46
15. ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ ในสังคมปัจจบุ นั ขอ้ มลู ขา่ วสาร และสารสนเทศ ถือว่าเป็นส่ิงท่ีมีค่ามากใน
การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน และเนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบันได้พัฒนาไปมากและราคาไม่แพง ทำให้
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใช้ไดง้ า่ ยขน้ึ และทุกคนสามารถหานำมาใชไ้ ด้ระบบสารสนเทศน้นั อาจมองง่ายๆว่า
เป็นการนำข้อมูลต่างๆมา
ประมวลผลให้เป็นประโยชน์ต่อ
ผู้ใช้และเทคโนโลยีที่ช่วยในการ
ประมวลผลข้อมูล ก็หนีไม่พ้น
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เมื่อ
คอมพิวเตอร์พัฒนาไปมากขึ้นก็ทำ
ให้ระบบสารสนเทศต่างๆ พัฒนา
มากข้นึ ไปดว้ ย วิวฒั นาการของสารสนเทศ ในระบบสารสนเทศน้นั จะมีการนำเสนอข้อมลู ต่างๆ มาประมวลผล
ให้ข้อมูลนั้นเปน็ ประโยชน์ต่อการนำไปใช้งานในอดีตที่ยังไม่มี คอมพิวเตอร์ ก็ยังมีเครือ่ งมืออื่นมาช่วยในการ
ประมวลผลข้อมูลและช่วยในการสร้างผลผลิตได้ จนถึงปัจจุบันได้มีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการ
ประมวลผลข้อมูล ก็ทำให้ระบบสารสนเทศนี้พัฒนาไปได้มากขึ้น ช่วยให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นในโลก
ของเราได้มีการนำเสนอเครื่องมือมา ช่วยในการดำรงชีวิตมากมาย จนปัจจุบันนั้นถือได้ว่าเป็นยุคของ
เ ท ค โ น โ ล ย ี ส า ร ส น เ ท ศ ห า ก แ บ ่ ง ว ิ ว ั ฒ น า ก า ร ข อ ง ย ุ ค ส า ร ส น เ ท ศ จ ะ แ บ ่ ง ไ ด ้ ด ั ง นี้
-โลกยคุ กสิกรรม (Agriculture Age) ยุคนี้นบั ตัง้ แต่กอ่ นปี ค.ศ. 1800 ถอื ว่าเปน็ ยุคที่การดำเนิน
ชีวิตของมนุษย์ขึน้ อยู่กับการทำนา ทำสวน ทำไร่ โลกในยุคน้ียังมีการซ้ือขายสนิ ค้าระหว่างกัน แต่ก็ถือว่าเปน็
สินค้าเกษตรกรเป็นหลัก มีการนำเครื่องมือเครื่องทุ่นแรงมาใช้ให้ได้ผลผลิตดีขึ้น ในระบบหนึ่งๆ
- ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ยุคนี้นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา โดยในประเทศ
อังกฤษได้นำเครือ่ งจักรกลมาชว่ ยงานทางดา้ นการเกษตร ทำให้มีผลผลิตมากขึน้ และมผี ู้รว่ มงานในระบบมาก
ขน้ึ เริม่ มโี รงงานอุตสาหกรรม เร่ิมมคี นงานในโรงงาน ตอ่ มาการนำเครื่องจักรมาใช้งานนีไ้ ด้ขยายไปสู่ประเทศ
ต่างๆ และไดม้ กี ารแปรรปู ผลิตผลทางดา้ นการเกษตรออกมามากขนึ้ และเครื่องจักรกลก็เป็นเครื่องมอื ที่ทำงาน
ร่วมกับมนุษย์ และเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งทำให้โลกของเรามีทั้งภาคอุตสาหกรรม
-ยุคสารสนเทศ (Information Ago) ยุคนี้นับตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1957 จากที่การทำงานของ
มนุษย์มที ัง้ ด้านการเกษตรและดา้ นอุตสาหกรรมรม ทำให้คนงานต้องมีการสือ่ สารกนั มากขึ้น ต้องมีความร้ใู น
การใช้เครื่องจกั รกล ต้องมกี ารจดั การข้อมูลเอกสาร ขอ้ มลู สำนักงาน งานด้านบัญชี จึงทำใหม้ คี นงานส่วนหนึ่ง
มาทำงานในสำนักงาน คนงานเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และต้องทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง ฝ่ายผลิต
และลูกคา้ ทำให้มกี ารพัฒนาเคร่อื งมอื ตา่ งๆ มาชว่ ยในการประมวลผล จดั การใหร้ ะบบงานมปี ระสิทธภิ าพดีข้ึน
ทำให้เกิดการใช้เครื่องมือทางสารสนเทศขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ
47
เมือ่ เข้าสูย่ คุ สารสนเทศ องคก์ รต่างๆ ทีน่ ำเทคโนโลยีสื่อสารมาใช้ในการจัดการงานประจำวัน จะ
ทำงานได้สำเร็จเร็วขึ้น การผลิตทำได้เร็วขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตสามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆได้รวดเร็วข้ึน มี
การนำระบบอตั โนมัตดิ า้ นการผลติ มาใช้ มรี ะบบบัญชี และมีโปรแกรมท่ีทำงานเฉพาะดา้ นมากขน้ึ
16. ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ
การนำเทคโนโลยีสารนเิ ทศมาใช้กบั สงั คมสารนเิ ทศใน ปัจจบุ นั กอ่ ให้เกิดการสือ่ สารและการใช้
ประโยชน์ จากสารนเิ ทศได้อย่างเตม็ ท่ี และมีประสทิ ธภิ าพ ประโยชน์ของเทคโนโลยสี ารนิเทศมดี ังต่อไปน้ี คอื
1. ช่วยให้ตดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ งกันอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยใช้โทรศพั ท์ คอมพิวเตอรห์ รอื ในรูปของ
ส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ
2. ช่วยในการจัดระบบข่าวสารจำนวนมหาศาล ซง่ึ ผลติ ออกมาในแต่ละวนั
3. ช่วยให้เก็บสารนิเทศไว้ในรปู ท่สี ามารถเรียกใชไ้ ด้ครัง้ แลว้ คร้งั เล่าอยา่ งสะดวก
4. ชว่ ยเพิม่ ประสทิ ธิภาพการผลติ สารนเิ ทศ เชน่ ชว่ ยนกั วทิ ยาศาสตร์ วิศวกร ด้วยการชว่ ยคำนวณ
ตัวเลขทยี่ ุ่งยาก ซับซอ้ นซง่ึ ไม่สามารถทำใหส้ ำเร็จได้ด้วยมือ
5. ช่วยให้สามารถจัดระบบอัตโนมัตเิ พอ่ื การเกบ็ เรยี กใช้และประมวลผลสารนเิ ทศ
6. สามารถจำลองแบบระบบการวางแผนและทำนาย เพอ่ื ทดลองกบั สิ่งท่ียังไมเ่ กดิ ข้นึ
7. อำนวยความสะดวกในการเข้าถงึ สารนเิ ทศดีกวา่ สมัยกอ่ น ทำให้ผใู้ ชส้ ารนิเทศมี ทางเลือกท่ีดีกวา่
มปี ระสิทธิภาพกวา่ และสามารถแขง่ ขันกับผ้อู ่นื ได้ดกี ว่า
8. ลดอุปสรรคเกย่ี วกับเวลาและระยะทางระหว่างประเทศ
เทคโนโลยีสารนเิ ทศเบ้ืองตน้ ท่คี วรนำมาใช้ในการดำเนนิ งานท่ัวๆไป คอื การใชเ้ ครื่องไมโครคอมพิวเตอรใ์ นการ
จดั การข้อมลู
ในบรรดาองคป์ ระกอบของเทคโนโลยีสารนิเทศท้ังหมดคอมพวิ เตอร์นบั วา่ มบี ทบาทมากท่ีสุดต่อการ
เปน็ องคป์ ระกอบทีส่ ำคญั คอมพวิ เตอร์เป็นอุปกรณ์สื่อสารนเิ ทศทม่ี ีบทบาทอยา่ งมากตอ่ สังคมสารนเิ ทศ
คอมพวิ เตอร์เปล่ียนแปลงสภาพการใหบ้ ริการสารนิเทศในหอ้ งสมดุ จากการเสียเวลาสืบคน้ สารนิเทศหลาย ๆ
นาทหี รือหลายช่วั โมงมาเป็นเสียเวลาเพยี งไมก่ วี่ ินาที คอมพิวเตอรเ์ ปลย่ี นแปลงสภาพความเป็นอยขู่ องคนใน
48
สงั คมเป็นเคร่อื งมอื ในการดำรงชวี ิตท่ีมบี ทบาทยิ่งกว่าเครื่องมือหรืออปุ กรณใ์ ด ๆ ทม่ี นษุ ยไ์ ด้ผลติ ขน้ึ ใชใ้ นโลก
มาก่อน คนในสงั คมสมัยสังคมสารนิเทศจะเห็นพฒั นาการด้านนไ้ี ด้อยา่ งเด่นชดั นับตงั้ แต่มีการประดิษฐ์เครอ่ื ง
คอมพวิ เตอรข์ นึ้ ใช้เป็นครั้งแรก คอมพิวเตอรไ์ ม่ใช่เพียงสงิ่ ประดษิ ฐท์ างวิทยาศาสตร์เท่านนั้ แตก่ ลบั เปน็ สิ่งที่
คนในสงั คมสารนิเทศตอ้ งรู้จักและมีสว่ นเกย่ี วขอ้ งด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นอปุ กรณแ์ ละองคป์ ระกอบท่ี
สำคญั ของเทคโนโลยสี ารนเิ ทศท่บี รรณารกั ษจ์ ะต้องนำมาใชอ้ ยู่ตลอดเวลา เครื่องคอมพวิ เตอรไ์ ด้รับการพฒั นา
มาโดยลำดบั ตั้งแตย่ ุคแรก (พ.ศ. 2487-2501) จนถงึ ยุคปัจจบุ นั (พ.ศ. 2531 เปน็ ต้นมา) ไดม้ ีการนำ
เครือ่ ง คอมพวิ เตอรม์ าใชง้ านกันอย่างแพรห่ ลาย เช่น งานจดั การเอกสารข้อมูลแบบ ตา่ ง ๆ งานระบบ
สารนเิ ทศเพ่อื การจัดการและงานดา้ นระบบสนับสนนุ การตัดสนิ ใจ (Decision Support System) เป็นต้น
และจากการแขง่ ขัน ในการผลติ เครื่องคอมพิวเตอรข์ นาดเล็กทำใหเ้ คร่ืองคอมพิวเตอรม์ รี าคาถูก และสามารถ
ใชก้ ันอยา่ งแพรห่ ลายเป็นส่งิ หน่ึงท่จี ำเป็นในสังคมสารนเิ ทศปัจจุบัน
ในสังคมสารนเิ ทศปัจจบุ ัน กลา่ วไดว้ ่า คอมพวิ เตอรเ์ ขา้ มามีบทบาท ในชีวิตประจำวนั ของคนในสงั คม
มากยิ่งขึ้น บทบาทของคอมพิวเตอร์มีมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการสารนิเทศ และสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการ
สารนเิ ทศเพือ่ ใชป้ ระโยชน์ กับตนเองก็หลกี เลย่ี งการ ใชค้ อมพวิ เตอรเ์ พ่อื ประโยชน์ดา้ นอ่ืน ๆ ไม่ได้บทบาทของ
คอมพวิ เตอร์ทมี่ ีตอ่ การใช้สารนิเทศในสงั คมมดี งั ต่อไปนี้
ด้านการศึกษา การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการศึกษา แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ใช้เป็นเครื่องมือใน
การศึกษา และใช้เป็นเคร่ืองมือในการสอน การใช้เปน็ เคร่ืองมือในการศึกษาเกี่ยวขอ้ งกับการบรหิ ารการศึกษา
ซึ่งผู้บริหารการศึกษา จำเป็นต้องทราบสารนิเทศต่าง ๆ ทางด้าน นักศึกษา ด้านแผนการเรียน ด้านบุคลากร
ด้านการเงิน และด้านอาคารสถานที่และอุปกรณ์ ข้อมูลแต่ละด้านที่ได้จากคอมพิวเตอร์ ผู้บริหารการศึกษา
สามารถนำมาใชช้ ่วย ในการตดั สินใจได้ การใชค้ อมพวิ เตอรเ์ พอ่ื เปน็ เครื่องมือในการสอน เป็นการช่วยให้ครูใช้
ความรู้ ความสามารถพิเศษให้เปน็ ประโยชน์แก่ระบบการศึกษาได้มากขึ้น การนำคอมพิวเตอรเ์ ข้า มามีส่วน
ชว่ ยในการสอน และการศึกษามีประโยชน์ในเรอื่ งดังตอ่ ไปน้ี คือ
1. เพอื่ การสอนแบบตัวตอ่ ตัว
2. เพอ่ื ฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ ในการเรยี น
3. เพอ่ื การสาธิต
4. เพอ่ื การเล่นเกมและสถานการณ์จำลอง
5. เพอ่ื สอนงานดา้ นการเขียน
6. เพ่อื การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกับการเรยี นการสอน
49
7. เพอื่ ชว่ ยผ้เู รยี นท่ีมปี ญั หาเฉพาะตัว
ปจั จบุ นั คอมพวิ เตอร์กำลงั มีบทบาทต่อการศึกษาด้านภาษาเปน็ เพราะว่าแต่เดิมมาน้นั คอมพิวเตอร์
มีบทบาทเฉพาะการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นใน
ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษแต่ในขณะนี้สังคมข่าวสารไม่ได้สกัดกั้นในการรับรู้สารนิเทศในภาษาอื่น ๆ มีการ
สร้างโปรแกรมภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน รัสเซีย สเปน และแม้แต่ภาษาทางด้าน
ตะวันออก เช่น ภาษาอารบิค จีน ฮบิ รู ญ่ีป่นุ เกาหลี การสรา้ งโปรแกรมภาษาต่าง ๆ จดั ทำโดยผู้ท่ีรู้ภาษานั้น
ๆ โดยตรงหรือผู้ที่สนใจในการสร้างโปรแกรมภาษาต่าง ๆ เช่น การสร้างโปรแกรม การใช้ภาษาไทย หรือ
ภาษาลาว ตลอดจนการใช้โปรแกรมภาษาพม่า ซ่งึ ประดิษฐข์ น้ึ โดยวิศวกรไทย คอมพิวเตอร์จะเปน็ ตัวกลางใน
การขจดั ปญั หาเร่อื งความไม่เข้าใจภาษาระหว่างชนชาติในอนาคต ในประเทศสหรฐั อเมริกา คอมพวิ เตอร์ส่วน
บุคคลมีบทบาทในด้านการศึกษามีการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษามีการ
คาดหมายว่าจะมกี ารนำคอมพวิ เตอร์มาใช้ในชนั้ เรียน จาก 1:40 ในปี พ.ศ. 2529 เป็น 1 ตอ่ 20 ภายในปี พ.ศ.
2533 คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ทางด้านการศึกษาได้ เป็นอย่างดีไม่เฉพาะแต่
ภายในสถานศึกษาเท่าน้ัน บริษัทเอกชนต่าง ๆ สามารถนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของตนให้
ได้รับการศึกษาหรือฝึกอบรมในงานหน้าที่ได้เป็นอย่างดีด้วย การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาจะเป็นเรื่อง
ธรรมดาในระบบการศกึ ษาตอ่ ไป
ด้านการแพทย์และสาธารณะสุข คอมพิวเตอร์มีบทบาทอย่างสูงทางด้านการแพทย์และ
สาธารณสุข คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างยิ่งในด้านการแพทย์ เริ่มตั้งแต่การ
รกั ษาพยาบาลทัว่ ๆไป โรงพยาบาลบางแหง่ ใช้คอมพวิ เตอร์ในการทำทะเบียนคนไข้ตลอดจนการวนิ ิจฉัย และ
รักษาโรคต่าง ๆจากการใช้ประโยชน์ของสารนิเทศที่ได้ จากเครื่องคอมพิวเตอร์การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้าน
การแพทย์และสาธารณสุขอาจเกี่ยวข้องในด้านต่อไปนี้ คือ ด้านการ รักษาพยาบาลทั่วไป ด้านการบริหาร
การแพทย์ ด้านห้องทดลอง ด้านตรวจวินิจฉัยโรค และด้านการศึกษา และวิจัยทางการแพทย์ การใช้ข้อมูล
จากคอมพิวเตอร์ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุขที่สำคญั ในปัจจบุ ันคอื ดา้ นวนิ ิจฉยั โรคและด้านการศึกษาและ
วิจัยทางการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถค้นคว้าข้อมูลทางการแพทย์เพิ่มเตมิ ได้ตลอดเวลาเปน็
การพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และการสาธารณสุขอย่างไม่หยุดยั้ง คอมพิวเตอร์มี
บทบาทต่อการให้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับทำการรักษาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น ในวงการ
แพทย์เริ่มรู้จักใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ เรียกว่า อีเอ็มไอสแกนเนอร์ (EMI Scanner) เมื่อปี พ.ศ.
2515 เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ใช้ถ่ายภาพสมองมนุษย์เพื่อตรวจดูเนื้องอก พยาธิ เลือดออกใน
สมองและความผดิ ปกตอิ ืน่ ๆ ในสมอง ต่อมาได้พัฒนาใหถ้ ่ายภาพหนา้ ตดั ได้ทั่วรา่ งกาย เรียกชื่อว่าซเี อที (CAT-
Computerized Axial Tomographic Scanner) มีวธิ กี ารฉายแสงเปน็ จงั หวะไปรอบ ๆ รา่ งกายของมนุษย์ท่ี
ต้องการ ถา่ ยเอกซเรย์และเครือ่ งรับแสงเอ็กซเรย์ท่ีอยู่ตรงขา้ มจะเปลย่ี นแสงเอกซเรย์ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าไป
50
เก็บไว้ในจานหรือแถบแม่เหล็กแล้ว นำสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้เขา้ ไปวิเคราะห์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อได้
ผลลัพธ์ออกมาก็นำไปเก็บในส่วนความจำ และพิมพ์ภาพออกมาหรือแสดงเป็นภาพทางจอโทรทัศน์
เคร่ืองเอกซเรยค์ อมพวิ เตอรจ์ ึงเป็นตัวอยา่ งของการใช้คอมพิวเตอร์ในการวนิ ิจฉัยและรกั ษาโรค
ดา้ นอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์มสี ว่ นชว่ ยพฒั นาความกา้ วหน้าทางดา้ นอุตสาหกรรม โดยนกั วทิ ยาศาสตร์ได้
ประดษิ ฐ์หนุ่ ยนตเ์ พอ่ื ใช้ในบ้านและหนุ่ ยนตอ์ ุตสาหกรรม ทงั้ นห้ี ่นุ ยนต์จะเปน็ อุปกรณ์ที่สร้างข้ึนเพื่อเลียนแบบ
การทำงานของอวัยวะ ส่วนบนของมนุษย์ประกอบด้วยระบบทางกลของหุ่นยนต์และระบบควบคุมหุ่นยนต์
ประกอบด้วยอุปกรณ์ควบคุมซึ่งควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์โดยอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ นับเป็นส่วน
สำคัญที่สุดของหุ่นยนต์ ระบบควบคุมนี้ทำหน้าที่เป็นสมองเก็บข้อมูลสั่งหุ่นยนต์ให้ทำงานตรวจสอบและ
ควบคุมรายละเอยี ดของการทำงานให้ถกู ต้อง การประดษิ ฐ์หุ่นยนต์อุตสาหกรรมอำนวยประโยชน์ในการชว่ ย
ทำงานในอุตสาหกรรมที่สำคัญคืองานที่ต้องเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรงงานยา ฆ่าแมลง
โรงงานสารเคมี งานที่ต้องการความละเอียดถูกต้อง และรวดเร็ว เช่น โรงงาน ทำฟนั เฟืองนาฬกิ า โรงงานทำ
เลนส์กล้องถ่ายรูป และงานทีต่ อ้ งทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ และ น่าเบื่อหน่าย เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ โรงงาน
ประกอบวงจรเบด็ เสร็จ หรอื ไอซี และโรงงานทำแบตเตอร่ี เป็นตน้ การประดิษฐส์ งิ่ ของหรอื ผลติ ภัณฑบ์ างอย่าง
ในโรงงานอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างสูงต่อการ ควบคุม การผลิตสินค้าโดยไม่ต้องใช้
แรงงานคนมาก เป็นการประหยัดแรงงาน นอกจากดา้ นการผลติ สนิ ค้าแลว้ คอมพวิ เตอรย์ งั มีสว่ นช่วยต่อการ
จัดสง่ สินค้าตามใบสั่งสนิ ค้า การควบคมุ วสั ดุคงคลงั และการคิดราคาตน้ ทนุ สินค้า เป็นตน้
ด้านเกษตรกรรม การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม ได้แก่ การจัดทำระบบข้อมูลเพื่อ
การเกษตร ซึ่งอาจมีทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติสำหรับระดับนานาชาตินั้น อาจจะเร่ิม
ด้วยสำมะโนเกษตรนานาชาติ ซึ่งสถาบันการเกษตรระหว่างประเทศ ( International Institute of
Agriculture) ไดเ้ ร่ิมต้นต้งั แต่ พ.ศ. 2473โดยมีประเทศตา่ ง ๆ รว่ มเกบ็ ขอ้ มูลรวม 46 ประเทศ ต่อมาองค์การ
อาหารและเกษตร(FAO) ได้ดำเนินงานต่อในปี พ.ศ. 2493 และมีประเทศต่าง ๆ ร่วมโครงการเพิ่มเติมมาก
ขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ข้อมูลเพื่อเกษตรกรรมทางด้านสำมะโนเกษตร นอกจากนี้ยังใช้
คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยทำแบบจำลอง พยากรณค์ วามต้องการพยากรณ์ผลผลิตด้านการเกษตร เปน็ ต้น
ด้านการเงนิ การธนาคาร การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการเงนิ และการธนาคาร เป็นการนำคอมพวิ เตอร์มาช่วย
ในงานด้านการบญั ชี และด้านการบริหาร การฝากถอนเงนิ การรบั จา่ ย การโอนเงิน แบบอิเล็กทรอนิกส์ การ
หักบัญชีอัตโนมัติ ด้านสินเชือ่ ด้านแลกเปลี่ยนเงินตรา บริการข่าว สารการธนาคาร บริการฝากถอนเงินนอก
เวลาและบริการอื่น ๆ การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่ประชาชนรู้จักและใช้กันอย่าง
แพร่หลาย ไดแ้ ก่ บรกิ ารฝากถอนเงนิ นอกเวลา ซึง่ มีใชก้ นั ทัง้ ในต่างประเทศและในประเทศไทย ซ่ึงเรียกช่ือ
51
ว่า บริการเงนิ ด่วน หรือบริการเอทีเอ็ม ( Automatic Teller Machine - ATM ) ที่ธนาคารต่าง ๆ สามารถ
ใหบ้ รกิ ารเงนิ ด่วนแก่ลกู ค้าได้ ทำใหเ้ กดิ ความสะดวกรวดเร็วตอ่ การใช้เงินในการดำเนนิ งานทางธุรกิจต่างๆได้
ด้านธุรกิจการบิน ธุรกิจสายการบินมีความจำเป็นต้องนำคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อให้สามารถให้บริการได้
รวดเร็ว เพอื่ การแข่งขันกับสายการบนิ อนื่ ๆ และเพอื่ รกั ษาความปลอดภัยในการบนิ โดยช่วยตรวจสอบสภาพ
เครื่องและอปุ กรณไ์ ด้ อยา่ งถูกต้องแน่นอนและสม่ำเสมอ ธรุ กิจที่มกี ารนำคอมพิวเตอร์มาใช้ด้านการบิน อาจ
แบ่งเป็น 3 ประเภท คอื ผ้โู ดยสาร สินค้าพัสดุภณั ฑ์ และ บรกิ ารอ่นื ๆของสายการบนิ ตวั อย่างที่เห็นได้ชัดเจน
คือระบบบริการผู้โดยสาร อาจจะเริ่มด้วยระบบบันทึกตารางการบิน ซึ่งบันทึกและเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูล
เทย่ี วบิน เส้นทางบิน เวลาออกและเวลาถึง จำนวนทน่ี ่ัง สารนเิ ทศดา้ นการบรกิ ารผู้โดยสารมีความสำคัญอย่าง
มาก และจำเป็นต้องไดร้ ับข้อมูลอย่างรวดเรว็ โดยปราศจากปัญหาทางด้านเวลา และสถานที่ รายการบนิ
ต่าง ๆ จึงได้แขง่ ขนั ในการสรา้ งฐานขอ้ มูล ทางด้านนี้ บางสายการบินได้รวมตวั กันเพอื่ ให้เกิดความคล่องตัวใน
การใชส้ ารนิเทศร่วมกนั
ด้านกฎหมายและการปกครอง ทางด้านกฎหมายและการปกครอง มีการใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาด้าน
กฎหมาย คืองานระบบข้อมูลทางกฎหมายมีการนำสารนิเทศที่เกี่ยวข้องกับตัวบทกฎหมายทุกฉบับ
รัฐธรรมนูญทุกฉบับ กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราช
กฤษฎีกา กฎกระทรวงประกาศต่างๆและอื่น ๆ เข้าคอมพิวเตอร์ทั้งหมด หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์จะช่วยใน
การคน้ สารนิเทศทางด้านกฏหมายได้อย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างในประเทศสหรัฐอเมรกิ า มกี ารใช้คอมพิวเตอร์
ระบบแอสเปน (Aspen System Corporation) ซึ่งเป็นระบบข้อมูลทางด้านกฎหมายที่ใช้กันมากกว่า 50
แห่ง นักกฎหมายและผู้ท่ีเก่ยี วข้องจึงได้ประโยชน์ในการคน้ สารนิเทศในเวลาอันรวดเร็ว
โดยเฉพาะในการค้นข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นต้น แทนที่จะค้นจากหนังสือ ซึ่งต้อง
เสียเวลาเป็นอันมาการใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการปกครองส่วนใหญ่ใช้ในกิจกรรมการเลือกตั้งดัง เช่นใน
ประเทศไทย เมือ่ มีการเลือกต้งั ครั้งทีผ่ ่านมาล่าสุด มีการใชค้ อมพวิ เตอร์มาประมวลผลข้อมูลการเลือกตั้ง ทำให้
ประชาชนไดท้ ราบผลการเลือกตงั้ ได้อย่างรวดเร็ว
ด้านการทหารและตำรวจ มีการใช้คอมพิวเตอรด์ ้านการทหารและตำรวจอยา่ งแพร่หลายในประเทศตา่ งๆ ใน
ประเทศสหรัฐอเมรกิ า การใช้คอมพิวเตอรใ์ นด้านการทหารได้เจรญิ กา้ วหน้าไปมากกวา่ ประเทศอนื่ ใดในโลกแต่
ผลงานดา้ นนี้มกั จะเปน็ ผลงานชนดิ ลับสุดยอดต่าง ๆ เทา่ ทพ่ี อจะทราบกนั ได้แก่ การใชค้ อมพิวเตอร์ในวงจร
สื่อสารทหาร ใช้ในการควบคุม ประสานงาน ด้านการท หารใช้แปลรหัสลับในงานจารกรรมระหว่างประเทศ
ใช้ในการผลิตระเบิดนิวเคลียร์ ใช้ในการทำสงครามจิตวิทยา ใช้ในการวิจัยเตรียมทำสงครามเชือ้ โรค ใช้ใน
การสร้างขีปนาวุธ และใช้ในการส่งดาวเทียม จารกรรม เป็นต้น กรมตำรวจ กระทรวง มหาดไทย มีศูนย์
52
ประมวลข่าวสารกรมตำรวจ มีคอมพวิ เตอร์ ขนาดกลางใชท้ ำทะเบียนปืน ทำทะเบียนประวตั อิ าชญากรรม ทำ
ใหเ้ กดิ ความสะดวกตอ่ การสืบสวนคดตี า่ ง ๆ
ดา้ นอุตสาหกรรมการพิมพแ์ ละธรุ กิจอนื่ ๆ บทบาทของคอมพิวเตอรต์ ่อธุรกิจอุตสาหกรรมการพิมพ์ในปจั จุบัน
มีมาก หน่วยงานทางการพิมพ์ ตลอดจนสำนักข่าวใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดพิมพ์ต้นฉบับตรวจ
แก้ไข จนกระทั่งจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ทำให้การจัดทำหนังสือพิมพ์ วารสาร และหนังสือต่าง ๆดำเนินไปด้วย
ความรวดเร็ว และถงึ มือผู้อา่ นได้อย่างทันท่วงที อุตสาหกรรมการพิมพ์เปน็ ธุรกิจท่ีทำรายได้ให้แก่ประเทศต่าง
ๆ อยูใ่ นขณะน้ี และเปน็ ธุรกิจท่เี กี่ยวข้องกับสารนเิ ทศ มีรายงานว่ามเี จ้าหนา้ ทีค่ นงานในประเทศ สหรัฐอเมริกา
กวา่ 50 ลา้ นคน ไดใ้ ช้ประโยชน์จากการใช้คอมพวิ เตอร์ ในการดำเนินงาน ทางธุรกจิ มกี ารใช้อุปกรณ์สื่อสาร
ระบบสำนักงาน อัตโนมัติและเทคโนโลยีโทรคมนาคมอื่น ๆ ร่วมกับคอมพิวเตอร์ทำให้การดำเนินงานทาง
ธรุ กจิ ต่าง ๆ ดำเนนิ ไปด้วยความรวดเร็วและมปี ระสิทธภิ าพ ทำให้ธุรกจิ ตา่ งๆไม่มีปัญหาทางดา้ นระยะเวลาและ
สถานที่ต่อการตดิ ตอ่ ทางธรุ กิจอีกตอ่ ไป
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ทางด้านวิทยาศาสตร์มีมากใน
สถาบันการศึกษา ตลอดจนสถาบันวิจัยต่างๆมีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวิจัยทดลองทางด้า น
วิทยาศาสตร์ เชน่ การวิจัยในทางนวิ เคลียร์ฟิสิกส์ ซึง่ เปน็ วิชาวา่ ด้วยสว่ นประกอบที่เล็กที่สุดของสสาร การ
ค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ทำให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง เช่น ทางด้าน
วิศวกรรมศาสตร์มีการใช้คอมพิวเตอร์ ให้มีส่วนร่วมต่อการออกแบบโครงสร้าง ทางวิศวกรรมที่ยุ่งยาก
สลบั ซบั ซ้อน ทำให้มีส่วนชว่ ยตอ่ การออกแบบทางด้านวศิ วกรรมและสถาปัตยกรรมไดอ้ ย่างไม่มขี อบเขตจำกัด
บทบาทของคอมพิวเตอร์ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์จงึ มี ประโยชนต์ อ่ การพัฒนาข้อมูลสารนิเทศอย่างไมห่ ยดุ ยงั้
จากการเชื่อมโยงเครือข่ายขอ้ มูลสารนิเทศโดยระบบโทรคมนาคมคอมพวิ เตอรม์ ีบทบาทอย่างสูง
ต่อการให้บรกิ ารข้อมูลอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ผ้ใู ช้สารนิเทศสามารถเรยี กค้นข้อมูลจากผใู้ ห้บริการสารนิเทศ
ตง้ั แตเ่ ร่ืองทวั่ ๆไปจนกระท่งั ขอคน้ รายละเอียดจากหนังสือสารานกุ รมได้ และภายในบา้ นเรือนคอมพิวเตอร์มี
บทบาทต่อการใช้ของสมาชิกภายในครอบครัวทุกคนภายในบ้านมีโอกาสได้เล่นเกมวีดิทัศน์ ด้วยความบันเทงิ
สนุกสนาน และ ศึกษาความรู้จากบทเรียนสำเร็จรูปไปด้วยในตัว คอมพิวเตอร์สำหรับบ้าน เป็นอุปกรณ์ที่
จำเป็น สำหรับนักธุรกิจในการจัดเตรียมจดหมาย การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลสารนิเทศส่วนบุคคล และ การ
ดำเนนิ งานกจิ การตา่ ง ๆ ของสมาชิกภายในครอบครัว บทบาทของคอมพวิ เตอร์ ยงั มีอกี มากมายทางดา้ นต่าง
ๆ ขึ้นอยู่กับผู้ใชส้ ารนิเทศ ต้องการใช้ในดา้ นใด คอมพิวเตอร์เมอ่ื นำมาใช้รวมกบั ระบบโทรคมนาคมการสื่อสาร
สามารถจะเปลี่ยนอนาคตของสังคมปัจจุบัน เปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของประชาชนต่อการทำ กิจกรรมต่าง
ๆ สิ่งที่บรรณารักษ์จะหลีกเลี่ยงต่อไปไม่ได้ คือการนำเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการข้อมูล
53
ภายในห้องสมุดโรงเรยี น นบั ตัง้ แต่การนำมาใชแ้ ทน เครื่องพิมพด์ ดี ในขอบเขตของงานเอกสาร ตลอดจนกระทั่ง
ถงึ งานการใหบ้ รกิ ารขอ้ มูลจากฐานข้อมูลสำเร็จรปู หรือ งานฐานข้อมูลท่ีสร้างข้นึ เอง
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) คือ การประยุกต์เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มา
จัดการสารสนเทศที่ต้องการ ได้แก่ การรวบรวมและการตรวจสอบข้อมูล การประมวลผล และการดูแลรักษา
ข้อมูล รวมถึงการจัดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสารสนเทศ โดยอาศัยเคร่ืองมือทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้แก่
เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ (computer technology) และเทคโนโลยีด้านเครือข่ายโทรคมนาคมและการ
สอ่ื สาร (communication technology) เพือ่ เพิ่มประสทิ ธภิ าพ ความถกู ตอ้ ง ความแม่นยำ และความรวดเร็ว
ทนั ตอ่ การนำมาใช้ประโยชนไ์ ด้น่ันเอง
เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วยเทคโนโลยีที่สำคัญ 2 สาขา คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ
เทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคม ซึ่งทงั้ สองมกี ารทำงานที่สัมพนั ธก์ นั ดังนี้
1. เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ (computer technology) เปน็ เทคโนโลยีสำหรับการจดั การสารสนเทศ ไดแ้ ก่ การ
รวบรวมและการตรวจสอบข้อมลู การประมวลผล และการดูแลรักษาขอ้ มลู เพ่ือใหไ้ ดส้ ารสนเทศตามที่ต้องการ
อยา่ งถกู ตอ้ ง รวดเรว็ และมปี ระสทิ ธิภาพ ดงั นนั้ การจดั การสารสนเทศตอ้ งอาศยั เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ได้แก่
ฮาร์ดแวรแ์ ละซอฟตแ์ วร์ในการรับข้อมลู การประมวลผล การแสดงผล และการจดั เกบ็ ข้อมลู
2. เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม (communication technology) เป็นเทคโนโลยีสำหรับการกระจายและ
เผยแพร่สารสนเทศไปยังผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่ง
เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบโทรคมนาคม เช่น ระบบโทรศัพท์ โทรเลข
วิทยุกระจายเสยี ง วิทยโุ ทรทศั น์ รวมถึงเทคโนโลยีระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ด้วย
54
17. เทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม
ใชใ้ นการตดิ ตอ่ สื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากทไี่ กล ๆ เปน็ การส่งของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือท่ีอยู่
ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก
รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมูลท่ี รับ/ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric
Data) ตัวอักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice)เทคโนโลยีที่ใช้ในการสอ่ื สารหรือเผยแพร่สารสนเทศ
ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบโทรคมนาคมทั้งชนดิ มีสายและไร้สาย เช่น ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทร
เลข, วิทยุกระจายเสียง, วิทยุโทรทัศน์ เคเบิ้ลใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวฟ และดาวเทียม เป็นต้น สำหรับ
กลไกหลักของการสื่อสารโทรคมนาคมมีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ต้นแหล่งของข้อความ
(Source/Sender), ส่อื กลางสำหรบั การรบั /ส่งข้อความ (Medium), และสว่ นรับข้อความ (Sink/Decoder) ดงั
แผนภาพต่อไปนี้ คือ แผนภาพแสดงกลไกหลกั ของการสื่อสารโทรคมนาคม นอกจากน้ี เทคโนโลยีสารสนเทศ
สามารถจำแนกตามลกั ษณะการใช้งานได้เป็น 6 รปู แบบ ดงั น้ตี อ่ ไปนี้ คอื
- เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ , กล้องดิจิทัล, กล้องถ่ายวีดี
ทศั น์, เคร่อื งเอกซเรย์ ฯลฯ
- เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบนั ทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จานแม่เหล็ก, จานแสง
หรือจานเลเซอร์, บัตรเอทเี อ็ม ฯลฯ
- เทคโนโลยีท่ีใชใ้ นการประมวลผลขอ้ มูล ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอรท์ ้งั ฮารด์ แวร์ และซอฟต์แวร์
- เทคโนโลยีท่ีใช้ในการแสดงผลข้อมูล เชน่ เคร่อื งพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
- เทคโนโลยีท่ีใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เชน่ เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องถ่ายไมโครฟิล์ม
- เทคโน โลยีสำหร ับถ่ายทอดหร ือสื่อ สาร ข้อ มูล ไ ด้แก ่ ร ะ บบโ ทร คมน าคมต่าง ๆ เช่น
โทรทัศน์, วทิ ยุกระจายเสยี ง, โทรเลข, เทเลก็ ซ์ และระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ้ังระยะใกลแ้ ละไกล
ลกั ษณะของข้อมลู หรอื สารสนเทศทส่ี ่งผา่ นระบบคอมพิวเตอร์และการส่ือสาร ดงั น้ี
ขอ้ มลู หรือสารสนเทศที่ใชก้ นั อยู่ทั่วไปในระบบส่ือสาร เชน่ ระบบโทรศัพท์ จะมีลกั ษณะของสัญญาณ
เป็นคลื่นแบบต่อเนื่องที่เราเรียกว่า "สัญญาณอนาลอก" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่างไป เพราะระบบ
คอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่ำสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า "สัญญาณดิจิตอล" ซ่ึง
ข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึง่ ไปยังเครื่องอื่น ๆ
ผ่านระบบโทรศพั ท์ ก็ต้องอาศยั อปุ กรณช์ ่วยแปลงสญั ญาณเสมอ ซง่ึ มชี ่ือเรยี กวา่ "โมเดม็ " (Modem)
55
องคป์ ระกอบที่สำคญั ของเทคโนโลยีโทรคมนาคม ประกอบด้วย 5 องคป์ ระกอบทสี่ ำคญั
1. ต้นกำเนดิ ข่าวสาร (Source of Information)
เป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่งต้องการที่จะส่งไปยงั
ผู้รับท่ปี ลายทางตวั อยา่ งในระบบโทรศพั ท์ หรอื ระบบวิทยุกระจายเสียง สว่ นนก้ี ค็ อื เสียงพูดของผู้พูดที่ต้นทาง
ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าท่ีเหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือในกรณีระบบการ
สื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนนี้อาจจะเปน็ เครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal ประเภท
ต่าง ๆ
2. เคร่ืองส่งสัญญาณ (Transmitter)
ทำหน้าที่ในการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารจากต้นกำเนดิ ข่าวสารให้เป็นสัญญาณหรอื
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยังปลายทางเช่นระบบโทรศัพท์ ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลง
สัญญาณไฟฟ้าท่ใี ชแ้ ทนเสยี งพูด ใหเ้ ปน็ สัญญาณแม่เหลก็ ไฟฟ้าท่ีเหมาะสมและส่งตอ่ ไปยังปลายทางสำหรับใน
ระบบการสื่อสารขอ้ มูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์อื่นทีเ่ หมาะสมในการเปลี่ยนสญั ญาณไฟฟ้าที่มา
จากคอมพิวเตอรเ์ พ่ือให้เป็นสญั ญาณแมเ่ หล็กไฟฟ้าทเี่ หมาะสมในการผ่านระบบสอ่ื สัญญาณไปยังปลายทาง
3. ระบบการสง่ ผา่ นสญั ญาณ (Transmission System)
เครือ่ งส่งได้เปลีย่ น หรอื แปลงสญั ญาณไฟฟา้ ทใ่ี ชแ้ ทนข่าวสารต่าง ๆ ใหเ้ ป็นสญั ญาณหรือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ี
เหมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับท่ี
ปลายทางดังนัน้ ระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้วา่ นับเปน็ ส่วนที่สำคัญและจำเปน็ มากในระบบการสื่อสาร
โทรคมนาคม
4. เครือ่ งรับสญั ญาณ (Receiver)
56
เครื่องรับสัญญาณ เป็นส่วนที่ทำการเปลี่ยนสัญญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูกส่งผ่านระบบการส่งผ่าน
สัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าทีใ่ ช้แทนข่าวสารที่ถูกส่งมาจากต้นทาง ทั้งนี้เพื่อส่งให้
อุปกรณ์ปลายทางทำการแปลง หรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้านั้น ให้กลับมาเป็นข่าวสารที่ผู้รับสามารถเข้าใจ
ความหมายได้สำหรับระบบการสื่อสารข้อมูลส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยน
สัญญาณแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ใหเ้ ป็นสญั ญาณไฟฟา้ ทใ่ี ชข้ ้อมูลในรูปแบบท่ีถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้
เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ดงั น้นั อปุ กรณบ์ างชนิด เชน่ MODEM อาจเปน็ ไดท้ ง้ั อปุ กรณ์ในการส่ง และรบั สญั ญาณ ใน
อุปกรณ์ชนดิ เดยี วกนั
5. ผู้รบั สัญญาณ (Destination)
ผู้รับสัญญาณ เป็นส่วนสุดท้ายในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารที่ส่งมาจากตน้
กำเนิดข่าวสารดังนั้นอุปกรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ อาจเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกันก็ได้เช่น
คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้
18. ความสำคัญของเทคโลโลยสี ารสนเทศ
ปัจจุบันพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการปรับปรุงเครื่องมือ
เครื่องใช้ที่เป็นประโยชนก์ ับงานสารสนเทศอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกวงการวชิ าชีพต้องหันมาปรับปรุงกลไกใน
วิชาชีพของตนใหท้ นั ตอ่ สังคมสารสนเทศ และสอดคล้องกับกระแสโลก องคก์ รท้ังภาครฐั และเอกชนในปัจจุบัน
ต่างหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีสารสนเทศกันอย่างจริงจังและมากขึ้น โดยใช้เป็นเครื่องมือสร้างระบบ
สารสนเทศในหน่วยงานของตน เน่อื งจากตระหนักดวี ่าสารสนเทศมีบทบาทในการทำกิจกรรมแทบทุกชนิดไม่
ว่าจะเป็นการสื่อสาร การปฏิบัติงาน การแก้ปัญหา หรือการตัดสินใจ เมื่อการวางแผนและการจัดการได้มี
เทคโนโลยสี ารสนเทศเข้ามาชว่ ยจะทำใหไ้ ด้สารสนเทศอย่างรวดเรว็ ถกู ต้อง เชอื่ ถือได้ทนั ตอ่ เวลา มีเนื้อหาและ
รปู แบบทต่ี รงกบั ความตอ้ งการ
57
สำหรบั วงการธรุ กจิ สารสนเทศเปน็ สิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแข่งขัน เจ้าของธุรกิจ
จำเป็นต้องรู้ข้อมูลภาวะตลาดและสินค้าเพื่อความอยู่รอดในก ารดำเนินธุรกิจใช้เป็นเครื่องมือช่วยการ
ปฏิบัติงานให้เกิดความถูกตอ้ ง และมีประสิทธภิ าพยึง่ ขึ้น สามารถใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อได้เปรียบในการแข่งขนั
เพิ่มผลผลิต สร้างภาพลักษณ์ให้เกดิ ความประทับใจแก่ลกู ค้า นอกจากนีใ้ นชีวิตประจำวนั ภายในครอบครัวมี
การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศกนั มากขน้ึ เช่น โทรศพั ท์ วทิ ยกุ ระจายเสยี วทิ ยุโทรทัศน์ วิดีเทก็ ซ์
เทคโนโลยีสารสนเทศจงึ มคี วามสำคัญมากในปัจจบุ ัน และมแี นวโนม้ มากยิ่งขึ้นในอนาคต จะเหน็
ไดว้ า่ เทคโนโลยสี ารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสูงข้ึนอยา่ งมากในการดำเนินงานและการตัดสนิ ใจของคนใน
สงั คม
สรุปความสำคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ไดด้ งั น้ี
1) ช่วยในการจดั ระบบข่าวสารจำนวนมหาศาลของแต่ละวัน
2) ชว่ ยเพ่มิ ประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ
3) ช่วยให้สามารถเกบ็ สารสนเทศไวใ้ นรูปท่สี ามารถเรยี กใช้ไดท้ กุ ครั้งอย่างสะดวก
4) ช่วยให้สามารถจดั ระบบอัตโนมตั เิ พอื่ การจัดเก็บประมวลผล และเรียกใช้สารสนเทศ
5) ชว่ ยในการเข้าถงึ สารสนเทศไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ มปี ระสิทธภิ าพมากขึ้น
6) ชว่ ยในการสอ่ื สารระหวา่ งกนั ไดอ้ ยา่ งสะดวกรวดเรว็ ลดอปุ สรรคเกย่ี วกบั เวลาและระยะทาง โดยการใช้
ระบบโทรศัพท์
58
19. องค์ประกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
1. ฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวรเ์ ปน็ องค์ประกอบสำคัญของระบบสารสนเทศ หมายถึง เครื่องคอมพวิ เตอร์ อปุ กรณ์
รอบข้าง เช่น เครอื่ งพมิ พ์ เคร่อื งกราดตรวจ รวมทงั้ อปุ กรณส์ ่อื สารสำหรบั เช่อื มโยงคอมพวิ เตอรเ์ ข้าเป็น
เครือขา่ ย
2. ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์หรอื โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นองคป์ ระกอบทีส่ ำคญั ประการท่สี อง ซงึ่ ก็คอื ลำดับ
ขนั้ ตอนของชุดคำส่งั ที่สั่งงานให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน เพอ่ื ประมวลผลขอ้ มลู ให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการของการ
ใชง้ าน ในปจั จุบนั มซี อฟตแ์ วร์ควบคุมระบบงาน ซอฟตแ์ วรส์ ำเรจ็ ทำให้การใชง้ านคอมพวิ เตอร์ในระดบั บคุ คล
เป็นไปอยา่ งกวา้ งขวาง และส่งเสริมการทำงานของกลุ่มมากข้ึน ส่วนงานในระดับองค์กร ส่วนใหญม่ กั จะมีการ
พัฒนาระบบตามความต้องการ โดยการว่าจา้ งบริษัททร่ี บั พฒั นาซอฟตแ์ วร์ หรือโดยนักคอมพวิ เตอร์ที่อยใู่ น
ฝา่ ยคอมพิวเตอรข์ ององค์กร เปน็ ต้น
3. ขอ้ มูล
ข้อมลู เป็นองคป์ ระกอบที่สำคญั อกี ประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ เป็นตวั ชคี้ วามสำเรจ็
หรอื ความลม้ เหลวของระบบได้ เน่อื งจากต้องมีการเกบ็ ขอ้ มลู จากแหล่งกำเนดิ ข้อมูลจะต้องมคี วามถูกต้องและ
ทันสมัย มีการกลั่นกรองและตรวจสอบแล้วเทา่ นั้นจงึ จะมีประโยชนโ์ ดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เม่อื ใช้งานในระดับกล่มุ
หรอื ระดบั องค์กร ขอ้ มลู ตอ้ งมโี ครงสร้างในการจัดเก็บท่เี ปน็ ระบบระเบียบเพ่ือการสบื ค้นทรี่ วดเรว็ และมี
ประสทิ ธภิ าพ
4. บคุ คลากร
บุคลากรในระดบั ผู้ใช้ ผ้บู รหิ าร ผู้พฒั นาระบบ นักวเิ คราะห์ระบบ และนกั เขียนโปรแกรม
เป็นองค์ประกอบสำคญั ในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ ความสามารถทางคอมพิวเตอร์
มากเท่าใด โอกาสทีจ่ ะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพวิ เตอร์ไดเ้ ต็มศักยภาพและคมุ้ ค่ายิง่ มากขึน้
เท่านน้ั โดยเฉพาะระบบสารสนเทศในระดบั บุคคลซง่ึ เคร่อื งคอมพวิ เตอรม์ ขี ีดความสามารถมากขนึ้ ทำให้ผใู้ ช้มี
โอกาสพฒั นาความสามารถของตนเองและพัฒนาระบบงานไดเ้ องตามความต้องการ สำหรบั ระบบสารสนเทศ
ในระดับกลุม่ และองค์กรทีม่ ีความซบั ซ้อนมาก อาจจะต้องใช้บคุ ลากรในสาขาคอมพิวเตอร์โดยตรงมาพัฒนา
และดูแลระบบงาน
5. กระบวนการวิเคราะห์
ขนั้ ตอนการปฏบิ ตั งิ านที่ชัดเจนของผใู้ ชห้ รอื บุคลากรท่ีเก่ยี วข้องก็เปน็ เร่อื งสำคญั อกี ประการ
หน่ึง เม่ือได้พฒั นาระบบงานแล้วจำเปน็ ต้องปฏิบัตงิ านตามลำดับขั้นตอน ในขณะใชง้ านก็จำเปน็ ต้องคำนึงถึง
59
ลำดับข้นั ตอนการปฏบิ ัติของคนและความสัมพันธ์กบั เคร่ือง ทงั้ ในกรณปี กติและกรณฉี กุ เฉนิ เช่น ขั้นตอนการ
บนั ทกึ ขอ้ มลู ขนั้ ตอนการประมวลผล ขน้ั ตอนปฏิบตั เิ มอ่ื เครอ่ื งชำรุดหรอื ขอ้ มลู เสียหาย และขั้นตอนการทำ
สำเนาขอ้ มูลสำรองเพอ่ื ความปลอดภยั เป็นตน้ สง่ิ เหลา่ น้ีจะตอ้ งมีการซกั ซ้อม มกี ารเตรียมการ และการทำ
เอกสารคมู่ อื การใช้งานทช่ี ดั เจน
20. ปัจจยั ที่ทำให้เกิดความลม้ เหลวในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
จากงานวิจยั ของ Whittaker (1999: 23) พบวา่
ปัจจัยของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดจาก
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การ มีสาเหตุ
หลัก 3 ประการ ได้แก่
1. การขาดการวางแผนท่ีดีพอ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่งองค์การมี
ขนาดใหญม่ ากข้ึนเท่าใด การจัดการความเส่ยี งย่อมจะมี
ความสำคญั มากข้ึนเป็นเงาตามตัว ทำใหค้ ่าใช้จ่ายด้านนี้
เพ่มิ สูงขึน้
2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรือ
งานที่องค์การดำเนินอยู่ หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับความต้องการขององค์การแล้วจะทำให้เกิด
ปญั หาต่าง ๆ ตามมา และเปน็ การสน้ิ เปลอื งงบประมาณโดยใชเ่ หตุ
3. การขาดการจัดการหรือสนับสนนุ จากผู้บริหารระดบั สงู การทจี่ ะนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้
งานในองค์กร หากขาดซึ่งความสนับสนนุ จากผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ถือว่าล้มเหลวตัง้ แต่ยังไม่ได้เริม่ ต้น การ
ได้รับความมั่นใจจากผู้บรหิ ารระดับสูงเป็นก้าวย่างที่สำคญั และจำเปน็ ที่จะทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ
มาใชใ้ นองค์การประสบความสำเรจ็
สำหรบั สาเหตขุ องความลม้ เหลวอนื่ ๆ ท่พี บจากการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ เชน่ ใชเ้ วลาในการ
ดำเนินการมากเกนิ ไป (Schedule overruns), นำเทคโนโลยที ่ีลำ้ สมัยหรือยังไม่ผา่ นการพิสูจน์มาใช้งาน (New
or unproven technology), ประเมินแผนความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่ถูกต้อง, ผู้จัดจำหน่าย
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซื้อมาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบ และ
ระยะเวลาของการพัฒนาหรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จนเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งปี
60
นอกจากน้ี ปัจจยั อื่น ๆ ที่ทำใหก้ ารนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสำเรจ็ ในด้านผู้ใชง้ านนั้น อาจ
สรปุ ได้ดังน้ี คอื
1. ความกลัวการเปล่ียนแปลง กล่าวคือ ผคู้ นกลวั ทีจ่ ะเรยี นรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมท้ังกลัว
วา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสำคญั ในหนา้ ท่ีการงานที่รับผิดชอบของตนให้ลดน้อยลง
จนทำให้ต่อตา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเทคโนโลยี
สารสนเทศเปลี่ยนแปลงรวดเรว็ มาก หากไม่มัน่ ติดตามอย่างสมำ่ เสมอแลว้ จะทำใหก้ ลายเปน็ คนล้าหลังและตก
ขอบ จนเกดิ สภาวะชะงกั งนั ในการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
3. โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทัว่ ถึง ทำใหข้ าดความเสมอภาค
ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการใช้กระจกุ ตัวเพียงบางพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคในการใช้งานด้าน
ตา่ ง ๆ ตามมา เชน่ ระบบโทรศัพท์ อนิ เทอร์เน็ตความเรว็ สงู ฯลฯ
21. ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ
การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศ
ในช่วงแรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนวณ แต่ตอ่ มาไดม้ ีความพยายามพฒั นาให้คอมพิวเตอร์
เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้สามารถ
สร้างคอมพิวเตอรท์ มี่ ีขนาดเลก็ ลง แตป่ ระสิทธภิ าพสงู ขนึ้ สภาพการใช้งานจึงใชง้ านกันอยา่ งแพรห่ ลาย ผลของ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่าง
กว้างขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวได้ดงั นี้
61
การสรา้ งเสริมคณุ ภาพชีวิตที่ดขี ึน้ สภาพความเป็นอยขู่ องสงั คมเมือง มกี ารพฒั นาใชร้ ะบบส่ือสารโทรคมนาคม
เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเคร่ืองอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุม
เครื่องปรบั อากาศ ใช้ควมคุมระบบไฟฟา้ ภายในบา้ น เป็นตน้
1. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการ
กระจายไปทว่ั ทกุ หนแห่ง แม้แต่ถนิ่ ทรุ กันดาร ทำใหม้ กี ารกระจายโอการการเรยี นรู้ มกี ารใชร้ ะบบการเรียนการ
สอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่ใช้ระบบการ
รักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายส่ือสาร
2. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรยี นการสอนในโรงเรียนมกี ารนำคอมพิวเตอรแ์ ละ
เครอ่ื งมอื ประกอบชว่ ยในการเรยี นรู้ เช่น วีดทิ ัศน์ เครือ่ งฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัด
การศึกษา จดั ตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จดั ชั้นเรียน ทำรายงานเพอ่ื ให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและ
การแก้ปญั หาในโรงเรียน ปจั จุบนั มีการเรยี นการสอนทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศในโรงเรยี นมากขนึ้
3. เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้องใช้
สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า จำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพ
อากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพือ่ ปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมลู
คณุ ภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใชร้ ะบบการตรวจวัดระยะไกลมาชว่ ย ท่ีเรียกว่า
โทรมาตร เป็นต้น
4. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกนั ประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธ
ยุทโธปกรณ์สมัยใหมล่ ้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกันภัย ระบบเฝ้า
ระวังทีม่ คี อมพวิ เตอรค์ วบคมุ การทำงาน
5. การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
จำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมาก มีการใช้
ขอ้ มูลขา่ วสารเพื่อการบรหิ ารและการจัดการ การดำเนนิ การและยงั รวมไปถงึ การใหบ้ ริการกบั ลูกค้า เพื่อให้ซ้ือ
สินค้าไดส้ ะดวกข้ึน
22. เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การใชช้ ีวติ ในสงั คมปัจจุบัน
ในภาวะปัจจุบนั นั้นสารสนเทศได้กลายเปน็ ปัจจัยพื้นฐานปัจจยั ท่ีหา้ เพิ่มจากปจั จัยส่ีประการที่มนุษย์
เราขาดเสียมิไดใ้ นการดำรงชวี ิตประจำวนั ไม่วา่ จะเป็นสารสนเทศที่จำเป็น ในการประกอบธุรกจิ ในการค้าขาย
การผลิตสินค้า และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหารและปกครอง
62
จนถงึ เร่อื งเบา ๆ เรื่องไร้สาระบ้าง เชน่ สภากาแฟท่สี ามารถพบได้ทกุ แหง่ หนในสงั คม เร่ืองสาระบนั เทิงในยาม
พักผ่อน ไปจนถงึ เรอื่ งความเปน็ ความตาย เช่น ข่าวอทุ กภัย วาตภยั หรือการทำรัฐประหารและปฏวิ ัติ เป็นต้น
ในความคิดเหน็ ของกลุม่ บุคคลตา่ ง ๆ ตงั้ แตน่ กั วชิ าการ นกั ธุรกจิ นกั สงั คมศาสตร์ นกั เศรษฐศาสตร์ จนกระท่ัง
ผู้นำต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al Gore ของสหรัฐอเมริกา
สารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน และในยุคสังคมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21
สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญ
ที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด กล่าวกันสั้น ๆ
สารสนเทศกำลังจะกลายเป็นฐานแห่ง
อำนาจอันแท้จริงในอนาคต ทั้งในทาง
เศรษฐกิจ และทางการเมืองในสมัยสังคม
เกษตรนน้ั ปัจจยั พื้นฐานในการผลิตที่สำคัญ
ไดแ้ ก่ ท่ีดนิ แรงงาน และทนุ ทรัพย์ ตอ่ มาใน
สังคมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพึ่งพา
ปัจจัยพื้นฐานเพิ่มเติม ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคม
อุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อันได้แก่ ที่ดิน พลังงาน และวัสดุ เป็นอย่างมาก
และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างฟุ่มเฟือยและขาดความระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ี
รุนแรงมาก ซึ่งกำลังคุกคามโลกรวมทั้งประเทศไทย ตั้งแต่ปัญหาการแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ ภัย
ธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่มความถี่และรุนแรงขึน้ ปัญหาการบอ่ นทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยาทัง้ ป่าดงดบิ
ป่าชายเลน ป่าต้นนำ้ ลำธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แม่น้ำลำคลองที่เตม็ ไปด้วยสารพิษ เจือปน ตลอด
จนถึงปัญหาวิกฤตทิ างจราจรและภัยจากควันพิษในมหานครทุกแห่งทั่วโลกในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต
การเกบ็ และถา่ ยทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดแุ ละพลังงานนอ้ ยมาก และไมม่ ผี ลเสียตอ่ ภาวะแวดล้อมหรือ
มีเพียงเล็กน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นสารสนเทศจะสามารถช่วยให้กิจกรรมการผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไป
อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การผลิตทางอุตสาหกรรมใช้วัตถดุ ิบ และพลังงานนอ้ ยลง มีมลภาวะ
น้อยลง แต่สินค้ามีคุณภาพดีขึ้นคงทนมากขึ้น ปัญหาวิกฤติทางจราจรในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วย
เทคโนโลยสี ารสนเทศ เช่น ในการชว่ ยตดิ ตอ่ สื่อสารทางธุรกิจตา่ งๆ โดยไม่จำเปน็ ต้องเดินทางด้วยตนเองดังเช่น
แต่ก่อน จึงอาจกล่าวได้วา่ เทคโนโลยีสารสนเทศจะมสี ่วนอยา่ งมาก ในการนำสงั คม สูว่ วิ ัฒนาการอกี ระดบั หนึ่ง
ทีอ่ าจเรียกไดว้ ่าเป็นสังคมสารสนเทศ อนั เปน็ สังคมทีพ่ ึงปรารถนาและยง่ั ยนื ยง่ิ ขนึ้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าสังคมต่าง ๆ ในโลก ต่างจะต้องก้าวสู่สังคมสารสนเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เร็วก็ช้า
และนน่ั หมายความว่าสงั คมจะตอ้ งพึง่ พาเทคโนโลยีสารสนเทศ อยา่ งแน่นอน ไม่วา่ เราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม
มิใชเ่ พยี งแต่เพ่ือสร้างขีดความสามารถในเชิงแขง่ ขนั ในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพ่ือความอยู่รอดของ
63
มนุษยชาติ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกต่างหากด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีคู่โลกในต้น
ศตวรรษที่ 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็นปัจจัยรองรบั ขบวนการโลกาภิวัตน์ ที่กำลังผนวกสังคมเศรษฐกจิ
ไทยเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับสังคมโลกอันที่จริงเทคโนโลยีสารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านาน
มาแล้ว เป็นต้นว่า เรามีการใช้โทรศัพท์ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ.
2414 เพยี งแต่ว่าการใช้เทคโนโลยีน้ยี ังไม่แพรก่ ระจายทั่วประเทศและยงั ไม่อยู่ในระดับสงู เมอื่ เทียบกับอกี หลาp
ๆ ประเทศในโลกกล่าวกนั อย่างสั้น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คอื เทคโนโลยที ่ีเกี่ยวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์
ประมวล จดั การและจัดเกบ็ เรียกใชห้ รือแลกเปลี่ยน และเผยแพร่สารสนเทศ ดว้ ยระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ ไม่ว่า
จะอยู่ในรปู แบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนำสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติ
ตามเนื้อหาของสารสนเทศนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้ การจัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับ
ข่าวสารข้อมลู จำนวนมหาศาล จงึ ขาดเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เสียมไิ ด้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปล่ียนข้อมูล
ข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี
โทรคมนาคม และท้ายสุดสารสนเทศที่มี จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการบริโภค อย่างกว้างขวางตามแต่จะ
ตอ้ งการและอยา่ งประหยดั ทสี่ ุด ก็ต้องอาศัยท้งั สองเทคโนโลยีข้างตน้ ในการจัดการและการส่ือหรือขนย้ายจาก
แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ สผู่ ูบ้ ริโภคในทสี่ ุด
ฉะนั้น เทคโนโลยสี ารสนเทศจึงครอบคลมุ ถงึ หลาย ๆ เทคโนโลยหี ลกั อันได้แก่ คอมพิวเตอรท์ ้ัง
ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานขอ้ มลู โทรคมนาคมซงึ่ รวมถงึ เทคโนโลยรี ะบบสอ่ื สารมวลชน (ไดแ้ ก่ วทิ ยุ และ
โทรทศั น์) ทัง้ ระบบแบบมีสายและไรส้ าย รวมถงึ เทคโนโลยดี า้ นอเิ ล็กทรอนิกสต์ ่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีโทรทศั น์
ความคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทยี มคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแกว้ นำแสง (fibre optics)
สารก่ึงตวั นำ (semiconductor) ปญั ญาประดษิ ฐ์ (artificial intelligence) อปุ กรณอ์ ัตโนมัตสิ ำนักงาน
(office automation) อปุ กรณอ์ ัตโนมตั ิในบ้าน (home automation) อุปกรณ์อตั โนมัตใิ นโรงงาน (factory
automation) เหล่านี้ เปน็ ต้น
นอกจากการเป็นเทคโนโลยีทไี่ มท่ ำลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมันเอง) ตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม
แลว้ คุณสมบัตโิ ดดเด่นอืน่ ๆ ทที่ ำใหม้ นั กลายเป็นเทคโนโลยี ยุทธศาสตรส์ ำคัญแหง่ ยุคปจั จบุ ันและในอนาคตก็
คอื ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถภาพในเกือบทกุ ๆ กิจกรรม อาทิโดย
1. การลดตน้ ทนุ หรอื ค่าใชจ้ ่าย
2. การเพม่ิ คุณภาพของงาน
3. การสรา้ งกระบวนการหรือกรรมวิธีใหม่ ๆ
4. การสรา้ งผลติ ภัณฑ์และบรกิ ารใหม่ ๆ ขึน้
ฉะน้ัน โอกาสและขอบเขตการนำ เทคโนโลยนี ้ีมาใช้ จึงมหี ลากหลายในเกอื บทกุ ๆ กิจกรรมก็วา่ ได้
ไมว่ ่าจะเป็นการปกครอง การให้บริการสังคม การผลติ ท้งั ภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมถงึ การค้า
64
ท้งั ภายในและระหว่างประเทศอกี ดว้ ย โดยพอสรุปได้ดงั ต่อไปน้ี
ภาคสังคม การบรหิ ารและปกครอง การให้บริการพน้ื ฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข การบรกิ ารการศกึ ษา
การใหบ้ รกิ ารข้อมูลและสาระบนั เทิง การอนุรักษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ การบรรเทาสา
ธารณภยั การพยากรณอ์ ากาศและอตุ ุนิยม ฯลฯ ภาคเศรษฐกจิ การเกษตร การป่าไม้ การประมง การสำรวจ
และขุดเจาะน้ำมนั และ กา๊ ซธรรมชาติ การสำรวจแรแ่ ละทรัพยากรธรรมชาตทิ ้งั บนและใต้ผิวโลก การกอ่ สรา้ ง
การคมนาคมท้ังทางบก นำ้ และอากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อตุ สาหกรรมการผลติ
อุตสาหกรรมบริการ อาทิ ธรุ กิจการทอ่ งเทีย่ ว การเงนิ การธนาคาร การขนสง่ และ การประกนั ภยั ฯลฯ
ผลประโยชนต์ ่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยดี ังกลา่ ว ล้วนเกิดจากคุณสมบัตพิ ิเศษหลาย ๆ ประการ
ของเทคโนโลยีกลมุ่ น้ี อนั สืบเน่ืองจากการพฒั นาของ เทคโนโลยีที่มีอตั ราสงู และอย่างตอ่ เน่ืองตลอดหลาย
ทศวรรษที่ผ่านมา ววิ ฒั นาการทางเทคโนโลยีน้ีส่งผลให้ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมทงั้ ค่าบรกิ าร
สำหรบั การเก็บ การประมวล และการแลกเปลีย่ นเผยแพรส่ ารสนเทศมกี ารลดลงอยา่ งต่อเนอื่ งและรวดเร็วทำ
ให้สามารถนำพาอุปกรณต์ ่าง ๆ ทัง้ คอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัวได้ เนอื่ งจากไดม้ ีพฒั นาการการ
ยอ่ ส่วนของช้นิ สว่ น (miniaturization) และพฒั นาการการสือ่ สารระบบไรส้ ายประการทา้ ย ท่ีจัดว่าสำคัญท่ีสุด
ก็วา่ ได้คือ ทำใหเ้ ทคโนโลยตี ่าง ๆ เชน่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอรแ์ ละการสื่อสารมุง่ เขา้ สู่จุดทใี่ กลเ้ คยี งกัน
(converge)
ประเทศอตุ สาหกรรมในโลกได้เล็งเหน็ ถึงศกั ยภาพของเทคโนโลยียุทธศาสตร์กล่มุ นี้ จึงให้ความสำคัญ
ต่อเทคโนโลยีน้มี ากกวา่ เทคโนโลยีอ่นื ๆ ทจ่ี ดั เป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สำคญั อกี หลายกลมุ่ ดงั เชน่ กล่มุ
ประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษาเปรยี บเทยี บ
ศกั ยภาพของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสำคัญในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีชวี ภาพ เทคโนโลยีวสั ดุใหม่ เทคโนโลยี
อวกาศ เทคโนโลยีนวิ เคลยี ร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสำคัญ 5 ประเด็น ไดแ้ ก่
(1) การสร้างผลติ ภัณฑ์และบรกิ ารใหม่ ๆ
(2) การปรบั ปรุงกระบวนการผลติ ผลิตภัณฑ์และบรกิ าร
(3) การยอมรบั จากสงั คม
(4) การนำไปใชป้ ระยกุ ต์ในภาค/สาขาอ่นื ๆ
(5) การสรา้ งงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับในศักยภาพ
สูงสดุ ในทุก ๆ ประเดน็
65
บทท่ี3
ความหมายและความเปน็ มาของเทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ความหมายและความเป็นมาของ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอ
ที (อังกฤษ: information technology:
IT) คือการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์และ
อุปกรณ์โทรคมนาคม เพื่อจัดเก็บ ค้นหา
ส่งผ่าน และจัดดำเนินการข้อมูล ซึ่งมัก
เกี่ยวข้องกับธุรกิจหนึ่งหรือองค์การอื่น
ๆ ศัพท์นี้โดยปกติก็ใช้แทนความหมาย
ของเคร่อื งคอมพวิ เตอรแ์ ละเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ และยงั รวมไปถึงเทคโนโลยกี ารกระจายสารสนเทศอย่างอ่ืน
ด ้ ว ย เ ช ่ น โ ท ร ท ั ศ น์ แ ล ะ โ ท ร ศ ั พ ท ์ แ ล ะ อ ุ ต ส า ห ก ร ร ม ห ล า ย อ ย ่ า ง ท ี ่ เ ก ี ่ ย ว ข ้ อ ง
ตัวอย่างเช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์โทรคมนาคม การ
พาณิชย์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ และบริการทางคอมพวิ เตอร์ มนุษย์รู้จกั การจัดเก็บ ค้นคืน จัดดำเนินการ และสื่อสาร
สารสนเทศมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมียโดยชาวซูเมอร์ ซึ่งได้พัฒนาเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล แต่
ศัพท์ ในความหมายสมยั ใหม่ ปรากฏข้ึนเมอื่ ค.ศ. 1958 ในงานพิมพ์ ฮารเ์ วิรด์ บซิ เนสรวี ิว (Harvard Business
Review) ซงึ่ เขยี นโดย และ โทมสั แอล. วสิ เลอร์ โดยใหค้ วามเห็นไว้วา่ "เทคโนโลยใี หมย่ ังไม่มีชือ่ ทตี่ ัง้ ข้ึนเป็นสิ่ง
เดียว เราจะเรียกมันว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที)" คำจำกัดความของศัพท์นี้ประกอบด้วยเทคโนโลยีสาม
ประเภท ได้แก่ เทคนิคเพื่อการประมวลผล การประยุกต์ใช้วิธีการทางสถิติศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อการ
ตัดสินใจ และการจำลองความคิดในระดับที่สูงขึ้นผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ = พัฒนาการของเทคโนโลยี
สารสนเทศนัน้ อาจแบง่ ได้เป็นสยี่ ุค ตามเทคโนโลยีการจัดเก็บและการประมวลผลที่ใช้ ไดแ้ ก่ ยุคก่อนเคร่ืองกล
(3000 ปีก่อน ค.ศ. – คริสต์ทศวรรษ 1450) ยุคเครื่องกล (1450–1840) ยุคเครื่องกลไฟฟ้า (1840–1940)
และยุคอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (1940–ปจั จบุ นั ) บทความน้ีจะให้ความสำคญั ไปท่ยี ุคลา่ สุด (ยคุ อเิ ล็กทรอนิกส์) ซึ่งเร่ิม
เมื่อประมาณครสิ ต์ทศวรรษ 1940
อปุ กรณไ์ ด้ถกู นำมาใช้เพอ่ื ชว่ ยในการคำนวณเปน็ พนั ๆ ปมี าแลว้ น่าจะเป็นในรปู แบบของไม้หรือต้วิ เพื่อ
บันทึกการนับกลไก Antikythera สืบมาจากจุดเริ่มต้นของศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริศตศักราชโดยทั่วไปถูก
พิจารณาว่าเป็น คอมพิวเตอร์แบบอนาล็อกท่ีใช้กลไกที่เก่าแกท่ ี่สุดเท่าที่รู้จักกัน และกลไกที่ใช้เฟืองที่เก่าแก่
ที่สุดเท่าที่รู้จักกันอุปกรณ์ที่ใช้เฟืองทีสามารถเทียบได้ไม่ได้เกิดขึ้นใน ยุโรปจนถึงศตวรรษที่ 16และมันไม่ได้
66
เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1645 ที่เครื่องคิดเลขกลไกตัวแรกที่มีความสามารถในการดำเนินการคำนวณ
ทางคณติ ศาสตรข์ ้ันพ้ืนฐานท้ังสี่ไดร้ บั การพฒั นา
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้รีเลย์หรือวาล์ว เริ่มปรากฏให้เห็นในช่วงต้นปี ค.ศ. 1940 เครื่องกล
ไฟฟ้า Zuse Z3, เสร็จสมบูรณ์ใน ปี ค.ศ.1941, เป็นคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมได้เครื่องแรกของโลก และตาม
มาตรฐานที่ทันสมัย เป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่อาจถูกพิจารณาว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์แบบเครื่อง
หนึ่ง เครื่อง Colossus, ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงสงครามโลกคร้ังที่สองเพื่อถอดรหัสข้อความภาษาเยอรมัน, เป็น
คอมพวิ เตอร์ดจิ ิตอลอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ตัวแรก แมว้ ่ามันจะโปรแกรมได้ มันกไ็ มไ่ ด้ถูกใช้เพ่ือวตั ถุประสงค์ท่ัวไป มัน
ถกู ออกแบบมาเพือ่ ทำงานเพียงงานเดยี ว มันยังขาดความสามารถในการจัดเก็บโปรแกรมในหน่วยความจำอีก
ด้วย การเขียนโปรแกรม สามารถทำได้โดยใช้ปลั๊กและสวิทช์เพื่อเปลี่ยนแปลงการเดินสายไฟภายใน
คอมพิวเตอร์ที่เก็บโปรแกรมได้แบบดิจิทัลอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับตัวแรก คือ
Manchester Small-Scale Experimental Machine (SSEM) ซึ่งเริ่มใช้โปรแกรมแรกในวันที่ 21 มิถุนายน
ค.ศ. 1948
การพัฒนาของทรานซิสเตอรใ์ นปลายปี
ค.ศ. 1940 ที่ หอ้ งปฏิบตั กิ าร Bell ทำให้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบรุ่นใหม่ใช้พลังงานท่ี
ลดลงอย่างมาก เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก็บ
โปรแกรมได้ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ตัวแรกช่ือ
Ferranti Mark I ประกอบด้วย วาล์ว 4,050
ตัวและมี การใช้พลังงาน 25 กิโลวัตต์ เม่ือ
เปรียบเทียบคอมพวิ เตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ตัว
แรก, ที่ถูกพัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยแห่ง
แมนเชสเตอรแ์ ละเปดิ ใช้งานในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1953, บริโภคพลังงานเพยี ง 150 วัตต์ในรุ่นสดุ ท้าย
ของมัน
โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ กรอบงานบรู ณาการภายใต้เครอื ขา่ ยดิจิตอลทำงานอยู่
โครงสร้างพื้นฐานนี้ประกอบด้วย ศูนย์ข้อมูล, เครื่องคอมพิวเตอร์, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์จัดการ
ฐานข้อมลู และระบบการกำกับดแู ล
ในเทคโนโลยีสารสนเทศและบนอนิ เทอร์เนต็ โครงสรา้ งพ้นื ฐานเปน็ ฮาร์ดแวรท์ างกายภาพทถี่ กู ใช้ในการ
เชื่อมต่อระหวา่ งเคร่ืองคอมพวิ เตอร์หลายตวั และผู้ใช้หลายคน โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยส่ือการสง่ ผ่าน,
รวมทั้งสายโทรศัพท์, สายเคเบิลทีวี, ดาวเทียมและเสาอากาศ และยังมีเราเตอร์หลายตัวที่ใช้ถ่ายโอนข้อมูล
ระหว่างเทคโนโลยีการส่งผา่ นทัง้ หลายทแ่ี ตกตา่ งกนั
ในการใช้งานบางครัง้ โครงสร้างพืน้ ฐานหมายถงึ การเช่ือมต่อฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ และไม่ตดิ ตอ่ กบั
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศบางคน
โครงสร้างพ้ืนฐานถกู มองว่าเปน็ ทุกอย่างท่ีสนบั สนุนการไหลและการประมวลผลของข้อมลู
67
บริษทั โครงสรา้ งพื้นฐานมบี ทบาทสำคญั ในการพัฒนาอินเทอรเ์ น็ต พวกเขามีอิทธิพลวา่ ทีไ่ หนบ้างต้องมี
การเชื่อมโยง, ที่ไหนบ้างที่ขอ้ มูลจะต้องถูกทำให้สามารถเข้าถึงได้ และ จำนวนข้อมูลที่สามารถดำเนนิ การได้
และทำไดร้ วดเรว็ ไดอ้ ยา่ งไร
1.1 ความหมายของข้อมูลและสารสนเทศ
ขอ้ มูล คอื ขอ้ เท็จจริงเกีย่ วกบั เหตุการณ์ หรอื ขอ้ มลู ดบิ ทยี่ ังไมผ่ ่านการประมวลผล สารสนเทศ คอื
ข้อมลู ทไ่ี ดผ้ ่านการประมวลผลหรือจัดระบบแล้วการประมวลผลขอ้ มูลอิเล็กทรอนิกส์
1.2 อุปกรณ์จัดเก็บขอ้ มูล
คอมพวิ เตอรอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ระยะแรก เชน่ Colossus ใชเ้ ทปเจาะรู(เปน็ กระดาษแถบยาวทข่ี ้อมลู ถูก
แทนดว้ ยชดุ ของร)ู เทคโนโลยที ี่ปัจจุบนั นล้ี ้าสมัยไปแลว้ ที่จัดเก็บข้อมูลอเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ ใ่ี ช้ในเคร่อื งคอมพิวเตอร์
ทที่ นั สมยั ย้อนหลังไปหลงั สงครามโลกครั้งทส่ี อง เมอ่ื รปู แบบหน่งึ ของหน่วยความจำแบบ delay line (เมมโมรี
แบบเขา้ ถงึ โดยลำดับ) ถูกพัฒนาขึ้นเพ่ือลบล้างความยงุ่ เหยงิ จากสญั ญาณเรดาร์ การใช้งานในทางปฏิบตั เิ ป็น
ครง้ั แรกเป็น delay line ปรอทอุปกรณ์จัดเก็บขอ้ มูลดิจิตอลแบบเข้าถงึ โดยการสมุ่ ตัวแรกคือหลอดของ วิล
เลียมส์ ทม่ี มี าตรฐานของหลอดรังสีแคโทด, แต่ข้อมลู ที่เก็บไวใ้ นนนั้ มคี วามผันผวน จะ ต้องไดร้ บั การฟืน้ ฟอู ย่าง
ต่อเน่ืองและหายไปเม่ือไฟดับ รูปแบบท่ีเกา่ แก่ที่สุดของตัวจัดเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์โดยไมผ่ ันผวนคอื กลอง
แม่เหลก็ (อังกฤษ: magnetic drum) ทีถ่ กู คิดคน้ ใน ปี ค.ศ. 1932 และถกู ใช้ในเคร่ือง Ferranti Mark 1 ซ่งึ
เป็น คอมพวิ เตอร์อิเล็กทรอนกิ ส์วตั ถปุ ระสงคท์ ัว่ ไปทีใ่ ช้ในเชิงพาณชิ ย์เคร่อื งแรกของโลก ไอบเี อม็ เปิดตัว
ฮาร์ดดิสกไ์ ดรฟต์ ัวแรกในปี ค.ศ. 1956 เพ่อื เป็นส่วนหน่งึ ของระบบคอมพิวเตอร์ 305 RAMAC ของพวก
เขา ข้อมูลดจิ ิตอลสว่ นใหญ่ในปัจจบุ นั จะยงั คงถกู เกบ็ ไวใ้ นรูปสนามแมเ่ หลก็ ในฮารด์ ดสิ ก์ หรอื ในรปู แสงบนส่อื
เช่น ซดี ีรอมจนกระท่งั ปี ค.ศ. 2002 ขอ้ มูลสว่ นใหญ่ ถูกเก็บไวบ้ นอปุ กรณ์แบบอนาล็อก แต่ในปเี ดยี วกัน
ความสามารถในการจัดเก็บขอ้ มลู ดิจิทัลก็เกนิ อนาล็อกเปน็ ครง้ั แรก ขณะทป่ี ี ค.ศ. 2007 เกือบ 94% ของ
ขอ้ มลู ทถ่ี ูกจดั เก็บท่ัวโลกเป็นดจิ ิทัล 52% ในฮารด์ ดิสก์, 28% บนอุปกรณแ์ สง และ 11% ในเทปแม่เหล็กดจิ ิทลั
คาดวา่ ความจทุ ่ัวโลกในการจดั เก็บขอ้ มูลบนอุปกรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์จะเพิม่ ข้ึนจาก นอ้ ยกวา่ 3 exabytes ใน
ค.ศ.1986 ไปเปน็ 295 exabytes ในปี ค.ศ. 2007 เป็นสองเท่าทกุ ๆ 3 ปี
1.3 ฐานขอ้ มูล
ระบบการจัดการฐานข้อมูลเกิดขน้ึ ใน ปี ค.ศ.1960 เพ่อื แกไ้ ขปญั หาการจดั เกบ็ และเรียกใชข้ อ้ มูล
จำนวนมากได้อย่างถกู ต้องและรวดเร็ว หน่ึงในระบบดงั กลา่ วแรกสดุ เปน็ ระบบ Information Management
System (IMS) ของไอบเี อม็ , ซึ่งยังคงใชง้ านอย่างกวา้ งขวางกวา่ 40 ปีตอ่ มา IMS เก็บขอ้ มูลตามลำดบั ข้ันแต่
ในปี ค.ศ.1970 เท็ด Codd เสนอรปู แบบการจัดเกบ็ ขอ้ มลู ที่สมั พันธ์เป็นทางเลือก อยบู่ นพืน้ ฐานของการตั้ง
ทฤษฎแี ละตรรกะ คำกริยาและแนวคดิ ทค่ี ุน้ เคยของตาราง แถวและคอลัมน์ ระบบการจดั การฐานข้อมูลเชิง
สัมพนั ธ์ ในเชงิ พาณิชย์ (อังกฤษ: relational database management system หรอื RDBMS) มีให้บรกิ าร
เป็นครงั้ แรกโดยบรษิ ทั ออราเคิล ในปี ค.ศ.1980
68
ทุกระบบการจดั การฐานข้อมูลประกอบด้วยจำนวนขององค์ประกอบท่รี ่วมกนั ยอมให้ขอ้ มูลทีพ่ วกมนั
เกบ็ ไวส้ ามารถเขา้ ถงึ ไดพ้ รอ้ มกนั โดยผู้ใชห้ ลายคนในขณะทย่ี ังรกั ษาความสมบูรณ์ของข้อมลู ไว้ด้วย ลกั ษณะ
ของฐานขอ้ มลู ทงั้ หมดเป็นโครงสรา้ งของข้อมลู ท่พี วกมันเก็บไวถ้ กู กำหนดและจัดเกบ็ ไวแ้ ยกต่างหากจากขอ้ มลู
ของตัวมันเองในโครงสรา้ งแบบสกมี า
ภาษามาร์กอัปขยายได้ (XML ) ได้กลายเปน็ รปู แบบที่นิยมสำหรบั การแทนข้อมูลในหลายปีทผี่ ่านมา
แมว้ า่ ขอ้ มูล XML จะถูกเก็บไว้ในระบบไฟลป์ กติ มันจะถกู จดั เก็บโดยทั่วไปในฐานข้อมูลเชิงสมั พนั ธ์ เพอ่ื ใช้
ประโยชนจ์ าก "การดำเนินงานท่ีแข็งแกร่งทถ่ี ูกตรวจสอบโดยหลายปีความพยายามทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัต"ิ
ของพวกเขาเนือ่ งจากการววิ ัฒนาการของ Standard Generalized Markup Language ( SGML ) โครงสร้าง
ทีม่ ีพ้ืนฐานมาจากขอ้ ความของ XML ไดเ้ สนอข้อได้เปรยี บของการเปน็ ทั้งเครอ่ื งและส่ิงที่มนุษยส์ ามารถอา่ นได้
1.4 การคน้ คนื ข้อมลู
รูปแบบฐานขอ้ มูลเชิงสัมพันธไ์ ด้แนะนำให้ร้จู ักการเขยี นโปรแกรมอสิ ระภาษา ชอ่ื Structured Query
Language (SQL) ทมี่ พี ื้นฐานจากพชี คณิตสัมพันธ์
คำวา่ "ขอ้ มลู "และ"สารสนเทศ" ไม่ใช่คำเดียวกัน อะไรทเี่ กบ็ ไวเ้ ปน็ ข้อมูล แตม่ ันจะกลายเปน็ สารสนเทศ
กต็ อ่ เมือ่ มันถกู จดั ระเบยี บและนำเสนอความหมาย สว่ นใหญข่ องข้อมลู ดจิ ิตอลของโลกไมม่ ีโครงสรา้ งและถูก
เก็บไว้ในหลายรปู แบบทางกายภาพทแี่ ตกต่างกัน แมจ้ ะอยู่ในองคก์ รเดียวกนั กต็ าม คลังข้อมูลเร่ิมถูกพัฒนา
ในช่วงปี ค.ศ.1980 ทจี่ ะรวมรา้ นคา้ ท่ีแตกต่างกันเหล่านี้ พวกมนั มกั จะมขี ้อมูลทีร่ วบรวมจากแหลง่ ต่าง ๆ
รวมทง้ั แหลง่ ภายนอกเช่น Internet, ทีถ่ ูกจดั ในลักษณะเพ่อื อำนวยความสะดวกให้ระบบสนับสนนุ การ
ตดั สินใจ (องั กฤษ: decision support system หรือ DSS)
1.5 การสง่ ผ่านข้อมูล
การสง่ ผา่ นขอ้ มลู มี 3 มมุ มอง ไดแ้ ก่ การส่ง, การแพร่ และการ
รบั มนั สามารถจำแนกกวา้ ง ๆ เป็น การกระจายออกไปในส่อื ที่
ขอ้ มลู จะถกู ส่งไปทิศทางเดียวลงไปท้ายนำ้ หรอื การสือ่ สาร
โทรคมนาคมทมี่ ี 2 ช่องทาง ไปทางต้นน้ำและปลายนำ้
XML ถูกนำมาใชง้ านมากข้ึนเพ่อื เป็นวธิ กี ารของ
แลกเปลยี่ นขอ้ มูลตง้ั แต่ช่วงตน้ ยุค ค.ศ. 2000โดยเฉพาะ
อย่างย่ิง สำหรับการปฏสิ ัมพันธ์แบบเครอื่ งตอ่ เคร่อื ง เชน่ ผู้ที่เก่ียวขอ้ งในโพรโทคอลทีใ่ ชก้ ับเวบ็ เช่น SOAP ที่
อธิบาย "ข้อมูลในการขนสง่ มากกวา่ ... ข้อมลู ท่พี ักอย่"ู หนง่ึ ในความท้าทายของการใชง้ านดงั กลา่ วเป็นการ
แปลงข้อมูลจากฐานขอ้ มูลเชงิ สมั พันธ์ ใหเ้ ป็นโครงสร้าง (รักอว๋ิ ) XML Document Object Model (DOM)
การจดั ดำเนินการข้อมูล
ฮลิ แบรต์ และ โลเปซ ระบุการก้าวแบบ exponential ของการเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยี ( ชนดิ ของ
กฎของมวั ร์): ความสามารถในการประยกุ ตใ์ ช้เฉพาะงานของเคร่อื งเพอื่ คำนวณข้อมูลตอ่ หัวจะประมาณสอง
เทา่ ทุก ๆ 14 เดอื นระหว่างปี ค.ศ. 1986 ถึง ค.ศ. 2007 ความสามารถต่อหวั ของเครอื่ งคอมพิวเตอร์
วตั ถุประสงค์ท่วั ไปของโลกจะเปน็ สองเทา่ ทกุ ๆ 18 เดอื นในช่วงสองทศวรรษเดยี วกนั ; ความสามารถในการ
69
ส่ือสารโทรคมนาคมระดับโลกตอ่ หวั จะเป็นสองเท่าทุก ๆ 34 เดอื น ความจุของตัวเกบ็ ข้อมูลของโลกตอ่ หวั
ต้องการประมาณ 40 เดอื นจึงจะเปน็ สองเทา่ (ทุก 3 ปี); และ ต่อหัวของขอ้ มลู ท่ีกระจายไปในสอ่ื จะเป็นสอง
เท่าทกุ ๆ 12.3 ปี ข้อมลู จำนวนมหาศาลจะถกู เกบ็ ไว้ท่วั โลกทกุ วัน นอกจากมันจะสามารถถกู วเิ คราะห์และ
นำเสนอได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ มนั จำเป็นที่จะถกู เก็บอย่ใู นสิ่งท่ถี ูกเรยี กวา่ สสุ านขอ้ มูล: "เปน็ คลงั เก็บขอ้ มลู ที่
ไม่ค่อยมกี ารเขา้ เยีย่ มชม" เพอื่ แก้ไขปัญหาน้นั สาขาของเหมอื งข้อมูล "กระบวนการของการคน้ พบรปู แบบท่ี
นา่ สนใจและ ความร้จู ากข้อมูลจำนวนมาก"เกดิ ข้ึนใน ชว่ งปลายปี ค.ศ.1980
1.6 องคป์ ระกอบของระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์
1.ฮาร์ดแวร์ (Hardware) อุปกรณ์ที่ช่วยในการป้อนขอ้ มลู ประมวลผล จดั เก็บและผลิตเอาท์พุท
ออกมาในระบบสารสนเทศ(อปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกสท์ ส่ี ามารถจับตอ้ งได้)
2.ซอฟต์แวร์ (Software) โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ทชี่ ่วยใหฮ้ ารด์ แวรท์ ำงานฐานข้อมูล คอื การจดั ระบบ
ของแฟม้ ขอ้ มูล ซงึ่ เก็บข้อมูลท่ีเก่ยี วขอ้ งกัน
3.เครอื ข่าย (Network) การเชื่อมโยงคอมพวิ เตอรเ์ ข้าด้วยกัน เพอ่ื ช่วยใหม้ ีการใชท้ รัพยากรร่วมกนั
และช่วยในการติดต่อส่ือสาร
4.กระบวนการ (procedure) ไดแ้ ก่ นโยบาย กลยุทธ์ วธิ กี ารและกฎระเบียบต่างๆ ในการใช้ระบบ
สารสนเทศ
5.บคุ คล (People) บุคคลทเี่ กย่ี วข้องในระบบสารสนเทศ เชน่ ผูอ้ อกแบบ ผ้พู ัฒนาระบบ ผู้ดูแลระบบ
และผู้ใช้ระบบ
1.7เทคโนโลยสี ารสนเทศและคอมพิวเตอรป์ ระเภทของระบบคอมพวิ เตอร์
1.7.1ซุปเปอรค์ อมพวิ เตอร์ (Super computer) คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ มกี ำลงั มากทส่ี ดุ
ราคาแพงทีส่ ดุ สามารถประมวลผลคำส่ังไดน้ บั พันล้านคำสัง่ ในหนงึ่ วนิ าที มักใช้เกบ็ ขอ้ มลู ขนาดใหญ่ และ
ตอ้ งการความเรว็ สงู มักใช้ในงานทางวทิ ยาศาสตร์
1.7.2 เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe computer) คอมพวิ เตอรข์ นาดใหญ่ แต่เลก็ กว่า
super computer มคี วามจำและความเร็วน้อยลงอนิยมใชง้ านกับธรุ กิจขนาดใหญ่ เชน่ ธนาคาร โรงแรม
1.7.3 มินิคอมพวิ เตอร์ (Mini computer) ทำงานรว่ มกบั อุปกรณ์รอบขา้ งท่มี ีความเร็วสงู ได้
ใช้ในงาน เชน่ กรม กอง มหาวิทยาลยั ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เปน็ คอมพิวเตอรท์ ่ีใชใ้ นธุรกิจขนาดกลาง และเลก็
ต้องการความสามารถในการประมวลผลสูง และราคาไมส่ ูงเกินไป
4.ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Microcomputer) เคร่อื งประมวลผลขอ้ มลู ขนาดเล็ก มีส่วนของหนว่ ยความจำและ
ความเรว็ ในการประมวลผลนอ้ ยท่ีสุด มี 2 ประเภท
1.แบบติดตง้ั ใชง้ านอยู่กบั ท่ีบนโตะ๊ ทำงาน
2.แบบเคลอ่ื นยา้ ยได้
1.8 วิวฒั นาการของคอมพิวเตอร์
70
ยุคแรก ใช้หลอดสุญญากาศ ใชก้ ำลังไฟฟา้ สงู มปี ัญหาเร่ืองความร้อนและไส้ จึงทำใหห้ ลอดขาดบอ่ ย
ยุคทส่ี อง เป็นคอมพวิ เตอร์ทีใ่ ช้ทรานซสิ เตอร์ มแี กนเฟอร์ไรท์เปน็ หน่วยความจำ มีอปุ กรณ์เกบ็ ข้อมูล
สำรองในรปู ของสือ่ บันทึกแมเ่ หล็ก มภี าษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล
ยคุ ทีส่ าม เป็นคอมพิวเตอรท์ ี่ใช้วงจรรวม (IC) โดยวงจรรวมแตล่ ะตวั จะมที รานซิสเตอรบ์ รรจใุ นวงจร
ยคุ ทีส่ ี่ ใช้วงจรรวมความจสุ งู มาก (VLSI) นำ IC มารวมเข้าไว้ดว้ ยกัน คอมพวิ เตอรจ์ ะมขี นาดเล็กลง
ยุคท่ีห้า เปน็ ผลจากวิชาการดา้ นปัญญาประดษิ ฐ์ (AI) ประเทศต่างๆทัว่ โลกเกบ็ ความรอบรู้ตา่ งๆเขา้ ไว้
ในเครอื่ ง สามารถเรียกคน้ และดงึ ความรู้มาใช้ประโยชน์
1.9 อนิ เตอรเ์ น็ตเบือ้ งต้น
อินเตอรเ์ นต็ คอื เครอื ข่ายของเครือข่าย หรือระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ขนาดใหญท่ ีส่ ุดในโลก ท่ี
เชือ่ มโยงระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ท่วั โลกเขา้ ไว้ด้วยกัน อนิ เตอรเ์ น็ตเปน็ โครงการของ ARPAnet ซ่งึ เปน็
หนว่ ยงานที่สังกดั กระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เพื่อการตดิ ต่อทางดา้ นการทหาร และถูกพฒั นาเร่อื ยมา โดย
สถาบนั ต่างๆ เช่น มหาวทิ ยาลยั แคลิฟอเนยี สถาบนั วิจัยสแตนด์ฟอร์ด
อนิ ทราเนต็ ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอรท์ ี่เชอื่ มโยงภายในองค์กร ตัง้ แต่ 2 เครือข่ายขนึ้ ไป
เอ็กซท์ ราเนต็ ระบบเครือข่ายทเ่ี ชอื่ มระหว่างองคก์ รต่างๆ ท่ีมอี นิ ทราเนต็ เขา้ ดว้ ยกัน ตัง้ แต่ 2 เครือขา่ ยขึน้ ไป
ระบบชอื่ โดเมน มกี ารกำหนดช่อื แทนรหสั IP โดยมกี ารต้ังช่อื สำหรบั เครอื่ งคอมพวิ เตอรแ์ ต่ละเคร่ืองทอี่ ยู่บน
เครอื ข่าย เชน่ nontri.ku.ac.th
2. เทคโนโลยีและสารสนเทศเพ่อื การเรียนรู้
ความหมายและความสำคัญท่เี กย่ี วกับเทคโนโลยแี ละสารสนเทศเพือ่ การเรยี นรู้ ลกั ษณะเฉพาะของ
เทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการศกึ ษา องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การเรียนรู้ บทบาทของ
เทคโนโลยแี ละสารสนเทศทมี่ ีต่อการจัดการศกึ ษา การผลิตสารสนเทศจากขอ้ มูลเพอื่ ใช้จัดการเรียนรู้
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศตอ่ การจัดการศึกษาและการเรยี นรู้ แนวโนม้ ของเทคโนโลยีสารสนเทศตอ่
กระบวนการจัดการศกึ ษาและการเรยี นรู้
71
ตลอดระยะเวลาของการปฏิรปู การศกึ ษาที่ผ่านมา ทุกภาคสว่ นตา่ งเร่งพัฒนาการศึกษา มงุ่ เนน้ ให้
การศกึ ษานำไปส่กู ารพัฒนาคณุ ภาพของคน เพอื่ ให้คนนัน้ เปน็ พลงั สำคญั ไปชว่ ยพัฒนาประเทศ เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสอ่ื สาร (ICT) ในโลกปจั จุบนั จึงเปน็ เคร่อื งมือ วิธกี ารที่ช่วยเพ่ิมประสิทธภิ าพของการจัด
การศกึ ษา เช่น ชว่ ยนำการศึกษาใหเ้ ข้าถึงประชาชน (Access) ส่งเสรมิ การเรียนรู้นอกระบบและการเรยี นรู้
ตามอธั ยาศัย ช่วยจัดทำขอ้ มูลสารสนเทศเพอื่ การบรหิ ารและจดั การ ชว่ ยเพม่ิ ความรวดเร็วและแมน่ ยำในการ
จัดทำขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ขอ้ มลู การเก็บรักษา และการเรยี กใช้ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในงานจัดการศึกษา
โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการใชเ้ ทคโนโลยีเพอื่ ช่วยการเรยี นการสอน
ปัจจุบันเรามอิ าจจะปฎเิ สธได้เลยว่าเราไดอ้ ยทู่ ่ามกลางกระแสของสังคมดิจติ อล อนั เปน็ ฐานสำคัญของ
ของข้อมลู ทน่ี ำไปสูก่ ารพัฒนาในเกอื บทกุ ๆดา้ น โครงสรา้ งระบบเศรษฐกจิ กก็ ้าวสเู่ ศรษฐกิจดิจติ อล (Digital
Economy) อีกท้งั สังคมไดเ้ ปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมใหม่ท่ีเปน็ สงั คมแหง่ ความรอบรู้ (Knowledge Base
Society) และภมู ิปัญญา มกี ารใช้ภมู ิ
ปญั ญาและความรู้หลากหลายแขนงใน
การดำเนนิ กิจการตา่ งๆมากขน้ึ
แรงผลักดันใหส้ งั คมเปล่ียนแปลงมาสู่
สังคมดิจิตอล ก็มาจากพัฒนาการ
ทางดา้ นเทคโนโลยีในหลายๆแขนง มี
ผลติ ภัณฑ์ หรือองค์ประกอบทางด้านดิจิตอลท่ีได้เกิดขน้ึ อยา่ งมากมาย เช่น การบริการขา่ วสาร ข้อมลู หรือสอื่
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ีส่ ง่ ผ่านเครอื ข่ายไปสู่ผบู้ รโิ ภคในหลากหลายวิธกี าร ไม่ว่าจะเป็นคอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์
นอกจากน้ยี ังเป็นแรงผลกั ดันทสี่ ำคญั ทท่ี ำให้สงั คมการเรยี นรู้ ได้เปดิ กว้างไปสงั คมแห่งความรอบรไู้ รพ้ รมแดน
สาระสำคญั ท่นี ำไปส่กู ารจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่สอดคลอ้ งกบั พัฒนาการของกระแสแหง่ สงั คมดจิ ิตอล
กนั อนั ได้แก่
1. เทคโนโลยีการศกึ ษา
2. สารสนเทศการศกึ ษา
3. เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.1 เทคโนโลยกี ารสื่อสาร
- เทคโนโลยีเครอื ข่าย โดยเฉพาะเครือข่าย Integrated services digital network : ISDN ที่วาง
มาตรฐานสำหรับการรวมเครือข่ายโทรศพั ทแ์ ละเครือข่ายขอ้ มลู ที่เคยแยกกัน บริการเสียงและขอ้ มูล
จะถกู รวม (Integrated) บนเครอื ขา่ ย ISDN เนื่องจากทง้ั เสียงและข้อมูลจะได้รบั การแปลงเปน็
ดิจติ อลบติ (Digital Bit) เช่นเดยี วกนั สง่ ผลให้ขอ้ จำกัดในการสอ่ื สารขอ้ มูลบนเครือข่ายโทรศัพทห์ มด
72
ไป ผใู้ ช้สามารถพดู คยุ และสง่ ข้อมูลจำนวนมากบนสายเดียวกนั ประกอบกบั การทเ่ี ครอื ข่ายดงั กล่าวใช้
เทคนิคการส่งผ่านข้อมูลและการสลับสายทกี่ า้ วหนา้ ทีเ่ รียกว่า Asynchronous Transfer Mode :
ATM จะส่งผลให้บริการสอ่ื มัลติมีเดียในระบบดจิ ิตอล (Digitized multi-media) ทำไดอ้ ย่างมี
ประสิทธภิ าพ
- เทคโนโลยกี ารส่งผ่านข้อมูล (Telecommunications Transmission Technology) เปน็ เทคโนโลยี
ท่พี ัฒนาใหส้ ามารถรองรับการสง่ ผ่านข้อมูลท้ัง ปริมาณของขอ้ มลู ความเร็ว การผนวกรวม
ชอ่ งสญั ญาณรว่ มกนั เป็นพฒั นาการมาตง้ั แตเ่ ทคโนโลยสี ญั ญาณคล่ืนความถี่ เทคโนโลยไี มโครเวฟ
เทคโนโลยีดาวเทยี ม จนมาถงึ เทคโนโลยีเคเบิลใยแกว้ นำแสง ล้วนแตไ่ ด้รับการพัฒนาไปอยา่ งรวดเร็ว
โดยเฉพาะเคเบิลใยแกว้ นำแสงหนึง่ ใยแก้ว สามารถสง่ ผ่านสัญญานคกู่ ารส่ือสารโทรศัพทจ์ ำนวน
30,000คสู่ ญั ญาณไดพ้ ร้อมกันในเวลาเพียงแค่ 0.1 mm in diameter ซ่ึงในสายเคเบิลเส้นหนง่ึ
ประกอบไปด้วยเสน้ ใยแกว้ มากมาย
2.2 โครงสร้างพน้ื ฐานสารสนเทศทท่ี นั สมยั จะประกอบไปดว้ ยเครือขา่ ยหลกั 6 เครอื ข่าย ดังตอ่ ไปน้ี
1. เครอื ข่ายโทรศัพทพ์ นื้ ฐาน (Public Telephone Network)
2. เครอื ขา่ ยการสอ่ื สารโทรศัพท์เคล่ือนท่ี (Cellular and other mobile communications
networks)
3. การแพร่สัญญาณโทรทศั น์ (Terrestrial broadcast television)
4. เครือข่ายเคเบิลทีวี (Cable television networks)
5. บริการดาวเทียมส่งตรงถงึ บา้ น (Direct to home (DTH) satellite services)
6. เครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต (Internet)
2.3 เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลกั ษณะการใช้งานไดเ้ ปน็ 6 รปู แบบ ดงั นี้ตอ่ ไปนี้ คือ
1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเกบ็ ขอ้ มลู เช่น ดาวเทียมถา่ ยภาพ, กลอ้ งถา่ ยภาพดิจิตอล, กล้องวดี ีทัศน์ เปน็
ต้น
2. เทคโนโลยีท่ีใช้ในการบนั ทกึ ข้อมลู จะอย่ใู นรปู สอ่ื บันทกึ ข้อมลู ตา่ ง ๆ เชน่ บัตรเอทเี อม็ แผน่ CD /
DVD, มว้ นเทปบันทึก, Flash memory , Harddisk เปน็ ตน้
3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลขอ้ มูล ไดแ้ ก่ เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ ท้ังฮาร์ดแวร์ และซอฟตแ์ วร์
4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลขอ้ มลู เช่น เครื่องพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. เทคโนโลยีทใี่ ช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครอ่ื งถา่ ยเอกสาร, เครอื่ งถา่ ยไมโครฟลิ ์ม เครื่องอดั
สำเนาดิจติ อล
6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรอื สือ่ สารขอ้ มูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมตา่ ง ๆ เช่น โทรทัศน์,
วทิ ยกุ ระจายเสยี ง, และระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ท้ังระยะใกลแ้ ละไกล
73
ความสำคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ เทคโนโลยสี ารสนเทศหรอื ไอทนี ั้นมีความสำคัญ
มากกว่าเทคโนโลยีอนื่ ใดทีม่ นษุ ย์ เคยคดิ คน้ ข้นึ แม้โดยพืน้ ฐานแลว้ เทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่ทำให้เกดิ
อนั ตรายรา้ ยแรงอย่างเทคโนโลยีนวิ เคลยี ร์ ไมท่ ำใหโ้ ลกร่ำรวยด้วยอาหารเหมือนเทคโนโลยีการเกษตรและ
อาหาร และไม่อาจทำให้มนุษย์มีชีวติ ยืนยาวไม่เจ็บปว่ ยเหมือนเทคโนโลยีการแพทย์ แต่เทคโนโลยีท้งั หลายที่
ระบุมานีล้ ้วนแล้วแต่พัฒนาก้าวหนา้ มาถึงระดับนไี้ ด้ เพราะมเี ทคโนโลยีสารสนเทศเป็นรากฐาน หากขาดซง่ึ
เทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ จะไม่มีความกา้ วหนา้ มากดงั ท่เี ปน็ ในปัจจบุ นั
คุณลักษณะของสารสนเทศทีด่ ี (Characteristics of Information)
สารสนเทศทดี่ ีควรมีคณุ ลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี
1. สารสนเทศที่ดีตอ้ งมคี วามความถูกตอ้ ง (Accurate) และไมม่ คี วามผิดพลาด
2. ผู้ทีม่ ีสิทธิใชส้ ารสนเทศสามารถเขา้ ถงึ (Accessible) สารสนเทศไดง้ า่ ย ในรปู แบบ และเวลาที่
เหมาะสม ตาม ความตอ้ งการของผใู้ ช้
3. สารสนเทศต้องมีความชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครอื
4. สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบรู ณ์ (Complete) บรรจุไปด้วยขอ้ เท็จจรงิ ที่มสี ำคัญครบถว้ น
5. สารสนเทศตอ้ งมคี วามกะทัดรดั (Conciseness) หรือรัดกุม เหมาะสมกบั ผู้ใช้
6. กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ทมี่ ีหน้าทต่ี ดั สินใจมักจะตอ้ ง
สรา้ งดลุ ยภาพ ระหวา่ งคณุ คา่ ของสารสนเทศกับราคาที่ใช้ในการผลิต
7. ต้องมีความยึดหยุ่น (Flexible) สามารถในไปใชใ้ นหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์
8. สารสนเทศที่ดีตอ้ งมรี ปู แบบการนำเสนอ (Presentation) ทีเ่ หมาะสมกบั ผู้ใช้ หรือผู้ที่เก่ยี วขอ้ ง
9. สารสนเทศที่ดีตอ้ งตรงกับความต้องการ (Relevant/Precision) ของผ้ทู ี่ทำการตัดสนิ ใจ
10. สารสนเทศที่ดตี ้องมีความนา่ เชอื่ ถือ (Reliable) เชน่ เป็นสารสนเทศที่ไดม้ าจากกรรมวธิ ีรวบรวม
ทนี่ ่าเชือ่ ถือ หรือแหล่ง (Source) ท่นี ่าเช่อื ถอื เป็นตน้
11. สารสนเทศที่ดคี วรมคี วามปลอดภัย (Secure) ในการเขา้ ถงึ ของผไู้ ม่มสี ิทธิใชส้ ารสนเทศ
12. สารสนเทศที่ดีควรงา่ ย (Simple) ไม่สลับซับซ้อน มรี ายละเอียดทเ่ี หมาะสม (ไม่มากเกินความ
จำเป็น)
13. สารสนเทศท่ีดตี ้องมีความแตกต่าง หรอื ประหลาด (Surprise) จากขอ้ มูลชนิดอน่ื ๆ
14. สารสนเทศที่ดีตอ้ งทนั เวลา (Just in Time : JIT) หรือทนั ต่อความตอ้ งการ (Timely) ของผใู้ ช้
หรอื สามารถสง่ ถึงผรู้ ับได้ในเวลาท่ีผ้ใู ชต้ อ้ งการ
15. สารสนเทศท่ีดีตอ้ งเปน็ ปัจจุบนั (Up to Date) หรือมคี วามทันสมยั ใหมอ่ ยู่เสมอ มิเช่นนน้ั จะไม่
ทนั ตอ่ การ เปลีย่ นแปลงทีด่ ำเนินไปอย่างรวดเรว็
74
16. สารสนเทศที่ดีต้องสามารถพิสูจนไ์ ด้ (Verifiable) หรอื ตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ได้ว่ามีความ
ถูกต้อง
2.4 องค์ประกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การเรยี นรู้ ในสว่ นขององค์ประกอบของเทคโนโลยี
สารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรหู้ ากพจิ ารณาไดใ้ น 2 ลักษณะ คือ
1. องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรยี นรู้ พจิ ารณาเชิงเทคโนโลยี
จะประกอบด้วยเทคโนโลยี 2 สาขาหลัก คือ เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม
1.1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอรเ์ ปน็ เครื่องอิเล็กทรอนิกสท์ ่สี ามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ และ
ปฏิบัติตามคำส่ังทบี่ อก เพื่อให้คอมพิวเตอรท์ ำงานอย่างใดอย่างหนงึ่ ให้ คอมพวิ เตอร์น้ันประกอบดว้ ยอุปกรณ์
ตา่ ง ๆ ตอ่ เชอื่ มกันเรยี กว่า ฮารด์ แวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวรน์ ีจ้ ะตอ้ งทำงานรว่ มกบั โปรแกรม
คอมพิวเตอรห์ รือท่เี รียกกันวา่ ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. สาขาวชิ า
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4)
1.2 เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม เทคโนโลยีสือ่ สารโทรคมนาคม ใช้ในการตดิ ตอ่ สื่อสาร รบั -ส่ง
ขอ้ มูลจากทห่ี นึ่งไปส่อู กี ท่ีหน่งึ เปน็ การส่งของขอ้ มลู ระหวา่ งคอมพิวเตอรห์ รอื เครอ่ื งมอื ทอี่ ยู่หา่ งไกลกนั ซ่งึ จะ
ช่วยให้การเผยแพร่ข้อมลู หรอื สารสนเทศไปยงั ผ้ใู ช้ในแหลง่ ต่าง ๆ เป็นไปอยา่ งสะดวก รวดเรว็ ถกู ต้อง
ครบถ้วน และทนั การณ์ ซง่ึ รูปแบบของขอ้ มูลทีร่ ับ/สง่ อาจเป็นตวั เลข (Numeric Data) ตวั อักษร (Text) ภาพ
(Image) และเสียง (Voice) เทคโนโลยีทีใ่ ช้ในการสอื่ สารหรอื เผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีทีใ่ ช้ใน
ระบบโทรคมนาคมทงั้ ชนิดมีสายและไรส้ าย เชน่ ระบบโทรศัพท์, โมเดม็ , แฟกซ์, โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง,
วทิ ยโุ ทรทัศน์ เคเบิ้ลใยแก้วนำแสง คลืน่ ไมโครเวฟ และดาวเทียม เป็นต้น
2.องคป์ ระกอบของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ พิจารณาเชิงระบบ
จะพบว่าระบบสารสนเทศจะประกอบดว้ ยองค์ประกอบต่างท่จี ะนำพาให้ระบบสารสนเทศทำงานบรรลุ
เปา้ หมายทว่ี างไว้ มี 5 สว่ นคอื ฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมลู บุคคลากร ระเบียบปฏบิ ตั กิ าร โดยมรี ายละเอยี ด
ดงั นี้
2.1 ฮารด์ แวร์ (Hardware) หมายถึงเคร่ือง(ระบบ)คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์ต่อพ่วงตา่ งๆ
ประกอบดว้ ย 5 ส่วน คอื
อุปกรณร์ ับขอ้ มลู (Input) เป็นสว่ นสำหรับสรา้ งข้อมลู อกั ขระ(ตัวเลข ตัวอักษร คำสงั่ ) ผา่ นแป้นพมิ พห์ รอื
Keyboard กำหนดคำส่ังสำเร็จรปู ผ่านเมาส์ หรือประมวลแปลผลจากภาพเปน็ ข้อมูลด้วย Scanner หรือการ
อ่านรหัสขอ้ มลู แถบเสน้ ด้วย Bar Code Reader เป็นตน้
อปุ กรณแ์ สดงขอ้ มูล (Output) เปน็ ส่วนแสดงผลข้อมลู ที่จะปรากฎในรูปทมี่ องเห็นผา่ นจอภาพ (Monitor)
หรือในรูปของเอกสารผา่ นเครือ่ งพมิ พ์ (Printer) หรอื ถูกสง่ ผา่ นอปุ กรณแ์ สดงผลอ่นื ๆ อาทิ เครอ่ื ง projector
75
หนว่ ยประมวลผลกลางหรือท่ีเรียกวา่ CPU (Central Processing Units) มหี น้าทร่ี บั ข้อมูลจากสว่ นอนิ พุตเข้า
มาประมวลผล ไมว่ ่าจะเป็นการคำนวณ การย้าย การปรบั ปรุงขอ้ มูลตามคำสง่ั แลวั สง่ ผลท่ไี ด้ออกไปยงั สว่ น
ของเอาท์พุตตามที่กำหนดไว้
หนว่ ยความจำหลัก มหี น้าที่เก็บขอ้ มูลท่ีใช้ในการทำงาน ข้อมูลน้ี มีท้ังขอ้ มูลทถ่ี กู ติดต้งั เปน็ ข้อมลู ระบบ ขอ้ มลู
แลำคำสง่ั โปรแกรมทำงานดา้ นต่างๆ และข้อมูลผลลัพธจ์ ากการประมวลผล จากการคำนวน ซง่ึ ขอ้ มูลน้จี ะถูก
นำเขา้ จากอุปกรณ์รับขอ้ มูลภายนอก หรือจากการทำงานประมวลผลจากโปรแกรมภายในเคร่ือง
หน่วยความจำหลักทร่ี ้จู กั กนั ดี จะรู้จกั ในชอ่ื ของ harddisk
หน่วยความจำสำรอง หรือท่รี ู้จกั ในชือ่ ของ RAM ซึ่งย่อมาจากคำวา่ Random-Access Memory เปน็
หน่วยความจำของระบบ มหี น้าทร่ี บั ข้อมูลเพอื่ สง่ ไปให้ CPU ประมวลผลซึง่ RAM นี้ จะตอ้ งมีไฟเข้าเล้ียง
ภายใน Module ของ RAM ตลอดเวลา ลักษณะจะเปน็ แผงวงจร หรอื Circuit Board ขนาดเลก็ ที่เรียกว่า IC
ปจั จุบันเทคโนโลยขี องหนว่ ยความจำมี 2 แบบ คือ
5.1) หน่วยความจำแบบ DDR หรอื Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR-SGRAM)
5.2) หนว่ ยความจำแบบ Rambus
2.2 ซอฟตแ์ วร์ (Software) หรือทรี่ จู้ ักกันในชอ่ื วา่ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ นับไดว้ ่าเปน็
องค์ประกอบท่ีสำคญั และจำเป็นมากในการควบคุมการทำงาน การกำหนดคำสั่งใหช้ ิ้นสว่ น อปุ กรณ์หรือ
ฮารด์ แวร์ของเครอื่ งคอมพวิ เตอรท์ ำงาน เพื่อประมวลผลข้อมูลให้ได้ผลลพั ธต์ ามความต้องการ ซอฟตแ์ วร์
สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทใหญ่ คือOperating System หรอื จะเรยี กรวมว่า ซอฟต์แวร์
ระบบปฏบิ ตั กิ าร มหี นา้ ที่ควบคุมอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ภายในระบบคอมพวิ เตอร์ และเปน็ ตวั กลางในการ
ติดตอ่ สอ่ื สาร ระหว่างผู้ใช้งานกับเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์หรอื ฮาร์ดแวร์ หรืออุปกรณ์ตอ่ พ่วงต่างๆ ตวั อยา่ ง
โปรแกรมท่ีนยิ มใชก้ ัน ในปัจจบุ ัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows ระบบปฏิบัตกิ าร UNIX ระบบปฏิบัติการ
Linux เปน็ ตน้
Application หรอื ซอฟตแ์ วร์ประยกุ ต์ เป็นซอฟตแ์ วร์ทสี่ ร้างข้นึ ตามความต้องการของผู้ใช้ และเพื่อใช้
สนับสนนุ การจดั การทัว่ ไป (Word Processing, Spreadsheet.) ดา้ นการเชอ่ื มโยงการสอื่ สาร (web
browser หรือ Messenger หรอื e-mail) หรือเป็นโปรแกรมพเิ ศษทถี่ กู เขยี นหรอื พฒั นาข้ึนเพอื่ ทำงานเฉพาะ
ด้านหน่งึ ๆ ตามลักษณะความตอ้ งการ(โปรแกรมจัดการร้านค้า โปรแกรมควบคมุ สินค้า หรอื โปรแกรม
Karaoke)
2.3 ขอ้ มลู (Data) คอื ข้อเทจ็ จริงต่าง ๆ เก่ียวกบั การดำเนินงาน และการปฏบิ ัตกิ ารทตึ่ อ้ งเก็บ
76
รวบรวมไว้เพอ่ื ใช้ประกอบการอ้างองิ การตดั สนิ ใจและการปฏบิ ตั ิงาน ข้อมูลจะมีโครงสร้างในการจัดเกบ็ ทเ่ี ปน็
ระบบระเบยี บมแี บบแผนมาตรฐาน เพือ่ การสบื ค้นท่ีรวดเร็วมีประสทิ ธิภาพ ข้อมูล (DATA) คอื ข้อมูลต่าง ๆ ท่ี
เรานำมาใหค้ อมพวิ เตอรป์ ระมวลผลคำนวณ หรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งใหก้ ลายเป็นผลลัพธท์ เ่ี ราต้องการ
ปัจจบุ ันเราถอื กนั ว่าข้อมูลมีความสำคัญอยา่ งยิง่ ตอ่ การใช้งานคอมพิวเตอร์
ชนิดของขอ้ มลู
เราสามารถแบ่งข้อมูลออกเปน็ 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ ข้อมูลที่เป็นอักขระ (Alphanumeric Data), ข้อมลู ท่ีเป็นภาพ
(Image Data), ข้อมูลทเ่ี ปน็ เสยี ง (Audio Data), ข้อมลู ทเ่ี ป็นภาพเคลอื่ นไหว (Video Data), วีดทิ ัศน์ (Video)
2.4 บคุ ลากร (People) ก็คอื กลุ่มบคุ คลที่เกย่ี วขอ้ งกับการใช้ระบบคอมพิวเตอรท์ ง้ั หมด มี
ตงั้ แตร่ ะดับผู้ใชง้ านท่วั ไป ผู้บรหิ ารองคก์ ร หน่วยงาน ผ้พู ัฒนาและวิเคราะหร์ ะบบ ผู้ควบคมุ ระบบ และ
นักเขียนโปรแกรม ทัง้ หมดน้ีลว้ นแตเ่ ป็นองคป์ ระกอบท่สี ำคัญในความสำเรจ็ ของระบบสารสนเทศ ซึ่งสามารถ
จำแนกคร่าว ๆ ได้ 3 กลมุ่ ดงั น้ี
Analysis หรือ นกั วเิ คราะหร์ ะบบ ทำหนา้ ทวี่ เิ คราะห์ ออกแบบโครงสรา้ งของระบบในองค์กรเพื่อนำ
คอมพวิ เตอรม์ าประยุกต์ใชใ้ ห้เกิดประสทิ ธภิ าพสูงสุด
Programmer หรอื นักพฒั นาโปรแกรม ทำหนา้ ที่สรา้ ง พฒั นาโปรแกรมทางคอมพวิ เตอร์
Userหรอื เรยี กว่าผู้ใช้งานโปรแกรม
2.5 ระเบยี บปฎิบตั กิ ารหรอื ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิงาน(Procedure) เปน็ ระเบียบวธิ กี ารเข้าถึง
ขอ้ มลู ของเครอื่ ง ข้อมลู ส่วนรวม การใชง้ านคอมพิวเตอร์สว่ นบคุ คล(ขัน้ ตอนการบันทึกข้อมลู ขนั้ ตอนการ
ประมวลผล ขัน้ ตอนปฏิบัติงานในแตล่ ะโปรแกรม) การใช้งาน(ขอ้ มูล)เครือขา่ ย การดูแลรักษา การปฎบิ ตั ติ าม
กฎหมายว่าด้วย พรบ.คอมพวิ เตอร์ ซ่งึ ผู้ใช้งานจะตอ้ งมคี วามรู้ ได้รบั การพัฒนาอย่างต่อเน่อื ง เพือ่ ให้ทันต่อ
พัฒนาการความกา้ วหน้าของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์
2.5 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
สามารถอธบิ ายความสำคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศในด้านทีม่ ีผลกระทบตอ่ การเปลยี่ นแปลง
พฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไวห้ ลายประการดังต่อไปนี้
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสงั คมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ
2. เทคโนโลยสี ารสนเทศทำใหร้ ะบบเศรษฐกจิ เปลี่ยนจากระบบแหง่ ชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ท่ีทำ
ให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผกู พันกบั ทกุ ประเทศ ความเช่ือมโยงของเครอื ข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสงั คม
โลกาภวิ ัฒน์
3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องคก์ รมีลักษณะผกู พัน มีการบงั คับบัญชาแบบแนวราบมากขึน้
หน่วยธุรกจิ มีขนาดเล็กลง และเชอื่ มโยงกันกับหน่วยธุรกิจอน่ื เป็นเครอื ขา่ ย การดำเนนิ ธุรกิจมกี ารแข่งขันกันใน
ด้านความเรว็ โดยอาศยั การใชร้ ะบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ และการส่อื สารโทรคมนาคมเปน็ ตัวสนับสนุน
77
เพ่อื ใหเ้ กิดการแลกเปลยี่ นขอ้ มูลได้ง่ายและรวดเร็ว
4. เทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรยี สมั ผัส และสามารถตอบสนองตามความ
ต้องการการใชเ้ ทคโนโลยีในรปู แบบใหมท่ เ่ี ลอื กไดเ้ อง
5. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานท่แี ละทกุ เวลา
6. เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขนึ้ อกี ท้ังยงั ทำให้วิถีการ
ตดั สินใจ หรือเลอื กทางเลือกได้ละเอียดขึ้น
2.6 ความสำคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารมี 5 ประการ ได้แก่
1. การสอ่ื สารถือเป็นสิง่ จำเป็นในการดำเนินกจิ กรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ สง่ิ สำคัญทมี่ สี ว่ นในการ
พฒั นากิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ย Communications media, การสอ่ื สารโทรคมนาคม
(Telecoms), และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
2. เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารประกอบด้วยผลติ ภณั ฑ์หลกั ที่มากไปกว่าโทรศัพท์และ
คอมพวิ เตอร์ เชน่ แฟกซ์, อินเทอรเ์ น็ต, อเี มล์ ทำใหส้ ารสนเทศเผยแพร่หรอื กระจายออกไปในทต่ี ่าง ๆ ได้
สะดวก
3. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีผลใหก้ ารใช้งานด้านตา่ ง ๆ มีราคาถูกลง
4. เครอื ขา่ ยสอ่ื สาร (Communication networks) ไดร้ ับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอก
เนอ่ื งจากจำนวนการใช้เครือขา่ ย จำนวนผูเ้ ช่อื มต่อ และจำนวนผูท้ มี่ ีศักยภาพในการเข้าเช่อื มต่อกับเครือข่าย
นับวันจะเพ่ิมสูงขึ้น
5. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารทำให้ฮารด์ แวร์คอมพิวเตอร์ และต้นทุนการใช้ ICT มีราคา
ถกู ลงมาก
2.7 บทบาทของเทคโนโลยสี ารสนเทศทีม่ ตี ่อการจัดการศกึ ษาของไทย
ในปัจจุบันเทคโนโลยสี ารสนเทศได้เข้ามามีบทบาท ในการพฒั นาในเกือบทกุ ๆด้าน ไม่วา่ ในด้านธุรกิจ
ด้านสาธารณสุข ด้านการทหารและความมั่นคง ด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร ดังจะเห็นได้ว่า หน่วยงาน
ธุรกิจส่วนใหญจ่ ำเปน็ ตอ้ งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเคร่ืองมอื สำคญั ในการบริหาร การจดั การในองค์กร อีก
ทั้งเพิ่มระดับความสำคัญมากขึ้นในแต่ละปี มีการจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งไว้ เพื่อการจัดการกับข้อมูล
สารสนเทศเป็นการเฉพาะ มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อวางกลยุทธ์หาความได้เปรยี บในตลาดโดยรวม
อีกทั้งยงั เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการเพ่ือเพิ่มผลผลิต รวมถึงใช้เป็นช่องทาง สำหรับเผยแพรส่ ารสนเทศ
ขององคก์ รมากขึน้ ด้วย ในสว่ นของการศกึ ษา เทคโนโลยีสารสนเทศ ก็มีบทบาททีส่ ำคัญในสว่ นของการเป็นทั้ง
เครอื่ งมอื หลกั และเคร่อื งมือสนบั สนุนทตี่ ้องจดั หา และนำมาใช้ในการเรยี นการสอนเพ่อื ให้เปน็ ไปตามลักษณะ
การศึกษา ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ การกำหนดทิศทางและนโยบายการจัด
การศึกษาไทย จงึ ต้องดำเนินการอยา่ งเร่งดว่ น เพอ่ื ใหท้ ันต่อความกา้ วหน้าของเทคโนโลยีทีม่ ีผลต่อการกำหนด
78
คุณสมบัติและคณุ ภาพของแรงงานในอนาคต ซงึ่ เราจะปฎิเสธไม่ได้เลยวา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยีการ
ขนสง่ เทคโนโลยกี ารผลิต นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชวี ภาพ เหล่านลี้ ้วนมคี วามกา้ วหน้าข้นึ อย่างต่อเนือ่ ง ซึ่ง
เทคโนโลยเี หล่าน้ีมีประโยชน์ในการเพมิ่ ศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ดังน้ันการจดั การศึกษาจึงต้องมีการ
เพม่ิ เติมความรู้เก่ียวกบั เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในหลกั สูตรการเรียนการสอน และปรับปรุงใหท้ ันต่อการเปลยี่ นแปลง
เทคโนโลยี จะตอ้ งประกอบด้วย โครงสรา้ งพืน้ ฐานด้านชอ่ งทางและสื่อ ดงั ต่อไปน้ี
1. เทคโนโลยีโทรคมนาคม (E-communication) ที่สำคัญเช่น การสื่อสารผ่านดาวเทียม
2. ระบบการสอนผ่านจอภาพ (On -Screen Interactive Instruction)
3 . ร ะ บ บ ก า ร ส อ น ผ ่ า น จ อ ภ า พ ท ี ่ ส ำ ค ั ญ ไ ด ้ แ ก ่ ก า ร ส อ น ด ้ ว ย ค อ ม พ ิ ว เ ต อ ร์
4. ระบบสื่อตามต้องการ (Media On Demand)เช่น สัญญาณภาพตามต้องการ เสียงตามต้องการ
5.ระบบฐานความรู้ (Knowledge-Based System)0
3. สื่อเพื่อการเรียนรู้ความหมายของสื่อ เมื่อ
พิจารณาคำว่า "สื่อ" ในภาษาไทยกับคำใน
ภาษาอังกฤษ พบว่ามีความหมายตรงกับคำว่า
"media" (ในกรณีที่มีความหมายเป็นเอกพจน์จะใช้
คำว่า "medium") "สื่อ" (Media) เป็นคำที่มาจาก
ภาษาละตินว่า "medium" แปลว่า "ระหว่าง"
หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่บรรจุ ข้อมูลเพื่อให้ผู้ส่งและ
ผู้รับสามารถสื่อสารกันได้ตรงตามวัตถุประสงค์
คำวา่ "สือ่ " ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ ห้ ความหมายของคำนไ้ี ว้ดงั นี้ "สื่อ (กริยา)
หมายถึง ติดต่อให้ถึงกัน เช่น สื่อความหมาย, ชักนำให้รูจ้ ักกนั สื่อ (นาม) หมายถึง ผู้หรือสิ่งที่ติดต่อให้ถงึ กนั
หรือชักนำใหร้ ้จู ักกัน เช่น เขาใช้จดหมายเป็นส่อื ตดิ ตอ่ กนั , เรยี กผู้ทที่ ำหนา้ ท่ชี กั นำใหชายหญงิ ไดแ้ ตง่ งานกันว่า
พอ่ สือ่ หรอื แม่ส่ือ; (ศิลปะ) วสั ดุตา่ งๆ ทน่ี ำมาสร้างสรรค์งานศลิ ปกรรม ให้มคี วามหมายตามแนวคดิ ซ่ึงศิลปิน
ประสงค์แสดงออกเช่นนน้ั เช่น สอ่ื ผสม"
3.1 บทบาทของสอ่ื การเรียนรู้
3.1.1 เป็นเวทีในการขยายข่อบขา่ ยประสบการ การเรยี นรู้
3.1.2 ทำหนา้ ทเี่ ปน็ เวทีในการเรยี นรแู้ ละสร้างกิจกรรมการเรยี นการสอน
3.1.3 ทำหนา้ ทเ่ี ป็นแหลง่ ขา่ วท่ีทนั สมยั
3.1.4 เปน็ เคร่อื งมอื สำคญั สำหรบั ครูในการดำเนินการวิจัย การสอน และการพฒั นาผูเ้ รียน
79
3.1.5 ช่วยให้ครูเอาชนะปญั หา และความยากลำบากในการสอนหรอื การนำเสนอเรื่องราวแก่
ผู้เรียน
3.1.6 เป็นแหลง่ สำคญั ท่ีครูผู้สอนและผเู้ รยี นได้ร่วมมอื กันผลติ เพอื่ วตั ถุประสงค์ในการเรียนรู้
3.1.7 เปน็ สิ่งตรึงพฤตกิ รรมในการเรยี นรไู้ ดค้ งทน
3.1.8 เป็นสง่ิ ทพ่ี ฒั นาผเู้ รียนใหม้ คี วามคิดตอ่ เนอ่ื ง
3.1.9 เป็นสงิ่ ดงึ ดดู ให้ผู้เรียนมคึ วามตง้ั ใจ
3.1.10 ปรบั ปรุง สง่ เสรมิ ประสิทธภิ าพของสอ่ื อ่ืนๆให้ดขี ้ึน
3.2 คณุ ลักษณะและความสำคญั ของส่ือ(การศกึ ษา)การเรียนรู้
คณุ ลักษณะของส่อื การเรยี นรู้ ช่วยส่งเสรมิ การสร้างความรู้ของผู้เรียน ชว่ ยส่งเสรมิ การศกึ ษา
ค้นคว้าด้วยตนเอง มุง่ เน้นการพัฒนาการคดิ ของผู้เรียน เป็นส่อื ท่หี ลากหลาย ไดแ้ ก่ วสั ดุ อุปกรณ์ วิธกี าร
ตลอดจนสง่ิ ท่ีมีตามธรรมชาติ เป็นสอื่ ท่อี ยู่ตามแหลง่ ความรใู้ นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยพฒั นาการร่วม
ทำงานเป็นทีม
3.3 ความสำคัญของสื่อการเรยี นรู้
3.3.1 ช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกิดความเข้าใจและสรา้ งความคิดรวบยอดในเรือ่ ง ทีเ่ รียนได้งา่ ยและ
รวดเร็วข้นึ
3.3.2 ช่วยให้ผู้เรยี นมองเห็นสง่ิ ที่กำลังเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งเปน็ รูปธรรม
3.3.3 ชว่ ยให้ผู้เรียนเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
3.3.4 สรา้ งสภาพแวดลอ้ มและประสบการณ์การเรยี นรู้ทแี่ ปลกใหม่
3.3.5 สง่ เสรมิ การมกี ิจกรรมรว่ มกนั ระหว่างผ้เู รียน
3.3.6 เกอ้ื หนุนผ้เู รยี นทมี่ ีความสนใจและความสามารถในการเรยี น รู้ท่แี ตกต่างกนั ให้สามาร
เรยี นรไู้ ด้ทดั เทยี มกนั
3.3.7 ชว่ ยเชือ่ มโยงสง่ิ ทไ่ี กลตัวผเู้ รยี นให้เขา้ มาสู่การเรยี นรุข้ องผู้เรยี น
3.3.8 ช่วยให้ผู้เรียนได้เรยี นรู้วิธกี ารแสวงหาความรู้จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ ตลอดจนการศึกษ
คน้ คว้าด้วยตนเอง
3.3.9 ชว่ ยให้ผู้เรยี นได้รบั การเรยี นรูใ้ นหลายมิตจิ ากสือ่ ทห่ี ลาหลาย
3.3.10 ช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเชิงเนื้อหา กระบวนการ และความรูเ้ ชิงปร
จักษสง่ เสริมให้เกดิ ทักษะ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการคดิ ทกั ษะการสือ่ สาร
80
3.4 ประเภทของสือ่ การศกึ ษา(การเรียนร้)ู สอื่ การศึกษาแบง่ เป็นประเภทหลักๆ ได้ 4 ลกั ษณะ ดงั นี้
3.4.1 ตามชอ่ งทางการสง่ และรบั สาร
3.4.2 ตามโครงสร้างความคิด
3.4.3 ตามโครงสรา้ งของสื่อ
3.3.4 ตามชนดิ ของส่อื
3.5 การใชส้ ่อื การศกึ ษาเพอ่ื การเรยี นรู้
ในการพิจารณาเลือกใช้สื่อนำมาประกอบการ
จัดการศึกษา ต้องคำนงึ ถงึ ความเหมาะสม ตาม
สถานการณ์ ตามปัจจยั สภาพแวดลอ้ มตอ่ การเรียนรู้ ดงั น้นั ในการเลอื กส่ือการศึกษานัน้ จึงควรพิจารณาปัจจัย
ตา่ งๆ ดังนี้
1. เลอื กสอ่ื การศึกษาที่สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ของการเรยี นการสอนเรื่อง
น้ันๆ
2. เลือกสอ่ื การศกึ ษาท่ีสอดคลอ้ งกบั ลักษณะการตอบสนอง และพฤติกรรมข้นั สดุ ทา้ ยของ
ผเู้ รยี นท่คี าดหวังจะให้เกดิ ขนึ้
3. เลือกสื่อการศกึ ษาให้เหมาะสมกับกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. เลอื กสอ่ื การศกึ ษาให้เหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์เดิมของผู้เรยี น
สื่อการศกึ ษาท่ีจัดให้ผู้เรียนควรงา่ ยและอยูใ่ นขอบเขตความสามารถของผู้เรียน
5. เลือกสือ่ การศึกษาทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ มคี วามสมบรู ณ์ สามารถสื่อความหมายได้ถกู ต้อง
6. เลอื กสือ่ การศึกษาท่ีมอี ยู่ในท้องถ่ินเพอ่ื ประหยดั เวลาและงบประมาณ
7. เลอื กส่ือการศกึ ษาทพ่ี อจะหาได้โดยคำนงึ ถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ประหยัด และ
สามารถใช้ได้สะดวก
3.6 ทางการผลิตและพัฒนาส่อื การเรียนรู้ ในการผลติ ส่อื การศกึ ษาเพอ่ื ใชใ้ นการดำเนนิ การจดั
การศึกษาในสถานศึกษาขึ้นใช้เองโดยครูผูส้ อนน้ัน นบั เป็นปจั จัยสำคญั เพราะครู ผ้สู อนจะเป็นผู้ทีส่ ามารถ
วิเคราะห์ถงึ ความยากง่าย ความเหมาะสมต่อการเรียนร้ขู องผู้เรยี น แตก่ ารที่จะผลิตสือ่ ใหม้ ีประสิทธภิ าพ ตอ่
การเรยี นรนู้ นั้ จะตอ้ งมกี ระบวนการผลิตที่มขี ้ันตอนและมรี ะบบ เพอ่ื ใหส้ อ่ื ที่ผลติ น้นั มีคุณค่าตอ่ การศกึ ษาสงู สุด
ดังนนั้ ครผู สู้ อนจงึ ควรพิจารณาปจั จัยเพื่อการผลิตและพฒั นาสื่อดังตอ่ ไปนี้
ปจั จยั ทางดา้ นเน้อื หา
- สาระเนอ้ื หามีความซบั ซอ้ น ผเู้ รยี นมีความเข้าใจแตกตา่ งกนั
- สาระเนอ้ื หาไมส่ ามารถอธบิ ายให้เกิดรูปธรรมได้
- สาระเนือ้ หาวชิ านน้ั มขี ัน้ ตอน มีกระบวนการท่ใี ช้เวลานาน
- สาระเนอ้ื หาวชิ านัน้ มีข้นั ตอน มกี ระบวนการทีใ่ ช้เวลารวดเรว็ เกินไป
- สาระเนอ้ื หาวชิ านนั้ ตอ้ งสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมของบทเรียนทผ่ี ้เู รยี นเม่อื เรยี นรู้
แลว้ มีความสามารถอะไรบ้าง
81
ปัจจัยทางด้านการผลิต
- เลือกประเภทหรอื รปู แบบของส่ือที่จะผลิต : อาทิ ชดุ การสอน บทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน
วิดีทัศน์
- ความพรอ้ มด้านสาระเนอื้ หา
- ความพร้อมดา้ นเคร่ืองมือ และเทคโนโลยี
- ความพรอ้ มดา้ นผผู้ ลิต/พัฒนา : อาทิ ผู้เชีย่ วชาญเน้ือหา ผู้เชี่ยวชาญด้านสอื่ นักวดั ผล ช่างเทคนคิ
- ความพร้อมด้านแผนการผลิต : ความเหมาะสมตอ่ วัยของการเรียนรู้ ลำดบั ขั้นตอนการสร้าง
กระบวนการถา่ ยทอดเน้อื หา การตรงึ พฤติกรรม กจิ กรรมการเรียนรู้
- ความพร้อมด้านงบประมาณ
ปัจจัยด้านการนำไปใชง้ าน
- ความพรอ้ มของเครอ่ื งมือ และเทคโนโลยีในการเรยี นรู้
อุปกรณ์ เครอื่ งมือท่นี ำมาใชป้ ระกอบการเรียนรู้
- ความพรอ้ มของสภาพแวดลอ้ ม เสยี ง แสง
- ความพรอ้ มของผเู้ รียนและครูผสู้ อน
ปจั จยั ทางดา้ นการเรียนรู้
- ลักษณะเฉพาะการเรียนรู้ของตัวสื่อเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง หรือควบคุมพฤตกิ รรม/ลำดับเนอ้ื หา
โดยครผู ู้สอน
- วธิ กี ารใชง้ าน
ความ ยาก งา่ ย การใช้ประกอบกับเครอื่ งมอื หรอื อปุ กรณอ์ ืน่ ของการใชส้ ่อื
- กระบวนการเรียนรู้ การเขา้ ถงึ และการถ่ายทอดเน้ือหา
- การซมึ ซับความรู้
- การตรึงพฤตกิ รรมตอ่ การเรยี นรู้
3.7 หลักการใช้สอื่ และนวัตกรรมการศกึ ษา
ส่ือการศกึ ษามีหลายประเภท ซง่ึ แตล่ ะประเภทตา่ งก็มคี วามแตกต่างกนั ในรปู รา่ งลกั ษณะ
ลกั ษณะการใช้งาน ท่ีสำคญั คือความเหมาะสมกับสถานการณ์ สิ่งแวดลอ้ มในเวลาน้นั ๆด้วย ผใู้ ช้จะตอ้ งศกึ ษา
วธิ กี ารใชส้ อื่ แต่ละชนดิ เพื่อใหเ้ กิดประสิทธิผลสูงสุด และควรคำนงึ ถงึ หลักการใชส้ ่ือ ดงั ต่อไปนี้
- ในบทเรยี นหนึง่ ๆไม่ควรใชส้ อื่ การศึกษามากเกินไป ควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านน้ั
- ก่อนใชส้ ่ือการศกึ ษาจรงิ ควรทดลองใช้จนเกดิ ความมน่ั ใจ เพ่ือป้องกันการเกดิ ความ ผิดพลาด ซึ่ง
อาจจะทำใหผ้ ู้เรียนลดศรัทธาในความสามารถของผสู้ อนได้ ท้ังยงั สามารถกำหนดเวลาและ
กจิ กรรมที่เหมาะสมกบั การใช้ส่ือน้ันๆ
- ใช้สื่อการศึกษาทต่ี รงกับบทเรียนและกระบวนการเรียนการสอน
- ควรเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นมสี ่วนรว่ มในการใชส้ อ่ื การศึกษา
- คำนึงเสมอวา่ สอ่ื การศกึ ษาที่ใชอ้ ยูน่ ้ันไม่สามารถใช้ได้กบั ทุกบทเรยี นและกบั ทุกสถานการณ์
82
- พยายามนำสิง่ ท่มี ีอยใู่ นท้องถ่ินมาใช้เปน็ สอื่ การศกึ ษาเพ่อื เป็นการประหยดั เวลาและการลงทนุ
3.8 นโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการในเรอ่ื งสื่การเรยี นรู้
พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดสาระสำคญั ในส่วนทเี่ กย่ี วกับส่ือการเรียนรไู้ ว้
หลายมาตรา โดยเฉพาะในหมวด 9 ทีว่ ่าด้วยเทคโนโลยี เพือ่ การศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ ไดว้ ิเคราะห์
สาระสำคญั ของพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ ดงั กลา่ วแลว้ เหน็ วา่ ควรกำหนดใหม้ ีนโยบายในเรื่องของสอ่ื
การเรียนรู้ตามหลักสูตรให้สอดรบั กับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ โดยกำหนดเปน็ นโยบายการผลติ
พัฒนาและใช้สื่อและเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา ซงึ่ มีสาระสำคัญวา่ " กระทรวงศกึ ษาธิการส่งเสริมสนับสนุนให้มี
การผลติ และพฒั นาสือ่ และเทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษาทกุ ประเภท ทุกสาระการเรยี นรแู้ ละทกุ ชว่ งช้นั โดยเปดิ
โอกาสให้มกี ารแขง่ ขนั ผลติ อย่างเสรแี ละเปน็ ธรรม และสง่ เสริมสนบั สนนุ ให้สถานศกึ ษามแี ละใช้ส่ือและ
เทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษาทม่ี ีคุณภาพในกระบวนการเรียน การสอน" เพ่อื ให้นโยบายดังกลา่ วเกิดผลในทาง
ปฏิบัติ กระทรวงศึกษาธิการจึงกำหนดแนวดำเนินการ ตามนโยบายฯ ไว้ 3 ดา้ นด้วยกนั คือ
1. ดา้ นการผลติ และพฒั นาสื่อการเรียนรู้
2. ดา้ นการประเมินคณุ ภาพสือ่ การเรียนรู้
3. ดา้ นการเลอื กและใช้ส่ือการเรียนรู้
4. หลักการออกแบบนวัตกรรมและสอ่ื เพอื่ การเรยี นรู้
หลักการออกแบบสอ่ื เพอื่ การเรยี นร้ปู ระกอบด้วย 9 ขั้นตอน ดงั น้ี
1. เร้าความสนใจ (Gain Attention) ส่ือการเรียนรู้ ต้องมลี กั ษณะท่เี รา้ ความ
สนใจและดงึ ดูดความสนใจของผู้เรยี น เพือ่ เป็นการกระตนุ้ และเกิดแรงจูงใจใหผ้ ู้เรียนมคี วามตอ้ งการทจ่ี ะเรียน
ผ้อู อกแบบจงึ ต้องกำหนดสงิ่ ที่จะดงึ ดดู ความสนใจ เพ่ือให้เกดิ พฤตกิ รรมและเป้าหมายตามท่ีต้องการ สว่ นใหญ่
จะเรม่ิ ดว้ ยหนา้ นำเรอ่ื ง ซงึ่ ควรมีรูปภาพ ภาพเคล่อื นไหวหรือสีสนั ตา่ ง ๆ เพ่อื ใหน้ า่ สนใจ ซง่ึ ก็ตอ้ งเกี่ยวข้องกบั
บทเรียนด้วย คอื การแสดงชือ่ ของบทเรยี น ชอ่ื ผู้สรา้ งบทเรยี น การแนะนำเร่ืองหรือการแนะนำเนือ้ หาของ
บทเรยี น ส่งิ ทตี่ ้องพจิ ารณาเพือ่ เร้าความสนใจของผู้เรียน
2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objectives) การบอกวัตถปุ ระสงค์แกผ่ ้เู รียน เพ่ือเป็นการให้ผ้เู รยี นได้
ทราบถงึ เป้าหมายในการเรียนหรือสงิ่ ทผ่ี เู้ รียนสามารถทำไดห้ ลังจากที่เรียนจบบทเรียน ซึ่งส่วนใหญจ่ ะเป็น
จุดประสงคก์ วา้ ง ๆ จนถงึ จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม การบอกจดุ ประสงค์จะทำให้ผเู้ รียนทำความเขา้ ใจเนอื้ หา
ได้ดีข้ึน ส่งิ ทีต่ อ้ งพิจารณาในการบอกวตั ถุประสงค์ มีดังนี้
1.ใช้คำสั้น ๆ และเขา้ ใจไดง้ า่ ย
2.หลกี เลีย่ งคำที่ยงั ไม่เป็นที่ร้จู กั และเป็นที่เข้าใจ โดยทวั่ ไป
3.ไมค่ วรกำหนดวัตถุประสงคห์ ลายข้อเกนิ ไปในเนอ้ื หาแตล่ ะสว่ น
4.ผ้เู รียนควรมีโอกาสท่ีจะทราบวา่ หลังจบบทเรยี นเขาสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บา้ ง
5.หากบทเรยี นนั้นยงั มบี ทเรียนย่อย ๆ ควรบอกจุดประสงคก์ ว้าง ๆ และบอกจุดประสงคเ์ ฉพาะ
ส่วนของบทเรยี นยอ่ ย
83
3. ทวนความรูเ้ ดิม (Activate Prior Knowledge) ลกั ษณะของการทวนความรเู้ ดิมของผู้เรียน เป็น
การทบทวนหรือการเชอื่ มโยงระหว่างความรู้เดิม เพื่อเชือ่ มกับความรใู้ หม่ ซงึ่ ผู้เรียนจะมีพื้นฐานความรู้ที่
แตกต่างกันออกไป การรับรูส้ ิง่ ใหม่ ก็ควรจะมกี ารประเมนิ ความรเู้ ดิม คือการทดสอบกอ่ นการเรยี น และเพื่อ
เป็นการกระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นเกิดการระลกึ ความร้เู ดมิ เพื่อเตรยี มพรอ้ มในการเช่ือมโยงกับความรู้ใหม่ ซงึ่ การ
ทดสอบจะทำให้ผู้เรียนได้รตู้ ัวเองและกลบั ไปทบทวนในสง่ิ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับคนที่รใู้ นเนอื้ หาบทเรยี นดแี ลว้
อาจข้ามบทเรียนไปยงั เนอ้ื หาอ่นื ๆ ตอ่ ไป การจะทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหรอื ไมก่ ข็ ึ้นอยกู่ บั การพจิ ารณาของ
บทเรียนเพือ่ ให้เกดิ ความเหมาะสม สง่ิ ท่ีจะต้องพิจารณาในการทบทวนความร้เู ดิม มดี งั นี้
1. ไม่ควรคาดเดาเอาวา่ ผู้เรยี นมคี วามรู้พ้ืนฐานก่อนแล้วจึงมาศกึ ษาเนื้อหาใหม่ ควรมีการทดสอบ
หรอื ให้ความรเู้ พือ่ เปน็ การทบทวนให้พร้อมทจ่ี ะรบั ความรใู้ หม่
2. การทดสอบหรือทบทวนควรใหก้ ระชับและตรงตามวัตถุประสงค์
3. ควรเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นออกจากแบบทดสอบหรือเนื้อหาใหม่เพือ่ ไปทบทวนได้ตลอดเวลา
4. หากไม่มกี ารทดสอบ ควรมีการกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นกลบั ไปทบทวนหรือศกึ ษาในสิ่งทีเ่ ก่ียวข้อง
4. การเสนอเนือ้ หา (Present New Information)
การเสนอเน้ือหาใหมเ่ ป็นการนำเสนอเนื้อหาโดยใชต้ ัวกระตุ้นทีเ่ หมาะสม เปน็ ส่ิงสำคญั
สำหรบั การเรียนการสอนเพ่อื ให้การเรียนรเู้ ปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รูปแบบการนำเสนอมหี ลายลกั ษณะ
ไดแ้ ก่ การใช้ขอ้ ความ ภาพนิ่ง กราฟ ตารางข้อมลู กราฟกิ ตลอดจนภาพเคล่ือนไหว ซงึ่ เป็นการใช้สื่อหลาย
รปู แบบท่เี รียกวา่ สื่อประสม เปน็ การเร้าความสนใจของผู้เรียน สิง่ ทจ่ี ะตอ้ งพจิ ารณาในการนำเสนอเนือ้ หาใหม่
มีดงั นี้
1. ใช้ภาพนง่ิ ประกอบการเสนอเน้อื หา โดยเฉพาะส่วนเน้ือหาทส่ี ำคญั
2. พยายามใช้ภาพเคล่ือนไหวในเนอื้ หาทย่ี าก และทม่ี ีการเปลีย่ นแปลงตามลำดับใช้แผนภูมิ แผนภาพ
แผนสถิติ สญั ลกั ษณ์หรือภาพเปรียบเทียบประกอบเน้อื หา
3. ในเนือ้ หาท่ยี ากและซบั ซ้อนใหเ้ นน้ ขอ้ ความเป็นสำคญั ซ่ึงอาจเป็นการตีกรอบ ขีดเส้นใต้ การ
กระพริบ การทำสใี หเ้ ดน่
4. ไม่ควรใช้กราฟกิ ท่ีเข้าใจยากหรือไม่เก่ยี วกบั เนอ้ื หา
5. จดั รปู แบบของคำ ขอ้ ความใหน้ า่ อา่ น เนื้อหาท่ียาวใหจ้ ัดกลุ่ม แบ่งตอน
5. ช้ีแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
การชี้แนวทางการเรยี นรู้ เปน็ การใชใ้ นชน้ั เรียนตามปกติ ซึง่ ผู้สอนจะยกตวั อย่างหรอื ตั้งคำถามช้ีแนะ
แบบกว้าง ๆ ใหแ้ คบลง เพื่อให้ผเู้ รียนวิเคราะห์เพื่อคน้ หาคำตอบ สำหรบั บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนควร
ต้องใชก้ ารสรา้ งสรรคเ์ ทคนคิ เพอ่ื กระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นค้นหาคำตอบด้วยตนเอง การจดั กจิ กรรมที่เหมาะสม เพ่ือ
เปน็ ตวั ช้แี นวทาง ส่ิงทจี่ ะตอ้ งพิจารณาในการช้ีแนวทางการเรยี นรู้ มดี งั นี้
1. แสดงให้ผเู้ รียนไดเ้ หน็ ถงึ ความสัมพันธ์ของเนอื้ หาและช่วยใหเ้ หน็ สิง่ ยอ่ ยนน้ั มีความสัมพันธ์กบั
สิ่งใหมอ่ ยา่ งไร
2. แสดงให้เห็นถงึ ความสมั พันธข์ องสง่ิ ใหมก่ บั สงิ่ ท่ีผเู้ รียนมคี วามรู้หรอื ประสบการณ์มาแลว้
84
3. พยายามให้ตวั อย่างทแี่ ตกตา่ งกันออกไป เพอ่ื ชว่ ยอธิบายความคิดใหมใ่ ห้ชดั เจนขน้ึ
4. การเสนอเนื้อหาทีย่ าก ควรใหเ้ หน็ ตวั อย่างท่เี ป็นรปู ธรรมไปส่นู ามธรรม ถา้ เนอ้ื หาไม่ยาก ให้
เสนอตวั อยา่ งจากนามธรรมไปส่รู ปู ธรรม
5. กระตุ้นใหผ้ ู้เรียนคดิ ถงึ ความร้แู ละประสบการณ์เดิม
6. กระต้นุ การตอบสนอง (Elicit Responses)
การกระตุ้นให้เกดิ การตอบสนองจากผ้เู รยี น เม่ือผู้เรยี นไดร้ ับการช้ีแนวทางการเรยี นรแู้ ล้ว ต้องมีการ
กระตุน้ ให้เกดิ การตอบสนองโดยกจิ กรรมต่าง ๆ ท่ีทำให้ผเู้ รยี นมีส่วนร่วมในการคดิ และ ปฏิบัตเิ ชิงโต้ตอบ
เพ่อื ให้บรรลุถงึ วตั ถุประสงค์ในการเรยี น การกระตุ้นตอ้ งจัดกจิ กรรมให้เหมาะสม ส่งิ ทีต่ อ้ งพิจารณาในการ
กระตุ้นการตอบสนอง มีดงั น้ี
1. พยายามให้ผเู้ รยี นไดต้ อบสนองด้วยวธิ ใี ดวธิ ีหน่งึ ตลอดการเรยี น
2. ควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพมิ พค์ ำตอบหรอื ขอ้ ความเพ่ือเรา้ ความสนใจ แต่กไ็ มค่ วรจะยาวเกนิ ไป
3. ถามคำถามเปน็ ชว่ ง ๆ ตามความเหมาะสมของเน้อื หา เพื่อเร้าความคดิ และจนิ ตนาการของ
ผ้เู รยี น
4. หลีกเล่ยี งการตอบสนองซ้ำ ๆ หลายคร้งั เมื่อทำผิด ควรมีการเปล่ยี นกิจกรรมอย่างอื่นต่อไป
5. ควรแสดงการตอบสนองของผ้เู รยี นบนเฟรมเดยี วกนั กับคำถาม รวมทง้ั การแสดงคำตอบ
7. ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ (Provide Feedback)
หลังจากท่ีผู้เรยี นได้รบั การทดสอบความเข้าใจของตนในเนื้อหารวมทั้งการกระตนุ้ การตอบสนอง
แล้ว จำเป็นอย่างย่งิ ท่จี ะต้องให้ข้อมูลย้อนกลับหรือการให้ผลกลบั ไปยงั ผูเ้ รียนเกี่ยวกบั ความถูกต้อง การให้ผล
ยอ้ นกลบั ถอื เป็นการเสริมแรงอยา่ งหนึ่ง การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับสามารถแบ่งขนั้ ตอนไดเ้ ปน็ 4 ประเภทตาม
ลกั ษณะที่ปรากฏไดด้ งั น้ี
1. แบบไม่เคล่ือนไหว หมายถงึ การเสริมแรงดว้ ยการแสดงคำ หรือข้อความ บอกความ ถกู หรือ
ผิด และรวมถึงการเฉลย
2. แบบเคล่อื นไหว หมายถึงการเสรมิ แรงดว้ ยการแสดงกราฟกิ เชน่ ภาพหน้ายิ้ม หนา้ เสียใจ หรือ
มีข้อความประกอบใหช้ ัดเจน
3. แบบโต้ตอบ หมายถึง การเสริมแรงด้วยการใหผ้ เู้ รียนได้มกี จิ กรรมเชงิ โต้ตอบกับบทเรยี น เป็น
กิจกรรมทจี่ ัดเสรมิ หรอื เพอื่ เกดิ การกระตุ้นแก่ผเู้ รยี น เช่น เกมส์
4. แบบทำเครอ่ื งหมาย หมายถึง การทำเครื่องหมายบนคำตอบของผู้เรยี นเมอ่ื มีการตอบคำถาม
ซ่งึ อยใู่ นรปู ของวงกลม ขดี เสน้ ใต้ หรอื ใช้สีทแี่ ตกต่าง
8. ทดสอบความรู้ (Access Performance)
85
การทดสอบความรู้หลงั เรียน เพ่ือเป็นการประเมนิ ผลว่าผ้เู รยี นได้เกดิ การเรียนรไู้ ด้ตามเป้าหมาย
หรอื ไมอ่ ย่างไร การทดสอบอาจทำหลงั จากผู้เรียนได้เรยี นจบวัตถุประสงคห์ นึ่ง หรือหลังจากเรยี นจบทงั้
บทเรียนกไ็ ด้ กำหนดเกณฑใ์ นการผา่ นใหผ้ ้เู รียนไดท้ ราบ ผลจากการทดสอบจะทำให้ทราบวา่ ผ้เู รยี น ควรจะ
เรียนเนือ้ หาบทเรียนใหม่หรอื ว่าควรตอ้ งกลบั ไปทบทวน สิ่งทต่ี อ้ งพิจารณาในการออกแบบทดสอบหลัง
บทเรยี น มีดังนี้
1. ต้องแน่ใจว่าส่ิงที่ต้องการวัดนน้ั ตรงกับ
วตั ถุประสงค์
2. ขอ้ ทดสอบ คำตอบและ Feedback อยูใ่ นเฟรม
เดียวกัน
3. หลกี เลีย่ งการให้พมิ พ์คำตอบทย่ี าวเกนิ ไป
4. ให้ผู้เรยี นตอบครงั้ เดยี วในแต่ละคำถาม
5. อธบิ ายให้ผเู้ รยี นทราบวา่ ควรจะตอบดว้ ยวิธใี ด
6. ควรมรี ูปภาพประกอบดว้ ย นอกจากข้อความ
7. คำนงึ ถึงความแมน่ ยำและความนา่ เชอ่ื ถอื ของ
แบบทดสอบด้วย
9. การจำและนำไปใช้ (Promote Retention and Transfer)
ส่งิ สุดท้ายสำหรับการสอน การจำและนำไปใช้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนมคี วามคงทนในการจำขอ้ มูล
ความรู้ ต้องทำใหผ้ ้เู รยี นตระหนกั วา่ ขอ้ มูลความรู้ใหม่ทีไ่ ดเ้ รียนรู้ไปน้ันมีความสัมพันธ์กบั ความรเู้ ดิม หรือ
ประสบการณเ์ ดิม โดยการจัดกิจกรรมท่ีเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดป้ ระยุกตใ์ ชค้ วามรู้ เพื่อการเชือ่ มโยงข้อมลู
ความร้เู ดิมกับความรู้ใหม่ รวมท้งั การนำไปใชก้ บั สถานการณ์ ส่งิ ที่ควรพิจารณาในการจำและนำไปใช้ มดี งั น้ี
1. ทบทวนแนวคิดทสี่ ำคัญและเนือ้ หาที่เป็นการสรุป
2. สรุปให้ผ้เู รียนได้ทราบว่าความรใู้ หมม่ ีความสัมพนั ธก์ ับความรเู้ ดิมหรอื ประสบการณ์ทผ่ี ่านมาอย่างไร
3. เสนอแนะเนอ้ื หาทีเ่ ปน็ ความรใู้ หม่ซึง่ จะนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
4. บอกแหลง่ ข้อมูลทเี่ ปน็ ประโยชนใ์ นการศึกษาใหก้ ับผู้เรยี น
86
5. การเรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้
การเรยี นรู้ มคี วามหมายลกึ ซงึ้ มากกว่าการสง่ั สอน หรอื การบอกเล่าให้เขา้ ใจและจำได้เท่านัน้ ไม่ใช่
เร่ืองของการทำตามแบบ ไมไ่ ดม้ คี วามหมายตอ่ การเรยี นในวิชาต่างๆเท่านนั้ แต่ความหมายคลุมไปถงึ การ
เปลี่ยนแปลงทางพฤตกิ รรมอันเป็นผลจากการสังเกตพิจารณา ไตรต่ รอง แกป้ ัญหาทงั้ ปวงและไม่ช้ชี ัดวา่ การ
เปลีย่ นแปลงน้นั เป็นไปในทางท่ีสังคมยอมรบั เท่านั้น
5.1 องค์ประกอบของการเรียนรู้ ในสว่ นขององคป์ ระกอบของการเรียนรู้ ท่ีทำให้เกดิ กระบวนการ
เรยี นรู้นั้น ประกอบดว้ ย
1.สิง่ เร้า (Stimulus) เปน็ ตัวการสำคัญทที่ ำให้บุคคลมปี ฏิกิรยิ าโต้ตอบออกมาและเป็น
ตัวกำหนดพฤตกิ รรมวา่ จะแสดงออกมาในลักษณะใด ส่งิ เรา้ อาจเปน็ เหตกุ ารณห์ รอื วตั ถุและอาจเกดิ ภายในหรือ
ภายนอกร่างกายกไ็ ด้ เชน่ เสียงนาฬิกาทป่ี ลุกใหเ้ ราต่ืน หรอื กำหนดวนั สอบเรา้ ให้เราเตรียมสอบ หรือครผู สู้ อน
กำหนดหวั เรอ่ื งให้เราต้องคน้ ควา้ ในการทำรายงาน
2.แรงขบั (Drive) มี 2 ประเภท คือ 2.1 แรงขบั ปฐมภมู ิ (Primary Drive) เชน่ ความหิว
ความกระหาย การต้องการพักผอ่ น เป็นตน้ 2.2 แรงขับทุตยิ ภมู ิ (Secondary Drive) เปน็ เร่ืองของความ
ต้องการทางจติ และทางสงั คม เชน่ ความวิตกกงั วล ความต้องการความรัก ความปลอดภัย เปน็ ต้น แรงขบั ท้ัง
สองประเภทเป็นผลใหเ้ กดิ ปฏิกิรยิ าอันจะนำไปสูก่ ารเรยี นรู้
1) การตอบสนอง (Response) เปน็ พฤติกรรมต่างๆ ท่บี คุ คลแสดงออกมาเมอ่ื ได้รับการ กระตนุ้ จาก
ส่ิงเร้าต่างๆ เชน่ คน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานการณ์ อาจกล่าวไดว้ า่ เป็นสงิ่ แวดลอ้ มท่ีรอบตวั เรานนั่ เอง
2) แรงเสริม (Reinforcement) สิง่ ที่มาเพิ่มกำลงั ใหเ้ กิดการเช่อื มโยงระหวา่ งส่งิ เรา้ กับ การตอบสนอง
เชน่ รางวลั การตำหนิ การลงโทษ การชมเชย เงิน ของขวัญ เป็นต้น
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) : คอื เป็นแนวคิดในการพฒั นาองคก์ ารโดยเน้นการ
พัฒนาการเรยี นรู้สภาวะของการเปน็ ผนู้ ำในองค์การ (Leadership) และการเรียนรรู้ ่วมกัน ของคนในองคก์ าร
(Team Learning) เพอื่ ใหเ้ กดิ การถา่ ยทอดแลกเปลย่ี นองค์ความรู้ ประสบการณ์ และทกั ษะร่วมกนั และ
พัฒนาองคก์ ารอย่างต่อเน่อื งทนั ต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแขง่ ขนั
87
5.2 ประเภทของแหลง่ เรียนรสู้ ำหรบั สถานศึกษา
แหล่งเรยี นรูข้ องโรงเรียนมี 2 ประเภท คอื แหลง่ เรียนรู้ในโรงเรยี นและนอกโรงเรยี น ซงึ่ เปน็
แหลง่ เรยี นรทู้ ่ีมีอย่แู ล้วตามธรรมชาติ และทีม่ นุษย์สร้างขนึ้
5.2.1. แหล่งเรยี นรูใ้ นโรงเรียน
1.1 แหลง่ เรียนร้ทู ่มี ีอย่แู ลว้ ตามธรรมชาติเช่น บรรยากาศ สง่ิ แวดลอ้ ม ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
สิ่งมชี วี ิต ฯลฯ
1.2 แหล่งเรียนรู้ท่มี นษุ ยส์ ร้างขน้ึ เชน่ ห้องสมุดโรงเรียน หอ้ งสมุดกลมุ่ สาระ ห้องสมุดเคลือ่ นท่ี
ห้องเรียน หอ้ งปฏบิ ัติการตา่ งๆ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องมัลตมิ เี ดีย เว็บไซต์ หอ้ งอินเทอร์เน็ต ห้องเรียนสีเขยี ว
หอ้ งพพิ ธิ ภณั ฑ์ ห้องเกียรติยศ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสมุนไพร สวนวรรณคดี สวนสุขภาพ สวนหิน สวนหย่อม
สวนผีเสือ้ บอ่ เลีย้ งปลา เรอื นเพาะชำ ตน้ ไม้พูดได้ ฯลฯ
5.2.2. แหลง่ เรยี นรู้นอกโรงเรยี น
2.1 แหลง่ เรยี นร้ทู ่มี อี ยแู่ ล้วตามธรรมชาติ เชน่ สภาพแวดล้อม ป่า ภูเขา แหลง่ น้ำ ทะเล สัตว์
ฯลฯ
2.2 แหลง่ เรยี นรทู้ ม่ี นษุ ยส์ รา้ งขน้ึ เช่น ห้องสมุดประชาชน พพิ ธิ ภณั ฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
หอศิลป์ สวนสตั ว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อทุ ยานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ศูนยก์ ารกีฬา สถาน
ประกอบการ วัด ครอบครวั ชมุ ชน วิถีชวี ิต วฒั นธรรม-ประเพณี สถาบันการศึกษาอน่ื ๆ โบราณสถาน สถานท่ี
สำคญั แหลง่ ประกอบการ ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน เป็นตน้
5.3 เครอื ขา่ ยความรู(้ การเรียนรู้)
ความหมายของเครอื ข่ายการเรยี นรู้ คือ การที่ชาวบา้ นรวมตวั กนั ขบคดิ ปัญหาของเขา รวมพลงั
แก้ปญั หา และหาผนู้ ำข้ึนมาจากหมู่ชาวบา้ นดว้ ยกันเอง แล้วรวมตวั กนั เพอื่ มีอำนาจตอ่ รอง มีการตอ่ สู้ทาง
ความคดิ มีการเรียนร้จู ากภายนอก มีการไปมาหาสกู่ นั เรียนรู้ดูงานด้วยกนั จนกระท่ังเกดิ เปน็ กระบวนการ
แก้ปญั หาได้ การทำมาหากินดขี ้ึน เศรษฐกิจแต่ละครอบครัวดีขึน้
5.4 ลักษณะเฉพาะของเครอื ข่ายความร(ู้ การเรยี นร)ู้
• การประสานแหล่งความรตู้ ่างๆ เข้าด้วยกนั เพื่อรบั และสง่ หรอื ถา่ ยทอดความรู้ประเภทต่างๆ ไปยังประชาชน
อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอดเวลา
• การจัด และเชือ่ มโยงแหลง่ การเรยี นรใู้ ห้เปน็ ระบบ เพือ่ ใหป้ ระชาชนมโี อกาสได้เรียนรอู้ ย่างกวา้ งขวางและ
ตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ิต โดยนำเทคโนโลยีที่ทนั สมยั มาใช้ เพือ่ ขยายบรกิ ารการศึกษา แลกเปล่ยี นและกระจาย
ความรู้ ขอ้ มูลข่าวสารไปสวู่ งกวา้ งได้รวดเรว็
• การถ่ายทอด แลกเปลยี่ น และกระจายความรู้ ทั้งท่เี ป็นภมู ปิ ญั ญา และองคค์ วามรู้ใหมๆ่ ใหก้ ับชมุ ชน
88
6. การจัดการเรียนรบู้ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต
ปัจจบุ นั โลกไดเ้ ข้าสยู่ ุคเศรษฐกจิ ฐานความรู้
(Knowledge-based Economy – KBE) งานตา่ งๆ
จำเป็นตอ้ งใช้ความรู้มาสรา้ งผลผลติ ให้เกดิ มูลค่าเพ่ิม
มากย่ิงขึน้ การจัดการความรู้เปน็ คำกว้างๆ ทม่ี ี
ความหมายครอบคลมุ ถงึ เทคนิค กลไกต่างๆ มากมาย
เพอ่ื สนบั สนนุ ให้การทำงานในองคก์ ร มีประสิทธภิ าพ
ยง่ิ ขนึ้ ในการรวบรวมความรทู้ ก่ี ระจัดกระจายอยทู่ ี่
ต่างๆ มารวมไวท้ ่เี ดียวกัน ซงึ่ ชอ่ งทางบนเครอื ขา่ ย
อินเทอรเ์ นต็ นับเป็นอกี ชอ่ งทางหน่ึงท่สี ามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ แบง่ ปัน นำไปสู่
สังคมแห่งการเรยี นรู้ท่ีย่ังยืน
การจัดการความรู้ (Knowledge management - KM) คอื การรวบรวม (ร่วม)สรา้ งสาระความรู้ ทั้ง
ของบุคคล หรือของกลมุ่ หรือจากสภาพแวดลอ้ มรอบตวั โดยพัฒนาจากขอ้ มูลดงั กล่าวไปสู่สารสนเทศ เพือ่
นำไปสู่การหลอมรวม แลกเปลย่ี น ร่วมศึกษาเรียนรู้ นำไปสกู่ ารต่อเติมความสวา่ งทางปัญญาของบุคลากร ใน
องค์กร หรอื ของผูเ้ รียนรทู้ ี่เปน็ กลุม่ เป้าหมาย หรือเผยแพรเ่ ป็นข้อมลู สาธารณะสู่เครือขา่ ยการเรยี นรู้
6.1 กรอบความคิดการจัดการความรู้ เปน็ กรอบของการปฏบิ ตั ิเพอื่ การเขา้ ถงึ การจดั การความรู้ มีวิธี
คิดหลายรูปแบบ ที่น่าสนใจ คอื (Rubenstein, Liebowitz, Buchwalter & McCaw, 2001, p. 8 ) ได้แบง่
ชนิดของกรอบความคดิ การจัดการความรู้ ได้แก่
1. กรอบความคดิ แบบ prescriptive กรอบความคดิ แบบ prescriptive เป็นกรอบความคิดที่
พบมากทสี่ ุด ซ่ึงอธิบายถึงพัฒนาการของความรใู้ นองค์กร หรอื เรียกวา่ "วงจรความรู้ (Knowledge Spiral)"
2. กรอบแนวคิดแบบ descriptive กรอบแนวคดิ แบบ descriptive เปน็ กรอบความคิดท่ี
อธิบายถงึ ขั้นตอนการจดั การความรู้ และปัจจัยท่ีมีผลตอ่ ความสำเร็จและความล้มเหลวของการจัดการความรู้
เช่น วฒั นธรรมองคก์ ร การเช่อื มโยง การจัดการความรกู้ ับทิศทางองคก์ ร การที่ตอ้ งมีขอ้ มูลปอ้ นกลับเพอื่ ปรบั
การจัดการความรู้ ให้ทนั ตอ่ การเปล่ียนแปลงต่าง ๆ เป็นต้น
กรอบความคิดที่สถาบันเพิม่ ผลผลิตแห่งชาติได้นำมาทดลองใชใ้ นโครงการนำรอ่ ง มาจาก Osterhoff
(อ้างถึงใน บุญดี บุญญากจิ และคนอ่นื ๆ, 2548, หนา้ 36-38) ท่ีปรกึ ษาโครงการ โดยดดั แปลงมาจากรูปแบบ
การจัดการความรูข้ องบรษิ ทั Xerox Corporation ประเทศสหรัฐอเมรกิ า ซ่งึ ประกอบดว้ ยองค์ประกอบหลกั
ๆ 6 อย่างดงั นี้
1. การจดั การการเปล่ียนแปลงและพฤติกรรม (transition and behavior management)
2. การสอ่ื สาร (communication)
89
3. กระบวนการและเครอ่ื งมือ (process and tool)
4. การฝกึ อบรมและการเรยี นรู้ (training and learning)
5. การวดั ผล (measurement)
6. การยกย่องชมเชยและใหร้ างวลั (recognition and reward)
6.2 หลกั การออกแบบส่ือเพ่อื การเรยี นรู้
ปจั จบุ นั โลกไดเ้ ข้าสยู่ ุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy – KBE) งานตา่ งๆ
จำเปน็ ตอ้ งใช้ความรมู้ าสรา้ งผลผลิตให้เกดิ มลู คา่ เพิ่มมากย่ิงขนึ้ การจดั การความรู้เป็นคำกวา้ งๆ ทม่ี ีความหมาย
ครอบคลมุ ถึง เทคนิค กลไกตา่ งๆ มากมาย เพื่อสนบั สนุนใหก้ ารทำงานในองคก์ ร มปี ระสิทธิภาพยิง่ ขึน้ ในการ
รวบรวมความรทู้ ่กี ระจัดกระจายอยู่ทต่ี ่างๆ มารวมไวท้ ี่เดียวกัน ซง่ึ ชอ่ งทางบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ นบั เปน็ อกี
ชอ่ งทางหน่งึ ทส่ี ามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบง่ ปนั นำไปสู่สังคมแหง่ การเรียนร้ทู ่ี
ยั่งยืน
ก่อนการออกแบบส่ือเพื่อการเรียนรู้ในแตล่ ะประเภท ผอู้ อกแบบจะตอ้ งคำนงึ ถึงองค์ประกอบ และ
เง่ือนต่างๆ ไม่ว่าจะเปน็ รูปแบบของสอ่ื วธิ กี ารนำไปใช้ จนถึงกล่มุ เปา้ หมายผใู้ ช้งาน ดงั นั้น ในการออกแบบ
จำเปน็ ต้องศกึ ษาและเข้าใจหลกั การรวมถงึ ขัน้ ตอนในการออกแบบ เพอ่ื นำมาประยกุ ต์เป็นแนวทางในการ
ปฏบิ ัตแิ ละลงมือสร้างสาระการเรียนรอู้ อนไลน์ เพอ่ื ให้ไดส้ อื่ การเรยี นรูท้ ี่เหมาะสมต่อกระบวนการศึกษาเรยี นรู้
ดว้ ยตนเอง
หลกั การออกแบบสอ่ื เพ่ือการเรยี นรปู้ ระกอบดว้ ย 9 ขั้นตอน ดงั น้ี
ขน้ั ตอนท่ี 1 เรา้ ความสนใจ (Gain Attention)
ขนั้ ตอนท่ี 2 บอกวตั ถุประสงค์ (Specify Objectives)
ขั้นตอนท่ี 3 ทวนความรู้เดมิ (Activate Prior Knowledge)
ขน้ั ตอนท่ี 4 การเสนอเนื้อหา (Present New Information)
ขน้ั ตอนท่ี 5 ชี้แนวทางการเรยี นรู้ (Guide Learning)
90
ข้ันตอนที่ 6 กระตนุ้ การตอบสนอง (Elicit Responses)
ขน้ั ตอนที่ 7 ให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั (Provide Feedback)
ขั้นตอนที่ 8 ทดสอบความรู้ (Access Performance)
ข้นั ตอนท่ี 9 การจำและนำไปใช้ (Promote Retention and Transfer)
6.3 องคป์ ระกอบสำคญั ของการจัดการความรู้ในสถานศกึ ษา
6.3.1. บุคลากร(คร)ู หมายถงึ ครู บุคลากรทางการศกึ ษา เจ้าหน้าที่ ผปู้ ฏิบัติงาน ภูมปิ ญั ญา หรือ
ผู้ท่มี สี ว่ นในการจดั กิจกรรมทางการศึกษา เป็นผู้นำความรู้ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการจัดการศกึ ษา
6.3.2. ข้อมลู /ความรู้ หมายถึงข้อมลู ความรู้ หรือประสบการณ์ต่างๆทีอ่ ยู่ในบุคลากร(คร)ู สาร
เนื้อหาการเรียนรู้ (ตาม)หลกั สตู ร สอื่ และองค์ประกอบอืน่ ๆ ทีใ่ ชใ้ นการเรียนรู้ ถกู นำมาบูรณาการเพื่อการ
เรียนรู้ และการเข้าถงึ นำไปสู่การเรียนรดู้ ้วยตนเองอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
6.3.3. เทคโนโลยีและการสื่อสาร เปน็ เครื่องมือเพ่อื ใหค้ นสามารถคน้ หา จัดเกบ็ แลกเปล่ยี น น
ความรูไ้ ปใช้ได้อยา่ งง่ายและรวดเรว็ ข้นึ การจดั การความรู้ มีความจำเป็นต้องใชเ้ ทคโนโลยีสนับสนุนและเปน็
เทคโนโลยีข้ันสงู คือระบบสารสนเทศ ระบบการเรียนรู้ ระบบการส่อื สาร และระบบสนบั สนนุ กระบวนการ
กระบวนการประกอบด้วยข้ันตอน การแสวงหา การสรา้ ง การเก็บและเรียกใช้ การถ่ายโอน
6.3.4. วธิ กี ารและกระบวนการ หมายถึงวธิ ีการบรหิ ารและจัดการเพือ่ นำมวลความรู้ จากแหล่
ความรนู้ ำไปเผยแพรใ่ นระบบอยา่ งมรี ะบบและประสิทธิภาพตอ่ การเรียนรูส้ ูงสดุ
6.4 ประโยชนข์ องการจัดการความรู้
เป้าหมายของการจัดการความรู้ อาจกล่าวไดว้ ่า เปน็ การจดั การเพื่อให้ ครู บุคลากรทางการ
ศึกษา และผู้เก่ยี วขอ้ งท่ีมีส่วนในการจดั กจิ กรรมทางการศกึ ษาไดร้ บั ความรู้ความรเู้ พมิ่ เติมอย่างต่อเนอื่ ง
ตลอดเวลา เพ่อื ใหส้ ามารถปฏบิ ัตงิ าน การจัดกจิ กรรมทางการศึกาาได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและมีประสิทธผิ ล
ส่งิ ทำสำคญั อกี ประการหนึง่ ก็ คอื เป็นฐานองคค์ วามรูห้ ลกั ในการ พัฒนาบุคลากรรุน่ ใหมโ่ ดยการถ่ายโอน
ความรู้ ประสบการณ์ในการทำงานของคนรุน่ เดมิ ไปสู่คนรุ่นใหม่ได้อยา่ งรวดเรว็ เพอื่ ประสทิ ธิภาพโดยรวมใน
การดำเนินกจิ กรรมการศกึ ษาอย่างตอ่ เน่ือง
6.5 ข้นั ตอนการออกแบบสอื่ การเรยี นรอู้ อนไลน์
ในการออกแบบสอ่ื การเรยี นรู้ออนไลน์นนั้ มีหลากหลายรปู แบบหรอื วธิ ีการ ซ่ึงในแต่ละรูปแบบหรือ
วธิ ีการก็มขี ัน้ ตอนทอี่ าจจะคลา้ ยกนั หรอื แตกต่างกันในบางสว่ น แตใ่ นภาพรวมนัน้ ไม่ไดห้ นไี ปจากกันมานกั เรา
ลองมาศกึ ษาขัน้ ตอนการออกแบบสอ่ื การเรียนรู้ออนไลน์ ในรูปแบบตัวอย่างต่อไปนกี้ ัน ซงึ่ จะประกอบดว้ ย
ขัน้ ตอนตา่ งๆ 6 ขนั้ ตอน
1. ขั้นตอนการเตรียมขอ้ มลู สาระเนอ้ื หา (Preparation)
2. ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน (Design web-page Instruction)
91
3. ข้นั ตอนวางกรอบเนื้อหาและเขียนผงั งาน (Flowchart Lesson)
4. ขน้ั ตอนการสรา้ งหน้าเอกสารเว็บ (Create Web-page)
5. ขน้ั ตอนการเผยแพร่ทดสอบ (Publish)
6. ข้นั ตอนการประเมนิ หรือปรับปรุง (Evaluate and Revise)
6.6 การจัดการเรียนรอู้ อนไลนผ์ ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต็
การจดั การศกึ ษาออนไลน์ หรอื ที่นักการศกึ ษาเรียกวา่ “Web-Based Instruction” เปน็ รูปแบบการ
สอน โดยใช้เว็บเป็นสือ่ กลางในการเรยี นรู้ วธิ ีการมีทงั้ แบบใช้เว็บเป็นฐานหลกั โดยครผู ู้สอน หรือ
สถานศึกษา บรรจุเนอ้ื หาวชิ าทั้งหมดวางไว้ในระบบการจัดการเรียนรู้ หรือบางแหง่ ใช้เวบ็ เปน็ เคร่ืองมือ หรือ
สว่ นในการเสริมการเรียนรู้
การสอนบนเว็บจึงเปน็ รูปแบบของการประยุกตว์ ธิ กี ารสอนทง้ั ในแบบชนั้ เรยี น หรือการสอนด้วยวิธกี าร
อนื่ ๆมาผสมผสานเขา้ ด้วยกัน การสอนบนเวบ็ ใช้ไดท้ ัง้ การสอนในระบบโรงเรยี น การศึกษาตามอัธยาศัย หรอื
การศกึ ษาต่อเน่ืองในลักษณะการศกึ ษาทางไกล ซงึ่ กำลงั เป็นที่นิยมใช้กนั มากในปจั จุบัน การนำระบบการจดั
การศกึ ษาออนไลน์ มาใชใ้ หเ้ กดิ ประสิทธิภาพในกระบวนการสอนสงู สุดน้นั ครูผูส้ อนจะตอ้ งมีความเขา้ ใจว่า
รูปแบบการเรียนการสอนแบบการจดั การศกึ ษาออนไลน์น้ี แตกตา่ งจากระบบการเรยี นการสอนในชน้ั เรียน ที่
เรยี กกันวา่ face-to-face อยา่ งไร และจำเป็นทีต่ ้องมกี ารพัฒนา ปรบั ปรงุ วิธกี ารอยา่ งต่อเน่ือง ไมว่ ่าจะเปน็
ดา้ นการปรับปรงุ เร่อื งเนอ้ื หา เทคโนโลยี เทคนิคการนำเสนอ รวมถึงการวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาคุณภาพของระบบการ
จัดการศกึ ษาออนไลนใ์ นภาพรวม การนำระบบการจดั การศกึ ษารูปแบบออนไลน์เขา้ มาใช้นัน้ ต้องระลึกไว้อยู่
เสมอว่า เมื่อพรอ้ มทจี่ ะดำเนนิ การจดั การศกึ ษาออนไลน์ ตอ้ งไม่ทำใหค้ ุณภาพการเรียนรู้ของผเู้ รยี นขาด
คณุ ภาพไปจากระบบการเรียนรู้ในชัน้ เรียนดว้ ย แม้วา่ การจัดการศึกษาออนไลนด์ เู หมือนจะในรูปแบบทีข่ าด
ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งผเู้ รียนกับผสู้ อน ดว้ ยเวลาในการศึกษาเล่าเรยี นไม่ตรงกนั จงึ จำเปน็ ต้องใช้เทคโนโลยใี นการ
ส่อื สารเพือ่ สรา้ งกจิ กรรมร่วมกัน เพื่อเข้าถึงส่ือการเรียนการสอนระยะไกล หรือเพือ่ ปฏสิ ัมพนั ธก์ บั อาจารย์
ผู้สอน หรอื ผเู้ รยี นอืน่ โดยไม่จำเปน็ ตอ้ งออนไลน์ ณ เวลาเดยี วกัน โดยการใชก้ ระดานสนทนาอเิ ลก็ ทรอนิกส์
(webboard) หรอื การใชอ้ ีเมล์
6.6 ปจั จยั หลกั ในการจดั การฐานความร้บู นเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ E-learning
ในการจดั ฐานการเรียนรอู้ อนไลน์บนเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตรูปแบบ web-based learning หรอื e-
learning ซง่ึ ปจั จบุ ัน ถือไดว้ า่ เป็นรปู แบบการศกึ ษาด้วยตัวเองที่มีความพร้อมและสมบรู ณ์อีกวิธีการหนึ่ง แต่
การจัดการศึกษา เพอ่ื สนับสนุนการเรยี นรู้ และเพิม่ ทางเลอื กใหม่ในรูปแบบดังกลา่ วใหป้ ระสบความสำเรจ็ น้นั
ไมส่ ามารถทจี่ ะกระทำได้ง่าย หากองค์กรหรือสถาบนั การศกึ ษาน้ันยงั ขาดปจั จัยหลกั ทนี่ ำมาเกื้อหนุนกลไกของ
web-based learning หรอื e-learning ใหข้ ับเคล่อื นไปได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจัยหลกั ดังกลา่ วอนั ได้แก่
92
1. นโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการในการจดั การศึกษาของชาติ
2. วสิ ยั ทัศนผ์ ู้บริหารการศึกษาท้งั ในระดับเขตพ้ืนทีแ่ ละสถานศึกษา
3. ความรคู้ วามสามารถด้านการพัฒนาสื่อและ ITของคร/ู อาจารย์ทีม่ ีผลตอ่ การเรยี นรู้
4. ความพร้อมด้านอปุ กรณห์ ลกั และเครอ่ื งมือสนับสนนุ
5. ความพรอ้ มและประสทิ ธิภาพทด่ี ีในด้านเทคโนโลยีเครอื ขา่ ย
6. ความพรอ้ มด้านระบบปฎิบตั กิ าร โปรแกรมท่ีใช้สร้าง e-learning
7. ความพร้อมของวธิ กี ารบริหารและการจดั การเรียนรู้ e-learning ทม่ี คี ุณภาพ
8. การสนับสนุนดา้ นงบประมาณอยา่ งจรงิ จังและต่อเนอ่ื ง
6.8 ร้แู บบฐานการเรียนรกู้ ารเรยี นออนไลน์
ปจั จบุ นั โลกได้เข้าสยู่ ุคเศรษฐกจิ ฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) งานต่างๆ จำเปน็ ต้อง
ใชค้ วามรู้มาสรา้ งผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิม่ มากย่งิ ขึ้น การจดั การความรเู้ ป็นคำกวา้ งๆ ทม่ี ีความหมายครอบคลมุ
ถงึ เทคนคิ กลไกต่างๆ มากมาย เพ่อื สนบั สนนุ ให้การทำงานในองคก์ ร มปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ข้นึ ในการรวบรวม
ความรทู้ ก่ี ระจัดกระจายอย่ทู ตี่ ่างๆ มารวมไวท้ ่ีเดยี วกนั ซ่ึงชอ่ งทางบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ นับเป็นอกี ช่องทาง
หนง่ึ ทส่ี ามารถตอบสนองในการเป็นเวที แลกเปล่ียนเรียนรู้ แบ่งปนั นำไปส่สู งั คมแห่งการเรียนรทู้ ีย่ ง่ั ยนื ในโลก
ของการศกึ ษาปัจจุบนั น้ี เราคงจะปฎเิ สธวธิ ีการสอนผา่ นเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ หรอื ทเ่ี รียกกนั วา่ การสอนบนเวบ็
คำคำน้ี เปน็ คำทม่ี าจากภาษาองั กฤษวา่ Web-Based Instruction (WBI) ซ่งึ ถอื กันวา่ เปน็ กระบวนการท่ีแยก
มาจากยุคคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนหรอื CAI นน่ั เอง นอกจากนี้ ยังมนี ักการศึกษาใชเ้ รยี ก Web-Based
Instruction ในอีกช่อื ว่า Web-Based Learning ซึง่ ทัง้ หมดนกี้ ็มคี วามหมายเดียวกนั หมายถึง การเรียนการ
สอนที่ใชเ้ วบ็ เปน็ ฐาน หรอื “การสอนบนเวบ็ ”หรือ “การสอนผา่ นเวบ็ ” ปจั จุบนั การเรียนการสอนผา่ นเว็บถกู
นำมาใช้ ทง้ั การการสอนในระบบโรงเรียน รวมถงึ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย ครอบคลุม
กระบวนการศึกษาตลอดชีวติ
ในการนำเสนอสาระการเรียนรแู้ บบตา่ งๆบนฐาน web-based นนั้ ไมว่ า่ จะเปน็ บทเรยี นออนไลน์
เป็นไฟล์เรียนรดู้ ว้ ยเอกสารอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-document) หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(e-book) รปู แบบตา่ งๆ
ใหเ้ กดิ กระบวนการเรียนรโู้ ดยสมบูรณ์ และเหมาะสมได้นั้นจำเป็นตอ้ งมี องคป์ ระกอบพนื้ ฐาน ของการจดั การ
เรยี นการสอนบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ ซึ่งองคป์ ระกอบดังกลา่ วประกอบดว้ ยส่วนสำคัญ 3 สว่ น โดยแตล่ ะ
ส่วนจะตอ้ งได้รบั การออกแบบมาเป็นอยา่ งดี เพราะเมื่อนำมาประกอบเข้าดว้ ยกนั แล้ว ระบบท้งั หมดจะต้อง
ทำงานประสานกันไดเ้ ปน็ ระบบอย่างลงตวั ซึ่ง ฐานการเรยี นรู้ (web-based) ในปัจจบุ นั นถ้ี ือเปน็ ปัจจยั หลัก
93
ของการจดั การเรยี นรูอ้ อนไลน์ผ่านเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ทีจ่ ะเป็นส่วนสำหรบั จัดวาง เผยแพรข่ ้อมลู เนื้อหา
บทเรียนไปสู่ ผเู้ รียนรูไ้ ด้ ซึ่งฐานการเรยี นรนู้ ีจ้ ะมีอยู่ 3 ลกั ษณะ ได้แก่
1. ลกั ษณะหนา้ เอกสาร web document อย่างเดียว
2. มีระบบบริหารการเรียนร(ู้ LMS)
3. มีระบบบริหารเนอื้ หา/หลักสูตร(CMS)
7. ระบบการสืบค้นผ่านเครือขา่ ยเพือ่ การเรยี นรู้
ในปจั จุบันสอื่ และเทคโนโลยีทท่ี นั สมัยมีประโยชน์ในการสืบค้นขอ้ มูล และแสวงหาความรู้ให้
กว้างขวางมากข้นึ พนื้ ที่ท่ใี ช้สืบคน้ องค์ความรตู้ า่ งๆ มไิ ด้จำกัดเพียงตำราและหนงั สอื เท่านน้ั ส่ืออนิ เตอร์เน็ต
นบั วา่ มีบทบาทสำคัญอยา่ งมากสำหรบั ผเู้ รียนรู้กลมุ่ ยคุ ใหม่ ระบบอินเตอรเ์ นต็ เปน็ แหลง่ ข้อมลู องค์ความร้ทู ่ี
ผ้ใู ช้สามารถสืบคน้ ขอ้ มูลไดง้ ่ายดายและสะดวกรวดเร็วทีส่ ุด ผู้สบื ค้นข้อมูลสามารถสืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้อย่าง
รวดเร็ว หนว่ ยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างเหน็ ความสำคญั ของการติดตงั้ ระบบอินเตอร์เนต็ กนั อยา่ ง
กวา้ งขวาง เพื่อบรกิ ารบคุ คลในองคก์ รเพื่อการปฏิบตั ิหนา้ ทไ่ี ดส้ ะดวกยิ่งข้ึน
1. การใชอ้ นิ เตอร์เนต็ เพ่อื การเรยี นรู้ อนิ เทอรเ์ น็ตเปน็ แหลง่ ขอ้ มูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเพอื่
คน้ หา แลกเปลี่ยนเรยี นรไู้ ด้อยา่ งแทบไม่มขี ีดจำกดั การใช้อนิ เทอรเ์ นต็ เพอ่ื ประโยชนด์ งั กลา่ ว จำเป็นทเ่ี รา
จะตอ้ งมคี วามรู้และทกั ษะในการค้นหาขอ้ มลู (Search) รูจ้ กั แหล่งเรยี นรู้ และวิธีการนำเสนอข้อมูลความรูแ้ ละ
ผลงานอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตเปน็ เครือ่ งมือในการสบื คน้ ขอ้ มูลในหัวข้อเรอ่ื งที่
นักเรยี นสนใจ
2. รูปแบบการใชอ้ ินเตอรเ์ น็ตเพื่อการเรยี นรู้ การประยกุ ตน์ ต็ เป็นเครอื ข่ายทีส่ ามารถติดต่อสอื่ สารกันไดก้ ับ
แหล่งทเ่ี ชอื่ มต่อเข้าด้วยกนั สามารถสืบคน้ ข้อมูลไดแ้ ละมีสถาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทัว่ โลกไดเ้ ช่ือม
94
เครือขา่ ยร่วมกัน จึงเป็นแหล่งทจี่ ะสืบคน้ ข้อมูลเพ่ือนำมาศึกษาหาความร้ไู ด้ การนำอินเทอร์เนใ็ ช้งานเครอื ขา่ ย
อนิ เทอร์เนต็ ทางการศึกษา ดังนี้
1. การใช้เครือข่ายเพ่อื การติดตอ่ ส่อื สาร เปน็ การตดิ ต่อระหวา่ งผเู้ รียนกับผูส้ อน เพอ่ื ส่งรายงาน
การบา้ น วทิ ยานพิ นธ์ ในรูปแบบแฟม้ ข้อมลู การเปน็ สมาชิกกลมุ่ สนทนาเพ่ือเปน็ เวทแี ลกเปล่ยี นความคดิ เหน็
เผยแพร่ผลงานวิจัย ช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกันทางด้านวิชาการ และแจ้งข่าวความเคลือ่ นไหวทางวชิ าการ
2. การใชเ้ ครอื ขา่ ยเพอื่ การสืบคน้ ขอ้ มลู ซึ่งผู้เรยี น นักวิจัย และ ผสู้ อนสามารถสืบคน้ จากฐานข้อมลู
ทางการศึกษา และ Online Library Catalog ของหอ้ งสมุดตา่ ง ๆ ท่ีเชือ่ มโยงในอนิ เทอร์เน็ตจากประเทศใน
ทวปี ตา่ ง ๆ ทว่ั โลก
3. การใชเ้ ครือขา่ ยเพอ่ื การสอน หรอื การสอนทางไกลโดยผา่ นเครอื ข่าย โดยเปดิ เปน็ หลักสตู รการสอน
ในระดับปริญญาและในแบบประกาศนียบัตร เรียกวา่ Online Program ซ่ึงผูเ้ รียนสามารถสมคั รและเรียนผ่าน
เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต ส่วนกิจกรรมการเรยี นการสอน เอกสารและการตดิ ตอ่ ตา่ ง ๆ อยู่ในรปู ของแฟม้ ขอ้ มลู
อิเล็กทรอนิกส์
3. การสบื คน้ ข้อมูลในการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง เน่ืองจากขอ้ มูลทอี่ ยู่บนเครือข่ายอนิ เตอร์เน็ต ในปจั จุบันมี
มากมายและกระจัดกระจายอยตู่ ามที่ต่างๆ ดังน้นั ผูใ้ ชอ้ ินเตอรเ์ น็ตจงึ จำเป็นต้องเรียนร้วู ิธีการใชบ้ ริการ
อินเตอรเ์ นต็ และเลือกใช้ให้เหมาะสม เพอื่ การคน้ หาข้อมลู ในการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดย
สามารถใชอ้ ินเตอรเ์ นต็ ในการสบื ค้นข้อมลู ศกึ ษา ค้นคว้า และวิจยั ได้หลายวธิ ีดว้ ยกัน วิธีท่เี ปน็ ทนี่ ยิ มมากท่สี ดุ
ในปจั จุบัน คือการสบื คน้ ทางเวิลด์ไวดเ์ ว็บ เน่อื งจากสามารถรองรับข้อมูลไดห้ ลายๆ รปู แบบ และเชื่อมโยง
ขอ้ มูลท่ีเก่ียวเน่ืองกนั ให้เราไดศ้ ึกษาอยา่ งสะดวกสบาย และมซี อฟตแ์ วร์ สำหรับอา่ นข้อมูลในเว็บที่สมบูรณ์
แบบมากการค้นหาข้อมูล ในการเรียนร้ดู ้วยตนเองอย่างมีประสทิ ธภิ าพ จำเปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งมอื ชว่ ยค้น
(Search engine) ซ่งึ ซอฟตแ์ วร์สำหรับอา่ นขอ้ มลู ในเวบ็ (Web Browser) สว่ นใหญ่บรกิ ารเช่อื มตอ่ กบั
เครอ่ื งมอื เหล่าน้ไี ว้ใหแ้ ล้ว ผูใ้ ช้เพยี งแตก่ ดป่มุ สำหรับเรยี กเครือ่ งมอื น้ีขนึ้ มา พิมพ์คำ หรือขอ้ ความที่ตอ้ งการ
สืบคน้ ลงไป เครอื่ งก็จะแสดงผลการค้น โดยการแสดงช่ือของข้อมลู ท่ีเราต้องการศกึ ษา (Web Page) ซ่ึงถ้า
ตอ้ งการเข้าไปอ่าน ก็สามารถกดลงไปบนชอ่ื นนั้ ไดเ้ ลย ข้อมูลดังกลา่ วจะปรากฏบนจอไม่ว่าจะเปน็ ข้อมลู จาก
เคร่ืองคอมพิวเตอรเ์ ครื่องใดในโลกกต็ าม
8. การสืบคน้ และรบั ส่งขอ้ มลู แฟม้ ขอ้ มลู
8.1 ความหมายของการรบั -ส่งขอ้ มลู บนเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็
การรบั -ส่งข้อมลู บนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ โดยใช้จดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronic Mail) หรือที่
นยิ มเรยี กกนั วา่ อีเมล (E-Mail) หมายถึง การสื่อสารหรอื การสง่ ข้อความจากคอมพวิ เตอรเ์ ครอ่ื งหนึ่งผ่านไปเข้า
เครอ่ื งคอมพวิ เตอรอ์ ีกเครื่องหน่งึ โดยสง่ ผ่านทางระบบเครือขา่ ย (Network) ผู้ส่งจะต้องมีเลขทอ่ี ยู่ (E-mail
Address) ของผ้รู ับ และผรู้ บั สามารถเปิดคอมพิวเตอรเ์ รียกขา่ วสารนน้ั ออกมาดูเมอื่ ใดก็ได้ โดยทัว่ ไปจัดว่าเปน็
งานสว่ นหน่งึ ของสำนกั งานอัตโนมัติ (Office Automatic) ซง่ึ ปัจจบุ นั ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
8.2 ประโยชนข์ องการรับ-ส่งข้อมูลทางจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์
95
การรับ-ส่งขอ้ มลู ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ถอื วา่ เปน็ สว่ นสำคญั ในการส่อื สารบนเครือข่าย
อินเทอรเ์ นต็ ท่ีนยิ มใช้มากท่ีสุด เพราะมีประโยชน์มากมาย ดังน้ี
1. ทำใหก้ ารติดต่อส่ือสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเรว็ ระยะทางไม่เปน็ อปุ สรรคสำหรับอเี มล
ในทุกแห่งทั่วโลกท่ีมีเครอื ข่ายคอมพิวเตอรเ์ ชื่อมต่อถึงกนั ได้ สามารถเขา้ ไปสถานท่เี หล่าน้นั ไดท้ ุกที่ ทำให้ผคู้ น
ทวั่ โลกติดต่อถงึ กนั ไดท้ นั ที ผู้รับสามารถจะรับข่าวสารจากอเี มลได้ทันทที ่ีผู้ส่งจดหมายสง่ ขอ้ มูลผ่านทาง
คอมพวิ เตอรเ์ สร็จสิ้น
2. สามารถส่งจดหมายถงึ ผรู้ บั ทีต่ ้องการได้ทกุ เวลา แม้ผู้รับจะไมไ่ ดอ้ ย่ทู ่ีหนา้ จอคอมพิวเตอร์ก็
ตามจดหมายจะถกู เกบ็ ไว้ในตูจ้ ดหมายของคอมพิวเตอรแ์ ละเปน็ ส่วนตวั จนกวา่ เจา้ ของจดหมายท่มี ีรหัสผ่านจะ
เปิดตูจ้ ดหมายของตนเองอา่ น
3. สามารถสง่ จดหมายถงึ ผรู้ ับหลายๆคนไดใ้ นเวลาเดยี วกนั โดยไม่ตอ้ งเสยี เวลาส่งให้ทีละคน
กรณนี ้จี ะใช้กับจดหมายทีเ่ ป็นข้อความเดียวกัน เช่น หนังสือเวยี นแจง้ ข่าวให้สมาชกิ ในกลุ่มทราบหรือเปน็ การ
นดั หมายระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เป็นตน้
4. ชว่ ยประหยดั เวลาในการเดินทางไปส่งจดหมายท่ีตู้ไปรษณีย์หรอื ทท่ี ำการไปรษณยี ์ ทำให้
ประหยัดคา่ ใช้จ่ายในการส่งเนือ่ งจากไมต่ ้องคำนงึ ถงึ ปริมาณน้ำหนักและระยะทางของจดหมายเหมอื นกับการ
สง่ ทางไปรษณยี ธ์ รรมดา
5. ผู้รบั จดหมายสามารถเรยี กอา่ นจดหมายได้ทุกเวลาตามสะดวก ซง่ึ จะทำใหท้ ราบว่าใน
ตูจ้ ดหมายของผูร้ บั มจี ดหมายกีฉ่ บับ มีจดหมายที่อ่านแล้วหรือยงั ไม่ไดเ้ รยี กอ่านกีฉ่ บบั เมอ่ื อ่านจดหมายฉบบั
ใดแลว้ หากตอ้ งการลบทงิ้ กส็ ามารถเกบ็ ขอ้ ความไวใ้ นรปู ของแฟม้ ขอ้ มลู ได้ หรือจะพมิ พ์ออกมาลงกระดาษกไ็ ด้
เช่นกัน
6. สามารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมลู (Transferring Flies) แนบไปกบั จดหมายถงึ ผู้รบั ได้ ทำให้
การแลกเปล่ยี นข่าวสารเป็นไปได้โดยสะดวก รวดเร็ว ทนั เวลาและทันเหตกุ ารณ์ จากความสำคญั ของอีเมลท่ี
สามารถอำนวยประโยชนใ์ ห้กับผู้ใช้อยา่ งคมุ้ ค่านี้ ทำให้ในปัจจบุ นั อีเมลกลายเป็นส่วนหนึง่ ของสำนกั งานทุก
แห่งท่ัวโลก ทีท่ ำให้สมาชกิ ในชุมชนโลกสามารถติดตอ่ กนั ผ่านทางคอมพวิ เตอร์ได้ในทุกท่ีทุกเวลา
9. สารสนเทศเพอื่ ใช้ในการจัดการเรยี นรู้
9.1 ความหมายและความสำคญั ในการนำ ICT มาใช้ในการเรียนรู้
โดยความเปน็ จรงิ แล้ว ครูเราใช้ ICT จัดการเรยี นการสอนมานานแล้ว เพียงแต่ยังใช้รูปแบบเดมิ ซง่ึ
หากมีการพฒั นาโดยใชเ้ ทคโนโลยที ี่เกี่ยวข้องตงั้ แตก่ ารรวบรวมการจัดเกบ็ ข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์
การสรา้ งงาน การสือ่ สารขอ้ มลู ฯลฯ ซง่ึ รวมไปถงึ การให้บรกิ าร การใช้ และการดูแลข้อมูล จะทำให้การจัดการ
เรยี นการสอนมปี ระสทิ ธิภาพมากข้ึน นักเรียนสามารถคน้ ควา้ หาความรู้จากแหลง่ ความรทู้ ห่ี ลากหลายมาก
ยิ่งขึน้
9.2 เปา้ หมายของการใช้ ICT เพ่อื การเรยี นรู้
– เป็นเครอื่ งมือช่วยเพ่มิ ผลงาน และการติดต่อสื่อสาร