8. บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ 101
8.1 ผลการจัดการเรยี นรู้
ผเู้ รียนทผ่ี ่านตวั ชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................
ผูเ้ รยี นทไ่ี มผ่ ่านตวั ชว้ี ดั /ผลการเรยี นรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.................
เลขท่ีของนกั เรยี นทส่ี อบไม่ผา่ นตวั ชี้วัด..................................................................................................
............................................................................................................................................................................
สาเหตุท่ีไม่ผ่าน .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางแกป้ ญั หา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผเู้ รยี นทีม่ ีความสามารถพิเศษ ไดแ้ ก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางการพัฒนา/สง่ เสริม..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผู้เรียนไดร้ ับความรู้ (K) ในเรือ่ ง ............................................................................................................
ผู้เรียนเกิดทกั ษะกระบวนการ (P) ในเรื่อง............................................................................................
ผูเ้ รียนมีคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม (A) ในเรอ่ื ง.................................................................................
8.2 ปัญหาอปุ สรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
8.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ปญั หา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................ครูผู้สอน
(นายดเิ รกฤทธิ์ ยเุ หล็ก)
ตำแหน่ง ครู คศ.1
วันท่.ี ...........เดือน..........................พ.ศ. ................
102
9. ความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษา/ผู้ท่ไี ด้รับมอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ......................................หัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
(นางสาวพสั ราภรณ์ พลู แจง้ )
วันท่.ี ...........เดอื น..........................พ.ศ. ................
รับทราบผลการจดั การเรยี นรู้
ลงช่อื ....................................................... ลงชื่อ......................................................
(...................................................) (นายวิรชั ต์ จำปาทอง)
ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา ฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ ตำแหนง่ ผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา
วันท.ี่ ...........เดอื น..........................พ.ศ. ........... วันท่ี............เดือน..........................พ.ศ. ..........
103
ใบงาน
เรอ่ื ง สว่ นประกอบของดอกไมช้ นิดต่าง ๆ
จุดประสงค์
1. ระบุสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของดอกไม้ได้
2. จำแนกประเภทของดอกไม้โดยใชเ้ กณฑต์ า่ ง ๆ ได้
อุปกรณ์
1.นำ้ 10 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร
2. ดอกผักบุ้ง 1 ดอก
3. ดอกบวั หลวง 1 ดอก
4. ดอกกล้วยไม้ 1 ดอก
5. ดอกตำลึง 1 ดอก
6. ใบมีดโกน 1 ดอก
7. กาวลาเทก็ ซ์ 1 ดอก
8. กระดาษวาดเขียน ขนาด 20 cm x 30 cm 1 แผน่
9. แว่นขยาย 1 อัน
10. กลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1 กล้อง
11. สไลด์และกระจกปดิ สไลด์ 1 ชุด
12. เขม็ หมุด 1 อัน
13. แทง่ แก้ว 1 อัน
14. หลอดหยด 1 หลอด
วธิ กี ารทดลอง
1. นำดอกไมท้ เ่ี ตรียมมา ไดแ้ ก่ ดอกผักบุ้ง ดอกบัวหลวง ดอกกลว้ ยไม้ และดอกตำลงึ มาแกะ
สว่ นประกอบแตล่ ะช้ันของดอก คอื กลบี เลย้ี ง กลีบดอก เกสรตวั ผู้ และเกสรตัวเมียเพ่อื สังเกตและ
เปรียบเทียบลกั ษณะ จากน้ันจึงนำไปตดิ ในตารางบนั ทึกผลการทดลอง
2. พจิ ารณาลักษณะของอบั ละอองเรณขู องดอกไม้แตล่ ะชนิด จากน้ันจึงใชป้ ลายเขม็ หมุดเขี่ยอับ
ละอองเรณขู องดอกไม้แตล่ ะชนดิ ใหล้ ะอองเรณลู งไปบนกระจกสไลด์ แล้วหยดนำ้ ลงไปบนละอองเรณู 1 หยด
นำแทง่ แก้วขยใี้ ห้ละอองเรณแู ตกออก แลว้ จงึ นำไปสอ่ งดดู ว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์ พร้อมทัง้ วาดรปู สง่ิ ที่สงั เกตพบ
3. นำเกสรตัวเมียมาผ่าตามยาวดว้ ยมีด จากนั้นจึงสงั เกตรงั ไข่และออวุลทอี่ ยูภ่ ายในโดยใช้แวน่
ขยาย พร้อมท้ังวาดรูปส่ิงท่สี ังเกตพบ
104
แบบฝกึ หดั
คำชี้แจง ให้นกั เรยี นตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. สว่ นประกอบของดอกมีความสำคญั อย่างไรต่อพืชอยา่ งไร
......................................................................................................................................................
2. เกสรเพศผู้ประกอบดว้ ย………………………………………………………………………
3. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วย.......................................................................................................
4. รงั ไข่มี………………………………….ซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ เมด็ เล็ก ๆ
5. เซลลส์ ืบพันธ์ุเพศเมียคอื …………………………………………………………………….
105
เฉลยแบบฝกึ หัด
คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. ส่วนประกอบของดอกมีความสำคัญอย่างไรตอ่ พืชอยา่ งไร
ตอบ กลบี เล้ียง ช่วยหอ่ หมุ้ และป้องกนั อนั ตรายขณะทด่ี อกยงั ไม่บานกลบี ดอก มสี ีสนั
สวยงามหรือมกี ลิ่นหอม เพ่อื ล่อแมลงมาช่วยให้เกิดการผสมเกสร เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี
เปน็ โครงสร้างที่ใช้ในการสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของพืชมีดอก
2. เกสรเพศผู้ประกอบด้วยก้านชอู บั เรณแู ละอบั เรณู
3. เกสรเพศเมยี ประกอบด้วยยอดเกสรเพศเมีย กา้ นเกสรเพศเมยี และรงั ไข่
4. รังไขม่ อี อวุลซง่ึ มลี กั ษณะเป็นเมด็ เล็ก ๆ
5. เซลลส์ บื พนั ธ์ุเพศเมยี คอื ไข่
106
ใบความรู้
เรอ่ื ง โครงสรา้ งของดอกไม้
สว่ นประกอบและหน้าท่ีของดอกไม้
ดอกไม้นานาชนดิ จะเหน็ วา่ นอกจากจะมสี ตี ่างกนั แลว้ ยังมรี ูปร่าง ขนาด และโครงสร้างขอกดอก
แตกตา่ งกนั ดอกบางชนิดมกี ลบี ดอกซอ้ นกนั หลายช้นั บางชนดิ มกี ลีบดอกไมม่ ากนักและมีชั้นเดียว ดอกบาง
ชนดิ มขี นาดใหญ่มากบางชนิดเล็กเท่าเขม็ หมุด นอกจากนีด้ อกบางชนิดมกี ล่ินหอมนา่ ชื่นใจ แต่บางชนิดมกี ล่นิ
ฉนุ หรอื บางชนิดไมม่ ีกลิน่ ความหลากหลายของดอกไม้เหลา่ นี้เกดิ จากการทพ่ี ืชดอกมวี ิวฒั นาการมายาวนาน
จึงมีความหลากหลายทั้งสี รปู รา่ งโครงสรา้ ง กลน่ิ ฯลฯ
แต่ถึงแม้จะมคี วามแตกต่างกันดอกก็ทำหนา้ ทเี่ หมือนกนั คือ เปน็ อวัยวะสบื พันธุ์ของพืช
อวัยวะสืบพันธุ์ของพชื อยูภ่ ายในดอก พชื มีอยูห่ ลายชนิดหลายสายพันธุ์ ดอกของพชื ดอกจึงมีลักษณะขนาด
และสีท่ตี ่างกนั ออกไป แตไ่ มว่ า่ จะเป็นพืชชนิดใดดอกจะมีสว่ นประกอบทีส่ าํ คัญดังน้ี
การสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศของพชื มดี อก
สิ่งมีชีวิตต้องการสารอาหารเพอ่ื การดำรงชวี ิต เม่ือส่ิงมชี วี ติ เจริญเติบโตเตม็ ท่ีกจ็ ะสืบพนั ธ์ุ
เพอื่ การดำรงเผ่าพันธุข์ องตนเองไว้ พืชก็เชน่ เดยี วกนั การสืบพนั ธุของพชื มีทั้งการสืบพันธแ์ุ บบอาศัยเพศและไม่
อาศยั เพศ
การสืบพนั ธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกจะต้องมีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์เพศผกู้ ับเซลล์สบื พันธุ์
เพศเมียซ่งึ เกดิ ข้ึนในดอก ดังนัน้ ดอกจึงเป็นอวยั วะสืบพันธข์ุ องพชื ดอก
107
กลบี เล้ียง เป็นกลีบเลก็ ๆ สีเขียวอยู่ลา่ งสุดของดอก ในระยะทด่ี อกเรมิ่ ผลิดอกออกมา ใหมๆ่
เราจะเห็นดอกตมู สีเขียว เม่อื ดอกตมู ขยายโตขน้ึ สีเขียวทหี่ ุ้มดอกจะแยกออกมารองรับกลีบดอกกลีบ
สีเขยี วน้ันคือกลีบเล้ียงน่นั เอง กลบี เล้ยี งจะทําหนา้ ทห่ี ่อหุ้มดอกตมู และปอ้ งกันอันตรายใหก้ ลีบดอก
ในขณะทย่ี งั ออ่ นอยู่
กลบี ดอก เปน็ สว่ นท่อี ยเู่ หนือขนึ้ มาจากกลีบเล้ยี ง กลีบดอกนน้ั สว่ นใหญจ่ ะมีสีสวยสะดดุ ตาหลาย
ชนิดมีกลน่ิ หอม ความสวยงามของดอกจะข้ึนอยู่กบั สี ลักษณะ และจํานวนของกลีบดอกกลีบดอกเป็น
ส่วนประกอบของดอกทบี่ อบชำ้ ง่ายและรว่ งโรยเร็วกวา่ ส่วนประกอบอื่น ๆ
เกสรตัวผู้ มีลักษณะทัว่ ไปคล้ายหลอดเลก็ ๆ มกั มีสีขาว ปลายหลอดจะมอี บั ใสล่ ะอองเกสรรูปร่าง
คอ่ นขา้ งกลมเกสรตัวผู้จะอยู่ถดั จากกลบี ดอกเข้ามาข้างในดอก ก้านของเกสรตวั ผอู้ าจจะติดกบั กลีบดอกหรือ
แยกออกมาตา่ งหากก็ไดแ้ ล้วแต่ชนดิ ของพืช ดอกไมด้ อกหน่งึ ๆ อาจมีเกสรตัวผู้ตง้ั แต่หนึง่ อนั ไปจนถงึ หลาย ๆ
อัน
เกสรตัวเมีย เป็นส่วนทอ่ี ยตู่ รงกลางของดอก อาจจะมอี ันเดียวหรอื หลายอนั กไ็ ด้ เกสรตัวเมีย
โดยทัว่ ไปจะประกอบดว้ ยรังไข่ทอ่ี ย่ลู า่ งสุดบรเิ วณฐานรองดอกภายในรงั ไขจ่ ะบรรจไุ ขอ่ ่อนเลก็ ๆ
ไว้เหนอื รังไข่จะเป็นทอ่ ยาวข้ึนมาเรียกวา่ “ก้านชูเกสร” ในทอ่ ของกา้ นชูเกสรจะมีนำ้ เหนยี ว ๆ อยู่
เพือ่ นำเชื้อตวั ผลู้ งมาผสมกับเช้ือตัวเมยี ในรงั ไข่ และบนสดุ เป็นยอดเกสรตวั เมยี ซึง่ มนี ํ้าเหนียว ๆ อย่เู ช่นกนั
น้ําเหนยี ว ๆ นจ้ี ะช่วยยดึ เกาะเกสรตวั ผ้ใู ห้เขา้ มาผสมกับเกสรตัวเมยี ไดด้ ีขึน้
108
ฐานรองดอก เป็นส่วนประกอบทท่ี ำหนา้ ที่รองรบั สว่ นอื่น ๆ ของดอก ฐานรองดอกเปน็
สว่ นที่เจรญิ เติบโตแผ่ขยายตอ่ ออกมาจากปลายก้านดอก มักจะมกี ลบี เล้ยี งหุ้มไวอ้ กี ช้นั หน่ึงฐานรองดอกของ
พืชบางชนดิ อาจจะหมุ้ รงั ไขไ่ วท้ ั้งหมด เม่ือรังไข่เจริญขึน้ ฐานรองดอกกจ็ ะเจรญิ ดว้ ยและฐานรองดอกของพชื
บางชนิดกลายเป็นเนื้อของผลทใี่ ช้รบั ประทานได้
ดอกไม้ต่างๆ ถึงแม้จำทำหนา้ ท่ใี นการสบื พนั ธุ์เหมือนกนั แต่ก็มีโครงสร้างแตกต่างกันไปตามแตช่ นดิ
ของพืชดอกแตล่ ะชนิดมโี ครงสรา้ งของดอกแตกต่างกันออกไป บางชนดิ มีโครงสรา้ งหลักครบทงั้ 4 ส่วน ซึง่
ได้แก่ กลบี เลยี้ ง กลีบดอก เกสรตวั ผู้ และเกสรตวั เมยี เรียกวา่ ดอกสมบูรณ์ (complete flower) แตถ่ า้ ขาด
สว่ นใดสว่ นหนึ่งไปไม่ครบ 4 สว่ นเรียกว่า ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) และดอกทม่ี ีทั้งเกสรเพศผู้
และเกสรเพศเมียอย่ภู ายในดอกเดยี วกนั เรยี กวา่ ดอกสมบรู ณเ์ พศ (perfect flower) ถ้ามีแต่เกสรเพศผู้
หรือเกสรเพศเมยี เพยี งอยา่ งเดยี ว เรียกว่า ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ (imperfect flower)จากโครงสร้างของดอก
ยงั สามารถจำแนกประเภทของดอกได้อีกโดยพิจารณาจากตำแหน่งของรงั ไข่ เมื่อเทียบกบั ฐานรองดอกซึง่ ได้แก่
ดอกประเภทท่มี ีรงั ไข่อยเู่ หนือฐานรองดอก เช่น ดอกมะเขอื จำปี ยหี่ ุบ บวั บานบุรี พรกิ ถ่ัว มะละกอ สม้ เป็น
ต้น และดอกประเภททีม่ ีรังไข่อยูใ่ ตฐ้ านรองดอก เชน่ ดอกฟักทอง แตงกวา บวบ ฝรงั่ ทับทิม กล้วย พลบั พลึง
เป็นตน้
ดอกครบส่วน คอื ดอกทีม่ สี ว่ นประกอบของดอกครบท้ัง 4 สว่ น คอื กลบี เล้ยี ง กลบี ดอก
เกสรตวั ผู้ เกสรตัวเมีย เช่น ดอกพ่รู ะหง กุหลาบ มะเขอื มะลิ ผักบ้งุ เป็นต้น
ดอกครบสว่ น
ดอกไม่ครบส่วน คือ ดอกท่ีขาดส่วนประกอบบางชั้นไป ทำให้มเี พียง 1, 2 หรอื 3 ส่วน
เช่น ขา้ ว ขา้ วโพด ตำลึง ดอกมะละกอ ดอกหนา้ ววั ฟักทอง เฟื่องฟ้า บวบ เป็นต้น
109
การแบ่งประเภทของดอกโดยใช้เกสรตัวผ้เู กสรตัวเมยี เป็นเกณฑ์ จะแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท
1. ดอกสมบรู ณเ์ พศ หมายถงึ ดอกที่มที งั้ เกสรตัวผแู้ ละเกสรตวั เมียอยู่ในดอกเดยี วกนั เช่นกุหลาบ
พ่รู ะหง พริก ตอ้ ยตงิ่ กล้วยไม้ บวั มะมว่ ง ชบา เปน็ ตน้
110
2. ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ หมายถึง ดอกทม่ี ีเฉพาะเกสรตัวผ้แู ละเกสรตัวเมียเพยี งอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
เทา่ น้ัน เชน่ บวบ ฟักทอง ตำลงึ มะพรา้ ว มะยม ตำลึง เป็นตน้
ดอกของพืชแตล่ ะชนิดจะมีจำนวนดอกบนก้านดอกไมเ่ ท่ากัน จึงสามารถแบ่งดอกออกเป็น 2
ประเภท คอื ดอกเดยี ว (solitary flower) และชอ่ ดอก (inflorescences flower)
ดอกเดีย่ ว หมายถึง ดอกหนงึ่ ดอกที่พฒั นามาจากตาดอกหนง่ึ ตา ดังน้ันดอกเดี่ยวจงึ มีหนง่ึ ดอก
บนก้านดอกหนึ่งกา้ น เช่น ดอกมะเขือเปราะ จำปี บวั เปน็ ต้น
ช่อดอก หมายถงึ ดอกหลายดอกทอ่ี ยู่บนกา้ นดอกหนงึ่ ก้าน เชน่ เข็ม ผกั บงุ้ มะลิ กะเพรา กลว้ ย
กลว้ ยไม้ ขา้ ว เปน็ ตน้ แตก่ ารจัดเรียงตวั และการแตกก่ิงกา้ นของชอ่ ดอกมีความหลากหลายนกั วิทยาศาสตร์ใช้
ลกั ษณะการจัดเรียงตัวและการแตกกง่ิ กา้ นของชอ่ ดอกจำแนกชอ่ ดอกออกเป็นแบบตา่ ง ๆ
ช่อดอกบางชนิดมีลักษณะคล้ายดอกเด่ยี ว ดอกย่อยเกิดตรงปลายก้านช่อดอกเดยี วกัน ไม่มกี ้าน
ดอกย่อยดอกย่อยเรยี งกนั อยบู่ นฐานรองดอกทโ่ี คง้ นนู คลา้ ยหัว เชน่ ทานตะวัน ดาวเรอื ง บานชื่น บานไมร่ ้โู รย
ดาวกระจาย เป็นต้นชอ่ ดอกแบบนี้ประกอบดว้ ยดอกยอ่ ยๆ 2 ชนดิ คือ ดอกวงนอกอยู่รอบนอกของดอก และ
ดอกวงในอยูต่ รงกลางดอกดอกวงนอกมี 1 ชนั้ หรอื หลายช้นั เป็นดอกสมบรู ณ์เพศ หรือไมส่ มบูรณเ์ พศกไ็ ด้
ส่วนมากเปน็ ดอกเพศเมยี ส่วนดอกวงในมกั เปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศมกี ลบี ดอกเชอ่ื มกันเปน็ รปู ทรงกระบอกอยู่
เหนือรงั ไข่
111
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 9
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 การดำรงชีวติ ของพืช เรอ่ื ง การสบื พันธแุ์ บบอาศัยเพศของพืช
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รหสั วิชา ว 21101 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 1 ชั้น ม.1 เวลาเรยี น 1 ช่วั โมง
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ครูผู้สอน นายดเิ รกฤทธ์ิ ยเุ หล็ก ตำแหนง่ ครู คศ.1
ใช้สอนวนั ....................... ท.่ี ........... เดอื น.................................... พ.ศ. .........................
*************************************
1. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชว้ี ดั
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของส่ิงมชี ีวิตหนว่ ยพืน้ ฐานของสงิ่ มีชีวิตการลำเลยี งสารผ่านเซลล์ความสัมพันธ์
ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆของสตั ว์และมนษุ ย์ทที่ ำงานสมั พนั ธ์กันความสมั พันธ์ของโครงสรา้ งและ
หน้าทข่ี องอวัยวะตา่ งๆของพืชท่ีทำงานสมั พนั ธก์ ันรวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 1.2 ม.1/11 อธิบายการสืบพันธ์แุ บบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศของพืชดอก
ว 1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มสี ่วนทำให้เกดิ การถ่ายเรณรู วมท้ังบรรยายการ
ปฏิสนธขิ องพืชดอกการเกดิ ผลและเมล็ดการกระจายเมลด็ และการงอกของเมล็ด
ว 1.2 ม.1/13 ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของสัตวท์ ่ชี ่วยในการถ่ายเรณูของพชื ดอกโดยการไมท่ ำลายชีวิต
ของสตั ว์ทชี่ ว่ ยในการถ่ายเรณู
2. สาระสำคญั
การสบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศ เกดิ จากการผสมกันระหว่างเซลล์สบื พันธเ์ุ พศผูก้ ับเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศเมีย
ในพชื มดี อก อวัยวะท่ที ำหนา้ ท่ีสร้างเซลล์สบื พันธุ์ คือ ดอก หลังจากทมี่ ีการผสมกนั ระหว่างสเปริ ม์ กบั ไข่แล้ว
ส่วนของรังไขจ่ ะเจรญิ ไปเปน็ ผล ส่วนของออวุลภายในรงั ไข่จะเจรญิ ไปเปน็ เมล็ด
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
อธบิ ายวิธีการถา่ ยละอองเรณู การปฏิสนธิ การเกิดผลและเมลด็ ได้
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
ทกั ษะการจำแนกประเภท
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
112
รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซ่อื สัตย์
4. สาระการเรียนรู้
การสบื พันธ์ขุ องพชื
5. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ช่วั โมงที่ 1
ขั้นสรา้ งความสนใจ
1. ครูฉายแผน่ ภาพโปร่งใสที่แสดงส่วนประกอบของดอกครบท้ัง 4 สว่ น แลว้ ร่วมกัน
อภปิ รายเพอื่ สรุปส่วนประกอบและความสำคญั ของสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของดอกไม้ เนน้ ถงึ ส่วนประกอบของ
เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย เพราะมีความสำคัญตอ่ การสืบพนั ธ์ุของพชื
2. ครตู ้ังประเดน็ คำถามในการอภปิ รายดงั น้ี
- นกั เรยี นคิดวา่ สว่ นประกอบของดอกแต่ละส่วนมคี วามสำคัญอย่างไรตอ่ พืช
ขน้ั สำรวจและคน้ หา
ครูฉายแผ่นภาพโปรง่ ใสทแี่ สดงถึงการถ่ายละอองเรณู การงอกของหลอดเรณู
เขา้ ไปภายในรงั ไขเ่ พื่อนำเซลล์สืบพันธ์ุเพศผไู้ ปผสมกับเซลลไ์ ข่ในออวลุ และการเจรญิ ของเมล็ด
ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป
1 ให้นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายสรุปความหมายของการถ่ายละอองเรณู
การปฏสิ นธิ กระบวนการเกดิ เมล็ดและผล โดยใช้แนวคำถามดังน้ี
- นักเรียนคดิ ว่าการใช้สารเคมที ำลายแมลงจำนวนมากอยา่ งรวดเร็ว กอ่ ใหเ้ กิดปญั หา
อย่างไร และจะมวี ธิ ีป้องกนั และแกไ้ ขปญั หาเหลา่ นอี้ ยา่ งไร
- การท่ีผลไม้บางชนิด เชน่ มะละกอ และฝรง่ั มีหลายเมล็ด ส่วนผลไมบ้ างชนิดมี
เพียงเมลด็ เดียว เกยี่ วขอ้ งกบั จำนวนออวลุ ในรังไขข่ องพชื อย่างไร
ชัว่ โมงท่ี 2
ข้ันขยายความรู้
นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายเกย่ี วกบั การปฏสิ นธขิ องพชื ในท้องถ่ิน การเกดิ ผลและเมล็ด
ของพืชชนดิ น้นั ๆ
ข้ันประเมนิ
นกั เรยี นทำแบบฝกึ หดั แลว้ รว่ มกันเฉลยคำตอบ
113
6. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้
1. แผ่นโปร่งใส แสดงสว่ นประกอบของดอก และการถา่ ยละอองเรณู
2. ส่ือสงิ่ พมิ พ์ และเวบ็ ไซต์ตา่ ง ๆ ทางอินเทอร์เนต็ ท่เี กี่ยวข้อง
3. ใบความรู้ เรอ่ื ง การสบื พนั ธุแ์ บบอาศัยเพศของพชื
4. หอ้ งสมดุ
7. การวัดและประเมนิ ผล
สิ่งที่ต้องการประเมิน วธิ กี ารวัดผล เคร่อื งมือท่ีใช้ เกณฑก์ ารผ่าน
ในการวัดผล การประเมนิ ผล
ความรู้
อธิบายวธิ กี ารถ่ายละออง การตรวจผลงาน แบบประเมินการตรวจ ได้คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
ผลงาน 60 ขึ้นไป
เรณู การปฏสิ นธิ การ
เกดิ ผลและเมล็ดได้
ทักษะ
กระบวนการสืบเสาะ - การนำเสนอผลงาน - แบบประเมินการ ไดค้ ะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ
นำเสนอผลงาน 60 ข้ึนไป
หาความรู้ - แบบประเมินพฤตกิ รรม
การทำงานกล่มุ
- สังเกตพฤตกิ รรมการ
ทำงานกลุม่
คุณลกั ษณะอนั พึง
ประสงค์
ความสนใจใฝร่ ู้ ความ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ไดค้ ะแนนเฉล่ยี 2 (ด)ี
มุ่งม่นั อดทน รายบคุ คล รายบุคคล ข้ึนไป
114
8. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.................
8.1 ผลการจดั การเรียนรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ ร้อยละ.................
ผเู้ รียนท่ผี ่านตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้
ผูเ้ รยี นท่ีไม่ผ่านตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรู้
เลขที่ของนกั เรียนทส่ี อบไมผ่ ่านตัวช้วี ดั ..................................................................................................
............................................................................................................................................................................
สาเหตุท่ไี ม่ผา่ น .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางแก้ปัญหา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผเู้ รยี นท่มี คี วามสามารถพเิ ศษ ไดแ้ ก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางการพัฒนา/ส่งเสรมิ ..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผเู้ รยี นไดร้ ับความรู้ (K) ในเรือ่ ง ............................................................................................................
ผเู้ รียนเกิดทกั ษะกระบวนการ (P) ในเรอ่ื ง............................................................................................
ผูเ้ รยี นมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม (A) ในเรอื่ ง.................................................................................
8.2 ปัญหาอุปสรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
8.3 ขอ้ เสนอแนะและแนวทางแก้ปญั หา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................ครูผู้สอน
(นายดเิ รกฤทธิ์ ยเุ หล็ก)
115
ตำแหนง่ ครู คศ.1
วนั ที่............เดือน..........................พ.ศ. ................
9. ความคิดเหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา/ผทู้ ่ไี ด้รบั มอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงชื่อ......................................หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
(นางสาวพัสราภรณ์ พลู แจ้ง)
วนั ท.่ี ...........เดือน..........................พ.ศ. ................
รับทราบผลการจัดการเรียนรู้
ลงช่อื ....................................................... ลงช่ือ......................................................
(...................................................) (นายวริ ัชต์ จำปาทอง)
ตำแหนง่ รองผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา ฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา
วันท.่ี ...........เดือน..........................พ.ศ. ........... วันที่............เดือน..........................พ.ศ. ..........
116
ใบความรู้
เรอ่ื ง การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของพืช
การสบื พนั ธข์ุ องพืช
พืชดอกมีวิธีการสืบพันธุ์ 2 แบบ คือ
1. การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศ
สง่ิ สำคญั ทีบ่ อกเพศของพืชดอกคือ เกสรตัวผูแ้ ละเกสรตัวเมียการสบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศจึงเปน็ การ
สืบพนั ธ์ุทเ่ี กิดการผสมระหว่างละอองเกสรตวั ผู้กบั ไข่ในรงั ไข่ของเกสรตวั เมีย เม่อื ผสมกันแล้วกเ็ จริญเติบโต
เป็นเมล็ด ซง่ึ เม่อื นำไปเพาะจะงอกเป็นพชื ตน้ ใหม่ไดก้ ระบวนการในการสืบพันธุแ์ บบอาศยั เพศของพืชดอก
คอื การถา่ ย ละอองเกสรและผสมเกสร
2. การสืบพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศ
เป็นวิธกี ารสบื พนั ธุ์อยา่ งง่าย ๆ ของพืชทจ่ี ะเกดิ ตน้ ใหมไ่ ด้โดยไม่ตอ้ งใช้เมล็ดหรอื การผสมเกสรแต่อย่าง
ใด พชื ดอกมวี ธิ สี ืบพนั ธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศหลายวิธี เช่น การงอกตน้ ใหม่จากสว่ นตา่ งๆ เชน่ กล้วย ขงิ งอกเป็น
ลาํ ต้นใหม่จากลาํ ต้นที่อยใู่ ต้ดนิ ทเ่ี รยี กว่าการแตกหน่อ เช่นมนั สาํ ปะหลัง อ้อย ตดั เอาสว่ นของลาํ ตน้ ทีม่ ีตาและ
ปล้องอยูเ่ พยี งทอ่ นหรือสองทอ่ นไปปักชํา ต้นใหม่ก็จะงอกออกตรงบรเิ วณตา กะเพรา โหระพา ชบา เข็ม นาํ
ต้นหรอื ก่ิงไปปกั ชําขนึ้ เปน็ ต้นใหมไ่ ด้เช่นเดยี วกนั ใบของพืชบางชนิด เช่น ควำ่ ตายหงายเป็น กุหลาบหนิ นำ
ไปเพาะใหเ้ กดิ เปน็ ตน้ ใหม่
1. สบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศ เป็นการสบื พนั ธ์ทุ ่เี กดิ จากการผสมระหวา่ งเซลล์สบื พันธ์ุเพศผูแ้ ละเซลล์
สืบพนั ธ์ุเพศเมยี พืชตน้ ใหม่ท่ไี ด้จะมลี กั ษณะของต้นพ่อและแมผ่ สมกนั ซงึ่ บางครัง้ ก็ไดล้ ักษณะท่ีดีตามตอ้ งการ
แตบ่ างคร้ังกอ็ าจไดล้ ักษณะท่ไี มด่ ี การปฏิสนธิของพชื ดอก
2. การสบื พันธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศ เป็นการสบื พันธ์ุของพชื โดยการผลติ พชื ตน้ ใหมข่ ้นึ มาจากพืชตน้ เดิม
ด้วยวิธกี ารต่างๆ ทไี่ ม่ใชจ่ ากการใช้เซลล์สืบพันธพุ์ ชื เช่น การปกั ชำ การติดตา การตอน
การทาบก่ิง เป็นตน้ ซ่งึ วธิ ีการแตล่ ะอย่างก็มคี วามเหมาะสมสำหรบั พืชแต่ละชนิด
117
การถ่ายละอองเรณู
การถา่ ยละอองเรณู
พืชดอกแต่ล่ะชนิดมลี ะอองเรณูและรงั ไข่ที่มรี ปู ร่างลกั ษณะ และจำนวนท่แี ตกตา่ งกันเมื่อ
อบั เรณแู ก่เต็มท่ีผนงั ของอบั เรณจู ะแตกออกละอองเรณจู ะกระจายออกไปตกบนยอดเกสรตวั เมีย
โดยอาศยั สื่อตา่ งๆพาไป เช่น ลม น้ำ แมลง สัตว์ รวมทั้งมนุษย์ เปน็ ตน้ ปรากฏการณท์ ีล่ ะอองเรณู
ตกลงสูย่ อดเกสรตวั เมยี เรยี กวา่ การถา่ ยละอองเรณู (pollination) การถา่ ยละอองเรณู คอื วธิ ีการ
ท่ลี ะอองเรณตู วั ผู้เคล่อื นท่ีไปตกลงบนยอดเกสรตวั เมีย เพอื่ ใหเ้ กดิ การผสมพนั ธแ์ุ ละสบื พันธ์ุตอ่ ไปการถา่ ย
ละอองเรณูมี 3 แบบ คือ
1. การถา่ ยละอองเรณใู นดอกเดียวกัน พืชท่มี ีดอกเปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ คอื พืชทีม่ ีเกสรตวั ผู้และตัว
เมียอยใู่ นดอกเดียวกนั ละอองเรณตู ัวผูน้ ้ันสามารถร่วงหรือปลวิ มาตกบนยอดเกสรตัวเมยี ได้พืชทถ่ี ่ายละออง
เรณูในดอกเดียวกัน ไดแ้ ก่ ถ่ัว มะเขือ ฝ้ายและพืชทีม่ ีดอกสมบรู ณ์เพศอืน่ ๆ
เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมีย
2. การถ่ายละอองเรณูขา้ มดอกในต้นเดียวกนั เกดิ กับพชื ท่ีมดี อกไม่สมบูรณ์เพศ อะอองเรณตู ัวผู้
จะต้องเคลื่อนทีไ่ ปตกบนยอดเกสรตัวเมียของอกี ดอกหนงึ่ ในตน้ เดยี วกนั พชื ที่ต้องถา่ ยละอองเรณูแบบ
น้ี ได้แก่ ฟกั ทอง แตงกวา เป็นต้น
118
เกสรตวั เมยี
3. การถา่ ยละอองเรณูขา้ มตน้ เกดิ กับพชื ทีม่ ดี อกตวั ผู้หรือดอกตวั เมียอยคู่ นละตน้ จึงต้องใชว้ ิธีการ
ถา่ ยละอองเรณขู า้ มต้นพชื ท่ีมีดอกสมบรู ณ์เพศหรือพชื ท่มี ดี อกตัวผแู้ ละดอกตวั เมยี อยใู่ นต้นเดียวกันก็อาจจะ
ถ่ายละอองเรณูข้ามตน้ ไดเ้ หมือนกันโดยอาศัยลมมนษุ ยห์ รือสัตวพ์ าไป
ส่ิงท่ีชว่ ยในการถา่ ยละอองเรณู
พชื เคลอื่ นที่ดว้ ยตนเองไมไ่ ด้ สว่ นประกอบของพืชก็เคล่ือนทีไ่ ปเองไม่ได้เชน่ กัน ละอองเรณูตวั ผู้เมอื่
ไม่สมบูรณเ์ พศและเตบิ โตพรอ้ มทจ่ี ะถ่ายละอองเรณไู ปผสมพนั ธ์ุจงึ ตอ้ งอาศยั ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเขา้
ชว่ ยเหลือ สิง่ สําคญั ท่ชี ่วยในการถ่ายละอองเรณูของพชื ดอกไดแ้ ก่แมลง
แมลงเป็นสัตว์ท่ีมีส่วนชว่ ยในการถา่ ยละอองเรณูของพชื มากทส่ี ุดดอกของพืชเมื่อเจรญิ เติบโตกลีบ
ดอกจะมีสีสวยงาม บางชนิดมีกลน่ิ หอมบรเิ วณโคนกลบี ดอกจะมีนาํ้ หวานซึ่งเป็นอาหารของแมลงพชื สร้าง
สี กลิ่นและนํา้ หวานท่ดี อกเพ่ือล่อแมลงมาเกาะแล้วละอองเรณตู ัวผู้จะได้ตดิ ไปกบั ขา ขนปีกปากของแมลงไป
ตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย แมลงทช่ี ว่ ยในการถา่ ยละอองเรณูของพืชมหี ลายชนดิ เช่น ผเี ส้ือ ผงึ้ แมลงภู่
พืชบางชนิดทเ่ี ปน็ พืชเศรษฐกจิ หรือพืชท่ใี ชบ้ ริโภคเปน็ อาหาร ถ้าปล่อยใหเ้ กดิ การถ่ายละอองเรณู
ตามธรรมชาติ ผลผลติ ทไ่ี ด้จะไม่มากนัก เช่น ทุเรียนพันธ์ุชะนีจะติดผลเพียงร้อยละ 3 สว่ นพนั ธกุ์ ้านยาวติดผล
ร้อยละ 10 พชื บางชนดิ เช่น สละ เกสรเพศผมู้ ีนอ้ ยมาก จงึ ทำให้การถา่ ยละอองเรณเู กดิ ได้นอ้ ย นอกจากน้ยี ัง
มปี จั จยั หลายประการท่สี ่งผลใหก้ ารถ่ายละอองเรณูไดน้ อ้ ย เช่น จำนวนของแมลงทม่ี าผสมเกสร ระยะเวลา
ของการเจรญิ เติบโตเต็มที่ของเกสรเพศเมยี และเกสรเพศผไู้ ม่พร้อมกนั ปจั จบุ ันมนุษยจ์ งึ เข้าไปช่วยทำให้เกิด
การถ่ายละอองเรณไู ดม้ ากขนึ้ เช่น เลี้ยงผง้ึ เพ่ือชว่ ยผสมเกสรศกึ ษาการเจรญิ ของละอองเรณู และออวลุ แล้ว
นำความรู้มาชว่ ยผสมเกสร เชน่ ในทุเรียน การเจริญ เติบโต
ของอบั เรณูจะเจริญเตม็ ท่ใี นเวลา 19.00 – 19.30 น. ชาวสวนก็จะตัดอบั เรณูท่แี ตกเก็บไว้ และเมือ่ เวลาท่ี
เกสรเพศเมียเจรญิ เตม็ ท่ี คอื ประมาณเวลา 19.30 น. เปน็ ตน้ ไป ก็จะนำพูก่ นั มาแตะละอองเรณทู ต่ี ดั ไวว้ างบน
ยอดเกสรเพศเมยี หรือเม่ือตัดอับเรณแู ลว้ กใ็ ส่ถุงพลาสตกิ แล้วไปครอบท่เี กสรเพศเมยี เม่ือเกสรเพศเมยี เจรญิ
เตม็ ทแ่ี ล้วการถ่ายละอองเรณจู ะเกิดไดด้ ี และในผลไม้อ่นื เช่น สละก็ใช้วธิ กี ารเดยี วกันนี้
การผสมเกสร เปน็ กระบวนการผสมพนั ธุข์ องพืชดอกท่ีเกิดตอ่ เน่อื งจากการถา่ ยละอองรณบู างคร้งั
อาจจะเรยี กการผสมเกสรวา่ “การปฏสิ นธิก็ได้ การผสมเกสรหรือการปฏิสนธขิ องพชื มีขึน้ เพอื่ ให้พชื ได้มเี มลด็ ท่ี
มตี ้นอ่อนไว้ขยายพนั ธส์ุ บื ทอดต่อไป ในการผสมเกสรตอ้ งใชเ้ กสรตัวผ้แู ละเกสรตัวเมียเป็นองค์ประกอบ
สําคญั เรมิ่ ตงั้ แตเ่ กสรตัวผู้ตกลงบนยอดเกสรตัวเมีย ซงึ่ มนี ํ้าเหนียวๆ คอยจบั ใหล้ ะอองเรณูตวั ผู้จับแน่น ละออง
เรณตู ัวผจู้ ะดดู น้ําหวาน ๆ จนพองโตแล้วงอกสง่ิ ที่มีลักษณะคล้ายทอ่ ออกมาชอนไชลงในก้านเกสรตัวเมีย ลงไป
ถงึ รังไขท่ ่ีโคนเกสรตวั เมีย ในรังไขจ่ ะมีไข่อยู่เปน็ จํานวนมาก เมอื่ ท่อทงี่ อกมาจากละอองเรณูตัวผูเ้ จาะรงั ไข่เขา้ ไป
119
แลว้ เช้อื จากละอองเรณตู ัวผกู้ ็จะเขา้ ผสมกับไข่จงึ จะเรียกวา่ เกดิ การผสมหรอื การปฏิสนธใิ นการผสมเกสรน้ัน
จะตอ้ งใช้ละอองเรณูตวั ผู้และไข่เปน็ จํานวนมากเพราะการผสมระหวา่ งละอองเรณูตัวผูก้ ับไข่จะผสมกันเป็นคู่ ๆ
เพียงหนงึ่ ต่อหนึง่ เทา่ นั้น ถ้ามลี ะอองเรณู
ตวั ผนู้ ้อยมาก การเจรญิ เติบโตเปน็ เมล็ดและผลกม็ โี อกาสนอ้ ยตามไปดว้ ย หลังการผสมเรณหู รอื ปฏิสนธิแล้ว ไข่
ทไ่ี ด้รับการผสมจะเจรญิ เตบิ โตเปน็ เมล็ด รังไขท่ ีห่ ่อหุม้ อยูจ่ ะเจรญิ เตบิ โตเป็นเน้ือของผลต่อไป
หลังจากเกิดการปฏิสนธแิ ล้ว สว่ นตา่ งๆ ของดอกจะมีการเปล่ียนแปลงดงั นี้
กลบี เลยี้ ง จะเห่ยี วแล้วร่วงหลน่ ไป
กลีบดอก จะเหย่ี วแลว้ รว่ งหลน่ ไป
เกสรตวั ผู้ จะเหีย่ วแล้วร่วงหลน่ ไป
เกสรตัวเมีย จะเจรญิ ไปเป็นผลไมร้ ังไข่
ออวุล จะเปลยี่ นแปลงไปเป็นเมล็ด
รงั ไข่ จะเจริญไปเป็นผล
ไซโกต เจริญไปเป็นเอมบรโิ อ
เอนโดสเปริ ์ม เจริญไปเปน็ อาหารสำหรบั เลย้ี งเอมบริโอ
ในพืชบางชนิดเอนโดสเปริ ม์ จะสลายไปก่อนที่เมล็ดจะเจรญิ ดังน้นั อาหารสะสมจึงอยูภ่ ายใน
ใบเลี้ยงของเอมบริโอ การปฏิสนธซิ ้อนของพืชดอกมีความสำคญั เป็นอย่างมาก เน่อื งจากเป็นการสรา้ งอาการ
ให้แกส่ ิ่งมชี วี ติ อ่ืนๆ เชน่ ผลไมท้ ่เี ราใชร้ บั ประทานกเ็ กดิ มาจากการปฏิสนธิ อาหารพวก ขา้ ว ข้าวโพด กเ็ ปน็ ส่วน
ของเอนโดสเปริ ์ม อาหารในเมล็ดถัว่ หลายชนิดก็เปน็ อาหารที่สะสมอยู่ในใบเลี้ยง
ของเอมบรโิ อของถ่วั
120
การปฏสิ นธซิ ้อน
เมอ่ื ละอองเรณตู กลงบนยอดเกสรเพศเมยี ทวิ บน์ ิวเคลียสของละอองเรณูแตล่ ะอนั จะสร้างหลอด
ละอองเรณูด้วยการงอกหลอดลงไปตามก้านเกสรเพศเมยี ผา่ นทางรไู มโครไพลข์ องออวุล ระยะนเ้ี จเนอเรทิฟ
นิวเคลยี สจะแบบนิวเคลียสแบบไมโทซสิ ได้ 2 สเปิรม์ นิวเคลยี ส (spermnucleus) สเปริ ์มนวิ เคลียสหนึ่งจะ
ผสมกบั เซลล์ไขไ่ ด้ไซโกต ส่วนอกี สเปิร์มนวิ เคลียสจะเข้าผสมกับเซลลโ์ พลาร์นิวเคลยี สไอได้ เอนโดสเปิรม์
(endosperm) เรยี กการผสม 2 คร้งั ของสเปิร์มนวิ เคลียสนว้ี า่
การปฏสิ นธิซอ้ น (double fertilization)
การเกิดผล
ภายหลังการปฏิสนธิ ออวุลแตล่ ะออวลุ จะเจรญิ ไปเปน็ เมลด็ ส่วนรังไข่จะเจริญไปเปน็ ผล
มีผลบางชนดิ ทส่ี ามารถเจริญมาจากฐานรองดอก ได้แก่ ชมพู่ แอปเป้ิล สาลี่ ฝร่ัง
ผลของพชื บางชนดิ อาจเจริญเติบโตมาจากรงั ไขโ่ ดยไม่มีการปฏสิ นธิ หรือมีการปฏิสนธิตามปกติ
แตอ่ อวลุ ไมเ่ จริญเตบิ โตเปน็ เมลด็ ส่วนรังไขส่ ามารถเจริญเตบิ โตเป็นผลได้ เช่น กล้วยหอม องุน่ ไม่มีเมลด็
นกั พฤกษศาสตรไ์ ด้แบง่ ผลตามลกั ษณะของดอกและการเกดิ ผลออกเป็น 3 ชนดิ ดังน้ี
1. ผลเดี่ยว (simple fruit) เปน็ ผลที่เกิดจากดอกเด่ียว หรอื ชอ่ ดอกซงึ่ แตล่ ะดอกมีรงั ไขเ่ พียง
อันเดียวเช่น สม้ ล้ินจี่ เงาะ ลำไย ทเุ รยี น ตะขบ เปน็ ตน้
2. ผลกลุ่ม (aggregate fruit) เปน็ ผลท่ีเกดิ จากดอกหนงึ่ ดอกซึ่งมีหลายรงั ไข่อย่แู ยกกันหรือตดิ กันก็
ได้อย่บู นฐานรองดอกเดียวกัน เช่น น้อยหน่า กระดงั งา สตรอเบอรี่ มณฑา เป็นต้น
121
3. ผลรวม (multiple fruit) เปน็ ผลเกดิ จากรังไขข่ องดอกยอ่ ยแต่ละดอกของช่อดอกหลอม
รวมกันเปน็ ผลใหญ่ เช่น ยอ ขนนุ หมอ่ น สับปะรด เปน็ ต้น
การเกิดเมลด็
การเกดิ ของเมลด็ พืช
ภายหลังการปฏสิ นธิ ( double fertilization ) ของพชื ดอก ซง่ึ เกิดข้นึ ภายในออวลุ ของรังไข่
จะได้ไซโกตและเอนโดสเปิรม์ ทงั้ ไซโกตและเอนโดสเปิรม์ จะจรญิ เตบิ โตและพัฒนาอยภู่ ายในเมล็ด
โครงสร้างภายในเมล็ดพืช
เมลด็ ( Seed ) หมายถงึ ออวลุ ซึ่งเจรญิ เต็มทแ่ี ลว้ ภายหลังการปฏิสนธเิ มลด็ แต่ละชนิดจะมีรปู ร่าง
ลักษณะ ขนาด แตกต่างกันไป แต่จะมีสว่ นประกอบหลักเหมอื นกนั คอื เปลือกหมุ้ เมล็ดเอ็มบรโิ อ และ เอนโด
สเปิร์ม
122
แบบฝึกหัด
คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นเลอื กคำตอบทถ่ี กู ที่สดุ เพียงคำตอบเดยี ว
1. สว่ นใดของพืชที่เจรญิ ไปเป็นเมลด็ หลังจากไดร้ บั การปฏสิ นธแิ ล้ว
ก. ฐานรองดอก
ข. ออวุล
ค. เซลล์ไข่
ง. รังไข่
2. ข้อใด ไม่ใช่ ข้อดขี องการสืบพนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ
ก. ต้นใหมท่ ่ีเกดิ ข้นึ มคี ณุ สมบัติเหมือนต้นเดิมทกุ ประการ
ข. มีระบบรากแกว้ ทีแ่ ข็งแรง และมอี ายุยืน
ค. สามารถขยายพันธุไ์ ด้เป็นจำนวนมากในครงั้ เดยี ว
ง. สามารถผลิตลูกผสมซ่ึงรวมลกั ษณะทด่ี ขี องพืช 2 ต้นไว้ดว้ ยกนั ได้
3. ขอ้ ใดกลา่ วถึง “กระบวนการปฏิสนธิ” ในพืชได้อยา่ งถกู ตอ้ งท่ีสดุ
ก. การทล่ี ะอองเรณจู ากเพศผตู้ กลงบนยอดเกสรตวั เมีย
ข. การที่ละอองเรณูงอกหลอดยาวลงมาตามกา้ นเกสรเพศเมยี
ค. การผสมกนั ระหวา่ งเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศผกู้ ับเซลล์สืบพนั ธุ์เพศเมยี
ง. การท่ีรังไข่เจริญไปเป็นผลท่สี มบรู ณ์
4. ขอ้ ใดเป็นลักษณะเด่นของการสบื พนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศ
ก. สามารถใหก้ ำเนดิ ตน้ ใหมไ่ ด้คราวละมากๆ
ข. ต้นใหมท่ ่ีเกิดขนึ้ มคี วามตา้ นทานโรคดกี วา่
ค. มีลกั ษณะเหมอื นต้นเดิม
ง. ตน้ ใหม่ที่ได้จะให้ผลผลิตมากข้ึนกว่าต้นเดิม
5. หากนกั เรยี นต้องการลักษณะทีด่ ีของพืช 2 ตน้ ไวด้ ว้ ยกนั นักเรยี นควรเลอื กใชว้ ิธีการขยายพนั ธ์แุ บบใด
ก. ตอนก่งิ ข. ติดตา
ค. ปกั ชำ ง. เพาะเมล็ด
6. ข้อใดอธิบายความหมายของ “การถ่ายละอองเรณู” ได้ถกู ต้องทส่ี ุด
ก. ละอองเรณูกระจายออกจากอบั ละอองเรณู
ข. ละอองเรณตู ดิ ไปกับขาแมลง
123
ค. ละอองเรณูลอยไปสู่ดอกของพืชชนดิ อื่น
ง. ละอองเรณูตกลงบนยอดเกสรตวั เมยี
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น
เรอื่ ง การสืบพนั ธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของ
พืช
1. ข
2. ก
3. ค
4. ค
5. ค
6. ง
124
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 10
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 การดำรงชีวิตของพชื เรื่อง การสืบพนั ธแุ์ บบไม่อาศัยเพศ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รหสั วิชา ว 21101 รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ 1 ชั้น ม.1 เวลาเรียน 3 ช่ัวโมง
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ครผู สู้ อน นายดิเรกฤทธ์ิ ยเุ หล็ก ตำแหนง่ ครู คศ.1
ใชส้ อนวนั ....................... ที.่ ........... เดือน.................................... พ.ศ. .........................
*************************************
1. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวช้วี ัด
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสงิ่ มีชีวติ หนว่ ยพื้นฐานของสง่ิ มีชีวิตการลำเลยี งสารผา่ นเซลลค์ วามสัมพันธข์ อง
โครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่างๆของสัตว์และมนุษยท์ ี่ทำงานสัมพนั ธ์กนั ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ที่
ของอวัยวะต่างๆของพืชทที่ ำงานสัมพนั ธก์ นั รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 1.2 ม.1/11 อธิบายการสบื พนั ธ์ุแบบอาศยั เพศและไม่อาศัยเพศของพืชดอก
ว 1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะโครงสรา้ งของดอกที่มสี ่วนทำให้เกดิ การถา่ ยเรณูรวมท้ังบรรยายการ
ปฏสิ นธิของพชื ดอกการเกิดผลและเมล็ดการกระจายเมล็ดและการงอกของเมล็ด
ว 1.2 ม.1/13 ตระหนกั ถงึ ความสำคัญของสตั วท์ ี่ช่วยในการถา่ ยเรณูของพืชดอกโดยการไม่ทำลาย
ชีวิตของสตั ว์ที่ช่วยในการถา่ ยเรณู
2. สาระสำคัญ
การสืบพนั ธแุ์ บบไม่อาศยั เพศ เปน็ การสบื พันธุ์โดยไม่ใช้เซลล์สืบพันธ์ุ แต่จะใช้ สว่ น
ตา่ ง ๆ ของพืช ได้แก่ ลำตน้ ใบ ราก ในการสบื พนั ธ์เุ ราสามารถขยายพันธุ์พืชได้จากการขยายพนั ธ์ุแบบอาศัย
เพศ ไดแ้ ก่ การเพาะเมล็ด และการขยายพันธุแ์ บบไมอ่ าศัยเพศ ได้แก่ การตอน การปักชำ การติดตา การตอ่
ก่งิ การทาบก่ิง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
อธบิ ายกระบวนการสืบพันธุแ์ บบไมอ่ าศัยเพศของพชื ได้
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
ทกั ษะการจำแนกประเภท
125
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
รอบคอบ ความรับผดิ ชอบ ความซือ่ สัตย์
4. สาระการเรยี นรู้
การสืบพันธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศของพืช
5. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ช่ัวโมงที่ 1
ขน้ั สร้างความสนใจ
ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเก่ยี วกับการขยายพนั ธุ์พืชด้วยวธิ กี ารตา่ ง ๆ โดยใช้คำถาม
ดังนี้
- เราสามารถขยายพนั ธุ์พชื โดยวธิ ีการใดไดบ้ ้าง
- การปลกู พืชดว้ ยเมลด็ เป็นการสืบพนั ธแ์ุ บบใด
- การติดตา การตอน การทาบกง่ิ เป็นการสบื พนั ธุ์แบบใด
ขัน้ สำรวจและคน้ หา
1.ใหน้ กั เรียนดูวีดีทศั นก์ ารสืบพนั ธ์แบบไมอ่ าศยั เพศของพืช
2.แบ่งนักเรยี นออกเป้นกลุม่ ๆ ละ 4-5 คน ให้นกั เรียนสืบค้นข้อมลู เร่ืองการสบื พันธุ์
ของพชื จากส่อื ส่งิ พิมพ์ และเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ ทางอนิ เทอร์เนต็ ทเ่ี กย่ี วข้องแล้วรวบรวมขอ้ มลู
ชวั่ โมงที่ 2
ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป
1. ให้นักเรยี นนำเสนอผลการสืบค้นขอ้ มูล
2. นกั เรียนและครรู ่วมกันอภิปรายเพอ่ื นำไปสู่ข้อสรุป ตามประเดน็ ต่อไปน้ี
- การสบื พันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศหมายถึงอะไร ได้แก่วิธีใดบา้ ง
- ข้อดี – ข้อเสยี ของการสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศของพชื มอี ะไรบา้ ง
ช่ัวโมงที่ 3
ข้ันขยายความรู้
1.ใหน้ ักเรยี นเปรียบเทยี บการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศและไม่อาศยั เพศของพืชแล้วนำเสนอ
หนา้ ชั้นเรียน
2. ครใู ห้รายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและไมอ่ าศัยเพศของพืช
126
ขนั้ ประเมิน
ใหน้ กั เรยี นทำแบบฝกึ หัดแลว้ ร่วมกนั เฉลยคำตอบ
6. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
1.สอ่ื สงิ่ พมิ พ์ และเว็บไซต์ต่าง ๆ ทางอนิ เทอร์เนต็ ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
2. หอ้ งสมดุ
3. ใบความรู้ เรื่อง การสบื พันธ์แบบไม่อาศยั เพศของพชื
7. การวัดและประเมินผล
สงิ่ ท่ตี ้องการประเมิน วิธกี ารวดั ผล เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ เกณฑก์ ารผ่าน
ในการวดั ผล การประเมนิ ผล
ความรู้
อธบิ ายกระบวนการ การตรวจผลงาน แบบประเมนิ การตรวจ ไดค้ ะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
ผลงาน 60 ขึ้นไป
สืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศ
ของพืชได้
ทักษะ
กระบวนการสืบเสาะ - การนำเสนอผลงาน - แบบประเมนิ การ ได้คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ
นำเสนอผลงาน 60 ข้ึนไป
หาความรู้ - แบบประเมินพฤติกรรม
การทำงานกลมุ่
- สงั เกตพฤตกิ รรมการ
ทำงานกลมุ่
คณุ ลักษณะอันพงึ
ประสงค์
ความสนใจใฝ่รู้ ความ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมินพฤตกิ รรม ไดค้ ะแนนเฉล่ยี 2 (ด)ี
ม่งุ มั่น อดทน รายบคุ คล รายบุคคล ขึน้ ไป
8. บนั ทึกหลงั การจดั การเรยี นรู้ 127
8.1 ผลการจดั การเรียนรู้
ผเู้ รียนทผี่ ่านตัวช้วี ัด/ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ ร้อยละ.................
ผ้เู รยี นทีไ่ ม่ผ่านตวั ช้วี ัด/ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.................
เลขท่ีของนักเรียนท่ีสอบไมผ่ า่ นตัวชีว้ ดั ..................................................................................................
............................................................................................................................................................................
สาเหตุทีไ่ ม่ผา่ น .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางแก้ปัญหา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผ้เู รียนท่ีมีความสามารถพเิ ศษ ไดแ้ ก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางการพฒั นา/ส่งเสรมิ ..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผูเ้ รยี นได้รบั ความรู้ (K) ในเร่อื ง ............................................................................................................
ผเู้ รยี นเกดิ ทกั ษะกระบวนการ (P) ในเรื่อง............................................................................................
ผเู้ รยี นมคี ณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม (A) ในเร่อื ง.................................................................................
8.2 ปญั หาอปุ สรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
8.3 ขอ้ เสนอแนะและแนวทางแกป้ ัญหา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .......................................................ครูผู้สอน
(นายดเิ รกฤทธิ์ ยเุ หลก็ )
ตำแหน่ง ครู คศ.1
วนั ที.่ ...........เดอื น..........................พ.ศ. ................
128
9. ความคิดเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศึกษา/ผู้ท่ไี ด้รับมอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ......................................หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
(นางสาวพัสราภรณ์ พูลแจง้ )
วันท่.ี ...........เดอื น..........................พ.ศ. ................
รับทราบผลการจัดการเรียนรู้
ลงชื่อ....................................................... ลงชื่อ......................................................
(...................................................) (นายวริ ัชต์ จำปาทอง)
ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการสถานศึกษา ฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ ตำแหนง่ ผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา
วนั ที่............เดอื น..........................พ.ศ. ........... วนั ที.่ ...........เดือน..........................พ.ศ. ..........
129
ใบความรู้
เรอ่ื ง การสืบพันธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศของพืช
การสบื พนั ธแุ์ บบไมต่ อ้ งอาศยั เพศ คือการสืบพันธุ์ทีไ่ ม่อาศัยเซลลส์ ืบพันธุ์ หรอื ไมต่ อ้ งอาศยั การ
สรา้ งเมล็ดไดอ้ ีกด้วย เชน่ การใช้ส่วนตา่ ง ๆ ของพืช เช่นการแตกหนอ่ ของ ขงิ ขา่
ใชใ้ บ ตา เช่น ตน้ ตายใบเปน็ ใช้ราก เช่น มันเทศ เปน็ ต้น
มนุษยไ์ ดน้ ำความรูจ้ ากการสืบพันธโ์ุ ดยไมอ่ าศยั เพศของพืชต้นใหม่ท่ีมีลักษณะเหมือนต้นเดิม ไม่กลาย
พนั ธุ์รวมทั้งไห้ดอกและผลเร็วขึน้ แต่การขยายพนั ธุโ์ ดยวิธนี ้จี ะไมม่ ีรากแก้วทำใหร้ ะบบรากไม่แข็งแรง
130
วธิ กี ารขยายพนั ธพุ์ ืช
1.การปกั ชำ เป็นการขยายพันธพ์ุ ชื โดยการตดั สว่ นของพชื ออกจากต้นเดิมมาปักลงในดนิ หรอื
ทราย ทีมีความชน้ื สมควร แลว้ รดนำ้ ทุกวนั จนเกดิ รากแตกออกมาปริมาณมากเเละเเข็งแรงจงึ นำไปปลูกลง
ในดนิ
2. การตอนก่ิงคือ การทำใหก้ ่งิ หรอื ตน้ พชื เกดิ รากขณะติดอยู่กบั ตน้ แม่ จะทำใหไ้ ด้ตน้ พชื ใหม่ ที่มี
ลักษณะทางสายพันธ์ุ เหมอื นกับตน้ แม่
3. การทาบก่ิงคือ การนำตน้ พชื 2 ต้นเปน็ ต้นเดยี วกัน โดยสว่ นของต้นตอทีน่ ำมาทาบกง่ิ จะทำหน้าท่ี
เป็นระบบรากอาหารใหก้ ับต้นพันธด์ุ ี
4.การติดตาคือ การเช่ือมประสานสว่ นของตน้ พชื เข้าด้วยกัน เพอ่ื ให้เจรญิ เปน็ พชื ต้น เดียวกนั โดย
การนำแผน่ ตาจากกิ่งพันธุ์ดี ไปตดิ บนตน้ ตอ
131
5. การเสยี บยอดการเชอ่ื มประสานเนอื้ เย่อื ของต้นพืช 2 ต้นเขา้ ด้วยกนั เพือ่ ให้เจรญิ เติบโต เป็นตน้
เดียวกัน
โดยมขี ั้นตอนการปฏบิ ัติ ดงั น้ี
1. ตดั ยอดต้นตอใหส้ ูงจากพืน้ ดิน ประมาณ 10 เซนติเมตร แลว้ ผ่ากลางลำต้นของ ตน้ ตอให้ลกึ
ประมาณ 3 - 4 เซนติเมตร
2. เฉอื นยอดพนั ธุ์ดีเปน็ รูปลิ่มยาวประมาณ 3 - 4 เซนตเิ มตร
3. เสียบยอดพันธดุ์ ีลงในแผลของตน้ ตอ ใหร้ อยแผลตรงกนั แล้วใช้เชอื กมดั ดา้ นบน และล่างรอยแผล
ต้นตอใหแ้ นน่
4. คลุมต้นที่เสยี บยอดแลว้ ด้วยถุงพลาสติก หรอื นำไปเกบ็ ไว้ในโรงอบพลาสตกิ
5. ประมาณ 5 - 7 สัปดาห์ รอยแผลจะประสานกนั ดี และนำออกมาพกั ไวใ้ นโรง เรอื นเพ่อื รอการ
ปลูกตอ่ ไป
132
133
แบบฝกึ หัด
1. การสืบพนั ธ์แุ บบไมต่ ้องอาศัยเพศ คอื
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2. การสืบพนั ธุ์โดยไม่อาศยั เพศของพชื มีขอ้ ดอี ยา่ งไร
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
3. การสืบพันธุโ์ ดยไม่อาศัยเพศของพชื มีข้อเสียอย่างไร
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
134
เฉลยแบบฝึกหดั
1. การสืบพันธุแ์ บบไมต่ ้องอาศยั เพศ คอื การสืบพนั ธุ์ทไ่ี ม่อาศยั เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ
2. การสืบพนั ธโุ์ ดยไมอ่ าศัยเพศของพชื มีขอ้ ดีอยา่ งไร การสืบพันธทุ์ ไ่ี ม่อาศัยเซลล์สืบพนั ธุ์
3. การสืบพันธ์ุโดยไม่อาศัยเพศของพืชมีขอ้ เสียอย่างไร ไมม่ ีรากแก้วทำให้ระบบรากไม่แข็งแรง
135
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 11
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 การดำรงชีวิตของพชื เรื่อง การเจรญิ เตบิ โตและการดำรงชีวิตของพืช
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รหสั วชิ า ว 21101 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 1 ชน้ั ม.1 เวลาเรียน 3 ช่ัวโมง
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ครูผสู้ อน นายดเิ รกฤทธิ์ ยเุ หลก็ ตำแหนง่ ครู คศ.1
ใช้สอนวัน....................... ท.ี่ ........... เดือน.................................... พ.ศ. .........................
*************************************
1. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวดั
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่งิ มีชีวติ หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชวี ิตการลำเลยี งสารผ่านเซลล์ความสัมพันธ์
ของโครงสร้างและหน้าท่ขี องระบบต่างๆของสัตว์และมนษุ ย์ทท่ี ำงานสมั พนั ธ์กันความสมั พนั ธข์ องโครงสร้าง และ
หนา้ ท่ขี องอวยั วะตา่ งๆของพชื ท่ีทำงานสมั พันธ์กันรวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตวั ชวี้ ัด
ว 1.2 ม.1/14 อธิบายความสำคัญของธาตอุ าหารบางชนิดท่มี ีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตและการ
ดำรงชีวติ ของพืช
ว 1.2 ม.1/15 เลอื กใช้ปุ๋ยทีม่ ีธาตุอาหารเหมาะสมกับพชื ในสถานการณท์ ่ีกำหนด
2. สาระสำคัญ
ธาตุอาหารพืช เป็นสิง่ จำเปน็ สำหรับการเจรญิ เติบโตของพืช โดยแบ่งเปน็ 2 กลุ่ม คือ 1. กลมุ่ ธาตุอาหาร
หลกั (primary nutrient elements) 3 คอื ธาตอุ าหารพชื ที่ตอ้ งการในปริมาณมาก 3 ธาตุ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส และโพแทสเซยี ม 2. กลุ่มธาตอุ าหารรอง (secondary nutrient elements) คอื ธาตุอาหารทพ่ี ืช
ต้องการในปรมิ าณน้อยกว่ากว่ากลมุ่ แรก 3 ธาตุ ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม แมกนีเซยี ม และกำมะถนั
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
อธิบายเกี่ยวกบั เทคโนโลยีชีวภาพที่ใชใ้ นการขยายพันธุ์ ปรบั ปรงุ พนั ธุ์ เพม่ิ ผลผลิตของพชื ได้
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
ทกั ษะการจำแนกประเภท
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
รอบคอบ ความรบั ผิดชอบ ความซอื่ สัตย์
136
4. สาระการเรยี นรู้
ธาตุอาหารพืช
1. กลมุ่ ธาตอุ าหารหลัก (primary nutrient elements)
2. กล่มุ ธาตอุ าหารรอง (secondary nutrient elements)
5. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชว่ั โมงท่ี 1
ขัน้ สรา้ งความสนใจ
1. ให้นักเรียนศกึ ษาภาพทีก่ ำหนดให้
137
2. ครสู นทนาซกั ถามนักเรียนในประเดน็ ต่อไปนี้
- พชื ในภาพใดเจรญิ เตบิ โต
- พืชในภาพใดท่ไี ดร้ บั ธาตอุ าหารที่อดุ มสมบรู ณ์
- ธาตุอาหารของพชื ได้แกอ่ ะไรบา้ ง
3. แบง่ นักเรียนออกเป็นกลมุ่ ตามความสมัครใจกลุ่มละ 5-6 คน
ข้ันสำรวจและค้นหา
1.แบ่งนกั เรยี นออกเป็น 2 กลุ่มเท่า ๆ กนั กลุ่มที่ 1 ศกึ ษาและสืบค้นขอ้ มูล เรอ่ื ง
ธาตอุ าหารหลกั กลุ่มท่ี 2 ศึกษาและสืบค้นข้อมลู เรื่อง ธาตอุ าหารรอง
2.เมือ่ ไดห้ วั ขอ้ แล้วแตล่ ะกลุม่ แบ่งเน้ือหาทจ่ี ะศกึ ษาออกเป็นหวั ขอ้ ย่อย ๆ ให้สมาชิกในกลุ่ม
ชว่ ยกนั คน้ ควา้ แลว้ นำขอ้ มูลทไ่ี ด้มาเรียบเรียงเปน็ รายงานกลุ่ม
3. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั อภปิ รายจากการสืบค้นขอ้ มลู จนเป็นที่เขา้ ใจของทุกคน
ในกลมุ่
ชวั่ โมงท่ี 2
ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรปุ
1.ให้นักเรยี นนำขอ้ มลู ท่ีได้จากการสบื ค้นมาอภิปรายร่วมกนั โดยช่วยกันคดิ รปู แบบ
ในการนำเสนอจากนั้นใหแ้ ต่ละกล่มุ ออกมานำเสนอในชัน้ เรยี นเพ่อื เป็นการแลกเปลีย่ นความรู้ระหว่าง
กัน โดยมีการอภปิ รายซกั ถามในระหวา่ งการนำเสนอ
2. หลงั จากอภปิ รายแลว้ ใหน้ ักเรียนดูวดิ ที ศั น์ เรอื่ งธาตุอาหารของพืช
3. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั สรุปไดว้ ่าธาตอุ าหารพชื เป็นสงิ่ จำเป็นสำหรบั การเจริญเติบโตของพชื
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คอื 1. กลุ่มธาตอุ าหารหลัก (primary nutrient elements) 3 คือ ธาตุอาหารพชื ท่ี
ตอ้ งการในปริมาณมาก 3 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 2. กลุ่มธาตุอาหาร
รอง (secondary nutrient elements) คือ ธาตุอาหารท่ีพืชตอ้ งการในปริมาณนอ้ ยกว่ากว่ากลุ่มแรก 3
ธาตุ ได้แก่ แคลเซยี ม แมกนีเซยี ม และกำมะถนั
ชั่วโมงท่ี 3
ขั้นขยายความรู้
1. ครูใหร้ ายละเอียดเพิม่ เตมิ เกี่ยวกับธาตุอาหารหลกั โดยใช้แผนภาพประกอบการอธบิ าย
138
2. ครแู ละนักเรยี นศกึ ษาภาพทก่ี ำหนดให้แล้วร่วมกันอภปิ รายในประเด็นทนี่ ่าสนใจ เช่น
139
- พืชในภาพขาดธาตอุ าหารชนิดใด สงั เกตไดอ้ ยา่ งไร
- ใส่ปยุ๋ ชนดิ ใด
ข้นั ประเมิน
ใหน้ ักเรยี นทำแบบฝึกหัดทา้ ยบท
6. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
1.ส่อื ส่ิงพิมพ์ และเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ ทางอนิ เทอร์เน็ตท่เี ก่ียวขอ้ ง
2.ใบความรู้ เรอ่ื ง ธาตุอาหารของพชื
3. แผนภาพ
3.หอ้ งสมดุ
140
7. การวดั และประเมนิ ผล
ส่ิงท่ีตอ้ งการประเมิน วธิ กี ารวดั ผล เครือ่ งมือทใี่ ช้ เกณฑก์ ารผ่าน
ในการวดั ผล การประเมนิ ผล
ความรู้
อธิบายเกย่ี วกบั การตรวจผลงาน แบบประเมนิ การตรวจ ได้คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
ผลงาน 60 ขึ้นไป
เทคโนโลยีชวี ภาพทีใ่ ช้ใน
การขยายพันธุ์ ปรบั ปรงุ
พนั ธ์ุ เพม่ิ ผลผลติ ของพชื
ได้
ทักษะ
กระบวนการสืบเสาะ - การนำเสนอผลงาน - แบบประเมนิ การ ได้คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ
นำเสนอผลงาน 60 ข้ึนไป
หาความรู้ - แบบประเมินพฤตกิ รรม
การทำงานกล่มุ
- สงั เกตพฤติกรรมการ
ทำงานกลมุ่
คณุ ลักษณะอนั พงึ
ประสงค์
ความสนใจใฝ่รู้ ความ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ พฤตกิ รรม ไดค้ ะแนนเฉล่ยี 2 (ด)ี
มงุ่ มัน่ อดทน รายบุคคล รายบุคคล ข้นึ ไป
8. บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ 141
8.1 ผลการจดั การเรยี นรู้
ผเู้ รยี นทผี่ ่านตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ จำนวน...............คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ.................
ผู้เรยี นที่ไม่ผา่ นตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ จำนวน...............คน คิดเป็นรอ้ ยละ.................
เลขท่ีของนักเรยี นที่สอบไมผ่ า่ นตัวชวี้ ัด..................................................................................................
............................................................................................................................................................................
สาเหตุท่ไี ม่ผา่ น .....................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางแกป้ ัญหา..................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผู้เรียนท่ีมีความสามารถพิเศษ ได้แก่ ....................................................................................................
............................................................................................................................................................................
แนวทางการพัฒนา/สง่ เสรมิ ..................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ผ้เู รยี นได้รับความรู้ (K) ในเรอ่ื ง ............................................................................................................
ผเู้ รียนเกดิ ทักษะกระบวนการ (P) ในเร่อื ง............................................................................................
ผู้เรียนมีคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม (A) ในเร่ือง.................................................................................
8.2 ปัญหาอุปสรรค
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
8.3 ขอ้ เสนอแนะและแนวทางแกป้ ญั หา
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................ครูผู้สอน
(นายดิเรกฤทธิ์ ยเุ หล็ก)
ตำแหนง่ ครู คศ.1
วนั ท.่ี ...........เดอื น..........................พ.ศ. ................
142
9. ความคิดเหน็ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ......................................หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
(นางสาวพสั ราภรณ์ พลู แจง้ )
วันท.่ี ...........เดอื น..........................พ.ศ. ................
รับทราบผลการจดั การเรียนรู้
ลงช่อื ....................................................... ลงชือ่ ......................................................
(...................................................) (นายวิรชั ต์ จำปาทอง)
ตำแหน่ง รองผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา ฝา่ ยบริหารวชิ าการ ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยการสถานศกึ ษา
วันท.ี่ ...........เดอื น..........................พ.ศ. ........... วนั ท.่ี ...........เดือน..........................พ.ศ. ..........
143
ใบความรู้
ธาตุอาหารพชื
ธาตุอาหารพืช เป็นสิ่งจำเป็นสำหรบั การเจริญเติบโตของพืช ประกอบดว้ ย 17 ธาตุ ไดแ้ ก่ คารบ์ อน,
ไฮโดรเจน, ออกซเิ จน, ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โปแตสเซียม, แคลเซียม, แมกนเี ซยี ม, กำมะถนั , เหล็ก,
แมงกานสี , สังกะสี, ทองแดง, โบรอน, โมลิบดีนัม, คลอรีน และนิเกิล โดยแบง่ เป็น 2 กลมุ่ คือ
1. กลมุ่ ธาตอุ าหารหลัก (primary nutrient elements) 3 คือ ธาตอุ าหารพชื ทตี่ ้องการในปริมาณมาก 3
ธาตุ ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
2. กลุ่มธาตุอาหารรอง (secondary nutrient elements) คือ ธาตอุ าหารท่ีพืชตอ้ งการในปรมิ าณน้อยกวา่
กวา่ กลมุ่ แรก 3 ธาตุ ไดแ้ ก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน
144
ธาตุอาหารหลกั
1. ไนโตรเจน
ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบของพชื ประมาณรอ้ ยละ 18 และปรมิ าณไนโตรเจนกว่ารอ้ ยละ 80-85 ของ
ไนโตรเจนทั้งหมดทีพ่ บในพชื จะเปน็ องค์ประกอบของโปรตีน รอ้ ยละ 10 เปน็ องค์ประกอบของกรดนิวคลีอกิ
และรอ้ ยละ 5 เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโนทล่ี ะลายได้ โดยทัว่ ไป ธาตไุ นโตรเจนในดนิ มักขาดมากกวา่
ธาตุอืน่ โดยพืชนำไนโตรเจนท่ีมาใช้ผ่านการดูดซึมจากรากในดินในรปู ของเกลอื ไนเตรท (NO3-) และเกลอื
แอมโมเนยี ม (NH4+) ธาตุไนโตรเจนในดินมกั สูญเสยี ได้ง่ายจากการชะลา้ งในรปู ของเกลอื ไนเตรท หรอื เกดิ
การระเหยของแอมโมเนีย ดงั นัน้ หากตอ้ งการใหไ้ นโตรเจนในดนิ ทเ่ี พยี งจงึ ตอ้ งใสธ่ าตไุ นโตรเจนลงไปในดินใน
รปู ของปยุ๋ นอกจากนี้ พืชยังไดร้ ับไนโตรเจนจากการสลายตัวของอนิ ทรียวตั ถุ และการแปรสภาพของ
สารอนิ ทรีย์โดยจุลนิ ทรยี ใ์ นดิน รวมถงึ การได้รบั จากพืชบางชนิด เช่น พืชตระกลู ถ่วั ทีม่ ีไรโซเบียมช่วยตรึง
ไนโตรเจนจากอากาศ ความต้องการธาตุไนโตรเจนของพืชขนึ้ กบั หลายปัจจัย อาทิ ชนิดของพชื อายุของพชื
และฤดูกาล
หน้าที่ และความสำคัญต่อพชื
1. ทำใหพ้ ืชเจรญิ เติบโต และต้งั ตวั ได้เร็ว โดยเฉพาะในระยะแรกของการเจริญเติบโต
2. ส่งเสรมิ การเจรญิ เตบิ โตของใบ และลำต้น ทำให้ลำตน้ และใบมีสีเขียวเขม้
3. สง่ เสริมการสรา้ งโปรตนี ให้แกพ่ ืช
4. ควบคมุ การออกดอก และตดิ ผลของพืช
5. เพิ่มผลผลิตใหส้ งู ขึน้ โดยเฉพาะพชื ที่ให้ใบ และลำต้น
145
อาการขาดธาตไุ นโตรเจน
เม่ือพืชขาดไนโตรเจน การเจริญเตบิ โตจะชะงกั ใบมีสีเหลอื งหรือเหลืองปนส้ม เนอ่ื งจากขาดคลอโรฟิลล์ หาก
เป็นมากใบจะมสี นี ำ้ ตาล โดยจะเร่มิ ทีใ่ บแกส่ ่วนล่างกอ่ น สว่ นใบอ่อนในระยะแรกจะยงั มธี าตุไนโตรเจนให้ใช้
อยู่จากได้รบั จากใบแกท่ ี่อย่ดู า้ นล่าง หากไนโตรเจนมีอยู่นอ้ ยมาก ใบดา้ นลา่ งจะเหลือง หลดุ รว่ ง และลกุ ลาม
ไปยงั ใบออ่ นทอ่ี ยดู่ า้ นบน ทำให้ใบออ่ นมีสเี ขียวซดี และเหลือง การเจรญิ เตบิ โตของยอดหยุดชะงกั ลำต้นผอม
สูง ลำต้นแคระแกรน็ ใบ กิ่งกา้ นลบี เล็ก และมีจำนวนน้อย การแตกกงิ่ ก้าน และการแตกกอของธัญพืชมนี ้อย
ในพืชบางชนดิ รากของพืชยดื ยาวผิดปกติ และมีการแตกแขนงเพียงเล็กน้อย พชื มกี ารสะสมแปง้ หรือน้ำตาล
มากกวา่ ปกติ การสร้างเซลลูโลสมากขึน้ ทำใหเ้ น้ือเย่ือพืชแขง็ กระดา้ ง มีความเหนยี ว ไมน่ ่ารับประทานพชื แต่
ละชนิดจะแสดงอาการแตกต่างกัน เช่น ข้าวโพดที่ขาดไนโตรเจน ใบจะมีสีเหลืองทป่ี ลายใบ แลว้ ลกุ ลามเข้ามา
สเู่ ส้นกลางใบ ซึง่ จะมองเหน็ รปู รา่ งคลา้ ยตวั วี
2. ฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสในดนิ มักมีปริมาณท่ีไม่เพียงพอกับความต้องการของพืชเชน่ กัน เนอ่ื งจากเป็นธาตุทีถ่ กู ตรงึ หรอื
เปลี่ยนเปน็ สารประกอบได้งา่ ย สารเหล่านีม้ ักละลายนำ้ ไดย้ าก ทำให้ความเป็นประโยชนข์ องฟอสฟอรสั ต่อพืช
ลดลง ฟอสฟอรสั ที่พบในพชื จะในรปู ของฟอสเฟตไอออนทีพ่ บมากในทอ่ ลำเลยี งนำ้ เมล็ด ผล และในเซลล์
พชื โดยทำหนา้ สำคญั เกยี่ วกบั การถ่ายทอดพลังงาน เป็นวตั ถดุ บิ ในกระบวนการสร้างสารต่างๆ และควบคุม
ระดับความเปน็ กรด-ดา่ ง ของกระบวนการลำเลยี งนำ้ ในเซลล์ การนำฟอสฟอรสั จากดนิ มาใช้ พืชจะดูด
ฟอสฟอรสั ในรปู อนมุ ลู ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (H2PO4-) และไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-)
146
ปริมาณสารท้งั สองชนดิ จะมากหรือน้อยข้ึนกบั ค่าความเป็นกรด-ด่างของดนิ ดินท่มี ีสภาพความเปน็ กรด
ฟอสฟอรสั จะอยู่ในรูปไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน(H2PO4-) หากดินมีสภาพเปน็ ดา่ ง ฟอสฟอรสั จะอยู่ในรูป
ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน (HPO42-) แต่สารเหล่าน้ีในดนิ มักถกู ยดึ ดว้ ยอนุภาคดินเหนียว ทำใหพ้ ืชไมส่ ามารถ
นำไปใชไ้ ด้ รวมถงึ รวมตวั กบั ธาตอุ ื่นในดนิ ทำใหพ้ ืชไม่สามารถนำมาใช้ประโยชนไ์ ด้ เช่น ในสภาพดินทเี่ ปน็ เบส
และเป็นกรดจดั ที่มแี รธ่ าตุ และสารประกอบอ่ืนมากฟอสเฟตจะรวมตัวกบั ไอออนประจบุ วก และลบของธาตุ
และสารประกอบเหล่าน้ัน กลายเปน็ เกลือท่ีไมล่ ะลายน้ำทำให้พชื นำไปใชไ้ ดน้ ้อย ดงั น้นั ในสภาพดินท่เี ป็น
กลาง พชื จะนำฟอสเฟตไอออนมาใช้ประโยชน์ได้ดีกวา่ โดยทั่วไปพืชจะต้องการฟอสฟอรสั ประมาณ 0.3-0.5
เปอรเ์ ซน็ ต์โดยนำ้ หนกั แหง้ เพื่อใหก้ ารเจริญเตบิ โตทางใบเปน็ ปกติ แตห่ ากได้รบั ในปริมาณสงู กวา่ 1
เปอรเ์ ซน็ ตโ์ ดยนำ้ หนกั แหง้ จะเกดิ ความเปน็ พิษตอ่ พืช
หนา้ ที่ และความสำคญั ตอ่ พชื
1. ส่งเสริมการเจรญิ เติบโตของราก ทัง้ รากแก้ว ราฝอย และรากแขนง โดยเฉพาะในระยะแรกของการ
เจรญิ เตบิ โต
2. ช่วยเร่งให้พืชแก่เร็ว ชว่ ยการออกดอก การติดผล และการสร้างเมลด็
3. ช่วยให้รากดดู โปแตสเซยี มจากดนิ มาใชเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ดม้ ากขน้ึ
4. ช่วยเพิ่มความตา้ นทานตอ่ โรคบางชนดิ ทำให้ผลผลิตมคี ุณภาพดี
5. ชว่ ยใหล้ ำต้นแขง็ แรง ไม่ล้มง่าย
6. ลดผลกระทบทเี่ กิดจากพชื ไดร้ ับไนโตรเจนมากเกินไป
อาการขาดธาตุฟอสฟอรัส
พชื ทขี่ าดธาตุฟอสฟอรสั จะมอี ตั ราการหายใจลดลง พืชสะสมคารโ์ บไฮเดรตมากขึน้ ใบพืชมีสีเขยี วเข้ม มกี าร
สะสมรงควัตถุแอนโทไซยานินที่ลำตน้ และก้านใบ ทำให้ก้านใบมสี ีชมพู อาการจะเร่ิมท่ีใบแกก่ ่อน ใบมีขนาด
เลก็ จำนวนใบนอ้ ย ใบแห้งเปน็ จุดๆ การเจริญเติบโตของพืชหยดุ ชะงกั ลำต้นแคระแกร็น รากเปล่ยี นเปน็ สี
เหลืองหรอื นำ้ ตาล การขาดธาตฟุ อสฟอรัสยงั มีผลต่อการออกดอกชา้ จำนวนดอก ผล และเมล็ดน้อยลง
ผลผลติ ต่ำจากใบพชื ที่เส่ือม และรว่ งหลน่ เรว็ กว่าปกติ แต่หากได้รับฟอสฟอรสั มากพชื จะแก่เรว็ การขาด
ฟอสฟอรัสเปน็ สาเหตหุ น่ึงท่ีทำให้รากพชื ขยายยาว แมล้ ำต้นเหนือดนิ หยุดการเจรญิ เตบิ โตแลว้ เพราะมีการ
กระจายคาร์โบไฮเดรตลงมาส่รู ากพชื มากขึน้ เนือ่ งจากพชื มีความพยายามทจ่ี ะรักษาสภาพของราก เพอ่ื ทำ
หนา้ ทดี่ ูดหาอาหารท่ีขาดแคลนมาเพิม่ เติม
อาการขาดฟอสฟอรัสของแต่ละชนดิ พืชจะแตกต่างกนั ได้แก่
– ข้าว ข้าวโพด จะมลี ำตน้ บิดเกลียว เนอื้ ไม้แข็ง แต่เปราะและหักง่าย
– ขา้ วโพด ใบ และลำตน้ จะมีสมี ่วง
– สบั ปะรด ใบจะมีสเี ขยี วเข้ม และเปล่ยี นเปน็ สมี ่วง
– ล้นิ จจ่ี ะแสดงอาการที่ปลายใบ และขอบใบแก่ตายใบมว้ น แห้ง และร่วงหล่น
– มะเขอื เทศใบจะมสี ีมว่ งบริเวณใต้ใบ โดยเฉพาะทีเ่ สน้ ใบ และแผ่นใบ ใบมีขนาดเลก็ ใบย่อยมว้ นลง
147
และจะตายกอ่ นอายุ
– พรกิ จะมีขนาดเล็กแคบ และห่อ ใบแก่มีสเี หลือง และขอบใบมีสีชมพู ผลจะมขี นาดเล็ก และผิด
รปู ร่าง
– แครอท จะมเี น้อื ของหัวแขง็ กระดา้ ง เพราะมกี ารสะสมสารแห้งมากขน้ึ
– ส้ม ปรมิ าณใบน้อย ผลมีกรดมาก และร่วงกอ่ นแก่
3. โปแตสเซียม
โดยท่ัวไป โพแทสเซียมกระจายอยู่ดินชัน้ บน และดินช้ันล่างในปริมาณทไ่ี มแ่ ตกต่างกนั โพแทสเซยี ม
เป็นธาตุทจี่ ำเป็นสำหรับพืชเหมอื นกับธาตฟุ อสฟอรสั และธาตุไนโตรเจน พชื จะดูดโพแทสเซยี มจากดินในรูป
โพแทสเซียมไอออน โพแทสเซยี มเป็นธาตุทีล่ ะลายนำ้ ไดด้ ี และพบมากในดินท่วั ไป แต่สว่ นใหญ่จะรวมตัวกบั
ธาตอุ นื่ หรอื ถูกยึดในช้นั ดนิ เหนียว ทำใหพ้ ชื นำไปใช้ไมไ่ ด้ การเพ่มิ ปรมิ าณโพแทสเซยี มในดินจะเกิดจากการ
สลายตัวของหนิ เป็นดนิ หรือปฏิกิริยาของจุลนิ ทรยี ์ในดินทพี่ ชื สามารถนำไปใช้ได้ โพแทสเซยี มที่เปน็
องค์ประกอบของพืช พบมากในส่วนยอดของตน้ ปลายราก ตาข้าง ใบออ่ น ในใจกลางลำต้น และในทอ่
ลำเลยี งอาหาร โดยทั่วไป ความตอ้ งการโพแทสเซียมของพชื อยใู่ นชว่ ง 2-5 เปอรเ์ ซ็นต์ โดยนำ้ หนกั
แห้ง บทบาทสำคัญของโพแทสเซยี ม คือ ช่วยกระต้นุ การทำงานของเอนไซม์ ช่วยในกระบวนการสรา้ งแป้ง
ชว่ ยในกระบวนการสังเคราะหแ์ สง ควบคมุ ศกั ย์ออสโมซสี ช่วยในการลำเลยี งสารอาหาร ชว่ ยรักษาสมดุล
ระหวา่ งกรด และเบส
หน้าที่ และความสำคญั ตอ่ พืช
1. สง่ เสรมิ การเจรญิ เตบิ โตของราก ทำให้รากดูดน้ำ และธาตุอาหารไดด้ ีขนึ้
2. จำเป็นตอ่ การสร้างเน้อื ผลไม้ การสร้างแปง้ ของผล และหัว จงึ นิยมให้ป๋ยุ โพแทสเซยี มมากในระยะ
เร่งดอก ผล และหวั
3. ช่วยให้พชื ต้านทานการเปลย่ี นแปลงปรมิ าณแสง อณุ ภูมหิ รือความช้นื
4. ชว่ ยให้พืชต้านทานต่อโรคตา่ งๆ
5. ช่วยเพม่ิ คุณภาพของพชื ผกั และผลไม้ ทำใหพ้ ืชมีสีสัน เพมิ่ ขนาด และเพ่ิมความหวาน
6. ชว่ ยปอ้ งกันผลกระทบจากทพี่ ชื ไดร้ บั ไนโตรเจน และฟอสฟอรสั มากเกนิ ไป
อาการขาดธาตุโพแทสเซยี ม
พืชทข่ี าดโพแทสเซียม จะทาใหโ้ พแทสเซียมท่สี ะสมในใบแก่ และเซลลอ์ ่ืนๆ เคล่ือนไปเล้ยี งเน้ือเยอื่ ที่กำลงั
เจรญิ ทำให้สว่ นดงั กล่าวมีอาการผดิ ปกติ เช่น ใบเหลืองเป็นแนว ซึง่ มกั เกดิ ขึ้นในใบแก่กอ่ น และใบแหง้ ตาย
เป็นจดุ ๆ โดยเฉพาะบริเวณขอบ และปลายใบ ใบม้วนงอ ลำต้นมีปล้องส้นั ยอดใบเปน็ จุดๆในพชื ใบเล้ียงคู่ ใบ
จะซีด และแหง้ ตายเป็นจุดๆ ส่วนพืชใบเลยี้ งเด่ียว เชน่ ใบถวั่ ข้าวโพด ฝา้ ย และธัญพืช ปลายใบ และขอบใบ
จะตายกอ่ น และลามไปส่วนโคนใบ
– ในสบั ปะรดจ ะมีอาการใบเป็นจดุ สนี ้ำตาล ปลายใบเหีย่ ว ใบมีขนาดเลก็ ส้นั แคบกว่าปกติ
– ล้ินจ่ี จะมอี าการใบเหลอื ง ปลายใบ และขอบใบตาย ใบรว่ ง ติดผลนอ้ ย
148
– มะเขือเทศ จะมอี าการของใบท่แี ก่เตม็ ที่มีสีเหลือง และไหม้ และลุกลามเข้าสู่เส้นใบ การ
เจรญิ เตบิ โตช้า ลำตน้ ออ่ นแอ เชื้อจุลนิ ทรยี เ์ ข้าทำลายรากไดง้ ่าย ทำใหล้ ำตน้ โค้งงอ และหกั ล้มไดง้ า่ ย
นอกจากน้ี พบว่า พืชทไ่ี ด้รบั โพแทสเซียมไม่เพยี งพอ จะทำใหก้ ระบวนการสังเคราะห์แสงลดลง การควบคมุ
การปดิ -เปดิ ปากใบผิดปกติ ปากใบเปิดเล็กน้อย ทำให้มีผลต่อกระบวนการสร้าง และเคลอ่ื นย้ายนำ้ ตาลลดลง
มีผลต่อคุณภาพของสี ขนาด นำ้ หนัก ความหวาน และคุณภาพของผลหรอื เมล็ด
ธาตอุ าหารรอง
1. แคลเซียม
ปริมาณแคลเซียมที่พบในพชื จะพบมากบริเวณส่วนท่กี ำลงั เติบโต เชน่ ยอด และปลายราก แคลเซียม
เป็นธาตุทชี่ ว่ ยเสรมิ การนำธาตไุ นโตรเจนจากดินไปใช้ประโยชนใ์ ห้มากขน้ึ
2. กำมะถัน
กำมะถนั เปน็ ธาตุทีม่ ีความจำเป็นต่อการสร้างโปรตนี พืช เปน็ ธาตทุ ี่เปน็ องคป์ ระกอบของโปรตีน และ
วิตามนิ บางชนิด เช่น วิตามนิ บี 1 นอกจากนี้ ยงั มีผลทางออ้ มตอ่ การสร้างส่วนทเ่ี ป็นสเี ขียวของพืช ช่วยใน
กระบวนการหายใจ และการสงั เคราะห์อาหาร ชว่ ยเพม่ิ ปรมิ าณนำ้ มันในพืชบางชนิด เป็นองค์ประกอบของ
สารระเหยทมี่ ีกลนิ่ เฉพาะตวั เช่น หอม กระเทียม เปน็ ตน้
3. แมกนเี ซยี ม
แมกนเี ซียมเปน็ องคป์ ระกอบของสว่ นที่เป็นสีเขียว ทั้งใบ ลำต้น ผล และส่วนอนื่ ๆ มบี ทบาทสำคัญใน
การสร้างอาหาร และโปรตนี
จลุ ธาตุ 8 ธาตุ
1. เหล็ก
เหล็กเปน็ องคป์ ระกอบของโปรตีน และมีบทบาทในการสังเคราะห์อาหาร ช่วยกระต้นุ กระบวนการ
หายใจ และกระบวนการปรุงอาหารใหเ้ ป็นไปอย่างสมบูรณ์
2. ทองแดง
ทองแดงมีผลตอ่ พืชทางอ้อมตอ่ การสร้างสว่ นทเี่ ป็นสีเขียว ชว่ ยเพิม่ โมเลกุลคลอโรฟลิ ล์ และปอ้ งกัน
การทำลายส่วนสีเขียวซึง่ อาจเกิดจากการขาดธาตุไนโตรเจน ช่วยใหต้ น้ พชื แข็งแรง และอายยุ าวขนึ้ เป็น
ส่วนประกอบของนำ้ ยอ่ ยในพืช ชว่ ยในการสงั เคราะห์อาหารสำหรับการเจริญเตบิ โต และการติดดอกออกผล
3. สงั กะสี
สงั กะสีมีบทบาท และหน้าที่สำคญั ท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั ฮอรโ์ มนพชื พืชทขี่ าดสงั กะสจี ะทำให้ปรมิ าณ
ฮอร์โมนไอ-เอ-เอ (IAA) ที่ตายอดลดลง ทำใหต้ ายอด ข้อ และปลอ้ งไมข่ ยาย ใบออกซ้อนกัน นอกจากนีย้ งั ทำ
หน้าท่ีเกีย่ วขอ้ งกับน้ำยอ่ ยหลายชนดิ การสร้างสารอาหาร และสังเคราะหแ์ สง สงั กะสีมีผลทางอ้อมในการ
สรา้ งสว่ นสเี ขียว
149
4. แมงกานีส
แมงกานสี มผี ลตอ่ ใบ เน่อื งจากมีบทบาทในการสังเคราะห์แสง ชว่ ยกระต้นุ การทำงานของนำ้ ย่อย
และควบคมุ กิจกรรมของธาตุเหล็ก และไนโตรเจน
5. โบรอน
โบรอนทำหนา้ ทีช่ ว่ ยให้พืชดดู ธาตุแคลเซียม และไนโตรเจนได้มากข้ึน หากพืชต้องการแคลเซยี มมาก
ยอ่ มตอ้ งการโบรอนมากเชน่ กนั และยังชว่ ยให้พืชใชธ้ าตุโปแตสเซียมได้มากขึน้ นอกจากนี้ ยังมบี ทบาทในการ
สงั เคราะหแ์ สง การย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ควบคมุ การดูด และการคายนำ้ ของพืชในกระบวนการ
สงั เคราะห์อาหาร และเพิ่มคณุ ภาพของรสชาติ ขนาด และน้ำหนักผล
อาการขาดธาตุโบรอนจะพบได้ทีย่ อด และใบอ่อน โดยพบลักษณะยอด และตายอดบิดงอ ใบออ่ นบาง มีความ
โปร่งใสผิดปกติ เสน้ กลางใบหนากรา้ น ใบตกกระ พบมสี ารเหนยี วออกตามเปลือกลำต้น ก่งิ กา้ นเห่ยี ว เปลือก
ผลหนา และผลแตกเป็นแผล ผลเล็ก และแข็งผดิ ปกติ พืชตระกูลกะหลำ่ จะพบจดุ สนี ำ้ ตาลหรือดำ
6. โมลบิ ดินัม
เปน็ ธาตุท่ีจาเป็นสาหรบั การตรึงธาตุไนโตรเจน ทาให้การทางานของธาตไุ นโตรเจนในพชื สมบูรณข์ น้ึ
นอกจากน้ยี ังจาเป็นสาหรบั กระบวนการสรา้ งสารสเี ขยี ว และนา้ ยอ่ ยภายในพชื บางชนิดในดนิ ด่างความเป็น
ประโยชนข์ องธาตโุ มลิบดินมั ตอ่ พืชมากขึ้น แต่ในดินกรดพืชมักแสดงอาการขาดธาตนุ ้เี สมอ นอกจากน้ี
ปรมิ าณธาตโุ มลิบดินมั ยังขน้ึ กับปรมิ าณธาตุอาหารพืชบางธาตใุ นดนิ เชน่ ธาตุเหลก็ ธาตุอลมู ิเนยี ม และกามะ
ถัน โดยถ้ามธี าตุทง้ั สามมากเกนิ ไปทาใหค้ วามเปน็ ประโยชนข์ องโมลบิ ดนิ ัมลดลง ในดนิ ท่ีมธี าตฟุ อสฟอรสั
เพยี งพอชว่ ยสง่ เสริมใหพ้ ชื ดูดธาตโุ มลบิ ดนิ มั ได้มาก ข้ึน ในพืชทม่ี อี าการขาดธาตโุ มลบิ ดินัม เชน่ พชื ผกั มัก
แสดงอาการทใ่ี บแกโ่ ดยเป็นจุดดา่ งเปน็ ดวงๆ ขณะทเ่ี สน้ ใบยงั เขยี ว ถา้ ขาดธาตนุ ีร้ ุนแรงใบมว้ นเขา้ ข้างใน
ลกั ษณะทีป่ ลายและขอบแห้ง สาหรับมะเขือเทศแสดงอาการขาดธาตุโมลบิ ดินมั ทใี่ บส่วนล่าง โดยขอบใบหงิก
งอ ดอกร่วงและผลแคระแกรนเตบิ โตไมเ่ ตม็ ท่ี
7. ธาตคุ ลอรนี
ธาตนุ ้มี ักพบในรปู ของสารประกอบของเกลือโซเดยี ม โดยเฉพาะดินเค็มในแถบชายฝ่ังทะเล และดิน
เค็มในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยคลอรีนมีความสำคญั ต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง ชว่ ยให้พชื แกเ่ รว็ ขน้ึ
พชื ท่ีขาดธาตุคลอรีนจะมใี บซีด เห่ียว และใบมสี ีเหลือง แตพ่ ชื ได้รบั คลอรีนมาก ขอบใบจะแหง้ ใบเหลอื งก่อน
กำหนด
8. นิเกิล
นเิ กิลเปน็ ธาตทุ ี่สำคัญตอ่ เอนไซม์ Urease โดยทำหนา้ ทชี่ ว่ ยปลดปล่อยไนโตรเจนใหอ้ ยูใ่ นรปู ทพ่ี ืช
นำไปใชไ้ ด้ นอกจากนี้ ยงั จำเป็นตอ่ กระบวนการดูดซับธาตุเหล็ก ช่วยในกระบวนการงอกของเมลด็ หากนเิ กิล
ไมเ่ พียงพอต่อความต้องการ พืชอาจไม่ให้ผลผลติ เตม็ ที่
150