The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน-นางสาวซูเฟียรี-เจ๊ะมะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 406213012, 2023-01-29 22:37:16

วิจัยในชั้นเรียน-นางสาวซูเฟียรี-เจ๊ะมะ

วิจัยในชั้นเรียน-นางสาวซูเฟียรี-เจ๊ะมะ

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการท างานกลุ่มของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 นางสาวซูเฟียรี เจ๊ะมะ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนใน สถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรีสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ชื่อเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ผู้วิจัย นางสาวซูเฟียรี เจ๊ะมะ สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะกรรมการที่ปรึกษา ..............................................................กรรมการ (อ.ดร.โรซวรรณา เซฟโฆลาม) อาจารย์นิเทศก์ประจ าหลักสูตร ..............................................................กรรมการ (นางสาวพารีด๊ะห์ มายิ) ครูพี่เลี้ยง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565


ก ชื่อเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้าน ธารน้ าผึ้ง ผู้ศึกษา นางสาวซูเฟียรี เจ๊ะมะ สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการท างานกลุ่มโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธาร น้ าผึ้ง จังหวัดยะลา จ านวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) แบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์มีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์มีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มอยู่ในระดับมาก Title The effect of cooperative learning management techniques (STAD) in combination with online games. Towards academic achievement and group work skills of 2nd graders, Banthannampeung School.


ข Author Ms. Sufiari Chema Major General Sciences University Yala Rajabhat Academic Year 2022 Abstract The objective of this research is to 1) To compare science achievement before and after classes using cooperative learning management with techniques. (STAD) in conjunction with online games. 2) To study group work process skills using cooperative learning management with techniques. (STAD) in conjunction with online games. The target group used in the research was 15 second graders at Banthannampeung School, Yala Province. Tools used to analyze data include: 1) Academic Achievement Test 2) Group work process skills measurements The statistics used to analyze the data include the standard skewer value, and the test in case the sample is not independent. The results showed. 1) Students who learn through cooperative learning ( STAD) in conjunction with online games. The average score of post-school achievement was statistically significantly higher than pre-school at .05. 2) Students who learn through cooperative technical learning (STAD) in conjunction with online games. Have a high level of group work process skills.


ค กิตติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิชาวิทยาศาสตร์ ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตรของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ขอขอบพระคุณคณาจารย์ประจ าหลักสูตร ครูพี่เลี้ยง ที่มอบความรู้ตลอดจนให้ค าแนะน าและ ข้อคิดเห็นต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการท าวิจัย อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ที่ เกิดขึ้นระหว่างการด าเนินงานวิจัยอีกด้วย ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจและทุ่มเทของอาจารย์ ตลอดจนผู้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและให้ความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ในการท าวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ซูเฟียรี เจ๊ะมะ กันยายน 2565


ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง จ สารบัญภาพ ฉ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ขอบเขตการวิจัย 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 วิธีด าเนินการวิจัย 27 ผลการวิจัย 35 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 37 บรรณานุกรม 41 ภาคผนวก 47 ประวัติผู้วิจัย 115


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1. ค่าเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 36 2. ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 37 3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 10 4. ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ 105 5. ค่าดัชนีความสอดคล้องหรือค่า IOC ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 108 6. ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบประเมินทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 109 7. ค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 110 8. ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 111


ฉ สารบัญภาพ หน้า 1. ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 114


1 1. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้อง กับทุกคนทั้งในชีวิตประจ าวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีในการผลิตเครื่องมือ เครื่องใช้เพื่ออ านวยความสะดวกในชีวิตและการท างาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนา วิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส าคัญในการค้นคว้า มี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมี ประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ (ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551) ดังนั้น ทุกคนจึง จ าเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและ เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถน าความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และมีคุณธรรม สถานศึกษาต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็นท าเป็น (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552) รูปแบบวิธีการเรียนการสอนส าหรับการศึกษายุคใหม่มีความแตกต่างไปจากการศึกษายุค ก่อนเป็นอย่างมากซึ่งในสมัยก่อนจะเน้นที่ตัวครู แต่ระบบการศึกษายุคใหม่จะเน้นความส าคัญที่ตัว นักเรียนเป็นหลัก ดังนั้นรูปแบบวิธีการเรียนการสอนใหม่จึงแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งน าไปสู่กระบวนการ เรียนการสอนที่หลากหลาย เช่น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบและวิธีการต่าง ๆ เช่น การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การสอนแบบร่วมมือ การสอนแบบห้องเรียน กลับด้าน เป็นต้น ซึ่งส่งผลต่อครูเป็นอย่างมากที่จะต้องเลือกรูปแบบวิธีการสอนให้เหมาะสมกับกลุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่ม และจ าเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ประกอบกับการท าความเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของนักเรียน โดยส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ไว้ว่าเป็นวิธีการเรียนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้นักเรียน ได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละคนจะต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ รวมทั้งการเป็น ก าลังใจแก่กันและกัน สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองเท่านั้น แต่จะต้อง รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม เพราะความส าเร็จของแต่ละบุคคลนั้นคือ ความส าเร็จของกลุ่ม ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) เป็นการจัดการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ซึ่งเป็นเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญช่วยให้นักเรียนมีการเรียนรู้แบบปรับตัวพร้อม ทั้งมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคน อีกทั้งเกิดความสนุกสนานในการเรียน เพราะมีกิจกรรมที่ต้องร่วมมือ กันปฏิบัติท าให้นักเรียนเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น (แคทลียา ใจมูล, 2550)


2 Salvin (1995) ได้กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายชนิด ได้แก่ เทคนิค การแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน (STAD) เทคนิคการเรียนรู้แบบย้ายกลุ่มการแข่งขัน (TGT) เทคนิคการเรียนรู้แบบกลุ่มการต่อเนื่อง (Jigsaw) เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ และเทคนิค การเรียนรู้แบบสืบสวน (GI) เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิค STAD (Student Teams Achievement Divisions) เป็นเทคนิคหนึ่งของการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ ที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี โดยมีหลักการจัดกิจกรรมที่ส าคัญดังนี้ คือ แบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีนักเรียนที่มีความสามารถทางการเรียนแตกต่างกัน มีเพศ แตกต่างกัน การจัดกิจกรรมจะเริ่มต้นจากครูน าเสนอบทเรียนแล้ว จึงให้นักเรียนท างานเป็นทีมหรือ เป็นกลุ่ม และเมื่อมั่นใจว่านักเรียนทุกกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนจึงท าการทดสอบย่อย โดยที่ ไม่ให้นักเรียนปรึกษาหารือกัน คะแนนจากการท าแบบทดสอบย่อยของนักเรียนแต่ละคนจะถูก เปรียบเทียบกับคะแนนฐาน จากนั้นจึงน ามาคิดเป็นคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่ท าคะแนนได้ดี ที่สุดจะได้รับใบประกาศหรือรางวัล กิจกรรมดังกล่าวข้างต้นจะด าเนินเป็นวงจร โดยเริ่มต้นตั้งแต่ครู น าเสนอบทเรียน การท าแบบฝึกหัดเป็นกลุ่ม และการท าแบบทดสอบย่อย ดังนั้นสมาชิกในกลุ่ม จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการท างานที่ได้รับมอบหมายร่วมกัน และมีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ บรรลุผลส าเร็จร่วมกัน กลุ่มจะประสบความส าเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของสมาชิกแต่ละคน ในกลุ่ม และการเรียนรู้ที่ช่วยเหลือร่วมมือกันเป็นส าคัญ วิธีการนี้จึงเหมาะในการน ามาใช้สร้าง แรงจูงใจให้กับเด็กให้มีความกระตือรือร้นในการเรียนมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันเกมถือเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเด็กและวัยรุ่นมากกว่าสื่ออื่นๆ เนื่องจากเป็นสื่อที่หาง่าย ให้ความสนุกสนาน และดูเหมือนจะเป็นสื่อที่พ่อแม่ ผู้ปกครองใช้เป็น เครื่องมือในการช่วยเลี้ยงเด็ก เนื่องจากคิดว่าเกมเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ไปกับ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นเกม ยังท าให้พ่อแม่มีเวลาส่วนตัว มากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องมาคอยอยู่กับลูกตลอดเวลา และมองไม่เห็นอันตรายที่แฝงมากับเกมประเภท ต่าง ๆ (สุภาวดี เจริญวานิช, 2557) จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะน ากิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ ด้วย เทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ซึ่งเป็นเทคนิคที่ส าคัญ เพื่อส่งเสริมให้ นักเรียนมีความสามัคคี รู้จักท างานเป็นกลุ่ม สามารถท างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข อีกทั้งยัง รู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเองได้ น ามาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์และทักษะ กระบวนการท างานกลุ่มทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ในรายวิชา วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง


3 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการท างานกลุ่มโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ 3. ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ก าหนดขอบเขตการวิจัยดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้าน ธารน้ าผึ้ง สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 1 จ านวน 15 คน 2. ตัวแปรการศึกษา 2.1 ตัวแปรอิสระ คือ 1) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 2) เกมออนไลน์ 2.2 ตัวแปรตาม คือ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 3. ขอบเขตเนื้อหาและระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย 3.1 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยประกอบด้วยเนื้อหาย่อยต่อไปนี้ 3.1.1 สมบัติการดูดซับน้ าของวัสดุ 3.1.2 สมบัติของวัสดุที่ได้จากการผสมวัสดุ 3.1.3 การใช้ประโยชน์จากวัสดุ 3.2 ระยะเวลาการวิจัยครั้งนี้ ด าเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลา ในการจัดการเรียนรู้ 10 ชั่วโมง รวม 4 สัปดาห์ 4. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ 2. นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ความสนิทสนมกับเพื่อน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีนักเรียนที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์มีผลสมัฤทธิ์ทางการเรยีน


4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และมีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มที่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในรายวิชาอื่น ๆ ได้ 3. เป็นแนวทางส าหรับครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ใน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) ไปปรับใช้ในกระบวนการเรียนการสอนของตนเอง เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น 5. นิยามศัพท์เฉพาะ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) หมายถึง การจัดกิจกรรมที่เน้นการท า กิจกรรมเป็นกลุ่มขนาดเล็ก มีสมาชิก 4-6 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกันอยู่ในแต่ละกลุ่ม ความส าเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ดังนั้น ทุกคนในกลุ่มจะต้องมีความสามัคคีและช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน นอกจาก คะแนนที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือกันแล้วยังมีการประเมินหรือ การทดสอบของแต่ละบุคคล ซึ่งคะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะน ามารวมกันและหาค่าเฉลี่ยเป็นคะแนน กลุ่ม นักเรียนที่ท าคะแนนได้มากที่สุดหรือกลุ่มใดที่มีคะแนนมากที่สุดก็จะได้รับการเสริมแรงจากครู ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดและประเมินผลในด้านความรู้ ความเข้าใจ การ น าไปใช้ และทักษะกระบวนการต่าง ๆ โดยบ่งชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนวิชานั้น ๆ ซึ่ง เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะ เป็นแบบปรนัยเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ เกมออนไลน์หมายถึง เกม หรือ วิดีโอเกมที่ต้องเล่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่ว่าจะ เป็นทั้งที่บ้าน และสถานศึกษา เกมออนไลน์สามารถเลือกตัวเล่นและผู้เล่น สามารถปรับแต่งตัวละคร พูดคุย สื่อสารกับเพื่อนที่อยู่ในเกมได้ด้วย4 พฤติกรรมการเล่นเกม หมายถึง ลักษณะของกิจกรรมของ มนุษย์เพื่อประโยชน์อย่างใด อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อความสนุกสนานบันเทิง เพื่อฝึกทักษะเรียนรู้ เป็นต้น และในบางครั้งอาจใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาได้


5 6. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการท างานกลุ่ม เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัย ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้น าเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 1.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ 1.2 รูปแบบการจัดการเรียนแบบร่วมมือ 1.3 บทบาทหน้าที่ของครูและนักเรียนในการเรียนแบบร่วมมือ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 2.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 2.2 องค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD 2.3 ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 2.4 ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 2.5 ข้อเสียของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2 การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3 การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 4.1 ความหมายของทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 4.2 องค์ประกอบของทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 4.3 หลักการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการท างานกลุ่ม 4.4 การประเมินทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 5. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเกมออนไลน์ 5.1 ความหมายของเกมออนไลน์ 5.2 ประเภทของเกมออนไลน์ 5.3 ประโยชน์ของเกมออนไลน์ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.1 งานวิจัยในประเทศ 6.2 งานวิจัยต่างประเทศ


6 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) 1.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ จอห์นสัน (Johnson, 1994) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการจัดการเรียนการสอน ที่ให้ นักเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณ 4 คน สมาชิกในแต่ละกลุ่มจะมีความสามารถทางการ เรียนแตกต่างกันคือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน สมาชิกในกลุ่มจะท างานร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและ กันเพื่อให้กลุ่มของตนประสบผลส าเร็จ สลาวิน (Slavin, 1995) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการเรียนรู้ที่ให้นักเรียน ท างานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มมีสมาชิกประมาณ 4 คน และมีความสามารถในการเรียน ต่างกัน สมาชิกในกลุ่มมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รับฟังความคิดเห็น และช่วยเพื่อนสมาชิกให้เกิด การเรียนรู้ กรมวิชาการ (2544) ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการ สอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมนักเรียนให้ท างานร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมี ความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกในกลุ่มประสบความส าเร็จตาม เป้าหมายที่ก าหนด สมบัติ การจนารักพงค์ (2550) ได้กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือว่าเป็นการจัด กิจกรรมการ เรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น กลุ่มเล็ก ๆ 4-5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน ท างานร่วมกันเพื่อเป้าหมายกลุ่ม สมาชิกมี ความสัมพันธ์กันใน ทางบวก มีปฏิสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ผลงานของ กลุ่มขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ความส าเร็จของแต่ละคนคือความส าเร็จของกลุ่ม ความส าเร็จของกลุ่มคือความส าเร็จของทุกคน สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2553) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่าเป็นวิธีการ เรียนที่มีการจัดกลุ่มการท างานเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียน การเรียน แบบร่วมมือไม่ใช่วิธีการจัดนักเรียนเข้ากลุ่มรวมกันแบบธรรมดา แต่เป็นการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้าง ที่ชัดเจน กล่าวคือสมาชิกแต่ละคนในทีมจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้ และสมาชิกทุกคนจะ ได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม ดังนั้นการ จัดนักเรียนเข้ากลุ่มท างานโดยทั่วไป จึงอาจไม่ใช่การเรียนแบบร่วมมือเพราะมักพบว่านักเรียนที่เก่ง เท่านั้นจะเป็นผู้จัดการให้เกิดผลงานในทีม สมาชิกอื่น ๆ อาจไม่มีโอกาสในการแสดงออกซึ่งการเรียนรู้ จากการศึกษาความหมายของการเรียนแบบร่วมมือดังกล่าว สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบ ร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยสมาชิกในกลุ่ม มี


7 ความสามารถทางการเรียนแตกต่างกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความส าเร็จของกลุ่มคือความส าเร็จของทุกคน 1.2 รูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือ Slavin (1995) ได้กล่าวถึง รูปแบบของการเรียนแบบร่วมมือที่ส าคัญไว้ดังนี้ 2.1 Student Teams Achievement Division หรือ STAD เป็นการเรียนที่ครู เป็นผู้ก าหนดบทเรียนและงานของกลุ่มไว้ แล้วให้กลุ่มท างานตามที่ได้รับมอบหมาย นักเรียนเก่งช่วย สอนนักเรียนที่อ่อนกว่า และตรวจผลงานของกลุ่มให้ถูกต้องก่อนส่งครู นักเรียนท าข้อสอบแล้วน า คะแนนมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม 2.2 Teams – Games – Tournament (TGT) จัดกลุ่มเช่นเดียวกับ STAD แต่ ไม่มีการสอบทุกสัปดาห์ แต่ละทีมมีความสามารถเท่ากันแข่งขันกันตอบปัญหา และมีการจัดกลุ่มใหม่ ทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจากความสามารถของแต่ละบุคคล 2.3 Teams Assisted Individualization (TIA) สมาชิกของกลุ่ม 4 คนมีความรู้ ต่างกันใช้ส าหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 3–6 ครูเรียกเด็กที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมา สอนความยากง่ายของเนื้อหาวิชาที่สอนแตกต่างกัน นักเรียนกลับไปยังกลุ่มของตนและต่างคนต่าง ท างานที่ได้รับมอบหมาย และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วทุกคนท าแบบฝึกหัดโดยไม่ช่วยกัน ครูให้ รางวัลแก่ทีมที่ท าคะแนนได้ดีกว่าเดิม 2.4 Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) วิธีนี้ใช้ ส าหรับทักษะอ่านเขียนและทักษะอื่น ๆ ทางภาษา สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพื้นความรู้เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากันแต่ต่างระดับความรู้กับ 2 คนแรก ครูเรียกคู่ที่มีความรู้เท่ากัน จากทุกกลุ่มมาสอน แล้วให้กลับเข้ากลุ่ม เรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอนอีกสลับกันไปจนครบ คะแนนของกลุ่มพิจารณา จากคะแนนสอบของสมาชิกในกลุ่ม 2.5 Jigsaw สมาชิกในกลุ่มมี 6 คน ความรู้ต่างระดับกัน สมาชิกแต่ละคนไป เรียนร่วมกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ ในหัวข้อที่ต่างกันออกไป แล้วทุกคนกลับมากลุ่มของตน เพื่อสอน เพื่อนในสิ่งที่ตนไปเรียนมากับสมาชิกของกลุ่มอื่น ต่อจากนั้นนักเรียนท าแบบทดสอบเพื่อประเมินผล รายบุคคล แล้วรวมคะแนนของกลุ่ม 2.6 Jigsaw II สมาชิกในกลุ่มมี 4–5 คน นักเรียนทุกคนเรียนบทเรียนเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยต่างกันใครที่สนใจหัวข้อเดียวกันไปประชุมกัน ค้นคว้า และอภิปราย แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิมของตน เพื่อสอนเพื่อนจากเรื่องที่ตนเองไปเรียนมากับ สมาชิกกลุ่มอื่น ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ท าคะแนนรวมได้ดีกว่าครั้งก่อน จะได้รับรางวัล


8 2.7 Learning Together สมาชิกในกลุ่มมี 4–5 คน ระดับความรู้ต่างกันใช้ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 2–6 ครูสอนนักเรียนทั้งชั้นแล้วนักเรียนแต่ละกลุ่มท างานตามที่ครู มอบหมายคะแนนของกลุ่มพิจารณาจากผลงานของกลุ่ม 2.8 Group Investigation สมาชิกในกลุ่มมี 2–6 คน แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อที่ ต้องการจะค้นคว้า สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานกันท าทั้งกลุ่ม เสนอผลงานหรือรายงานหน้าชั้น การให้ รางวัลหรือคะแนนให้เป็นกลุ่ม 1.3 บทบาทหน้าที่ของครูและนักเรียนในการเรียนแบบร่วมมือ ศุภวรรณ เล็กวิไล (2550) ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของครูและนักเรียนในการเรียนแบบ ร่วมมือ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ บทบาทหน้าที่ของครู 1. เป็นผู้ก าหนดวางวัตถุประสงค์ของบทเรียน 2. ตัดสินใจและเรียงล าดับเรื่องราวก่อนสอน 3. อธิบายและชี้แจงงานที่มอบหมายให้นักเรียนปฏิบัติอย่างชัดเจน 4. ควบคุมดูแลและอ านวยความสะดวกในการเรียนให้แก่นักเรียน 5. สังเกตดูพฤติกรรมของนักเรียนขณะท างานในกลุ่มร่วมกัน 6. เตรียมสื่ออุปกรณ์ที่จะช่วยในการเรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 7. สนับสนุน ช่วยเหลือ แนะน า ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ 8. สร้างเสริมให้นักเรียนเกิดความเชื่อมั่น มั่นใจตนเองและเห็นคุณค่าในตนเอง 9. ประเมินผลการเรียนของนักเรียน และกระบวนการช่วยเหลือครูว่าจะ ปฏิบัติหน้าที่ในกลุ่มได้ดีอย่างไร บทบาทของนักเรียน บทบาทของนักเรียนในการเรียนแบบร่วมมือจะแตกต่างไปจากการเรียนในแบบเดิม ซึ่งมีครูเป็นผู้ให้นักเรียนเป็นผู้รับความรู้จากครู ปฏิบัติตามที่ครูสั่งเป็นส่วนใหญ่ ในการเรียนแบบ ร่วมมือนักเรียนจะมีบทบาท ดังนี้ 1. เป็นผู้แสวงหา ค้นคว้าศึกษา รับผิดชอบส าหรับการเรียนรู้ของตนเอง และ ของกลุ่ม 2. ให้ความร่วมมือกับเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม 3. ช่วยเหลือ ส่งเสริมการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน 4. รับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 5. ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น 6. รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่ม


9 7. มีทักษะในการสื่อสาร 8. มีทักษะในการท างานกลุ่ม 9. มีทักษะทางสังคม 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 2.1 ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) คิดขึ้นโดย โรเบอร์ต อี สลาวิน (Robert E. Slavin) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอพกินส์ (Johns Hopkins University) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการจัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ได้มีนักการศึกษาหลายท่านให้ ความหมาย ดังนี้ คณะอนุกรรมการปฎิรูปการเรียนรู้แผนกวิจัย กระทรวงศึกษาธิการ (2544) กล่าวว่า การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ว่าหมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนแบบแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ เข้ามาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนตามแนวการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. โดยจัด นักเรียนเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน และให้มีจ านวนนักเรียนที่มีระดับความสามารถสูง ปานกลาง ต่ า เป็นอัตราส่วน 1:2:1 หลังจากนั้นจึงท าการสอน สมรรถ เอี่ยมพานิชกุล (2554) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง โดยแบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4–5 คน คละ ความสามารถ คือ นักเรียนที่เรียนเก่ง เรียนปานกลาง และเรียนอ่อน โดยสมาชิกในกลุ่มจะได้ เรียนรู้ เนื้อหาในเรื่องที่ครูก าหนด ซึ่งสมาชิกในกลุ่มจะต้องร่วมมือและช่วยเหลือแนะน าความรู้ ให้แก่กัน จากนั้นเป็นการทดสอบรายบุคคล แล้วครูน าคะแนนทดสอบของสมาชิกแต่ละคนมารวมกันเป็น คะแนนกลุ่ม ครูผู้สอนจะใช้เทคนิคการเสริมแรงด้วยการให้รางวัล ธีรวัฒน์ ผิวขม ชุติมา วัฒนะศีรี และราชันย์ บุญธิมา (2556) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ที่ จัดแบ่งนักเรียนเป็นทีมทีมละ 4 คน ประกอบด้วยสมาชิกระดับความสามารถสูง ปานกลาง และต่ า คละกันในอัตราส่วน 1:2:1 สมาชิกในทีมเรียนรู้ท าความเข้าใจบทเรียน และท ากิจกรรมกลุ่มร่วมกัน มี การปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความส าเร็จของทีม หลังจาก นั้นท าแบบทดสอบเป็นรายบุคคล แต่จะเอาคะแนนของสมาชิกทั้งหมดในทีมมาท าการเฉลี่ยเป็น คะแนนของทีม ดังนั้น สมาชิกต้องมีการช่วยเหลือกันและมีความรับผิดขอบท าหน้าที่ตนเองให้ดีเพื่อ เป้าหมายที่เป็นทีมและหากทีมใดท าคะแนนได้สูงขึ้นครูให้การเสริมแรงโดยการกล่าวค าชมเชย หรือ มอบรางวัลเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือกันในการเรียนรู้ จากการศึกษาของนักการศึกษาหลายท่าน สรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นการท ากิจกรรมเป็นกลุ่มขนาดเล็ก มีสมาชิก 4-6 คน ที่มี ความสามารถแตกต่างกันอยู่ในแต่ละกลุ่ม ความส าเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ดังนั้น ทุกคน


10 ในกลุ่มจะต้องมีความสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นอกจาก คะแนนที่สมาชิกทุกคนในกลุ่ม จะต้องช่วยเหลือกันแล้วยังมีการประเมินหรือการทดสอบของแต่ละบุคคล ซึ่งคะแนนที่ได้ของแต่ละ คนจะน ามารวมกันและหาค่าเฉลี่ยเป็นคะแนนกลุ่มนักเรียนที่ท าคะแนนได้มากที่สุดหรือกลุ่มใดที่มี คะแนนมากที่สุดก็จะได้รับการเสริมแรงจากครู 2.2 องค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เบญจพร ปัณฑพลังกูร (2551) กล่าวว่า ส่วนประกอบพื้นฐานที่ส าคัญต่อการเรียนแบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) มีอยู่ 2 ส่วน คือ 1. ทีมหรือกลุ่ม (Student Teams) 2. กลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Division) ส่วนประกอบทั้งสองส่วนมีความส าคัญต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้ 1. ทีมหรือกลุ่ม (Student Teams) นักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) ในแต่ละทีมมีสมาชิก 4–5 คน ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูง ปานกลาง และต่ า นักเรียนที่มีผิวขาว ผิวด า ต่างเชื้อชาติและต่างเพศ สมาชิกในแต่ละทีมต้อง ร่วมมือกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านการเรียน เพื่อที่จะให้แต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหาที่เรียนในแต่ละทีมต้องเตรียมสมาชิกในทีมของตนให้พร้อมส าหรับการทดสอบรายบุคคลที่ จะมีขึ้นประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง คะแนนที่แต่ละคนท าได้ถูกแปลงให้เป็นคะแนนของกลุ่มโดยใช้ ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Division) จากนั้นน าคะแนนที่ได้มารวมกันเพื่อเป็นคะแนนของ ทีมในแต่ละสัปดาห์ มีการประกาศผลทีมที่ได้คะแนนสูงสุดในลักษณะของจดหมายข่าว (Newsletter) สมาชิกภายในทีมร่วมมือกันในการท างานเพื่อที่แข่งขันกับทีมอื่น 2. กลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Division) ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์เป็นวิถีทางที่ช่วยให้เด็กทุกระดับความสามารถทางการ เรียน สามารถท าคะแนนได้สูงสุดเต็มตามความสามารถของตนเอง ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์เริ่มจากการน า คะแนนทดสอบของครั้งที่ผ่านมาของนักเรียนทุกคนมาเรียงล าดับจากคะแนนมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด นักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุด 6 คนแรกถือได้ว่าเป็นกลุ่มสัมฤทธิ์ที่ 1 (Division 1) นักเรียนที่ได้คะแนน รองลงไปอีก 6 คนถือว่าเป็นกลุ่มสัมฤทธิ์ที่ 2 (Division 2) เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์นี้ใช้ ส าหรับการแปลงคะแนนการทดสอบที่นักเรียนแต่ละคนได้รับจากการทดสอบแต่ละครั้งให้เป็น คะแนนของทีมของตน โดยการแปลงคะแนนนี้พิจารณาจากคะแนนของนักเรียนในแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ (Achievement Division) โดยนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดในแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ได้รับคะแนนส าหรับทีม ของตนอยู่ 8 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนเป็นอันดับสองของแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ได้คะแนนส าหรับทีม ของตนเท่ากับ 6 คะแนน ส่วนนักเรียนที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 3 ของแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ได้คะแนน


11 ส าหรับทีมของตนเท่ากับ 4 คะแนนและนักเรียนที่ได้อันดับที่ 4, 5 และ 6 ของแต่ละกลุ่มสัมฤทธิ์ได้รับ คะแนนส าหรับทีมของตนเท่ากับ 2 คะแนน การแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มสัมฤทธิ์นี้ นักเรียนที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ก็แข่งขันกันกับนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงเช่นเดียวกัน นักเรียน ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับปานกลางก็แข่งขันกับนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับ ปานกลาง ส่วนนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ าก็แข่งขันกับนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่ าเช่นเดียวกัน วิธีการเช่นนี้ พบว่า นักเรียนที่มีความสามารถใกล้เคียงกันแข่งขันกันเท่านั้น การ แข่งขันไม่ใช่การแข่งขันระหว่างนักเรียนทุกคนในห้องเรียนเดียวกัน ดังนั้นการน าระบบกลุ่มสัมฤทธิ์ เข้ามาใช้ในการเรียนการสอน จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่กระตุ้นให้นักเรียนในแต่ละระดับความสามารถได้ กระท ากิจกรรมเต็มที่ตามความสามารถของตนเอง นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขซึ่งเป็นสิ่งจ าเป็นที่ครูต้องตระหนักถึง เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนที่ได้รับการเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ ศิริวรรณ วงศ์สวัสดิ์ (2553) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) มีเงื่อนไขที่ จ าเป็นต่อครู เพราะเป็นสิ่งที่ครูต้องตระหนักถึงอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียน มี 2 ประการ คือ 1. เป้าหมายของทีม (Group Goal) เงื่อนไขนี้เป็นสิ่งจ าเป็นอย่างยิ่งส าหรับ นักเรียน ทั้งนี้เพราะทีมจ าเป็นต้องให้สมาชิกทุกคนในทีมได้ทราบเป้าหมายของทีมในการร่วมมือกัน ท างาน ถ้าปราศจากเงื่อนไขข้อนี้งานจะส าเร็จไม่ได้เลย 2. ความรับผิดชอบต่อตนเอง (Individual Accountability) สมาชิกในทีมทุก คนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองเท่า ๆ กับรับผิดชอบต่อทีม กล่าวคือ ทีมจะได้รับการชมเชยหรือ ได้รับคะแนน ต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากคะแนนรายบุคคลของสมาชิกในทีม ซึ่งน าไปแปลงเป็น คะแนนของทีมโดยใช้ระบบ "กลุ่มสัมฤทธิ์" นั่นเอง ทั้งสองเงื่อนไขนี้มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กัน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โดยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่ม คละผลสัมฤทธิ์ กล่าวคือ เป้าหมายของทีมเป็นสิ่งที่จะท าให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจที่ช่วยเหลือสมาชิก คนอื่น ๆ ในทีมให้เรียนรู้ได้เหมือนตน ถ้าปราศจากเป้าหมายของทีมนักเรียนก็ท างานผิดจุดประสงค์ ที่ตั้งไว้ ดังนั้น นักเรียนจึงต้องทราบเป้าหมายของทีมเพื่อความส าเร็จในการเรียน ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของทีมช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นความสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ ในการตั้งค าถามถามครู ซึ่งถ้า ปราศจากข้อนี้นักเรียนจะไม่กล้าถาม ในขณะเดียวกันถ้าปราศจากความรับผิดชอบต่อตนเองของ สมาชิกในทีมนั่น คือหมายความว่าสมาชิก 2 หรือ 3 คนภายในทีมเท่านั้นที่ต้องท างานเองทั้งหมด ส่วนที่เหลือไม่ลงปฏิบัติงานกับเพื่อนในทีม และไม่ให้ความร่วมมือ อันเป็นสาเหตุให้การเรียนแบบ ร่วมมือโดยเทคนิค (STAD) ประสบความล้มเหลวได้ในที่สุด


12 2.3 ขั้นตอนของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) การเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เป็นรูปแบบการสอนแบบร่วมมือที่ Robert Slavin และคณะได้พัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดและใช้กันแพร่หลายที่สุด เหมาะส าหรับครูที่เลือกใช้ รูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ (Slavin, 1990) ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค แบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) มีล าดับขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นน าเสนอบทเรียน (Class Presentations) ครูเป็นผู้สอนความรู้แก่นักเรียนทั้ง ชั้นก่อน โดยใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบในการสอนเพื่อให้นักเรียนมีความสนใจและตั้งใจเรียน 2. ขั้นท างานร่วมกันเป็นทีม (Teams) แต่ละทีมประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 5 คน มีระดับความสามารถสูง ปานกลาง และต่ า คละกัน หน้าที่ส าคัญของทีมก็คือการปรึกษาหารือ อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยกันศึกษาหาความรู้ แก้ปัญหา ร่วมกันการท างานเป็นทีม นับเป็นหัวใจของการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) เน้นให้สมาชิก รับผิดชอบ การเรียนของตนให้ดีที่สุดเพื่อความส าเร็จของทีม นอกจากนี้ การท างานเป็นทีมท าให้ นักเรียนมีความผูกพันซึ่งกันและกัน มีการยกย่องให้ความเคารพและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและ กัน ตลอดจนก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อน ๆ ทีมอื่น 3. ขั้นการทดสอบย่อย (Quizzes) เมื่อจบบทเรียนแต่ละบทครูให้นักเรียนท าแบบ ทดสอดสั้น ๆ โดยให้นักเรียนท าเป็นรายบุคคลช่วยเหลือกันไม่ได้ การทดสอบย่อยนี้ช่วยในการ พิจารณาว่า นักเรียนมีการปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่ 4. ขั้นปรับปรุงคะแนน (Improvement Scores) ครูตรวจผลการสอบของนักเรียน พิจารณาผลเป็นคะแนนรายบุคคลและคะแนนเฉลี่ยของทีม ขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนแต่ละคน ประสบผลส าเร็จ โดยการปรับปรุงการเรียนของตนให้ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อท าให้คะแนนในทีมของตนเอง สูงขึ้นด้วย 5. ขั้นสร้างความประทับใจ (Team Recognition) ครูให้รางวัลโดยการกล่าวค า ชมเชยหรือให้คะแนนพิเศษ หรือมอบใบประกาศนียบัตรยกย่องชมเชย ส าหรับทีมที่ท าคะแนนเฉลี่ยได้ สูงขึ้นกว่าครั้งก่อน วิธีนี้เป็นการเสริมแรงให้นักเรียน การเสริมแรงเป็นสิ่งส าคัญในการกระตุ้นให้ นักเรียนเกิดความประทับใจ และสนใจเรียนยิ่งขึ้น การเสริมแรงตามหลักการของสกินเนอร์ (Skinner) มีทั้งการเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) และการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) การเสริมแรง ทางบวก เช่น การให้รางวัล การกล่าวค าชมเชย หรือการให้คะแนนพิเศษ เป็นต้น ส่วนการเสริมแรง ทางลบ เช่น การลงโทษ การตัดคะแนน การกล่าวค าต าหนิ ในการเรียนการสอนครูใช้การเสริมแรง ทั้งสองทาง โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์


13 2.4 ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) สมรรถ เอี่ยมพานิชกุล (2554) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เป็นการจัดกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ ดังนี้ 1. ช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ นักเรียนได้ฝึกความเป็นประชาธิปไตย รับฟัง ความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ฝึกการอยู่ร่วมกัน 2. ส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ท าให้นักเรียนรู้จักการใช้ เหตุผลและเกิดการช่วยเหลือกันในกลุ่ม 3. ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเองและกลุ่ม ค านึงถึง ความส าเร็จของกลุ่ม 4. สร้างความมั่นใจในตนเองของนักเรียน เนื่องจากนักเรียนได้ร่วมมือกับกลุ่ม มีส่วน ร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ท าให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม จากครู เกิดความสุขในการอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ 5. ช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉลี่ยของนักเรียนทั้งชั้นสูงขึ้น การช่วยเหลือ กันในกลุ่มเพื่อนท าให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียนได้ดียิ่งขึ้น 2.5 ข้อเสียของการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) สุวิทย์ มูลค า และอรทัย มูลค า (2545) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) มีข้อเสีย ดังนี้ 1. นักเรียนที่ขาดความเอาใจใส่และไม่มีความรับผิดชอบจะส่งผลให้การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ของกลุ่มไม่ประสบความส าเร็จ 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะส่งผลให้ครูต้องเตรียมการดูแลเอาใจใส่ กระบวนการ เรียนรู้ของนักเรียนอย่างใกล้ชิดจึงจะเกิดผลได้ดีที่สุด ส่งผลให้ครูมีภาระงานมากขึ้น 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณะอนุกรรมการการพัฒนาการสอนและผลิตวัสดุอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ทบวงมหาวิทยาลัย (2535) กล่าวว่า เป้าหมายของวิชาวิทยาศาสตร์ไว้ พอสรุปได้ว่า วิชาวิทยาศาสตร์ มิได้มุ่งแต่เนื้อหา เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย ส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ เรียกว่า ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และส่วนที่เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์กับ เจตคติทางวิทยาศาสตร์รวมเรียกว่า กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นการวัดผล สัมฤทธิ์ ทางการเรียนนั้นจะต้องมุ่งให้นักเรียนได้รับทั้งเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์เพราะฉะนั้นค าว่า “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน” จึงประกอบไปด้วยผลสัมฤทธิ์ด้าน เนื้อหา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางด้านกระบวนการแสวงหาความรู้


14 พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2552) กล่าวว่า เป็นแบบทดสอบที่มุ่งตรวจสอบความรู้ ทักษะและ สมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ของนักเรียนว่าหลังการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ แล้วนักเรียนมีความรู้ ความสามารถ ในวิชาที่เรียนมากน้อยเพียงใด มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตามความมุ่งหมาย ของหลักสูตร ในวิชานั้น ๆ เพียงใด วรรณี โสมประยูร (2551) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ พฤติกรรมของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้ซึ่งพัฒนาขึ้นหลังจากได้รับการอบรมสั่งสอนและฝึกฝน โดยตรง ภพ เลาหไพบูลย์ (2556) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ พฤติกรรมที่แสดงออกถึง ความสามารถในการกระท าสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้จากที่ไม่เคยกระท าได้หรือกระท าได้น้อยก่อนที่จะมีการ เรียนรู้ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ ประหยัด แสงวิชัย (2544) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม หมายถึง ความรู้ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่วัดได้ 4 ด้าน ประกอบด้วยด้าน ความรู้ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สายหยุด ผดุงจันทน์ (2551) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ที่วัดจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ จากการศึกษาของนักการศึกษา สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดและ ประเมินผลในด้านความรู้ ความเข้าใจ การน าไปใช้ และทักษะกระบวนการต่าง ๆ โดยบ่งชี้ให้เห็นถึง ความสามารถในการเรียนวิชานั้น ๆ 3.2 การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ช่วยท าให้ครูรู้ว่า นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายที่ก าหนดไว้หรือไม่ มีนักการศึกษาได้ให้กล่าวถึงการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ ดังนี้ สายหยุด ผดุงจันทน์ (2551) กล่าวว่า การจ าแนกวัตถุประสงค์การเรียนการสอนซึ่ง มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ 3 ด้าน คือ 1. ด้านพุทธพิสัย (Cognitive domain) เป็นวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาการเรียน การสอนของนักเรียนด้านปัญญา คือความรู้และการคิดเรียงตามล าดับ ดังนี้ ด้านความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า 2. ด้านจิตพิสัย (Affective domain) เป็นวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาการเรียนของ นักเรียนด้านความรู้สึกตัว ความสนใจ เจตคติ ความซาบซึ้ง การปรับตัว เป็นต้น 3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor domain) เป็นวัตถุประสงค์มุ่งพัฒนาการ เรียนการสอนของนักเรียนด้านทักษะ คือ ความช านาญในการปฏิบัติและด าเนินงาน เช่น การใช้


15 อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องรวดเร็วและแม่นย าในการตัดสินคุณค่าเรื่องหนึ่งเรื่องใด นั้น การวัดหรือประเมินสิ่งนั้นอย่างดี อย่างรอบคอบเป็นสิ่งจ าเป็น การประเมินผลเป็นบทบาทส าคัญของครู ครูควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการ เรียนรู้ (Learning) การประเมินการเรียนรู้ (Assessment) และการประเมินผล (Evaluation) อย่างชัดเจน ซึ่งค ากล่าวข้างต้นมีความสัมพันธ์กัน ครูมีบทบาทส าคัญในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันการประเมินผลก็ใช้เป็นการตัดสินการเรียนรู้ ทั้งเชิง คุณภาพและเชิงปริมาณ ดังนั้น การเรียนการสอน การเรียนรู้ การประเมินการเรียนรู้ และการ ประเมินผล จึงมีความสัมพันธ์กันยากต่อการแยกจากกันอย่างเด็ดขาด ประกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้ 1. การเรียนการสอน หมายถึง เกิดการเรียนรู้ด้วยทั้งกระบวนการเรียนของ นักเรียนและกระบวนการสอนของครูร่วมกัน 2. การเรียนรู้ หมายถึง การมีความรู้ ความสามารถ ทักษะและความประพฤติ ของนักเรียน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ที่มีครูเป็นผู้จัด ประสบการณ์เรียนรู้ให้ 3. การประเมินการเรียนรู้ หมายถึง การรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ จาก กระบวนการท างาน การปฏิบัติงาน และผลผลิตที่ได้จากกระบวนการเรียนรู้ 4. การประเมินผล หมายถึง การตัดสินคุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากข้อมูลทั้งเชิง ปริมาณและคุณภาพที่ได้จากการวัดสิ่งที่ต้องการประเมิน Johnson and Johnson (1997) กล่าวว่า การประเมินการเรียนรู้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจ จ าเป็น ต้องตัดสินคุณค่าหรือประเมินผล แต่การประเมินผลหรือการตัดสินคุณค่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด จ าเป็นต้องมีการประเมินการเรียนรู้ ดังนั้นข้อมูลที่ได้จากการประเมินการเรียนรู้นั้นจึงมีความส าคัญ ถ้าการ ประเมินการเรียนรู้มีคุณภาพท าให้การประเมินมีคุณภาพ ถ้าการประเมินการเรียนรู้ผิดพลาด การตัดสินผลก็ผิดพลาด หรืออาจกล่าวว่า การตัดสินผลที่มีความเที่ยงตรงนั้นได้มาจากการประเมิน การเรียนรู้ที่มีความถูกต้องและสมบูรณ์ในการวางแผนการด าเนินการ และการจัดการประเมินการ เรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้ประเมินต้องมีความเข้าใจในประเด็น ต่อไปนี้ 1. พฤติกรรมหรือการปฏิบัติของนักเรียนที่ต้องประเมินมีอะไรบ้าง 2. กระบวนการหรือวิธีประเมินมีอะไรบ้าง 3. เป้าหมายของการประเมินการเรียนรู้คืออะไร 4. จุดเน้นที่ต้องการประเมินการเรียนรู้ คืออะไร 5. ผู้มีหน้าที่ประเมินการเรียนรู้มีใครบ้าง


16 3.3 การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง การประเมินต้องมีการอาศัยหลักการประเมินผลตามสภาพจริง โดยอาศัยพื้นฐาน และข้อมูล มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของการประเมินผลตามสภาพ ดังนี้ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551) กล่าวว่า การประเมินผลตามสภาพจริงเป็นวิธีการคิด การปฏิบัติ และผลลัพธ์ในการเรียนรู้ของนักเรียน อาจใช้มาตรการให้คะแนน (Rubric) หรือการสะสม งาน (Portfolio) เป็นเครื่องมือช่วยในการประเมิน สายหยุด ผดุงจันทน์ (2551) กล่าวว่า การประเมินผลตามสภาพจริง หมายถึง การ ประเมิน โดยใช้การสังเกต การบันทึก การจัดกระท าข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการท างานหรือ ปฏิบัติ กิจกรรมของนักเรียน ท าให้นักเรียนได้รับการพัฒนา และนักเรียนเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพของ นักเรียน ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2553) กล่าวว่าการประเมินผลตามสภาพจริง มุ่งเน้นนักเรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคน สามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ซึ่งวัดและประเมินผลจากสมรรถนะส าคัญของ นักเรียนและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ อุทุมพร จามรมาน (2550 ) กล่าวว่า การประเมินผลตามสภาพจริง หมายถึง การวัด และ ประเมินผลกระบวนการท างานของสมอง และจิตใจของนักเรียนอย่างตรงไปตรงมาตามสิ่งที่เขา ท า โดยพยายามตอบค าถามว่า ท าอย่างไร และท าอย่างนั้นท าไม การได้ข้อมูลว่าเขาท าอย่างไรและ ท าไม จะช่วยให้นักเรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ของเขา และการสอนของตนเองท าให้การเรียนการ สอนมีความหมายและท าให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียน จากความหมายของการประเมินผลตามสภาพจริง สรุปได้ว่า การประเมินผลตาม สภาพจริง หมายถึง การประเมินจากความเป็นจริงในการจัดการเรียนการสอน ที่นักเรียนสามารถท า ได้จากการสังเกต การลงมือปฏิบัติ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การวัดและประเมินจาก แบบทดสอบ ข้อสอบ โดยน าผลการประเมินตามสภาพจริงมาเป็นข้อมูลในการพัฒนานักเรียนต่อไป 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 4.1 ความหมายของทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม กระบวนการท างานกลุ่มหรือกลุ่มสัมพันธ์ มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษหลายค า เช่น Group dynamics, Group process, Group psychology และมีชื่อเรียกภาษาไทยหลายชื่อ เช่น พลวัตกลุ่ม สัมพันธภาพของกลุ่ม และกลุ่มสัมพันธ์ จากการศึกษามีผู้ให้ความหมายของกระบวนการ กลุ่มไว้ ดังต่อไปนี้ ไสว ฟักขาว (2552) ได้กล่าวว่า กระบวนการท างานกลุ่ม หมายถึง แนวทางให้ นักเรียนใช้กลุ่มช่วยกันสร้างความรู้โดยประสานความร่วมมือ ประสานความคิด ท างานร่วมกัน


17 รับผิดชอบ ร่วมกันจนบรรลุเป้าหมาย การท างานกลุ่มควรต้องเป็นการท างานที่มีประสิทธิภาพ คือ หัวหน้าดีสมาชิกดี และกระบวนการท างานดี การเรียนรู้เป็นกลุ่มหรือใช้วิธีสอนกลุ่มสัมพันธ์เป็นการ เรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ เป็นกระบวนการที่เน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการ เรียนรู้ ชัญญา อภิบาลกุล (2552) กลุ่มสัมพันธ์ คือ การศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคน เพื่อ เสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องทัศนคติ พฤติกรรม และความสัมพันธ์ของคนและกลุ่ม อันจะเป็น ประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ และการท างานร่วมกันของกลุ่มคนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประทีป แสงเปี่ยมสุข (2550) กล่าวว่า กระบวนการท างานกลุ่ม คือ กระบวนการ ท างานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกที่มีบทบาท ของผู้ฟังกลุ่ม สมาชิกกลุ่มและวิธีการท างานของกลุ่ม ทิศนา แขมมณี (2553) ให้ความหมายว่า กระบวนการท างานกลุ่ม หมายถึง กระบวนการท างานกลุ่มเป็นกระบวนการในการท างานร่วมกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมี วัตถุประสงค์ร่วมกัน และมีการด าเนินงานร่วมกัน โดยผู้น ากลุ่มและสมาชิกกลุ่มต่างก็ท าหน้าที่ของตน อย่างเหมาะสม และมีกระบวนการท างานที่ดี เพื่อน ากลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ กาญจนา ไชยพันธ์ (2549) สรุปถึงกระบวนการท างานกลุ่ม หมายถึง การที่บุคคลมา รวมกันเพื่อศึกษาประสบการณ์ของกลุ่มหลาย ๆ ฝ่าย ศึกษาพฤติกรรมความเป็นผู้น า ผู้ตาม ความคิด ฝึกปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และมีการศึกษาจากประสบการณ์ โดยผู้ศึกษาจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมใน ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จัดขึ้น จากความหมายดังกล่าว ผู้วิจัย สรุปได้ว่า ทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม หมายถึง ทักษะกระบวนการที่ให้นักเรียนรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อศึกษา เรียนรู้ ท างานร่วมกัน โดยสมาชิกในกลุ่ม ท าหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสม เพื่อน ากลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ 4.2 องค์ประกอบของทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม Johnson and Johnson (1994) กล่าวว่าองค์ประกอบของทักษะกระบวนการ ท างานกลุ่ม ได้แก่ 1. ความสัมพันธ์เชิงบวก (Positive interdependence) เป็นหัวใจของการ เรียนรู้แบบร่วมมือ สมาชิกในกลุ่มต้องมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปรึกษาหารือ สนับสนุน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม 2. การปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด (Face to face interaction) สมาชิกในกลุ่มจะ ช่วยเหลืออาทรกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สมาชิกในกลุ่มมีการช่วยเหลือ สนับสนุน กระตุ้น ส่งเสริมและให้ก าลังใจในการท างานและการเรียนเพื่อให้ประสบผลส าเร็จบรรลุเป้าหมายของ กลุ่ม


18 3. การตรวจสอบความรับผิดชอบของแต่ละคน (Individual accountability) เป็นหน้าที่ของแต่ละกลุ่มที่ตรวจสอบว่า สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้ได้ถูกต้องหรือไม่ สมาชิกแต่ละคนต้อง ท างานที่ ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ และต้องรับผิดชอบในผลการเรียนของตนเองและ ของเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม 4. การฝึกทักษะภายในกลุ่ม (Interpersonal and small group skill) สมาชิก ทุกคนจะต้องได้รับการฝึกทักษะภายในกลุ่มในเรื่องการรับฟัง การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อให้สามารถท างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 5. กระบวนการท างานกลุ่ม (Group process) เป็นกระบวนการท างานที่มี ขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้การด าเนินงานของกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย ได้ 4.3 หลักการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการท างานกลุ่ม สุวิทย์ มูลค า และอรทัย มูลค า (2550) ได้กล่าวถึงหลักการจัดการเรียนรู้โดย กระบวนการท างานกลุ่มและบทบาทกระบวนการท างานกลุ่มอย่างเป็นระบบ ดังนี้ 1. เป็นวิธีการฝึกที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยให้นักเรียนทุกคนมี โอกาสเข้าร่วมกิจกรรมมากที่สุด 2. ให้นักเรียนได้เรียนรู้จากกลุ่มมากที่สุด 3. ให้นักเรียนค้นพบและสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง 4. ให้ความส าคัญของกระบวนการเรียนรู้ ครูจะต้องให้ความส าคัญของ กระบวนการต่าง ๆ ในการแสวงหาค าตอบ 4.4 การประเมินทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม การประเมินทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม โดยการบันทึกการสังเกตลงในแบบ สังเกตพฤติกรรม ท าให้ทราบพัฒนาการทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนแต่ละบุคคลหลังจาก ได้รับการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการสังเกตมีรายละเอียดดังนี้ 4.4.1 ความหมายของการสังเกต บุญชม ศรีสะอาด (2541) กล่าวว่า การสังเกตการณ์ เป็นเทคนิคการรวบรวม ข้อมูลการวิจัยอย่างหนึ่งที่ผู้สังเกตใช้สายตาเฝ้าดูหรือศึกษาเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ เพื่อให้เข้าใจ ลักษณะธรรมชาติและความเกี่ยวข้องกัน ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ประเภทของการสังเกตแบ่งตาม วิธีการสังเกตได้ 2 ประเภทดังนี้ 1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participate observation) หมายถึง การ สังเกตการณ์ที่ผู้สังเกตเป็นสมาชิกกลุ่มที่ศึกษา หรือผู้สังเกตท าตัวให้เป็นสมาชิกของกลุ่มที่ศึกษามีส่วน ร่วม คลุกคลีในหมู่ผู้ถูกสังเกต


19 2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participate observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตท าการสังเกตโดยไม่ได้เข้าร่วมในกิจกรรมเหตุการณ์นั้น ๆ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2548) กล่าวว่า การสังเกตเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในลกัษณะของการเฝ้าดู ศึกษาเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรม ของสิ่งที่เราต้องการศึกษา อาจเป็นลักษณะบุคลิกภาพ การใช้ค าพูด ภาษาท่าทาง กิจกรรม ทักษะ และความสามารถ รวมทั้งสภาพแวดล้อมต่าง ๆ การสังเกตแบ่งออกเป็น 2 ประเภท แบ่งตามการมี โครงสร้าง คือ 1. การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured observation) เป็นการสังเกต ที่ได้ก าหนดเรื่องราวหรือขอบเขตของเนื้อหาไว้ล่วงหน้า แน่นอนว่าจะสังเกตพฤติกรรมหรือ ปรากฏการณ์อะไร มีการเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ประกอบการสังเกตล่วงหน้า 2. การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured observation) เป็นการ สังเกตที่ไม่มีการก าหนดเรื่องราว หรือพฤติกรรมใดไว้ล่วงหน้า เป็นการสังเกตอิสระไม่มีการควบคุม เครื่องมือ 4.4.2 เครื่องมือประกอบการสังเกต กังวล เทียนกัณฑ์เทศน์ (2550) ได้กล่าวถึง แบบวัดผลที่ใช้บันทึกพฤติกรรมจาก การสังเกตไว้4 ประเภท ดังนี้ 1. ระเบียนสะสมส่วนบุคคล มีลักษณะเป็นการบันทึกพฤติกรรมของแต่ละ บุคคล โดยทั่วไปผู้วัดต้องสังเกตพฤติกรรมเป็นระยะ ๆ เป็นรายบุคคลจนกระทั่งเห็นว่าเพียงพอที่จะให้ เห็นพฤติกรรมนั้นชัดเจน ระเบียนสะสมส่วนบุคคลจะเป็นการบันทึกพฤติกรรมอันเป็นผลมาจาก การศึกษาด้านการปรับตัวของบุคคลในสังคม 2. แบบส ารวจ เป็นระบบที่จัดเตรียมไว้แล้ว ซึ่งมีลักษณะเป็นประโยค ข้อความที่เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด โดยตรวจสอบพฤติกรรมว่ามีหรือไม่มีตามที่ผู้วัดหรือผู้ใช้ แบบส ารวจสังเกตได้ 3. การจัดระดับคุณภาพ ผู้ใช้แบบการจัดการจัดระดับคุณภาพนี้จะเป็น ผู้สังเกตคุณภาพหรือลักษณะที่สังเกตได้แล้วก าหนดคุณลักษณะคุณภาพเหล่านั้น เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด เหมาะส าหรับการวัดการพูด การแสดงพฤติกรรมในระหว่างการเรียน และความร่วมมือในการท างาน 4. เทคนิคสังคมมิติเทคนิคนี้เป็นวิธีการที่ใช้สังเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลในกลุ่มกับกลุ่ม หรือการศึกษากลุ่มเพื่อนในชั้นเรียน ซึ่งกลุ่มเพื่อนมีอิทธิพลต่อค่านิยม ต่อบรรยากาศของกลุ่มหรือโครงสร้างของกลุ่ม โดยครูจะเป็นผู้ก าหนดสถานการณ์


20 สุภาวดี ชัยเลิศ (2553) ได้กล่าวว่า การประเมินทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียน วัดได้โดยใช้แบบประเมินทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียน ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ซึ่งมีประเด็นการประเมิน 5 ประการ ดังนี้ 1. การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น หมายถึง มีการยอมรับฟังความคิดเห็น ของผู้อื่นเป็นอย่างดี 2. มีกระบวนการท างานเป็นขั้นตอน หมายถึง การท างานที่ได้รับมอบหมาย และลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนจนส าเร็จ 3. ร่วมแสดงความคิดเห็นและความกล้าแสดงออก หมายถึง การกล้าแสดง ความคิดเห็นในทางที่ถูกต้องอย่างมีเหตุผลและมีความเชื่อมั่นในตนเอง 4. มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หมายถึง มีส่วนร่วมในการท ากิจกรรมเป็น อย่างดี มีการปฏิบัติหน้าที่อย่างสม่ าเสมอ 5. ปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและสม่ าเสมอหรือการแก้ไขปรับปรุงผลงาน หมายถึง การมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติงานอย่างถูกต้องสมบูรณ์และมีส่วนร่วมในการแก้ไข อ านวย แน่นอุดร (2553) ได้ศึกษาทักษะกระบวนการกลุ่ม ซึ่งสังเกตได้จาก พฤติกรรมการท างานกลุ่มของครู 4 ด้าน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ด้านที่ 1 บทบาทการเป็นผู้น ากลุ่ม ประกอบด้วย 1. การปฏิบัติหน้าที่ผู้น า ด้วยความรับผิดชอบ 2. การดูแลให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นได้ทั่วถึง 3. การแบ่งงานให้สมาชิกในกลุ่มได้ท างานทั่วทุกคน 4. การให้ก าลังใจเพื่อนสมาชิกในการท างาน 5. การพดูทบทวนและสรุปให้ตรงประเด็น ด้านที่ 2 บทบาทการเป็นสมาชิกกลุ่ม ประกอบด้วย 1. กระตือรือร้นที่จะร่วมท างานกับผู้อื่น 2. สนใจและตั้งใจฟังขณะที่มีการแสดงความคิดเห็น 3. การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรม 4. รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองและสมาชิกในกลุ่ม 5. สามารถอธิบายให้สมาชิกในกลุ่มเข้าใจได้อย่างชัดเจน ด้านที่ 3 กระบวนการท างานเป็นกลุ่ม ประกอบด้วย 1. มีประชุมการวางแผนการท างาน 2. สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการท างานตามแผน 3. งานที่รับผิดชอบส าเร็จตามเป้าหมายและเวลาที่ก าหนด


21 4. มีการหลอมรวมแนวคิดและแนวทางการท างานเป็นหนึ่งเดียว 5. มีการสรุปงานร่วมกันหลังจากที่ท างานส าเร็จ ด้านที่ 4 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของกลุ่ม ประกอบด้วย 1. ไม่ท าเสียงดังรบกวนผู้อื่น 2. มีมารยาทในการฟังและการพูด 3. มีการอภิปราย แสดงความคิดเห็นในกลุ่ม 4. เคารพและยอมรับความคิดเห็นของผู้ร่วมงานในกลุ่ม 5. มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการท างานกลุ่ม ในการวิจัยนี้ ทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม หมายถึง ทักษะการปฏิบัติกิจกรรมเป็นกลุ่มของ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 2 สังเกตได้จากการท างานกลุ่ม 4 ด้าน ซึ่งแบ่งตามองค์ประกอบของ กระบวนการกลุ่ม คือ ด้านการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่ม ความรับผิดชอบ และการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 5. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเกมออนไลน์ 5.1 ความหมายของเกมออนไลน์ จารวี ยั่งยืน (2549) กล่าวว่า เกมออนไลน์หมายถึง เกมที่ต้องเล่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่บ้าน สถานศึกษา หรือร้านค้าที่ให้บริการ ซึ่งเกมออนไลน์นั้นอาจเสียค่าใช้จ่าย หรือไม่ก็ได้ และเกมออนไลน์จะท าให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมไปกับการด าเนินเรื่องราวต่าง ๆ ในเกมเสมือน ตัวเอง ธนพัทธ์ เอมะบุตร (2558) กล่าวว่า เกมออนไลน์ หมายถึง วิดีโอเกมที่เล่นบนเครือข่าย คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะบน อินเทอร์เน็ต เกมออนไลน์มีส่วนที่คล้ายคลึงกับเกมหลายผู้เล่นผ่านระบบ อินเทอร์เน็ต (Multiplayer) เกมออนไลน์ส่วนมากจะเป็นเกมแบบ MMO (Massive Multiplayer Online) หรือก็คือเกมหลายผู้เล่นที่รับจ านวนผู้เล่นได้มหาศาลในพื้นที่ที่หนึ่ง (ตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป) ศิริวรรณ จันทร์เชื้อ (2551) กล่าวว่า เกมออนไลน์ หมายถึง เกมที่ต้องใช้ผ่านการเชื่อมต่อ ผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ เกมออนไลน์ และ ลักษณะของเกมที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เล่นนั้นสามารถเล่นได้แบบเป็นกลุ่ม และเล่นเดี่ยว ศุภสรรค์ บุญเรือง (2549) ได้ให้ความหมายของเกมออนไลน์ว่า หมายถึง เกมที่ผู้เล่นจะต้อง เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าไปเล่นเกมกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อเข้ามายังตัว เซิร์ฟเวอร์ของ เกมเหมือนกัน สวรรค์ บุญเรือง (2549) กล่าวว่า เกมออนไลน์เป็นโลกๆหนึ่งที่มีความ หลากหลายของ เผ่าพันธุ์(สามารถเลือกบุคลิกภาพและบทบาทของตัวละครได้) ระบบเศรษฐกิจ พันธมิตร


22 สถานการณ์ จริงที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ความแม่นย า เสน่ห์ดึงดูดใจ ผู้เล่นสามารถ ปรับแต่งตัวละคร พูดคุย สื่อสารกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า เกม ออนไลน์ คือ เกม หรือ วิดีโอเกมที่ต้องเล่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่บ้าน และ สถานศึกษา เพื่อเข้าไปเล่นเกมกับผู้เล่นคนอื่น ๆ เกมออนไลน์สามารถเลือกตัวเล่นและผู้เล่นสามารถ ปรับแต่งตัวละคร พูดคุย สื่อสารกับเพื่อนที่อยู่ในเกมได้ด้วย สามารถเล่นได้แบบเป็นกลุ่ม และเล่น เดี่ยว 5.2 ประเภทของเกมออนไลน์ ชาญวิทย์ พรนภดล (2556) ได้ท าการแบ่งประเภทของเกมคอมพิวเตอร์ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1) อาเขตเกม (Arcade Games) เป็นเกมยุคแรก ๆ ที่ตั้งตามที่ สาธารณะ ถ้าจะเล่นต้อง หยอดเหรียญลงไปในเครื่องถึงจะสามารถเล่นได้ 2) คอนโซลเกม (Console Games) เป็นเครื่องเล่นเกมที่ต่อเล่นกับโทรทัศน์ได้ จะเห็นว่าเกม เริ่มเข้าไปอยู่ในบ้าน จึงท าให้เด็กสามารถเล่นกันได้ง่ายยิ่งขึ้น 3) เกมมือถือ (Mobile Games) ที่สามารถพกพาติดตัวไปไหนต่อ ไหนได้อย่างง่ายดาย ทุกที่ ทุกเวลา 4) เกมคอมพิวเตอร์ (Computer Games) ใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม ซึ่งสามารถเล่น ด้วยกันกับเพื่อน ๆ หลายคนด้วยการต่อระบบ LAN หรือเล่นผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ได้จ ากัดเวลา การเล่นเพียงแค่ 1 หรือ 2 คนเหมือนการเล่นเกมแบบอื่น ศรัญญา ไพรวันรัตน์ (2554) ได้ท าการแบ่งเกมออนไลน์ในประเทศมี 2 ประเภท ด้วยกัน คือ 1. MMORPG (Massive Multiplayer Online Role Playing Game) เกมประเภทนี้จะ ก าหนดตัวผู้เล่นอยู่ในโลกที่สมมติขึ้น และให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นตัวละครหนึ่งในโลกนั้น ๆ ด าเนินไป ตามเนื้อเรื่องที่ก าหนด เป็นเกมเก็บคะแนนสะสมหรือค่าประสบการณ์ของตัวละครและจะเน้น เรื่องราวของตัวละคร เช่น เกมแร็กนาร๊อก 2. Casual เป็นเกมที่มีรูปแบบกติกาตายตัวเข้าใจง่าย วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกผ่อน คลายเมื่อได้เล่น อาจมีทั้งเพิ่มระดับความยากหรือแบบเล่นไปเรื่อย ๆ มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ เช่น ฉาก ดนตรี เพื่อความไม่ซ้ าซากเท่านั้นใช้เวลาในการเล่นน้อย ไม่เน้นเรื่องราวของตัวละคร เช่น เกมปังย่าเป็นต้น


23 5.3 ประโยชน์ของเกม บันฑิต ศรไพศาล (2549) กล่าวว่า ประโยชน์ของการเล่นเกมมีหลายอย่าง เช่น การท าให้เกิด ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน คลายเครียด หรือท าให้เกิดความภาคภูมิใจเมื่อประสบความส าเร็จ สามารถเอาชนะตามเงื่อนไข ตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ก าหนดในเกมนั้น ๆ หรืออาจพัฒนาความตั้งใจ ความมุ่งมั่นในการท าภารกิจบางอย่างให้ประสบความส าเร็จ วิโรจ์ อารีกุล (2549) กล่าวว่า แต่ในอีกด้านหนึ่งวิดีโอเกมก็ยังมีประโยชน์ต่อเด็กอีกหลาย ๆ ด้านเช่น ทางด้านสรีรวิทยาของร่างกาย เป็นการฝึกประสานงานระบบต่าง ๆ ของร่างกายและระบบ ประสาทอัตโนมัติต่าง ๆ มีการลดลงของเวลาการตอบสนอง (Reaction time) ช่วยเสริมการ ประสานงานระหว่างมือ ตา และปราสาทอัตโนมัติ (Reflexs) 1) เป็นการฝึกทักษะและความช านาญในการใช้คอมพิวเตอร์ 2) เป็นการพักผ่อนและการผ่อนคลาย 3) เป็นการเรียนรู้อีกด้านหนึ่งของเด็ก แต่ท าอย่างไรที่จะท าให้เด็กได้รู้จักที่จะเรียนรู้สิ่งที่มี ประโยชน์และมีวิจารณญาณที่จะตัดสินใจ ควบคุมสิ่งที่เขาก าลังท า หรือเรียนรู้ไม่ใช่ตก เป็นเครื่องมือของวิดีโอเกมที่เขาเล่น 4) มีวิดีโอเกมที่สร้างสรรค์พัฒนาการด้านการเรียนรู้ แต่ยังไม่มากนักซึ่งจะต้องพัฒนาให้มี ความตื่นเต้นเร้าใจต่อเด็กและเยาวชนให้มากขึ้นและมีจ านวนเพิ่มขึ้นทั้งคุณภาพและ ปริมาณ 6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.1 งานวิจัยในประเทศ วุฒิชัย จารุภัทรกูล (2561) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เจตคติต่อวิชาชีววิทยา และ พฤติกรรมการท างานร่วมกันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) ร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) เรื่องระบบนิเวศ ผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) ร่วมกับการเรียนการสอนแบบร่วมมือเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาชีววิทยาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) ร่วมกับการเรียนการสอนแบบ ร่วมมือเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7


24 ขั้น (7E) ร่วมกับการเรียนการสอนแบบร่วมมือเทคนิค STAD มีเจตคติต่อวิชาชีววิทยาหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ฮุสนา สาและ (2560) ศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) กับการแสดงทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคงทนใน การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 20.10 และค่าเฉลี่ยร้อยละหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 70.00 2) ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ระดับดีขึ้นไปจ านวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 53.12 ซึ่งเกินจ านวนครึ่งหนึ่งของนักเรียนทั้งหมดและ 3) ความคงทนในการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) ร่วมกับการแสดงทางวิทยาศาสตร์เมื่อเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ ไม่แตกต่างกัน จิราภรณ์ พรมสืบ (2559) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียน โดย ใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) รายวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สารละลายกรดและเบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้าน หนองโกวิทยา ผลการวิจัย พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) มีค่าเฉลี่ย (X) เท่ากับ 4.68 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.50 อยู่ในระดับมากที่สุด กนกภรณ์ ทองระย้า (2557) ศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่ม คละผลสัมฤทธิ์ (STAD) เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์โดยรวมทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่อง การ เรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ด้วยเการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ชาญณรงค์ พวงผกา (2556) การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง หินและการ เปลี่ยนแปลงของโลก ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประศึกษา เพชรบุรี เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง หินและการเปลี่ยนแปลง ของโลกมีประสิทธิภาพ 77.62 / 76.78 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ก าหนดไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของครูที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง หินและการเปลี่ยนแปลงของโลก หลังเรียนสูง


25 กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ค่า t เท่ากับ 19.31 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง หินและการ เปลี่ยนแปลงของโลก มีความพึง พอใจอยู่ในระดับมาก ( = 4.37,S.D.=0.65) สุมาลี ประโคทัง และคณะ (2555) ศึกษาการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สารชีวโมเลกุล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างการเรียนแบบร่วมมือแบบด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) และแบบสืบเสาะหาความรู้ ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องสารชีวโมเลกุล ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ (STAD) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.30/71.28 และแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 76.71/70.07 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 2) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องสารชีวโมเลกุลด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD เท่ากับ 0.5897 คิดเป็นร้อยละ 58.97 และแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เท่ากับ 0.5814 คิดเป็นร้อยละ 58.14 3) นักเรียนที่เรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ (STAD) มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบสืบเสาะหาความรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ (STAD) และแบบสืบเสาะหา ความรู้ มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง นันทชัย นวลสอาด และคณะ (2554) ศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่องอัตราส่วน ตรีโกณมิติ โดยใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังจากสอนโดยใช้ชุดกิจกรรม การเรียนการสอน เรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติโดยใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) มีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 70 ของจ านวนนักเรียนทั้งหมดที่ระดับ นัยส าคัญ .01 สรุปได้ว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความสามารถในการเรียนเรื่องอัตราส่วน ตรีโกณมิติ โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อเนื้อหาอัตราส่วนตรีโกณมิติและกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับ พอใจมาก 6.2 งานวิจัยต่างประเทศ คาร์มูรินและฟิกริ (Kamuran & Fikri, 2007) ได้ศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมชาว ตุรกีด้วยวิธี TAI และ STAD การศึกษานี้เพื่อใช้เปรียบเทียบผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค TAI และ STAD ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4 (เกรด 4) จ านวน 7 ห้องได้รับการสุ่มเลือกเพื่อร่วมในการศึกษาครั้งนี้ 2 ห้อง สอนด้วยวิธี TAI อีกสองชั้นใช้วิธี STAD ส่วนที่เหลืออีกสามชั้นเป็นกลุ่มควบคุม ผลสัมฤทธิ์


26 ทางการเรียนถูกวิเคราะห์โดยใช้ 3X1 Covariance analysis ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าทั้งวิธี TAI และ STAD ต่างส่งผลเชิงบวกต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน การเปรียบเทียบผล แสดงให้เห็นว่า TAI ให้ผลดีกว่า STAD คะแนนของเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ได้รับการวิเคราะห์โดย ใช้ Non-parametric statistics ซึ่งผลการวิเคราะห์ด้านเจตคติไม่แตกต่างอย่างมีนัยส าคัญ อะคาร์และลีเมน (Acar and Leman, 2006) ท าการวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของการเรียน แบบร่วมมือกันท าให้นักเรียนมีความเข้าใจ ความคิดรวบยอดในวิชาเคมีอิเลคตรอน การศึกษาในครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบระดับประสิทธิภาพของการเรียนแบบร่วมมือกันเรียนรู้และการสอนแบบเดิมในความ เข้าใจในวิชาเคมีอิเลคตรอนของนักเรียนเกรด 11 จ านวน 41 คน แบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่ม ทดลองมีนักเรียน 20 คน สอนโดยวิธีสอนแบบร่วมมือกัน และกลุ่มควบคุมมีนักเรียน 21 คนมีการ ทดสอบก่อนเรียนเละหลังเรียน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือกันมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบเดิมอย่างมีนัยส าคัญและกลุ่มที่เรียนรู้แบบ มีส่วนร่วม คอนสเตนล์ (Constance, 1999) ท าการวิจัยประสิทธิภาพของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือใน วิชาวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กับ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ใช้วิธีการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ ในการวิจัยศึกษาด้านพฤติกรรมระหว่างที่อยู่ชั้น เรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้วิธีการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือของนักเรียนทั้ง 2 ห้องเป็นวีดีโอเทปและผลจาก การเข้าร่วมสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียนที่ใช้วิธีการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ พบว่า 1. มีการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มตามที่ได้รับการจัดแบ่งให้ 2. มีการร่วมแบ่งปันข้อมูลความรู้กับเพื่อนสมาชิก 3. สมาชิกทุกคนของกลุ่มให้ความร่วมแรงร่วมใจ 4. มีการให้ก าลังใจในการท างานกลุ่ม 5. การช่วยเหลือสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มให้แก้ปัญหา ผลการวิจัยมีความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญ ในค่าคะแนนระหว่างนักเรียนในชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 และประถมศึกษาปีที่ 4 ค่าคะเนนของนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ ในพฤติกรรมทั้ง 4 ด้าน แต่ค่าคะแนนของนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ใน พฤติกรรม 1 ด้านเท่านั้น วูดส์ (Woods, 1997) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือกัน เรียนรู้ในรายวิชา คณิตศาสตร์ในการแก้โจทยปัญหา การท าความเข้าใจ เจตคติของนักเรียนหญิงในวัยเด็ก จุดประสงค์ ของการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือกัน เรียนรู้ที่สามารถ เชื่อมโยงไปสู่การจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เจตคติ และ พฤติกรรมของครูเพศหญิงในวัยเด็ก โดยผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถาม ค าถามจ านวน 4 ข้อ ผลการวิจัย


27 พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้มีผลต่อความเข้าใจในบทเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เจตคติ และพฤติกรรมของครูเป็นที่น่าพอใจ โฮเเละบู (HO and Boo, 2007) ท าการวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือกัน มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนความคิดรวบยอด และสร้างแรงจูงใจในการเรียนวิชาฟิสิกส์ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 41 คน เรื่อง Current Electricity and D.C. Circuits ใช้วลาในการวิจัยมากกว่า 8 สัปดาห์ แบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองใช้วิธีสอน แบบร่วมมือกันและกลุ่มควบคุมใช้วิธีสอนแบบเดิม มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือกันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ความรู้ความ เข้าใจ ความคิดรวบยอดและมีแรงจูงใจในการเรียนวิชาฟิสิกส์เพิ่มมากขึ้น 7. วิธีด าเนินการวิจัย ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการท างานกลุ่ม เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัยมีวิธีด าเนินการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 7.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ที่เรียนสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 15 คน 7.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เรื่อง วัสดุ และการใช้ประโยชน์ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. แบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม


28 7.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 7.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) เรื่อง วัสดุและการใช้ ประโยชน์จ านวน 5 แผน 10 คาบ ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง สมบัติของวัสดุ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สมบัติการดูดซับน้ าของวัสดุ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง สมบัติของวัสดุที่ได้จากการผสมวัสดุ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ประโยชน์ของวัสดุ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การใช้ประโยชน์จากวัสดุ มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 1. วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์จากหลักสูตร สถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ที่ สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 แบบเรียน เอกสาร ต ารา และบทความที่เกี่ยวข้อง 2. ศึกษารายละเอียดเนื้อหาที่จะน ามาสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ จากคู่มือครูและ หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของ สสวท. หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ 3. ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนวิทยาศาสตร์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) 4. ด าเนินการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยให้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ และเนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง จ านวน 6 แผน ซึ่งโครงสร้าง ของแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผน ประกอบด้วย 4.1 สาระส าคัญ 4.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.3 สาระการเรียนรู้ 4.4 กระบวนการการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์ด าเนินกิจกรรมตามล าดับขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 น าเสนอบทเรียน (Class Presentations) ครูเป็นผู้สอนความรู้แก่ นักเรียนทั้งชั้นก่อน โดยใช้สื่อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบในการสอนเพื่อให้นักเรียนมีความสนใจและ ตั้งใจเรียน ขั้นที่ 2 ท างานร่วมกันเป็นทีม (Teams) แต่ละทีมประกอบด้วยสมาชิก ประมาณ 5 คน มีระดับความสามารถสูง ปานกลาง และต่ า คละกัน หน้าที่ส าคัญของทีมก็คือการ ปรึกษาหารือ อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยกันศึกษาหาความรู้ แก้ปัญหาร่วมกันการ


29 ท างานเป็นทีม นับเป็นหัวใจของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) เน้นให้สมาชิกรับผิดชอบ การเรียนของตนให้ดีที่สุดเพื่อความส าเร็จของทีม นอกจากนี้การ ท างานเป็นทีมท าให้นักเรียนมีความผูกพันซึ่งกันและกัน มีการยกย่องให้ความเคารพและยอมรับความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน ตลอดจนก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อน ๆ ทีมอื่น ขั้นที่ 3 การทดสอบย่อย (Quizzes) เมื่อจบบทเรียนแต่ละบทครูให้นักเรียน ท าแบบทดสอบสั้น ๆ โดยจะใช้เกมออนไลน์ในการทดสอบเป็นรายบุคคลช่วยเหลือกันไม่ได้ การ ทดสอบย่อยนี้ช่วยในการพิจารณาว่านักเรียนมีการปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่ ขั้นที่ 4 ปรับปรุงคะแนน (Improvement Scores) ครูตรวจผลการสอบ ของนักเรียนพิจารณาผลเป็นคะแนนรายบุคคลและคะแนนเฉลี่ยของทีม ขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ นักเรียนแต่ละคนประสบผลส าเร็จ โดยการปรับปรุงการเรียนของตนให้ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อท าให้คะแนนใน ทีมของตนเองสูงขึ้นด้วย ขั้นที่ 5 สร้างความประทับใจ (Team Recognition) ครูให้รางวัลโดยการ กล่าวค าชมเชยหรือให้คะแนนพิเศษ หรือมอบใบประกาศนียบัตรยกย่องชมเชยส าหรับทีมที่ท าคะแนน เฉลี่ยได้สูงขึ้นกว่าครั้งก่อน วิธีนี้เป็นการเสริมแรงให้นักเรียนการเสริมแรงเป็นสิ่งส าคัญในการกระตุ้น ให้นักเรียนเกิดความประทับใจ และสนใจการเรียนยิ่งขึ้น 4.5 สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 4.6 การวัดและประเมินผล 5. น าแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ที่สร้าง ขึ้น เสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมของเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน า 6. น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Consistency หรือ IC) ก าหนดค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 7. ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 8. น าแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ที่ปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องแล้วไปทดลองใช้สอนกับนักเรียนที่ก าลังเรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านธารน้ าผึ้ง เพื่อหาข้อบกพร่องในการจัดกิจกรรมและสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในขณะสอน บันทึกสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ 9. น าข้อมูลจากการทดลองใช้สอนมาปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ให้สมบูรณ์ ก่อนที่จะน าไปใช้จริง


30 7.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หน่วย วัสดุและการใช้ประโยชน์ เป็นข้อสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จ านวน 2 ฉบับ ซึ่งฉบับที่ 1 เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน จ านวน 20 ข้อ และฉบับที่ 2 เป็นแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน จ านวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาคุณภาพตามขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ 2. ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากเอกสาร ต ารา งานวิจัย 3. วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนที่คาดหวังและเนื้อหา โดยให้ ครอบคลุมในหน่วยการเรียนรู้เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ พิจารณาจุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ได้ท าการ วัดความสามารถของนักเรียนในด้านความรู้ ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า 4. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน 2 ฉบับ ฉบับละ 20 ข้อ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก 5. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิที่สร้างขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการที่ ปรึกษาวิจัยพิจารณาตรวจสอบ ลักษณะการใช้ค าถาม ตัวเลือก ตัวลวง พฤติกรรมที่ต้องการวัดและ ความถูกต้องของภาษา แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข 6. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการ สอนทางวิทยาศาสตร์ 3 คน ตรวจพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence หรือ IOC) ด้านความครอบคลุมคุณลักษณะที่ต้องการวัด ตลอดจนภาษาในการสื่อ ความหมายโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 7. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไป ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง 8. น าข้อมูลจากการทดสอบไปวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจ จ าแนก (r) เป็นรายข้อ โดยก าหนดค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และค่าอ านาจจ าแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป


31 9. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เป็น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน จ านวน 20 ข้อ ฉบับที่ 2 เป็นแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน จ านวน 20 ข้อ ไปค านวณหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร KR-20 ของ คูเดอร์ ริชาร์ดสัน ก าหนดค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป 7.2.3 แบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม เป็นแบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่มของนักเรียน สังเกตได้จากการท างาน กลุ่ม 4 ด้าน คือ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่มความ รับผิดชอบและการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นแบบ Scoring rubrics เพื่อให้ผู้ช่วยวิจัยบันทึก ข้อมูลหรือพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนในขณะท ากิจกรรมท างานร่วมกับกลุ่ม มีขั้นตอน การสร้าง ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสารและต าราที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม 2. ศึกษาการสร้างแบบวัดพฤติกรรมจากหนังสือ ต าราและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3. วิเคราะห์และก าหนดขอบเขตของพฤติกรรมของนักเรียนในประเด็นดังต่อไปนี้ 3.1 การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หมายถึง มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกลุ่ม เป็นอย่างดี 3.2 การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่ม หมายถึง มีความกระตือรือร้นที่ จะร่วมท างานกับผู้อื่น และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรม 3.3 ความรับผิดชอบ หมายถึง มีความรับผิดชอบต่องานของกลุ่ม รู้จักบทบาท หน้าที่ของตนเองและสมาชิกในกลุ่ม 3.4 การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น หมายถึง มีการยอมรับฟังและเคารพ ความ คิดเห็นของสมาชิกในกลุ่ม 4. สร้างแบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่มตามขอบเขตพฤติกรรม นักเรียนที่ ก าหนดไว้ 4 ด้าน เป็นแบบ Scoring rubrics 5 ระดับ ได้แก่ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อย ที่สุด 5. น าแบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อ พิจารณาความเหมาะสมของพฤติกรรมที่ต้องการวัดและความชัดเจนของภาษาที่ใช้ในการก าหนด เกณฑ์ จากนั้นน าข้อเสนอแนะไปปรับปรุงแก้ไข 6. น าแบบวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่มให้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความ เหมาะสมของของพฤติกรรมที่ต้องการวัดและเกณฑ์การประเมินแบบ Scoring rubrics โดยมี รายละเอียดและเกณฑ์ในการประเมินดังนี้


32 การประเมินเหมาะสม มีเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 7. น าความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) และแปลความหมายโดยใช้เกณฑ์ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) ดังนี้ - ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 มีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มระดับมากที่สุด - ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 มีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มระดับมาก - ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 มีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มระดับปานกลาง - ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 มีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มระดับน้อย - ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 มีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มระดับน้อยที่สุด โดยยึดเกณฑ์การตัดสินจากคะแนนเฉลี่ย 3.51 ขึ้นไป และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่เกิน 1.00 ถือว่าสามารถน าไปใช้ได้ 7.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีดังนี้ 1. ทดสอบก่อนเรียน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับก่อนเรียน 2. จัดการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน 6 แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยผู้วิจัยเป็นผู้สอน 3. หลังเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนฉบับเดิม และประเมินทักษะกระบวนการท างานกลุ่มของนักเรียน โดยใช้แบบวัดทักษะ กระบวนการท างานกลุ่ม 7.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 ค่าเฉลี่ย (Arithmetic mean) 1.2 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)


33 2.2 ค่าความยากง่าย (p) 2.3 ค่าอ านาจจ าแนก (r) 2.4 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ (KR-20) 3. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติพื้นฐาน ได้แก่ 3.1 ค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตร x n x = เมื่อ x คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนน n คือ ผลรวมของคะแนน n คือ จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 3.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้สูตร 1 ( ) . . 2 − − = n x x S D เมื่อ S.D. คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (x − x) คือ ผลรวมคะแนนลบด้วยคะแนนเฉลี่ย n −1 คือ จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 3.3 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยใช้สูตร N R IOC = เมื่อ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้อง R คือ ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จ านวนผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาน้ าหนักคะแนน ดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์นั้นวัดเนื้อหาตรงตาม จุดประสงค์ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์นั้นวัด เนื้อหาตรงตามจุดประสงค์ -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์นั้นวัด


34 เนื้อหาไม่ตรงตามจุดประสงค์ 3.4 ค่าความยากง่ายของข้อสอบ N R P = เมื่อ P คือ ค่าความยากของค าถามแต่ละข้อ R คือ จ านวนคนที่ตอบถูกในแต่ละข้อ N คือ จ านวนผู้เข้าสอบทั้งหม 3.5 ค่าอ านาจจ าแนก 2 N R R r u − e = เมื่อ r คือ ค่าอ านาจจ าแนกเป็นรายข้อ Ru คือ จ านวนนักเรียนที่ตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มเก่ง Re คือ จ านวนนักเรียนที่ตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มอ่อน N คือ จ านวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 3.6 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยใช้คูเดอร์–ริชาร์ดสัน (KR - 20) − − = 2 1 1 S pq k k rtt เมื่อ tt r คือ ความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ k คือ จ านวนของแบบทดสอบทั้งฉบับ p คือ อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q คือ อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น 2 S คือ ความแปรปรวนของคะแนนทั้งหมด


35 3.7 การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน T-test dependent sample ( ) 1 2 2 − − = N N D D D t df = N −1 เมื่อ N คือ จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง D คือ ผลรวมของความแตกต่างรายคู่ระหว่างคะแนนการทดสอบ หลังและก่อนเรียน 2 D คือ ผลรวมของก าลังสองของความแตกต่างรายคู่ระหว่างคะแนน การทดสอบหลังและก่อนเรียน 8. ผลการวิจัย ผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และทักษะการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้ง ผู้วิจัยน าเสนอผลการวิจัยข้อมูลไว้ดังนี้ 8.1 สัญลักษณ์ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล 8.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 8.1 สัญลักษณ์ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้สัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ N แทน จ านวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง X̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน D แทน ความแตกต่างของคะแนน ∑ D แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนน ∑ D 2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนก าลังสอง ∑ X แทน ผลรวมคะแนนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง t แทน ค่าสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ** แทน ความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


36 8.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาค้นคว้าการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการเรียน แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ได้ผลดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ 4.1 แสดงค่าเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวม ของ นักเรียนก่อนและหลังเรียน ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ การทดสอบ N X̅ S.D. t-test p (2-tailed) ก่อนเรียน 15 7.67 1.63 11.27** 0.00 หลังเรียน 15 14.47 2.50 **มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 4.1 พบว่า ก่อนเรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 7.67 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 1.63 หลังเรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 14.47 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.50 ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่มของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่ได้เรียนรู้ด้วย การเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ได้ผลดังตารางที่ 4.2


37 ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม นักเรียนในภาพรวม ด้านการประเมิน ระดับทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม x̅ SD แปลผล 1. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 4.66 0.57 มาก 2. การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่ม 4.33 0.57 มาก 3. ความรับผิดชอบ 4.00 0.00 มาก 4. การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 4.33 0.57 มาก สรุปโดยภาพรวม 4.33 0.42 มาก จากตารางที่ 4.2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของทักษะกระบวนการท างานกลุ่มของ นักเรียนในภาพรวม พบว่า นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับ เกมออนไลน์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ซึ่งอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแต่ละด้านด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่ม ความรับผิดชอบ และการรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น พบว่า มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 4.66 4.00 และ 4.33 ตามล าดับ ซึ่งนักเรียนมี ทักษะกระบวนการท างานกลุ่ม อยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน 9. สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเกม ออนไลน์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการท างานกลุ่มและความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผผึ้งสรุปสาระส าคัญของการวิจัยได้ดังนี้ 9.1 สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาค้นคว้า สรุปได้ดังนี้ 1. นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ มี ทักษะกระบวนการท างานกลุ่มอยู่ในระดับมาก


38 9.2 อภิปรายผลการวิจัย จากผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ทักษะการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านธารน้ าผึ้งซึ่ง สามารถอภิปรายผลการศึกษาได้ดังนี้ 1. นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการศึกษา พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ มีคะแนนเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ก่อนได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์เท่ากับ 7.67 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หลังได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์เท่ากับ 14.47 คะแนน นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของจิราภรณ์พรมสืบ (2559) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียน โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) รายวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สารละลายกรดและเบส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนอง โกวิทยา ผลการวิจัย พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ซึ่งเป็นการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลุ่ม นักเรียนที่มีความสามารถสูงกว่าจะช่วยเหลือและอธิบายเนื้อหาต่าง ๆ ในบทเรียนให้เพื่อนที่มีความสามารถต่ ากว่าได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคี ภายในกลุ่มได้อีกด้วย ศิริวรรณ วงศ์สวัสดิ์ (2549) กล่าวไว้ว่า การเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) มีเงื่อนไขที่ครูต้องตระหนักถึงอยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน 2 ประการ คือ เป้าหมายของทีม (Group Goal) ซึ่งแต่ละกลุ่มจะต้องท าตามตัวชี้วัดและผลการเรียนรู้ที่ คาดหวัง เป็นสิ่งจ าเป็นที่จะท าให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจในการช่วยเหลือสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีมให้ เรียนรู้ได้เหมือนตน ถ้าปราศจากเป้าหมายของทีมนักเรียนก็ท างานผิดจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ดังนั้น นักเรียนจึงต้องทราบเป้าหมายของทีม เพื่อความส าเร็จในการเรียน ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายของทีมอาจ ช่วยให้นักเรียนผ่านพ้นความสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจในการตั้งค าถามถามครู ซึ่งถ้าปราศจากข้อนี้งานจะ ส าเร็จไม่ได้เลย และความรับผิดชอบต่อตนเอง (Individual Accountability) สมาชิกในทีมทุกคน ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองเท่า ๆ กับรับผิดชอบต่อทีม กล่าวคือ ทีมจะได้รับการชมเชยหรือได้รับ


39 คะแนนต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากคะแนนรายบุคคลของสมาชิกในทีม ซึ่งน าไปแปลงเป็นคะแนนของ ทีมโดยใช้ระบบ "กลุ่มสัมฤทธิ์" นั่นเอง ถ้าส่วนที่เหลือไม่ลงปฏิบัติงานกับเพื่อนในทีมและไม่ให้ความ ร่วมมืออันเป็นสาเหตุให้การเรียนแบบร่วมมือโดยเทคนิค (STAD) ประสบความล้มเหลวได้ในที่สุด สายหยุด ผดุงจันทน์ (2551) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึงความรู้ ความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ที่วัดจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้สอดคล้องกับส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2553) กล่าวว่า การประเมินผลตามสภาพ จริง มุ่งเน้นนักเรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็ม ตามศักยภาพ ซึ่งวัดและประเมินผลจากสมรรถนะส าคัญของนักเรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นการสนับสนุนข้อค้นพบที่ว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) นักเรียนมีทักษะ กระบวนการท างานกลุ่มอยู่ในระดับมาก จากผลการศึกษา การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ ส่งผลให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 4.33 ซึ่งอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจ เนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์เป็นการจัดการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้เป็นกลุ่ม โดยสมาชิกในกลุ่มมีทั้งนักเรียนที่เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ทุกคนในกลุ่มต้องท างานร่วมกันและช่วยเหลือกัน เพื่อให้กลุ่มประสบความส าเร็จ สอดคล้อง กับ สมบัติ การจนารักพงค์ (2547) ที่ได้กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือว่าเป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 4- 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน ท างานร่วมกันเพื่อเป้าหมายกลุ่ม สมาชิกมีความสัมพันธ์กันใน ทางบวก มีปฏิสัมพันธ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ผลงานของ กลุ่มขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ความส าเร็จของแต่ละคนคือความส าเร็จของกลุ่ม ความส าเร็จของกลุ่มคือความส าเร็จของทุกคน ซึ่งสอดคล้องกับข้อสังเกตที่พบขณะจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ พบว่าก่อนที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์นักเรียนในกลุ่มไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและช่วยเหลือกันค่อนข้างน้อย มักท าใบงานด้วย ตนเอง และทบทวนความรู้ก่อน แข่งขันโดยการนั่งอ่านคนเดียว ไม่ค่อยช่วยเหลือเพื่อนที่อ่อนกว่าใน กลุ่ม แต่เมื่อครูกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความส าคัญของกลุ่มและให้ท าเต็มที่เพื่อความส าเร็จของกลุ่ม พบว่านักเรียนมีการปรับปรุงพฤติกรรมการท างานกลุ่มที่ดีขึ้น เห็นได้จากผลงาน การท ากิจกรรม นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น มีการถามเนื้อหากับเพื่อนในกลุ่มเมื่อไม่เข้าใจ และเพื่อนที่เก่งกว่าใน


40 กลุ่มช่วยอธิบายให้เพื่อนที่เรียนอ่อนกว่าเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การแข่งขันและการได้รับค าชมเชยจากครู มีการพูดให้ก าลังใจซึ่งกันและกัน จึงส่งผลให้นักเรียนมีคะแนนทักษะกระบวนการกลุ่มสูงขึ้น เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทักษะกระบวนการท างานกลุ่มของนักเรียนหลังจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อาจเนื่องมาจากความส าเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับความสามัคคีและช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน นอกจากคะแนนที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือกันแล้วยังมีการประเมินหรือการ ทดสอบของแต่ละบุคคล ซึ่งคะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะน ามารวมกัน และหาค่าเฉลี่ยเป็นคะแนนกลุ่ม นักเรียนที่ท าคะแนนได้มากที่สุดหรือกลุ่มใดที่มีคะแนนมากที่สุดก็จะได้รับการเสริมแรงจากครูดังนั้น ในขั้นที่ 2 คือขั้นท างานร่วมกันเป็นทีม สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยอธิบาย เนื้อหาที่เพื่อนยังไม่เข้าใจ ซึ่งจากผลการสังเกตการวัดทักษะกระบวนการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง วัสดุและการใช้ประโยชน์ ที่ได้เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกม ออนไลน์พบว่ามีคะแนนเฉลี่ย 4.33 นักเรียนมีทักษะกระบวนการท างานกลุ่มอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1.1 การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค (STAD) ร่วมกับเกมออนไลน์ สามารถน าไปใช้ได้กับทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ต้องการให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เป็น ข้อเท็จจริง เกิดความคิดรวบยอด และค้นหาสิ่งที่มีค าตอบแน่นอน ชัดเจน 1.2 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์จะต้องเน้นนักเรียนเป็น ส าคัญ ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติจริง โดยผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ครูจะต้องคอยดูแลอย่างชิดใกล้ เพื่อให้กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ 2. ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยต่อไป 2.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกแบบหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยสามารถน าการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบอื่น ๆ มาใช้ในการจัดกิจกรรมสาระการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ 2.2 สามารถศึกษาหรือเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์(STAD) กับการจัดการเรียนรู้แบบอื่น ๆ เพื่อให้เห็นความชัดเจน ของผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาเพิ่มมากขึ้น


41 บรรณานุกรม กาญจนา ไชยพันธ์. (2549). กระบวนการกลุ่ม. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การประเมินผลตามสภาพจริง. วารสารการศึกษาปฐมวัย. 6(1): 26–33. กนกภรณ์ ทองระย้า. (2557). ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือ STAD เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและ พัฒนาหลักสูตร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. กรมวิชาการ. (2544). การเรียนรู้แบบร่วมมือ. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว. แขมมณี. (2553). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกที่หลากหลาย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แคทลียา ใจมูล. (2550). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค STAD ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนห้วยส้านยาว วิทยาส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2. วิทยานิพนธ์หลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. จารวี ยั่งยืน. (2549). สัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพในกลุ่มเพื่อน และก ารเปิดรับสื่อเกม ออนไลน์กับ พฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ของนักเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งใน เขต อ าเภอเมือง จังหวัด สมุทรปราการ.วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาวิชาพัฒนาสังคมศาสตร์.โครงการสหวิทยาการระดับบัณฑิตศึกษา . มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. จินตนา ค าสอนจิก. (2553). การพัฒนาชุดการสอน เรื่อง สารเคมีในชีวิตประจ าวันโดยใช้การ์ตูน อนิเมชั่นเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒประสานมิตร. จิราภรณ์ พรมสืบ. (2559). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รายวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง สารละลายกรดและเบส. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเคมีศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย บูรพา.


42 บรรณานุกรม (ต่อ) ชัญญา อภิบาลกุล. (2552). การใช้กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ในการฝึกอบรม. วารสารส่งเสริม ประสิทธิภาพการเรียนการสอน. 8(1): 13-19.. ชาญวิทย์ พรนภดล. (2556). มารู้จัก...ประเภทเกมอิเล็กทรอนิกส์กันเถอะ. [ออนไลน์] สืบค้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565. จาก http://www.healthygamer.net/information/story/14134 เทพศิรินทร์ พุแค จังหวัดสระบุรี. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ธีรวัฒน์ผิวขม ชุติมา วัฒนะศีรี และราชันย์บุญธิมา. (2556). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิทยาศาสตร์ และความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิคจิ๊กซอ. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ธนพัทธ์ เอมะบุตร. (2558). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อก ารตัดสินใจเลือกเล่นเกมออนไลน์ของ ประช าชนในกรุงเทพมห านครปี 2558 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. นันทชัย นวลสะอาด. (2554). ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้ วิธีการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. บุญชม ศรีสะอาด. (2541). การพัฒนาการสอน. กรุงเทพฯ: ชมรมเด็ก. เบญจพร ปัณฑพลังกูร. (2551). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความฉลาด ทางอารมณ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD กับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ประทีป แสงเปี่ยมสุข. (2550). กระบวนการกลุ่มภาคปฏิบัติมิติหนึ่งของการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น ส าคัญ. กรุงเทพฯ: เมธีทิปส์.


Click to View FlipBook Version