- 47 - ระบบ ขั้นตอน และสามารถหาวิธีในการแก้โจทย์ปัญหา หาเหตุผลในการแสดงค าตอบได้อย่างสมเหตุสมผล และมีประสิทธิภาพ (วัชรา เล่าเรียนดี, ๒๕๔๘) เทคนิค K-W-D-L เป็นเทคนิคในการแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ ซึ่งจะช่วยใหผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถ ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาสติปัญญา พัฒนาทักษะทาง สังคม และพัฒนาทักษะความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (วีระศักดิ์ เลิศโสภา, ๒๕๔๔) และ เทคนิค KWDL จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถกรระบวนการทางคณิตศาสตร์อย่างหลากหลาย ช่วย ส่งเสริมพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น (นิรันดร์ แสงกุหลาบ, ๒๕๔๗) ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการปรับการเรียนการสอน เพื่อที่จะพัฒนาความสามารถในการ แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ที่มีประสิทธิภาพ มีความเหมาะสมกับ นักเรียนและเนื้อหาที่เรียน เน้นการหาค าตอบของค าถามจากการคิดวิเคราะห์ปัญหาเป็นล าดับขั้นตอน มาใช้ ในการจัดการเรียนรู้ และผู้วิจัยมีความสนใจในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องทฤษฎีบทพี ทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น เกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ เรียนอย่างมี ความสุข สามารถน าความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ให้มีคุณภาพต่อไป ๓. จุดประสงค์ ๓.๑ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ด้วยการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโกตา บารู ๓.๒ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๑. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL จ านวน ๖ แผน ๖ ชั่วโมง ๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จ านวน ๒๐ ข้อ ๓. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL
- 48 - ๔. จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ส าหรับแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้การ สอนโดยใช้เทคนิค KWDL และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ๕. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๖. ประเมินผลการเรียนรู้ ๗. สรุปรายงานผล ๕ การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม - การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL - เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ๗. ผลการด าเนินงาน ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ทฤษฎีบทพี ทาโกรัส มีคะแนนเฉลี่ย ( x ) เท่ากับ ๖.๐๙ และหลังเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส มีคะแนนเฉลี่ย ( x ) เท่ากับ ๑๒.๘๒ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ คะแนนเฉลี่ย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๒. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ที่มีต่อที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย ( x ) เท่ากับ ๔.๕๓ และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) เท่ากับ ๐.๑๘ ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู) นักเรียน ๑. มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ด้วยการจัดการเรียนรู้โดย ใช้เทคนิค KWDL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ .๐๕ และความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโกตาบารูที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL อยู่ในระดับมากที่สุด ครู ๑. ครูผู้สอนสามารถน าแนวคิดในการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL จากการวิจัยครั้งนี้ไป ประยุกต์ใช้และพัฒนาคุณภาพการศึกษาในการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไป ๒. เป็นแนวทางส าหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ น าไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุง การเรียนการสอนในเนื้อหา สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการและความ สามรถของนักเรียน
- 49 - ๙. ภาพประกอบ กิจกรรมการเรียนการสอน : การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL
- 50 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะการคิดค านวณโดยใช้ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางนิกาสมา คงพิน โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๖๔- ๔๑๕๔๕๘๗ e-mail : [email protected] ๒.ความส าคัญของผลงาน จากการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ภาคเรียนทที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ พบว่าผู้เรียนมีปัญหาในเรื่องการบวกและการลบ โดยส่วนใหญ่หาผลลัพธ์ ผิด บวกลบจ านวนผิดหลัก ค านวณเลขช้า ซึ่งจ าเป็นต้องพัฒนา โดยได้ศึกษาหลักการ แนวคิด และงานวิจัย เกี่ยวกับ แบบฝึกพบว่า แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่ง ซึ่งครูสามารถสร้างแบบฝึกมาเป็น นวัตกรรมการเรียน การสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ตามจุดมุ่งหมายส าคัญของการเรียนการสอนนั้น ๆ เป็นเครื่องมือท าให้เกิดทักษะ มีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในบทเรียนได้ดียิ่งขึ้นโดยการฝึกฝนให้ช านาญ แม่นย า และสามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ด้วยตนเองเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ให้มากที่สุดและมีเจตคติที่ดีต่อการ เรียน จากสภาพปัญหาเรื่องการบวกและการลบของผู้เรียนดังกล่าว ผู้สอนจะพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเรื่อง ทักษะการคิดค านวณโดยใช้ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ ในสาระที่ ๑ จ านวนและพีชคณิต มาตรฐานการ เรียนรู้ค ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจ านวน ระบบจ านวน การด าเนินการของจ านวน ผลที่ เกิดขึ้นจากการด าเนินการ สมบัติของการด าเนินการและน าไปใช้ตัวชี้วัด ป.๓/๘ หาผลลัพธ์การบวก ลบ คูณ หารระคนของจ านวนนับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ และ ๐ โดยสร้างชุดฝึกทักษะการคิดค านวณเพื่อแก้ปัญหาการบวก การลบ ที่ไม่ถูกต้อง ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนบ้านโกตาบารูให้มีประสิทธิภาพและ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้สูงขึ้น โดยมีการฝึกซ้ าๆ จากง่ายไปยาก จนบวกลบเลขได้ถูกต้อง ใช้กิจกรรมการฝึกที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน สนุกกับกิจกรรมการ เรียนรู้ซึ่งสอดคล้อง กับสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และ มีความสอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษา เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในระดับสูงต่อไป
- 51 - ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และทักษะการบวกจ านวนที่ไม่เกิน 100,000 ในระดับดีขึ้นไป ๕. เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และทักษะการลบจ านวนที่ไม่เกิน 100,000 ในระดับดีขึ้นไป ๖. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๑. การวางแผน (Plan) ศึกษา วิเคราะห์ ออกแบบชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ ก าหนด หน่วยการเรียนรู้ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับฝ่ายวิชาการ ปรับปรุงพัฒนาชุดฝึก ทักษะ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ ๒. การปฏิบัติ(Do) จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ ๓. การตรวจสอบ (Check) ศึกษาประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ การบวกและการลบ ๔. การปรับปรุงแก้ไข (Act) ปรับปรุงแก้ไขกระบวนการจัดการเรียนรู้จากการใช้ชุดฝึกทักษะ การบวกและการลบ น าข้อมูลคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน และข้อมูลจาก แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบมาวิเคราะห์แล้ว จัดท าเป็นข้อมูลสารสนเทศเพื่อปรับปรุงพัฒนาในปีต่อไป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๘. ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ ๙. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวกและการลบ ๑๐.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การบวกและการลบ ๑๑.แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ ๗. ผลการด าเนินงาน นักเรียนร้อยละ 75 มีความรู้และทักษะการบวกและการลบจ านวนที่ไม่เกิน 100,000 อยู่ในระดับดีขึ้น ไป ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) การพัฒนาทักษะการคิดค านวณโดยใช้ชุดฝึกทักษะการบวกและการลบ เป็นสื่อการเรียนการสอน ที่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ และนักเรียนมีความพึงพอใจใน ภาพรวมเฉลี่ยไม่ต่ ากว่าระดับดี
- 52 - ๙. ภาพประกอบ
- 53 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน สูตรคูณช่วยจ า กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางแวกูซัยม๊ะ มิงซานา โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๘๐-๑๓๖๒๔๓๔ e-mail [email protected] ๒. ความส าคัญของผลงาน การท่องอ่านสูตรคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นการท่องสูตรคูณจากแม่ง่ายไปสูตรคูณแม่ ที่สูงขึ้นตามล าดับ การเรียนเรื่องการคูณ วิชาคณิตศาสตร์เป็นบทเรียนการสร้างทักษะพื้นฐานส าคัญมากในการ เรียนบทเรียน เช่น การคูณจ านวนหนึ่งหลัก การคูณจ านวนสองหลัก ส าหรับนักเรียนที่ต้องท่องสูตรคูณแบบ ท่องไล่หรือท่องไม่คล่อง ท าให้การค านวณในการเรียนล่าช้าหรือช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ด้วยเหตุนี้ ในการเรียน คณิตศาสตร์จึงพยายามฝึกฝนให้นักเรียน ท่องสูตรคูณแบบถามปุ๊บต้องตอบปั๊บ จะช่วยทุ่นเวลาในการคิดได้ มากขึ้น การจัดการเรียนการสอน การคูณเป็นปัจจัยส าคัญที่ต้องใช้ในชีวิตประจ าวันและมีความจ าเป็นที่ จะต้องใช้ในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในชั้นสูงรวมทั้งเป็นทักษะที่มีความสัมพันธ์การบวก การลบ การหาร ทักษะการคูณต้องอาศัยการบวกเป็นพื้นฐาน ฉะนั้นในการสอนครูผู้สอนจึงมีความจ าเป็นที่ให้นักเรียนได้ท่อง อ่านสูตรคูณก่อนเรียนวิชาคณิตศาสตร์และลงมือปฏิบัติในการท าแบบฝึกการคูณ จากโจทย์ที่ก าหนด ดังนั้นถ้า นักเรียนมีทักษะพื้นฐานที่ดีจะท าให้ทักษะอื่นๆตามมาด้วย จากข้อความดังกล่าวผู้สอนมีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนท่องอ่านสูตรคูณผู้เรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียน สามารถตอบค าถามการคูณเลขจ านวนตัวเลขที่ก าหนดมาหรือถามและตอบได้ทันที กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์การคูณเป็นการบวกเลขครั้งละเท่าๆกัน ฉะนั้นแนวทางในการพัฒนานักเรียน ให้มีความสามารถในการคิดค านวณ จะน าไปใช้เป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อตระหนักถึงความส าคัญและประโยชน์ของการท่องสูตรคูณ ๒. เพื่อฝึกการท่องสูตรคูณได้ถูกต้องและท าแบบฝึกถูกต้องรวดเร็ว ๓. สามารถใช้ในการจัดการเรียนการสอน และชีวิตประจ าวัน
- 54 - ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วยด าเนินงานตามขั้นตอนและวิธีการดังนี้ ๑. ศึกษาปัญหาการเรียนการสอนและการท่องสูตรคูณ ๒. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ วิเคราะห์สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และศึกษาตัวชี้วัด ๓. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ ๔. สร้างแบบฝึกทักษะการคูณจ าวนหนึ่งหลัก และจ านวนสองหลัก ๕. ทดสอบผู้เรียนก่อนการฝึก ๖. ด าเนินการฝึก ๗. ทดสอบผู้เรียนหลังการฝึก ๘. สรุป และรายงานผลการฝึก ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th - และครูในโรงเรียนด้วยกัน ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม แบบฝึกทักษะการคูณ ชุดที่ ๑ แบบฝึกทักษะการคูณจ านวนเลขหนึ่งหลัก ชุดที่ ๒ แบบฝึกทักษะการคูณจ านวนสองหลัก ๗. ผลการด าเนินงาน จากการท่องสูตรคูณในช่วงก่อนเข้าเรียนในทุกๆวัน ผู้เรียนสามารถท่องได้อย่างรวดเร็วขึ้น ท า แบบฝึกหัดได้แม่นย า ถามตอบด้วยวาจาได้ดีขึ้น ส่งผลให้นักเรียนมีความตั้งใจในการท างาน ใฝ่เรียนรู้ นักเรียน ได้มีการท่องสูตรคูณโดยใช้วิธีที่หลากหลาย และฝึกทักษะการคิดบ่อยๆ นักเรียนก็จะมีความสนุกสนานในการ เรียนรู้ และเพลิดเพลิน ส่งผลให้นักเรียนประสบผลส าเร็จในการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่สูงขึ้น ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) นักเรียนมีความรู้ มีทักษะในการคูณ และสามารถพัฒนาทักษะการคิดและท าเพิ่มแบบฝึกเสริมทักษะ การคณิตคิดสนุก คิดเลขเร็ว สามารถเป็นแนวทางส าหรับครูและผู้สนใจน าไปปรับใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ได้อย่างประสิทธิภาพ ๙. ภาพประกอบ
- 55 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ 1.ชื่อผลงาน การพัฒนาการจ าสูตรคูณให้คล่องโดยใช้การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน(BBL)ร่วมกับเกมบิงโกของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารูสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวฮานีซะห์ กาหลง โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๖๑-๕๑๘๒๑๔๑ e-mail [email protected] 2.ความส าคัญของผลงาน ในปัจจุบันมีเด็กจ านวนไม่น้อยที่ไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เนื่องจากมีความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับ วิชาคณิตศาสตร์ เช่น ยาก น่าเบื่อ เรียนไม่เก่ง เด็กเก่งเท่าที่จะเรียนคณิตศาสตร์รู้เรื่องเรียนไปก็ไม่ได้ใช้เพราะมี เครื่องคิดเลข เป็นต้น ซึ่งจากความคิดเหล่านี้จะน าพาไปสู่ความไม่ตั้งใจเรียน แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปในปัญหาจริง ๆ แล้ว การที่นักเรียนไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์เป็นเพราะมีพื้นฐานในการค านวณที่ไม่ดี เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร หรือแม้กระทั่งการท่องสูตรคูณที่ใครหลายคนมองข้าม ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจในการท่องสูตรคูณ เป็นสิ่งที่ส าคัญในการคิดค านวณ ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นักเรียนที่ท่องสูตรคูณไม่คล่อง จะ คิดค านวณได้ช้า ได้ค าตอบที่ผิดและไม่สนุกกับการเรียน ซึ่งการแก้ปัญหามีด้วยกันหลายวิธี เช่น การให้ นักเรียนท่องสูตรคูณพร้อมกัน ให้ท่องเป็นรายบุคคล การเล่นเกม เป็นต้น จากการสังเกตขณะสอน วิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารูปี การศึกษา 2565 เมื่อให้นักเรียนท่องสูตรคูณ นักเรียนไม่ค่อยท่อง สาเหตุเกิดจากไม่จ าสูตรคูณและมีอาการน่า เบื่อที่ต้องท่องแบบเดิม ดังนั้น จึงได้ใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ร่วมกับเกมบิงโก เพื่อเป็นแนวทางที่จะ ช่วยให้นักเรียนสามารถท่องสูตรคูณได้อย่างสนุกสนานตลอดจนสามารถน าไปใช้ในการเรียนและชีวิตประจ าวัน ได้ 3.จุดประสงค์ 3.1 เพื่อเปรียบเทียบการจ าสูตรคูณให้คล่องก่อนและหลังใช้การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ร่วมกับเกมบิงโกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารู 3.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ร่วมกับเกมบิงโก
- 56 - 4.ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๔.๑ การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง - ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารู ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ทั้งหมด 2 ห้อง จ านวน 63 คน - กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนบ้านโกตาบารู ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โดยการสุ่มแบบยกกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียน เป็นหน่วยในการสุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่างจ านวน 30 คน ใช้เวลาทดลองเป็นเวลา 10 ชั่วโมง ๔.๒ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย แผนการจัดการเรียนรู้ คือ หน่วยที่ 3 การคูณ การหาร เรื่อง การคูณ ๔.๓ เครื่องมือที่ใช้ - แบบทดสอบเรื่อง สูตรคูณ จ านวน 20 ข้อ เวลา 10 นาที - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (BBL) เรื่อง การคูณ จ านวน 5 แผน 8 ชั่วโมง - แผ่นกระดานตัวเลข (0-9) - เกมบิงโก - คู่มือการใช้เกมบิงโก ๔.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล - เก็บรวบรวมคะแนนก่อนเรียน (Pre-test) จากการทดสอบ เรื่อง การคูณ แบบปรนัย จ านวน 20 ข้อ 3 ตัวเลือก - เก็บรวบรวมคะแนนหลังเรียน (Post-test) จากการทดสอบ เรื่อง การคูณ แบบปรนัย จ านวน 20 ข้อ 3 ตัวเลือก 5. สื่อการเรียนรู้/ประกอบนวัตกรรม - แบบทดสอบเรื่อง สูตรคูณ จ านวน 20 ข้อ เวลา 10 นาที - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (BBL) เรื่อง การคูณ จ านวน 5 แผน 8 ชั่วโมง - แผ่นกระดานตัวเลข (0-9) - เกมบิงโก - คู่มือการใช้เกมบิงโก 6. ผลการด าเนินงาน การจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (BBL)ร่วมกับเกมบิงโก เห็นได้จากคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และจากการท าแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบ สมองเป็นฐานBBL(Brain Base Learning) ร่วมกับเกมบิงโก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่าการ จัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานBBL(Brain Base Learning) ร่วมกับเกมบิงโก สามารถท าให้นักเรียนมีความ
- 57 - เข้าใจเนื้อหานั้น ๆ อย่างแท้จริง เนื่องจากนักเรียนได้ฝึกกระบวนการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานBBL(Brain Base Learning) ร่วมกับเกมบิงโก และการเรียนรู้ผ่านแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหา และ เหมาะสมกับนักเรียน เป็นการเรียนการสอนที่สอดแทรกกิจกรรม ท าให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น และมี แรงจูงใจในการเรียน 7.บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) ๗.๑ นักเรียนสามารถท่องจ าสูตรคูณได้ดีขึ้น ช่วยให้ค านวณการคูณได้อย่างแม่นย า ๗.๒ นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ๗.๓ นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการท ากิจกรรม และมีแรงจูงใจในการเรียน ๗.๔ การท าให้นักเรียนตื่นตัวแบบผ่อนคลายด้วยการสร้างบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้ให้ นักเรียน รู้สึกเหมือนไม่ถูกกดดัน แต่ท้าทายชวนให้ค้นคว้าหาค าตอบ ๗.๕ การท าให้นักเรียนจดจ่อในสิ่งเดียวกันด้วยการวัดแผนการจัดการเรียนรู้หลายๆ แบบรวมทั้งการ ยกปรากฏการณ์จริงมาเป็นตัวอย่างและการเปรียบเทียบให้เห็นภาพหรือการเชื่อมโยงความรู้หลายๆ อย่างเข้าด้วยกันการอธิบายปรากฏการณ์ด้วยความรู้สึกที่นักเรียนได้รับ ๗.๖ ท าให้เกิดความรู้จากการกระท าด้วยตนเองโดยการให้นักเรียนได้ลงมือทดลองประดิษฐ์ หรือได้ เล่าประสบการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
- 58 - 8.ภาพประกอบ
- 59 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ เรื่อง เศษส่วน ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางรอกีเยาะ สมอดียอ โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๙๘-๙๘๓๘๘๐๓ e-mail [email protected] ๒.ความส าคัญของผลงาน ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเรื่องเศษส่วนที่ผ่านมา 2 ปี ของครูผู้สอน พบว่า นักเรียนยังขาด พื้นฐานความรู้ในเรื่อง เศษส่วน คือ ๑. ความหมายของเศษส่วน ๒. เศษส่วนที่เท่ากัน ๓. เศษส่วนอย่างต่ า ๔. เศษส่วนที่เท่ากับจ านวนนับ ๕. เศษส่วนแท้ เศษเกิน และจ านวนคละ ๖. การเปรียบเทียบเศษส่วน จากเรื่องดังกล่าวส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถเรียนเรื่องเศษส่วนในขั้นที่สูงขึ้นได้ หรือไปได้แต่ล่าช้า เนื่องจากนักเรียนขาดพื้นฐานในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ครูผู้สอนในฐานะผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่นักเรียน ต้องเพิ่มเวลาในการเรียนรู้เพิ่มฐานเหล่านั้น ท าให้การเรียนการสอนในหน่วยที่ 1 เรื่อง เศษส่วนล่าช้า ท าให้ สอนไม่ทันเวลาตามก าหนดการ ดังนั้น ข้าพเจ้าในฐานะครูผู้สอนจึงได้คิดนวัตกรรมเพื่อพัฒนานักเรียนในเรื่อง ดังกล่าว เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในเรื่องที่กล่าวมาโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะที่เริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆ ใช้สีสัน ประกอบใช้ในแบบฝึก เพื่อดึงดูดการเรียนของนักเรียน และเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ยั่งยืน สามารถต่อยอดไป เรียนเรื่องเศษส่วนในหัวข้อที่ยากขึ้นต่อไป ข้าพเจ้าในฐานะครูผู้สอนจึงได้จัดท านวัตกรรม เป็นแบบฝึกเสริม ทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง เศษส่วน ขึ้น ๓. จุดประสงค์ ๓.๑ เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองจากแบบฝึกเสริมทักษะทั้ง 6 เล่ม ๓.๒ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในความรู้พื้นฐานของเศษส่วนทั้ง 6 เรื่อง ๓.๓ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในเรื่อง ความหมายของเศษส่วน เศษส่วนที่เท่ากัน เศษส่วนอย่างต่ า เศษส่วนที่เท่ากับจ านวนนับ เศษส่วนแท้ เศษเกิน จ านวนคละ และการเปรียบเทียบเศษส่วน ๓.๔ เพื่อให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการเรียนคณิตศาสตร์และสามารถน าความรู้ไปใช้ต่อยอดความรู้ เรื่องเศษส่วนในเรื่องที่ยากขึ้น และสามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ๓.๕ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรับผิดชอบในการเรียน เนื่องจากนักเรียนจะต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง และ สามารถบริหารจัดการการเรียนและการท างานได้เป็นอย่างดี
- 60 - ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๔.๑ เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเรื่อง เศษส่วน ประกอบไปด้วย ๑. แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ทั้ง 6 เล่ม เล่มที่ ๑. ความหมายของเศษส่วน เล่มที่ ๒. เศษส่วนที่เท่ากัน เล่มที่ ๓. เศษส่วนอย่างต่ า เล่มที่ ๔. เศษส่วนที่เท่ากับจ านวนนับ เล่มที่ ๕. เศษส่วนแท้ เศษเกิน และจ านวนคละ เล่มที่ ๖. การเปรียบเทียบเศษส่วน ๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนและหลังเรียน แบบฝึกเสริมทักษะในเรื่อง ดังกล่าวทั้ง ๖ เรื่อง ๓. แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม ๔. แบบบันทึกคะแนน ก่อนเรียน และ หลังเรียน ๔.๒ ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๑. ครูผู้สอนด าเนินการโดยมีขั้นตอนดังนี้ ๑.๑ สร้างแบบทดสอนก่อนและหลังเรียน ๑.๒ ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้นวัตกรรม แบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ เรื่อง เศษส่วน ในเรื่องดังนี้ เล่มที่ ๑. ความหมายของเศษส่วน เล่มที่ ๒. เศษส่วนที่เท่ากัน เล่มที่ ๓. เศษส่วนอย่างต่ า เล่มที่ ๔. เศษส่วนที่เท่ากับจ านวนนับ เล่มที่ ๕. เศษส่วนแท้ เศษเกิน และจ านวนคละ เล่มที่ ๖. การเปรียบเทียบเศษส่วน ๑.๓ ออกแบบสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน ทั้งแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม ๑.๔ สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนหลังจากที่เรียนโดยใช้นวัตกรรมทั้ง ๖ เล่ม ๒. ให้นักเรียนท าการทดสอบก่อนเรียนทุกครั้งที่จะน าแบบฝึกไปใช้ ๓. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้สื่อแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์แต่ละเล่มไปใช้ควบคู่กับ นวัตกรรม ๔. ให้นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 เรื่อง เศษส่วน ๕. ประเมินความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง เศษส่วน ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม ๕.๑ ไลน์กลุ่มห้องเรียน ๕.๒ ไลน์กลุ่มชั้นเรียน
- 61 - ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม ๖.๑ แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ เรื่อง เศษส่วน ในเรื่องดังนี้ เล่มที่ ๑. ความหมายของเศษส่วน เล่มที่ ๒. เศษส่วนที่เท่ากัน เล่มที่ ๓. เศษส่วนอย่างต่ า เล่มที่ ๔. เศษส่วนที่เท่ากับจ านวนนับ เล่มที่ ๕. เศษส่วนแท้ เศษเกิน และจ านวนคละ เล่มที่ ๖. การเปรียบเทียบเศษส่วน ๗. ผลการด าเนินงาน ๓.๑ นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองจากแบบฝึกเสริมทักษะทั้ง 6 เล่ม ๓.๒ นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในความรู้พื้นฐานของเศษส่วนทั้ง 6 เรื่อง ๓.๓ นักเรียนได้ฝึกทักษะในเรื่อง ความหมายของเศษส่วน เศษส่วนที่เท่ากัน เศษส่วนอย่างต่ า เศษส่วนที่เท่ากับจ านวนนับ เศษส่วนแท้ เศษเกิน จ านวนคละ และการเปรียบเทียบเศษส่วน ๓.๔ นักเรียนเห็นคุณค่าของการเรียนคณิตศาสตร์และสามารถน าความรู้ไปใช้ต่อยอดความรู้เรื่อง เศษส่วนในเรื่องที่ยากขึ้น และสามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ๓.๕ นักเรียนเกิดความรับผิดชอบในการเรียน เนื่องจากนักเรียนจะต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถ บริหารจัดการการเรียนและการท างานได้เป็นอย่างดี ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) ๘.๑ ครูมีโอกาสได้ฝึกทักษะในการสร้างสื่อการสอนในรูปแบบของแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ได้ เป็นอย่างดี ๘.๒ นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ควบคู่ไปกับการเรียนรู้และฝึกทักษะการใช้ แบบ ฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ๘.๓ ครูได้รับความรู้และสามารถน าเทคโนโลยีในการสร้างสื่อนวัตกรรมมาใช้ในการออกแบบและ สร้างสื่อ แบบฝึกเสริมทักษะเรื่อง เศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ได้เป็นอย่างดี
- 62 - ๙. ภาพประกอบ นวัตกรรม (แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์) ทั้ง 6 เล่ม
- 63 - กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์
- 64 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑. ชื่อผลงาน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ รูปแบบการจัดการเรียนรู้/เทคนิคการสอน การจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็นผู้คิดลง มือปฏิบัติศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยหลาย ๆ ด้าน หลายแนวทาง ผู้น าเสนอผลงาน นางนุจรีย์ รัตนอรุณ โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๒. ความส าคัญของผลงาน วิทยาศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิต ของทุกคน ทั้งในการด ารงชีวิตประจ าวันและในงานอาชีพต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้เพื่ออ านวยความสะดวก ใน ชีวิตและในการท างาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดองค์ความรู้และความเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติมากมาย มีผลให้เกิด การ พัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างมาก วิทยาศาสตร์ท าให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะที่ส าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้วิทยาศาสตร์เป็น วัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งความรู้ (Knowledge based society) ทุกคนจึงจ าเป็นต้อง ได้รับ การพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (Scientific literacy for all) เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลก ธรรมชาติและ เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น และน าความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ ไม่เพียงแต่น ามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการใช้ ประโยชน์ การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล และยั่งยืน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2546 : 1) ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีนโยบายปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาให้ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยได้ปรับปรุงหลักสูตรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น มุ่งเน้น กระบวนการเรียนรู้ทั้งด้านความคิด การปฏิบัติ ซึ่งเห็นได้จาก การที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีพยายามปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ให้เอื้ออ านวยต่อการพัฒนาความสามารถของนักเรียนจึง ก าหนดจุดประสงค์ของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ไว้เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจในหลักการทฤษฎีที่เป็นพื้นฐาน ของวิทยาศาสตร์ขอบเขตธรรมชาติและข้อจ ากัดของวิทยาศาสตร์ มีทักษะที่ส าคัญในการศึกษาค้นคว้าและ
- 65 - คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถ ในการแก้ปัญหา และการจัดการทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมวลมนุษย์และสภาพแวดล้อมในเชิง ที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน สามารถ น าความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และการด ารงชีวิต เป็น คนมีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2546 : 1 - 4) ผู้วิจัยได้ศึกษาสภาพปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ พบว่านักเรียน ขาดทักษะ ใน การศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง การฝึกฝนทบทวน การท าการบ้าน การอ่าน ตลอดจนการท าแบบฝึกหัด และ ค้นคว้าบางเนื้อหามีไม่เพียงพอกับความต้องการของนักเรียน นักเรียนบางส่วนยังมีสมรรถภาพในการ เรียนรู้ที่ ไม่ดีพอ นักเรียนบางส่วนยังไม่มีนิสัยรักการเรียนรู้ เมื่อรู้สภาพปัญหาแล้ว ก็น าข้อมูลที่ได้มาเป็น แนวทางเสริม การเรียนรู้ พอจะสรุปได้ว่าหนังสือหรือแบบฝึกทักษะพัฒนาการเรียนรู้ หมายถึง หนังสือที่จัดขึ้น โดยมี วัตถุประสงค์เป็นไปในทางส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการฝึกฝนทักษะในด้านต่าง ๆ และท าให้รักในการเรียนรู้มาก ขึ้น การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนในรายวิชา วิทยาศาสตร์ โดยการชุดกิจกรรมการเรียนรู้มาใช้ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และการท าแบบฝึกหัด ด้วยตนเองในวิชา ที่ครูสอน เพื่อให้นักเรียนศึกษาหาความรู้และมีการช่วยเหลือกันบ้างเล็กน้อย และเพื่อให้นักเรียนเกิดความ สนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของการเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นการช่วย เสริมสร้างทักษะและ นิสัยของการเรียนที่ดีให้แก่นักเรียน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่มีลักษณะ เป็นสื่อประสม ที่จัดขึ้น ส าหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อเนื้อหาที่ต้องการจะให้นักเรียนได้รับความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ ผู้สอนเกิดความมั่นใจ พร้อมที่จะสอน และช่วยให้นักเรียนกับผู้สอนมีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมร่วมกัน เป็น กิจกรรมการเรียนการสอนที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนมีอิสระในการ เรียนตามความสามารถและความสนใจ โดยมีครูคอยแนะน าช่วยเหลือ (บุญเกื้อ ควรหาเวช. 2543 : 91 - 93) ท าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้วิธีการท างานเป็นขั้นตอน ใช้เหตุผลในการวางแผนอย่างมีระบบได้อย่าง เหมาะสม จากใบความรู้ กิจกรรม แบบฝึกหัด และแบบทดสอบ ตลอดจนสื่อต่าง ๆ ที่ครูผู้สอนเตรียมไว้อย่างมีระบบ แล้วยังท าให้นักเรียนสามารถทราบผลการปฏิบัติกิจกรรมนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่เกิดความ เบื่อหน่ายต่อการ เรียน (สุวิทย์ มูลค า และ อรทัย มูลค า. 2545 : 51) ท าให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับ ผลงานวิจัยของ กาญจนา ฉ่ าแสง (2541 : บทคัดย่อ) ศิริชัย จีรจีรังชัย (2545 : บทคัดย่อ) จุฬาลักษณ์ไชยสกุล (2546 : บทคัดย่อ) สมโภช ภู่สุวรรณ (2546 : บทคัดย่อ) ถวิล กล้าเกิด (2548 : บทคัดย่อ) และคนอื่น ๆ ที่ท า การวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งสรุปได้ว่า นักเรียนที่ ได้รับการสอนด้วยชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน จะท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
- 66 - จากปัญหาในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และความส าคัญของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ดังที่ได้ กล่าวมานั้น ท าให้ผู้รายงานสนใจที่จะพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้มาใช้เป็นเทคนิคในการน าเสนอ เนื้อหา เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ โดยออกแบบและพัฒนาให้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความ เหมาะสมต่อ การเรียนรู้ส าหรับนักเรียน อันจะช่วยให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง วัสดุและการ ใช้ประโยชน์ และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ด าเนินไปอย่างมีประสิทธิผล อีกทั้ง ยังเป็นการ พัฒนาการเรียนการสอน และนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษาต่อไป ๓. จุดประสงค์ ๑. ได้ชุดกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงขึ้น ๒. นักเรียนได้พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์และสามารถน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ๓. ผู้สอนสามารถสอนได้ง่ายขึ้นจากการใช้สื่อที่ทันสมัยและตอบสนองความเข้าใจของนักเรียนได้ดี และยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนในรายวิชาอื่น ๆ ต่อไป ๔.. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๑. จัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ ชุดกิจกรรม แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์และแบบประเมินความ พึงพอใจของ นักเรียน ๒. น าเครื่องมือที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วมาใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัยกับนักเรียน โดยมี ล าดับขั้นตอนการเก็บข้อมูลดังนี้ ๒.๑ ชี้แจงนักเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโกตาบารู อ าเภอรามัน จังหวัด ยะลา จ านวน ๑ ห้อง รวม ๓๒ คนได้รับทราบขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง วัสดุและการ ใช้ประโยชน์ซึ่งใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องวัสดุและการใช้ประโยชน์ ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ และการปฏิบัติกิจกรรมอย่างถูกต้อง ๒.๒ นักเรียนท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (pre-test) จ านวน ๑๕ ข้อ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น บันทึกผลการสอบไว้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียน ๒.๓ ด าเนินการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์เพื่อ พัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ประกอบการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ โดยด าเนินการ ในภาค เรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
- 67 - ๒.๔ ท าการทดสอบหลังเรียน (post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน ๑๕ ข้อ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส าหรับ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ แล้วบันทึกผลการทดสอบเป็นคะแนนหลังเรียน ๒.๕ นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุด กิจกรรม เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน ๑๐ ข้อ ๒.๖ น าคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน ไปวิเคราะห์หาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ ค่า ทดสอบที (t-test dependent) เพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๖. สื่อการเรียน/ประกอบนวัตกรรม - ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๗. ผลการด าเนินงาน ๑. นักเรียนได้พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์และสามารถน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ๘. บทสรุปของความส าเร็จ การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านโก ตาบารูนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดีขึ้นไปจ านวน ๓๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๐๐ เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์พบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุด กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท าให้นักเรียนมีสมาธิใน การเรียน มีความ สนุกสนาน เกิดความเพลิดเพลิน และยังท าให้นักเรียนสามารถจดจ า และเข้าใจ ในเนื้อหาได้เป็นอย่างดีส่งผล ท าให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น
- 68 - ๙. ภาพประกอบ
- 69 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางมายีด๊ะ แนรอ โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1 ๒.ความส าคัญของผลงาน คณิตศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ท าให้มีความคิดสร้างสรรค์ คิด อย่างมี เหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบครอบ ท าให้ สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และเป็นเครื่องมือใน การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการ ด ารงชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยัง ช่วยพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มี ความสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและอารมณ์สามารถคิดเป็น ท าเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถ อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในการศึกษา คณิตศาสตร์ส าหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นการศึกษาเพื่อปวงชนที่เปิด โอกาสให้เยาวชนทุกคนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิตตามศักยภาพ ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ที่พอเพียง สามารถ น าความรู้ ทักษะ และ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จ าเป็นไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รวมทั้งสามารถ น าไปเป็น เครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานส าหรับการศึกษาต่อ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2545:1) เนื่องจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโกตาบารู ขาด ทักษะในการแก้โจทย์ปัญหาการ บวก เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและคิดค านวณได้ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัย จึงคิดที่จะน าวิธีการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยในการแก้โจทย์ปัญหาการ คูณและการหารของผู้เรียน โดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ปัญหาของโพลยา มีขั้นตอนที่ชัดเจน 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การท าความเข้าใจ โจทย์ปัญหา ขั้นที่ 2 การวางแผนในการแก้ปัญหา ขั้นที่ 3 การด าเนินการตามแผน และขั้นที่ 4 การ ตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบวิธีการและค าตอบ เพื่อความแน่ใจว่าถูกต้องสมบูรณ์จาก เหตุผลข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้สร้างแบบฝึกหัดเสริมทักษะมาจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการแก้โจทย์ ปัญหาของโพลยา เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการบวก ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาคุณภาพ ของผู้เรียนแต่ละคน น าไปสู่การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่ดีขึ้น
- 70 - ๓.จุดประสงค์ ๑. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหา การ บวก ๒. เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๑. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ๒. วิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้และศึกษาตัวชี้วัด ๓. ศึกษาแนวการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของโพลยา ๔. เลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้เรียน ๕. สร้างเอกสารประกอบการเรียน ๖. น าไปใช้จริงกับผู้เรียน ๕.สื่อการเรียนรู้/ประกอบนวัตกรรม เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ๖.ผลการด าเนินงาน 1. นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาและมีกระบวนการแก้ปัญหา เพื่อที่จะสามารถน าไป ประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์อื่น ๆ ต่อไป 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการบวกสูงขึ้น ๗.บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) นักเรียนสามารถน าความรู้มาปรับใช้ในชีวิตประจ าวัน เป็นแนวทางส าหรับครูและผู้สนใจ ในการ น าไปปรับใช้ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ และขยายผลต่อไปได้เป็นอย่างดี ๘.ภาพประกอบ
- 71 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องแรงและพลังงาน โดยใช้หลักการเรียนรู้ 3P กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางฮีดายาตีย์ เซ็งมีดี โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๘๔-๗๔๗-๘๖๘๕ e-mail - ๒.ความส าคัญของผลงาน การจัดการศึกษาภายใต้สถานการณ์โควิด-๑๙ ที่ผ่านมามีความยืดหยุ่น สถานศึกษาแต่ละแห่ง ด าเนินการจัดการเรียนการสอนโดยยึดสภาพจริงตามสถานการณ์เป็นหลัก สถานศึกษาสามารถเลือกใช้วิธีการ สอนรูปแบบใดก็ได้ที่เหมาะสม รวมถึงหากมีความจ าเป็นก็สามารถเปลี่ยนจากการเรียนที่สถานศึกษา เป็นการ เรียนในรูปแบบอื่นทดแทนได้เช่น การเรียน On Line ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ การเรียน On Hand โดยจัดส่ง หนังสือ แบบเรียน แบบฝึกหัด หรือ ใบงาน ไปให้นักเรียนเรียนที่บ้าน และการจัดการศึกษาดังกล่าวในห้วง เวลาที่ผ่านมา ท าให้เกิดสภาวการณ์การถดถอยทางการเรียนรู้ เนื่องจากระบบการเรียนรู้ที่ขาดความต่อเนื่อง เช่น การเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ความพร้อมของผู้ปกครอง ระยะเวลาในการเรียนรู้ที่จ ากัด ส่งผลให้ เกิดผู้เรียนเกิดสภาวการณ์การถดถอยทางการเรียนรู้ในระดับชั้นที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบอย่างมากในการ จัดการเรียนรู้ในระดับชั้นต่อไป ดังนั้นครูผู้สอนจึงได้ด าเนินการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่ง พัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องแรงและพลังงาน โดยใช้หลักการเรียนรู้ 3P ซึ่งประกอบด้วย Plan (การวางแผน) Pair (การจับคู่เพื่อหาเพิชื่อนคู่คิด) และPlay (การเรียนรู้ผ่านการเล่น) พร้อมทั้งใช้แบบฝึก เสริมทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) ๓. จุดประสงค์ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และแก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Loss) รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องแรงและพลังงาน โดยใช้หลักการเรียนรู้ 3P ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๑. ก าหนดเนื้อหาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
- 72 - ๒. ออกแบบกิจกรรมโดยใช้หลักการเรียนรู้ 3P - Plan (การวางแผน) เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยผ่านกระบวนการการเรียนรู้ Active Learning จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง - Pair (การจับคู่เพื่อหาเพิชื่อนคู่คิด) เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน เพื่อเป็นการสร้าง ความมั่นใจในการแก้ปัญหาและช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา - Play (การเรียนรู้ผ่านการเล่น) เป็นกิจกรรมที่ให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยนักเรียนออกแบบหรือหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา จากการสืบค้นจากหนังสือ หรือ อินเทอร์เน็ต ๓. จัดกิจกรรมเรียนรู้แก่นักเรียน ๔. ท าการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม - แผนการจัดการเรียนรู้เรียน เรื่อง แรง - แผนการจัดการเรียนรู้เรียน เรื่อง เสียง ๗. ผลการด าเนินงาน นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ขั้นตอน สามารถส่งเสริมและพัฒนาในด้านการคิดการ สืบเสาะหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนจะตั้งค าถามกระตุ้นให้นักเรียนใช้ กระบวนการทางความคิด หาสาเหตุจนค้นพบความรู้และส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมทุก ขั้นตอน ตลอดทั้งการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปในขณะที่ปฏิบัติกิจกรรมด้วย ส่งผลให้ นักเรียนประสบผลส าเร็จในการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) - นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น - เป็นแนวทางส าหรับครูและผู้สนใจ ในการน าไปปรับใช้ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ และขยายผล ต่อไปได้
- 73 - ๙. ภาพประกอบ
- 74 - กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ
- 75 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ 1. ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์แบบโฟนิคส์ (Phonics) โดยใช้นิทานง่ายๆที่มีรูปภาพ ประกอบส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโกตาบารู อ าเภอรามัน จังหวัดยะลา ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางคอมสีย๊ะ ดาหะซี 2. ความส าคัญของผลงาน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีความส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจ าวันเนื่องจากเป็นเครื่องมือ ส าคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ วัฒนธรรมทั้งของชุมชนและของโลกทั้งยังช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้นและยัง สามารถเป็นสื่อกลางที่ดีต่อการศึกษาเนื่องจากการศึกษาต้องใช้ภาษาเป็นปัจจัยส าคัญ สามารถเรียนรู้และเข้า ใจความแตกต่างของภาษา วัฒนธรรม และสังคม มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศและสามารถใช้ ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมถึงการเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานซึ่งถูกก าหนดให้เรียนตลอดหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน (จินตนา ไชยฤกษ์: 2552) นอกจากนี้ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่ส าคัญในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 อีกทั้งกฎบัตร อาเซียนข้อ 34 ได้บัญญัติว่า “ภาษาที่ใช้ในการท างานของอาเซียนควรจะเป็นภาษาอังกฤษ”เพื่อใช้ส าหรับการ ปฏิสัมพันธ์ต่างๆเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไม่ว่าคนของแต่ละประเทศจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาทาง ราชการและภาษาประจ าชาติอยู่ในขณะนี้ เมื่อต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นที่ต่างกันภาษา ต่างวัฒนธรรมนั้น ทุก คนจ าเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้นและภาษาอังกฤษ ถือเป็นภาษาบังคับอันดับแรกที่ประชาชนพลเมืองใน 10 ประเทศอาเซียนจะต้องฝึกฝนพัฒนาขีดความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษดังนั้นผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีย่อมเป็นผู้ได้เปรียบในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อเป็น เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดแลแสวงหาความรู้ในด้านต่างๆ (จิราวดี รัตนไพฑูรย์ ชัย ;ITD 2012:1)ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015 ) ประเทศสมาชิกอาเซียน ซึงได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชารวมตัวกันเป็นประชาคม อาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งหมายความว่า ประชาชนของแต่ละประเทศจะต้องติดต่อสื่อสารกันในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเทียวและอื่นๆ โดย ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง เมื่อเป็นเช่นนี้ในวงการศึกษา จึงมีการตื่นตัวและเตรียมพร้อมกับการก้าวสู่ ประชาคมอาเซียนเป็นอย่างมาก นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในการพัฒนาการใช้ ภาษาอังกฤษของเยาวชนและคนท างานในประเทศไทยโดยมุ่งเน้นว่าพลเมืองทุกคนในประเทศต้องใช้ ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพ (นพพร สโรบล,2557 : 1)
- 76 - ภาษาอังกฤษกับการศึกษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุคสมัยมาตลอด แต่ถึง กระนั้นปัญหาหลากหลายก็ยังกลายเป็นจุดบกพร่องท าให้ระบบการศึกษาอ่อนแอจนส่งผลถึงระดับมาตรฐาน และเป็นปัญหาที่ส าคัญอย่างหนึ่งของชาติ ที่จะต้องท าการปฏิรูปในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตร, วิธีการ เรียนการสอน, ต าราเรียนในแต่ละระดับชั้น รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพของครูผู้สอนสิ่งเหล่านี้คือทางออกที่ จะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นกับวงการศึกษาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาโดยตลอดและจากปัญหาที่เกิด ขึ้นกับระบบการศึกษานั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลอย่างแท้จริง ซึ่ง ถือเป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสถาบันการศึกษาระดับต่างๆ ในบ้านเรา เพราะเรียนแล้วไม่ สามารถอ่าน เขียนและพูดได้นั่นเอง (นิรันศักดิ์ บุญจันทร์: 2559) นโยบายการพัฒนาการใช้สื่อการเรียนการสอนที่สอดคล้องและตรงตามความต้องการนโยบายการ ส่งเสริมการจัดกิจกรรมภาษาอังกฤษที่ทันสมัยนโยบายการเพิ่มครูสอนภาษาอังกฤษและพัฒนาขีด ความสามารถของครูสอนภาษาอังกฤษให้มีมาตรฐาน นโยบายการจัดสรรงบประมาณจ้างครูชาวต่างประเทศ ในทุกระดับรวมถึงระดับอุดมศึกษาการพัฒนาครูในสาขาวิชาอื่นๆให้ใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นรวมไปถึงการ พัฒนาต าราเรียนวิชาต่างๆให้มีภาษาอังกฤษสอดแทรกในเนื้อหา นโยบายการทดสอบความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษ ด้วยแบบทดสอบมาตรฐานนโยบายการพัฒนาหลักสูตรที่บูรณาการและสอดคล้องกับสภาพ ความต้องการของท้องถิ่น และคนในพื้นที่ นโยบายพัฒนาโรงเรียนอัจฉริยะ นโยบายส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพครูผู้สอนนโยบายพัฒนาคุณภาพ การสอนและคุณภาพผู้เรียนและนโยบายการจัดการเรียนรู้โดยใช้ สามภาษา คือ ภาษาไทย ภาษามลายู และภาษาอังกฤษ (ธงพล พรหมสาขา ณ สกลนคร, ชิดชนก เชิงเชาว์, เกษตรชัย และหีม: 2560) การสอนภาษาอังกฤษ มีเป้าหมายส าคัญเพื่อจะส่งเสริมให้เกิดทักษะทั้ง 4 ด้านคือทักษะการฟังทักษะ การพูดทักษะการอ่านและทักษะการเขียนส าหรับทักษะการอ่านถือเป็นทักษะที่ส าคัญส าหรับนักเรียนที่เรียน ภาษาอังกฤษทั่วโลกมากกว่าทักษะอื่นๆเนื่องจากผู้เรียนสามารถน าเอาทักษะการอ่านไปใช้ในการรับสารและ ข้อมูลต่างๆไปใช้ในการด ารงชีวิตได้ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของ (วิสาข์ จัติวัตร์: 2557) ที่ได้ระบุไว้ว่าใน บรรดาทักษะภาษาอังกฤษส าหรับการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทยนั้นเมื่อ เปรียบเทียบความส าคัญของทักษะทางภาษาพบว่าการอ่านเป็นทักษะที่ส าคัญ กว่าทักษะอื่นๆเพราะทักษะการ อ่านเป็นเครื่องมือส าคัญในการแสวงหาความรู้เพื่อน าไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาและเจรจาต่อรองและเพื่อการ แข่งขันทางการประกอบอาชีพ กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในทุกระดับ การศึกษาโดยเฉพาะด้านการอ่าน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552 ก าหนดให้การอ่านเป็น วาระแห่งชาติรวมถึงประกาศให้วันที่ 2 เมษายนเป็นวันรักการอ่านและให้ปี พ.ศ. 2552-2561 เป็นทศวรรษ แห่งการอ่าน (อัญชลี ธรรมะวิธีกุล: 2553),(พีรพัฒน์ ตัณฑวณิช: 2560) จากการด าเนินงานของส านักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่จะยกระดับการ เรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษให้มีการปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยมีผลสัมฤทธิ์ในด้านการฟัง พูด อ่าน เขียน วิชาภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะด้าน
- 77 - การอ่าน อีกทั้งหนังสือส่งเสริมการอ่านเป็นหนังสือที่สร้างขึ้นเพื่อมุ่งเน้นปลูกฝังให้เด็กมีนิสัย รักการอ่าน โดย เน้นความสนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านเพื่อให้เกิดอรรถรสทางภาษา เป็นการส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการ อ่าน ซึ่งผู้วิจัยได้เห็นถึงความส าคัญของทักษะการอ่านจึงเลือกใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านมาเป็นสื่อในการสอน และพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดการเรียนการ สอนภาษาอังกฤษของส านักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในปีการศึกษา 2554 ที่ได้ ก าหนดให้การส่งเสริมการอ่านเป็นธุรกิจหลักในนโยบายด้านการศึกษาตามอัธยาศัยและเป็นการสนองตอบ เจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ได้ให้ความส าคัญของการอ่านเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทย (ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์:2553) ปัญหาส าคัญที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นพื้นฐานอันน าไปสู่การพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษด้านต่าง ๆ คือ นักเรียนไม่สามารถอ่านและสะกดค าภาษาอังกฤษได้ สังเกตได้ว่านักเรียนส่วนใหญ่เขียนภาษาไทยก ากับไว้ใต้ ค า ดังนั้น เมื่อนักเรียนอ่านค าใด ๆ จึงมักอ่านภาษาไทยแทนภาษาอังกฤษ ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถอ่านค า นั้นด้วยตนเองได้จริง ในทางกลับกัน นักเรียนที่อ่านค าได้อย่างถูกต้องด้วยความเข้าใจ จะสามารถสะกดค าเป็น ซึ่งน าไปสู่การอ่านและเขียนค าได้ตามล าดับ ดังนั้นการสะกดค าจึงเป็นพื้นฐานส าคัญและมีความจ าเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้สอนจะต้องวางพื้นฐานการสะกดค าให้นักเรียนเข้าใจโดยแท้จริง การออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นปัญหา ส าคัญอย่างหนึ่งของนักเรียนไทย ทั้งนี้เนื่องจากความแตกต่างของระบบเสียงระหว่างภาษาไทย ภาษาแม่กับ ระบบเสียงภาษาอังกฤษซึ่งในการเรียนการสอน รูปแบบ 0n-Line ภาษาต่างประเทศนั้น การรู้แต่ค าศัพท์และ โครงสร้างเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ นักเรียนบางคนไม่สามารถเรียนรู้การออกเสียงได้เนื่องจากขาดความ เข้าใจในเรื่องการเชื่อมโยงตัวอักษรและเสียงที่ไม่คุ้นเคยหรืออ่านออกเสียงผิด ทั้งยังไม่เข้าใจความหมายของ ค าศัพท์ที่ออกเสียงนั้นอีกด้วย ดังนั้นนอกจากการสอนให้ผู้เรียนสามารถออกเสียงได้ถูกต้องแล้ว การเข้าใจ ความหมายของค าศัพท์ที่ออกเสียงก็เป็นสิ่งส าคัญและจ าเป็นด้วยเช่นกัน ระบบการสอนภาษาอังกฤษที่ได้ผล อ่านออก เขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี 7 ขั้นตอนที่ได้ผล (อนิทริา ศรีประสิทธ์ 2552) ได้แก่ 1. องค์ความรู้ที่ เกี่ยวกับการสอนให้ได้ยินรับรู้และรู้จักจัดการกับทุกหน่วยเสียงของ ภาษาอังกฤษที่เป็นส่วนประกอบ ของค า และพยางค์(Phonemic Awareness) 2. องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการเชื่อมโยงตัวอักษรกับหน่วยเสียง ซึ่งมี ความสัมพันธ์แบบที่ท านายได้ ท าให้ผู้เรียนสามารถ อ่านออกเสียงภาษาอังกฤษได้ด้วยการถอดรหัส ตัวอักษร ของภาษาเขียนให้เป็นหน่วยเสียง (Phonics) 3. การพัฒนาค าศัพท์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจในบทอ่าน เมื่อผู้อ่านพบค าใหม่นอกจากจะอ่านได้อย่างถูกต้อง อย่างคล่องแคล่วแล้วจ าเป็นที่จะต้องเข้าใจความหมายของ สิ่งที่อ่านถ้าไม่เช่นน้ันเขาต้องใช้กลยุทธ์อื่นเช่นศาสตร์แห่ง การเดาจากบริบทของประโยคเพื่อที่จะเข้าใจ ความหมายของค าศัพท์นั้น (Vocabulary Development) 4. ความสามารถในการอ่านอย่างถูกต้องและชัด ถ้อยชัดค าด้วยความคล่องแคล่วและความรู้สึกเนื่องจากความสามารถ ในการอ่านอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างการรับรู้ค ากับความเข้าใจ (Reading Fluency) 5. ความเข้าใจในบทอ่าน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สลับซับซ้อน ผู้อ่านจะเข้าใจบทอ่านได้ จ าเป็นต้องพึ่งทักษะในการ รับรู้ค าและ ค าศัพท์ การอ่านอย่างคล่องแคล่วไม่ตะกุกตะกักและการคิดตามบทอ่านเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่อ่านนั้นอย่าง ถ่อง แท้(Reading Comprehension) 6. ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ (Writing) 7. ความสามารถอย่างเต็มขั้นของ
- 78 - การอ่านออกเขียนได้ (Full Literacy) ส าหรับนักเรียนที่ไม่สามารถสะกดค าภาษาอังกฤษได้นั้นมีผลท าให้ ทักษะการเรียน ภาษาอังกฤษด้านอื่น ๆ จากการสอนภาษาอังกฤษระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผ่านมา พบว่ามีนักเรียนบางส่วนยังขาด ทักษะอ่าน และจดจ าความหมายค าศัพท์ภาษาอังกฤษ และมีความจ าเป็นที่ต้อง ได้รับการช่วยเหลือและ เพิ่มเติมให้เกิดการพัฒนาทักษะอ่าน และจดจ าความหมายค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน และเพื่อให้ นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะอ่าน และจดจ าความหมายค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ผู้รายงาน จึงได้หาวิธีการที่จะด าเนินการเพื่อช่วยเหลือ แก้ปัญหา และพัฒนาให้นักเรียนได้เกิดทักษะอ่าน และจดจ า ความหมายค าศัพท์ภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในการพัฒนา และเพิ่มเต็มทักษะอ่าน และจดจ าความหมาย ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนใน ครั้งนี้ ผู้รายงานจึงเลือกวิธีการสอนการอ่าน และการจดจ าความหมาย ค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้นิทานง่ายๆประกอบรูปภาพ 3. จุดประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์แบบโฟนิคส์ (Phonics) โดยใช้นิทานง่ายๆที่มีรูปภาพ ประกอบส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโกตาบารู 4. ขั้นตอนการการด าเนินงาน / วิธีการ วิธีการด าเนินตามล าดับดังนี้ - ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง - เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง - วิธีสร้างเครื่องมือ - การด าเนินการทดลอง ประชากรและกลุ ่มตัวอย ่าง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโกตาบารู อ าเภอรามัน จังหวัดยะลา ภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 63 คน เครื่องมือที่ใช ้ในการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง มีดังต่อไปนี้ 1. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) เรื่อง การอ่านสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษแบบโฟนิคส์ (Phonics) 2. แบบทดสอบก่อนเรียน (Post-test) เรื่อง การอ่านสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษแบบโฟนิคส์ (Phonics) 3. แผนการจัดการเรียนรู้จ านวน 5 แผนการเรียนรู้ วิธีการด าเนินงาน 1. การก าหนดระยะเวลาท าการวิจัย ระยะเวลาในการวิจัยมีทั้งหมด 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดย ผู้วิจัยให้นักเรียนฝึกอ่านสะกด และจดจ าความหมายของค าจากภาพตามที่ก าหนด ในแต่ละครั้ง ผู้รายงานจะมี การจดบันทึกก่อน และ หลังการอ่านสะกดค าของนักเรียน ลงในตารางบันทึกเพื่อความก้าวหน้าในการอ่าน สะกดของนักเรียน
- 79 - 2. ตารางการฝึกอ่านสะกดค า ซึ่งผู้วิจัยได้ก าหนดค าภาษาอังกฤษตามแบบหนังสือ และบทความสั้นๆ WE CAN ! PHONICS ของ Yoko Matsuka และ Mayami Tabuchi หนังสือ Mcgraw-Hill Phonics 2 และ หนังสือ Macmillan English 2 ของ Mary Bowen และคณะ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกอ่านตามตารางก าหนดการ อ่านสะกดค าดังนี้ตารางฝึกการอ่าน สัปดาห์ ที่ 1 1. Pre-test 2. ฝึกการอ่าน Phonics A-Z ด้วยบัตรค า(A-Z) 3. ฝึกอ่านค าที่ประสมด้วย /at/ /an/ (bat, hat, rat, fat, cat, mat, van, can, fan, pan, man) 4. ฝึกอ่านค าที่ประสมด้วย /en/ /et/ (hen, pen, ten, men, net, met, vet, pet) 5. Post-Test สัปดาห์ ที่ 2 1. Pre-test 2. ฝึกการอ่าน Phonics A-Z ด้วยบัตรค ารูปภาพ (A-Z) 3. ฝึกอ่านค าที่ประสมด้วย /in/ /it/ (fin, tin, pin, sit, fit) 4. ฝึกอ่านค าที่ประสมด้วย /og/ /ot/ /op/ (dog, fog, pot, dot, top, mop) 5. Post-Test สัปดาห์ ที่ 3 1. Pre-test 2. ฝึกการอ่าน Phonics A-Z ด้วยบัตรค า (A-Z) 3. ฝึกอ่านค าที่ประสมด้วย /ug/ /ut/ /up/ (hug, jug, bug, mug, hut, nut, cut, cup,) 4. Post-Test 3. วิธีการด าเนินการสอน 3.1 ผู้รายงานท าการทดสอบการอ่านสะกดค า และบอกความหมายค าศัพท์ภาษาอังกฤษของ นักเรียน และลง บันทึกไว้เป็นคะแนนก่อนเรียน 3.2 ผู้รายงานให้นักเรียนทบทวน และอ่านเสียง Phonics ของพยัญชนะภาษาอังกฤษ A – Z ทุกครั้งก่อนเริ่ม บทเรียนด้วยบัตรค า 3.3 ผู้รายงานสอนนักเรียนอ่านประสมพยัญชนะกับสระในภาษาอังกฤษตามเสียง Phonics โดยในบัตรค าและหลังจากให้นักเรียนลองฝึกอ่านออกเสียง และเรียนรู้ความหมายของค าศัพท์โดยเล่น เกมจับคู่ระหว่างค ากับ รูปภาพทีละคน โดยในเวลาในการฝึกอ่านสะกดค าและจดจ าความหมายจาก รูป 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อจบบทเรียนทุกครั้งให้นักเรียนอ่านให้ฟัง และบอกความเป็นภาษาไทย แล้ว จึงลง บันทึกเป็นคะแนนหลังเรียน และเมื่อเริ่มบทเรียนใหม่ในสัปดาห์ถัดไป ผู้รายงานจะให้นักเรียน อ่านค าในบทเรียนครั้ง ก่อนเพื่อเป็นการทบทวน 3.4 ผู้รายงานแนะน าให้นักเรียนฝึกอ่านตามแบบที่เรียนรู้ที่บ้านกับผู้ปกครองที่บ้านทุกวัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. บัตรค า 2. ใบบันทึกคะแนนก่อนและหลังบทเรียน 3. ใบบันทึกระหว่างการวิจัย
- 80 - 5. ผลการด าเนินงาน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล หลังเรียน 1-2 ผู้รายงานให้นักเรียนลองอ่านลองสะกดและบอกความหมายค า ภาษาอังกฤษที่ประสมด้วย /at/ /an/ (bat, hat, rat, fat, cat, mat, van, can, fan, pan, man) นักเรียน สามรถอ่านและบอกความหมายเป็นบางค า ที่พอจ าได้โดยเฉพาะที่คุ้นเคย หรือที่เคยเรียนมา นักเรียนได้ฝึก อ่านค าต่างๆ ตามเสียง phonics จากบัตรค า นักเรียนสามารถอ่านได้เกือบทุกค า ต่อจากนั้นผู้รายงานให้ นักเรียนฝึกจดจ าค าศัพท์โดย บัตรค ารูปภาพ และให้นักเรียนเล่นเกมจับคู่ค ากับรูปภาพ พบว่านักเรียนสามารถ บอกความหมายค าได้เกือบทั้งหมด ผู้วิจัยให้นักเรียนลองอ่านลองสะกดค าและบอก ความหมายค า ภาษาอังกฤษที่ประสมด้วย/og/ /ot/ /op/ (dog, fog, pot, dot, top, mop) นักเรียนสามารถอ่านค าที่ คุ้นเคยได้ แต่บอก ความหมายของค าได้น้อยมาก นักเรียนได้ฝึกอ่านค าต่างๆ ตามเสียง phonics จากบัตรค า นักเรียนสามารถอ่านได้ทุกค า แม้นว่าจะมีนักเรียนบางใช้เวลาให้การสะกดอยู่บ้าง ต่อจากนั้นผู้วิจัยให้นักเรียน ฝึกจดจ าค าศัพท์โดย บัตรค ารูปภาพ และให้นักเรียนเล่นเกมบอก ค าศัพท์จากรูปภาพบนลูกเต๋า พบว่านักเรียน สามารถบอกความหมายค าได้เกือบทั้งหมด 6. สื่อการเรียนรู้ / ประกอบนวัตกรรม 1. นิทานง่ายๆที่มีรูปภาพประกอบ 2. แผนการจัดการเรียนรู้ 3. คลิปวิดีโอประกอบการสอน short vowel sounds 7. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ) ด้านผู้เรียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์แบบโฟนิคส์ (Phonics) โดยใช้นิทานง่ายๆที่มีรูปภาพประกอบ มีทักษะในการอ่านและสามารถจดจ าความหมายค าศัพท์ ภาษาอังกฤษดีขึ้น ด้านครูผู้สอน /ผู้รายงาน ในการศึกษาครั้งนี้ท าให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์แบบโฟนิคส์ (Phonics) โดยใช้นิทานง่ายๆที่มีรูปภาพประกอบส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และได้รูปแบบการใช้ สื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยนักเรียนและผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาทักษะในการอ่านสะกด ค าและสามารถจดจ าความหมายค าศัพท์ภาษาอังกฤษนักเรียน 8. ภาพประกอบ (ประมาณ 5-6 ภาพ
- 81 -
- 82 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การประยุกต์ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงโดยใช้วิธีแบบ Phonics เพื่อแก้ปัญหาการ อ่านออกเสียงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสาวพัชรี สาแม โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ โทรศัพท์ ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรสาร ๐๗๓-๒๕๑๒๙๕ โทรศัพท์มือถือ ๐๙๘-๗๓๑๙๕๗๖ e-mail [email protected] ๒.ความส าคัญของผลงาน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในสังคมโลกปัจจุบัน มีความส าคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจ าวัน เนื่องจาก เป็นเครื่องมือส าคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ ความบันเทิง การ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่หลากหลายและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก (ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551: 1) จากความส าคัญของภาษาต่างประเทศตามที่กล่าวมา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ก าหนดให้มีการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศในทุกช่วงชั้น เพื่อเสริมสร้างความเป็นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ สร้าง ศักยภาพในการคิดและการท างานอย่างสร้างสรรค์ช่วยให้นักเรียนเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถพัฒนา ความคิดและมองโลกกว้างขึ้น โดยมีความคาดหวังว่าเมื่อนักเรียนเรียนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง นักเรียนจะมี ความรู้ความสามารถในการรับและส่งสาร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อ การพัฒนาตนเองและสังคม (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2552) ซึ่งการอ่านถือเป็นทักษะ หนึ่งที่มีความส าคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ เนื่องจากการอ่าน คือ การแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่าน ออกมาเป็นความรู้ความคิด และเกิดความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเรื่อราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่านสามารถน า ความรู้ ความคิด หรือสาระจากเรื่องราวที่อ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนั้น หากผู้เรียนไม่สามารถอ่าน ออกเสียงได้ก็จะท าให้การเรียนแต่ละครั้งพบปัญหาและอุปสรรคมากมาย อีกทั้งการเรียนภาษาเป็นพื้นฐาน ส าคัญที่จะเชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจในวิชาอื่น เช่น หากนักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก หรือตีความหมายไม่เข้าใจ ก็จะส่งผลไปสู่การเรียนรู้ จากการที่ข้าพเจ้าได้จัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ พบว่านักเรียนส่วน ใหญ่มีปัญหาด้านการอ่านออกเสียง ส่งผลให้นักเรียนไม่ชอบออกเสียงในขณะที่มีกิจกรรมการเรียนการสอน ไม่ สามารถเข้าใจความหมายของค าศัพท์ต่างๆ และเนื้อหาที่เรียน จากสภาพปัญหาข้างต้น ครูผู้สอนจึงสนใจที่จะแก้ปัญหาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงโดยใช้วิธีแบบ Phonics เพื่อพัฒนาให้นักเรียนมี
- 83 - ทักษะในการอ่านที่มีประสิทธิภาพ เป็นการพัฒนานักเรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในการเรียนภาษาอังกฤษ ยิ่งขึ้น และได้รับประโยชน์จากการอ่านอย่างแท้จริง สอดคล้องกับกนกวรรณ อินทรสูต (อ้างถึงใน เจษฎา วารี, ๒๕๕๗: ๑๔-๑๕) ได้กล่าวถึงความส าคัญของ การออกเสียงภาษาอังกฤษว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษมากขึ้นจากการเรียนรู้ค าศัพท์ใหม่ๆ ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อแก้ปัญหาความสามารถในการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ ๔ ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบไปด้วย ๑๒.แผนการสอนแผนการอ่านออกเสียงโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง ด้วยวิธีแบบ Phonics ๑๓.แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงทักษะการอ่านออกเสียงโดยใช้วิธีแบบ Phonics วิธีการด าเนินงาน ๑. วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2557) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านโกตาบารู ในเรื่องของ มาตรฐานการเรียน และตัวชี้วัด สาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ วิชาภาษาอังกฤษ ๒. จัดท าแผนและแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้วิธีแบบ Phonics โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น ส่วน ๆ พร้อมเฉลยตัวอย่าง ๓. ให้คุณครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง ในเนื้อหา การ เฉลยของตัวอย่าง พร้อมทั้งเสนอแนะ เพื่อปรับปรุง แก้ไข ๔. สร้างแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาและตรงตามเป้าหมายที่ก าหนด ๕. น าข้อสอบและเอกสารแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง โดยใช้วิธีแบบ Phonics ไปจัดกิจกรรมการ เรียนรู้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ๖. บันทึกผลการเรียนรู้ของนักเรียน ที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสะท้อนผลการเรียนรู้ ให้นักเรียนทราบเป็นระยะ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ให้นักเรียนจนนักเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ที่ ก าหนด ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม - ได้เผยแพร่ผลงานทางเว็บไซต์ www.kotabaru.ac.th ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม ๑. แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงทักษะการอ่านออกเสียงโดยใช้วิธีแบบ Phonics ๒. Flash cards
- 84 - ๗. ผลการด าเนินงาน นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงได้ดีขึ้นและสามารถน าความรู้ที่ได้รับไปต่อยอด รวมทั้งสามารถน าไป ประยุกต์ใช้เพื่อการอ่านที่ดีขึ้นในชีวิตประจ าวัน อยากเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น ท าให้เกิดความเข้าใจ มีเจตคติ ที่ดีต่อวิชาการภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น และมีพัฒนาการในการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น ๘. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) ๑. นักเรียนมีการพัฒนาในด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ๒. ครูประสบผลส าเร็จในการจัดการเรียนการสอน ๙. ภาพประกอบ
- 85 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๑.ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง “Coconut” ชื่อผู้น าเสนอผลงาน นางสุไวบ๊ะ ดีแลตานา โรงเรียน โรงเรียนบ้านโกตาบารู สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษายะลา เขต ๑ ๒. ความส าคัญของผลงาน ภาษาอังกฤษนับเป็นภาษาสากลที่มีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสารและการสร้างความ เข้าใจระหว่างบุคคลที่มีความแตกต่างทางภาษาให้สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้การเรียนรู้ ภาษาอังกฤษจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ในเรื่องราวต่างๆหรือหาความรู้เพิ่มเติมสามารถเข้าถึงแหล่ง ความรู้ที่มีอยู่อย่างไม่จ ากัดทั่วโลกได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งนอกเหนือจากทักษะการฟัง การพูด และการ เขียน ทักษะการอ่านก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในหัวใจหลักของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและพยายามให้มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ( กรมวิชาการ, 2539, อ้างใน ปิยธิดา บัวประเสริฐยิ่ง, 2550 ) ทักษะภาษาอังกฤษอันประกอบด้วยทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนนั้น ทักษะที่จ าเป็น มากที่สุดคือทักษะการอ่าน ซึ่งต้องใช้ในชีวิตประจ าวัน เช่น การอ่านฉลากยา การอ่านป้ายประกาศ ป้าย โฆษณา ตลอดจนวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากต่างประเทศ ตลอดจนความจ าเป็นในการอ่านต าราภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาปริญญาตรีปริญญาโท ดังนั้นทักษะการอ่านจึงเป็นทักษะที่นักเรียนต้องการและควรส่งเสริมเป็น อย่างยิ่ง วิสาห์จัติวัตร์( 2541 ) สอดคล้องกับ พรรณศรี- ปทุมสิริ( 2541:2 ) ซึ่งกล่าวว่า ทักษะการอ่านจัด ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจ าวันของคนยุคใหม่การอ่านเป็นเครื่องมือส าคัญยิ่งส าหรับการแสวงหาความรู้ เพราะการอ่านจะช่วยสร้างเสริมความรู้ความคิดของคนให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น การอ่านมีบทบาทส าคัญในการเรียน ทุกระดับ ในท านองเดียวกันกับ วีรชาติชัยเนตร ( 2541: 4 ) ซึ่งกล่าวว่า การอ่านเป็นทักษะที่มีความส าคัญต่อ การด ารงชีวิตในโลกปัจจุบัน ผู้ที่อ่านมากย่อมมีความรู้มาก เป็นไปทิศทางเดียวกันกับ สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ ( 2530: 50 ) ให้ความคิดเห็นว่า ในกระบวนการเรียนการสอนทักษะต่างๆในภาษาอังกฤษ นับว่าทักษะการ อ่านเป็นทักษะที่ส าคัญและมีประโยชน์มากทักษะหนึ่ง ผู้เรียนมีโอกาสใช้ทักษะการฟัง การพูด และการเขียน น้อยกว่าการอ่าน ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มีความส าคัญต่อการเรียนรู้ในวิชา ภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถก้าวพ้นข้ามขีดจ ากัดในการแสวงหาความรู้ในอันที่จะก่อให้เกิด ประโยชน์กับตัวผู้เรียนเอง และทักษะการอ่านจะสามารถน าพาให้ผู้เรียนไปสู่เส้นทางแห่งความส าเร็จใน อนาคตได้
- 86 - จากการสอนที่ผ่านนักเรียนไม่เข้าใจในสิ่งที่อ่านและไม่สามารถตอบค าถามจากสิ่งที่อ่านได้ ท าให้ มาตรฐาน/ตัวชี้วัดเรื่องการอ่านจับใจความของนักเรียนอยู่ในระดับต่ ากว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ ผู้สอนจึงเลือกที่จะ ให้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง”ฟักข้าว” ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว นักเรียนมากที่สุด เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกอยู่ในสวนเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนและนักเรียนได้น าผลฟักข้าว มาแปรรูปเป็นประจ า จากประสบการณ์และการสัมผัสกับผลฟักข้าวอยู่ประจ าอาจท าให้นักเรียนสามารถเข้าใจ ในเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น ๓. จุดประสงค์ ๑. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้ หนังสือส่งเสริมการอ่าน ๒. เพื่อให้นักเรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสามารถใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านจับใจความ เป็นเครื่องมือในการฝึกการอ่านของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๔. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ ๑. ให้นักเรียนท าแบบทดสอบก่อนเรียนโดยที่ยังไม่ได้ใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านจับใจความ เรื่อง “Coconut” ๒. ด าเนินการสอนตามแผนการสอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านจับใจความ เรื่อง “Coconut” จ านวน ๔ ครั้งๆละ ๖๐ นาที รวม ๔ ชั่วโมง ๓. ให้นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน หลังจากที่ได้ใช้หนังสือส่งอ่านจับใจความ เรื่อง “Coconut” ๕. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม ๑. เผยแพร่หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง “Bamboo” ให้กับครูในกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ และ นักศึกษาที่มาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ๒. เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของโรงเรียน ๖. สื่อการเรียนรู้ประกอบนวัตกรรม ๑. หนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่อง “Coconut” ๒. รูปภาพประกอบ ๓. เกม ๓. แบบฝึกหัด ๔. จอโปรเจ็คเตอร์และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้ค ๔. แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน
- 87 - ๗. ผลการด าเนินงาน ๑. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความที่สูงขึ้น ร้อยละ 70 ๒. นักเรียนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการน าหนังสือส่งเสริมการอ่านมาเป็นเครื่องมือในการฝึก การอ่านของนักเรียนและส่งผลให้นักเรียนพัฒนาประสิทธิภาพด้านการอ่านจับใจความมากยิ่งขึ้น ๘.บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน/ครู) ๑. ผู้บริหารและฝ่ายวิชาการให้การสนับสนุนในการด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วย พัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ๒. การจัดการนิเทศการเรียนการสอนภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช่วยส่งเสริมให้ ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. การศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษต่าง ๆ และการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้อย่างสม่ าเสมอ แล้วน าไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อ ส่งเสริม และพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานตัวชี้วัดที่หลักสูตรก าหนด ส่งผลให้ ผู้เรียนมีทักษะการอ่านที่ดีขึ้นและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นตามล าดับ
- 88 - กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา
- 89 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ 1.ชื่อผลงาน วีดีโอประกอบการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้เสนอผลงาน นางกิติมา รุจิศรัณย์ 2. ความส าคัญของผลงาน วีดีโอประกอบการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) ที่ข้าพเจ้าได้จัดท าขึ้นจากการเรียนการสอนที่ได้รับมอบหมายให้สอนกลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งสอดคล้องกับสาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนได้เห็นความส าคัญของ สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติและมนุษย์ สร้างขึ้น เพื่อคิดหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ส่งเสริมปลูก จิตส านึกและรู้คุณค่า ในการใช้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางสังคมอย่างยั่งยืน การส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดและเขียนเพื่อสร้างจิตส านึกที่หยั่งลึกจะช่วยในการจดจ าและปฏิบัติตาม ความคิดของตนอย่างถูกต้องโดยมีครูค่อยแนะน าและเติมเต็ม เป็นการส่งเสริมทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้ วีดีโอประกอบการสอนและใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) ในการฝึกกิจกรรม จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ อย่างสนุกสนาม การเขียนจากความคิดของตนเองที่เกิดจากการปฏิบัติจริง ถือเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่ส าคัญ ของนักเรียนที่จะต้องมี เพราะจะได้น าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน ข้าพเจ้าจึงได้ศึกษาเอกสารรูปแบบการ ฝึกคิดในลักษณะต่าง ๆ มาจัดเป็นชุดฝึกทั้งสิ้น 8 แบบฝึก โดยใช้แผนผังความคิด (Mind Mapping) พร้อมทั้ง จัดท าคลิป VDO การสอนเป็นสื่อขึ้นเพื่อต้องการจะปลูกฝังพื้นฐานทักษะการคิดให้แก่นักเรียน และยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้น 3. จุดประสงค์ 1 เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของนักเรียน 2 เพื่อฝึกให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) 3. เพื่อให้นักเรียนเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม 4. ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ 1. ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นนักเรียนรายบุคคล ทางการเรียนจากครูประจ าชั้น ประจ าวิชา และให้ นักเรียนทดลอง อ่านเขียน ตามสมควร 1.1 กลุ่มเก่ง หมายถึง นักเรียนที่อ่านออกเขียนได้ดี จ านวน 14 คน 1.2 กลุ่มกลาง หมายถึง นักเรียนที่อ่านออกเขียนได้ดีตามสมควร จ านวน 9 คน 1.3 กลุ่มอ่อน หมายถึง นักเรียนที่อ่านเขียนไม่คล่อง จ านวน 8 คน 2. ให้นักเรียนท าแบบทดสอบก่อนเรียน
- 90 - 3. แนะน า / อธิบาย หลักการเขียนแผนที่ความคิด (Mind Mapping) 4. แนะน าการปฏิบัติกิจกรรมแล้วให้นักเรียนเมื่อมารับเอกสารที่โรงเรียน(On-hand) 5. ให้นักเรียนท าแบบฝึกจ านวน 8 แบบฝึก ครั้งละ 1 แบบฝึก จนหมด 6. ครูน าแบบฝึกของนักเรียนในแต่ละครั้งมาตรวจประเมิน และบันทึกผลไว้โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนน ในแต่ละชุดมี 5 รายการ ๆ ละ 2 คะแนน คะแนนเต็ม 10 คะแนน 7. ให้นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน ระยะเวลา ฝึกกิจกรรมทั้ง 8 แบบฝึก ในห้องเรียน ก าหนดเวลาแบบฝึกละ 30 นาที ด าเนินการตามปฏิทินแผนงานการปฏิบัติงาน ดังนี้ 1. วางแผนและศึกษาข้อมูล 2. ศึกษาเอกสารเทคนิคการสอนคิด 3. สร้างเครื่องมือ 4. ด าเนินการจัดกิจกรรม 5. เก็บรวบรวมข้อมูล 6. วิเคราะห์ข้อมูล 7. สรุปและรายงานผล 5. สื่อการเรียนรู้ / ประกอบนวัตกรรม 1. เอกสาร แนวทางการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 2. ใบงานแผนที่ความคิด (Mind Mapping) เรื่อง สิ่งแวดล้อม 6. ผลการด าเนินงาน 1. นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะการคิดผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 87.88 2. นักเรียนสามารถเขียนแผนที่ความคิด (Mind Mapping) จากการปฏิบัติจริงได้ และแสดงความ คิดเห็น อย่างมีเหตุผลได้ดี 7. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน,ครู ) การพัฒนาทักษะการคิดให้กับนักเรียน ต้องอาศัยความตั้งใจ ความพยายามของทุกฝ่ายโดยเฉพาะ กลุ่มอ่อน ที่มีจ านวน 8 คน ต้องแนะน า ดูแล ประสานผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด โควิด 19 ไม่สามารถจัดกลุ่มท ากิจกรรม On-site ได้ กิจกรรมที่จัดท าให้เกิดทักษะการคิดหลายด้าน การใช้ แผนที่ความคิด (Mind Mapping) สามารถน ามาเป็นสื่อในการฝึกทักษะพื้นฐานการคิดได้ สามารถยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้น และพัฒนาการวางแผนแก้ปัญหาให้กับนักเรียนของครูผู้สอนได้ อีกหนึ่งวิธี
- 91 - 8. ภาพประกอบ สื่อ VDO ประกอบการสอน
- 92 - ภาพประกอบการจัดการเรียนรู้
- 93 - โครงการหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรมการสอน (One Teacher One innovation) ประจ าปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนบ้านโกตาบารู ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๑ 1.ชื่อผลงาน การสอนโดยการใช้เกม (Play to learning) เพื่อเสริมสร้างทักษะให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ควบคู่ไปกับความสนุกสนาน เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนใน วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารู สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้/เทคนิคการสอน การจัดการเรียนรู้แบบ Games Based Learning ( GBL) ผู้เสนอผลงาน นางบุษบามินตรา สลักค า ต าแหน่ง ครู โรงเรียนบ้านโกตาบารู สพป.ยล.1 2.ความส าคัญของผลงาน การจัดการเรียนการสอนแบบ Games Based Learning ( GBL) สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ส่วน ร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ส่วนการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์นั้น ความ จริงแล้วมีเกิดขึ้นควบคู่ไปกับทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ซึ่งหากครูสามารถจัด กิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ตามหลักดังกล่าวแล้ว การจัด การเรียนการสอนของครูจะมีลักษณะเน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ท าให้ - นักเรียนสนใจในการเรียน - นักเรียนรับรู้และเรียนรู้ได้ดีขึ้น - นักเรียนรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุกสนาน และสร้างสรรค์ - การเรียนไม่ซ้ าซาก ยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย - นักเรียนเข้าใจในเนื้อหาได้ลึกซึ้งเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 3.จุดประสงค์ 3.1 เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในขณะการเล่นเกมหรือหลังเล่นเกม (Play to learning) สร้าง ทักษะกระบวนการของผู้เรียนควบคู่ไปกับความสนุกสนาน 3.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารู ต าบลโกตาบา รู อ าเภอรามัน จังหวัดยะลา ที่มีต่อการเรียนการสอนโดยการใช้เกม (Play to learning) 4.ขั้นตอนการด าเนินงาน/วิธีการ 4.1 ศึกษาปัญหาการเรียนการสอน จากการจัดการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา หลายปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีเนื้อหาและตัวชี้วัดจ านวน 30 ตัวชี้วัด ซึ่งมีจ านวนมากและ เนื้อหารายละเอียดมาก ท าให้นักเรียนส่วนใหญ่เกิดความเบื่อหน่ายไม่ชอบเรียนและ หนังสือประกอบการ เรียนเล่มใหญ่ เนื้อหามาก ครูผู้สอนจึงได้น าเอา เทคนิคการสอนโดยใช้เกม มาใช้ในการสรุปความคิดรวบยอด
- 94 - ของเนื้อหาต่าง ๆ ที่นักเรียนได้เรียนไปแล้ว และเร้าความสนใจของนักเรียนได้เป็นอย่างดีสร้างความสนุกสนาน โดยไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการฝึกซ้ า จะส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 4.2 ก าหนดและจัดท านวัตกรรมการเรียนการสอน ปีการศึกษา 2565 4.3 การจัดท าเครื่องมือประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพนวัตกรรมการเรียนการสอน 4.3.1 วัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างสื่อ/งบประมาณ • ภาพประกอบการสอนโดยใช้เกม คัดลอกมาจากคอมพิวเตอร์โปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิต 4.3.2 ขั้นตอนในการผลิตสื่อ/นวัตกรรมการเรียนการสอน • ศึกษาจากมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและเอกสารที่เกี่ยวข้อง • ศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลและรูปภาพ • ด าเนินการจัดท า • ตรวจสอบแก้ไขค าผิด • ทดลองใช้สื่อ 4.4 การทดลองศึกษาคุณภาพและประสิทธิภาพนวัตกรรมการเรียนการสอน ใช้จัดการเรียนการสอน ปีการศึกษา 2565 กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารู 4.5 การน านวัตกรรมการเรียนการสอนไปใช้ในการแก้ปัญหา/พัฒนาผู้เรียน 1) วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านโกตาบารู ในเรื่องของ มาตรฐานการเรียน และ ตัวชี้วัด ของเนื้อหา 2) จัดท าโครงร่างของเนื้อหาและกิจกรรม 3) ให้คุณครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมและสมาชิกในกลุ่ม PLC ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง ในเนื้อหา การเฉลยของตัวอย่าง กิจกรรม และแบบฝึกหัด พร้อมทั้งเสนอแนะ เพื่อปรับปรุง แก้ไข 4) ครูผู้สอนน าแบบฝึกมาปรับปรุง แก้ไขตามค าแนะน าของคณะครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนบ้านโกตาบารู 5) น าแบบฝึกวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ไปใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และให้นักเรียนเสนอแนะข้อคิดเห็น เพื่อปรับปรุง แก้ไข หรือนักเรียนมีความสับสนในข้อความใด ให้ ด าเนินการปรับภาษาให้เข้าใจง่ายขึ้น 6) บันทึกผลการเรียนรู้ของนักเรียน ที่เกิดขึ้นจากการกิจกรรมการเรียนรู้ และสะท้อนผลการ เรียนรู้ให้นักเรียนทราบเป็นระยะ หากมีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินในเรื่องใด ให้ใช้กิจกรรมเพื่อนช่วย เพื่อน และการสอนซ่อมเสริม ส าหรับใช้แก้ไขปัญหาการเรียนรู้ให้นักเรียนได้ศึกษา และท าการทดสอบใหม่ จน นักเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ที่ก าหนด ใช้กับนักเรียนทุกคนที่เรียน จัดการเรียนการสอนตามปกติ ใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง หรือการศึกษานอกสถานที่แล้วให้นักเรียน ท าแบบฝึกพัฒนาการเรียนการสอน 4.6 การเขียนรายงานผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน จัดท ารายงานการสอนโดยการใช้เกม (Play to learning) เพื่อเสริมสร้างทักษะให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ควบคู่ไปกับความสนุกสนาน เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนใน วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านโกตาบารู
- 95 - 4.7 การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม มีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อใช้ในการเรียนการสอน กับชั้นเรียนอื่นๆ 5. สื่อการเรียนรู้/ประกอบนวัตกรรม 1.วิธีการสอนแบบต่างๆ 2.อุปกรณ์และวัสดุ 6. ผลการด าเนินงาน 1.การสอนโดยการใช้เกม (Play to learning) เพื่อเสริมสร้างทักษะกระบวนการคิดของผู้เรียนควบคู่ ไปกับความสนุกสนานใน วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน บ้านโกตาบารู ดังนี้ 1. นักเรียนสนใจเรียนวิชาสังคมศึกษามากขึ้น 2. นักเรียนเข้าใจและผ่านการประเมินตัวชี้วัดเพิ่มขึ้น 3. นักเรียนสนุกสนานและมีความกระตือรือร้นในการเรียน 4. นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์กล้าแสดงออก 7. บทสรุปของความส าเร็จ (นักเรียน ครู ฯลฯ) 1. นักเรียน 1. ช่างสังเกตเปรียบเทียบ วัสดุสิ่งของต่างๆ และรูปภาพ 2 กระตุ้นให้คิดแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุผล 3. สร้างความเพลิดเพลิน และผ่อนคลาย ในการอ่านและง่ายต่อการจดจ า 4. กล้าแสดงออก เป็นผู้น าและผู้ตามที่ดี 5. ยอมรับการท าตามกฎกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ 6. มีวินัยในตนเองและหมู่คณะ อดทนอดกลั้น ซื่อสัตย์ 7. มีทักษะการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า 2. ครู 1. นักเรียนสนใจในการเรียนอย่างเพลิดเพลินและสนุกสนาน 2. นักเรียนรับรู้และเรียนรู้อย่างมีความหมายได้ดีขึ้น 3. มีวิธีการสอนที่หลากหลาย สามารถสอดแทรกความรู้ผ่านเกมได้อย่างแยบยล 4. นักเรียนรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุกสนาน และสร้างสรรค์ 5. การเรียนไม่ซ้ าซาก ยืดหยุ่นเป็นธรรมชาติสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย 6. นักเรียนเข้าใจในเนื้อหาได้ลึกซึ้งเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
- 96 - 8.ภาพประกอบ (ประมาณ 5-6 ภาพ) 6