๑ ครู ๑ นวัตกรรม ( หนึ่งครูหนึ่งนวัตกรรม ) ประจ ำปีกำรศึกษำ ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้ำนโกตำบำรู อ ำเภอรำมัน จังหวัดยะลำ ส ำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำยะลำ เขต ๑ ส ำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน กระทรวงศึกษำธิกำร
หนึ่งครูหนึ่งนวัตกรรม ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ก ค ำน ำ โครงการ “หนึ่งครู หนึ่งนวัตกรรมการสอน” (One Teacher One Innovation) ของ โรงเรียนบ้านโกตาบารู โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสร้าง (Model) ที่เป็นนวัตกรรมของ ตนเองในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนและสามารถเรียนรู้ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อเป็นการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน และเป็นการพัฒนาตนเอง ด้วยวิธีการสอนรูปแบบใหม่ๆของครู คณะกรรมการฝ่ายบริหารงานบุคคล โรงเรียนบ้านโกตาบารู ได้รวบรวมนวัตกรรมของคณะ ครูทุกท่านไว้เป็นแนวทางในการด าเนินงานและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนต่อไป ทางคณะผู้จัดท าหวังเป็น อย่างยิ่งว่า เอกสารเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณะครูและผู้ที่สนใจ น าไปเป็นตัวอย่างในการสร้างนวัตกรรม รูปแบบใหม่ๆมาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น ต่อไปหากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณผู้บริหาร คณะครูและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ส่งเสริมและสนับสนุนโครงการหนึ่งครูหนึ่ง นวัตกรรมการสอน(One Teacher One Innovation)ในการรวบรวมและจัดท ารูปเล่มนวัตกรรมนี้จนส าเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี ฝ่ายบริหารงานบุคคลโรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑
หนึ่งครูหนึ่งนวัตกรรม ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ข สำรบัญ หน้ำ ค ำน ำ ก สำรบัญ ข นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : ปฐมวัย 1 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : ภาษาไทย 24 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : คณิตศาสตร์ 43 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : วิทยาศาสตร์ 63 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : ภาษาอังกฤษ 74 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 88 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : ศิลปะและดนตรี 100 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : วิทยาการค านวณ 104 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : การงานอาชีพ 113 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : สุขศึกษาและพลศึกษา 117 นวัตกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ : การศึกษาเด็กพิเศษ (เรียนร่วม) 126 ภำคผนวก คณะผู้จัดท ำ ค
- 1 - กลุ่มสาระการเรียนรู้ ปฐมวัย
- 2 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน “การส่งเสริมทักษะการอ่านโดยใช้ชุดค าคล้องจอง บัตรภาพประกอบค าศัพท์พื้นฐานของ เด็กปฐมวัย” กลุ่มสาระการเรียนรู้ ปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ ๓/๑ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางนุซรีย์ อีซบซี โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู อ าเภอรามัน จังหวัดยะลา สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต ๑ โทรศัพท์ ๐๘๙ – ๗๓๗๖๒๖๙ โทรสาร ๐๘๙ – ๗๓๗๖๒๖๙ ๒.ความส าคัญของผลงาน ที่มาและความส าคัญของปัญหา ภ าษ ามีค ว ามส าคัญอย่ างยิ่งต่อก า รด า รงชีวิตของมนุษย์เป็นเค รืองมือส าห รับก า รคิด ซึ่งจะน าไปสู่พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาในขั้นสูง เป็นเครื่องมือส าหรับการสื่อสาร ทั้งในการแสดงออกถึงความ ต้องการ ความรู้สึกนึกคิด อีกยังเป็นเครื่องมือส าหรับการเรียนรู้ โดยเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้มนุษย์สามารถ ถ่ายทอดความคิดที่เป็นนามธรรมได้สืบต่อกันมา ทักษะทางภาษา สามารถส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีในช่วง ปฐมวัย ซึ่ง เรียกได้ว่าเป็นวัยทองของภาษาเพราะระยะนี้พัฒนาการด้านภาษาเจริญขึ้นอย่างมาก ถ้าเด็กได้รับ การส่งเสริมอย่างเพียงพอจะท าให้การเรียนรู้ของเด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว พัฒนาการทางด้านการฟังและการ พูดซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่ส าคัญของการอ่านการเขียนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปดังเช่น เด็กมีความพร้อมใน การพูด การออกเสียง การผูกประโยค ภาษาเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับความคิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพูด ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของการอ่านและการเขียนอีกด้วย การอ่านเป็นพื้นฐานส าคัญของเด็ก เพราะการอ่านช่วย พัฒนาความรู้สติปัญญาและความคิด ยังเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้เป็นปัจจัยส าคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนก้าวหน้า ประสบผลส าเร็จในการเรียน พัฒนาความสามารถในการคิดและการอ่านจะประสบผลดีได้นั้นต้อง มี ความสามารถในการจ าแนกความแตกต่างด้วยสายตา เป็นการสังเกตเห็นความเหมือนความต่างกันของรูปทรง รูปภาพ และค าที่เขียนเป็นสัญลักษณ์ ความสามารถในการอ่านขึ้นอยู่กับความสามารถในการเห็นความ แตกต่างระหว่างค าที่อ่าน จากการจัดประสบการณ์ด้านการอ่าน สังเกตเห็นว่าปัญหาที่พบคือ เด็กปฐมวัยได้รับการสอนอ่าน แบบท่องจ ารูปพยัญชนะโดยอ่านพยัญชนะแบบเรียงตัว เช่น ก ไก่ ข ไข่ ฃ ขวด ค ควาย ฯลฯ เมื่อครูสุ่มถาม พยัญชนะไทยหรือสระภาษาไทย เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ตอบไม่ได้และอ่านออกเสียงไม่ถูกต้องจึงได้ศึกษาปัญหา
- 3 - ดังกล่าว และมีความเห็นว่าการอ่านพยัญชนะไทยและสระภาษาไทยนั้น จะท าให้เด็กปฐมวัยจ ารูปและเสียง ของพยัญชนะแต่ละตัวได้ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ส าคัญและจ าเป็นต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น จึงได้ศึกษาค้นคว้า แนวทางแก้ปัญหาทักษะการอ่าน โดยใช้ชุดค าคล้องจองบัตรภาพประกอบค าศัพท์พื้นฐานเป็นสื่อการเรียนการ สอนเพื่อให้เด็กปฐมวัยมีทักษะการอ่าน เด็กเรียนรู้ได้ง่าย รวดเร็ว สนุกสนาน เพลิดเพลิน ที่ได้อ่านค าคล้องจอง รู้จักพยัญชนะไทย สระภาษาไทย ความหมายของค าศัพท์ สามารถบอกชื่อสิ่งของ สัตว์ ค ากริยา และสถานที่ ซึ่งชุดค าคล้องจองบัตรภาพประกอบค าศัพท์พื้นฐานเป็นสื่อประเภทหนึ่งที่สามารถส่งเสริมและเสริมสร้างให้ เด็กมีพัฒนาการด้านการอ่าน ซึ่งถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมขั้นพื้นฐานที่จะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของ เด็กปฐมวัยให้ได้ดียิ่งขึ้น ๓.จุดประสงค์ ๓.๑ เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทยขั้นพื้นฐานได้ ๓.๒ เพื่อให้เด็กสามารถออกเสียงและรู้ความหมายของค าพื้นฐานได้ถูกต้อง ๓.๓ เพื่อให้เด็กสามารท่องค าคล้องจองได้ ๔.ขั้นตอนการด าเนินงาน / วิธีการ ๔.๑ ศึกษาหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ สภาพที่พึงประสงค์ และประสบการณ์ส าคัญตามวัยและรูปแบบการจัดประสบการณ์ ๔.๒ น ากระบวนการ PLC โดยมีการปรึกษาร่วมกับคณะครูเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์ สื่อและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมาช่วยในการแก้ปัญหา ๔.๓ จัดหาค าคล้องจองที่สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ ออกแบบสื่อและบัตรภาพประกอบค าศัพท์ พื้นฐาน ๔.๓ ออกแบบการจัดกิจกรรมและจัดท าแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ๔.๔ ด าเนินการตามแผนโดยสอนอ่านพยัญชนะ สระ ค าคล้องจองตามหน่วย พร้อมให้เด็กรวมกันคิด ท่าทางประกอบค าคล้องจองเพื่อความสนุกสนาน จดจ าง่าย และดึงค าศัพท์พื้นฐานที่มีความหมายให้เด็กเรียนรู้ ๔.๕ ประเมินผลการจัดกิจกรรม ๕. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล -แบบประเมินก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ๖. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม -ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์www.kotabaru.ac.th ๗. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม -ค าคล้องจอง -บัตรภาพประกอบค าพื้นฐาน -แบบประเมินก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
- 4 - ๘.ผลการด าเนินงาน -ท าให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาเกิดการเรียนรู้ เข้าใจความหมายได้ดีโดยเฉพาะการอ่านพยัญชนะ ไทย สระภาษาไทยและการอ่านภาพประกอบค าศัพท์พื้นฐานซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจให้เด็กมีทักษะการอ่านที่ดี มากขึ้น -เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียนรู้ผ่านการอ่าน ช่วยกระตุ้นจินตนาการความคิดรวบยอด เพิ่มพูน ประสบการณ์ ซึ่งเป็นรากฐานส าคัญต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็ก -เด็กมีพัฒนาการครบทุกด้าน เช่น ทางด้านร่างกาย เด็กได้เรียนรู้จังหวะ ท่าทางและได้บริหารร่างกาย ให้แข็งแรง ทางด้านอารมณ์จิตใจเด็กได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทางด้านสังคมเด็กได้ฝึกความมีระเบียบ วินัย เรียนรู้ข้อตกลงกฎระเบียบและการยอมรับจากเพื่อนและทางด้านสติปัญญาเด็กได้ฝึกความจ าความเข้าใจ และมีพัฒนาการทางภาษา -สามารถพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์ทางภาษาได้ในระดับที่น่าพอใจ ข้อเสนอแนะในการน าไปใช้ 1. การน าชุดค าคล้องจองบัตรภาพประกอบค าศัพท์พื้นฐาน ที่มีต่อทักษะการอ่านไปใช้ครูเป็นผู้มี บทบาทส าคัญ ดังนั้น ครูต้องเข้าใจธรรมชาติและความสามารถของเด็กแต่ละคนต้องศึกษาแนวทางในการจัด เพื่อส่งเสริมให้เกิดทักษะการอ่านได้อย่างแท้จริง 2. การจัดกิจกรรมการส่งเสริมทักษะการอ่านโดยใช้ชุดค าคล้องจองบัตรภาพประกอบค าศัพท์พื้นฐาน ของเด็กปฐมวัย ครูควรให้เด็กเรียนรู้จดจ าค าคล้องจองที่สอนให้ได้ 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการท ากิจกรรม ไม่ควรรวบรัดจนเกินไป ควรให้เด็กได้มีระยะเวลาในการจดจ า เพื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู) นักเรียน – ได้เรียนรู้ จดจ า การอ่านท่องค าคล้องจองมีพัฒนาการทางภาษาเป็นไปในทางที่ดีขึ้น การ อ่านออกเสียงค าที่ถูกต้องและมีความหมายตามบัญชีค าพื้นฐาน เรียนรู้พยัญชนะไทย สระ การคิดท่าทาง แสดงออกตามค าในค าคล้องจองแต่ละหน่วย สร้างสรรค์ตามจินตนาการ มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น ครู– สามารถคิดค้น พัฒนาหารูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ๆที่สามารถแก้ไข ปัญหาที่สามารถสนองตอบความสนใจ สร้างแรงจูงใจในการเรียนและสามารถพัฒนาทักษะด้านต่างๆของเด็ก ได้ขึ้น ท าให้เกิดก าลังใจที่จะพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ให้กับเด็กต่อไป
- 5 - ภาพประกอบ
- 6 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมที่มีต่อความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล ๒/๓ โรงเรียนบ้านโกตาบารู กลุ่มสาระการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัย ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ ๒/๓ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวนูรีดา ซาบารอ โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ ๒.ความส าคัญของผลงาน การพัฒนาเด็กตามหลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้ก าหนดการพัฒนาเด็กปฐมวัยไว้ 4 ด้าน ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาในการพัฒนาด้านร่างกายได้ก าหนดให้มี การพัฒนาทั้งการใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่และการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของ เด็กปฐมวัยควรได้รับการพัฒนาให้ สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ท างานอย่างประสานสัมพันธ์กัน แต่การที่จะให้เด็กใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้อย่าง มีประสิทธิภาพนั้นจ าเป็นต้องได้รับการฝึกฝนให้เพียงพอและต่อเนื่อง ซึ่งเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่ร่างกายและสมอง ก าลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เด็กวัยนี้สามารถเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้ค้นพบตนเอง (กุลยา ตันติผลาชีวะ, 2551 : 44 อ้างถึงใน สุกัญญา รุจิเมธาภาส, 2559 : 2)การพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มี ความส าคัญต่อเด็กวัยนี้ เนื่องจากร่างกายของเด็กมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการเจริญเติบโตของ สมองด้วย การส่งเสริมพัฒนาการเด็ก สามารถท าได้โดยให้เด็กได้เรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ให้ เด็กได้ค้นพบค าตอบจากสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ดังนั้น การพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักการของหลักสูตรเป็นการ เรียนรู้ผ่านการเล่น การได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า และท ากิจกรรมต่างๆอย่างสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน คือ พัฒนาการ ด้านร่างกาย เด็กจะได้พัฒนาร่างกายในส่วนหลักๆ คือ การท างานประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา กล้ามเนื้อ มัดเล็กพัฒนาการทางด้านอารมณ์ คือ การได้ชื่นชมและสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงาม พัฒนาการทางด้านสังคม คือ เด็กได้ท างานร่วมกับผู้อื่น รู้จักรอคอยที่จะใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น และเรียนรู้การแบ่งปัน พัฒนาการทางด้าน สติปัญญา คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ รูปทรง ความกว้าง ความยาว ความสูง ขนาด (เล็ก - ใหญ่) พื้นผิว (เรียบ - ขรุขระ) เป็นต้น ศิลปะสร้างสรรค์ยังส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิด รู้จักท าและรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์ มีความประณีตและความเป็นระเบียบ สิ่งที่ส าคัญในการจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็ก คือ การค านึงถึง ตัวเด็กและการเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมต่อความถนัด ความสนใจตามธรรมชาติกับพัฒนาการของเด็กแต่ละ
- 7 - คน กิจกรรมต้องสามารถยืดหยุ่นได้ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดตามจินตนาการและได้ท างานอย่าง อิสระ ควรเน้นการท างานเป็นกระบวนการมากกว่าผลผลิต เช่น เวลาที่เด็กได้วาด ได้เขียน และได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกับเพื่อนๆ อย่างมีความสุขสนุกสนาน จะมีความส าคัญมากกว่าผลงานที่คุณครูหรือผู้ปกครอง คาดหวังว่าจะต้องสวยงาม เรียบร้อยตามแบบอย่าง เพราะการสร้างสรรค์ผลงานของเด็กเป็นการลองผิดลอง ถูก และเรียนรู้การแก้ปัญหาตลอดเวลา ส่วนการแก้ปัญหาของเด็กนั้นอาจมีถูกมีผิดบ้าง ตามแต่ความสามารถ ในการสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัวเด็ก ซึ่งจะช่วยให้เด็กปฐมวัยค่อยๆพัฒนางานสร้างสรรค์ได้ดีขึ้นในระดับสูงต่อไป อีกด้วย (ขนิษฐา บุนนาค, 2562) ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนม ที่ให้เด็กได้ฝึก ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อมือและนิ้วมือได้อย่างคล่องแคล่ว การ ควบคุมกล้ามเนื้อ และการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา รวมทั้งยังได้ฝึกให้เด็กมีจินตนาการในการท า กิจกรรม ซึ่งสามารถหาวัสดุได้และมีความปลอดภัยต่อเด็ก เพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัด เล็กของเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมที่มีต่อความสามารถในการ ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ๒. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนม ๓. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนม ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๑. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผล ของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมที่มีต่อความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ของเด็กปฐมวัย ๒. วิเคราะห์กรอบแนวคิดในการจัดผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนม ที่มีต่อ ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ๑๐ กิจกรรม ๓. ก าหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการวิจัยในชั้นเรียน ผลของการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมที่มีต่อความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยอนุบาล 2/3 โรงเรียนบ้านโกตาบารู ๔. จัดท าแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องที่มีต่อความสามารถใน การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก จ านวน ๑๐ กิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่ ๑ รถยนต์พาซิ่ง กิจกรรมที่ ๒ เรือใบหรรษา
- 8 - กิจกรรมที่ ๓ จรวดพาเพลิน กิจกรรมที่ ๔ สัญญาณไฟจราจรน่ารู้ กิจกรรมที่ ๕ เรามาสานแท็บเล็ตกัน กิจกรรมที่ 6โทรศัพท์สร้างสรรค์ กิจกรรมที่ ๗ โทรทัศน์แสนสนุก กิจกรรมที่ ๘ ใบพัดหลากสี กิจกรรมที่ ๙ โมบายสีสัน กิจกรรมที่ ๑๐ สีสัญลักษณ์ที่ควรรู้ ๕. น าไปด าเนินการจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล ๒/๓ จ านวน ๒๓ คน โดยใช้ ระยะเวลา ๕ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๒ วัน วันละ ๔๕นาที รวมเป็น ๑๐ ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๑. แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมที่มีต่อความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัด เล็กของเด็กปฐมวัย ๒. แบบบันทึกพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จากกล่องนม ๓. แบบบันทึกพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ระหว่างการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จาก กล่องนม ๔. แบบประเมินความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่อง นม ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม ๑. ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๒. กลุ่มไลน์ครูอนุบาล ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม ๑. วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการท ากิจกรรม ได้แก่ กล่องนม กระดาษสี ดินสอ ปากกาเคมี กาว ไม้ไอศกรีม หลอด กรรไกร ไม้เสียบลูกชิ้น ๒. วีดีโอสาธิตการประดิษฐ์ชิ้นงาน ๗. ผลการด าเนินงาน ๑) ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมที่มีต่อความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็ก เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ๒) ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย หลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จาก กล่องนมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม ๓) ความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากกล่องนมหลังการจัด กิจกรรมอยู่ในระดับมาก
- 9 - ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) ๑. เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดีขึ้นโดยใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์จากกล่องนม ๒. ครูได้วิธีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กโดยการใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์จากกล่องนม ๓. โรงเรียนได้น าเอกสารรายงานการวิจัยเป็นข้อมูลในการประเมินการประกันคุณภาพการศึกษา ๙. ภาพประกอบ as
- 10 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นอนุบาล 2/1 โดยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จากวัสดุเหลือใช้ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางมาซีเตาะห์ โตะแวอายี โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ 087-2875923 e-mail [email protected] 2. ความส าคัญของผลงาน การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีความสามารถอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขจ าเป็นต้องได้รับการพัฒนาทักษะ พื้นฐานส าหรับอนาคต ได้แก่ ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการคิดวิจารณญาณทักษะทางสังคม ทักษะการคิด สร้างสรรค์ และทักษะการแก้ปัญหา เด็กควรได้รับการถ่ายทอดทัศนคติความเชื่อทางจิตใจและสังคมตั้งแต่ เล็กๆ อันจะเป็นผลสืบเนื่องต่อพฤติกรรมทางสังคมของเด็กเมื่อเติบโตขึ้น ดังที่บลูม (Bloom, 1964 : 215 ; อ้างถึงใน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, 2555 : 12) กล่าวว่า ควรให้ความส าคัญในการให้ประสบการณ์ทางสังคม กับเด็กในช่วงปฐมวัยเพราะเด็กในวัยดังกล่าวมักมีปัญหาในการยอมรับจากเพื่อนและยังน าไปสู่ปัญหาการอยู่ ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งการพัฒนาทางสังคมของเด็กปฐมวัยควรมุ่งให้เด็กรู้จักและค านึงถึงผู้อื่น ดังนั้น การ ที่จะพัฒนาเด็กปฐมวัยให้สมบูรณ์ต้องพัฒนาให้ครอบคลุมทุกด้านโดยเฉพาะทักษะทางสังคม ต้องปลูกฝังให้ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมไปพร้อมๆ กันเพื่อสร้างจิตส านึกให้เด็กปฐมวัยเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อ สังคมรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมีความเห็นอกเห็นใจกัน ตลอดจนการช่วยเหลือ แบ่งปัน พฤติกรรม เหล่านี้ส่งเสริมให้เด็กเกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อสังคมและสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้หลายด้าน เพราะธรรมชาติของ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จะส่งเสริมให้เด็กได้ช่วยเหลือ แบ่งปันและร่วมมือกัน เป็นกิจกรรม ที่ท าให้เกิด กระบวนการกลุ่ม ส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสมเมื่อเด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กัน โดยการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัย ครูเป็นผู้มีบทบาทส าคัญในการออกแบบ การจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิด การพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ควรเน้นให้มีสื่อของจริงให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงมีโอกาสสังเกต ส ารวจ ค้นคว้า ทดลองแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยครูสามารถจัดกิจกรรมได้ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวอาจมีการก าหนดเงื่อนไข เพื่อน าไปสู่การเกิดพฤติกรรที่เหมาะสม โดยมีครูคอยเป็น ผู้ก ากับดูแล กระตุ้นให้แรงเสริม (พรเพ็ญ บัวทอง, 2555) จากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียนชั้นอนุบาล 2/1 โรงเรียนบ้านโกตาบารูภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 พบว่า เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2/1 ยังมีปัญหาทักษะทางสังคมหลายๆ ด้าน เช่น การช่วยเหลือ สังเกตได้
- 11 - ในช่วงของกิจกรรมสร้างสรรค์ เด็กส่วนใหญ่ไม่เก็บของเข้าที่ ยังไม่มีการแบ่งปันวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ ในช่วงของกิจกรรมสร้างสรรค์ให้กับเพื่อนๆในกลุ่ม และยังไม่ได้ให้ความร่วมมือในการท างานกลุ่ม การเป็นผู้น า ผู้ตาม การรอคอย การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น ทักษะทางสังคมเป็นทักษะพื้นฐานที่จะต่อยอดเข้ากับ กิจกรรมอื่นๆ เป็นทักษะพื้นฐานที่จ าเป็นต้องใช้ในชีวิตประจ าวัน ผู้วิจัยได้มองเห็นถึงทักษะ การช่วยเหลือ การแบ่งปัน และการร่วมมือของเด็กยังขาดทักษะเหล่านี้ ผู้วิจัยจึงส่งเสริมก่อนทักษะอื่นๆ ในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ทั้ง 6 กิจกรรมหลัก ผู้วิจัยสังเกตเห็น เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ให้ความสนใจ มีความสุข และสนุกสนาน เมื่อได้ท างานศิลปะ เพราะจะได้แสดงออกถึงความคิดของตนเองผ่านการท างานศิลปะ ครูจึงสนใจที่จะ ท าการศึกษากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากการใช้วัสดุเหลือใช้เชื่อมโยงเข้าสู่ทักษะทางสังคมทั้ง 3 ด้านคือ การ ช่วยเหลือ การแบ่งปัน และการร่วมมือ เพื่อให้เด็กได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างมีความสุขและกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์จากวัสดุเหลือใช้Recycle for HSC นี้เป็นหนึ่งวิธีการ ที่ต้องการพัฒนาทักษะทางสังคม ซึ่ง กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากวัสดุเหลือใช้ เป็นกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่ได้ใช้วัสดุเหลือใช้ต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัว สามารถหาได้ง่าย เช่น กล่องกระดาษ กล่องนม กระดาษลัง ขวดน้ า ตะกร้าใบเล็ก แก้วกระดาษ เศษกระดาษ สีและแกนกระดาษทิชชู มาสร้างสรรค์ผลงานให้มีความแตกต่างจากศิลปะแบบเดิม การใช้วัสดุเหลือใช้เป็นการ ลดค่าใช้จ่ายและได้รู้จักการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ดังนั้น การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะพัฒนาทักษะทางสังคมของเด็ก ซึ่งการเรียนรู้เหล่านี้ของเด็ก จะพัฒนาให้เด็กด าเนิน ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขส่งเสริมให้เด็กได้เข้าใจตนเองและผู้อื่นมีความคิดอิสระรู้จักที่จะให้การช่วยเหลือ การแบ่งปัน ความร่วมมือ เรียนรู้ที่จะคิด และตัดสินใจโดยการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นได้ดีขึ้น ๓.จุดประสงค์ 1.เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการร่วมกิจกรรม 2.เพื่อให้เด็กสามารถแบ่งปันอุปกรณ์ในการร่วมกิจกรรม 3.เพื่อให้เด็กสามารถให้ความร่วมมือในการร่วมกิจกรรม ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ผู้สอนออกแบบลักษณะของกิจกรรมให้มีการส่งเสริมทักษะทางสังคมใน 3 เรื่อง คือ การช่วยเหลือ การ ร่วมมือ และการแบ่งปัน วิเคราะห์กรอบแนวคิดในการสร้างชุดกิจกรรมขึ้นมา 10 กิจกรรม ในแต่ละกิจกรรม จะใช้วัสดุเหลือใช้ในการออกแบบกิจกรรมทั้งหมด 6 อย่าง ได้แก่ กล่องกระดาษ กล่องนม กระดาษลัง ขวดน้ า ตะกร้าใบเล็ก แก้วกระดาษ เศษกระดาษสีและแกนกระดาษทิชชู การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แต่ละครั้งจะ มีกระบวนการในการด าเนินกิจกรรม 4 ขั้นตอนส าคัญ ได้แก่ ขั้นที่ 1 R (Recycle) สนทนาถึงสิ่งที่สามารถน ากลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง ขั้นที่ 2 H (Help) ช่วยกันจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ขั้นที่ 3 S (Share) แบ่งปันสิ่งของในการท างานร่วมกันภายในกลุ่ม ขั้นที่ 4 C (Cooperation) ร่วมกันจัดแสดงและน าเสนอผลงานกลุ่มและผลงานคู่
- 12 - ๕. สื่อประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ - แผนการสอน 10 กิจกรรม - วัสดุ อุปกรณ์ตรงตามกิจกรรม ๖. การวัดและประเมินผล แบบบันทึกสังเกตพฤติกรรมพัฒนาการของเด็กขณะท ากิจกรรม ๗. ผลการด าเนินงาน 1.เด็กสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการร่วมกิจกรรม 2.เด็กสามารถแบ่งปันอุปกรณ์ในการร่วมกิจกรรม 3.เด็กสามารถให้ความร่วมมือในการร่วมกิจกรรม ๙. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน นักเรียนรู้จักให้ความช่วยเหลือในการร่วมกิจกรรมมากขึ้น มีการแบ่งปัน ร่วมเก็บอุปกรณ์เข้าที่ อย่างเรียบร้อยให้ความร่วมมือได้เป็นอย่างดีสามารถด ารงชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ผลที่เกิดกับครู ครูได้รู้และเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถที่จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ง่ายดียิ่งขึ้น ง่าย ต่อการจัดกิจกรรม มีระบบระเบียบในห้องเรียน ส่งผลให้ครูมีเจตคติที่ดีต่อการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาการ เรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะทางสังคม ผลที่เกิดกับโรงเรียน โรงเรียนได้รับความพึงพอใจกับผู้ปกครองและชุมชนได้ดีส่งผลให้ผู้ปกครองมีความเชื่อมั่นใน โรงเรียนมากขึ้น อีกทั้งโรงเรียนสามารถน ารายงานนวัตกรรมนี้เป็นข้อมูลในการประเมินการประกันคุณภาพ การศึกษาได้
- 13 - 1๐. ภาพประกอบการจัดกิจกรรม กิจกรรมที่ 1 รถไฟปู๊นปู๊น กิจกรรมที่ 2 เรือน้อยโคลงเคลง กิจกรรมที่ 3 เครื่องบินของหนู กิจกรรมที่ 4 ฮัลโหลเพื่อนจ๋า
- 14 - กิจกรรมที่ 5 TVแสนสนุก กิจกรรมที่ 6 Ipad ของหนู กิจกรรมที่ 7 แก้วกระดาษมหัศจรรย์
- 15 - กิจกรรมที่ 8 เรามาระบายสีกันเถอะ กิจกรรมที่ 9 ดอกไม้แสนสวย กิจกรรมที่ 10 ภาพพิมพ์จากตะกร้า
- 16 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่โดยใช้ชุดกิจกรรมลูกบอลหรรษา ของนักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนบ้านโกตาบารู ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางรอบีเย๊าะ เจ๊ะเตะ โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ ๒.ความส าคัญของผลงาน จากการผู้สอนได้ท าการสอนในภาคเรียนที่ 1 พบว่าเด็กส่วนใหญ่ในห้องยังขาดความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ โดยสังเกตได้จากการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวจังหวะและกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เด็กบางคน ยังเคลื่อนไหวร่างกายไม่คล่องแคล่ว เคลื่อนไหวร่างกายเชื่องช้า เด็กไม่สามารถเดินทรงตัวได้ เช่น ไม่สามารถ เดินทรงตัวบนทางแคบ ไม่สามารถเดินทรงตัวบนล้อยางรถยนต์ เด็กไม่สามารถรับลูกบอลได้ เช่น ไม่สามารถ รับลูกบอลด้วยสองมือทั้งสองข้าง ไม่กล้ายื่นมือรับลูกบอล เด็กไม่สามารถกระโดดได้ เช่น ไม่สามารถกระโดด ข้ามสิ่งกีดขวาง ไม่สามารถกระโดดสองขาลงพร้อมกันและการท างานของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ไม่ประสานสัมพันธ์ กัน เช่น ไม่สามารถเตะลูกบอลให้เข้าประตู ไม่สามารถขว้างลูกบอลชนขวดให้ล้ม เป็นต้น ท าให้ผู้สอนมีความ สนใจที่จะออกแบบกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็ก โดยมีแนวคิด จากการจัดกิจกรรมกลางแจ้งที่ผ่านมาพบว่าเด็กมีความสนใจและสนุกสนานเมื่อได้เล่นกับลูกบอล ผู้วิจัยจึงได้ ออกแบบกิจกรรมลูกบอลหรรษา โดยการน าลูกบอลขนาดต่างๆมาเป็นสื่อหลักในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็กในการเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สัมพันธ์กันในการท างานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ใน ชีวิตประจ าวันของฌเด็กให้ดีขึ้น ๓. จุดประสงค์ ๑. นักเรียนสามารถใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ในการท ากิจกรรมได้อย่างคล่องแคล่ว ๔. นักเรียนสามารถใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้ประสานสัมพันธ์กันในการท ากิจกรรม ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๕. แผนการจัดกิจกรรม
- 17 - ๖. แบบบันทึกพฤติกรรมก่อน ระหว่างและหลังการจัดกิจกรรม ๗. แบบประเมินความพึงพอใจ ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม การน าลูกบอลชนิดต่างๆมาเป็นสื่อหลักในการจัดกิจกรรม ได้แก่ ลูกบอลเบอร์ 10 ส าหรับเด็ก ลูก บอลยาง ลูกบอลพลาสติกสี ลูกปิงปอง และยังใช้อุปกรณ์อื่นๆประกอบกิจกรรมอีกด้วย ๗. ผลการด าเนินงาน นักเรียนมีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สูงขึ้นกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม อันเนื่องจาก ได้รับการฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่จากการใช้ชุดกิจกรรมลูกบอลหรรษา เพื่อพัฒนาความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ทั้ง 2 ด้าน ได้แก่ ความคล่องแคล่วและการประสานสัมพันธ์กันของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ หลังจากการจัดกิจกรรมนักเรียนมีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมทุก กิจกรรมและมีระดับการเปลี่ยนแปลง คือ ระดับปานกลางไปสู่ระดับสูงทั้งโดยรวมและในแต่ละด้าน ซึ่งเป็น ไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งผู้วิจัยได้สังเกตก่อนการจัดกิจกรรม นักเรียนยังขาดความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่เรื่องความคล่องแคล่วและการประสานสัมพันธ์กันของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การเดินทรงตัว การกระโดด การเตะลูกบอล การโยนลูกบอล การรับลูกบอล เป็นต้น เมื่อผู้วิจัยได้ท าการใช้ชุดกิจกรรมลูกบอล หรรษากับนักเรียนประมาณกิจกรรมที่ 5 จึงได้สังเกตเห็นถึง ความเปลี่ยนแปลงของนักเรียนพบว่านักเรียนมี การพัฒนาด้านร่างกายที่ดีขึ้นสามารถใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ในการท ากิจกรรมเคลื่อนไหวจังหวะ กิจกรรม กลางแจ้งได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไวมากขึ้น สามารถควบคุมการใช้งานส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สัมพันธ์กัน นักเรียนสามารถช่วยเหลือตนเองในการท ากิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนได้ดีขึ้น เห็นได้ว่านักเรียนมีการพัฒนา กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้อย่างชัดเจนขึ้น ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) 1. นักเรียนมีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ดีขึ้นจากการใช้ชุดกิจกรรมลูกบอลหรรษา 2. ครูสามารถน าชุดกิจกรรมลูกบอลหรรษา มาเป็นแนวทางการในการพัฒนาความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้อย่างเหมาะสม 3. โรงเรียนได้เอกสารงานวิจัยเพื่อประเมินใช้ในการประเมินคุณภาพทางการศึกษาตามเกณฑ์ มาตรฐานที่ก าหนด
- 18 - ๙. ภาพประกอบ
- 19 -
- 20 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะการพูดของนักเรียน โดยใช้หนังสือนิทาน ชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 โรงเรียนบ้านโกตาบารู กลุ่มสาระการเรียนรู้ ปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ ๓/๒ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสุมาลี แซ่ฟุ้ง โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๘๙-๗๓๗๑๒๙๔ e-mail [email protected] ๒.ความส าคัญของผลงาน จากการประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 มาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ในมาตรฐานที่9 ตัวบ่งชี้ที่1 ซึ่งก าหนดไว้ว่า เด็กอายุ 5-6 ปี สามารถสนทนาโต้ตอบ ค าถาม และเล่าเรื่องให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ซึ่งผลการประเมินทักษะทางการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านโกตาบารู จ านวน 31 คน มีทักษะการพูดที่ควรส่งเสริมคือ ไม่กล้าพูด ไม่สามารถ สนทนาโต้ตอบเป็นประโยคที่ต่อเนื่องได้และไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เนื่องจากนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ปี การศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านโกตาบารู จ านวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 96.77 เป็นเด็กมุสลิมซึ่งใช้ภาษามลายู ถิ่นในการสื่อสารในชีวิตประจ าวัน จึงท าให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ จากเหตุผลที่ได้กล่าวมา ข้าพเจ้าจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาทักษะการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่3/2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านโกตาบารูโดยใช้หนังสือนิทาน เพื่อพัฒนาทักษะการพูดและการสื่อสาร ของนักเรียนชั้นอนุบาลให้เหมาะสมตามวัย ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการพูดที่ดีขึ้น กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นและสามารถสนทนาโต้ตอบ ต่อเนื่องได้ ๒.เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการพูดสื่อสาราสมารถน ามาใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้และใช้พูดคุยใน ชีวิตประจ าวันมากขึ้น
- 21 - ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ 4.1 การออกแบบผลงาน/กิจกรรม 4.1.1 ศึกษาแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้องได้แก่ - ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย - การพูด - นิทานส าหรับเด็กปฐมวัย 4.1.2 วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 มาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 4.1.3 ออกแบบกิจกรรมการพัฒนาทักษะการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 3/2 โดยใช้หนังสือนิทาน 4.2 ด าเนินกิจกรรมตามวงจรคุณภาพเดมมิ่ง หรือ PDCA ประกอบด้วย 4.2.1 ขั้นวางแผน (P) ศึกษาหลักการ จุดมุ่งหมาย คุณลักษณะตามวัย และโครงสร้าง หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ทราบเนื้อหาในการจัดกิจกรรม วัสดุ อุปกรณ์ ในการจัดกิจกรรม และหนังสือนิทาน 4.2.2 ขั้นด าเนินการ (D) ด าเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาล ปีที่ 3/2 โดยใช้หนังสือนิทานจ านวน 5 เรื่อง 4.2.3 ขั้นตรวจสอบ และประเมินผล (C) ในการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 โดยใช้หนังสือนิทาน จะใช้แบบประเมินพฤติกรรมการพูดของนักเรียนเพื่อสังเกตว่านักเรียนมี ความสามารถทางการพูดเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ กล้าพูดคุย กล้าแสดงความคิดเห็น และ สามารถสนทนาโต้ตอบเป็นประโยคที่ต่อเนื่องได้หรือไม่ 4.2.4 ขั้นปรับปรุงและพัฒนา (A) จากการจัดกิจกรรมดังกล่าว ข้าพเจ้าได้ศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของ การส่งเสริมทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่จะช่วยส่งเสริมทักษะทาง ภาษาของเด็กปฐมวัย เช่น การใช้เพลง ค าคล้องจอง ปริศนาค าทาย ซึ่งจะน าไปสู่การจัดกิจกรรมใน ครั้งต่อไป
- 22 - ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th - Line ห้องเรียน ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม - หนังสือนิทาน ๕ เรื่อง ๗. ผลการด าเนินงาน 7.1 เชิงปริมาณ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ร้อยละ 70 มีทักษะการพูดที่ดีขึ้น กล้าพูด กล้าแสดง ความคิดเห็นและสามารถสนทนาโต้ตอบต่อเนื่องได้ 7.2 เชิงคุณภาพ นักเรียนมีทักษะการพูดสื่อสารมาใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้และใช้พูดคุยใน ชีวิตประจ าวันมากขึ้น ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) ๑. จากการจัดกิจกรรมการเล่านิทานนักเรียนได้รับการพัฒนาให้มีทักษะการพูดที่ดีขึ้น กล้า พูด กล้าแสดงความคิดเห็น สามารถสนทนาโต้ตอบได้อย่างต่อเนื่อง สามารถพูดสื่อสารในขณะท า กิจกรรมการเรียนรู้และใช้พูดคุยในชีวิตประจ าวันได้มากขึ้น ๒. ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องมีความภาคภูมิใจที่นักเรียนมีทักษะการพูดที่ดีขึ้นสามารถน า ใช้พูดคุยสื่อสารในชีวิตประจ าวันได้มากขึ้น
- 23 - ๙. ภาพประกอบ
- 24 - กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
- 25 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓/๑ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางฐิตินันท์ หมาน โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๘๙-๘๗๙-๑๐๕๑ e-mail makee๙๓๘๔@gmail.com ๒.ความส าคัญของผลงาน การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ การอ่านจับใจความส าคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๒) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับ ใจความส าคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ และ ๓) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ที่ก าลัง เรียนในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จ านวน ๓๒ คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ๓. จุดประสงค์ ๑.สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๒. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการ อ่านจับใจความส าคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ๓.ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน จับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓
- 26 - ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓/๑ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ที่ก าลังเรียนในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จ านวน ๓๒ คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๑) แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) จ านวน ๔ เล่ม ได้แก่ เล่มที่ ๑ พื้นฐานการอ่าน จับใจความส าคัญ เล่มที่ ๒ การอ่านจับใจความส าคัญจากข่าว เล่มที่ ๓ การอ่านจับใจความส าคัญ จากนิทาน และเล่มที่ ๔ การอ่านจับใจความส าคัญจากค าแนะน า ๒) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้คู่กับแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) จ านวน ๑๘ แผน ใช้เวลา สอน ๑๘ ชั่วโมง ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก มีค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงค าตอบเดียว จ านวน ๓๐ ข้อ ๔) แบบประเมินวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน ๒๐ ข้อ สถิติที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (T-test) ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์www.kotabaru.ac.th - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์www.kroobannok.com ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) จ านวน ๔ เล่ม ได้แก่ เล่มที่ ๑ พื้นฐานการอ่านจับใจความ ส าคัญ เล่มที่ ๒ การอ่านจับใจความส าคัญจากข่าว เล่มที่ ๓ การอ่านจับใจความส าคัญจากนิทาน และเล่มที่ ๔ การอ่านจับใจความส าคัญจากค าแนะน า ๗. ผลการด าเนินงาน ๑.แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด ๑๙ (Covid – ๑๙) ด้วยรูปแบบ การสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๓.๓๖/๘๔.๑๗ ซึ่งเป็นไป ตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ส าคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕
- 27 - ๓.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ การอ่านจับใจความส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบ ออนแฮนด์ (On Hand) โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = ๔.๔๙, S.D. = ๐.๖๐) ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ด้วยรูปแบบการสอนแบบออนแฮนด์ (On Hand) โดยรวมอยู่ในระดับมาก ๙. ภาพประกอบ
- 28 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑. ชื่อผลงาน พัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้น าเสนอผลงาน นางณภัทร เบลเลอร์ ๒. ความส าคัญของผลงาน การอ่านมีความส าคัญและมีความจ าเป็นอย่างยิ่งในการด ารงชีวิตของมนุษย์ เพราะนอกจากการอ่าน จะเป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรูแลว การอ่านยังเป็นการหาความบันเทิงจากงานเขียนหรือสื่อเทคโนโลยี ต่าง ๆ ไดอีกทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ผู้สอนจึงควรจัดการเรียนรูที่เน้นให้ กับผู้เรียนไดตระหนักถึงความส าคัญและ สามารถพัฒนากระบวนการอ่านของตนเองให้มีประสิทธิภาพ น าการอ่านไปใช้ในชีวิตประจ าวันไดอย่างดีและมี ความสุข การพัฒนาทักษะการอ่านให้ไดผลดีจ าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาทักษะการเขียนให้สัมพันธ์กัน เพราะ เป็นทักษะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ผู้เรียนจะต้องประมวลความรูความคิดจากเรื่องต่างๆ ของตนมาใช้เป็น พื้นฐานในการเขียนแสดงความคิดเห็น ข้อเท็จจริง ตลอดจนจินตนาการของตนไปสูผู้อ่าน ผูอ่านต้องใช้ทักษะ การอ่านเพื่อจับใจความส าคัญจากข้อความที่อ่าน การสอนอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H เป็นการฝึกทักาะการอ่านจับใจความให้กับผู้เรียน ดดย ใช้เทคนิคการตั้งค าถาม What (อะไร) เกิดปัญหาอะไร Who (ใคร) ปัญหานี้เกิดกับใคร หรือใครเป็นผู้ที่ท าาให้ เกิดปัญหานี้ Why (ท าาไม) ท าาไมจึงเกิดปัญหานี้ When (เมื่อใด) ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อใด Where (ที่ไหน) ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน How (อย่างไร) จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อเป็นการกระตุ้นความคิด ให้ผู้เรียนเกิด ความคิดเชื่อมโยงเนื้อหาที่อ่านกับประสบการณ์ที่มีและสามารถจับใจความ เข้าใจความของเรื่องที่อ่านได้ ๓. จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในเรื่องของนักเรียนเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน ๔.๑ ศึกษาปัญหาการเรียนการสอน โดยให้นักเรียนท าแบบทดสอบความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการอ่าน จับใจความพบว่า นักเรียน ร้อยละ ๑๐๐ ไม่ผ่านการประเมิน
- 29 - ๔.๒ ก าหนดและจัดท านวัตกรรมการเรียนการสอน - ศึกษารูปแบบ-วิธีการท าแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ - จัดท าแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ - ตรวจสอบความเหมาะสม ถูกต้องของเนื้อหา - น าไปใช้กับผู้เรียน - เผยแพร่แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ ๔.๓ การน านวัตกรรมการเรียนการสอนไปใช้ในการเรียนการสอน - น า นวัตกรรม ไปใช้กับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านโกตาบารู จ านวน ๒๒ คน ภาคเรียนที่ ๒ ในวันที่ ๑๒ – ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นเวลา ๓ ชั่วโมง (ไม่รวม ทดสอบก่อน – หลังเรียน) ๔.๔ ผลการใช้นวัตกรรม - เปรียบเทียบผลการใช้นวัตกรรม โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน – หลังเรียน ผลต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนสูงขึ้นทุกคน ๕. ปัญหา อุปสรรค - เนื่องจากมีนักเรียนบางคนขาดเรียนในช่วงที่ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ในการสอน ท าให้มีผลต่อ คะแนนหลังการใช้นวัตกรรม นวัตกรรม
- 30 - กิจกรรมการเรียนรู้
- 31 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะและสระโดยใช้กระดานน่ารู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวนูรซาฮีดา สาและ โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๘๐๗๙๖๑๔๖๙ e-mail [email protected] ๒.ความส าคัญของผลงาน จากสภาพการเรียนการสอนภาษาไทยครูผู้สอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑/๒ โรงเรียนบ้าน โกตาบารูคือ นักเรียนมีปัญหาทางด้านการอ่านและการเขียนสะกดค า มีสาเหตุมาจากนักเรียนมีทักษะทาง ภาษาค่อนข้างต่ า ซึ่งเกิดจากนักเรียนยังจ าพยัญชนะ และสระได้ไม่แม่นย า อีกทั้งนักเรียนไม่ได้ฝึกทบทวนการ อ่านการเขียนที่บ้าน และนักเรียนใช้ภาษามลายูในการสื่อสารในชีวิตประจ าวัน จึงท าให้การอ่านและการ เขียนภาษาไทยของนักเรียนพัฒนาไปได้ช้ากว่าท้องถิ่นอื่นๆ จากความส าคัญของการอ่านและการเขียนดังที่กล่าวมาข้างต้นและจากประสบการณ์ การสอนของ ครูผู้สอนวิชาภาษาไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ พบว่า นักเรียนบางส่วนยังอ่านสะกดค าและเขียนค าได้ ไม่ถูกต้อง สาเหตุดังกล่าวท าให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียนวิชาภาษาไทยใน ครูผู้สอนจึงได้พัฒนา คิดค้นกระดานน่ารู้ขึ้นมา โดยน าการท ากิจกรรม cup song ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง โดยต้องเคาะแก้ว ให้เข้ากับจังหวะ เป็นการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดสมาธิ ฝึกความจ าและท าซ้ าๆทุก วัน เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะและสระได้ถูกต้อง อันจะน าไปใช้เป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนการ สอน เพื่อช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยดียิ่งขึ้น ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อพัฒนาทักษะการทักษะการอ่านพยัญชนะและสระได้ถูกต้อง ๒. เพื่อฝึกสมาธิในการท างาน ๓. ช่วยเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่านเขียน
- 32 - ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วยด าเนินงานตามขั้นตอนและวิธีการดังนี้ ๑. ศึกษาปัญหาการเรียนการสอน ๒. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ วิเคราะห์สาระ มาตรฐาน การเรียนรู้และศึกษาตัวชี้วัด ๓. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะและสระ ๔. สร้างกระดานพยัญชนะและสระโดยใช้โปรแกรม canva ๕. น ากระดานพยัญชนะและสระน าเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม ความตรง ตามเนื้อหา น ามาปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน า ๖. ทดสอบผู้เรียนก่อนการฝึก ๗. ด าเนินการฝึก ๘. ทดสอบผู้เรียนหลังการฝึก ๙. สรุป และรายงานผลการฝึก ๑๐. แนะน า เผยแพร่ ต่อยอดความคิด ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th - และครูในโรงเรียนด้วยกัน ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม การพัฒนาทักษะการอ่านพยัญชนะและสระโดยใช้กระดานอักษรน่ารู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จ านวน ๒ ชุด ดังนี้ ชุดที่ ๑ กระดานอักษรกลาง ชุดที่ ๒ กระดานสระเสียงยาว ๗. ผลการด าเนินงาน เนื่องจากกระดานอักษรกลางและสระ เป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนที่เป็นรูปธรรม นักเรียนสามารถ ลงมือด้วยตนเอง การใช้แก้วโดยน าการท ากิจกรรม cup song ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง มีความ เหมาะสมกับวัยและระดับชั้น ท าให้นักเรียนรู้สึกไม่เบื่อหน่าย มีความกระตือรือร้นที่จะเรียน และได้การพัฒนา ทักษะการอ่านพยัญชนะและสระโดยใช้กระดานอักษรน่ารู้ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ การอ่านและการเขียนสูงขึ้น ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) นักเรียน มีทักษะในการอ่านพยัญชนะและสระ มีความสนใจและกระตือรือร้นในการเรียน และยัง สามารถเป็นแนวทางส าหรับครูและผู้สนใจน าไปปรับใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 33 - ๙. ภาพประกอบ ภาพกิจกรรมการใช้กระดานน่ารู้
- 34 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน มาตราตัวสะกด 8 มาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ปีที่ 4 ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางพวงสุด เพ็ชรเรือนทอง โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ 086-9601713 e-mail [email protected] ๒.ความส าคัญของผลงาน เพื่อให้นักเรียนได้การอ่านและการเขียนสะกดคา ใหถู้กตอ้งจะตอ้งมีความรู้เรื่องมาตราตวัสะกด และจา แนกตวัสะกดในแต่ละมาตรา วา่คา ที่มีพยญัชนะตวัใดบา้งอยใู่นมาตราใด หรือแม่ใด ๓. จุดประสงค์ 1. บอกมาตราตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ 2. จ าแนกตัวสะกดในแต่ละมาตราได้ ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย 1. แบบทดสอบก่อนเรียน 2. แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล 3. แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมกลุ่ม 4. แบบบันทึกคะแนน 5. ใบงาน ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th - เผยแพร่ในกลุ่มโรงเรียนใกล้เคียง ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม 1. หนังสือเรียน ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ป.4 2. เกมนักสืบภาษาตามหาตัวสะกด 3. ใบงานที่ เรื่อง มาตราตัวสะกด 4. บัตรค า 5. เกมนักสืบภาษาตามหาตัวสะกด
- 35 - ๗. ผลการด าเนินงาน นักเรียนได้อ่าน และเขียนค าในมาตราตัวสะกดทั้ง 8 มาตรา พร้อมทั้งจ าแนกค าว่า ค าที่มีพยัญชนะตัว ใดบ้าง อยู่ในมาตราใด หรือแม่ใดได้ถูกต้อง ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกดทั้ง 8 มาตรา ด้วยความตั้งใจ ครูนักเรียนปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ๙. ภาพประกอบ
- 36 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑. ชื่อผลงาน ชุดฝึกเสริมทักษะการเขียนเรื่องจากภาพ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ผู้น าเสนอผลงาน นางสาวเฟาซีย๊ะ แซการี โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๒. ความส าคัญของผลงาน สภาพปัญหาของผู้เรียน จากการจัดการเรียนรู้ในวิชาภาษาไทย และการทดสอบความสามารถใน การอ่านและการเขียนที่ผ่านมานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ยังพบปัญหาอย่างมากในการเขียนให้ ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย ผู้เรียนส่วนใหญ่มีทักษะด้านการเขียนเรื่องไม่เพียงพอ ท าข้อสอบใน ส่วนของการเขียนเรื่องจากภาพไม่ได้ ซึ่งผู้เรียนขาดทักษะในการเขียนประโยค ท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ จากจากทดสอบต่ า ไม่สามารถผ่านเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ เพราะผู้เรียนขาดทักษะต่าง ๆ ที่จ าเป็นต่อการ เขียนเช่น การเลือกใช้ค า ส านวน การเรียบเรียงประโยค การล าดับเนื้อความให้สละสลวย จึงส่งผลให้ ผู้เรียนไม่สามารถเขียนเรื่องได้เท่าที่ควร ซึ่งแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบเดิมยังไม่ส่งผลให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้านการเขียนเท่าที่ควร ท าให้การจัดการเรียนรู้ต่อผู้เรียนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะการเขียนเรื่องที่ดีขึ้น ครูผู้สอนจึงพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนเรื่อง จากภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนประโยคผสมผสานกับทักษะการเขียนเรื่องของผู้เรียนขึ้นมา ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อช่วยให้นักเรียนการเขียนเรื่องจินตนาการจากภาพได้ ๒. เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการด้านการเขียนของนักเรียน ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ด าเนินงานตามขั้นตอนและวิธีการดังนี้ 1 วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ในเรื่องของมาตรฐานการเรียน และตัวชี้วัดของเนื้อหา เรื่อง การเขียนเรื่องตามจินตนาการ 2 ศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อแบบฝึกเพื่อพัฒนาการเขียนภาษาไทย 3 จัดท าโครงร่างของเนื้อหาแบบฝึกภาษาไทย เรื่อง การเขียนเรื่องจากภาพ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ ด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น จากความรอบรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ใกล้ตัวผู้เรียน ชุมชนของตนเองหรือเหตุการณ์ ปัจจุบันที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย
- 37 - 1. ฝึกเขียนค า สิ่งต่าง ๆ ที่มองเห็นในภาพ 2. ฝึกน าค ามาเขียนประโยค 3. ฝึกเชื่อมโยงประโยค 4. จับประเด็น/เขียนอย่างสร้างสรรค์ 4 ใช้กระบวนการ PLC ในการพัฒนาสื่อ ให้คุณครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช่วยกันตรวจสอบ ความถูกต้อง กิจกรรม และแบบฝึกหัด พร้อมทั้งเสนอแนะ เพื่อปรับปรุง แก้ไข 5 จัดท าหน่วยการเรียนรู้พัฒนาทักษะการเขียนเรื่องตามจินตนาการและแผนการจัดการเรียนรู้โดยน า แบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนเรื่องจากภาพ ลงสู่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6 น าเอกสารแบบฝึกพัฒนาทักษะการเขียนเรื่องตามจินตนาการ เรื่อง การเขียนเรื่องจากภาพไปจัด กิจกรรมการเรียนรู้ กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 7 บันทึกผลการเรียนรู้ และประเมินผลของผู้เรียน ผู้สอนน าผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพน าข้อมูลที่ได้พัฒนาผลการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ๕. สื่อการเรียนรู้/ประกอบนวัตกรรม - ชุดฝึกชุดฝึกเสริมทักษะการเขียนเรื่องจากภาพ ประกอบด้วยชุดฝึก จ านวน ๔ ชุด ดังนี้ ชุดที่ ๑ คิดค าจากภาพ ชุดที่ ๒ จิตนาการสร้างบริบท ชุดที่ ๓ เรียงร้อยถ้อยประโยค ชุดที่ ๔ สานความคิดสร้างเรื่อง - เอกสารประกอบการเรียน แบบทดสอบก่อน – หลังเรียน ๖. ผลการด าเนินงาน นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ขั้นตอน สามารถคิด เขียนและเรียบเรียงประโยค เป็นเรื่องราวได้ สามารถส่งเสริมและพัฒนาในด้านการคิด การสร้างสรรค์องค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้ นักเรียนประสบผลส าเร็จในการเรียนรู้อย่างเหมาะสม และหากนักเรียนได้รับการฝึกในลักษณะนี้บ่อยๆ ปัญหา การเขียนเรื่องจากภาพไม่ได้ คงจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ๗. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) นักเรียนสามารถน าทักษะ กระบวนการมาปรับใช้ในการเขียนเรียง บทความในรูปแบบ อื่นๆ และเป็นแนวทางส าหรับครูและผู้สนใจน าไปปรับใช้ในเนื้อหา สาระ อื่น ๆ
- 38 - ๘. ภาพประกอบ
- 39 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ 1. ชื่อผลงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียน โดยใช้เกมการศึกษา ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางอรวรรณ ทองค า โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 1 โทรศัพท์ 073-251295 โทรสาร 073-251295 โทรศัพท์มือถือ 0894723542 e-mail [email protected] 2. ความส าคัญของผลงาน ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ส าคัญที่สุดของมนุษย์เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และ ถ่ายทอดความรู้ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ในการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น ภาษาทุกภาษาหรือ ภาษาของแต่ละชนชาติล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน เนื่องจากภาษาเป็นวัฒนธรรม บันทึกและถ่ายทอดวัฒนธรรม เกี่ยวกับวิถีการด าเนินชีวิตของคนในแต่ละสังคม เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเสริมสร้างทัศนคติความคิด ความเชื่อ ประเทศไทย มีภาษาไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย การสื่อ ความหมายทางภาษานั้น นอกจากจะสื่อสารกันด้วยถ้อยค าที่ตรงไปตรงมาแล้ว ยังมีการใช้ภาษาในลักษณะที่ เป็นส านวน ภาษาไทยมีการใช้ส านวนเพื่อการพูดในชีวิตประจ าวัน และในการเขียนงานประเภทต่าง ๆ “ส านวน” เป็นค าหรือกลุ่มค าที่มนุษย์น ามาใช้ในความหมายพิเศษ แตกต่างไปจากความหมายเดิม หรือความหมายหลักของค าหรือกลุ่มค านั้น ๆ กล่าวคือ เป็นความหมายโดยนัยหรือความหมายเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งผู้รับสารต้องตีความอีกชั้นหนึ่งจึงจะเข้าใจ ส านวนจึงเป็นมรดกทางภาษาอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ควรค่าแก่ การศึกษา เพราะนอกจากเพื่อความเข้าใจในการสื่อสารได้อย่างถ่องแท้แล้ว ยังเป็นคติสอนใจในด้านต่าง ๆ ท า ให้ทราบความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน และเป็นการรักษาวัฒนธรรมทางภาษาอันเป็นมรดกที่ล้ าค้าของไทยให้ ลูกหลานสืบต่อไป หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกรม วิชาการได้ให้นักเรียนศึกษาเรื่องส านวนไทย ซึ่งได้ระบุไว้ในสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทาง ภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ท 4.1 ป. 6/6 วิเคราะห์และเปรียบเทียบส านวนที่ เป็นค าพังเพย และสุภาษิต ซึ่งการที่ครูผู้สอนจะให้ผู้เรียนได้รับความรู้ได้ตามที่หลักสูตรบังคับนั้น ผู้สอนจะต้อง ค้นหาวิธีการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ตามที่หลักสูตรก าหนด และสามารถ เรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ สอดคล้องพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ก าหนดว่าการจัดการ เรียนการสอนต้องเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- 40 - เกมการศึกษา เป็นที่สนใจของเด็กทุกวัย โดยธรรมชาติของแล้ว เด็กจะอยู่นิ่งนาน ๆ ไม่ได้ แม้กระทั่ง เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็เดียวเช่นกัน การเล่นเป็นสิ่งที่เด็กชอบมาก ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่อาจจะมองว่าเป็น เรื่องไร้สาระ แต่แท้จริงแล้วการเล่นเป็นการพัฒนาการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม อารมณ์ และสติปัญญา หากเด็กได้ฝึกฝนให้ใช้ความคิดในการเล่นบ่อย ๆ จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้าน สติปัญญาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเกมการศึกษาจะช่วยส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์สัมผัสต่าง ๆ จาก นามธรรมเป็นรูปธรรม (กรมวิชาการ. 2544 : 57) จากการฝึกประสบการณ์การสอนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 และ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนบ้านโกตาบารูพบว่า การจัดการเรียนการสอนที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ เต็มตามศักยภาพนั้น จะต้องมีวิธีการสอนที่หลากหลาย ซึ่งจะต้องเลือกวิธีการหรือกิจกรรมให้เหมาะสมกับ เนื้อหา หากกิจกรรมการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ นักเรียนก็จะไม่ให้ความสนใจในการเรียน จึงส่งผลให้การ เรียนรู้ของผู้เรียนในเรื่องนั้นไม่บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ จากแนวคิดและเหตุผลที่กล่าวข้างต้นผู้วิจัยมีความเห็นว่า เกมการศึกษา น่าจะเป็นการเรียนรู้รูปแบบ หนึ่งที่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ผู้วิจัยคาดหวังว่าการจัดเรียนการ สอนโดยใช้เกมการศึกษา จะเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ท าให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เต็มตามศักยภาพ ได้รับความรู้ ความสนุกสนาน เป็นการเรียนรู้ที่พัฒนาด้านสังคม อารมณ์ และสติปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นผู้วิจัยจึงมี ความสนใจที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย โดยใช้เกมการศึกษาทั้งนี้เพื่อเป็น แนวทางหนึ่งที่ให้ครูได้น าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษา มาใช้ในการจัด การเรียนการสอนในโอกาสต่อไป 3.วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยใช้เกมการศึกษา ระหว่างก่อนทดลองและหลังทดลอง 2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยใช้เกมการศึกษา ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 80 4. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1. การก าหนดประชากรเป้าหมายและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 2. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า 4. แบบแผนการทดลอง 5. การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การจัดกระท าและวิเคราะห์ข้อมูล 5.สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม เกมการศึกษาเรื่องส านวนไทย
- 41 - 6. ผลการด าเนินงาน จากจุดมุ่งหมาย ข้อที่ 1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยใช้เกมการศึกษาระหว่างก่อนทดลองและหลังทดลอง สามารถ ออกแบบการน าเสนอข้อมูลได้ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย ของ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6/1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษา ซึ่งใช้สถิติแบบ t – test Dependent พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ของนักเรียนโรงเรียนบ้านโก ตาบารู ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยใช้เกมการศึกษา คะแนนหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย 12.13 จากคะแนน เต็ม 20 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3 ซึ่งสูงกว่าคะแนนก่อนการทดลองที่มีค่าเฉลี่ย 11.04 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.62 โดยมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษากับเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยใช้ สถิติแบบ t – test one group พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยใช้เกมการศึกษา มีคะแนนหลังจากที่ได้รับการทดลองการจัดการเรียนรู้ด้วยเกม การศึกษา มีค่าเฉลี่ย 12.13 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 7. สรุปผล จากผลการทดลองพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย หลังจากที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษา สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนโดยมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคะแนนหลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษา มีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้สามารถอภิปรายได้ดังนี้ ลักษณะของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษา เกมการศึกษาเป็นกิจกรรมที่มีกฎกติกา ง่าย ๆ ช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียน ท าให้เด็กเกิดความรู้และ ความ เข้าใจมากขึ้น และเป็นกิจกรรมที่สนองต่อความต้องการตามวัยของเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ทิศนา แขมมณี ( 2543 : 81 ) กล่าวว่า วิธีสอนโดยใช้เกม เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่าง สนุกสนานและท้าทายความสามารถ โดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเอง ท าให้ได้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง ส านักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (2527: 5) กล่าวว่า เกมการศึกษา เป็นกิจกรรมการเล่นที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้เพื่อเป็นพื้นฐานการศึกษาเกมการศึกษามุ่งเน้นให้ เด็กได้ใช้สติปัญญาในการสังเกต คิดหาเหตุผลและแก้ปัญหาโดยพยายามฝึกใช้เวลาสั้นที่สุด ซึ่งการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษา มีขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพียง 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรกผู้สอน น าเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่น ขั้นตอนที่สองผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา และขั้นตอนที่สาม ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่นและวิธีการเล่นหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน หากไม่มี การอภิปรายผลก็จะเป็นเพียงการเล่นทั่วไป ไม่จัดว่าเป็นเกมการศึกษา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม การศึกษา จึงเป็นกิจกรรมการจัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่พัฒนาผู้เรียนหลาย ๆ ด้าน และเป็นกิจกรรมที่ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับความสนุกสนาน กล่าวคือ การเล่นของเด็กไม่ว่าจะเป็นการเล่น เกมหรือการเล่นทั่วไป ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างเสริมกล้ามเนื้อทั้งกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กของเด็ก เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเสริมพัฒนาการทางด้านจิตใจของเด็ก เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กส ารวจโครงสร้าง
- 42 - ด้านสรีระ เช่น การใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายการฝึกการเคลื่อนไหว การใช้พลังงานของร่างกาย และ ยังช่วยให้เด็กได้ค้นหาความสามารถพิเศษของตนเอง เช่นความสามารถด้านการจดจ า การจ าแนกวัตถุสิ่งของสี ขนาด หรือแม้แต่เป็นการฝึกฝนเรื่องระบบการคิด ให้ค่อยๆ พัฒนาเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก การ เล่นจึงเป็นสิ่งส าคัญอย่างมากมายในชีวิตประจ าวันของเด็ก จนอาจกล่าวได้ว่าเด็กใช้เวลาถึงร้อยละ 80 ส าหรับ การเล่น จนมีนักการศึกษาบางท่านกล่าวว่าการเล่นของเด็กคือ การท างาน การฝึกฝนประสบการณ์และการ พัฒนาตนเอง เมื่อการเล่นเป็นชีวิตจิตใจของเด็กเช่นนี้ครูจึงควรสนับสนุนให้นักเรียนได้มีโอกาสเล่นให้มาก เพราะจะท าให้เกิดประโยชน์แก่ตัวนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนิธิกานต์ ขวัญบุญ (2549 : 120) กล่าวว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมการศึกษาท าให้นักเรียนมีความสนใจ สนุกสนานในการเรียนรู้ ได้เรียนรู้ จากการปฏิบัติจริง ได้ค้นพบด้วยตนเอง มีทักษะในการแสวงหาความรู้ 8. ภาพประกอบ
- 43 - กลุ่มสาระการเรียน คณิตศาสตร์
- 44 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑. ชื่อผลงาน : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง “ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ด้วยการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2” โรงเรียนบ้านโกตาบารู ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวธิดาทิพย์ ชูแก้ว โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓ – ๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓ – ๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๙๔ – ๕๙๒๙๔๔๒ e-mail [email protected] ๒. ความส าคัญของผลงาน คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการคิด และเป็นเครื่องมือส าคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของสมองในด้าน ทักษะและกระบวนการคิด ซึ่งประกอบด้วย ทักษะและกระบวนการคิดในการสร้างความคิดรวบยอด และ หลักการทางคณิตศาสตร์การให้เหตุผล การพิสูจน์ การคิดค านวณ และการแก้ปัญหา การสื่อสารความหมาย การน าความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ของสาขาวิชาอื่น หรือใช้เป็นเทคนิคใน การแก้ปัญหา คณิตศาสตร์จึงเป็นวิชาที่ส าคัญ ซึ่งถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรเสมอมา (สุวร กาญจนมยูร, ๒๕๕๔) การศึกษาคณิตศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่กุญแจในการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผลแต่ คณิตศาสตร์ยังมีความส าคัญต่อการศึกษาวิชาต่าง ๆ ในโลกปัจจุบัน โลกปัจจุบันที่ก าลังเปลี่ยนแปลงไปอย่าง รวดเร็ว เป็นสังคมที่อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงมากมายคน ๆ หนึ่งจะต้องมีความสามารถในการคิดเชิงระบบ การ คิดวิจารณญาณ การคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงเหตุผล การคิดในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจซึ่งจ าเป็นต้อง อาศัยองค์ความรู้จากวิชาคณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์จึงเป็นวิชาที่มีความส าคัญกับผู้เรียนทุกคน ผู้เรียน สามารถน าความรู้ทางคณิตศาสตร์ และทักษะจากการเรียนคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจ าวันและเป็นพื้นฐาน ในการเรียนระดับที่สูงขึ้นไปนอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ช่วยเสริมความมีเหตุผล ความเป็นคนช่างคิด ช่างริเริ่มสร้างสรรค์ มีระบบระเบียบในการคิด มีการวางแผนการ ท างานมีความรับผิดชอบในงานที่มอบหมาย และมีความสามารถในการแก้ปัญหา (นิยูสนี อามะและสิริพร ทิพย์คง, ๒๕๕๗) การจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ยังไม่ประสบผลส าเร็จเท่าที่ควร นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนอยู่ในเกณฑ์ต่ า ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากสาเหตุและปัจจัยหลายประการ เช่น เทคนิควิธีการจัดการ
- 45 - เรียนรู้ ที่ยังส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ค่อนข้างน้อย ครูไม่ค่อยเข้าใจในการน าหลักสูตรไปใช้ การจัดท า สื่อการเรียนรู้ และการประเมินผลผู้เรียน ยังไม่สามารถน าไปสู่การปฏิบัติได้ (ส านักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, ๒๕๕๑) การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Problem Solving) เป็นหนึ่งในทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่นักเรียนควรจะเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาให้เกิดขึ้นในตัวนักเรียน เพราะการ เรียนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จะช่วยให้นักเรียนมีแนวทางการคิดที่หลากหลาย มีนิสัยกระตือรือร้นไม่ย่อ ท้อและมีความมั่นใจในกรแก้ปัญหาที่เผชิญทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนตลอดจนเป็นทักษะพื้นฐานที่ นักเรียนสามารถน าติดตัวไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจ าได้นานตลอดชีวิติ เพราะในชีวิตประจ าวันนั้น มนุษย์ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ซึ่งในบรรดาปัญหาเหล่านี้มีทั้งปัญหาที่ไม่ซับซ้อน สามารถแก้ปัญหาโดยใช้ เพียงความรู้หรือประสบการณ์เดิม และปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากจนไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ทันที จ าเป็นต้องอาศัยความรู้ ทักษะกระบวนการและเทคนิคต่าง ๆ มาช่วยแก้ปัญหา ถ้าเรามีความรู้หรือแหล่ง ความรู้มากเพียงพอ เข้าใจขั้นตอนหรือกระบวนการในการแก้ปัญหา เลือกเทคนิคหรือกลยุทธ์ในการแก้ปัญหา ที่เหมาะสม ตลอดจนมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามาก่อนก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ดีและมีประสิทธิภาพ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ๒๕๕๑) จากความส าคัญดังกล่าวจะเห็นได้ว่า วิชาคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีความส าคัญศาสตร์หนึ่ง ซึ่ง การศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ส าหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) มีเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบหลักสูตร มี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ ทฤษฎีในสาระคณิตศาสตร์ที่จ าเป็น พร้อมทั้งสามารถน าไป ประยุกต์ได้ มีความสามารถในการแก้ปัญหา สื่อสาร และสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ เชื่อมโยง ให้เหตุผล และมีความคิดสร้างสรรค์ มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ เห็นคุณค่าและตระหนักถึงความส าคัญของคณิตศาสตร์ สามารถน าความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ตลอดจนการ ประกอบอาชีพและมีความสามารถในการเลือกสื่อ อุปกรณ์ เทคโนโลยีและแหล่งข้อมูลที่หมาะสมเพื่อเป็น เครื่องมือ ในการเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน และการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ (สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ๒๕๖๐) ทฤษฎีบทพีทาโกรัส เป็นทฤษฎีบทที่มีความส าคัญบทหนึ่งในเรขาคณิต ที่ฝึกให้นักเรียนมี ความสามารถด้านทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และเป็นพื้นฐานส าหรับการน าไปใช้ ทั้งด้านเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ การออกแบบด้านสัญลักษณ์และเครื่องกล การส ารวจ สถาปัตยกรรม ช่าง ไม้ เป็นต้น อีกทั้งทฤษฎีบทพีทาโกรัส ยังมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ และเป็นพื้นฐานในการ เรียนขั้นที่สูงขึ้นด้วย จึงจ าเป็นที่ครูควรตระหนักถึงความส าคัญของการจัดการเรียนรู้และต้องสร้างความเข้าใจ ที่ถูกต้องที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จะน าไปใช้ ต่อไปในอนาคต (ธนพร เรียนทับ และคณะ, ๒๕๖๐) จ ากที่ผู้ วิจัยได้สอบถ ามครูผู้สอน ร ายวิช าคณิตศ าสต ร์ โ รงเ รียนบ้ านโกต าบ า รู พบว่ า ในแต่ละปีที่ได้สอน เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส นักเรียนเกิดปัญหาในเรื่องของการเขียนความสัมพันธ์ระหว่าง
- 46 - ความยาวของด้านทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากตามทฤษฎีบทพีทาโกรัส กล่าวคือ เมื่อก าหนดรูป สามเหลี่ยมมุมฉากในลักษณะที่ต่างจากที่นักเรียนเคยเรียนมา นักเรียนไม่สามารถเขียนความสัมพันธ์ระหว่าง ความยาวของด้านทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากตามทฤษฎีบทพีทาโกรัสได้ และนักเรียนหาความยาวด้าน ทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากไม่ได้ และอีกปัญหาที่พบคือ นักเรียนไม่สามารถแก้โจทย์ปัญหาที่เกี่ยวกับ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ส่วนหนึ่งมาจากการขาดประสบการณ์และขาดความเข้าใจในกระบวนการ และขั้นตอน การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ นักเรียนไม่สามารถตีความโจทย์และเชื่อมโยงในสิ่งที่โจทย์ก าหนดให้กับสิ่งที่ โจทย์ถาม ท าให้ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นแก้โจทย์ปัญหาอย่างไร เพื่อให้ได้ค าตอบที่ถูกต้องตามกระบวนการและ ขั้นตอนการแก้โจทย์ปัญหา และเนื่องด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ท าให้เป็นอุปสรรคต่อ การจัดการเรียนรู้ บวกกับเนื้อหาเรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัสเป็นเรื่องที่ยากส าหรับนักเรียน ถ้าเกิดใช้วิธีการ จัดการเรียนรู้แบบปกติจะท าให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้เนื้อหาของเรื่องนี้ได้ ผู้วิจัยจึงต้องหาวิธีการสอนที่เข้า กับสถานการณ์ และป้องกันปัญหาลักษณะเดียวกับปีก่อน ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่เอื้อต่อ การมีส่วนร่วมของนักเรียนกับครูผู้สอนเท่าที่ควร และขาดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับนักเรียน โดยตรง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียนลดลง ซึ่งตรงกับปัญหาที่ได้สอบถามครูผู้สอนมา จากสภาพปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยจึงได้ศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสถาณการณ์นี้ ซึ่งวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสนใจคือ วิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ทั้งนี้การจัดการเรียนการสอนเทคนิค KWDL พัฒนาจากเทคนิค KWL ของโอเกิล (Ogle. ๑๙๘๖, อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, ๒๕๕๔) ที่ต้องอาศัย ทักษะการอ่านเป็นพื้นฐาน นั่นคือ นักเรียนต้องมีความสามารถในการอ่านก่อนจึงจะสามารถพัฒนาทักษะการ อ่านให้มีคุณภาพมากขึ้น จากเทคนิค KWL เพื่อใช้สอนการด าเนินการตามล าดับขั้นตอน KWL หรือ KWDL จะ ช่วยชี้น าการคิดแนวทางในการอ่านและหาค าตอบของค าถามส าคัญต่าง ๆ จากเรื่องนั้น จากนั้นสามารถ น ามาใช้ในการเรียนรู้ตามความต้องการ เทคนิค KWDL มีขั้นตอนการท างาน ๔ ขั้น ซึ่งเทคนิค KWDL มาจาก ค าถามที่ว่า K : เรารู้อะไร (What we Know) W : เราต้องการรู้, ต้องการทราบอะไร (What we Want to know) D : เราท าอะไร. อย่างไร (What we Do) L : เราเรียนรู้อะไรจากการด าเนินการขั้นที่ ๓ (What we Learned) การก าหนดขั้นตอนของเทคนิค KWDL คือการมีค าถามน าเพื่อให้คิดหาข้อมูลของค าตอบตามที่ต้องการในแต่ ล ะ ขั้ น จ ะ ช่ ว ย ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร อ่ า น ม า ก ขึ้ น โ ด ย เ ฉ พ า ะ ก า ร อ่ า น เ ชิ ง วิ เ ค ร า ะ ห์ ก า ร น า กระบวนการหรือเทคนิค KWDL ไ ปใ ช้ใ น ก า ร ส อ น ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ เ ป็ น วิ ธี ที่ เ ห ม า ะ ส ม อี ก วิ ธี ห นึ่ง (วัชรา เล่าเรียนดี, ๒๕๕๔) การสอนแบบ KWDL เป็นเทคนิคการสอนที่พัฒนาขึ้น โดยมีการเขียนเรื่องจากผังความความสัมพันธ์ เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการเขียน และการพูด นอกเหนือไปจากทักษะการฟังและการอ่าน กล่าวคือ การสอน ทักษะทางภาษา แต่สามารถน ามาประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในการบวนการ การท าความเข้าใจ ในตนเอง การจัดระบบข้อมูลเพื่อดึงมาใช้ภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมี