The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย 3 (ท32101) ม.5 เทอม 1 ปี 2564 (ใหม่)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phawit2521, 2021-05-24 03:48:41

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย 3 (ท32101) ม.5 เทอม 1 ปี 2564 (ใหม่)

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย 3 (ท32101) ม.5 เทอม 1 ปี 2564 (ใหม่)

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ PAGE
\*
แบบฝึกหัดเสรมิ การเรยี นรู้ MER
รายวิชา ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓
GEFO
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๕ RMA
T๒๔



ชื่อ............................................นามสกุล.....................................เลขที่.............
ห้อง.................................แผนการเรยี น.............................................................

กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย
โรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษา

ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑

คณุ ภาพของผูเ้ รียนภาษาไทยเม่อื จบช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖

❖ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้องและเข้าใจ
ตีความ แปลความและขยายความเรื่องที่อ่านได้ วิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่อ่าน แสดงความคิดเห็น
โต้แย้งและเสนอความคิดใหม่จากการอ่านอย่างมีเหตุผล คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน
เขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ยอ่ ความ และเขียนรายงานจากสิง่ ทีอ่ ่าน สงั เคราะห์ ประเมิน
ค่าและนำความรู้ความคิดจากการอ่านมาพัฒนาตน พัฒนาการเรียน และพัฒนาความรู้ทางอาชีพ
และนำความรคู้ วามคิดไปประยุกตใ์ ช้แก้ปญั หาในการดำเนินชีวติ มมี ารยาทและมีนสิ ยั รกั การอา่ น

❖ เขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ ย่อความ
จากสื่อที่มีรปู แบบและเนื้อหาที่หลากหลาย เรียงความแสดงแนวคิดเชิงสร้างสรรค์โดยใช้โวหารต่างๆ
เขียนบันทึก รายงานการศึกษาค้นคว้าตามหลักการเขียนทางวิชาการ ใช้ข้อมูลสารสนเทศในการ
อ้างอิง ผลิตผลงานของตนเองในรูปแบบต่างๆ ทั้งสารคดีและบันเทิงคดี รวมทั้งประเมินงานเขียน
ของผู้อ่นื และนำมาพฒั นางานเขียนของตนเอง

❖ ตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทีฟ่ ังและดู มีวิจารณญาณในการเลือก
เรื่องที่ฟังและดู วิเคราะห์วัตถุประสงค์ แนวคิด การใช้ภาษา ความน่าเชื่อถือของเรื่องที่ฟังและดู
ประเมินสิ่งที่ฟังและดูแล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต มีทักษะการพูดในโอกาสต่างๆ ทั้งที่เป็น
ทางการและไม่เป็นทางการโดยใช้ภาษาที่ถูกต้อง พูดแสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มน้าวและเสนอ
แนวคิดใหม่อยา่ งมีเหตุผล รวมท้ังมมี ารยาทในการฟงั ดูและพดู

❖ เข้าใจธรรมชาติของภาษา อิทธิพลของภาษา และลักษณะของภาษาไทย ใช้คำและ
กลุ่มคำสร้างประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์ แต่งคำประพันธ์ประเภท กาพย์ โคลง ร่ายและฉันท์
ใช้ภาษาได้เหมาะสมกับกาลเทศะและใช้คำราชาศัพท์และคำสุภาพได้อย่างถูกต้อง วิเคราะห์หลักการ
สร้างคำในภาษาไทย อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทยและภาษาถิ่น วิเคราะห์และประเมิน
การใชภ้ าษาจากสื่อส่งิ พิมพ์และส่อื อิเล็กทรอนิกส์

❖ วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์วรรณคดีเบื้องต้น
รู้และเข้าใจลักษณะเด่นของวรรณคดี ภูมิปัญญาทางภาษาและวรรณกรรมพื้นบ้าน เชื่อมโยงกับ
การเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีไทย ประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์และนำข้อคิดจากวรรณคดี
และวรรณกรรมไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ จรงิ

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระท่ี ๑ : การอา่ น ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตดั สนิ ใจแก้ปญั หา
มาตรฐาน ท ๑.๑ : และสร้างวิสัยทัศนใ์ นการดำเนินชีวติ และมีนิสัยรกั การอ่าน

สาระท่ี ๒ : การเขียน ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความและเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ : เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงาน
การศกึ ษาค้นคว้าอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

สาระท่ี ๓ : การฟงั การดู และการพดู
มาตรฐาน ท ๓.๑ : สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้
ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและ
สร้างสรรค์

สาระท่ี ๔ : หลักการใชภ้ าษา
มาตรฐาน ท ๔.๑ : เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทยการเปลีย่ นแปลง
ของภาษาและพลังของภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษาและรกั ษาภาษาไทย
ไว้เปน็ สมบตั ิของชาติ

สาระท่ี ๕ : วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ : เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย
อย่างเหน็ คณุ คา่ และนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ จริง

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓

คำอธบิ ายรายวิชา

รายวิชา ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕ ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๓
เวลา ๔๐ ชั่วโมง / ภาคเรียน ๒ ช่ัวโมง / สัปดาห์
จำนวน ๑.๐ หนว่ ยกติ

ศกึ ษาสาระสำคัญเรื่องความเกีย่ วข้องระหว่างวัฒนธรรมกับภาษา การเพิ่มคำคณุ ธรรม
และมารยาทในการสือ่ สาร การพดู ต่อประชมุ ชน การถามและการตอบ แนวทางการพิจารณาเนือ้ หา
และกลวิธีในวรรณคดี การพิจารณาคณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์ และด้านสังคมของวรรณคดีลิลติ ตะเลงพ่าย
บทละครพูดคำฉนั ทเ์ ร่อื งมทั นะพาธา บทร้อยกรองเรื่องสมเด็จพระปิยมหาราชทรงรักษาเอกราช

ของชาติไว้ได้อย่างไร ทอ่ งจำบทอาขยาน และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ
โดยใช้ทักษะกระบวนการทางด้านภาษา ฟัง พูด อ่าน เขียน การสืบค้นข้อมูล เพื่อให้เห็น
ความสำคญั ของภาษาไทย และมีทักษะในการใชภ้ าษา ศกึ ษาค้นคว้าความรู้ และทฤษฎีความรเู้ กี่ยวกับ
ภาษาไทยและวรรณกรรมของไทยเปรียบเทียบกับความเป็นจริง สามารถใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้องตาม
หลักภาษา สามารถถ่ายทอดความคิดในการเขียนรายงาน การเขียนความเรียงขั้นสูงและสร้าง
โครงงานที่สามารถปฏิบัติได้จริงอันเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น รวมทั้งสังคมด้วย สามารถถาม
ตอบอย่างมคี ณุ ธรรมและมีมารยาทในการฟัง อา่ น เขียน พูดตอ่ หน้าประชุมชนได้หลายรูปแบบ
เพื่อให้นกั เรียนตระหนักในคุณค่าและความสมั พันธ์ระหว่างภาษากบั วัฒนธรรม สามารถอ่าน
บทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน วิเคราะห์สำนวนโวหารภาพพจน์
และคุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน แสดงความคิดเห็นและวิเคราะห์แนวคิดจากเรื่องที่ได้ฟังหรืออ่านได้
มีความสามารถในการแตง่ ลิลิต มีความคิดรเิ ริ่มสรา้ งสรรค์มีนิสัยรกั การอา่ น และมีรสนิยมในการเลือก
อ่านหนังสือ
ตัวชี้วดั
ท ๑.๑ม.๔-๖/๑ ท ๑.๑ม.๔-๖/๒ ท ๑.๑ม.๔-๖/๓ ท ๑.๑ม.๔-๖/๔ ท ๑.๑ม.๔-๖/๖
ท ๑.๑ม.๔-๖/๗ ท ๑.๑ม.๔-๖/๙
ท ๒.๑ม.๔-๖/๑ ท ๒.๑ม.๔-๖/๔ ท ๒.๑ม.๔-๖/๖ ท ๒.๑ม.๔-๖/๖
ท ๓.๑ม.๔-๖/๔ ท ๓.๑ม.๔-๖/๕ ท ๓.๑ม.๔-๖/๖
ท ๔.๑ม.๔-๖/๑ ท ๔.๑ม.๔-๖/๒ ท ๔.๑ม.๔-๖/๔ ท ๔.๑ม.๔-๖/๕ ท ๔.๑ม.๔-๖/๖
ท ๕.๑ม.๔-๖/๑ ท ๕.๑ม.๔-๖/๒ ท ๕.๑ม.๔-๖/๓ ท ๕.๑ม.๔-๖/๔ ท ๕.๑ม.๔-๖/๕
ท ๕.๑ม.๔-๖/๖
รวม ๒๕ ตัวชี้วัด

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔

ตวั ชว้ี ดั

สาระท่ี ๑ การอ่าน
๑. ท๑.๑ม.๔-๖/๑ อา่ นออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง
ไพเราะและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน
๒. ท๑.๑ม.๔-๖/๒ ตีความ แปลความ และขยายความเรือ่ งที่อา่ น
๓. ท๑.๑ม.๔-๖/๓ วิเคราะห์และวิจารณ์เรอ่ื งที่อ่านในทกุ ๆ ดา้ นอยา่ งมเี หตุผล
๔. ท๑.๑ม.๔-๖/๔ คาดคะเนเหตุการณ์จากเรอ่ื งทีอ่ ่านและประเมินค่าเพือ่ นำความรู้
ความคิดไปใช้ตัดสนิ ใจแก้ปญั หาในการดำเนินชีวติ
๕. ท๑.๑ม.๔-๖/๖ ตอบคำถามจากการอา่ นงานเขียนประเภทต่าง ๆ ภายในเวลาที่กำหนด
๖. ท๑.๑ม.๔-๖/๗ อา่ นเรือ่ งตา่ ง ๆ แล้วเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความ
และรายงาน
๗ ท๑.๑ม.๔-๖/๙ มีมารยาทในการอ่าน

สาระท่ี ๒ การเขียน
๘. ท๒.๑ ม.๔-๖/๔ ผลติ งานเขียนของตนเองในรปู แบบตา่ ง ๆ
๙. ท๒.๑ม.๔-๖/๘ มีมารยาทในการเขียน

สาระท่ี ๓ การฟัง การดู และการพูด
๑๐. ท๓.๑ม.๔-๖/๔ มีวจิ ารณญาณในการเลือกเร่อื งที่ฟงั และดู
๑๑. ท๓.๑ม.๔-๖/๕ พดู ในโอกาสต่าง ๆ พูดแสดงทศั นะโต้แย้ง โน้มน้าวใจและ
เสนอแนวคิดใหม่ด้วยภาษาถูกต้อง เหมาะสม
๑๒. ท๓.๑ม.๔-๖/๖ มีมารยาทในการฟงั การดูและการพูด

สาระท่ี ๔ หลักการใชภ้ าษาไทย
๑๓. ท๔.๑ม.๔-๖/๑ อธิบายธรรมชาติของภาษา พลงั ของภาษาและลกั ษณะของภาษา
๑๔. ท๔.๑ม.๔-๖/๒ ใช้คำและกล่มุ คำสร้างประโยคตามวัตถุประสงค์
๑๕. ท๔.๑ม.๔-๖/๔ แต่งบทร้อยกรอง
๑๖. ท๔.๑ม.๔-๖/๖ หลกั การสร้างคำในภาษาไทย

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๕

สาระท่ี ๕ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
๑๗. ท๕.๑ม.๔-๖/๑ วิเคราะห์และวิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการ
วิจารณ์เบอื้ งต้น
๑๘. ท๕.๑ม.๔-๖/๒ วิเคราะห์ลกั ษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทาง
ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต
๑๙. ท๕.๑ม.๔-๖/๓ วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศลิ ป์ของวรรณคดีและ
วรรณกรรมในฐานะที่เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
๒๐. ท๕.๑ม.๔-๖/๔ สังเคราะหข์ อ้ คิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้
ในชีวติ จริง
๒๑. ท๕.๑ม.๔-๖/๕ รวบรวมวรรณกรรม พืน้ บ้านและอธิบายภมู ปิ ญั ญาทางภาษา
๒๒. ท๕.๑ม.๔-๖/๖ ทอ่ งจำและบอกคุณคา่ บทอาขยานตามที่กำหนดและบทร้อยกรอง
ทีม่ คี ุณค่าตามความสนใจและนำไปใช้อ้างอิง

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๖

โครงสรา้ งหลกั สูตรรายวิชา ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓
ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๕ เวลา ๔๐ ชั่วโมง/ภาคเรียน ๒ ชวั่ โมง/สปั ดาห์

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ที่ มาตรฐานการ สาระสำคัญ ช่อื หนว่ ย เวลา นำ้ หนัก
เรียนร้/ู ตวั ชว้ี ดั ความเกี่ยวข้องระหวา่ ง การเรียนรู้ (ชว่ั โมง) (คะแนน)
วฒั นธรรมกับภาษา เรียนรู้วัฒนธรรม
๑ ท๔.๑ม.๔-๖/๑ การเพม่ิ คำ จากภาษา ๒ ๕
ศกึ ษารปู ลกั ษณ์
๒ ท๔.๑ม.๔-๖/๒ สมเดจ็ พระปยิ มหาราชทรง ๔ ๒๐
ท๔.๑ม.๔-๖/๖ รกั ษาเอกราชของชาติไว้ได้ ของคำ
อย่างไร, มัทนะพาธา ตระหนกั คุณคา่ ๗ ๓๕
๓ ท๕.๑ม.๔-๖/๑ ประวัตวิ รรณคดีสมัยกรุงศรี
ท๕.๑ม.๔-๖/๒ อยุธยาตอนกลาง วรรณกรรม
ท๕.๑ม.๔-๖/๓ การถามและการตอบ
ท๕.๑ม.๔-๖/๔ แมน่ ยำการถาม ๒ ๕
ท๕.๑ม.๔-๖/๕ มารยาทและคุณธรรมในการ ตอบ ๒ ๕
สอ่ื สาร
๔ ท๓.๑ม.๔-๖/๕ รอบคอบ ๑๓ ๒๐
ท๓.๑ม.๔-๖/๖ ลิลิตตะเลงพา่ ย มารยาทไทย

๕ ท๓.๑ม.๔-๖/๕ พดู ตอ่ ประชุมชน สอ่ื สาร
ท๓.๑ม.๔-๖/๖ อ่านอยา่ งได้
บรู ณาการคุณค่าภมู ิปัญญา
๖ ท๕.๑ม.๔-๖/๑ ไทย (หลายชีวิต) อรรถรส
ท๕.๑ม.๔-๖/๒
ท๕.๑ม.๔-๖/๓ จดจำทักษะพดู ๒ ๕
ท๕.๑ม.๔-๖/๔ ต่อประชมุ ชน ๔ ๕
ยลภมู ปิ ัญญา
๗ ท๓.๑ม.๔-๖/๕
ท๓.๑ม.๔-๖/๖ ไทย

๘ ท๑.๑ม.๔-๖/๒
ท๑.๑ม.๔-๖/๓
ท๑.๑ม.๔-๖/๔
ท๑.๑ม.๔-๖/๖
ท๑.๑ม.๔-๖/๙

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๗

การวดั และประเมินผล

สัดสว่ นการประเมินผลระหว่างเรียน : การประเมินผลปลายภาค ๗๐:๓๐ รวม ๑๐๐ คะแนน

การประเมินผลระหว่างภาคเรียนแบ่งไดด้ ังนี้

การประเมินผลก่อนสอบกลางภาค ๑๐ คะแนน

รายการ คะแนนเตม็

หนงั สืออ่านนอกเวลาเรื่องหลายชีวติ (TAKE HOME) ๑๐ คะแนน

การประเมินผลกลางภาคเรยี น ๓๐ คะแนน

๑. การเพิ่มคำ (คำประสม คำซ้อน คำซ้ำ คำสมาส คำตา่ งประเทศ) ปรนยั ๑๐ ข้อ

๒. ลิลิตตะเลงพ่าย ปรนัย ๑๕ ข้อ

๓. วัฒนธรรมกับภาษา (TAKE HOME) ๕ คะแนน อัตนัย ๑ ข้อ

การประเมินผลหลงั สอบกลางภาค ๒๐ คะแนน

๑. การอา่ น คิด วิเคราะห์ และเขียนสื่อความ ๕ คะแนน

- บนั ทึกการอ่านบทความ ๓๐ เร่อื ง (อ่านจากแบบฝกึ หัด

เสริมการเรยี นรู้หนา้ ๓๖ - ๔๙ ๑๐ เรอ่ื ง)

- บันทึกการอ่านใบความรู้เรอ่ื งประวตั วิ รรณคดีสมัยอยุธยา

ตอนกลาง (อา่ นจากแบบฝกึ หดั เสริมการเรียนรู้

หนา้ ๑๓ – ๓๕) ว่านกั เรียนได้ความรู้เกีย่ วกบั วิถีชีวติ

ความเป็นอยู่ค่านิยมของคนไทยในสมัยน้ันอย่างไร

(ประมวลความคิดเม่ือศกึ ษาทุกเรอ่ื งแล้ว มใิ ช่วิเคราะห์

แยกเป็นเรื่องๆ โดยบันทึกลงในสมุดบนั ทึกการอ่าน

ด้านหน้า (นบั เปน็ 1 บทความ)

๒. การแนะนำหนังสือ ๕ คะแนน

- แนะนำหนังสอื ๔ เล่ม (สามารถบันทึกหนังสืออ่านนอก

เวลาภาษาไทย ๑ เลม่ และภาษาอังกฤษ ๑ เลม่ )

- เขียนแนะนำหนังสอื เรือ่ งที่พิจารณาว่ามีคุณคา่ (๑ หน้า)

เพือ่ สง่ เข้าแข่งขนั หายอดนักอ่าน

๓. บรู ณาการสวนพฤกษศาสตร์ ๕ คะแนน

- นักเรียนแบ่งกลุ่มหอ้ งละ ๑๐ กลุ่ม

- แตง่ คำประพันธ์ “ลิลิตพฤกษศาสตร์ ต.อ.” ความยาว ๑

หนา้ กระดาษ A๔ (รวมเล่ม ๑ ห้อง ต่อ ๑ เลม่ )

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๘

๔. ท่องบทอาขยาน ลิลิตตะเลงพา่ ย ๕ คะแนน

๓๑๕ ๏เบือ้ งนั้นนฤนาถผู้ สยามนิ ทร์
เบีย่ งพระมาลาผิน ห่อนพอ้ ง
ศัตราวธุ อรินทร์ ฤๅถูก องคเ์ อย
เพราะพระหัตถห์ ากปอ้ ง ปดั ดว้ ยขอทรง
ทวารตั ิ
๓๑๖ ๏บดั มงคลพา่ หไ์ ท้ ตกใต้
แวง้ เหว่ยี งเบีย่ งเศียรสะบดั คอคช เศิกแฮ
อุกคลุกพลกุ เงยงัด ท่วงท้อทีถอย
เบนบา่ ยหงายแหงนให้ ในรณ
พา่ ยฟ้อน
๓๑๗ ๏พลอยพล้ำเพลยี กถ้าท่าน เผดจ็ คู่ เข็ญแฮ
บดั ราชฟาดแสงพล- ขาดด้าวโดยขวา
พระเดชพระแสดงดล ยลสยบ
ถนดั พระองั สาข้อน ทา่ วดนิ้
สังเวช
๓๑๘ ๏อรุ ารานร้าวแยก ส่ฟู า้ เสวยสวรรค์
เอนพระองค์ลงทบ
เหนอื คอคชซอนซบ
วายชิวาตม์สดุ สนิ้

การประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๑๐ คะแนน

๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ๒. ซือ่ สตั ยส์ จุ ริต ๓. มวี ินยั ๔. ใฝ่เรียนรู้

๕. อย่อู ย่างพอเพียง ๖. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน ๗. รักความเปน็ ไทย ๘. มีจิตสาธารณะ

๙. รจู้ กั ปรับตัว ๑๐.เป็นผู้นำ

การประเมินผลปลายภาคเรยี น ๓๐ คะแนน ปรนัย ๕ ข้อ
๑. มารยาทและคณุ ธรรมในการส่ือสาร ปรนัย ๕ ข้อ
๒. การถามและการตอบ ปรนยั ๕ ข้อ
๓. การพดู ตอ่ ประชมุ ชน ปรนัย ๑๐ ข้อ
๔. บทละครพูดคำฉนั ทเ์ ร่อื งมทั นะพาธา (องกท์ ี่ ๑ และองก์ที่ ๓) ปรนยั ๕ ข้อ
๕. สมเดจ็ พระปิยมหาราชทรงรักษาเอกราชของชาติไว้ได้อยา่ งไร

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๙

โรงเรยี นเตรยี มอุดมศกึ ษา

แบบทดสอบกอ่ นเรียน ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓
๒๐ คะแนน
รายวิชา ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓

คำสั่ง ให้นกั เรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว

๑. เหตุใดเราจงึ จำเปน็ ต้องรกั ษาและสืบทอดวัฒนธรรมของไทยไว้

๑. เพราะเป็นสิง่ ทีบ่ รรพบรุ ุษได้สร้างไว้

๒. เพราะวัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งทีเ่ ราควรหวงแหนอย่างยิ่ง

๓. เพราะเปน็ สิ่งแสดงความเป็นไทยและความเจรญิ ของชาติไทย

๔. เพราะวฒั นธรรมไทยเหมาะกบั คนไทยมากกวา่ วัฒนธรรมของชาติอ่ืน

๒. ภาษามาตรฐานมีจดุ มุง่ หมายตรงกับข้อใด

๑. สะท้อนใหเ้ หน็ วัฒนธรรมของคนในชาติ

๒. แสดงให้เหน็ ถึงเอกลกั ษณข์ องชาติไทย

๓. เพื่อสื่อสารในชาติให้เข้าใจชัดและรวดเร็ว

๔. ทำให้มนุษยม์ ีวัฒนธรรมและสืบทอดวฒั นธรรม

๓. ข้อใดสร้างคำต่างกัน

๑. บำเรอ พรหม พรม ๒. คูหาวาส สรุ ิโยทัย กฤดาภนิ ิหาร

๓. ขม่ เหง ตัดใจ บรรทม ๔. บรรณศาลา นยั นเนตร มฤคราช

๔. คำในข้อใดมีโครงสร้างเหมือนกับคำวา่ “ห้องเก็บของ”

๑. ช่างทาสี คนทรงเจา้ ยาเสพติด ๒. คนกวาดถนน แมวนอนหวด คา่ ยกักกนั

๓. เก้าอีร้ บั แขก รถดบั เพลิง ตั๋วแลกเงิน ๔. คนเดินตลาด แมวเก้าชีวติ สนามเด็กเลน่

๕. ประโยคใดไม่ควรใช้ไม้ยมกแทนการซ้ำคำ

๑. เขามที ีท่ ีข่ ายได้ราคาดี

๒. ประสิทธิ์อ้วนจนเนือ้ ตรงเอวเปน็ ชั้นชั้น

๓. หมอ้ ข้าวเดือดปดุ ปุดอยใู่ นครัว

๔. เสียงนาฬิกาเดินติ๊กติก๊ ทำให้เขานอนไม่หลบั ท้ังคืน

๖. ข้อใดเป็นคำที่ไทยรับมาจากภาษาจนี อังกฤษและญีป่ นุ่

๑. เต้าทึง กงสุล ยีห่ รา่ ๒. เอี้ยมจุ๊น ลิปสติก กหุ ลาบ

๓. จับกงั บุฟเฟต่ ์ สะตาหมัน ๔. จบั ฉา่ ย ดีเปรสช่นั เกอิชา

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๐

๗. ข้อใดมีคำที่มาจากภาษาบาลี ๒ คำ และสันสกฤต ๒ คำ

๑. ฤดู ประถม ศลิ ป์ กลั ป์ ๒. เมตตา มนษุ ย์ ภรรยา จรยิ ะ

๓. ศนู ย์ จรรยา กรีฑา บุปผา ๔. มัตสยา สงเคราะห์ สตรี วิชา

๘. คุณธรรมเกิดจากอะไร และคณุ ธรรมทีส่ ำคญั ที่สดุ ในการธำรงสงั คมคืออะไร

๑. ธรรมชาติของมนุษย์ – ความเมตตากรุณา

๒. กิริยาอาการที่แสดงออกทางกาย – ความไว้วางใจกนั

๓. การปลกู ฝัง การได้เห็นได้ยิน การอ่าน – การรกั ษาวาจาสตั ย์

๔. ระดับการส่อื สารในสงั คม – ความรู้จกั กาลเทศะและมีน้ำใจตอ่ กัน

๙. การส่อื สารในครอบครวั เหมอื นกับการสอ่ื สารในโรงเรียนตามขอ้ ใด

๑. บุคคลที่ส่อื สาร ๒. สถานทีท่ ีใ่ ชส้ ือ่ สาร

๓. เนือ้ หาที่สอ่ื สาร ๔. ประเภทของการสือ่ สาร

๑๐. ข้อใดผดิ มารยาทสากลในการสอ่ื สาร

๑. การตะโกนพูดกนั ๒. การใชค้ ำคะนองกับคนที่สนทิ สนมกนั

๓. การซักถามเม่อื ไมเ่ ข้าใจ ๔. การพดู คยุ แลกเปลีย่ นทรรศนะซึ่งกนั และกัน

๑๑. เหตุใดการถามและการตอบเป็นกระบวนการสื่อสารทีส่ ำคัญมากในชีวติ ประจำวันและกิจการทั่วไป

๑. เพราะเปน็ กลวิธีในการให้ความรู้

๒. เพราะเป็นการทดสอบซึ่งกนั และกัน

๓. เพราะเปน็ การสร้างความเข้าใจซึง่ กนั และกนั

๔. เพราะเปน็ การแสดงอธั ยาศัยไมตรซี ึง่ กันและกัน

๑๒. ข้อใดเปน็ คำถามเพือ่ จะได้ทราบข้อเท็จจริง

๑. ทำไมคนไทยชอบฟงั เทศน์มหาชาติ

๒. เราเรยี นเร่อื งมหาเวสสันดรเพื่ออะไร

๓. พระพทุ ธเจ้าตรสั เทศนาเวสสันดรชาดกคร้ังแรกที่ไหน

๔. เหมาะสมหรือไม่ทีช่ ชู กขอสองกมุ ารจากพระเวสสันดร

๑๓. ข้อใดเปน็ สิ่งสำคัญที่ตอ้ งคำนึงในการพดู ตอ่ ประชุมชน

๑. ผพู้ ดู ทีด่ จี ะต้องรู้จักสงั เกตว่าผฟู้ งั กำลงั มปี ฏิกิรยิ าตอบสนองอยา่ งไร

๒. ปฏิกิรยิ าตอบสนองที่ผฟู้ งั มีตอ่ ผู้พูดจะเกิดข้ึนในขณะที่ฟังหรอื เมื่อฟังจบแล้ว

๓. การพดู ตอ่ ประชุมชนผฟู้ งั อาจมพี ืน้ ความรู้ รสนิยม เศรษฐกิจ สงั คม ทีแ่ ตกต่างหรอื คล้ายกนั

๔. สารทีพ่ ูดตอ่ ประชมุ ชนจะต้องไมม่ ีขอ้ จำกดั วา่ เป็นสารที่ฟงั ได้เฉพาะบคุ คลหรือกลุ่มใดกลุ่มหน่งึ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๑

๑๔. การกลา่ วชี้แจงตอ่ ทีป่ ระชุมเพือ่ ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน จดั เปน็ การพูดแบบใด

๑. การพูดโดยฉับพลนั ๒. การพูดโดยอาศัยต้นรา่ ง

๓. การพดู โดยวิธีท่องจำ ๔. การพูดโดยวิธีอ่านจากต้นร่าง

๑๕. การเลา่ นทิ านและประสบการณต์ ่าง ๆ จดั เปน็ การพดู เพือ่ จุดมงุ่ หมายใด

๑. พดู เพือ่ จรรโลงใจ ๒. พูดเพื่อค้นหาคำตอบ

๓. พูดเพือ่ โน้มนา้ วใจ ๔. พดู เพือ่ ให้ความรู้หรอื ข้อเท็จจริง

๑๖. นักเรียนควรปฏิบัติตนอยา่ งไรจึงจะเป็นนักพดู ที่ดี มคี วามเช่อื มัน่ และมีโอกาสประสบความสำเร็จ

๑. เตรียมตวั กอ่ นพดู ๒. สนใจปฏิกิรยิ าของผฟู้ งั

๓. กำหนดขอบเขตการพดู ๔. กำหนดจุดมงุ่ หมายการพดู

๑๗. การอา่ นลกั ษณะใดเปน็ การอ่านเพือ่ หาข้อสนับสนุนความคิดเห็นของตน

๑. อา่ นเพือ่ เพิม่ พนู ประสบการณช์ ีวติ

๒. อา่ นอยา่ งเพง่ เลง็ ข้อเทจ็ จริงเหมอื นอ่านตำรา

๓. อา่ นเพราะว่าชอบ เปน็ เรอ่ื งทีถ่ ูกกับนิสัยและชีวติ ของตน

๔. อา่ นเพราะว่าชอบ เป็นเร่อื งแปลกและต่างกับที่ตนเคยประสบมา

๑๘. คำที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดมีความหมายเหมอื นกันหมดทุกคน

๑. ยกพยุหออกราญ รู้วา่ ราญบ่มีรอด เพราะเมื่อมารอนราญ

๒. หนั หัวหกตกกระหมา่ บอกใหเ้ ต้าโดยตก ตรงึ อกพกตกขว้ำ

๓. จรสั ด้าวแดนสมร คลาดเคล้าคลาสมร เผดจ็ เสยี้ นเบียนสมร

๔. แล้วก็ลงลักษณข์ ่าวสาร หอกดาบเปน็ แสะสาร ธก็เอือ้ นสารเสาวพจน์

๑๙. “จงประชาราษฎร์นอ้ ม คำนงึ

จารพระคณุ พระตรึง ตรกึ ไว้

รักชาติศาสน์กษตั รยิ ์ถึง สญู ชีพ

ยอมถวายแดไ่ ท้ ทวั่ หน้าประชาสยาม”

โคลงบทนีแ้ สดงให้เหน็ ค่านิยมด้านใด

๑. ความซือ่ สตั ย์ ๒. ความกตัญญูกตเวที

๓. ความเสียสละ ๔. ความขยนั หม่ันเพียร

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๒

๒๐. คำประพนั ธ์ข้อใดไม่ปรากฏโวหารภาพพจน์

๑. อีกทั้งสะพร่ังหนาม ดจุ ะเขม็ ประดับไว้

๒. รปู เจา้ วิไลราว สรุ ะแสร้งประจติ ประจักษ์

๓. ชีพอยู่ก็เหมอื นตาย เพราะมิวายระทวยระทม

๔. สแู่ ดนมนษุ ยแ์ ละเกิด เปน็ มาลีเลิศ อนั เรียกวา่ กพุ ชะกะ

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๓

ใบความรู้เรอ่ื ง ประวตั ิวรรณคดีสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาตอนกลาง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๓ ตระหนักคุณค่าวรรณกรรม

ประวัติวรรณคดีสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาตอนกลาง (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑)

วรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางเริ่มตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ได้รับยกย่องว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดีเพราะนักปราชญ์ราชกวีที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นมากสร้างสรรค์

วรรณคดีสำคัญไว้หลายเรื่อง วรรณคดีสมัยนี้มีลักษณะแตกต่างจากวรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา

ตอนตน้ ซึง่ แสดงถึงวิวัฒนาการในด้านรปู แบบของการประพันธแ์ ละความนิยมของบคุ คล กล่าวคือ สมัย

กรุงศรีอยุธยาตอนต้นนิยมแต่งโคลงดั้น ฉันท์ แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง นิยมแต่งโคลงสุภาพ

กาพย์ผสมโคลง (กาพย์ห่อโคลงและกาพยเ์ ห)่ และยังนิยมแตง่ ฉนั ทซ์ ึ่งถือเปน็ แบบการประพันธช์ ั้นสูง

วรรณคดีสำคัญสมยั กรงุ ศรีอยุธยาตอนกลาง มีดงั นี้

๑. โคลงพาลีสอนนอ้ ง ๘. อนิรทุ ธ์คำฉนั ท์

๒. โคลงทศรถสอนพระราม ๙. โคลงเบ็ดเตลด็ ของศรีปราชญ์

๓. โคลงราชสวสั ดิ์ ๑๐. คำฉนั ท์ดุษฎีสงั เวยกล่อมช้าง

๔. จนิ ดามณี ๑๑. โคลงเฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระนารายณ์

๕. พระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสริฐ ฯ ๑๒. กาพยห์ อ่ โคลงพระศรีมโหสถ

๖. เสือโคคำฉันท์ ๑๓. โคลงนริ าศนครสวรรค์

๗. สมทุ รโฆษคำฉันท์ ๑๔. โคลงอักษรสาม

โคลงพาลีสอนน้อง

สมัยทแ่ี ต่ง สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

จุดมุง่ หมาย เพื่ออบรมสัง่ สอนข้าราชการ

ลกั ษณะคำประพนั ธ์ แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ ท้ังหมด ๓๒ บท

เรอ่ื งยอ่ พาลีกษัตริย์เมืองขีดขิน เมื่อถูกศรพระรามใกล้จะตายได้สำนึกผิด

เรียกสุครีพน้องร่วมมารดาและองคตลูกชายมาสั่งสอนข้อปฏิบัติใน

การรบั ราชการกบั พระราม ข้อห้ามและข้อปฏิบตั ิตา่ ง ๆ เช่น ไม่แต่งตัว

โออ่ า่ ไม่นัง่ บนราชอาสน์ หา้ มทำชู้กบั นางใน ไม่ยักยอกของหลวง

ให้พดู แตค่ ำสัตย์ เปน็ ต้น

ลักษณะเด่น คำประพนั ธ์มีความไพเราะและมีคตดิ ีงามเหมาะสมแกข่ ้าราชการ

พึงยึดถือปฏิบัติ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๔

ตวั อย่างคำประพันธ์

การเขา้ เฝ้าพระมหากษัตรยิ ์

เมื่อเฝ้าเชา้ คำ่ คล้อย สกลกาล

จงย่อมออมกระยาหาร หยอ่ นไว้

อย่ากินสิน้ เสร็จประมาณ ประมลู ขนาด

เกลือกกวนป่วนท้องได้ ยากย้ายในวงั

หา้ มทำชกู้ บั นางใน

นกั สนมกรมชะแม่แม้น สาวสวรรค์

นางในไพบูลยพ์ รรณ แน่งน้อย

เฝา้ ไทภทู รงธรรม์ ธิปราช

อย่าใฝใ่ นเสนห่ ์คล้อย เนตรเลี้ยวเลียมแสวง

คุณค่า แสดงคา่ นิยมของสังคมไทยเรอ่ื งการรับราชการในเวลาน้ันและแสดงอิทธิพลของ

เรือ่ งรามยณะหรอื รามเกียรตท์ิ ีม่ ตี ่อสงั คมไทย

โคลงทศรถสอนพระราม

สมัยทแ่ี ต่ง สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

จุดม่งุ หมาย เพื่อแสดงพระราชจรยิ าวัตรของผู้เปน็ พระเจ้าแผ่นดิน

ลกั ษณะคำประพันธ์ โคลงสีส่ ภุ าพ ทั้งหมด ๑๒ บท

เร่อื งยอ่ เริ่มต้นกล่าวถึง ท้าวทศรถตรัสเรียกพระรามมาพระราชทานโอวาท

เมื่อจะทรงมอบบ้านเมืองให้ครอง มีสาระสำคัญเกี่ยวกับเมตตากรุณา

อกุศลมลู ได้แก่ โทสะ โลภะ โมหะ อหงิ สาและขันติ เป็นต้น

ลกั ษณะเดน่ มีคำสอนที่ดปี ระกอบด้วยหลกั ธรรมะทางพทุ ธศาสนา

ตัวอยา่ งคำประพนั ธ์

อกุศลมลู

ครองภพลบโลกล้ำ ศภุ ผล

ระงับดับกังวลกล โกรธเกรี้ยว

โลภอวิชชาผจญ มนทโมหะ

กำจัดสลัดสละเลีย้ ว อย่าได้ประมูลมา

คุณค่า แสดงอทิ ธิพลของเรื่องรามยณะหรอื รามเกียรต์ทิ ีม่ ตี อ่ สังคมไทย

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๕

โคลงราชสวสั ดิ์

สมยั ทแ่ี ตง่ ในรชั สมยั ของสมเด็จพระนารายณม์ หาราช

ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

จุดมุ่งหมาย เพือ่ ให้เปน็ หลักปฏิบัติตนของขา้ ราชการผู้ใหญ่

ลักษณะคำประพนั ธ์ โคลงสี่สุภาพ ทั้งหมด ๖๓ บท

เนือ้ เรอ่ื ง มีใจความสอนข้อประพฤติปฏิบตั ิแก่ข้าราชการผู้ใหญ่ เชน่

การแต่งกายเข้าเฝา้ การกระทำตัวให้เหมาะสมต่าง ๆ

ลกั ษณะเดน่ มีเน้อื ความคล้ายกบั โคลงพาลีสอนนอ้ งแตล่ ะเอยี ดกว่า เด่นในด้าน

คติธรรม และความประพฤติ

ตวั อย่างคำประพนั ธ์

ไมอ่ าจเอือ้ มน่งั นอนบนพระราชอาสน์และพระแท่นประทบั

เตียงตั่งต้ังไว้อย่า เถลิงกาย

แทน่ ทองผ่องพรรณราย เพริศแพรว้

ขององคพ์ งศส์ ทุ ธสาย กษิรโลก

อย่าน่งั จงั ไรแล้ว เสนียดร้ายรงั แสลง

คุณค่า สะท้อนให้เปน็ พระราชนิยมสมเด็จพระนารายณม์ หาราชที่ทรงใฝ่พระทัยกวดขดั

ความรคู้ วามสามารถและจริยธรรมกุลบุตรที่จะถวายตวั เข้ารับราชการ

จนิ ดามณี
หนังสือเล่มนี้เป็นตำราภาษาไทยเล่มแรก อธิบายถึงอักขรวิธีและฉนั ทลักษณ์ จินดามณีแปลว่า

แก้วสารพัดนึก ท่านผู้แต่งตั้งชื่อของหนังสือเช่นนี้น่าจะตั้งใจให้มีความหมายว่า ถ้าบุคคลใดได้เรียน
หนังสือนี้แล้วจะรู้แตกฉานในอักษรศาสตร์ไทยได้เหมือนหนึ่งมีแก้วสารพัดนึก เนื่องจากหนังสือ
จินดามณีเป็นแบบเรียนเล่มแรกในเมืองไทย จึงมีการคัดลอกกัน ต้นฉบับจึงคลาดเคลื่อนไปบ้าง
จนิ ดามณีมหี ลายสำนวนด้วยกัน เวลานีม้ ีอยู่ ๔ สำนวนดว้ ยกันคือ

๑. จนิ ดามณีฉบบั ของเก่า สมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
๒. จนิ ดามณีฉบบั สมเดจ็ พระเจา้ บรมโกศ
๓. จนิ ดามณีฉบับพระนพิ นธ์กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงแก้ไขให้กะทดั รัดและเข้าใจความได้
ง่ายขึ้น มีเนื้อความปรากฏในโคลงตอนท้ายว่า เมื่อปีระกา เอกศก พ.ศ. ๒๓๙๒ ตอนปลายรัชกาลที่ ๓
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชปรารภให้กรมหลวงวงษาธิราชสนิทขณะดำรง

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๖

พระยศเป็นกรมหมื่นฯ ทรงนพิ นธจ์ นิ ดามณี เล่ม ๒ นขี้ ึน้ ราว พ.ศ. ๒๓๙๒ บางคนเรียก “โคลง

จนิ ดามณี”

๔. จนิ ดามณีฉบับที่มีความแปลกกว่าฉบับอื่น ๆ คือ จนิ ดามณีฉบบั ของหมอบรัดเลย์ (Bradley)

เป็นฉบับรวบรวมหลายเรอ่ื งมาไว้เล่มเดียวกัน

จนิ ดามณีทีส่ ำคัญทีส่ ุด คือ จนิ ดามณีฉบบั เกา่ จะมีบอกนามผู้แตง่ ไว้ คือ “จินดามณีนี้พระโหรา

ธิบดีเดิมอย่เู มืองสุโขทัยแต่งถวาย แตค่ รงั้ สมเดจ็ พระนารายณเ์ ป็นเจ้าลพบุรี”

สมยั ทแ่ี ตง่ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

ผูแ้ ตง่ พระโหราธิบดี เดิมเป็นชาวสุโขทัย ต่อมาย้ายมาอยู่เมืองโอฆบุรี

(พิจิตร) แล้วมารับราชการอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นบิดาศรีปราชญ์

รับราชการในหน้าที่โหรหลวง ทำนายเหตุการณ์ได้แม่นยำนัก และมี

ความรู้ทางด้านอักษรศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม ในรัชสมัยสมเด็จพระ

นารายณ์เมื่อมิชชันนารี ฝรั่งกำลังมาเผยแพร่คริสต์ศาสนาและ

วิชาการอย่างฝรั่ง จนถึงได้ตั้งโรงเรียนสอนเด็กไทย พระองค์ทรงเกรง

ว่าคนไทยจะไปเข้ารีตและนิยมอย่างแบบฝรั่ง จึงรีบสั่งให้พระโหราธิ

บดีแต่งจินดามณีเพอื่ คนไทยจะได้มแี บบเรียนของตนเอง

จดุ มุง่ หมาย เพื่อใช้เป็นแบบเรียนสอนอา่ น – เขียน ให้ความรู้ทางไวยากรณไ์ ทยและ

การแต่งคำประพันธ์ เพราะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์บ้านเมือง

เจริญก้าวหน้าทางวรรณกรรมมาก มีการทำนุบำรุงการเรียนหนังสือ

ไทย สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีการแต่งตำราภาษาไทย

เพื่อประโยชน์ในการศึกษา หนังสือจินดามณีนี้ได้เป็นหนังสือเรียนมา

ตลอดจนถึงต้นรัชกาลที่ ๕ ผู้แต่งได้บอกความมุ่งหมายในการแต่งไว้

ว่า

ลิขติ วิจิตรสร้อย ศุภอรรถ

ตา่ งมณจี นิ ดารัตน เลอศแล้ว

อันมสี ิรสิ วัสดิ โสภาคย์

ใครรู้คอื ได้แก้ว คา่ แท้ควรเมือง

ลกั ษณะการแตง่ เริ่มต้นด้วยกล่าวบูชาพระรัตนตรัยเป็นร่ายนำ ๑ บท แล้วเริ่มอักษร

ศัพท์เป็นคำพ้องเสียง เช่น พระบาท บาตรพระสงฆ์ บาศเชอื กบ่วง เปน็

ต้น ต่อจากนั้นเป็นการอธิบายหลักไวยากรณ์แต่งเป็นร้อยแก้ว บาง

ตอนเป็นคำประพนั ธ์และจบลงด้วยโคลงสีส่ ภุ าพว่า

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๗

ท้ังนคี้ ำปราชญแ์ กล้ง เกลาบท

รงั กล่าวเกลากลอนพจน เรียบร้อย

เพียงทิพยสุธารศ สรงโสรจ ใจนา

ฟังเริงเสนาะเพราะถ้อย ถี่ถ้วนทุกคำ

มีตอนท้ายทีอ่ ธิบายการแต่งคำประพนั ธ์พร้อมทั้งยกตัวอย่าง

เนื้อหา ตอนแรกเป็นบทสรรเสริญบูชาพระรัตนตรัย แล้วกล่าวถึงคำศัพท์ที่

เปน็ คำพอ้ งเสียง การใช้ ศ,ษ,ส, อกั ษรสามหมู่ การผันอกั ษร การ

สะกดวรรณยุกต์ เครื่องหมายต่าง ๆ ตอนหลังกล่าวถึง การแต่งคำ

ประพันธต์ า่ ง ๆ รวมทั้งกลบท เช่น

การแตง่ ฉนั ท์

หม่ใู ดในคณะ เปน็ คู่อยา่ งละ กาพยโ์ คลงพากย์หาร

บทฉันทใ์ ดฉงน สืบถามอยา่ นาน จลู่ ใู่ ชก่ าร ลิขติ เกยี้ วพนั ธ์

หนง่ึ วสนั ตดิลก คู่ฉันทโ์ ตฎก กาพยม์ ังกรพนั ธ์

บทอินทรวิเชยี ร คู่อารยิ ฉันท์ ผกู ไว้ทกุ สรรพ์ ทุกพรรณเกี้ยวการณ์

อธิบายโคลงสีส่ ุภาพ (เอก ๗ โท ๔ และสมั ผัส)

สิบเก้าสาวภาพแก้ว กรองสนธิ์

จันทรมณฑลกล สีถ่ ้วน

พระสุรยิ เสด็จดล เจด็ แหง่

แสดงวา่ ครโู คลงล้วน เศษสร้อยมีสอง

ให้บทปลายเอกน้ัน มาพัด

หา้ ที่บทสองวัจน์ ชอบพร้อง

บทสามดจุ เดียวทัด ในที่ เบญจนา

ปลายแหง่ บทสองตอ้ ง ทีห่ ้าบทหลงั

ลักษณะเด่น มีความสำคัญต่อภาษาและหนังสือไทยเป็นเวลาช้านาน เพราะได้ใช้

เปน็ หนงั สือเรยี นมาจนถึงรชั กาลที่ ๕ แบบเรียนรุ่นหลงั ๆ ที่เกิดขึ้นก็ได้

แนวคิดจากจินดามณีฉบับนี้ ภาคที่ว่าด้วยฉันทลักษณ์ ได้ยกตัวอย่าง

คำประพันธ์จากวรรณคดีเรื่องอื่น ทำให้ทราบสมัยของวรรณคดีเรื่อง

นั้น ๆ เป็นอยา่ งดี เช่น ยกกาพย์ยานีมาจากมหาชาติคำหลวง และยก

โคลงสี่สภุ าพจากลิลติ พระลอ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๘

ตวั อย่างโคลงสีส่ ุภาพ

เสียงฦๅเสียงเลา่ อ้าง อันใด พีเ่ อย

เสียงยอ่ มยอยศใคร ทั่วหล้า

สองเขือพห่ี ลับใหล ลืมต่นื ฤๅพี่

สองพี่คิดเองอา้ อย่างได้ถามเผอื (ลิลิตพระลอ)

คุณคา่ เป็นตำราเรียนรภาษาไทยเล่มแรกที่มีผู้รวบรวมแต่งไว้เป็นหลักฐาน

ทำให้สามารถศึกษาเปรียบเทียบความคลี่คลายในการใช้ภาษาไทย

สมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันว่ามีความเป็นมาอย่างไร หลักเกณฑ์ใน

การใช้ภาษาสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างไร และสมัยปัจจุบันได้

เปลี่ยนแปลงไปเพียงใดบ้าง นับว่าหนังสือเล่มน้ีเปน็ เอกสารอ้างอิงทาง

ภาษาได้ดที ีส่ ดุ เลม่ หน่ึง

พระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสริฐฯ

สมยั ท่แี ต่ง สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

ผู้แต่ง พระโหราธิบดี

จดุ มงุ่ หมาย เพือ่ บันทึกเหตุการณใ์ นแต่ละรัชกาลไว้เปน็ หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์

ตามพระราชประสงค์ของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

ลักษณะการแต่ง ร้อยแก้ว บันทึกเรื่องราวพงศาวดารไทยขนาดสั้นคล้ายบันทึกปูมโหร

ลำดบั ศกั ราชและเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่

๑ เรื่อยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เข้าใจว่าของเดิม

น่าจะมีเรื่องราวถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่ต้นฉบับขาด

หายไป ฉบับที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นฉบับที่พระยาปริยัติธรรมธาดา

(แพ ตาละลักษณ์) ได้มาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตั้งแต่สมัยที่พระยาปริยัติ

ธรรมธาดายังดำรงบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประเสริฐอักษรนิติพระราช

พงศาวดารฉบับนจี้ งึ ได้ชื่อตามหลวงประเสริฐฯ ผคู้ ้นพบ

เรอ่ื งย่อ เริ่มต้นเป็นบานแผนก บอกปีที่เรียบเรียง ผู้รับสั่งให้เรียบเรียง

ตลอดจนความมมุ่งหมายแล้วกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ จุลศักราช

๖๘๖ ชวดศก แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าพแนงเชิงซึ่งเป็นปีที่สร้าง

พระพทุ ธรปู วัดพนัญเชิง การสรา้ งกรุงศรอี ยุธยาจนถึงจุลศกั ราช ๙๖๖

มะโรงศกวนั ( ๕ ฯ ๒ คำ่ ) เสดจ็ พยุหยาตราจะป่าโมกโดยทางชลมารค



แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๑๙

ลกั ษณะเดน่ และฟันไม้ข่มนามตำบลเอกราช ตั้งทัพไชยตำบลพระหล่อ วันนั้นเป็น
คุณคา่ วันอนุแลเป็นวันสงกรานต์ พระเสาร์ไปราศีธนูเป็นองษาหนึ่ง ครั้งนั้น
ครั้งเสด็จพระราชดำเนินถึงเมืองหลวงตำบลทุ่งดอนแก้วซึ่งเป็นปีที่
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพไปตีพม่าและสวรรคตที่เมือง
หา้ งหลวง
เป็นงานร้อยแก้วที่น่าอ่านเล่มหนึ่ง ใช้ภาษาง่าย ๆ และสละสลวยได้
ความแจม่ แจ้งทุกตอน
เปน็ เอกสารทางประวัตศิ าสตรท์ ี่ได้รบั ความนยิ มเช่ือถือวา่ มีเน้ือหา
สาระถูกต้องและศักราชแมน่ ยำกวา่ พระราชพงศาวดารฉบับอืน่ ๆ

เสือโคคำฉนั ท์

เสือโคคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในสมัยเดียวกับสมุทรโฆษคำฉันท์และอนิรุทธ์คำฉันท์

เป็นวรรณคดีคำฉันท์ที่มีเนื้อเรื่องจบบริบูรณ์เรื่องแรกของไทย กล่าวกันว่างานเรื่องนี้พระมหาราชครู

แต่งขึน้ เพือ่ ทดลองแต่งเรื่องยาวด้วยคำประพนั ธช์ นิดฉันท์ กอ่ นทีจ่ ะลงมอื แต่สมทุ รโฆษคำฉันท์ สำนวน

โวหารจึงยังไม่งดงามถึงขั้นวรรณคดีแบบฉบับอย่างสมุทรโฆษคำฉันท์แต่ก็มีตอนที่งดงามไพเราะ

หลายตอน

สมัยท่แี ตง่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ – พ.ศ. ๒๒๓๑)

ผู้แตง่ พระมหาราชครู ซึ่งเป็นกวีผู้หนึ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

มีชาติวุฒิเป็นพราหมณ์ ดำรงตำแหน่งปุโรหิต เป็นพระอาจารย์ถวาย

พระอักษรแด่สมเด็จพระนารายณ์ มีความรู้เชี่ยวชาญทางอักษร

ศาสตร์และไตรเพท พระมหาราชครูได้นำเอานิทานมาแต่งด้วยฉันท์

เปน็ คนแรก

จดุ มุ่งหมาย ผแู้ ต่งไมไ่ ด้บอกจุดมุ่งหมายในการแต่งไว้ชดั เจนในตอนไหว้ครู

เพียงแจง้ ไว้วา่ ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

“ขอแถลงสำแดงกิจยุบล กลนิตสิ ายสาร

โดยในสุภาษิตบรรหาร วิศาลประเศศโถ”

แสดงว่าผแู้ ต่งเหน็ ว่าเรือ่ งเสือโคเป็นสุภาษิตหมายความถึงมขี ้อสอนใจ

ท้ังนีค้ งเป็นเพราะเป็นเรื่องชาดกนั่นเอง

ลกั ษณะคำประพนั ธ์ กาพย์และฉนั ท์ ๗ ชนิด การดำเนินเร่ืองสว่ นใหญ่ใช้กาพยฉ์ บัง ๑๖

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๐

เร่อื งยอ่ เรื่องเสือโคมีทีม่ าจาก พหลคาวีชาดกในปัญญาสชาดก อันเป็นชมุ นุม

นิทานเก่าแกซ่ ึง่ ภกิ ษุชาวล้านนารวบรวมไว้ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๐ – ๒๒๐๐ ไม่มีหลกั ฐานแนน่ อน

วา่ อยใู่ นสมัยกษัตรยิ ล์ ้านนาพระองค์ใด ชาดกเรือ่ งนเี้ ป็นชาดกที่มมี ลู เหตุจะแสดงให้เห็นว่า พระโพธิสตั ว์

มีความกตญั ญมู ุ่งชีใ้ ห้เหน็ กศุ ลกรรม ๓ ประการ คือ สจั จะ ขันติ และกตัญญู

เสือโคคำฉันท์ เรม่ิ เรื่องจากลูกเสือและลูกโค ๒ ตัว เดินมาถึงกุฏิฤๅษี ฤๅษีเห็นสตั วท์ ี่ควรเป็น

ศัตรกู ันเดินมาด้วยกนั ก็อศั จรรย์ใจ จงึ ถามวา่ เหตไุ รสัตวท์ ั้งสองจงึ เป็นเพื่อนกนั ได้ ลกู เสือจงึ เล่าใหฤ้ ๅษี

ฟังวา่ วนั หนึ่งแมข่ องตนไปหาอาหาร ลูกเสือหวิ นมพอดี แม่โคผ่านมาจงึ ขอนมกิน ครั้งแรกแมโ่ คปฏิเสธ

เพราะเห็นว่าเสอื กับโคเปน็ ศัตรูกัน แต่ลกู โคได้ขอรอ้ งแม่ให้นมลกู เสือกินเพื่อเอาบุญ แม่โคจึงตกลงให้

ลกู เสือกินนม ลกู เสือปฏิญาณว่าจะเปน็ เพื่อนกับลกู โค และถือวา่ แมโ่ คเปน็ แม่บงั เกิดเกล้า เมื่อแม่เสือ

กลบั มากใ็ หส้ ญั ญาว่าจะไมท่ ำร้ายแม่โค แตใ่ นทีส่ ุดแมเ่ สือกก็ ินแมโ่ ค ลูกเสือและลกู โคจงึ ชว่ ยกนั กัดและ

ขวิดแมเ่ สือตาย

ฤๅษีเอ็นดูลูกเสือและลูกโคจึงชุบให้เป็นมนุษย์ ลูกเสือชื่อ พหลวิชัย ลูกโคชื่อ คาวี ทั้งสอง

เดินทางมาจนถึงเมืองจันทบรุ ี เมืองนีม้ ียักษ์ใจพาลเที่ยวกินคนทีไ่ ปอาบน้ำ คาวฆี า่ ยักษต์ าย เจ้าเมืองยก

ธิดาให้ แตค่ าวีให้พหลวิชัยอภเิ ษกสมรสแล้วครองเมืองนั้น ส่วนตนเองเดินทางต่อไปจนถึงเมืองร้าง พบ

กลองใหญ่ใบหนึ่งตีไมด่ ัง จึงแหวะดูพบนางจันทรสุดา ธิดาเจ้าเมืองซ่อนตัวอยู่เพื่อหนีนกอินทรีที่มาจบั

กินผคู้ น คาวฆี า่ นกอินทรีตายได้ครองเมอื งนน้ั

นางจันทรสุดา มเหสีของคาวี มีผมหอม วันหนึ่งเอาผมหอมใส่ผอบลอยน้ำไป พระยศภูมิ

เก็บได้เกิดหลงรัก ส่งยายเฒา่ มาสืบหา และใช้อุบายเผาพระขรรคซ์ ึ่งฤาษีฝากชีวิตของคาวีไว้ ลักพานาง

จันทรสุดาไปถวายพระยศภูมิ แต่พระยศภูมิแตะต้องนางไม่ได้ เนื่องจากนางมีสัจจะคุ้มครอง พหลวิชัย

เมื่อเห็นบัวอธิษฐานเหีย่ วเฉา จงึ ตามหาช่วยชุบชีวติ คาวีและพากันไปตามนางจนั ทรสุดา พหลวิชยั ปลอม

เป็นฤาษีบอกพระยศภูมิว่าชุบคนแก่ให้หนุ่มได้ ท้าวยศภูมิหลงกลจึงภูกผลักเข้ากองไฟ คาวีสวมรอย

ออกมาเป็นพระยศภมู ิหนุ่มได้ครองเมอื งกบั นางจนั ทรสุดาสืบมา

เนือ้ เรื่องของเสือโคคำฉันท์ ดำเนนิ เรื่องตามชาดกในปญั ญาสชาดก แต่ตอนท้ายไม่ได้บอก

วา่ ตัวละครใดกลบั ชาติเป็นผู้ใดในสมยั พุทธกาลอย่างชาดก เพียงลงท้ายว่า เรือ่ งนเี้ ปน็ เรื่องที่ “พระบรม

ครแู กล้ง กล่าวไว้เป็นเฉลิม” คือบอกว่าเป็นเรื่องทีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงเทศนาเป็นชาดกไว้

ลักษณะเดน่ เมื่อเปรียบเทียบกับ สมุทรโฆษคำฉันท์ ซึ่งเป็นวรรณคดีคำฉันท์ที่แต่ง

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเช่นเดียวกัน เสือโคคำฉันท์ จัดว่า

มีสำนวนโวหารด้อยกว่าทั้งยังมีศัพท์แผลง ศัพท์บาลีค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตามความเด่นของเสือโคคำฉันท์อยู่ที่เล่าเรื่องสมบูรณ์เป็น

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๑

เรื่องแรก นอกจากนี้ยังมีคำประพันธ์หลายตอนที่งดงามไพเราะ ดัง

ตัวอย่าง

ตอน ลกู เสือหวิ นม ลกู โคออ้ นวอนแมโ่ คใหใ้ หน้ มลูกเสือกิน

อกแห้งหอบหิวชล รศนมแมต่ น

กระหนกระหายเรียกเรา

ถ้าแม่บมีปรานเี นา ให้พยคั ฆ์อนั เยาว์

กินกษิรามพเุ สวย

บาปน้ันจะร่ำไฉนเลย เชญิ ท่านผายเผย

อทุ รจรส่เู สือ

ให้กินนมแล้วเราเมอื ได้บุญแลเหลอื

จะนับก็พ้นคณนา

ตอน พหลวิชัยคร่ำครวญถงึ คาวี

เจ้ามาสญู หาย วายชีพเดียวดาย บรู้อาการ

ตายอยคู่ นเดียว ดจุ คนสาบาน ให้พี่เลวลาญ อกเปลา่ อาดรู

อกพีจ่ ะคราก โอ้อ้าลำบาก ด้วยเจา้ มาสญู

ใจแก่พีไ่ ด้ ให้พี่เร่งภลู ทุกขามามลู เพียงสิ้นสุดปราณ

ร้องไห้รอ้ งหา ร้องเรียกราชา คาวเี ผา่ พาน

เสนาะสนั่น เดือดด้ันแดดาล เทวาทุกสถาน ฤๅกลั้นกระแสง

ระทดระทวย ระลุงระลวย กระโหยโรยแรง

ยะยับยะยับ ดุจปลาตีแปลง อกซ้ำก่ำแดง น้ำตาลามไหล

คุณคา่ เป็นตัวอย่างในการศึกษาเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ ในแบบ

เนือ้ หาทีค่ ล้ายคลึงกนั เช่น พหลคาวีชาดกในชุดปัญญาสชาดก

สมุทรโฆษคำฉนั ท์ แต่งขึ้น ๒ ระยะด้วยกันคือ ในสมัยสมเด็จพระนานารายณ์มหาราช
สมยั ทแ่ี ตง่ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – พ.ศ. ๒๒๓๑) และสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยูห่ ัว (พ.ศ. ๒๓๙๒)
ผ้แู ตง่ กวีแต่งสมุทรโฆษคำฉันท์เป็นคนแรก คือ พระมหาราชครู กวีในราช
สำนักสมเด็จพระนารายณ์ฯ แต่งโดยพระบรมราชโองการ แต่เมื่อแต่ง
มาได้ถึงตอนพระสมทุ รโฆษพานางพิมทุมดีไปแก้บน พระมหาราชครูก็

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๒

ถึงแก่อนิจกรรม เรอ่ื งจึงค้างอยู่ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช มี

พระราชดำริว่าควรจะแต่งเรื่องนี้ให้จบสมบูรณ์ จึงทรงพระราชนิพนธ์

ต่อ แต่ก็ดำเนินเรื่องไปได้เพียงแค่รณาภิมุขถูกพิทยาธรอีก ตนหนึ่ง

แย่งภรรยาไป รณาภมิ ขุ ถกู แทงบางดเจบ็ อยใู่ นอทุ ยานของ พระสมุทร

โฆษ

สมุทรโฆษคำฉันท์ค้างมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาล

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหลวงวงษาธิราชสนิท

ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

ให้ทรงนิพนธ์ต่อจนจบบริบรู ณ์ในปี พ.ศ. ๒๓๙๒

จุดมงุ่ หมาย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ

ให้พระมหาราชครู แต่งเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ เพื่อใช้เล่นหนังสมโภช

ในวาระที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุ ๒๕ พรรษา พระมหาราชครูจึง

นำเรื่องชาดกจากปัญญาสชาดก (สมุทรโฆษชาดก) มาแต่งขึ้น จะเห็น

ได้จากเนื้อความตอนต้นเรื่องที่แสดงว่าเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อเป็น

บทเล่นหนงั คือ

ทนายผู้คอยความ เร่งตามไต้ส่องเบื้องหลงั

จงเรืองจำรสั ทงั ทิศาภาคทกุ ภาคพาย

จงแจ้งจำหลกั ภาพ อันยงยิง่ ดว้ ยลวดลาย

ให้เห็นแกท่ ั้งหลาย ทวยจะดูจงดูดี

นอกจากนีย้ ังมีบทที่วา่ ด้วยเร่อื งเบิกโรงเล่นหนังอีก ๗ เรือ่ ง เช่น

เรือ่ งเบิกโรง ๑ หวั ล้านชนกัน เรื่องเบิกโรง ๒ ลาวกับไทยฟันดาบ

เรื่องเบิกโรง ๓ ชวาแทงหอก เปน็ ต้น

ส่วนจุดมุ่งหมายในการแต่งครั้งต่อมา คือตอนที่เป็นพระราช

นิพนธ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชและพระนิพนธ์สมเด็จพระมหา

สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส นั้นก็เพื่อให้เรื่องนี้จบลงโดย

สมบูรณ์ พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ในตอนท้ายทรงกล่าว

ไว้ว่า

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๓

โดยมุมานะหฤทยั อดสดู ูไขษย
กวีฤๅแล้งแหลง่ สยาม ต่อแต่งเติมตาม

ข้อยคิดลิขติ ด้วยพยายาม
สติปญั ญาอย่างเยาว์

ลกั ษณะคำประพนั ธ์ ฉันท์ ๖ ชนิด คือ ฉันท์ ๑๔ ฉนั ท์ ๑๑ ฉันท์ ๑๒ ฉนั ท์ ๑๙ ฉันท์ ๒๑

ฉนั ท์ ๑๕ และมีกาพย์สุรางคนางค์และกาพยฉ์ บงั ประกอบเป็นตอน ๆ

สังเกตได้วา่ คำฉันท์ในเรอ่ื งน้ีไม่เคร่งครัดนกั ในเร่อื งครู สหุ แต่ถือ

จำนวนพยางคเ์ ปน็ สำคัญ จบเรอ่ื งลงดว้ ยโคลงสีส่ ภุ าพ ๔ บท

บอกเวลาแตง่ และคำอธิษฐานของผู้แตง่

เร่อื งยอ่ เนือ้ เรือ่ งสมทุ รโฆษคำฉันท์ได้มาจากเรอ่ื ง สมุทรโฆษชาดก อนั เป็น

เรือ่ งหนง่ึ ในปญั ญาสชาดกแต่เน้ือความตอนตน้ เรื่องตา่ งกันไปบ้าง จนถึงตอนทีเ่ ป็นพระนิพนธ์สมเด็จ

พระมหาสมณเจ้าฯ จงึ ทรงดำเนินเร่ืองตามชาดกทุกประการ

ตอนตน้ เรื่อง เริม่ ดว้ ยคำนมัสการพระพทุ ธเจา้ พระศิวะ พระพรหมและพระรามาธิบดี (คือ

กษัตริย์แห่งศรีอยุธยา) แล้วเล่าถึงจุดประสงค์การแต่งเรื่องเพื่อเล่นหนัง จากนั้นก็เล่าเนื้อเรื่องสังเขป

โดยแบ่งออกเป็น ๔ ตอน ก่อนเข้าเนื้อเรื่องจริง ๆ มีการไหว้ครู เล่นหนัง และบรรยายการเบิกโรงก่อน

เลน่ หนงั อยา่ งละเอียด แล้วจึงดำเนนิ เรือ่ ง

พระสมุทรโฆษเสด็จไปคล้องช้างในป่า ขณะที่บรรทมหลับ เทวดาประจำต้นโพธิ์อุ้มไปให้ได้กบั

นางพินทุมดี ราชธิดากษัตริย์เมืองรมยบุรี ต่อมาได้เข้าพิธีสยุมพรและได้อภิเษกสมรสกับนางโดยทรง

แสดงฝีมือการยิงธนูและรบชนะกษัตริย์อื่น ๆ สิบพระนคร เมื่ออภิเษกสมรสแล้ว พระสมุทรโฆษพา

นางประพาสอุทยาน ได้พบวิทยาธรตนหนึ่งถูกเพื่อนฟันแย่งเอาภรรยาไป จึงช่วยเหลือรักษาพยาบาล

วิทยาธรคิดถึงบญุ คุณ จึงถวายพระขรรค์วิเศษซึ่งมีคณุ สมบตั ิทำให้ผู้ใช้สามารถเหาะได้ พระสมุทรโฆษ

พานางพินิทุมดีเหาะชมป่าหิมพานต์ แล้วไปนอนหลับในป่า ถูกวิทยาธรตนหนึ่งขโมยพระขรรค์ไป จึง

ต้องเดินซัดเซพเนจรไปนถึงมี่น้ำกว้าง ทั้งสองกษัตริย์เกาะขอนไม้ข้ามน้ำไปแต่ถูกคลื่นซักขอนไม้ เลย

ต้องพลัดพรากจากไปคนละทาง นางพินิทุมดีไปอยู่ที่เมืองมทั ทราช พระอินทร์บังคับให้วิทยาธรคืนพระ

ขรรคใ์ ห้พระสมทุ รโฆษ แล้วจึงเทีย่ วติดตามหานางจนถึงเมอื งมทั ทราช ได้พบนางแล้วเสด็จไปเมืองรมย

บรุ ี พระบิดาของนางพินทมุ ดีมอบราชสมบัติใหพ้ ระสมทุ รโฆษครอบครอง ต่อมาพระบิดาของพระสมุทร

โฆษกม็ อบราชสมบตั ิเมืองพรหมนครให้พระสมุทรโฆษครอบครองอกี เมอื งหนึง่

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๔

ท้ายเรื่องเป็นการประชุมชาดก ว่าใครกลับชาติมาเกิดเป็นใครบ้าง ตามธรรมเนียมเรื่องชาดก

เชน่ พระสมุทรโฆษกลับชาติมาเป็นพระพทุ ธเจ้า นางพินทมุ ดีกลบั ชาติมาเป็นพระนางพิมพา วิทยาธรที่

ลกั พระขรรคก์ ลับชาติมาเปน็ พระเทวทตั เป็นต้น

ในตอนท้าย สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแสดงเรื่องที่ทรงแต่งเรื่องนี้ต่อจากเรื่องเดิมที่ค้าง

และจบลงด้วยคำอธิษฐานขอให้ได้เปน็ สาวกและให้ได้เป็นกวีทีป่ ราดเปร่อื งในทุกชนิด

ลักษณะที่น่าสงั เกตประการหนึง่ ของเรื่องนี้ คือ พระมหาราชครูได้สอดแทรกเรื่องต่าง ๆ เข้าไว้

ในตอนต้นเรื่อง คือ การเล่นเบิกโรงที่เรียกว่าจับลิงหัวค่ำ และการคล้องช้าง ซึ่งทำให้สามารถศึกษา

เกีย่ วกับการแสดงของไทยในสมัยนั้น ตลอดจนราชประเพณีเกีย่ วกบั การคล้องช้างของพระมหากษตั รยิ ์

ลักษณะเด่น สมุทรโฆษคำฉันท์ ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของ

“กลอนฉันท์” กวีผู้แต่งที่ทรงนิพนธ์เรือ่ งนี้ล้วนเป็นกวีเอกในยุคสมัยนั้น

ทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า วรรณคดีเรื่องนี้เป็นที่แสดงฝีมือของกวีชั้น

เอกของไทย ซึ่งล้วนแต่พยายามแต่งอย่างไว้ฝีมือให้ทดั เทียมกัน ทั้งใน

เชงิ พรรณนาและความรตู้ ่าง ๆ อาจจะกล่าวไว้ให้เหน็ ได้ดงั น้ี

๑. ด้านการเลือกสรรถ้อยคำ กวีสามารถเลือกลีลาของฉันท์ให้เข้ากับบรรยากาศและ

เหตุการณ์ของเรื่อง และสามารถทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพและเกิดความรู้สึกคล้องตามได้ ทั้งนี้ก็ด้วย

การเลือกสรรคำอย่างประณตี ทั้งในด้านลีลาเสียงสัมผสั การเลน่ คำ และการเปรียบเทียบ เชน่

ตัวอยา่ ง ๑. ตาสมรคือศรยิงยรร ทรวงสองโหยหรรษ์

และกามกวนกลางใจ

๒. ไกฟ่ ้าวานหว้ายฟ้า เสาะสืบหานฤบาล

ผ้งึ พ้องพง่ึ พบพาน บพิตรดว้ ยช่วยเอน็ ดู

๓. ชมเฌอชมชลชมแลชมพนพนม

ชื่นชมและชมสระ สโรช

๒. ด้านความรู้ ความรู้ที่ได้รับจากเรื่องนี้มีปลายอย่างด้วยกัน เช่น วิธีการดำเนินเรื่อง

แบบหนังใหญ่ ธรรมเนียมการเล่นเบิกโรงชุดต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาก นอกจากนี้ยังมีความรู้เกี่ยวกับคดี

ในทางวรรณคดีและความเชอ่ื หลายอยา่ ง คือ เรื่องปา่ หมิ พานต์ เมอื งท้าวกินนร สระอโนดาต สระ

ฉันท์ทันต์ อันเป็นคติที่น่าจะสืบเนื่องจากไตรภูมิพระร่วง ความรู้อีกอย่างหนึ่งคือ การคล้องช้าง และ

การจัดทพั อนั เป็นความรู้สำหรับพระมหากษัตริย์ในสมยั ก่อน โดยเฉพาะการคล้องช้าง อันเป็นประเพณี

สำคัญที่ได้บรรยายไว้อย่างละเอียด นับตั้งแต่ลักษณะช้างตระกูลต่าง ๆ จนถึงการพบโขลงช้าง การทำ

พิธีและวิธีคล้องช้าง จัดวา่ เปน็ การบนั ทึกเรือ่ งประเพณีที่มคี ณุ ค่าทางโบราณคดีอย่างยิ่ง

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๕

ความรู้สำคัญอีกประการหนึ่งที่ได้รับจากเรื่องนี้คือ ความรู้ทางภาษา โดยเฉพาะศัพท์บาลี

และสนั สกฤตทีป่ รากฏ รวมทั้งการแผลงคำและการตคี วามหมายใหเ้ ข้ากับประโยคแวดล้อมด้วย

คณุ ค่า การศึกษาเรื่องสมุทรโฆษนี้เปรียบเหมือนศึกษาตำรับการแต่งฉันท์

ที่กวีฝีปากเอกบรรจงสร้างอย่างสุดฝีมือ ผู้ศึกษาย่อมได้เรียนรู้กลวิธี

การประพันธ์อันประณีตงดงาม ได้เห็นการเลือกสรรถ้อยคำ

เพื่อแสดงภาพและรสของอารมณ์อย่างละเอียดอ่อน เป็นตัวอย่างอันดี

สำหรบั ผู้สนใจการประพนั ธ์

ส่วนผู้ที่อ่านเพื่อให้ได้รับรสแห่งวรรณคดี ก็ย่อมจะได้คุณค่า

แห่งรสวรรณคดีครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น บทรัก บทรบ บทชมโฉม บท

รำพันเศร้าโศก บทเกรยี้ วโกรธ ฯลฯ ดงั ที่วรรณคดีสโมสรได้ยกยอ่ งไว้

อนิรทุ ธ์คำฉันท์

สมยั ทแ่ี ต่ง สมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ผู้แตง่ เชื่อกันว่า ศรีปราชญ์ เดิมชื่อศรี เป็นบุตรพระโหราธิบดี เป็นกวีที่หนุม่

ที่สุดในสมัยพระนารายณ์ ได้รับการศึกษาอบรมจากบิดาเป็นอย่างดี

ประกอบทั้งมีอุปนิสัยฉลาดมาแต่เด็ก ได้ถวายตัวเข้ารับราชการใน

สมเด็จพระนารายณืเมื่ออายุ ๑๒ ปี เพราะสามารถต่อโคลงพระราช

นิพนธ์เป็นทีพ่ อพระราชหฤทยั

อนั ใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤารนิ้ พราย ลยชองัอยกบาเกนกล้ือ้ำเรยี มสงสนวมานรเดาจ็ยพณรศ์ ะรปี ราชญ์
ผวิ ชนแตจ่ ะกราย
ใครจักอาจให้ช้ำ

ที่จริงโคลงพระราชนิพนธ์ ๒ บทนี้ พระโหราธิบดีได้รับคำสั่งจากสมเด็จพระนารายณ์ให้ไป

แต่งต่อที่บ้าน แต่ศรีรปาชญ์ลอบแต่งเสียก่อน พระโหราธิบดีคงจะรู้ด้วยวิชาโหรว่าลูกของท่านจะอายุ

ส้ันเพราะอาญาแผน่ ดิน จงึ กราบทลู ของพระราชทานอภัยโทษไว้กอ่ น ด้วยบุตรของทา่ นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษประหารให้ ถึงแม้ว่าจะมีผิดถึง

ตาย ศรปี ราชญ์จึงไดเป็นมหาดเลก็ ในพระราชวงั แต่นั้นมา

นายศรีได้รับราชการ เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้นเสด็จประพาส

ป่าแก้ว นายศรีกราบทูลเรื่องลิงได้อย่างสุภาพ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นศรีปราชญ์ ซึ่งบาง

ทา่ นวา่ เปน็ ตำแหน่งราชการ ศรปี ราชญ์แสดงความสามารถทางปฏิภาณกวีไว้มาก เชน่ ได้ตอบโคลงกับ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๖

พระมหาราชเชียงใหม่ นายประตู พระสนม ตุลาการและเขียนโคลงบทสุดท้ายของชีวิตด้วยเท้าบนพื้น

ทราย เปน็ ต้น

ศรีปราชญ์เป็นกวีที่มีคารมเกล้า ครั้งหนึ่งว่าโคลงล่วงเกินพระสนมคนโปรด บางท่านว่า

มีบรรดาศักดิ์เป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์จึงต้องพระราชอาญาให้ขนเลน แล้วยังสาดโคลนไปถูกพระสนม

ผู้นั้นอีกโทษถึงประหารชีวิต แต่ทรงพระกรุณาฯ ลดหย่อนโทษเพียงเนรเทศไปนครศรีธรรมราช ตามที่

ทรงรับคำพระโหราธิบดีไว้ เมื่อไปอยู่นครศรีธรรมราชก็มีเรื่องกับหญิงของเจ้าเมืองนครฯ อีก จึงถูก

เจ้าเมืองนครฯ ประหารชีวติ ตอ่ มาสมเด็จพระนารายณม์ ีพระราชประสงคใ์ ห้ศรปี ราชญก์ ลบั กรุง

ศรอี ยุธยา ทรงทราบว่าเจา้ เมืองนครฯ ประหารศรปี ราชญ์โดยพลการ ทรงพระพิโรธตรสั ให้ประหารเจ้า

นครฯ ด้วยดาบที่ใช้ฆ่าศรีปราชญ์ ประวัติศรีปราชญ์นี้เล่าเป็นตำนานสืบต่อกันมา บางตอนก็ไม่มี

หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ยืนยนั อย่างไรก็ดีมีหนังสอื ๒ เรื่อง คือ คำให้การชาวกรงุ เกา่ และคำให้การ

ขุนหลวงหาวัด กล่าวว่าศรีปราชญ์มีชีวิตอยู่ในสมัย พระเจ้าสุริเยนทราธิบดี (พระเจ้าเสือ) มิใช่สมัย

สมเดจ็ พระนารายณ์

จดุ มงุ่ หมาย สนั นิษฐานกันว่า

๑. ศรปี ราชญ์แต่งเพือ่ แขง่ กบั เรื่องสมทุ รโฆษคำฉันท์ของ

พระมหาราชครู ซึง่ นักวรรณคดีหลายคืนเช่อื ว่า พระ

มหาราชครูผแู้ ต่งสมุทรโฆษคำฉันท์เป็นคนเดียวกับพระโหราธิ

บดีทีก่ ล่าวว่าเป็นบิดาศรีปราชญ์

๒. ศรีปราชญ์แต่งเพื่อแสดงให้เห็นว่า มีความสามารถที่จะแต่ง

ฉนั ท์ เปน็ เร่อื งยาวได้สมบูรณ์เช่นเดียวกับกวีเอกอื่น ๆ

ลกั ษณะคำประพันธ์ คำฉันท์ ๔ ชนิด นอกจากนั้นมีกาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์และ

ร่ายสุภาพอยูด่ ้วย

เร่อื งยอ่ เรื่องอนุรุทธ์คำฉันท์ได้มาจากคัมภีร์วิษณุปราณะและมหาภารตะ

มีเนื้อเรื่องคล้ายสมุทรโฆษ คือมีการอุ้มสม เริ่มต้นกล่าวถึงพระอนิรุทธ์ เป็นหลานของพระกฤษณะซึ่ง

เป็นพระนาราณ์อวตาร (ปางที่ ๘) มาครองเมืองทวารวดี พระอนิรุทธ์เชี่ยวชาญในการรบมาก วันหนึ่ง

ได้เสด็จออกไปล่าสัตว์และไปพักประทับแรมอยู่ใต้ร่มไทร พระไทรอุ้มพระอนิรุทธ์ไปสมนางอุษา ธิดา

เจ้ากรุงพาณเมอ่ื ใกล้รงุ่ พระไทรก็พาพระอนริ ทุ ธ์กลับมา นางอุษาต่นื บรรทมไมพ่ บพระอนริ ทุ ธ์ ก็

คร่ำครวญ นางพิจิตรเลขาพี่เลี้ยงจึงวาดรูปเทพยดาและกษัตริย์ทั้งหลาย จนถึงรูปพระอนิรุทธ์นางก็จำ

ได้ นางพิจิตรเลขาจึงใข้เวทมนต์เหาะมาพาพระอนิรุทธ์ไปอยู่ด้วยนางอุษาในปราสาท จนพระเจ้ากรุง

พาณทรงพทราบจึงแผลงศรไปมัดพระอนิรุทธ์ไว้ พระนารทฤๅษีทราบเรื่องจึงไปบอกข่าวแก่

พระกฤษณะ พระกฤษณะยกทัพมาช่วยนัดดาได้ทำศกึ กับเจ้ากรุงพาณจนในที่สุด พระกฤษณะเป็นฝ่าย

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๗

ชนะ ตัดแขนทั้งพันแขนของเจ้ากรุงพาณ ออกเหลืองสองแขนและลงโทษให้เป็นนายทวาร พระอนิรุทธ์

กบั นางอษุ ากไ็ ด้ครองกันสืบมา

จะเห็นได้ว่า เรื่องอนุรุทธ์มีโครงเรื่องคล้ายสมุทรโฆษตรงที่มีเทพารักษ์อุ้มสมและมีบทของ

พี่เลี้ยงที่ช่วยให้พระเอก นางเอกได้พบกัน แต่เรื่องอนรุ ุทธ์ไมก่ ารพลัดพรากในตอนท้าย เรื่องจึงสั้นและ

ไมป่ ระทบั ใจเท่าสมทุ รโฆษ

ลักษณะเดน่ แมจ้ ะกลา่ วกนั วา่ ศรปี ราชญแ์ ต่อนิรุทธ์คำฉันท์เพือ่ แข่งสมุทรโฉม หรอื เพื่อแสดง

ความสามารถในการแต่งฉันท์ แต่ก็ปรากฏว่าอนิรุทธ์คำฉันท์ไม่เด่นเท่าสมุทรโฆษ ลักษณะเด่นของ

อนิรทุ ธ์คำฉนั ท์กลับไปอย่ทู ีค่ วามแตกตา่ งจากเรอ่ื งอ่นื ๆ คือ

๑. อนิรทุ ธ์คำฉนั ทไ์ มม่ กี ารเริม่ เรื่องด้วยบทไหว้ครู เหมอื นดงั เรอ่ื งอน่ื ๆ ที่แต่งกนั มาแต่ก่อน

จนเปน็ ธรรมเนยี ม คือ เริม่ เร่อื งวา่

ปางพระจักรีแปรเป็น กฤษณราชรอนเขญ็

อรินทรเสี้ยนสยบนา

เสดจ็ แสดงเนาในเมืองทว รพดีสมญา

คือวิษณโุ ลกบปาน

๒. ในการพรรณนาความ กวีท่ัวไปนิยมพรรณนาเฉพาะตอนที่สวยงาม หรอื ที่ถือวา่ เปน็ มงคล

ศรปี ราชญก์ ลับไปพรรณนาตอนพระอนิรุทธ์ต่ืนบรรทมวา่

เสด็จสรา่ งเสรจ็ ตน่ื จากผทม เสร็จเสียอาจม

แล้วก็เสร็จโสรจสรง

แมส้ ิง่ ที่ศรีปราชญ์กล่าวจะเปน็ พฤติกรรมธรรมดาของมนุษย์ แตก่ วีโบราณไม่นิยมกล่าวไว้

ในวรรณคดี

๓. ในเรอ่ื งอนุรุทธคำฉนั ท์ ศรปี ราชญ์ยังนำรา่ ยมาแต่งรวมกับฉันท์ ซึง่ ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

ลกั ษณะต่าง ๆ ดังน้ี หากพิจารณาในแนวหนึง่ ก็จะเหน็ ว่า ศรปี ราชญม์ ีลกั ษณะเปน็ ตวั

ของตวั เอง มีความคิดรเิ ริม่ แต่ไมเ่ ป็นที่นิยมของคนในสมยั นั้น

ลกั ษณะแตกตา่ งจากแนวที่นยิ มกันดังทีก่ ล่าวมา ทำให้ศรปี ราชญม์ ักถูกตำหนิว่านอกครูและว่า

เป็นเหตุให้ศรีรปราชญ์ต้องอปั มงคลและอายุสั้น

อยา่ งไรกต็ าม สำนวนโวหารเรื่องนิรุทธคำฉนั ท์ กย็ งั มคี วามไพเราะ คมคายและประทับใจผู้อ่าน

อยูห่ ลายตอน เชน่

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๘

๑. พระอนิรทุ ธค์ รวญถงึ นางอุษาเมือ่ ตืน่ บรรทม

โอ้เจบ็ กเู รง่ เจ็บ คือเหนบ็ เสยี้ นเสียดแดกลาง

ใจจากประจากปาง ประลองกามกามี

โอ้เสียงสำเนียงสัต- วร้องในพนาลี

โอ้อกกรอชุ ี- วิตเพี้ยงพนิ าศนาศ

โอ้แสงพระสรุ ิย์ฉาย รสายเมฆอากาศ

โอ้เจ็บบำราศราศ บ สวา่ งคือกมแด

๒. พรรณนาภาพในสนามรบ

ไหวไหวหวาดหวาดพสธุ า ไหวเมรุคลาศคลา

จะพกจะพลวกภวู ดล

สาดศรไปมาเสียดสน เพียงฉา่ ฉาวฝน

เพียงจักรพาฬจะพก

๓. พรรณนาสระบัวที่พระอนิรุทธ์ลงสรงน้ำ

บษุ บารายรัตนซ้อนเซรง ภูธรแลแลง ก็ดาลรลงุ ลวงใน

บวั ตูมติดขนั้ บงั ใบ บังใบท้าวไท วา่ เตา้ สดุ าดวงมาลย์

ดวงมาลย์บงกชเบิกบาน เบิกบานเปรมปาน ประภาคยพักตรพิมล

พิมลเลงนโิ ลตบล นิโลตบลยล ว่าเนตรพิศพิสมัย

กล่าวโดยสรุป อนิรุทธ์คำฉันท์มีท่วงทำนองดำเนินเรื่องที่กระชับ รวดเร็ว และมุ่งเข้าหา

จดุ สำคญั ของเรื่อง ไม่พรรณนายืดยาวเกินความจำเปน็

คณุ คา่ แสดงนิทานเรื่องพระอนิรทุ ธก์ ับนางอุษา เป็นประโยชน์ในการเปรียบเทียบ

กับวรรณคดี ที่มีเนื้อเรื่องคล้ายคลึงกัน คือบทละครเรื่องอุณรุท พระราช

นิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑

โคลงเบด็ เตลด็ ของศรปี ราชญ์

สมยั ทแ่ี ตง่ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

ผูแ้ ต่ง ศรปี ราชญ์

จุดมุง่ หมาย ไม่เห็นเดนชัดเพราะส่วนมากแต่งขึ้นในปัจจุบันทันใด เป็นโคลงที่แต่ง

โต้ตอบฉับพลันแสดงลักษณะปฏิภาณกวีของศรปี ราชญ์

ลักษณะคำประพันธ์ โคลงสีส่ ภุ าพ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๒๙

เนื้อหา โคลงแต่ละบทแต่ละตอนทำให้เข้าใจประวัติของศรีปราชญ์ได้ พอจะแบ่ง

ออกเป็นตอน คือ ตอนเข้ารับราชการ ตอนพระราชทานชื่อศรีปราชญ์ ตอน

แสดงความปราดเปร่อื งตอนเป็นโทษต้องเนรเทศ และตอนถกู ประหารชีวิต

โคลงเบ็ดเตล็ดเหลา่ นรี้ วมอยูใ่ นประชุมโคลงโบราณ ของพระยาตรงั

ลกั ษณะเด่น โคลงตา่ ง ๆ สว่ นมากศรปี ราชญ์แต่งข้นึ ในทันทีทนั ใด ทำนองกลอนสดแต่มี

คารมกล้า คมคาย

ตัวอย่างคำประพนั ธ์

ตอบโต้กบั นายประตเู รอ่ื งแหวนพระราชทาน

แหวนน้ที ่านได้แต่ ใดมา นายประตู

เจา้ พิภพโลกา ท่านให้ ศรปี ราชญ์

ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก นายประตู

เราแตง่ กาพย์โคลงไท้ ท่านให้รางวลั ศรปี ราชญ์

คณุ คา่ สะท้อนให้เห็นความสามารถแต่งกลอนสดได้ทันทีทันใด ด้วยสำนวน

ภาษาที่คมคาย ไพเราะและมีปฏิภาณไหวพริบดีมากของศรีปราชญ์

สมควรแกค่ วามเปน็ ปฏิภาณกวีในยุคทองแหง่ วรรณคดี

คำฉนั ทด์ ุษฎีสงั เวยกล่อมช้าง

เปน็ หนงั สือคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างเล่มแรกเท่าที่มีต้นฉบับอยใู่ นสมยั สมเด็จพระนารายณ์

มหาราช มีช้างเผือกสำคัญมาสพู่ ระบารมี จงึ ตอ้ งมกี ารสมโภชกล่อมช้าง

สมัยทแ่ี ตง่ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

ผูแ้ ต่ง ขุนเทพกวี (ขุนเทพกระวี) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ได้ประทานคำอธิบายว่า “ขุนเทพกวี (พราหมณ์) ชาวเมืองสุโขทัย

แตง่ ฉนั ท์สดดุ ีสังเวยกล่อมช้าง”

จุดมงุ่ หมาย เพื่อขับกล่อมในงานสมโภชช้างเผือก ให้ละพยศ อยกาอยู่ในเมืองและ

จงรกั ภกั ดีต่อพระมหากษัตรยิ ์

ลักษณะการแตง่ ลักษณะคำฉันท์กล่อมช้างโดยทั่ว ๆ ไปนั้น ตอนหนึ่งเรียกว่า “ลา”

ตามปรกติจบหนึ่งมี ๔ ลา คือ ลา ๑ ขอพร ลา ๒ ลาไพร ลา ๓ ชมเมือง และ ลา ๔ สอนช้าง ส่วนของ

ขุนเทพกระวีนน้ั ลา ๑ มีคำพรรณนาของช้างจากเทพเจา้ ต่าง ๆ แทรกเข้าไวด้วย ลาที่ ๒ เปน็ คำ ลาไพร

โดยมากขึ้นต้นด้วยคำว่า “อย่าพ่อ” หรือ “อย่าแม่” สุดแต่เป็นชข้างพลายหรือช้างพัง ลา ๓ เรียกว่า

ดษุ ฎีลาไพร ของขนุ เทพกวีจบลงเพียงนี้

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๐

ทำนองแต่ง แต่งเป็นคำฉันท์ กับกาพย์ยานี และกาพย์ฉบัง เป็นส่วนมาก ฉันท์ใช้

อินทรวิเชยี รฉันท์และวสนั ตดิลกฉันท์

เนื้อหา ตอนต้นเป็นการสดุดีสังเวยเทพเจ้า เช่น พระอิศวร พระนารายณ์

พระพรหม และพระอัคนี ตลอดจนพระคเนศ พระเทวกรรม พระพนัศบดี

แล้วขอช้างในป่า ตอนท้ายกล่อมช้างให้เห็นความสุขในเมือง จะได้ลืมป่า

ท้ายสดุ สรรเสริญพระอศิ วรอกี คร้ังหน่งึ

ลักษณะเดน่ เข้าใจยากเพราะเป็นภาษาเขมรปนภาษาสันสกฤต ในตอนท้ายเป็น

ภาษาไทยจึงเข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้อาจะเป็นเพราะต้องการให้เกิด

ความศักดิส์ ทิ ธิ์จงึ ใชศ้ ัพทย์ าก เชน่ ศัพท์เขมร ดงั น้ี

ตัวอย่างคำประพันธ์

บูชาพระไพรก่อนวังช้าง

พระกรรมคนำผลผอง เตรจ็ ไพรสรดอง พิเราะกนั ลองสบนา

และปิ่นนุมางสบายสรุ า นักสกลสบนา บชู าดนูพระไพร

กล่อมช้าง

อ้าพ่อจงเสียพยศอันรา้ ย และอยา่ ข้ึงทรหงึ หวน

หลอ่ หลอนอยา่ งทำกิจบควร และอย่าถีบอย่าอัดแทง”

คุณคา่ เปน็ ตวั อย่างของการแต่งฉนั ทด์ ุษฎีสังเวลยกลอ่ มช้างในสมยั ต่อมาอีก

หลายฉบบั

โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเดจ็ พระนารายณ์

สมัยท่แี ต่ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ

จดุ มุ่งหมาย เพื่อแสดงพระราชกฤดาภินิหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และ

ปราสาทราชวังที่ได้ทรงสร้างขึ้นในจังหวัดลพบุรี ตลอดจนการเสด็จ

ประพาสจบั ชา้ งเถื่อนในท้องทีจ่ งั หวดั ลพบุรีและสระบุรีซึง่ เป็นสิ่งที่พระองค์

โปรดปรานมากเป็นทำนองบันทึกเรื่องราวสำคัญรวมทั้งพระจริยวัตร

ของพระองค์ ตอนท้ายสดุ เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระนารายณ์มหาราช

ลกั ษณะการแต่ง โคลงสีส่ ภุ าพ ๗๘ บทจบบริบรู ณ์ ตั้งแตโ่ คลงที่ ๖๕ ถึงโคลงที่ ๗๘สุดท้าย

แต่งคล้าย ๆ กลบทคือเลน่ คำในบทแรกว่า ขอพร.... บาทที่ ๓ ว่าขอจง.....

ทุกบท เช่น

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๑

๖๕ ขอพรพรหมเมศเร้ือง รังสรรค์

รงั แรกสงสารกลั ป์ ก่อเกื้อ

ของจงปิ่นธรธรร มิกราช

ราวเรือ่ งสมมุตเิ ช้ือ ชื่นด้วยไอศูรย์

๗๗ ขอพรยมเมศรเหล้ือง ฦๅลเวง

ทรงพ่าหนก์ าษรเสนง โงง่ งอ้ น

ขอจงทกุ กรงุ เกรง ฤทธิราช

ครองพิภาพหวิ้ ห้อม เที่ยงแท้ทางธรรม์

เนือ้ หา เริ่มดว้ ยโคลงบทแรกว่า

๑ ศุลีตรีเนตรเร้ือง เรืองฤทธิ์

พรหมเมศแมนสรวงสทิ ธิ์ สี่เกล้า

เชญิ พระบนั ทมนทิ ร์ เหนอื นาค

มาสำ่ รายทุกขเ์ ร้า รุ่งฟา้ ดินขจร

ต่อไปกล่าวถึงช้างเผือกพังที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงได้มา ช้างนี้มีชื่อว่าพระอินทรไอยรา

วรรณวิสุทธิราขกริณี พ.ศ. ๒๒๐๑ หลานพระเจ้ากรุงจามผคู้ รองนครจัมปาชื่อโปซาง เข้ามาสวามิภักดิ์

พ.ศ. ๒๒๐๕ อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาจากเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๒๐๖ อาของพระเจ้าอังวะครองเมือง

เมาะตะมะได้หนีมอญเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในสมัยนี้มีผู้สวามิภักดิ์มาก เช่น รายาตาเยงมะงา

จากเมืองมักกาสา (MACASSAE บนเกาะ CELEBES) ผู้ครองนครอินทปรัตของเขมร เจ้าเมืองยามี

(JAMBI บนเกาะสุมาตรา) เป็นต้น ตอ่ จากนั้นก็ชมเมืองลพบุรีที่พระองคท์ รงสร้างขึ้นใหม่ ทรงสร้างวัตถุ

ไว้มากมาย ชมพระที่นั่งจันทรพิศาล พระที่น่ังดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท พระที่นั่งสุทธาสวรรค์

พระตำหนักทะเลชุบศรีหรือพระตำหนักเย็น กล่าวถึงท่อประปาซึ่งเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นในสมัยนั้นดังโคลงที่

๒๒ วา่

๒๒ มีสนิ ธุสายสีตซึง้ ชลใส

เดิมแตเ่ ศขรใน ซอกชั้น

พพุ วงหลักลงไหล เซงซา่ น

วางท่อทางดน้ ด้ัน สทู่ ้องวงั เวียง

ลกั ษณะเด่น เป็นแบบอยา่ งของกวีนพิ นธ์ทีไ่ พเราะเป็นหลกั ฐานอย่างดีทาง
ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตอนที่พรรณนาไพเราะ เชน่

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๒

๑๗ ดุสิตปราสาทสร้อย สมพุทธ

สงู เทริดธารมารุต ชอ่ ช้ัน

พรหมพกั ตรฉัตรเฉลิมสดุ เสาวภาคย์

นาคพะพานพดหลนั้ เลียบเลื้อยลงมา ฯ

คณุ ค่า เปน็ ตวั อยา่ งของคำประพนั ธ์เฉลิมพระเกียรตซิ ึง่ มีผู้แตง่ ในสมัยกรงุ

รัตนโกสินทร์อีกหลายฉบบั

กาพย์หอ่ โคลงพระศรีมโหสถ

สมัยท่แี ต่ง สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ

จดุ มุง่ หมาย เพือ่ บรรยายความเปน็ อยู่ของราษฎรชาวกรุงศรีอยุธยาในสมยั นั้น

ลกั ษณะการแต่ง กาพย์ห่อโคลงทั้งหมด ๓๖ บท (เข้าใจว่าขาดตอนปลาย) แต่ที่แปลกคือ

มีร่ายนำ ๑ บท มีใจความเหมือนกับร่ายนำโคลงนิราศนครสวรรค์ เข้าใจ

ว่าคัดของโคลงนิราศนครสวรรค์มาลงไว้ แต่เนื่องจากคัดมาคนละทางจึง

แผกเพี้ยนกนั ไปบ้าง

เนือ้ หา หลังจากไหว้ครูด้วยร่ายแล้ว กล่าวถึงหญิงชายในสมัยนั้น ชมการเล่นรื่น

เริงในตอนกลางคืน การแต่งกายของชายที่นุ่งเกี้ยวทัดดอกไม้ เมื่อมาพบ

กับหญิงก็มองตากันแล้วก็ร้องเพลงเกี้ยวและกล่าวแก้เกี้ยวกันไปมา

บางตอนเปรียบกับวรรณคดีเรือ่ งอื่น ๆ เช่น พระลอ พระสุธน พระรถสิทธิ์

นางสิบสอง พระกุณาล พาลี และพระราม เป็นต้น ตอนเปรียบกับ

วรรณคดีอน่ื เช่น เรื่องพระลอ

เกลือเปรียบเทียบพระลอ บ สู่จอตอ่ อาสา

นำอุคร์สนกุ เสนห่ า ปืนยาพิษติดตรงตาย

กลกอ่ ลอราชร้าง เมืองมา

บสูอ่ ยู่อาสา หนง่ึ นอ้ ย

ทำอุคร์สนกุ เสนห่ า สองราช

เขายิง่ สิง่ สรรพรา้ ย รา่ งเร้าเสียสกนธ์

ลักษณะเดน่ กาพย์ห่อโคลงบางบทในเร่อื งน้ี มีลกั ษณะเลน่ คำเหมอื นกลบท เชน่

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๓

ละมุนบุญแตง่ แล้ว ละมอ่ มแก้วแผ้วผันผาย

ละไมไปลช่ ชู้ าย ละเมยี ดบา่ ยบ่ายชำเลือง

ละมุนบุญแต่งแกล้ง เกลา่ เฉลา

ละม่อมกลอ่ มกลมเปลา เปล่งแก้ม

ละไมไปล่งามเอา ใจโลกย

ละเมยี ดเอียดละอายแต้ม ตอ่ ล้อฤๅษี

คุณค่า เป็นคำประพันธป์ ระเภทกาพย์ห่อโคลงเลม่ แรกของเมืองไทย เปน็ ปัจจัยให้

เกิดการแต่งบทประพันธ์ชนิดนี้ในสมัยหลัง เช่น พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้า

ธรรมธิเบศร เปน็ ต้น

โคลงนิราศนครสวรรค์

สมัยท่แี ตง่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ประทานอธิบายไว้ว่า พระศรีมโหสถแต่งเมื่อตามเสด็จสมเด็จพระ

นารายณ์มหาราชไปรับช้างเผือกที่เมืองนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๑

ช้างเผือกนขี้ ึน้ ระวางเป็น เจ้าพระยาบรมคเชนทรฉทั ทันต์ ฉันท์เร่ืองนี้ให้ชื่อ

วา่ โคลงนริ าศนครสวรรค์ ตามโคลงบทที่ ๑๙ ดงั น้ี

๑๙ เสดจ็ แถลงยศเจา้ แผน่ ธรรินทร์

แล้วคอ่ ยคลาโดยสินธุ์ คล่าวคล้าย

โดยเสดจ็ ภมู ินทร์ ยูรยาตร

ยงงนครสวรรคผ์ ้าย ผาดเต้าตามชล

ผแู้ ตง่ พระศรีมโหสถ

จดุ มงุ่ หมาย เพื่อพรรณนาการเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาขึ้นไปนครสวรรค์

ชมบ้านเมืองในสมัยนั้นว่างดงามไปด้วยศิลปกรรม เช่น ปราสาทราชมณ

เทียรและเรือหลวงต่าง ๆ แทรกการชมนกชมไม้ ปนไปกับการรำพึงถึง

นางตามแบบนิราศ

ลกั ษณะการแตง่ เริ่มดว้ ยรา่ ยสภุ าพ ๑ บท ตามด้วยโคลงสส่ี ภุ าพ ๖๙ บท

เนือ้ หา เนื้อความเริ่มด้วยร่ายเกริ่น ๑ ร่าย เป็นการไหว้ครู ตามด้วยโคลงสี่สุภาพ

ไหว้ครูอีก ๑ บท ต่อจากนั้นพรรณนาการเดินทางโดยทางน้ำ ชมวังและ

ปราสาท เช่น พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ชมเรือต่าง ๆ เช่น

เรือศรีสมรรถไชยและเรือไกรสรมุข ต่อจากนั้นชมสถานที่ต่าง ๆ ที่ผ่านไป

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๔

ชมธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ พันธุ์ไม้ และนกต่าง ๆ กล่าวคือนางเล็กน้อย

จบลงตอนเข้าอาศัยที่วัดทอง ชมธรรมชาติต่อจนถึงโคลงที่ ๖๙ ซึ่งเป็น

โคลงสดุ ท้าย เข้าใจวา่ ยงั ไม่จบแต่ต้นฉบบั มีเพียงเทา่ นี้

๖๙ คล้ายใกล้ถิ่นถี้ สลาขาว

เรือพวกพายไปฉาว อยูไ่ ซ้

ชมสวนเรียบเรียงยาว ทิวทอ่ ง ไปนา

พิศภิรมย์ไม้ไหล้ ร่มร้ืนเลขา

ลักษณะเดน่ มีโคลงที่ไพเราะเชงิ พรรณนาหลายโคลง เชน่

ตอนชมปราสาทราชมณเทียร

๔ ตรมี ุขกรงนาคชอ้ ย แททวย

บนบราลีชวย ชอ่ ฟ้า

โรงธารคำนนั นวย เนืองเนก

พิศพระลานล้ำหนา้ แวน่ แก้วแสงใส

ตอนชมเรอื

๑๔ ไกรสรมุขมาศข้ึน เขจร

ผายผาดกลไกรษร ผาดผา้ ย

ฝา่ ยขวารวดเร็วอร โอภาษ

ศรสี มรรถไชยคล้าย คลาศเตน้ ตามชล

คณุ คา่ บทกวีนิพนธ์เรื่องนี้นอกจากจะไพเราะแล้ว ยังใช้เป็นหลักฐานอย่างดีทาง

ประวัติศาสตรแ์ ละโบราณคดีอีกด้วย

โคลงอักษรสาม (โคลงตรีพิธประดบั , ตรเี พชรประดับ)

สมยั ท่แี ต่ง สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

ผแู้ ตง่ พระศรีมโหสถ ในต้นฉบับเดิมมีข้อความบอกไว้ว่าพระศรีมโหสถครั้งกรุง

เกา่ แต่ง เมื่อมีอายไุ ด้ ๕๒ ปี

จดุ ม่งุ หมาย เพื่อแสดงความสามารถในการแต่งกลโคลง

ลกั ษณะการแต่ง แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ มี ๒๙ บท (เข้าใจว่าขาดทั้งต้นและปลาย) แต่งเป็น

โคลงกลบทที่เรียกว่า โคลงตรีพิธประดับหรือ ตรีเพชรประดับ คำที่ใช้มี

เสียงวรรณยกุ ตส์ ามัญ เอก โท เรยี งกันสามคำ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๕

เนือ้ หา ตอนต้นกล่าวถึงการสู้รบ ต่อมาตั้งแต่โคลงบทที่ ๑๐ เป็นต้นไปเปลี่ยนเปน็
ลักษณะเดน่
ชมไม้ชมนก
คณุ ค่า
บางบทพรรณนาได้ดที ั้ง ๆ ที่กลโคลงตรพี ิธประดับนแี้ ตง่ ได้ยาก เชน่

๒๓ เดิรดินดาลด่านดา้ น โดยทาง

เสือไล่ไซ้ซ้อนหาง หา่ งห้าง

แฝงฟุ้งฟุ่งฟางกวาง วาว่งิ

รนรน่ รน้ คนชา้ ง ซอกซุ้มรมุ หา

เป็นตัวอย่างใหศ้ กึ ษาวิธีแตง่ กลบทของโคลงอยา่ งหนึ่ง

เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์แล้ว วรรณคดีซึ่งเคยรุ่งเรืองก็ถึงคราวเสื่อมไป
ช่ัวระยะเวลาหนึ่งเป็นเวลา ๔๔ ปี อันเปน็ ชว่ งเวลาระหว่างรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาถึงรัชกาลสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ระยะ ๔๔ ปี ดังกล่าวแม้จะเป็นตอนที่ว่างศึกสงครามภายนอก แต่ก็มี
ความวุ่นวายภายในบ้านเมืองติดต่อกันมา เพราะมีการแย่งชิงราชสมบัติกันหลายครั้ง ทำให้เสียชีวิต
ผคู้ นไปเปน็ อันมาก จนกระท่ังถึงสมยั สมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั บรมโกศจงึ มีความสงบสขุ ตลอดรัชกาลอันมี
ความยาวนานถึง ๒๖ ปี (พ.ศ. ๒๒๗๕ – พ.ศ. ๒๓๐๑) หลังจากนั้นอีก ๙ ปี กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่
พมา่ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ฉะนั้นรชั สมัยของสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ จงึ เปน็ ชว่ งเวลาสุดท้ายของกรุงศรี
อยุธยาซึ่งมีความสงบสุข เป็นโอกาสให้นักปราชญ์ ราชกวีได้แต่งบทประพันธุ์อันมีค่าไว้เป็นอันมาก
กวีสำคัญนอกจากองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแล้วก็มีพระมหาอุปราช คือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
กรมขุนเสนาพิทักษ์ ซึ่งเป็นกวีแก้วผู้หนึ่งของชาติไทย เจ้าฟ้าหญิงกุณฑล เจ้าฟ้าหญิงมงกุฎและ
พระมหานาควัดท่าทราย เป็นต้น วรรณคดีที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งในตอนปลายกรุงศรีอยุธยานี้
เป็นที่น่าสังเกตว่าเป็นวรรณคดีร้อยกรองซึ่งแต่งไว้ครบทุกประเภท คือ มีพร้อมทั้งโคลง กลอน กาพย์
ฉันท์ และร่าย โดยฉพาะกาพย์เห่เรือ และกาพย์ห่อโคลง เป็นแบบกวีนิพนธ์ที่เด่นที่สุด นอกจากนี้
กวีนพิ นธป์ ระเภทกลอน เชน่ กลอนบทละครซึ่งใช้แต่งบทละครนอก อนั แสดงว่าการละครเจริญเฟื่องฟู
ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เป็นผลสืบทอดมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย กวีนิพนธ์
ประเภท คำหลวงกม็ ีถึง ๒ เรือ่ ง แต่งด้วยคำประพนั ธร์ ่ายยาว และคำฉนั ท์มี ๑ เรื่อง

(นำข้อมูลมาจากหนังสือเรียนภาษาไทย ท ๐๓๑ ประวัติวรรณคดี ของ ศ.ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา
และคณะ)

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๖

ใบงานเร่อื ง บันทกึ การอ่าน
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๓ ตระหนกั คุณค่าวรรณกรรม

คำชีแ้ จง นักเรยี นอ่านบทความต่อไปน้ี แลว้ บันทกึ ใจความสำคัญในสมุดบันทกึ การอ่าน
๑. หนงั สือคอื ชีวติ อา่ นเป็นนิตย์ เพือ่ ชีวติ ทส่ี มบรู ณ์

ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์
มนุษย์เหมือนสัตว์โลกทั้งหมาย มีชีวิต แปลว่า มนุษย์เจริญเติบโตได้ เคลื่อนไหวได้
มีความรู้สึกได้ นอกจากนี้มนุษย์ยังรู้จักคิด ที่ไม่รู้จักคิดก็คงมี แต่ที่มนุษย์เหนือสัตว์อื่น คือ คิดเก่งกว่า
ฉลาดกว่า มนุษยย์ งั รู้จักใช้เหตผุ ล รู้จกั ใช้ขอ้ มูลที่มีอยูใ่ ห้เป็นประโยชน์ มนษุ ยร์ ู้จกั แสวงหาความรู้ สร้าง
องคค์ วามรู้ และรู้จกั ประดิษฐ์คิดค้นพัฒนาให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ทีเ่ ปน็ ประโยชน์
คงมีบางคนรู้สกึ โต้แย้งในใจกบั ข้อความที่กล่าวมาข้างตน้ ว่าไมจ่ รงิ เสมอไปบางคนก็ไม่รู้จักคิด
ไม่รู้จักแสวงหาความรู้และแทบไม่รู้จักทำอะไรให้เป็นประโยชน์ บางคนทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตัวเองและ
แก่สังคมด้วยซ้ำไป เช่น เสพสารพิษเข้าสู่ร่างกายหรือทำร้ายผู้อื่นจนถึงต้องติดคุกติดตะราง เป็นต้น
แมจ้ ะยอมรับได้วา่ มนุษยเ์ หนือกวา่ สตั วโ์ ลกอื่นแต่มนษุ ย์ก็มีความแตกต่างกันเองเป็นอันมาก มีทั้งคนเก่ง
มาก ๆ คนโง่มาก ๆ มีคนรจู้ กั ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม กับคนที่ทำร้ายตนเองและ
ผอู้ ืน่ เรียกได้ว่ามีท้ังคนดีและคนชัว่ คนฉลาดและคนโง่ เปน็ คนเหมอื นกนั ทำไมจึงไมเ่ หมอื นกัน
คนเหมือนกันน่าจะเหมือนกัน แต่มีองค์ประกอบหลายประการที่สภาพแวดล้อมทำให้คน
แตกต่างกนั ทีม่ ีผลมาก ๆ คือ การอบรมเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมและการเรียนรู้ต่าง ๆ ท้ังในโรงเรียนและ
นอกโรงเรยี น สิง่ เหลา่ น้คี อ่ ย ๆ สะสมและพัฒนาหลอมรวมเป็นสว่ นหน่ึงของชีวิต ส่งผลให้คนแต่ละคน
มีความคิดไม่เหมือนกัน ทำไม่เหมือนกัน ที่จริงยังมีองค์ประกอบอื่นหลายอย่างที่ส่งผลต่อการพัฒนา
ความคิดของคน เช่น การได้ฟัง ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ อาหารการกิน สภาพความเป็นอยู่ ภูมิอากาศ ฯลฯ
แต่จัดรวม ๆ กันก็คงเป็นสามองคป์ ระกอบทีก่ ล่าวมาข้างตน้
นักการศึกษาเชื่อว่าคนที่แตกต่างกันเพราะได้รับการพัฒนามาแตกต่างกันเชื่อว่าทุกคนมี
ศักยภาพพื้นฐานที่สามารถพัฒนาต่อไปได้และทุกคนสามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด กล่าวได้ว่า
ทุกคนสามารถได้รับการพัฒนาให้เป็นคนฉลาดได้ เป็นคนดีได้ กล่าวให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือว่า การที่ใคร
จะเป็นอะไร จะเป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เป็นครูนั้น ทุกคนเป็นได้ หากได้รับการพัฒนาที่เหมาะสม ไม่ใช่
เฉพาะเขาเหล่านั้นมีสติปัญญาความฉลาดติดตัวมาตั้งแต่เกิดสูงกว่าคนอื่น สติปัญญาสามารถ
พัฒนาได้
คนมีสติปัญญา คนฉลาดเพราะว่าเขามีความรู้มาก คือ มีข้อมูลอยู่ในตัวจากการพบเห็น
เรียนรู้ จากการอบรมส่ังสอน หรอื จากการแสวงหาความรูด้วยตนเอง ประกอบกบั การที่เข้ารู้จักวิธีคิด

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๗

คือ รู้จกั ประมวลเรือ่ งราวตา่ ง ๆ รู้จักการพิจารณาแยกแยะ รู้จักเลือกใช้ความรู้ รู้จักสรุปความรู้เหล่านี้
มารวม ๆ กนั ก็คือ ความเปน็ คนคิดเปน็ คนคิดเปน็ คือ คนฉลาดและยิง่ คิดบนฐานความรู้ที่มีอยู่มาก ๆ
และเปน็ ความรู้ที่ดีด้วย กจ็ ะชว่ ยใหเ้ ขาฉลาดมากยิ่งข้ึน ความฉลาดจึงไมใ่ ช่พันธุกรรม แต่เป็นสิ่งที่สร้าง
ขึน้ ได้จากกระบวนการเรียนรู้

การเรียนรู้มีหลายวิธีการ ทั้งโดยการเรียนจากผู้อื่นและเรียนด้วยตนเอง ในชีวิตของคนนั้น
การเรียนรู้จากผู้อื่นโดยเฉพาะจากระบบการศึกษาตั้งแต่ประถมศึกษา จนถึงอุดมศึกษาเป็นรูปแบบที่ดี
เปน็ สิง่ จำเปน็ และเปน็ ประโยชน์ แต่การเรียนรู้ที่แท้จริงในชีวติ นั้นจะรอพึ่งเฉพาะการศกึ ษาในระบบไม่ได้
บางคนเรียนจบได้ปริญญาแล้วกด็ ีใจ บอกว่าเขาเรียนจบแล้ว ต่อไปนี้จะไม่เรียนอีก เป็นความเข้าใจผิด
ทีน่ า่ เศร้า เขาจะพัฒนาต่อไปได้ เขาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกเปน็ อันมาก มนษุ ย์จำเป็นต้องเรียนรู้ตลอด
ชีวิตจึงจะสามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต กล่าวได้ว่าคนที่แตกต่างกันส่วนใหญ่เพราะการเรียนรู้และนิสยั
การเรียนรทู้ ีแ่ ตกตา่ งกนั

การอ่านหนังสือเป็นวิธีแสวงหาความรู้ที่สำคัญ นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักประดิษฐ์ตัวหนังสือ
จดบันทึกเหตกุ ารณ์ความรู้ต่าง ๆ ไว้ จนพัฒนามาเปน็ หนังสอื จำนวนมากมาย หนังสือคอื แหล่งรวมของ
ข้อมูลความคิดต่าง ๆ มีทั้งที่เป็นความรู้และสาระบันเทิง การอ่านหนังสือจึงให้ความรู้และความบนั เทิง
ในโลกนีม้ ีหนังสอื มากมายมหาศาล มีการเก็บรวบรวมไว้เปน็ ทีเ่ ป็นทางเพื่อใหค้ นที่สนใจเข้าไปหาอ่านได้
เรียกว่า ห้องสมุด มีหนังสือที่พิมพ์เป็นตำราสารคดีต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนก็มี
มีในรูปของภาษาต่าง ๆ ถ้าใครรู้หลายภาษาก็จะมีโอกาสอ่านได้กว้างขวางมากกว่า ผู้อ่านหนังสือมาก
จะเปน็ ผู้ที่ได้รับประโยชนจ์ ากหนังสือมาก

คนบางคนชอบอ่านหนังสือ บางคนไม่ชอบอ่านหนังสือ คนชอบอ่านหนังสือย่อมได้เรียนรู้สิ่ง
ตา่ ง ๆ จากหนงั สือมากกวา่ คนไมช่ อบอา่ น การชอบหรอื ไมช่ อบอ่านจึงเป็นเหตปุ ัจจยั ที่ทำให้คนมีความรู้
ต่างกัน หากการเรียนรู้คือการพัฒนาชีวิต การอ่านก็คือการพัฒนาชีวิตนั่นเอง การสร้างนิสัยรัก
การอ่านจงึ เปน็ เร่อื งสำคัญ คนอ่านมีนสิ ัยรกั การอา่ น อา่ นหนงั สืออยเู่ สมอจงึ เหมอื นการเติมพลังให้ชีวิต
ให้มกี ำลังมากขึ้น มีความแข็งแรงทางจิตและปญั ญามากขึ้น เขากจ็ ะเป็นคนที่สมบรู ณ์มากขึ้น

พัฒนาไปแค่ไหนจงึ จะพอ คงตอบได้ยากเพราะเมอ่ื คนเรียนรู้มากขึ้นก็จะทำใหเ้ กิดความสงสัย
อยากรู้ต่อไปเพิ่มขึ้นและเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาต้องการแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้น ชีวิตที่สมบูรณ์อยู่ที่ใด
จงึ ตอบได้ยาก แตเ่ ป็นเป้าหมายที่แต่ละคนต้องการไปใหถ้ ึง ซึ่งความตอ้ งการของแต่ละคนก็คงแตกต่าง
กนั ไป

การอ่านมีความสำคัญกับชีวิตทุกคนเป็นอย่างยิ่งเพราะหนังสือเป็นเครื่องมือสำคัญในการ
พฒั นาชีวติ ดังทีก่ ล่าวมาแล้ว จงึ กล่าวได้ว่า หนังสือคอื ชีวติ จงอา่ นเป็นนิตย์ เพื่อชีวติ ท่สี มบรู ณ์

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๘

๒. ภาษาไทย “วจิ ติ รภาษา” คุณคา่ ทก่ี ำลงั ถกู ลืม

ยารกั (ภา)ษาไทย : พระมหาวุฒชิ ัย วชิรเมธี)
ภาษาไทยเป็นขุมคลังแห่งภูมิปัญญาของคนไทยท้ังชาติ เป็นเอกลักษณ์แห่งความรุ่งโรจนข์ อง
อารยธรรมไทยที่โดดเด่นมาอย่างยาวนาน แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าภาษาไทยกำลังถูกลืมจากคนรุ่นใหม่
ดัชนีชี้วัดที่สำคัญประการหนึ่งก็คือผลสัมฤทธิ์ด้านการใช้ภาษาไทยของเด็กเย าวชนและนักศึกษา
ในมหาวิทยาลัยล้วนตกต่ำลงมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนและเป็นการตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
จนน่าสังเกตเปน็ พิเศษด้วย ในรอบหลายปีทีผ่ ่านมา นอกจากนั้นแล้วการใช้ภาษาไทยทีผ่ ิด ๆ ก็มีให้เห็น
อยู่อย่างมากมายทั้งในสื่อมวลชน ในรัฐสภา ในเพลง ในละครโทรทัศน์และในภาพยนตร์ รวมทั้งในวิถี
ชีวิตประจำวันของคนไทยเราเองที่ไม่รู้จะให้ความสำคัญกับการเขียน การพูด การสื่อสารให้ถูกต้อง
รวมท้ังไมม่ ีค่านิยมในการศกึ ษาหาความรทู้ ีถ่ ูกต้องด้วย
ในรัฐสภาเราจะพบว่านกั การเมืองหลายคนใช้ภาษาไทยไม่ถูกออกเสียงคำต่าง ๆ ผิดอยู่เสมอ
เช่น คมนาคม ออกเสียงเปน็ “คม-นา-คม” สัปดาห์ ออกเสียงเป็น “สับ-ปะ-ดา” ประวัติศาสตร์ ออก
เสียงเป็น “ประ-หวัด-สาด” คำเหล่านี้เราออกเสียงกันผิด ๆ จนกลายเป็นคำ “ผิด” ที่ใช้จน “ถูก”
(ถกู กับความนยิ มจนราชบัณฑติ ยสถานยังต้องอนุโลมตามในบางคำก็มี)
ในสื่อมวลขนก็เช่นเดียวกันหากสังเกตให้ดีก็จะพบว่า ผู้ประกาศข่าวหลายคนนิยมใช้คำ
ติดปากว่า “ในส่วนของ...” หรือ “ทางด้านของ...”จนได้ยินกันอยู่ทุกวันและดูเหมือนว่าจะนำไปใช้กับ
แทบทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม เรื่องอะไร ๆ ก็ “ในส่วนของ... ทางด้านของ...”
ไปเสียหมด หากท่านมีโอกาสดูรายการข่าวทางโทรทัศน์ ขอให้ลองสังเกตดูให้ดีเถิดว่าจริงหรือไม่
เพียงไร
ในละครหรือในการร้องเพลงของนักร้องวัยรุ่นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนักร้องที่มาจาก
การประกวดตามเวทีประเภทค้นฟ้าหาดาวหรือจากการปั้นโดยต้นสังกัดที่เราถือว่าเป็นค่ายเพลง
ยักษ์ใหญ่ก็ตาม จะพบว่านักร้องวัยรุ่นจำนวนมากออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด โดยเฉพาะตัว ร ล ช ธ
มักออกเสียงเพี้ยนจนน่าตกใจ เสียง ร เรือ ล ลิง นั้น ผิดกันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็ว่าได้ แต่เสียงที่
ไม่น่าจะผิดและไม่น่าจะออกเสียงยากเลย ก็คือ ธ ธง นั้น นักร้องวัยรุ่นทุกวันนี้หลายคนกลับออกเสียง
ไม่ถูกต้องซึ่งไม่น่าจะเกิดจากการไม่รู้แต่น่าจะเกิดจากค่านิยม “เอาอย่าง” โดยถือว่าเปน็ การออกเสียง
แปร่ง ๆ นั้นเป็นเรื่องทันสมัย เช่น เสียง ธ ก็ออกเสียงเสียดแทรกคล้ายเสียงตัว th ในภาษาอังกฤษ
แทนที่จะออกเสียงว่า “เธอ” (เทอ) กันง่าย ๆ ก็ไปออกเสียงให้ยากและฟังแปร่ง ๆ เป็น “เซอ”
เสียอยา่ งนนั้ คำว่า “รัก” ก็ออกเสียงแปร่ง ๆ เป็น “ร้วก” เลยเพี้ยนเปน็ “ร้วกเซอ” บางทีกช็ วนให้นึกว่า
นักร้องวัยรุ่นเหล่านี้คงเก่งภาษาอังกฤษมากจึงออกเสียงเหมือนกับเติบโตในวัฒนธรรมภาษาอังกฤษ
ที่อักษรบางตัวเวลาออกเสียงต้องห่อและงอลิ้น บางตัวต้องดึงลิ้นออกมาแล้วรีบหดลิ้นพร้อมทั้งปล่อย

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๓๙

เสียงออกมา แต่ลองสอบถามดูแล้วโดยมากก็เด็กวัยรุ่นลูกข้าวเจ้าข้าวเหนียวของไทยแท้ ๆ นี่เอง
ชวนให้สงสัยว่า นี้คงจะเป็นอาการเริ่มแรกของการป่วยด้วยโรคลืมกำพืดเป็นแน่ ซึ่งโรคนี้ถ้าหาก
เป็นหนกั ถึงขั้นเรือ้ รังแล้ว ก็อาจลกุ ลามกลายเปน็ โรคขาดความภูมิใจในความเป็นไทยไปเลยทีเดียว

นอกจากวัยรุ่นไทยจะออกเสียงคำต่าง ๆ ผิดอย่างไม่น่าจะผิดแล้ว ในการสื่อสารด้วย
การเขียนเดี๋ยวนีก้ ็นิยมเขียนผิด ๆ แต่ถือกนั วา่ เป็นเร่อื งทนั สมยั สำหรับคนรุ่นใหม่ (แมน้ ีไ่ ม่ใช่เร่ืองคอขาด
บาดตายอะไรแตก่ อ็ ยากตั้งขอ้ สังเกตไว้ให้ร่วมกันพิจารณาถึงความคลีค่ ลายของการใช้ภาษา) ซึ่งจะเจอ
ทั่วไปในช่องทางเครือข่ายสังคมอย่าง Facebook, Twitter เป็นต้น เช่นคำว่า แล้ว ก็เขียนเป็น “แร้น”
(เช่น รู้แร้น) กู เขียนเป็น “กรู” ขออภัย เขียนเป็น “ขออำภัย” หรือในกรณีที่ควรใช้ “คะ” ก็เป็น “ค่ะ”
ในกรณีที่ควรเขียน “ค่ะ” ก็เป็น “คะ” นี่ยังไม่รวมถึงการนิยมใช้คำทีม่ าจากภาษาต่างประเทศปนกับคำ
ในภาษาไทยอย่างไม่คำนึงถึงความเหมาะสมควรอีกต่างหาก เช่น “โอเคตามนี้นะ” หรือ “งานนี้ไม่เวิรค์
ว่ะ” หรือ “ถ้าคิดถึงก็ส่งแมสเสจมาก็แล้วกัน” และ/หรือ “นับแต่นั้นมาผมก็รู้สึกกิลตี้มาตลอดเลย”
เป็นต้น การใช้ภาษาไทยปนกับภาษาต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่ความผิดบาป ถ้าใช้อย่าง
รู้จัก “กาลเทศะ” และพอเหมาะพอดี ไมม่ ากเกินไป จนลมื ไปว่าตัวเองกำลังส่ือสารอยู่กับใคร ในบริบท
เช่นไร

การที่คนรุน่ ใหม่ในแวดวงต่าง ๆ ไมร่ ะมัดระวงั ในการใชภ้ าษาไทยนั้น ทำให้คุณค่าทีแ่ ท้จริงของ
ภาษาไทยถูกลดทอนลงไปเป็นอันมาก คุณค่าประการหนึ่งซึ่งถูกลดทอนก็คือคุณค่าด้านสุนทรียภาพ
ของภาษาที่ดูเหมอื นว่าจะหายไปจนคนรุ่นใหมแ่ ทบนึกไมอ่ อกกันแลว้ ว่าภาษาไทยเคยมีคุณค่าทางด้านนี้
อย่างโดดเด่น จนเรียกได้ว่าเป็น “วิจิตรภาษา” ไม่น้อยไปกว่าภาษาใดในโลก คนที่ใช้ภาษาไทยได้อย่าง
ไพเราะเพราะพริง้ จนคณุ ค่าทางด้านสุนทรียภาพของภาษาแสดงออกมาอยา่ งโดดเด่นซึ่งคนรุ่นใหม่ควร
ได้อ่าน ได้ลองศึกษางานของท่านเหล่านั้นดูบ้าง ก็เช่น พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พระยา
อนุมานราชธน สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระปิยมหาราช หรือของบุคคลร่วมสมัยอย่างงาน
กวีนิพนธ์ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ความเรียงของเสกสรร ประเสริฐกุล นวนิยายของประภัสสร
เสวิกุลและงานแปลกวีนิพนธ์ของคาลิล ยิบราน ชื่อ “ปรัชญาชีวิต” ฝีมือของอาจารย์ระวี ภาวิไล

เพือ่ ให้เหน็ ถึงคุณคา่ ทางดา้ นสุนทรียภาพของภาษาชัดเจน ผเู้ ขียนขอใหล้ องพิจารณากวีนิพนธ์
ดังต่อไปนี้ (คดั มาจากรวมกวีนิพนธ์ของผู้เขียนชุด “กวีนพิ นธ์จากอังกฤษ”) แล้วลองครนุ่ คิดพิจารณาว่า
สุนทรียภาพของภาษาไทยน้ันอยตู่ รงไหนและเราควรภาคภมู ใิ จในภาษาไทยของเรามากมายเพียงใด

“เชิญตะวัน” เชิญตะวันจันทรามาห่มดาว เชิญเมฆขาวมาหลั่งฝนให้ชนฉ่ำ เชิญปักษีปักษามา
รา่ ยรำ เชญิ พระธรรมมาสรงโสรจมาโปรดใจ

เชิญชีวิตมาคิดใหม่ใส่ชีวิต เชิญมิ่งมิตรมาแลกเปลี่ยนมาเรียนใหม่ เชิญสติมากำกับประดับใจ
เชญิ วิสยั ทศั นม์ าส่องทาง

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๐

เชิญสมาธิวิปัสสนามาแจ่มแจ้ง เชิญแสดงศิลป์ศาสตร์ฉวาดฉวาง เชิญธรรมชาติบริสุทธิ์มา
ผดุ พราง เชญิ รุ้งรางมารว่ มรงุ้ จรุงจินต์

เชิญสามัญมนุษย์มาหยุดพัก เชิญความรักคืนเรือนมาเยือนถิ่น เชิญกวีโอมอ่านกานท์กวิน
เชญิ ดินเชญิ ดาวมาพราวไพร

เชิญหมอกแก้วมามุงเมืองประเทืองทิพย์ เชิญจิบชาหอมแห่งสมัย เชิญอรุณอุ่นแสงสำแดงชยั
เชญิ หวั ใจมาสัมผสั อนัตตา

๓. ภาษาวิบตั ิ...แค่หัวข้อก็บรรลัยแลว้ !
จอมขวญั หลาวเพช็ ร์ พิธีกร ผปู้ ระกาศข่าว

ถ้าการถูกด่าเรื่องการใช้ภาษาเป็นของสนุกสำหรับวัยรุ่นบางคนเหมือนการโดดเรียน
ใส่รองเท้าเหยียบส้นหรือลอกข้อสอบ การด่าเด็กเรื่องการพูดการเขียนผิดหลักภาษาก็เป็นกิจกรรม
ยืดเส้นยืดสายสำหรับผใู้ หญ่บางทา่ นเช่นกนั

ดิฉันนั่งเขียนเรื่องนี้ในยุคที่คำว่า ชิมิ นะฮ้าฟ ไรงิ ถั่วต้ม เมพขิงขิง สวดยวด งุงิ คริคริ...
เปน็ ตัวอยา่ งคำซึง่ มีทีม่ าคนละเส้นสายแตไ่ หลมารวมกนั ที่ปากและแป้นพิมพ์สมาร์ทโฟนของวยั รนุ่ ซึ่งใช้
สือ่ สารกันในกาละและเทศะเฉพาะกลุม่ ตวั เองเปน็ สว่ นใหญ่

ภาษาพดู ภาษาเขียนที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยและผสมผสานข้ามวฒั นธรรมตามโลกาภิวัตน์
ไม่ทำลายรากเหง้าของชาติหรือลบประเทศใดออกจากแผนที่โลก มันอาจรำคาญหู รุงรังตา หรือ
รบกวนจิตใจบ้างก็จริงแต่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ ๆ รู้ว่าเส้นแบ่งของวาระการใช้อยู่ตรงไหนที่สำคัญคือ
การสื่อสารที่ล้มเหลว เช่น ถามแล้วไม่ได้คำตอบ ตอบแล้วคนฟังไม่รู้เรื่อง บทสนทนาที่สร้างอาการ
เหวอใสก่ นั จะเป็นบทเรียนสอนวา่ “งงุ ผิ ดิ ที่แล้วเว้ย”

ภาษาเป็นของเล่นที่มีสีสันทางวัฒนธรรม เราควรใช้ภาษาอย่างไร้ขีดจำกัดเพราะสุดท้ายแล้ว
สังคมยุคสมัยนั้น ๆ จะคัดกรองเองว่าอะไรบ้างที่ควรจะมีไว้ใช้ตอ่ ไปและอะไรจะหายไป หลังถูกใช้เพียง
วูบวาบ ธรรมชาติมีกระบวนการสร้างความสมดุลไว้แล้ว ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทุกคนชอบด่าเด็กเรื่องภาษา และ
บางคนก็ใช้ภาษาได้เปรี้ยวจี๊ดและมีเฉดสีฉูดฉาด ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ทุกคนชอบภาษาที่คนรุ่นเดียวกันเอง
สร้างข้นึ และบางคนก็ดืม่ ด่ำกับความงดงามของรากเดิมทุกกระเบียดนวิ้ เชน่ กัน

ภาษาไม่วิบัติตราบเทา่ ที่ยงั ไม่ทำให้การสื่อสารบรรลัยและส่วนใหญ่การสื่อสารก็ไม่ได้บรรลยั
เพราะการใชภ้ าษาที่วบิ ัติ

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๑

๔. เขียนคำเต็มไวป้ ลอดภัยกวา่
อ่านสนุกปลกุ สำนึก : ศาสตราจารย์อจั ฉรา ชีวพันธ์

มีเรื่องเล่าสู่ผู้อ่านเกี่ยวกับการใช้อักษรย่อ เหตุเกิดขึ้นในงานทำบุญครบรอบการก่อตั้ง
โรงเรียนครบ ๘๔ ปี บรรดาศิษย์เก่าต่างก็มาร่วมงานกันด้วยสำนึกของการแสดงความกตัญญูต่อ
สถานศึกษาที่เป็นแหล่งให้เขาได้เรียนรู้ รวมทั้งถือโอกาสที่จะคารวะบรรดาครูบาอาจารย์ที่ได้สอนมา
แต่เยาว์วัย กิจกรรมในช่วงเข้าจึงเป็นการทำบุญสุนทานด้วยการทำสังฆทานโดยทั้งคณาจารย์และ
ศิษย์เก่าร่วมกันเป็นเจ้าภาพ เมื่อถึงเวลาถวายสังฆทาน พิธีกรก็อ่านชื่อผู้ที่จะออกมาถวายเครื่อง
สงั ฆทานซึง่ ได้แจ้งความจำนงไว้มีชื่อหน่ึงที่พิธีกรอ่านว่า “คณุ มลวริศรา” ทำให้ทุกคนงงงวยกันใหญ่ว่า
ชื่อนี้คือใครหนอ ผู้เขียนจึง “อ๋อ!” ทันที เนื่องจากเป็นชื่อเพื่อนของผู้เขียนเอง ซึ่งมีนามว่า
“หม่อมหลวงวริศรา” แต่เผอิญเขาเขียนตัวย่อว่า “มล.วริศรา” และเขียนเครื่องหมายมหัพภาค (.)
ไม่ชัดเจน คือจุดเบาบางไปและไม่ได้เว้นวรรคให้เหมาะสมระหว่าง “มล.” กับ “วริศรา” ดังนั้น จึงทำให้
พิธีกรอ่านผิดพลาดไปจาก “หม่อมหลวงวริศรา” เป็น “คุณมลวริศรา” นี่ก็เป็นผลของการใช้อักษรย่อ
และเขียนไม่ชัดเจนทั้งเครื่องหมายและการเว้นวรรคตอน ซึ่งการเขียนที่ถูกต้องคือ “ม.ล.วริศรา” และ
ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นถ้าเขยี นคำเต็มว่า “หม่อมหลวงวริศรา” แทนการใชค้ ำยอ่

ในเรื่องของการใช้เครื่องหมายมหัพภาค (.) นั้น ราชบัณฑิตยสถานได้กำหนดหลักการใช้ไว้วา่
เมือ่ เขียนมหัพภาค (.) ไว้หลงั ตวั อักษรก็เพื่อแสดงว่าเป็นอักษรยอ่ เชน่ พ.ศ. เมือ่ จะอ่านต้องอ่านคำเต็ม
วา่ พุด-ทะ-สัก-กะ-หราด ซึ่งมาจากคำวา่ “พทุ ธศกั ราช”

รศ. เมื่ออ่านต้องอ่านคำเต็มว่า รอง-สาด-ตรา-จาน หรือ รอง-สาด-สะ-ตรา-จาน ซึ่ง
ย่อมาจากคำว่า รองศาสตราจารย์ มีข้อพึงระวังของการใช้มหัพภาคเพราะถ้าใช้มหัพภาคผิดที่ก็จะทำ
ให้ความหมายผิดพลาดไป เช่น ถ้าใช้มหัพภาคหลังตัว “ร” และหลังตัว “ศ” คือ ร.ศ. ก็จะกลายเป็น
อักษรย่อของ “รัตนโกสินทรศก” อ่านว่า “รัด-ตะ-นะ-โก-สิน-สก” ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่มีตำแหน่ง
วิชาการ “รองศาสตราจารย์” ก็พึงตระหนักไว้และใช้มหัพภาคให้ถูกต้อง ถ้าต้องการใช้อักษรย่อ
ผู้เขียนก็อยากจะปลุกสำนึกไว้ว่าผู้ที่มีตำแหน่งวิชาการนั้นถ้าใช้อักษรย่อแล้วยังมีการเขียนผิด ๆ อีก
ซึ่งอาจเป็นด้วยการไม่ตั้งใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง จึงให้ใส่มหัพภาค (จุด) ไปตามเรื่องตามราว ขอให้ใช้
อกั ษรยอ่ ใหถ้ ูกต้องกพ็ อ เชน่ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ก็ใช้แทนด้วยอกั ษร “ผ” และ “ศ” บางคนก็เขียนว่า
ผ.ศ. ซึง่ ไม่ถูกต้อง คำน้ีตอ้ งเขียนอักษรย่อวา่ “ผศ.” คือใสม่ หพั ภาค (.) หลงั “ศ” เพียงจุดเดียว

การมีตำแหน่งทางวิชาการนำหน้าชื่อตนเองนั้นถือว่าเป็นเกียรติทีน่ ่าภูมิใจเพราะกว่าจะได้มา
ซึ่งตำแหน่งนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) และ
ศาสตราจารย์ (ศ.) แตล่ ะคนกต็ ้องบากบนั่ ทำผลงานทางวิชาการเพื่อจะดำรงตำแหน่งดังกล่าว จึงควร
ใส่ใจหากต้องการใช้อักษรย่อแทนคำเต็ม ก็ขอให้ตรวจสอบให้ถูกต้อง เช่น เมื่อส่งไปพิมพ์คนพิมพ์ใส่

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๒

มหัพภาค (.) ผิดที่ ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการต้องเป็นผู้พิสูจน์อักษรให้รอบคอบเพื่อมิให้เกิด
ความผิดพลาด

นอกจากนี้ถ้าไม่อยากให้สับสน ก็เร่งตนเองจัดทำผลงานในตำแหน่ง “ศาสตราจารย์”
เสียเลย จะได้ใชอ้ กั ษรย่อ “ศ.” ตวั เดียว ไมต่ ้องพะวงวา่ จะใส่มหพั ภาคตรงไหน

และขอฝากการอ่านคำว่า “ศาสตราจารย์” ขอให้อ่านให้ถูกต้อง “สาด-ตรา-จาน” หรือ
“สาด-สะ-ตรา-จาน” ไม่ใช่ “สาด-สะ-ดา-จาน”

นึกขึ้นได้ถึงเรื่องสนุก ๆ เกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายมหัพภาค (.) อีกเรื่อง เ นื่องจากว่า
ตามหลักการอ่านอักษรย่อต้องอ่านคำเต็ม ดังนั้น พึงระวังอย่าใช้อักษรย่อในเพลงหรือคำประพันธ์
เพราะจะทำให้เสียอรรถรสขึ้นได้ เช่น เพลงผู้ใหญ่ลี มีใจความตอนหนึ่งว่า “พอศอสองพันห้าร้อยสี่
ผใู้ หญล่ ีตกี ลองประชุม...” คำว่า “พอศอ” ถึงแม้ว่าจะใช้อักษรย่อ (พ.ศ.) ก็อยา่ ใส่ในบทเพลง ให้เขียน
ตามที่ต้องการออกเสียง เพราะถ้าเขียนวา่ “พ.ศ. สองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม...” ก็อาจจะ
มีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยึดแต่ความถูกต้องอาจจะร้องว่า “พุด-ทะ-สัก-กะ-หราด สองพันห้าร้อยสี่
ผใู้ หญล่ ีตีกลองประชมุ ...” จงึ ขอเตอื นไว้กอ่ น จะได้ไม่เกิดปัญหา

สำหรับผู้เขียนเอง เวลาเขียนคำใดก็ตามที่มีอักษรย่อผู้เขียนมักจะใช้คำเต็มทุกครั้ง เพราะไม่
อยากประสบปัญหาดังกล่าวโดยยอมเสียเวลาเขยี นคำเตม็ ทั้งนีเ้ พราะเขียนคำเต็มปลอดภยั กว่า

๕. จำเป็นไหม... ไวเทนนิ่ง
โพสตท์ ูเดย์ : ณศักต์-ธีรวุฒ-ิ อนสุ รา

ปัจจุบันความนิยมผิวขาวใสของผู้หญิงไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนล่าสุดมีผลวิจัยจาก
บริษัทในตา่ งประเทศระบุว่า ผหู้ ญิงไทยอายรุ ะหว่าง ๑๘-๖๔ ปี มีการใชผ้ ลติ ภัณฑไ์ วเทนนิ่ง เพิ่มขึ้นถึง
๕๘% คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อคนเฉียด ๒,๐๐๐ บาทต่อเดือน หนักไปกว่านั้นคือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เครือข่าย
เยาวชนสรา้ งสรรค์สงั คมระบุว่า เด็กหญิงวยั ๖ ขวบ นำน้ำยาซักผา้ ขาวไฮเตอรม์ าทาผิว เพราะต้องการ
ให้ผิวขาวหลงั ได้ชมโฆษณาครีมบำรงุ ผิว

“ค่านิยมผิวขาวและการศัลยกรรมความงามของคนไทยเพิม่ ขึ้นอย่างรวดเรว็ เนื่องจาก
ภาคธุรกิจโหมใชโ้ ฆษณาเปน็ เครอ่ื งมือในการปรบั ค่านิยมของสังคมใหเ้ ห็นว่า คนสวยต้องเป็นผู้ที่ผิวขาว
มีหน้าตาสะสวยโดยแขง่ ขันกันนำดารานักแสดงทีม่ ีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อทัศนคติ
และคา่ นยิ มของคนในสังคมเป็นอย่างมาก” นพ.บัณฑติ ศรไพศาล ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น
ราชนครินทรก์ ล่าวถึงคา่ นยิ มผวิ ขาวของผหู้ ญิงไทย

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แห่งวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม หรือ ว.วชิรเมธี ให้ความเห็นว่า
เหตุที่คนไทยหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งมากขึ้น เป็นเพราะมีทัศนคติในการประเมินคุณค่าคนผิด คือ

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๓

คิดว่าคนที่มเี สนห่ ์ สวยงาม ต้องผวิ ขาว ทั้งทีจ่ ริง ๆ แล้วคา่ ของคนไมไ่ ด้อยู่ที่สผี วิ วา่ จะขาวหรอื ดำ แต่อยู่
ที่ว่าเปน็ คนอยา่ งไร ซึ่งพระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ว่า อย่าถามถึงผอู้ ืน่ ว่านามสกุลอะไร แต่จงถามว่าเขาเป็นคน
อย่างไร

“การโหมสร้างค่านิยมผิวขาวใหแ้ กส่ ังคมเป็นเรื่องที่อันตรายต่อเยาวชนเป็นอยา่ งมาก
เพราะเยาวชนไทยสว่ นหญ่ไมม่ ีผวิ ขาว ดงั นนั้ เมื่อทัศนคติสงั คมประเมินคุณค่าคนจากสีผวิ ทำให้เยาวชน
กลุ่มนี้รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย ไม่กล้าพูดไม่กล้าทำในเรื่องต่าง ๆ ส่งผลให้ศักยภาพที่มีในตัวถูกบดบัง
ดังนั้นทุกฝ่ายต้องหันมาช่วยกันสร้างทัศนคติในการประเมินคุณค่าคนของสังคมใหม่ โดยประเมินว่า
เขาคนนน้ั เป็นคนอย่างไร” พระมหาวฒุ ิชัยกลา่ ว

ขณะที่มุมมองของหน่วยงานรัฐผู้กำกับดูแลเรื่องเครื่องสำอางอย่าง ภญ. วีรวรรณ แตงแก้ว
รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยืนยันวา่ สีผิวธรรมชาติถือว่าเป็นสีผิวท่ีดีท่ีสุดแล้ว
โดยผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งส่วนใหญ่เป็นการผสมสาร ๓ ชนิด คือ สารสกัดจากพืชที่อ้างว่ามีสาร
แอนติออกซิแดนต์ ที่ช่วยป้องกันผิวไมใ่ ห้ได้รบั อันตรายจากแสดงแดดและสารกันแดดที่ป้องกันผิวจาก
แสงอัลตราไวโอเลต ขณะที่สารที่ อย.ห้ามเติมในเครื่องสำอางคือ สารที่เข้าไปทำลายเม็ดสีในผิว
ให้เปลี่ยนแปลงจากดำเป็นขาว อาทิ ไฮโดรควิโนน ปรอท แอมโมเนียม เพราะทำให้เกิดอาการผิวขาว
ด่างเป็นอนั ตรายได้

“สาร ๒ ประเภทแรกที่ใส่ลงในเครือ่ งสำอาง ไม่มีการศึกษายอมรับวา่ ทำให้ผิวขาวขึ้น แต่เปน็
เพียงหลักการที่ระบุว่า เมื่อไม่โดนแสงแดดผิวก็จะไม่ดำไปกว่าเดิม แต่ไม่ทำให้ขาวขึ้นจากสีผิวตาม
ธรรมชาติแต่อย่างใด” พญ.วีรวรรณ กล่าว

ความที่เครื่องสำอางที่มีไวเทนนิง่ มีอยู่มากมายนับร้อย ๆ ชนิด แล้วเราจะต้องเลือกอย่างไรดี
ถึงจะได้ผลและไม่เป็นเหยื่อของการโฆษณา พญ.ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ แพทย์ผิวหนังประจำคลินิก
เอเพ็กซ์บิวตี้ แนะว่าก่อนซื้อควรอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ให้ดีว่ามีส่วนผสมมาจากอะไร ในปริมาณ
เทา่ ใด

ท้ังนี้ สารประเภทไวเทนนิง่ แบ่งออกเปน็ ๓ ชนิด คือ ประเภทแรกเป็นยา เชน่ ยารกั ษาฝา้ ซึ่ง
อาจจะพบสารปรอทหรือไฮโดรควิโนน ทีม่ ผี ลขา้ งเคียงกบั ผวิ หน้าในภายหลัง โดยปกติแล้วการรักษาฝ้า
หรือการที่จะทำหน้าขาวน้ัน การใช้ยาประเภทนี้จะต้องอยู่ภายใต้การส่ังยาของแพทย์ และเป็นยาที่ไม่มี
การผลิตขาย ใช้เฉพาะในการรกั ษา

ประเภทที่สอง เวชสำอาง ส่วนมากมีส่วนผสมของกรดผลไม้ ซึ่งเป็นสารสกัดจากผลไม้
ตา่ ง ๆ เช่น จากอ้อย (ไกโครลิก) ส้ม (ซิทริกแอสิด) หรอื พรรณพืชต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีเคมีที่ไม่ได้อยู่
ในตระกูล AHA ตัวอื่น ๆ อาทิ เรตินอล (อนุพันธ์องวิตามินเอ) กรดวิตามินซี ซึ่งเป็นสารกันบูดในตัว
โคจกิ แอสิด สารฮาบูติน สารสกัดจากชะเอม) หรอื ชาเขียว ชาขาว ซึ่งสารสกดั นกี้ ็มีการคิดค้นขึ้นมาใหม่

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๔

ทุก ๆ ปี ส่วนการผสมนั้นจะผสมอะไรกับอะไร ปริมาณเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับสูตรลับของแต่ละบริษัท
เจ้ากรดเอเอชเอนีม้ ีฤทธิใ์ นการลอกผิวหน้าและลดการสร้างเมด็ สีในระดบั หนง่ึ

ประเภทที่สาม คือประเภทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยาและเวชสำอาง ซึ่งมีสารฟีนอล ปรอท
ที่เป็นสารอันตราย เพราะจะทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้หน้าลอกและมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ
ถือเปน็ เครือ่ งสำอางประเภทผดิ กฎหมาย

สำหรับการเลือกใช้ให้เหมาะ พญ.ณัฐินี แนะนำว่า ถ้ามีผิวแห้งก็ไม่ควรใช้ไวเทนนิ่งที่มี
ส่วนผสมจากกรดผลไม้ เพราะจะทำให้หน้าแห้งยิ่งขึ้น และอาจเกิดอาการแพ้ ส่วนคนผิวมันกไ็ ม่ควรใช้
ไวเทนนิ่งที่มสี ว่ นผสมของนำ้ มัน

ทางที่ดีควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดด (ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าไวเทนนิ่งเสียอีก) โดย
ครีมกันแดดที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน นอกจากช่วยป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งอาจก่อมะเร็งผิวหนัง
แล้ว ยังช่วยไม่ใหผ้ วิ คล้ำลง

ข้อควรระวัง ในแตล่ ะครงั้ ของการบำรุงผวิ คือไม่ควรใช้ผลิตภณั ฑ์มากเกิน ๕ ชนิด เนื่องจาก
เมือ่ เกิดแพ้แล้ว ยากจะทราบแนช่ ัดวา่ แพ้เครื่องสำอางตัวใด

อย่างไรก็ตาม คุณหมอผิวหนังทิ้งท้ายว่าโดยธรรมชาติคนไทย พื้นฐานของผิวหน้าและ
ผิวพรรณนั้นเป็นสีดำแดง ผิวสองสีและบ้านเราแดดแรง แตกต่างจากเมืองจีนหรือเกาหลี การใช้
เครื่องสำอางต่าง ๆ ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะสารเคมีย่อมมีผลข้างเคียง ไม่ว่าไวเทนนิ่งนั้นจะอยู่ใน
ระดับมาตรฐานใด

“แม้ผิวไม่ขาว หากดสู ะอาดสะอ้านกลิ่นกายหอม นิสยั ดีก็ดดู ีแลว้ ละค่ะ” คุณหมอกลา่ ว

๖. คำสอนดี ๆ จาก...ป่เู ย็น
รายการคนคน้ คน

ปู่เย็น อายุ ๑๐๖ ปี ของชายชราคนหน่งึ น่าจะพูดได้ว่าเลยภาวะไม้ใกล้ฝง่ั ไปแล้วหลายขมุ ปู่
อยูต่ ัวคนเดียว เคยมีเมยี แตไ่ ม่มีลกู เพราะปู่เป็นหมัน ถ้าปมู่ ีลกู ไมแ่ น่วา่ ป่านนีล้ กู ๆ ของปู่จะยังมีชีวิตอยู่
หรือไม่แต่สำหรับปู่ ยังไงปู่ก็ยังไม่ตายแน่ ๆ นอกจากยังไม่ตาย ปู่ยังแข็งแรงใช้ได้ ไม่ว่าร่างกายหรือ
หัวใจ ปู่เป็นมุสลิมเมืองเพชรแต่เมียปู่เป็นไทยพุทธแถวประจวบ ทั้งสองครองรักกันยืนยาวโดยไม่มี
ฝ่ายใดได้เปลี่ยนรีตเปลี่ยนรอยศาสนา รวมทั้งในชีวิตไม่เคยมีพิธีกรรมออกหน้าออกตาอันใด ใช้หัวใจ
หรือหัวอะไรบ้างก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าอยู่กันมายืนยาวกว่าไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ย่าขี้เกียจอยู่
ดูโลกจากปู่ไปก่อนตอนอายุ ๙๒ ปี ปู่ถึงตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจากโลกนี้ไปไหนแต่ตอนย่าจากไปปู่
ร้องไห้อยู่ ๓ เดือน ชายชราคนหนึ่งร้องไห้กับการจากไปของหญิงชราคนหนึ่งนาน ๓ เดือนคงไม่ใช่
เพราะความขี้แย นับแต่วันที่ย่าจากไปปู่ก็ออกจากบ้านเช่าราคาเดือนละแปดร้อยบาท ขนทรัพย์สมบัติ

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๕

ทีม่ อี ยู่ไม่กีช่ ิน้ ในชวี ิตมาอยบู่ ้านหลังใหมไ่ มม่ ีเสาไมม่ ีหลังคายาวราว ๆ ๒ วา กว้างแค่ ๒ ศอก บ้านของปู่
เป็นเพียงเรือลำเล็ก ๆ ลอยอยู่ในลำน้ำเพชรนับถึงปัจจุบันปู่กินอยู่หลับนอนอยู่ในเรือมานานนับสิบปี
โดยมีการงานแห่งชีวิตเพียงอย่างเดียวคือการดักอวนหาปลาทุกวันปู่จะจอดเรือนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ใต้
สะพานลำไยซึ่งทอดเชื่อมระหว่างบ้านหม้อกับตลาดวัดท่อพอเย็น ๆ ก็จะเริ่มพายเรือออกไปหา
ที่วางอวนปู่จะกู้อวนคืนละ ๒ ครั้งดึก ๆ ครั้งหนึ่งรุ่งเช้าอีกครั้งหนึ่ง ได้ปลา ปู่ก็จะเอาใส่กะละมังหิ้ว
ขึ้นมาขายที่ตลาดวัดท่อในตอนเช้า ก่อนเดินกลับลงไปพักผ่อนชมเวลาเลื่อนผ่านชีวิตไปโดยไม่วิตก
ทุกข์ร้อน หรอื ไม่กซ็ ่อมอวนอยูใ่ นเรอื ปู่ไมช่ อบใหใ้ ครสงสารปู่แต่ปู่ชอบสงสารคนอื่น ปู่มักจะขายปลาที่
นับวันยิ่งหายากในราคาถูก ๆ คนที่มาซื้อเห็นปู่ขายถูกยิ่งขอซื้อให้ถูกเข้าไปอีกแต่ปู่ก็ไม่ว่าอะไรนานปี
ทีหนจึงจะมีคนใจดีซื้อปลาไมก่ ี่ตวั ให้เงินเกินมาไม่เอาเงินทีป่ ู่ทอนกลับไปแบบนี้ปู่ไมว่ ่าอะไรแต่ถ้าใครให้
ปฟู่ รี ๆ มีปญั หาทันที ผมเคยถามวา่ ทำไมปไู่ มไ่ ปขอความเมตตาจากใคร ๆ เขา คนแก่ ๆ ยงั ไง ๆ ใคร ๆ
ก็สงสาร ปู่บอกวา่ ไมเ่ อาไม่ชอบที่สุด ดูแตห่ อยซิ ไมม่ ีมอื มีตีนมันยังหากินได้เอง (รู้จักม้ัยหอยน่ะ...ปู่ย้ำ)
ประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้าหากินเองไม่ได้ก็อายหอย ปู่คิดและเชื่อแบบนี้แต่มีคนมากมายที่ไม่ได้คิด
และเชื่อแบบปู่ ปู่อาจดูโง่และน่าหมิ่นแคลนในสายตาของคนเหล่านั้นแต่ปู่ไม่มีวันหมิ่นแคลนตัวเอง
ขณะปู่อยู่ในเรือคนเหล่านั้นอาจกำลงั นัง่ ถือขันอยูต่ ามสะพานลอยหรือไมก่ ็กำลังข่มขู่ทุบตีเพศแม่ที่เป็น
เมียตอนที่ตัวเองกำลังเมากำลังขูดรีดโก่งราคา จี้ปล้น ฉ้อโกง ฮั้วสัมปทาน เล่นแร่แปรหุ้นในตลาดเงิน
ไม่ว่าความฉลาดความโง่ความดีความชั่วความนับถือและการให้ค่าในการมีชีวิตแน่นอนว่าพวกคน
พวกนั้นต่างกับปู่ ขณะที่ปู่คิดว่าคนเราไม่ว่าเฒ่าชะแรแก่ชราแค่ไหนหากยังมีลมหายใจก็ต้องพยายาม
อยู่ให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเองโดยไม่เอารัดเอาเปรียบและเบียดเบียนใคร พูดง่าย ๆ ว่ารับผิดชอบดูแล
ตัวเองหาอยู่หากินเองว่างน้ั เหอะ ปู่อาจไม่รู้จักคำว่าศกั ดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในหัวสมองปู่อาจไม่มีคำว่า
ชีวติ ทีส่ งา่ งาม ความหยิง่ ทะนงแตป่ ู่มีส่ิงเหล่านี้อยู่ในชีวติ ซึ่งบางทีคนทีใ่ ช้คำเหล่านี้หากินบ่อย ๆ เสียอีก
ที่ชีวติ ไม่มีส่งิ เหล่านี้

๗. ทำอย่างไรจงึ จะไดอ้ ยู่รว่ มกัน
ความจริงเกีย่ วกับความรักความโกรธและความเมตตา : คณุ อังคาร

เมื่อความรักหวานชื่นคู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็น เนื้อคู่กันอีกซึ่งผลกรรมก็ได้
จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกนั อีกตามที่ได้กล่าวมาแล้วแต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว
เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและเป็นอยู่ เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคตโดยการอธิษฐาน
แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกันสุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐาน
นั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือในด้านประโยชน์ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติ
ตอ่ ๆ ไปได้ง่ายแต่ในแง่ของโทษบางคร้ังก็ทำให้การให้ชีวิตไม่เปน็ ปรกติสุข เชน่ หากเน้ือคู่ที่อธิษฐานกัน

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๖

ไว้ไม่ได้มาเกิดหรือมาเกิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้จิตใจไม่รักใครหรือแม้
จะได้พบเนื้อคู่ลำดับอื่น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไปเนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้หรือ
บางครงั้ จิตใจกม็ ีสังหรณอ์ ยู่เสมอวา่ เราคอยใครอยทู่ ั้งที่ไมร่ ู้ว่ารอคอยใคร

๘. ฝึกสมองไบรท์ด้วย ๙ เทคนิค
วนษิ าเรซ : ผเู้ ชี่ยวชาญด้านอจั ฉริยภาพจากมหาวิทยาลยั ฮาร์วาร์ด

ผู้หญิงสมัยนี้อยากสวยฉลาดและสุขภาพดีทุกคนจึงพากันดูแลรปู ร่างด้วยการออกกำลงั กาย
เคร่งครัดเรื่องอาหารการกินแต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดีทั้งที่สมองเป็น
อวัยวะทีต่ ัดสนิ ใจทุกเรอ่ื งของชีวติ

เราจึงควรเอกเซอร์ไซสส์ มองให้ไบรท์ ด้วยเทคนิคงา่ ย ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
๑. จบิ นำ้ บอ่ ย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ ๘๕ เปอรเ์ ซ็นต์ เซลลส์ มองก็เหมอื นต้นไม้ที่ต้องการ
น้ำหลอ่ เลี้ยงถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็เหี่ยวถ้าไมอ่ ยากใหเ้ ซลลส์ มองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้ากลายเป็น
คนคิดชา้ หรอื คิดไมค่ ่อยออกแต่ละวันจงึ ควรดืม่ นำ้ บอ่ ย ๆ
๒. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมันซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่
สึกหรอแนะนำให้กินไขมนั ระหวา่ งวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มไี ขมันดี อย่าง
ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำส่วนวิตามินซีกิน
แล้วสดชื่น
๓. นั่งสมาธิวันละ ๑๒ นาที หลังจากตื่นนอนแล้วให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้าวันละ ๑๒
นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่นTheta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery
สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไมไ่ ด้ตอนเชา้ ให้หดั ทำก่อนนอนทุกวนั )
๔. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามเหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด
ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งตา่ ง ๆ เพราะ
สมองไมแ่ ยกระหว่างทีส่ ิ่งทีท่ ำจริงกบั สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ท้ังสองอยา่ งจึงเปน็ เสมอื นสิง่ เดียวกัน
๕. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะจะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่ง
ความสขุ หล่งั ออกมาเทา่ กับเป็นการกระตุ้นใหม้ ีความอยากรักและหวังดตี ่อคนอื่นไปเรือ่ ย ๆ
๖. เรยี นรสู้ ิง่ ใหม่ทกุ วนั สิ่งใหมใ่ นทีน่ ้ีหมายถึงสิง่ ต่าง ๆ ที่เกิดขึน้ ในชวี ิตประจำวัน เชน่ กิน
อาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงาน
ของเขา ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการ
เรียนรู้กระตุ้นใหอ้ ยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสขุ กท็ ำให้มคี วามคิดสรา้ งสรรค์

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๗

๗. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเองโกรธคนอื่นโกรธตัวเองทำให้เปลือง
พลงั งานสมอง การให้อภัยตวั เองเป็นการลดภาระของสมอง

๘. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคณุ สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแตล่ ะวนั ลงในสมุดบนั ทกึ
เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะ
การเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวกพร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมาช่วยให้หลับฝันดีตื่นมาทำ
สมาธิได้ง่ายมีความคดิ สร้างสรรค์

๙. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกซิเจน ๒๐-๒๕ เปอร์เซ็นต์ ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย
การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมองควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่
ร่างกายได้มากขึ้นถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่
สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มข้ึนอกี ๒๐ เปอรเ์ ซ็นต์

การมีสมองที่ดีก็เหมือนกับมีทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้แต่จะเก่งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ
การฝึกฝนถ้าเราดแู ลและฝกึ สมองใหด้ ีคุณภาพชีวติ ก็จะดีตาม

๙. ปลูกอะไร...กจ็ ะไดอ้ ยา่ งนั้น
LeeMinHo

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลงและต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนทีเ่ ขาจะเลือกผอู้ ำนวยการหรอื ลกู ของเขาแตเ่ ขาตัดสินใจที่จะทำบางอยา่ งที่แตกต่างออกไป เขา
เรียกนักบริหารหนุ่ม ๆ ในบริษัทของเขามารวมกันและพูดว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะ
เป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่ม ๆ ต่าง
รู้สึกช็อคเขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ดเป็นเมล็ดที่พิเศษ คุณต้องดูแล
และรดน้ำนับจากวันนี้ไปอีก ๑ ปี และผมจะตัดสินใจจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้นที่พวกคุณนำมาให้ผม
คนที่ผมเลือกจะได้เปน็ CEO คนตอ่ ไป” นักบริหารหนมุ่ คนหนง่ึ ชื่อ จมิ เขาเปน็ หนึง่ ในหนุ่ม ๆ ทีไ่ ด้รับการ
คัดเลือกในวันนั้นเขาได้รับเมล็ดมา ๑ เมล็ดและนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้นเขาบอกภรรยาและ
ชว่ ยกนั เตรียมกระถางดินและปุ๋ยเพือ่ เตรียมปลูกต้นไม้พวกเขาดูแล รดน้ำอยา่ งดีผ่านไปสามสัปดาห์
พวกนักธุรกิจหนุ่มคนหนึง่ ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโตแต่จิมก็เฝ้าดูทุก
วันก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา ๓ สัปดาห์ผ่านไป ๔ สัปดาห์ผ่านไป ๕ สัปดาห์ผ่านไปก็ยังไม่เห็น
อะไรในกระถางตอนนี้หนุ่ม ๆ ได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้วแต่จิมไม่มีอะไรจะพูดเพราะเขาไม่เห็นต้นไม้
ของเขา เขาเริ่มรู้สกึ ว่าล้มเหลวผา่ นไป ๖ เดือนกย็ งั ไมม่ ีอะไรงอกขึ้นมาเขาเริ่มรสู้ ึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ด
นั้นไปซะแล้วทุก ๆ คนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มีแต่เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน
เขากย็ ังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไปผ่านไปครบ ๑ ปีทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEO ได้ตัดสิน จึงพูดกับภรรยา

แบบฝึกหดั เสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๘

ว่า “ผมจะไมเ่ อากระถางเปล่า ๆ มาวันนีไ้ ปแน”่ ภรรยาบอกเขาว่าให้พดู ความจริงออกไปวา่ มันเป็นยังไง
จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิตแต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูด
ถูกดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่า ๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อจิมมาถึงเขาแปลกใจมากว่า
ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะ
หัวเราะเยาะมี ๒-๓ คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ เมื่อท่านประธานเข้ามาถึงเขาได้ทักทายทุก ๆ คน
จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกินเอาละ หนึ่งใน
พวกคุณจะได้เลื่อนเป็น CEO กันวนั นแี้ หละ” พอท่านประธานเหน็ กระถางของจมิ ที่อยขู่ ้างหลังห้องเขาก็
บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกเขาคิด
ว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลวและเขาอาจจะถูกไล่ออก เมื่อจิมเดินมาหน้าห้องท่านประธาน
ก็ถามวา่ “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไมข้ องคุณ” จมิ กเ็ ลา่ เร่อื งทั้งหมดให้ฟังแล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนน่ัง
ลงยกเว้นจิมท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า CEO คนต่อไปก็คือ...... จิม” จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เพราะต้นไม้ของเขากไ็ ม่มีเขาจะได้เป็น CEO ได้อยา่ งไรและแล้วท่านประธานก็พูดว่า “เม่ือปีที่แล้วผมได้
ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคนให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุก ๆ วันแต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้วดังนั้นมันจะ
งอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิมนำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผมนี่ก็แสดงว่า
เมือ่ พวกคณุ พูดวา่ เมล็ดมันไม่งอกพวกคุณกเ็ อาเมลด็ อืน่ มาปลูกแทนน่ะสิ จมิ เปน็ คนเดียวที่กล้ายอมรับ
ความจริงและนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผมดังนั้นผมจึงแต่งตั้ง จิมให้เป็น CEO คน
ต่อไป” คติธรรมทีไ่ ด้...

เมือ่ คณุ ปลูกความซื่อสัตยค์ ุณกจ็ ะได้รบั ความไว้วางใจ
เมือ่ คุณปลกู ความดคี ณุ ก็จะได้รบั มิตรภาพ
เมื่อคณุ ปลูกความอ่อนนอ้ มถ่อมตนคณุ กจ็ ะได้รับความยิง่ ใหญ่
เมื่อคุณปลกู ความพากเพียรคุณก็จะได้รบั ความสำเร็จ
เมื่อคณุ ปลกู ความพิจารณาคุณก็จะได้รบั ความละเอียดลออ
เมือ่ คณุ ปลกู ความทำงานหนกั คุณกจ็ ะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคณุ ปลูกการให้อภยั คุณกจ็ ะได้รบั คืนดี
ดงั นนั้ ...ตองดูสกั นิดวา่ คณุ จะพดู อะไรคณุ ก็สามารถกำหนดสิง่ ที่คณุ จะได้รบั ได้

แบบฝึกหัดเสริมการเรียนรู้ รายวชิ า ท ๓๒๑๐๑ ภาษาไทย ๓ ๔๙

๑๐. เลือกอนาคตได้

กระทรวงศึกษาธิการ
คนเราเมื่อเกิดมาแล้วถ้าสามารถเลือกได้คงจะเลือกเป็นเลือกมีในสิง่ ที่ดีที่สุดตามความพอใจ
ความพอใจสำหรับปุถุชนก็เห็นจะหนีไม่พ้นความเป็นคนงามทั้งภายนอกและภายในมีทั้งรูปสมบัติ
และคุณสมบัติความงามภายนอกหรือรูปสมบัติปรากฏให้เห็นได้ส่วนความงามภายในหรือคุณสมบัติ
แมม้ องไมเ่ หน็ แตร่ ู้สกึ ได้เป็นความงามทีย่ ั่งยืนและเปน็ ที่ประทับใจยิง่ กว่าความงามภายนอก
แตท่ ว่าถ้าคนเราเลือกได้ดงั ใจหมายเราก็คงจะเห็นแต่คนทีถ่ ึงพร้อมทั้งรปู สมบัติและคุณสมบัติ
ในความเป็นจริงแล้วคงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเลือกเป็นเลือกมีเช่นที่ตนปรารถนานั้นได้เพราะแต่ละ
คนจะดีจะช่วั จะรวยจะจนจะน่ารกั จะนา่ เกลียดจะอายุยืนจะอายสุ ้ันสดุ แท้แตก่ ารกระทำ
ถ้าต้องการจะรวยก็ต้องขยันขนั แข็งต้องรู้จักมัธยัสถอ์ ดออมในขณะเดียวกนั ต้องรู้จักเสียสละ
และบริจาคตามควรแก่ฐานานรุ ปู ของตนถ้าไมเ่ ลือกทำดังที่กลา่ วมาก็จะต้องจนโดยไม่มีปัญหา
ถ้าตอ้ งการจะเป็นคนที่น่ารักมีรปู ร่างหน้าตาสวยงามกต็ ้องเป็นคนที่ไม่มักโกรธมีเมตตากรุณา
ให้อภัยต่อผู้อน่ื ออกจากกำลังกายใหส้ ม่ำเสมอแต่ถ้าปฏิบัติตรงกันข้ามก็จะเป็นคนทีข่ ้ีรวิ้ ขี้เหร่ ดวงตาจะ
แหง้ ผากไมผ่ อ่ งใสไร้เสนห่ ์
ถ้าตอ้ งการจะเป็นคนที่มอี ายุยืนก็ต้องไมฆ่ ่าสัตว์ตดั ชีวติ ไม่ทรมานสัตวแ์ ละเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ไม่กักขังคนหรือสัตว์ให้หมดอิสรภาพแต่ช่วยต่ออายุให้แก่สัตว์เช่นเห็นเขานำสัตว์มีโคกระบือ เป็นต้น
ไปฆ่าก็ช่วยไถ่ชีวิตไว้ แบ่งปันอาหารการกินให้มนุษย์และสัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้เอื้ออาทรตามควรแก่
ความจำเป็น เช่น ให้ยารักษาโรครวมทั้งดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสำรวมระวังทุก ๆ ด้าน ถ้าไม่สามารถ
ทำได้เชน่ นแี้ ตก่ ลบั ทำในทางตรงกนั ข้ามก็ยากที่จะมีชีวติ ยืนยาวต่อไปข้างหนา้
ถ้าต้องการจะเป็นคนฉลาดมีปัญญาหลักแหลมก็ต้องฟังผู้รู้ด้วยความนอบน้อมและเคารพ
อา่ นข้อเขียนที่ทา่ นผู้รไู้ ด้เขียนไว้โดยทำใจไว้ให้แยบคายเช่นกนั หม่นั สังเกตพิจารณาตรกึ ตรองมองแง่มุม
ต่าง ๆ ให้หลากหลาย ไมเ่ กียจคร้านขวนขวายหาความรู้ใส่ตนอยู่เสมอ หากไมป่ ฏิบัติเช่นนี้การที่หวังจะ
เป็นคนฉลาดต่อไปข้างหน้าก็ยอ่ มเป็นไปไมไ่ ด้มแี ตจ่ ะเพิม่ พนู ความโงเ่ ขลาเบาปญั ญาต่อไป
กล่าวโดยสรุปมนุษย์ เมื่อเกิดมาแล้วจะดีจะชั่วอย่างไรต่อไปในวันข้างหน้า ต้ องอยู่ที่
การกระทำของตนไมใ่ ชเ่ ทวดาฟ้าดินใดจะมาบันดาลได้


Click to View FlipBook Version