The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by takrabueschool, 2022-05-16 22:36:20

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2565

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2565



คำนำ

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวัดทา่ กระบือ(ท่ากระบือพิทยาคาร)
พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) นี้ได้จัดทำข้ึนตามแนวทางที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเป็นไปตามมาตรา 27 วรรคสองแห่งพระราชบญั ญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2552 ซ่ึงกำหนดให้ สถานศกึ ษา มีหน้าทจ่ี ัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษา
ตามวัตถุประสงค์ ที่คณะกรรมการการศึกษาข้ัน พ้ืนฐานกำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน
ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในชุมชนสังคม เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน ให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะท่ีจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคม ที่มีการเปล่ียนแปลง
และแสวงหาความร้เู พือ่ พัฒนาตนเอง อยา่ งตอ่ เนอื่ งตลอดชวี ติ

ผู้จัดทำหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวัดท่ากระบือ (ท่ากระบือ
พิทยาคาร) หวังเป็นอย่างยิ่งวา่ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้เล่มน้ีจะเป็นประโยชน์สำหรับครูผู้สอนและผู้ที่มี
ส่วนเกย่ี วขอ้ งนำไปใช้เป็นกรอบและทศิ ทางใน การจดั การเรยี นการสอนตอ่ ไป

คณะผู้จดั ทำ

.

สารบญั ข

เรอ่ื ง หนา้

คำนำ ก
สารบัญ ข
บทนำ ๑
เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์ ๓
เรยี นรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์ ๓
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ ๔
คุณภาพผู้เรียน ๕
ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๗
โครงสรา้ งหลักสูตรโรงเรยี นวัดท่ากระบอื (ท่ากระบือพิทยาคาร) ๔๐
วิเคราะห์มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชว้ี ัด ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ ๔๑
คำอธิบายรายวชิ า ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ ๔๔
วเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชว้ี ดั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๒ ๔๕
คำอธบิ ายรายวิชา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๔๘
วเิ คราะหม์ าตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวดั ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๓ ๔๙
คำอธิบายรายวชิ า ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๓ ๕๓
วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ดั ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๔ ๕๔
คำอธิบายรายวิชา ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ ๕๘
วเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๕ ๕๙
คำอธบิ ายรายวชิ า ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๕ ๖๔
วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้วี ัด ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ ๖๕
คำอธบิ ายรายวชิ า ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖ ๗๐
โครงสรา้ งรายวิชาพื้นฐาน ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ - ๖ ๗๑
คำอธิบายรายวิชาเพ่ิมเตมิ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๑ - ๖ ๙๕
โครงสรา้ งรายวิชาเพมิ่ เตมิ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖ ๑๐๑
แนวทางการวัดและประเมินผล ๑๐๗
ภาคผนวก ๑๑๗
อภธิ านศพั ท์ ๑๑๘



บทนำ

ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ นี้ ได้กำหนดสาระการเรียนรู้
ออกเป็น ๔ สาระ ไดแ้ ก่ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตร์
โลก และอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี มีสาระเพิ่มเติม ๔ สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์
และสาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรี ยน
การสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงช้ัน
มัธยมศึกษา ปีที่ ๖ สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้กำหนดตัวชี้วัดและสาระการ
เรียนรู้แกนกลาง ทีผ่ ูเ้ รยี นจำเปน็ ตอ้ งเรียนเป็นพืน้ ฐาน เพอ่ื ให้สามารถนำความรู้น้ีไปใช้ในการดำรงชวี ติ หรือศึกษา
ต่อในวิชาชีพ ที่ต้องใช้ วิทยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับขึ้น
ใหม่ให้มี การเชื่อมโยง ความรู้กับกระบวนการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา
ความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณญาณ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการ
สืบเสาะหาความรู้สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูล หลากหลายและประจักษ์
พยานทีต่ รวจสอบได้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญ ของการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรู้
แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ขึ้นเพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็น
แนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครู สื่อประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล
โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ทจี่ ัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้มี
ความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจน การเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย
นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่างๆ
และทัดเทียมกบั นานาชาติกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสรปุ เป็นแผนภาพได้ดงั น้ี



สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์
กายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๑ - ว ๒.๓

สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์
ชีวภาพ วทิ ยาศาสตร์ โลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว ๑.๑ - ว ๑.๓ มาตรฐาน ว ๓.๑ - ว ๓.๒

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ - ว ๔.๒



เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์

ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้
ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบ
เปน็ หลกั การ แนวคิด และองคค์ วามรู้ การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จงึ มเี ปา้ หมายท่ีสำคัญดังนี้

๑. เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ปน็ พื้นฐานในวชิ าวิทยาศาสตร์
๒. เพ่ือใหเ้ ข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวชิ าวทิ ยาศาสตร์และข้อจำกดั ในการศึกษาวชิ าวทิ ยาศาสตร์
๓. เพอื่ ใหม้ ีทักษะที่สำคญั ในการศึกษาค้นคว้าและคดิ ค้นทางเทคโนโลยี
๔. เพื่อให้ตระหนักถงึ ความสัมพันธ์ระหวา่ งวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์ และสภาพแวดล้อม
ในเชิงทมี่ ีอทิ ธพิ ลและผลกระทบซึ่งกนั และกนั
๕. เพื่อนำความรคู้ วามเขา้ ใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ตอ่ สังคม และการ
ดำรงชีวติ
๖. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะ
ในการสอื่ สาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ
๗. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี อย่างสรา้ งสรรค์

เรียนร้อู ะไรในวทิ ยาศาสตร์

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการ เชื่อมโยงความรู้
กับกระบวนการมีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้
และแก้ปัญหาทีห่ ลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรยี นรู้ ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบตั ิ
จริงอย่างหลากหลายเหมาะสมกับระดับช้ัน โดยกำหนดสาระสำคัญ ดงั น้ี

วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิต ในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวีติการดำรงชีวิตของ
มนษุ ย์และสตั ว์ การดำรงชวี ิตของพชื พนั ธุกรรมความหลากหลายทางชวี ภาพ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่
พลังงาน และคลน่ื

วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ
เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อ
สง่ิ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยี
การออกแบบและเทคโนโลยี เรยี นรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยเี พ่ือการดำรงชีวิต ในสงั คมท่ีมีการเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็วใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา



งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดย
คำนึงถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สังคม และส่ิงแวดล้อม

วทิ ยาการคำนวณ เรียนรเู้ ก่ยี วกับ การคดิ เชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเป็น
ระบบ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ด้านวิทยาการคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสือ่ สารในการแก้ปัญหาที่
พบในชีวติ จรงิ ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต
และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงานการเปล่ียนแปลงแทนที่
ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากรปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แนวทางในการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสิ่งแวดล้อม รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัตขิ องสงิ่ มชี วี ติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสงิ่ มชี ีวติ การลำเลียงสารเขา้ และออกจาก
เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพั นธุกรรม
สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการ
ของสิง่ มีชวี ติ รวมท้ังนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสารองค์ประกอบของสสารความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของ สสารกบั
โครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคหลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารการเกิด
สารละลายและการเกิด ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวันผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ
การเคลอ่ื นทแี่ บบต่างๆ ของวตั ถุรวมทง้ั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียงแสง
และคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทัง้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี
ดาวฤกษ์และระบบสรุ ิยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีอวกาศ



มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลกกระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายใน
โลกและบนผวิ โลก ธรณีพิบัตภิ ัย กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและภมู อิ ากาศโลกรวมทงั้ ผลต่อส่งิ มีชีวิต
และสง่ิ แวดลอ้ ม

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเรว็ ใช้ความรูแ้ ละทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และ ศาสตรอ์ ื่นๆ เพ่อื แก้ปัญหาหรือพัฒนา
งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
โดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน
และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงานและการแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมจี รยิ ธรรม

คุณภาพผเู้ รยี น

จบชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๓
- เข้าใจลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวติ รอบตัว
- เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปลี่ยนแปลงของ

วัสดรุ อบตวั
- เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็กและผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุ

พลงั งานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟา้ การเกดิ เสียงแสงและการมองเหน็
- เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตก ของดวงอาทิตย์ การ

เกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้ประโยชน์ ลักษณะและ
ความสำคัญของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม

- ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับส่ิงที่จะเรยี นรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต สำรวจ
ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วยการเขียน
หรอื วาดภาพ และสอ่ื สารสงิ่ ท่ีเรยี นรู้ด้วยการเลา่ เรือ่ ง หรือดว้ ยการแสดง ทา่ ทางเพือ่ ให้ผูอ้ นื่ เข้าใจ

- แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการ
สอ่ื สารเบอื้ งต้น รกั ษาข้อมูลสว่ นตวั

- แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่อง ที่จะศึกษาตามท่ี
กำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ มีส่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เห็น และยอมรับฟัง ความคดิ เหน็ ผู้อนื่

- แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์
จนงานลุล่วงเป็นผลสำเรจ็ และทำงานรว่ มกับผู้อืน่ อยา่ งมคี วามสขุ



- ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ ดำรงชีวิตศึกษาหา
ความรู้เพ่ิมเตมิ ทำโครงงานหรอื ชน้ิ งานตามทีก่ ำหนดให้หรือตามความสนใจ

จบช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๖
- เข้าใจโครงสรา้ งลักษณะเฉพาะการปรับตัวของสง่ิ มชี วี ิต รวมท้งั ความสมั พันธข์ องสิง่ มีชีวติ ในแหล่งท่ีอยู่

การทำหนา้ ที่ของสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื และการทำงานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์
- เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุสถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย

การเปล่ยี นแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทผี่ นั กลับได้และผันกลับไมได้ และการแยกสารอยา่ งงา่ ย
- เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและ ผลของแรงต่างๆ ผลท่ี

เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายปรากฏการณ์เบื้องต้นของเสียง
และแสง

- เข้าใจปรากฏการณ์การข้ึนและตก รวมถึงการเปลีย่ นแปลงรูปรา่ งปรากฏ ของดวงจันทร์ องค์ประกอบ
ของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การขึ้นและตกของ
กลุม่ ดาวฤกษ์ การใชแ้ ผนที่ดาว การเกดิ อุปราคา พฒั นาการและประโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ

- เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า
กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิด ซากดึกดำบรรพ์การเกิดลมบก ลมทะเล
มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน
กระจก

- ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสทิ ธภิ าพและประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถือ ตัดสินใจเลอื กข้อมลู ใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ
ในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกันเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน
เคารพสทิ ธิของผอู้ นื่

- ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตาม ความสนใจคาดคะเน
คำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและ
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ัง
เชงิ ปริมาณและคณุ ภาพ

- วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการ สำรวจตรวจสอบใน
รูปแบบทเ่ี หมาะสม เพอื่ ส่ือสารความร้จู ากผลการสำรวจตรวจสอบไดอ้ ยา่ งมี เหตุผลและหลักฐานอ้างอิง

- แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่นในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ เรื่องที่จะศึกษาตามความ
สนใจของตนเอง แสดงความคิดเหน็ ของตนเอง ยอมรบั ในข้อมูลทม่ี ี หลักฐานอ้างองิ และรบั ฟงั ความคิดเห็นผอู้ นื่

- แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์
จนงานลลุ ่วงเปน็ ผลสำเรจ็ และทำงานร่วมกับผอู้ ่นื อยา่ งสรา้ งสรรค์



- ตระหนักในคณุ ค่าของความรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงาน ของผู้คิดค้นและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
ทำโครงงานหรอื ชิน้ งานตามทีก่ ำหนดใหห้ รือตามความสนใจ

- แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งร้คู ณุ คา่

ตัวชี้วดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต

กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมท้ังนำความรู้ไป
ใช้ประโยชน์

ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป. ๑ ๑. ระบุชือ่ พชื และสัตว์ท่ีอาศัยอยู่บรเิ วณต่างๆจาก • บรเิ วณตา่ งๆในท้องถ่ิน เชน่ สนามหญ้า ใต้
ต้นไม้ สวนหย่อม แหลง่ น้ำอาจพบพืชและสตั ว์
ข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ หลายชนิดอาศยั อยู่
๒. บอกสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับการดำรงชีวิต • บรเิ วณทแี่ ตกต่างกนั อาจพบพืชและสัตว์
ของสตั ว์ในบริเวณที่อาศยั อยู่ แตกตา่ งกันเพราะสภาพแวดลอ้ มของแต่ละ
บรเิ วณจะมี ความเหมาะสมต่อการดำรงชีวติ
ป. ๒ - ของพชื และสตั ว์ ทอ่ี าศยั อยู่ในแตล่ ะบริเวณ
ป. ๓ - เชน่ สระนำ้ มนี ้ำเปน็ ทอี่ ยู่อาศยั ของหอย
ป. ๔ - ปลา สาหรา่ ย เป็นทหี่ ลบภยั และมแี หล่ง
อาหารของหอยและปลา บรเิ วณต้นมะม่วงมี
ต้นมะม่วงเป็นแหล่งที่อยู่ และมีอาหาร
สำหรับกระรอกและมด
• ถ้าสภาพแวดล้อมในบรเิ วณทีพ่ ืชและสตั ว์
อาศยั อยู่ มีการเปล่ยี นแปลง จะมีผลต่อการ
ดำรงชวี ิตของ พชื และสตั ว์

-
-
-



ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ป. ๕ ๑. บรรยายโครงสร้างและลกั ษณะของส่ิงมีชวี ิต • สงิ่ มชี วี ติ ทัง้ พชื และสตั วม์ ีโครงสร้างและ
ลกั ษณะท่เี หมาะสมในแตล่ ะแหล่งท่ีอยู่ซ่งึ เป็น
ทเ่ี หมาะสมกบั การดำรงชีวิต ซ่ึงเปน็ ผลมาจาก การ ผลมาจากการปรับตวั ของสิง่ มีชวี ิตเพอ่ื ให้
ปรับตวั ของสิ่งมชี วี ติ ในแต่ละแหล่งทอ่ี ยู่ ดำรงชวี ิตและ อยู่รอดได้ในแตล่ ะแหล่งท่ีอยู่
เช่นผกั ตบชวามชี อ่ งอากาศในกา้ นใบชว่ ยให้
ลอยนำ้ ได้ ตน้ โกงกาง ท่ีขนึ้ อยู่ในป่าชายเลนมี
รากค้ำจนุ ทำใหล้ ำตน้ ไม่ล้ม ปลามีครีบ
ชว่ ยในการเคล่ือนท่ีในน้ำ

๒. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่างส่งิ มีชีวิตกับ ส่ิงมีชวี ิต • ในแหลง่ ทอี่ ยู่หน่ึงๆสิง่ มชี วี ติ จะมี

และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชวี ติ กับสงิ่ ไม่มีชีวติ เพื่อ ความสมั พันธ์ซง่ึ กันและกันและสัมพนั ธก์ ับ

ประโยชน์ต่อการดำรงชีวติ สง่ิ ไม่มชี วี ติ เพื่อ ประโยชน์ต่อการดำรงชวี ติ

๓. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าทีข่ อง สง่ิ มชี ีวิต เช่น ความสัมพันธก์ นั ดา้ นการกินกันเป็น

ที่เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในโซอ่ าหาร อาหาร เปน็ แหล่งที่อยอู่ าศัยหลบภัยและเลยี้ ง

๔. ตระหนกั ในคุณค่าของสงิ่ แวดล้อมท่มี ีต่อการ ดลู ูกอ่อนใชอ้ ากาศในการหายใจ

ดำรงชวี ิตของสงิ่ มีชีวติ โดยมีส่วนรว่ มในการดแู ล • สง่ิ มีชีวิตมีการกนิ กันเปน็ อาหาร โดยกนิ ตอ่

รักษาสิ่งแวดลอ้ ม กันเปน็ ทอดๆ ในรูปแบบของโซอา่ หารทำให้

สามารถ ระบุบทบาทหนา้ ที่ของสิ่งมีชวี ติ เป็น

ผู้ผลิตและ ผบู้ รโิ ภค

ป. ๖ - -



สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออก

จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน

ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป. ๑ ๑. ระบุชื่อบรรยายลักษณะและบอกหน้าที่ของ ส่วน • มนุษย์มีส่วนต่างๆที่มีลักษณะและหน้าท่ี

ต่างๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สตั วแ์ ละพืช รวมทงั้ บรรยาย แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต

การทำหน้าที่ร่วมกันของส่วนต่างๆของร่างกายมนุษย์ เช่น ตา มีหน้าที่ไว้มองดูโดยมีหนังตาและขน

ในการทำกจิ กรรมตา่ งๆจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ตาเพื่อป้องกันอันตรายให้กับตา หูมีหน้าที่รับ

๒. ตระหนักถึงความสำคัญของสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย ฟังเสียง โดยมีใบหูและรูหูเพื่อเป็นทางผ่าน

ตนเองโดยการดูแลส่วนต่างๆอย่างถูกต้องให้ปลอดภัย ของเสียง ปากมีหน้าที่ พูด กินอาหารมีช่อง

และรักษาความสะอาดอยเู่ สมอ ปากและมีริมฝีปากบนล่าง แขนและมือมี

หน้าที่ยก หยิบ จับ มีท่อนแขนและนิ้วมือที่

ขยับได้ สมองมีหน้าที่ ควบคุมการทำงานของ

ส่วนตา่ งๆของรา่ งกายอยูใ่ นกะโหลกศรีษะโดย

ส่วนต่างๆของร่างกายจะทำหน้าที่ร่วมกันใน

การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

• สัตว์มีหลายชนิดแต่ละชนิดมีส่วนต่างๆท่ีมี

ล ั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ห น ้ า ท ี ่ แ ต ก ต ่ า ง ก ั น เ พ ื ่ อ ใ ห้

เหมาะสมในการดำรงชีวติ เช่น ปลามคี รีบเป็น

แผ่น ส่วนกบ เต่าแมว มีขา ๔ ขาและมีเท้า

สำหรบั ใชใ้ นการ เคล่ือนท่ี

• พชื มีส่วนต่างๆ ที่มีลักษณะและหน้าที่

แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต

โดยทั่วไปรากมี ลักษณะเรียวยาวและแตก

แขนงเป็นรากเล็กๆทำหน้าท่ีดดู นำ้ ล ำ ต ้ น มี

ลกั ษณะเป็นทรงกระบอก ต้งั ตรงและมีก่ิงก้าน

ทำหน้าที่ชูกิ่งก้านใบและดอก ใบมีลักษณะ

เป็นแผ่นแบนทำหนา้ ที่ สร้างอาหารนอกจากนี้

พืชหลายชนิดอาจมีดอก ที่มีสีรูปร่างต่างๆทำ

หน้าที่สืบพันธุ์รวมทั้งมีผลที่มีเปลือกมีเนื้อ

ห่อห้มุ เมล็ดและมีเมล็ดซึง่ สามารถงอกเป็นต้น

ใหมไ่ ด้

๑๐

ชน้ั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

• มนุษย์ใช้ส่วนต่างๆของร่างกายในการทำ

กิจกรรมต่างๆเพื่อการดำรงชีวิตมนุษย์จึงควร

ใช้ส่วนต่างๆของร่างกายอย่างถูกต้อง

ปลอดภัยและรกั ษาความสะอาดอยู่เสมอ เช่น

ใช้ตามองตัวหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ

ดูแลตาให้ ปลอดภัยจากอันตรายและรักษา

ความสะอาดตา อยเู่ สมอ

ป. ๒ ๑.ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำเพื่อการเจริญ เติบโต • พืชตอ้ งการนำ้ แสง เพื่อการเจริญเติบโต

โดยใช้ขอ้ มลู จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์

๒. ตระหนักถงึ ความจำเปน็ ที่พชื ต้องไดร้ ับน้ำและ แสง

เพื่อการเจริญเติบโตโดยดูแลพืชให้ได้รับสิ่งดังกล่าว

อย่างเหมาะสม

๓. สร้างแบบจำลองทบี่ รรยายวัฏจกั รชีวติ ของพชื ดอก • พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอกดอกจะมี

การสืบพนั ธเุ์ ปลีย่ นแปลงไปเป็นผล ภายในผล

มเี มล็ด เมื่อเมล็ดงอกต้นอ่อนที่อยู่ภายใน

เมล็ดจะเจริญ เติบโตเป็นพืชต้นใหม่พืชต้น

ใหม่จะเจริญเตบิ โต ออกดอกเพื่อสืบพันธุ์มีผล

ต่อไปไดอ้ กี หมนุ เวยี น ต่อเนื่องเปน็ วัฏจักรชีวิต

ของพชื ดอก

ป. ๓ ๑. บรรยายสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการ • มนุษย์และสัตว์ต้องการอาหาร น้ำ และ

เจริญเติบโตของมนษุ ย์และสตั ว์โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวม อากาศเพ่ือการดำรงชีวติ และการเจรญิ เติบโต

ได้ • อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแ ละ

๒. ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร น้ำและอากาศ เจริญเติบโตน้ำช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่าง

โดยการดูแลตนเองและสัตว์ให้ได้รับสิ่งเหล่านี้ อย่าง ปกติอากาศใช้ในการหายใจ

เหมาะสม

๓. สรา้ งแบบจำลองที่บรรยายวัฏจักรชวี ติ ของสัตว์และ • สัตว์เมื่อเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มีลูกเมื่อลูก

เปรยี บเทียบวัฏจกั รชวี ิตของสตั ว์บางชนิด เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็สืบพันธุ์มีลูกต่อไป

๔. ตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของชวี ติ สตั ว์ โดยไม่ทำให้วัฏจักร ได้อีก หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของ

ชวี ิตของสัตวเ์ ปล่ียนแปลง สตั ว์ ซ่งึ สัตว์แตล่ ะชนดิ เชน่ ผีเส้อื กบ ไก่มนุษย์

จะมีวฏั จักรชวี ิตที่เฉพาะและแตกต่างกัน

๑๑

ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป. ๔ ๑. บรรยายหน้าทขี่ องราก ลำต้น ใบ และดอก • สว่ นต่างๆของพชื ดอกทำหน้าที่แตกต่างกนั

ของพืชดอก โดยใชข้ อ้ มูลที่รวบรวมได - รากทำหน้าทีด่ ูดนำ้ และธาตุอาหารข้ึนไปยังลำต้น

- ลำตน้ ทำหน้าที่ลำเลียงนำ้ ต่อไปยังสว่ นต่าง ๆ

ของพืช

- ใบทำหน้าทส่ี รา้ งอาหาร อาหารที่พืชสร้างขึ้นคือ

น้ำตาลซ่งึ จะเปลีย่ นเป็นแปง้

- ดอกทำหน้าท่ีสืบพันธุ์ ประกอบดว้ ยส่วนประกอบ

ตา่ ง ๆ ได้แก่ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้

และเกสรเพศเมียซึ่งส่วนประกอบ แต่ละส่วนของ

ดอกทำหนา้ ที่แตกต่างกนั

ป. ๕ - -

ป. ๖ ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหาร • สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่

แตล่ ะประเภทจากอาหารทต่ี นเองรบั ประทาน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันเกลือแร่วิตามิน และ

๒. บอกแนวทางในการเลือกรบั ประทานอาหารใหไ้ ด้ นำ้

สารอาหารครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสม กับเพศ • อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารท่ี

และวยั รวมทัง้ ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วย

๓. ตระหนักถึงความสำคัญของสารอาหารโดยการ สารอาหาร ประเภทเดยี ว อ า ห า ร บ า ง อ ย ่ า ง

เลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ประกอบด้วย สารอาหารมากกวา่ หนงึ่ ประเภท

ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ัง • สารอาหารแต่ละประเภทมปี ระโยชนต์ ่อรา่ งกาย

ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรตโปรตีนและไขมัน

เปน็ สารอาหารท่ใี หพ้ ลงั งานแก่ร่างกาย สว่ นเกลือ

แร่ วิตามินและนำ้ เปน็ สารอาหารทไ่ี ม่ใหพ้ ลังงาน

แก่ร่างกายแต่ชว่ ยให้ร่างกายทำงานไดเ้ ปน็ ปกติ

• การรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายเจริญ

เติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศ

และวยั และมีสุขภาพดี จำเปน็ ต้องรบั ประทาน ให้

ได้งานเพียงพอกับความต้องการของร่างกายและ

ให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสม

กับเพศและวัยรวมทั้งต้องคำนึงถึง ชนิดและ

ปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหารเพื่อความ

ปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ

๑๒

ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

๔. สร้างแบบจำลองระบบย่อยอาหาร และบรรยาย • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ

หน้าที่ของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร รวมทั้ง ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร ก ร ะ เ พ า ะ อ า ห า ร

อธบิ ายการยอ่ ยอาหารและการดูดซมึ สารอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนกั ตบั และตับอ่อน

๕. ตระหนกั ถงึ ความสำคัญของระบบย่อยอาหารโดย ซึ่งทำ หน้าที่ร่วมกันในการย่อยและดูดซึม

การบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบ สารอาหาร

ย่อยอาหารใหท้ ำงานเปน็ ปกติ - ปากมีฟนั ช่วยบดเคี้ยวอาหารให้มขี นาดเล็กลง

และมีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหารกับน้ำลายใน

นำ้ ลายมเี อนไซม์ย่อยแปง้ ใหเ้ ป็นนำ้ ตาล

- หลอดอาหารทำหน้าท่ีลำเลียงอาหารจากปาก

ไปยังกระเพาะอาหารภายในกระเพาะอาหารมี

การย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สร้าง

จากกระเพาะอาหาร

- ลำไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำไส้เล็ก

เอง และจากตับอ่อน ท่ีช่วยย่อยโปรตีน

ค า ร์ โ บ ไ ฮ เ ด ร ต แ ล ะ ไ ข ม ั น โ ด ย โ ป ร ตี น

คาร์โบไฮเดรตและไขมัน ที่ผ่านการย่อยจนเปน็

สารอาหารขนาดเลก็ พอ ทจี่ ะดูดซึมไดร้ วมถึงน้ำ

เกลอื แรแ่ ละวติ ามิน จะถูกดดู ซมึ ทผ่ี นังลำไส้เล็ก

เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ

ของร่างกาย ซ่ึง โปรตีนคาร์โบไฮเดรตและไขมัน

จะถูกนำไปใช้ เป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ใน

กิจกรรมต่างๆส่วนน้ำ เกลือแร่และวิตามิน

จะช่วยให้ร่างกาย ทำงานได้เป็นปกติ

- ตับสร้างน้ำดีแล้วส่งมายังลำไส้เล็กช่วยให้

ไขมัน แตกตัว

- ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดูดน้ำและเกลือแร่ เป็น

บริเวณที่มีอาหารที่ย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมด

เป็นกากอาหาร ซึ่งจะถูกกำจัดออกทางทวาร

หนกั

• อว ัยว ะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมี

ความสำคัญจึงควรปฏิบัติตนดูแลรักษาอวัยวะ

ให้ทำงานเปน็ ปกติ

๑๓

สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ

มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมทีม่ ีผลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและววิ ฒั นาการ

ของสิ่งมชี ีวติ รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป. ๑ - -

ป. ๒ ๑. เปรียบเทยี บลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ และ • สิ่งไม่มีชีวิตจากข้อมูลที่รวบรวมได้สิ่งที่อยู่รอบตัว

ส่ิงไมม่ ชี ีวิตจากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ เรามีทง้ั ที่เปน็ สิ่งมีชวี ติ และสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต

ต้องการอาหารมีการหายใจเจริญเติบโต ขับถ่าย

เคล่ือนไหว ตอบสนองต่อสิ่งเรา้ และสืบพันธ์ุได้ลูกท่ีมี

ลักษณะคล้ายคลึงกับพ่อแม่ ส่วนสิ่งไม่มีชีวิตจะไม่มี

ลักษณะดังกล่าว

ป. ๓ - -

ป. ๔ ๑. จำแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความ • ส่งิ มีชีวติ มหี ลายชนดิ สามารถจัดกล่มุ ไดโ้ ดยใช้ความ

แตกตา่ งของลักษณะของสง่ิ มชี ีวติ ออกเป็นกลุ่ม เหมอื นและความแตกตา่ งของลักษณะต่างๆเชน่ กล่มุ

พืชกลุ่มสตั วแ์ ละกลุ่มทไ่ี ม่ใชพ่ ชื และสัตว์ พืชสร้างอาหารเองได้และเคลื่อนที่ด้วย ตนเองไม่ได้

กลุ่มสัตว์กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารและเคลื่อนที่ได้

กลมุ่ ท่ีไมใ่ ชพ่ ืชและสัตว์เชน่ เหด็ รา จลุ ินทรีย์

• การจำแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ใน

๒. จำแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืชไมม่ ีดอกโดย การจำแนก ไดเ้ ปน็ พชื ดอกและพชื ไม่มดี อก

ใช้การมดี อกเปน็ เกณฑโ์ ดยใชข้ ้อมลู ทร่ี วบรวมได้ • การจำแนกสัตว์สามารถใช้การมีกระดูกสันหลังเป็น

๓. จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและ เกณฑ์ในการจำแนก ไดเ้ ป็นสตั วม์ ีกระดูกสันหลังและ

สัตวไ์ มม่ กี ระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูกสันหลัง สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลัง

เป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลทรี่ วบรวมได้ • สตั วม์ กี ระดูกสันหลังมหี ลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปลา

๔. บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มี กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน

กระดูกสนั หลังในกลมุ่ ปลากลุ่มสัตว์สะเทินน้ำ กล่มุ นก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ซึ่งแต่ละ

สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลือ้ ยคลาน กลุ่มนก และ กลุ่ม กลุ่ม จะมีลกั ษณะเฉพาะทสี่ งั เกตได้

สัตว์เลีย้ งลูกด้วยน้ำนม และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตใน

แตล่ ะกลมุ่

ป. ๕ ๑. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอด • ส่งิ มชี ีวติ ท้งั พืช สัตว์และมนุษย์ เมื่อโตเต็มที่จะมี

จากพ่อแมส่ ่ลู ูกของพืช สตั ว์ และมนุษย์ การสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงพันธุ์ โดยลูกที่

๒. แสดงความอยากรู้อยากเห็น โดยการถาม เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

คำถาม เกี่ยวกับลักษณะที่คล้ายคลึงกันของตนเอง จากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะ

กบั พ่อแม่ แตกตา่ งจากสงิ่ มชี วี ิตชนดิ อื่น

๑๔

ชนั้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

• พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น

ลักษณะของใบ สีดอก

• สัตวม์ กี ารถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เ ช ่ น สี

ขน ลกั ษณะของขน ลกั ษณะของหู

• มนุษย์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น

เชิงผมท่ีหนา้ ผาก ลักยิ้ม ลักษณะหนังตา การห่อล้ิน

ลักษณะของต่งิ หู

ป. ๖ - -

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบตั ิ ของสสาร

กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ

เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี

ชน้ั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๑ ๑. อธบิ ายสมบตั ทิ ี่สงั เกตได้ของวัสดุทีใ่ ช้ทำวตั ถุ ซ่ึง • วัสดุที่ใช้ทำวัตถุที่เป็นของเล่นของใช้มีหลายชนิด

ทำจากวัสดุชนิดเดียว หรือหลายชนิดประกอบกัน เช่น ผ้า แก้ว พลาสติก ยาง ไม้ อิฐ หิน กระดาษ

โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ โลหะ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติที่สังเกตได้ต่างๆ เช่นสี

๒. ระบุชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุ ตามสมบัติที่ นมุ่ แขง็ ขรขุ ระ เรียบ ใส ขุน่ ยืด หดได้ บดิ งอได้

สังเกตได้ • สมบัติที่สังเกตได้ของวสั ดุแต่ละชนดิ อาจเหมือนกัน

ซึ่งสามารถนำมาใชเ้ ป็นเกณฑ์ในการจดั กลุ่ม วสั ดไุ ด้

• วสั ดบุ างอยา่ งสามารถนำมาประกอบกัน เพื่อทำ
เป็นวัตถตุ า่ ง ๆ เชน่ ผา้ และกระดมุ ใชท้ ำเส้ือ ไม้และ

โลหะ ใชท้ ำกระทะ

ป. ๒ ๑. เปรยี บเทยี บสมบตั ิการดูดซับนำ้ ของวสั ดุโดยใช้ • วสั ดุแตล่ ะชนดิ มสี มบตั กิ ารดูดซับน้ำแตกต่างกันจึง

หลักฐานเชิงประจักษ์ และระบุการนำสมบตั ิ นำไปทำวัตถเุ พ่ือใช้ประโยชน์ได้แตกตา่ งกัน เช่นใช้

การดูดซบั น้ำของวสั ดุไปประยุกต์ใชใ้ นการทำวัตถุ ผา้ ท่ดี ดู ซบั น้ำไดม้ ากทำผ้าเช็ดตัว ใช้พลาสติก ซง่ึ ไม่

ในชีวิตประจำวนั ดดู ซับนำ้ ทำรม่

๒. อธบิ ายสมบัติที่สงั เกตได้ของวัสดุทเ่ี กิดจาก การ • วสั ดบุ างอยา่ งสามารถนำมาผสมกนั ซึ่งทำใหไ้ ด้

นำวสั ดุมาผสมกนั โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ สมบตั ทิ เี่ หมาะสม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตาม

ตอ้ งการ เช่น แป้งผสมน้ำตาลและกะทิ ใช้ทำขนม
ไทย ปนู ปลาสเตอร์ผสมเยื่อกระดาษใช้ทำ กระปุก

ออมสิน ปนู ผสมหิน ทราย และน้ำใช้ทำ คอนกรตี

๑๕

ช้ัน ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

๓. เปรียบเทียบสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุ เพื่อนำ • การนำวัสดุมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตาม

มาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตามวัตถุประสงค์และ วัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับสมบัติของวัสดุ วัสดุที่ใช้ แล้ว

อธิบายการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยใช้ อาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษใช้แล้วอาจ

หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ นำมาทำเป็นจรวดกระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ ถุงใส่

๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของการนำวัสดุที่ใช้แล้ว ของ

กลบั มาใชใ้ หม่ โดยการนำวสั ดทุ ใี่ ช้แล้วกลบั มา

ป. ๓ ๑. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนย่อยๆซ่ึง • วัตถอุ าจทำจากช้นิ สว่ นยอ่ ยๆ ซง่ึ แตล่ ะชน้ิ มี

สามารถแยกออกจากกันได้และประกอบกัน เป็น ลักษณะเหมือนกันมาประกอบเข้าด้วยกัน เมื่อแยก

วตั ถชุ น้ิ ใหมไ่ ด้ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ ชิ้นส่วนย่อยๆ แต่ละชิ้นของวตั ถุออกจากกันสามารถ

นำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบเป็นวัตถุ ชิ้นใหม่ได้

เช่น กำแพงบ้านมีก้อนอิฐหลาย ๆก้อนประกอบเข้า

ด้วยกัน และสามารถนำก้อนอิฐ จากกำแพงบ้านมา

ประกอบเปน็ พ้ืนทางเดินได้

๒. อธิบายการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทำให้ร้อน • เมื่อใหค้ วามร้อนหรือทำให้วสั ดุร้อนข้ึน และเมื่อลด

ข้นึ หรือทำให้เยน็ ลงโดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ ความร้อนหรือทำให้วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกิดการ

เปลีย่ นแปลงได้ เช่น สเี ปลย่ี น รูปร่างเปล่ยี น

ป. ๔ ๑. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็ง • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน

สภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำไฟฟ้า วัสดุที่มีความแข็งจะทนต่อแรงขูดขีด วัสดุที่มี สภาพ

ของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการ ยืดหยุ่นจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อมีแรงมากระทำ

ทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพ และกลับสภาพเดิมได้ วัสดุที่นำความร้อนจะร้อนได้

ยืดหย่นุ การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้า ของ เร็วเมื่อได้รับความร้อน และวัสดุที่นำไฟฟ้าได้จะให้

วัสดุไปใช้ในชีวิตประจำวันผ่านกระบวนการ กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ดังนั้นจึงอาจนำสมบัติต่าง ๆ

ออกแบบช้นิ งาน มาพิจารณาเพื่อใช้ใน กระบวนการออกแบบชิ้นงาน

เพือ่ ใชป้ ระโยชน์ ในชวี ิตประจำวัน

๒. แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่นโดยการอภิปราย • วสั ดุเปน็ สสารเพราะมมี วลและต้องการที่อยู่สสารมี

เก่ียวกบั สมบัติทางกายภาพของวัสดุอย่างมี เหตุผล สถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ของแข็งมี

จากการทดลอง ปริมาตรและรูปร่างคงที่ ของเหลวมี ปริมาตรคงที่

๓. เปรียบเทียบสมบัติของสสารทั้ง ๓ สถานะจาก แต่มีรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะ เฉพาะส่วนที่บรรจุ

ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมวลการต้องการที่อยู่ ของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตร และรูปร่างเปลี่ยนไป

รูปร่างและปรมิ าตรของสสาร ตามภาชนะทีบ่ รรจุ

๔. ใชเ้ ครอื่ งมอื เพือ่ วัดมวลและปริมาตร ของสสาร

ทั้ง ๓ สถานะ

๑๖

ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป. ๕ ๑. อธิบายการเปลี่ยนสถานะของสสาร เมื่อทำให้ • การเปลยี่ นสถานะของสสารเปน็ การเปล่ียนแปลง

สสารร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยใช้หลักฐาน ทางกายภาพ เมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสารถึง

เชิงประจกั ษ์ ระดับหนึ่งจะทำให้สสารที่เป็นของแข็งเปลี่ยน

สถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลวและ

เมื่อเพิ่มความร้อนต่อไปจนถึงอีกระดับหน่ึง

ของเหลวจะเปลยี่ นเป็นแกส๊ เรยี กวา่ การกลายเป็น

ไอ แต่เมื่อลดความร้อนถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะ

เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแนน่

และถ้าลดความร้อนต่อไปอีกจนถึง ระดับหน่ึง

ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า

การแข็งตัว สสารบางชนิดสามารถ เปลี่ยนสถานะ

จากของแข็งเป็นแก๊สโดยไม่ผ่าน การเป็นของเหลว

เรยี กวา่ การระเหิด ส่วนแก๊ส บางชนิดสามารถ

เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง โดยไมผ่านการเป็น

ของเหลว เรยี กว่า การระเหิดกลับ

๒. อธบิ ายการละลายของสารในน้ำโดยใช้หลักฐาน • เมื่อใส่สารลงในน้ำแล้วสารนั้นรวมเป็น เน้ือ

เชงิ ประจักษ์ เดยี วกันกบั น้ำทั่วทุกสว่ น แสดงว่าสารเกิด การ

ละลาย เรยี กสารผสมท่ีไดว้ า่ สารละลาย

๓. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสารเมื่อเกิดการ • เมอื่ ผสมสาร ๒ ชนิดขึ้นไปแล้วมีสารใหม่เกิดข้ึน

เปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ซึ่งมีสมบัติต่างจากสารเดิมหรือเมื่อสารชนิดเดียว

เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้นการ

เปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเคมี

ซึ่งสงั เกตได้จากมสี หี รือกล่นิ ตา่ งจากสารเดมิ หรือมี

ฟองแก๊ส หรือมีตะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มขึ้น

หรอื ลดลงของอุณหภูมิ

๔. วิเคราะห์และระบุการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้ • เม่อื สารเกิดการเปลี่ยนแปลงแลว้ ส า ร ส า ม า ร ถ

และการเปล่ยี นแปลงท่ผี นั กลับไม่ได้ เปลยี่ นกลบั เปน็ สารเดมิ ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่

ผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ

การละลาย แต่สารบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง

แล้วไม่สามารถเปล่ียนกลับเปน็ สารเดิมได้ เป็นการ

เปลี่ยนแปลงที่ผันกลับไม่ได้ เช่น การเผาไหม้ การ

เกดิ สนิม

๑๗

ชัน้ ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง

ป. ๖ ๑. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสมโดย • สารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ ๒ชนดิ ขึ้นไปผสม

การหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การ กัน เชน่ น้ำมันผสมน้ำ ข้าวสารปนกรวดทราย

รนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้ วิธีการ ที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับ

หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีแก้ปัญหาใน ลักษณะ และสมบัติของสารที่ผสมกัน ถ้า

ชีวติ ประจำวันเกยี่ วกับการแยกสาร องคป์ ระกอบของสารผสมเป็นของแข็งกับของแข็ง

ท่มี ขี นาด แตกตา่ งกันอย่างชดั เจน อาจใช้วิธีการ

หยิบออก หรือการร่อนผ่านวัสดุที่มีรู้ ถ้ามีสารใด

สารหนึ่ง เป็นสารแม่เหลก็ อาจใช้วิธีการใช้แม่เหลก็

ดึงดูด ถ้าองค์ประกอบเป็นของแข็งที่ไม่ละลายใน

ของเหลว อาจใชว้ ิธีการรนิ ออก การกรอง หรือการ

ตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสารสามารถนำไปใช้

ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันได้

สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ

เคลอื่ นทีแ่ บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป. ๓ ๑.ระบุผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การ • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงกระทำต่อวัตถุ

เคล่อื นที่ของวตั ถจุ ากหลักฐานเชิงประจักษ์ แรงมีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงอาจ ทำให้วัตถุ

เกิดการเคลื่อนที่โดยเปลี่ยนตำแหน่ง จากที่หนึ่งไปยัง

อีกที่หน่งึ

• การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ ได้แก่ วัตถุท่ี

อยู่นิ่งเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ วัตถุที่กำลัง เคลื่อนที่

เปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่เร็วขึน้ หรือช้าลง หรือหยุดนิ่งหรือ
เปลย่ี นทิศทางการเคลอ่ื นที่

๒. เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรงสัมผัสและ • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงที่เกิดจาก วัตถุ

แรงไมส่ ัมผสั ท่ีมผี ลตอ่ การเคล่ือนที่ของวตั ถุโดยใช้ หนึ่งกระทำกับอีกวัตถุหนึ่ง โดยวัตถุท้ังสอง อาจสัมผสั

หลกั ฐานเชิงประจักษ์ หรือไม่ต้องสัมผัสกัน เช่น การออกแรง โดยใช้มือดึง

หรือการผลักโต๊ะให้เคลื่อนที่เป็นการ ออกแรงที่วัตถุ

ต้องสัมผัสกัน แรงนี้จึงเป็นแรงสัมผัสการที่แม่เหล็ก

ดึงดูดหรือผลักกันระหว่าง แม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดขึ้น

โดยแม่เหล็กไมจ่ ำเป็น ต้องสมั ผัส

กนั แรงแมเ่ หล็กนี้จึงเป็นแรงไม่สมั ผัส

๑๘

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

๓. จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับแม่เหล็กเป็น • แม่เหลก็ สามารถดงึ ดูดสารแมเ่ หลก็ ได้

เกณฑ์จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ • แรงแมเ่ หล็กเปน็ แรงทเ่ี กดิ ขน้ึ ระหวา่ งแม่เหลก็ กับสาร

๔. ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ผลที่เกิดขึ้น แม่เหล็ก หรือแม่เหล็กกับแม่เหล็ก แม่เหล็กมี ๒ ขั้ว

ระหว่างขั้วแม่เหล็กเมื่อนำมาเข้าใกล้กันจาก คือขั้วเหนือและขั้วใต้ ข้ัวแม่เหล็กชนิดเดียวกันจะผลัก

หลักฐานเชิงประจักษ์ กนั จะผลักกนั ต่างชนดิ กัน จะดงึ ดดู กนั

ป. ๔ ๑. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อวัตถุจาก • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระทำต่อ

หลกั ฐาน เชงิ ประจักษ์ วัตถุมีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลกลางโลกและเป็นแรง

๒. ใช้เครอื่ งช่ังสปริงในการวัดน้ำหนักของวตั ถุ ไมส่ มั ผสั แรงดงึ ดดู ทโ่ี ลกกระทำกับวัตถุหน่ึงๆทำให้วัตถุ

ตกลงสู่พื้นโลก และทำให้วัตถุมีน้ำหนัก น้ำหนักของ

วัตถุได้จากเครื่องชั่งสปริงน้ำหนัก ของวัตถุขึ้นกับมวล

ของวัตถุโดยวัตถุที่มีมวลมาก จะมีน้ำหนักมากมาก

วัตถุท่มี ีมวลนอ้ ยจะมีน้ำหนกั นอ้ ย

• มวล คอื ปรมิ าณเนื้อของสสารท้งั หมดทีป่ ระกอบ กัน

๓. บรรยายมวลของวัตถุที่มีผลต่ อ การ เป็นวัตถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายในการ เปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐาน การเคล่ือนที่ของวัตถุ วตั ถทุ ม่ี ีมวลมากจะเปล่ียนแปลง

เชิงประจักษ์ การเคลื่อนที่ได้ยากกว่า วัตถุที่มีมวลน้อยดังนั้นมวล

ของวัตถุนอกจาก จะหมายถึงเนื้อทั้งหมดของวัตถุนั้น

แล้ว ยังหมายถึงการตา้ นการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ี

ของวตั ถุนนั้ ดว้ ย

ป. ๕ ๑. อธบิ ายวธิ ีการหาแรงลัพธข์ องแรงหลายแรงใน • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุโดย แรง

แนว เดยี วกันท่กี ระทำต่อวัตถใุ นกรณีที่วัตถุอยู่น่ิง ลัพธ์ของแรง ๒ แรงที่กระทำต่อวัตถุเดียวกัน จะมี

จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ขนาดเท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองเมื่อแรง ทั้งสองอยู่

๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงที่กระทำตอ่ วตั ถุทีอ่ ยู่ ในแนวเดียวกันและมีทิศทางเดียวกัน แต่จะมีขนาด

ใน แนวเดยี วกนั และแรงลัพธ์ทกี่ ระทำต่อวตั ถุ เท่ากบั ผลต่างของแรงทงั้ สอง เมื่อแรงทัง้ สองอยู่ในแนว

๓. ใชเ้ ครอ่ื งชั่งสปริงในการวดั แรงที่กระทำต่อ เดยี วกนั แต่มีทิศทางตรงข้ามกนั สำหรบั วัตถุที่อยู่นิ่งแรง

วัตถุ ลัพธ์ท่กี ระทำต่อวัตถมุ ีค่าเป็นศนู ย์

• การเขียนแผนภาพของแรงทกี่ ระทำต่อวตั ถุ สามารถ

เขยนี ไดโ้ ดยใชล้ กู ศร โดยหวั ลกู ศรแสดง

ทิศทางของแรง และความยาวของลูกศร แสดงขนาด

ของแรงที่กระทำต่อวัตถุ

๑๙

ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

๔. ระบุผลของแรงเสียดทานที่มีต่อการ • แรงเสียดทานเปน็ แรงที่เกิดข้ึนระหวา่ งผวิ สัมผัส ของ

เปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุจากหลักฐาน วัตถุเพ่ือต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดยถ้าออกแรง

เชงิ ประจักษ์ กระทำต่อวัตถุที่อยู่น่ิงบนพื้นผิวหนึ่ง ให้เคลื่อนท่ีแรง

๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงท่ี เสียดทานจากพ้ืนผวิ นั้นกจ็ ะต้าน การเคล่อื นที่ของวัตถุ

อยใู่ นแนวเดียวกันทีก่ ระทำต่อวัตถุ แต่ถ้าวัตถุกำลังเคลื่อนที่ แรงเสียดทานก็จะทำให้วัตถุ

นนั้ เคลื่อนทช่ี ้าลง หรือหยดุ นง่ิ

ป. ๖ ๑. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกิด • วตั ถุ ๒ชนิดท่ผี า่ นการขดั ถูการขัดถู เมื่อนำเข้ามาใกล้

จาก วัตถุที่ผ่านการขัดถูโดยใช้หลักฐานเชิง กัน อาจดึงดูดหรือผลักกันแรงที่เกิดขึ้นนี้เป็น แรง

ประจกั ษ์ ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุ ที่มี

ประจุไฟฟ้าซึ่งประจุไฟฟ้ามี ๒ ชนิด คือประจุไฟฟ้า

บวกและประจุไฟฟ้าลบวัตถุที่มี ประจุไฟฟ้าเดียวกัน

ผลกั กนั ชนิดตรงขา้ มกนั ดงึ ดูดกัน

สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ ัมพนั ธ์

ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจำวัน ธรรมชาติ ของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง

และคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ชนั้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป. ๑ ๑. บรรยายการเกิดเสยี งและทิศทางการเคลือ่ นท่ี • เสียงเกิดจากการสั่นของวัตถุ วัตถุที่ทำให้เกิดเสียง

ของเสยี งจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เป็นแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีทั้งแหล่งกำเนิดเสียง ตาม

ธรรมชาติและแหล่งกำเนดิ เสยี งทีม่ นุษย์ สร้างขึ้นเสียง
เคล่ือนทีอ่ อกจากแหล่งกำเนดิ เสยี ง ทุกทิศทาง

ป. ๒ ๑. บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของแสงจาก • แสงเคล่อื นทจี่ ากแหลง่ กำเนิดแสงทุกทิศทางเป็นแนว

แหล่งกำเนิดแสง และอธิบายการมองเห็นวัตถุ ตรงเมื่อมีแสงจากวัตถุมาเข้าตาจะทำให้ มองเห็นวัตถุ

จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ นั้น การมองเห็นวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงจาก

๒. ตระหนักในคุณคา่ ของความรู้ของการมองเห็น วัตถุนัน้ จะเข้าสู่ตาโดยตรงส่วนการมองเห็นวัตถุท่ีไม่ใช่

โดยเสนอแนะแนวทางการป้องกันอันตราย จาก แหล่งกำเนิดแสง ต้องมี แสงจากแหล่งกำเนิดแสงไป

การมองวัตถุที่อยู่ในบริเวณที่มีแสงสว่าง กระทบวัตถุแล้ว สะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงที่สว่างมากๆ

ไมเ่ หมาะสม เข้าสู่ตา อาจเกิดอันตรายต่อตาได้ จึงต้องหลีกเลี่ยง

การมองหรือใช้แผ่นกรองแสงที่มีคุณภาพ เมื่อจำเป็น
และตอ้ งจดั ความสวา่ งให้เหมาะสม กับการทำกิจกรรม

ต่างๆเช่นการอ่านหนังสือการดูจอโทรทัศน์การใช้

โทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่แี ละแทบ็ เลต็

๒๐

ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป. ๓ ๑. ยกตัวอย่างการเปลี่ยนพลังงานหนึ่งไปเป็นอีก • พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึงความสามารถในการ

พลังงานหนึ่งจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ ทำงานพลังงานมีหลายแบบ เช่น พลังงานกลพลังงาน

ไฟฟ้า พลังงานแสง พลังงานเสียง และพลังงานความ

ร้อนโดย พลังงานสามารถเปลี่ยนจากพลังงานหนึ่งไป

เป็น อกี พลังงานหน่ึงได้ เช่น การถมู ือจนรู้สกึ ร้อน เป็น

การเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานความร้อน แผง

เซลล์สรุ ิยะเปล่ียนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า หรือ

เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าเปลยี่ นพลังงานไฟฟ้าเปน็ พลังงานอนื่

• ไฟฟ้าผลิตจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งใช้พลังงาน จาก

๒. บรรยายการทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แหล่งพลังงานธรรมชาติหลายแหล่ง เช่นพลังงานจาก

และ ระบุแหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้าจาก ลม พลงั งานจากน้ำ พลงั งานจาก แกส๊ ธรรมชาติ

ข้อมลู ท่ีรวบรวมได้

๓. ตระหนักในประโยชนแ์ ละโทษของไฟฟา้ โ ด ย • พลังงานไฟฟ้ามีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันการใช้

นำเสนอวิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ ไฟฟ้านอกจากต้องใช้อย่างถูกวิธี ประหยัดและคุ้มค่า

ปลอดภัย แล้วยังตอ้ งคำนึงถึงความปลอดภยั ดว้ ย

ป. ๔ ๑. จำแนกวัตถเุ ป็นตวั กลางโปรง่ ใส ตัวกลางโปร่ง • เมื่อมองสิ่งต่างๆโดยมีวัตถุต่างชนิดกันมาก้ันแสงจะ

แสงและวัตถุทึบแสงจากลักษณะการมองเห็นสิ่ง ทำให้ลักษณะการมองเห็นสิ่งนั้นๆชัดเจนต่างกันจึง

ต่างๆผ่านวัตถุนั้นเป็นเกณฑ์ โดยใช้หลักฐานเชิง จำแนกวัตถุท่ีมากั้นออกเปน็ ตัวกลางโปรง่ ใส ซ่ึงทำ ใ ห้

ประจักษ์ มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสงทำให้

มองเห็นสิ่งต่างๆได้ไม่ชัดเจน และวัตถุทึบแสงทำให้

มองไม่เห็นสิ่งตา่ งๆนั้น

ป. ๕ ๑. อธิบายการได้ยินเสียงผ่านตัวกลางจาก • การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลางโดยอาจเป็น ของแข็ง

หลักฐาน เชงิ ประจักษ์ ของเหลวหรืออากาศ เสียงจะส่งผ่าน ตวั กลางมายงั หู

• เสียงทีไ่ ด้ยินมีระดบั สงู ต่ำของเสียงต่างกันขึ้นกบั ความถ่ี

๒. ระบุตัวแปร ทดลอง และอธิบายลักษณะและ ของการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงโดยเมื่อ แหล่งกำเนิด
เสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะเกิดเสียงต่ำแต่ถ้าสั่นด้วยความถ่ี
การเกดิ เสยี งสูง เสยี งตำ่
๓. ออกแบบการทดลองและอธิบายลักษณะและ สูงจะเกิดเสยี งสูง ส่วนเสียงดังค่อยท่ีได้ยินขึน้ กบั พลังงาน
การส่ันของ แหล่งกำเนิดเสียงโดยเมอื่ แหลง่ กำเนดิ เสียงส่ัน
การเกดิ เสียงดัง เสียงค่อย ด้วย พลังงานมากจะเกิดเสียงดัง แต่ถ้าแหล่งกำเนิดเสียง
๔. วัดระดับเสยี งโดยใช้เคร่ืองมอื วัดระดับเสียง สั่นด้วยพลังงานนอ้ ยจะเกดิ เสียงคอ่ ย
๕. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่องระดับเสียง • เสียงดังมากๆเป็นอันตรายต่อการได้ยินและ เสียงท่ี

โดยเสนอแนะแนวทางในการหลีกเลี่ยงและลด ก่อให้เกิดความรำคาญเป็นมลพิษทางเสียงเดซิเบลเป็น
มลพิษทางเสียง
หน่วยทีบ่ อกถึงความดังของเสียง

๒๑

ป. ๖ ๑. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ของแต่ • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า

ละ ส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายจาก สายไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า

หลักฐานเชงิ ประจักษ์ แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า เช่น ถา่ นไฟฉายหรือ แบตเตอร่ี

๒. เขยี นแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย ทำหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า เป็นตัวนำไฟฟ้า

๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ี ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าและ

เหมาะสมในการอธิบายวิธีการและผลของ เครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกันเครื่องใช้ไฟฟ้ามีหน้าท่ี

การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม เปลี่ยนพลังงานไฟฟา้ เปน็ พลังงานอ่ืน

๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อ • เมื่อนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน โดยให้

เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และ ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึ่งต่อกับ ขั้วลบของอีก

การประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจำวนั เซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทำให้มีพลังงาน

ไฟฟ้าเหมาะสมกับเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้า ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้า

แบบอนุกรมสามารถนำไป ใช้ประโยชน์ใน

ชวี ิตประจำวนั เช่น การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าในไฟฉาย

๕. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่ • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อถอดหลอดไฟฟ้า

เหมาะสมในการอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ ดวงใดดวงหนึ่งออกทำให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือดับ

อนุกรมและแบบขนาน ทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเมื่อถอด

๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อ หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่ึงออกหลอดไฟฟา้ ทีเ่ หลือก็ยัง

หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานโดยบอก สวา่ งได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถ

ประโยชน์ข้อจำกัดและการประยุกต์ใช้ใน นำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เชน่ การต่อหลอดไฟฟ้าหลาย

ชวี ติ ประจำวนั ดวงในบ้านจึงต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเพื่อ

เลือกใช้หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนึ่งได้ตามต้องการ

๗. อธิบายการเกิดเงามืด เงามัวจากหลักฐานเชิง • เมื่อนำวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉากรับ

ประจกั ษ์ แสงที่อยู่ด้านหลงั วตั ถุ โดยเงามีรูปร่างคลา้ ย วัตถุที่ทำ

๘. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิด เงา ให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสงบางส่วนตกลงบน

มดื เงามัว ฉาก ส่วนเงามืดเป็นบริเวณ ที่ไม่มีแสงตกลงบนฉาก

เลย

๒๒

สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี

ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีอวกาศ

ชนั้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๑ ๑. ระบุดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้าในเวลากลางวัน • บนท้องฟา้ มดี วงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวซ่ึงใน

และกลางคืนจากข้อมลู ที่รวบรวมได้ เวลากลางวันจะมองเห็นดวงอาทิตย์ และอาจ

๒. อธิบายสาเหตทุ ี่มองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ในเวลา มองเห็นดวงจันทร์บางเวลาในบางวัน แต่ไม่

กลางวนั จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ สามารถมองเหน็ ดาว

• ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่เน่ืองจาก

แสงอาทิตย์สว่างกว่าจึงกลบแสงของดาว ส่วนใน

เวลากลางคืนจะมองเห็นดาวและมองเห็นดวง

จนั ทร์เกือบทกุ คืน

ป. ๒ - -

ป. ๓ ๑. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตกของดวง • คนบนโลกมองเห็นดวงอาทติ ย์ปรากฏข้นึ ทางด้าน

อาทิตยโ์ ดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ หนึง่ และตกทางอีกดา้ นหน่งึ ทุกวัน หมุนเวียนเป็น

๒. อธิบายสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์การขึ้นและ แบบรปู ซ้ำๆ

ตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวัน กลางคืน และ • โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบดวง

การกำหนดทศิ โดยใชแ้ บบจำลอง อาทิตย์ทำให้บริเวณของโลกได้รับแสงอาทิตย์ไม่

๓. ตระหนักถึงความสำคัญของดวงอาทิตย์โดย พร้อมกัน โลกด้านที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะ

บรรยายประโยชนข์ องดวงอาทิตย์ต่อสง่ิ มีชีวติ เป็นกลางวันส่วนด้านตรงข้ามที่ไม่ได้รับแสงจะเป็น

กลางคืน นอกจากนี้คนบนโลกจะมองเห็น ดวง

อาทิตย์ปรากฏขึ้นทางด้านหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้ เป็น

ทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ตกทางอีก

ด้านหนึ่งซึ่งกำหนดให้เป็นทิศตะวันตก และเมื่อให้

ดา้ นขวามอื อยทู่ างทศิ ตะวันออกดา้ นซ้ายมอื อยู่ทาง

ทิศตะวันตก ด้านหน้าจะเป็น ทิศเหนือ และ

ด้านหลังจะเป็นทิศใต้

• ในเวลากลางวันโลกจะได้รับพลังงานแสงและ

พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้สิ่งมีชีวิต

ดำรงชวี ติ อย่ไู ด้

๒๓

ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป. ๔ ๑. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก ของดวง • ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์

จันทร์ โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ หมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบโลกขณะที่โลกก็

หมุนรอบตวั เองดว้ ยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเอง ของ

โลกจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกใน ทิศทางทวน

เข็มนาฬิกาเมื่อมองจากขั้วโลกเหนือทำให้มองเห็น

ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นทางด้านทิศตะวันออกและตก

ทางดา้ นทิศตะวันตก หมุนเวียนเปน็ แบบรปู ซ้ำๆ

• ดวงจันทร์เปน็ วตั ถุที่เป็นทรงกลม แต่รูปร่างของ

๒. สร้างแบบจำลองที่อธิบายแบบรูปการ ดวงจนั ทรท์ ีม่ องเห็นหรือรูปร่างปรากฏของ

เปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์และ ดวงจันทร์บนท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละวันโดย

พยากรณ์รูปรา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์ ในแต่ละวันดวงจันทร์จะมีรูปร่างปรากฏเป็น เสี้ยวที่

มีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเต็มดวงจ า ก นั้ น

รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์จะแหว่งและมีขนาด

ลดลงอย่างต่อเนื่องจนมองไม่เห็น ดวงจันทร์จากน้ัน

รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์จะเป็นเสี้ยวใหญ่ขึ้นจน

เตม็ ดวงอีกครง้ั การเปลย่ี นแปลงเช่นนเ้ี ปน็ แบบรูปซ้ำ

กนั ทกุ เดอื น

• ระบบสุริยะเป็นระบบที่มดี วงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง

๓. สร้างแบบจำลองแสดงองค์ประกอบของระบบ และมีบริวารประกอบด้วยดาวเคราะห์ แปดดวงและ

สุริยะ และอธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจรของ บริวาร ซึ่งดาวเคราะห์แต่ละดวงมีขนาด และ

ดาวเคราะห์ต่างๆจากแบบจำลอง ร ะ ย ะ ห ่ า ง จ า ก ด ว ง อ า ท ิ ต ย ์ แ ต ก ต ่ า ง ก ั น แ ล ะ ยั ง

ประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย

ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่นๆโคจรอยู่รอบดวง

อาทิตย์ วัตถุขนาดเล็กอื่นๆ เมื่อเข้ามา ในชั้น

บรรยากาศเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลกทำให้เกิด

เปน็ ดาวตกหรือผพี งุ่ ไตแ้ ละอกุ กาบาต

ป. ๕ ๑. เปรียบเทียบความแตกต่างของดาวเคราะห์และ • ดาวที่มองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในอวกาศซึ่งเป็น

ดาวฤกษ์จากแบบจำลอง บริเวณที่อยู่นอกบรรยากาศของโลกมีทั้งดาวฤกษ์

และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกำเนิดแสงจึง

สามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะห์ไม่ใช่

แหลง่ กำเนิดแสง แต่สามารถมองเห็นได้เนื่องจาก

แสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว

สะทอ้ นเข้าสู่ตา

๒๔

ช้นั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

๒. ใช้แผนที่ดาวระบุตำแหน่งและเส้นทางการขึ้น • การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่างต่างๆ เกิดจาก

และตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้าและอธิบาย จินตนาการของผ้สู ังเกต กลมุ่ ดาวฤกษต์ า่ งๆ

แบบรูปเส้นทางการขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ ที่ ปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์แต่ละดวง

บนท้องฟ้าในรอบปี เรียงกันที่ตำแหน่งคงที่และมีเส้นทางการขึ้น และ

ตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซึ่งจะปรากฏ ตำแหน่ง

เดมิ การสังเกตตำแหน่งและการข้ึนและตกของดาว

ฤกษ์ และกลุ่มดาวฤกษ์สามารถ ทำได้โดยใช้แผนที่

ดาว ซึ่งระบมุ ุมทิศและมมุ เงย ทก่ี ลมุ่ ดาวนัน้ ปรากฏ

ผู้สังเกตสามารถใช้มือ ในการประมาณค่าของมุม

เงยเมื่อสังเกตดาว ในทอ้ งฟ้า

ป. ๖ ๑. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดและ • เมื่อโลกและดวงจนั ทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง

เปรียบเทียบปรากฏการณ์สุริยุปราคาและ เดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางที่เหมาะสม

จันทรุปราคา ทำให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์เงาของดวงจันทร์

ทอดมายังโลกผู้ สังเกตที่อยู่บริเวณเงาจะมองเห็น

ดวงอาทิตย์มืดไปเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาซึ่งมี

ทั้งสุริยุปราคาเต็มดวงสุริยุปราคาบางส่วน และ

สุรยิ ปุ ราคาวงแหวน

• หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง

เดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคลื่อนที่

ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไปเกิด

ปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่งมีทั้งจันทรุปราคา

เต็มดวง และจนั ทรปุ ราคาบางส่วน

๒. อธิบายพฒั นาการของเทคโนโลยอี วกาศ แ ล ะ • เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการของ

ยกตัวอยา่ งการนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ มนุษย์ ในการสำรวจวัตถุท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า

ในชีวิตประจำวัน จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ กล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่งเพ่ือ

สำรวจอวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ

และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันมีการนำ

เ ท ค โ น โ ล ย ี อ ว ก า ศ บ า ง ป ร ะ เ ภ ท ม า ป ร ะ ย ุ ก ต์

ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อการ

สื่อสารการพยากรณ์อากาศหรือการสำรวจ

ทรัพยากรธรรมชาติการใช้อุปกรณ์วัดชีพจรและ

การเต้นของหัวใจ หมวกนริ ภยั ชุดกฬี า

๒๕

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายใน

โลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อ

สงิ่ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม

ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

ป. ๑ ๑. อธบิ ายลกั ษณะภายนอกของหนิ จ า ก ล ั ก ษ ณ ะ • หินที่อยู่ในธรรมชาติมีลักษณะภายนอกเฉพาะตวั

เฉพาะตัวทีส่ ังเกตได้ ทสี่ ังเกตได้ เช่น สี ลวดลาย น้ำหนกั ความแข็งและ

เน้อื หิน

ป. ๒ ๑. ระบุส่วนประกอบของดิน และจำแนกชนิดของ • ดนิ ประกอบด้วยเศษหนิ ซากพืช ซากสัตว์ผสม

ดิน โดยใช้ลักษณะเน้ือดินและการจับตัวเป็นเกณฑ์ อยู่ในเนื้อดิน มอี ากาศและน้ำแทรกอยู่ตามช่องว่าง

๒. อธิบายการใช้ประโยชน์จากดินจากข้อมูลท่ี ในเนือ้ ดนิ ดนิ จำแนกเป็น ดินร่วน ดินเหนียว และ

รวบรวมได้ ดินทราย ตามลักษณะเนื้อดินและการจับตัว

ของดินซึ่งมีผลตอ่ การอุ้มน้ำท่แี ตกตา่ งกนั

• ดินแต่ละชนิดนำไปใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน

ตามลักษณะและสมบัตขิ องดิน

ป. ๓ ๑. ระบุส่วนประกอบของอากาศ บรรยายความ • อากาศโดยทั่วไปไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ประกอบด้วยแก๊ส

สำคญั ของอากาศและผลกระทบของมลพิษทาง ไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

อากาศตอ่ สิง่ มชี ีวิต จากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ แก๊สอื่นๆรวมทั้งไอน้ำ และฝุ่นละอองอากาศ มี

๒. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของอากาศ โดยนำเสนอ ความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต หากส่วนประกอบของ

แนวทางการปฏบิ ัตติ นในการลดการเกิดมลพิษ ทาง อากาศไม่เหมาะสม เนื่องจากมีแก๊สบางชนิดหรือ ฝุ่น

อากาศ ละอองในปริมาณมาก อาจเปน็ อันตรายต่อ สิง่ มีชีวิต

ชนดิ ต่างๆจัดเป็นมลพิษทางอากาศ

• แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดการปล่อยมลพิษ

ทางอากาศ เชน่ ใช้พาหนะรว่ มกันหรือเลือกใช้

เทคโนโลยที ล่ี ดมลพิษทางอากาศ

๓. อธิบายการเกิดลมจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ • ลม คอื อากาศทีเ่ คลอื่ นที่เกิดจากความแตกต่าง
กันของอุณหภูมิอากาศบริเวณที่อยู่ใกล้กันโดย
อากาศ บริเวณท่มี ีอุณหภูมิสูง จะลอยตัวสูงขึ้นและ
อากาศ บริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจะเคลื่อนเข้าไป
แทนที่

๒๖

ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

๔. บรรยายประโยชน์และโทษของลม จากข้อมูล • ลมสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนในการ

ท่รี วบรวมได้ ผลิตไฟฟ้า และนำไปใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรม

ต่างๆของมนุษย์ หากลมเคลือ่ นท่ี ด้วยความเร็วสูงอาจ

ทำให้เกิดอันตรายและความเสียหายต่อชีวิตและ

ทรัพยส์ ินได้

ป. ๔ - -

ป. ๕ ๑. เปรียบเทียบปริมาณน้ำในแต่ละแหล่ง และ • โลกมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มซึ่งอยู่ในแหล่งน้ำต่างๆที่มี

ระบุ ปริมาณน้ำที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ ทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง แม่น้ำ

ประโยชน์ไดจ้ ากข้อมูลที่รวบรวมได้ และแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำในดิน และน้ำบาดาล น้ำ

ทั้งหมดของโลกแบ่งเป็นน้ำเค็ม ประมาณร้อยละ

๙๗.๕ ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่นๆ และที่

เหลอื อกี ประมาณร้อยละ ๒.๕เป็นน้ำจดื ถา้ เรียงลำดับ

ปริมาณ นำ้ จดื จากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารน้ำแข็ง และ

พืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดินชนิดเยือกแข็ง คงตัวและน้ำแข็ง

ใต้ดิน ทะเลสาบความชื้นในดิน ความชื้นใน

บรรยากาศ บึง แมน่ ำ้ และนำ้ ในสงิ่ มีชวี ิต

• น้ำจืดที่มนุษย์นำมาใช้ได้มีปริมาณน้อยมากจึงควรใช้

๒. ตระหนกั ถึงคุณค่าของน้ำโดยนำเสนอแนวทาง น้ำอยา่ งประหยดั และรว่ มกันอนรุ กั ษน์ ำ้

การใช้น้ำอยา่ งประหยดั และการอนรุ กั ษน์ ำ้ • วัฏจักรน้ำเป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีแบบรูปซ้ำ

๓. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการหมุนเวียนของ เดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำในบรรยากาศ น้ำผิวดิน

นำ้ ในวฏั จกั รนำ้ และน้ำใต้ดนิ โดยพฤติกรรมการดำรงชวี ิต ของพืชและ

สตั ว์สง่ ผลต่อวฏั จกั รน้ำ

๔. เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดเมฆหมอกน้ำค้าง • ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็กๆโดยมี

และนำ้ คา้ งแขง็ จากแบบจำลอง ละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของ

ดอกไม้เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวน

มากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยูส่ ูงจากพื้นดินมากเรียกวา่

เมฆ แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน

เรียกว่าหมอก ส่วนไอนำ้ ท่ีควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะ

อยู่บนพน้ื ผิววัตถุใกลพ้ ้ืนดนิ เรียกวา่ นำ้ ค้าง ถ้าอณุ หภูมิ

ใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็งน้ำค้างก็จะกลายเป็น

น้ำคา้ งแข็ง

๒๗

ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

๕. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ และ • ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็นน้ำที่มี

ลกู เห็บ จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ สถานะต่างๆที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดินฝนเกิดจาก ละออง

น้ำในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถ พยุงไว้ได้

จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศ ระเหิดกลับ

เป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตวั กันจนมนี ำ้ หนัก มากข้ึนจนเกิน

กว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมาลูกเห็บเกิดจากจาก

หยดน้ำที่เปล่ียนสถานะเป็นน้ำแข็ง แล้วถูกพายุพัดวน

ซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนอง ที่มีขนาดใหญ่และอยู่

ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็ง ขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว

ตกลงมา

ป. ๖ ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี • หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติประกอบด้วย

หินตะกอน และหินแปรและอธิบายวัฏจักรหิน แร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สามารถจำแนกหินตาม

จากแบบจำลอง กระบวนการเกิดได้เป็น ๓ ประเภทได้แก่ หินอัคนี

หนิ ตะกอน และหินแปร

• หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เนื้อหินมี

ลกั ษณะเป็นผลึก ทั้งผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็กบาง

ชนิดอาจเป็นเนื้อแก้วหรือมีรูพรุน

• หินตะกอนเกิดจากการทับถมของตะกอนเมื่อถูก แรง

กดทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหินเน้ือหินกลุ่ม

นี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ดตะกอน มีทั้งเนื้อหยาบและ

เนื้อละเอียด บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่ยึดเกาะกันเกิดจาก

การตกผลึกหรือตกตะกอนจากน้ำโดยเฉพาะน้ำทะเลบาง

ชนิดมลี ักษณะเป็นช้นั ๆจึงเรียกอีกช่ือวา่ หนิ ช้นั

• หินแปรเกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม ซึ่งอาจเป็น

หินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปรโดยการกระทำของ

ความรอ้ น ความดันและ ปฏิกริ ิยาเคมเี น้ือหินของหินแปร

บางชนิดผลึก ของแร่เรียงตัวขนานกันเป็นแถบบางชนิด

แซะออกเป็นแผ่นได้บางชนิดเป็นเนื้อผลึก ที่มีความแข็ง

มาก

• หินในธรรมชาติทั้ง ๓ ประเภทมีการเปลี่ยนแปลง จาก

ประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่งหรือ ประเภทเดิมได้

โดยมีแบบรูปการเปลี่ยนแปลง คงที่และต่อเนื่องเป็น

วฏั จักร

๒๘

ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

๒. บรรยายและยกตวั อย่างการใชป้ ระโยชน์ของหิน • หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติ

และแรใ่ นชีวิตประจำวนั จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ แตกต่างกันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ในชีวิต

ประจำวันในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำแร่มาทำ

เครื่องสำอาง ยาสีฟัน เครื่องประดับ อุปกรณ์ ทาง

การแพทย์และนำหินมาใช้ในงานก่อสร้าง ต่างๆ

เป็นตน้

๓. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดซากดึกดำ • ซากดึกดำบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการ

บรรพ์ และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของ ประทับรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต จนเกิดเป็น

ซากดึกดำบรรพ์ โครงสรา้ งของซากหรือร่องรอยของสง่ิ มีชีวิต ที่

ปรากฏอยู่ในหิน ในประเทศไทยพบ ซากดึกดำ

บรรพ์ท่ีหลากหลาย เช่น พืช ปะการัง หอย ปลา

เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตนี สตั ว์

• ซากดกึ ดำบรรพ์สามารถใชเ้ ปน็ หลักฐานหนึ่ง

ที่ช่วยอธบิ ายสภาพแวดล้อมของพืน้ ท่ีในอดีต ขณะ

เกิดสิ่งมีชีวิตนั้น เช่น หากพบซากดึกดำบรรพ์ของ

หอยน้ำจืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคย เป็น

แหล่งน้ำจืดมาก่อน และหากพบ ซากดึกดำบรรพ์

ของพชื สภาพแวดล้อมบริเวณนั้น อาจเคยเป็นป่า

มาก่อน นอกจากนซี้ ากดึกดำบรรพ์

ยงั สามารถใชร้ ะบุอายุของหินและเปน็ ข้อมลู

ในการศึกษาววิ ฒั นาการของสิง่ มีชวี ิต

๔. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม • ลมบก ลมทะเล และมรสุมเกิดจากพื้นดินและพื้น

รวมทั้งอธิบายผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม น้ำร้อนและเย็นไม่เท่ากันทำให้อุณหภูมิ อากาศ

จากแบบจำลอง เหนือพื้นดินและพื้นน้ำแตกต่างกันจึงเกิดการ

เคลือ่ นท่ีของอากาศจากบรเิ วณทม่ี ีอุณหภมู ิต่ำไปยัง

บริเวณทม่ี อี ณุ หภมู ิสูง

• ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถิ่นที่พบบริเวณ

ชายฝง่ั โดยลมบกเกิดในเวลากลางคนื ทำให้มลี มพัด

จากชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดใน เวลา

กลางวนั ทำให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝัง่

๒๙

ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

๕. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศ • มรสุมเปน็ ลมประจำฤดเู กิดบรเิ วณเขตร้อน

ไทยจากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ของโลก ซึ่งเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาคประเทศ

ไทยไดร้ บั ผลจากมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ ในช่วง

ประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือน กุมภาพันธ์

ทำให้เกิดฤดูหนาว และได้รับผลจาก มรสุม

ตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงประมาณกลางเดือน

พฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคมทำให้เกิดฤดูฝน

ส่วนช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ จนถึง

กลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปลี่ยนมรสุม และ

ประเทศไทยอย่ใู กลเ้ ส้นศูนย์สตู ร แสงอาทิตย์ เกือบ

ต้ังตรงและตั้งตรงประเทศไทยในเวลา เที่ยงวัน

ทำให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ อย่างเต็มที่

อากาศจึงรอ้ นอบอ้าวทำให้เกดิ ฤดูร้อน

๖. บรรยายลักษณะและผลกระทบของน้ำท่วมการ • น้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่มแผ่นดินไหว

กัดเซาะชายฝั่งดินถลม่ แผ่นดนิ ไหวสนึ ามิ และสึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม

๗. ตระหนักถึงผลกระทบของภัยธรรมชาติและ แตกต่างกัน

ธรณีพบิ ตั ิภัย โดยนำเสนอแนวทางในการ • มนุษย์ควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น

เฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัย ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เตรียมถุงยังชีพให้

ธรรมชาติ และธรณีพิบัติภัยที่อาจเกิดในท้องถ่ิน พร้อมใช้ตลอดเวลาและปฏิบัติตามคำสั่งของ

ผู้ปกครองและเจา้ หน้าที่อย่างเคร่งครดั เม่ือเกิด ภัย

ธรรมชาติและธรณีพิบัติภยั

๘. สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ • ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือน

เรือนกระจก และผลของปรากฏการณเ์ รือนกระจก กระจก ในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บความร้อน

ตอ่ สง่ิ มีชวี ิต แล้วคายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผิวโลกทำให้

๙. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน อากาศ บนโลกมีอุณหภูมิเหมาะสมต่อการ

กระจก โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อ ดำรงชวี ิต

ลดกจิ กรรมที่กอ่ ให้เกิดแกส๊ เรือนกระจก • หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากขึ้นจะมี

ผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกมนุษย์จึงควร

รว่ มกนั ลดกจิ กรรมที่กอ่ ให้เกิด แกส๊ เรือนกระจก

๓๐

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอน

และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี

ประสิทธิภาพ รู้เท่าทันและมีจรยิ ธรรม

ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๑ ๑. แก้ปัญหาอยา่ งง่ายโดยใช้การลองผิดลองถูกการ • การแก้ปัญหาให้ประสบความสำเร็จทำได้โดยใช้

เปรียบเทยี บ ขนั้ ตอนการแก้ปัญหา

• ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจุด

แตกต่างของภาพ การจัดหนังสือใสก่ ระเป๋า

๒.แสดงลำดบั ข้นั ตอนการทำงานหรือการแก้ปัญหา • การแสดงขั้นตอนการแก้ปัญหา ทำได้โดยการ
อย่างงา่ ยโดยใชภ้ าพ สัญลักษณ์ หรอื ข้อความ เขยี นบอกเล่า วาดภาพหรือใช้สญั ลกั ษณ์

• ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจุด
แตกตา่ งของภาพ การจัดหนงั สอื ใส่กระเป๋า

๓. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือ • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของคำสั่ง
ส่อื ให้คอมพวิ เตอรท์ ำงาน

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมสั่งให้ตัว
ละครย้ายตำแหน่ง ย่อขยายขนาด เปลี่ยนแปลง
รปู ร่าง
• ซอฟต์แวร์หรือสื่อที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น
ใช้บตั รคำสั่งแสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org

๔. ใช้เทคโนโลยใี นการสร้างจัดเก็บ เรียกใช้ข้อมูล • การใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยเี บื้องต้น เชน่ การใช้

ตามวัตถุประสงค์ เมาส์ คีย์บอร์ด จอสัมผัส การเปิด-ปิด อุปกรณ์

เทคโนโลยี

• การใช้งานซอฟต์แวร์เบื้องต้น เช่น การเข้าและ

ออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจัดเก็บการ

เรียกใช้ไฟล์ ทำได้ในโปรแกรม เช่น โปรแกรม

ประมวลคำ โปรแกรมกราฟกิ โปรแกรมนำเสนอ

• การสร้างและจัดเก็บไฟล์อย่างเปน็ ระบบจะทำให้

เรียกใชค้ ้นหาข้อมลู ไดง้ า่ ยและรวดเร็ว

๓๑

ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปฏิบัติ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น

ตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกัน ดูแล รู้จกั ข้อมูลสว่ นตวั อันตรายจากการเผยแพร่ ข้อมูล

รกั ษาอุปกรณเ์ บอ้ื งตน้ ใช้งานอย่างเหมาะสม สว่ นตวั และไม่บอกข้อมูลส่วนตัวกับ บุคคลอ่ืน

ยกเว้นผู้ปกครองหรือครู แจ้งผู้เกี่ยวข้อง เม่ือ

ต้องการความช่วยเหลอื เกี่ยวกับการใช้งาน

• ข้อปฏบิ ัตใิ นการใช้งานและการดแู ลรักษาอุปกรณ์

เช่น ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณ์ ทำความสะอาด

ใช้อุปกรณ์อยา่ งถกู วิธี

• การใชง้ านอยา่ งเหมาะสม เชน่ จัดท่านงั่ ให้ถกู ต้อง

การพักสายตาเมื่อใช้อุปกรณ์เป็นเวลานาน

ระมัดระวังอุบัตเิ หตุจากการใชง้ าน

ป. ๒ ๑. แสดงลำดับขั้นตอนการทำงานหรือการ • การแสดงข้ันตอนการแก้ปัญหา ทำได้โดยการ

แก้ปัญหา อย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรือ เขยี น บอกเล่า วาดภาพหรือใชส้ ญั ลกั ษณ์

ข้อความ • ปญั หาอย่างงา่ ยเช่น เกมตัวต่อ ๖-๑๒ ชิ้นการ

แต่งตวั มาโรงเรยี น

๒. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือ • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมสั่งให้ตัว

ส่ือและตรวจหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรม ละครทำงานตามที่ต้องการ และตรวจสอบ

ขอ้ ผิดพลาดปรบั แกไ้ ขใหไ้ ด้ผลลพั ธต์ ามท่กี ำหนด

• การตรวจหาข้อผดิ พลาดทำได้โ ดยตรวจสอบ

คำสง่ั ท่ีแจง้ ข้อผิดพลาด หรอื หากผลลัพธ์ไม่เป็นไป

ตาม ทีต่ อ้ งการให้ตรวจสอบการทำงานทลี ะคำส่ัง

• ซอฟต์แวร์หรือสื่อที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

ใชบ้ ัตรคำสัง่ แสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org

๓. ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดหมวดหมู่ ค้นหา • การใช้งานซอฟต์แวร์เบื้องต้น เช่น การเข้า และ

จัดเก็บ เรยี กใช้ขอ้ มูลตามวตั ถปุ ระสงค์ ออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจัดเก็บการ

เรยี กใชไ้ ฟล์ การแกไ้ ขตกแตง่ เอกสาร ทำได้

ในโปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลคำโปรแกรม

กราฟิก โปรแกรมนำเสนอ

• การสร้าง คัดลอก ย้าย ลบ เปลี่ยนชื่อ จัดหมวด

หมู่ไฟล์ และโฟลเดอร์อย่างเป็นระบบจะทำให้

เรียกใช้ คน้ หาข้อมูลได้งา่ ยและรวดเรว็

๓๒

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

๔.ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปฏิบัติ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น

ตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันดูแล รจู้ กั ข้อมลู สว่ นตวั อันตรายจากการเผยแพร่ ข้อมูล

รักษาอุปกรณเ์ บ้ืองตน้ ใชง้ านอย่างเหมาะสม สว่ นตวั และไม่บอกข้อมูลส่วนตัวกับบุคคล อื่น

ยกเว้นผู้ปกครองหรือครู แจ้งผู้เกี่ยวข้องเมื่อ

ต้องการความช่วยเหลือเกยี่ วกับการใชง้ าน

• ขอ้ ปฏบิ ัตใิ นการใชง้ านและการดูแลรักษาอุปกรณ์

เช่น ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณ์ ทำความสะอาด ใช้

อุปกรณ์อย่างถกู วิธี

• การใชง้ านอยา่ งเหมาะสม เช่น จัดทา่ นง่ั ใหถ้ ูกต้อง

การพักสายตาเมื่อใช้อุปกรณ์เป็นเวลานาน

ระมัดระวังอบุ ตั ิเหตจุ ากการใช้งาน

ป. ๓ ๑. แสดงอลั กอรทิ ึมในการทำงานหรือการแก้ปัญหา • อัลกอริทึมเป็นขน้ั ตอนท่ใี ช้ในการแก้ปัญหา

อยา่ งง่ายโดยใช้ภาพ สญั ลกั ษณ์ หรือขอ้ ความ • การแสดงอัลกอรทิ ึม ทำได้โดยการเขียน บอกเล่า

วาดภาพ หรือใชส้ ญั ลักษณ์

• ตวั อยา่ งปญั หา เช่น เกมเศรษฐี เกมบันไดงู เกม

Tetris เกม OX การเดินไปโรงอาหารการทำความ

สะอาดห้องเรียน

๒. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือ • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของคำสั่ง

สอ่ื และตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม ให้คอมพวิ เตอรท์ ำงาน

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมที่สั่งให้ตวั

ละครทำงานซ้ำไมส่ นิ้ สุด

• การตรวจหาขอ้ ผิดพลาดทำได้โ ดย ตรวจสอบ

คำสั่ง ที่แจ้งข้อผิดพลาดหรือหากผลลัพธ์ไม่เป็นไป

ตาม ทต่ี ้องการให้ตรวจสอบการทำงานทลี ะคำสงั่

• ซอฟต์แวร์หรือสื่อที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

ใชบ้ ตั รคำสง่ั แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org

๓. ใช้อินเทอร์เนต็ คน้ หาความรู้ • อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ช่วยให้การ
ติดต่อสื่อสารทำได้สะดวกและรวดเร็วและเป็น
แหล่งข้อมูลความรู้ที่ช่วยในการเรียนและการ
ดำเนินชีวติ
• เว็บเบราว์เซอร์เป็นโปรแกรมสำหรับอ่านเอกสาร
บนเวบ็ เพจ

๓๓

ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

• การสบื ค้นขอ้ มูลบนอนิ เทอรเ์ น็ต ท ำ ไ ด ้ โ ด ย ใ ช้

เว็บไซต์สำหรับสืบค้น และต้องกำหนดคำค้นท่ี

เหมาะสมจึงจะได้ข้อมูลตามต้องการ

• ข้อมูลความรู้ เช่น วิธีทำอาหาร วิธีพับกระดาษ

เป็นรูปต่าง ๆ ข้อมูลประวัติศาสตร์ชาติไทย (อาจ

เป็นความรู้ในวิชาอื่นๆหรือเรื่องที่เป็น ประเด็นท่ี

สนใจในชว่ งเวลาน้ัน)

• การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยควรอยู่ในการ

ดูแลของครูหรือผปู้ กครอง

๔. รวบรวม ประมวลผล และนำเสนอข้อมูลโดยใช้ • การรวบรวมข้อมูล ทำไดโ้ ดยกำหนดหวั ข้อ

ซอฟต์แวรต์ ามวัตถุประสงค์ ทตี่ อ้ งการเตรยี มอุปกรณใ์ นการจดบนั ทกึ

• การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบจัด

กลมุ่ เรียงลำดบั

• การนำเสนอขอ้ มูลทำได้หลายลักษณะตามค ว า ม

เหมาะสม เช่น การบอกเล่า การทำเอกสาร

รายงาน การจัดทำป้ายประกาศ

• การใช้ซอฟต์แวร์ทำงานตามวัตถุประสงค์ เช่นใช้

ซอฟต์แวร์นำเสนอ หรือซอฟต์แวร์กราฟิกสร้าง

แผนภมู ริ ูปภาพ ใช้ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ทำป้าย

ประกาศหรือเอกสารรายงานใช้ ซอฟต์แวร์ตาราง

ทำงานในการประมวลผลขอ้ มลู

๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปฏิบัติ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น

ตามข้อตกลงในการใช้อนิ เทอร์เน็ต ปกป้องข้อมูลสว่ นตัว

• ขอความชว่ ยเหลือจากครูหรอื ผูป้ กครอง เมือ่

เกดิ ปญั หาจากการใช้งาน เมือ่ พบขอ้ มูลหรือ บุคคล

ทท่ี ำให้ไม่สบายใจ

• การปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้อินเทอร์เน็ตจะ

ทำใหไ้ มเ่ กิดความเสยี หายต่อตนเองและผู้อ่ืนเช่นไม่

ใชค้ ำหยาบ ลอ้ เลียน ดา่ ทอ ทำใหผ้ ูอ้ นื่

เสียหายหรอื เสยี ใจ

• ข้อดีและข้อเสียในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

และการสอื่ สาร

๓๔

ช้นั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป. ๔ ๑. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาการอธิบาย • การใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์หรือ

การทำงานการคาดการณ์ผลลัพธ์จากปัญหา อย่าง เงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณาในการ

ง่าย แก้ปญั หาการอธิบายการทำงานหรือการคาดการณ์

ผลลพั ธ์

• สถานะเริ่มต้นของการทำงานที่แตกต่างกันจะให้

ผลลพั ธท์ แี่ ตกตา่ งกนั

• ตัวอยา่ งปัญหา เช่น เกม OX โปรแกรมที่มีการ

คำนวณ โปรแกรมที่มีตัวละครหลายตัวและมีการ

สั่งงานที่แตกต่างหรือมีการสื่อสาร ระหว่างกันการ

เดินทางไปโรงเรยี นโดยวิธกี าร ตา่ ง ๆ

๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ • การออกแบบโปรแกรมอย่างง่าย เช่น การ

ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาดและ ออกแบบ โดยใช้ storyboard หรือการออกแบบ

แกไ้ ข อัลกอริทึม

• การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับของคำส่ัง

ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามความ

ต้องการ หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบ การ

ทำงานทีละคำสั่ง เมื่อพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ ไม่

ถูกต้อง ให้ทำการแก้ไขจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่

ถกู ตอ้ ง

• ตวั อย่างโปรแกรมที่มเี ร่ืองราว เชน่ นิทานท่ีมีการ

โตต้ อบกับผใู้ ช้ การ์ตูนสัน้ เลา่ กจิ วัตรประจำวัน

ภาพเคล่ือนไหว

• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ

ผู้อื่น จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหา

ได้ดี ยิ่งขนึ้

• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

Scratch, logo

๓. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ และประเมินความ • การใช้คำค้นที่ตรงประเด็น กระชับ จะทำให้ได้

น่าเชื่อถอื ของขอ้ มูล ผลลพั ธท์ ร่ี วดเร็วและตรงตามความตอ้ งการ

• การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น

พิจารณาประเภทของเว็บไซต์ (หน่วยงานราชการ

สำนักขา่ ว องคก์ ร) ผู้เขยี นวันที่เผยแพร่ข้อมูลการ

อา้ งองิ

๓๕

ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

• เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการจากเว็บไซต์ต่างๆจะต้อง

นำเนื้อหามาพิจารณาเปรียบเทียบ แล้วเลือก

ขอ้ มูลทม่ี คี วามสอดคล้องและสัมพนั ธ์กนั

• การทำรายงานหรือการนำเสนอข้อมูลจะต้องนำ

ข้อมูลมาเรียบเรียง สรุป (เป็นภาษาของตนเองท่ี

เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและวิธีการนำเสนอ

(บูรณาการกบั วิชาภาษาไทย)

๔. รวบรวม ประเมนิ นำเสนอขอ้ มลู และสารสนเทศ • การรวบรวมข้อมูล ทำได้โดยกำหนดหัวข้อ ท่ี

โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่หลากหลายเพื่อแก้ปัญหาใน ตอ้ งการ เตรียมอปุ กรณ์ในการจดบนั ทึก

ชวี ติ ประจำวัน • การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบจัด

กล่มุ เรยี งลำดบั การหาผลรวม

• วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้

ประเมินทางเลือก (เปรยี บเทียบ ตัดสิน)

• การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลักษณะตามความ

เหมาะสม เช่น การบอกเล่า เอกสารรายงาน

โปสเตอร์โปรแกรมนำเสนอ

• การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน

เช่น การสำรวจเมนูอาหารกลางวันโดยใช้

ซอฟต์แวร์สร้างแบบสอบถามและเก็บข้อมูล ใช้

ซอฟต์แวร์ตารางทำงานเพื่อประมวลผลข้อมูล

รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการและ

สรา้ งรายการอาหารสำหรับ ๕ วัน ใช้ซอฟต์แวร์

นำเสนอผลการสำรวจรายการอาหารท่ีเปน็

ทางเลือกและข้อมูลด้านโภชนาการ

๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยเข้าใจ
สิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่นแจ้ง สทิ ธแิ ละหนา้ ท่ีของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น เช่น
ผูเ้ กีย่ วข้องเมอ่ื พบขอ้ มลู หรอื บุคคลท่ีไมเ่ หมาะสม ไม่สร้างข้อความเท็จและสง่ ใหผ้ อู้ ื่น ไม่สรา้ ง ค ว า ม

เดอื ดรอ้ นต่อผ้อู ่นื โดยการสง่ สแปม ข้อความลูกโซ่
ส่งต่อโพสต์ที่มีขอ้ มูลส่วนตัวของผู้อื่นส่งคำเชิญเลน่
เกม ไมเ่ ข้าถึงข้อมลู ส่วนตัวหรือ การบา้ นของบุคคล
อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์/
ช่อื บญั ชีของผอู้ ่นื

๓๖

ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

• การสอื่ สารอย่างมีมารยาทและรู้กาลเทศะ

• การปกป้องขอ้ มลู ส่วนตัว เช่น การออกจากระบบ

เมื่อเลิกใช้งาน ไม่บอกรหัสผ่าน ไม่บอกเลข

ประจำตัวประชาชน

ป. ๕ ๑. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การ • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์หรือ

อธิบาย การทำงานการคาดการณ์ผลลัพธ์จาก เงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณาในการ

ปัญหา อย่างง่าย แกป้ ญั หาการอธิบายการทำงานหรือการคาดการณ์

ผลลัพธ์

• สถานะเริ่มต้นของการทำงานที่แตกต่างกันจะให้

ผลลพั ธ์ที่แตกตา่ งกนั

• ตัวอยา่ งปัญหา เชน่ เกม Sudoku โ ป ร แ ก ร ม

ทำนายตัวเลข โปรแกรมสร้างรปู เรขาคณิต ตามค่า

ข้อมูลเข้า การจัดลำดับการทำงานบ้านในช่วง

วันหยดุ จัดวางของในครัว

๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมที่มีการใช้เหตุผล • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขียน
เชิงตรรกะอยา่ งงา่ ยตรวจหาข้อผดิ พลาดและแกไ้ ข เปน็ ข้อความหรือผังงาน

• การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการ
ตรวจสอบ เงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีเพื่อให้ได้
ผลลพั ธ์ที่ถกู ต้องตรงตามความต้องการ
• หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงานทีละ
คำสง่ั เม่ือพบจุดท่ีทำให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้องให้ทำการ
แกไ้ ขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธ์ทีถ่ ูกตอ้ ง
• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ
ผอู้ นื่ จะชว่ ยพัฒนาทกั ษะการหาสาเหตขุ อง ปญั หา
ไดด้ ีย่งิ ขน้ึ
• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบเลขคู่
เลขคี่ โปรแกรมรับข้อมูลน้ำหนักหรือส่วนสูงแล้ว
แสดงผลความสมส่วนของร่างกาย โปรแกรม สั่งให้
ตวั ละครทำตามเง่ือนไขทก่ี ำหนด
• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น
Scratch, logo

๓๗

ช้ัน ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

๓. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล ติดต่อสื่อสารและ • การคน้ หาขอ้ มลู ในอินเทอร์เนต็ และการพิจารณา

ทำงานรว่ มกนั ประเมินความนา่ เชอื่ ถือของข้อมูล ผลการคน้ หา

• การติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น อีเมล

บลอ็ ก โปรแกรมสนทนา

• การเขียนจดหมาย (บรู ณาการกับวิชาภาษาไทย)

• การใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารและ

ทำงานร่วมกัน เช่น ใช้นัดหมายในการประชุมกลุ่ม

ประชาสัมพันธ์กิจกรรมในห้องเรียน การ

แลกเปล่ยี นความรู้ ความคิดเหน็ ในการเรียนภายใต้

การดแู ล ของครู

• การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น

เปรียบเทียบความสอดคล้องสมบูรณ์ของข้อมูล

จากหลายแหลง่ แหล่งต้นตอของข้อมูล ผู้เขียน

วันที่เผยแพรข่ ้อมูล

• ข้อมูลที่ดีต้องมีรายละเอียดครบทุกด้าน เช่นข้อดี

และขอ้ เสยี ประโยชน์และโทษ

๔. รวบรวม ประเมนิ นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ • การรวบรวมข้อมูล ประมวลผล สร้างทางเลือก

ตามวัตถุประสงค์โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการ ประเมินผลจะทำให้ได้สารสนเทศเพื่อใช้ในการ

บนอินเทอร์เน็ตที่หลากหลายเพื่อแก้ปัญหาใน แก้ปัญหา การตัดสินใจไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

ชวี ิตประจำวัน • การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่

หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สร้าง

ทางเลือกประเมินผลนำเสนอจะช่วยให้การ

แก้ปัญหาทำไดอ้ ย่างรวดเรว็ ถูกต้อง และ แมน่ ยำ

• ตัวอย่างปัญหา เช่น ถ่ายภาพ และสำรวจแผนที่

ในท้องถิ่นเพ่ือนำเสนอแนวทางในการจัดการ พื้นท่ี

วา่ งให้เกิดประโยชน์ทำแบบสำรวจความ

คิดเหน็ ออนไลน์ และวิเคราะห์มูลนำเสนอข้อมูล

โดยการใช้ blog หรอื web page

๕. ใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย มีมารยาทเข้าใจ • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรมทาง
สทิ ธิและหนา้ ท่ขี องตน เคารพในสทิ ธิของผู้อนื่ แจง้ อินเทอร์เน็ต
ผูเ้ กยี่ วขอ้ งเม่อื พบข้อมูลหรือบคุ คล ท่ไี ม่เหมาะสม • มารยาทในการติดตอ่ ส่ือสารผา่ นอนิ เทอร์เน็ต
(บูรณาการกบั วิชาท่ีเก่ียวข้อง)

๓๘

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ป. ๖ ๑. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการอธิบายและออกแบบ • การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยแก้ปัญหา

วธิ กี ารแกป้ ญั หาทพี่ บในชีวิตประจำวนั ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

• การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์หรอื

เงอ่ื นไขทค่ี รอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา

ในการแกป้ ัญหา

• แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเงอ่ื นไข

• การพิจารณากระบวนการทำงานที่มีการทำงาน

แบบวนซ้ำหรือเงื่อนไขเป็นวิธีการที่จะช่วยให้การ

ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาเป็นไปอย่า งมี

ประสทิ ธิภาพ

• ตวั อย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลขหน้าท่ีต้องการ

ใหเ้ ร็วที่สดุ การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐ โดย ตอบ

ใหถ้ ูกภายใน ๒๐ คำถาม การคำนวณเวลา ในการ

เดินทาง โดยคำนึงถงึ ระยะทาง เวลาจุดหยุดพกั

๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อ • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขียน

แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันตรวจหาข้อผิดพลาด เป็นข้อความหรอื ผงั งาน

ของโปรแกรมและแก้ไข • การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ตัว

แปรการวนซำ้ การตรวจสอบเงื่อนไข

• หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงานทีละ

คำสง่ั เมอื่ พบจดุ ทีท่ ำให้ผลลพั ธ์ไม่ถูกต้องให้ทำการ

แก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลพั ธท์ ี่ถูกต้อง

• การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ

ผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหา

ไดด้ ยี ่งิ ขึน้

• ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรม

หาคา่ ค.ร.น. เกมฝกึ พมิ พ์

• ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น

Scratch, logo

๓. ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลอย่างมี • การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพเป็นการค้นหา

ประสิทธภิ าพ ข้อมูลที่ได้ตรงตามความต้องการในเวลาที่รวดเร็ว

จากแหล่งข้อมูลท่ีน่าเชื่อถือหลายแหล่ง และข้อมูล

มคี วามสอดคล้องกนั

๓๙

ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

• การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้ตัว

ดำเนนิ การ การระบรุ ปู แบบของขอ้ มลู

หรอื ชนดิ ของไฟล์

• การจัดลำดับผลลัพธ์จากการคน้ หาของโปรแกรม

คน้ หา

• การเรียบเรียง สรุปสาระสำคัญ (บูรณาการกับ

วชิ าภาษาไทย)

๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำงานร่วมกันอย่าง • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรมทาง

ปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพ ใน อินเทอร์เน็ต แนวทางในการปอ้ งกัน

สิทธิของผู้อื่น แจ้งผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบข้อมูล หรือ • วิธกี ำหนดรหสั ผ่าน

บคุ คลทไ่ี ม่เหมาะสม • การกำหนดสทิ ธ์กิ ารใช้งาน (สิทธิ์ในการเข้าถึง)

• แนวทางการตรวจสอบและป้องกนั มัลแวร์

• อันตรายจากการติดตั้ งซอฟต์แวร์อยู่ บน

อนิ เทอรเ์ น็ต

๔๐

โครงสรา้ งเวลาเรียน

โครงสร้างหลักสูตรโรงเรยี นวดั ท่ากระบือ(ทา่ กระบือพิทยาคาร)

กลุ่มสาระการเรียนร/ู้ กิจกรรม เวลาเรยี น (ชม./ป)ี
ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖
กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
คณติ ศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
ประวตั ิศาสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
สุขศึกษาและพลศึกษา ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
ศลิ ปะ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
การงานอาชีพ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
ภาษาตา่ งประเทศ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐
รวมเวลาเรยี น(พืน้ ฐาน)
รายวชิ า/กจิ กรรมทสี่ ถานศึกษาจัดเพมิ่ เติมความพร้อม ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
และจดุ เน้น ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
อา่ นเขยี น คิดวิเคราะห์ ส่ือสารสรา้ งสรรค์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
วทิ ยาการคอมพิวเตอร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
หน้าที่พลเมือง
Basic Conversation ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน
⚫กิจกรรมแนะแนว ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐
⚫กิจกรรมนักเรยี น ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐
- ลกู เสือ/เนตรนารี ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
- ชุมนุม ๑,๑๒๐ ๑,๑๒๐ ๑,๑๒๐ ๑,๑๒๐ ๑,๑๒๐ ๑,๑๒๐
กิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณะประโยชน์
รวมเวลากจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน

รวมเวลาเรียน

การวิเคราะหม์ าตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชี้วดั ช้ันป
รายวิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระกา
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑

มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด/สาระการเรยี นรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางฯ

มาตรฐาน ว ๑.๑ การระบุท่ีอยู่อา
ป.๑/๑ ระบชุ ่อื พชื และสัตวท์ ี่อาศยั อยู่บรเิ วณต่างๆจากขอ้ มลู ท่ี
รวบรวมได้ สภาพแวดล้อม
ป.๑/๒ บอกสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสมกับการดำรงชีวิต ของสัตว์ ของสัตว์
ในบรเิ วณท่อี าศัยอยู่

มาตรฐาน ว ๑.๒ บรรยายลักษณ
ป.๑/๑ ระบชุ ื่อบรรยายลักษณะและบอกหน้าท่ีของ ส่วนต่างๆ ตา่ งๆ ของรา่ งก
ของร่างกายมนุษย์ สัตว์และพืช รวมทงั้ บรรยายการทำหน้าที่ รวมถึงการทำห
รว่ มกนั ของสว่ นต่างๆของร่างกายมนุษย์ในการทำกจิ กรรมต่างๆ ของรา่ งกายมน
จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ ความสำคัญของ
ป.๑/๒ ตระหนักถงึ ความสำคัญของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตนเอง การดแู ลรกั ษาใ
โดยการดแู ลสว่ นต่างๆอย่างถูกตอ้ งใหป้ ลอดภัยและรกั ษาความ
สะอาดอยูเ่ สมอ

๔๑

ปี สาระการเรียนรู้ เพือ่ จัดทำคำอธิบายรายวิชา
ารเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
๑ รหัสวิชา ๑๑๑๐๑

เป้าหมายคณุ ภาพผ้เู รยี นทีห่ ลักสูตรแกนกลางฯ กำหนด

ความรู้ (K) ทกั ษะ/กระบวนการ คุณลกั ษณะ

(P) เจตคติ ค่านยิ ม (A)

าศยั ของพชื และสตั ว์ การสือ่ สาร

มทีเ่ หมาะสมกับการดำรงชวี ติ การสื่อสาร การตระหนัก

ณะและบอกหน้าท่ีของ สว่ น การสอ่ื สาร การตระหนัก
กายมนษุ ย์ สตั ว์และพชื
หน้าทรี่ ่วมกันของสว่ นตา่ งๆ
นุษย์
งสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายและ การนำไปใช้
ใหป้ ลอดภัยและสะอาด

มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด/สาระการเรียนรู้
ตามหลกั สตู รแกนกลางฯ

มาตรฐาน ว ๒.๑

ป.๑/๑ อธบิ ายสมบัติท่ีสังเกตไดข้ องวัสดทุ ี่ใชท้ ำวตั ถุ ซ่ึงทำจากวัสดุ การสงั เกตวัสดทุ

ชนดิ เดียว หรือหลายชนิดประกอบกัน โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์
ป.๑/๒ ระบชุ นิดของวัสดแุ ละจัดกล่มุ วสั ดุ ตามสมบัตทิ ี่สังเกตได้ ระบุชนดิ ของวสั

มาตรฐาน ว ๒.๓

ป.๑/๑ บรรยายการเกิดเสยี งและทศิ ทางการเคลื่อนที่ของเสียงจาก การเกิดเสียงแล

หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เสียง

มาตรฐาน ว ๓.๑

ป.๑/๑ ระบุดาวทีป่ รากฏบนทอ้ งฟ้าในเวลากลางวนั และกลางคืน ระบดุ าวทปี่ ราก
จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ และกลางคืน
ป.๑/๒ อธบิ ายสาเหตทุ ่ีมองไม่เห็นดาวส่วนใหญใ่ นเวลากลางวัน สาเหตุทม่ี องไม
จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ กลางวนั
มาตรฐาน ว ๓.๒

ป.๑/๑ อธิบายลกั ษณะภายนอกของหินจากลกั ษณะ เฉพาะตัวท่ี ลกั ษณะภายนอ

สังเกตได้

มาตรฐาน ว ๔.๒ แก้ปญั หาอย่างง
ป.๑/๑ แก้ปญั หาอย่างง่ายโดยใช้การลองผดิ ลองถูกการ การเปรียบเทยี บ
เปรยี บเทียบ

๔๒

เป้าหมายคุณภาพผู้เรยี นท่ีหลกั สูตรแกนกลางฯ กำหนด

ความรู้ (K) ทกั ษะ/กระบวนการ คุณลักษณะ

(P) เจตคติ คา่ นยิ ม (A)

ทใี่ ชท้ ำวตั ถุ การสงั เกต การตระหนัก

สดแุ ละจัดกลุ่มวสั ดุ การส่ือสาร ใฝเ่ รียนรู้

ละทิศทางการเคลอ่ื นท่ี ของ การสอ่ื สาร มุง่ มั่นในการทำงาน

กฏบนทอ้ งฟ้าในเวลากลางวนั การสือ่ สาร ความรบั ผดิ ชอบ
ม่เห็นดาวส่วนใหญ่ในเวลา การสื่อสาร

อกของหิน การสงั เกต

ง่ายโดยใช้การลองผดิ ลองถูก
บ การคดิ

มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด/สาระการเรยี นรู้
ตามหลกั สูตรแกนกลางฯ

ป.๑/๒ แสดงลำดบั ขั้นตอนการทำงานหรอื การแกป้ ญั หา อย่างงา่ ย ลำดับขั้นตอนก

โดยใช้ภาพ สัญลกั ษณ์ หรือข้อความ อย่างงา่ ยโดยใช

ขอ้ ความ

ป.๑/๓ เขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ เขยี นโปรแกรม
หรอื สอื่
ป.๑/๔ ใช้เทคโนโลยีในการสรา้ งจดั เก็บเรยี กใชข้ ้อมลู ตาม ใชเ้ ทคโนโลยใี น
วัตถุประสงค์ ข้อมูล

ป.๑/๕ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ปฏบิ ัตติ าม ใช้เทคโนโลยีสา

ข้อตกลงในการใช้คอมพวิ เตอร์รว่ มกนั ดแู ล รกั ษาอปุ กรณ์เบ้อื งต้น ปฏบิ ตั ติ ามข้อต
ร่วมกัน ดูแล รัก
ใช้งานอยา่ งเหมาะสม
อย่างเหมาะสม

๔๓

เปา้ หมายคุณภาพผู้เรยี นทห่ี ลกั สูตรแกนกลางฯ กำหนด

ความรู้ (K) ทักษะ/กระบวนการ คุณลกั ษณะ

(P) เจตคติ คา่ นยิ ม (A)

การทำงานหรือการแกป้ ัญหา การแก้ปัญหา การตระหนัก

ชภ้ าพ สญั ลักษณ์ หรือ

มอยา่ งง่าย โดยใชซ้ อฟต์แวร์ การส่ือสาร ใฝ่เรยี นรู้
นการสรา้ งจดั เก็บเรียกใช้ การสรา้ ง

ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั การปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง การตระหนัก
ตกลงในการใช้คอมพวิ เตอร์
กษาอุปกรณเ์ บื้องต้น ใชง้ าน


๔๔

คำอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน

รหัสวิชา ว ๑๑๑๐๑ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ เวลา ๘๐ ช่ัวโมง/ปี

ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมกับการดำรงชีวิตของพืช สัตว์ รวมถึงการดูแลรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ศึกษาลักษณะสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตสัตว์ประจำ
ชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน ลักษณะและหน้าที่ของส่วนต่างๆของร่างกายมนุษย์ สัตว์และพืช ความสำคัญและการ
ดูแลส่วนต่างๆของร่างกายตนเอง สมบัติของวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิด ชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุตามสมบัติ
การเกิดเสียงและทิศทางการเคลื่อนทีข่ องเสียง ดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้ากลางวันและกลางคืน สาเหตุที่มองไม่เหน็ ดาว
เวลากลางวัน ลักษณะภายนอกของหิน การเรียนรู้เทคโนโลยีเกี่ยวกับการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนจากการเล่นเกม
การทำงานหรอื การแกป้ ญั หาอยา่ งงา่ ยโดยใชภ้ าพ สญั ลกั ษณห์ รอื ข้อความ การเขยี นโปรแกรมโดยใช้ซอฟต์แวร์หรือสื่อ
การจดั เกบ็ และการเรยี กใช้ขอ้ มูล การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภยั การดูรกั ษาอปุ กรณ์การใชง้ าน

โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้ในการระบุ บอก บรรยาย อธิบาย สังเกต การจัด
กลุ่ม แก้ปญั หา การจำแนกเปรียบเทียบ การลำดับขั้นตอน การใช้เทคโนโลยใี นการสร้างงาน

เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ในโรงเรียนและใน
ท้องถิ่น ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ใช้ชีวิตพอเพียงตามศาสตร์พระราชา
นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ปใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน
รหสั ตวั ชวี้ ดั

ว ๑.๑ ป.๑/๑, ป.๑/๒

ว ๑.๒ ป.๑/๑, ป.๑/๒

ว ๒.๑ ป.๑/๑, ป.๑/๒

ว ๒.๓ ป.๑/๑

ว ๓.๑ ป.๑/๑, ป.๑/๒

ว ๓.๒ ป.๑/๑

ว ๔.๒ ป.๑/๑, ป.๑/๒, ป.๑/๓, ป.๑/๔, ป.๑/๕

รวมท้ังหมด ๗ มาตรฐาน ๑๕ ตัวชีว้ ัด


Click to View FlipBook Version