วชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา
จดั ทำโดย
นางสาวปณดิ า นิตยาชติ ร หอ้ ง5 เลขท9ี่
รหสั 646550187-3
เสนอ
อาจารยด์ ร.กฤษฎาพนั ธ์ พงษ์บรบิ รู ณ์
สูตรประกาศนยี บตั รบณั ฑติ วชิ าชีพครู
คณะศกึ ษาศาสตร์และศลิ ปศาสตร์ วทิ ยาลยั บณั ฑิตเอเซยี
คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
ความร้เู บื้องต้นเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ความสำคัญนวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำนวตั กรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษา มีการยกตัวย่างเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา ไว้พอ
สังเขป เพื่อเป็นแนวทางในการค้นหาความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา โดย
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่สนใจข้อมูลในรายงานเล่มนี้ จะได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปศึกษาเพื่อเติม หรือเป็น
แนวทางในการจัดการศึกษา จากแหล่งความรู้ทีไ่ ด้กลา่ วไว้ หาหมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำต้องขออภัย
มา ณ ทน่ี ี้
ปณดิ า นิตยาชิตร
สารบญั หน้า
เร่อื ง 1
บทที1่ นวตั กรรมทางการศึกษา 3
4
ความหมายของนวตั กรรม 5
ความหมายของนวตั กรรมการศกึ ษา 6
ความหมายของเทคโนโลยี 8
เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา 8
แนวคิดพ้ืนฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา 9
หลักการพ้ืนฐานของนวตั กรรมการศกึ ษา 12
การพฒั นานวัตกรรมการศกึ ษา 13
ประเภทของนวัตกรรมการศกึ ษา 14
ประเภทของนวัตกรรม 16
ลกั ษณะของนวตั กรรมการศึกษา
นวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน 22
นวตั กรรมทางการศกึ ษาตา่ งๆ ทกี่ ลา่ วถงึ กันมากในปัจจบุ นั [ E-learning / M-Leaning ] 27
บทท่ี2 ความรู้เบอื้ งต้นเกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 28
ความหมายของคอมพวิ เตอร์ 32
ความหมายของอนิ เทอร์เน็ต 32
ระบบการสืบคน้ ผ่านเครือข่ายเพือ่ การเรยี นรู้ 34
ความหมายของ ข้อมลู 36
ชนิดของข้อมลู 37
กรรมวิธีการจดั การข้อมลู 38
ความหมายของ สารสนเทศ 39
สาเหตทุ ี่ทำให้เกดิ สารสนเทศ 40
ความสำคัญของสารสนเทศ 42
บทบาทของสารสนเทศ 42
คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศที่ดี
การสืบคน้ และรบั ส่งข้อมลู แฟม้ ขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้
ประโยชน์ของการรับ-สง่ ขอ้ มูลทางจดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์
เรื่อง 44
คุณภาพของสารสนเทศ 46
ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ 47
ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ 54
เทคโนโลยีสือ่ สารโทรคมนาคม 56
ความสำคัญของเทคโลโลยีสารสนเทศ 58
องค์ประกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 59
ปัจจยั ที่ทำให้เกดิ ความลม้ เหลวในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ 60
ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ 61
เทคโนโลยีสารสนเทศกบั การใชช้ ีวติ ในสังคมปจั จุบัน
บทท3่ี คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ น็ตกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 65
ความหมายและความเป็นมาของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 70
เทคโนโลยแี ละสารสนเทศเพ่ือการเรยี นรู้ 78
สอื่ เพอ่ื การเรยี นรู้ 82
หลกั การออกแบบนวตั กรรมและสอ่ื เพอื่ การเรยี นรู้ 86
การเรียนรู้ แหลง่ เรยี นรู้ เครือขา่ ยการเรยี นรู้ 88
การจดั การเรยี นรบู้ นเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 93
ระบบการสืบคน้ ผ่านเครือข่ายเพือ่ การเรียนรู้ 94
การสืบค้น และรบั สง่ ข้อมูล แฟ้มขอ้ มลู 95
สารสนเทศเพ่ือใช้ในการจัดการเรยี นรู้ 96
การวิเคราะหป์ ญั หาท่เี กดิ จากการใชน้ วัตกรรม
ข้อสอบพร้อมเฉลย 104
106
- บทที่1 นวตั กรรมทางการศกึ ษา 109
- บทท่ี2 ความรู้เบอ้ื งต้นเกย่ี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 113
- บทท3ี่ คอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอร์เน็ตกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ
บรรณนุกรรม
1
บทที่1
นวตั กรรมทางการศึกษา
นวัตกรรมมีความสำคัญต่อการศึกษาหลายประการ ทั้ง นี้เนื่องจากในโลกยุคโลกาภิวัตน์โลกมีการ
เปลี่ยนแปลงในทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทั้งด้านเทคโนโลยีและ
สารสนเทศ การศกึ ษาจงึ จำเป็นต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการศกึ ษาท่มี อี ยเู่ ดมิ เพ่อื ให้ทันสมัย
ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านศึกษา
บางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกันการเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจำเป็นต้องมี
การศกึ ษาเกีย่ ว กบั นวตั กรรมการศกึ ษาทจ่ี ะนำมาใช้เพ่อแก้ไขปัญหาทางการศึกษาในบางเรือ่ ง เช่น ปัญหาท่ี
เกี่ยวเนื่องกัน จำนวนผู้เรียนที่มากข้ึน การพัฒนาหลักสูตรใหท้ ันสมยั การผลิตและพัฒนาสื่อใหม่ๆ ขึ้นมา
เพื่อตอบสนองการเรียนรู้ของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง การ ใช้นวัตกรรมมาประยุกต์ใน
ระบบการบริหารจัดการด้านการศึกษาก็มีส่วนช่วยให้การ ใช้ทรัพยากรการ เรียนรู้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ เช่น เกิดการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง
1. ความหมายของนวัตกรรม
หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการ
พัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมท่ีมีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำ นวัตกรรมมาใช้จะช่วย
ให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงาน
ได้ด้วย “นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่
ขึ้นมา ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์
จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทำในสิ่งที่
2
แตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็น
โอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ท่ีทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม”
แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐ
อ ุ ต ส า ห ก ร ร ม เ ช ่ น ผ ล ง า น ข อ ง Joseph Schumpeter ใ น The Theory of Economic
Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อ
ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฎิบัติให้
เกิดผลได้จริงอีกด้วย (พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ , Xaap.com)
คำว่า “นวัตกรรม” เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญัติของ
คณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation
มาจากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นว
กรรม” ต่อมาพบว่าคำน้ีมีความหมายคลาดเคล่ือน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ
กำ) หมายถึงการนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการท่ีทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น
ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อ
ปรับปรุงงานให้ดีข้ึนกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้
ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ที่กระทำ หรือนำความ
เปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator) (boonpan edt01.htm)
ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนำวิธีการใหม่
ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้ น ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การคิดค้น
(Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน
(Pilot Project) แล้วจึงนำไปปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา
(boonpan edt01.htm)
มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ข้ึนอีกคร้ัง(Renewal)
ซึ่งหมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การน้ัน
ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการ ปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนา
(boonpan edt01.htm)
โรเจอร์ส (Everette M. Rogers 1983) ได้ให้ความหมายของคำว่า นวัตกรรม (Innovation) ว่า
นวัตกรรม คอื ความคิด การกระทำหรือวตั ถใุ หม่ๆ ซงึ่ ถกู รับรู้ว่าเป็นสงิ่ ใหม่ๆ ดว้ ยตวั บคุ คลแตล่ ะคนหรือหน่วย
อื่นๆ ของการยอมรับในสังคม (Innovation is a new idea, practice or object, that is perceived as
new by the individual or other unit of adoption)
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ได้ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ไว้ว่าหมายถึง วิธีการปฎิบัติ
ใหม่ๆ ที่แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของ
3
เก่าให้เหมาะสมและสิ่งท้ังหลายเหล่านี้ได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทาง
ปฎิบัติ ทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพข้ึน
จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ใน
ภาษาอังกฤษเอง ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ
จะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการที่
ทำอยู่เดิมแล้ว กับอีกระดับหนึ่งซ่ึงวงการวิทยาศาสตร์แห่งพฤติกรรม ได้พยายามศึกษาถึงที่มา ลักษณะ
กรรมวิธี และผลกระทบที่มีอยู่ต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง คำว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งที่ได้นำความ
เปล่ียนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสำเร็จและแผ่กว้างออกไป จนกลายเป็นการปฏิบัติอย่างธรรมดาสามัญ
(บุญเก้ือ ควรหาเวช , 2543)
2. ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา
นวัตกรรมการศึกษา (Educational
Innovation) หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้
การ ศกึ ษาและการเรียน การสอนมปี ระสทิ ธิภาพ
ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่าง
รวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจใน
การเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และ
ประหยัดเวลาใน การเรียนไดอ้ ีกด้วย ในปัจจุบัน
มีการใช้นวัตกรรมการศึกษา มากมายหลายอยา่ งซงึ่ มีท้งั นวตั กรรม ที่ใช้กันอยา่ งแพร่หลายแลว้ และประเภทที่ก
าลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการ สอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction: CAI) การใช้
แผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ(Hypermedia) และอินเทอร์เน็ต (Internet) เป็น
ต้น นกั การศกึ ษาหลายท่านให้ค านยิ ามของค าว่า นวัตกรรมการศึกษา ดังนี้
ทิศนา แขมมณี(2526) ให้ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง กระบวนการ แนวคิดหรือ วิธีการใหมๆ่
ทางการศึกษาซึ่งอยู่ในระหว่างการ ทดลองที่จะจัดขึ้นมาอย่างมีระบบและกว้างขวางพอสมควร เพื่อ พิสูจน์
ประสิทธภิ าพ อนั จะน าไปสกู่ ารยอมรับนำไปใช้ในระบบการศึกษาอยา่ งกว้างขวางต่อไป
ธำรงค์ บวั ศรี(2527) ได้กลา่ ววา่ นวตั กรรมการศึกษาถกู สร้างข้ึนมา เพื่อแก้ปัญหาทางการศกึ ษา
บุญเกื้อ ควรหาเวช (2521) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา คือความคิดและการกระท า ใหม่ๆ
ในระบบการศึกษาทไ่ี ด้รับการพสิ จู น์วา่ ดที ่ีสดุ ในสภาพปัจจุบันเพอื่ ส่งเสรมิ ใหก้ ารเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพ
มากย่ิงข้ึน
ประพันธ์ ผาสุขยืด (2547 : ออนไลน์) อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ์ ละผู้อำนวยการฝ่ายสง่ เสริมการสือ่ สารพัฒนาการเรียนรู้ สถาบนั สง่ เสรมิ การจัดการ
ความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมทางการศึกษาว่า นวัตกรรม อาจมิได้หมายความว่าสิ่งใหม่ที่
เกิดขึ้น ในโลก แต่เป็นสิ่งที่แปลก ฉีกแนวจากที่นิยมท ากันอยู่อาจไม่ใช่ ประดิษฐ์กรรมใหม่หรือเทคโนโลยี
4
ล้าสมัย แต่เป็น สิ่งที่ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่และนวัตกรรมทางการศึกษาเป็นการจัดการ
เรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่มี การบูรณาการกับความรู้ต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาทั้งการบริหารการศึกษา หลักสูตร
วธิ กี ารจดั การเรียนรู้
ลัดดา ศุขปรีดี(2523) ได้ให้ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง ความคิด วิธีการใหม่ ๆ ทางการเรียน
การสอน ซึ่งรวมไปถึงแนวคิด วิธีปฏิบัติที่เก่ามาจากท่ีอ่ืนและมีความเหมาะสมที่จะน ามาใช้ในการ เรียนการ
สอนในปจั จุบนั
3. ความหมายของเทคโนโลยี
ความเจริญในด้านต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ใน
ปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลอง
ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ โดยอาศัยความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ เมื่อศึกษาค้นพบและทดลองใช้
ได้ผลแล้ว ก็นำออกเผยแพร่ใช้ในกิจการด้าน
ต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนา
คุณภาพ และประสิทธิภาพในกิจการต่างๆ เหล่านั้น และวิชาการที่ว่าด้วยการนำความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ จึงเรียกกันว่า “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” หรือนิยมเรียกกันทั่วไป
ว่า “เทคโนโลยี” (boonpan edt01.htm)
เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เคร่ืองมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ที่นำเอาเทคโนโลยี
มาใช้ เรียกว่านักเทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm)
เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา)
หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพ
ของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์
และวิธีการ (boonpan edt01.htm)
สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คำจำกัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการ
พัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพ่ือ
สร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนให้ดียิ่งข้ึน (boonpan edt01.htm)
ดร.เปร่ือง กุมุท ได้กล่าวถึงความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้สื่อ
การสอน ให้กว้างขวางขึ้นทั้งในด้านบุคคล วัสดุเครื่องมือ สถานที่ และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการ
เรียนการสอน (boonpan edt01.htm)
Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทำงานอย่าง
เป็นระบบ ให้บรรลุผลตามแผนการ (boonpan edt01.htm)
5
นอกจากนี้เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ท้ังน้ี เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังนั้นอุปกรณ์ในสมัยก่อนมัก
เน้นการใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่าโสตทัศ นอุปกรณ์ เทคโนโลยี
ทางการศึกษา มีความหมายท่ีกว้างกว่า ซ่ึงอาจจะพิจารณาจาก ความคิดรวบยอดของเทคโนโลยีได้เป็น
2 ประการ คือ
1. ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีทางการ
ศึกษาหมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์
โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้ มักคำนึงถึง
เฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน มักไม่คำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล และการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตาม
ความคิดรวบยอดนี้ ทำให้บทบาทของเทคโนโลยีทางการศึกษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์
เท่านั้น ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อื่น ๆ เข้าไปด้วย ซึ่งตามความหมายนี้ก็คือ “โสตทัศน
ศึกษา” น่ันเอง
2. ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนำวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา
กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิต
กรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียน เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้นมิใช่เพียงการใช้เครื่องมืออุปกรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ
หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอย่างเดียว (boonpan edt01.htm)
4. เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
1. การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มิได้
หมายถึงแต่เพียงตำรา ครู และอุปกรณ์การสอน ที่โรงเรียนมีอยู่เท่านั้น แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการ
ศึกษา ต้องการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการ
เรียนรู้ครอบคลุมถึงเร่ืองต่างๆ เช่น
6
1.1 คน คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น ซึ่งอยู่นอก
โรงเรียน เช่น เกษตรกร ตำรวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น
1.2 วัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่อง
วิดีโอเทป ของจริงของจำลองสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงการใช้สื่อมวลชนต่างๆ
1.3 เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเนื้อหา แก่
ผู้เรียนปัจจุบันน้ัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้มากที่สุด ครูเป็นเพียง ผู้วางแผน
แนะแนวทางเท่าน้ัน
1.4 สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ที่ทำการรัฐบาล ภูเขา
แม่น้ำ ทะเล หรือสถานท่ีใด ๆ ท่ีช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เรียนได้
2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นชั้น และกระจัดกระจาย ยากแก่การจัด
การศึกษาตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธีนำเอา
ระบบการเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้ แต่แทนที่จะใช้ครูสอนนักเรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียน
โปรแกรม’ ซึ่งทำหน้าที่สอน ซึ่งเหมือนกับครูมาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเอง จากแบบเรียนด้วย
ตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือสื่อประสมหลายๆ อย่าง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทำได้
ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน
3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็น
วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อถือได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้
เนื่องจากกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของระบบ อย่างมี
เหตุผล หาทางให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบทำงาน ประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา หรือการ
เรียนการสอนปัจจุบันจะต้องมีการพัฒนา ให้มีศักยภาพ หรือขีดความสามารถในการทำงานให้สูง
ย่ิงขึ้นไปอีก
5. แนวคิดพ้ืนฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่
เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาท่ีสำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
5.1 ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้
ความสำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจ ะเห็นได้จากแผนการศึกษาของ
ชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่าง
ที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง
นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น
- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- เคร่ืองสอน (Teaching Machine)
7
- การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- เคร่ืองคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
5.2 ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่ง
เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อม
ในการเรียนเป็นส่ิงท่ีสร้างข้ึนได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็ก
แต่ละคน วิชาท่ีเคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ นวัตกรรม
ที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน นวัตกรรมที่สนอง
แนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
- ศูนย์การเรียน (Learning Center)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)
5.3 การใช้เวลาเพ่ือการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดย
อาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัด
เวลาเรียนเอาไว้แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้
สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การ
เรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมท่ีสนองแนวความคิดพื้นฐานด้านน้ี เช่น
- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)
- มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- การเรียนทางไปรษณีย์
5.4 ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปล่ียนแปลงของสังคม ทำให้
มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพ
เพียงพอจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน
และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น
- มหาวิทยาลัยเปิด
- การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์
- การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป
- ชุดการเรียน
8
6. หลักการพื้นฐานของนวตั กรรมการศึกษา
ทศิ นา แขมมณ(ี 2548) กล่าววา่ ความใหม่มใิ ชเ่ ปน็ คุณสมบตั ิประการเดยี วของนวัตกรรม ถา้ เปน็ เชน่ นั้น ของทุก
อย่างที่เข้ามาใหม่ๆ จะเป็นนวัตกรรมทั้งสิ้น นวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านใด จำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่สสำคัญ
ดงั น้ี
6.1เปน็ ส่งิ ใหมซ่ ึง่ มีความหมายในหลายลกั ษณะด้วยกัน ได้แก่
6.1.1 เปน็ สิ่งใหมท่ ง้ั หมดหรอื ใหม่เพียงบางส่วน
6.1.2 เป็นสิ่งใหม่ทีย่ งั ไมเ่ คยมีการน ามาใชใ้ นท่ีนั้น กล่าวคอื เป็นส่ิงใหมใ่ นบริบทหน่ึง แต่อาจ
เป็นของเก่า ในอีกบริบทหนึ่ง ได้แก่ การนำสิ่งที่ใช้หรือปฏิบัติกันในสังคมหนึ่งมาปรับใช้ในอีกสังคม
หนึ่ง นบั เปน็ นวตั กรรมใน สงั คมนัน้
6.1.3 เปน็ สง่ิ ใหม่ในชว่ งเวลาหนึง่ แตอ่ าจเป็นของเกา่ ในอกี ช่วงเวลาหน่ึง อาทเิ ช่น อาจเป็นสิ่ง
ท่ีเคยปฏบิ ตั ิ มาแลว้ แตไ่ มไ่ ดผ้ ลเน่อื งจากขาดปัจจัยสนบั สนุนตอ่ มาเมอ่ื ปจั จัยและสถานการณ์อ านวย
จงึ นำมาเผยแพร่และ ทดลองใช้ใหม่ ถือว่าเป็นนวตั กรรมได้
6.2 เป็นส่งิ ใหมท่ ่กี ำลงั อย่ใู นกระบวนการพสิ ูจนท์ ดสอบว่า จะใช้ไดผ้ ลมากน้อยเพยี งใดในบริบทนัน้
6.3 เป็นสิ่งใหม่ที่ได้รับการยอมรับนำไปใช้แต่ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบงานปกติหากการยอมรบั
การ น าไปใช้น้นั ได้กลายเปน็ การใชอ้ ย่างปกตใิ นระบบงานของทีน่ น่ั แล้ว ก็ไม่ถอื เปน็ นวัตกรรมอีกตอ่ ไป
6.4 เป็นสิ่งใหม่ที่ได้รับการยอมรับนำไปใช้บ้างแล้วแต่ยังไม่แพร่หลาย คือยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่าง
กว้างขวาง การพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กระบวนการพัฒนานวัตกรรมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้
ยทุ ธศาสตรก์ ารมีส่วนรว่ มของบุคลากรหลายๆ ฝ่ายในโรงเรยี น ทัง้ ผูบ้ ริหาร ครแู ละนักเรยี นรวมถึงชุมชน โดย
ใช้กระบวนการวิจัยในการพฒั นาอย่างเป็นระบบ ดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. 2550)
7. การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา มดี ังน้ี
7.1 ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ สำรวจ วิเคราะห์สภาพปัญหา จุดเด่น จุดด้อยและความ
ตอ้ งการ ในการพฒั นาการบรหิ ารจัดการ การจดั การเรยี นการสอนและคุณธรรมจรยิ ธรรมของนกั เรยี น
7.2 ออกแบบนวัตกรรม นวัตกรรมการศึกษาที่มักได้รับความสนใจและยอมรับน าไปใช้อย่าง
กว้างขวาง โดยทัว่ ไปมีลกั ษณะดังนี้
7.2.1 คิดจินตนาการ สร้างฝันในสิ่งที่คาดหวังที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาหรือแก้ไขปรับปรงุ
ตามสภาพ ปญั หาและความตอ้ งการ
7.2.2 จัดลำดับความคิดสรุปว่าจะทำอะไรทำอย่างไร ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาหรือ
แกไ้ ข ปรับปรุงได้ตรงตามสภาพปญั หาและความต้องการ
7.2.3 แสวงหา และรวบรวมความรู้เพือ่ สนบั สนุนในสิ่งทีค่ ิด และกำหนดขั้นตอนการพัฒนา
นวตั กรรม
7.3 สร้างหรือพฒั นานวตั กรรม
9
7.3.1 จัดเตรียมทรัพยากร วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จ าเป็นและจัดหางบประมาณในการ
พฒั นา นวัตกรรม
7.3.2 ดำเนินการสร้าง / พฒั นานวัตกรรม ตามขนั้ ตอนทีก่ ำหนด
7.3.3 ตรวจสอบนวตั กรรมท่ีสรา้ งหรือพฒั นาในแต่ละขน้ั ตอน
7.3.4 สงั เคราะหผ์ ลการตรวจสอบและปรับปรงุ นวตั กรรมทีส่ ร้าง / พฒั นา
7.3.5 กำหนดเกณฑ์การประเมนิ คณุ ค่าความเปน็ นวัตกรรม
7.4 ทดลองใช้
7.4.1 สร้างเคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมข้อมูลผลการทดลองใช้
7.4.2 นำนวัตกรรมไปทดลองใช(้ Try Out)
7.4.3 ประเมนิ ผลการทดลองใชแ้ ละปรบั ปรุงนวัตกรรม
7.5 สรุป รายงาน และเผยแพร่
7.5.1 สรปุ รายงานผลการสรา้ ง / พัฒนานวตั กรรม
7.5.2 เผยแพรน่ วตั กรรม
8. ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา
ประเภทของนวัตกรรมการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบัญญัติที่
เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รัฐ
ต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้งก ารติดตาม
ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับ
กระบวนการเรียนรขู้ องคนไทยและในมาตรา 22 "การจัดการศกึ ษาต้องยดึ หลกั ว่าผ้เู รยี นทกุ คนมีความสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผูเ้ รยี นมีความสำคัญทีส่ ุด กระบวนการจัดการศึกษาตนเองได้และถือว่า
ผู้เรียนมีความสำคัญทส่ี ุด กระบวนการจดั การศึกษาตอ้ งส่งเสริมให้ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็ม
10
ตามศักยภาพ" การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จไดต้ ามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไข
ปญั หาทางการศึกษาท้ังในรูปแบบของการศึกษาวิจยั การทดลองและการประเมนิ ผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี
ที่นำมาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นำมาใช้ทั้งที่ผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมี
หลายประเภทข้ึนอยกู่ บั การประยุกตใ์ ช้นวัตกรรมในด้านตา่ งๆ ในท่นี ้ีจะขอกลา่ วคือ นวัตกรรม 5 ประเภท ดงั นี้
1. นวตั กรรมทางดา้ นหลกั สูตร
นวัตกรรมทางดา้ นหลักสูตร เป็นการใชว้ ธิ ีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกบั สภาพแวดล้อมใน
ทอ้ งถ่นิ และตอบสนองความต้องการสอนบคุ คลใหม้ ากข้ึน เนอ่ื งจากหลักสตู รจะตอ้ งมีการเปลย่ี นแปลงอยู่เสมอ
เพอื่ ใหส้ อดคล้องกบั ความกา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศและของโลก นอกจากนี้
การพฒั นาหลกั สูตรยงั มีความจำเปน็ ทจ่ี ะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎแี ละปรัชญาทางการจัดการสัมมนา
อีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ที่เป็น
นวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรใน
ประเทศไทย ได้แก่ การพฒั นาหลกั สูตรดงั ต่อไปน้ี
1.หลักสูตรบูรณาการ เปน็ การบูรณาการส่วนประกอบของหลกั สูตรเข้าด้วยกนั ทางด้านวิทยาการในสาขาต่างๆ
การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดีสามารถใช้ประโยชนจ์ ากองค์ความรู้ในสาขา
ต่างๆ ใหส้ อดคล้องกบั สภาพสงั คมอยา่ งมจี รยิ ธรรม
2.หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพ เพื่อตอบสน อง
แนวความคดิ ในการจัดการศึกษารายบุคคล ซ่งึ จะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยี
ด้านตา่ งๆ
3.หลักสตู รกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลกั สตู รทีม่ งุ่ เน้น กระบวนการในการจัดกิจกรรมและประสบการณ์
ให้กับผ้เู รียนเพือ่ นำไปสู่ความสำเร็จ เชน่ กิจกรรมท่สี ่งเสริมให้ผู้เรียนมีสว่ นรว่ มในบทเรียน ประสบการณ์การ
เรยี นรู้จากการสืบค้นด้วยตนเอง เปน็ ต้น
4.หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้
สอดคล้องกบั ศิลปวัฒนธรรมส่งิ แวดล้อมและความเปน็ อย่ขู องประชาชนทม่ี อี ยูใ่ นแตล่ ะท้องถ่นิ แทนที่หลักสูตร
ในแบบเดมิ ที่ใชว้ ธิ ีการรวมศูนยก์ ารพฒั นาอยใู่ นส่วนกลาง
2.นวตั กรรมการเรยี นการสอน
เปน็ การใช้วิธรี ะบบในการปรับปรงุ และคดิ คน้ พฒั นาวธิ สี อนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรยี นรายบุคคล
การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอน
จำเปน็ ต้องอาศยั วิธกี ารและเทคโนโลยีใหมๆ่ เขา้ มาจดั การและสนับสนนุ การเรียนการสอน ตวั อย่างนวัตกรรม
ที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบ
เรยี นรรู้ ว่ มกนั และการเรยี นผ่านเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็ การวจิ ยั ในช้ันเรยี น ฯลฯ
3.นวัตกรรมส่อื การสอน
11
เนื่องจากมคี วามก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอรเ์ ครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำ
ให้นกั การศึกษาพยายามนำศกั ยภาพของเทคโนโลยีเหลา่ นี้มาใช้ในการผลิตสอ่ื การเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวน
มากมาย ท้ังการเรียนด้วยตนเองการเรยี นเป็นกลุ่มและการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนนุ
การฝกึ อบรม ผา่ นเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ตวั อยา่ ง นวตั กรรมสอื่ การสอน ได้แก่
- คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI)
- มลั ติมเี ดีย (Multimedia)
- การประชุมทางไกล (Teleconference)
- ชดุ การสอน (Instructional Module)
- วดี ที ศั น์แบบมีปฏสิ ัมพนั ธ์ (Interactive Video)
4.นวตั กรรมทางดา้ นการประเมนิ ผล
เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครือ่ งมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเรว็
รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนบั สนุนการ
วดั ผล ประเมินผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์ ตวั อย่าง นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล ไดแ้ ก่
- การพฒั นาคลังขอ้ สอบ
- การลงทะเบียนผ่านทางเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ และอนิ เตอร์เนต็
- การใช้บตั รสมาร์ทการ์ด เพื่อการใชบ้ ริการของสถาบนั ศกึ ษา
- การใช้คอมพวิ เตอรใ์ นการตดั เกรด
- ฯลฯ
5.นวัตกรรมการบริหารจัดการ
เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ ตัดสินใจของ
ผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงาน
สถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้าน
การเงนิ บญั ชี พัสดุ และครภุ ัณฑ์ ฐานขอ้ มูลเหลา่ น้ตี ้องการออกระบบทส่ี มบรู ณม์ ีความปลอดภัยของขอ้ มลู สูง
นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอก
หน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบัญญัติ ที่เกี่ยวกับ
การจัดการศึกษา ซ่ึงจะต้องมกี ารอบรม เก็บรกั ษาและออกแบบระบบ
การสืบค้นที่ดีพอซึ่งผู้บริหารสามารถสืบค้นข้อมูลมาใช้งานได้ทันที
ตลอดเวลาการใช้นวัตกรรมแต่ละด้านอาจมีการผสมผสานที่ซ้อนทับ
กันในบางเรื่อง ซึ่งจำเปน็ ต้องมกี ารพัฒนาร่วมกันไปพรอ้ มๆ กันหลาย
ด้าน การพัฒนาฐานข้อมูลอาจตอ้ งทำเปน็ กลุ่มเพอื่ ให้สามารถนำมาใช้
รว่ มกันไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
12
9. ประเภทของนวตั กรรม
การจัดประเภทของนวัตกรรม สามารถจำแนกได้ตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดขึน้ โดยทั่วไปสามารถจำแนกได้
หลายวธิ ี เช่น
9.1 จำแนกตามผ้ใู ช้ประโยชนจ์ ากนวัตกรรมโดยตรง
9.1.1 นวัตกรรมจัดการเรยี นรขู้ องครู เช่น วธิ กี ารสอน กจิ กรรมท่ีครูนำมาใชก้ ับผเู้ รียน และ
สอ่ื การสอนตา่ งๆ
9.1.2 นวัตกรรมการเรยี นรู้ของผู้เรียน เชน่ แบบฝึกหัดต่างๆที่ครูสร้างขึ้น บทเรียนสำเร็จรูป
ส่ือมัลติมเี ดียฯลฯ
9.1.3 นวตั กรรมเพ่ือการบรหิ ารและพฒั นาการทำงานของครูและนักเรียน
9.2 จำแนกตามลักษณะของนวัตกรรม
9.2.1 เทคนิควิธีการ วิธีการจัดกิจกรรมพัฒนา การจัด
กิจกรรมสำหรับผู้เรียน เช่น การจัดบรรยากาศในห้องเรียนให้
เหมาะสมกับผูเ้ รยี น และเหมาะกบั วธิ กี ารสอนของครู
9.2.2 สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นตัวกลาง หรือ
เครื่องมอื ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเขา้ ใจ สอ่ื การเรียนรู้แบ่ง
ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี
9.2.2.1 ส่อื ประเภทวัสดุ สอื่ การเรยี นรทู้ ม่ี ีลกั ษณะเก็บความรู้ หรอื ถ่ายทอดความรู้
โดยใช้ภาพ เสยี ง ตวั อักษร ในรปู แบบต่างๆ แบง่ เปน็ 2 ประเภทคือ
(1) วสั ดทุ ่เี สนอความรู้จากตวั สอื่
(2) วัสดทุ ีต่ อ้ งอาศยั ส่ือประเภทเครอื่ งกลเป็นตวั นำเสนอความรู้
9.2.2.2 สือ่ ประเภทเคร่ืองมือหรือโสตทัศนูปกรณ์ เป็นส่ือทเ่ี ปน็ ตวั กลางหรือตัวผ่าน
ของความรูท้ ถี่ า่ ยทอดไปยังผรู้ ับ เชน่ เครือ่ งชว่ ยสอน เครื่องฉาย คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ฯลฯ
9.3 การจำแนกตามจุดเน้นของนวัตกรรม
9.3.1 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผลผลิต เป็นนวัตกรรมที่เป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือ
เครื่องมือที่ชใ้ นการจดั การเรียนรู้ เช่น วดี ทิ ัศน์ ซีดี สไลด์ ฯลฯ
9.3.2 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเทคนิค วิธีการ หรือกระบวณการในการจัดการ
เรยี นรู้ เช่น โครงงาน ผงั มโนทัศน์ บทบาทสมมุติ ฯลฯ
9.3.3 นวัตกรรมท่ีเนน้ ทั้งผลผลิตและเทคนิคกระบวณการ เช่น ระบบการผลิตและสร้างส่อื
การ เรียนรู้กระบวณการทีส่ ามารถใหน้ ักเรยี นเรยี นรู้ดว้ ยตวั เองอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
13
10. ลักษณะของนวตั กรรมการศึกษา
- เป็นส่ิงใหมท่ ไี่ มเ่ คยมผี ู้ใดเคยทำมากอ่ นเลย
- สิง่ ใหม่ท่ีเคยทำมาแลว้ ในอดีตแต่ไดม้ ีการรอ้ื ฟ้นื ข้ึน มาใหม่
- สิง่ ใหมท่ ่ีมีการพัฒนามาจากของเก่าทีม่ อี ยู่เดิม
1. นวตั กรรมใหมอ่ ยา่ งส้ินเชงิ (Radical Innovation)
หมายถึง ขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริง สู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value), ความเช่ือ
(belief ) เดิม ตลอดจนระบบคุณค่า(value system)ของสังคม อย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่นอินเตอร์เน็ท
(Internet) จดั ว่าเปน็ นวัตกรรมหนง่ึ ในยุคโลกขอ้ มูลข่าวสาร การนำเสนอระบบอินเตอร์เนท็ ทำใหค้ ่านิยมเดิม
ที่เชื่อว่า โลกข้อมูลข่าวสารจำกัดอยู่ ในวงเฉพาะทั้งในด้านเวลา และ สถานที่นั้น เปลี่ยนไป อินเตอร์เน็ทเปดิ
โอกาส ให้ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลไร้ขดี จำกัด ท้ังในดา้ นของเวลา และระยะทาง การเปลี่ยนแปลงใน
คร้ังน้ี ทำให้ระบบคุณค่าของข้อมูลข่าวสาร เปลย่ี นแปลงไป บางคนเชอื่ ว่า อนิ เตอร์เน็ทจะเข้ามาแทนที่ระบบ
การส่งข้อมลู ขา่ วสารในระบบเดิม อย่างสนิ้ เชงิ ในไม่ชา้ อาทเิ ชน่ ระบบไปรษณีย์
2. นวัตกรรม ที่มลี กั ษณะคอ่ ยเป็นค่อยไป
เปน็ ขบวนการการคน้ พบ (discover) หรือ คิดคน้ สงิ่ ใหม(่ invent)โดยการประยุกต์ ใชแ้ นวคดิ ใหม่ (new idea)
หรือ ความรู้ใหม่ (new knowledge) ที่มีลักษณะต่อเนื่องไม่สิ้นสุด โดยการประยุกต์ใช้ แนวคิดใหม่ หรือ
ความรู้ใหม่ ของมนุษย์ และการค้นคน้ เทคนคิ (technique) หรือ เทคโนโลยี (technology) ใหม่ นวัตกรรมที่
มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป จึงมีลักษณะของการสะสมการเรียนรู้ (cumulative learning) อยู่ในบริบท ของ
สังคมหนึ่ง ในปัจจุบันสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะผลของขบวนการโลกาภิวัตน์ ทำให้สังคมมี
ลักษณะไร้ขอบเขต (borderless) เป็นสังคมของชาวโลกที่มีความหลากหลายทางด้านสังคมวัฒนธรรมและ
การเมือง ส่งผลให้นวัตกรรม มีแนวโน้มที่จะเป็น ขบวนการค้นพบใหม่อย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ
มากกวา่ ทีจ่ ะเป็นนวตั กรรมใหมโ่ ดยสิ้นเชิง สำหรับสังคมหนึ่ง ๆ
นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการ
ปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย
ระยะท่ี 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่ง
ทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน
(Pilot Project)
ระยะท่ี 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซ่ึงจัดว่า
เป็นนวัตกรรมข้ันสมบูรณ์
14
11. นวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน
นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซ่ึงนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการคิด
และทำสิ่งใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นนวัตกรรมจึงเป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนใหม่ได้เรื่อยๆ ส่ิงใดท่ีคิดและทำมานานแล้ว ก็
ถือว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทน
ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีส่ิงที่เรียกว่านวัตกรรมทางการศึกษา หรือนวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เป็น
จำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็น นวัตกรรม
เนื่องจากนวัตกรรมเหล่าน้ันยังไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักท่ัวไป ในวงการศึกษา
นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน
E-learning
ความหมาย e-Learning เป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยี
การศึกษาแบบใหม่ ที่ยังไม่มีชื่อภาษาไทยที่แน่ชัด และมีผู้
นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัส
แสง ให้คำนิยาม E-Learning หรือ Electronic Learning ว่า
หมายถึง “การเรียนผ่านทางสื่ออิเลคทรอนิกส์ซึ่งใช้การ
นำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ในรูปของสื่อมัลติมีเดียได้แก่
ข้อความอิเลคทรอนิกส์ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วิดีโอ
ภาพเคลื่อนไหว ภาพสามมิติฯลฯ”เช่นเดียวกับ คุณธิดาทิตย์ จันคนา ที่ให้ความ หมายของ e-learning
่าหมายถึงการศึกษาที่เรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตโดยผู้เรียนรู้จะเรียนรู้ ด้วย ตัวเอง ารเรียนรู้จะ
เป็นไปตามปัจจัยภายใต้ทฤษฎีแห่งการเรียนรู้สองประการคือ เรียนตามความรู้ความสามารถของผู้เรียน
เอง และ การตอบสนองใน ความแตกต่างระหว่างบุคคล(เวลาท่ีแต่ละบุคคลใช้ในการเรียนรู้)การเรียน
จะกระทำผ่านส่ือบนเครือข่ายอินเตอร์เนต โดยผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษา
ผ่านบริการ World Wide Web หรือเวปไซด์ โดยอาจให้มีปฏิสัมพันธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร)
ระหว่างกัน จะที่มีการ เรียนรู้ ู้ในสามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือ
ผู้เรียนหน่ึงคนกับกลุ่มของผู้เรียน ปฏิสัมพันธ์น้ีสามารถ กระทำ ผ่านเครื่องมือสองลักษณะคือ
1. แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน
หรือ ส่งในลักษณะของเสียง จากบริการของ Chat room
2. แบบ Non real-time ได้แก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเลคทรอนิคเมลล์
WebBoard News-group เป็นต้น
ความหมายของ e-Learning ที่มีปรากฏอยู่ในส่วนคำถามที่ถูกถามบ่อย (Frequently Asked
Question : FAQ) ในเวป www.elearningshowcase.com ให้นิยามว่า e-Learning มีความหมาย
เดียวกับ Technology-based Learning นั้นคือการศึกษาที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบที่
สำคัญ ความหมายของ e-Learning ครอบคลุมกว้างรวมไปถึงระบบโปรแกรม และขบวนการที่
15
ดำเนินการ ตลอดจนถึงการศึกษาที่ใช้ ้คอมพิวเตอร์เป็นหลักการศึกษาที่อาศัยWebเป็นเคร่ืองมือหลัก
การศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง และการศึกษาที่ใช้ การทำงานร่วมกันของอุปกรณ์อิเลค ทรอนิค
ระบบดิจิตอล ความหมายเหล่านี้มาจากลักษณะของการส่งเนื้อหาของบทเรียนผ่านทาง อุปกรณ ์
อิเลคทรอนิค ซึ่งรวมทั้งจากในระบบอินเตอร์เนต ระบบเครือข่ายภายใน (Intranets) การ ถ่ายทอด
ผ่านสัญญาณทีวี และการใช้ซีดีรอม อย่างไรก็ตาม e-Learning จะมีความหมายในขอบเขต ที่แคบกว่า
การศึกษาแบบทางไกล (Long distance learning) ซึ่งจะรวมการเรียนโดยอาศัยการส่ง ข้อความหรือ
เอกสารระหว่างกันและชั้นเรียนจะเกิดข้ึนในขณะท่ีมีการเขียนข้อความส่งถึงกัน การนิยามความหมาย
แก่ e-learning Technology-based learning และ Web-based Learning ยังมี ความแตกต่างกัน
ตามแต่องค์กร บุคคลและกลุ่มบุคคลแต่ละแห่งจะให้ความหมาย และคาดกันว่าคำ ว่าe-Learning ท่ีมี
การใช้มาต้ังแต่ปี คศ. 1998 ในท่ีสุดก็จะเปล่ียนไปเ ป็น e-Learning เหมือนอย่าง กับที่มีเปล่ียนแปลง
คำเรียกของ e-Business
เมื่อกล่าวถึงการเรียนแบบ Online Learning หรือ Web-
based Learning ซึ่งเป็นส่วนหน่ึง ของ Technology-based
Learning n่ีมีการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เนต
อินทราเนต และ เอ็ซทราเนต (Extranet) พบว่าจะมีระดับ
การจัดการที่แตกต่างกันออกไป Online Learning ปกติจะ
ประกอบด้วยบทเรียนที่มีข้อความและรูปภาพ แบบฝึกหัด
แบบทดสอบ และบันทึกการเรียน อาทิ คะแนนผลการ
ทดสอบ(test score) และบันทึกความก้าวหน้าของการเรียน
(bookmarks) แต่ถ้าเป็น Online Learning ที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โปรแกรมของการเรียนจะ
ประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว แบบ จำลอง สื่อที่เป็นเสียง ภาพจากวิดีโอ กลุ่มสนทนาทั้งในระดับ
เดียวกันหรือในระดับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ที่ปรึกษาแบบออนไลน์ (Online Mentoring) จุดเชื่อมโยงไป
ยังเอกสารอ้างอิงที่มีอยู่ ในบริการของเวป และการสื่อสารกับระบบท่ีบันทึกผลการเรียน เป็นต้น
การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต
(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม ความสามารถ
และความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพเสียง วิดีโอและ
มัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และ เพื่อนร่วมช้ันเรียนทุก
คน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับ การเรียนในชั้นเรียน
ปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็นการเรียน
สำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานท่ี (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)
16
12. นวัตกรรมทางการศกึ ษาต่างๆ ทกี่ ลา่ วถึงกันมากในปจั จบุ ัน [ E-learning / M-Leaning ]
ความหมายของ e-Learning
การเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Learning รูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งใช้การถ่ายทอดเนื้อหา
(delivery methods) ผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม และใช้รูปแบบการนำเสนอ
เน้อื หาสารสนเทศในรปู แบบต่าง ๆ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปแบบการเรยี นท่เี ราคนุ้ เคยกนั มาพอสมควร
ลักษณะสำคญั ของ e-Learning (Feature of e-Learning)
12.1 ทกุ เวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถงึ e-Learning ควรต้องชว่ ยขยายโอกาส
ในการเขา้ ถึงเนื้อหาการเรยี นรูข้ องผู้เรียนได้จริง
12.2 มัลติมีเดีย (Multimedia) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหาโดยใช้ประโยชน์
จากสื่อประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลสารสนเทศ ของ
ผู้เรียนเพื่อให้เกิดความคงทนในการจดจำและ/หรือการ
เรยี นรไู้ ด้ดีขึ้น
12.3 การเชื่อมโยง (Non-linear) หมายถึง e-
Learning ควรตอ้ งมีการนำเสนอเน้ือหาในลักษณะท่ีไม่เป็น
เชิงเส้นตรง
12.4 การโตต้ อบ (Interaction) หมายถงึ
e-Learning ควรต้องมกี ารเปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นโตต้ อบ(มปี ฏสิ ัมพนั ธ์) กับเนื้อหา หรือกับผ้อู ืน่ ได้
องคป์ ระกอบของ e-Learning (Component of e-Learning)
1. เนือ้ หา (Content)
เนื้อหาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดสำหรับ e-Learning คุณภาพของการเรียนการสอนของ e-
Learningและการที่ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนในลักษณะนี้หรือไม่อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ
เนื้อหาการเรียนซ่งึ ผสู้ อนได้จัดหาใหแ้ ก่ผเู้ รยี น ซึ่งผู้เรยี นมหี น้าที่ในการใชเ้ วลาส่วนใหญ่ศกึ ษาเน้ือหาดว้ ยตนเอง
เพื่อทำการปรับเปลี่ยน (convert) เนื้อหาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการคิดค้น
วิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผลด้วยตัวของผู้เรียนเอง คำว่า “เนื้อหา” ในองค์ประกอบแรกของ e-
Learning น้ี ไม่ไดจ้ ำกัดเฉพาะสื่อการสอน และ/หรอื คอรส์ แวร์ เทา่ นั้น แต่ยังหมายถงึ ส่วนประกอบสำคัญอื่น
ๆ ท่ี e-Learning จำเปน็ จะตอ้ งมีเพ่ือให้เน้อื หามีความสมบูรณ์ เชน่ คำแนะนำการเรยี น ประกาศสำคัญต่าง ๆ
ผลป้อนกลับของผูส้ อน เปน็ ต้น
2. ระบบบริหารจดั การการเรียนรู้ (Learning Management System)
17
องค์ประกอบที่สำคัญมากเช่นกันสำหรับ e-Learning ได้แก่ ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเสมือน
ระบบทร่ี วบรวมเคร่ืองมอื ซ่งึ ออกแบบไวเ้ พ่อื ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรยี นการสอนออนไลน์
นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้ในที่นี้ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผู้เรียน (students) ผู้ช่วยสอน(course
manager) และผู้ที่จะเข้ามาช่วยผูส้ อนในการบริหารจัดการด้านเทคนิคต่าง ๆ (network administrator)ซ่ึง
เครื่องมือและระดับของสิทธิในการเข้าใช้ทีจ่ ัดหาไว้ให้ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่การใช้งานของแต่ละ
กลุ่ม ตามปรกติแล้ว เครอ่ื งมือที่ระบบบริหารจดั การการเรียนรู้ต้องจดั หาไวใ้ ห้กบั ผใู้ ช้ ได้แก่ พื้นทแ่ี ละเครอื่ งมอื
สำหรับการช่วยผู้เรียนในการเตรียมเนื้อหาบทเรียน พื้นที่และเครื่องมือสำหรับการทำแบบทดสอบ
แบบสอบถาม การจัดการกับแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ นอกจากนี้ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ที่สมบูรณ์จะจัดหา
เครอ่ื งมือในการตดิ ตอ่ สื่อสารไวส้ ำหรับผูใ้ ช้ระบบไม่วา่ จะเป็นในลกั ษณะของ ไปรษณยี อ์ เิ ล็กทรอนิกส์ (e-mail)
เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบก็ยังจัดหาองค์ประกอบพิเศษอื่น ๆ เพื่ออำนวยความ
สะดวกใหก้ ับผูใ้ ช้อีกมากมาย เชน่ การจัดให้ผใู้ ชส้ ามารถเข้าดูคะแนนการทดสอบ ดูสถติ กิ ารเขา้ ใช้งานในระบบ
การอนญุ าตให้ผู้ใช้สร้างตารางการเรยี น ปฏิทินการเรยี น เปน็ ต้น
3. โหมดการติดต่อสื่อสาร (Modes of
Communication)
องค์ประกอบสำคัญของ e-Learning ที่ขาด
ไม่ได้อีกประการหนึ่ง ก็คือ การจัดให้ผู้เรียน
สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้สอน วิทยากร
ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ รวมทั้งผู้เรียนด้วยกัน ใน
ลักษณะที่หลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้
กล่าวคอื มเี ครื่องมือที่จัดหาไว้ให้ผู้เรียนใช้ได้
มากกว่า 1 รูปแบบ รวมทั้งเครื่องมือนั้น
จะต้องมีความสะดวกในการใช้งาน (user-friendly) ด้วย ซึ่งเครื่องมือที่ e-Learning ควรจัดหาให้ผู้เรียน
ไดแ้ ก่
3.1 การประชุมทางคอมพิวเตอร์
ในทน่ี ห้ี มายถงึ การประชมุ ทางคอมพิวเตอรท์ ง้ั ในลักษณะของการตดิ ตอ่ ส่ือสารแบบต่างเวลา(Asynchronous)
เช่น การแลกเปลี่ยนข้อความผ่านทางกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของเว็บบอร์ด (Web
Board) เป็นต้น หรือในลักษณะของการติดต่อสื่อสารแบบเวลาเดียวกัน(Synchronous) เช่น การสนทนา
ออนไลน์ หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อของ แช็ท (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจัดให้มีการถ่ายทอด
สัญญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการนำไปใช้
18
ดำเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน ผ้สู อนสามารถเปิดสมั มนาในหวั ข้อทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับเน้ือหาในคอร์ส ซ่ึงอาจอยู่
ในรูปของการบรรยาย การสมั ภาษณผ์ ูเ้ ช่ยี วชาญ การเปิดอภิปรายออนไลน์ เป็นต้น
3.2 ไปรษณยี ์อิเลก็ ทรอนิกส์ (e-mail)
ไปรษณยี อ์ เิ ล็กทรอนิกส์ เปน็ องคป์ ระกอบสำคัญเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถติดต่อส่อื สารกับผู้สอนหรือผู้เรียนอื่น ๆ
ในลักษณะรายบุคคล การส่งงานและผลป้อนกลับให้ผูเ้ รียน ผู้สอนสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้เรียนเปน็
รายบคุ คล ท้ังนีเ้ พอ่ื กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความกระตือรอื ร้นในการเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนอย่างต่อเนื่อง ท้ังน้ี
ผู้สอนสามารถใช้ไปรษณียอ์ เิ ลก็ ทรอนิกสใ์ นการใหค้ วามคดิ เห็นและผลป้อนกลับท่ีทนั ต่อเหตกุ ารณ์
4. แบบฝกึ หัด/แบบทดสอบ
องค์ประกอบสุดทา้ ยของ e-Learning แต่ไม่ไดม้ ีความสำคัญน้อยทีส่ ุดแต่อย่างใด ได้แก่ การจัดให้ผู้เรียนได้มี
โอกาสในการโตต้ อบกับเนอ้ื หาในรูปแบบของการทำแบบฝึกหดั และแบบทดสอบความรู้
4.1 การจดั ใหม้ แี บบฝกึ หดั สำหรับผู้เรยี น
เนื้อหาที่นำเสนอจำเป็นต้องมีการจัดหาแบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียนเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจไวด้ ้วยเสมอ ทั้งนี้
เพราะ e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนซึ่งเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น
ผู้เรียนจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแบบฝึกหัดเพื่อการตรวจสอบว่าตนเข้าใจและรอบรู้ในเรื่องที่ศึกษาด้วย
ตนเองมาแลว้ เปน็ อยา่ งดีหรือไม่ อยา่ งไร การทำแบบฝึกหัดจะทำให้ผเู้ รียนทราบได้ว่าตนนั้นพร้อมสำหรับการ
ทดสอบ การประเมนิ ผลแลว้ หรือไม่
4.2 การจัดใหม้ แี บบทดสอบผเู้ รยี น
แบบทดสอบสามารถอยู่ในรปู ของแบบทดสอบก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรอื หลงั เรยี นก็ไดส้ ำหรับ e-Learning
แล้ว ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ทำให้ผู้สอนสามารถสนับสนุนการออกข้อสอบของผู้สอนได้หลากหลาย
ลกั ษณะ กลา่ วคือ ผู้สอนสามารถออกแบบการประเมินผลในลักษณะของ อัตนัย ปรนยั ถกู ผดิ การจับคู่ ฯลฯ
นอกจากน้ยี ังทำใหผ้ ู้สอนมีความสะดวกสบายในการสอบเพราะผสู้ อนสามารถท่ีจะจัดทำข้อสอบในลกั ษณะคลัง
ขอ้ สอบไวเ้ พอ่ื เลือกในการนำกลับมาใช้ หรอื ปรับปรงุ แกไ้ ขใหม่ไดอ้ ย่างง่ายดาย นอกจากน้ีในการคำนวณและ
ตัดเกรด ระบบ e-Learning ยังสามารถช่วยให้การประเมินผลผู้เรียนเป็นไปได้อย่างสะดวก เนื่องจากระบบ
บริหารจัดการการเรียนรู้ จะชว่ ยทำให้การคดิ คะแนนผู้เรียน การตัดเกรดผเู้ รียนเปน็ เร่ืองงา่ ยขึ้นเพราะระบบจะ
อนุญาตใหผ้ สู้ อนเลือกไดว้ ่าต้องการท่ีจะประเมนิ ผลผู้เรียนในลกั ษณะใด เชน่ อิงกลุ่ม องิ เกณฑ์ หรือใช้สถิติใน
การคิดคำนวณในลักษณะใด เช่น การใช้ค่าเฉลี่ย ค่า T-Score เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถที่จะแสดงผลใน
รูปของกราฟได้อีกดว้ ย
ขอ้ ได้เปรียบและข้อจำกัดของ e-Learning (advantage of e-Learning)
ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั จากการนำ e-Learning ไปใชใ้ นการเรียนการสอนมี ดงั นี้
1. e-Learning ช่วยใหก้ ารจัดการเรียนการสอนมีประสิทธภิ าพมากยิง่ ข้ึน
19
2. e-Learning ช่วยทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้
อย่างละเอยี ดและตลอดเวลา
3. e-Learning ช่วยทำใหผ้ ู้เรยี นสามารถควบคุมการเรียนของตนเองได้
4. e-Learning ช่วยทำให้ผเู้ รียนสามารถเรียนรไู้ ด้ตามจงั หวะของตน (Self-paced Learning)
5. e-Learning ชว่ ยทำให้เกิดปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รยี นกับครูผู้สอน และกบั เพือ่ น ๆ ได้
6. e-Learning ชว่ ยสง่ เสรมิ ให้เกดิ การเรียนรทู้ ักษะใหม่ ๆ
7. e-Learning ทำให้เกดิ รปู แบบการเรยี นทส่ี ามารถจัดการเรียนการสอนใหแ้ ก่ผเู้ รียนในวงกว้างขึน้
8. e-Learning ทำใหส้ ามารถลดตน้ ทุนในการจดั การศกึ ษาน้ัน ๆ ได้
ขอ้ จำกดั
1. ผสู้ อนทนี่ ำ e-Learning ไปใช้ในลกั ษณะของสอ่ื เสรมิ โดยไม่มกี ารปรบั เปลยี่ นวิธีการสอนเลย
2. ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เนื้อหาแก่ผู้เรียน มาเป็น (facilitator)
ผู้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำตา่ ง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรูด้ ้วยตนเอง
จาก e-Learning ท้งั นี้ หมายรวมถึง การทผ่ี ้สู อนควรมีความพร้อมทางด้านทกั ษะคอมพวิ เตอร์และรับผิดชอบ
ต่อการสอนมคี วามใสใ่ จกบั ผู้เรียนโดยไมท่ ง้ิ ผู้เรยี น
3. การลงทนุ ในดา้ นของ e-Learning ต้องครอบคลุมถึงการจดั การให้ผู้สอนและผ้เู รยี นสามารถเข้าถึง
เนื้อหาและการติดต่อสื่อสารออนไลน์ได้สะดวก สำหรับ e-Learning แล้ว ผู้สอนหรือผู้เรียนที่ใช้รูปแบบการ
เรียนในลักษณะนี้จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ต่าง ๆ ในการเรียนที่พร้อมเพรียงและมี
ประสทิ ธิภาพ
4. การออกแบบ e-Learning ที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนระดับอุดมศึกษาใน
บ้านเราซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น e-Learning จะต้องได้รับการออกแบบตามหลักจิตวทิ ยาการศึกษา กล่าวคอื
จะตอ้ งเนน้ ให้มกี ารออกแบบใหม้ ีกิจกรรมโต้ตอบอยตู่ ลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกับเน้ือหาเอง กบั ผ้เู รียนอ่นื ๆ หรือ
กับผสู้ อนกต็ าม
5. ในการท่ี e-Learning จะสง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของการเรียนรู้ของผูเ้ รียนได้น้ัน สิง่ สำคญั ได้แก่ การท่ี
ผู้เรียนจะต้องรู้จกั วิธีการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (self-Learning) อย่างมีประสิทธภิ าพ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะตอ้ งมี
การสนับสนุน และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างวินัยในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
(selfdiscipline)รวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างเสริมลักษณะนิสัย ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ รู้จักวิธีการ
เลือกสรรประเมนิ รวบรวมสารสนเทศ รวมทั้งรู้จักการจัดระเบียบ (organize) วิเคราะห์ สังเคราะห์ และการ
นำเสนอสารสนเทศตามความเข้าใจของตนเอง
การนำ e-Learning ไปใช้ในการเรียนการสอน สามารถทำได้ 3 ระดบั
1. ใช้ e-Learning เปน็ ส่ือเสรมิ (Supplementary)
20
หมายถงึ การนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะสื่อเสริม นอกจากเน้อื หาท่ีปรากฏในลกั ษณะ e-Learning แล้ว
ผูเ้ รยี นยงั สามารถศกึ ษาเนอื้ หาเดียวกนั นใ้ี นลกั ษณะอ่นื ๆ
2. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเตมิ (Complementary)
หมายถึง การนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะเพิ่มเติมจากวิธีการสอนในลักษณะอื่น ๆ เช่น นอกจากการ
บรรยายในห้องเรียนแลว้ ผ้สู อนยังออกแบบเนื้อหาใหผ้ ้เู รียนเข้าไปศกึ ษาเนือ้ หาเพ่ิมเติมจาก e-Learning
3. ใช้ e-Learning เปน็ สอื่ หลกั (ComprehensiveReplacement)
หมายถึง การนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหา
ท้งั หมดออนไลน์ และโต้ตอบกับเพือ่ นและผู้เรียนอน่ื ๆ
ความหมายของ M – Learning
m-Learning (mobile learning) คือ การ
จัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป
(Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและ
กิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยไี รส้ าย
( wireless telecommunication network)
และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถ
เรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่อ
โดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้
เครอ่ื งมือสำคญั คือ อปุ กรณป์ ระเภทเคลือ่ นท่ีได้โดยสะดวกและสามารถเชอื่ มต่อเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่
ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริงได้แก่ Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell
Phones ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
บทบาทของ M-Learning
M-Learning กำลังก้าวเข้ามาเป็นการเรียนรู้คู่กับสังคมอย่างแท้จริง เนื่องจากความเป็นอิสระ ของ
เครือข่ายไรส้ าย ทสี่ ามารถเขา้ ถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา อกี ทง้ั จำนวนเครือ่ งคอมพวิ เตอรแ์ บบพกพาทใ่ี ชเ้ ปน็ เคร่ืองมอื
นัน้ มีจำนวนเพมิ่ ขึน้ เร่ือยๆ จงึ เปน็ การเรยี นรู้อกี ทางเลอื กหนง่ึ ของการนำเทคโนโลยี มาใช้เปน็ ช่องทางในการให้
ผู้คนได้เข้าถึงความรู้ แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีก็ได้ย่อโลก ของเครือข่ายให้อยู่ในมือของผู้บริโภคแล้ว และ
สามารถเข้าสู่แหล่งการเรียนรู้ได้เมื่อต้องการอย่างแท้จริงทุกเวลา นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาได้ดี
ทเี ดยี ว และในอนาคตข้างหนา้ คาดว่าการเรียนรู้แบบ M-Learning จะแพร่หลายมากขึ้นยิ่งกว่าในปจั จบุ ัน
ผลกระทบตอ่ การศึกษาและการเรยี นการสอน
เมื่อมีอุปกรณ์ที่สะดวกต่อการเรียนการสอนเช่นนี้แล้ว จะช่วยส่งผลให้การศึกษา เป็นไปได้โดยง่าย
เพราะผูเ้ รียนสามารถที่จะเข้าถึงความรู้อยา่ งง่ายดายมากขึ้น ในปัจจุบันนัน้ เปน็ ยคุ ที่วัยรุ่น วัยเรียน ให้ความ
21
สนใจกับเทคโนโลยีมาก โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ น้อยคนมากที่จะไม่มี มือถือไว้ใช้ ดังนั้น M-learning จึง
เหมาะท่จี ะนำมาใชก้ บั การศึกษาในสมยั ปัจจุบันมากที่สุด เพือ่ เปน็ การเสรมิ ความรู้ให้กบั ผูเ้ รียนอย่างทว่ั ถงึ
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยี
-ผลกระทบตอ่ ชมุ ชน
-ผลกระทบตอ่ เศรษฐกิจ
-ผลกระทบด้านจติ วิทยา
-ผลกระทบทางดา้ นสิ่งแวดล้อม
-ผลกระทบทางด้านการศึกษา
การคิดสรา้ งสรรคห์ รือกรรมวธิ ีใหมๆ่ ซ่ึงตา่ งไปจากที่เคยปฏิบัตมิ าใช้แก้ปญั หาในการปฏิบัติงานต่างๆ
ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรา
เรียกว่า “นวัตกรรม” นวัตกรรมตรงกับคำว่า “innovation” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า To
renew หรอื to modify หรือ “ทำขึ้นมาใหม”่ ดังนนั้ คนเราจึงควรมีนวตั กรรม คือ ตอ้ งร้จู กั สร้างสรรค์ ต้องมี
ความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน ในการพัฒนาการ
เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในบั้นปลายนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ ครู -อาจารย์
จะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ ที่คิดค้นขึ้นในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” นั่นเอง
ฉะนนั้ คำว่า นวัตกรรมการศึกษา จึงหมายถงึ การนำส่ิงใหมๆ่ แนวความคิดวธิ ีการหรือการกระทำใหม่ๆ ซ่ึงได้
ผา่ นการทดลอง วิจยั หรอื อยรู่ ะหว่างการทดลอง หรือ อาจเปน็ สิ่งที่เคยใชแ้ ล้วมาปรับปรุงใหมม่ าใช้ในการศึกษา
เพ่ือปรบั ปรงุ หรือเพิม่ ประสทิ ธิภาพ ใหด้ ี ยิ่งข้ึน
22
บทที่2
ความรู้เบอื้ งต้นเก่ยี วกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ความหมายคอมพวิ เตอร์
ค อ ม พ ิ ว เ ต อ ร์ ม า จ า ก ภ า ษ า ล ะ ติ น
ว ่ า Computare ซ ึ ่ ง ห ม า ย ถ ึ ง ก า ร น ั บ ห ร ื อ ก า ร
คำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มี
ส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็
จัดเป็นคอมพิวเตอร์ไดท้ ั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในรา้ นค้า
ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือ
ประจำตัววศิ วกรในยุคยส่ี ิบปีก่อน หรอื เครอื่ งคิดเลข ลว้ น
เปน็ คอมพวิ เตอร์ไดท้ ้ังหมด
ในปจั จบุ นั ความหมายของคอมพวิ เตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครอื่ งคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ท่ี
สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัด
ว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและ
ซบั ซ้อน โดยวธิ ีทางคณิตศาสตร์
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด
คำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลข และ ตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนียัง
สามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมี
ความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บ
ขอ้ มลู ในตัวเครือ่ งและสามารถประมวลผลจากข้อมูลตา่ งๆ ได้
1.1 ประเภทของคอมพิวเตอร์
เครือ่ งคอมพวิ เตอรน์ ้ันสามารถจำแนกได้หลายประเภท ข้นึ กับขนาด ประสิทธภิ าพ และลักษณะการใช้
งาน โดยทว่ั ไป
1. คอมพิวเตอร์สว่ นบุคคล หรือ ซพี ี (Personal Computer) เป็นเครอื่ งคอมพวิ เตอรท์ ม่ี ีใช้งานกนั ทั่ว เป็น
แบบต้งั โตะ๊ ทเ่ี หมาะสำหรบั ใชง้ านในบา้ น ในสำนกั งานราคาไมแ่ พง ที่นยิ มใช้กันมอี ยู่สองตระกูลคือ PC-
Compatible ทีม่ ตี น้ แบบเป็นคอมพิวเตอรข์ องบริษัท IBM และคอมพิวเตอรต์ ระกลู Apple คอมพิวเตอร์
แบบ Apple คอมพวิ เตอรแ์ บบ PC มกี ารผลิตออกมาหลายร่นุ หลายแบบโดยส่วนใหญแ่ ละวจะใชโ้ ปรแกรม
23
ระบบปฏิบัติการ Windows สว่ นคอมพิวเตอร์ Apple จะใชโ้ ปรแกรมระบบปฏิบัติการของ Macintosh ท่ี
เรียกวา่ Mac OS
2. คอมพิวเตอร์โน้ตบ๊กุ (Notebook Computer)
เป็นคอมพิวเตอรส์ ่วนบคุ คลขนาดเล็กที่มีน้ำหนกั เบา สะดวกกบั การเคลอ่ื นย้ายไปยังที่ต่างๆ
คอมพวิ เตอร์แบบนี้อาจเรียกไดว้ ่าเป็น Mobile computer สามารถใช้พลงั งานไฟฟา้ ท่ัวไปเหมอื นพลังงานจาก
แบตเตอรีไ่ ด้ ในปัจจุบนั คอมพวิ เตอรป์ ระเภทนอ้ี าจมปี ระสิทธิภาพสงู ไม่แพ้แบบคอมพิวเตอรแ์ บบ พีซี แตห่ าก
เปรยี บกับพซี ที ี่มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากนั แล้ว คอมพิวเตอรแ์ บบโนต้ บุกจะมีราคาสูงกว่า
3. คอมพวิ เตอร์แบบพกพา (Handheld Computer)
เปน็ คอมพิวเตอรข์ นาดเลก็ ทีเ่ หมาะสำหรับพกพาไปท่ตี า่ งๆ เนอ่ื งจากเครือ่ งมีขนาดเลก็ จงึ ไม่
เหมาะที่จะออกแบบคยี ์บอรด์ ไวบ้ นตัวเคร่ือง แต่ใช้ปากกาท่ีเรียกว่า สไตลัส (Stylus) เปน็ อปุ กรณ์สำหรับปอ้ น
ขอ้ มลู คอมพิวเตอรป์ ระเภทนีส้ ามารถใชง้ านพ้ืนฐานทัว่ ไปได้ รบั สง่ email และใช้ในการสอ่ื สารได้ เคร่อื ง
คอมพวิ เตอร์ประเภทนจี้ ะรวมถงึ คอมพวิ เตอร์แบบ PDA (Personal Digital Assistant) หรือ พีดีเอ ที่ใช้กนั
ทั่วไป ปจั จบุ นั คอมพวิ เตอร์ประเภทนีย้ ังมีกล้องถา่ ยภาพติดมาบนตวั เครอื่ งดว้ ย
อนิ เทอรเ์ น็ต หมายถงึ เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ทีม่ ีขนาดใหญ่ มีการเช่ือมตอ่ ระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ
เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล ( protocol) ผู้ใช้
เครือขา่ ยนีส้ ามารถส่อื สารถงึ กนั ไดใ้ นหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และ โซเชยี ลเน็ตเวริ์ค แนวโน้มลา่ สุด
ของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม ซึ่งพบว่า
ปัจจุบนั เว็บไซต์ที่เกี่ยวขอ้ งกับกิจกรรมดงั กลา่ วกำลงั ได้รบั ความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น Facebook (เฟซบุ๊ก)
Twitter (ทวิตเตอร์) Instragram (อินสตราแกรม) และการใช้เริม่ มกี ารแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอรเ์ นต็
ผ่านโทรศัพท์มือถอื (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนนุ ให้การเขา้ ถึงเครือข่าย
ผา่ นโทรศพั ทม์ ือถอื ทำไดง้ ่ายขึ้นมาก และเป็นผลสืบเนื่องมาจากเทคโนโนยี 3 จี และ 4 จี
1.2เครือข่ายคอมพิวเตอร์
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในอดีตจะใช้วิธีบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดิสก์และส่งไปยงั
ปลายทางโดยอาศัยผู้ส่งดิสก์ เรียกการติดต่อสื่อสารแบบนี้ว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีคนเป็นสื่อ รับ-ส่ง
ข้อมูล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกันโดยใช้
สื่อกลางต่างๆ เช่น สายสัญญาณ คลื่นวิทยุ เป็นต้น เพื่อทำให้สามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้
ทรัพยากรร่วมกันไก้
24
เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ แบง่ ออกเป็น 6 ประเภท
1. เครอื ขา่ ยเฉพาะท่ี หรอื แลนด์
2. เครอื ขา่ ยนครหลวง หรือแมน
3. เครือขา่ ยบรเิ วณกว้าง หรอื แวน
4. เครือข่ายภายในองคก์ ร หรืออินทราเนต็
5. เครอื ขา่ ยภายนอกองค์กร หรเื อก็ ทราเน็ต
6. เครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ส่วนหลัก คือ องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ และ
องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ โดยองค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ หมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้งานและเชื่อมต่อภายใน
เครือข่าย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์สายสัญญาณ เป็นต้น ส่วนองค์ประกอบด้าน
ซอฟต์แวร์ หมายถึง ระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้สนับสนุนการทำงานและให้บริการด้านต่างๆ
เพอ่ื อำนวยความสะดวกใหแ้ กผ่ ใู้ ชใ้ หส้ ามารถตดิ ตอ่ สื่อสารผา่ นเครือข่ายได้
1.3 การเลือกใช้ฮารด์ แวรข์ องระบบเครือขา่ ยขนาดเลก็
การตดิ ต้งั เครือข่ายขนาดเล็ก มจี ดุ ประสงค์เพ่ือใช้งานภายในบา้ นหรือในสำนกั งาน
ขนาดเลก็ เพื่อให้สามารถใช้ทรพั ยากรร่วมกันได้ เชน่ ข้อมูล เคร่อื งพมิ พ์ สแกนเนอร์
เปน็ ต้น
1. อปุ กรณใ์ นระบบเครอื ขา่ ยขนาดเลก็ มีหลายชนิด ได้แก่ การด์ แลน ฮบั สวิตซ์
โมเด็ม เราเตอร์ สายสัญญาณ ซ่ึงอุปกรณแ์ ต่ละชนิดมคี ณุ สมบัติแตกตา่ งกนั ดงั นี้
1.1 การ์ดแลน เป็นอุปกรณท์ ท่ี ำหน้าที่ ท่ีรบั ส่งขอ้ มูลจากคอมพวิ เตอร์
เครือ่ งหน่งึ ไปสคู่ อมพวิ เตอรอ์ กี เครอื่ งหนง่ึ โดยผ่านสายแลน
1.2 ฮับ เปน็ อปุ กรณท์ ี่ทำหน้าทีเ่ สมอื นกบั ชมุ ทางข้อมูล หนา้ ทเ่ี ป็นตัวกลางคอยสง่ ขอ้ มูลให้
คอมพวิ เตอรใ์ นเครอื ข่าย และเป็นตัวกระจายสญั ญาณ
1.3 สวิทช์ เป็นอปุ กรณร์ วมสญั ญาณเช่นเดยี วกับฮบั แต่ต่างจากฮบั คอื
การรบั ส่งข้อมลู จากคอมพิวเตอรเ์ ครอื่ งหนึ่งน้ันจะไมก่ ระจายไปยงั ทกุ เครอ่ื ง เน่อื งจากสวิทช์
จะรบั กลมุ่ ขอ้ มูลมาตรวจสอบก่อนว่าเปน็ ข้อมลู เคร่ืองใด แล้วส่งข้อมูลนัน้ ไปยงั ปลายทาง
25
อยา่ งอตั โนมตั ิ
1.4 โมเด็ม เป็นอุปกรณ์ท่ีทำหน้าทีแ่ ปลงสัญญาณเพื่อใหสามารถสง่ ผ่านสายโทรศัพท์ หรือใย
แก้วนำแสงได้
1.5 อุปกรณ์จัดเส้นทางหรือ เราเตอร์ เปน็ อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการเช่อื มโยงเครือข่าย
หลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน การส่งข้อมูลจึงมีหลายเส้นทาง และทำหน้าเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการ
ส่งผ่านขอ้ มลู เพอ่ื เปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
1.6 สายสัญญาณเปน็ อปุ กรณ์ทีท่ ำหน้าที่เปน็ สื่อกลางในการรับสง่ ข้อมูล
1.4 การเชือ่ มต่อระบบเครอื ขา่ ยขนาดเลก็
การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่ใช้กันในปัจจุบันมี 2 แบบหลักๆ คือ การเชื่อมต่อเครือข่าย
ระยะใกล้ การเชอ่ื มต่อเครอื ขา่ ยระยะไกล
1.1 การเช่ือมต่อเครอื ข่ายระยะใกล้
หากมีคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายไม่เกินสองเครื่อง อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายนอกจากเครื่อง
คอมพวิ เตอร์แลว้ ยังตอ้ งมีการด์ แลนดแ์ ละสายสญั ญาณ โดยไมต่ อ้ งใช้ฮบั และสวิตซ์
การตัดสินใจซื้อ ฮับและสวิตซ์ มาใช้จะต้องคำนึงถึงเรื่องการขยายระบบเครือข่ายในอนาคต
ด้วย ควรเลือกฮับและสวิตซ์ที่สามารถรับรองจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เท่ากับจำนวนที่คาดว่าจะมีใน
อนาคต
1.2 การเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกล จากข้อจำกัดของเครือข่ายที่ใช้สายแลนด์ที่ไม่สามารถ
เดนิ สายใหม้ ีความยาวมากกวา่ 100 เมตรได้ จงึ ต้องหาทางเลือกสำหรับระบบ เครอื ขา่ ยระยะไกล
ในกรณีที่เครือข่ายมีการรับส่งข้อมูลจำนวนมาก ควรเลือกใช้เราเตอร์เพื่อช่วยลดปัญหา
ความหนาแน่นของข้อมลู ในเครอื ข่าย แตเ่ นื่องจากเราเตอร์มีราคาแพงจึงตอ้ งประเมินความคุ้มค่าหากต้องการ
จัดซื้อมาใชง้ าน
แบบที่ 1 คอื ตอ้ งตดิ ต้ังเครอ่ื งทวนสัญณาณ ไวท้ ุกๆระยะ 100
แบบที่ 2 คือ ใช้โมเด็มหมุนโทรศัพท์เข้าหากันเมือ่ ต้องการเชื่อมตอ่ และเมื่อเสร็จส้ินธุรกิจแล้วก็ยกเลกิ
การเชื่อมต่อ แตค่ วามเรว็ ทไี่ ดจ้ ะไดแ้ ค่เพยี งความสามารถของสายโทรศัพท์
แบบท่ี 3 คือ เปน็ เทคโนโลยีระบบเครอื ข่ายที่มีประสิทธภิ าพมากท่ีสุดในปัจจุบันสายสัญญาณที่เลือกใช้
คือสายใยแก้วนำแสง สามารถสง่ ข้อมูลได้ระยะทางไกลและมคี วามเรว็ สงู รวมถึงความปลอดภัยของข้อมูล
26
แบบที่ 4 คือ ใช้จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อโดยใช้สัญาณวิทยุทางอากาศแทนการใช้
สายโทรศัพท์ เพ่ือลดปัญหาจากการใชส้ ายสญั ญาณ เหมาะสำหรับการติดตัง้ ในพ้นื ท่ที ่มี ีขนาดจำกดั
แบบท่ี 5 คือ เทคโนโลยี G.SHDSL ซง่ึ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีตระกูล DSL เปน็ เทคโนโลยีโมเด็มท่ีทำให้
คู่สายทองแดงธรรมดากลายเป็นสื่อสัญญาณดิจิทัลความเร็วสูง โดยใช้เทคนิคการเข้ารหัสสัญญาณข้อมูล ใน
ย่านความถ่ีทีส่ งู กว่าการใชง้ านโทรศพั ทโ์ ดยทั่วไป ทำให้สามารถสง่ ขอ้ มลู ในขณะเดยี วกนั กบั การใช้งานโทรศัพท์
ได้
แบบที่ 6 คอื เทคโนโลยีแบบ ethernet overVDSLเปน็ เทคโนโลยรี ะบบเครือข่ายแบบล่าสุดท่ีสามารถ
ตดิ ตั้งใช้งานไดเ้ อง จึงทำใหม้ ีต้นทนุ ต่ำโยสามารถเชื่อมต่อกับสายโทรศัพท์ท่วั ไป
1.5 การเลอื กใช้ซอฟตแ์ วร์ของระบบเครือขา่ ยขนาดเล็ก
สามารถเลอื กใชร้ ะบบปฏิบตั ิการแบบเครือข่าย( Network OS ) เป็นระบบปฎิบัตกิ ารสำหรับออกแบบ
และจัดการงานด้านการส่ือสารระหว่างคอมพิวเตอร์ภายในเครอื ข่ายให้สามารถใช้ทรัพยากรรว่ มกนั ได้ ปัจจุบัน
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะใช้หลักการประมวลผลแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ คือการจัดการข้อมูลและ
โปรแกรมทำงานอยู่บนเครื่องเซริ ฟ์ เวอร์และสว่ นประกอบอ่ืนๆของระบบปฎิบัติการเครอื ข่ายจะทำงานอยู่บน
เครือ่ งไคลเอนด์ เช่นการประมวลผล การติดต่อกับผู้ใช้ เป็นต้น
ปัจจบุ นั ซอฟต์แวร์สำหรับระบบเครอื ข่ายขนาดเล็ก มใี หเ้ ลือกใชง้ านหลายโปรแกรม เช่น
1. ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ เซ็นต์โอเอส เรียกย่อว่า CentOS เป็นซอฟซ์แวร์เปิดเผยโค้ด ผู้ใช้สามารถ
ดาวน์โหลดไปใช้งาน หรือแก้ไขได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ แต่ผู้ดูแลระบบต้องเรียนรู้ระบบก่อนใช้งาน
สามารถเรยี นรูผ้ ่านทางเว็บไซตต์ ่างๆ
2. ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ ปัจจุบันถูกพัฒนาเป็น Windows Server 2008 ออกแบบ
เพื่อสนับสนุนระบบเครือข่าย แอพพลิเคชั่นและบริการอื่นๆ ที่มีความทันสมัยบนเว็บไซต์ และยังเพิ่ม
ประสิทธิภาพให้ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน เช่น ระบบเครื่องมือเวบ็ เทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชัน เพิ่มคุณภาพ
ความปลอดภัย เครื่องมือจัดการช่วยประหยัดเวลาและทรพั ยากรอืน่ ๆ ได้มากขนึ้ โดยมคี ณุ สมบตั ิดงั นี้
1.สร้างโครงสรา้ งพ้ืนฐานที่มนั่ คงสำหรับภาระงานของเซริ ฟ์ เวอร์
2.เวอรช์ วลไลเซชนั ซง้ึ เป็นเทคโนโลยกี ารสรา้ งระบบเสมอื นจริงท่ีมรี ากฐานจากระบบ
3. มรี ะบบการจัดการดูแลเว็บ ระบบวิเคราะห์ปญั หา เครอื่ งมอื พฒั นา
4.ระบบความปลอดภยั ไดร้ ับการพัฒนาใหม้ คี วามทนทานมากขึน้ พรอ้ มท้งั ผสานการใชเ้ ทคโนโลยี
ดา้ น IDA หลายชิน้
27
2. ความหมายของอินเทอรเ์ นต็
อนิ เทอร์เนต็ (องั กฤษ: Internet) หมายถงึ เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ่ีมีขนาดใหญ่ มีการเชอ่ื มตอ่
ระหวา่ งเครอื ข่ายหลาย ๆ เครอื ข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกนั ระหวา่ งคอมพิวเตอร์ท่ีเรยี กว่า โพรโท
คอล (protocol) ผู้ใชเ้ ครือขา่ ยน้ีสามารถสือ่ สารถึงกนั ได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอรด์ และ โซเชยี ล
เน็ตเวิรค์ แนวโนม้ ลา่ สดุ ของการใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตคือการใช้อนิ เทอรเ์ น็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรคเ์ พือ่ สร้าง
เครอื ขา่ ยสงั คม ซึ่งพบว่าปจั จบุ ันเวบ็ ไซตท์ เ่ี กยี่ วข้องกบั กจิ กรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลาย
เช่น Facebook (เฟซบกุ๊ ) Twitter (ทวิตเตอร์) Instragram (อินสตราแกรม) และการใชเ้ ร่ิมมกี ารแพร่ขยาย
เขา้ ไปส่กู ารใช้อินเทอร์เน็ตผา่ นโทรศพั ทม์ ือถอื (Mobile Internet) มากขึน้ เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบัน
สนับสนนุ ใหก้ ารเข้าถงึ เครอื ข่ายผ่านโทรศัพท์มอื ถือทำไดง้ า่ ยขึน้ มาก และเปน็ ผลสบื เนื่องมาจากเทคโนโนยี 3 จี
และ 4 จี
จำนวนผูใ้ ชอ้ ินเทอรเ์ น็ตทั่วโลก
ปัจจบุ นั จำนวนผใู้ ชอ้ นิ เทอร์เน็ตทวั่ โลกโดยประมาณ 2.095 พนั ล้านคน หรือ 30.2 % ของประชากรทว่ั
โลก (ขอ้ มลู ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมือ่ เปรียบเทียบในทวีปตา่ ง ๆ พบว่าทวปี ท่ีมผี ู้ใช้อินเทอร์เน็ตมาก
ท่ีสุดคอื เอเชยี โดยคดิ เปน็ 44.0 % ของผู้ใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตทัง้ หมด และประเทศที่มีประชากรผ้ใู ชอ้ นิ เทอรเ์ นต็
มากทสี่ ุดคือประเทศจนี คดิ เป็นจำนวน 384 ลา้ นคน หากเปรียบเทียบจำนวนผใู้ ช้อินเทอรเ์ น็ตกบั จำนวน
ประชากรรวม พบวา่ ทวีปอเมริกาเหนือมีสดั ส่วนผ้ใู ชต้ อ่ ประชากรสงู ท่ีสดุ คอื 78.3 % รองลงมาได้แก่ ทวีป
ออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวปี ยุโรป คิดเปน็ 58.3 % ตามลำดบั
28
3. ระบบการสืบคน้ ผา่ นเครือขา่ ยเพือ่ การเรียนรู้
3.1 การสบื ค้นขอ้ มลู บนอนิ เทอร์เนต็
ในโลกไซเบอร์สเปซมขี ้อมลู มากมายมหาศาล
การท่ีจะคน้ หาขอ้ มูลจำนวนมากมายอย่างน้เี ราอาจจะ
คลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆจำเป็นจะต้องอาศัย
การคน้ หาขอ้ มูลด้วยเครอ่ื งมือคน้ หาท่ีเรยี กว่า Search
Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว
เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้ง
ของคนไทยและ ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้อง
เสียเวลาในการค้นหา และอาจหาขอ้ มูลท่ีเราต้องการไมพ่ บ การท่ีเราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจึงต้อง
พึ่งพา Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่
ผู้ใช้งานเพียงแตท่ ราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนัน้ ๆ ลงไปในช่องทีก่ ำหนด
คลิกปุ่มค้นหา เท่านั้น รอสักครู่ข้อมูลอย่างย่อๆ และรายชื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเข้าไปศึกษา
เพมิ่ เตมิ ไดท้ ันทีการค้นหาขอ้ มลู มี2วิธไี ดแ้ ก่
1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory คือวิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็น
หมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก เปน็ ประเภท สำหรับวิธใี ชง้ าน คณุ สามารถที่จะ Click เลือกข้อมูล
ที่ตอ้ งการจะดไู ด้เลยใน Web Browser จากน้นั ทหี่ นา้ จอก็จะแสดงรายละเอยี ดของหัวข้อปลกี ย่อยลึกลงมาอีก
ระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก ส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ
ฐานขอ้ มลู ใน Index วา่ ในแต่ละประเภท จดั รวบรวมเกบ็ เอาไว้มากน้อยเพยี งใด เม่ือคุณเขา้ ไปถงึ ประเภทย่อย
ที่คุณสนใจแล้ว ที่เว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกับ ประเภทของข้อมลู น้ันๆออกมา หากคุณ
คดิ วา่ เอกสารใดสนใจหรือต้องการอยากที่จะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพอ่ื ขอเชอื่ ตอ่ ทางไซต์ก็จะนำเอา
ผลของข้อมูลดงั กลา่ วออกมาแสดงผลทันที นอกเหนอื ไปจากนี้ ไซตท์ แี่ สดงออกมานั้นทางผ้ใู ห้บรกิ ารยงั ได้เรียบ
เรยี งโดยนำเอาSiteท่ีมคี วามเกี่ยว ข้องมากท่สี ดุ เอามาไว้ตอนบนสดุ ของรายชอ่ื ทแี่ สดง
2. การค้นหาในรูปแบบ Search Engine คือวิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search
Engine ซ่งึ ผใู้ ชส้ ว่ นใหญก่ ว่า 70% จะใชว้ ิธกี ารคน้ หาแบบนี้ หลกั การทำงานของ Search Engine จะแตกต่าง
จากการใช้ Indexลกั ษณะของมนั จะเปน็ ฐานข้อมลู ขนาดใหญม่ หาศาลทีก่ ระจัดกระจายอยู่ทัว่ ไป บน Internet
ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขัน้ ของความสำคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ
29
คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป
จากนน้ั Search Engine ก็จะแสดงขอ้ มลู และ Site ต่างๆทเี่ กย่ี วข้องออกมา
3.2 ข้อแตกต่างระหวา่ ง Index และ Search Engine
คำตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบ
ฐานขอ้ มลู ขึน้ มา สว่ นแบบ Search Engine นน้ั ระบบฐานขอ้ มลู ของมนั จะไดร้ ับการจัดสร้างโดยใช้ Software
ที่มี หน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อ
เรยี กวา่ Spiders การทำงานขอ้ งมันจะใช้วธิ ีการเดนิ ลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆท่ีเชอ่ื มโยงถึง กันอยู่เต็มไป
หมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลง
ของ ขอ้ มูลใน Site เดมิ ทีม่ อี ยู่ วา่ ทใี่ ดถกู อัพเดตแล้วบ้าง จากนน้ั มันก็จะนำเอาขอ้ มลู ท้งั หมดทส่ี ำรวจเข้ามา ได้
เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos
Infoserch เปน็ ต้น การคน้ หาดว้ ยวธิ ี Search Engine น้ันมักจะได้ผลลพั ธ์ออกมากวา้ งๆชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก
บางครง้ั ข้อมลู ท่ี คน้ หามาไดอ้ าจมีถงึ เป็นร้อยเปน็ พนั Site แล้วมีใครบ้างหละท่ีอยากจะมานงั้ ค้นหาและอา่ นดูท่ี
จะเพจ ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจิงมี
หลกั ในการคน้ หา เพือ่ ให้ได้ข้อมลู ใกล้เคยี งความเปน็ จรงิ มากทส่ี ดุ ซึง่ จะขอกล่าวในตอนหลัง
3.3 ประเภทของ Search Engine
Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search
Engine ที่แต่ละเวบ็ ไซต์นำมาใชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรอื เว็บไซต์ โดยวิธีการ
Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใชบ้ ริการ ใช้วิธีการหรอื ประเภทของ Search
Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า
Search Engine ประเภทใดทเี่ หมาะกบั การค้นหาขอ้ มลู ของคณุ
3.3.1 Keyword Index เป็นการคน้ หาข้อมลู โดยการคน้ จากขอ้ ความในเว็บเพจท่ีไดผ้ ่านการ
สำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเวบ็ เพจนัน้ ๆ โดย
การอ่านนจี้ ะหมายรวมไปถงึ อ่านข้อความทอ่ี ยใู่ นโครงสร้างภาษา HTML ซ่ึงอยใู่ นรปู แบบของข้อความที่อยู่ใน
คำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสัง่ ของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และ
คำสงั่ ในภาษา JAVA มาใชใ้ นการคน้ หา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนจ้ี ะใหค้ วามสำคัญกับการ
เรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนีจ้ ะมีความ
รวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึง
รายละเอียดของเนื้อหาเทา่ ท่ีควร แตห่ ากวา่ คุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการ
ค้นหา วิธกี ารน้ีกใ็ ชไ้ ด้ผลดี
30
3.3.2 Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะ
จดั แบ่งโดยการวิเคราะห์เน้อื หา รายละเอยี ด ของแต่ละเวบ็ เพจ ว่ามเี นอ้ื หาเกีย่ วกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบ
นีจ้ ะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซงึ่ ทำใหก้ ารจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่
แต่ละคนว่าจะจดั เก็บข้อมูลน้นั ๆ อยใู่ นเครอื ข่ายขอ้ มูลอะไร ดังนนั้ ฐานขอ้ มูลของ Search Engine ประเภทน้ี
จะถูกจดั แบง่ ตามเน้ือหาก่อน แล้วจึงนำมาเปน็ ฐานขอ้ มลู ในการค้นหาตอ่ ไป การคน้ หาค่อนข้างจะตรงกับความ
ต้องการของผูใ้ ช้ และมคี วามถกู ตอ้ งในการคน้ หาสูง เปน็ ต้นว่า หากเราตอ้ งการหาข้อมูลเกยี่ วกับเว็บไซต์ หรือ
เว็บเพจทนี่ ำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายชือ่ เว็บไซต์ หรือเว็บเพจท่ี
เกยี่ วกบั คอมพวิ เตอรล์ ้วนๆ มาให้คุณ
3.3.3 Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการน้ี คือ สามารถเชื่อมโยงไปยงั
Search Engine ประเภทอ่นื ๆ และยงั มีความหลากหลายของข้อมลู แตก่ ารค้นหาด้วยวิธีนมี้ ีจุดดอ้ ย คอื วิธีการ
นี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language
(ภาษาพดู ) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนีล้ ะก็ ขอใหต้ ระหนักถึงขอ้ บกพร่องเหลา่ น้ดี ว้ ย
3.4 หลักการคน้ หาข้อมลู ของ Search Enine
สำหรบั หลกั ในการคน้ หาข้อมูลของ Search Engine แตล่ ะตวั จะมลี ักษณะท่ีแตกตา่ งกันออกไป ข้ึนอยู่
กบั ว่าทางศนู ย์บรกิ ารตอ้ งการจะเกบ็ ข้อมูลแบบไหน แตโ่ ดยสว่ นใหญ่แลว้ จะมีกลไกใน การค้นหาทใี่ กลเ้ คียงกัน
หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมลู มาก
น้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กบั ผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรอื เปลา่ ซึ่งลักษณะของ
ปัจจัยที่ใชค้ น้ หาโดยหลกั ๆจะมดี งั น้ี
1. การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เวบ็ ไซต์ตา่ งๆ
2. การคน้ หาจากคำท่มี ีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชอื่ ของเวบ็ เพจอย่ทู างดา้ น ซ้ายบนขอ
หนา้ ต่างท่แี สดง
3. การค้นหาจากคำสำคญั หรือคำสงั่ keyword (อยใู่ น tag คำสง่ั ใน html ท่มี ชี ื่อว่า meta)
4. การคน้ หาจากสว่ นที่ใช้อธิบายหรอื บอกลกั ษณะ site
5. ค้นหาคำในหนา้ เวบ็ เพจด้วย Browser ซึง่ การคน้ หาคำในหนา้ เวบ็ เพจนน้ั จะใช้สำหรบั กรณที ค่ี ณุ
เขา้ ไปค้นหาข้อมลู ท่ีเวบ็ เพจใด เวบ็ เพจหนง่ึ แลว้ ภายในมขี อ้ ความปรากฏอยูเ่ ต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทดั
คงไมส่ ะดวก ในลักษณะน้เี ราใช้ใช้ browser ช่วยคน้ หาให้ ขนึ้ แรกให้คณุ นำ mouse ไป click ท่ี menu Edit
แล้วเลอื กบรรทดั คำสง่ั Find in Page หรอื กดป่มุ Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากน้นั ใส่คำที่ต้องการค้นหาลง
31
ไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณ
สามารถกดปุม่ Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อกี จนกวา่ คณุ จะพบขอ้ มลู ทีต่ ้องการ
3.5 เทคนคิ 11 ประการทค่ี วรรใู้ นการค้นหาข้อมลู
ในการคน้ หาข้อมูลดว้ ย Search Engine สว่ นใหญ่แล้วปญั หาท่ีผใู้ ชง้ านท่วั ไปมักจะพบเหน็ หรอื ประสบ
อยู่เสมอๆกค็ งจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลท่ีคน้ หาไดม้ ีขนาดมากจนเกินไป ดังนั้นเพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคณุ
จึงนา่ ทจ่ี ะเรียนรูเ้ ทคนิคต่างๆเพือ่ ชว่ ยลดหรอื จำกดั คำที่คน้ หาให้แคบลงและตรงประเดน็ กับเรามากที่สดุ ดัง
วิธีการต่อไปน้ี
1. เลือกรปู แบบการค้นหาให้ตรงกับสิง่ ที่คุณต้องการมากท่ีสุด(อย่างท่ีบอกไวต้ ั้งแตต่ อนต้นว่ามีอยู่ 2
แบบ) ส่วนจะเลือกใช้วิธีไหนก็ตามแต่จะเห็นว่า เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มี
ลักษณะทว่ั ไป ไมช่ ้ี เฉพาะเจาะจง กค็ วรเลือกบรกิ ารสบื ค้นข้อมูลแบบ Index อย่างของ yahoo เพราะ โอกาส
ท่จี ะเจอนั้น เปอร์เซน็ ต์สงู กว่าจะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วธิ ีแบบ Search Engine
2. ใชค้ ำมากกวา่ 1 คำทีม่ ีลกั ษณะเกี่ยวข้องกันชว่ ยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพท์ทม่ี ีขนาด แคบลงและชี้
เฉพาะมากขนึ้ (ยอ่ มจะดกี วา่ หาคำเดยี วโดดๆ)
3. ใชบ้ รกิ ารของผ้ใู หบ้ ริการเฉพาะดา้ น เช่นการคน้ หาข้อมูลเกี่ยวกับเร่ืองราวของ ภาพยนตร์ก็น่าท่ีจะ
เลือกใช้ Search Engine ทีใ่ ห้บรกิ ารใหล้เคียงกบั เร่ืองพวกน้ี เพราะผลลพั ท์ทไ่ี ด้นา่ จะเป็นที่น่าพอใจกว่า
4. ใส่เครือ่ งหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำทต่ี ้องการ เพ่อื บอกกับ Search Engine วา่ เรา ต้องการผล
การคน้ หาท่มี ีคำในกลมุ่ นน้ั ครบและตรงตามลำดับทีเ่ ราพมิ พ์ทุกคำ เชน่ "free shareware" เปน็ ตน้
5. การข้นึ ตน้ ของตัวอกั ษรตวั เลก็ เท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มนั ค้นหาคำ
ดงั กล่าวแบบไม่ตอ้ งสนใจว่าตัวอักษรทไ่ี ดจ้ ะมีขนาดเลก็ หรือใหญ่ ดังนั้นหากคุณต้องการอยากท่ีจะให้มันค้นหา
คำตรงตามแบบทีเ่ ขียนไวก้ ็ให้ใช้ ตวั อกั ษรใหญแ่ ทน
6. ใช้ตวั เช่อื มทาง Logic หรอื ตรรกศาสตรเ์ ขา้ มาช่วยคน้ หา มอี ยู่ 3 ตวั ดว้ ยกนั คอื - AND สงั่ ให้หาโดย
จะต้องมีคำนั้นๆมาแสดงด้วยเท่านั้น! โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น -
OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง - NOT สั่งไม่ใหเ้ ลือกคำนัน้ ๆมาแสดง เช่น food
and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และ cheese แต่ต้องไม่มี
butter เป็นต้น
7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ + หน้าคำที่ต้องการจริงๆ - (ลบ)ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ ()
ชว่ ยแยกกลุ่มคำ เชน่ (pentium+computer)cpu
32
8. ใช้ * เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำวา่ com ขึ้นหน้าส่วนด้านท้ายเป็น อะไร
ไม่สนใจ *tor เปน็ การใหห้ าคำท่ีลงทา้ ยดว้ ย tor ดา้ นหน้าจะเปน็ อะไรไม่สนใจ
9.หลกี เล่ยี งการใช้ตัวเลข พยายามเล่ยี งการใช้คำค้นหาที่เป็นคำเด่ยี วๆ หรอื เป็นคำที่มีตัวเลขปน แต่
ถา้ เลีย่ งไม่ได้ คณุ กอ็ ย่าลืมใสเ่ คร่อื งหมายคำพดู (" ") ลงไปด้วย เช่น "windows 98"
10. หลีก เลยี่ งภาษาพดู หลกี เลย่ี งคำประเภท Natural Language หรือเรยี กง่ายๆ ว่าคำหรือข้อความ
ที่เป็นภาษาพูด หรือเป็นประโยค คุณควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มคำหรือวลี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดไว้
Advanced Search อย่าลืมที่จะใช้ Advanced Search เพราะจะมีส่วนช่วยคุณได้มาก ในการบีบประเด็น
หัวข้อ ใหแ้ คบลง ซ่ึงจะทำให้คณุ ได้รายช่อื เว็บไซต์ ทีต่ รงกับความตอ้ งการของคณุ มากข้ึน
11. อย่าละเลย Help ซึ่งในแต่ละเว็บ จะมี ปุ่ม help หรือ Site map ไว้คอยช่วยเหลือคุณ แต่คน
ส่วนใหญ่มกั จะมองข้าม ซึ่ง help/site map จะมีประโยชน์มากในการอธบิ าย option หรอื การใชง้ าน/แผนผงั
ปลีกยอ่ ยของแต่ละเวบ็ ไซต์
4. ความหมายของคำวา่ ข้อมูล
ขอ้ มูล (Data) คือ ขอ้ เท็จจรงิ หรือเรื่องราวท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ส่ิงต่าง ๆ เช่น คน สตั ว์ สงิ่ ของสถานที่ ฯลฯ
โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมาย และการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มา
จากการสังเกต การรวบรวม การวัดข้อมูล เป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลข ภาพ เสียง หรือสัญญลักษณ์ใด ๆ ที่สำคัญ
จะตอ้ งมคี วามเป็นจรงิ และตอ่ เนอ่ื ง ซึ่งตวั อย่างของขอ้ มลู เช่น คะแนนสอบ ชือนักเรยี น เพศ อายุ เป็นต้
5. ชนดิ ของข้อมูล
การแบง่ ประเภทของข้อมูลขน้ึ อยูก่ บั
- ความตอ้ งการของผ้ใู ช้
- ลกั ษณะของข้อมลู ท่ีนำไปใช้
- เกณฑท์ ีน่ ำมาพจิ ารณา
สามารถแบ่งชนิดและลักษณะของขอ้ มลู ไว้ 4 รูปแบบ ดงั น้ี
1. การแบ่งข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล เป็นการแบ่งข้อมูลโดยพิจารณาจากการรับข้อมูลของ
ประสาทสมั ผสั ของร่างกาย ได้แก่
33
- ข้อมลู ภาพท่ไี ดร้ บั จากการมองเหน็ ดว้ ยดวงตา
- ข้อมูลเสยี งท่ีไดร้ ับจากการฟงั ด้วยหู
- ข้อมูลกลิ่นทีไ่ ด้รบั จากการสดู ดมดว้ ยจมกู
- ขอ้ มลู รสชาติท่ไี ด้รับจากการรับรสชาติดว้ ยล้ิน
- ข้อมลู สมั ผัสทไ่ี ด้รับจากความรูส้ กึ ดว้ ยผวิ หนงั
2. การแบ่งข้อมูลตามแหล่งข้อมูลที่ได้รับ โดยพิจารณาจากลักษณะของที่มาหรือการได้รับ
ขอ้ มูล ได้แก่
- ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) คือ ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมหรือบันทึกจาก
แหล่งข้อมูล โดยตรงด้วยวธิ ตี ่างๆ เช่น จากการสอบถามการสมั ภาษณก์ ารสำรวจการจดบันทกึ ตัวอย่างข้อมูล
ปฐมภูมิ ได้แก่ ข้อมูลการมาโรงเรียนสายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งได้จากการจดบันทึกใน
รอบ 1 เดอื นทีผ่ า่ นมา
- ขอ้ มลู ทุติยภูมิ (Secondary Data) คอื การนำข้อมลู ท่ีผูอ้ ืน่ ไดเ้ ก็บรวบรวมหรือบันทึกไว้มาใช้งาน ผู้ใช้
ไม่จำเป็นต้องเก็บรวบรวมและบันทึกด้วยตนเอง จัดเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต มักผ่านการประมวลผล
แลว้ ตัวอยา่ งขอ้ มูลทุตยิ ภมู ิ ได้แก่ สถติ กิ ารมาโรงเรียนสายของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ในปพี .ศ.2550
3. การแบ่งข้อมูลตามการจัดเก็บในในสือ่ อิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะคล้ายการแบ่งข้อมูลตามลักษณะ
ของข้อมลู แตม่ ีการแยกลักษณะข้อมลู ตามชนดิ และนามสกุลของข้อมลู นั้น ๆ ไดแ้ ก่
- ข้อมูลตัวอักษร เช่น ตัวหนังสือ ตัวเลข และสัญลักษณ์ ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุลต่อท้ายชือ่
ไฟลเ์ ปน็ .txt และ .doc
- ข้อมูลภาพ เช่น ภาพกราฟิกต่าง ๆ และภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุล
ตอ่ ท้ายชือ่ ไฟลเ์ ป็น .bmp .gif และ .jpg
- ข้อมูลเสียง เช่น เสียงพูด เสียงดนตรี และเสียงเพลง ข้อมูลประเภทนี้มักมีนามสกุลต่อท้ายชื่อไฟล์
เปน็ .wav .mp3 และ .au
- ขอ้ มูลภาพเคล่อื นไหว เช่น ภาพเคล่อื นไหว ภาพมิวสกิ วดี โี อ ภาพยนตร์ คลปิ วิดโี อ ขอ้ มูลประเภท
นี้มกั มีนามสกุลต่อท้ายช่ือไฟล์เปน็ .avi
4. การแบ่งข้อมูลตามระบบคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายและใกล้เคียงกับการแบ่งข้อมูลตามการ
จัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาก แต่มุ่งเน้นพิจารณาการแบ่งประเภทตามการนำข้อมูลไปใช้งานในระบบ
คอมพวิ เตอร์ ได้แก่
34
- ข้อมูลเชงิ จำนวน มลี กั ษณะเปน็ ตวั เลขที่สามารถนำมาคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ได้ เชน่ จำนวนเงินใน
กระเป๋า จำนวนค่าโดยสารรถประจำทาง และจำนวนนักเรยี นในหอ้ งเรยี น
- ข้อมูลอักขระ มีลักษณะเป็นตัวอักษร ตัวหนังสือ และสัญลักษณ์ ต่างๆ ซึ่งสามารถนำเสนอข้อมูล
และเรียงลำดบั ไดแ้ ต่ไมส่ ามารถนำมาคำนวณได้ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ เลขที่บา้ นและช่อื ของนักเรยี น
- ข้อมูลกราฟิก เป็นข้อมูลที่เกิดจากจุดพิกัดทางคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดรูปภาพหรือแผนที่ เช่น
เคร่ืองหมายการคา้ แบบกอ่ สรา้ งอาคาร และกราฟ
- ขอ้ มลู ภาพลกั ษณ์ เปน็ ขอ้ มูลแสดงความเข้มและสีของรปู ภาพท่เี กิดจากการสแกนของสแกนเนอร์เป็น
หลัก ซึ่งสามารถนำเสนอข้อมูล ย่อหรือขยาย และตัดต่อได้ แต่ไม่สามารถนำมาคำนวณหรือดำเนินการ
อย่างอืน่ ได้
6. กรรมวธิ กี ารจดั การขอ้ มูล
การทำข้อมูลให้เปน็ สารสนเทศท่ีจะเป็นประโยชน์ตอ่ การใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
ในการดำเนินการ เริ่มตั้งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดำเนินการประมวลผลข้อมูลให้กลายเป็น
สารสนเทศ และการดแู ลรักษาสารสนเทศ เพ่ือการใชง้ าน มกี ระบวนการ 3 ขน้ั ตอน ดังน้ี
6.1 การรวบรวมและตรวจสอบข้อมลู
6.1.1 การรวบรวมข้อมูล เป็นเรื่องของการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งมีจำนวนมาก และต้องเก็บให้ได้
อย่างทนั เวลา เช่น ขอ้ มูลการลงทะเบียนเรียนของนักเรียน ขอ้ มูลประวตั ิบคุ ลากร ปจั จุบันมเี ทคโนโลยีช่วยใน
การจัดเก็บอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ การอ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง การ
ตรวจใบลงทะเบียนทม่ี ีการฝนดนิ สอดำในตำแหน่งตา่ ง ๆ เป็นวธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชน่ กัน
35
6.1.2 การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมลู แล้วจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูล เพ่ือ
ตรวจสอบความถูกต้อง ข้อมูลที่เก็บเข้าในระบบจะต้องมีความน่าเชื่อถือ หากพบที่ผิดพลาดต้องแก้ไข การ
ตรวจสอบข้อมลู มหี ลายวิธี เช่น การใช้ผู้ป้อนข้อมูลสองคนป้อนข้อมลู ชุดเดยี วกนั เข้าเครื่องคอมพิวเตอรแ์ ลว้
เปรยี บเทยี บกัน หรือตงั้ กฎเกณฑใ์ หค้ อมพิวเตอร์ตรวจสอบ
6.2 การประมวลผลข้อมลู ประกอบดว้ ยกจิ กรรมดงั ตอ่ ไปน้ี
6.2.1 การจัดกลุ่มขอ้ มลู ข้อมูลทจ่ี ัดเก็บจะต้องมกี ารแบ่งแยกกลุ่ม เพื่อเตรยี มไวส้ ำหรบั การ ใช้งาน
การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน เช่น ข้อมูลในโรงเรียนมีการแบ่งเป็นแฟ้มประวัตินักเรียน และแ ฟ้ม
ลงทะเบยี น เพื่อความสะดวกในการค้นหา
6.2.2 การจัดเรียงข้อมลู เมื่อจัดแบ่งกลุ่มเป็นแฟม้ แล้ว ควรมีการจัดเรยี งข้อมูลตามลำดับ ตัวเลข
หรือตัวอักษร หรือเพื่อให้เรียกใช้งานได้ง่าย ประหยัดเวลา ตัวอย่างการจัดเรียงข้อมูล เช่น การจัดเรียงบัตร
ข้อมูลผู้แต่งหนังสือ ในตู้บัตรรายการของห้องสมุดตามลำดับตวั อักษร การจัดเรียงชื่อคนในสมดุ รายนามผู้ใช้
โทรศัพท์ตามลำดับตวั อกั ษร
6.2.3 การสรุปผล บางครั้งข้อมูลที่จัดเก็บมีจำนวนมาก จำเป็นต้องมีการสรุปผลหรือสรุปรายงาน
เพอื่ นำไปใชป้ ระโยชน์ ข้อมูลท่ีสรุปไดน้ ้อี าจส่ือความหมายได้ดีกว่า เช่น สถิตจิ ำนวนนักเรยี นแยกตามช้ันเรียน
แตล่ ะชนั้
6.2.4 การคำนวณข้อมลู ทเี่ กบ็ รวบรวมมเี ปน็ จำนวนมากข้อมูลบางสว่ น เป็นขอ้ มูลตวั เลขที่สามารถ
นำไปคำนวณ เพอื่ หาผลลัพธบ์ างอย่างได้ ดงั น้ันการสร้างสารสนเทศจากข้อมลู จงึ อาศัยการคำนวณข้อมูลท่ีเก็บ
ไวด้ ้วย เช่น การคำนวณเกรดเฉล่ียของนักเรียนแตล่ ะคน
63. การดแู ลรักษาข้อมลู ประกอบดว้ ยกจิ กรรมตอ่ ไปนี้
6.3.1 การเกบ็ รักษาข้อมูล การเกบ็ รกั ษาข้อมูล หมายถงึ การนำข้อมลู มาบันทกึ เก็บไว้ในส่ือบันทึก
ตา่ ง ๆ เช่น แผน่ บันทกึ ข้อมลู นอกจากนี้ยงั รวมถึงการดแู ล และทำสำเนาขอ้ มูล เพ่ือใหใ้ ชง้ านต่อไปในอนาคต
ได้
6.3.2 การทำสำเนาข้อมูล การทำสำเนาเพื่อที่จะนำข้อมูลเก็บรักษาไว้ หรือนำไปแจกจ่ายใน
ภายหลัง จงึ ควรคำนึงถงึ ความจุและความทนทานของสื่อบันทึกขอ้ มลู
6.3.3 การสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูล ข้อมูลต้องกระจายหรือส่งต่อไปยังผู้ใช้งานที่ห่างไกลได้ง่าย
การสอ่ื สารข้อมูลจงึ เปน็ เรอื่ งสำคัญและมบี ทบาทที่สำคญั ยิง่ ที่จะทำใหก้ ารส่งข่าวสารไปยงั ผใู้ ช้ ทำได้รวดเร็ว
และทนั เวลา
6.3.4 การปรับปรุงข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีจุดประสงค์ที่จะเรียกใช้งานได้ต่อไป ดังนั้นข้อมูลจึง
ตอ้ งมกี ารปรบั ปรงุ ใหท้ ันสมัยอยู่ตลอดเวลา และจัดเก็บอย่างเปน็ ระบบเพ่ือการค้นหาไดอ้ ย่างรวดเร็ว
36
7. ความหมายของคำวา่ สารสนเทศ
สารสนเทศ (Information) คือเป็น
ผลลัพธ์ของการ ประมว ลผล การจัด
ดำเนินการ และการเข้าประเภทข้อมูลโดย
การรวมความรู้เข้าไปต่อผู้รับสารสนเทศนน้ั
สารสนเทศมีความหมายหรือแนวคิดที่กว้าง
และหลากหลาย ตั้งแต่การใช้ค ำว่ า
สาร สน เทศใน ชีวิตประ จำว ัน จน ถึง
ความหมายเชงิ เทคนิค ตามปกติในภาษาพูด
แนวคิดของสารสนเทศใกล้เคียงกับความหมายของการสื่อสาร เงื่อนไข การควบคุม ข้อมูล รูปแบบ คำสั่ง
ปฏิบัติการ ความรู้ ความหมาย สื่อความคิด การรับรู้ และการแทนความหมาย ปัจจุบันผู้คนพูดเกี่ยวกับยุค
สารสนเทศว่าเป็นยุคท่ีนำไปสู่ยุคแห่งองค์ปัญญา นำไปสู่สังคมอุดมปัญญา หรือสังคมแห่งสารสนเทศ และ
เทคโนโลยีสารสนเทศ แม้ว่าเมื่อพูดถึงสารสนเทศ เป็นคำที่เกี่ยวข้องในศาสตร์สองสาขา คือ วิทยาการ
สารสนเทศ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งคำว่า "สารสนเทศ" ก็ถูกใช้บ่อยในความหมายที่หลากหลายและ
กว้างขวางออกไป และมกี ารนำไปใชใ้ นส่วนของ เทคโนโลยีสารสนเทศ และ การประมวลผลสารสนเทศส่ิงที่ได้
จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ สารสนเทศ จึง
หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ทันเวลา และอยู่ในรปู ที่ใช้ได้ สารสนเทศที่ดี
ต้องมาจากข้อมูลที่ดี การจัดเก็บขอ้ มูลและสารสนเทศจะต้องมีการควบคุมดแู ลเปน็ อยา่ งดี เช่น อาจจะมีการ
กำหนดให้ผู้ใดบา้ งเป็นผมู้ ีสิทธ์ิใช้ขอ้ มูลได้ ข้อมลู ท่เี ป็นความลบั จะตอ้ งมีระบบขัน้ ตอนการควบคมุ กำหนดสิทธ์ิ
ในการแก้ไขหรือการกระทำกับข้อมูลว่าจะกระทำได้โดยใครบ้าง นอกจากนี้ข้อมูลท่ีเก็บไว้แล้วต้องไม่เกิดการ
สูญหายหรอื ถูกทำลายโดยไม่ได้ตัง้ ใจ การจดั เกบ็ ขอ้ มูลท่ดี ี จะต้องมกี ารกำหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีลักษณะ
ง่ายต่อการจัดเกบ็ และมีรปู แบบเดยี วกันอย่างมีระบบ ข้อมูลแต่ละชุดควรมีความหมายและมีความเป็นอิสระ
ในตัวเอง นอกจากนไี้ ม่ควรมีการเก็บข้อมลู ซำ้ ซอ้ นเพราะจะเปน็ การสน้ิ เปลืองเน้ือที่เกบ็ ขอ้ มลู
สารสนเทศสามารถหมายถึงคุณภาพของข้อความจากผู้ส่งไปหาผู้รับ สารสนเทศจะประกอบไปด้วย
ขนาด ปริมาณและเหตุการณ์ของสารสนเทศนั้น สารสนเทศสามารถแทนข้อมูลที่มีความถูกต้องและความ
แม่นยำหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งข้อเท็จจริงหรือข้อโกหกหรือเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดข้ึน
สารสนเทศจะเกิดขึ้นเม่ือมีผู้สง่ ขอ้ ความและผ้รู ับข้อความอย่างน้อยฝ่ายละหน่ึงคนซึง่ ทำให้เกิดการสื่อสารของ
ข้อความและเข้าใจในข้อความเกิดขึ้น ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ ความหมาย ความรู้ คำสั่ง การสื่อสาร การ
แสดงออก และการกระตนุ้ ภายใน การสง่ ข้อความที่มีลักษณะเปน็ สารสนเทศ ในขณะเดียวกันการรบกวนการ
สอ่ื สารสารสนเทศกถ็ ือเป็นสารสนเทศเชน่ เดียวกนั
37
ถงึ แม้วา่ คำว่า "สารสนเทศ" และ "ขอ้ มูล" มกี ารใชส้ ลับกันอยู่บ้าง แต่สองคำน้มี ขี ้อแตกต่างที่เด่นชัดคือ
ข้อมูลเป็นกลุ่มของข้อความที่ไม่ได้จัดการรปู แบบ และไม่สามารถนำมาใช้งานได้จนกว่าจะมีการจัดระเบียบ
และดึงออกมาใช้ในรูปแบบสารสนเทศ การแสดงผลลัพธ์ อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีในการแสดงผลลัพธ์มีมาก
สามารถแสดงเป็นตัวหนงั สือ เปน็ รปู ภาพหรอื คำพูด ตลอดจนพมิ พ์ออกมาที่กระดาษ การแสดงผลลัพธ์มีท้ังที่
แสดงเปน็ ภาพ เป็นเสยี ง เป็นวดี ิทัศน์ เป็นตน้ และสามารถเกบ็ รักษาไดย้ าวนาน
8. สาเหตุที่ทำใหเ้ กดิ สารสนเทศ
สาเหตุท่ีทำให้เกดิ สารสนเทศ มดี ังน้ี
1 เมื่อมวี ิทยาการความรู้ หรอื สงิ่ ประดิษฐ์ หรอื ผลิตภณั ฑ์ใหมๆ่ พรอ้ มกันนัน้ ก็จะเกิด สารสนเทศม
พรอ้ มๆ กนั ดว้ ย จากนั้นก็จะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกีย่ วกับ วิทยาการความรู้ หรอื
สงิ่ ประดิษฐ์ ผลติ ภัณฑ์ ชนิดน้นั ๆไปยัง แหล่งตา่ งๆ ท่ีเก่ยี วข้อง
2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นเครอื่ งมือสำคญั ในการผลติ สารสนเทศ เน่ืองจากมี ความสะดวกในการ
ปอ้ น ขอ้ มูล การปรบั ปรงุ แกไ้ ข การทำซ้ำ การเพ่ิมเตมิ ฯลฯ ทำให้มีความ สะดวกและง่ายต่อการผลิต
สารสนเทศ
3. เทคโนโลยีสือ่ สารยุคใหม่มีความเรว็ ในการสอื่ สารสูงขึน้ สามารถเผยแพรส่ ารสนเทศ จากแหลง่ หนง่ึ
ไปยงั สถานทต่ี า่ งๆ ทว่ั โลกในเวลาเดียวกนั กบั เหตุการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ จรงิ อีกทงั้ สามารถส่งผา่ นข้อมูลได้อย่าง
หลากหลาย รูปแบบ พรอ้ มๆ กนั ในเวลาเดียวกัน
4. เทคโนโลยกี ารพิมพท์ ม่ี ีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสงู ขึ้น สามารถผลติ สารสนเทศไดค้ รัง้
ละจำนวน มากๆ ในเวลาสั้นๆ มสี สี นั เหมือนจริง ทำให้มปี รมิ าณสารสนเทศใหม่ๆ เกดิ ขึ้นอยตู่ ลอดเวลา
38
5. ผูใ้ ชม้ ีความจำเปน็ ต้องใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา เพอ่ื การคน้ คว้าวจิ ัย เพื่อการ พฒั นาคณุ ภาพ
ชีวิต เพ่อื การ ตดั สนิ ใจ เพื่อการแกไ้ ขปญั หา เพอ่ื การปฏิบัติงาน หรือปรับปรุง ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน,
การบรหิ ารงาน ฯลฯ
6. ผู้ใช้มคี วามตอ้ งการใช้สารสนเทศ เพื่อตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหล่งท่ีอยู่ของ
สารสนเทศ ต้องการเขา้ ถึงสารสนเทศ ตอ้ งการสารสนเทศทมี่ าจากต่างประเทศ ตอ้ งการสารสนเทศอย่าง
หลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอย่างรวดเร็ว เปน็ ต้น
9. ความสำคญั ของสารสนเทศ
สารสนเทศได้กลายมาเป็นปัจจัย
สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคม
ปัจจุบัน ในองค์กรต่างๆ สารสนเทศได้
กลายเป็นทรัพย์สินอันมีค่า จนมีคำกล่าวว่า
สารสนเทศ คือ อำนาจ (Information is
power) ใครที่มีสารสนเทศมากก็จะสามารถ
ควบคุมหรือต่อรองได้ ฝ่ายที่มีสารสนเทศ
มากกว่ามกั จะได้เปรยี บคแู่ ข่งเสมอ จนอาจนำไปสูย่ ุค “ สงครามขอ้ มูลข่าวสาร ” ได้
ดังนั้น สารสนเทศจึงมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยลดความอยากรู้ คลายความสงสัย ช่วยแก้ปัญหา
ช่วยวางแผนและการตัดสนิ ใจไดอ้ ย่างถูกต้อง สารสนเทศจึงช่วยพัฒนาบุคคล ช่วยการปฏิบตั ิงาน ช่วยในการ
ดำเนินชีวติ ซ่ึงส่งผลตอ่ การพฒั นาสงั คมและประเทศ สารสนเทศจึงมีความสำคญั ต่อบุคคล องค์กร และสังคม
ดงั นี้
1 ความสำคัญของสารสนเทศต่อบคุ คลและตอ่ องค์กร
ในชีวิตประจำวนั ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การประกอบอาชีพ หรือการดำรงชพี สารสนเทศมีบทบาท
ตอ่ มนษุ ยม์ ากเกนิ กวา่ ที่บางคนตระหนกั ถึง
ในด้านการปฏิบัติงานและในการจัดการ สารสนเทศที่ถูกต้องนับเป็นองค์ประกอบสำคัญโดยเฉพาะ
การแก้ปญั หา การตัดสนิ ใจ และการปฏบิ ัติงานใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงคไ์ ด้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
2 ความสำคญั ของสารสนเทศต่อสังคม
สารสนเทศมีความสำคญั ต่อสังคม 2 ด้าน คือ ดา้ นการปกครอง และด้านการพัฒนา
ด้านการเมืองการปกครอง สารสนเทศจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจของประชาชนอัน
เปน็ พ้ืนฐานของสังคม ผู้ปกครองจงึ ตอ้ งจัดการใหป้ ระชาชนทกุ คนสามารถเขา้ ถึงสารสนเทศทต่ี ้องการได้ จึงจะ
เกดิ การบริหารท่ีโปรง่ ใส เปน็ สังคมประชาธปิ ไตย ไมเ่ กดิ ความว่นุ วาย
ในด้านการพัฒนา สารสนเทศมีความสำคัญยิ่งทั้งในการเตรียมแผนพัฒน าและการปฏิบัติตามแผน
เช่น สารสนเทศเกี่ยวกับชุมชน สารสนเทศเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สารสนเทศเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
39
สารสนเทศเกี่ยวกับเทคนิคการแกป้ ัญหา สารสนเทศเพื่อสนับสนุนงานวิจยั หรอื การประดิษฐ์ซึ่งจะชว่ ยในการ
พัฒนาตอ่ ไป
10. บทบาทของสารสนเทศ
ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทและความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ของเรามาก
โดยเฉพาะเมอื งใหญ่ๆ ทม่ี ีอุปกรณก์ ารส่ือสารท่ีทนั สมัย เราจึงจำเป็นตอ้ งศกึ ษาเรียนรู้เพือ่ จะได้ใช้งานได้อย่าง
เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ
แบ่งออกเปน็ ประเภทตา่ งๆ ไดด้ ังน้ี
1. บทบาทตอ่ การดำเนนิ ชวี ติ เช่น การติดตอ่ ส่ือสารและการคมนาคมขนส่ง
2. บทบาทเกี่ยวกับข้อมูล เช่น การจัดเก็บขอ้ มลู และการสรา้ งฐานข้อมูล การสอ่ื สารขอ้ มลู เปน็ ต้น
3. บทบาทดา้ นธุรกิจ เช่น งานด้านการตลาด การวเิ คราะห์แนวโนม้ การเจริญเตบิ โตของบรษิ ทั
4. บทบาทด้านการศกึ ษา เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน ซอฟท์แวรส์ อ่ื การสอน
5. บทบาทด้านการวิจัย เช่น การวิจัยเกี่ยวกบั เรือ่ งการพัฒนาประเทศ การวิจัยด้านการเกษตร การ
วิจัยด้านการแพทย์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ฯลฯ ต้ออาศัยเทคโนโลยีโดยเฉพาะโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ด้านการประมวลผลข้อมลู เข้ามาช่วยเพื่อใช้งานวิจัยเพ่ือตอ้ งการความถูกต้องและความ
แมน่ ยำสงู
6. บทบาทดา้ นการทหาร เชน่ การสือ่ สารระหว่างหน่วยงานทางราชการ งานด้านข่าวกรอง
7. บทบาทด้านการแพทย์ เช่น การรกั ษาพยาบาล การผา่ ตัด การตรวจโรค
8. บทบาทดา้ นอ่นื ๆ เช่น ดา้ นการบิน การโรงแรม การกีฬาและการผลติ สนิ คา้ ในโรงงานอตุ สาหกรรม
40
โดยสรุป เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทและความสำคัญต่อเราในแทบทุกดา้ น ทั้งด้านการประกอบ
อาชีพการงาน การศกึ ษาเลา่ เรยี น การตดิ ตอ่ สอ่ื สาร การรกั ษาพยาบาล
11. คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศท่ีดี
ในการจดั การเพื่อให้องคก์ ารบรรลุถงึ ประสิทธิผลและประสิทธิภาพทอี่ งคก์ ารตงั้ ไวน้ น้ั ดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ ว่า
ข้อมลู และสารสนเทศเป็นปจั จัยหนึง่ ท่ีมีความสำคัญอยา่ งมากต่อทกุ องคก์ าร ท้งั น้ีสารสนเทศทดี่ คี วรมีลกั ษณะ
ดงั ต่อไปน้ี
1. ความเทยี่ งตรง (Accuracy) สารสนเทศขององคก์ ารทดี่ ีจะต้องมีความเท่ยี งตรงและเช่ือถือได้ โดยไม่ให้
มคี วามคลาดเคลอ่ื นหรอื มคี วามคลาดเคล่อื นนอ้ ยทีส่ ุด ดงั นัน้ ประสิทธผิ ลของการตัดสินใจจงึ ข้นึ อยกู่ บั ความ
ถูกต้องหรอื ความเทย่ี งตรง ยอ่ มสง่ ผลกระทบทำใหก้ ารตัดสินใจมีความผิดพลาดตามไปดว้ ย
2. ทนั ต่อความต้องการใช้ (Timeliness) นอกเหนือจากสารสนเทศขององค์การจะตอ้ งมคี วามเที่ยงตรง
หรอื ความถกู ตอ้ งแล้ว ยังจะต้องมคี ณุ สมบตั ขิ องการทสี่ ามารถนำสารสนเทศมาใชไ้ ด้ทนั ทีเมือ่ ต้องการใชข้ อ้ มูล
หรือเพอื่ การตัดสินใจ ทั้งนีเ้ น่ืองจากเหตุการณต์ า่ ง ๆ ทางการบรหิ ารทั้งภายในและภายนอกองค์การมีการ
เคลอ่ื นไหวเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะสารสนเทศด้านการขาย การผลติ ตลอดจนด้านการเงิน ถ้า
ผบู้ ริหารได้รบั มาล่าช้า ก็จะสง่ ผลกระทบต่อ ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของการตดั สินใจ หรือการ
ดำเนินงานของผู้บรหิ ารทจี่ ะลดลงตามไปด้วย
3. ความสมบรู ณ์ (Completeness) สารสนเทศขององค์การทีด่ ี จะต้องมีความสมบูรณ์ทจ่ี ะช่วยทำใหก้ าร
ตดั สนิ ใจเปน็ ไปด้วยความถูกต้อง การมสี ารสนเทศท่มี ปี ริมาณมาก ไมไ่ ดห้ มายถึงการทจี่ ะชว่ ยเพ่มิ ประสทิ ธิผล
ของการดำเนนิ งาน สารสนเทศท่ีมีมากเกนิ ไปอาจเป็นสารสนเทศท่ีไม่มคี วามสำคญั เชน่ เดยี วกับการมี
สารสนเทศที่มปี ริมาณนอ้ ยเกนิ ไป ก็อาจทำให้ไม่ไดส้ ารสนเทศที่สำคญั ครบเพยี งพอทุกด้านทจ่ี ะนำไปใชไ้ ด้
อยา่ งมีประสทิ ธผิ ล และมีประสิทธิภาพ แต่ท้งั น้ีมิได้หมายความวา่ จะต้องรอใหม้ สี ารสนเทศครบถว้ น 100
เปอรเ์ ซน็ ตก์ อ่ นจงึ จะทำการตดั สนิ ใจได้ เชน่ จะตัดสินใจเก่ยี วกับอัตราการใช้สนิ ค้า ปรมิ าณสินค้าคงเหลือ
ราคาตอ่ หนว่ ย แหลง่ ผู้ผลติ ค่าใช้จา่ ยในการสง่ั ซอ้ื คา่ ใช้จ่ายในการเก็บรกั ษา ระยะเวลารอคอยของสินค้าแตล่ ะ
ชนดิ ดังน้นั จะตัดสินใจเกีย่ วกับการบรหิ ารสนิ ค้าคงเหลือให้มีประสิทธภิ าพ ก็จำเป็นที่จะต้องไดร้ ับสารสนเทศ
41
ในทุกเรอ่ื ง การขาดไปเพียงบางเรื่องจะส่งผลกระทบต่อการตดั สนิ ใจอยา่ งมากเปน็ ต้น จากตวั อย่างจะเห็นไดว้ ่า
ไมไ่ ด้หมายความว่ามีสารสนเทศมากเฉพาะในบางด้าน ขณะที่สารสนเทศในบางด้านไม่มีหรือมีไม่เพียงพอต่อ
การตัดสินใจ แต่จะตอ้ งไดร้ บั สารสนเทศท่สี ำคัญครบในทุกด้านทีท่ ำการตัดสินใจ
4. การสอดคลอ้ งกับความต้องการของผใู้ ช้ (Relevance) สารสนเทศขององคก์ ารทีด่ ีจะต้องมีคณุ ลกั ษณะ
ทีส่ ำคญั อกี ประการหนึง่ กค็ ือ จะตอ้ งตอบสนองตอ่ ความต้องการของผู้ใช้ที่จะนำไปใช้ในการตดั สนิ ใจได้ ดังนน้ั
ในการทอ่ี งคก์ ารจะออกแบบและพฒั นาระบบสารสนเทศในองคก์ ารนน้ั การสอบถามความต้องการของ
สารสนเทศท่ีผ้ใู ช้ตอ้ งการเป็นปจั จัยทีม่ ีความสำคัญอย่างมาก เช่น สนเทศในการบริหารการผลิต การตลาด
และการบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์ เป็นต้น
5. ตรวจสอบได้ (Verifiability) สารสนเทศที่ดีควรมคี ุณลกั ษณะท่สี ามารถจะตรวจสอบไดโ้ ดยเฉพาะ
แหลง่ ทีม่ า การจดั รปู แบบการวิเคราะหข์ อ้ มูลท่ีใช้ ท้งั น้ีเพือ่ ใหก้ ารตัดสินใจได้เกดิ ความรอบครอบ การที่
ผู้บริหารมองเห็นสารสนเทศบางเรอื่ งแลว้ พบว่าทำไมจงึ มีคา่ ท่ตี ่ำเกินไป หรือสูงเกินไป อาจต้องตรวจสอบความ
ถกู ตอ้ งของสารสนเทศท่ีได้มา ทง้ั นีก้ เ็ พือ่ มใิ ห้การติดสินใจเกิดความผิดพลาด
คณุ ลักษณะดังกลา่ วขา้ งต้น มีความสำคัญอยา่ งยง่ิ ทผ่ี ้บู ริหารงานบุคคลจะตอ้ งพยายามจัดระบบใหม้ คี วาม
พร้อมครบถว้ นและพร้อมทีจ่ ะใชง้ านได้ ปัญหาสำคัญทอี่ งค์การสว่ นมากมกั จะต้องเผชิญ คือ การไม่สามารถ
สนองข้อมูลทเ่ี กี่ยวกับบุคคลใหท้ ันกบั ความจำเปน็ ใชใ้ นการทีจ่ ะต้องดำเนินการหรือตดั สนิ ปญั หาบางประการ
ดงั เช่น ถ้าหากมีเหตเุ ฉพาะหน้าท่ีต้องการบุคคลท่ีมี คุณสมบัตอิ ย่างหนึ่งในการบรรจุเขา้ ตำแหนง่ หนง่ึ
อย่างรวดเร็วในเวลาอนั ส้ัน ซ่ึงหากผู้จดั เตรียม ขอ้ มูลจะต้องใชเ้ วลาประมวลขน้ึ มานานเป็นเดือนกย็ ่อมถอื ได้
ว่า ขอ้ มลู ที่สนองให้น้นั ช้ากว่าเหตกุ ารณ์ หรอื ในอกี ทางหนง่ึ บางครั้งแมจ้ ะเสนอข้อมูลไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ แต่เป็น
ข้อมลู ทเ่ี ป็นรายละเอยี ดมากเกนิ ไปทไี่ มอ่ าจพจิ ารณาแยกแยะคุณสมบัติท่ีสำคญั หรือขอ้ มูลที่สำคญั ที่เก่ียวข้อง
กับบคุ คลอยา่ งเดน่ ชัด ก็ย่อมทำใหก้ ารใช้ข้อมลู นัน้ เปน็ ไปด้วยความยากลำบาก
นอกจากลกั ษณะท่ีดีของสารสนเทศดังกล่าวข้างตน้ แลว้ ยงั มีคณุ สมบัติท่แี อบแฝงของสารสนเทศอีกบาง
ลกั ษณะที่สัมพันธก์ ับระบบสารสนเทศ และวิธกี ารดำเนินงานของระบบ สารสนเทศ ซงึ่ จะมีความสำคัญ
แตกตา่ งกนั ไปตามลักษณะงานเฉพาะอย่าง ซงึ่ ไดแ้ ก่
1. ความละเอียดแมน่ ยำ คอื สารสนเทศจะต้องมีความละเอียดแม่นยำในการวดั ข้อมูล ใหค้ วามเช่อื ถอื ได้
สูง มีรายละเอยี ดของข้อมลู และแหลง่ ที่มาของข้อมูลทีถ่ กู ตอ้ ง
2. คุณสมบตั ิเชิงปริมาณ คอื ความสามารถที่จะแสดงออกมาในรปู ของตัวเลขได้ และสามารถเปรียบเทียบ
ในเชงิ ปรมิ าณได้
3. ความยอมรบั ได้ คือ ระดบั ความยอมรับได้ของกล่มุ ผใู้ ช้สารสนเทศอยา่ งเดยี วกัน สารสนเทศควรมี
ลกั ษณะเดยี วกนั ในกลมุ่ ผใู้ ชง้ าน หรอื ใกล้เคียงกนั โดยสามารถใชร้ ว่ มกันได้ เชน่ การใช้เคร่อื งมอื เพื่อวัดคุณภาพ
การผลิตสนิ ค้า เคร่ืองมอื ดังกล่าวจะต้องเป็นท่ียอมรบั ได้วา่ สามารถวดั ค่าของคุณภาพได้อย่างถกู ตอ้ ง
4. การใช้ได้ง่าย คอื ความสามารถนำไปใช้งานไดง้ ่าย สะดวกและรวดเร็ว ทั้งในส่วนของผู้บรหิ ารและ
ผู้ปฏบิ ตั ิงาน
5. ความไมล่ ำเอียง ซ่งึ หมายถงึ ไมเ่ ปน็ สารสนเทศท่มี ีจดุ ประสงค์ทจ่ี ะปกปดิ ข้อเท็จจรงิ บางอยา่ ง ซงึ่ ทำให้
42
ผใู้ ช้เขา้ ใจผดิ ไปจากความเป็นจริง หรือแสดงข้อมูลท่ีผิดจากความเปน็ จริง
6. ชัดเจน ซึง่ หมายถึง สารสนเทศจะตอ้ งมคี วามคลมุ เครือน้อยทส่ี ุด สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย
12. การสืบค้น และรับส่งข้อมูล แฟ้มข้อมูล
และสารสนเทศเพอื่ ใช้ในการจัดการเรยี นรู้
การรับ-ส่งข้อมูลบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต โดยใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Mail) หรือที่นิยมเรียกกันว่า
อีเมล (E-Mail) หมายถึง การสื่อสารหรือการ
ส่งข้อความจากคอมพวิ เตอร์เคร่อื งหนึ่งผ่านไป
เข้าเคร่อื งคอมพิวเตอรอ์ กี เครือ่ งหน่งึ โดยส่งผา่ นทางระบบเครือข่าย (Network) ผู้ส่งจะตอ้ งมเี ลขที่อยู่ (E-mail
Address) ของผ้รู บั และผู้รับสามารถเปิดคอมพิวเตอร์เรยี กข่าวสารนนั้ ออกมาดเู มอื่ ใดกไ็ ด้ โดยทวั่ ไปจัดว่าเป็น
งานสว่ นหน่ึงของสำนักงานอตั โนมัติ (Office Automatic) ซึ่งปจั จุบนั ได้รบั ความนิยมเปน็ อย่างมาก
13. ประโยชน์ของการรับ-ส่งขอ้ มูลทางจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์
การรับ-ส่งข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารบนเครือข่าย
อินเทอรเ์ น็ตที่นิยมใช้มากท่สี ุด เพราะมีประโยชนม์ ากมาย ดังนี้
1. ทำให้การติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคสำหรับอีเมลในทกุ
แหง่ ท่วั โลกทมี่ เี ครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อถงึ กันได้ สามารถเข้าไปสถานทีเ่ หล่าน้ันได้ทกุ ท่ี ทำให้ผู้คนท่ัวโลก
ตดิ ตอ่ ถงึ กนั ได้ทนั ที ผ้รู ับสามารถจะรับข่าวสารจากอีเมลไดท้ นั ทีที่ผู้ส่งจดหมายส่งขอ้ มูลผ่านทางคอมพิวเตอร์
เสรจ็ ส้ิน
2. สามารถส่งจดหมายถึงผูร้ ับที่ต้องการไดท้ ุกเวลา แม้ผู้รับจะไมไ่ ด้อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม
จดหมายจะถกู เก็บไว้ในตู้จดหมายของคอมพิวเตอร์และเปน็ ส่วนตวั จนกว่าเจา้ ของจดหมายที่มีรหสั ผ่านจะเปิด
ต้จู ดหมายของตนเองอ่าน
3. สามารถสง่ จดหมายถงึ ผรู้ ับหลายๆคนได้ในเวลาเดียวกนั โดยไมต่ ้องเสียเวลาส่งให้ทีละคน กรณีนี้
จะใช้กับจดหมายที่เป็นข้อความเดียวกัน เช่น หนังสือเวียนแจ้งข่าวให้สมาชิกในกลุ่มทราบหรือเป็นการนัด
หมายระหวา่ งสมาชกิ ในกลมุ่ เปน็ ตน้
43
4. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปส่งจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์หรือที่ทำการไปรษณีย์ ทำให้
ประหยัดคา่ ใช้จา่ ยในการสง่ เน่ืองจากไม่ต้องคำนงึ ถึงปริมาณน้ำหนกั และระยะทางของจดหมายเหมือนกับการ
สง่ ทางไปรษณีย์ธรรมดา
5. ผูร้ ับจดหมายสามารถเรียกอา่ นจดหมายไดท้ กุ เวลาตามสะดวก ซง่ึ จะทำใหท้ ราบว่าในตู้จดหมาย
ของผรู้ ับมจี ดหมายก่ีฉบับ มจี ดหมายท่ีอา่ นแลว้ หรอื ยังไมไ่ ดเ้ รียกอ่านกี่ฉบบั เมื่ออา่ นจดหมายฉบับใดแล้ว หาก
ต้องการลบทิง้ กส็ ามารถเกบ็ ขอ้ ความไวใ้ นรปู ของแฟม้ ขอ้ มลู ได้ หรอื จะพมิ พ์ออกมาลงกระดาษก็ไดเ้ ช่นกนั
6. สามารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (Transferring Flies) แนบไปกับจดหมายถึงผู้รับได้ ทำให้การ
แลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นไปได้โดยสะดวก รวดเร็ว ทันเวลาและทันเหตุการณ์ จากความสำคัญของอี เมลท่ี
สามารถอำนวยประโยชนใ์ ห้กับผใู้ ชอ้ ย่างคมุ้ คา่ นี้ ทำใหใ้ นปจั จุบนั อีเมลกลายเป็นสว่ นหน่ึงของสำนกั งานทุกแห่ง
ท่วั โลก ทท่ี ำให้สมาชิกในชมุ ชนโลกสามารถติดต่อกนั ผ่านทางคอมพวิ เตอรไ์ ด้ในทุกท่ที กุ เวลา
หลักเกณฑ์การประเมนิ ผลลัพธ์ หรอื ผลผลติ
ขอ้ มลู ของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสำหรบั อกี คนหนง่ึ (Nickerson 1998 : 11) การทจ่ี ะบง่ บอกว่า
ผลผลติ หรอื ผลลพั ธ์มีคุณค่า หรือสถานภาพเปน็ สารสนเทศ หรอื ไมน่ ้ัน เราใช้หลกั เกณฑต์ อ่ ไปนปี้ ระกอบการ
พิจารณา
1. ความถูกต้อง (Accuracy) ของผลผลิต หรอื ผลลัพธ์
2. ตรงกบั ความตอ้ งการ (Relevance/pertinent)
3. ทันกับความตอ้ งการ (Timeliness)
การพจิ ารณาความถกู ตอ้ งดูท่เี นอ้ื หา (Content) ของ
ผลผลติ โดยพจิ ารณาจากขั้นตอนของการประมวลผล
(Process; verifying, calculating) ข้อมลู สำหรบั การ
ตรงกบั ความต้องการ หรอื ทนั กับความตอ้ งการ มีผู้ใช้ผลผลติ เปน็ เกณฑ์ในการพิจารณา หากผใู้ ช้เห็นว่า
ผลผลติ ตรงกบั ความต้องการ หรือผลผลติ สามารถตอบปญั หา หรือแกไ้ ขปญั หา ของผู้ใช้ได้ และสามารถเรยี ก
มาใชไ้ ดใ้ นเวลาทเ่ี ขาต้องการ (ทนั ต่อความต้องการใช)้ เราจงึ จะสรุปได้ว่า ผลผลติ หรือ ผลลพั ธน์ ้นั มีสถานภาพ
เป็นสารสนเทศ คุณภาพ หรือคุณค่าของสารสนเทศ ขนึ้ อย่กู บั ข้อมูล (Data) ที่นำเขา้ มา (Input) หากขอ้ มูลท่ี
นำเข้ามาประมวลผล เปน็ ขอ้ มูลทดี่ ี ผลลพั ธท์ ไ่ี ดก้ ็จะมคี ุณภาพดี หรือมีคุณคา่ ผู้ใช้ หรอื ผบู้ ริโภคสามารถ
นำมาใชป้ ระโยชน์ได้ แตห่ ากข้อมูลท่ี นำเขา้ มาประมวลผลไมด่ ี ผลผลติ หรือผลลพั ธก์ ็จะมคี ุณภาพไม่ดี หรอื ไม่
มคี ุณค่า สมดงั่ กับวลที ่วี า่ GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถ้านำขยะเข้ามา ผลผลิต (สงิ่ ท่ี
ได้ออกไป) ก็คอื ขยะนนั่ เอง
44
14. คุณภาพของสารสนเทศ
คุณภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือน้อย พิจารณาที่ 3 ประเด็น ดังน้ี
1. ตรงกับความตอ้ งการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูว่าสารสนเทศนัน้ ผู้ใช้สามารถนำไปใชเ้ พิ่มประสทิ ธิภาพได้
มากกวา่ ไม่ใช้สารสนเทศ หรือไม่ คณุ ภาพของสารสนเทศ อาจจะดทู มี่ ันมีผลกระทบตอ่ กจิ กรรมของผ้ใู ช้ หรือไม่
อย่างไร
2. น่าเช่อื ถือ (Reliable) เพียงใด ความน่าเช่อื ถอื มีหัวข้อทจ่ี ะใชพ้ จิ ารณา เช่น ความทนั เวลา (Timely) กับผู้ใช้
เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนั้น หรือไม่ สารสนเทศที่นำมาใช้ต้องมคี วามถกู ตอ้ ง (Accurate) สามารถ
พ ิสูจน ์ ( Verifiable) ไ ด้ว ่าเป็น คว ามจร ิง ด้ว ยก าร ว ิเคร าะ ห์ข้อ ม ูล ที ่เก ี ่ยว ข้อ ง เป็น ต้ น
3. สารสนเทศนนั้ เขม้ แข็ง (Robust) เพียงใด พิจารณาจากการท่ีสารสนเทศสามารถเคล่ือนตัวเองไปพร้อมกับ
กาลเวลาที่เปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์ (Human Frailty)
เพราะมนุษย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะนั้นจะต้องมีการ
ควบคุม หรือตรวจสอบ ไมใ่ หม้ ีความผิดพลาดเกิดข้ึน หรอื พิจารณาจากความผิดพลาด หรอื ล้มเหลวของระบบ
(System Failure) ที่จะส่งผล เสียหายต่อสารสนเทศได้ ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันความผิดพลาด (ที่เนื้อหา
และไม่ทันเวลา) ที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือ พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง การจัดการ (ข้อมูล) (Organizational
Changes) ที่อาจจะส่งผลกระทบ (สร้างความเสียหาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสร้าง แฟ้ม ข้อมูล วิธีการ
เขา้ ถึงขอ้ มลู การรายงาน จักตอ้ งมกี ารปอ้ งกนั หากมีการ เปลีย่ นแปลงในเร่อื งดังกลา่ ว
45
นอกจากน้นั ซวาสส์ (Zwass 1998) กล่าวถงึ คณุ ภาพของสารสนเทศจะมีมากนอ้ ยเพยี งใดขน้ึ อยกู่ บั การ
ทนั เวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรดั ตรงกบั ความต้องการ ความถูกตอ้ ง ความเท่ียงตรง (Precision) และ
รูปแบบท่เี หมาะสม ในเรือ่ งเดยี วกนั โอไบรอ์ ัน (O’Brien 2001) กล่าววา่ คุณภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน
3 มติ ิ ดงั นี้
1. มิตดิ ้านเวลา (Time Dimension)
1. สารสนเทศควรจะมกี ารเตรียมไว้ให้ทันเวลา (Timeliness) กบั ความตอ้ งการของผใู้ ช้
2. สารสนเทศควรจะต้องมีความทันสมยั หรอื เปน็ ปัจจบุ ัน (Currency)
3. สารสนเทศควรจะตอ้ งมีความถ่ี (Frequency) หรอื บ่อย เท่าทผี่ ู้ใชต้ ้องการ
4. สารสนเทศควรมีเรอื่ งเกย่ี วกบั ช่วงเวลา (Time Period) ตงั้ แตอ่ ดตี ปจั จุบัน และอนาคต
2. มติ ดิ า้ นเนือ้ หา (Content Dimension)
• ความถูกต้อง ปราศจากข้อผดิ พลาด
• ตรงกับความต้องการใช้สารสนเทศ
• สมบูรณ์ ส่งิ ทจี่ ำเป็นจะตอ้ งมีในสารสนเทศ
• กะทัดรดั เฉพาะทีจ่ ำเปน็ เทา่ นนั้
• ครอบคลมุ (Scope) ทง้ั ดา้ นกวา้ งและดา้ นแคบ
• (ดา้ นลึก) หรอื มีจดุ เนน้ ท้งั ภายในและภายนอก
• มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ที่แสดงให้เห็นได้จากการวัดค่าได้ การบ่งบอกถึงการ
พัฒนา หรือสามารถเพิ่มพนู ทรัพยากร
3. มิติดา้ นรูปแบบ (Form Dimension)
• ชัดเจน ง่ายตอ่ การทำความเข้าใจ
• มที ั้งแบบรายละเอยี ด (Detail) และแบบสรปุ ยอ่ (Summary)
• มกี ารเรยี บเรียง ตามลำดบั (Order)
• การนำเสนอ (Presentation) ทห่ี ลากหลาย เชน่ พรรณนา/บรรยาย ตวั เลข กราฟกิ และอืน่ ๆ
• รปู แบบของส่ือ (Media) ประเภทตา่ ง ๆ เชน่ กระดาษ วดี ิทัศน์ ฯลฯ
ส่วนสแตรแ์ ละเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001) กล่าวถึง คุณคา่ ของสารสนเทศขึ้นอยู่กับการท่ี
สารสนเทศนั้น สามารถช่วยให้ผู้ที่มีหน้าทีต่ ัดสินใจทำให้เป้าหมายขององค์การสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อยเพยี งใด
หาก สารสนเทศ สามารถทำให้บรรลเุ ปา้ หมายขององคก์ ารได้ สารสนเทศนน้ั ก็จะมคี ณุ ค่าสูงตามไปดว้ ย