้แล้ว โดยปาดเฉพาะส่วนหน้าลงใน
ภาชนะส�ำหรับเล้ียงที่มีแกลบด�ำหรือดินใหม่ ใส่อาหารแมวบนจานพลาสติกหรือฝาขวดน้�ำวางไว้บริเวณมุมกล่อง
ในส่วนแกลบด้านลา่ งเกบ็ ไว้เพื่อเล้ียงขยายต่อไป
4. สงั เกตความช้ืนบนแกลบดำ� หรอื ดิน เมื่อแกลบด�ำแห้งเตมิ หรอื พ่นน้�ำลงไปบนแกลบด�ำ หรือดนิ อย่เู สมอ
และในทกุ ๆ 3 วนั สงั เกตอาหารถ้าอาหารหมดให้เติมอาหารเพ่ิม
5. หลังจากย้ายกล่องประมาณ 30-45 วัน หรือเม่ือแมลงหางหนีบขาวงแหวนอายุ 30-40 วัน น�ำไป
ปลอ่ ยในไร่ หรอื นำ� ไปเลี้ยงเพมิ่ ปริมาณต่อไป

196 เอกสารวิชาการ

ชวี ภณั ฑ์ป้องกันก�ำจัดศัตรพู ื ช

การผลิติ ขยายแมลงหางหนีีบขาวงแหวน Euborellia annulipes (Lucas)

1 ตากแกลบด�ำ
อยา่ งนอ้ ย 3 วัน

2 ใสแ่ กลบด�ำในภาชนะ
ส�ำหรับเลย้ี ง
พ่นนำ้� เพื่อให้ความชื้น
ใส่แมลงหางหนีบ

3 ขาวงแหวน
ตัวเตม็ วยั
และอาหารแมว

4 พน่ นำ้� เม่ือแกลบแหง้
และเติมอาหารใหเ้ พียงพอ
แมลงหางหนบี ขาวงแหวน

5 อายุ 30-40 วัน สามารถนำ� ไป
ปล่อยในไร่ หรอื นำ� ไปเลี้ยง
เพ่ิมปรมิ าณ

เอกสารวชิ าการ 197

ชวี ภณั ฑป์ อ้ งกนั กำ� จัดศัตรูพื ช

การผลิตขยายแบบการคา้

วธิ กี ารผลิตขยาย

1. อบแกลบดำำ�ที่่�อุุณหภููมิิ 100 องศาเซลเซีียส นาน 3 ชั่�วโมง พลิิกกลัับให้้ทั่�ว เพื่�อทำำ�ลายโรคและ
แมลงชนิดิ อื่�นๆ ที่่�ติดิ มา
2. นำำ�แกลบดำำ�ที่่�ผ่่านการอบแล้้วมาใส่่ในกล่่องเลี้�ยงแมลงหนาประมาณ 3-4 เซนติิเมตร พ่่นน้ำำ��
บนแกลบดำำ�ให้ท้ ั่ �วเพื่ �อให้้ความชื้ �น
3. น�ำแมลงหางหนบี ขาวงแหวนตวั เต็มวัยใส่ลงในกลอ่ งจ�ำนวน 400 ตวั โดยใสเ่ พศผู้ 100 ตวั เพศเมีย
300 ตัว (อัตราสว่ น เพศผ:ู้ เพศเมยี เทา่ กับ 1:3)
4. ใส่่อาหารแมวลงบนฝาขวดน้ำำ��หรืือถ้ว้ ยฟอยล์ป์ ริมิ าณ 30 กรัมั /กล่อ่ ง
5. พน่ น้ำ� บนแกลบดำ� ใหม้ ีความชน้ื อยเู่ สมอทกุ สปั ดาห์
6. เปลี่�ยนอาหารทุุก 3 วััน เพื่�อป้้องกัันอาหารเน่่าเสีียหรืือเติิมอาหารเพิ่�มเมื่�ออาหารเดิิมหมด สลัับกัับ
ให้้ไข่่ผีีเสื้�อข้้าวสารหรือื แมลงขนาดเล็ก็ ชนิิดอื่�นเป็น็ อาหาร
7. ประมาณ 1 สัปดาห์ แมลงหางหนีบขาวงแหวนเพศเมียจะวางไข่เป็นกลุ่มๆ ละ 30-60 ฟอง
การปฏิบัติงานต้องระมัดระวังไม่ควรรบกวนแมลงหางหนีบขาวงแหวนเพศเมียและกลุ่มไข่โดยไม่จ�ำเป็น
เพราะอาจทำ� ใหต้ ัวแม่เกดิ ความเครยี ดจนกินไขข่ องตัวเองได้
8. เมอ่ื ตวั อ่อนฟกั ออกมาประมาณ 14 วนั จงึ แยกไปเลี้ยงในกล่องใหม่
9. แมลงหางหนีบขาวงแหวนอายุ 30-40 วัน สามารถน�ำไปปล่อยเพ่ือควบคุมศัตรูพืช และส่วนหนึ่ง
นำ� ไปเพาะเลย้ี งเพ่ิมปริมาณในอตั ราสว่ นเช่นเดมิ

ข้อควรระวงั

l ตัวเต็มวัยเพศเมียมีนิสัยหวงไข่ ไม่ควรแยกไข่ออกมาเพื่อเพาะขยายหรือรบกวนไข่แมลงเกินไป
ท�ำให้ตัวแม่เกิดความเครียดจนกินไข่ของตัวเองได้ ดังนั้นควรรอจนตัวอ่อนฟักออกจากไข่หมด (ถ้าอยากจะ
แยกกล่อง ควรรออยา่ งนอ้ ย 14 วัน จงึ แยกไปเล้ียงในกล่องใหม่)
l ในการผสมพันธุ์จ�ำเป็นต้องแยกเพศของแมลงหางหนีบขาวงแหวนให้ได้ เพื่อจับผสมพันธุ์ตามอัตรา
ทแ่ี นะน�ำ คือ เพศผู:้ เพศเมยี เทา่ กับ 1:3
l การเล้ียงในกล่องควรเจาะรูที่ฝาและปิดฝาให้มิดชิด หากเล้ียงในกะละมังควรคลุมให้มิดชิดด้วย
ผ้าขาวบางหรอื มีฝาปิดด้านบนเพ่ือปอ้ งกันจงิ้ จกหรือนกมากินได้

198 เอกสารวชิ าการ

ชีวภัณฑ์ปอ้ งกันก�ำจดั ศตั รพู ื ช

การผลิิตขยายแมลงหางหนีีบขาวงแหวน Euborellia annulipes (Lucas) แบบการค้้า

1 2 3
อบแกลบดำ� ใส่แกลบด�ำ พ่นน้�ำ
ในภาชนะ
ทอ่ี ุณหภูมิ 100 Cํ ส�ำหรบั เลีย้ ง เพือ่ ให้ความชื้น
นาน 3 ชั่วโมง

4 5 6
ใส่แมลงหางหนบี ใสอ่ าหารแมว พน่ น้�ำบนแกลบด�ำ
30 กรมั /กลอ่ ง ให้มคี วามชนื้ อยูเ่ สมอ
ขาวงแหวนตัวเต็มวยั
400 ตวั (อตั รา 1:3)

7 8 ปล่อยไว้ 14 วนั 9 30-40 วัน
เปล่ยี นหรอื เตมิ อาหาร แมลงหางหนบี แบ่งเปน็ 2 สว่ น คอื
ทุก 3 วนั สลับกบั นำ� ไปปลอ่ ย และ
ขาวงแหวนเพศเมีย เล้ียงขยายเพิ่มปรมิ าณ
แมลงชนดิ อน่ื ๆ วางไขเ่ ปน็ กลุ่มๆ

เอกสารวิชาการ 199

ชีวภัณฑ์ปอ้ งกนั กำ� จดั ศัตรูพื ช

Link / QR code / Clip ของชีวภณั ฑ์
https://www.youtube.com/watch?v=yhXP0CKeEg8
https://www.youtube.com/watch?v=imLLsEuOJpI
https://www.youtube.com/watch?v=in5wVC6fots

บรรณานกุ รม
ณััฐกฤต พิิทัักษ์์ และอนุุวััฒน์์ จัันทรสุุวรรณ. 2544. แมลงศััตรููอ้้อยโรงงาน อ้้อยเคี้้�ยว อ้้อยคั้้�นน้ำำ�� และ

การป้้องกัันกำำ�จััด. เอกสารวิิชาการ กลุ่�มงานวิิจััยแมลงศััตรููข้้าวโพดและพืืชไร่่อื่�นๆ. กองกีีฏ
และสััตววิทิ ยา กรมวิิชาการเกษตร กรุุงเทพฯ.
ณััฐกฤต พิิทัักษ์์ และเฉลิิมวิิทย์์ ปะสัันตา. 2546. การป้้องกัันกำำ�จััดหนอนกออ้้อยโดยวิิธีีผสมผสานจัังหวััด
นครสวรรค์.์ หน้้า 22-26. ใน: รายงานการประชุุมวิชิ าการอ้อ้ ยและน้ำ�ำ� ตาลทรายครั้�งที่่� 5. วัันที่� 20-22
สิิงหาคม 2546 ณ โรงแรมจอมเทีียนปาล์์มบีชี พัทั ยา จัังหวัดั ชลบุุรีี.
ณััฐกฤต พิิทักั ษ์์. 2548. การวิิจัยั เทคโนโลยีกี ารใช้แ้ มลงหางหนีีบในการควบคุุมหนอนกออ้อ้ ย. สถาบัันวิิจัยั พืชื ไร่่
และพืชื ทดแทนพลัังงาน. กรมวิชิ าการเกษตร กรุงุ เทพฯ.
ณััฐกฤต พิิทัักษ์์ และสุุพจน์์ กิิตติิบุุญญา. 2550. การป้้องกัันกำำ�จััดหนอนกออ้้อยโดยชีีววิิธีี (แมลงหางหนีีบ).
รายงานผลวิิจัยั สิ้�นสุุด สถาบันั วิจิ ัยั พืืชไร่.่ กรมวิชิ าการเกษตร กรุุงเทพฯ. 7 หน้้า.
พิิสุุทธิ์� เอกอำำ�นวย. 2562. โรคและแมลงศัตั รูพู ืืชที่่ส� ำ�ำ คััญ. พิิมพ์์ครั้�งที่� 6 พิิพิิธภัณั ฑ์แ์ มลงสยาม. เชีียงใหม่่. 982 หน้้า.
วััชรา ชุุณหวงศ์์. 2544. การป้้องกัันกำำ�จััดแมลงศััตรููข้้าวโพดหวานโดยวิิธีีผสมผสาน. ใน: เทคโนโลยีีทางเลืือก
สำำ�หรับั “ไอ พีี เอ็ม็ ”. กองกีีฏและสััตววิิทยา กรมวิชิ าการเกษตร. หน้า้ 284-302.
วิิวััฒน์์ เสืือสะอาด. 2539. แมลงศััตรููธััญพืืชและพืืชไร่่และศััตรููธรรมชาติิ. ศููนย์์วิิจััยควบคุุมศััตรููพืืชโดยชีีวิินทรีีย์์
แห่ง่ ชาติิ ภาคกลาง มหาวิทิ ยาลัยั เกษตรศาสตร์์ วิิทยาเขตกำำ�แพงแสน จังั หวััดนครปฐม. 199 หน้า้ .
สมชััย สุวุ งศ์์ศัักดิ์์�ศรีี ภััทรพร สรรพนุุเคราะห์์ และนัันทนััช พินิ ศรี.ี 2561. แมลงหางหนีีบขาวงแหวน [แผ่่นพัับ].
สำำ�นัักวิิจัยั พััฒนาการอารัักขาพืืช กรมวิิชาการเกษตร. กรุุงเทพฯ.
Blatchley, W. S. 1920, Orthoptera. Northeastern America.
Douang-Boupha, B., T. Jamjanya, W. Khlibsuwan, N. Siri and Y. Hanboonsong. 2006. Mornitoring
of insect pests, natural enemies of sweet corn and study on control methods in
Khon Kaen University. Khon Kaen Agr. J. 34(1): 1-11.

200 เอกสารวชิ าการ

ชีวภณั ฑ์ปอ้ งกันก�ำจดั ศัตรูพื ช

Klostermeyer, E. C. 1942. The life history and habits of the ring legged earwig, Euborellia
annulipes (Lucus) (Order Dermaptera). J. Kans. Entomol. Soc. 15(1): 13-18.

Koppenhöfer, A.M. 1995. Bionomics of the earwig species Euborellia annulipes in Western
Kenya (Dermaptera: Carcinophoridae). Entomologia Generalis. 20(1/2): 81-85.

Neiswander, C. R. 1944. The Ring-legged Earwig, Euborellia annulipes (Lucas). Ohio
Agricultural Experiment Station. Wooster. Ohio Bul. 648: 14.

Nonci, N. 2005. Biology and intrinsic growth rate of earwig Euborellia annulata. Indones.
J. Agric. Sci. 6(2): 69-74.

Silva, A. B., J. L. Batista and C. H. Brito. 2010. Biological aspects of Euborellia annulipes
(Dermaptera: Anisolabididae) fed with the aphid Hyadaphis foeniculi (Hemiptera:
Aphididae). Caatinga. 23(1): 21-27.

Situmorang, J., and B. P. Gabriel. 1988. Biology of two species of predatory earwigs
Nala lividipes (Dufour) (Dermaptera: Labiduridae) and Euborellia annulata (Fabricius)
(Dermaptera: Carconophoridae). Philipp. Entomol. 7(3): 215-238.

ตดิ ตอ่ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: กลุ่มงานวิจยั การปราบศตั รูพืชทางชีวภาพ กล่มุ กฏี และสตั ววทิ ยา
สำ� นกั วิจยั พฒั นาการอารักขาพชื   โทร. 02-5797580 ตอ่ 134

เอกสารวิชาการ 201

ชีวภัณฑ์ปอ้ งกนั กำ� จัดศตั รูพื ช

ชวี ภัณฑป์ ้องกันกำ� จัดไรศตั รพู ื ช

ไรตัวหำ้�

Amblyseius longispinosus

ชือ่ วทิ ยาศาสตร:์ Amblyseius longispinosus (Evans)
ชอ่ื สามัญ: predatory mite/ ไรตัวห�ำ้
วงศ์: Phytoseiidae
อันดบั : Acari

ทม่ี าและความสำ� คญั /ปัญหาศัตรูพื ช
ไรศัตรูพืชระบาดท�ำความเสียหายแก่พืชในสภาพไร่ บางชนิดปนเปื้อนไปกับผลผลิตทางการเกษตร
ดอก หรือต้นของพืชส่งออก บางชนิดเป็นพาหะในการน�ำโรคต่างๆ ของพืช โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากไวรัส
ปััญหาในเรื่�องไรศััตรููพืืชนัับวัันจะทวีีความสำำ�คััญมากขึ้�นเป็็นลำำ�ดัับ เนื่�องจากไรเป็็นศััตรููพืืชที่่�มีีขนาดเล็็ก
ยากแก่่การสัังเกตได้้ด้้วยตาเปล่่า อาการที่�เกิิดจากการทำำ�ลายของไรในระยะแรกเริ่�มมัักไม่่ปรากฏชััด เกษตรกร
จึึงรู้้�ตััวเมื่�อพืืชผลได้้รัับความเสีียหายและการระบาดของไรรุุนแรงจนยากในการป้้องกัันกำำ�จััด ไรศััตรููพืืชที่�ระบาด
รุุนแรงทำำ�ความเสีียหายให้้กัับพืืชเศรษฐกิิจสำำ�คััญหลายชนิิด เช่่น ไรแดงแอฟริิกัันระบาดในส้้มเขีียวหวาน ส้้มโอ
ทุเรียน และมะละกอ ไรขาวพริกระบาดในพริก ส้มโอ มังคุด ถั่วฝักยาว และถ่ัวเขียว ไรสนิมส้มระบาดในส้ม
และมะนาว ไรแมงมุมคนั ซาวา ระบาดในมะละกอ และกุหลาบ ไรสองจุดระบาดในสตรอว์เบอรร์ ี กุหลาบ และ
ไม้ดอกเมืองหนาว เป็นต้น การควบคุมไรศัตรูพืชโดยการใช้ไรตัวห้�ำเป็นทางเลือกหนึ่งส�ำหรับการเพาะปลูกพืช
ตามนโยบายลดการใช้สารเคมีก�ำจัดแมลง การปลูกพืชโดยใช้หลักการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน และ
การปลูกพืชอินทรีย์ ความเป็นไปได้ที่จะใช้วิธีการควบคุมไรศัตรูพืชโดยชีววิธีโดยใช้ไรตัวห�้ำ อาจเริ่มต้นด้วย
การอนุรักษ์ไรตัวห�้ำไว้ให้ได้มากที่สุดในธรรมชาติ หรือก้าวหน้าจนถึงมีการผลิตขยายไรตัวห�้ำ แล้วน�ำไปปล่อย
สสู่ ภาพแวดล้อมให้มบี ทบาทในการควบคมุ ไรศตั รพู ืชไม่ใหม้ ีการระบาดเกนิ ระดับการทำ� ลายทางเศรษฐกจิ ตอ่ ไป

202 เอกสารวชิ าการ

ชีวภณั ฑป์ อ้ งกันก�ำจดั ศัตรูพื ช

ไรตวั ห้�ำชนิดท่พี บปะปนอยู่กับไรศตั รพู ชื หลายชนดิ มีพืชอาศยั กว้าง พบในทุกภาคของประเทศไทย คอื
Amblyseius longispinosus (Evans) ซงึ่ ภายหลังนกั อนุกรมวิธานไรได้จดั ล�ำดับไรในวงศ์ Phytoseiidae ใหม่
และเปล่ียนให้ไรชนิดนี้อยู่ในสกุล Neoseiulus ในเอกสารบางฉบับจึงเขียนชื่อวิทยาศาสตร์ไรตัวห�้ำชนิดนี้ว่า
Neoseiulus longispinosus (Evans) หรือ Neoseiulus (=Amblyseius) longispinosus (Evans) หรือ
Amblyseius (=Neoseiulus) longispinosus (Evans) เน่ืองจากงานวิจัยเกี่ยวกบั ไรตัวห้ำ� ชนิดนม้ี ีขอ้ มูลท่ีเป็น
ชอ่ื เดิมหลายฉบบั ในเอกสารวิชาการนีจ้ ึงขอใช้ชอื่ เดิมว่า Amblyseius longispinosus (Evans)
ไรตัวั ห้ำำ�� A. longispinosus เป็็นไรตััวห้ำำ��ที่่�พบได้ท้ั่�วๆ ไปในทวีปี เอเชียี ตะวันั ออกเฉียี งใต้้ ถูกู พบครั้�งแรก
ในประเทศไทย ปีี ค.ศ. 1977 โดย Ehara and Bhandhufalck ต่่อมา วััฒนา และคณะ พบไรตััวห้ำำ��ชนิิดนี้�
ทั่วทุกภาคของประเทศทง้ั บนพืชไร่ พืชผกั ไม้ผล และวัชพชื หลายชนดิ

วงจรชวี ติ
ไรตัวห้�ำ A. longispinosus วางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ ไข่มีลักษณะขาวใส รูปร่างกลมรี มีขนาดกว้าง
0.23 มิลลิเมตร ยาว 0.35 มิลลิเมตร ตัวอ่อนวัย 1 มีขา 6 ขา ล�ำตัวขาวใส ตัวอ่อนวัย 2 เริ่มมีขา 8 ขา
ล�ำตัวขาวใสเช่นกัน เม่ือลอกคราบเป็นตัวอ่อนวัย 3 ล�ำตัวเริ่มเปล่ียนเป็นสีเหลืองส้ม และเมื่อเป็นตัวเต็มวัย
เพศเมีียมีีรููปร่่างอ้้วนกลม ก้้นป้้าน สีีแดงมัันวาว ความเข้้มของสีีบนลำำ�ตััวขึ้�นอยู่่�กัับชนิิดอาหารที่�ไรกิิน เพศเมีีย
มีีขนาด 0.4x0.55 มิิลลิิเมตร ส่่วนเพศผู้้�มีีรููปร่่างผอมยาวรููปไข่่ลำำ�ตััวเล็็กกว่่าเพศเมีีย มีีขนาด 0.26x0.40 มิิลลิิเมตร
ลำำ�ตััวสีีส้้มเหลืืองมัันวาว ไรตััวห้ำำ��มีีลัักษณะเด่่นคืือตััวอ่่อนและตััวเต็็มวััยวิ่�งได้้รวดเร็็วกว่่าไรแมงมุุม มีีขายาว
โดยเฉพาะขาคหู่ นา้ ซงึ่ ใช้ช่วยในการจบั เหยอื่

ไข่ ตัวออ่ นวัย 1 ตัวอ่อนวัย 2 ตัวอ่อนวยั 3 ตัวเต็มวัย
(egg) (larva) (protonymph) (deutonymph) (adult)

ระยะการเจริญเติบโตของไรตวั หำ�้ Amblyseius longispinosus (Evans)

ระยะการเจริญเติบโตของไรตัวห้�ำ A. longispinosus ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารท่ีกิน จากการศึกษา
ระยะการเจรญิ เติบโตของไรตัวห�้ำโดยใช้ไรศัตรูพชื ชนิดต่างๆ เปน็ อาหาร มดี งั น้ี

เอกสารวิชาการ 203

ชีวภณั ฑป์ อ้ งกนั กำ� จัดศตั รพู ื ช

วงจรชีวิตของไรตัวห้�ำ Amblyseius longispinosus (Evans) เม่ือเล้ียงด้วยไรแดงหม่อน
Tetranychus truncatus Ehara เปน็ อาหาร
ไรตัวห�้ำเจริญเติบโตได้ดีโดยการเลี้ยงด้วยไรแดงหม่อน โดยมีการเจริญเติบโตจากไข่เป็นตัวเต็มวัย ใช้เวลา
5-6 วัน สรุประยะการเจรญิ เติบโตในวยั ต่างๆ ของไรตวั ห�ำ้ ดงั นี้

วงจรชีวิตของไรตัวห�้ำ Amblyseius longispinosus (Evans) เม่ือเลี้ยงด้วยไรแดงหม่อน
Tetranychus truncatus Ehara

ระยะการเจรญิ เติบโต ระยะการเจรญิ เติบโต (วนั )
ระยะไข่ (เพศผ)ู้ 2.16
ระยะไข่ (เพศเมยี ) 2.37
ตัวอ่อนวยั 1-3 (เพศผ)ู้ 2.41
ตัวอ่อนวยั 1-3 (เพศเมีย) 2.37
ระยะไข-่ ตัวเตม็ วยั (เพศผ)ู้ 5.5
ระยะไข่-ตวั เตม็ วยั (เพศเมยี ) 6.0

วงจรชีวติ ของไรตัวห�้ำ Amblyseius longispinosus (Evans) เม่อื เล้ียงด้วยไรสองจดุ Tetranychus
urticae Koch เป็นอาหาร
จากการศึกษาวงจรชีวิตของไรตัวห�้ำท่ีเลี้ยงด้วยไรสองจุด พบว่ามีวงจรชีวิตส้ันมาก โดยมีการเจริญเติบโต
จากไขเ่ ป็นตัวเตม็ วยั ใช้เวลาประมาณ 3.8 วัน เท่านนั้ สรปุ ระยะการเจรญิ เติบโตในวัยต่างๆ ของไรตวั หำ�้ ดังน้ี

วงจรชีวิตของไรตัวห�้ำ Amblyseius longispinosus (Evans) เพศเมียเมื่อเล้ียงด้วยไรสองจุด
Tetranychus urticae Koch

ระยะการเจรญิ เติบโต ระยะการเจริญเติบโต (วนั )
ระยะไข่ 1.42
ตวั ออ่ นวยั 1 0.54
ตวั อ่อนวัย 2 0.75
ตวั อ่อนวยั 3 1.05
ระยะไข-่ ตวั เต็มวยั 3.76

204 เอกสารวิชาการ

ชวี ภัณฑ์ปอ้ งกันก�ำจดั ศัตรูพื ช

อาหารและอุปนิสยั การกนิ เหย่อื ของไรตวั หำ�้ Amblyseius longispinosus (Evans)

ไรตััวห้ำำ��ชอบวางไข่่อยู่�ใต้้เส้้นใยของไรแมงมุุม หรืืออยู่�ใกล้้ฐานเส้้นใบพืืช หรืือส่่วนที่�ใบพืืชโค้้งงอ
เป็็นแอ่่งหลุุม เพราะไรตััวห้ำำ��ต้้องการใช้้เป็็นเกราะกำำ�บัังกลุ่�มไข่่ เมื่�อไรตััวห้ำำ��อาศััยปะปนอยู่่�กัับกลุ่�มของ
ไรแมงมุุม จะสัังเกตเห็็นได้้ว่่าไรตััวห้ำำ��เคลื่�อนไหวได้้รวดเร็็วกว่่าไรแมงมุุม อย่่างไรก็็ตามการแยกความแตกต่่าง
ระหว่่างไรตัวั ห้ำำ��และไรแมงมุมุ ด้ว้ ยตาเปล่า่ ทำำ�ได้ย้ าก วิธิ ีีที่่�ดีีที่่�สุุดจึึงควรส่่องดููไรด้้วยแว่่นขยายกำำ�ลัังขยาย 10 เท่า่ ขึ้้�นไป
เพื่�อเห็็นลัักษณะของไข่่ สีขี องลำำ�ตัวั และขาคู่่�หน้า้ ของไรตััวห้ำำ��
อุุปนิิสัยั การกิินเหยื่�อ ไรตัวั ห้ำำ��จะใช้้ขาคู่่�หน้า้ ช่่วยในการจัับเหยื่�อ จากนั้�นใช้้อวััยวะคล้้ายก้้ามปูู (chelicerae)
ยึึดเหยื่�อไว้้ แล้้วใช้้ส่่วนของเข็็มแหลม (stylets) เจาะลงบนเหยื่�อ ถ้้าเหยื่�อนั้�นมีีแผ่่นแข็็งคลุุมด้้านหลััง
ไรตัวห้�ำจะเลือกเจาะทางด้านข้างของล�ำตัว เม่ือไรตัวห้�ำดูดของเหลวในล�ำตัวเหยื่อจนเหยื่อแห้งแล้วจึง
ปล่่อยเหยื่�อ และหลบอยู่�ใต้้ซากเหยื่�อที่�ตายแล้้ว จากการศึึกษาพบว่่าไรตััวห้ำำ��หลัังฟัักออกจากไข่่เป็็นตััวอ่่อนวััย 1
จะไม่่กิินอาหาร เริ่�มกิินอาหารเมื่�อเป็็นระยะตััวอ่่อนวััย 2 และพบว่่าระยะที่่�ต้้องการอาหารมากที่่�สุุด คืือ ระยะ
เพศเมีียที่่�กำำ�ลัังจะวางไข่่ ทั้�งนี้�เพราะต้้องการพลัังงานในการผลิิตไข่่ ไรตััวห้ำำ��ชอบเลืือกกิินไข่่ของไรแมงมุุม
มากกว่่ากิินตััวอ่่อนหรืือตััวเต็็มวััยของไรแมงมุุมในระยะที่�เคลื่�อนไหวได้้ ส่่วนระยะที่�ไรแมงมุุมเป็็นดัักแด้้กำำ�ลัังพัักตััว
เพื่�อจะลอกคราบ ไรตัวั ห้ำำ��ไม่่ชอบกินิ เพราะมีคี วามยากลำำ�บากในการเจาะเปลือื กหุ้�มลำำ�ตัวั ดักั แด้้ของไรแมงมุมุ

กลไกการทำ� ลายศัตรูพื ช
ไรตััวห้ำำ�� A. longispinosus กิินเหยื่�อแบบเฉพาะเจาะจง (specialist) โดยกิินเหยื่�อเฉพาะที่�เป็็น
ไรแมงมุมุ ในวงศ์์ Tetranychidae บางสกุุลเท่า่ นั้้�น ตััวอ่่อนวัยั 1 (larva) ไม่่กินิ อาหาร แต่่ตัวั อ่อ่ นวััย 2 และ 3
กิินได้้ทั้�งไข่่และตััวอ่่อนทุุกระยะของไรแมงมุุม จำำ�นวนเหยื่�อที่่�กิินได้้ขึ้�นอยู่่�กัับประชากรเหยื่�อ อุุณหภููมิิ และ
ความชื้�นสััมพััทธ์์ของสภาพแวดล้้อม เมื่�ออุุณหภููมิิสููงขึ้�นและความชื้�นสััมพััทธ์์ในอากาศลดลง ไรตััวห้ำำ��จะ
กิินไรแมงมุุมได้้มากขึ้�น แต่่ถ้้าความชื้�นในอากาศต่ำำ��กว่่า 60% การเจริิญเติิบโต และเปอร์์เซ็็นต์์การฟัักไข่่ของ
ไรตััวห้ำำ��จะลดลง ไรตััวห้ำำ��เพศเมีียกิินตััวอ่่อนของไรแมงมุุมได้้วัันละ 20-30 ตััว กิินไข่่ได้้สููงถึึงเฉลี่�ยวัันละ
70-80 ฟอง ทั้�งนี้�แล้้วแต่่ชนิิดของไรตััวห้ำำ��และเหยื่�อ เพศเมีียกิินเหยื่�อเพื่�อใช้้เป็็นพลัังงานในการผลิิตไข่่ บางครั้�ง
พบว่่าไรตััวห้ำำ��สามารถวางไข่ไ่ ด้ถ้ ึงึ 5 ฟอง/วััน ซึ่�งมีีน้ำำ��หนักั มากกว่า่ น้ำำ��หนักั ของตัวั มัันเอง

เอกสารวิชาการ 205

ชวี ภัณฑป์ ้องกนั กำ� จดั ศตั รูพื ช

กข

ก) ตัวั เต็ม็ วััยเพศเมีียของไรตััวห้ำำ�� Amblyseius longispinosus (Evans)
ดููดกิินตััวอ่่อนของไรสองจุุด Tetranychus urticae Koch
ข) ตัวั เต็ม็ วัยั เพศเมีียของไรตัวั ห้ำำ�� Amblyseius longispinosus (Evans)
ดูดู กิินไข่ข่ องไรสองจุดุ Tetranychus urticae Koch

ลักษณะเดน่ ของไรตวั ห�้ำ Amblyseius longispinosus (Evans)

1. ตััวอ่่อนและตััวเต็็มวััยวิ่�งได้้ว่่องไวมาก ขาคู่่�หน้้ายาวใช้้ในการจัับเหยื่�อเมื่�อไรตััวห้ำำ��อยู่�ปะปนกัับ
ไรศััตรููพืืชอื่�นๆ จะสังั เกตได้้ง่า่ ย คืือลัักษณะของลำำ�ตัวั มัันวาว และวิ่�งไปมาได้อ้ ย่า่ งรวดเร็ว็
2. วงจรชวี ติ ของไรตวั ห�้ำจากไขเ่ ป็นตวั เต็มวัยสน้ั เพียง 3.8 วัน ตัวเตม็ วัยมอี ายปุ ระมาณ 15 วนั
3. ไรตวั หำ้� 1 ตัว ดดู กินไข่ไรสองจุดได้มากถงึ วนั ละ 80 ฟอง กนิ ตวั ออ่ นได้วนั ละ 12-13 ตัว
4. มกี ารเจรญิ เตบิ โตเพิ่มประชากรได้รวดเร็ว โดยวางไข่ได้วันละ 3-4 ฟอง
5. ค่อนขา้ งทนทานตอ่ สารป้องกันก�ำจัดศัตรพู ชื บางชนิด
6. เพาะเลย้ี งขยายได้งา่ ย

วิธีการใช้ชีวภัณฑ์ควบคมุ ศัตรูพื ช
ไรตัวห�้ำ A. longispinosus ที่ทดสอบในห้องปฏิบัติการหรือในระดับโรงเรือนทดลองแล้วพบว่ามี
ศักยภาพดีสามารถควบคุมไรศัตรูพืชบางชนิดได้ บางชนิดท�ำการทดสอบจนประสบความส�ำเร็จในสภาพไร่
แตบ่ างชนดิ ตอ้ งมีการศกึ ษาเพิ่มเติม

206 เอกสารวิชาการ

ชีวภัณฑป์ อ้ งกันก�ำจัดศตั รูพื ช

ไรตวั หำ้� Amblyseius longispinosus (Evans) ท่มี ีศกั ยภาพควบคุมไรศตั รูพืชบนพชื เศรษฐกจิ
ในประเทศไทย

ไรตวั หำ้� ไรศตั รพู ชื พชื
Amblyseius longispinosus ไรสองจดุ Tetranychus urticae Koch สตรอว์เบอรร์ ี 1/
ไรสองจดุ Tetranychus urticae Koch กุหลาบ1/
ไรแมงมมุ คนั ซาวา Tetranychus kanzawai Kishida กุหลาบ1/
ไรแดงอัญชนั Tetranychus piercei McGregor แตงกวายุโรป2/
ไรแดงแอฟรกิ ัน Eutetranychus africanus (Tucker) สม้ 3/
ไรเหลอื งสม้ Eotetranychus cendanai Rimando ส้ม3/
ไรแดงแอฟรกิ ัน Eutetranychus africanus (Tucker) ทเุ รยี น3/

1/ใช้ไ้ รตัวั ห้ำำ��ควบคุุมไรศัตั รูพู ืืชในสภาพไร่ไ่ ด้ส้ ำำ�เร็็จแล้ว้
2/ใช้ไรตวั หำ�้ ควบคมุ ไรศตั รพู ืชระดบั โรงเรือนไดส้ �ำเรจ็ แลว้ ยงั ไมไ่ ดท้ ดสอบในสภาพไร่
3/ทดสอบใชใ้ นสภาพไร่แล้วไมไ่ ดผ้ ล ต้องศกึ ษาเพิ่มเตมิ

1. การใช้ไรตวั หำ้� Amblyseius longispinosus (Evans) ควบคุมไรสองจุด
ในสตรอวเ์ บอร์รี

ไรสองจุดุ Tetranychus urticae Koch เป็็นศัตั รููที่่�สำำ�คัญั ของสตรอว์เ์ บอร์์รีี พบระบาดทั่�วๆ ไปทุกุ แหล่่ง
ปลููกสตรอว์์เบอร์์รีี การเจริิญเติิบโตของไรสองจุุดจากไข่่เป็็นตััวเต็็มวััยประมาณ 8-9 วััน สามารถเพิ่�มจำำ�นวน
ประชากรได้้รวดเร็็ว มีีพืืชอาศััยหลายชนิิด นอกจากนี้้�ยัังเป็็นศััตรููของพืืชเศรษฐกิิจที่�ปลููกในที่่�สููง และพื้�นที่่�ที่่�มีี
อากาศค่่อนข้า้ งหนาวเย็น็ เช่่น กุหุ ลาบ คาร์เ์ นชั่�น เบญจมาศ เป็น็ ต้น้

กข

ก) ตััวอ่อ่ นไรสองจุุด Tetranychus urticae Koch
ข) ตััวเต็็มวััยไรสองจุดุ Tetranychus urticae Koch

เอกสารวิชาการ 207

ชวี ภณั ฑ์ปอ้ งกนั กำ� จดั ศตั รพู ื ช

ลกั ษณะการทำ� ลายของไรสองจดุ บนสตรอวเ์ บอร์รี

ไรสองจุุดทำำ�ลายสตรอว์์เบอร์์รีีด้้านใต้้ใบ ทำำ�ให้้ใบด้้านบนมองเห็็นเป็็นจุุดประสีีเหลืือง เมื่�อการทำำ�ลาย
เพิ่�มขึ้�นจะสร้้างใยคลุุม ใบเปลี่�ยนเป็็นสีีน้ำำ��ตาล เหี่�ยวแห้้ง ถ้า้ ทำำ�ลายอย่่างรุุนแรง ต้้นสตรอว์เ์ บอร์์รีจี ะแคระแกร็็น
ผลผลิิตลดลง การทำำ�ลายในต้้นฤดููปลููกมีีผลกระทบต่่อผลผลิิตตลอดทั้�งฤดูู การระบาดของไรสองจุุดรุุนแรง
ในช่่วงเดืือนกุุมภาพัันธ์์-มีีนาคม ซึ่�งเป็็นช่่วงที่�สตรอว์์เบอร์์รีีกำำ�ลัังให้้ผลผลิิตสููงสุุด มีีการเก็็บเกี่�ยวผลสดทุุกวััน
เกษตรกรจึึงไม่่มีีการเว้้นระยะการใช้้สารกำำ�จััดไรก่่อนเก็็บเกี่�ยว นอกจากนั้�นไรสองจุุดสามารถต้้านทานสารกำำ�จััดไร
ได้้รวดเร็็ว การระบาดของไรจึึงรุุนแรงมากขึ้�นเรื่�อยๆ ดัังนั้�นการใช้้ไรตััวห้ำำ��ในการควบคุุมไรสองจุุดจึึงเป็็น
ทางเลืือกหนึ่ �งซึ่ �งใช้้ได้้ผล

ไรสองจดุ Tetranychus urticae Koch ดดู กินใตใ้ บสตรอวเ์ บอร์รี

ค�ำแนะน�ำวิธกี ารใช้ไรตวั ห้�ำ Amblyseius longispinosus (Evans) ควบคมุ ไรสองจุด

ปล่อ่ ยไรตััวห้ำำ��อัตั รา 2-5 ตัวั /ต้น้ หรืือประมาณ 5,300-13,300 ตััว/แปลงสตรอว์์เบอร์ร์ ีีในพื้�นที่� 1 งาน
(400 ตารางเมตร) ให้้เริ่�มปล่่อยทัันทีีเมื่�อพบไรสองจุุดเข้้าทำำ�ลายใบ (พบ 1-2 ตััว/ใบย่่อย) โดยการวางใบถั่�ว
ที่่�มีีไรตััวห้ำำ��ลงบนทรงพุ่�มสตรอว์์เบอร์์รีี ปล่่อยไรตััวห้ำำ��เป็็นระยะๆ ห่่างกัันครั้�งละประมาณ 2 สััปดาห์์ แต่่
หากพบไรสองจุุดระบาดมาก (พบ 15-20 ตััว/ใบย่่อย) ต้้องปล่่อยไรตััวห้ำำ��ในอััตราสููงประมาณ 30-50 ตััว/ต้้น
จำำ�นวน 3-4 ครั้�งตลอดฤดููปลููก จึึงจะสามารถควบคุุมการระบาดของไรสองจุุดได้้ ในกรณีีที่่�มีีเพลี้�ยไฟระบาด
ในแปลงปลููกด้้วยควรใช้้สารอิิมิิดาคลอพริิด (imidacloprid) ห่่างกััน 10-14 วััน หลัังจากนั้�นจึึงปล่่อยไรตััวห้ำำ��
ต่่อไปจนกระทั่�งควบคุุมไรสองจุุดได้้ หากพบหนอนกระทู้้�ผััก หรืือหนอนกระทู้�ชนิิดอื่�นๆ กััดกิินใบอ่่อนให้้ใช้้
เชื้�อบีที ีี (Bt) พ่น่ พร้้อมกับั การปล่อ่ ยไรตััวห้ำำ��

208 เอกสารวิชาการ

ชีวภณั ฑป์ ้องกนั ก�ำจัดศัตรูพื ช

ปลอ่ ยไรตวั ห้�ำ Amblyseius longispinosus (Evans) บนทรงพุม่ สตรอว์เบอร์รี
เพ่ือควบคุมไรสองจดุ Tetranychus urticae Koch

2. การใชไ้ รตัวหำ�้ Amblyseius longispinosus (Evans) ควบคุมไรศตั รูกุหลาบ

ไรทเี่ ป็นศตั รขู องกหุ ลาบมี 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ ไรแมงมุมคนั ซาวา Tetranychus kanzawai Kishida และ
ไรสองจดุ Tetranychus urticae Koch ไรท้งั 2 ชนดิ มลี กั ษณะการท�ำลายบนกุหลาบคลา้ ยกนั

ลกั ษณะการทำ� ลายของไรศัตรูกุหลาบ

ตััวอ่่อนและตััวเต็็มวััยของไรดููดทำำ�ลายอยู่�บริิเวณใต้้ใบกุุหลาบ โดยสร้้างใยขึ้�นปกคลุุมผิิวใบบริิเวณที่�ไร
อาศััยอยู่�รวมกััน ใบกุุหลาบที่่�ถููกไรชนิิดนี้้�ดููดทำำ�ลายในระยะแรกจะมีีรอยประสีีขาวเป็็นจุุดเล็็กๆ ปรากฏขึ้้�นที่�
บริิเวณหน้้าใบ ต่่อมาจุุดประสีีขาวแผ่่ขยายออกเป็็นบริิเวณกว้้างทำำ�ให้้ใบมีีอาการเหลืืองซีีด ถ้้าการทำำ�ลาย
ยัังคงดำำ�เนิินอยู่�อย่่างต่่อเนื่�องอาจมีีผลทำำ�ให้้กุุหลาบทั้�งต้้นทิ้�งใบและแห้้งตายเหลืือแต่่กิ่�ง เมื่�อถึึงระยะนี้�ไรจะ
ไต่่ขึ้ �นไปรวมกัันแน่่นอยู่ �ตรงบริิเวณยอดและปลายกิ่ �งพร้้อมกัับสร้้างเส้้นใยทิ้ �งตััวลงมาเพื่ �อรอเวลาให้้ลมพััดปลิิว
ไปตกยัังพืืชอาศััยต้้นใหม่่ต่่อไป เนื่�องจากการระบาดของไรชนิิดนี้�เกิิดขึ้�นเกืือบตลอดทั้�งปีี จึึงพบการต้้านทาน
ต่อ่ สารกำำ�จััดไรในหลายพื้�นที่�ปลูกู กุุหลาบ

ลักษณะการท�ำลายของไรศตั รูกหุ ลาบบนดอก ยอดอ่อน และใบแก่

เอกสารวิชาการ 209

ชวี ภณั ฑ์ปอ้ งกันกำ� จัดศัตรูพื ช

ค�ำแนะน�ำวิธกี ารใชไ้ รตวั ห้�ำ Amblyseius longispinosus (Evans)

ควบคมุ ไรศตั รูกุหลาบ

ปล่่อยไรตััวห้ำำ��โดยการวางทาบใบถั่�วที่่�มีีไรตััวห้ำำ��ลงบนใบหรืือทรงพุ่�มของกุุหลาบที่่�มีีไรระบาด ไรตััวห้ำำ��
จะเดินิ เคลื่�อนย้า้ ยจากใบถั่�วไปกิินไรศัตั รูกู ุุหลาบบนต้น้ กุหุ ลาบที่�ไรศัตั รููกุุหลาบหลบซ่อ่ นอยู่�
อัตราการปล่อยไรตัวห�้ำเพื่อควบคุมไรสองจุดและไรแมงมุมคันซาวาในแปลงกุหลาบท่ีเหมาะสม คือ
ปลอ่ ยอัตรา 3-4 ตวั /ต้น (ประมาณ 20,000 ตัว/ไร)่ ทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ในชว่ ง 9-10 สปั ดาห์แรกหลังเริม่ ปล่อย
ซึ่�งเป็็นช่่วงที่�ไรตััวห้ำำ��กำำ�ลัังอยู่�ในระยะตั้�งตััว หากมีีการระบาดของไรศััตรููกุุหลาบรุุนแรงมาก ให้้พ่่นสาร
กำำ�จััดไรที่�ปลอดภัยั ต่่อไรตัวั ห้ำำ�� เช่่น fenbutatin oxide อัตั รา 20 มิลิ ลิิลิติ ร/น้ำำ�� 20 ลิิตร จำำ�นวน 2 ครั้�ง โดยพ่่น
เฉพาะจุดที่มีไรระบาดและกุหลาบบริเวณขอบโรงเรือน หลังจากนั้นการปล่อยไรตัวห้�ำเพียงเดือนละ 1 คร้ัง
สามารถควบคุุมไรศััตรููกุุหลาบได้้อย่่างมีีประสิิทธิิภาพตลอดทั้�งปีี ในปีีต่่อไปสามารถปล่่อยไรตััวห้ำำ��ในอััตรา
3-4 ตัวั /ต้น้ เป็น็ ระยะๆ เดือื นละ 1 ครั้�ง การผสมผสานการปล่อ่ ยไรตััวห้ำำ��ร่ว่ มกัับการพ่น่ สารกำำ�จัดั ไรที่�ปลอดภัยั
กับไรตวั ห้�ำน้ี ไดท้ ดสอบแล้วว่าเป็นวิธีการควบคุมไรศัตรกู หุ ลาบไดอ้ ยา่ งยั่งยืน

ปลอ่ ยไรตัวห้�ำ Amblyseius longispinosus (Evans) บนทรงพุ่มกหุ ลาบเพอ่ื ควบคมุ ไรศตั รูกุหลาบ

ข้อควรระวังและข้อจำ� กดั

การใช้้ไรตัวั ห้ำำ�� A. longispinosus ควบคุุมไรศััตรููพืชื
1. ไม่ควรให้นำ้� ต้นพชื ก่อนหรือหลังการปล่อยไรตัวหำ�้ ทันที เพราะไรตวั หำ้� อาจตายได้
2. ไมส่ ามารถเก็บไรตัวห้�ำไวไ้ ด้นาน เพราะไรตัวห้ำ� มีอยูใ่ นสภาพอดอาหารไดเ้ พียง 1-2 วัน เท่านัน้
3. มีสารป้องกันก�ำจัดศัตรูพืชหลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อไรตัวห้�ำ จึงไม่สามารถใช้ร่วมกับการปล่อย
ไรตัวห�้ำได้ ดังน้ันถ้ามีความจ�ำเป็นต้องใช้สารป้องกันก�ำจัดศัตรูพืช เพ่ือป้องกันศัตรูชนิดอ่ืนๆ ในสตรอว์เบอร์รี
หรือกหุ ลาบ ตอ้ งทงิ้ ระยะเวลาประมาณ 2 สปั ดาห์ จงึ เรม่ิ ปล่อยไรตัวห้�ำตอ่ ไป
จากการทดสอบความเป็็นพิิษของสารป้อ้ งกัันกำำ�จััดศััตรููพืืช 36 ชนิดิ ที่่�มีตี ่่อไรตััวห้ำำ�� A. longispinosus
(Evans) ในอััตราความเข้้มข้้นที่�ใช้้ในสภาพไร่่ ด้้วยวิิธีี leaf-dip method (ทดสอบผลกระทบของพิิษตกค้้าง
แบบเฉีียบพลัันและพิิษตกค้้างนาน 7 วััน) พบว่่ามีสี ารที่่�จัดั ว่่าปลอดภัยั ต่อ่ ไรตัวั ห้ำำ�� 12 ชนิิด สารที่่�มีีพิษิ เล็็กน้้อย
11 ชนิิด สารที่่�มีีพิษิ ปานกลาง 7 ชนิิด และสารที่่�มีีพิิษร้า้ ยแรง 6 ชนิิด ดัังแสดงชื่�อสามัญั ของสารไว้้ในตารางดังั นี้�

210 เอกสารวชิ าการ

ชวี ภณั ฑป์ อ้ งกันก�ำจัดศัตรูพื ช

ความเป็็นพิิษของสารเคมีีกำำ�จััดแมลง ไร และสารป้อ้ งกันั กำำ�จััดโรคพืืชที่่�มีีต่อ่ ไรตัวั ห้ำำ�� Amblyseius longispinosus (Evans)

ชื่อสามัญ ปลอดภยั มพี ษิ เล็กนอ้ ย มพี ิษปานกลาง มพี ิษรา้ ยแรง
สารฆ่าไร
l l
fenbutatin oxide l
fenpyroximate l l
propargite l
สารเคมีก�ำจัดแมลงและไร l
buprofezin l l
pyridaben l l
petroleum oil l l
abamectin l
ethion l l
methomyl
amitraz l l
สารเคมีกำ� จัดแมลง l l
clothianidin l l
dinotefuran l
fenobucarb l
imidacloprid
lambda-cyhalothrin l
lufennuron l
acetamiprid l
diafenthiuron l
emamectin benzoate
indoxacarb l
tebufenozide l
cypermethrin l
etofenprox l
fipronil l
spinosad
carbaryl l
carbosulfan l
chlorpyrifos l
chlorpyrifos+cypermethrin
prothiofos
สารป้องกนั กำ� จัดโรคพชื
carbendazim
trifloxystrobin
validamycin
carbendazim+mancozeb
mancozeb
sulfur

1/1 = ปลอดภยั (ตาย<30%); 2 = อนั ตรายเล็กนอ้ ย (ตาย 30-79%); 3 = อนั ตรายปานกลาง (ตาย 80-99%); 4 = อนั ตราย (ตาย >99%) (Hassan, 1994)

เอกสารวิชาการ 211

ชวี ภัณฑ์ปอ้ งกันกำ� จัดศตั รูพื ช

การประเมนิ ประสทิ ธิภาพในการควบคุม
เมื่�อปล่่อยไรตััวห้ำำ��แล้้วให้้ติดิ ตามผลการควบคุมุ ไรศััตรููพืืช ดัังนี้�
1. สุ่่�มตรวจใบพืืช 1-2 วััน หลัังปล่่อยไรตััวห้ำำ�� โดยพลิิกสำำ�รวจใบด้้วยแว่่นขยายทั้�งด้้านบนและ
ใต้้ใบในบริิเวณที่�ปล่่อยไรตััวห้ำำ�� หากพบไรตััวห้ำำ�� (ไข่่/ตััวอ่่อน/ตััวเต็็มวััย) ปะปนอยู่่�กัับกลุ่�มของไรศััตรููพืืช
พบมีซากไรศัตรูพืชถูกดูดกิน แสดงว่าไรตัวห้�ำสามารถด�ำรงชีวิตอยู่บนพืชน้ันๆ ได้ เพราะหากสภาพแวดล้อม
ไมเ่ หมาะสมไรตัวห้ำ� จะหนหี ายไปทันที
2. สุ่่�มตรวจใบพืืช 3-4 วัันหลัังปล่่อยไรตััวห้ำำ�� หากพบไข่่หรืือตััวอ่่อนของไรตััวห้ำำ�� แสดงว่่าไรตััวห้ำำ��
สามารถตั้�งตััวได้้ (establishment) โดยสัังเกตประชากรของไรศััตรููพืืชหากไม่่ลดลงให้้ปล่่อยไรตััวห้ำำ��เพิ่�ม
บนพืืชนั้�นๆ และปล่อ่ ยซ้ำำ��เป็น็ จุุดๆ เฉพาะบริิเวณที่�พบไรศััตรููพืชื จนพบว่า่ ไรศััตรููพืืชลดลงและหมดไป
3. หากสุ่�มตรวจแล้้วไม่พ่ บไข่่ ตััวอ่อ่ น และตััวเต็็มวัยั ไรตััวห้ำำ��ที่่�ปล่อ่ ยไปภายใน 7 วันั อาจจะประเมินิ ได้้
ว่่าไรตััวห้ำำ��ไม่่มีีประสิิทธิิภาพในการควบคุุมไรแมงมุุมศััตรููพืืช แม้้ผ่่านการทดสอบเบื้�องต้้นมาแล้้วว่่าไรตััวห้ำำ��
สามารถกิินไรแมงมุุมชนิิดนั้�นเป็็นอาหารได้้ แต่่ทั้�งนี้้�ข้้อจำำ�กััดของการใช้้ไรตััวห้ำำ��มีีหลายประการ โดยเฉพาะ
การใช้ส้ ารป้อ้ งกันั กำำ�จััดศัตั รูพู ืชื ที่�ตกค้้างอยู่�บนพืืชก่่อนการปล่่อยไรตัวั ห้ำำ�� สภาพแวดล้้อมอื่�นๆ เช่น่ ความชื้�นสััมพัทั ธ์์
ในอากาศ

การผลิตขยายชีวภัณฑ์

การผลติ ไรตวั หำ้� Amblyseius longispinosus (Evans)

เหยื่�อที่�เหมาะสมที่่�สุุดในการเพาะเลี้�ยงไรตััวห้ำำ�� A. longispinosus คืือ ไรแดงหม่่อน Tetranychus
truncatus Ehara ส่่วนพืืชอาศััยที่�ไรแดงหม่่อนชอบ และสามารถเพิ่�มปริิมาณประชากรได้้รวดเร็็วที่่�สุุด คืือ
ถั่�วในสกุุล Vigna spp. วงศ์์ Fabaceae ได้้แก่่ ถั่�วพุ่�ม cowpea, Vigna unguiculata (L.) และถั่�วเขีียว
mung bean, V. radiata ถั่�วที่�ใช้้เป็็นพืืชอาศััยได้้ดีีใกล้้เคีียงกัับถั่�วพุ่�มและถั่�วเขีียวแต่่หาง่่ายและราคาถููก
ได้แ้ ก่่ ถั่�วดำำ� black seeded race, V. sinensis การผลิติ ไรตัวั ห้ำำ��แบ่ง่ เป็น็ 2 ส่่วน ดังั นี้�

ส่ว่ นที่่� 1 การเพาะเลี้้�ยงพ่่ อแม่่พัั นธุ์์�ไรแดงหม่อ่ น และพ่่ อแม่่พัั นธุ์์�ไรตััวห้ำำ��

ในการผลิตไรตัวห้�ำเป็นจ�ำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ต้องท�ำการเก็บรักษาพ่อแม่พันธุ์ท้ังไรแดงหม่อนและ
ไรตัวห�้ำไว้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพ่ือใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ต้ังต้นส�ำหรับน�ำไปผลิตไรตัวห้�ำเป็นปริมาณมากใน
โรงเรืือนต่่อไป ทั้�งนี้�ขึ้�นอยู่่�กัับแรงงานและความต้้องการใช้้ไรตััวห้ำำ�� ในส่่วนนี้�ควรทำำ�การเพาะเลี้�ยงในห้้องปรัับอากาศ
ปิิดมิิดชิิด มีีการป้้องกัันการปนเปื้�อนของไรตััวห้ำำ��ซึ่่�งมัักเล็็ดลอดเข้้าไปในกลุ่�มไรแดงหม่่อนที่�เป็็นอาหาร หาก
ผู้�เลี้�ยงไม่ร่ ะมััดระวังั จะทำำ�ให้ไ้ ม่่สามารถเก็บ็ รักั ษาพ่่อแม่พ่ ัันธุ์�ไรแดงหม่อ่ นไว้ไ้ ด้้

212 เอกสารวิชาการ

ชีวภณั ฑป์ ้องกันก�ำจัดศตั รพู ื ช

1.1 วธิ กี ารเพาะเลี้ยงพ่อแมพ่ ันธุไ์ รแดงหม่อน
เก็บไรแดงหม่อนจากต้นถ่ัวฝักยาวหรือมันส�ำปะหลัง น�ำมาเลี้ยงบนใบหม่อนท่ีมีอายุประมาณ
2-3 สปั ดาห์ ในหอ้ งปรบั อากาศที่มีอณุ หภูมิประมาณ 27-28 องศาเซลเชยี ส หรือในห้องอุณหภูมปิ กตทิ ไี่ ม่รอ้ นมาก
แต่การเลี้ยงในห้องปรับอากาศ ใบหม่อนท่ีใช้เป็นพืชอาหารจะมีอายุยืนยาวกว่า ไม่เห่ียวง่าย ท�ำการเล้ียงขยาย
ไรแดงหม่่อนโดยใช้้พู่่�กัันเขี่�ยไรแดงหม่่อนเพศเมีียและเพศผู้�ประมาณ 20-30 คู่� ใต้้กล้้องจุุลทรรศน์์ หรืือ
ใต้้แว่่นขยายบนใบหม่่อนที่�วางคว่ำำ��ใบบนสำำ�ลีีซึ่�งอยู่�ในถาดพลาสติิกขนาด 12x14 นิ้�ว หล่่อน้ำำ��ให้้ท่่วมสำำ�ลีี
เพื่�อให้้ใบหม่่อนสดอยู่�ได้้เป็็นเวลานาน และไรแดงหม่่อนที่�อาศััยอยู่�บนใบไม่่สามารถเดิินหนีีออกจากใบได้้
นำำ�ถาดวางบนชั้�นที่�ใช้้หลอดฟลููออเรสเซนต์์ให้้แสงนาน 9 ชั่�วโมง/วััน ปล่่อยทิ้�งให้้ไรแดงหม่่อนเจริิญพัันธุ์�
ขยายประชากรจนใบหม่อนเริ่มเห่ียว ท�ำการขยายไรแดงหม่อนต่อไป โดยตัดใบหม่อนที่เห่ียวแล้วเป็นช้ินเล็กๆ
นำ� ไปวางบนใบใหม่ ซึง่ ใบเก่า 1 ใบ สามารถขยายตอ่ ไปยงั ใบใหมไ่ ด้ 3-4 ใบ
1.2 วธิ กี ารเพาะเล้ยี งพอ่ แมพ่ นั ธ์ุไรตวั หำ้�
ไรตััวห้ำำ�� A. longispinosus ที่�ใช้้เป็็นพ่่อแม่่พัันธุ์� ขอรัับได้้จากกลุ่�มงานวิิจััยไรและแมงมุุม
ส�ำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร ท�ำการเพาะเล้ียงขยายปริมาณพ่อแม่พันธุ์ในห้องปรับอากาศ
เช่่นเดีียวกัับการเลี้�ยงไรแดงหม่่อน โดยเขี่�ยไรตััวห้ำำ��เพศเมีียและเพศผู้�ลงบนใบหม่่อนที่่�มีีพ่่อแม่่พัันธุ์�ไรแดงหม่่อน
อยู่�อย่่างหนาแน่่นเต็็มใบแล้้วประมาณ 10-20 คู่� เพื่�อให้้ไรตััวห้ำำ��กิินไรแดงหม่่อนแล้้วขยายพัันธุ์�เพิ่�มมากขึ้�น
นำำ�ถาดเลี้�ยงวางบนชั้�นที่�ใช้้หลอดฟลููออเรสเซนต์์ให้้แสงนาน 9 ชั่�วโมง/วััน ไรตััวห้ำำ��จะสามารถขยายจำำ�นวน
ประชากรได้้มากหรืือน้้อยขึ้�นอยู่่�กัับจำำ�นวนไรแดงหม่่อนและสภาพใบหม่่อน ถ้้าไรแดงหม่่อนมีีปริิมาณมากและ
ใบหม่่อนมีีความสดอยู่�ได้้เป็็นเวลานานก็็สามารถขยายไรตััวห้ำำ��ได้้มากขึ้�นด้้วย วิิธีีการย้้ายไรตััวห้ำำ��จากใบหม่่อน
ที่�เหยื่�อหมด หรืือใบเหี่�ยวเฉาไปยัังใบหม่่อนใบใหม่่ ให้้ใช้้วิิธีีการตััดใบเก่่าที่่�มีีไรตััวห้ำำ��อยู่่�นำำ�ไปวางทาบบนใบหม่่อน
สดใหม่่ที่่�มีีไรแดงหม่่อนอยู่� ให้้ไรตััวห้ำำ��เดิินย้้ายลงไปกิินอาหารบนใบใหม่่ ซึ่�งใบเก่่า 1 ใบ สามารถขยายต่่อไป
ยังั ใบใหม่่ได้้ 3-4 ใบ ขึ้�นอยู่่�กัับปริิมาณไรตััวห้ำำ��และไรอาหารบนใบหม่อ่ นนั้�นๆ
ขอ้ ควรระวัง ในการเพาะเลย้ี งพอ่ แมพ่ นั ธุ์ไรแดงหมอ่ น และพ่อแมพ่ นั ธุไ์ รตวั ห�้ำ
1. ห้้องเลี้�ยงไรแดงหม่่อนต้้องอยู่�แยกจากห้้องเลี้�ยงไรตััวห้ำำ�� ผู้�เลี้�ยงต้้องระมััดระวัังไม่่ให้้ไรตััวห้ำำ��
ติิดภาชนะหรืือเสื้�อผ้้า ควรทำำ�งานในห้้องเลี้�ยงไรแดงหม่่อนก่่อนเข้้าทำำ�งานในห้้องเลี้�ยงไรตััวห้ำำ�� ทั้�งนี้�เพื่�อป้้องกััน
ไม่ใ่ ห้ไ้ รตัวั ห้ำำ��ปะปนเข้้าไปกิินพ่่อแม่่พันั ธุ์�ไรแดงหม่อ่ น
2. ควรเก็็บรัักษาไรแดงหม่่อนและไรตััวห้ำำ��พ่่อแม่่พัันธุ์�ในปริิมาณที่�ผู้�เลี้�ยงสามารถดููแลได้้อย่่างทั่�วถึึง
หากมีีไรมากเกิินไปการปนเปื้�อนอาจจะเกิดิ ขึ้�นได้้ง่า่ ย

เอกสารวิชาการ 213

ชีวภัณฑ์ป้องกนั กำ� จัดศตั รพู ื ช

สว่ นท่ี 2 วธิ กี ารเล้ยี งขยายไรแดงหมอ่ นและไรตวั หำ�้ ใหไ้ ดป้ รมิ าณมากบนตน้ ถว่ั

การเลี้�ยงขยายไรแดงหม่่อนและไรตััวห้ำำ��บนพืืชอาศััย (ต้้นถั่�ว) ในโรงเรืือน ขึ้�นอยู่่�กัับความต้้องการปริิมาณ
ไรตััวห้ำำ�� โดยโรงเรืือนที่�ใช้้มุุงด้้วยตาข่่ายถี่่�มีีหลัังคากัันฝนเป็็นพลาสติิกใสให้้ได้้รัับแสงแดดเต็็มที่� เพื่�อให้้ต้้นถั่�ว
เจริญิ เติิบโตดีี ซึ่�งมีผี ลทำำ�ให้้ไรแดงหม่่อนขยายพัันธุ์�ได้้มากและรวดเร็ว็
2.1 วิธิ ีีการเลี้�ยงขยายไรแดงหม่่อนให้้ได้เ้ ป็น็ ปริิมาณมากบนต้น้ ถั่�ว
ทำำ�การเพาะเลี้�ยงไรแดงหม่่อนบนต้้นถั่�วดำำ�หรืือถั่�วพุ่�มในโรงเรืือน ปลููกต้้นถั่�วในถุุงเพาะชำำ�ใส่่ใน
ตะกร้้าๆ ละ 6 ถุงุ วางบนขาตั้้�งและหล่่อน้ำำ��เพื่�อป้้องกันั มดซึ่�งเป็็นศัตั รูทู ี่่�สำำ�คัญั ของไรแดงหม่่อน การเพาะปลูกู ถั่�ว
ในตะกร้้าทำำ�ให้้สะดวกในการเคลื่�อนย้้ายต้้นถั่�วและดูแู ลรัักษา หรืืออาจใช้้วิธิ ีปี ลููกต้้นถั่�วในกระถางขนาด 6-8 นิ้�ว
แทนถุุงเพาะชำำ�ได้้ ใส่่ปุ๋�ยยููเรีียและปุ๋�ยเคมีีสููตร 16-16-16 บำำ�รุุงให้้ต้้นถั่�วแข็็งแรง เมื่�อต้้นถั่�วเริ่�มงอกให้้ใบแท้้
ชุุดแรก (อายุุประมาณ 1 สััปดาห์์) ให้้พ่่นสารเคมีีกำำ�จััดแมลงเพื่�อป้้องกัันกำำ�จััดเพลี้�ยไฟและหนอนชอนใบ
ที่�อาจเล็็ดลอดผ่่านมุ้�งตาข่่ายเข้้ามาทำำ�ลายใบถั่�ว สารเคมีีกำำ�จััดแมลงที่�ตกค้้างบนต้้นถั่�วแต่่ไม่่เป็็นอัันตรายต่่อ
ไรแดงหม่อ่ น ได้แ้ ก่่ imidacloprid 10% SL อัตั รา 10 มิิลลิิลิิตร/น้ำำ�� 20 ลิติ ร
เมื่�อถั่�วอายุุได้้ 2 สััปดาห์์ นำำ�ไรแดงหม่่อนพ่่อแม่่พัันธุ์�ที่�เพาะเลี้�ยงไว้้มาปล่่อยขยายบนต้้นถั่�ว
โดยใช้แว่นขยายนับไรแดงบนใบหม่อนประมาณ 700-800 ตัว/ตะกร้า จากน้ันตัดแบ่งใบหม่อนเป็นช้ินเล็กๆ
วางทาบลงบนใบถ่ัวให้กระจายท่ัวตะกร้า ปล่อยให้ไรแดงหม่อนขยายพันธุ์เพิ่มประชากรบนต้นถ่ัวนานประมาณ
1-2 สปั ดาห์ หรอื มองเห็นไรแดงหม่อนเกอื บเต็มใบถ่ัวท่วั ทั้งตะกรา้
2.2 วธิ กี ารเล้ียงขยายไรตวั หำ�้ ใหไ้ ดเ้ ป็นปริมาณมากบนต้นถ่ัว
ท�ำการเล้ียงในโรงเรือนเช่นกัน แต่ต้องแยกโรงเรือนเพาะเลี้ยงไรตัวห้�ำให้อยู่ห่างออกจากโรงเรือน
เพาะเลี้ยงไรอาหาร เพ่ือป้องกันมิให้ไรตัวห้�ำปะปนเข้าไปกินไรแดงหม่อนก่อนที่ไรแดงหม่อนจะเพ่ิมประชากรได้
เป็นปริมาณมาก ข้ันตอนการเล้ียงขยายไรตัวห้�ำเริ่มจากการน�ำต้นถ่ัวท่ีเพาะเลี้ยงไรแดงหม่อนไว้ 2 สัปดาห์
(ต้นถั่วมีอายุประมาณ 3-4 สัปดาห์) ย้ายเข้าไปไว้ในโรงเรือนเพาะเลี้ยงไรตัวห�้ำ จากนั้นจึงน�ำไรตัวห้�ำสุ่มปล่อย
กระจายลงบนตน้ ถ่วั ให้ทวั่ ตะกร้าประมาณ 25-50 ตวั /ตะกร้า อตั ราไรตัวห�้ำ: ไรแดงหม่อน (อาหาร) ทเ่ี หมาะสม
ในการเร่ิมต้นเพาะเล้ียง คือ 1:20-1:40 ซึ่งผู้เลี้ยงจะสามารถค�ำนวณได้จากปริมาณไรแดงหม่อนท่ีเพาะได้ก่อน
หากไรแดงหม่อนมีปริมาณมาก ก็ให้ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ไรตัวห้�ำมากขึ้น แต่หากมีไรแดงหม่อนน้อยก็ให้ปล่อย
พ่อแม่พันธุ์ไรตัวห�้ำน้อย จากน้ันปล่อยให้ไรตัวห�้ำกินไรแดงหม่อนขยายพันธุ์เพ่ิมปริมาณเป็นระยะเวลา
2 สัปดาห์ จนต้นกระท่ังไรแดงหมอ่ นที่เปน็ อาหารหมด ต้นถัว่ เร่ิมเหย่ี วแหง้ จงึ ได้เวลาเกบ็ เกย่ี วไรตัวหำ�้ ที่เหมาะสม
ซ่ึงในเวลาดงั กล่าวจะไดไ้ รตัวห�้ำประมาณ 10-20 ตวั /ใบ
วิธีการเกบ็ เก่ียว ทำ� การตดั ใบถ่วั ทม่ี ไี รตวั ห้�ำบรรจลุ งกระบอกกระดาษ ไมค่ วรใสม่ ากเกนิ ไปจนแน่น
จากน้ันปิดฝากระบอกกระดาษ ใช้เทปพันให้แน่น พร้อมที่จะน�ำไปปล่อยในแปลงปลูก ซ่ึงในรอบการผลิต
5 สัปดาห์ จะได้ไรตัวห�ำ้ ประมาณ 10-20 ตวั /ใบ ท้ังนจ้ี ะผลติ ไรตัวห�ำ้ ไดม้ ากหรอื น้อยข้ึนอย่กู บั จ�ำนวนไรอาหารและ
สภาพความสมบูรณ์ของต้นถ่ัว ไรตัวห�้ำบนใบถั่วที่บรรจุกระบอกกระดาษแล้ว สามารถมีชีวิตในสภาพอดอาหาร
ได้นานประมาณ 3-4 วัน แต่หากเก็บไว้ในห้องเย็นหรือตู้เย็นช่องธรรมดา (อุณหภูมิ 15-17 องศาเซลเชียส)
จะสามารถยืดอายุไรตวั ห�้ำใหย้ นื ยาวมากกวา่ เกบ็ ไวห้ อ้ งอณุ หภูมปิ กติ

214 เอกสารวิชาการ

ชวี ภณั ฑป์ อ้ งกันก�ำจดั ศตั รูพื ช

การผลิตไรตัวห�้ำให้ได้ปริมาณมากจ�ำเป็นต้องมีการเพาะกล้าต้นถั่ว เตรียมไว้เพ่ือขยายไรอาหาร
อย่างต่อเนื่อง และให้มีเวลาสอดคล้องกับการน�ำต้นถ่ัวย้ายไปเล้ียงขยายไรตัวห้�ำ ปัญหาของการเพาะเลี้ยงไรตัวห้�ำ
ท่ีท�ำให้ไม่สามารถด�ำเนินการได้อย่างต่อเน่ือง คือการปนเปื้อนของไรตัวห้�ำในระหว่างข้ันตอนการเพาะเล้ียง
ไรแดงหม่อนในโรงเรือน ท�ำให้ไรแดงหม่อนไม่สามารถเพิ่มประชากรเป็นปริมาณมากได้ ซึ่งผู้เล้ียงต้องระมัดระวัง
เป็นพิเศษ โดยต้องท�ำงานในโรงเพาะเล้ียงไรอาหารก่อนเข้าไปท�ำงานในโรงเพาะเล้ียงไรตัวห้�ำเสมอ ไม่ใช้อุปกรณ์
รว่ มกนั ถ้าเกิดการปนเปือ้ นต้องหยุดพกั โรงเรอื น 5-7 วัน จงึ ดำ� เนินการต่อ
อีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่สามารถเพาะเลี้ยงไรแดงหม่อนได้เป็นปริมาณมาก คือ มีแมลงศัตรูอื่นๆ เข้ามา
ระบาดบนตน้ ถัว่ เชน่ เพลี้ยไฟ แมลงวันหนอนชอนใบ แมลงเหล่านด้ี ดู กินทำ� ลายใบถ่วั ทำ� ให้ตน้ ถว่ั ออ่ นแอใบเลก็
หงิิกงอ และต้น้ โทรม เป็น็ เหตุใุ ห้ไ้ รแดงหม่อ่ นขยายพัันธุ์�ไม่เ่ ต็ม็ ที่� สามารถแก้้ปััญหาได้โ้ ดยการพ่่นสาร imidacloprid
10% SL ตั้�งแต่่ต้้นถั่�วเริ่�มแตกใบแท้้ชุุดแรกดัังที่�กล่่าวมาแล้้ว หากแมลงเข้้าทำำ�ลายอีีกหลัังปล่่อยไรแดงหม่่อน
ลงบนต้น้ ถั่�วไปแล้ว้ ให้้พ่น่ สารเคมีีกำำ�จัดั แมลงซ้ำำ�� จากนั้�นทิ้�งไว้้ 7-8 วันั จึึงปล่อ่ ยไรแดงหม่อ่ นเพิ่�มเติิมลงบนต้น้ ถั่�ว
เพื่�อให้ข้ ยายพันั ธุ์์�ต่่อไปได้้

เอกสารวิชาการ 215

ชวี ภณั ฑป์ ้องกนั กำ� จดั ศตั รูพื ช

การผลติ ขยายไรตวั หำ้� Amblyseius longispinosus (Evans)
เพาะตน้ ถว่ั

ปลอ่ ย ตน้ ถ่วั อายุ 2 สปั ดาห์
ไรแดงหมอ่ น
เพาะต้นถ่วั ในตะกรา้

ปล่อยไรตวั หำ�้ ตน้ ถัว่ อายุ 3 สัปดาห์ เกบ็ ไรแดงหมอ่ น
อัตรา 1 : 20-40 พรอ้ มไรแดงหมอ่ น ไวข้ ยายต่อไป

ปลอ่ ยไรแดงหมอ่ นบนต้นถ่วั อายุ 2 สัปดาห์ ตน้ ถ่วั อายุ 5 สัปดาห์ เก็บไรตวั หำ�้
พรอ้ มไรตวั หำ้� ไวข้ ยายตอ่ ไป

ปลอ่ ยไรตัวหำ้� บนตน้ ถ่วั อายุ 3 สปั ดาห์ เก็บไรตัวหำ�้ บนใบถั่วไปใช้งาน
น�ำไรตัวหำ้� บนใบถั่วปล่อยลงแปลงพชื

ตดั ใบถ่ัวทมี่ ไี รตวั หำ้� บรรจุใส่กระบอกกระดาษ

ปิดกระบอกกระดาษให้แนน่ น�ำไปปลอ่ ยลงบนพืช

216 เอกสารวชิ าการ

ชวี ภณั ฑป์ อ้ งกันก�ำจดั ศตั รพู ื ช

Link / QR code / Clip ของชวี ภณั ฑ์
https://www.youtube.com/watch?v=bCmgRr8xofM&list=PLDI3YuskM0Dtfeb2BVZ9Qoegqum-
ersFV9&index=119&t=0s

บรรณานกุ รม
กนก อุุไรสกุุล. 2525. การศึึกษาเบื้�้องต้้นทางชีีววิิทยาของไรแดงมัันสำำ�ปะหลััง Tetranychus truncatus

Ehara (Acarina: Tetranychidae) และของไรตััวห้ำ��ำ Amblyseius (Amblyseius) longispinosus
(Evans) (Acarina: Phytoseiidae). วิิทยานิิพนธ์์ปริิญญาโท. ภาควิิชากีีฏวิิทยา, มหาวิิทยาลััย
เกษตรศาสตร์์. 79 หน้้า.
มานิตา คงชื่นสิน วัฒนา จารณศรี ฉัตรชัย ศฤงฆไพบูลย์ และเทวินทร์ กุลปิยะวัฒน์. 2532. ชีววิทยาของ
ไรสองจุุด Tetranychus urticae Koch. ศัตั รูสู ตรอเบอร์์รีีและไรตััวห้ำำ�� Amblyseius longispinosus
(Evans). ว.กีีฏ.สัตั ว. 11(4): 195-204.
มานิติ า คงชื่�นสินิ วัฒั นา จารณศรีี ฉัตั รชัยั ศฤงฆไพบูลู ย์์ และเทวิินทร์์ กุลุ ปิยิ ะวััฒน์.์ 2533. การแพร่ก่ ระจาย
ของไรแดง Eutetranychus africanus (Tucker) ในต้น้ ส้้มโอ. ว.กีีฏ.สััตว. 12(14): 226-236.
มานิติ า คงชื่�นสิิน วัฒั นา จารณศรีี และเทวิินทร์์ กุุลปิยิ ะวัฒั น์์. 2538. การทดสอบความเป็น็ พิิษของสารป้้องกััน
กำำ�จััดศััตรููพืชื ที่่�มีีต่อ่ ไรตััวห้ำำ�� Amblyseius longispinosus (Evans) ในห้้องปฏิิบัตั ิิการ. ว.กีีฏ.สัตั ว.
17(4): 203-215.
มานิิตา คงชื่�นสิิน อุุษณีีย์์ ฉััตรตระกููล วััฒนา จารณศรีี และวิิมาน ศรีีเพ็็ญ. 2542. การป้้องกัันกำำ�จััดไรศััตรูู
สตรอเบอร์์รีโี ดยวิธิ ีผี สมผสาน. หน้้า 30-37. ใน: เอกสารประกอบการบรรยาย การประชุมุ วิิชาการ
อารักั ขาพืืชแห่ง่ ชาติิ ครั้ง� ที่่� 4. 27-29 ตุุลาคม 2542. ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์์ ซิติี้� จอมเทียี น ชลบุรุ ี.ี
วัฒั นา จารณศรีี อมรรััตน์์ พัันธุ์์�ฟััก และฉัตั รชััย ศฤงฆไพบูลู ย์.์ 2521. การศึกึ ษาลักั ษณะทางอนุกุ รมวิิธานของ
ไรในนาข้้าวในประเทศไทย. รายงานผลการค้น้ คว้้าและวิิจัยั ปีี 2521. กรมวิิชาการเกษตร. 85 หน้้า.
Carey, J. R. 1982. Within-plant distribution of tetranychi mites on cotton. Environ. Entomol.
11: 796-800.
Chandler, L.D. and S.M. Corcoran. 1981. Distribution densities of Tetranychus cinnabarinus
on greenhouse-grown Codiaeum variegatum. Environ. Entomol. 10: 721-723.
Henderson, C. F. 1960. A sampling technique for estimating populations of small arthropods
in soil and vegetation. J. Econ. Entomol. 53: 115-121.

เอกสารวิชาการ 217

ชีวภณั ฑป์ อ้ งกันกำ� จัดศัตรพู ื ช

Jeppson, L.R., H.H. Keifer and E.W. Baker. 1975. Mites Injurious to Economic Plants. University
of California Press, Berkeley. 614 p.

Jones, V. P. and M. P. Parrella. 1984. Dispersion indices and sequential sampling plans for
the citrus red mite (Acari: Tetranychidae). J. Econ. Entomol. 77: 75-79.

Kongchuensin, M., V. Charanasri and A. Takafuji. 2006. Suitable host plant and optimum
initial ratios of predator and prey for mass-rearing the predatory mite, Neoseiulus
longispinosus (Evans). J. Acarol. Soc. Jpn. 15(2): 145-150.

Morris, R.F. 1960. Sampling insect populations. Ann. Rev. Entomol. 5: 243-264.
Putman, W.L. and D.H.C. Herne. 1964. Relations between Typhlodromus caudiglans and

Phytophagous mites in Ontario peach orchards. Can. Entomol. 96: 925-943.
Sabilis, M. W. 1985. Sampling Techniques. pp. 331-348. In: W. Helle, and M.W. Sabelis (eds.).

World Crop Pests, Mite: Their Biology, Natural Enemies and Control. Vol. 1A.
Elsevier Science Publishing Company Inc., New York.
Smith, D. and D. Papacek. 1993. IPM in Citrus. Report on Short-Term Consultancy Mission to
Thailand. August 22-September 12, 1993. Plant Protection Service Division,
Department of Agricultural Extension, Bangkok. 78 p.
Smith, D. and D. Papacek. 1994. IPM in Citrus, Mango and Durian. Report on Short Term
Consultancy Mission to Thailand. March 17-April 7, 1994. Plant Protection Service
Division, Department of Agricultural Extension, Bangkok. 52 p.
Southwood, T. R. E. 1978. Ecological Methods with Particular Reference to the Study of
Insect Populations. Methuen, London. 391 p.
Tanigoshi, L. K., R. W. Browne and S. C. Hoyt. 1975. A study on the dispersion pattern and
foliage injury by Tetranychus mcdanieli (Acarina: Tetranychidae) in sample apple
ecosystems. Can. Entomol. 107: 439-446.
ติดต่อสอบถามขอ้ มลู เพมิ่ เติม: กลมุ่ งานวจิ ยั ไรและแมงมมุ กลมุ่ กฏี และสตั ววทิ ยา
สำ� นกั วิจยั พัฒนาการอารักขาพชื   โทร. 0 2579 4128 ตอ่ 172
เพจกลุ่มงานวิจัยไรและแมงมุม: https://www.facebook/กลุม่ งานวิจยั ไรและแมงมมุ

218 เอกสารวชิ าการ

ชีวภัณฑป์ อ้ งกันก�ำจัดศัตรพู ื ช

ชีีวภัณั ฑ์์ป้อ้ งกันั กำำ�จััดหนูู

โปรโตซัว

Sarcocystis singaporensis

ชอ่ื วิทยาศาสตร์: Sarcocystis singaporensis Zamen & Colley (1976)
วงศ์: Sarcocystidae
อันดับ: Eucoccidiorida

ทม่ี าและความสำ� คัญ/ปญั หาศัตรพู ื ช
โปรโตซััว Sarcocystis singaporensis Zamen & Colley (1976) เป็น็ ปรสิติ โปรโตซััวที่่�มีกี ารสร้้างซีีสต์์
(coccidia protozoa) ในระยะสุุดท้้ายของการเจริญิ เติบิ โต และต้้องการสััตว์์อาศัยั 2 ชนิดิ คือื หนููซึ่�งเป็น็ สััตว์อ์ าศััย
ตััวกลาง (intermediate host) และงูเู หลืือมเป็น็ สัตั ว์อ์ าศัยั สุุดท้า้ ย (definitive host) ในการเจริิญเติิบโตและ
ขยายพัันธุ์� มีีการรายงานครั้�งแรกในปีี ค.ศ. 1975-1976 โดย Zaman and Colley พบว่่า ค็็อคซิเิ ดีียโปรโตซััว
S. singaporensis จากมลู งเู หลอื ม ในจำ� นวนที่มากพอสามารถทำ� ให้หนูสกุล Rattus ปว่ ยและตายได้
ในปี ค.ศ. 1996 Jaekel et al. และปี พ.ศ. 2539 ยุวลักษณ์ และคณะ ได้รายงานวา่ S. singaporensis
มวี งจรชวี ิตเฉพาะเจาะจงต่อสัตว์อาศัยระหวา่ งงูเหลือม (Python reticulatus) กับหนู 2 สกลุ ไดแ้ ก่ หนูท้องขาว
(Rattus) และหนูพุก (Bandicota) ซ่ึงวงจรชีวิตของปรสิตชนิดนี้มีความเฉพาะเจาะจงต่อสัตว์อาศัยมากและ
พบการระบาดแพรห่ ลายทงั้ ในหนูบ้าน และหนศู ตั รูพชื ในประเทศแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้

เอกสารวิชาการ 219

ชีวภัณฑ์ปอ้ งกนั กำ� จดั ศตั รูพื ช

ในปี พ.ศ. 2536-2545 กลุ่มงานสัตววิทยาการเกษตร กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร
ได้้ดำำ�เนิินการโครงการป้้องกัันกำำ�จััดสััตว์์ฟัันแทะทางชีีวภาพ โดยได้้รัับความช่่วยเหลืือทางด้้านวิิชาการ และ
เทคโนโลยีีจากรััฐบาลประเทศเยอรมนีี (องค์์กร GTZ) เพื่�อศึึกษาวิิจััยค็็อคซิิเดีียโปรโตซััว S. singaporensis
จนมีการผลิตเป็นชีวภัณฑ์จากโปรโตซัวชนิดน้ีในรูปเหยื่อโปรโตซัวก�ำจัดหนู (bio-rodenticide bait) ซึ่ง
เหยื่�อโปรโตซััวกำำ�จััดหนููชนิิดนี้้�มีีความจำำ�เพาะต่่อหนููในสกุุลหนููพุุกกัับหนููท้้องขาวเท่่านั้้�น จึึงมีีความปลอดภััย
ต่่อคน สััตว์์ และสิ่�งแวดล้้อม และมีีการนำำ�ไปใช้้ในภาคการเกษตรโรงงาน บ้้านเรืือน กัันอย่่างแพร่่หลาย
ในปัจั จุุบันั
วงจรชวี ติ

วงจรชีวติ ปรสิตโปรโตซวั Sarcocystis singaporensis Zamen & Colley 1976
ในปี ค.ศ. 1981 Beaver and Maleckar และ ปี ค.ศ. 1996 Jaekel et al. ได้รายงานว่า
S. singaporensis เป็นปรสิตโปรโตซัวท่ีมีความจ�ำเพาะต่อสัตว์อาศัย มีการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ เกิดข้ึน
ภายในเซลล์บุผิวล�ำไส้ของงูเหลือม และขับสปอร์โรซีสต์ (sporocysts) ซ่ึงเป็นระยะสุดท้ายของการเจริญ
แบบอาศัยเพศ ซึ่งภายใน 1 สปอร์โรซีสต์ มี 4 สปอร์โรซอยต์ (sporozoites) ปะปนออกมาพร้อมมูลงู
สู่สิ่งแวดล้อมภายนอก หลังจากนั้นเข้าสู่สัตว์อาศัยตัวกลาง ได้แก่ หนูในสกุลหนูท้องขาว และสกุลหนูพุก
โดยมีการปนเปื้อนของมูลงูท่ีพบสปอร์โรซีสต์ของโปรโตซัวชนิดน้ี ทางน้�ำและอาหารเม่ือเข้าไปในตัวสัตว์จะมี

220 เอกสารวชิ าการ

ชวี ภัณฑ์ปอ้ งกนั ก�ำจัดศตั รพู ื ช

การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเกิดขึ้นในเซลล์บุผิวของผนังหลอดเลือด หลังจากนั้นจึงเข้าสู่อวัยวะต่างๆ
ท่ัวร่างกาย และมีการสร้างซาร์โคซีสต์ (sarcocysts) ในระยะสุดท้ายของการเจริญเติบโตฝังอยู่บริเวณกล้ามเนื้อ
ทว่ั ร่างกาย ซง่ึ ภายในมีแบรดิซอยต์ (bradizoites) บรรจอุ ยู่ ในระยะนี้เปน็ ระยะที่พร้อมเข้าสสู่ ัตว์อาศยั สดุ ทา้ ย
ซ่ึงก็คืองูเหลือม เมื่อหนูตามธรรมชาติที่ติดเชื้อถูกงูเหลือมกินเป็นอาหาร วงจรชีวิตของ S. singaporensis
จงึ กลับมาเริ่มตน้ วงจรชวี ิตใหม่อีกคร้งั
กลไกการทำ� ลายศัตรูพื ช

กลไกการเข้าท�ำลายศัตรูพืชของเหยอื่ โปรโตซวั Sarcocystis singaporensis
Zamen & Colley 1976 ในหนู

วิธีการใช้ชวี ภณั ฑ์ควบคุมศตั รูพื ช
การใชป้ ระโยชนจ์ ากเหย่ือโปรโตซวั ก�ำจดั หนู แบ่งตามลักษณะพืน้ ท่ี ดังนี้
1. นาข้าว ไรข่ ้าวโพด ถ่ัวเหลือง ถั่วเขยี ว และอน่ื ๆ ใช้ 20-25 ก้อน/ไร่ จุดละ 1-2 กอ้ น หรอื ใสใ่ นรูหนู
ท่ีมีขยุ ดินใหม่ๆ รลู ะ 2 กอ้ น
2. สวนปาล์มนำ้� มนั มะพรา้ ว โกโก้ สวนผลไม้ ให้วางบริเวณโคนตน้ หรือบนต้นๆ ละ 1 ก้อน
3. ฟารม์ เลย้ี งสัตว์ ยุ้งฉางขา้ ว โกดังเก็บของ อาคารบา้ นเรือน และตลาด ให้วางเหยื่อโปรโตซัวในภาชนะ
ใสเ่ หยือ่ จดุ ละ 3 ก้อน และเติมเหยอ่ื ไม่เกิน 3 ครั้งตดิ ต่อกัน

เอกสารวิชาการ 221

ชีวภณั ฑ์ปอ้ งกนั กำ� จัดศัตรพู ื ช

ขอ้ ดี

1. ทำ� ใหเ้ กิดโรคในหนูพุกและหนูทอ้ งขาวเทา่ น้ัน
2. ปลอดภัยตอ่ สตั วก์ ินหนูเปน็ อาหาร เช่น นกแสก เหยี่ยว งู พงั พอน แมวปา่ ฯลฯ
3. ปลอดภยั ต่อผูใ้ ชแ้ ละสตั วเ์ ลี้ยง เชน่ มนษุ ย์ สนุ ขั แมว วัว หมู ไก่ ฯลฯ
4. เหยื่อสำ� เรจ็ รูป 1 ก้อน ก�ำจดั หนไู ด้ 1 ตัว
5. หนูไม่เกิดการเข็ดขยาดเหยื่อ เนื่องจากอาการป่วยและตายจะเกิดขึ้นภายหลังกินเหยื่อไปแล้ว
10-17 วัน
6. ไม่มพี ิษตกคา้ งในสง่ิ แวดลอ้ ม

ข้อจำ� กดั

1. ถา้ ใช้เหยื่อโปรโตซวั อยา่ งไมเ่ หมาะสม เช่น วางเหยอื่ มากหรือนอ้ ยเกินไป หรือวางผิดเวลา อาจชกั น�ำ
ใหห้ นูสรา้ งภูมิคุม้ กันต่อโปรโตซวั ชนิดน้ีได้ ซ่งึ จะทำ� ใหอ้ ัตราการตายของหนูลดลง
2. ให้วางเหย่อื โปรโตซวั ส�ำเร็จรูปทงั้ ซองกระดาษแกว้ ในทแ่ี ห้ง หา้ มฉกี ซองโดยเดด็ ขาด
3. ไมค่ วรวางเหย่อื โปรโตซวั ในท่เี ปยี กแฉะ หรือตากฝนท้ังคืน เพราะเม่อื เหยือ่ แปง้ นมุ่ ถูกน้ำ� จะบดู และ
หนูจะไมก่ ินเหยื่อทบ่ี ดู
4. ส�ำหรับฟาร์มเล้ียงสัตว์ โรงเก็บผลิตผลเกษตรหรือสินค้าอื่นๆ ภายในอาคารบ้านเรือน ร้านอาหาร
หรือตลาดสดไม่ควรวางเหย่ือโปรโตซัวแต่ละจุดเกิน 3 วัน และถ้าหนูยังไม่กินเหยื่อให้ย้ายภาชนะใส่เหย่ือ
ไปวางทใี่ หมท่ ี่มหี นูเดินผ่าน

การตรวจสอบคุณภาพ/การเก็บรักษาชวี ภัณฑ์
เก็บเหย่ือโปรโตซัวส�ำเร็จรูปในอุณหภูมิห้องหรือในตู้เย็นอุณหภูมิ 4-10 องศาเซลเซียส ไม่ควรเก็บ
นานเกิน 3 เดือน เพราะจะท�ำให้ประสทิ ธิภาพในการทำ� ให้หนปู ว่ ยตายลดลง

222 เอกสารวิชาการ

ชวี ภณั ฑ์ป้องกนั ก�ำจัดศัตรพู ื ช

ชนดิ ของศัตรพู ื ช
หนพู กุ ใหญ่ (the great bandicoot: Bandicota indica Beckstein, 1800)
(ที่�มา: กลุ่�มงานสัตั ววิิทยาการเกษตร, 2544)

หนูพกุ เล็ก (lesser bandicoot: Bandicota savilei Thomas, 1914)

(ที่�มา: กลุ่�มงานสััตววิิทยาการเกษตร, 2544)

หนนู าใหญ่ (ricefield rat: Rattus argentiventer Robinson and Kloss, 1916)

(ที่�มา: กลุ่�มงานสััตววิทิ ยาการเกษตร, 2544)

เอกสารวชิ าการ 223

ชีวภัณฑ์ป้องกันกำ� จดั ศตั รพู ื ช

หนูปา่ มาเลย์ (malayan wood rat: Rattus tiomanicus Miller, 1900)

(ที่�มา: กลุ่�มงานสััตววิทิ ยาการเกษตร, 2544)

หนทู อ้ งขาวบ้าน (roof rat: Rattus rattus Linnaeus, 1758)

(ที่�มา: กลุ่�มงานสััตววิทิ ยาการเกษตร, 2544)

หนจู ี๊ด (polynesian rat: Rattus exulans Peal, 1848)

(ที่�มา: กลุ่�มงานสัตั ววิทิ ยาการเกษตร, 2544)

224 เอกสารวชิ าการ

ชีวภัณฑป์ ้องกันก�ำจัดศตั รูพื ช

ลกั ษณะอาการพื ชท่ถี กู ท�ำลาย

ต้นขา้ วท่ีหนกู ัดท�ำลาย

สับปะรดทหี่ นกู ัดท�ำลาย

ทะลายปาล์ม์ น้ำำ��มัันที่�หนูกู ััดทำำ�ลาย

(ที่�มา: กลุ่�มงานสัตั ววิิทยาการเกษตร, 2544)

เอกสารวิชาการ 225

ชีวภัณฑ์ป้องกนั กำ� จัดศตั รพู ื ช

ผลมะคาเดเมยี ทีห่ นกู ัดท�ำลาย

การประเมนิ ประสิทธภิ าพในการควบคมุ
1. ประเมนิ จากการกนิ เหย่ือโปรโตซัวก�ำจดั หนขู องหนูศัตรูพืช และพบซากหนทู ต่ี าย
2. ประเมินจากความเสียหายของพชื ทเ่ี กดิ จากการกดั แทะใหมข่ องหนู
3. ประเมินจากความหนาแนน่ ของประชากรหนใู นพน้ื ที่
หมายเหตุ  หากพบความเสียหายของพืชที่เกิดจากการกัดแทะของหนู และความหนาแน่นของประชากร
หนูไม่ลดลง ควรวางเหยื่อโปรโตซัวก�ำจัดหนูซ้�ำ จนกว่าความเสียหายของพืชที่เกิดจากการกัดแทะของหนูและ
ความหนาแนน่ ของประชากรหนใู นพ้ืนท่จี ะลดลง โดยแตล่ ะครงั้ วางเหยอื่ หา่ งกนั 15-20 วัน

การผลติ ขยายชีวภัณฑ์

การเตรยี มสารแขวนลอยสปอรโ์ รซสี ต์

คดั เลอื กสปอรโ์ รซสี ต์ของ S. singaporensis ไอโซเลท (isolate) ทีม่ ปี ระสิทธภิ าพสงู ทส่ี ามารถทำ� ให้
หนูทดลองป่วยและตายได้ (dose 2x105 sporocysts) จากนั้นน�ำไปป้อนโดยตรงทางปากในหนูทดลอง
Sprague Dawley Rat ในความเขม้ ขน้ sub lethal dose เล้ยี งหนูทดลองเปน็ ระยะเวลา 2 เดือน น�ำหนูทดลอง
ไปผ่าซากเพ่ือตรวจหาซาร์โคซีสต์ของ S. singaporensis ในกล้ามเนื้อภายใต้กล้องจุลทรรศน์ และน�ำซากหนู
ท่ีพบเชื้อให้เป็นอาหารงูเหลือมเพื่อเพิ่มปริมาณเช้ือ หลังจากนั้นเก็บมูลงูเหลือมท่ีได้น�ำไปกรองผ่านตะแกรง
กรองละเอยี ด และปั่นสารแขวนลอยมลู งูท่ีผ่านการกรองแล้วท่ีความเร็วรอบ 3,000 รอบ/นาที (rpm) เปน็ เวลา
10 นาที เทส่วนใสท้งิ ท�ำการป่นั ล้างประมาณ 2-3 รอบ จนกวา่ สารแขวนลอยดา้ นบนตะกอนจะใสหลังจากนั้น
นับจ�ำนวนสปอร์โรซีสต์ท่ีได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ และค�ำนวณหาจ�ำนวนสปอร์โรซีสต์ที่คัดแยกได้ เก็บสาร
แขวนลอยสปอร์โรซสี ตใ์ นตูเ้ ย็นทอี่ ุณหภมู ิ 4-10 องศาเซลเซยี ส เพื่อใช้ผลติ เหยื่อโปรโตซัวก�ำจัดหนูต่อไป

226 เอกสารวิชาการ

ชวี ภณั ฑป์ อ้ งกนั ก�ำจัดศัตรพู ื ช

ทดสอบประสิทธิภาพของสารแขวนลอยสปอร์โรซสี ต์ โดยวธิ ี Biological assay
(bioassay)

ก่อนการน�ำสารแขวนลอยสปอร์โรซีสต์ S. singaporensis ไปใช้ผลิตเป็นเหยื่อโปรโตซัวก�ำจัดหนูต้อง
ท�ำการทดสอบประสิทธิภาพความรุนแรงในการก่อโรคของเชื้อ ด้วยวิธี bioassay โดยการให้สารแขวนลอย
สปอร์โรซีสต์โดยตรงทางปากกับหนูศัตรูพืชตามธรรมชาติ (สกุลหนูท้องขาวหรือหนูพุก) นับร้อยละการตายของ
หนููทดลองในแต่่ละไอโซเลทของสารแขวนลอยสปอร์์โรซีีสต์์ S. singaporensis หากพบไอโซเลทที่�สามารถ
ทำำ�ให้้หนููทดลองป่่วยและตายได้้ตั้�งแต่่ 75% ขึ้�นไป จึึงนำำ�สารแขวนลอยสปอร์์โรซีีสต์์ไอโซเลทนั้�นผลิิตเป็็นเหยื่�อ
โปรโตซััวกำำ�จััดหนููต่่อไป

การเตรยี มเหยอ่ื แป้งนุ่มและการผลิตเหย่ือโปรโตซัวกำ� จดั หนู

เตรียมเหย่ือแป้งนุ่มส�ำหรับท�ำเป็นก้อนเหย่ือโปรโตซัวก�ำจัดหนู โดยการน�ำแป้งสาลี น้�ำตาลทราย
น�้ำมันข้าวโพด ข้าวโพดบด แป้งทัลคัม และกล่ินมะพร้าว ผสมให้เข้ากัน หลังจากน้ันรีดเป็นเส้น และตัดเป็น
ก้อนขนาดประมาณ 1 กรัม เจาะรูตรงกลางเพ่ือหยอดสารแขวนลอยสปอร์โรซีสต์ S. singaporensis
อััตรา 2x105 sporocysts/ก้้อน ที่�เตรีียมไว้้แล้้วลงไป ทิ้�งไว้้ที่่�อุุณหภููมิิห้้องจนก้้อนเหยื่�อแห้้ง แล้้วนำำ�ไปห่่อ
ด้ว้ ยกระดาษแก้้วเพื่�อนำำ�ไปใช้้ต่่อไป

เอกสารวิชาการ 227

ชีวภัณฑป์ ้องกนั กำ� จดั ศัตรพู ื ช

Link / QR code / Clip ของชวี ภัณฑ์
https://www.youtube.com/watch?v=IXbFpKipkWQ
https://www.youtube.com/watch?v=0hKmvi5--e4

บรรณานุกรม
กลุ่�มงานสััตววิิทยาการเกษตร. 2544. หนููและการป้้องกัันกำ�ำ จััด. กลุ่�มงานสััตววิิทยาการเกษตร กองกีีฏและ

สัตั ววิทิ ยา กรมวิิชาการเกษตร โรงพิมิ พ์์ชุมุ นุมุ สหกรณ์์การเกษตรแห่่งประเทศไทย. 136 หน้้า.
ยุุวลัักษณ์์ ขอประเสริฐิ วิยิ ะดา สีหี ะบุตุ ร เสริิมศักั ดิ์์� หงส์น์ าค และกรแก้้ว เสืือสะอาด. 2539. ผลของโปรโตซััว

Sarcocystis singaporensis ต่่อหนููพุุกใหญ่่. รายงานผลการวิิจััย ปีี 2539. กองกีีฏและสัตั ววิทิ ยา
กรมวิิชาการเกษตร. หน้้า 255-256.
ยุวุ ลักั ษณ์์ ขอประเสริิฐ ปราสาททอง พรหมเกิดิ กรแก้ว้ เสือื สะอาด เสริมิ ศัักดิ์์� หงส์น์ าค และทรงทัพั แก้ว้ ตา.
2540. ผลของโปรโตซััว Sarcocystis singaporensis ต่อ่ หนูนู าใหญ่.่ รายงายผลการค้้นคว้้าและวิิจัยั
กลุ่�มงานสััตววิิทยาการเกษตร กองกีีฏและสััตววิิทยา กรมวิิชาการเกษตร จตุุจัักร กรุุงเทพฯ. หน้้า
10-16.
Beaver, P.C. and J.R. Maleckar. 1981. Sarcocystis singaporensis Zaman & Colley (1975) 1976.
Sarcocystis villivillosi and Sarcocystis zamani: Development, morphology and
persistence in the laboratory rat, Rattus norvegicus. Int. J. Parasitol. 67: 241-256.
Jaekel, T., H. burgstaller and W. Frank. 1996. Sarcocystis singaporensis, studies on host
specificity, pathologenicity and potential use as a biocontrol agent of rats. J. Parasitol.
82: 280-287.
Zamen, V. and F.C. Colley. 1975. Light and electron microscopic observation of the life cycle
of Sarcocystis orientalis sp. n. in rat (Rattus norvegicus) and the Maleysian
reticulated python (Python reticulatus). Zeitschrift fuer Parasitenkunde. 47: 169-185.

ตดิ ตอ่ สอบถามข้อมลู เพมิ่ เติม: กลุ่มงานสัตววทิ ยาการเกษตร กลุ่มกฏี และสตั ววิทยา
สำ� นักวิจยั พัฒนาการอารกั ขาพืช  โทร. 0 2579 5583 ต่อ 159

228 เอกสารวิชาการ

ชวี ภณั ฑป์ อ้ งกนั ก�ำจัดศัตรพู ื ช

ดรรชนี

การควบคุมุ โดยชีีววิธิ ีี 2, 118, 122 เมตาไรเซียี ม 3, 72, 73, 74, 75, 76, 77, 78, 80, 81
ด้ว้ งกินิ รากกล้้วย 186 แมลงช้้างปีกี ใส 3, 163, 164, 165, 166, 167,
ด้ว้ งกินิ รากสตรอว์์เบอร์์รีี 91
ด้ว้ งงวงมันั เทศ 90 168, 169
ด้้วงแรดมะพร้้าว 73, 74, 76, 77, 78, 79, 80 แมลงดำำ�หนามมะพร้้าว 3, 73, 74, 128, 129, 130,
ด้ว้ งหมััดผััก 89
แตนเบียี นโกนิิโอซัสั 147, 148, 149, 154, 156, 131, 132, 133, 134, 135, 136, 137, 140,
141, 142, 143, 144, 145
157, 160 แมลงหางหนีบี ขาวงแหวน 3, 186, 187, 188, 189,
แตนเบียี นไข่ไ่ ตรโคแกรมมา 3, 101, 112 190, 191, 196, 197, 198
แตนเบีียนดักั แด้้แมลงดำำ�หนามมะพร้้าว 3, 140 ระยะเข้้าทำำ�ลายแมลง 87
แตนเบียี นเตตระสติิคััส 140, 141, 142, 143, โรคตายพรายของกล้ว้ ย 21, 24, 25
โรคใบจุดุ คะน้้า 5, 11
144, 145 โรครากปม 34, 35, 37
แตนเบีียนเพลี้�ยแป้ง้ มัันสำำ�ปะหลังั สีชี มพูู 117, 120 โรคเหี่�ยวที่�เกิดิ จากแบคทีเี รีีย 5, 8, 10
แตนเบีียนหนอนแมลงดำำ�หนามมะพร้้าว 128 โรคแอนแทรคโนสพริิก 6, 8, 12, 13
แตนเบีียนหนอนหััวดำำ�มะพร้้าว 147 ไรแดงหม่่อน 204, 212, 213, 214, 215, 216
แตนเบีียนอะซีโี คเดส 128, 129, 130, 131, 134, ไรแดงแอฟริิกััน 202, 207
ไรตัวั ห้ำำ�� 3, 202, 203, 204, 205, 206, 207, 208,
135, 136, 138, 143, 144 209, 210, 211, 212, 213, 214, 215, 216
แตนเบีียนอะนาไกรัสั 117, 118, 119, 120, 121, ไรแมงมุุมคันั ซาวา 202, 207, 209, 210
ไรสองจุุด 202, 206, 207, 208, 209, 210
122, 123, 124, 125, 126 ไวรัสั 3, 43, 44, 45, 46, 47, 51, 55, 56, 57, 58,
ไตรโคเดอร์์มา 3, 18, 19, 20, 21, 22, 23, 25, 59, 60, 69, 202
สปอร์์โรซีีสต์์ 220, 226, 227
26, 27 ไส้เ้ ดืือนฝอยรากปม 34, 37
บีีทีี 63, 208 ไส้้เดืือนฝอยศัตั รููแมลง 3, 36, 84, 85, 86, 87, 88,
ผีเี สื้�อข้า้ วสาร 105, 106, 107, 108, 109, 112, 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98
หนอนกระทู้้�ข้้าวโพดลายจุุด 114, 171, 175, 176,
114, 154, 155, 156, 158, 177, 198 183, 190
เพลี้�ยแป้้งมัันสำำ�ปะหลังั สีีชมพูู 2, 117, 118, 119, หนอนกระทู้้�ผััก 44, 45, 47, 48, 49, 54, 58, 59, 60,
171, 174, 175, 176, 182, 183, 208
120, 121, 122, 123, 124, 125, 126
มวนพิฆิ าต 3, 171, 172, 173, 174, 175, 176,

177, 178
มวนเพชฌฆาต 3, 180, 181, 182, 183, 184
มััมมี่� 75, 119, 121, 123, 124, 125, 128, 129,

130, 131, 135, 136, 141, 142, 143,
144, 145

เอกสารวชิ าการ 229

ชีวภณั ฑป์ อ้ งกนั กำ� จดั ศัตรูพื ช

หนอนกระทู้�หอม 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 52, หนอนผีีเสื้�อข้้าวสาร 112, 154, 155, 156,
58, 59, 60, 68, 69, 90, 171, 175, 186 158, 177

หนอนกอลายจุดุ เล็ก็ 192, 193, 194 หนอนใยผััก 66, 67, 69, 101, 103, 112, 114
หนอนกอลายจุุดใหญ่่ 195 หนอนหััวดำำ�มะพร้้าว 73, 101, 104, 147, 148,
หนอนกอสีีขาว 192, 193, 194
หนอนกอสีีชมพูู 186, 193, 194 149, 150, 151, 152, 153, 154, 155, 156,
หนอนกออ้อ้ ย 101, 103, 104, 186, 190 157, 159, 171, 176
หนอนกินิ ใต้้ผิวิ เปลืือกลองกอง 88, 89 หนููท้้องขาว 219, 220, 222, 224, 227
หนอนเจาะลำำ�ต้น้ ข้้าวโพด 68, 101, 103, 104, 114 หนููพุุก 219, 220, 222, 223, 227
หนอนเจาะสมอฝ้้าย 44, 45, 47, 48, 49, 50, 53, เห็็ดเรืืองแสงสิริ ิินรัศั มีี 30, 32, 34, 35, 36, 38,
39, 40
58, 59, 60, 68, 69, 101, 103, 112, 114, เหยื่�อโปรโตซัวั กำำ�จัดั หนูู 220, 221, 226, 227
171, 175, 186 เอนโดสปอร์์ 4, 6, 7
หนอนนก 177, 178, 184

230 เอกสารวชิ าการ

ชวี ภัณฑป์ ้องกนั ก�ำจัดศตั รพู ื ช

Index

Alternaria brassicicola 5, 8, 11 Cossus chloratus 88, 89
Albernaria brassicae 8, 11 cotton bollworm 53, 68
Amblyseius longispinosus 202, 203, 204, Cylas formicarius 90
Dasyses rugosell 91
205, 206, 207, 208, 209, 210, 211, 212, definitive host 219
213, 216 diamondback moth 67, 69
Anagyrus lopezi 2, 117, 119, 120, 124, early shoot borer 192
125, 126 entomopathogenic nematodes 84
Asecodes hispinarum 2, 128, 129, 130,131, Eocanthecona furcellata 171, 172, 173,
136, 138
assassin bug 180 174, 175, 176, 178
aurisin A 34 Euborellia annulipes 186, 187, 188, 189, 190,
Bacillus subtilis 4, 5, 6, 7, 8, 9, 13, 14, 15, 36
Bacillus thuringiensis 63, 64, 65, 66, 70 197, 199
Bacterial wilt 9, 10 Fusarium oxysporum f. p. cubense 21, 23, 24
Bandicota 219, 223 Goniozus nephantidis 2, 147, 148, 149, 150,
bio-rodenticide bait 220
bradizoites 221 157, 160
Brontispa longissima 128, 130, 131, 132, green lacewings 163
133, 135, 137, 140, 143 green muscardine 72
Bt 3, 63, 64, 65, 66, 67, 68, 70, 208 HaNPV 45, 47, 48, 49, 50
Chilo infuscatellus 101, 103, 192 Helicoverpa armigera 44, 45, 53, 68, 101,
Chilo tumidicostalis 195
Collectotrichum capcisi 12 103, 112, 114, 171, 175
Collectotrichum piperatum 12 hermaphroditic females 87
Collectotrichum gloeosporioides 12 Infective Juvenile 85, 86, 87
coccidia protozoa 219 intermediate host 219
coconut black-headed caterpillar 150 Metarhizium anisopliae 72, 76
coconut leaf beetle 131 Mimela schneideri 91
coconut rhinoceros beetle 78 nematode 84
common cutworm 54 Neonothopanus nambi 30, 31, 32, 33, 34,
Corcyra cephalonica 106, 107, 108, 109,
112, 114, 154, 156, 158 35, 40
NPV 3, 43, 44, 45, 46, 47, 51, 55, 56, 57, 58,

59, 60
Nucleopolyhedrovirus 43, 56

เอกสารวิชาการ 231

ชวี ภัณฑ์ป้องกนั กำ� จัดศัตรูพื ช

Opisina arenosella 101, 104, 147, 149, 150, Sesamia inferens 194
151, 152, 155, 159, 171 Spodoptera exigua 44, 45, 46, 52, 68, 90,

Oryctes rhinoceros 78, 79 171, 175
Ostrinia furnacalis 68, 101, 103, 104, 114 Spodoptera frugiperda 45, 112, 114, 171,
Phenacoccus manihoti 117, 119, 121, 122,
175, 183, 190
124, 125 Spodoptera litura 45, 54, 171, 175, 183
Photorhabdus 86 sporocysts 220, 226, 227
Phyllotreta sinuata 89 Steinernema carpocapsae 3, 36, 84, 85, 86,
pink borer 194
pink cassava mealybug 121 88, 93, 94, 95 96
Plesiochrysa ramburi 163, 164, 165, 166, stem borer 195
Sycanus versicolor 180, 181, 182, 183, 184
168, 169 symbiotic bacteria 86, 87
Plesispa reichei 132 Tenebrio molitor 177, 184
Plutella xylostella 67, 69, 101, 103, 112, 114 Tetranychus kanzawai 207, 209
predatory stink bug 171 Tetranychus truncatus 204, 212
Ralstonia solanacearum 5, 9, 10 Tetranychus urticae 204, 206, 207, 208, 209
Rattus 219, 223, 224 Tetrastichus brontispae 140, 141, 142,
ring-legged earwig 186
Sarcocystis singaporensis 219, 220, 221, 143, 145
Trichoderma harzianum 18, 19, 20, 21, 27
226, 227 Trichogramma confusum 45, 101, 102, 103,
sarcocysts 221
Scirpophaga excerptalis 193 104, 105, 106, 107, 108, 109, 110, 115
SeNPV 45, 47, 48, 49, 50 Trichogramma pretiosum 112, 113, 114, 115
septicemia 86, 88 white top borer 193
Xenorhabdus 86, 94

232 เอกสารวชิ าการ

ชีวภัณฑป์ อ้ งกนั ก�ำจดั ศตั รพู ื ช

ทำำ�เนียี บผู้้�ทรงความรู้้�
และเชี่่�ยวชาญด้้านชีวี ภััณฑ์ป์ ้อ้ งกันั กำำ�จัดั ศัตั รููพืื ช

สำำ�นักั วิิจัยั พัั ฒนาการอารักั ขาพืื ช

1. ชื่่�อ-สกุุล นางพิิมลพร นันั ทะ
ตำ� แหน่ง อดีตผเู้ ชีย่ วชาญดา้ นศัตรพู ชื
ที่อย ู่ 67/98 เมอื งเอก โครงการ 2 ตำ� บลหลกั หก อ�ำเภอเมือง จังหวดั ปทุมธานี 12000
ความเชี่�ยวชาญ การควบคุุมศัตั รูพู ืชื โดยชีีววิิธีี

2. ชอ่ื -สกุล นางสาวยวุ ลกั ษณ์ ขอประเสริฐ
ตำ� แหน่ง ขา้ ราชการบำ� นาญ
ท่ีอย ู่ 112/27 ซอยวังหลงั ถนนอรณุ อัมรนิ ทร์ แขวงศริ ริ าช เขตบางกอกนอ้ ย
กรุงเทพฯ 10700
ความเชี่�ยวชาญ เหยื่�อโปรโตซัวั กำำ�จัดั หนูู

3. ชอ่ื -สกลุ นายสถติ ย์ ปฐมรัตน ์
ตำ� แหนง่ ข้าราชการบ�ำนาญ
ที่่�อยู่่� 27/1 หมู่� 4 ซอยบงกช 14 ถนนเลียี บคลองสอง ตำำ�บลคลองสอง
อ�ำเภอคลองหลวง จังหวัดปทมุ ธานี 12120
ความเชี่�ยวชาญ แตนเบีียนไข่่ Trichogramma spp.

4. ชอ่ื -สกลุ นางวัชรี สมสุข
ตำ� แหนง่ ขา้ ราชการบำ� นาญ
ทอ่ี ย ู่ 285/79 ถนนงามวงศว์ าน ต�ำบลบางกระสอ อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั นนทบรุ ี 11110
ความเชี่�ยวชาญ ไส้เ้ ดือื นฝอยศััตรููแมลง

5. ชื่อ-สกุล นางรัตนา นชะพงษ ์
ตำ� แหนง่ ขา้ ราชการบำ� นาญ
ท่ีอย ู่ 201 ซอยศรบี ุญยนื ถนนประชาราษฎร์ สาย 1 เขตบางซ่อื กรุงเทพฯ 10800
ความเชี่�ยวชาญ แมลงห้ำำ��แมลงเบีียน

เอกสารวิชาการ 233

ชีวภัณฑ์ป้องกนั กำ� จัดศัตรพู ื ช

6. ชือ่ -สกุล นางสาวมานติ า คงชน่ื สิน
ตำ� แหน่ง อดีตผู้เชย่ี วชาญดา้ นศัตรพู ชื
ทอ่ี ย ู่ 168 ถนนฉิมพลี แขวงฉิมพลี เขตตล่งิ ชัน กรุงเทพฯ 10170
ความเชี่�ยวชาญ ไรตัวั ห้ำำ��

7. ชื่อ-สกลุ นายสมชัย สวุ งศศ์ กั ดศิ์ รี
ตำ� แหนง่ ขา้ ราชการบำ� นาญ
ทอ่ี ย ู่ 41/120 หม่บู ้านรัตนาวลัย ซอยวิภาวดรี ังสิต 39 ถนนวภิ าวดีรงั สติ
เขตดอนเมอื ง กรุงเทพฯ 10210
ความเชี่�ยวชาญ แมลงหางหนีีบ

8. ช่ือ-สกลุ นายอทุ ัย เกตนุ ุต ิ
ตำ� แหน่ง ข้าราชการบำ� นาญ
ที่อย ู่ บา้ นเลขท่ี 2 ซอยงามวงศว์ าน 25 แยก 11 ถนนงามวงศ์วาน ต�ำบลบางเขน
อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดนนทบรุ ี 11000
ความเชี่�ยวชาญ ไวรัสั กำำ�จััดแมลง

9. ชื่อ-สกลุ นายสมคดิ ดสิ ถาพร
ตำ� แหนง่ ขา้ ราชการบ�ำนาญ
ที่่�อยู่่� 4/938 แยก 34/2 ถนนเสรีีไทย 57 แขวงคลองกุ่�ม เขตบึงึ กุ่�ม กรุงุ เทพฯ 10240
ความเชี่�ยวชาญ Bacillus subtilis สายพันั ธุ์� BS-DOA 24

10. ชื่อ-สกลุ นางนงรตั น์ นลิ พานิชย์
ตำ� แหนง่ ขา้ ราชการบ�ำนาญ
ที่อย ู่ 4/229 ถนนเสรีไทย 57 แขวงคลองกุ่ม เขตบงึ กุ่ม กรงุ เทพฯ 10240
ความเชี่�ยวชาญ Bacillus subtilis สายพัันธุ์� BS-DOA 24

11. ชื่อ-สกลุ นางสาวรัศมี ฐิตเิ กียรตพิ งศ ์
ตำ� แหน่ง ขา้ ราชการบำ� นาญ
ที่อย ู่ 350 ถนนพัฒนาการ 53 แขวงพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
ความเชี่�ยวชาญ Bacillus subtilis สายพัันธุ์� BS-DOA 24

234 เอกสารวิชาการ

ชวี ภัณฑป์ ้องกนั ก�ำจดั ศัตรูพื ช

คณะท�ำงานการจดั การองคค์ วามรู้

“ชวี ภณั ฑ์ป้องกนั กำ� จัดศตั รพู ื ช”

ท่ีปรกึ ษา ผู้อำ� นวยการส�ำนักวจิ ัยพฒั นาการอารกั ขาพชื ท่ปี รึกษา
นายศรุต สุทธอิ ารมณ์ ผเู้ ชยี่ วชาญด้านโรคพชื ที่ปรกึ ษา
นางสาวพรพมิ ล อธปิ ญั ญาคม

คณะท�ำงาน นักกีฏวิทยาชำ� นาญการพเิ ศษ ประธานคณะท�ำงาน
นายพิเชฐ เชาวน์วัฒนวงศ ์ รกั ษาการในตำ� แหน่งผู้เชย่ี วชาญด้านศตั รพู ชื
นกั วิชาการโรคพืชชำ� นาญการพิเศษ คณะทำ� งาน
นางณฎั ฐมิ า โฆษิตเจรญิ กลุ นักวิชาการเกษตรชำ� นาญการพิเศษ คณะทำ� งาน
นางบญุ ทวิ า วาทริ อยรมั ย์ นักกฏี วิทยาชำ� นาญการพเิ ศษ คณะท�ำงาน
นายพฤทธชิ าติ ปญุ วัฒโท นกั วิชาการโรคพชื ชำ� นาญการพิเศษ คณะทำ� งาน
นางสาวบษุ ราคัม อุดมศกั ด์ิ นกั กฏี วิทยาช�ำนาญการพิเศษ คณะท�ำงาน
นางเสาวนติ ย์ โพธิ์พนู ศักด์ิ นักวชิ าการโรคพืชชำ� นาญการพเิ ศษ คณะทำ� งาน
นางสาวสรุ ียพ์ ร บวั อาจ นกั กฏี วทิ ยาช�ำนาญการ คณะท�ำงาน
นางประภัสสร เชยค�ำแหง นกั กีฏวทิ ยาชำ� นาญการ คณะท�ำงาน
นายสาทิพย์ มาล ี นักกีฏวิทยาชำ� นาญการ คณะท�ำงาน
นายอศิ เรส เทียนทัด นักกีฏวทิ ยาชำ� นาญการ คณะทำ� งาน
นางสาวอทติ ยิ า แกว้ ประดษิ ฐ ์ นักวิชาการโรคพชื ช�ำนาญการ คณะทำ� งาน
นายอภริ ชั ต์ สมฤทธ ์ิ นกั วชิ าการโรคพืชช�ำนาญการ คณะท�ำงาน
นางสาวธารทพิ ย ภาสบุตร นักสัตววิทยาชำ� นาญการ คณะท�ำงาน
นายวิชาญ วรรธนะไกวัล นัักวิิชาการเกษตรชำำ�นาญการ คณะทำำ�งาน
นางสาวนันั ทนััช พินิ ศรีี นกั กีฏวิทยาชำ� นาญการ คณะทำ� งาน
นางสาวสวุ ิมล วงศ์พลัง นกั กีฏวิทยาปฏิบตั ิการ คณะทำ� งาน
นางสาวภัททริ า ศาตรว์ งษ ์ นกั กีฏวทิ ยาปฏิบตั ิการ คณะท�ำงาน
นางสาววนิ ิภา ชาลคี าร นกั กีฏวิทยาปฏบิ ัติการ คณะท�ำงาน
นายอนุสรณ์ พงษ์ม ี นกั กฏี วิทยาชำ� นาญการพิเศษ คณะทำ� งานและเลขานุการ
นางสาวพชั รวี รรณ จงจติ เมตต ์ นักวิชาการโรคพชื ช�ำนาญการ คณะท�ำงานและผชู้ ว่ ยเลขานุการ
นางสาวรงุ่ นภา ทองเครง็ นักวชิ าการเกษตรชำ� นาญการ คณะทำ� งานและผูช้ ว่ ยเลขานกุ าร
นางณฏั ฐิณี ศริ ิมาจันทร ์ นกั กีฏวทิ ยาชำ� นาญการ คณะทำ� งานและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร
นางสาวอจั ฉราภรณ์ ประเสรฐิ ผล นักกีฏวิทยาปฏิบัตกิ าร คณะท�ำงานและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร
นางสาวภัทรพร สรรพนุเคราะห ์ นักวิชาการเกษตรปฏิบตั กิ าร คณะทำ� งานและผู้ช่วยเลขานกุ าร
นางสาวณฐวรรณ ชนะโชต ิ

เอกสารวชิ าการ 235

ชีวภัณฑ์ป้องกนั กำ� จดั ศตั รพู ื ช






Click to View FlipBook Version