The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยการอ่านจับใจความ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Hom Hom, 2023-05-25 02:40:55

วิจัย

วิจัยการอ่านจับใจความ

Keywords: วิจัย

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H สุภัสสร แก้ววงศ์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 2563


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H สุภัสสร แก้ววงศ์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 2563


ใบรับรองบัณฑิตนิพนธ์ สถานที่ฝึกประสบการณ์ โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ผู้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ นางสาวสุภัสสร แก้ววงศ์ ได้รับการพิจารณาเห็นชอบโดย อาจารย์นิเทศก์ ....................................................................... วันที่..........เดือน...................พ.ศ......... (อาจารย์ ดร.นภัทร อังกูรสินธนา) ประธานสาขาวิชา ....................................................................... วันที่..........เดือน..................พ.ศ......... (ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรพักตรา ไชยเศรษฐ) คณบดี .......................................................................วันที่..........เดือน..................พ.ศ......... (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประโมทย์ พ่อค้า) บัณฑิตนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย


ก หัวข้อบัณฑิตนิพนธ์ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ชื่อ - สกุล สุภัสสร แก้ววงศ์ สาขาวิชา ภาษาไทย อาจารย์นิเทศก์ อาจารย์ดร.นภัทร อังกูรสินธนา ปีการศึกษา 2563 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย ครั้งนี้คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 2 โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563 รวมทั้งสิ้น 38 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกตามสะดวก (Convenience sampling) จาก ห้องที่ผู้วิจัยได้สอนตลอดทั้งปีการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชา ภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการ ตั้งค าถามแบบ 5W1H จ านวน 5 แผน และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นข้อสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่การหาค่าเฉลี่ย การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าสถิติt – test แบบ Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน ด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่าการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งที่ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนให้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ ค าส าคัญ : การอ่านจับใจความ เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H


ข กิตติกรรมประกาศ บั ณ ฑิ ต นิ พ น ธ์ ฉ บั บ นี้ ส า เ ร็ จ อ ย่ าง ส ม บู ร ณ์ โ ด ย ไ ด้ รั บ ค ว า ม เ ม ต ต า จ า ก อ า จ า ร ย์ ดร.นภัทร อังกูรสินธนา อาจารย์นิเทศก์สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ที่ได้กรุณาให้ค าปรึกษาแนะน าด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดียิ่งและตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง ผู้วิจัยรู้สึก ซาบซึ้งในความกรุณาของท่านเป็นอย่างสูง จึงกราบขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ฐิติพร สังขรัตน์ อาจารย์ประจ าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษ์ภูวนารถ อาจารย์จุฑาทิพย์ ไกรนรา อาจารย์ประจ าสาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และครูอโณลักษณ์ ไข่มุกข์ ต าแหน่งครูผู้สอนวิชาภาษาไทย โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ที่ได้กรุณาให้ค าแนะน าตลอดจนตรวจสอบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย นอกจากนี้ขอขอบคุณท่านผู้อ านวยการดารารัตน์ เพ่งพินิจผู้อ านวยการโรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ถนนวิชิตสงคราม อ าเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ขอขอบคุณครูอโณลักษณ์ ไข่มุกข์ ครูพี่เลี้ยง รวมถึงคณะครู และนักเรียนโรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ตที่ได้ให้ความอนุเคราะห์อ านวยความสะดวก คอยดูแลให้ค าปรึกษา แนะน าข้อคิดเห็นต่าง ๆ และให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่งในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยน้อมน าค าบิดามารดาและบูรพาจารย์ทุก ท่านที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้และให้ความเมตตาแก่ผู้วิจัยโดยตลอดมา ท าให้การศึกษาวิจัยฉบับนี้ ส าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี สุภัสสร แก้ววงศ์


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ……………………………………………………………………………………………………………………...... ก กิตติกรรมประกาศ .......................................................................................................................... ข สารบัญ ........................................................................................................................................... ค สารบัญตาราง ................................................................................................................................. จ สารบัญภาพ .................................................................................................................................... ฉ บทที่ 1 บทน า ............................................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ........................................................................ 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ............................................................................................... 2 สมมติฐานของการวิจัย ................................................................................................... 2 ขอบเขตของการวิจัย ...................................................................................................... 2 ประโยชน์ที่ได้รับจาการวิจัย ........................................................................................... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ ........................................................................................................... 3 กรอบแนวคิดในการวิจัย ................................................................................................. 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ..................................................................................... 5 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ....................................................................... 5 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบ .................................................................. 9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ......................................................................................................... 12 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย .......................................................................................................... 14 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ............................................................................................ 14 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................................. 14 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ .............................................................................................. 15 การเก็บรวบรวมข้อมูล .................................................................................................... 18 การวิเคราะห์ข้อมูล ......................................................................................................... 18 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ........................................................................................................ 18 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ................................................................................................... 22 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล .............................................................................. 22 การวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………………………………………………… 22 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล .................................................................................................... 22


ง สารบญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย ............................................................................................................. 24 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ……………………………………………………………………………………. 24 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ............................................................................................ 24 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................................. 24 การเก็บรวบรวมข้อมูล .................................................................................................... 25 สรุปผลการวิจัย .............................................................................................................. 25 การอภิปรายผล .............................................................................................................. 25 ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................... 26 บรรณานุกรม .................................................................................................................................. 27 ภาคผนวก ....................................................................................................................................... 30 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัยและหนังสือ ขอความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญ ................................................................................ 31 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล .................................................................. 36 ภาคผนวก ค ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ .................................................... 117 ภาคผนวก ง คะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ..................... 125 ประวัติผู้วิจัย ................................................................................................................................... 128


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ ………………………………………. 16 2 การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ ............................................. 17 3 การวิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการอ่านจับใจความโดยใช้ เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน จ านวน 30 คะแนน................................................................................................................... 23 4 ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ได้จากการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญของแผนการจัดการเรียนรู้วิชา ภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความ.................................................................................. 118 5 ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ได้จากการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1…………………………… 119 6 ค่าความยากง่าย (P) และค่าอ านาจจ าแนก (R) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนเรียน – หลังเรียน................................................................................................ 122 7 คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน จ านวน 30 คะแนน....................... 126


ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามที่ใช้ในงานวิจัย…………………………………….… 4


บทที่ 1 บทน า 1. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การอ่านเป็นทักษะการสื่อสารทักษะหนึ่งที่ส าคัญต่อการด าเนินชีวิต เนื่องจากการอ่านท าให้ผู้อ่าน สามารถรู้เท่าโลกที่เปลี่ยนแปลง สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยประโยชน์ของ การอ่านนอกจากจะช่วยพัฒนาความคิด เพิ่มพูนความรู้ และเสริมสร้างสติปัญญาแล้ว ยังช่วยสร้างความ เพลิดเพลินจรรโลงใจให้แก่ผู้อ่าน (ฉวีวรรณ คูหาภินันท์, 2542) การอ่านจับใจความส าคัญเป็นประเภท ของการอ่านประเภทหนึ่งที่ส าคัญ และเป็นพื้นฐานของการอ่านขั้นสูง กล่าวคือเป็นการอ่านที่มุ่งจับ สาระส าคัญของเรื่องหรือหนังสือที่อ่านให้ได้ว่าผู้เขียนต้องน าเสนอสารส าคัญใด การอ่านจับใจความส าคัญนับว่าเป็นพื้นฐานของการอ่านที่ส าคัญ โดยเฉพาะในการเรียนวิชา ต่าง ๆ ผู้เรียนจ าเป็นต้องอ่านหนังสือในรายวิชานั้น พร้อมทั้งต้องจับใจความส าคัญของเนื้อหาที่อ่านให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขึ้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 จึงก าหนดให้มีการจัดการเรียน การสอนการอ่านจับใจความส าคัญไว้ในรายวิชาภาษาไทย ในกลุ่มสาระและมาตรฐานสาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน จะเห็นได้ว่าการอ่านมีความส าคัญอย่างยิ่งในการศึกษาเพื่อแสวงหา ความรู้ และพัฒนาความคิดเพื่อช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหา การอ่านจับใจความนับว่าเป็นหัวใจของการอ่าน การจับใจความอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ผู้อ่าน สามารถเรียนรู้ และเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่านได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ผู้อ่านสามารถน าความรู้ไปพัฒนา ตนเองได้ต่อไป สอดคล้องกับที่ ศิริวรรณ เสนา (2541) กล่าวว่า ความเข้าใจในการอ่านถือเป็นหัวใจส าคัญ ของการอ่าน เพราะว่าถ้าผู้อ่านไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่อ่าน และไม่สามารถจับใจความส าคัญของสิ่งที่อ่าน ได้ ผู้อ่านก็ไม่สามารถที่จะน าสาระความรู้และข้อเสนอไปใช้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้ การอ่าน นั้นก็จะถือเป็นการอ่านที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น จึงกล่าวสรุปได้ว่าการอ่านมีความส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่ง ส าหรับทุกคน เพื่อน าไปสู่การพัฒนาสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ในการด าเนิน ชีวิต และการอ่านจับใจความที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้อ่านรับรู้สาระเรื่องราวของเรื่องที่อ่าน นั่นคือ สามารถ เข้าใจแก่นสารจากเรื่องที่อ่านได้ ช่วยให้เกิดความเข้าใจและสามารถน าสาระความรู้จากเรื่องที่อ่านมา พัฒนาปรับตนเองให้เข้ากับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม ท าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่ ในสังคมอย่างมีความสุข อย่างไรก็ดี จากการที่ผู้วิจัยได้สอนวิชาภาษาไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนดารา สมุทรภูเก็ต พบว่านักเรียนขาดทักษะในการอ่านจับใจความส าคัญ ซึ่งเห็นได้จากการจัดการเรียนการสอน ที่มีการอ่านจับใจความส าคัญจากใบงานต่าง ๆ นักเรียนบางส่วนมีการคัดลอกประโยคจากบทความ หรือ


2 เนื้อหาบางส่วนมาใช้ในการตอบ และไม่สามารถระบุใจความส าคัญที่แท้จริงของเรื่องที่อ่านได้อย่าง เหมาะสม อีกทั้งนักเรียนยังไม่สามารถตั้งค าถามและตอบค าถามจากเรื่องที่อ่านได้ สาเหตุเนื่องมาจาก นักเรียนไม่เข้าใจหลักและวิธีการอ่านจับใจความที่ถูกต้อง ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถจับใจความหรือสรุป สาระ ส าคัญจากเรื่องที่อ่านได้ ดังนั้นจึงจ าเป็นต้องแก้ไขและพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความส าคัญของ นักเรียนให้มีประสิทธิภาพ จากปัญหาการอ่านจับใจความข้างต้นจะเห็นได้ว่า การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จ าเป็นจะต้องมีพื้นฐานการอ่านจับใจความที่ดี เพื่อใช้ใน การเรียนในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะน าเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H มาใช้เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โดยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ประกอบด้วย Who (ใคร) What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไร) Why (ท าไม) How (อย่างไร) ซึ่งเทคนิคดังกล่าวมีการใช้ค าถามเป็นส่วนหนึ่งในกระบวน การเรียนรู้ จะสามารถช่วยพัฒนาความคิดของ นักเ รียน และท าให้นั กเ รี ยนมี ส่ วน ร่ ว มใน ก า รท ากิจก ร รม ซึ่งค า ถ าม จะเป็น สิ่งเ ร้ าที่ คอ ย ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนคิดตามในสิ่งที่ครูก าลังสอนและท าให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์เรื่องที่นักเรียนอ่าน และช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องของการอ่านจับใจความได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและ หลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H 3. สมมติฐานการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้ง ค าถามแบบ 5W1H สูงกว่าก่อนเรียน 4. ขอบเขตของการวิจัย 4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 4.1.1 ประชากร ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 4 ห้อง รวมทั้งสิ้น 131 คน 4.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 2 โรงเรียนดารา สมุทรภูเก็ต ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 38 คน


3 4.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนการสอนการอ่านจับใจความด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ 4.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้เวลาในการทดลอง 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน รวม 5 ชั่วโมง 4.4 เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยนั้น ผู้วิจัยได้น าเรื่อง “การอ่านจับใจความ” ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยมาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยเทคนิค 5W1H 5. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 5.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ 5.2 เป็นแนวทางในการวิจัยการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 6.1 นักเรียน หมายถึง ผู้ที่ก าลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 2 โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 6.2 เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H หมายถึง วิธีการสอนอ่านจับใจความด้วยการฝึกให้ผู้เรียน ได้ตั้งค าถามเพื่อจะได้ค าตอบของค าถาม อันน ามาซึ่งใจความส าคัญของเรื่องที่อ่าน โดยลักษณะของ ค าถามมีอยู่ด้วยกัน 6 ลักษณะ ได้แก่ what (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไร) Why (ท าไม) who (ใคร) และ How (อย่างไร) 6.3 แบบทดสอบ หมายถึง ชุดค าถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H 6.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการอ่านจับใจความของนักเรียน ซึ่งวัดได้จากคะแนนจากการท าแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิค 5W1H 6.5 การอ่านจับใจความ หมายถึง กระบวนการอ่านที่ผู้อ่านต้องอ่านให้เข้าใจถึงสาระส าคัญของ เรื่องที่อ่าน ท าความเข้าใจเนื้อเรื่อง ตอบค าถามเพื่อหาประเด็นส าคัญ และความมุ่งหมายของผู้เขียน และ สรุปใจความส าคัญของเรื่องได้


4 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การจัดการเรียนการสอนด้วย ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามที่ใช้ในงานวิจัย


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางใน การท าวิจัย ดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ 1.1 ความหมายของการอ่านจับใจความ 1.2 ความส าคัญของการอ่านจับใจความ 1.3 หลักในการอ่านจับใจความ 1.4 วิธีการอ่านจับใจความด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบ 2.1 ความหมายของแบบทดสอบ 2.2 ประเภทของแบบทดสอบ 2.3 จุดมุ่งหมายของแบบทดสอบ 2.4 ขั้นตอนการสร้างชุดวัดผลสัมฤทธิ์ 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ 1.1 ความหมายของการอ่านจับใจความ การอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษร เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ ผู้เขียนต้องการสื่อสารมายังผู้อ่านให้ได้รู้หรือรับรู้ การอ่านเป็นทักษะการสื่อสารหนึ่งที่ส าคัญ อันจะท าให้ ผู้อ่านมีความรู้หรือรอบรู้ ตลอดจนน าไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน (กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์, 2551; สมพร แพ่งพิพัฒน์, 2555; นพดล จันทร์เพ็ญ, 2557; กระทรวงศึกษาธิการ, 2551; สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์, 2558) ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจัดการเรียนการสอน ซึ่งการอ่านมีหลากหลาย ประเภทโดยเฉพาะทักษะการอ่านจับใจความสามารถช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนใน ทุกระดับชั้นได้เป็นอย่างดี การอ่านจับใจความ หมายถึง การอ่านที่ต้องจับประเด็นให้ได้ว่า ผู้เขียนต้องการเสนอ ข้อคิดเห็นอย่างไร การหาประเด็นส าคัญขึ้นอยู่กับลักษณะและความยาวของย่อหน้า และเนื้อเรื่อง โดย ปกติย่อหน้าแต่ละย่อหน้าจะมีใจความส าคัญที่สุดอยู่หนึ่งใจความ ส่วนประโยคอื่นๆ จะเป็นเพียง รายละเอียดประกอบ ผู้อ่านจะต้องสรุปใจความส าคัญเอาเอง ซึ่งการอ่านจับใจความเป็นทักษะที่จ าเป็นที่


6 ต้องเข้าใจว่าเรื่องราวที่อ่านนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นอย่างไร มีความส าคัญตรงไหน หมายความว่า อย่างไร มีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งการอ่านทุกครั้งต้องใช้ความรู้ ความคิด ในการจดจ าและวิเคราะห์ เพื่อ เก็บสาระส าคัญของเรื่องที่อ่าน เช่น เก็บจุดมุ่งหมายส าคัญของเรื่อง เก็บเนื้อเรื่อง เก็บแนวคิด หรือ ทัศนคติของผู้เขียน เก็บข้อเท็จจริงหรือความรู้สึกอารมณ์ของผู้เขียน มีการพิจารณาหาส่วนที่เป็น สาระส าคัญเพื่อสามารถน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอด และสามารถสรุป ตอบค าถามพร้อมกับน าความรู้ที่ได้ไป ใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง โดยต้องมีการฝึกฝน ผู้อ่านต้องท าความเข้าใจความหมายและใช้ความคิดเห็น ส่วนตน มีความคิดที่เป็นระบบช่วยตัดสินใจในการเลือกใจความส าคัญพร้อมทั้งสามารถล าดับเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่อง การอ่านจับใจความจึงถือเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถจ าแนกข้อเท็จจริงออก จากส่วนอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ, 2559; ฟองจันทร์ และคณะ; ผกา ศรี เย็นบุตร, 2542 ;ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์, 2542; สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์, 2545; แววมยุรา เหมือนนิล ,2541; จิตต์นิภา ศรีไสย์, 2549; นพดล จันทร์เพ็ญ, 2557) 1.2 ความส าคัญของการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความ เป็นทักษะส าคัญที่จ าเป็นในการด าเนินชีวิตประจ าวัน สามารถ พัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่มพูนสติปัญญา ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหา ท าให้คนเรา เข้าใจและเข้าถึงหนังสือต่าง ๆ การที่เราจะเข้าใจและเข้าถึงหนังสือต่าง ๆได้ เราจ าเป็นต้องได้รับการฝึก ทักษะการอ่านเป็นอย่างดี การอ่านจับใจความส าคัญมีความส าคัญต่อนักเรียนและผู้อ่านทุกคน เพราะจะ ท าให้อ่านหนังสือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับประโยชน์ได้รับความรู้ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานในการแสดงความ คิดเห็น การตีความการตอบค าถามวิจารณ์เรื่องที่ได้อ่าน การอ่านจับใจความส าคัญจะต้องมีการฝึกฝนอยู่ เสมอ ซึ่งผู้รับสารจะได้รับประโยชน์จากการอ่านอย่างเต็มที่ หากผู้รับสารสามารถรับสารได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง กระบวนการส าคัญที่สุดที่จะท าให้ผู้รับสารสามารถรับสารจากเรื่องที่อ่านได้ นั่นคือการจับใจความ เพราะการอ่านจับใจความช่วยให้ผู้อ่านแยกประเด็นส าคัญออกจากส่วนขยายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นการจับใจความจึงนับเป็นหัวใจของการอ่านเพื่อให้ผู้อ่านสามารถรับสารที่ผู้เขียนต้องการสื่ออกมาได้ อย่างถูกต้อง ซึ่งนักวิชาการทางภาษาไทย (กอบกาญจน์ วงศ์สิทธิ์, 2551; จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ, 2547; รังษิมา สุริยารังสรรค์, 2555; ผกาศรี เย็นบุตร, 2542; ไพทูรย์ สินลารัตน์ และคณะ,2550; นิรัติศัย สุดเพาะ,2555) สามารถสรุปความส าคัญของการอ่านจับใจความได้ดังนี้ 1) ช่วยท าให้เป็นผู้ที่สังคมยอมรับ เพราะผู้ที่อ่านมากจะรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ดี 2) ช่วยให้ได้รับความบันเทิงในชีวิตมากยิ่งขึ้น เพราะการได้อ่านวรรณกรรมดี ๆ นั้น ท า ให้เกิดความเพลิดเพลินในยามว่าง 3) ช่วยให้เป็นผู้ประสบความส าเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะท าให้ผู้อ่านมีความรอบรู้ ในด้านต่าง ๆ สามารถน าความรู้ไปต่อยอดสู่การด าเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้


7 4) ช่วยให้เป็นคนเรียนเก่ง เมื่ออ่านเก่งแล้วจะเรียนวิชาอื่น ๆ ได้ดีเนื่องจากการอ่านจับ ใจความสามารถท าให้ผู้อ่านเข้าใจถึงแก่นสารของเนื้อหาสาระได้เป็นอย่างดี 5) ช่วยท าให้ผู้อ่านเป็นคนที่น่าสนใจ เพราะผู้อ่านมากนั้นจะมีความนึกคิดกว้างขวาง สามารถแสดงความรู้ความคิดเห็นดี ๆ ได้ในทุกแห่งทุกเวลา 1.3 หลักในการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความเป็นสิ่งส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งส าหรับการอ่านหนังสือทุก ประเภท และยังเป็นพื้นฐานในการอ่าน การอ่านจับใจผู้อ่านต้องอ่านตั้งแต่ชื่อเรื่องและจุดประสงค์การอ่านคืออะไร จากนั้นอ่านให้จบอย่างคร่าว ๆ เพื่อดูว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องอะไร พิจารณาหา ใจความส าคัญ ถ้าเป็น หนังสือทั้งเล่มต้องอ่านสารบัญก่อน ขั้นต่อไปก็อ่านโดยละเอียด ในขณะที่ อ่านก็ตั้งค าถามว่าเรื่องที่อ่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เกิดขึ้นที่ใด เมื่อไร อย่างไร และผู้เขียน มีจุดมุ่งหมายอย่างไรในการเสนอเนื้อเรื่อง จากนั้นน ามาเรียนเรียงเป็นภาษาของผู้อ่านเอง และประการส าคัญควรฝึกการอ่านจับใจความอยู่เสมอ จะ ช่วยให้การอ่านจับใจความดีขึ้น ซึ่งนักวิชาการทางภาษาไทย (ศรีวิไล พลมณี, 2552; รังษิมา สุริยารังสรรค์ , 2555; สุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2550; ประทีป วาทิกทินกร, 2553) ได้กล่าวถึงหลักในการอ่านจับ ใจความ สรุปได้ดังนี้ 1) อ่านเรื่องราวตลอดทั้งเรื่องคร่าว ๆ 2) เริ่มอ่านจับใจความส าคัญในแต่ละย่อหน้าให้ได้ถูกต้องแม่นย า เพราะข้อความตอน หนึ่งหรือย่อหน้าหนึ่งแม้จะมีใจความหลายอย่าง แต่จะมีใจความส าคัญที่สุดในย่อหน้านั้นเพียงย่อหน้า เดียว โดยการตั้งค าถามสั้นๆ ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใคร ท าอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ บางเรื่องอาจมี ค าตอบไม่ครบก็ได้ แต่เราต้องตอบเท่าที่อยู่ให้ครบถ้วน เพื่อที่จะได้จับใจความส าคัญได้มากที่สุด 3) การขยายความในค าตอบออกไปอีกเมื่อต้องการรายละเอียดที่จ าเป็นของใจความ ส าคัญ ดังนั้น การอ่านจับใจความผู้อ่านจะต้องอ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่อง เกี่ยวกับอะไร เมื่อได้ใจความส าคัญแล้วผู้อ่านจะต้องมาเรียบเรียงใจความส าคัญนั้นด้วยส านวนและภาษา ของตนเอง 1.4 วิธีการอ่านจับใจความด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความมีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ของ ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระ เนื้อเรื่องต่าง ๆ ได้ตรงตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร ซึ่ง นักวิชาการทางภาษาไทย (นาวินี หล าประเสริฐและคณะ, 2551; สุวิทย์ มูลค า, 2550) ได้กล่าวถึงการ อ่านจับใจความด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H สรุปได้ดังนี้


8 เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H เป็นเทคนิคการคิดวิเคราะห์อย่างง่ายที่นิยมใช้ เนื่องจากช่วยให้เกิดการคิดเชิงลึก คิดอย่างละเอียด จากเหตุไปสู่ผล ตลอดจนการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ในเชิงเหตุและผลความแตกต่าง ระหว่างข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1.4.1 What (อะไร) ปัญหาหรือสาเหตุที่เกิดขึ้น 1) เกิดอะไรขึ้นบ้าง 2) มีอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ 3) หลักฐานที่ส าคัญที่สุดคืออะไร 4) สาเหตุที่ท าให้เกิดเหตุการณ์นี้คืออะไร 1.4.2 Where (ที่ไหน) สถานที่หรือต าแหน่งที่เกิดเหตุ 1) เรื่องนี้เกิดที่ไหน 2) เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นที่ใดมากที่สุด 1.4.3 When (เมื่อไร) เวลาที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้น 1) เหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร 2) เวลาใดบ้างที่สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ 1.4.4 Why (ท าไม) สาเหตุหรือมูลเหตุที่ท าให้เกิดขึ้นได้ 1) เหตุใดต้องเป็นคนนี้ เป็นเวลานี้ เป็นสถานที่นี้ 2) เพราะเหตุใดเหตุการณ์จึงเกิดขึ้น 3) ท าไมจึงเกิดเรื่องนี้ 1.4.5 Who (ใคร) บุคคลส าคัญเป็นตัวประกอบหรือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะได้รับ ผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ 1) ใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง 2) ใครน่าจะเป็นคนที่ท าให้สถานการณ์นี้เกิดมากที่สุด 3) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ 1.4.6 How (อย่างไร) รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือก าลังจะเกิดขึ้นว่ามีความ เป็นไปได้ในลักษณะใด 1) เขาท าสิ่งนี้ได้อย่างไร 2) ล าดับเหตุการณ์นี้ดูว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง 3) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 4) มีหลักในการพิจารณาคนดีอย่างไรบ้าง เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H เทคนิคที่สามารถพัฒนาการอ่านจับใจความโดยการ ฝึกตั้งค าถามให้ครอบคลุมหลัก 5W1H ได้แก่ What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไร) Why


9 (ท าไม) Who (ใคร) และ How (อย่างไร) เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตอบค าถามได้ตรงประเด็นหรือสอดคล้อง กับความต้องการในการเรียนรู้ และสามารถจับใจความได้ครบถ้วนตามสาระส าคัญของเนื้อหา 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบ 2.1 ความหมายของแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียน ได้รับประสบการณ์จากกระบวนการการเรียนรู้การสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและ ประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้นได้มีนักวิชาการทางภาษาไทย (ยุทธ ไกยวรรณ์, 2550; พิสณุ ฟองศรี, 2551; ศิริชัย กาญจนวาสี,2556 ) ได้กล่าวถึงความหมายของแบบทดสอบ สรุปได้ดังนี้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นชุดของข้อค าถามที่กระตุ้นหรือชักน าให้ผู้ เข้าสอบแสดงพฤติกรรมที่ตอบสนอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความรู้ด้านสมอง (Cognitive) ใช้กันมากในการ ประเมินผลการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย คะแนนจากการสอบเป็นตัวสะท้อนถึงความส าเร็จของการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ว่าผู้ที่ถูกวัดมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหานั้นมากน้อยเพียงใด ท าให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถถึงระดับมาตรฐานที่ก าหนดไว้หรือยัง หรือมีความรู้ความสามารถถึง ระดับใดหรือมีความรู้ความสามารถดีเพียงไร เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกัน 2.2 ประเภทของแบบทดสอบ นักวิชาการทางการศึกษา (สมนึก ภัททิยธนี, 2556; ชวาล แพรัตกุล, 2550; บุญ ธรรม กิจปรีดากุล, 2551) ได้กล่าวถึงประเภทของแบบทดสอบ ไว้ดังนี้ 2.2.1 ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay Test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรีเขียนบรรยาย ตามความรู้ และข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2.2.2 ข้อสอบแบบกาถูก - ผิด (True - false Test) เป็นข้อสอบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมี ความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก - ผิด , ใช่ - ไม่ใช่ , จริง - ไม่จริง , เหมือนกัน - ต่างกัน เป็นต้น 2.2.3 ข้อสอบแบบเติมค า (Completion Test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบ เติมค า หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 2.2.4 ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short Answer Test)


10 เป็นข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบเติมค า แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบ แบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคค าถามสมบูรณ์ แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบค าตอบที่ต้องการจะสั้น และกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 2.2.5 ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่ง โดยมีค าหรือข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับค า หรือข้อความใดในอีกชุกหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ผู้ออกข้อสอบก าหนดไว้ 2.2.6 ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) เป็นค าถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือค าถาม กับ ตัวเลือก ในส่วนตัวเลือกนี้จะประกอบด้วย ตัวเลือกที่เป็นค าตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง 2.3 จุดมุ่งหมายของแบบทดสอบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือส าคัญอันหนึ่งที่ใช้ประเมินผล การเรียนการสอน โดยเฉพาะการวัดสมรรถภาพทางสมองเป็นส าคัญ นักวิชาการทางการศึกษา (บุญศรี พรมหาพันธ์ และนวลเสน่ห์ วงศ์เชิดธรรม, 2545; พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2553; วรรณี โสมประยูร, 2553) ได้ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบไว้ดังนี้ 2.3.1 เพื่อจัดต าแหน่งผู้เรียน เป็นการจัดต าแหน่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ตาม ความสามารถ กล่าวคือ ผู้เรียนมีความสามารถใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการ สอนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละกลุ่ม 2.3.2 เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียน เป็นการประเมินความก้าวหน้าของ ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนทราบศักยภาพของตนเองในขณะนั้น และใช้เป็นแนวทางให้ผู้เรียนได้พัฒนาพฤติกรรม ต่าง ๆ ของตนเองทั้งด้านความรู้ ความสามารถ ลักษณะนิสัย และทักษะต่าง ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ที่ก าหนดไว้ 2.3.4 เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน การปรับปรุงการเรียนการสอนควรท าอย่าง ต่อเนื่องอาจใช้เมื่อสิ้นสุดการสอนในแต่ละหน่วยย่อย ซึ่งเมื่อพบผู้เรียนคนใดไม่ผ่านเกณฑ์ของแต่ละ จุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนก็ควรจะได้ศึกษาผู้เรียนมีข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนในเรื่องใด จะได้ท าการ แก้ไขข้อบกพร่อง จากนั้นจึงประเมินผลอีกครั้ง 2.4 ขั้นตอนการสร้างชุดวัดผลสัมฤทธิ์ การสร้างชุดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีขั้นตอนการสร้างสรุปได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2553; สุภรณ์ ลิ้มบริบูรณ์ และคณะ, 2556)


11 ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบ ประกอบด้วย 1. ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากเอกสารและงานวิจัย ต่างๆ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้สร้างแบบทดสอบ ต้องท าการค้นคว้าวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่ามีแบบใดบ้าง แบบทดสอบแต่ละชนิดมีวิธีการสร้างและมีข้อดีจ ากัดอย่างไร 2. ก าหนดจุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนจะเริ่ม เขียนข้อค าถาม ผู้สร้างข้อค าถามจะต้องก าหนดจุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบให้ชัดเจนว่าจะวัดไป เพื่ออะไร จะได้เขียนข้อสอบให้เหมาะสมและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายนั้น 3. ก าหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัดในตารางวิเคราะห์หลักสูตรผู้สร้าง แบบทดสอบจะต้องก าหนด ขอบเขตเนื้อหา มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ พฤติกรรมที่จะวัดใน ด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ ความรู้ ความจ าความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า 4. ก าหนดลักษณะของแบบทดสอบและส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะเป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์หรืออิงกลุ่มก็ได้ ซึ่งลักษณะข้อสอบจะ เป็นแบบปรนัยหรืออัตนัยก็ได้ หรือจะเป็นทั้งแบบปรนัยและอัตนัยรวมกันก็ได้ ทั้งนี้ผู้สร้างแบบทดสอบ อาจใช้เกณฑ์ต่อไปนี้ก าหนดลักษณะข้อสอบซึ่ง ได้แก่ - วัตถุประสงค์ของการวัด - ระดับพฤติกรรมของการเรียนรู้ที่จะวัด - ลักษณะหรือคุณสมบัติผู้เข้าสอบ - ระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างแบบทดสอบ ด าเนินการและตรวจข้อสอบ ขั้นตอนที่ 2 การลงมือสร้างข้อสอบ 1. ผู้สร้างแบบทดสอบลงมือสร้างแบบข้อสอบ ตามรายละเอียดในตารางวิเคราะห์ ข้อสอบ ค านึงถึงความยากของข้อสอบ ระยะเวลาที่ใช้สอบ คะแนนและการตรวจให้คะแนน 2. ตรวจทานข้อสอบ ผู้สร้างต้องทบทวนแบบทดสอบ เพื่อให้ข้อสอบที่สร้างขึ้นมานั้น มีความถูกต้องครบถ้วน ตามรายละเอียดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร แล้วจัดพิมพ์เป็นฉบับทดลอง เพื่อ น าไปใช้ต่อไป ขั้นตอนที่ 3 การตรวจข้อสอบคุณภาพข้อสอบก่อนน าไปใช้ 1. น าแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และด้านการวัดผล การศึกษา จ านวน 3 - 5 ท่าน ตรวจความเที่ยวตรงด้านเนื้อหา (Content Validity) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาว่าข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้หรือเนื้อหาตามตารางวิเคราะห์หลักสูตรหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์ การประเมินดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น


12 -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น น าข้อสอบที่ได้หาค่าสอดคล้อง IOC และคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้น ไป จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับใหม่ 2. ทดลองสอบ น าแบบทดสอบที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดสอบ (Try Out) กับ นักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึง หรือนักเรียนที่พึ่งเรียนในเรื่องนั้น ๆ จ านวนตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป 3. วิเคราะห์หาคุณภาพข้อสอบ น าผลการสอบมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p)ระหว่าง 0.20 - 0.80 และมีค่าอ านาจจ าแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป จากนั้นให้น าข้อสอบที่ได้คัดเลือก แล้วจัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับใหม่ น าไปทดสอบกับนักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงหรือนักเรียนที่พึ่ง เคยเรียนในเรื่องนั้น ๆ จ านวนตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น 4. จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับจริง เพื่อน าไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไปกล่าวโดย สรุป ขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบ คือ เริ่มจากการวางแผนการสร้าง การลงมือและตรวจสอบเพื่อ ปรับปรุง หากพบว่าข้อสอบข้อใดไม่มีคุณภาพหรือมีคุณภาพไม่ดีพอ อาจต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไข แบบทดสอบให้มีคุณภาพ แล้วจึงจัดท าแบบทดสอบฉบับจริงที่จะน าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความส าคัญที่ ผู้วิจัยได้ศึกษามี ดังนี้ ณัฏฐกาญจน์ วิชัยดิษฐ์ (2552, หน้า 82 ) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านเชิง วิเคราะห์ภาษาไทย โดยใช้แนวการจัดการเรียนรู้ แบบเทคนิคค าถาม 5W1H ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย มี ความสามารถทางการอ่านเชิงวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และชุดฝึกทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ ภาษาไทยที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.83/81.81 ซึ่งสูงกว่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ประภัสสร รัตนคีรี (2558, หน้า 34) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะ การอ่านจับใจความส าคัญของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม และเครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการเรียนรู้การอ่านจับใจความส าคัญโดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม และแบบทดสอบทักษะการอ่านจับใจความส าคัญแบบเขียนตอบ โดยมีผลวิจัยจากการวิจัย กลุ่มเป้าหมายจากนักเรียนจ านวน 25 คน พบว่าในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับใจความส าคัญ ภาษาไทย โดยใช้เทคนิค 9 ค าถามส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 สามารถพัฒนาความสามารถ ในการอ่านจับใจความส าคัญของนักเรียนโดยมีคะแนน เฉลี่ยร้อยละ 81.52 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 60


13 ดวงพร เฟื่องฟู (2560, หน้า 781) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้ เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H มีคะแนนไม่ต่ า กว่าร้อยละ 80 ส่วนชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ มีประสิทธิภาพ 84/87.50 ตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H มีความพึงพอใจอยู่ ในระดับมาก จากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความส าคัญ ผู้วิจัยพบว่า การอ่านจับใจความ ส าคัญถือเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาความรู้ ความคิด การวิเคราะห์ของนักเรียน ซึ่งการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ค าถามเป็นตัวกลางเชื่อมโยงเรื่องที่อ่าน โดยเฉพาะการตั้งค าถามแบบ 5W1H ซึ่งประกอบไปด้วย What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไร) Why (ท าไม) Who (ใคร) และ How (อย่างไร) สามารถช่วยให้ นักเรียนเกิดความเข้าใจในการอ่านจับใจความมากยิ่งขึ้น นักเรียนมีความสามารถในตั้งค าถาม รวมทั้งเกิด ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย มีความสนุกสนานในการเรียนรู้ สามารถสรุปใจความส าคัญจากเรื่องที่ อ่าน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ


บทที่ 3 วิธีด าเนินงานวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิจัย ตามล าดับขั้นตอนดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 4 ห้อง รวมทั้งสิ้น 131 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 2 โรงเรียนดารา สมุทรภูเก็ต ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 รวมทั้งสิ้น 38 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการ เลือกตามสะดวก (Convenience sampling) จากห้องที่ผู้วิจัยได้สอนตลอดทั้งปีการศึกษา 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H จ านวน 5 แผน 2.2 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ที่ใช้วัดความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นข้อสอบแบบ ปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ


15 3. ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ จากเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในข้อ 2 ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาค่า ประสิทธิภาพของเครื่องมือ โดยมีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 3.1 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความนั้น ผู้วิจัยได้ด าเนินการ สร้างตามขั้นตอนดังนี้ 3.1.1 ศึกษาจุดมุ่งหมายของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มาตรฐานการเรียนรู้สาระ การเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตร สถานศึกษาโรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต 3.1.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ 3.1.3 ศึกษาวิธีการสอนและกิจกรรมเพื่อพัฒนาการเรียนรู้การอ่านจับใจความ 3.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้รายชั่วโมง เรื่อง การอ่านจับใจความ 5 แผน รวม ทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง มีรายละเอียดดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องการอ่านจับใจความข่าว 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องการอ่านจับใจความนิทาน 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องการอ่านจับใจความเรื่องเล่า 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการอ่านจับใจความบทความให้ความรู้ 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องการอ่านจับใจความบทร้อยกรอง 3.1.5 น าแผนการจัดการเรียนรู้ให้อาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตนิพนธ์ตรวจความถูกต้อง 3.1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่แก้ไขตามค าแนะนาของอาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตนิพนธ์ แล้วส่งให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 คน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยก าหนดเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ เห็นว่าสอดคล้อง ให้คะแนน +1 ไม่แน่ใจ ให้คะแนน 0 เห็นว่าไม่สอดคล้อง ให้คะแนน -1 จากการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ข้างต้น ได้ค่าดัชนีความ สอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 1.00 ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้องดังกล่าวนี้ผ่านเกณฑ์การ ประเมิน 3.1.7 น าแผนการจัดการเรียนรู้ไปแก้ไขปรับปรุงตามค าแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ แล้วจึง น าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H


16 3.2 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ ซึ่งจะใช้ทดสอบก่อนและหลังเรียน ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตาม ขั้นตอนดังนี้ 3.2.1 ศึกษาทฤษฎีและวิธีการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยเฉพาะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ภาษาไทย รวมทั้งเกณฑ์การตรวจให้คะแนน 3.2.2 ศึกษาเนื้อหาจุดประสงค์การเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้ 3.2.3 สร้างตารางการวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ จ านวน 60 ข้อ ดังในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ พฤติกรรม พุทธิพิสัย ความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า รวม 1. การอ่านจับใจความข่าว 3 6 1 10 2. การอ่านจับใจความนิทาน 7 2 2 1 12 3. การอ่านจับใจความเรื่องเล่า 6 2 4 2 14 4. การอ่านจับใจความบทความให้ความรู้ 6 2 8 16 5. การอ่านจับใจความบทร้อยกรอง 2 3 1 2 8 รวม 22 10 2 18 3 5 60 3.2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จ านวน 60 ข้อ 3.2.5 จากนั้นให้อาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตนิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและ ภาษา 3.2.6 น าแบบทดสอบที่แก้ไขและปรับปรุงแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้อง รวมทั้งความสอดคล้องของแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ จากนั้นน าไปหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) แล้วจึงเลือกข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.05 ขึ้นไปมาใช้


17 จากการค านวณในขั้นตอนนี้ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องรายข้อที่ต่ าสุดคือ 0.33 ค่าดัชนีความสอดคล้องรายข้อที่สูงสุดคือ 1.00 และค่าดัชนีความสอดคล้องเฉลี่ยคือ 0.94 ซึ่งผ่านเกณฑ์ 0.50 ที่ก าหนดไว้ 3.2.7 น าแบบทดสอบจานวน 60 ข้อ ที่แก้ไขและปรับปรุงแล้ว ไปทดลอง (try out) กับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ที่เคยเรียนเรื่องนี้มาแล้วในปีการศึกษาที่ผ่านมา จ านวน 38 คน ซึ่งไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 3.2.8 น าผลการทดลองมาวิเคราะห์รายข้อ โดยหาค่าความยากง่าย และค่าอ านาจ จ าแนก ทั้งนี้จะคัดเลือกแบบทดสอบที่มีค่าความยากง่าย 0.20 - 0.80 และค่าอ านาจจ าแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ในขั้นตอนนี้ค านวณค่าความยากง่ายของข้อสอบ (p) อยู่ระหว่าง 0.19 – 0.92 และค่าอ านาจ จ าแนกของข้อสอบ (r) อยู่ระหว่าง 0.11 – 0.82 ท าให้ได้แบบทดสอบที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจ านวน 50 ข้อ และเนื่องจากมีข้อสอบเกินจ านวนที่ต้องการ ผู้วิจัยจึงคัดออกแบบเฉพาะเจาะจงและคัดเลือกข้อสอบ รวมจ านวน 30 ข้อ 3.2.9 จากนั้นน าแบบทดสอบทั้ง 30 ข้อมาคัดเลือกตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ก าหนด จนได้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่สมบูรณ์จานวน 30 ข้อ ดังในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ พฤติกรรม พุทธิพิสัย ความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า รวม 1. การอ่านจับใจความข่าว 1 2 3 2. การอ่านจับใจความนิทาน 2 2 1 2 7 3. การอ่านจับใจความเรื่องเล่า 2 1 2 5 4. การอ่านจับใจความบทความให้ความรู้ 1 1 7 9 5. การอ่านจับใจความบทร้อยกรอง 2 1 1 2 6 รวม 6 1 2 13 2 6 30 3.2.10 น าแบบทดสอบหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ตามสูตร KR-20 ของ Kuder และ Richardson โดยขั้นตอนที่ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ 0.94 3.2.11 น าแบบทดสอบที่แก้ไขและปรับปรุงแล้วไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง


18 4. การเก็บรวมรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ 4.1 ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จ านวน 30 ข้อ จากนั้นตรวจและ บันทึกคะแนน 4.2 จากนั้นได้ด าเนินการทดลองการวิจัย โดยการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเรื่องการอ่านจับ ใจความตามแผนการจัดการเรียนรู้ ควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ทั้งนี้ได้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างทุกวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ท าการวัดความรู้พื้นฐานแต่ละเรื่องด้วยแบบทดสอบ ก่อนเรียน 30 ข้อ แล้วจึงเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ 4.3 หลังการทดลอง ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) จ านวน 30 ข้อ จากนั้นตรวจและบันทึกคะแนนเพื่อน าข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติต่อไป 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน าข้อมูลทั้งหมดจากการทดลองมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ผู้วิจัยได้น าเสนอผลการ วิเคราะห์ข้อมูล ตามล าดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 5.1 วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของกลุ่มตัวอย่าง โดยหาค่าเฉลี่ย (x) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 5.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถาม แบบ 5W1H โดยการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t – test for Dependent Sample) 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 6.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือ 6.1.1 การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) เป็นการหาค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruency : IOC) (โชติกา ภาษีผล, 2559 : 98) ดังนี้ จากสูตร ∑ เมื่อ IOC = ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์


19 ΣR = ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N = จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 6.1.2 การหาค่าอ านาจจ าแนก (Discrimination) เป็นการหาค่าความสามารถของ แบบทดสอบที่จะจ าแนกกลุ่มตัวอย่างตามระดับความสามารถได้ (โชติกา ภาษีผล, 2559 : 73) โดยใช้สูตร ดังนี้ จากสูตร เมื่อ r = ดัชนีอ านาจจ าแนก H = จ านวนผู้ตอบถูกในกลุ่มสูง L = จ านวนผู้ตอบถูกในกลุ่มต่ า n = จ านวนผู้ตอบทั้งหมดของกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ า หรือในกรณีที่จานวนคนกลุ่มสูงไม่เท่ากับกลุ่มต่ าใช้สูตร จากสูตร เมื่อ r = ดัชนีอ านาจจ าแนก PH = สัดส่วนของผู้ตอบถูกในกลุ่มสูง PL = สัดส่วนของผู้ตอบถูกในกลุ่มต่ า 6.1.3 การหาค่าความเที่ยง (Reliability) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ สูตร คูเดอร์ – ริชาร์ดสัน KR20 (โชติกา ภาษีผล, 2559 : 92) ดังนี้ จากสูตร { ∑ } เมื่อ rtt = ค่าประมาณความเที่ยงของเครื่องมือจากสูตร KR20 k = จานวนข้อสอบ


20 pi = สัดสวนของผู้ทาถูกในข้อ i qi = 1 - pi Sx 2 = ความแปรปรวนของคะแนนรวม 6.1.4 การหาค่าความยากง่าย ของแบบทดสอบเป็นรายข้อ (โชติกา ภาษีผล, 2559 : 72) โดยใช้สูตรดังนี้ จากสูตร เมื่อ P = ดัชนีความยากง่าย R = จ านวนผู้ตอบถูกทั้งหมด N = จ านวนผู้ตอบทั้งหมด 6.2 สถิติพื้นฐาน 6.2.1 ค่าเฉลี่ย (พรรณีลีกิจวัฒนะ, 2557 : 244) มีสูตรดังนี้ จากสูตร ̅ ∑ เมื่อ X = ค่าเฉลี่ยของคะแนน ΣX = ผลรวมของคะแนนในชุดข้อมูล n = จานวนข้อมูลทั้งหมด 6.2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (พรรณี ลีกิจวัฒนะ, 2557 : 244) มีสูตรดังนี้ จากสูตร √ ∑( ̅ ) เมื่อ S.D. = ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Σ = ผลรวม


21 x = คะแนนแต่ละตัวในชุดข้อมูล x = ค่าเฉลี่ยของคะแนนในชุดข้อมูล n = จ านวนข้อมูลทั้งหมด (ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง) 6.2.3 สถิติทดสอบค่าที แบบ t-pair (เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนและหลัง) มีสูตรดังนี้ จากสูตร ∑ √ ∑ (∑ ) ( ) เมื่อ t = ค่าทดสอบที D = ผลต่างของคะแนน n = จ านวนคน 6.2.4. ค่าดัชนีความสอดคล้อง มีสูตรดังนี้ จากสูตร ∑ เมื่อ IOC = ดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือ R = ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N = จ านวนของผู้เชี่ยวชาญ


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ” นั้น ผู้วิจัยได้น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลมีรายละเอียด ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ก าหนดสัญลักษณ์และความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ทั้งนี้เพื่อให้แปล ความหมายและเข้าใจตรงกันดังนี้ N แทน จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ̅แทน คะแนนเฉลี่ยคะแนนจากการท าแบบทดสอบ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนจากการท าแบบทดสอบ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียน และหลังเรียน ∑ แทน คะแนนรวมผลต่างของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ∑ แทน ผลรวมของค่าความแตกต่างจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียนยกก าลังสอง t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบค่าวิกฤตในการแจกแจงเพื่อทราบความมี นัยส าคัญ df แทน n-1 (จ านวนนักเรียนลบด้วย 1) 2. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H โดยหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t - test (t - test for Dependent Samples) 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อน และหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ได้ผลดังในตารางที่ 3


23 ตารางที่ 3 การวิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน จ านวน 30 คะแนน การทดสอบ N (จ านวน นักเรียน) คะแนน ∑ คะแนน t df เต็ม ( ̅) S.D. ก่อนเรียน 38 30 18.29 3.09 243 20.33* 37 หลังเรียน 38 30 24.68 2.63 *มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 3 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความส าคัญของกลุ่มตัวอย่าง หลังเรียนด้วย เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.68 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.63 ซึ่งสูงกว่า ก่อนเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.29 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.09 เมื่อตรวจสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยสถิติทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกันพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความส าคัญหลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ การสรุปผลการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ” ประกอบด้วยสาระส าคัญ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. สรุปผลการวิจัย 6. การอภิปรายผล 7. ข้อเสนอแนะ 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและ หลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากร ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนดาราสมุทรภูเก็ต ที่ก าลัง ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จ านวน 4 ห้อง รวมทั้งสิ้น 131 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 2 โรงเรียนดาราสมุทร ภูเก็ต ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 รวมทั้งสิ้น 38 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกตาม สะดวก (Convenience sampling) จากห้องที่ผู้วิจัยได้สอนตลอดทั้งปีการศึกษา 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H จ านวน 5 แผน


25 3.2 แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ที่ใช้วัดความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นข้อสอบแบบ ปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ 4.1 ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จ านวน 30 ข้อ จากนั้นตรวจและ บันทึกคะแนน 4.2 จากนั้นได้ด าเนินการทดลองการวิจัย โดยการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเรื่องการอ่านจับ ใจความตามแผนการจัดการเรียนรู้ ควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H ทั้งนี้ได้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างทุกวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ท าการวัดความรู้พื้นฐานแต่ละเรื่องด้วยแบบทดสอบ ก่อนเรียน 30 ข้อ แล้วจึงเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ 4.3 หลังการทดลอง ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) จ านวน 30 ข้อ จากนั้นตรวจและบันทึกคะแนนเพื่อน าข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติต่อไป 5. สรุปผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้ง ค าถามแบบ 5W1H สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้ง ไว้ 6. การอภิปรายผล จากผลการวิจัยในงานวิจัยนี้ ท าให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนด้วยเทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H สูงกว่าก่อนเรียนจริง โดยวัดจาก แบบทดสอบการอ่านจับใจความ จ านวน 30 ข้อ พบว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าของความสามารถในการ อ่านจับใจความดีขึ้นและผ่านเกณฑ์ตามที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ อีกทั้งนักเรียนยังให้ความสนใจกับการท ากิจกรรม ในการแทรกเทคนิค 5W1H มีการร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อตรวจสอบค าตอบให้ถูกต้องครบถ้วน และ สามารถสรุปเนื้อเรื่อง เรียบเรียงใจความส าคัญได้อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องตามที่นักวิชาการทาง การศึกษาได้กล่าวถึงเทคนิคการคิดวิเคราะห์อย่างง่ายที่นิยมใช้ คือ 5W1H เนื่องจากช่วยให้เกิดการคิดเชิง ลึก คิดอย่างละเอียด จากเหตุไปสู่ผล ตลอดจนการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลได้ โดยเทคนิค


26 5W1H เป็นหลักส าคัญที่จะพัฒนาองค์ความรู้ของนักเรียนในการอ่านจับใจความให้ดียิ่งขึ้น (สุวิทย์ มูลค า, 2550; ฐิติมา ชูมี, 2557; นาวินี หล าประเสริฐ, 2551) รวมทั้งผู้วิจัยได้ใช้เรื่องที่อ่านแตกต่างกันไปเพื่อเป็น ตัวกระตุ้นและสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากเรื่องที่เข้าใจง่าย จนไปถึงเรื่องที่ต้อง ใช้การวิเคราะห์เพิ่มมากขึ้นเพื่อท าให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และหาค าตอบด้วยตนเอง กระนั้นก็ดี การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดย ใช้เทคนิคการตั้งค าถามแบบ 5W1H เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งที่สามารถพัฒนา ความสามารถของนักเรียนให้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ รวมทั้งพฤติกรรมระหว่างการจัด กิจกรรมการเรียนรู้พบว่าผู้เรียนมีความสนใจในการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H และกิจกรรม ต่างๆ เป็นอย่างมาก ท าให้สนใจในการเรียนวิชาภาษาไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ จิรัฐิติกาล ไชยธวัช (2549) เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความส าคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม ผลวิจัยพบว่า หลังจากเรียน โดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม นักเรียนมี ความสามารถทางการอ่านจับใจความส าคัญที่ดีขึ้น และสอดคล้องกับงานวิจัยของ จ าเรียง ยศบุญเรือง (2550) เรื่อง การพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิค ไฟว์ ดับเบิ้ลยู วัน เอช ผลวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังการใช้เทคนิคไฟว์ ดับเบิ้ลยู วัน เอช ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์วรรณคดีทั้งการตอบค าถามและการตั้ง ค าถามนักเรียนผ่านตามเกณฑ์ที่ก าหนด ซึ่งงานวิจัยทั้งสองนี้มีทั้งหลักการการใช้ค าถามเพื่อการอ่านจับ ใจความส าคัญเช่นเดียวกับการใช้เทคนิค 5W1H ในการอ่านจับใจความและชี้ให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคการตั้ง ค าถามแบบ 5W1H เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาความสามารถของนักเรียนได้ เป็นอย่างดี 7. ข้อเสนอแนะ 7.1 ควรศึกษาผลการใช้เทคนิค 5W1H ที่มีต่อความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนใน ระดับอื่น ๆ 7.2 เนื้อหาที่น ามาให้นักเรียนฝึกอ่านจับใจความควรทันสมัย มีความหลากหลายสอดคล้องกับ สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่างเหมาะสม 7.3 ควรศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้เทคนิค 5W1H


บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551ก). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ ฯ: มปท. กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์. (2551). ทักษะภาษาเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพ ฯ: โอเดียนสโตร์. จ าเรียง ยศบุญเรือง. (2550). การพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ เทคนิค ไฟว์ ดับเบิ้ลยู วัน เอช. (วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. จินตต์นิภา ศรีไสย์. (2549). ภาษาไทยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต. กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. จิรัฐิติกาล ไชยธวัช. (2549). การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความส าคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม. (วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. (2547). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพ ฯ: โครงการต าราและหนังสือคณะอักษร ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. (2542). การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. ชวาล แพรัตกุล. (2550). การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เอกสารการประชุมวิชาการครั้งที่ 2 โดย ส านักงานการศึกษาแห่งชาติ. กรุงเทพฯ: กรมการศาสนา. โชติกา ภาษีผล. (2559). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้. (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ: ภาควิชาวิจัยและ จิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฐิติมา ชูมี. (2557). รายงานการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3โรงเรียนวัดอู่แก้ว. (วิทยานิพนธ์ ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปกร. ณัฏฐกาญจน์ วิชัยดิษฐ์. (2552). การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย โดยใช้แนวการ จัดการเรียนรู้ แบบเทคนิคค าถาม 5W1H ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (วิทยานิพนธ์ ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). บุรีรัมย์: มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. ดวงพร เฟื่องฟู. (2560). การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริม การอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (วิทยานิพนธ์ ปริญญา มหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. นพดล จันทร์เพ็ญ. (2557). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ.


28 นาวินี หล าประเสริฐ และคณะ. (2551). หลักภาษาและการใช้ภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. นิรัติศัย สุดเพาะ. (2555). การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความส าคัญ ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนมัฐจาศึกษา จังหวัดขอนแก่น . (วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษา มหาบัณฑิต). นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. บุญธรรม กิจปรีดากุล. (2551). การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และนวลเสน่ห์ วงศ์เชิดธรรม. (2545). แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒน าเครื่องมือส าหรับการประเมินการศึกษา. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เบญจรัตน์ ปิ่นเวหา. (2551). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 1 ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลงประกอบการสอน. . (วิทยานิพนธ์ ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปกร. ประทีป วาทิกทินกร. (2553). ลักษณะและการใช้ภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ: ภาควิชา ภาษาไทยและภาษาตะวันตก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค าแหง. ประภัสสร รัตนคีรี. (2558). การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความส าคัญภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เทคนิค 9 ค าถาม. (วิทยานิพนธ์ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ผกาศรี เย็นบุตร. (2542). การอ่าน. กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออกคณะ มนุษยศาสตร์. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ผกาศรีเย็นบุตร. (2542). ทักษะความรู้ทางภาษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พรรณี ลีกิจวัฒนะ. (2553). วิธีการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2553). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : เฮ้าท์ ออฟ เคอร์มีสท์. พิสณุ ฟองศรี. (2551). วิจัยการศึกษา. กรุงเทพฯ: บริษัทพรอพเพอร์ตี้พรินท์ จ ากัด. ไพทูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. (2550). ภาษาไทย 1. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฟองจันทร์ และคณะ. (ม.ป.ป.). หลักภาษาและการใช้ภาษา. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. ยุทธ ไกยวรรณ์. (2550). หลักการท าวิจัยและการท าวิทยานิพนธ์. กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ. รังษิมา สุริยารังสรรค์. (2555). การพัฒนาแบบฝึกการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่1 โดยใช้ข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรี. (วิทยานิพนธ์ ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปกร.


29 วรรณี โสมประยูร. (2553). เทคนิคการสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้าวิชาการ. แววยุรา เหมือนนิล. (2541). การอ่านจับใจความ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์. ศรีวิไล พลมณี. (2552). ภาษาและการสอน. (พิมพ์ครั้งที่ 4). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2556). ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่ง จุ ฬ า ล ง ก ร ณ์ มหาวิทยาลัย. ศิริวรรณ เสนา. (2541). การศึกษาคุณลักษณะของเนื้อความส าหรับฝึกคัดลายมือที่ส่งผลต่อ พัฒนาการ ด้านลายมือ และความเข้าใจในการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4. (วิทยานิพนธ์ ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. (2559). หลักภาษาและการใช้ภาษา. กรุงเทพฯ: บริษัทพัฒนา คุณภาพ วิชาการ. สมนึก ภัททิยธนี. (2556). การวัดผลการศึกษา. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์. สมพรแพ่ง พิพัฒน์. (2555). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและการค้นคว้า.กรุงเทพฯ: พีเอสเพรส. สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2558). หลักและวิธีสอนอ่านภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนา พานิช. สุภรณ์ ลิ้มบริบูรณ์ และคณะ. (2556). เอกสารป ระกอบก ารเ รียนการวิจัยท างก ารศึกษา . กรุงเทพฯ: บริษัท 21 เซ็นจูรี่ จ ากัด. สุวิทย์ มูลค า. (2550). กลยุทธ์การสอนคิดวิเคราะห์. (พิมพ์ครั้งที่4). กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ ากัด ภาพ พิมพ์กรุงเทพ.


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัย และหนังสือขอความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญ


32 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐิติพร สังขรัตน์ อาจารย์ประจ าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษ์ภูวนาถ 2. อาจารย์จุฑาทิพย์ ไกรนรา อาจารย์ประจ าสาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 3. ครูอโณลักษณ์ ไข่มุกข์ ต าแหน่ง ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย โรงเรียนดาราสมุทร


33


34


35


ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล


แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


38 ก าหนดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H แผนการเรียนรู้ที่ 1 การอ่านจับใจความ เรื่อง การอ่านจับใจความข่าว เวลา 1 ชั่วโมง ใช้สอนวันที่ ผู้สอน นางสาวสุภัสสร แก้ววงศ์ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การด าเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.1/2 จับใจความส าคัญจากเรื่องที่อ่าน ท 1.1 ม.1/9 มีมารยาทในการอ่าน จุดประสงค์ 1. นักเรียนรู้หลักการอ่านจับใจความข่าว (K) 2. นักเรียนสามารถจับใจความส าคัญจากข่าวที่อ่านได้ (P) 3. นักเรียนสามารถตอบค าถามจากข่าวที่อ่านได้ (P) 4. นักเรียนมีมารยาทในการอ่าน (A) สาระส าคัญ การอ่านจับใจความข่าว คือการอ่านที่ผู้อ่านต้องจับใจความส าคัญข่าวที่อ่าน ทั้งนี้ผู้อ่านต้องพิจารณา องค์ประกอบต่าง ๆ ของข่าว ทั้งพาดหัวข่าวหลัก พาดหัวข่าวรอง และเนื้อหาของข่าว อันจะช่วยให้ผู้อ่าน เข้าใจข่าวนั้น ๆ ได้ เนื้อหาสาระ 1. หลักการอ่านจับใจความข่าว 2. การอ่านจับใจความข่าวด้วยเทคนิค 5W1H คุณค่าพระวรสาร 1. การไตร่ตรอง คือ การคิดไตร่ตรองหาค าตอบที่ถูกต้องที่สุด พระบรมราโชบายด้านการศึกษาในหลวงรัชกาลที่ 10 1. มีงานท า – มีอาชีพ


39 กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน 1. ครูและนักเรียนทบทวนความรู้เกี่ยวกับการอ่านจับใจความด้วยเทคนิค 5W1H โดยการซักถาม นักเรียนถึงสิ่งที่ได้เรียนมาแล้ว 2. ครูแจ้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ขั้นสอน 1. ครูให้นักเรียนดูตัวอย่างข่าวผ่านโปรแกรมพาวเวอร์พ้อยต์ 2. ครูให้นักเรียนร่วมกันตอบค าถามเกี่ยวกับเนื้อหาของข่าวในประเด็นค าถามของเทคนิค 5W1H ต่อไปนี้ (Who) ใคร : …………………………………………………………… (What) อะไร : …………………………………………………………. (Where) ที่ไหน : ………………………………………………………. (When) เมื่อไร : ……………………………………………………….. (Why) ท าไม : …………………………………………………………. (How) อย่างไร : ……………………………………………………….. จากนั้นร่วมกันสรุปใจความส าคัญของข่าวจากค าตอบของประโยคค าถามที่ใช้เทคนิค 5W1H ร่วมกัน 3. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม 5 กลุ่ม โดยคละความสามารถ เก่ง ปานกลาง อ่อน 4. ครูแจกใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความข่าวและใบงาน 5. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม อ่านข่าวเรื่องที่ 1 พร้อมกัน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งค าถามและ ตอบค าถามด้วยเทคนิค 5W1H แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาน าเสนอใจความส าคัญของข่าวเรื่องที่ 1 จากค าตอบที่ได้ 6. ครูให้นักเรียนอ่านข่าวเรื่องที่ 2 รายบุคคล พร้อมทั้งจับใจความส าคัญของข่าวด้วยเทคนิค 5W1H จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยใบงานข่าวเรื่องที่ 2 (ครูให้นักเรียนส่งใบงานเพื่อตรวจความถูกต้องอีก ครั้ง) ขั้นสรุป 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปหลักการอ่านจับใจความข่าวด้วยเทคนิค 5W1H ด้วยค าถามต่อไปนี้ - ข่าวมีองค์ประกอบกี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง (แนวการตอบ คือ องค์ประกอบของข่าวมี 4 ส่วน ดังนี้ 1) พาดหัวข่าว 2) ความน า 3) ส่วน เชื่อม 4) เนื้อข่าว) - การอ่านจับใจความส าคัญข่าวด้วยเทคนิค 5W1H ผู้อ่านต้องตั้งค าถามอะไรบ้าง (แนวการตอบ คือใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร ท าไม อย่างไร)


40 สื่อการเรียนรู้ 1. สื่อพาวเวอร์พ้อยต์ตัวอย่างข่าว 2. ใบความรู้เรื่องการอ่านจับใจความข่าว 3. ใบงาน เรื่อง การอ่านจับใจความข่าว การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1. วิธีวัดและประเมินผล 1) ตรวจใบงาน เรื่อง การอ่านจับใจความข่าว 2) สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 3) สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม 2. เครื่องมือการวัดและประเมินผล 1) แบบประเมินใบงาน 2) แบบประเมินพฤติกรรมรายบุคคล 3) สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม 3. เกณฑ์การประเมิน 1) แบบประเมินใบงาน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ขึ้นไป 2) การประเมินพฤติกรรมรายบุคคล (ผ่านเกณฑ์ระดับพอใช้ขึ้นไป) 9 – 12 คะแนน หมายถึง ดีมาก 6 – 8 คะแนน หมายถึง ดี 3 – 5 คะแนน หมายถึง พอใช้ 0 – 2 คะแนน หมายถึง ปรับปรุง 3) การพฤติกรรมการมีส่วนร่วม (ผ่านเกณฑ์ระดับพอใช้ขึ้นไป) 16 – 20 คะแนน หมายถึง ดีมาก 12 – 15 คะแนน หมายถึง ดี 8 – 11 คะแนน หมายถึง ปานกลาง 4 – 7 คะแนน หมายถึง พอใช้ 0 – 3 คะแนน หมายถึง ปรับปรุง ลงชื่อ............................................ ลงชื่อ............................................ (นางจรีภรณ์ พงษ์จิตติกุล) (นางพิกุลชยา จินณรัตน์) หัวหน้าสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หัวหน้าฝ่ายวิชาการ


41 แบบประเมินใบงาน ค าชี้แจง ให้ครูผู้สอนประเมินใบงานของนักเรียนแล้วให้ท าเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับระดับ คะแนน เกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 60 ขึ้นไป (12 คะแนนขึ้นไป) 16 –20 คะแนน หมายถึง ดีมาก 12 – 15 คะแนน หมายถึง ดี 8 – 11 คะแนน หมายถึง ปานกลาง 4 – 7 คะแนน หมายถึง พอใช้ 0 – 3 คะแนน หมายถึง ปรับปรุง ลงชื่อ................................................................ผู้ประเมิน (…….........................................................................) ล าดับที่ ชื่อ – สกุล ความถูกต้องของค าตอบ การเขียนสะกดได้ถูกต้อง ตามอักขรวิธี ประโยชน์ของการน า ข้อมูลไปใช้ การตรงต่อเวลา รวม 20 คะแนน 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1 5 4 3 2 1


Click to View FlipBook Version