The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ม.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การดำรงชีวิตของพืช (ปี กศ.2565)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ดิเรกฤทธิ์ ยุเหล็ก, 2022-07-23 10:04:47

ม.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การดำรงชีวิตของพืช (ปี กศ.2565)

ม.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การดำรงชีวิตของพืช (ปี กศ.2565)

51

บนั ทกึ ผลใบงาน

กลุม่ ท่ี.........................สมาชกิ 1............................................... 2.............................................

3............................................... 4.............................................

5............................................... 6.............................................

รูปแสดงลกั ษณะของขนราก ลกั ษณะของขนราก

คำถาม
- ขนรากมีลักษณะอย่างไร
- ลักษณะของขนรากดงั กล่าวมีผลดีอย่างไร
- ถา้ เซลล์ขนรากของพืชถูกทำลายจะทำให้พชื เป็นอย่างไร
สรุปผลการทดลอง

......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................

52

บนั ทกึ ผลใบงาน

กลมุ่ ท.่ี ........................สมาชิก 1............................................... 2.............................................
3............................................... 4.............................................

5............................................... 6.............................................

รปู แสดงลักษณะของขนราก ลกั ษณะของขนราก

เปน็ เสน้ เล็กๆ บางๆ มจี ำนวนมากอยู่
รอบๆ ปลายรากทงี่ อกออกมาจากเมล็ด

- เซลลข์ นรากมีลักษณะเป็นเสน้ เล็กๆ บางๆ มจี ำนวนมากอยบู่ ริเวณรอบๆ ปลายราก
- เซลลข์ นรากมีลกั ษณะเปน็ เส้นยาวบางเป็นจำนวนมาก เปน็ ผลดตี ่อพืชเนือ่ งจากเป็นการเพิ่มพน้ื ผวิ
ของเซลล์ในการดดู นำ้ และแร่ธาตจุ ากดนิ
- ถา้ เซลล์ขนรากของพืชถูกทำลายจะทำให้การดูดน้ำและแร่ธาตุของรากลดลง พืชที่ขาดน้ำและแร่
ธาตุจะเห่ียวเฉาและตายในที่สุด
สรปุ ผลการทดลอง

เซลล์ขนรากของพืชเปน็ เซลลท์ ่เี ปล่ียนแปลงรปู รา่ ง เพื่อทำหน้าทใ่ี นการดดู น้ำและแรธ่ าตุเข้าสู่
ราก มลี ักษณะเป็นเสน้ เล็กๆ บางๆ จำนวนมากอยู่บรเิ วณปลายราก

53

ใบความรู้
เร่ือง ขนราก

น้ำและแร่ธาตุมีบทบาทสำคัญ ต่อการดำรงชีวติ ของพชื เพราะเปน็ วตั ถุดบิ ที่พชื ตอ้ งนำไปใช้
กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง น้ำจงึ เป็นตัวกลางในการนำสารผา่ นเขา้ ออก ภายในเซลล์ น้ำท่เี ข้าสูเ่ ซลล์
ส่วนใหญเ่ ปน็ น้ำที่อยู่ใตด้ นิ ดังนน้ั อวยั วะทสี่ ำคัญของพืช ในการดดู ซมึ น้ำและแรธ่ าตุ คือราก

รูป แสดงลักษณะของขนราก

เมอื่ สงั เกตปลายรากด้วยแวน่ ขยายจะพบวา่ ปลายรากมลี กั ษณะเปน็ ขนเลก็ ๆ จำนวนมากอยูร่ อบ ๆ
ปลายราก เรียกสว่ นนีว้ า่ ขนราก

ขนราก เปน็ ส่วนหนึง่ ของเซลลน์ อกสุดของรากท่ยี ่ืนออกมา ทำหน้าทด่ี ูดซึมน้ำและแร่ธาตทุ ่ีมอี ยู่ใน
ดินเข้าสตู่ น้ พืช การที่ขนรากมลี ักษณะเป็นขนเสน้ เล็ก ๆ และมีจำนวนมากน้ี เปน็ ผลดีแก่พืช คือ ทำให้
สามารถชอนไชเข้าไปในดนิ ทำให้การดดู น้ำและแรธ่ าตใุ นดนิ เปน็ ไปอย่าง
มีประสิทธภิ าพ และช่วยเพิ่มพ้ืนที่ผิวสัมผัสของรากกับน้ำ และแรธ่ าตุในดนิ ทำใหพ้ ืชสามารถดูดน้ำและแร่
ธาตใุ นดนิ ได้มากขึ้น ขนรากมชี วี ิตอยไู่ ดป้ ระมาณ 7- 8 วัน เม่ือเซลล์ตายก็จะมีขนรากขนึ้ มาใหมแ่ ทนทใ่ี น
บรเิ วณทอี่ ยตู่ ่ำลงไปจากเดิม

รากพชื จะแตกแขนงชอนไชลงไปในดนิ ทม่ี ีน้ำและแรธ่ าตุปะปนอยู่ ใน การดดู น้ำของรากจะเกดิ ขนึ้ ที่
บรเิ วณปลายรากซึ่งมขี นรากอยเู่ ปน็ จำนวนมาก เมอื่ นำ้ ในดนิ มคี วามเขม้ ข้นของสารละลายนอ้ ยกว่าน้ำในเซลล์
ของรากพชื นำ้ จากดินจึงเกดิ การแพร่เขา้ สรู่ ากพชื โดยวิธี ออสโมซิส ส่วนแร่ธาตจุ ะเข้าสูร่ ากโดย
กระบวนการที่เรยี กว่า แอกทฟี ทรานสปอรต์ (Active Transport ) ซึ่งเปน็ กระบวนการท่ีต้องอาศัยพลังงาน
เขา้ มาชว่ ยในการดดู แร่ธาตเุ ข้าสูร่ าก

54
ปัจจยั ทคี่ วบคมุ อัตราการดูดน้ำของราก

1. ปริมาณน้ำในดนิ ถ้าสารละลายในดินมคี วามเข้มขน้ ตำ่ คอื มีปริมาณน้ำมากรากพืช
จะสามารถดูดนำ้ ไดส้ ะดวกและรวดเรว็

2. อัตราการคายน้ำ ถ้าอตั ราการคายน้ำสูง จะเกดิ แรงดึงจากการคายน้ำสูง
3. ความเขม้ ขน้ ของสารละลายในดนิ ถ้าสารละลายในดินมคี วามเข้มข้นต่ำจะทำให้
เกดิ การแพรข่ องน้ำเข้าสูร่ ากเป็นไปไดด้ ้วยความรวดเร็วกวา่ ในสถานะท่สี ารละลายในดิน
มคี วามเข้มข้นสงู
4. อุณหภูมิ โดยทว่ั ไปพืชจะดูดนำ้ ได้ดที สี่ ุดท่ีอุณหภูมิระหว่าง 20-30 องศาเซลเซยี ส
แตอ่ ัตราการดดู น้ำจะหยุดไม่เกนิ 35 องศาเซลเซียส เพราะถ้าอุณหภมู ิสูงเกนิ ไปจะทำให้ปากใบปิด ซึ่งทำให้
การคายนำ้ หยุด และการดูดน้ำแบบพาสซฟี ก็จะหยดุ ด้วย
5. การถา่ ยเทอากาศในดนิ ถ้าดนิ มีการถา่ ยเทอากาศได้ดี จะทำใหก้ ารดูดนำ้ เกดิ ข้ึนไดม้ าก

55

แบบฝึกหัด

คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. ขนรากมีลักษณะอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ขนรากมีความสำคญั อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ขนรากมีหน้าที่อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. ปัจจยั ทีค่ วบคมุ อตั ราการดูดนำ้ ของรากมอี ะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………..................

56

เฉลยแบบฝกึ หดั

คำช้ีแจง ใหน้ ักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. ขนรากมลี ักษณะอยา่ งไร

แนวตอบ มีลักษณะเปน็ เส้นเล็กๆ บางๆ มจี ำนวนมากอยบู่ รเิ วณรอบๆ ปลายราก
2. ขนรากมคี วามสำคัญอย่างไร

แนวตอบ ทำให้สามารถชอนไชเข้าไปในดิน ทำให้การดดู น้ำและแรธ่ าตใุ นดนิ เป็นไปอยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ และช่วยเพิ่มพื้นทผ่ี วิ สัมผัสของรากกับนำ้ และแรธ่ าตใุ นดนิ ทำให้พืชสามารถดูดน้ำและแรธ่ าตุ
ในดนิ ได้มากขึ้น
3. ขนรากมหี นา้ ท่ีอยา่ งไร

แนวตอบ ทำหนา้ ทใ่ี นการดดู น้ำและแร่ธาตเุ ข้าสู่ราก

4. ปจั จยั ทคี่ วบคุมอตั ราการดูดนำ้ ของรากมอี ะไรบ้าง
แนวตอบ
1. ปรมิ าณนำ้ ในดนิ ถา้ สารละลายในดนิ มคี วามเข้มขน้ ตำ่ คือ มีปรมิ าณน้ำมากรากพชื

จะสามารถดูดนำ้ ไดส้ ะดวกและรวดเรว็
2. อัตราการคายน้ำ ถา้ อัตราการคายนำ้ สูง จะเกิดแรงดงึ จากการคายนำ้ สูง
3. ความเข้มขน้ ของสารละลายในดนิ ถ้าสารละลายในดินมคี วามเขม้ ขน้ ต่ำจะทำให้

เกิดการแพรข่ องนำ้ เขา้ สู่รากเปน็ ไปได้ดว้ ยความรวดเร็วกว่าในสถานะทส่ี ารละลายในดนิ
มีความเขม้ ขน้ สูง

4. อณุ หภมู ิ โดยท่วั ไปพืชจะดูดนำ้ ไดด้ ที ส่ี ดุ ท่ีอณุ หภูมริ ะหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส
แตอ่ ตั ราการดดู นำ้ จะหยดุ ไม่เกนิ 35 องศาเซลเซียส เพราะถ้าอณุ หภมู ิสงู เกนิ ไปจะทำให้ปากใบปิด ซ่ึงทำให้
การคายนำ้ หยดุ และการดูดนำ้ แบบพาสซีฟก็จะหยุดด้วย

5. การถา่ ยเทอากาศในดิน ถ้าดนิ มีการถ่ายเทอากาศไดด้ ี จะทำให้การดูดน้ำเกดิ ขึ้นได้มาก

57

เฉลยแบบทดสอบ
เรือ่ ง การสรา้ งอาหารของพืช

1. ค
2. ค
3. ข
4. ง
5. ข
6. ก
7. ข
8. ค
9. ข
10. ค

58

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 5

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การดำรงชีวติ ของพืช เรือ่ ง ระบบลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ

กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

รหสั วชิ า ว 21101 รายวชิ า วิทยาศาสตร์ 1 ชน้ั ม.1 เวลาเรยี น 1 ชัว่ โมง

ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ครผู สู้ อน นายดเิ รกฤทธ์ิ ยุเหล็ก ตำแหน่ง ครู คศ.1

ใชส้ อนวัน....................... ท.ี่ ........... เดือน.................................... พ.ศ. .........................

*************************************

1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ัด
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของสงิ่ มชี ีวติ หน่วยพืน้ ฐานของสิ่งมชี วี ติ การลำเลยี งสารผ่านเซลลค์ วามสมั พนั ธ์ของ
โครงสร้างและหนา้ ท่ีของระบบต่างๆของสัตวแ์ ละมนุษยท์ ที่ ำงานสัมพันธก์ นั ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี
ของอวยั วะต่างๆของพชื ท่ที ำงานสมั พนั ธ์กันรวมทง้ั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
ตวั ช้ีวัด

ว 1.2 ม.1/9 บรรยายลกั ษณะและหน้าท่ีของไซเล็มและโฟลเอม็
ว 1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพทบี่ รรยายทิศทางการลำเลียงสารในไซเลม็ และโฟลเอม็ ของพืช

2. สาระสำคญั
ทอ่ ลำเลียงนำ้ คือ กลุ่มเซลล์ของพชื ทีท่ ำหนา้ ทีล่ ำเลียงนำ้ และแร่ธาตุ มีลกั ษณะเปน็ ท่อยาวตดิ ต่อกนั

จากรากไปส่ลู ำต้น กิง่ และใบ

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ (K)

1. อธิบายโครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงในพืชได้
2. อธบิ ายหน้าท่ีของระบบลำเลยี งในพืชได้
3. ระบุโครงสรา้ งของพชื ที่ทำหนา้ ท่ีลำเลยี งน้ำ
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
ทดลองกลมุ่ เซลล์ท่ีเกี่ยวข้องกบั การลำเลียงนำ้ ของพืช
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
รอบคอบ ความรบั ผิดชอบ ความซื่อสัตย์

59

4. สาระการเรียนรู้
ระบบลำเลยี งนำ้ และแรธ่ าตุในพชื

5. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (กระบวนการสบื เสาะหาความรู้)
ช่ัวโมงที่ 1

ข้ันสร้างความสนใจ
1. ครนู ำต้นผกั บุ้งท่ีมีรากอยู่ดว้ ย มาใหน้ ักเรยี นดู แล้วถามนกั เรยี นวา่ ต้นผักบุ้งใช้

ส่วนใดในการลำเลียงนำ้ และอาหารไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ที่ทำใหต้ น้ ผักบุ้งเจริญเตบิ โต เพือ่ เชือ่ มโยงไปสกู่ าร
เรียนรู้เร่ืองขนรากและท่อลำเลียงนำ้

2. ครูนำภาพที่แสดงรากแกว้ รากแขนง และขนราก มาให้นกั เรยี นดู แล้วร่วมกันอภิปรายถึง
ลกั ษณะและหนา้ ท่ีของสว่ นตา่ ง ๆ ดังกล่าว

ขั้นสำรวจและคน้ หา
1. นกั เรยี นแบ่งเปน็ กลุม่ กลมุ่ ละ 4 คน โดยคละเพศและความสามารถ ครแู จ้งให้นกั เรยี นทราบ

ว่าผลงานของแต่ละคน คือ ผลงานของกลุ่ม โดยให้นักเรียนแต่ละคนมีหมายเลขประจำตัว เช่น คนที่ 1
หมายเลข 1 คนที่ 2 หมายเลข 2 คนท่ี 3 หมายเลข 3 และคนท่ี 4 หมายเลข 4

หมายเลข 1 อ่านกิจกรรมใบความรู้
หมายเลข 2 ตรวจอุปกรณ์ วิเคราะห์ขอ้ มูล
หมายเลข 3 ทำการทดลอง ทำกจิ กรรม
หมายเลข 4 บนั ทึกผลการทดลอง ตอบคำถาม
2. นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ ศกึ ษาใบงานท่ี 10 เร่อื ง สว่ นของพืชทีล่ ำเลียงนำ้ และแรธ่ าตุ

ชั่วโมงท่ี 2

ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป
1. แต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมานำเสนอผลการทดลองหน้าชั้นเรียน
2. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายผลการทดลอง โดยใชแ้ นวคำถาม เช่น
- เม่ือแชต่ ้นเทยี นไว้ในน้ำหมกึ สีแดงประมาณ 30 นาที เกดิ อะไรข้ึน
- ลกั ษณะภายในท่ีสงั เกตได้จากลำต้นที่ถูกตดั ตามขวางและถูกตัดตามยาวเปน็ อย่างไร
- การดูดน้ำและแรธ่ าตุของต้นพืชจำเปน็ ตอ้ งใช้รากเสมอไปหรือไมเ่ พราะเหตุใด
3. นกั เรียนรว่ มกันสรปุ ผลการทดลอง โดยให้ได้ข้อสรุปดงั นี้

60
- จากผลการทดลองจะพบว่า เม่ือแช่ต้นเทยี นไว้สักครู่จะเหน็ สีแดงอยทู่ ่ีส่วนราก และเมื่อ
เวลาผ่านไป 30 นาที จะเห็นสีแดงขน้ึ ไปอยู่สว่ นบนของลำต้น เม่ือตดั ลำต้นตามขวางและตามยาว นำมาสอ่ งดู
ด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบวา่ ลำต้นทีถ่ ูกตดั ตามขวางมีสขี องน้ำหมกึ สแี ดงอยเู่ ป็น
จุด ๆ ส่วนลำตน้ ทถี่ ูกตัดตามยาว จะเหน็ สขี องนำ้ หมกึ สีแดงเป็นเส้นเลก็ ๆ หลายเสน้ การทีเ่ ราเห็นเป็น
ลกั ษณะเชน่ นี้กเ็ พราะว่า อนุภาคของสีน้ำหมกึ สแี ดงไดแ้ พร่ผ่านเซลลช์ ้ันนอกของขนรากเข้าไปภายในลำต้น
ตามกลมุ่ เซลลท์ ่ีทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ ซึ่งเชอื่ มโยงกันเป็นท่อ ตง้ั แต่ราก ลำต้นและใบ กล่มุ เซลล์ท่ีทำหน้าท่ี
ลำเลยี งนำ้ นเี้ รียกว่า ทอ่ ลำเลียงนำ้ การทสี่ งั เกตเห็นทอ่ เหล่านี้อยู่เปน็ หยอ่ ม ๆ ในลำต้นท่ีถูกตัดตามขวางแสดง
ว่าทอ่ ลำเลียงน้ำไมไ่ ดม้ ีอย่รู ะหวา่ งเซลลท์ ุกเซลล์

ช่วั โมงที่ 3

ข้นั ขยายความรู้
นักเรยี นดูแผนภาพทแี่ สดงลำต้นตัดตามขวางของพืชใบเล้ยี งคู่และพชื ใบเลีย้ งเด่ียว แล้วอภิปราย

เปรยี บเทียบการเรยี งตวั ของทอ่ ลำเลียงน้ำ
ขนั้ ประเมิน
ใหน้ กั เรียนทำแบบฝกึ หัด

6. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
1.สือ่ ส่ิงพิมพ์ และเวบ็ ไซต์ตา่ ง ๆ ทางอินเทอร์เน็ตท่ีเก่ียวข้อง
2.อุปกรณก์ ารทดลองของแต่ละกจิ กรรมในการจัดการเรยี นรู้แต่ละครงั้
3.ใบงาน เร่ือง สว่ นของพชื ท่ีลำเลยี งนำ้ และแร่ธาตุ
4.ใบความรู้ เร่ือง ระบบลำเลียงน้ำและแรธ่ าตุในพืช
5.หอ้ งสมุด

61

7. การวัดและประเมินผล

สิ่งทต่ี อ้ งการประเมนิ วธิ ีการวัดผล เครื่องมือท่ใี ช้ เกณฑ์การผา่ น
ในการวดั ผล การประเมินผล

ความรู้ การตรวจผลงาน แบบประเมนิ การตรวจ ไดค้ ะแนนเฉล่ยี ร้อยละ
1.อธบิ ายโครงสร้างและ ผลงาน 60 ข้ึนไป
การทำงานของระบบ - การนำเสนอผลงาน
ลำเลียงในพืชได้ - สงั เกตพฤตกิ รรมการ - แบบประเมินการ ไดค้ ะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
2.อธบิ ายหน้าท่ีของ ทำงานกลุ่ม นำเสนอผลงาน 60 ขึ้นไป
ระบบลำเลียงในพชื ได้ สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบประเมินพฤติกรรม
3.ระบโุ ครงสร้างของพชื รายบคุ คล การทำงานกลุ่ม
ทีท่ ำหน้าทล่ี ำเลยี งน้ำ
ทกั ษะ แบบประเมนิ พฤติกรรม ได้คะแนนเฉลี่ย 2 (ด)ี
กระบวนการสบื เสาะ
หาความรู้ รายบุคคล ข้นึ ไป

คณุ ลักษณะอันพึง
ประสงค์
ความสนใจใฝร่ ู้ ความ
มุง่ มั่น อดทน

8. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 62
8.1 ผลการจดั การเรยี นรู้
ผเู้ รียนท่ีผ่านตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้ จำนวน...............คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................
ผเู้ รียนทไ่ี ม่ผา่ นตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.................

เลขท่ีของนกั เรยี นทส่ี อบไม่ผา่ นตัวชี้วัด..................................................................................................
............................................................................................................................................................................

สาเหตุที่ไมผ่ ่าน .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

แนวทางแกป้ ญั หา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ผู้เรยี นทมี่ ีความสามารถพิเศษ ได้แก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................

แนวทางการพฒั นา/สง่ เสริม..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ผเู้ รยี นไดร้ บั ความรู้ (K) ในเร่ือง ............................................................................................................
ผเู้ รยี นเกิดทกั ษะกระบวนการ (P) ในเรื่อง............................................................................................
ผเู้ รยี นมีคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม (A) ในเร่อื ง.................................................................................

8.2 ปญั หาอุปสรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

8.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ปัญหา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ลงช่อื .......................................................ครูผู้สอน
(นายดิเรกฤทธ์ิ ยเุ หลก็ )
ตำแหนง่ ครู คศ.1

วันท.ี่ ...........เดือน..........................พ.ศ. ................

63
9. ความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารสถานศึกษา/ผู้ท่ีได้รับมอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ......................................หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้
(นางสาวพสั ราภรณ์ พูลแจง้ )

วันท่ี............เดอื น..........................พ.ศ. ................

รบั ทราบผลการจัดการเรยี นรู้

ลงช่อื ....................................................... ลงชื่อ......................................................
(...................................................) (นายวิรชั ต์ จำปาทอง)

ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา ฝ่ายบริหารวิชาการ ตำแหนง่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา
วนั ท.ี่ ...........เดือน..........................พ.ศ. ........... วันท.่ี ...........เดอื น..........................พ.ศ. ..........

64

ใบงาน
เร่ือง สว่ นของพืชทีล่ ำเลียงนำ้ และแร่ธาตุ

จุดประสงค์
1. อธบิ ายโครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลยี งในพชื ได้

อปุ กรณ์

1. ต้นเทียน 1 ตน้

2. นำ้ หมกึ สีแดง 15 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร

3. น้ำ 1 ลติ ร

4. ขวดปากกวา้ งสงู ประมาณ 10-15 cm 1 ใบ

5. ใบมดี โกน 1 ใบ

6. สไลดแ์ ละกระจกปดิ สไลด์ 1 ชดุ

7. กล้องจลุ ทรรศน์ 1 กลอ้ ง

8. หลอดหยด 1 หลอด

วธิ ีการทดลอง
1. ใสน่ ำ้ หมกึ แดงจำนวน 15 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร ลงในขวดปากกวา้ งท่ีมนี ้ำอยู่ประมาณ 3 ของ

4

ขวด
2. นำตน้ เทียนทล่ี ้างนำ้ สะอาดแลว้ แช่ลงในขวดท่มี นี ำ้ หมึกสแี ดง แล้วนำไปวางไว้

กลางแดดประมาณ 20-30 นาที สังเกตการเปลย่ี นแปลง และบันทึกผล
3. นำต้นเทยี นออกมาล้างน้ำ ใช้ใบมดี โกนตัดลำตน้ ตามขวางตรงส่วนทมี่ ลี ำต้นอวบ

ไม่มีก่ิง ใหเ้ ปน็ ทอ่ นยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
4. นำส่วนที่ตัดออกมาตดั ตามขวางให้บางท่ีสดุ แลว้ นำไปวางบนสไลด์ หยดน้ำ 1-2 หยด ปิดดว้ ย

กระจกปิดสไลด์ นำไปสอ่ งดูดว้ ยกล้องจุลทรรศน์ สงั เกต วาดรูปแสดงตำแหน่งที่เหน็ สีแดง และบันทึกผลทีไ่ ด้
จากการสังเกต

5. นำสว่ นทต่ี ัดออกมาตัดตามยาวบาง ๆ ยาวประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร แลว้ ดำเนินการตามขน้ั ตอน
เหมอื นขอ้ 4
หมายเหตุ

1. ในการทดลองควรใช้ต้นเทียนสงู ประมาณ 20 เซนติเมตร เพราะจะไดต้ น้ ออ่ นเพื่อตดั เปน็ ช้นิ บาง
ๆ ได้ง่าย

65
2. ถา้ หาต้นเทยี นไมไ่ ด้ อาจใช้ผกั กระสงั หรือต้นขึน้ ฉา่ ย หรอื พชื ท่ีมลี ำต้นขนาดเล็กและมีสีขาวแทน
กไ็ ด้
3. การถอนต้นเทยี น ตอ้ งค่อย ๆ ถอนตน้ เทียนทง้ั ตน้ พยายามใหร้ ากติดมาให้มากทส่ี ุด แล้วนำต้น
เทียนมาลา้ งดินออกให้หมดทันที โดยจบั ส่ายเบา ๆ ในน้ำ ก่อนท่จี ะจมุ่ ลงในน้ำหมกึ
สีแดง
4. นกั เรยี นต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในราก ลำตน้ และใบอยา่ งละเอียด
5. นักเรียนตอ้ งตัดลำตน้ ตามขวางและตามยาวให้บางทส่ี ุด ถา้ ตดั ลำต้นหนาจะทำให้มองเห็น
ลกั ษณะของเซลลไ์ มช่ ดั เพราะแสงไมส่ ามารถทะลุผ่านเซลลไ์ ด้ หรือภาพเซลล์อาจจะซ้อนกันหนามาก

66

แบบบันทึกผล
เร่ือง สว่ นของพืชทล่ี ำเลยี งนำ้ และแรธ่ าตุ

กลมุ่ ท่ี.........................สมาชิก 1............................................... 2.............................................
3............................................... 4.............................................
5............................................... 6.............................................

ภาพวาด

คำถาม
1. น้ำสีมลี ำดับการเคล่ือนท่ีจากบริเวณใดไปยงั บริเวณใดของพชื
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2. ส่วนทีต่ ิดสีพบอยูบ่ รเิ วณใดและสว่ นน้ันนา่ จะทำหนา้ ทใ่ี ด
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
สรปุ ผลการทดลอง
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

67

เฉลยใบงาน
เรอื่ ง สว่ นของพืชที่ลำเลยี งนำ้ และแรธ่ าตุ

คำถาม
1. น้ำสมี ลี ำดบั การเคล่อื นท่ีจากบริเวณใดไปยังบรเิ วณใดของพืช

นำ้ สีมกี ารเคลื่อนที่จากราก ลำต้น ใบ และยอดตามลำดบั

2. สว่ นท่ตี ดิ สพี บอยู่บริเวณใดและสว่ นน้นั นา่ จะทำหนา้ ท่ีใด
แนวคำตอบ พบเป็นกลุ่มๆ เฉพาะทเ่ี ทา่ นัน้ โดยในลำต้นตัดตามขวาง กล่มุ สีจะเรยี งเป็นวงและในลำ

ตน้ ตัดตามยาวมีลกั ษณะเป็นแนวยาวต่อเน่ืองเปน็ ทอ่ การติดสีเฉพาะทแ่ี สดงวา่ บริเวณเหล่าน้ันน่าจะทำหน้าท่ี
ลำเลยี งน้ำจากรากสสู่ ว่ นต่างๆ

สรปุ ผลการทดลอง
รากพชื ดูดน้ำจากภายนอกแลว้ ลำเลียงน้ำผ่านเซลล์ตา่ งๆจากราก สูล่ ำต้น ก่งิ ใบ โดยลำเลียงไปตาม

เนอ้ื เยือ่ ทเ่ี ซลล์เรยี งตอ่ กนั เป็นท่อตอ่ เน่อื ง เนอ้ื เยอื่ นีอ้ ยูเ่ ป็นกลมุ่ ๆเฉพาะท่ี

68

ใบความรู้
เร่อื ง ระบบลำเลยี งนำ้ และแรธ่ าตุในพชื

โครงสร้างของพชื ท่ที ำหนา้ ท่ีลำเลยี ง
โครงสร้างของพชื ท่ที ำหน้าท่ีลำเลียง มดี ังนี้
1. ท่อลำเลยี งนำ้ (Xylem) เป็นกลมุ่ เซลลท์ ีท่ ำหน้าที่ลำเลยี งนำ้ และแร่ธาตจุ ากรากสลู่ ำตน้ และไปสู่

ใบ มีเฉพาะท่ีและเรียงกนั เปน็ ท่อยาว น้ำจากทอ่ ลำเลียงน้ำไปสู่เซลลอ์ ่นื ๆ ด้วยวิธีออสโมซสี สว่ นแร่ธาตุจาก
ทอ่ งลำเลยี งน้ำเข้าส่เู ซลล์อนื่ ๆ ดว้ ยวธิ กี ารแพร่

2. ทอ่ ลำเลียงอาหาร (Phloem) เป็นกลุ่มเซลล์ท่ีลำเลยี งอาหารซง่ึ สร้างดว้ ยวิธีสงั เคราะห์ด้วยแสง
สว่ นใหญจ่ ะสร้างท่ีใบแล้วนำไปเลีย้ งส่วนตา่ งๆ ของพชื เพือ่ ให้พชื เจริญเติบโต

3. เนอื้ เยือ้ เจรญิ (Cambium) เปน็ เน้ือเยื่อที่อยู่ระหว่างทอ่ ลำเลยี งน้ำและทอ่ ลำเลยี งอาหาร ทำ
หน้าทีส่ ร้างท่อลำเลยี งน้ำและทอ่ น้ำลำเลียงอาหาร

พชื ใบเล้ยี งคู่ จะมีท่อลำเลยี งนำ้ อยู่เป็นกลมุ่ ๆ เรยี งกันอยเู่ ปน็ วงรอบลำต้น แต่ละกลมุ่
ทอ่ ลำเลียงนำ้ จะอยดู่ ้านใน ในเนอ้ื ไม้ สว่ นพืชใบเล้ียงเดีย่ ว จะมที อ่ ลำเลยี งน้ำกระจายอยู่ท่วั ลำต้น

น้ำและแร่ธาตเุ มื่อเขา้ สู่รากพชื แลว้ จะแพร่ผ่านเซลลข์ องรากเขา้ ส่ทู อ่ ลำเลียงน้ำในราก

69
และจะถูกลำเลียงข้ึนไปยงั ทอ่ ลำเลียงน้ำภายในลำต้น กิ่งและใบ เพ่อื ใช้ในการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง
การลำเลยี งน้ำและแรธ่ าตุในพืชนั้นมักเกดิ ข้ึนในตอนกลางวนั ขณะท่มี กี ารสังเคราะห์ด้วยแสงและการคายน้ำ

พชื ใบเลย้ี งเด่ยี ว พืชใบเล้ียงคู่

70
พืชใบเล้ยี งคู่ เช่น มะมว่ ง ส้ม มังคดุ ถ่ัว ทอ่ ลำเลียงน้ำและทอ่ ลำเลยี งอาหารจะเรยี งตัวเปน็
วงรอบลำต้น โดยทอ่ ลำเลียงนำ้ หรือไซเลมจะอยู่ท่ีเนื้อไม้ ส่วนท่อลำเลยี งอาหารหรือโฟลเอม็ จะอยู่ทเ่ี ปลอื กไม้
ส่วนพืชใบเล้ียงเดี่ยวเช่น ข้าวโพด ปาล์ม หมาก ลำตน้ ของพืชพวกนีจ้ ะมี ทอ่ ลำเลยี งน้ำ และท่อลำเลยี ง
อาหารกระจายอยู่ท่วั ลำต้น

71

แบบฝกึ หดั

คำช้ีแจง ให้นักเรยี นเลือกคำตอบทถ่ี ูกท่ีสุดเพยี งคำตอบเดยี ว

1. บรเิ วณใดของรากทดี่ ดู น้ำไดด้ ีท่ีสุด

ก. บรเิ วณขนราก

ข. บรเิ วณปลายสุดของราก

ค. บรเิ วณเหนอื ขนรากขนึ้ มา

ง. ทุกบริเวณของรากทีอ่ ย่ใู ต้ดิน

2. ทอ่ ลำเลียงนำ้ ในลำตน้ พืชใบเลย้ี งเด่ียวจะมลี ักษณะอย่างไร

ก. เรียงกนั อยเู่ ปน็ วง

ข. กระจัดกระจายอยทู่ ว่ั ลำตน้

ค. อยู่เปน็ กลุ่มตรงกลางลำต้น

ง. อยูเ่ ปน็ หย่อม ๆ ระหว่างเซลล์

3. เนอ้ื เย่ือในขอ้ ใดทท่ี ำหนา้ ท่ีลำเลยี งนำ้ และเกลือแรจ่ ากรากไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพชื

ก. ไซเลม

ข. โฟลเอม

ค. แคมเบยี ม

ง. เซลล์ทั่วไป

4. พืช A และ B มีปรมิ าณขนรากไม่เท่ากัน A มีขนรากมากกว่า B พชื ทง้ั สองมีความแตกต่างกนั ใน

เรอ่ื งใด

ก. พืช A มีการเจริญเตบิ โตเรว็ กว่าพืช B

ข. พชื B มีการเจริญเติบโตเรว็ กว่าพชื A

ค. พืช A ดดู น้ำและเกลอื แร่ไดม้ ากกวา่ พชื B

ง. พืช B ดูดนำ้ และเกลอื แรไ่ ด้มากกวา่ พืช A

5. โครงสร้างท่พี ชื ใช้ในการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ คอื อะไร

ก. ราก ข. ไซเล็ม

ค. โฟลเอม็ ง. แคมเบียม

72

เฉลยแบบฝกึ หัด
1. ก
2. ข
3. ค
4. ง
5. ข

73

แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 6

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 การดำรงชีวติ ของพชื เรือ่ ง การคายน้ำของพืช

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

รหัสวิชา ว 21101 รายวิชา วิทยาศาสตร์ 1 ชนั้ ม.1 เวลาเรยี น 3 ช่ัวโมง

ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ครูผู้สอน นายดิเรกฤทธ์ิ ยุเหล็ก ตำแหน่ง ครู คศ.1

ใช้สอนวนั ....................... ท่ี............ เดือน.................................... พ.ศ. .........................

*************************************

1. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ชี้วัด
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสิ่งมชี วี ิตหนว่ ยพ้นื ฐานของส่ิงมีชวี ติ การลำเลียงสารผา่ นเซลลค์ วามสัมพันธ์ของ
โครงสร้างและหน้าที่ของระบบตา่ งๆของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ่ีทำงานสัมพนั ธก์ นั ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหนา้ ที่
ของอวัยวะตา่ งๆของพืชที่ทำงานสมั พันธ์กันรวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตวั ช้ีวัด

ว 1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะและหน้าท่ีของไซเล็มและโฟลเอม็
ว 1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพทบ่ี รรยายทศิ ทางการลำเลียงสารในไซเล็มและโฟลเอม็ ของพชื

2. สาระสำคญั
การคายน้ำ มสี ่วนช่วยให้พืชลำเลียงน้ำไปยงั ลำตน้ ท่ีอยู่สงู ข้ึนไปได้ โดยพชื คายน้ำสว่ นใหญ่

ออกทางปากใบ

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
1 ระบปุ จั จยั ทม่ี ีผลต่อการคายนำ้
2. อธบิ ายความสัมพันธ์ของการคายนำ้ ของพืชได้
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
ทดลอง
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผอู้ น่ื ความมเี หตุผล การทำงานรว่ มกบั

ผอู้ ืน่ ไดอ้ ย่างสร้างสรรค์

74

4. สาระการเรียนรู้
การคายน้ำของพชื

5. กระบวนการจัดการเรยี นรู้

ชวั่ โมงที่ 1

ขน้ั สร้างความสนใจ
1. ครนู ำสนทนาวา่ นกั เรียนเรยี นรู้มาแล้ววา่ พืชใชร้ ากดดู นำ้ และแร่ธาตจุ ากดนิ และลำเลียง
ผ่านทอ่ ลำเลียงนำมายงั ลำต้น กิง่ และใบ เพื่อชว่ ยในการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง แล้วถามนักเรยี นว่า ถา้ น้ำท่พี ืชดูด
มาใชไ้ มห่ มด พืชจะทำอย่างไร
2. นกั เรยี นและครรู ่วมกันอภิปรายคำตอบของนกั เรยี น เพ่อื เชอ่ื มโยงไปสกู่ ารเรียนรเู้ ร่อื งการ
คายนำ้ ของพชื
3. ครูนำใบพืชที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส ให้นักเรยี นสังเกตบริเวณถงุ ซึ่งจะเห็นเป็นฝ้าหรือไอ
น้ำเกาะอยู่
4. ครูตั้งคำถามให้นกั เรยี นชว่ ยกันคิดวา่ ไอนำ้ นนั้ มาจากไหน และมาจากส่วนใด
ของพืช
ขนั้ สำรวจและคน้ หา
1. นักเรียนแบง่ เปน็ กลุม่ กลุ่มละ 4 คน ศกึ ษาการทดลองตามใบงานที่ 8.1 เร่ืองปากใบ
2. นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ทำการทดลอง เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและบันทึกผลการทดลอง

ช่ัวโมงที่ 2

ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรุป
1. แต่ละกลุ่มส่งตวั แทนออกมานำเสนอผลการทดลองหน้าชัน้ เรยี น
2. นักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลการทดลอง โดยใชแ้ นวคำถาม
- จากการสังเกตเซลลผ์ วิ ใบผา่ นกล้องจุลทรรศน์ นักเรียนพบเซลลท์ ่แี ตกตา่ งจากเซลล์

อน่ื ๆ ในบรเิ วณนั้นหรือไม่
- เซลล์ดงั กล่าวมีลักษณะอย่างไร
- บริเวณผวิ ใบด้านบนและดา้ นล่างมคี วามหนาแน่นเทา่ กันหรือไม่

3. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั สรุปผลการทดลอง ดังน้ี

75
- เซลล์สว่ นใหญท่ ี่พบบริเวณผิวใบมรี ูปร่างคล้ายคลึงกัน แตม่ เี ซลล์บางเซลล์ท่ีแตกต่าง
จากเซลลอ์ ่นื เซลล์เหลา่ น้ีมลี ักษณะคล้ายเมล็ดถว่ั อยูเ่ ป็นคู่ แต่ละเซลล์เรยี กวา่ เซลล์คมุ ตรงกลางพบชอ่ งเล็ก ๆ
เรยี กวา่ ปากใบ
- ความหนาแน่นของปากใบบรเิ วณผิวใบดา้ นล่างมมี ากกวา่ ดา้ นบน ดังนน้ั การ
คายน้ำจงึ เกิดขึ้นบริเวณผวิ ใบด้านลา่ งมากกวา่ ผิวใบดา้ นบน
4. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั อภปิ รายในแต่ละหัวข้อทนี่ กั เรยี นได้ศกึ ษามา
5. ครูสมุ่ ตัวอย่างให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มตอบคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ และอธิบาย
เพ่มิ เติมในสว่ นที่นักเรียนยงั เข้าใจไม่ชัดเจน
6. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ รวบรวมขอ้ มูลสรปุ เปน็ รายงานพรอ้ มให้มภี าพประกอบสง่ ครู

ชวั่ โมงท่ี 3

ขน้ั ขยายความรู้
1. นกั เรยี นศกึ ษารายละเอียดและหน้าที่ของเซลลค์ มุ จากใบความรู้ หนังสือสารานุกรม

วทิ ยาศาสตรส์ ำหรบั เยาวชนวารสารวทิ ยาศาสตรเ์ อกสารส่ิงพมิ พ์ตา่ งๆ เช่น หนังสอื พิมพ์รายวนั ฯลฯ รวมทง้ั
เว็บไซตต์ ่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง และสรุปประเดน็ สำคัญ ๆ ท่ีคน้ พบ

2. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายโดยใช้คำถามดังน้ี
- เซลลค์ มุ สงั เคราะห์ดว้ ยแสงได้หรือไม่ ทราบได้อยา่ งไร
- พชื คายนำ้ มากทีส่ ุดในช่วงใด และการคายน้ำของพืชมีความเก่ยี วขอ้ งกบั ปจั จัย

ใดบ้าง
- พชื ทปี่ ลกู อย่รู ิมถนน หรอื บนเกาะกลางถนนจะมีเขมา่ ควนั จากยานพาหนะ

จบั อยู่ตามผวิ ใบ เขม่าควนั เหล่านจี้ ะมีผลตอ่ การคายนำ้ ผา่ นปากใบของพืชหรอื ไม่ อย่างไร
- ถา้ พืชขาดธาตุอาหารหลกั และธาตุอาหารเสรมิ พชื จะมีอาการอยา่ งไร
- การลำเลยี งอาหารของพืชที่เจริญเติบโตเตม็ ท่แี ล้วจะมีทิศทางการลำเลียงในลักษณะ

ใด
- อาหารออกจากทอ่ ลำเลยี งอาหารไปเซลล์ต่าง ๆ ด้วยวิธกี ารใด
- ถ้าพชื ขาดธาตุอาหารหลกั และธาตอุ าหารเสรมิ พชื จะมอี าการอย่างไร
- การลำเลยี งอาหารของพชื ท่เี จรญิ เตบิ โตเต็มทแ่ี ล้วจะมีทิศทางการลำเลยี งในลกั ษณะ

ใด
- อาหารออกจากท่อลำเลียงอาหารไปเซลล์ต่าง ๆ ดว้ ยวิธีการใด

ข้นั ประเมิน
ให้นกั เรยี นทำแบบฝกึ หดั

76

6. สอื่ / แหล่งการเรยี นรู้
1. สอ่ื สงิ่ พมิ พ์ และเว็บไซตต์ า่ ง ๆ ทางอนิ เทอร์เน็ตท่ีเกยี่ วข้อง
2. อปุ กรณก์ ารทดลองของแต่ละใบงานในการจดั การเรยี นรแู้ ตล่ ะครง้ั
3. ใบงาน เรอ่ื ง ปากใบ
4. ใบความรู้ เรื่อง การคายน้ำของพืช
5. หอ้ งสมุด

7. การวดั และประเมินผล

สงิ่ ทีต่ ้องการประเมิน วิธีการวัดผล เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ เกณฑก์ ารผ่าน
ในการวัดผล การประเมนิ ผล

ความรู้

1.ระบปุ ัจจยั ที่มีผลตอ่ การตรวจผลงาน แบบประเมินการตรวจ ได้คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
ผลงาน 60 ขึ้นไป
การคายน้ำ

2.อธบิ ายความสมั พันธ์

ของการคายน้ำของพืชได้

ทักษะ

กระบวนการสบื เสาะ - การนำเสนอผลงาน - แบบประเมินการ ไดค้ ะแนนเฉล่ีย ร้อยละ
นำเสนอผลงาน 60 ข้ึนไป
หาความรู้ - แบบประเมนิ พฤตกิ รรม
การทำงานกลมุ่
- สังเกตพฤตกิ รรมการ

ทำงานกลุม่

คุณลักษณะอนั พงึ

ประสงค์

ความสนใจใฝร่ ู้ ความ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ไดค้ ะแนนเฉลยี่ 2 (ด)ี

มงุ่ มนั่ อดทน รายบคุ คล รายบคุ คล ขึน้ ไป

8. บันทึกหลงั การจัดการเรยี นรู้ 77
8.1 ผลการจัดการเรียนรู้
ผู้เรยี นท่ีผา่ นตัวชี้วดั /ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คิดเปน็ ร้อยละ.................
ผูเ้ รยี นที่ไม่ผา่ นตวั ชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ ร้อยละ.................

เลขท่ีของนักเรียนทีส่ อบไมผ่ า่ นตัวช้ีวัด..................................................................................................
............................................................................................................................................................................

สาเหตุท่ไี ม่ผา่ น .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

แนวทางแกป้ ญั หา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ผเู้ รยี นทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ ได้แก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................

แนวทางการพฒั นา/ส่งเสริม..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ผ้เู รยี นได้รบั ความรู้ (K) ในเร่อื ง ............................................................................................................
ผู้เรยี นเกดิ ทักษะกระบวนการ (P) ในเรื่อง............................................................................................
ผเู้ รียนมคี ุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม (A) ในเรอ่ื ง.................................................................................

8.2 ปญั หาอุปสรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

8.3 ขอ้ เสนอแนะและแนวทางแก้ปญั หา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื .......................................................ครูผู้สอน
(นายดเิ รกฤทธ์ิ ยเุ หล็ก)
ตำแหน่ง ครู คศ.1

วนั ท.ี่ ...........เดือน..........................พ.ศ. ................

78
9. ความคิดเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษา/ผูท้ ี่ได้รบั มอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ลงช่ือ......................................หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้
(นางสาวพัสราภรณ์ พูลแจง้ )

วันท่ี............เดือน..........................พ.ศ. ................

รับทราบผลการจัดการเรียนรู้

ลงช่อื ....................................................... ลงชื่อ......................................................
(...................................................) (นายวิรชั ต์ จำปาทอง)

ตำแหนง่ รองผู้อำนวยการสถานศึกษา ฝ่ายบรหิ ารวิชาการ ตำแหนง่ ผ้อู ำนวยการสถานศกึ ษา
วนั ที.่ ...........เดอื น..........................พ.ศ. ........... วันที.่ ...........เดอื น..........................พ.ศ. ..........

79

ใบงาน
เร่อื ง ปากใบ

จดุ ประสงค์
1. วาดภาพและชีบ้ ่งโครงสร้างของพืชที่ใช้ในการคายน้ำได้
2. เปรียบเทียบจำนวนปากใบระหว่างดา้ นบนและด้านล่างของใบ

วัสดอุ ปุ กรณ์ 1 ใบ
รายการ 1 ชุด
1. ใบวา่ นกาบหอย 5 cm3
2. สไลด์และกระจกปดิ สไลด์ 1 อัน
3. น้ำกลนั่ 1 ใบ
4. หลอดหยด 1 ตวั
5. บกี เกอร์
6. กลอ้ งจุลทรรศน์

วิธกี ารทดลอง
1. สังเกตและบนั ทึกลกั ษณะผวิ ใบ ทง้ั ดา้ นบนและดา้ นล่างของใบวา่ นกาบหอย หรอื ใบไม้ชนดิ อื่นๆ

เชน่ พลับพลึง ผักบงุ้ ตำลงึ
2. นำใบไม้ในข้อ 1 มาฉีกแฉลบ ให้เย่ือผวิ ใบด้านล่างลอกออกเป็นแผ่นบางติดอยกู่ ับ

รอยฉกี ตดั เยื่อผวิ ใบด้านล่างเปน็ ช้ินเลก็ ๆนำไปวางบนหยดนำ้ ท่อี ยบู่ นสไลดแ์ ลว้ ปิดดว้ ยกระจกปดิ สไลด์
3. สอ่ งดูด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลงั ขยายต่ำและกำลงั ขยายสูงตามลำดบั วาดภาพเซลล์

ทเี่ ห็นตรวจดูเย่อื ผิวใบด้านบน โดยปฏิบัติตาม ขอ้ 1-3

80

แบบบันทกึ ผลใบงาน
เรือ่ ง ปากใบ

กลุ่มที่.........................สมาชกิ 1............................................... 2.............................................
3............................................... 4.............................................
5............................................... 6.............................................

ภาพเซลล์

คำถามหลงั การทดลอง
1. จากการสงั เกตเซลล์ผิวใบผา่ นกลอ้ งจุลทรรศน์ นักเรยี นพบเซลลท์ แ่ี ตกต่างจาก

เซลล์อน่ื ๆ ในบรเิ วณนัน้ หรอื ไม่ เซลลด์ งั กล่าวมีลกั ษณะอยา่ งไร บริเวณผวิ ใบดา้ นบนและด้านลา่ งมีความ
หนาแน่นเทา่ กนั หรอื ไม่
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

สรุปผลการทดลอง
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

เฉลยใบงาน 81
เรือ่ ง ปากใบ
เซลล์คุม
ภาพเซลล์

ปากใบ

คำถามหลังการทดลอง
1. จากการสงั เกตเซลลผ์ วิ ใบผ่านกล้องจุลทรรศน์ นกั เรยี นพบเซลล์ท่ีแตกต่างจากเซลลอ์ ่ืนๆ ใน

บรเิ วณนนั้ หรือไม่ เซลลด์ ังกล่าวมลี ักษณะอย่างไร บริเวณผิวใบด้านบนและดา้ นล่างมี ความหนาแน่นเทา่ กนั
หรอื ไม่

ตอบ เมอ่ื ตรวจดูผิวใบพืชดว้ ยกล้องจุลทรรศน์จะพบเซลลห์ ลายเซลล์เรยี งตวั กนั เปน็ แผน่ บาง
เซลล์สว่ นใหญ่มรี ปู ร่างคล้ายคลงึ กนั แตม่ ีบางเซลล์ท่ีมรี ูปรา่ งแตกต่างจากเซลล์อ่ืนๆ กล่าวคือ มีลกั ษณะคลา้ ย
เมล็ดถั่วอยเู่ ป็นคู่และพบชอ่ งเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 เซลลด์ ังภาพ โดยพบเซลล์ท่มี ีลกั ษณะดังกลา่ ว
บริเวณผวิ ใบดา้ นล่างมากกวา่ ท่ีผิวใบด้านบน

สรปุ ผลการทดลอง
1. เซลลส์ ว่ นใหญ่ท่พี บบริเวณผิวใบมีรูปรา่ งคล้ายคลึงกัน แต่มเี ซลล์บางเซลลท์ ่ีแตก

ตา่ งจากเซลลอ์ ืน่ เซลล์เหล่านี้มีลักษณะคล้ายเมล็ดถ่ัวอยเู่ ปน็ คู่ แตล่ ะเซลล์เรียกว่าเซลล์คุม ตรงกลางพบช่อง
เล็ก ๆ เรยี กว่า ปากใบ

2. ความหนาแน่นของปากใบบรเิ วณผวิ ใบด้านล่างมีมากกว่าด้านบน ดังนัน้ การคายนำ้
จงึ เกิดขน้ึ บริเวณผิวใบดา้ นลา่ งมากกวา่ ผวิ ใบด้านบน

82

ใบความรู้
เรอื่ ง การคายน้ำของพชื

การคายนำ้ ของพืชเป็นการขจัดน้ำสว่ นเกินออกสภู่ ายนอกเมอื่ รากพืชดดู นำ้ เข้าไปจะถูกลำเลียงไป
ตามท่อลำเลยี งนำ้ และสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช ซงึ่ จะมีนำ้ เพียงบางสว่ นเท่านัน้ ทีถ่ กู ใชไ้ ปใน
กระบวนการต่าง ๆ เช่น การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชน้ำสว่ นใหญจ่ ะถูกขับออกมาสูภ่ ายนอก
การคายน้ำส่วนใหญ่จะเกิดข้ึนที่ใบเป็น เนอื่ งจากใบมีทอ่ ลำเลียงนำ้ และท่อลำเลยี งอาหาร เซลล์ท่ี
ผิวใบไม่ไดเ้ รยี งตัวชดิ กันไปท้ังหมด แตจ่ ะมีรูเลก็ ๆ จำนวนมากเรยี กวา่ รใู บ หรือ ปากใบ บริเวณ
ใต้ปากใบ จะมชี อ่ งว่างหรอื โพรงอากาศเม่อื น้ำจากท่อลำเลียงนำ้ แพรอ่ อกมาท่เี ซลลข์ องผวิ ใบ
แล้วกจ็ ะแพรอ่ อกทางปากใบในรูปของไอน้ำ ปากใบอยูร่ ะหวา่ งเซลล์คมุ 2 เซลล์ ทำหน้าท่ีควบคุมการปิดเปดิ
ของปากใบ เป็นทางผา่ นเข้าออกของน้ำ และเป็นทางเขา้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อใชใ้ นการ
สังเคราะหด์ ้วยแสง และเปน็ ทางออกของแก๊สออกซเิ จนท่ีเกิดขน้ึ ด้วย สำหรับพชื ที่มีใบจมอยู่ในน้ำ เชน่
สาหร่าย จะไม่มปี ากใบ ปากใบหรือรูใบพบมากที่บริเวณท้องใบมากกว่าด้านหลงั ของใบ เพ่อื ลดการสญู เสยี นำ้
การคายนำ้ ของพืชนอกจากจะเกิดขนึ้ ทบ่ี ริเวณปากใบแลว้ ท่ีผวิ ใบและบรเิ วณรอยแตกของลำตน้ และกงิ่ ก็
เกดิ ขึ้นได้ แต่นอ้ ยมาก

การคายนำ้ ของพืช แบ่งเปน็ 2 วธิ ีคือ
1. การคายน้ำในรปู ของไอน้ำ เกิดได้ 3 ลกั ษณะ ดงั นี้
1.1 การคายน้าํ ทางปากใบ เรียกวา่ สโตมาทอล ทรานสพิเรชนั (stomatal transpiration)

เปน็ การคายน้าํ ที่เกดิ ข้นึ มากถงึ 90%
ลกั ษณะของปากใบ ปากใบของพืชประกอบด้วยชอ่ งเลก็ ๆ ในเนือ้ เย่อื ช้นั นอกสดุ

ของใบ เรยี กว่าช้นั เอพิเดอรม์ ีส (epidermis layer) ) เซลล์ชัน้ นีเ้ ปน็ ชั้นท่ีอยนู่ อกสดุ ปกคลมุ ส่วนทอ่ี ยู่
ข้างในทง้ั ทางด้านบน คือ เอพเิ ดอร์มิสดา้ นบน (upper epidermis) และทางดา้ นล่าง คอื เอพิเดอร์มสิ
ด้านลา่ ง (lower epidermis) เซลล์ชน้ั นีไ้ มม่ ีคลอโรฟลี ล์อยดู่ ว้ ย จงึ ทำให้สงั เคราะห์ด้วยแสงไมไ่ ด้
เซลล์เอพิเดอร์มิสบางเซลลเ์ ปลยี่ นแปลงไปทำหนา้ ที่เปน็ เซลลค์ ุม (guard cell) อยูด่ ว้ ยกันเปน็ คู่

83
มรี ูปรา่ งคลา้ ยเมล์ดถวั่ แดงประกบกัน ผนังดา้ นในของเซลลค์ มุ หนากว่าผนังเซลล์ดา้ นนอกระหว่างเซลลค์ มุ เปน็
ปากใบ (stomata) พบวา่ ทางดา้ นล่างของใบมปี ากใบอยู่มากกว่าทางด้านบน

ลกั ษณะของเซลล์คุม
เซลล์คุม (guard cell) ทำหน้าท่ปี ิดและเปิดปากใบ เซลล์คุมแตกตา่ งจากเซลล์
เอพิเดอรม์ ิสอ่ืนคอื เซลล์คุมมีคลอโรฟลี ลอ์ ยู่ด้วย จึงสามารถสังเคาระห์ดว้ ยแสงไดแ้ ละการสังเคราะห์ดว้ ยแสงน้ี
เป็นกลไกสำคญั ทท่ี ำให้เกิดการเปิดปิดของปากใบ การคายน้ำและการลำเลยี งสารของพืช
ผวิ ของเซลล์ชัน้ เอพเิ ดอร์มิสมสี ารพวกข้ผี ึ้ง เรียกว่า ควิ ทนิ ฉาบอยู่ช่วยปอ้ งกนั การระเหยของน้ำ
ออกจากผิวใบปากใบพชื

เซลล์คมุ และการเปิดปิดของปากใบ
1.2 การคายน้ำทางผวิ ใบ บริเวณผวิ ใบมคี วิ ทนิ (Cuticular transpiration) เปน็ สารคล้าย
ข้ีผึงเคลือบอยจู่ ึงทำให้พชื คายน้ำทางผวิ ใบเพยี ง 10%

1.3 การคายนำ้ ทางเลนติเซล (Lenticular transpiration) เปน็ การคายนำ้ ออกทางรอย
แตกที่ผวิ ของลำต้น ก่งิ ท่ี เรียกว่า เลนตเิ ซล (lenticels) ซ่ึงเกดิ ขนึ้ นอ้ ยมาก

84

เลนตเิ ซล (lenticels)
ท่มี า : http://www.csdl.tamu.edu/FLORA/tfplab/vegchar.htm
2. การคายน้ำในรูปหยดนำ้ เปน็ การคายน้ำในรปู หยดน้ำเลก็ ๆ ทางรเู ปิดเลก็ ๆ ตามปลายเสน้ ใบที่
ขอบใบที่เรยี กว่า โฮดาโธด (hydathode) การคายน้ำนี้เรยี กวา่ กัตเตชัน (guttation) ซ่งึ เกดิ ขึ้นเมื่ออากาศมี
ความชืน้ มาก ๆ อุณหภมู ติ ่ำและลมสงบ

กัตเตชัน (guttation)
ทีม่ า : http://www.school.net.th/library/create-web/10000/science/10000-6597.html

ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ การคายนำ้
อณุ หภมู ิ ขณะทีป่ ากใบเปิดถา้ อุณหภูมิของอากาศสงู ข้นึ อากาศจะแห้ง น้ำจะแพร่ออกจากปาก

ใบมากข้ึน ทำใหพ้ ชื ขาดนำ้ มากขนึ้
ความช้นื ถ้าความช้นื ในอากาศลดลงปรมิ าณน้ำในใบและในอากาศแตกต่างกันมากขึน้ จงึ ทำให้

ไอนำ้ แพร่ออกจากปากใบมากขน้ึ เกดิ การคายน้ำเพ่มิ มากข้ึน

85
ลม ลมท่ีพัดผ่านใบไมจ้ ะทำใหค้ วามกดอากาศที่บริเวณผวิ ใบลดลง ไอน้ำบริเวณปากใบจะแพร่
ออกสอู่ ากาศได้มากขน้ึ และขณะท่ีลมเคลื่อนผา่ นผิวใบจะนำความชนื้ ไปกบั อากาศดว้ ย ไอน้ำจากปากใบก็จะ
แพร่ได้มากขนึ้ เช่นกนั แตถ่ า้ ลมพดั แรงเกินไปปากใบกจ็ ะปดิ
สภาพนำ้ ในดนิ การเปดิ ปิดของปากใบมีความสัมพนั ธ์กับสภาพของนำ้ ในดนิ มากกว่าสภาพของ
น้ำในใบพชื เมอื่ ดินมีนำ้ น้อยลงและพชื เรม่ิ ขาดแคลนน้ำ พืชจะสงั เคราะห์กรดแอบไซซกิ (abscisic acid) หรอื
ABA มีผลทำให้ปากใบปดิ การคายนำ้ จึงลดลง
ความเขม้ ของแสง ขณะท่พี ชื ได้รับน้ำอย่างเพียงพอปากใบจะเปดิ มากเมือ่ ความเข้มแสงสูงข้นึ
และปากใบจะเปดิ น้อยลงเมือ่ ความเขม้ ของแสงลดลง เนอื่ งจากความเขม้ ของแสงเกี่ยวขอ้ งกบั อตั ราการ
สังเคราะหด์ ว้ ยแสงซง่ึ มีผลต่อการเปลีย่ นแปลงความเขม้ ข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ นำ้ ตาล ไอออน และ
สารอนิ ทรีย์บางชนดิ ทอ่ี ยู่ในเซลล์คมุ ดงั นัน้ เมอ่ื ความเขม้ ข้นของแสงมากขึน้ จะเปน็ ผลใหก้ ารคายน้ำในใบมาก
แตใ่ นบางกรณีถงึ แม้ความเขม้ ของแสงมากแตน่ ้ำในดนิ น้อย พชื เร่ิมขาดน้ำปากใบจะปดิ
โดยทว่ั ไปปากใบพืชจะเปิดในเวลากลางวันเพ่อื นำคารบ์ อนไดออกไซดไ์ ปใชใ้ นการสังเคราะหด์ ้วย
แสงและปดิ ในเวลากลางคืน แต่พืชอวบน้ำ เชน่ กระบองเพชรที่เจรญิ ในท่แี หง้ แล้ง
ปากใบจะเปิดในเวลากลางคนื และปิดในเวลากลางวันเพ่ือลดการสูญเสยี นำ้ ในเวลากลางคนื พชื ตระกลู นีจ้ ะ
ตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์แลว้ เปลี่ยนเป็นกรดอินทรียเ์ ก็บสะสมไว้ในแวคิลโอล ในเวลากลางวนั พืชจะนำ
คารบ์ อนไดออกไซด์จากกรดอินทรยี ม์ าใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง พชื บางชนิดยงั มกี ารปรบั โครงสร้างให้มี
ประสิทธิภาพในการดูดน้ำ โดยมรี ากแผ่ขยายเป็นบรเิ วณกวา้ งหรือมีรากหยัง่ ลกึ ลงไปในดิน เชน่ หญ้า
แฝก พชื บางชนดิ ลำตน้ และใบอวบน้ำเพื่อสะสมน้ำ มขี นปกคลมุ ปากใบจำนวนมาก มคี ิวทินหนาท่ีผิวใบ
รปู รา่ งของใบมีขนาดเล็กลงหรือเปลีย่ นไปเป็นหนาม บางชนิดมีโครงสรา้ ง
ท่ชี ว่ ยลดการคายน้ำ เช่น ปากใบอยู่ตำ่ กว่าระดับผิวใบ เช่น ปากใบของตน้ ย่โี ถ

86

แบบฝึกหดั
1. พชื สามารถคายน้ำไดท้ างใดบา้ ง

ก. เลนทิเซล ผิวใบ ราก
ข. ยอดใบ ราก ผิวใบ
ค. ปากใบ ผิวใบ เลนเิ ซล
ง. ยอดใบ ปากใบ ราก
2. การคายนำ้ ในรูปของหยดนำ้ เรยี กว่าอะไร
ก. ไฮโดรไพต์ (hydrophyte)
ข. คอนดนั ชนั (conduction)
ค. กัตเตชนั (guttation)
ง. ถกู ทุกขอ้
3. พืชที่เจริญเติบโตท่ีแหง้ แล้ง จำเป็นต้องมีคิวทนิ ทห่ี นาเพราะอะไร
ก. ลดการคายน้ำของใบ
ข.เพม่ิ การสงั เคราะหแ์ สง
ค.เพอื่ ปอ้ งกันการปดิ ปากใบ
ง. ถกู ทุกข้อ
4. ปัจจัยทางสภาพแวดลอ้ มทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการคายนำ้ ของพชื มีอะไรบ้าง
ก. แสงสว่าง และ อุณหภมู ิ
ข .แสงสวา่ ง อุณหภมู ิ ลม และน้ำในดิน
ค. แสงสวา่ ง น้ำในดนิ และลม
ง. ลม และอณุ หภมู ิ
5. พืชท่ีอย่ใู นเขตรอ้ นต้องมีการปรับตัวอย่างไร เพอื่ ลดการคายนำ้
ก. ปิดปากใบเวลากลางวัน เปิดปากใบเวลากลางคืน
ข. เปดิ ปากใบเวลากลางวนั ปดิ ปากใบเวลากลางคืน
ค. ลดรูปของใบจนเป็นหนาม
ง. ถูกทงั้ ก และ ค

87

เฉลยแบบฝกึ หัด
1. ค 2. ค 3.ก 4. ข 5. ง

88

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 7

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 การดำรงชีวิตของพืช เรอ่ื ง การลำเลียงอาหารในพชื

กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

รหัสวิชา ว 21101 รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ 1 ชั้น ม.1 เวลาเรียน 2 ชว่ั โมง

ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ครูผูส้ อน นายดิเรกฤทธ์ิ ยเุ หล็ก ตำแหน่ง ครู คศ.1

ใช้สอนวนั ....................... ท่ี............ เดอื น.................................... พ.ศ. .........................

*************************************

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวช้วี ัด
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมชี วี ติ หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชวี ติ การลำเลียงสารผ่านเซลล์ความสมั พนั ธข์ อง
โครงสร้างและหน้าทีข่ องระบบต่างๆของสัตว์และมนุษยท์ ่ที ำงานสมั พนั ธ์กันความสัมพันธ์ของโครงสรา้ งและหน้าท่ี
ของอวยั วะต่างๆของพืชทท่ี ำงานสัมพนั ธ์กันรวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
ตัวชีว้ ัด

ว 1.2 ม.1/9 บรรยายลกั ษณะและหน้าทีข่ องไซเลม็ และโฟลเอ็ม
ว 1.2 ม.1/10 เขยี นแผนภาพทีบ่ รรยายทศิ ทางการลำเลียงสารในไซเล็มและโฟลเอ็มของพชื

2. สาระสำคัญ
อาหารที่พืชสร้างขึ้นจะถูกลำเลยี งตามกลมุ่ เซลลเ์ ฉพาะ ทเี่ รยี กว่า ท่อลำเลียงอาหาร ไปยังส่วนต่าง ๆ

ของพชื ด้วยวิธกี ารแพร่

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
อธิบายโครงสรา้ งที่เกย่ี วกับระบบลำเลียงอาหารของพชื ได้
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
ทดลองกล่มุ เซลล์ท่ีเกีย่ วข้องกับการลำเลยี งน้ำของพชื
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
รอบคอบ ความรบั ผิดชอบ ความซื่อสัตย์

4. สาระการเรยี นรู้
การลำเลยี งอาหารในพืช

89

5. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (การเรยี นร้แู บบรว่ มมือ)
ชัว่ โมงที่ 1

1. สนทนากับนกั เรยี นทบทวน เกยี่ วกับ การลำเลยี งนำ้ และแร่ธาตุไปใช้ในการสร้างอาหาร
และการสร้างอาหารของพชื แลว้ ใหแ้ ต่ละกลุม่ ต้ังคำถามกลุ่มละ 5 ข้อ

2. ใหแ้ ต่ละกลุ่มนำคำถามไปใหก้ ลมุ่ อ่ืนหาคำตอบ เม่อื ทุกกลุม่ ตอบคำถามเสร็จเรียบร้อยแลว้ ให้นำ
ข้อคำถามและคำตอบสง่ คืนเจ้าของ เพอ่ื ตรวจให้คะแนน

3. ตง้ั คำถาม เพื่อเรา้ ให้นกั เรียนตระหนักในปญั หา เกยี่ วกบั การลำเลียงอาหารในพชื เช่น
- อาหารท่พี ชื สร้างข้ึนคอื อะไร
- นกั เรยี นคดิ วา่ เม่ือพืชสรา้ งอาหารแลว้ พืชส่งไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพชื ได้อย่างไร
- นักเรียนคดิ วา่ ท่อลำเลียงนำ้ กับทอ่ ลำเลียงอาหารเปน็ ชนิดเดียวกันหรอื ไม่

5. ใหน้ กั เรียนคาดคะเนคำตอบของปัญหา จากคำถามในขอ้ ที่ 4 จดบันทึกไวใ้ นสมดุ เพื่อตรวจสอบ
ต่อไป

6. ให้นักเรยี นสบื ค้นขอ้ มลู เรอ่ื ง การลำเลยี งอาหารในพืช
7. นักเรียนและครรู ว่ มกนั สรปุ โดยใช้แนวคำถามดังนี้

- พืชลำเลยี งอาหารท่สี ร้างข้ึนไปยังส่วนตา่ ง ๆ โดยทางใด
- อาหารออกจากทอ่ ลำเลียงอาหาร ไปยงั เซลล์ต่าง ๆ ดว้ ยวธิ ีการใด
- นกั เรียนและครรู ่วมกันสรุปอกี ครั้ง โดยสรปุ วา่ อาหารทพ่ี ชื สร้างข้ึนจะถกู ลำเลียง
ไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของพชื ทางท่อลำเลียงอาหาร ซึ่งเป็นกลมุ่ เซลล์เฉพาะที่เรียงตัวกันเปน็ ท่อไปยังเซลล์ตา่ ง ๆ
ดว้ ยวิธกี ารแพร่
8. นกั เรยี นทำแบบฝกึ หดั ครูกำหนดหมายเลขสมาชิกในกลมุ่ นักเรียน เปน็ 1 2 3 และ 4

ช่วั โมงท่ี 2

9. ให้นกั เรยี นระดมสมองชว่ ยกันคดิ หาคำตอบ แล้วผลดั กนั อธบิ ายให้สมาชกิ ในกลุ่มเข้าใจ
10. ส่มุ เรียกหมายเลขมา 1 หมายเลข นกั เรียนที่มีหมายเลขดังกล่าวทกุ กลุ่ม ตอบคำถามและ
อธบิ ายให้เพอ่ื นทง้ั ช้ันฟังโดยครคู อยใหค้ ำแนะนำ และอธบิ ายเพ่ิมเติม
12. นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภิปรายและพิจารณาขอ้ มลู เพอื่ หาคำตอบทถ่ี ูกต้อง แล้วคดั เลือกผลงาน
ที่ดีที่สดุ มาจัดปา้ ยนเิ ทศหน้าชน้ั เรียน เพอ่ื ให้ทุกกลุ่มไดม้ าศึกษาทบทวน
13. นักเรียนจดบนั ทกึ สาระสำคัญลงสมุด แลว้ รวบรวมส่งเพื่อใหค้ รูตรวจความถกู ต้องอีกครงั้

90

6. ส่ือ/ แหลง่ การเรยี นรู้
1. สื่อสง่ิ พิมพ์ และเวบ็ ไซต์ตา่ ง ๆ ทางอินเทอร์เน็ตที่เกย่ี วข้อง
2. ใบความรู้ เรือ่ ง การลำเลียงอาหารในพชื
3. หอ้ งสมุด

7. การวดั และประเมินผล

สิง่ ท่ตี อ้ งการประเมนิ วิธีการวัดผล เครื่องมอื ท่ีใช้ เกณฑก์ ารผ่าน
ในการวดั ผล การประเมนิ ผล

ความรู้ การตรวจผลงาน แบบประเมินการตรวจ ได้คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
อธิบายโครงสรา้ งท่ี ผลงาน 60 ขึ้นไป
เกี่ยวกับระบบลำเลยี ง - การนำเสนอผลงาน
อาหารของพืชได้ - สงั เกตพฤติกรรมการ - แบบประเมนิ การ ไดค้ ะแนนเฉล่ีย ร้อยละ
ทักษะ ทำงานกลุม่ นำเสนอผลงาน 60 ข้ึนไป
กระบวนการสบื เสาะ - แบบประเมินพฤติกรรม
หาความรู้ สงั เกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม
รายบคุ คล
คุณลกั ษณะอนั พงึ แบบประเมนิ พฤติกรรม ได้คะแนนเฉลยี่ 2 (ด)ี
ประสงค์
ความสนใจใฝร่ ู้ ความ รายบุคคล ขึ้นไป
ม่งุ ม่ัน อดทน

8. บันทึกหลงั การจัดการเรียนรู้ 91
8.1 ผลการจัดการเรียนรู้
ผเู้ รยี นที่ผ่านตวั ชี้วดั /ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คิดเปน็ ร้อยละ.................
ผู้เรียนท่ีไม่ผ่านตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ จำนวน...............คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................

เลขที่ของนักเรียนทส่ี อบไม่ผา่ นตัวชีว้ ัด..................................................................................................
............................................................................................................................................................................

สาเหตุทไ่ี ม่ผา่ น .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

แนวทางแก้ปญั หา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ผเู้ รียนทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ ไดแ้ ก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................

แนวทางการพัฒนา/สง่ เสริม..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ผเู้ รียนไดร้ บั ความรู้ (K) ในเรอื่ ง ............................................................................................................
ผเู้ รียนเกดิ ทกั ษะกระบวนการ (P) ในเรื่อง............................................................................................
ผ้เู รยี นมคี ุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม (A) ในเรอ่ื ง.................................................................................

8.2 ปญั หาอปุ สรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

8.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแกป้ ัญหา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ลงช่ือ.......................................................ครูผู้สอน
(นายดเิ รกฤทธ์ิ ยุเหล็ก)
ตำแหนง่ ครู คศ.1

วันท.่ี ...........เดอื น..........................พ.ศ. ................

92
9. ความคิดเหน็ ของผูบ้ ริหารสถานศึกษา/ผูท้ ่ีได้รบั มอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................

ลงช่ือ......................................หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้
(นางสาวพัสราภรณ์ พูลแจ้ง)

วันที่............เดอื น..........................พ.ศ. ................

รับทราบผลการจัดการเรยี นรู้

ลงชอ่ื ....................................................... ลงชือ่ ......................................................
(...................................................) (นายวิรชั ต์ จำปาทอง)

ตำแหนง่ รองผอู้ ำนวยการสถานศึกษา ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ ตำแหนง่ ผู้อำนวยการสถานศกึ ษา
วนั ท่ี............เดอื น..........................พ.ศ. ........... วันที่............เดือน..........................พ.ศ. ..........

93

ใบความรู้
เรอ่ื ง การลำเลียงอาหาร

เมอื่ พืชสงั เคราะห์ดว้ ยแสงทบ่ี ริเวณใบจะได้ น้ำตาล น้ำ และแก๊สออกซเิ จน น้ำตาลท่ีได้จากการ
สงั เคราะห์ด้วยแสงของพืช จะสะสมไวท้ เ่ี ซลล์สีเขียวในรูปของแปง้ ซง่ึ เป็นอาหารของพชื แต่พชื จะมกี าร
ลำเลยี งอาหารโดยการเปลยี่ นแป้งให้เปน็ นำ้ ตาล แล้วส่งผา่ นไปตามกลุ่มเซลล์ทีท่ ำหนา้ ท่ีลำเลียงอาหารที่ทอ่
เรยี กว่า ท่อลำเลยี งอาหาร (Phloem) อาหารจะถกู ลำเลียงโดยวิธกี ารแพรไ่ ปยังสว่ นต่าง ๆ ของพชื เพ่อื ใช้
เป็นพลังงานในกระบวนการต่างๆ หรือเก็บสะสมไวเ้ ปน็ แหล่งอาหารซง่ึ อยู่ในรูปของแป้งหรือน้ำตาล ท่ีมอี ยู่
บรเิ วณลำต้น ราก หรือผล

94
ถา้ เราตดั ลำต้นในลกั ษณะตามขวางจะสังเกตเห็นลกั ษณะการจัดเรียงตวั ของกล่มุ เซลล์
ทอ่ ลำเลียงอาหารของพืชใบเล้ียงคู่ จะเรียงเป็นวงอยู่ในรัศมเี ดียวกันรอบลำต้นที่บรเิ วณเปลือกไมบ้ ริเวณกลุ่ม
เซลลท์ ่อลำเลยี งจะพบ เนื้อเยอื่ เจริญแคมเบียม (Cambium) จะทำหนา้ ที่แบ่งตวั ออกทางด้านข้าง ทำให้ลำ
ต้นขยายขนาดใหญ่ข้ึนได้
การลำเลียงอาหารของพืชท่ีเจริญเตบิ โตเตม็ ที่แล้วจะมที ศิ ทางจากใบทีอ่ ยู่สว่ นบนลงมายงั กิง่ ก้าน
และลำต้นส่วนล่างของพืชเป็นสว่ นใหญ่ ในขณะท่เี ป็นต้นอ่อนอยูน่ ้นั การลำเลียงอาหารของพืชจะออกจากใบ
เลยี้ งหรือเอนโดสเปิรม์ ภายในเมล็ดไปยังสว่ นรากและสว่ นยอด ซึ่งอาจกล่าวไดว้ า่
ทศิ ทางการลำเลียงอาหารของพืชมีท้งั แนวขน้ึ และแนวลง เซลล์ที่ทำหนา้ ท่ลี ำเลยี งอาหารโดยตรงจะต้องเปน็
เซลลท์ ี่ยงั มีชวี ติ อยูก่ ารลำเลียงอาหารของพชื จะเกิดข้ึนในบริเวณเซลล์ท่มี ชี ีวิตถ้าเซลล์บริเวณใดตายการ
ลำเลยี งอาหารกจ็ ะหยดุ ชะงักทนั ที ทั้งน้อี าหารที่ถูกลำเลียงในกลุม่ เซลล์ทอ่ ลำเลยี งอาหารจะออกจากท่อไปยงั
เซลลต์ า่ งๆ ไดด้ ว้ ยกระบวนการแพร่ เมอื่ พจิ ารณาอตั ราการลำเลยี งอาหารพบวา่ การลำเลียงอาหารในท่อ
ลำเลียงอาหารจะเกดิ ไดช้ า้ กวา่ การลำเลียงน้ำและแร่ธาตุในท่อลำเลียงน้ำ ทั้งนี้ อตั ราการลำเลียงอาหารของ
พืชจะเรว็ หรือชา้ ขึน้ อยู่กับชนิดของพชื ชนดิ ของสารท่ถี ูกลำเลียง และชว่ งเวลากลางวนั หรอื กลางคืนดว้ ย

95

แบบฝกึ หดั
เรอื่ ง การลำเลยี งอาหารในพชื

คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนี้

1. กล่มุ เซลล์ท่ีทำหน้าที่ลำเลยี งอาหารที่ท่อเรยี กว่า
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
2. อาหารของพชื จะถูกลำเลียงไปยังส่วนตา่ งๆโดยวิธใี ด
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
3. กลมุ่ เซลล์ทอ่ ลำเลยี งอาหารของพชื ใบเลีย้ งคมู่ ีลักษณะอย่างไร
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
4. กลมุ่ เซลลท์ อ่ ลำเลียงอาหารของพชื ใบเลี้ยงคมู่ ีลักษณะอยา่ งไร
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................

96

เฉลยแบบฝกึ หัด

1. กลุม่ เซลล์ท่ที ำหน้าท่ลี ำเลียงอาหารท่ีทอ่ เรยี กวา่
แนวตอบทอ่ ลำเลียงอาหาร

2. อาหารของพชื จะถกู ลำเลยี งไปยังส่วนต่างๆโดยวธิ ใี ด
แนวตอบ วิธีการแพร่

3. กลุม่ เซลล์ทอ่ ลำเลียงอาหารของพชื ใบเลยี้ งคู่มีลักษณะอย่างไร
แนวตอบ จะเรยี งเป็นวงอยูใ่ นรัศมเี ดียวกนั รอบลำตน้ ที่บริเวณเปลอื กไม้

5. กลุม่ เซลลท์ ่อลำเลยี งอาหารของพชื ใบเลยี้ งเด่ยี วมลี กั ษณะอย่างไร
แนวตอบ กระจายรอบลำต้น

97

แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 8

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 การดำรงชีวติ ของพชื เรือ่ ง โครงสร้างของดอก

กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

รหสั วิชา ว 21101 รายวชิ า วิทยาศาสตร์ 1 ชน้ั ม.1 เวลาเรียน 1 ชว่ั โมง

ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ครผู ู้สอน นายดเิ รกฤทธ์ิ ยุเหล็ก ตำแหนง่ ครู คศ.1

ใช้สอนวัน....................... ท.ี่ ........... เดอื น.................................... พ.ศ. .........................

*************************************

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชว้ี ัด
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัตขิ องสง่ิ มีชีวติ หน่วยพื้นฐานของสง่ิ มชี ีวติ การลำเลียงสารผา่ นเซลล์ความสัมพนั ธ์
ของโครงสรา้ งและหน้าที่ของระบบต่างๆของสตั วแ์ ละมนุษย์ทท่ี ำงานสัมพันธ์กันความสัมพันธข์ องโครงสร้างและ
หน้าทีข่ องอวยั วะตา่ งๆของพชื ทีท่ ำงานสัมพันธก์ นั รวมท้ังนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชวี้ ัด

ว 1.2 ม.1/11 อธบิ ายการสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั เพศและไมอ่ าศัยเพศของพืชดอก
ว 1.2 ม.1/12 อธบิ ายลักษณะโครงสรา้ งของดอกทม่ี ีสว่ นทาให้เกดิ การถา่ ยเรณรู วมท้ังบรรยายการ

ปฏิสนธิของพชื ดอกการเกิดผลและเมล็ดการกระจายเมล็ดและการงอกของเมล็ด
ว 1.2 ม.1/13 ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของสัตว์ท่ชี ว่ ยในการถา่ ยเรณขู องพืชดอกโดยการไมท่ าลายชีวติ

ของสตั ว์ท่ชี ่วยในการถ่ายเรณู

2. สาระสำคญั
การสืบพันธ์เุ ป็นกระบวนการทที่ ำใหส้ ง่ิ มีชีวติ ดำรงเผ่าพันธส์ุ บื ต่อกนั ไปได้ การสืบพนั ธขุ์ องพืชแบง่ ออกเปน็

2 ประเภท คอื การสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศ เกิดจากการผสมกนั ระหว่างเซลล์สบื พันธเ์ุ พศผู้ กบั เซลล์สืบพนั ธเุ์ พศเมยี
ในพืชมดี อก อวัยวะทท่ี ำหน้าท่ีสรา้ งเซลล์สืบพนั ธ์ุ คือดอกหลังจากท่มี กี ารผสมกันระหวา่ งสเปิรม์ กบั ไขแ่ ลว้ สว่ นของ
รังไข่จะเจรญิ ไปเปน็ ผล ส่วนของออวุลภายในรงั ไข่จะเจริญไปเป็นเมลด็ เมลด็ จะงอกเป็นต้นใหมไ่ ด้ต้องอาศัยปจั จัยท่ี
สำคัญ ได้แก่ นำ้ แก๊ส ออกซิเจนอณุ หภมู ิทีเ่ หมาะสม และอาหารท่สี ะสมไว้

3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
1. ระบุสว่ นประกอบตา่ งๆของดอกไมใ้ นทอ้ งถิ่น
2. อธิบายโครงสร้างท่ีใช้ในการสืบพนั ธุ์ของพืชได้

98

ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
อธบิ ายเกี่ยวกบั รูปรา่ งและส่วนประกอบของดอกไมช้ นิดตา่ ง ๆ ในทอ้ งถน่ิ ได้
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซอื่ สัตย์
4. สาระการเรยี นรู้
โครงสรา้ งของดอกท่ใี ชใ้ นการสบื พนั ธข์ุ องพชื

5. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ 1

ข้นั สรา้ งความสนใจ
1. ครนู ำดอกกุหลาบหรอื ดอกไม้ชนดิ อืน่ ทีห่ าไดใ้ นทอ้ งถิ่นมาให้นักเรียนดูใหน้ ักเรยี นพิจารณาดู

สว่ นประกอบของดอกกุหลาบ แล้วให้นักเรียนช่วยกันบอกว่า ดอกกุหลาบมีส่วนประกอบอะไรบา้ ง เพื่อ
เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรเู้ รอ่ื งการสืบพันธ์ขุ องพชื

2. ครนู ำอภิปรายเกี่ยวกบั พชื ดอก โดยต้ังประเด็นในการอภปิ ราย ดังน้ี
- ดอกไมม้ ีความเกย่ี วข้องกับการสืบพันธขุ์ องพืชอยา่ งไร
- พืชมีโครงสรา้ งการสืบพันธเ์ุ ชน่ เดยี วกับสิง่ มีชีวติ ชนดิ อนื่ ๆ หรือไม่
- พืชมขี น้ั ตอนการสบื พนั ธุ์อย่างไร

3. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายคำตอบของนกั เรยี น
ขัน้ สำรวจและคน้ หา

1. ครนู ำภาพแสดงส่วนประกอบของดอกไมม้ าให้นักเรยี นดูแลว้ อธิบายถึงสว่ นประกอบตา่ ง ๆ
ของดอกไม้ ประเภทของดอกไม้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจ จากนน้ั ทดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการเอย่ ชือ่
ดอกไม้ แล้วให้นกั เรยี นตอบว่าเป็นดอกประเภทใด

2. นักเรียนแบง่ กลุม่ กลมุ่ ละ 4 คน โดยคละเพศและความสามารถ และแจง้ ให้นกั เรียนทราบ
วา่ ผลงานของนักเรยี นคือ ผลงานของกลุ่ม โดยให้นกั เรียนแต่ละกลุม่ มหี มายเลขประจำตัว เชน่ คนท่ี 1
หมายเลข 1 คนที่ 2 หมายเลข 2 คนที่ 3 หมายเลข 3 และคนท่ี 4 หมายเลข 4 และให้สมาชกิ แต่ละกล่มุ แบง่
หน้าทีก่ นั ทำงานตามหมายเลขทไี่ ด้

หมายเลข 1 อ่านกจิ กรรม ใบความรู้
หมายเลข 2 ตรวจอปุ กรณ์ วเิ คราะห์ข้อมูล
หมายเลข 3 ทำการทดลอง ทำกิจกรรม
หมายเลข 4 บันทกึ ผลการทดลอง ตอบคำถาม
3. นักเรียนศกึ ษาใบงาน เรอ่ื ง สว่ นประกอบของดอกไม้ชนิดตา่ ง ๆ ปฏิบัติกิจกรรมพรอ้ มท้ัง
สงั เกตผลทเี่ กิดขึน้ เก็บรวบรวมขอ้ มูลและบันทกึ ผลการทดลองแลว้ ชว่ ยกันเขียนรายงานการทดลอง

99

ชว่ั โมงที่ 2

ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
1. แต่ละกลมุ่ นำเสนอผลการทดลองหนา้ ชนั้ เรียน
2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการทดลอง โดยใชแ้ นวคำถาม ดงั ตอ่ ไปน้ี
- รูปรา่ งและส่วนประกอบของดอกของพชื แตล่ ะชนดิ ทีศ่ ึกษาเหมือนหรอื แตกต่าง

กันอยา่ งไร ส่วนประกอบสำคญั ของดอกไม้เรียงจากชน้ั นอกสุดไปถึงชน้ั ในสุด ได้แก่
- ถ้าพจิ ารณาส่วนประกอบของดอกเปน็ เกณฑ์ นักเรยี นจัดกลุม่ ดอกไมท้ ีน่ ำมา

ศึกษาออกเป็นกีก่ ลุ่ม แต่ละกลุม่ มลี ักษณะอย่างไรและใชอ้ ะไรเป็นเกณฑส์ ำคญั ในการแบง่ กล่มุ
- เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมียมีสว่ นประกอบอะไรบา้ ง และมีลกั ษณะ

แตกต่างกันอย่างไร
- ออวุลของดอกไม้แต่ละชนดิ มีลักษณะและจำนวนเป็นอยา่ งไร
- ดอกไมท้ ่ีนักเรียนนำมาศกึ ษา มีทั้งท่ีมีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี อยู่ภายใน

ดอกเดยี วกนั และดอกท่มี เี กสรเพศผ้หู รือเกสรเพศเมยี อยูแ่ ยกกนั ในแต่ละดอกลกั ษณะต่างๆ เหล่าน้ี
มีผลต่อการสืบพนั ธุ์ของพชื อย่างไร

3. ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปผลการทดลอง โดยใหไ้ ด้ขอ้ สรุปดังนี้
- จากการสังเกตพบว่า รปู รา่ ง ลกั ษณะ จำนวน และสขี องกลีบดอกแตกตา่ งกันไปตาม

ชนิดของดอก เกสรตวั ผ้กู ับเกสรตวั เมยี ของดอกผักบุ้ง ดอกบวั หลวง และดอกกล้วยไมจ้ ะอยใู่ นดอกเดยี วกัน
สว่ นดอกตำลงึ จะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมยี แยกกนั อย่คู นละดอก

- เกสรตวั ผขู้ องดอกไมจ้ ะมลี ักษณะคล้ายคลึงกัน คือเปน็ อบั เลก็ ๆ อยู่บนก้านชู
อับละอองเรณู โดยท่ัวไปอับละอองเรณู จะมีสีเหลืองนวลภายในมลี ะอองเรณเู ปน็ ผงซ่งึ มรี ูปร่างลักษณะ
แตกตา่ งกนั

- สว่ นเกสรตวั เมยี โดยทัว่ ไปก็คล้ายกัน คือ มยี อดเกสรตวั เมยี เป็นปุ่มเล็กๆ
มีสารเหนียวๆ ติดอยจู่ ากยอดเกสรตัวเมยี มีก้านเกสรตัวเมียไปยงั รังไข่ ภายในรงั ไขจ่ ะมีออวลุ เลก็ ๆ
อยู่ 1 อัน หรือหลายอนั ซงึ่ สว่ นตา่ ง ๆ เหลา่ น้เี ก่ียวข้องกบั การสบื พันธ์ขุ องพืช

ช่ัวโมงท่ี 3

ขน้ั ขยายความรู้
ให้นักเรยี นสบื ค้นข้อมลู การเกิดผลของพชื ชนิดตา่ งๆ แลว้ จัดปา้ ยนิเทศ

ข้ันประเมิน
ใหน้ ักเรียนทำแบบฝึกหัด

100

6. ส่อื /แหล่งการเรียนรู้
1. ดอกกุหลาบ
2. ภาพเมลด็ พนั ธพ์ุ ชื หัวหอม ขงิ หน่อบนดนิ ของสบั ปะรด
3. สือ่ สิง่ พิมพ์ และเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ ทางอินเทอรเ์ น็ตที่เก่ยี วขอ้ ง
4. อปุ กรณก์ ารทดลองของแตล่ ะกจิ กรรมในการจัดการเรียนร้แู ต่ละครัง้
5. ใบงาน เร่อื ง อวัยวะสืบพันธุ์ของพืช ใบความรู้
6. ใบความรู้ เร่ือง โครงสร้างของดอกไม้
7. ห้องสมดุ

7. การวดั และประเมนิ ผล

สิ่งทีต่ ้องการประเมิน วิธกี ารวดั ผล เครอื่ งมือที่ใช้ เกณฑก์ ารผ่าน
ในการวดั ผล การประเมนิ ผล

ความรู้

1.ระบุส่วนประกอบต่างๆ การตรวจผลงาน แบบประเมนิ การตรวจ ไดค้ ะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
ผลงาน 60 ขึ้นไป
ของดอกไมใ้ นท้องถ่นิ

2.อธบิ ายโครงสร้างทีใ่ ช้

ในการสืบพันธ์ุของพืชได้

ทักษะ

กระบวนการสบื เสาะ - การนำเสนอผลงาน - แบบประเมินการ ไดค้ ะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ
นำเสนอผลงาน 60 ข้ึนไป
หาความรู้ - แบบประเมนิ พฤตกิ รรม
การทำงานกลุ่ม
- สงั เกตพฤตกิ รรมการ

ทำงานกลุ่ม

คุณลกั ษณะอันพึง

ประสงค์

ความสนใจใฝ่รู้ ความ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมินพฤตกิ รรม ไดค้ ะแนนเฉล่ยี 2 (ด)ี

มุ่งมั่น อดทน รายบุคคล รายบุคคล ขึ้นไป


Click to View FlipBook Version