The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Service Plan Sharing ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by region5.cso, 2022-09-04 23:35:26

ผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 5

Service Plan Sharing ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

สำนักงานเขตสุขภาพที่ 5
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 5

Service Plan Sharing

ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565

ชือ่ หนังสือ ผลงานวชิ าการ เขตสุขภาพท่ี 5 Service Plan Sharing ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

ทีป่ รึกษา นายธนรกั ษ์ ผลพิ ฒั น์ ผตู้ รวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสขุ ภาพท่ี 5
นายกิตติ กรรภิรมย์ สาธารณสขุ นิเทศก์ เขตสขุ ภาพท่ี 5
นางปาจรยี ์ อารยี ร์ บ ผู้อานวยการสานกั งานเขตสุขภาพที่ 5
นางจารุภา ขอเสงยี่ ม ผชู้ ่วยผ้ตู รวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพท่ี 5
นายรักษ์พงศ์ เวียงเจริญ ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสขุ ภาพ
เขตสุขภาพที่ 5

กองบรรณาธกิ าร 1. นายนคิ ม มะลิทอง 12. นายวบิ ูลย์ ภณั ฑบดีกรณ์
2. นายธนพัฒน์ พวงเพชร 13. นางกิตตยิ า มหามงคล
3. นางสมพิศ จาปาเงิน 14. นางมนิธี ต่อเศวตพงศ์
4. นายยทุ ธกรานต์ ชนิ โสตร 15. นางปรยิ ชาต์ สธนเสาวภาคย์
5. นายอมรเทพ บุตรกตัญญู 16. นายอนุชา วรหาญ
6. นายประดษิ ฐ์ ไชยบุตร 17. นายณรงค์ เหน็ ประเสรฐิ แท้
7. นายอภิวฒั น์ บัณฑิตยช์ าติ 18. นางพยอม อุดมคา
8. นายสทิ ธิรักษ์ บวั แกว้ 19. นายเอกโชติ พีรธรรมานนท์
9. นายพรชัย พงศ์ประภากร 20. นายมารตุ วฒั นวงศ์วบิ ูลย์
10. นางสาวมนัญญา วรรณไพสฐิ กลุ 21. นายวทญั ญู ต้ังศิรอิ านวย
11. นายจิรภัทร กลั ป์ยาณพจน์พร 22. นายณัฐพงศ์ กาญจนะโกมล

ผู้ประสานงาน นางพรระวี วงั เวงจิตต์
นางปาริชาต ทิพยโสตญาน
นางสาวรรสิ า แสงแดง
นางสาวณฐั วดี เหมือนสงิ ห์

จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย สานกั งานเขตสุขภาพที่ 5 อาคารสานักงานสาธารณสุขจังหวดั ราชบรุ ี
ตาบลหน้าเมือง อาเภอเมือง จังหวัดราชบรุ ี 70000
โทร 0 3232 3014 โทรสาร 0 3232 3015

จานวนพิมพ์ 120 เล่ม

สารบญั

สาขาโรคมะเร็ง 1
4
 การลดระยะเวลารอคอยในการวนิ จิ ฉยั วนิ จิ ฉัยโรคมะเรง็ ลาไสใ้ หญ่และลาไสต้ รง 7
ในโรงพยาบาลนครปฐม (Colorectal Cancer Fast Track in Nakhon Pathom Hospital)
9
 ปจั จยั ที่มคี วามสมั พันธก์ บั การมารบั ยาเคมบี าบัดอย่างต่อเน่ืองของผู้ป่วยมะเรง็ เตา้ นม 11
ท่มี ารบั การรักษาในโรงพยาบาลโพธาราม 14
17
 การเพ่ิมประสิทธิภาพการวางแผนดูแลผปู้ ว่ ยมะเร็งโดยทมี Multidisciplinary Tumor 20
Conference (Multidisciplinary Tumor Conference to care management plan 23
for all cancer patients) 26
29
สาขาอุบัติเหตแุ ละฉกุ เฉิน
32
 ดงึ ข้อสะโพกให้เข้าท่ี ท่หี อ้ งฉุกเฉนิ รกั ษาได้เร็วและผลลพั ธด์ เี ยี่ยม 35

สาขาทารกแรกเกดิ

 การศกึ ษาผลการดูแลรกั ษาทารกแรกเกดิ จากมารดาท่ีมีการตดิ เชอ้ื ซิฟิลิส
ขณะตั้งครรภ์ทคี่ ลอดในโรงพยาบาลสามพราน จังหวัดนครปฐม

 ปจั จยั เสย่ี งทม่ี ผี ลต่อความล้มเหลวของการใช้ High flow nasal cannula (HFNC)
ในทารกแรกเกดิ ท่มี ีภาวะหายใจลาบาก

 ตู้เคลอ่ื นยา้ ย และชุดจา่ ยอากาศบริสุทธ์ิ ปอ้ งกันการติดเชื้อทางเดนิ หายใจ
สาหรบั ทารก Power Air Purified Transporter for baby (PAPT) COVID-19

 การพัฒนาสิง่ ประดิษฐ์หมอนหนนุ รองคอจดั ทา่ ใส่ท่อชว่ ยหายใจในทารกแรกเกิด

สาขาแมแ่ ละเด็ก

 ผลของโปรแกรมการวางแผนจาหน่ายมารดาหลังคลอด หอผ้ปู ว่ ยพิเศษ VIP
โรงพยาบาลประจวบครี ีขันธ์

 “การเพมิ่ ประสิทธิภาพการดูแลมารดา Preterm Labour”

 นวดสัมผัสจากแม่สู่ลกู ทมี่ ผี ลต่อการเจริญเติบโตของลกู และสร้างความผกู พันสายใยรัก
ระหว่างมารดาและทารก คลินกิ หมอครอบครัว โรงพยาบาลพระจอมเกลา้ จังหวดั เพชรบุรี

สาขาระบบบรกิ ารสุขภาพปฐมภูมิ และสขุ ภาพอาเภอ

 แนวปฏิบัติในการดาเนินการปอ้ งกนั และควบคมุ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
สาหรบั โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบลในจังหวัดสมุทรสงคราม

 วคั ซนี ..ชายขอบ

สาขาสุขภาพชอ่ งปาก 38
41
 ศนู ยท์ ันตกรรมโรงพยาบาลหว้ ยพลู 44
46
 โครงการแปรงฟันซา้ ยา้ เลิกขวด 49
55
 Herb For Fun D : ไข่มุกปอ๊ ป..ยอ้ มสี (สมุนไพร) ฟนั
56
 การพฒั นางานบริการใส่ฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุ อาเภอบา้ นลาด จงั หวดั เพชรบุรี 60
62
สาขาไต
64
 การพฒั นาระบบแนวทางการดแู ลผปู้ ่วยโรคไตวายเรื้อรังแบบ “ตน้ นา้ ปลายใจ”
โรงพยาบาลสามร้อยยอด จังหวดั ประจวบครี ีขันธ์ 67
70
 การรักษาโดยการดูดซบั สาร cytokine ในเลือดของผูป้ ่วยโควิด 19 ที่โรงพยาบาลราชบรุ ี 73
(Adsorption therapy in COVID-19 patients at Ratchaburi hospital and clinical 76
experience) 78

 แนวทางการดูแลผู้ปว่ ยโรคไตวายทไี่ ด้รบั การบาบัดทดแทนด้วยการฟอกเลอื ด
ดว้ ยเครื่องไตเทยี มในห้องแยกเดยี่ วทีม่ แี รงดนั เป็นลบ

 นวัตกรรมจกุ ปดิ safety connecter ระบบน้า RO For HD ไตเทยี ม โรงพยาบาลนครปฐม

สาขาตา

 ปจั จยั ทีเ่ ปน็ สาเหตขุ องการกลับมาวดั เลนสแ์ กว้ ตาเทยี มซ้า (Causing Factors of
Return Measuring Intra ocular lens)

สาขาโรคไม่ติดตอ่

 การพัฒนา “นวัตกรรมดผู ลเลอื ดออนไลน์” เพ่ือการปรับเปล่ยี นพฤติกรรม
ผ้ปู ว่ ยเบาหวานชนดิ ที่ 2

สาขาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ผสมผสาน

 การศึกษาประสทิ ธิผลการใช้ยาฟ้าทะลายโจรตอ่ การร่วมรักษาผปู้ ่วยโรคโควิด-19
โรงพยาบาลโพธาราม จงั หวัดราชบุรี

 การศกึ ษาผลการป้องกันการเกดิ ภาวะ Post Covid โดยการใชศ้ าสตร์การแพทย์แผนไทย
ในผปู้ ว่ ย COVID-19 โรงพยาบาลอูท่ อง จงั หวัดสุพรรณบรุ ี

 การบรู ณาการองคค์ วามรู้ในคัมภีรแ์ พทยแ์ ผนไทยรว่ มรกั ษาโรคโควิด-19
โรงพยาบาลโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี

 ผ้ายาง ๓ มิติ (ประหยัด ปลอดภยั ภมู ใิ จ)

 การศึกษาเปรียบเทยี บผลของการรับประทานน้ากระชายกับนมถ่วั เหลอื งในผู้ป่วย
โรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ในโรงพยาบาลมะการักษ์
จังหวดั กาญจนบุรี ปี 2564

 ประสิทธผิ ลของการนวดรักษาแบบราชสานกั และการพอกยาสมุนไพรในผู้ป่วย 82
โรคลมปลายปตั คาตน้วิ มือ (นิ้วลอ็ ก) โรงพยาบาลนครปฐม ปี 2563

 การศกึ ษาประสิทธผิ ลการนวดไทยแบบทวั่ ไปกบั การนวดไทยแบบราชสานัก 85
ในการลดอาการปวดบา่ ต้นคอ และศรี ษะ โรงพยาบาลนครปฐม

สาขาการรบั บริจาคและการปลูกถ่ายอวัยวะ

 “The COVID-19 pandemic and organ donation and transplantation in Maeklong” 88

สาขาการใชย้ าอย่างสมเหตุผลและการจัดการการดอื้ ยาต้านจุลชีพ (RDU – AMR)

 “ระบบการป้องกันแพย้ าซ้า...สุดตา๊ ซซ” 91

 “การพฒั นาระบบการดแู ลดา้ นยาผู้ป่วยตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ณ โรงพยาบาลสนามทองอุไร” 94

สาขาการดูแลระยะเปลี่ยนผ่านผ้ปู ่วยก่ึงเฉียบพลัน (Intermediate Care) และการดแู ลแบบ 97
ประคับประคอง (Palliative Care)

 “เพิม่ ประสทิ ธิภาพการดแู ลผู้ปว่ ยระยะเปลย่ี นผ่าน (Intermediate care; IMC)”

 “การเพิม่ ประสิทธภิ าพการจดั การความปวด” 100

สาขาศัลยกรรม

 การเปรยี บเทยี บผลการผ่าตัดรกั ษาภาวะน่วิ ในถุงน้าดรี ะหว่างการผา่ ตัดแบบเปิด 103
และการผา่ ตัดแบบสอ่ งกล้อง COMPARE COMPLICATION OUTCOMES
OPEN CHOLECYSTECTOMY AND LAPAROSCOPIC CHOLECYSTECTOMY
IN MAKARAK HOSPITAL

 Home vacuum dressing เครือ่ งทาแผลความดันลบท่บี ้าน 105
สาขาอายรุ กรรม 107

 การพัฒนาการดแู ลผปู้ ่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรอื อุดตนั โรงพยาบาลโพธาราม
จงั หวดั ราชบุรี

สาขาออร์โธปิดกิ ส์

 การใชแ้ ผ่นฟลิ ม์ พลาสติกถนอมอาหารรักษาบาดแผลดว้ ยระบบสญุ ญากาศ 110
(The application of Food Wrap for Negative pressure wound therapy)

สาขาการใช้กญั ชาทางการแพทย์

 นวัตกรรม การแปะยาชาชงผสมกัญชา 113

1
เรือ่ ง การลดระยะเวลารอคอยในการวนิ ิจฉัยโรคมะเรง็ ลาไส้ใหญแ่ ละลาไส้ตรง
ในโรงพยาบาลนครปฐม (Colorectal Cancer Fast Track in Nakhon Pathom Hospital)

นายธวชั สภณ ธรรมบารุง นายแพทย์ชานาญการ
นางสาวจฑุ าภรณ์ สามสที อง นายแพทยช์ านาญการ

นางสาวบุณฑริกา จุนถาวร นายแพทย์ชานาญการ
นางสาวปทั มา ตันติเกตุ นายแพทยช์ านาญการ

กล่มุ งานอายุรกรรม กลุ่มงานศลั ยกรรม กลุ่มงานพยาธิวทิ ยา กลุ่มงานรงั สีวินิจฉยั โรงพยาบาลนครปฐม
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา

มะเร็งลาไส้ใหญ่และลาไสต้ รง เป็นมะเรง็ ทพี่ บมากทีส่ ุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี พ.ศ. 2561 พบผู้ป่วย
รายใหม่ 1,849,518 คน และยงั เปน็ สาเหตุหลักของการเสียชวี ติ จากโรคมะเรง็ กวา่ 880,792 คน1 ในประเทศไทย
ข้อมูลของฐานข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วย มะเร็งประเทศไทย (Cancer Registry database) ปี พ.ศ. 2563 โดย
สถาบนั มะเร็งแห่งชาติ พบว่าผู้ปว่ ยมะเรง็ ลาไส้ใหญ่กว่าร้อยละ 50 ตรวจพบเมื่อเป็นระยะแพร่กระจาย (ระยะที่ 4)
และอีกกวา่ ร้อยละ 30 เปน็ ระยะที่มีการกระจายไปยังต่อมน้าเหลืองแล้ว (ระยะท่ี 3)2 ซ่ึงในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิต
จากสาเหตุดังกล่าวกว่า 3,000 คน ซ่ึงมีการคาดการณ์จาก The International Agency for Research on Cancer
(IARC) ว่าประเทศไทยจะมีจานวนผู้ป่วยมะเร็งดังกล่าวเพิ่มข้ึนกว่าร้อยละ 67 และมีอัตราการเสียชีวิตเพ่ิมข้ึน
รอ้ ยละ 68.3 ภายในปี พ.ศ. 2583 หากไม่มีการดาเนนิ การแก้ไขใดๆ1

โดยปกติ เม่ือผู้ป่วยมะเร็งลาไส้ใหญ่เร่ิมเข้าสู่กระบวนการการวินิจฉัยและรักษา ผู้ป่วยจะต้องทาการ
ตรวจวนิ จิ ฉยั ด้วยการส่องกล้อง (Colonoscopy) เพ่อื ทาการตดั ชนิ้ เน้ือเพ่ือตรวจวิเคราะห์ทางพยาธิวิทยา และ
ทาการตรวจวนิ จิ ฉัยทางรังสีวิทยาเพ่ือระบุระยะของโรค เพื่อวางแนวทางการรักษาต่อไป ซึ่งใช้ระยะเวลารอคอย
ค่อนข้างนาน ขอ้ มูลในปงี บประมาณ 2564 ผ้ปู ว่ ยมะเรง็ ลาไส้ใหญแ่ ละลาไส้ตรง ในโรงพยาบาลนครปฐม มีระยะเวลา
การรอคอยการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา เฉล่ีย 4.03  0.20 วัน ถึงแม้ว่าระยะเวลารอคอยในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
ลาไส้ใหญ่และลาไส้ตรง ในการตรวจวิเคราะห์ทางพยาธิวิทยา ในโรงพยาบาลนครปฐมจะได้รับการพัฒนาจน
ลดระยะเวลาดังกล่าวได้ประจักษ์ชัด แต่ระยะเวลารอคอยในการวินิจฉัยฯ ยังไม่ได้ลดลงอย่างที่ควรจะเป็น จึงเป็น
ท่มี าในโครงการนารอ่ งเพอ่ื ลดระยะเวลารอคอยดงั กลา่ ว ในกลมุ่ ผปู้ ่วยมะเรง็ ลาไส้ใหญ่ และลาไสต้ รง
วัตถปุ ระสงค์

เพือ่ พฒั นาระบบการวนิ จิ ฉยั และรกั ษาผูป้ ่วยโรคมะเร็งลาไสใ้ หญ่และลาไสต้ รง เพือ่ ให้ได้รับการตรวจวินิจฉัย
ทางรังสีวิทยา เพ่ือลดระยะเวลาการรอคอยในการวินิจฉัยส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม
เพ่ือเพม่ิ อัตราการรอดชวี ติ และคณุ ภาพชีวิตผ้ปู ่วย ณ โรงพยาบาลนครปฐม ภายในปงี บประมาณ 2565

1 International agency for research on center. Cancer tomorrow. Geneva, Switzerland: World Health Organization; 2018.
2 National Cancer Institute. Hospital based cancer registry 2020. Bangkok, Thailand: National Cancer Institute; 2021.

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

2
วธิ ีดาเนินการ

โครงการนี้เป็นโครงการนาร่องโดยศึกษาไปครั้งหน้า (Prospective Pilot Study) โดยศึกษานาร่องในผู้ป่วย
ท่ไี ด้รับวินิจฉัยโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่และลาไส้ตรง หรือตรวจพบการกลับเป็นซ้า ภายหลังการรักษาโดยอายุรแพทย์
หรือศลั ยแพทย์ โรงพยาบาลนครปฐม ตง้ั แต่ วนั ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันท่ี 30 กันยายน พ.ศ. 2565 โดยผู้ป่วย
จะได้รับการนัดตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยา ควบคู่ไปกับการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อประเมินและวางแผนการ
รกั ษาผ้ปู ว่ ยแบบองคร์ วม โดยคณะกรรมการสหสาขาวิชาชีพของศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลนครปฐม (ภาพประกอบที่ 1)
โดยยกเว้นผปู้ ่วยฉุกเฉนิ ท่ีตอ้ งไดร้ บั การผ่าตัดเร่งด่วนอันเน่ืองมาจากโรคมะเร็ง หรือผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจาก
โรงพยาบาลอ่ืน โดยโครงการดังกล่าวจะรายงานผลเบื้องต้น (Preliminary report) เม่ือระยะเวลาการผ่านไป
6 เดือน เพื่อวิเคราะห์ ปรับปรุง และพัฒนาโครงการ หรืออาจจะยุติโครงการนาร่องก่อนกาหนด เพื่อปรับใช้
เป็นโครงการระยะยาวหากผลการดาเนินการอยู่ในเกณฑ์ดี และอาจจะพัฒนาไปยังโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ต่อไป
โดยเปรยี บเทียบกบั ปีงบประมาณ 2564

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

3
ผลการดาเนินการ

จากการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่ได้เข้าโครงการนาร่องเพ่ือลดระยะเวลารอคอยในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
ลาไสใ้ หญแ่ ละลาไสต้ รง ในโรงพยาบาลนครปฐม ตงั้ แต่วนั ท่ี 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 – 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 เป็นเวลา
ทงั้ สิน้ 6 เดอื น จึงได้สรุปรายงานเบื้องตน้ ดงั นี้ มีผปู้ ว่ ยที่ไดร้ บั วินิจฉัยโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่และลาไส้ตรง ทั้งส้ิน 117 คน
โดยเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน 40 คน และยังไม่ได้รับการวินิจฉัยทางรังสีวิทยา 2 คน โดยมีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ในการ
เข้าร่วมโครงการนารอ่ งฯ ทัง้ สิน้ 75 คน จากขอ้ มลู พื้นฐานในปีงบประมาณ 2564 และ 2565 พบว่าผู้ป่วยได้รับ
การผ่าตัดประมาณร้อยละ 30 และมีระยะเวลารอคอยเฉล่ีย 25 วัน ในปีงบประมาณ 2564 และ 20 วัน ใน
ปีงบประมาณ 2565 มีอัตราการได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบาบัด ประมาณร้อยละ 50 โดยมีระยะเวลารอคอย
การรกั ษาประมาณ 23 และ 27 วัน ในปงี บประมาณ 2564 และ 2565 ตามลาดบั

เม่ือพิจารณาผลการดาเนินงานของโครงการนาร่องการลดระยะเวลารอคอยการวินิจฉัยทางรังสีวิทยา
จะพบว่า ในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเริ่มโครงการนาร่องฯ ผู้ป่วยใช้ระยะเวลารอคอยดังกล่าว
เฉล่ีย 16 ± 29.18 วัน เทยี บกับภายใตโ้ ครงการนาร่องฯ พบว่าระยะเวลาเฉลี่ยลดเหลือเพียง 3.21 ± 7.28 วัน
ซึ่งมีค่าระยะเวลาเฉลี่ยแตกต่างกัน 12.79 ± 3.47 วัน อย่างมีนัยยะสาคัญทางสถิติ (P-value = 0.003) เม่ือคานวณ
ดว้ ยวิธี Mean Difference t-test

อภปิ รายผล
มะเร็งลาไสใ้ หญ่และลาไสต้ รง เป็นมะเร็งท่ีพบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และประเทศไทย โดยเป็น

สาเหตกุ ารเสยี ชีวิตของผู้ปว่ ยมากเป็นอนั ดับสองทัว่ โลก ใน พ.ศ. 2561 ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมถึง
สน้ิ เปลอื งคา่ ใช้จา่ ยในการรักษาจานวนมาก

ถึงแมว้ า่ จะมที รัพยากรท่ีจากดั ทัง้ ดา้ นบคุ ลากร และเครื่องมอื แต่จากโครงการนารอ่ งดงั กล่าว แสดงใหเ้ ห็นว่า
ถ้าเราสามารถแบง่ ระดบั ความสาคัญ และแบ่งส่วนของผู้ป่วยจะทาให้ผู้ป่วยเข้าถึงระบบการบริการทางสุขภาพ
ได้อยา่ งรวดเร็ว ส่งผลไปยังการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม และน่าจะส่งผลถึงอัตราการรอดชีวิตของ
ผู้ป่วยในอนาคตต่อไป เห็นได้จากโครงการนาร่องฯ นี้ ลดระยะเวลาการรอคอยเฉล่ียในการตรวจวินิจฉัยทาง
รังสีวทิ ยากว่า 13 วัน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติ

ความภาคภมู ใิ จ
โรงพยาบาลนครปฐม และความร่วมมือของสหสาขาวชิ าชพี ในศนู ยค์ วามเป็นเลิศด้านมะเร็ง โดยได้รับ

การสนบั สนุนอย่างดีจากผู้บริหารโรงพยาบาล ก่อให้เกิดโครงการนาร่องการลดระยะเวลารอคอยการตรวจวินิจฉัย
ผูป้ ว่ ยมะเร็งลาไส้ใหญ่ และลาไส้ตรง ทั้งด้านพยาธิวิทยา และรงั สวี ทิ ยา จากการจัดระดับความสาคัญของผู้ป่วย
และแพทย์ ทาให้ลดระยะเวลาการรอคอยของผู้ป่วยได้ชัดเจน อาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ป่วยมะเร็งลาไส้ใหญ่และ
ลาไส้ตรงของโรงพยาบาลนครปฐม จะสามารถทราบแนวทางการรักษาเบ้ืองต้นของตนเองได้ หลังจากวินิจฉัย
เพียง 1 สปั ดาหเ์ ท่านนั้ และจากความสาเร็จนี้ จะตอ่ ยอดไปยงั ผปู้ ่วยมะเร็งอ่ืนๆ ต่อไปในอนาคต

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

4

เรอื่ ง ปจั จัยท่ีมคี วามสัมพันธก์ ับการมารับยาเคมบี าบัดอย่างต่อเน่ืองของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
ทมี่ ารักษาในโรงพยาบาลโพธาราม

นางสาวองิ อร พงศ์พุทธชาติ
พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ โรงพยาบาลโพธาราม

ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
มะเร็งเต้านมเป็นโรคมะเร็งท่ีพบมากเป็นอันดับหนึ่งของของสตรีท่ัวโลกโดยพบถึงร้อยละ 25.2 ของ

โรคมะเร็งในสตรีและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงร้อยละ 14.7 ของสตรีที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งท้ังหมด (Ferlay
et al,2013) สาหรับในประเทศไทยจากข้อมูลสถิติสาธารณสุข ปี 2560 พบว่าโรคมะเร็งทุกชนิดมีอัตราตายสูงท่ีสุด
เป็นอนั ดบั 1 จากสาเหตุการตายทกุ ชนิด และอตั ราตายท่ีจาแนกตามกลุ่มโรคมะเร็งต่อประชากร 100,000 คน
พบว่าโรคมะเรง็ เต้านมมอี ัตราตาย สูงเปน็ อนั ดับท่ี 3 จานวน 4,117 ราย คิดเป็นอัตรา 12.6 ต่อประชากร 100,000 คน
และจากข้อมลู สถติ ิสถาบนั มะเร็งแหง่ ชาตจิ าแนกตามเขตบริการสุขภาพ ปี 2560 พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่
สงู เป็นอนั ดับ 1 จาก 10 อันดับแรกท่วั ประเทศ จานวน 780 ราย คดิ เป็นรอ้ ยละ 22.72

การรักษาโรคมะเร็งเต้านมในปัจจุบันนิยมใช้วิธีการผ่าตัดร่วมกับเคมีบาบัด (chemotherapy) เป็น
วิธีการรักษาในกรณีท่ีมะเร็งอยู่ในระยะแพร่กระจายและใช้เป็นการรักษาเสริม (adjuvant chemotherapy)
ร่วมกับการผ่าตัด และอาจใช้เป็นยานา (Neoadjuvant Chemotherapy) ก่อนการผ่าตัดหรือฉายแสงการให้
เคมบี าบัดนยิ มนายาเดย่ี วจากหลายกลุ่มมาใช้รว่ มกนั เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการรักษาลดพิษของยาแต่ละชนิดลง
ทาให้ผลการรกั ษาดีขึ้นและลดการด้อื ยาของโรคมะเร็ง จากการทบทวนผลการดาเนินงานท่ีผ่านมา พบว่ามีผู้ป่วย
มะเร็งเต้านมและได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดและรับยาเคมีบาบัดสูตรพื้นฐาน ในหอผู้ป่วยศัลยกรรม
โรงพยาบาลโพธารามระหวา่ งปี พ.ศ.2549 ถงึ พ.ศ.2562 รวมจานวนทั้งหมด 193 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิต 31 ราย
(เวชระเบยี น โรงพยาบาลโพธาราม, 2562) ระหว่างรับยาเคมีบาบัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่อง
จนครบตามแผนการรักษา (รับยาตรงตามนัดทุกคร้ัง) จานวน 162 ราย และผู้ป่วยท่ีมารับยาเคมีบาบัดไม่ต่อเน่ือง
จานวน 31 ราย สาเหตุสว่ นใหญ่ท่ีผู้ปว่ ยมารับยาเคมีบาบัดไมต่ ่อเนอ่ื ง คือ ผลการตรวจเลือดก่อนรับยาเคมีบาบัด
มจี านวนเมด็ เลอื ดขาวตา่ กวา่ เกณฑ์ ผู้ป่วยบางรายมีอาการข้างเคยี งจากยาเคมีบาบัด เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ทาให้
ไม่สามารถมารับยาตรงตามระยะเวลาที่กาหนด ต้องเล่ือนระยะเวลาท่ีรับยาออกไปและมีผู้ป่วยบางรายปฏิเสธ
การรบั ยาเคมีบาบดั ในชว่ งระหวา่ งการรกั ษา ทาใหไ้ ด้รบั ยาไม่ครบตามแผนการรกั ษา

ผ้วู จิ ยั จงึ จะศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่องของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมท่ีมารักษา
ในโรงพยาบาลโพธาราม ได้แก่ อายุ การศกึ ษา อาชีพ รายได้ สถานภาพสมรส โรคร่วมของผู้ป่วย ระยะของโรคมะเร็ง
ชนิดของการรักษาเสริมด้วยยาเคมีบาบัด และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการก่อนให้ยาเคมีบาบัดเพ่ือนาผล
การศึกษาท่ไี ดม้ าเป็นข้อมูลพื้นฐานและพัฒนาแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมให้ได้รับการรักษาด้วย
ยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่องจนครบตามแผนรกั ษาโดยหวังผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ครอบคลุม สามารถเข้าถึงบริการ
การรกั ษามากยิ่งขึน้ และมกี ารพยากรณ์โรคท่ดี ี

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

5
วัตถุประสงค์

เพื่อศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่องของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมท่ีมารักษา
ในโรงพยาบาลโพธาราม
วิธีดาเนนิ การ

เป็นการศึกษาแบบพรรณนาย้อนหลัง (retrospective descriptive study) ประชากรท่ีศึกษาครั้งน้ี
คอื เวชระเบียนผู้ป่วยและข้อมูลทะเบียนมะเร็งจากโปรแกรม Thai Cancer Base และโปรแกรม HosXP โดย
กลมุ่ ตวั อยา่ ง คือ ผปู้ ว่ ยมะเรง็ เต้านมท่ีมารักษาดว้ ยการผ่าตัดและรับยาเคมีบาบัดในโรงพยาบาลโพธาราม ระหว่าง
วันท่ี 1 มกราคม 2553 ถึงวันท่ี 31 สิงหาคม 2562 จานวน 118 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกเก็บข้อมูลปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ืองของผู้ป่วย
มะเรง็ เต้านมที่มารบั การรักษาท่โี รงพยาบาลโพธารามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
ความถ,่ี รอ้ ยละ, สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน, chi-square test และ Fisher’s exact test

ผลการดาเนินการ
1. จากการวิเคราะห์ปจั จยั สว่ นบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง มีจานวนท้ังส้ิน 118 คน ผู้ป่วยท้ังหมดเป็นเพศหญิง

สว่ นใหญ่ร้อยละ72.9มีอายนุ อ้ ยกวา่ 60ปี อายเุ ฉลี่ย53.17ปี ผทู้ มี่ อี ายุมากทส่ี ุด คือ 85ปี อายุน้อยท่ีสุดคือ 31 ปี ส่วนใหญ่
มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 57.6 ระดบั การศึกษา ส่วนใหญ่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 75.4 และพบว่า
มีอาชีพรับจ้าง รอ้ ยละ 47.5 ส่วนรายได้มากกว่า 5,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 68.6 และส่วนใหญ่ร้อยละ 58.5
ไม่มีโรคประจาตัว

2. ปจั จัยด้านโรคมะเร็ง ด้านการรักษา ทางคลินิก และการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่องของผู้ป่วย
มะเร็งเตา้ นมโรงพยาบาลโพธาราม พบวา่ ผู้ป่วยสว่ นใหญร่ ้อยละ 50.8 เป็นมะเร็งเตา้ นมระยะที่ 2 รองลงมาเป็น
ระยะท่ี 1 ร้อยละ 33 และพบว่าร้อยละ 87.3 ได้รับการรักษาชนิด Adjuvant Chemotherapy ร้อยละ 12.7
รกั ษาชนดิ Neoadjuvant Chemotherapy ส่วนผลการตรวจทางห้องปฏบิ ตั ิการ ส่วนใหญ่รอ้ ยละ 81.4 ไม่พบ
ภาวะเม็ดเลอื ดขาวนวิ โทรฟิลต่า (ANC) ไมพ่ บระดับเม็ดเลือดขาวต่า (White blood cell) ร้อยละ 50.8 ไม่พบ
Neutrophil ในเลือดต่า รอ้ ยละ 84.7 ไม่พบระดบั ฮีโมโกลบนิ ในเลอื ดต่าและระดบั ฮีมาโตคริตในเลือดต่าร้อยละ 68.6
ท้ังสองชนดิ และพบวา่ ผู้ป่วยมะเรง็ เตา้ นมท่มี ารบั ยาเคมีบาบัดสว่ นใหญร่ อ้ ยละ 72.9 มารบั ยาเคมบี าบัดอย่างต่อเน่ือง
ร้อยละ 27.1 มารับยาเคมีบาบดั ไมต่ ่อเน่อื ง

3. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปจั จยั ทางคลินิกของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มารักษาในโรงพยาบาลโพธารามกับ
การมารับยาเคมีบาบดั อย่างต่อเน่อื ง พบว่า ภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่า (ANC) และระดับ Neutrophil ในเลือดต่า
มีความสมั พนั ธ์กับการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ือง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยพบว่า ผู้ป่วย
ท่มี ารับยาเคมีบาบดั อยา่ งต่อเน่ือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 91.9 ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่า (ANC) และไม่มี
ระดับ Neutrophil ในเลอื ดต่า ร้อยละ 91.9 เท่ากัน

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

6

อภิปรายผล
ผลการวิจัยสามารถนามาอภปิ รายผลได้ดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์การมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ืองของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มารักษาในโรงพยาบาล

โพธาราม พบว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มารับยาเคมีบาบัดส่วนใหญ่ร้อยละ 72.9 มารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ือง
โดยพบว่าปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ สถานภาพสมรส โรคร่วมของผู้ป่วยไม่มีความสัมพันธ์
กับการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ือง ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของ Vijay และคณะ(2019) ที่ศึกษาปัจจัยที่
เกย่ี วข้องกับการมารับการรักษาด้วยยาเคมีบาบัดแบบ Neoadjuvant chemotherapy อย่างต่อเน่ืองของผู้ป่วย
มะเร็ง 486 คน ได้แก่ ปัจจัยด้านอายุ เพศ การศึกษา รายได้ อาชีพ สถานที่อาศัย สิทธิการรักษา โดยพบว่ามี
ผู้ปว่ ย 91 คน ท่มี ารบั ยาไมต่ ่อเนื่องและพบวา่ ไมม่ ีความแตกต่างกนั ในดา้ น เพศ อาชีพ การศกึ ษา สิทธิการรักษา

2. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัจจัยทางคลนิ ิกของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมท่ีมารักษาในโรงพยาบาลโพธารามกับ
การมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ือง พบว่าภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลในเลือดต่า(ANC) และระดับ Neutrophil
ในเลอื ดต่า มีความสมั พนั ธ์กบั การมารับยาเคมบี าบัดอย่างต่อเนื่อง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เน่ืองจาก
ยาเคมีบาบัดท่ีได้รับในรอบแรกจะเป็นสูตรยาที่เร่ิมจากยา Antracycline เช่น AC FAC และ FEC ซ่ึงผลข้างเคียง
ของยา Antracycline นอกจากการทางานของกดไขกระดกู แลว จะทาใหเกิดอาการคลื่นไส อาเจียน เย่ือบุชองปาก
อกั เสบและผมรวง ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มารักษาในโรงพยาบาลโพธาราม หลังผ่าตัดเต้านมจะได้รับการรักษาเสริม
ดว้ ยยาเคมบี าบัด (Adjuvant Chemotherapy) สตู ร FAC ผลการวิจัยครั้งน้ีพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 87.3
มารับยาเคมบี าบดั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยผู้ปว่ ยร้อยละ 91.9 ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่า(ANC) และไม่มีระดับ
Neutrophil ในเลอื ดต่า รอ้ ยละ 91.9 เทา่ กัน สอดคล้องกบั การศึกษาของสวุ คนธ์ แกว้ อ่อนและคณะ (2539) ท่ี
ศกึ ษาการตดิ ตามผปู้ ว่ ยทม่ี ารบั ยาเคมีบาบัดท่โี รงพยาบาลขอนแกน่ จานวน 521 ราย พบว่ามีผู้ป่วยมารับยาไม่ต่อเนื่อง
จานวน 74 ราย (ร้อยละ 14.4) โดยพบว่าสาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการมารับการรักษาและไม่มารับการรักษาตามนัด
ได้แก่ การขาดความรคู้ วามเขา้ ใจท่เี พยี งพอเก่ยี วกับการบาบดั รักษาด้วยยาเคมบี าบดั และความไม่สามารถทนได้
ตอ่ อาการไม่พึงประสงค์หรอื อาการข้างเคยี งจากยาเคมีบาบัด เช่น ภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่า และอาการ
คล่นื ไสอ้ าเจียน เปน็ ต้น

สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
จากผลการศึกษา พบว่าผปู้ ่วยมะเร็งเต้านมร้อยละ 72.9 มารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเน่ือง ส่วนปัจจัยท่ีมี

ความสัมพนั ธ์กบั การมารบั ยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่อง คือภาวะเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่า (ANC) และระดับ Neutrophil
ในเลือดตา่ (p-value < 0.05) สว่ นปจั จัยอนื่ ๆ ไมม่ คี วามสัมพันธ์กับการมารับยาเคมีบาบัดอย่างต่อเนื่องของผู้ป่วย
มะเร็งเต้านมทีม่ ารกั ษาในโรงพยาบาลโพธาราม จึงควรมีการติดตามเยี่ยมผู้ป่วยภายหลังการมารับยาเคมีบาบัด
ในแตล่ ะรอบของการมารับยาเคมบี าบัด เพื่อรบั ทราบปัญหาและแกไ้ ขปัญหาท่ีพบให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยท่ีมี
ภาวะเมด็ เลือดขาวนิวโทรฟิลในเลือดต่า (ANC) และระดับ Neutrophil ในเลือดต่าและควรมีการศึกษาเชิงทดลอง
ถงึ ประสทิ ธิผลของโปรแกรมการเสรมิ สร้างพลงั อานาจผูป้ ว่ ยมะเรง็ เต้านมต่อการมารับยาเคมีบาบดั ต่อเน่อื ง

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

7

เรื่อง การเพิ่มประสทิ ธภิ าพการวางแผนดูแลผูป้ ่วยมะเร็งโดยทมี Multidisciplinary Tumor
Conference (Multidisciplinary Tumor Conference to care management plan

for all cancer patients)

นายทรงพล โพธส์ิ ุวรรณ นายแพทยช์ านาญการ
และทมี Multidisciplinary Tumor Conference team โรงพยาบาลสมทุ รสาคร

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
- โรงพยาบาลสมทุ รสาคร มีแพทย์ผู้เช่ียวชาญในสาขามะเร็งหลายสาขา ประกอบไปด้วย อายุรแพทย์มะเร็ง

ศลั ยแพทย์มะเร็ง แพทย์รังสีรว่ มรักษา แพทยร์ ังสีรกั ษา และแพทยเ์ ช่ียวชาญดา้ นรงั สีวินิจฉยั
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งท่ีมีความซับซ้อนของโรคในการรักษา หลังจากได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว จนถึงการผ่าน

การประเมินการรักษากับแพทย์ผู้เช่ียวชาญในแต่ละแผนกจนครบ ล้วนต้องผ่านการทานัดหมาย ซ่ึงทาให้เกิด
ความล่าช้า และขาดความตอ่ เน่อื งของการรักษาอันส่งผลถงึ ผลประโยชนท์ ี่คนไข้ควรไดร้ บั

- การนดั หมายผปู้ ่วยมาพบแพทยห์ ลายๆ แผนก กรณีท่ีแพทย์ไม่ได้ออกตรวจในช่วงวันทาการเดียวกัน
สง่ ผลให้ผ้ปู ว่ ยเกดิ ความสับสน และมีความลาบากในการเดนิ ทางมารบั การรกั ษา

- ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องอาศัยความเห็นจากแพทย์สหสาขา โดยผ่านจากการบันทึกข้อมูลใน
เวชระเบียนผปู้ ่วยเพยี งอย่างเดยี ว ซ่ึงอาจจะมบี างส่วนท่ีขาดความชัดเจนและส่งผลให้เกิดความคลาดเคล่ือนใน
ข้ันตอนที่สาคญั ของการรกั ษาได้

วัตถุประสงค์
1. เพื่อเพิม่ ศักยภาพการวางแผนการรกั ษาผ้ปู ่วยมะเรง็ ท่มี คี วามซับซ้อนไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และมปี ระสิทธิภาพ
2. เพอ่ื อานวยความสะดวกใหก้ ับผู้ป่วยระหว่างการรักษา ให้มีเพียงการนัดหมายที่จาเป็นในการรักษาโรค

กับแพทย์ในแผนกทเ่ี กี่ยวข้อง
3. เพอ่ื ใหผ้ ลการรกั ษาผู้ปว่ ยเกดิ ผลประโยชนส์ งู สุด ผ่านการประชุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสหสาขา

วิธีดาเนินงาน
1. แพทย์ท่ีทาการรักษาผู้ป่วยมะเร็งส่งข้อมูลผู้ป่วยที่ต้องการปรึกษาให้กับ Multidisciplinary Tumor

Conference team กอ่ นการประชุมทจ่ี ดั ทุกวันพธุ ของสปั ดาห์ที่ 2 และสัปดาห์ท่ี 4 ในแตล่ ะเดือน
2. ข้อสรปุ ที่ได้จากการประชุมจะทาการบันทึกลงในเวชระเบียนของผู้ป่วย เพื่อกาหนดไว้เป็นแนวทาง

ในการรักษา
3. สาหรับผู้ป่วยท่ีจาเป็นต้องมีการนัดหมายโดยแพทย์เพิ่มเติม ให้ทาการออกใบนัดและแจ้งให้ผู้ป่วย

เดนิ ทางมาเข้ารบั การรกั ษาได้ในวนั นัดไดท้ นั ที

ผลการดาเนนิ การ
1. จานวนที่ผูป้ ว่ ยมะเรง็ ทีม่ ปี ญั หาซ้าซ้อน เร่มิ ได้รับการวนิ ิจฉยั และผ่านการประเมินโดย Multidisciplinary

Tumor Conference team ต้ังแต่ปี 2564 ถึงปี 2565 ท้ังหมด 21 คร้ัง มีจานวนผู้ป่วยท่ีได้รับการดูแล โดย
Multidisciplinary Tumor Conference team 130 ราย

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

8

ตารางแสดงจานวนผู้ปว่ ยทไ่ี ดร้ บั การทา Tumor conference (เรม่ิ 14 ตุลาคม 2563 - 30 มีนาคม 2565)

ปีงบประมาณ จานวนคร้งั จานวนคน (ราย)

ปงี บประมาณ 64 10 50

ปงี บประมาณ 65 (6 เดอื น) 11 80

รวม 21 130

2. จากการศึกษาระยะเวลาที่ผู้ป่วยที่มีปัญหาซ้าซ้อนได้เริ่มรับการรักษา หลังจากผ่านการประชุม
Multidisciplinary Tumor Conference team มีเวลาเฉลี่ยท่ีได้รับการรักษาทันที 8 วัน (น้อยที่สุด 2 วัน และ
นานท่สี ุด 15 วนั )

สรปุ และข้อเสนอแนะ
1. การจัดประชุม Multidisciplinary Tumor Conference team เพือ่ วางแผนการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

ที่มีปัญหาซ้าซ้อน อย่างต่อเน่ือง เดือนละ 2 ครั้ง ทาให้ระยะเวลารอคอยการรักษาของผู้ป่วยส้ันลงจากเดิม
เขา้ ถงึ การรักษาท่ีจาเพาะตอ่ โรคไดร้ วดเร็ว

2. ถ้ามีแพทย์สาขามะเร็งอ่ืนเพิ่มขึ้น เช่น แพทย์เช่ียวชาญด้านมะเร็งสูติ-นรีเวร มะเร็งโสตศอนาสิก อาจจะ
มีการจดั ประชมุ Multidisciplinary Tumor Conference team ขยายทมี สหสาขามะเร็งเชน่ นีเ้ พ่มิ ขนึ้ ได้อกี

3. ปจั จุบันเรมิ่ ใชร้ ะบบประชุมทางไกลผ่านระบบ online รว่ มกบั โรงพยาบาลกระท่มุ แบน ในการรกั ษาผู้ปว่ ย
แบบสหสาขา ซงึ่ อาจจะขยายผ้รู ว่ มเข้าประชมุ ได้ครอบคลุมไปจนถึงโรงพยาบาลในพนื้ ที่ข้างเคียงและเขตสุขภาพท่ี 5

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

9
เร่ือง ดงึ ข้อสะโพกให้เขา้ ท่ี ท่ีหอ้ งฉุกเฉนิ รกั ษาไดเ้ ร็วและผลลพั ธ์ดเี ย่ยี ม

นายบดีภทั ร วรฐติ อิ นนั ต์ นายแพทย์เช่ียวชาญ
กลมุ่ งานเวชศาสตรฉ์ ุกเฉิน โรงพยาบาลนครปฐม
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา
ขอ้ สะโพกเคล่อื นหลุดชนดิ ข้อด้งั เดมิ (native hip dislocation) เป็นภาวะฉุกเฉิน (true emergency)
เน่ืองจากภาวะแทรกซ้อนหัวกระดูกสะโพกตายจากการขาดเลือด (avascular necrosis; AVN) สัมพันธ์โดยตรง
กับระยะเวลาในการรักษา การดึงข้อสะโพกให้เข้าที่อย่างรวดเร็วที่สุดจึงมีความสาคัญอย่างย่ิงยวด ท้ังนี้ควรรักษา
ภายในระยะเวลา 6 ชม. (360 นาที) นับต้ังแต่เกิดการบาดเจ็บ จึงได้ทาการศึกษาข้อมูลการดึงรักษาข้อสะโพก
เคล่อื นหลุดใหเ้ ข้าท่ี ทห่ี ้องฉกุ เฉินและเปรียบเทยี บกบั การรักษาแบบด้งั เดิมในห้องผ่าตดั
วัตถปุ ระสงค์
เพือ่ ศกึ ษาวิธีการและผลของการดึงรกั ษาข้อสะโพกเคลื่อนหลดุ ให้เขา้ ที่ ท่หี อ้ งฉกุ เฉนิ
วิธดี าเนนิ การ
ศกึ ษาข้อมลู ย้อนหลังผปู้ ว่ ยขอ้ สะโพกเคลื่อนหลดุ และได้รบั การดงึ ให้เข้าท่ี ทหี่ ้องฉกุ เฉิน โรงพยาบาลนครปฐม
ตัง้ แต่ปี 2556-2563
ผลการดาเนินการ
ผู้ปว่ ยขอ้ สะโพกเคลอื่ นหลดุ ไดร้ ับการรกั ษาท่ีห้องฉุกเฉินโดยการให้ยาสงบประสาท (procedural sedation
and analgesia; PSA) ตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายและได้รับการดึงข้อสะโพกให้เข้าที่โดยเทคนิควิธี
Lefkowitz จานวน 18 ราย เป็นผูป้ ่วยข้อสะโพกเคลอ่ื นหลุดชนิดขอ้ ดง้ั เดิม (native hip dislocation) 13 ราย
ดึงข้อสะโพกเข้าทสี่ าเรจ็ 12 ราย (92.3%) ใชเ้ วลามัธยฐานในการรกั ษาตง้ั แต่ได้รับบาดเจ็บ 174 นาที (83-260 นาที)
ในส่วนผ้ปู ่วยข้อสะโพกเทียมหลุด (prosthetic hip dislocation) 5 ราย ดึงข้อสะโพกเข้าที่สาเร็จ 4 ราย (80%)
ผ้ปู ว่ ยทุกรายไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากการรกั ษา
ขณะทข่ี ้อมลู ผูป้ ่วยข้อสะโพกเคล่ือนหลุดชนิดข้อด้ังเดิมที่ได้รับการดึงข้อสะโพกที่ห้องผ่าตัดในปี 2563
จานวน 14 ราย มีค่ามัธยฐานของเวลาในการรักษาตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ 490 นาที (335-830 นาที) ซึ่งใช้เวลา
ในการรกั ษานานกวา่ กลมุ่ ที่รกั ษาท่ีห้องฉุกเฉนิ อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ (p-value <0.001)

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

10
ตารางแสดงการเปรียบเทยี บระยะเวลาในการรักษาผู้ป่วยขอ้ สะโพกด้ังเดมิ เคล่ือนหลดุ (native hip

dislocation) ระหวา่ งการรักษาที่ห้องฉกุ เฉิน (174 นาที) และห้องผา่ ตดั (490 นาที)

รปู ภาพแสดงเทคนิควิธี Lefkowitz ที่ใชใ้ นการรักษาดงึ ข้อสะโพกให้เขา้ ท่ี ทหี่ ้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครปฐม

อภปิ รายผล
การดงึ รักษาขอ้ สะโพกเคล่อื นหลดุ ใหเ้ ขา้ ทีท่ ่ีห้องฉกุ เฉิน ส่งผลให้รักษาได้อย่างรวดเร็วภายใน 6 ชั่วโมง

นบั ต้ังแตเ่ กดิ การบาดเจ็บซ่งึ เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีอัตราการดึงรักษาให้เข้าท่ีสาเร็จสูงทั้งข้อสะโพกด้ังเดิม
(native hip) และขอ้ สะโพกเทยี ม (prosthetic hip) โดยไม่เกิดภาวะแทรกซอ้ น
สรุปและข้อเสนอแนะ

การพัฒนาแนวทางการรักษาท่ีห้องฉุกเฉินส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐาน สามารถรักษาได้
อยา่ งรวดเรว็ ตามมาตรฐานวชิ าชพี สง่ ผลโดยตรงในการลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซอ้ นได้

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

11

เรอื่ ง การศกึ ษาผลการดูแลรักษาทารกแรกเกดิ จากมารดาทม่ี กี ารตดิ เชอ้ื ซฟิ ิลสิ ขณะตั้งครรภท์ ค่ี ลอดใน
โรงพยาบาลสามพราน จงั หวดั นครปฐม

นางจริยา ยงคป์ ระดิษฐ์ นายแพทยช์ านาญการพเิ ศษ
กล่มุ งานการแพทย์ สาขากุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสามพราน

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
สถานการณ์ของโรงพยาบาลสามพรานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบความชุกของการติดเชื้อซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์

และพบทารกท่ีเกิดจากมารดาที่ติดเช้ือซิฟิลิสมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มหญิงตั้งครรภ์อายุ 15-34 ปี ซ่ึงสอดคล้องกับ
ข้อมูลของกรมควบคุมโรค ส่งผลให้พบทารกเป็นโรคซิฟิลิสแต่กาเนิดมากข้ึน บางรายอาการรุนแรงจนถึงข้ันทารก
เสียชีวิตในครรภ์ พบบางรายมีผลตรวจตาและน้าไขสันหลังผิดปกติ และพบอุบัติการณ์ทารกท่ีเกิดจากมารดา
ติดเชอื้ ซิฟลิ สิ ไมไ่ ด้รับการตรวจประเมิน การรักษาและการติดตามผลการรักษาอย่างเหมาะสม ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงจัดทา
แนวทางการดแู ลทารกท่ีเกดิ จากมารดาท่ีตดิ เช้อื ซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์ และทาการวิจัยเรื่องการศึกษาผลการดูแล
ทารกแรกเกดิ จากมารดาทม่ี ีการติดเชือ้ ซิฟลิ สิ ขณะตัง้ ครรภ์ เพ่ือรวบรวมข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการควบคุมโรค
และใช้ขอ้ มลู เพอื่ ปรับปรงุ พฒั นาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิดจากมารดาท่ตี ิดเชื้อซิฟลิ สิ ใหด้ ีขึน้ ต่อไป

วัตถปุ ระสงค์

เพ่ือศึกษาผลการตดิ ตามการรกั ษาของทารกแรกเกิดที่เกิดจากมารดาติดเช้ือซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์ ความชุก
ของการตดิ เชื้อซฟิ ิลิสในมารดาระหวา่ งต้ังครรภ์และทารกท่ีมีการติดเช้ือซิฟิลิสแต่กาเนิด การรักษามารดาท่ีติดเชื้อ
ซิฟลิ สิ ในขณะตั้งครรภ์ท่มี าคลอดทโี่ รงพยาบาลสามพราน

วธิ ดี าเนินการ
รูปแบบงานวิจัยเป็น Retrospective cohort study โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังโดยการเก็บข้อมูลจาก

เวชระเบยี นผปู้ ว่ ยนอกและผปู้ ว่ ยในของมารดาที่ตดิ เช้อื ซิฟลิ สิ โดยใชร้ ะบบฐานข้อมูล HosXP โดยใช้ ICD10 รหัส A539
และ 0981ท่ีมาคลอดโรงพยาบาลสามพรานต้ังแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 - 30 มิถุนายน พ.ศ.2562 และ
ทารกแรกเกิดจากมารดาที่มีการติดเช้ือซิฟิลิสขณะต้ังครรภ์โดยใช้ ICD10 รหัส P00.2, A50, G01 ที่มาคลอดที่
โรงพยาบาลสามพรานทุกราย ท่เี ขา้ ร่วมงานวิจัยจะได้รับการตรวจรักษา ตามแนวทางการดูแลทารกท่ีเกิดจากมารดา
ที่ตดิ เช้อื ซิฟลิ สิ ขณะต้ังครรภ์ ซึ่งผู้วิจัยได้วางระบบจัดทาแนวทางการดูแลทารกที่เกิดจากมารดาท่ีติดเช้ือซิฟิลิส
ขณะต้งั ครรภโ์ ดยอา้ งอิงแนวทางของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2558 และติดตามผลการรักษา
ทารกแรกเกิดทุกรายเป็นเวลา 1 ปี นาข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาแสดงข้อมูลพื้นฐาน
เป็นค่าเฉล่ีย (Mean), ค่ากลาง(Median), ค่าสูงสุดและค่าต่าสุด (Min and Max), SD, ค่าร้อยละ (Percentage)
คานวณทางสถิติใช้ Pearson Chi-Square test หรือ Fisher’s Exact Test, Independent Sample T-test
มาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติและกาหนดค่า p-value < 0.05 ถือว่าเป็นนัยสาคัญทางสถิติโดยวิเคราะห์ข้อมูลท้ังหมด
ดว้ ยโปรแกรมสาเร็จรูป SPSS version 20 งานวิจัยน้ีผ่านคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ของสานักงาน
สาธารณสขุ จังหวดั นครปฐม เลขที่ 012/2563 เม่ือวนั ท่ี 2 กันยายน พ.ศ. 2563

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

12

ผลการดาเนนิ การ
ความชกุ ของซฟิ ิลิสในหญิงตั้งครรภ์ร้อยละ1.8 และพบมารดาเป็นวัยรุ่นมากกว่าร้อยละ 48 หญิงต้ังครรภ์

ทต่ี ดิ เชื้อไดร้ บั การรกั ษาเหมาะสม คดิ เป็นรอ้ ยละ 79.2 ทารกทีค่ ลอดจากมารดาทต่ี ดิ เชือ้ ซฟิ ิลิสในการศึกษานี้ 77 ราย
พบทารกเกดิ มชี พี ปกติ 67 ราย คดิ เปน็ รอ้ ยละ 87 และทารกแรกเกิดเป็นซิฟิลิสแต่กาเนิด 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 13
และคิดเป็น 2.4 ต่อ 1,000 การเกดิ มีชีพ และทกุ รายตรวจพบความผดิ ปกติทางระบบประสาทจากการตรวจ serology
ของน้าไขสันหลัง พบว่ามีผล CSF VDRL เป็นบวกโดยทุกราย ได้รับการรักษาด้วย Penicillin G sodium แบบฉีด
10 วนั ผลการรกั ษา พบวา่ ทารกดังกล่าว จานวน 5 ราย คิดเป็นร้อยละ 50 มีผลเลือดและผลกรวดน้าไขสันหลัง
เปน็ ปกติ มี 1 รายทม่ี ีปญั หาการกาเริบของโรคต้องได้รับยา Penicillin G sodium แบบฉีด 10 วันอีกครั้ง กลุ่มทารก
ท่ีมารดาท่ีได้รับ Adequate Penicillin G regimen มีอายุครรภ์เฉล่ีย 38.9 สัปดาห์และน้าหนักแรกเกิดเฉลี่ย
3,036 กรัม ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มทารกที่มารดาไม่ได้รับการรักษาด้วยยาใดๆ หรือได้ Inadequate Penicillin G regimen
มีอายุครรภ์เฉล่ีย 36.5 สปั ดาห์และน้าหนักแรกเกดิ เฉลย่ี 2,485 กรมั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (P-value <0.05)

อภปิ รายผล
ความชุกของซฟิ ิลิสในหญงิ ตงั้ ครรภ์มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในการศึกษานี้พบความชุกของซิฟิลิสหญิงต้ังครรภ์

เพิ่มมากข้ึนเป็นร้อยละ 1.8 (เป้าหมายขององค์การอนามัยโลกปี 2558 คือ น้อยกว่าร้อยละ1) และในจานวนมารดา
ท่ีติดเชื้อซิฟิลิสทั้งหมดพบเป็นมารดาวัยรุ่น(teenage pregnancy) มากถึงร้อยละ 48 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษา
ในประเทศไทยและต่างประเทศ เมื่อพิจารณาเร่ืองการรักษาของมารดาท่ีติดเช้ือซิฟิลิสระหว่างต้ังครรภ์พบว่า
การศึกษานีพ้ บมารดาไดร้ ับการรักษารอ้ ยละ 87.0 แต่องคก์ ารอนามัยโลก ต้องการมากกว่าร้อยละ 90 ซ่ึงผลท่ีได้
สอดคล้องกับการศึกษาอื่นในประเทศไทยท่ีร้อยละของหญิงที่ติดเช้ือซิฟิลิสระหว่างตั้งครรภ์ได้รับการรักษาต่ากว่า
เป้าหมายขององค์การอนามัยโลก การศึกษานี้พบทารกเป็นซิฟิลิสแต่กาเนิด 2.4 ต่อ 1,0000 การเกิดมีชีพซึ่งมากกว่า
เป้าหมายขององคก์ ารอนามยั โลกจานวนเดก็ เกดิ มชี ีพท่ีเปน็ โรคซิฟลิ ิสแตก่ าเนิดน้อยกว่า 0.5 ต่อ 1,000 การเกิดมีชีพ
ดังนั้นจึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีนโยบายเร่ืองการรักษาซิฟิลิสของมารดาขณะตั้งครรภ์ให้มีประสิทธิภาพ
ย่ิงขน้ึ เพือ่ ลดจานวนทารกแรกเกดิ เป็นซิฟลิ สิ แต่กาเนิดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาร้อยละของเด็กท่ีติดเช้ือซิฟิลิส
ไดร้ บั การรกั ษาโดยเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกคอื มากกว่ารอ้ ยละ 80 พบว่าการศึกษานี้ทาได้ทาได้ร้อยละ 88.3
เนื่องจากมแี นวทางการดูแลทารกที่เกิดจากมารดาท่ีติดเชื้อซิฟิลิสขณะต้ังครรภ์ของโรงพยาบาลชัดเจน แต่ก็ยัง
พบว่า มีทารกแรกเกดิ ที่เกดิ จากมารดาตดิ เชื้อซฟิ ิลสิ ขณะตัง้ ครรภ์ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การประเมนิ และการรักษา 9 ราย คิดเป็น
รอ้ ยละ 13 ซ่ึงเมื่อทบทวนสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากผลเลือดมารดาวันคลอด VDRL เป็นลบ และความผิดพลาด
ในการทบทวนประวัติฝากครรภ์ ผู้วิจัยจึงจัดทา standing order เพ่ิมเติม ในการศึกษาน้ี พบว่าทารกแรกเกิด
กลุ่มที่มารดาได้รับ Adequate Penicillin G regimen จะมีอายุครรภ์เฉลี่ยและน้าหนักแรกเกิดเฉล่ียมากกว่า
กลุ่มท่ีมารดาไม่ได้รับการรักษาด้วยยาใดๆ หรือได้ Inadequate Penicillin G regimen อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
(P-value < 0.05) ดงั นน้ั การฝากครรภ์คุณภาพทีด่ ูแลหญงิ ตงั้ ครรภ์ที่ติดเชื้อซิฟิลิสระหว่างการตั้งครรภ์ให้ได้รับ
การรกั ษาทเี่ หมาะสม จะชว่ ยให้ลดโอกาสเกิดภาวะทารกคลอดกอ่ นกาหนดและทารกนา้ หนักตวั น้อยได้

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

13
สรุปและขอ้ เสนอแนะ

ความชุกของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชือ้ ซฟิ ิลิสและทารกที่เป็นซิฟิลิสแต่กาเนิดมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึน ซ่ึงส่วนใหญ่
เกิดในมารดาวัยรุ่น การได้รับ Adequate Penicillin G regimen ในหญิงตั้งครรภ์ท่ีติดเช้ือซิฟิลิสจะทาให้ทารก
มอี ายุครรภค์ รบกาหนดและน้าหนักตามเกณฑ์ แต่กลุ่มหญิงต้ังครรภ์ท่ีไม่ได้รับ Adequate Penicillin G regimen
หรอื ไม่ได้รบั ยาใดๆ มีโอกาสทาให้ทารกคลอดก่อนกาหนดและน้าหนักตัวต่ากว่าเกณฑ์ จึงจาเป็นต้องให้ความรู้
สุขศึกษาเกย่ี วการคุมกาเนดิ ปอ้ งกันโรคติดเชอ้ื ทางเพศสัมพันธ์ร่วมกับการฝากครรภ์คุณภาพโดยมุ่งเน้นความจาเป็น
ในการรกั ษาซฟิ ิลิสขณะตง้ั ครรภ์ เพอ่ื ใหม้ ารดาและทารกปลอดภัยมากทส่ี ดุ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

14

เรอ่ื ง ปจั จยั เสีย่ งที่มีผลต่อความล้มเหลวของการใช้ High flow nasal cannula (HFNC)

ในทารกแรกเกดิ ท่มี ีภาวะหายใจลาบาก

นางจริยา ยงคป์ ระดิษฐ์ นายแพทย์ชานาญการพเิ ศษ
กล่มุ งานการแพทย์ สาขากุมารเวชกรรม โรงพยาบาลสามพราน

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
ภาวะหายใจลาบากในทารกแรกเกิด (respiratory distress in newborn) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยใน

ทารกแรกเกิด อุบัตกิ ารณ์ของภาวะหายใจลาบากพบได้ร้อยละ7 ของทารกแรกเกิดท้ังหมด ซ่ึงเป็นสาเหตุหลักท่ี
ทาให้ทารกต้องได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดวิกฤต(NICU) การรักษาด้วย Respiratory support เป็น
หลักสาคญั ในการรักษาภาวะหายใจลาบากในทารกแรกเกดิ ปจั จบุ นั กมุ ารแพทย์มักเร่มิ ใช้ High flow nasal cannula
(HFNC) เปน็ อุปกรณ์ชว่ ยหายใจชนิดทไี่ ม่รุกล้าหลักทีใ่ นปัจจุบัน แต่ยงั ไมม่ ขี ้อมลู เรอ่ื งการศึกษาเกยี่ วกับประสิทธิภาพ
และความปลอดภัยของการใช้ HFNC ในทารกแรกเกิดที่มีภาวะหายใจลาบากในประเทศไทย จากการทบทวน
เวชระเบียนของโรงพยาบาลสามพราน พบทารกแรกเกิดที่มีภาวะหายใจลาบากกลุ่มที่มีปัญหาล้มเหลวจาก
การใช้ HFNC ในการช่วยหายใจบางรายมีอาการรุนแรงจากตัวโรคหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
ล่าช้าทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ร่วมกับเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และจาเป็นต้อง refer ผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลอื่น
เน่ืองจากมภี าวะหายใจลม้ เหลวรุนแรง เช่น ภาวะความดนั เลอื ดในปอดสูง(PPHN) มากข้ึน ดังน้ันงานวิจัยนี้จึงมี
วตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาปจั จยั เสีย่ งที่จะทานายผลตอ่ ความลม้ เหลวของการใช้ HFNC ในการปอ้ งกันภาวะทางเดินหายใจ
ล้มเหลวในทารกแรกเกดิ ทม่ี ภี าวะหายใจลาบากของโรงพยาบาลสามพราน เพื่อประกอบการพิจารณากาหนดเป็น
แนวทางในการดแู ลผู้ปว่ ยทารกแรกเกิดเมื่อมปี ัญหาหายใจเหน่ือยใหม้ ีประสทิ ธิภาพและความปลอดภัยมากขนึ้

วัตถุประสงค์
ศึกษาปัจจัยเส่ียงที่มีผลต่อความล้มเหลวของการใช้ HFNC ในทารกแรกเกิด ที่มีภาวะหายใจลาบาก

เปรียบเทียบผลการรักษาและภาวะแทรกซ้อนของทารกกลมุ่ ทีใ่ ช้ HFNC ลม้ เหลวกบั กลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วสาเรจ็

วิธีดาเนินการ
Retrospective case-control study โดยรวบรวมขอ้ มลู เวชระเบียนทารกแรกเกดิ ทัง้ หมดท่ีมีน้าหนัก

ตงั้ แต่ 1,250 กรมั และ GA ตง้ั แต่ 30 สัปดาห์ และไมม่ คี วามพิการในระบบต่างๆ ท่มี ีภาวะหายใจลาบากในช่วงแรกเกิด
ถึง 24 ชั่วโมง โดยได้รับการรักษาด้วย HFNC ในการรักษาเริ่มต้น admit NICU โรงพยาบาลสามพรานต้ังแต่
วันที่ 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2559 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ด้วยเร่ืองภาวะหายใจลาบากได้รับการรักษาเร่ิมต้นด้วย
HFNC แลว้ แบง่ เป็น 2 กลุ่ม คอื กลมุ่ ท่ีรักษาด้วย HFNC แล้วล้มเหลว(case) และกลุ่มท่ีรักษาด้วย HFNC แล้ว
ประสบความสาเร็จ(control) มาวิเคราะหข์ อ้ มูลทางสถิตเิ พ่ือหาปจั จยั เสย่ี ง เปรยี บเทยี บผลการรักษาและภาวะแทรกซ้อน
การคานวณขนาดตวั อย่าง อา้ งอิงจากงานวจิ ยั ของ Won Young Lee และคณะ18 ได้ศึกษาแบบ case control study
ในการใช้ HFNC เป็นอุปกรณ์รักษาภาวะหายใจลาบากในทารกแรกเกิดท่ีมีปัญหา respiratory distress syndrome
พบว่า กลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วล้มเหลวในการรักษาร้อยละ 30 ส่วนกลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วประสบความสาเร็จใน
การรกั ษาร้อยละ 70 จึงคานวณกลุ่มตัวอย่างได้อย่างน้อยกลุ่มละ 24 คน วิธีเก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูล เก็บข้อมูล

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

15

จากเวชระเบียนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในของประชากรที่เข้าร่วมงานวิจัยลงในแบบบันทึกข้อมูล ประกอบด้วย
ข้อมูลพื้นฐานของมารดาและทารก ผลการรักษา ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ใช้
สถติ เิ ชิงพรรณนา นาเสนอในรูปแบบร้อยละ(Percentage), ค่าเฉล่ีย(Mean), ค่ากลาง(Median), ค่าสูงสุดและ
ค่าตา่ สดุ (Min and Max), SD การคานวณทางสถิติใช้เปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณด้วย Independent Sample
T test เปรียบเทียบข้อมูลเชิงคุณภาพด้วย Pearson Chi-squre test หรือ Fisher’s exact test และใช้
multivariate logistic regression analysis วิเคราะห์ปัจจัยเส่ียง โดยการคานวณ odds ratio ท่ีระดับ 95%
confidence interval และค่า p-value< 0.05 ถือว่าเป็นนัยสาคัญทางสถิติ โดยวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดด้วย
โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ SPSS version 20 งานวิจัยน้ีผ่านคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ของ
สานักงานสาธารณสขุ จังหวดั นครปฐม เลขที่ 5/2564 เม่อื วันท่ี 23 มนี าคม พ.ศ. 2564

ผลการดาเนินการ
ทารกทั้งหมด 217 คน อัตราการล้มเหลวจากการใช้ HFNC 29.5% พบอุบัติการณ์มารดามีภาวะข้ีเทา

ในน้าครา่ (MSAF) ทารกเปน็ MAS และ PPHN แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาคัญ ในกลุ่มทารกท่ีใช้ HFNC ท่ีประสบ
ความสาเร็จและล้มเหลว ในกลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วลม้ เหลวมีปัญหา hypoxia มากกว่าจึงมี oxygen saturation
ต่ากว่าและใช้ HFNC setting FiO2 มากกว่ากลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วสาเร็จ ผลเลือดของทารกกลุ่มท่ีใช้ HFNC
แลว้ ล้มเหลวมีค่าเฉลี่ยปรมิ าณเมด็ เลือดขาวต่ากว่า แต่ค่าเฉลี่ย CRP อายุ 6-23 ช่ัวโมง และ CRP อายุ 24-48 ช่ัวโมง
มากกว่ากลุ่มที่ใช้ HFNC สาเร็จ ภาวะ MAS, PPHN เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างมีนัยสาคัญต่อการรักษาด้วย HFNC
แลว้ ล้มเหลว กลุ่มทารกที่ใช้ HFNC แล้วลม้ เหลว มี Air leak syndrome และตอ้ ง refer ออกไปรักษาต่อเนื่อง
จานวนวันท่ีใช้เคร่ืองช่วยหายใจ ใช้ออกซิเจนและวันนอนโรงพยาบาลมีมากกว่ากลุ่มท่ีใช้ HFNC แล้วสาเร็จ
อย่างมนี ัยสาคัญ

อภิปรายผล
ปัจจัยเส่ียงจากมารดามีภาวะข้ีเทาในน้าคร่า(Meconium stained amniotic fluid; MSAF) และทารก

ที่มีกลุ่มอาการสูดสาลักขี้เทา(Meconium aspiration syndrome; MAS) เป็นปัจจัยเส่ียงอย่างมีนัยสาคัญท่ีทาให้
ทารกท่ีมีปัญหาหายใจลาบากใช้ HFNC แล้วล้มเหลวเม่ือวิเคราะห์ด้วยวิธี univariate logistic regression analysis
แตเ่ ม่ือวิเคราะห์ดว้ ยวิธี multivariate logistic regression analysis พบว่าทารกท่ีมีกลุ่มอาการสูดสาลักข้ีเทา
(Meconium aspiration syndrome; MAS) เป็นปัจจัยเส่ียงท่ีมีนัยสาคัญทางสถิติเพียงปัจจัยเดียว เน่ืองจาก
ทารกที่เข้ารว่ มการวิจัยน้ีจึงเป็นกลุ่ม late preterm และ term อุบัติการณ์โรคที่ทาให้มีภาวะหายใจลาบากจึงมี
สัดสว่ นของ MAS จานวนมากต่างกับการศึกษาในประเทศเกาหลีใต้ที่พบว่า ปัจจัยเส่ียงเป็นภาวะ Respiratory
distress syndrome(RDS) และอายคุ รรภ์ทนี่ ้อยกวา่ 34 สัปดาห์ ซงึ่ ในการศึกษาดงั กล่าวจะพบ preterm เป็น
ประชากรสว่ นใหญใ่ นการศกึ ษาดังกล่าว อัตราการล้มเหลวจากการใช้ HFNC เป็นร้อยละ 29.5 ซ่ึงใกล้เคียงกับ
การศกึ ษาในประเทศเกาหลใี ต้ และพบวา่ ทารกทม่ี ภี าวะหายใจลาบากจาก MAS เป็นปัจจัยเส่ียงที่ทาให้การใช้ HFNC
แลว้ ล้มเหลวมากถึง 7.575 เท่าของกลุ่มทารกท่ีไม่เป็น MAS ทารกกลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วล้มเหลวมีภาวะแทรกซ้อน
คือ Air leak syndrome ระยะเวลาทใ่ี ชเ้ คร่อื งช่วยหายใจ ใชอ้ อกซิเจน วันนอนโรงพยาบาล และสถานะ การจาหน่าย

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

16
ต้อง refer ทารกไปรักษาต่อเนอื่ งที่โรงพยาบาลอื่นๆ มากกว่ากลุ่มที่ใช้ HFNC แล้วสาเร็จอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
และเมอื่ ตดิ ตามผล refer พบว่ามที ารก 1 ราย เสยี ชวี ติ สาเหตุจาก cardiopulmonary failure
สรุปและขอ้ เสนอแนะ

ทารกท่ีมีภาวะ MAS และ PPHN มีความเสี่ยงสูงในการใช้ HFNC แล้วล้มเหลว ซ่ึงอาจสังเกตได้จาก
ทารกมีปัญหา hypoxia มากและใช้ HFNC setting flow, FiO2 สูง ควรพิจารณาใช้การช่วยหายใจด้วยวิธีอ่ืนๆ
เช่น NIPPV หรือใส่ท่อช่วยหายใจ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนท่ีรุนแรง หากมีการศึกษาในหลายสถาบันเพื่อเพ่ิมจานวน
ประชากรในงานวิจยั และทาการศึกษาแบบ Randomized Controlled Trial study อาจทาให้ได้ศึกษาประสิทธิภาพ
ความปลอดภัย และปจั จัยเส่ียงที่ดยี ง่ิ ข้นึ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

17

เร่ือง ตเู้ คล่อื นย้าย และชดุ จ่ายอากาศบรสิ ทุ ธ์ิ ป้องกนั การติดเช้อื ทางเดนิ หายใจ สาหรับทารก
Power Air Purified Transporter for baby (PAPT) COVID-19

ทป่ี รกึ ษา พญ.บญุ ลักษณ์ คาอ่ิม นายแพทย์เชี่ยวชาญ
ดา้ นเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม

กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมะการักษ์ และคณะ

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
จากสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19)

สง่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สงั คมและวงการแพทย์ อยา่ งรนุ แรงไปท่วั ประเทศ ท่วั โลก สภาวะแวดล้อมในโรงพยาบาลนั้น
มเี ช้ือโรคตดิ ต่อทางระบบหายใจในอากาศรอบๆตัว ของผปู้ ว่ ยมากมาย เช่น เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 การป้องกัน
การตดิ เชื้อต่างๆ โดยทว่ั ไปใช้การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ซึ่งได้ผลดี แต่ในกรณีของทารกแรกเกิด
ซึ่งมีภูมิคุ้มกนั โรคต่า มโี อกาสรับเชอ้ื โรคได้งา่ ย เมอื่ ติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 แลว้ ในทารกก็ยงั ไม่มียารักษาท่ีได้ผลดี
และทสี่ าคญั อย่างย่งิ กค็ ือ ทารกไมส่ ามารถใชว้ ธิ กี ารสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค เน่ืองจากจะทาให้
ทารกขาดออกซเิ จนและมภี าวะคารบ์ อนไดออกไซดค์ ่ังได้ การเคล่อื นย้ายทารกแรกเกดิ ปกติ ระหวา่ งตกึ ในโรงพยาบาล
เชน่ ตึกคลอดไปสง่ ตกึ หลังคลอด ตึกทารกแรกเกิด หรือนาทารกไปตรวจการได้ยินที่แผนกหู คอ จมูก ยังไม่มีการป้องกัน
การติดเชื้อทางเดนิ หายใจจากผปู้ ว่ ยอนื่ ๆ ในโรงพยาบาล การเคล่ือนย้าย ใช้คลิปเด็กอ่อนแบบธรรมดา ไม่ได้ใช้
ใส่ตู้อบเด็กทารกแรกคลอด (INFANT TRANSPORT INCUBATOR) ซึ่งก็มีความยากลาบากในการเคลื่อนย้าย
และราคาแพง ประการต่อมา เมื่อมีการระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 มากข้ึน ทาให้มีมารดาป่วยเป็น
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขณะท่ีมาคลอดบุตรมากขึ้น และทารกที่เกิดใหม่นั้นอาจติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019
แตก่ าเนดิ ได้ และอาจจะแพร่เชือ้ น้ใี หผ้ อู้ ่ืนที่อย่รู อบขา้ งได้

ดังนั้นจงึ มีแนวความคิดทจี่ าเป็นต้องสร้างต้เู พ่ือเคล่ือนย้ายทารกแรกเกิด และมีวิธีการท่ีทาให้อากาศ
ในตู้นนั้ บริสทุ ธปิ์ ราศจากเช้อื โรค ทาใหท้ ารกปลอดภยั จากการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากภายนอก เช่น โรคติดเชื้อ
ไวรัสโคโรนา 2019 และพัฒนาให้สามารถป้องกันเช้ือโรคจากผู้ป่วยทารก ไม่ให้กระจายไปในสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย
โดยทไี่ มท่ าให้ทารกมภี าวะขาดออกซเิ จนและมภี าวะคารบ์ อนไดออกไซด์ค่งั

วตั ถุประสงค์
1. เพ่ือศึกษาพัฒนาสร้างตู้เคลื่อนย้ายทารกแรกเกิด และมีวิธีการที่ทาให้อากาศในตู้น้ันบริสุทธ์ิปราศจาก

เชื้อโรค ให้สามารถป้องกันเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว เช่น เชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 ไปสู่ทารกแรกเกิด
และป้องกันเช้อื โรคจากทารกแรกเกิดท่ีปว่ ยไม่ให้กระจายเชือ้ ไปในสง่ิ แวดล้อมรอบตัว

2. เพ่ือศึกษาพัฒนาสร้างตู้เคลื่อนย้ายทารกแรกเกิด และมีวิธีการท่ีไม่ทาให้ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน
และภาวะคารบ์ อนไดออกไซด์ค่ัง

3. เพอื่ ลดต้นทนุ และประหยัดค่าใช้จ่ายใหก้ ับโรงพยาบาล

ระยะเวลาดาเนนิ การ สงิ หาคม 2564 ถึง ตุลาคม 2564

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

18

วัสดุและอุปกรณ์ : (รูปที่ 1)
1. เครอื่ งจา่ ยอากาศใช้กลอ่ งไฟกันนา้ มีพดั ลมหอยโขง่ แรงดันไฟฟ้า : DC 12V 2.70 A

ความเรว็ รอบ : 4500 RPM ความแรงลม: 37.97 CFM (64.511 CMH) และ สวทิ ซ์วอล่มุ ปรบั ความแรงลมได้
2. แบตเตอรใี่ ชก้ ลอ่ งไฟกันนา้ ใส่แบตเตอร่ี ลิเทียม : 12 V 5 A พร้อมท่ีชาร์จแบตเตอรี่ : 12 V 2 A
3. หนา้ จอแสดงผลวดั คา่ ความจแุ บตเตอรี่ และ สวทิ ช์ (Switch) เปิด - ปิด เครื่อง
4. ท่ออากาศ breathing circuit Tube Set
5. HEPA Filters กรองอากาศ เขา้ 2 ตัว ออก 1 ตัว HEPA Filter (Safe Star 55®)

Bacterial retention* (%)99.9999 Viral retention* (%)99.9999
6. ตเู้ คลื่อนยา้ ยทารก เป็นตู้ ทาจากแผน่ อะครลิ ิคใส

วธิ ีการทดสอบประสิทธภิ าพและวธิ ีการใช้งานนวัตกรรม หรอื ส่ิงประดิษฐ์ : (รปู ที่ 2)
1. เคร่ืองจ่ายอากาศ(A) มีพัดลมซึ่งได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่(B) จ่ายพลังงานให้กับพัดลมในเคร่ืองจ่าย

อากาศ เพื่อจ่ายอากาศ ผ่านท่ออากาศ(C) ไปกรองให้บริสุทธิ์ โดยการผ่าน HEPA Filters(D) เข้าสู่ตู้เคล่ือนย้ายทารก(E)
ภายในตู้เคล่ือนย้ายทารก จะมีแรงด้นเป็นบวก และเป็นอากาศบริสุทธ์ิ ไม่มีอากาศท่ีเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ค่งั คา้ งอยู่ภายในอากาศจะผ่านออกทางท่ออากาศทางออกทม่ี ี HEPA Filters(D) กรองอากาศให้บริสุทธ์ิ ก่อนออกไปสู่
สง่ิ แวดลอ้ มภายนอก

2. การใช้งาน
2.1 รบั ผ้ปู ่วยทารกแรกเกิดจากห้องคลอด ห้องผ่าตัดไปส่งตึกผู้ป่วย เช่น ตึกหลังคลอด ตึกอภิบาล

ทารกแรกเกิด (NICU) ตึกทารกแรกเกดิ ปว่ ย (Sick newborn)
2.2 เปน็ เสมือนห้องแยกโรค ขณะรกั ษาอยู่ในตกึ ผู้ปว่ ย อภบิ าลทารกแรกเกดิ ตกึ ทารกแรกเกิดป่วย
2.3 รบั ส่งทารกแรกเกิด เพอื่ ไปตรวจพิเศษ ท่ตี ึกอืน่ ๆ เชน่ ตรวจการไดย้ ิน ทต่ี ึกผปู้ ว่ ยนอก
2.4 เม่อื ทารกหายดี ใชน้ าสง่ ทารกจากตกึ ผู้ปว่ ย ไปยงั จุดท่ญี าติมารบั กลับบา้ น

ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรมหรือส่ิงประดิษฐ์
1. ทารกไดค้ วามปลอดภยั จากการตดิ เชอ้ื จากสิ่งแวดล้อม ในขณะเคล่ือนย้ายผ่านสถานที่ต่างๆ จากผู้คน

หรือผปู้ ่วยอื่นๆ เนื่องจากภายในตไู้ ด้รับอากาศบริสุทธ์แิ ละมภี าวะแรงดันเป็นบวก เชื้อโรคจะไมส่ ามารถผ่านเข้ามาได้
2. ทารกท่ีป่วยดว้ ยโรคตดิ เชือ้ ทางเดินหายใจ ไม่เป็นผู้กระจายเช้ือให้สิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าท่ี หรอื ผปู้ ว่ ยอน่ื ๆ
3. ตเู้ คล่อื นยา้ ยน้ี ไมท่ าใหท้ ารกมีภาวะขาดออกซเิ จนและมภี าวะคารบ์ อนไดออกไซด์คง่ั
4. เจ้าหนา้ ท่ีผใู้ หบ้ รกิ าร พึงพอใจ เนอ่ื งจาก สะดวก เบา เคลอ่ื นยา้ ยง่าย และทาความสะอาดงา่ ย
5. ญาติ พอใจ ร้สู กึ ว่า ทารก ปลอดภยั
6. งบประมาณใชน้ ้อยมาก ตน้ ทุนการผลติ รวม 3,912 บาท สว่ น Transport incubator หลกั แสนบาท

สรุปอภิปรายผล/ข้อเสนอแนะ
จากมาตรการและแนวปฏิบัติการจัดการโดยใช้ตู้เคลื่อนย้าย และชุดจ่ายอากาศบริสุทธ์ิ ป้องกันการติดเช้ือ

ทางเดินหายใจ สาหรับทารก Power Air Purified Transporter for baby (PAPT) COVID-19 ทางคลินิกใน
โรงพยาบาลนาลงมาส่กู ารทางาน เพื่อปรับเปลี่ยนการปฏิบัติงานแนววิถีใหม่มาใช้แทนการเคลื่อนย้ายทารกแบบเดิม

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

19

ทาใหเ้ กดิ ความปลอดภยั จากการปอ้ งกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เจ้าหน้าที่พึงพอใจ ญาติพึงพอใจ
และมตี ้นทุนการผลิตน้อย ประหยัดทรพั ยากร ค่าใช้จ่ายน้อย ขอ้ เสนอแนะควรมีการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา
ให้สวยงามข้ึนและนาไปใช้ในโรงพยาบาลต่างๆ และยังสามารถนาไปใช้ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค
ทางเดินหายใจอน่ื เชน่ หวดั เชอ้ื วัณโรค สุกใส เป็นตน้
การนาผลงานไปใชป้ ระโยชน์

เป็นภาวะปกตวิ ถิ ีใหม่ ในวงการแพทย์และการประยุกต์ใช้ในการเคลื่อนย้ายทารกหรือเดินทางใช้ได้ใน
โรงพยาบาลทุกระดับ สามารถปรับวิธีการปฏิบัติงานวิถีใหม่ แทนแบบเดิมได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งความพึงพอใจ
ของทีมงานและญาติผู้รับบริการ ยังเกิดความภาคภูมิใจของผลงานนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ ที่เป็นต้นแบบต่อไป
และสามารถนาไปสู่ในภาคอตุ สาหกรรมได้

การปฏบิ ัตกิ ารเคลอ่ื นยา้ ยทารก แบบเดมิ ทุกคน การปฏบิ ัติ การเคลอ่ื นย้ายทารก แบบปกตวิ ิถใี หมด่ ้วย
ใส่หน้ากากอนามัย แตท่ ารกแรกเกดิ ไมไ่ ด้ใส่หนา้ กากอนามยั ต้เู คลอ่ื นย้าย และขดุ จ่ายอากาศบริสทุ ธิ์(PAPT)

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

20

เรื่อง การพัฒนาส่ิงประดษิ ฐ์หมอนหนุนรองคอจดั ท่าใสท่ ่อชว่ ยหายใจในทารกแรกเกดิ
นางปาริชาติ สองเมือง พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ

นางสาววาทนิ ี อิศรางกรู ณ อยุธยา พยาบาลวิชาชพี ชานาญการ
หอผู้ปว่ ยเด็กวิกฤต โรงพยาบาลประจวบครี ขี นั ธ์

ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
หอผู้ป่วยเด็กวิกฤตโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ให้การดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่มีภาวะวิกฤตฉุกเฉิน

ซ่ึงผู้ป่วยสว่ นใหญ่มักมีปญั หาดา้ นการหายใจเนื่องจากพยาธิสภาพของโรค แพทย์จึงมีความจาเป็นต้องให้การช่วยเหลือ
โดยการใส่ท่อช่วยหายใจ จากสถิติปีงบประมาณ 2561-2563 มีจานวนทารกแรกเกิดท่ีได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ
และใชเ้ คร่อื งชว่ ยหายใจจานวน 104, 92 และ 87 ราย พบจานวนคร้ังในการใส่ท่อช่วยหายใจ 318, 277 และ 259 คร้ัง
ตามลาดับ และชว่ งตงั้ แต่วนั ที่ 1 เมษายน 2564 ถึง 30 มิถุนายน 2564 มีทารกแรกเกิดได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ
จานวน 13 ราย พบวา่ มกี ารใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจมากกว่า 2 คร้ัง ตอ่ 1 รอบ จานวน 10 ราย (36 ครั้ง) คดิ เปน็ รอ้ ยละ 76.92
พบอุบตั ิการณก์ ารบาดเจบ็ ของหลอดลมคอ 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 53.85 พบภาวะพร่องออกซิเจนร้อยละ 10.00
ถือเป็นอุบัติการณ์ท่ีมีความเสี่ยงสูงจากภาวะแทรกซ้อนในการใส่ท่อช่วยหายใจ ซ่ึงการใส่ท่อช่วยหายใจจะง่าย
และสาเร็จน้ัน ตอ้ งจดั ให้แนวกระดกู สันหลังส่วนคอ อก และเอว อยู่ในแนวเดียวกัน โดยการหนุนท้ายทอย เรียกว่า
sniffing position ร่วมกับการแหงนหน้าผู้ป่วย (head tilt & chin lift) เล็กน้อย เพื่อให้สรีระของผู้ป่วยอยู่ในท่าท่ี
เหมาะสมและง่ายในการใส่ laryngoscope ในอดีตที่ผ่านมาทางหอผู้ป่วยเด็กวิกฤตโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์
ใช้ผา้ พบั หนุนรองบ่าเพื่อให้ผู้ปว่ ยแหงนหน้าและใช้ผ้าขนหนูห่อพนั ตวั ผูป้ ่วย เปน็ แนวทางการปฏิบัติในการเตรียม
ผู้ปว่ ยและจัดทา่ เพ่ือชว่ ยแพทยใ์ สท่ ่อชว่ ยหายใจ ซ่ึงพบว่าความสูงของผ้าท่ีพับรองบ่าไม่คงท่ี และผู้ป่วยสามารถ
ดนิ้ ขยบั เลอ่ื นตวั เปลีย่ นทา่ ไดง้ ่าย ทาให้แพทย์ (ซ่งึ ส่วนใหญ่เป็นแพทย์เสริมทักษะที่หมุนเวียนอยู่ตลอด) ใส่ท่อ
ช่วยหายใจลาบาก ส่งผลใหผ้ ูป้ ว่ ยไดร้ ับบาดเจบ็ และทกุ ขท์ รมานจากการถูกใส่ท่อช่วยหายใจซ้าหลายครั้ง สูญเสีย
คา่ ใช้จ่ายในการดแู ลผูป้ ว่ ย เพิม่ ภาระงานแก่บคุ ลากร จากการวิเคราะห์และประชุมทีมให้บริการ พบว่าสาเหตุหลัก
ทีท่ าใหแ้ พทย์ใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจไม่สาเรจ็ และจาเป็นตอ้ งมกี ารใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจซ้าหลายครั้ง เกิดจากผู้ป่วยอยู่ใน
ทา่ ทไ่ี มเ่ หมาะสมขณะไดร้ บั การใส่ท่อช่วยหายใจ ผู้วิจัยจึงเกิดแนวคิดในการประดิษฐ์นวัตกรรม หมอนหนุนรองคอ
จัดทา่ ใส่ทอ่ ช่วยหายใจในทารกแรกเกิด เพอื่ แกไ้ ขปัญหาดงั กล่าว สอดคล้องกบั นโยบายแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี
กระทรวงสาธารณสุข (MOPH 4.0) ภายใตแ้ ผนพัฒนาส่งิ ประดิษฐ์นวตั กรรม

วตั ถปุ ระสงค์
1. เพอื่ พฒั นาสิ่งประดิษฐ์หมอนหนนุ รองคอจดั ทา่ ใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจในทารกแรกเกิด
2. เพ่อื ใหผ้ ู้ป่วยปลอดภยั และลดภาวะแทรกซ้อนจากการใสท่ ่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิด

วิธดี าเนินการ
การวจิ ยั ครั้งนเ้ี ปน็ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพ่ือพัฒนาส่ิงประดิษฐ์หมอนหนุนรองคอ

จัดทา่ ใสท่ ่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิด โดยใช้กระบวนการทบทวนอย่างเป็นระบบ และนาหลักวิชาการ หลักฐาน
เชิงประจกั ษ์ตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วข้องมาประยกุ ตแ์ ละพฒั นาดว้ ยทรัพยากรเท่าทม่ี อี ยู่ กระบวนการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

21

คอื ระยะที่ 1 รวบรวม วเิ คราะห์บริบทการใหบ้ ริการและปัญหาจากการใชอ้ ปุ กรณ์ ระยะท่ี 2 ออกแบบ และประดิษฐ์
อปุ กรณ์ตน้ แบบ นาไปทดลองใช้และปรบั ปรุงแกไ้ ขซ้าจนได้อุปกรณ์ที่เหมาะสม ระยะท่ี 3 ประเมินผลการใช้อุปกรณ์
กลุม่ ตวั อย่างที่ใชใ้ นการวจิ ยั ไดค้ ดั เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เป็นแพทย์และพยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย
เดก็ วิกฤต โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ จานวน 18 คน และทารกแรกเกิดท่ีได้รับการรักษาโดยการใส่ท่อช่วยหายใจ
ในหอผปู้ ว่ ยเด็กวกิ ฤตโรงพยาบาลประจวบคีรขี นั ธ์ ระหวา่ งวันท่ี 1 ตลุ าคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2564 จานวน 15 ราย
เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 2 สว่ น คอื เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลท่ัวไป
ของแพทย์ พยาบาล และทารกแรกเกิด แบบสอบถามความคิดเห็นของแพทย์และพยาบาลผู้ใช้ส่ิงประดิษฐ์
แบบบนั ทึกอบุ ตั ิการณ์การบาดเจ็บของหลอดลมคอจากการใส่ท่อช่วยหายใจ และการลดลงต่าสุดของค่าออกซิเจน
ในกระแสเลือดขณะทาหัตถการ เพ่ือเปรียบเทียบระหว่างอุปกรณ์เดิมกับหมอนหนุนรองคอจัดท่าใส่ท่อช่วยหายใจ
ในทารกแรกเกิดทีพ่ ัฒนาขึ้นมาใหมใ่ นดา้ นประสิทธผิ ล โดยใช้แบบประเมินเพ่ือวัดคะแนนความง่ายและเวลาในการ
ใส่ laryngoscope และความพงึ พอใจของผูใ้ ห้บรกิ าร ด้านคุณลักษณะของอุปกรณ์ส่ิงประดิษฐ์ ได้แก่ ราคา และ
น้าหนกั ของอปุ กรณ์ ผา่ นการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 5 ท่าน ท่ีมีความเชี่ยวชาญในสาขาทารกแรกเกิด
ในดา้ นความถูกต้อง ความตรงของเนื้อหา และความน่าเช่ือถือ รวบรวมความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒินามาคิด
ค่าดัชนีความตรงของเนอ้ื หา (Content Validity Index ; CVI) ได้เท่ากับ 0.89 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่
ท่อช่วยหายใจสาหรับทารกแรกเกิดชนิด Portex tube, Laryngoscope with blade, Pulse Oximeter,
นาฬิกาจับเวลาชนิดบอกเวลาเป็นตัวเลข และส่ิงประดิษฐ์อุปกรณ์หมอนหนุนรองคอจัดท่าใส่ท่อช่วยหายใจใน
ทารกแรกเกดิ ที่ได้พัฒนาข้ึนมาใหม่ ซ่ึงผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่นและความปลอดภัย โดยแผนก
ช่างเทคนิคหน่วยช่างซ่อมบารุง โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ และนาไปทดลองใช้กับทารกแรกเกิด จานวน 5 ราย
หลังจากน้ันได้ปรับปรุงตามข้อช้ีแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วจึงนาไปให้ผู้ปฏิบัติใช้กับผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วย
คา่ สถติ คิ วามถี่ ร้อยละ คา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน

ผลการดาเนินการ
1. ได้สิ่งประดิษฐ์อุปกรณ์หมอนหนุนรองคอจัดท่าใส่ท่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิด ท่ีมีประสิทธิภาพ

ช่วยให้แพทย์สามารถทาหัตถการใส่ท่อช่วยหายใจทารกแรกเกิดได้ง่าย โดยพบอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่า
2 ครงั้ ตอ่ 1 รอบ ลดลงจากร้อยละ 76.92 เหลือร้อยละ 33.33 โดยมีระยะเวลาในการใส่ท่อช่วยหายใจเฉล่ียที่
เวลา 35.20 วินาที ลดลง 12.65 วินาที (จากเดิมใชเ้ วลาเฉลี่ย 47.85 วินาที)

2. ส่ิงประดษิ ฐอ์ ปุ กรณห์ มอนหนนุ รองคอจดั ท่าใสท่ ่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิดท่ีพัฒนาข้ึนมาใหม่ ช่วยลด
อบุ ตั ิการณ์การเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นจากการใสท่ ่อชว่ ยหายใจซ้า โดยพบอุบัติการณ์การบาดเจ็บของหลอดลมคอ
3 ราย คิดเป็น ร้อยละ 20.00 และไม่เกิดการลดลงของค่าออกซิเจนในกระแสเลือด (SpO2) ขณะทาหัตถการต่ากว่า
80 % ซึ่งก่อนการพัฒนาพบการบาดเจ็บของหลอดลมคอ 7 ราย (คิดเป็นร้อยละ 53.85) พบภาวะพร่องออกซิเจน
รอ้ ยละ 10.00

3. สง่ิ ประดิษฐอ์ ุปกรณ์หมอนหนนุ รองคอจดั ท่าใสท่ อ่ ช่วยหายใจในทารกแรกเกิดท่ีพัฒนาข้ึนมาใหม่ มีขนาด
และความสูง มาตรฐาน 3 เซนตเิ มตร น้าหนักอปุ กรณร์ วม 220 กรัม ราคาตน้ ทนุ การผลิต 210.50 บาท ตอ่ ช้นิ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

22
4. แพทย์ผู้ใช้ส่ิงประดิษฐ์อุปกรณ์หมอนหนุนรองคอจัดท่าใส่ท่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิดที่พัฒนา
ขน้ึ มาใหม่ มีความพึงพอใจระดับมากท่ีสุดในด้านความสะดวกในการใช้งานและช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับ
ผู้ปว่ ยรอ้ ยละ 66.67 สว่ นพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจระดับมากท่ีสุดในด้านความสะดวกในการใช้งานและ
ช่วยลดภาระงานในการดูแลผปู้ ว่ ยร้อยละ 66.67
อภิปรายผล
ส่ิงประดิษฐ์อุปกรณ์หมอนหนุนรองคอจัดท่าใส่ท่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิดท่ีพัฒนาขึ้นมาใหม่ มีขนาด
ความสูงและรูปรา่ งคงท่ี ช่วยใหแ้ พทยส์ ามารถทาหตั ถการใส่ท่อช่วยหายใจทารกแรกเกิดไดง้ ่าย สะดวก รวดเร็ว
อีกทั้งยังช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ท่อช่วยหายใจซ้า ทาความสะอาดง่าย ปลอดภัย
ตอ่ ผปู้ ว่ ย สะดวกในการนาไปใชด้ แู ลผูป้ ว่ ยทารกแรกเกิดท่ีมีความจาเป็นต้องได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ และมีราคา
ตน้ ทุนผลติ ถกู เพียง 210.50 บาท ตอ่ ชิ้น สามารถนากลับมาใช้ซ้าได้หลายครั้ง เป็นการประหยัดงบประมาณและ
ค่าใชจ้ ่ายในการดูแลผู้ปว่ ย ช่วยลดระยะเวลาและลดภาระงานในการดูแลผู้ป่วย เป็นที่ยอมรับและเพ่ิมความพึงพอใจ
ของผปู้ ฏบิ ัติงานทใี่ หก้ ารดแู ลทารกแรกเกดิ
สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
สิ่งประดษิ ฐอ์ ปุ กรณห์ มอนหนุนรองคอจัดท่าใส่ท่อช่วยหายใจในทารกแรกเกิดท่ีพัฒนาขึ้นมาใหม่ ช่วยให้แพทย์
สามารถทาหตั ถการใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจทารกแรกเกิดได้ง่าย ช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ท่อ
ช่วยหายใจ จึงควรพัฒนาส่ิงประดิษฐ์นี้ให้เป็นนวัตกรรม เพ่ือใช้เป็นมาตรฐานในการช่วยแพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ
ในทารกแรกเกิด และเผยแพร่เป็นทางเลือกและเป็นต้นแบบให้กับโรงพยาบาลท่ีมีความสนใจ และมีปัญหาด้าน
การใส่ทอ่ ช่วยหายใจในทารกแรกเกดิ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

23

เรื่อง ผลของโปรแกรมการวางแผนจาหน่ายมารดาหลงั คลอด หอผปู้ ่วยพเิ ศษ VIP
โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์

นางวาสนา สีขาว พยาบาลวิชาชพี ชานาญการ
นางอารยี ์ อุณหสทุ ธยิ านนท์ พยาบาลวิชชาชีพชานาญการพเิ ศษ

นางสาวเจนจิรา โพธ์ิทอง ผ้ชู ่วยพยาบาล
กลุ่มงานการพยาบาลผู้ปว่ ยสูติกรรม โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา
งานมาตรฐานอนามัยแม่และเดก็ มุ่งเนน้ การดูแลสุขภาพหญิงต้ังครรภ์หญิงหลังคลอดและเด็ก ให้มีสุขภาพดี

โดยกาหนดกิจกรรม โรงเรียนพอ่ แม่ เพอื่ ใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจท่ีถูกต้องในการดูแลสุขภาพ ขณะตั้งครรภ์และในระยะ
หลังคลอด จากการวิจัยในมารดาท่ีมีบุตรคนแรก พบว่า ร้อยละ 25 ของมารดาที่มีบุตร คนแรกประสบความยุ่งยาก
ในการปรบั ตวั ต่อ การเปน็ มารดา เนอื่ งจากการขาดความรแู้ ละประสบการณข์ องการเปน็ มารดามากอ่ น ซึ่งความสามารถ
ในการปรับตัวต่อบทบาทของตนเอง ได้ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ ในการเลี้ยงดูทารก (Curry M.A., 1983)
งานหลังคลอดหอผู้ป่วยพิเศษ VIP ส่วนใหญ่เป็นการให้ข้อมูลเพียง 1 คร้ัง ใช้เวลาในการทากิจกรรม 45 - 60 นาที
จากการสังเกตระหว่างการสอนและประเมินความรกู้ ่อนกลบั บา้ นทผ่ี า่ นมา พบว่ามารดาหลังคลอดไม่ได้ให้ความสนใจ
เท่าที่ควร และไม่สามารถตอบคาถามเกี่ยวกับความรู้ที่ได้เรียนไปได้อย่างถูกต้อง และจากข้อมูลการเยี่ยมบ้าน
มารดาหลงั คลอดทงี่ านอนามัยชมุ ชนประสานกลับมาทีแ่ ผนกสูตกิ รรม พบวา่ มารดาหลังคลอดปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง
ในการดูแลตนเองหลังคลอดและการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ต่ากว่าเกณฑ์ ประกอบกับข้อจากัดของเตียงนอน สถานท่ี
ของหอผู้ปว่ ยและจานวนมารดาหลังคลอด แพทย์มักอนุญาตให้มารดาคลอดปกติกลับบ้านได้ ในวันที่ 2 หลังคลอด
มารดาผา่ ตัดคลอดใหก้ ลับบ้านภายใน 3 วันหลังคลอด เพ่ือลดความแออัดในหอผู้ป่วย ดังนั้นทางหอผู้ป่วยพิเศษ VIP
ต้องการพฒั นาระบบการใหค้ วามรกู้ ับมารดา หลังคลอดท่ีมีประสิทธิภาพร่วมกับสถานการณ์ของไวรัสโคโรนา - 19
ตอ้ งลดการสมั ผสั ใกล้ชิด การให้ข้อมูลแกผ่ ้ปู ว่ ยจงึ มขี อ้ จากดั ฉะนัน้ การสรรหาสือ่ การเรียนรู้ที่จะทาให้ผู้ป่วยเกิด
ความเพลิดเพลนิ ไม่เบ่ือหนา่ ยส่งผลให้เกดิ การเรียนรู้ และจดจาได้เป็นอย่างดี และก่อให้เกิดกระบวนการคิดตัดสินใจ
เลือกวิธีปฏิบัติการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม (Intarakam-hang, 2010) ในการดูแลบุตรที่เหมาะสมกับบริบท
การดาเนนิ ชวี ิต ทางหอผ้ปู ่วยพิเศษ VIP จึงนาโปรแกรมการวางแผนจาหน่ายโดยใช้ Appication Line ผ่าน QR CODE
เปน็ ความรผู้ า่ นระบบอนิ เทอรเ์ น็ตโทรศพั ท์มือถือ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เป็นต้น (Keawkaw, Krergkulthorn,
Yingrengreung, Chamnan-seua, & Choomchai, 2017) โดยมีเน้ือหาโรงเรียนพ่อ แม่ ทาให้ผู้ใช้สะดวกต่อ
การใช้งาน สามารถสืบค้นหาความรู้ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ทุกท่ี ทุกเวลา เพื่อให้มารดาหลังคลอดมีความรู้
การดูแลตนเองและปฏิบตั ิไดถ้ ูกตอ้ งในระยะหลงั คลอด

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่อื พฒั นาโปรแกรมการวางแผนจาหน่าย มารดาหลงั คลอดหอผูป้ ่วยพเิ ศษ VIP โรงพยาบาลประจวบคีรีขนั ธ์
2. เพอ่ื ศกึ ษาผลลพั ธข์ องโปรแกรมการวางแผนจาหน่าย

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

24

วธิ ดี าเนินการ
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi-experimental research) ชนิดศึกษา 2 กลุ่ม แบ่งเป็น

กลุ่มควบคมุ และกลุ่มทดลอง ทาการวัดกอ่ นและหลังการทดลอง (Two group pretest-posttest design)
เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการศึกษาครัง้ นีป้ ระกอบด้วย 2 สว่ น คือ

สว่ นท่ี 1 โปรแกรมการวางแผนจาหน่ายมารดาหลังคลอด ประกอบด้วย
1.1 แนวทางปฏิบัติการวางแผนจาหน่ายมารดาหลังคลอด
1.2 QR code และกลุ่ม Line สาหรับมารดาหลังคลอด ซึ่งประกอบไปด้วย VDO ความรู้มารดาหลังคลอด

เรื่อง การอาบน้าเช็ดตาเช็ดสะดือ การเล้ียงลูกด้วยนมแม่ การนวดสัมผัสทารก การปฏิบัติตัวหลังคลอดและ
การเลยี้ งดูทารก

1.3 แผนการสอนการอาบน้าเช็ดตาเช็ดสะดือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การนวดสัมผัสทารก การปฏิบัติตัว
หลังคลอดและการเลีย้ งดูทารก ตามหลักสูตรโรงเรียนพอ่ แม่

1.4 เอกสารแผน่ พับ การเลยี้ งลูกดว้ ยนมแม่ การจดั การความปวด ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กาเนิด
สว่ นท่ี 2 คือ เครอ่ื งมือประเมนิ ผลลัพธ์ของโปรแกรมการวางแผนจาหนา่ ย 4 ด้าน ประกอบไปดว้ ย

2.1 แบบประเมนิ ความรมู้ ารดาหลงั คลอด
2.2 แบบประเมิน ทักษะมารดาหลงั คลอด
2.3 แบบประเมินความพงึ พอใจของมารดา
2.4 ด้านการตดิ ตามเย่ยี มบา้ น
ส่วนดา้ นเจา้ หนา้ ท่ี ประกอบไปด้วย แบบประเมินความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ต่อโปรแกรมการวางแผน
จาหน่าย การตรวจสอบตรวจคณุ ภาพเครื่องมือ ค่าดัชนคี วามตรงตามเน้ือเรื่อง (CVI) เท่ากับ 0.92 ค่าเชื่อม่ันของ
เครื่องมือโดยวธิ ีสมั ประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค(Cronbach’s Alpha Method) เท่ากับ 0.78 และค่าความเช่ือมั่น
ของความร้โู ดยใช้ KR-20
กลุม่ ตัวอย่าง คือ มารดาหลังคลอดท่เี ขา้ รบั การรักษาระหว่างเดือนเมษายน 2564 – กรกฎาคม 2564
โดยเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเปน็ กลุ่มควบคุม 42 คน และกลุ่มทดลอง 42 คน และเจ้าหน้าท่ีหอผู้ป่วยพิเศษ VIP
9 คน
การดาเนินการวิจัย ภายใต้วงจรของ Plan Do Observe และ reflect ในแนวคิดของ Simple Action
Research Model (MacIsaac, 1995) วงจรการวิเคราะห์ข้อมูล หาค่าเฉล่ีย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
สถติ ทิ ี่ใช้ในการเปรยี บเทยี บ สถติ ิไคสแควร์ Pair t-test และ Independent t-test

ผลการดาเนินการ

1. ดา้ นมารดาหลังคลอด มารดาหลังคลอดมีค่าเฉล่ียคะแนนความรู้กลุ่มทดลอง ( ̅ = 14.52 SD = 0.70)

สูงกว่ากลุ่มควบคุม( ̅ = 12.9 SD = 1.26) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ < 0.05 มารดาหลังคลอดมีค่าเฉลี่ยคะแนน

ทกั ษะกลุ่มทดลอง( ̅ = 26.30 SD = 4.03) สูงกว่ากลุ่มควบคุม( ̅ = 26.30 SD = 4.03) อย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติ < 0.05 มารดาหลังคลอดกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจของโดยรวมต่อโปรมแกรมการวางแผน

จาหนา่ ยมารดาหลงั คลอด อยใู่ นระดับมากทีส่ ดุ มีคา่ เฉลีย่ เท่ากับ ( ̅ = 4.6) อตั ราการเลีย้ งลกู ด้วยนมแม่กลุ่มทดลอง

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

25
สูงกว่ากลุ่มควบคุมมีนัยสาคัญทางสถิติ < 0.05 การติดของแผล Day14 ท้ังสองกลุ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติ การ Re-Admit ท้ังสองกลมุ่ ไมพ่ บการ Re-Admit

2. ด้านเจ้าหน้าท่ี ระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ม่ีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ
( ̅ = 4.37 SD = 0.52)
สรุปและขอ้ เสนอแนะ

1. ควรมีการจดั การระบบการสอนโปรแกรม การวางแผนการจาหน่ายมารดาหลงั คลอดตั้งแตแ่ ผนกฝากครรภ์
และหอ้ งคลอด ขยายการนาโปรแกรมการวางแผนจาหนา่ ยไปใช้ในหอผ้ปู ว่ ยสูติ-นรเี วช

2. ควรมกี ารพฒั นาบคุ ลากรด้านการดแู ลมารดาและทารกอย่างสม่าเสมอทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 คร้ัง เพื่อ
เพิ่มพนู ความรทู้ ่ีทันสมัย พัฒนาทกั ษะให้เปน็ ไปในทิศทางเดยี วกัน เพอ่ื ให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัตงิ านอยเู่ สมอ

3. พยาบาลในยคุ สงั คมดิจติ อล ควรมกี ารพัฒนาความรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี และนาสื่อสังคม
ออนไลนไ์ ปใช้เปน็ เคร่ืองมือในการพัฒนาการบริการ เพื่อทาให้ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ได้รวดเรว็ และสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปล่ยี นขอ้ มลู ระหวา่ งกันได้อย่างมปี ระประสิทธภิ าพ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

26
เร่อื ง การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการดแู ลมารดา Preterm Labour

นางสาวทพิ วรรณ คงจนิ ดา พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ
ทมี แม่และเด็ก โรงพยาบาลบอ่ พลอย

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
จากการทบทวนข้อมูล 6 เดอื นท่ผี ่านมา (ตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564) มีมารดามารับบริการที่ห้องคลอด

จานวน 168 ราย มารดาทเ่ี จ็บครรภก์ อ่ นกาหนด จานวน 21 ราย มารดาเจ็บครรภ์คลอดก่อนกาหนดและมีการคลอด
8 ราย คลอดท่ีโรงพยาบาลบ่อพลอย 5 ราย ส่งต่อไปโรงพยาบาลท่ัวไป 3 ราย ทารกน้าหนักต่ากว่า 2,500 กรัม
จานวน 2 ราย พบในมารดาอายุ 14 – 19 ปี จานวน 5 ราย ครรภแ์ รก จานวน 7 ราย, ครรภ์หลัง 14 ราย ฝากครรภ์ท่ี
โรงพยาบาลบ่อพลอย 21 ราย, ตา่ งดา้ ว 2 ราย ไมม่ ี No ANC สาเหตุเนอ่ื งจากมารดามปี ระวัตเิ คยแท้งบตุ ร, ติดเช้ือ UTI,
ท้องเสีย, มเี พศสมั พันธ์, ภาวะซดี BMI ตา่ , มีโรคร่วมติดเชอื้ HIV มกั พบในกลุม่ อาชพี รบั จ้าง เกษตรกรรม ทางานหนกั

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่อื ลดอตั ราการเจ็บครรภ์คลอดกอ่ นกาหนด
2. เพ่ือประเมินปจั จยั เสี่ยงภาวะเจบ็ ครรภ์คลอดก่อนกาหนด

วธิ ดี าเนนิ การ
แผนกฝากครรภ์

1. คน้ หาหญิงตงั้ ครรภร์ ายใหมใ่ นชุมชน ใหม้ าฝากครรภ์เร็วที่สุด โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน,
อาสาสมัครประจาครอบครัว สนบั สนนุ ชุดตรวจครรภ์ (Preg test) ใหอ้ าสาสมคั รสาธารณสุขประจาหมู่บ้านและ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล อย่างเพียงพอ รณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ฝากท้องทุกที่ ฟรีทุกสิทธ์ิ” มอบของขวัญ
แก่หญิงตั้งครรภท์ ม่ี าฝากครรภ์ก่อน 12 สปั ดาห์

2. ประเมนิ ซกั ประวตั ิ คดั กรองปัจจัยเสี่ยง (Screening) และจาแนกประเภทปัจจัยเสี่ยง (Identification)
โดยใชแ้ บบประเมนิ ความเส่ยี งภาวะเจบ็ ครรภ์คลอดกอ่ นกาหนด

3. หญิงตั้งครรภ์ทอ่ี ยูใ่ นกลุ่มเสีย่ ง ส่งตอ่ โรงพยาบาลทัว่ ไป เพ่อื วดั ความยาวของปากมดลูก ท่ีอายุครรภ์
20 – 24 สัปดาห์ ถ้าพบว่าปากมดลกู สนั้ กวา่ 25 มม. จะได้รับยา Utrogestran 200 mg. 1 เม็ด เหน็บทางช่องคลอด
สัปดาห์ละคร้ังจนอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ โดยได้รับสนับสนุนยา/เวชภัณฑ์ จากโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
กรณมี ีประวตั ิคลอดก่อนกาหนดในครรภ์กอ่ นให้เรม่ิ เหน็บยา โดยไม่ตอ้ งวดั ความยาวของปากมดลกู

4. กล่มุ เส่ียงสงู บรกิ ารฝากครรภ์ในคลนิ ิก High risk พบแพทย์ทุกคร้ัง
5. Screening การติดเช้ือทางเดินปัสสาวะ โดยตรวจ UA เม่ือ ANC ครั้งแรก, มี Sign UTI และอายุครรภ์
32 สปั ดาห์ กรณีพบติดเชือ้ ให้ยาปฏชิ ีวนะ
6. จัดทาโครงการด้านโภชนาการหญิงต้ังครรภ์ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยมอบไข่ นม แก่
หญงิ ตง้ั ครรภท์ ่ี BMI ต่า ซดี และกลุ่มทีม่ ีปัญหาเศรษฐานะ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

27

แผนกหอ้ งคลอด
ประเมินความเสยี่ งตอ่ การเกดิ Preterm Labour กรณี อายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์ (EFW >1000 gm.)

มี Uterine contraction 4 ครั้งใน 20 นาที หรือ 8 ครั้งใน 60 นาทีและมี Cervix Progression หรือ Cervix
Dilate < 3 cms., efface < 80%

1. ประเมนิ อายคุ รรภ์ คาดคะเนนา้ หนักทารกในครรภ์ ท่า และส่วนนาของทารก
2. ประเมนิ สขุ ภาพมารดา โรครว่ ม ตรวจภายใน หากไมม่ ขี ้อหา้ มและยังไม่ได้รบั การตรวจภายในมาก่อน
3. ประเมินตรวจสขุ ภาพทารกในครรภ์ NST/ Uterine Contraction
4. ทา Ultrasound เพื่อยืนยันอายคุ รรภ์, EFW, AFI, เจาะเลอื ด Hct, DTX, CBC, UA

5. Dexamethasone แบบ Single course 6 mg IM ทกุ 12 ชม.  4 dos (ยกเว้นเคยได้ Dexamethasone
ครบ 4 dose ในอายุครรภ์ 28 - 34 สัปดาห์ ไม่ต้องใช้ซ้า)

6. พิจารณาใหย้ ายบั ยง้ั การหดตวั ของมดลกู (Tocolysis) ตาม CPG

Nifedipine 20 mg per oral ทกุ 30 นาที 3 dose

ไม่พบ Uterine contraction พบ Uterine contraction

Nifedipine 10 - 20 mg per oral ทุก 8 ชม. 3-5 วัน 5% D/W 100 cc. + Bricanyl 4 amp IV drip. 15 ud
ปรับยา 5 ud/ min m6d 15-20 นาที

เฝ้าระวงั ภาวะแทรกซอ้ นจากการใหย้ า Bricanyl ภาวะหวั ใจเตน้ ไม่เป็น
จงั หวะ (Arrhythmia) , เจาะ DTX ทกุ 6-8 ชม.

7. ภายหลังให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก เป็นผลสาเร็จ พิจารณาให้ Progesterone Prevention
Preterm จนกระทง่ั อายุครรภ์ 36 สปั ดาห์ (Maintenance progesterone)

8. กรณียับย้ังการคลอดไม่สาเร็จ ตัดสินใจให้ปล่อยคลอดท่ีโรงพยาบาล เตรียมความพร้อมของเคร่ืองมือ
ชว่ ยชวี ิตเตรียมทีมบคุ ลากร CPR, เตรียม Transport Incubator สาหรบั การสง่ ตอ่

9. กรณไี ม่สามารถยบั ย้ังการคลอดได้ ให้พิจารณาส่งต่อ ประสานการส่งต่อโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
โดยปฏบิ ัติตามแนวทางการสง่ ต่อ Consult สูติแพทย์และกมุ ารแพทย์ ตดิ ตามผลหลงั สง่ ต่อ

10. การดแู ลบุตรท่คี ลอดก่อนกาหนด Keep warm เพื่อปอ้ งกันการเกิด Hypothermia, กระตุ้นการดูดนมแม่
ตามความเหมาะสม ทาการปอ้ นนมดว้ ยขณะทีย่ งั ดดู นมแม่ไมไ่ ด้
การดแู ลต่อเนื่อง

1. ทมี แม่และเด็ก ร่วมกบั ทีม HHC ออกเยยี่ มติดตามประเมิน เฝา้ ระวัง กระตุ้นพัฒนาการ
2. ใหค้ าปรึกษารายกรณี ผา่ นโทรศัพท์, Line กบั ผ้รู บั ผดิ ชอบคลินกิ พัฒนาการเด็ก

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

28

ผลการดาเนินการ เป้าหมาย ต.ค.63–มี.ค.64 เม.ย.-ก.ย.64
168 212
ตวั ชีว้ ดั ร้อยละ 60 80.24 88.34
จานวนหญิงตั้งครรภ์ท่ีมา Admit ร้อยละ 10 12.50 7.07
1. อัตราหญงิ ตั้งครรภฝ์ ากครรภค์ ร้งั แรกก่อน 12 สปั ดาห์
2. อัตราการเจบ็ ครรภค์ ลอดก่อนกาหนด ร้อยละ 50 (21 ราย) (15 ราย)
38.09 20.00
3. อตั ราทารกคลอดก่อนกาหนด (8 ราย) (3 ราย)

หมายเหตุ คลอดทโ่ี รงพยาบาล 1 ราย, ส่งตอ่ โรงพยาบาลท่ัวไป 2 ราย ไมม่ ี Low birth weight

อภิปรายผล
ทมี แมแ่ ละเดก็ ได้เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลมารดาท่ีมีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกาหนด โดยการค้นหา

หญงิ ตัง้ ครรภร์ ายใหม่ในชมุ ชนให้เรว็ การประเมนิ คดั กรองปัจจัยเสีย่ งสู่การจดั การทมี่ ปี ระสิทธิภาพ การได้รับสนับสนุน
ยาและเวชภัณฑ์จากโรงพยาบาลท่ัวไป ตลอดจนการดูแลตาม CPG service plan สาขาทารกแรกเกิด, ระบบ
การ Consult ท่ีมปี ระสิทธิภาพ รว่ มกับโรงพยาบาลท่ัวไป สง่ ผลให้มารดาท่ีมีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกาหนด
และทารกคลอดกอ่ นกาหนดลดลง สลู่ ูกเกดิ รอด แมป่ ลอดภยั

สรปุ และข้อเสนอแนะ
1. การค้นหาหญงิ ต้ังครรภ์ เขา้ สรู่ ะบบการฝากครรภ์ทรี่ วดเรว็ ตลอดจนการให้ความรูแ้ บบเขม้ แกห่ ญิงต้ังครรภ์

กลุ่มเสยี่ ง สามารถลดภาวะการเจบ็ ครรภค์ ลอดก่อนกาหนด
2. การประสานความร่วมมือที่ดีระหว่างโรงพยาบาลท่ัวไป เช่น ระบบให้คาปรึกษา, การสนับสนุนยาและ

เวชภัณฑ์ ทาใหผ้ ู้รับบรกิ ารได้รบั ความสะดวก ไมต่ อ้ งเดนิ ทาง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาเปน็ อย่างดี
3. การสนบั สนนุ งบประมาณจากภาคีเครอื ขา่ ย ในการดาเนินการทาให้ประชาชนไดร้ ับการดูแลอย่างเหมาะสม

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

29
เร่อื ง นวดสัมผสั จากแม่สู่ลูกท่ีมผี ลต่อการเจรญิ เติบโตของลกู และสรา้ งความผูกพันสายใยรกั
ระหว่างมารดาและทารก คลินกิ หมอครอบครัว โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จงั หวดั เพชรบรุ ี

นางสาวนงนชุ พัชรวโิ รจนส์ กลุ แพทย์แผนไทยชานาญการ
ทีมงานคลินิกหมอครอบครวั โรงพยาบาลพระจอมเกลา้ จังหวัดเพชรบรุ ี

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
ทารกแรกเกิดเป็นวัยท่สี าคญั ในการสรา้ งรากฐานของชวี ิต

การเลี้ยงดูเดก็ ตัง้ แตค่ ลอดถอื เปน็ หนา้ ทสี่ าคญั และย่งิ ใหญ่ของแม่
สิง่ สาคัญ 3 ประการ ทเ่ี ด็กทารกจาเป็นตอ้ งได้จากแม่ คือ
1. ความรกั ความอบอนุ่ 2. ความรูส้ ึกปลอดภัย 3. อาหารในการเลี้ยงดู
ให้มกี ารเจริญเตบิ โตตามแบบแผนและวิถที างทด่ี ีได้รับแก้ว 3 ประการนี้ แม่เป็นผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญอย่างยิ่งในทุก
ช่วงเวลาของการเล้ยี งดูเป็นบุคคลแรกในชวี ติ มนุษย์ทท่ี าให้เกิดความสุข ทารกจะได้รับการกระตุ้นประสาทสัมผัส
เรมิ่ ต้ังแต่อยู่ในครรภ์ การนวดสัมผัส คือ การต่อยอดชัน้ เลิศ จะชว่ ยผ่อนคลายการตึงเกรง็ ของกลา้ มเน้ือ การไหลเวียน
เลือดลมในรา่ งกายดีขน้ึ ทาใหร้ ะบบต่างๆ ทกุ ระบบทางานไดด้ ขี ้นึ เช่น ระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ระบบ
การหายใจ ระบบทางเดนิ อาหาร ระบบทางเดินอาหาร ระบบขบั ถา่ ย เปน็ ต้น

การนวดสัมผัสของมารดาเป็นการตอบสนองความต้องการสัมผัสข้ันพ้ืนฐานของทารกในระยะเดือนแรกๆ
ร่างกายของทารกที่เคยงอคุดคู้อยู่ในครรภ์มานาน จะเริ่มยืดเหยียดออกเพ่ือปรับสู่สมดุลใหม่นอกครรภ์มารดา
ในชว่ งระยะน้มี ารดาจงึ ควรนวดสัมผัสตัวทารกเสริมสร้างทารกให้สุขภาพดีแข็งแรงและส่งเสริมพัฒนาการเติบโต
ตามวัยได้ดีในทุกมิติ เกิดความสมดุลทางโครงสร้างร่างกาย สมดุลทางจิตใจ และสมดุลทางจิตวิญญาณ นอกจาก
ทารกสขุ ภาพดีในทกุ มติ แิ ล้ว ยงั ทาใหเ้ กิดภูมติ า้ นทานโรคตามธรรมชาติ ปอ้ งกันโรคในทารกได้ดี การนวดสัมผัส
ชว่ ยให้รา่ งกายทารกรู้สึกสขุ สบายกายชว่ ยถ่ายทอดความรักความอบอุน่ ความเอื้ออาทร ความรูส้ ึกปลอดภัย นอนหลบั
ไดด้ ี อารมณด์ ี รา่ เริงแจม่ ใส ทาให้มารดาได้อยู่ใกล้ชิดกับทารก มีเวลาอยู่ด้วยกัน จ้องมอง สบตา พูดคุย สัมผัส
ได้เห็นพฤติกรรมของทารกที่ตอบสนองเวลานวดสัมผัส ทาให้เกิดความประทับใจ เพิ่มความรู้สึกมีคุณค่า และ
เชอ่ื มนั่ ในตนเองในการดูแลทารก และทาให้ทารกมพี ฒั นาการดา้ นการเรยี นรู้ การดูดกลืน และความจาดีขึ้น และ
ตัวมารดาจะมีการหลังฮอร์โมนออกซิโทซินเพ่ิมมากข้ึน เป็นฮอร์โมนแห่งความผูกพันหรือเคมีส่ือรัก มีผลต่อร่างกาย
คอื ชว่ ยในการหลง่ั น้านมเมอ่ื มารดาให้นมบุตรทางคลินิกหมอครอบครัวฯ จึงนาการนวดทารกมาใช้ตั้งแต่การเยี่ยม
มารดาหลังคลอด จนถึงการมารับวัคซีนในคลินิก well baby ได้เห็นพัฒนาการของเด็กที่ได้รับการนวดสัมผัส
จากมารดา และการเจริญท่ีงดงามของเดก็ ๆ อย่างมคี ณุ คา่ และเป็นรากฐานของเดก็ ท่ดี ีต่อไปในอนาคต

วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อศึกษาผลการนวดสมั ผัสทารกโดยมารดาตอ่ การเจรญิ เติบโตของทารก
2. เพอ่ื ศึกษาผลการนวดสัมผสั ทารกโดยมารดาต่อความผูกพันระหวา่ งมารดาและทารก

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

30
วธิ ดี าเนินการ

การวจิ ัยครงั้ น้เี ปน็ การวจิ ยั กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research)
โดยใชร้ ูปแบบการทดลองแบบกลุม่ เดียว วดั ผลกอ่ นและหลงั การทดลอง
1 เดือน โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศกึ ษาผลการนวดสมั ผสั ทารกโดยมารดาต่อ
การเจรญิ เติบโตของทารกและความผูกพนั ระหวา่ งมารดาและทารก
ตง้ั แต่ ปี 2561-2564 รวม 350 ราย ผ้วู ิจยั ทาการประเมนิ น้าหนกั
เส้นรอบศรี ษะ ความยาวลาตัวของทารก และประเมนิ คะแนนความผูกพนั
ระหว่างมารดาและทารก ก่อนและหลังการนวดสัมผัสทารกแล้ว 1 เดือน มารดากลุ่มตัวอย่างจะได้รับการสอน
สาธิตและฝึกปฏบิ ัติการนวดสมั ผัส เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามความผูกพันระหว่าง
มารดาและทารก

วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
และการเปรียบเทียบค่าเฉล่ียน้าหนักตัว เส้นรอบศีรษะ ความยาวลาตัวของทารกแรก และคะแนนเฉล่ียความรัก
ความผูกพันระหว่างมารดาและทารกก่อนและหลังการไดร้ ับการนวดสมั ผัสโดยใชส้ ถติ กิ ารเปรยี บเทยี บ

ผลการดาเนินการ
คา่ เฉลี่ยน้าหนกั ของทารก ความยาวลาตวั ของทารก ความยาวรอบศีรษะของทารก ที่ 1 เดือนหลังจากได้รับ

การนวดสัมผสั สูงกว่าก่อนการนวดสมั ผสั อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ 0.01
คะแนนความผกู พันระหวา่ งมารดาและทารกที่ 1 เดือนหลังจากได้รับการนวดสัมผัส สูงกว่าก่อนการนวดสัมผัส

อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.01

อภปิ รายผล
การนวดสมั ผัสทารกสง่ เสริมให้รา่ งกายของทารกเจริญเติบโตได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีค่าเฉล่ียน้าหนักตัว

ความยาวของลาตัว เสน้ รอบศรี ษะเพม่ิ มากขึ้นอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติ การนวดสัมผัสโดยมารดาจึงน่าจะเปน็ เครอื่ งมือ
ท่ีดีในการช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตทางร่างกายของเด็กไทย น่าจะช่วยป้องกันปัญหาการเจริญเติบโตช้า ปัญหา
ความสงู ของเดก็ ไทย ปญั หาพัฒนาการของเด็กไทยได้ จงึ ควรมีการศกึ ษาตอ่ ยอด

การนวดสัมผัสทารกส่งเสริมให้เกิดความผูกพันระหว่างมารดาและทารกมากข้ึนอย่างชัดเจน โดยมีค่าเฉลี่ย
คะแนนความผกู พนั เพมิ่ ขึน้ อยา่ งมนี ยั สาคัญ นอกจากน้ียงั สังเกตเห็นความรักความผูกพันของคุณพ่อและคุณแม่
ของเดก็ ดีขึน้ ชดั เจนในทกุ ครอบครัวทศ่ี กึ ษา การนวดสมั ผสั โดยมารดาจึงน่าจะเป็นเครื่องมือท่ีดีในการช่วยสร้าง
ครอบครัวอบอุน่ ลดปัญหายาเสพตดิ ไดใ้ นอนาคต ลดปัญหาทางด้านพฤติกรรมไม่ดีได้ ลดปัญหาการหย่าร้างได้
และน่าจะชว่ ยสร้างเด็กทีม่ ีสขุ ภาพจติ ดี เป็นอนาคตของชาติท่ีดมี ีคณุ ภาพได้ จึงควรมีการศกึ ษาต่อยอด

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

31
ข้อเสนอแนะ

การนวดสมั ผัสโดยมารดาเปน็ เคร่อื งมอื ช้นั เลศิ ในการสร้าง
1. Doctor-patient-family Relationship
2. สรา้ งเสริมสขุ ภาพของเด็กท้ังร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ครอบครัวและสังคม เป็นเครื่องมือท่ีประหยัด
ปลอดภัย ไดป้ ระโยชนส์ ูง เหมาะทจี่ ะเปน็ เครอื่ งมอื จาเปน็ พืน้ ฐานสาหรบั ทีมหมอครอบครัวคุณภาพ

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

32

เรอื่ ง แนวปฏบิ ตั ิในการดาเนินการปอ้ งกันและควบคุมโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 สาหรับ
โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบล ในจงั หวดั สมุทรสงคราม

นางสาวจฑุ ามาส มาฆะลักษณ์
นักวเิ คราะหน์ โยบายและแผนชานาญการพเิ ศษ

สานกั งานสาธารณสุขจงั หวัดสมุทรสงคราม

ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ในเมืองอู่ฮ่ัน มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน เมื่อเดือน

ธันวาคม ปี 2562 เชือ้ ไวรสั โคโรนา 19 ก็ไดแ้ พรก่ ระจายไปทว่ั โลกโดยการติดต่อจากคนสู่คน และกลายพันธ์ุไปตาม
สภาพแวดลอ้ มของแต่ละพ้นื ท่ี จนทาให้ตอนน้ีแพร่กระจายไปท่ัวโลกรวมถึงประเทศไทย จังหวัดสมุทรสงคราม
พบผูป้ ่วยที่ตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 9102 ในพื้นท่ีรายแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 คาดว่าอาจจะรับเชื้อมาจากจังหวัด
สมุทรสาคร ซ่ึงสามารถดาเนนิ การควบคุมไมใ่ หม้ กี ารแพรร่ ะบาดในจังหวดั ในการระบาดระลอก 2 ท่ีตลาดกลางค้ากุ้ง
จังหวดั สมทุ รสาคร ซ่ึงเป็นจังหวัดใกล้เคียงและมีประชาชนในจังหวัดฯ มีการทาธุรกิจ เดินทางซื้อขายสินค้า ทาให้
ไดร้ ับผลกระทบจากการแพรร่ ะบาด ระลอกที่ 3 พบมีการระบาดตงั้ แตว่ ันที่ 2 เมษายน 2564 พบว่าการติดเช้ือ
จากสถานบนั เทงิ จงั หวัดใกล้เคียง เชน่ กรุงเทพฯ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พบผู้ติดเช้ือที่ทาให้เกิดการแพร่ระบาด
กบั บุคคลในบา้ น และผสู้ มั ผสั อื่นๆ ในชมุ ชนและจงั หวดั ตอ่ มาเกดิ การระบาดจากโรงงาน จังหวัดเพชรบุรี มีประชาชน
ได้ทางานในโรงงานน้นั และได้นาเช้อื กลบั มาแพรก่ ระจายในโรงงาน ในชมุ ชนในจังหวัดสมุทรสงคราม จน ณ ปัจจุบัน
วันที่ 10 ธันวาคม 2564 พบผู้ป่วยสะสมจานวน 10,847 ราย เสียชีวิตสะสม 141 ราย สานักงานสาธารณสุข
จังหวัดสมทุ รสงคราม ได้ร่วมกับโรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ในจังหวัดเฝ้าระวังในชุมชน
ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในกลุ่มต่างๆ ให้การรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จัดตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วย
ในจังหวดั จานวน 5 แหง่ สถานทก่ี ักตวั 1 แห่ง กระจายอยู่ทั้ง 3 อาเภอ และรับการส่งต่อจากจังหวัดใกล้เคียง
เรง่ ดาเนินการฉีดวัคซีนปอ้ งกันตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ใหค้ รอบคลุมประชากรในชมุ ชน

บคุ ลากรสาธารณสขุ ทปี่ ฏบิ ตั ิงานในโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลทุกแหง่ โดยเฉลี่ย 3.5 คนต่อแห่ง
มีภาระงานเดิมทม่ี ากแล้ว ตอ้ งมีภาระงานเพ่ิมขึ้น การบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลและในชุมชน
การใหค้ วามรเู้ ร่ืองโรคอุบัติใหม่ ตามสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงตลอดเวลา การสอบสวนโรคเมื่อมีผู้ติดเช้ือและ
มีกลุ่มเส่ียงการส่งต่อผู้ป่วยที่ติดเชื้อไปโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามหรือศูนย์พักคอย ทาให้โรงพยาบาล
ส่งเสริมสขุ ภาพตาบล ต้องการปรบั เปลีย่ นพัฒนาระบบบริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อ
ไวรัสโคโรนา 2019 โดยเพมิ่ ระบบความปลอดภัยไม่ให้เกิดการติดเช้ือกับผู้ให้บริการและผู้รับบริการ สร้างความรู้
ความเข้าใจให้ประชาชนปรับเปล่ียนพฤติกรรมตามวิถีชีวิตใหม่ จากสภาพปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา
แนวปฏิบตั ใิ นการปอ้ งกันและควบคมุ การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งจะทาให้การควบคุม
และปอ้ งกันโรคนี้ จะเกิดประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลสงู สดุ และยงั สามารถนาไปเป็นต้นแบบในการป้องกันและ
ควบคมุ โรคในพ้นื ท่อี น่ื ๆได้

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

33

วัตถปุ ระสงค์
เพอื่ ศกึ ษาและพัฒนาแนวปฏบิ ตั ใิ นการปอ้ งกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สาหรับบุคลากร

สาธารณสขุ ที่ปฏบิ ัตงิ านในโรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบล จังหวดั สมทุ รสงคราม

วธิ ีดาเนินการ
เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เก็บข้อมูลเดือน มกราคม – กุมภาพันธ์ 9565 ข้ันตอนการดาเนินการวิจัย

แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังน้ี
ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล เก็บข้อมูล

เชิงปริมาณ โดยแบบสอบถามประชากรคือบคุ ลากรสาธารณสขุ 073 คน ที่ปฏบิ ตั ิงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล
49 แห่ง และคานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางของเครจซ่ีและมอร์แกน (Krejcie & Morgan) โดยผู้วิจัยทาการ
เกบ็ ข้อมลู ได้ครบ 173 คน วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยใช้ ความถ่ี ร้อยละ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบข้ันตอน
ผลลัพธ์ คือ ทราบขอ้ มลู พื้นฐานของบคุ ลากรสาธารณสขุ ท่ีปฏิบตั งิ านในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ความรู้
พฤติกรรม และการปฏิบัติงานในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และได้ทราบปัจจัยท่ีส่งผล
ตอ่ การปฏิบัตงิ านปอ้ งกนั และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ระยะท่ี 2 ศึกษาการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน
ท่ีโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบล เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ใช้เทคนิคการสนทนากลุ่ม
8 กลมุ่ และสัมภาษณ์เจาะลกึ 6 คน ผปู้ ฏบิ ัตงิ านในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ผลลัพธ์ คือ ได้ร่างแนวปฏิบัติ
จากกิจกรรมการดาเนินงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 เพ่ือการป้องกันและควบคุม
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ท้ังในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลและในชุมชน ทาให้เห็นความเปล่ียนแปลง
การปฏบิ ัติงานที่แตกตา่ งไปจากการปฏบิ ตั งิ านในสถานการณ์ปกติ

ระยะที่ 3 กาหนดและพัฒนาแนวปฏิบัติป้องกันและควบคุมโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ดาเนินการ
วิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวปฏิบัติท่ีผู้วิจัยร่างขึ้นในระยะที่ 2 สอบถามบุคลากรสาธารณสุข และสังเกตในขณะที่
มผี รู้ บั บริการ เข้าใช้บริการท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ผลลัพธ์ คือ ได้แนวปฏิบัติในการป้องกันและควบคุม
โรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จานวน 2 เรอื่ ง

ระยะที่ 4 ประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อแนวปฏิบัติในการป้องกันและควบคุมโรคติดเช้ือ
ไวรัสโคโรนา 2019 ทไี่ ด้พฒั นาจากระยะท่ี 3 ดาเนินการวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยวิธีการสารวจโดยทาแบบสอบถามออนไลน์
(Online Self-Administered Questionnaires) ผู้รับบริการ จานวน 500 คน ชุดท่ี 1 ทราบระดับความพึงพอใจ
ของประชาชน และระดับความยินดีในการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบล แบบสอบถามชดุ ที่ 2 วัดความรแู้ ละพฤติกรรมของประชาชน

ผลการดาเนนิ การ
ผลการศกึ ษาพบว่า บคุ ลากรสาธารณสุขที่ปฏบิ ตั งิ านในโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบล จังหวัดสมุทรสงคราม

ทเ่ี ป็นกลมุ่ ตัวอย่าง สว่ นมากเป็นเพศหญงิ อายเุ ฉลีย่ เท่ากบั 43.40 ปี อายรุ าชการเฉล่ียเท่ากับ 20.60 ปี ส่วนมาก
จบการศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี มรี ะดบั ความรู้ ระดบั พฤตกิ รรม และระดบั การปฏบิ ัติงานป้องกนั และควบคุม

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

34
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับมาก พฤติกรรมการป้องกันตนเอง พฤติกรรมป้องกันในชุมชน และ
ความรกู้ ารเฝ้าระวังโรคสามารถรว่ มกันทานายการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019
ในโรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลได้ และความรู้การติดต่อของโรค พฤติกรรมการป้องกันตนเอง และความรู้
การเฝา้ ระวงั โรค สามารถรว่ มกันทานายการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชนได้
จึงสรุปแนวปฏบิ ัติ 9 เรอ่ื ง คือ

0. แนวปฏิบตั ิการใหบ้ รกิ ารในการปอ้ งกันและควบคมุ โรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 สาหรบั บคุ ลากรสาธารณสุข
ทีป่ ฏบิ ตั งิ านในโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบล จังหวัดสมทุ รสงคราม

2. แนวปฏิบตั กิ ารให้ความรู้ในการปอ้ งกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สาหรบั บุคลากรสาธารณสุข
ทป่ี ฏบิ ตั งิ านในโรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบล จงั หวัดสมุทรสงคราม

ผลการนาแนวปฏิบัติทั้ง 2 เรื่องไปใช้ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล พบว่าโรงพยาบาลส่งเสริม
สขุ ภาพตาบลปฏิบัตติ ามแนวปฏบิ ตั ิการใหบ้ รกิ ารฯได้ รอ้ ยละ 98 และโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบล ปฏิบัติ
ตามแนวปฏบิ ตั กิ ารใหค้ วามรู้ฯ ได้ ร้อยละ 98 ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของประชาชน และความยินดีปฏิบัติ
ตามแนวปฏิบตั ิ ท้งั 2 เรื่อง อยู่ในระดับมากทุกด้าน ผลการประเมินความรู้ ในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อ
ไวรสั โคโรนา 2019 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินพฤติกรรมของประชาชน ในภาพรวมอยู่ใน
ระดบั ดีมาก

อภปิ รายผล
จากแนวปฏบิ ัติเรือ่ งการให้บริการฯ จะเหน็ ได้วา่ เปน็ งานหลกั ในบทบาทหนา้ ทีข่ องบุคลากรสาธารณสุข

ทป่ี ฏิบตั ิงาน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ท่ีใช้หลักวิชาการ Precaution และนโยบาย DMHTT มาใช้
บริหารจัดการสถานท่ี เครื่องมือ เคร่ืองใช้ เพ่ือให้ผู้รับบริการและผู้ให้บริการปลอดภัย สอดคล้องกับผลการประเมิน
ความพึงพอใจของประชาชนผู้มารบั บรกิ ารอยูใ่ นระดบั มาก สาหรับแนวปฏิบัติเร่ืองการให้สุขศึกษาฯ ท่ีสามารถ
ใชไ้ ดท้ งั้ ในโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลและในชุมชน เป็นงานหลักในบทบาทหน้าที่ ซึ่งบุคลากรสาธารณสุข
ใชห้ ลักการสอ่ื สารท่มี ีประสิทธภิ าพ สามารถเลอื กใชต้ ามความสะดวก เหมาะสม ความนิยมตามบริบทของพ้ืนท่ี
แสดงให้เห็นจากผลการวัดความรขู้ องประชาชนในระดับมาก และพฤติกรรมของประชาชนของประชาชนอยู่ใน
ระดับดี

สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผลการวิจัย ได้แนวปฏิบัติในการดาเนินงานและข้อมูลในการกาหนดมาตรฐานป้องกันและควบคุม

โรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 9102 เพอื่ ใช้ในโรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลตอ่ ไป
ขอ้ เสนอแนะ ควรนางานในบทบาทหน้าท่ีของบุคลากรในโรงพยาบาล ซึ่งต้องดาเนินการป้องกันและ

ควบคุมโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 9102 จดั ทาแนวปฏิบตั เิ รื่องอื่นๆ และพัฒนาเปน็ มาตรฐานต่อไป

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

35

เรื่อง วคั ซนี ..ชายขอบ

นางสาวหวานเพ็ญ สาลี พยาบาลวิชาชีพชานาญการพิเศษ
กลมุ่ การพยาบาล โรงพยาบาลสังขละบรุ ี

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
อาเภอสังขละบรุ ี เปน็ พืน้ ทีท่ รุ กนั ดาร มอี าณาเขตติดต่อกับประเทศเมียนมาร์ ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและ

อ่างเก็บน้า อยู่ห่างจากจังหวัดกาญจนบุรี 931 กิโลเมตร ประชาชนมีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่
เช่น พมา่ , กะเหรยี่ ง, มอญ ฯลฯ ปัญหาของประชาชนท่ีอยู่บริเวณแนวชายแดนในถิ่นทุรกันดารห่างไกลการคมนาคม
จะเปน็ ประชาชนผดู้ ้อยโอกาส ขาดโอกาสเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ที่ภาครัฐจัดให้ท้ังทางด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน
และการบริการด้านสุขภาพ ฯลฯ ทาให้คุณภาพชีวิตโดยเฉพาะด้านสุขภาพอนามัยยังไม่ดีเท่าที่ควร การเข้าถึง
การรกั ษาพยาบาลเปน็ ไปดว้ ยความยากลาบากเพราะเส้นทางคมนาคมลาดชันโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน จาเป็นต้อง
เดินทางโดยรถ 4 WD เทา่ นนั้ ใชเ้ วลา 6 - 8 ชั่วโมง หรือหากบางช่วงเวลาท่ีรถไม่สามารถเดินทาง เข้า - ออก ได้
ต้องใช้เวลาในการเดินทางเท้า และใช้การแบกหาม ในการลาเลียงผู้ป่วย 9 - 3 วัน กว่าจะถึงโรงพยาบาล ประชาชน
สว่ นใหญ่ฐานะยากจน เมอ่ื เจ็บปว่ ยยงั มกี ารใหก้ ารดูแลรักษาหมอพื้นบา้ นและสมุนไพร ประชาชนยังขาดความรู้
ความเข้าใจ ในการดูแลตนเอง การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของ
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 9102 ยังมีความเสี่ยงสูงมากจากที่เป็นพ้ืนที่ชายขอบ มีการเคลื่อนย้ายของประชากรอย่าง
สม่าเสมอตามตะเขบ็ ชายแดน นอกจากนี้อาเภอสังขละบุรี ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวท่ีรองรับนักท่องเที่ยวท้ังคนไทย
และตา่ งชาติ ในช่วงเทศกาลจะมีผคู้ นต่างมาทอ่ งเทย่ี วอยา่ งมากมาย

ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสขุ เรอื่ งแนวทางในการป้องกันการระบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 9102
ซ่ึงได้ส่งผลกระทบในวงกวา้ ง อยา่ งรวดเร็ว แม้ว่าจะใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรคหลายมาตรการ เช่น การคัดกรอง
และการเฝ้าระวงั โรค การกักตวั ผู้มีความเสีย่ ง การรักษาระยะหา่ งระหวา่ งบุคคล การสวมหน้ากากอนามัย การงด
จดั กจิ กรรมท่รี วมกลุ่มคนจานวนมาก การทาความสะอาดสถานทีแ่ ละพืน้ ผิวสัมผัสร่วม เป็นต้น แต่ส่ิงที่เป็นความหวัง
ของทุกคน คือ วัคซีนป้องกันโรค วัคซีน COVID – 02 ท่ีคนไทยทุกคน ควรได้รับวัคซีนให้เร็วท่ีสุด ดังคานิยาม
“วัคซีนท่ีดีที่สุด คือ วัคซนี ทเ่ี ร็วท่ีสุด”

ทีมโรงพยาบาลสังขละบุรี ได้ทุ่มเทในการดูแลสุขภาพ อนามัย ของประชาชน ในพื้นที่ท่ีมีความหลากหลาย
ของกล่มุ ชาติพันธ์ุ โดยเฉพาะชาวไทยเชอ้ื สายกะเหรี่ยงในพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ที่ยากลาบากในการเดินทางแต่
ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ในพ้ืนที่แห่งนี้มานาน มีความผูกพัน รับรู้บริบทของพื้นที่ และบางคนเป็นคนสังขละบุรี
โดยกาเนดิ จึงมีความรักและความภาคภมู ิใจในหนา้ ที่ แมก้ ารทางานบางครั้งมีความลาบากของเส้นทางที่สามารถ
กอ่ ใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หตุทไ่ี มค่ าดคดิ ไดต้ ลอดเวลา ถนนที่มีสภาพไม่ใช่ถนนที่จะใช้ในการเดินทาง พายุ ฝน ต้นไม้ที่ล้ม
กีดขวางเส้นทาง นา้ ปา่ ท่ีหลากยามฝนตกหนกั ส่งิ เหลา่ น้ลี ้วนเปน็ อุปสรรคและอนั ตรายท่ีหากพลาดพลั้งก็อาจหมายถงึ
ชีวิตของทีมแพทย์และพยาบาลเอง แต่เน่ืองจากมีอีกหลายชีวิตที่เฝ้ารอโอกาส โอกาสท่ีจะได้รับ ....วัคซีน...
ป้องกนั โรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 9102 ซง่ึ ประชาชนคนไทยทุกคน จาเป็นต้องได้รับวัคซีนให้เร็วท่ีสุด เพ่ือลดความสูญเสีย
ทางด้านสุขภาพ ดา้ นเศรษฐกจิ สังคม การสร้างภมู ิค้มุ กันต่อสูก้ ับเชอ้ื โรค เพอื่ ป้องกันการป่วยและการเสียชวี ิต

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

36
หยุดการแพร่กระจายของโรค ทั้งหมดนเ้ี พือ่ ประโยชน์ของตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ เพ่ือให้ประชาชน
มีโอกาสเข้าถึงการใชว้ คั ซนี ทม่ี คี วามปลอดภัยและมีประสิทธิภาพไดม้ ากท่ีสุด และจิตวิญาณของทีมโรงพยาบาล
สงั ขละบุรที ี่มีหน้าท่ใี นการดูแลผู้ปว่ ย กผ็ ลกั ให้เทา้ กา้ วไปจนถึงในพื้นที่ แม้บางครั้งจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
แตก่ ไ็ ม่ได้ทาให้ความมุ่งมั่นในวิชาชีพของตนเองลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด...เพราะตระหนักดีว่าน่ีคือหน้าท่ี คือ
ความรับผิดชอบ คือโอกาสทจ่ี ะได้ทางานให้สมกบั ที่เป็น...หมอ ของ ปวงชน ...
วตั ถุประสงค์

0. เพื่อใหป้ ระชาชนในอาเภอสงั ขละบรุ ีได้รบั วัคซนี โควิด-02 ครอบคลมุ ทุกพน้ื ที่
2. เพื่อให้ความรู้ในการส่งเสรมิ สขุ ภาพและปอ้ งกันโรค
3. เพอ่ื ให้บรกิ ารครอบคลมุ สิทธ์หิ ลักประกันสุขภาพในทุกสทิ ธ์ิ
4. เพอ่ื ตดิ ตามเยยี่ มผ้สู งู อายุ ผพู้ ิการ เช่ือมประสานงานสขุ ศาลาพระราชทานบ้านทิไลป่ ้า
วธิ ดี าเนินการ
0. ประชุมวางแผนงานในระดบั อาเภอโดยมภี าคเี ครือข่ายต่างๆ ร่วมกันทางานโดยเฉพาะในพ้ืนที่เข้าถึงยาก
9. ดาเนนิ งานและภาพกิจกรรมต่างๆ

ในภารกจิ วคั ซีนเขม็ ท่ี 9 “วัคซนี ...บิน...น....น.” เสน้ ทาง ลาบาก มากยิ่งขน้ึ ไมส่ ามารถนารถ 4WD เข้าพ้ืนที่ได้
ไดร้ ับการอนุเคราะห์จาก กองพลฯ 2, กองบินตารวจ โดย เฮลคิ อปเตอรน์ าวคั ซนี เข็ม 9 ได้ไปถึงทกุ คน

อีกหลายๆ พ้ืนที่ที่ยังคงมีประชาชนท่ีต้องการวัคซีน ทีมพยาบาลพร้อมเดินทางโดย 4WD ผ่านป่า ลาธาร
เพ่ือให้ทุกคนได้รับโอกาสที่ดี บางพ้ืนที่เป็นพื้นที่เกาะ จาเป็นต้องเดินทางโดยเรือหางยาว ซ่ึงอาสาสมัครสาธารณสุข
ประจาหมบู่ ้าน ทด่ี แู ลพ้นื ทจ่ี ะอานวยความสะดวกในการนา...วัคซีน...ไปมอบใหก้ ับทกุ คน รวมถงึ ศนู ยพ์ ักพงิ บ้านตน้ ยาง
ผู้อพยพกไ็ ด้รบั โอกาสทีจ่ ะไดร้ บั ...วคั ซีน...

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

37

ในทุกเทศกาล ทีมพยาบาล ได้ใช้โอกาสสร้างกิจกรรม เพ่ือลดความวิตกกังวล และเชิญชวนให้ประชาชน
เขา้ รับการฉีดวคั ซนี ซ่งึ ได้รบั ความสนใจอย่างล้นหลาม

ในกลุ่มเด็กนกั เรียน ต่างใหค้ วามสนใจและรว่ มมือ ในการเข้ารับ..วัคซีน..ซ่ึงทีมพยาบาล ได้คลายความกังวล
จัดกิจกรรมตา่ งๆ มี Miss Pfizer สังขละบรุ ี

สังขละบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังได้รับความนิยม นักท่องเที่ยวสามารถ Walk in รับวัคซีน ได้อย่างสะดวก สบาย
และมีเสียงตอบรบั เปน็ อย่างดี เช่น วัดหลวงพ่ออุตตะมะ ถนนคนเดินสังขละบุรี แม้ในเทศกาลและวันหยุดราชการ
ทีมพยาบาลสังขละบุรี ยังได้ให้บริการแก่นักท่องเท่ียวและประชาชนทั่วไป รวมถึงการให้คาแนะนา การปฏิบัติตน
ในการป้องกนั โรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 19 ในทกุ พ้นื ท่ี เพ่ือเสรมิ พลังความรอบรดู้ า้ นสุขภาพแก่ประชาชน
ผลการดาเนินการ

0. ร้อยละความครอบคลมุ ของ
วคั ซนี โควดิ -02 เทา่ กบั 035.23

9. ประชาชนมคี วามพงึ พอใจร้อยละ 011

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

38

เรื่อง ศนู ยท์ นั ตกรรมโรงพยาบาลหว้ ยพลู

นางสนุ ทรี ลิม้ สวรรค์ ทนั ตแพทยเ์ ชี่ยวชาญ
หวั หนา้ กลมุ่ งานทันตกรรม โรงพยาบาลหว้ ยพลู

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
๑. อาเภอนครชยั ศรี มี ๓ โรงพยาบาลชมุ ชน ศกั ยภาพ F๒ ตอ้ งการพัฒนาสู่ F๑ หรือ M๒
๒. อาเภอนครชัยศรี มีประชากรประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ คน ผู้ใช้บริการทันตกรรมมาจากอาเภอข้างเคียงด้วย

เชน่ พทุ ธมณฑล ดอนตมู บางเลน เมือง เนื่องจากมีความสามารถในการรักษาทางทันตกรรมเฉพาะทางหลายสาขา
ระยะเวลารอคอยไม่เกนิ ๖ เดอื น

๓. ระยะเวลารอคอยบรกิ ารทนั ตกรรมเฉพาะทางในโรงพยาบาลระดบั สูงนานมาก ๒-๓ ปี
๔. เนอื่ งจากเปน็ โรงพยาบาลชุมชนยังคงมีงานส่งเสริมป้องกันในทุกกลุ่มอายุท่ีต้องดาเนินการควบคู่กันไป
กับงานทนั ตกรรมเฉพาะทาง ถ้าบริหารจัดการไม่ดี อาจทาให้เกิดความขัดแย้งในการทางานหรือทางานได้ไม่เต็ม
ประสทิ ธภิ าพ

วัตถุประสงค์
๑. พฒั นาศักยภาพและระบบบริการทันตกรรมสู่ F๑ หรือ M๒
๒. พัฒนาระบบบริการทันตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของคนไข้ทั้งงานทันตกรรมท่ัวไป และงาน

ทันตกรรมเฉพาะทาง
๓. ทันตบคุ ลากรทางานอย่างเต็มความสามารถ มคี วามสขุ มคี า่ ตอบแทนทด่ี ี
๔. โรงพยาบาลมีรายไดเ้ พิ่มขนึ้ จากคา่ บรกิ ารทนั ตกรรม

วิธีดาเนินการ
ปี ๒๕๖๑ - ๒๕๖๒
๑. ขอเพ่ิม FTE ทันตแพทย์เต็มร้อยละ ๑๐๐ และขอใช้ FTE โรงพยาบาลนครชัยศรีอีก ๑ ตาแหน่ง

เพอ่ื ให้มที ันตแพทยเ์ ฉพาะทางครบเกือบทกุ สาขา ยกเว้นสาขาจัดฟัน ไดส้ ง่ ทนั ตแพทยไ์ ปศกึ ษาอยู่
๒. ขอเพ่มิ ยูนิตทาฟันจาก ๘ เป็น ๑๓ ยูนิต ด้วยเงินงบประมาณ เงินบริจาคและเงินบารุงโดยมี ๔ ยูนิต

เปน็ ยนู ติ เกา่ ทไี่ ด้รับบรจิ าคและยูนติ ใหม่ ๑ ยูนิต จากเงินบรจิ าค
๓. ขอเคร่อื งเอกซเรย์ภายนอกช่องปาก(๓ มติ )ิ พรอ้ ม portable xray จากเงนิ งบประมาณ
๔. เตรียมเครอ่ื งมือและอุปกรณ์ Maxillo Facial Surgery, Implant
ปี ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔
๑. เตรียมระบบฟอกอากาศห้องทันตกรรม ๑๒-๒๔ ACH เพ่ือให้ทันตบุคลากรมีความม่ันใจในการ

ใหบ้ รกิ ารทันตกรรม
๒. ใหบ้ ริการทันตกรรมเฉพาะทางทกุ สาขา ยกเว้นจัดฟัน มะเร็ง อบุ ตั เิ หตุท่รี ุนแรง
๓. ไม่ต้องปิดให้บริการเน่ืองจากสถานการณก์ ารระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรสั โคโรนา 2019

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

39

แนวทางการพัฒนาศักยภาพและระบบบรกิ ารทันตกรรม
๑. ทันตแพทย์ - บริการด้วยคุณภาพโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง
- สง่ เสรมิ พัฒนาความร้คู วามสามารถทางวิชาการทุกปี
- ส่งเสริมการทางานเปน็ ทีมและสหสาขา
๒. ผู้ชว่ ยทนั ตกรรม - ส่งเรียนหลักสตู รผ้ชู ่วยทันตกรรม ๑ ปี เพือ่ เพิ่มความรู้ความสามารถและเงินเดือน
- เพมิ่ ค่าครองชพี จากการทางานนอกเวลา
๓. ระบบบริการ
๓.๑ ทันตบุคลากร - ทันตกรรมทว่ั ไป (เช้า ทันตแพทย์ ๓ คน ทนั ตาภิบาล ๒ คน รับคนไข้ได้ ๓๕–๔๐ คน,

บ่าย ทนั ตแพทย์ ๑ คน ทันตาภบิ าล ๑ คน รบั คนไข้ได้ ๖–๘ คน)
- ทันตกรรมเฉพาะทาง ทันตแพทยท์ เ่ี หลือรับคนไข้อยา่ งน้อย ๓ คนต่อ ๑ คาบ

๓.๒ ระบบบริการ
- ลดระยะเวลารอคอย - คนไข้ walkin รับบริการ ๘.๓๐ - ๑๐.๓๐ น.
- คนไขโ้ ทรนัดหมายล่วงหนา้ รบั บรกิ าร ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. และ ๑๓.๐๐ น.
- ความรวดเร็ว- ทันตบคุ ลากรเร่ิมงานไมพ่ รอ้ มกัน แบ่งเป็น ๘.๐๐ - ๑๑.๐๐ น., ๘.๓๐ - ๑๑.๓๐ น.
และ ๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.

๔. จัดทา KPI บุคคลและแจ้งให้ทันตบุคลากรทุกคนรับทราบ ทกุ คนก็จะมที ิศทางในการทางานทถี่ ูกต้อง

ผลการดาเนนิ การ

ตัวช้วี ัด ผลลัพธท์ ปี่ ฏิบตั ไิ ด้
(KPI) ปี ๒๕๖๓ ปี ๒๕๖๔ ปี ๒๕๖๕/๑

๑. ผใู้ ช้บรกิ ารไมไ่ ดร้ ับบริการไม่เกิน ร้อยละ ๐.๕ ๑.๐ ๐.๕ ๐
๒. ผู้ใช้บริการเพมิ่ ขึ้น รอ้ ยละ ๑๐ ๘ ๑๐ ๑๒
๓. รายรับทนั ตกรรมเพิ่มข้นึ ร้อยละ ๑๐ ๙ ๑๑ ๑๕
๔. ระยะเวลารอคอยบรกิ ารทันตกรรมเฉพาะทางไม่เกิน ๖ เดือน ๖ ๔๓
๕. ไมพ่ บข้อร้องเรียนจากผใู้ ช้บริการทนั ตกรรม ๑ ๒๑
๖. ปรมิ าณงานทนั ตกรรมเฉพาะทาง ๒๕-๕๐ งานตอ่ ๖ เดอื น ๓๕ ๕๐ ๖๐
๗. ปริมาณงานทันตกรรมทวั่ ไป ๕๐๐ งานตอ่ ๖ เดอื น ๔๐๐ ๓๕๐ ๓๕๐

ทนั ตบุคลากรทง้ั ทนั ตแพทยแ์ ละผ้ชู ว่ ยทนั ตกรรม สามารถทางานตอบสนองตัวชีว้ ัดได้ดี ถงึ แม้จะมีสถานการณ์
น้าท่วม ทาให้ต้องปิดบริการเม่ือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ๒๕๖๔ แต่เม่ือเปิดบริการและมีเวลาในการทางาน
เพยี ง ๒-๓ เดือน แต่กส็ ามารถทาผลงานเพ่ิมขึ้นได้ จนได้คะแนนในระดบั ๔-๕ ในการประเมินผลงานรอบแรกปี ๒๕๖๕

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

40
อภิปรายผล

- การทางานพัฒนาระบบใดๆ คงหลีกไมพ่ น้ คน เงิน ของ ทีมและหัวหน้า ถ้าหัวหน้าสามารถแก้ปัญหาต่างๆ
ใหล้ กู นอ้ งได้ มีระบบการทางานท่ชี ดั เจน ปญั หาในการทางานจะนอ้ ยลง

- เม่อื โรงพยาบาลมรี ายไดท้ ี่เพียงพอ การจา่ ยเงินค่าตอบแทนตา่ งๆ ตรงเวลา ก็จะช่วยให้บุคลากรทางาน
อยา่ งมีความสขุ มีความรักในองค์กร

- เม่อื กลุ่มงานทนั ตกรรม ทาระบบระบายและฟอกอากาศเต็มรูปแบบแล้ว ก็เปิดให้บริการตลอดมาตาม
มาตรฐานท่ีกระทรวงสาธารณสุขกาหนด ประมาณ ๑ ปที ่ีผ่านมา แมจ้ ะมีการระบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019
ไมม่ ที ันตบคุ ลากรหรอื คนไขต้ ดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 จากการให้หรือรับบรกิ ารทนั ตกรรมเลย

- การสร้างระบบการทางานและการอยู่ร่วมกันท่ีดี ทาให้ได้ระบบบริการท่ีดี ทันตบุคลากรมีคุณภาพ
ทางานอย่างมีความสขุ
สรปุ และข้อเสนอแนะ

1. การศกึ ษาตดิ ตามขอ้ มลู สดั ส่วนการใหบ้ ริการทนั ตกรรมทัว่ ไป : ทนั ตกรรมเฉพาะทางทเ่ี หมาะสมกับบริบท
ของโรงพยาบาล

2. ในอดุ มคติ ผใู้ ช้บริการทกุ คนควรไดร้ บั บรกิ ารทกุ ครง้ั ท่ีมาติดต่อและไม่ควรมคี วิ การรกั ษาทันตกรรมเฉพาะทาง
3. ในปี ๒๕๖๕ กลมุ่ งานทนั ตกรรมจะเปิดคลินกิ ทันตกรรมเฉพาะทาง SMC ในเดือนพฤษภาคม
4. ในปี ๒๕๖๖ กลุม่ งานทันตกรรมจะเปิดใหบ้ ริการทนั ตกรรมจัดฟนั
กลมุ่ งานทนั ตกรรม ได้พฒั นาระบบบริการทันตกรรมรูปแบบใหม่ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ เพ่ือตอบสนองความต้องการ
ของผ้ใู ชบ้ รกิ ารอยา่ งเหมาะสม และตอบสนองยุทธศาสตร์เครือขา่ ยโรงพยาบาลห้วยพลู ด้านการพัฒนาคุณภาพ
โรงพยาบาลตามมาตรฐาน HA มาตรฐาน Thai dental safety goal ร่วมกับการพัฒนาระบบราชการตามกพร.
กาหนด

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

41
เรอื่ ง โครงการแปรงฟนั ซา้ ย้าเลกิ ขวด

นางวรินทร์ มนสั ปญั ญากุล
เจา้ พนักงานทันตสาธารณสขุ ชานาญงาน

โรงพยาบาลนครชัยศรี

ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
จากการสารวจกรมอนามยั สถานการณ์ฟันผุในเด็กไทยพบว่าเด็กเร่ิมมีฟันผุตั้งแต่อายุ 9 เดือน และพบว่า

เด็กอายุ 3 ปี มีฟันผเุ ฉล่ีย 3 ซี่ต่อคน สาเหตุหลักของฟันผุในเด็กเล็กมาจากพฤติกรรมการเลี้ยงดูท่ีไม่เหมาะสม
ปัญหาฟันผแุ ละการติดเช้ือ ฟนั ผุในเด็กเล็กมักเกิดจากการดูดขวดนม แล้วนอนหลับคาขวดนมร่วมกับการละเลย
การทาความสะอาดของปากและฟันหลังกินนม น้าตาลแลคโตสในนมจึงสัมผัสกับนมเป็นเวลานาน ถูกเช้ือแบคทีเรีย
เปลีย่ นเปน็ กรดในชอ่ งปาก ทาใหเ้ กิดการละลายแร่ธาตุออกจากตัวฟนั กอ่ ใหเ้ กิดฟนั ผุ เรียกว่า Dental bottle caries
ฟันนา้ นมมสี ารเคลือบฟนั และเน้ือฟนั นอ้ ยกว่าฟันแท้ ทาให้เกดิ การลกุ ลามสู่ปลายประสาทฟันอย่างรวดเร็ว เกิด
การตดิ เช้อื ในชอ่ งปาก ตอ่ มน้าเหลืองอักเสบ ทอนซลิ อักเสบ ยังสามารถตดิ เชอื้ ลุกลามเข้าสูก่ ระแสเลอื ดได้

จากข้อมูลทันตกรรมคลนิ ิก WBC ของโรงพยาบาลนครชัยศรี พบว่าในปีงบประมาณ 2564 เด็ก 3 ปี มีฟันผุ
รอ้ ยละ 45.2 เกดิ จากยงั กนิ นมจากขวดและจากการสอบถามผู้ปกครองเด็กสามารถกินนมกล่องได้แต่ติดจุกนม
เลยตอ้ งนานมใสข่ วดให้เดก็ กิน มีการแปรงฟนั เช้า-เย็น ซึ่งสว่ นใหญ่ผปู้ กครองให้เด็กแปรงฟันเองโดยไม่มีการแปรงซ้า
ทาให้เกิดฟนั ผุในเดก็ เลก็ ได้

โรงพยาบาลนครชยั ศรี ฝา่ ยทันตกรรม เลง็ เห็นความสาคัญของโรคฟันผุในเด็กเล็กจึงจัดกิจกรรมเลิกนมขวด
โดยขอความรว่ มมอื จากผ้ปู กครองท่สี มคั รใจนาขวดนมที่บ้านมาให้เจ้าหน้าท่ีฝ่าย ทันตกรรมที่โรงพยาบาลนครชัยศรี
และกจิ กรรมแปรงฟันซ้าให้ลูกน้อย เพ่ือให้เกิดการดูแลสุขภาพช่องปากในเด็กเล็กจากการปรับเปล่ียนพฤติกรรม
ในชีวิตประจาวนั อนั จะนาไปสกู่ ารลดความรุนแรงของโรคในช่องปาก ทาใหเ้ ดก็ เลก็ มีสุขภาพช่องปากทด่ี ี

วตั ถปุ ระสงค์
1. ร้อยละ 80 ผู้ปกครองมีความรู้เรือ่ งวธิ ีการให้เดก็ เลกิ นมขวดและการแปรงฟนั ทถ่ี กู วิธตี อบคาถามถูก 8 ข้อ

ใน 10 ข้อ
2. รอ้ ยละ 80 เด็กเล็กที่มารับบริการทันตกรรมคลินิก WBC ของโรงพยาบาลนครชัยศรีมีอนามัยช่องปาก

ทด่ี ีขนึ้ จากแบบบนั ทกึ ตดิ ตามผลตรวจชอ่ งปาก

วธิ ดี าเนินการ
1. ทาแบบทดสอบผ้ปู กครองก่อนใหค้ วามรู้เร่ืองวธิ ีการให้เด็กเลิกนมขวดและการแปรงฟนั ท่ีถกู วธิ ี จานวน ๑๐ ขอ้
2. ให้ความรเู้ รื่องวิธกี ารใหเ้ ดก็ เลกิ นมขวดและการแปรงฟนั ที่ถูกวิธี โดยสาธติ และฝึกปฏิบตั ใิ ห้ผ้ปู กครอง
3. ตรวจฟันประเมนิ การแปรงฟนั ของผ้ปู กครองดว้ ยแบบบนั ทกึ การแปรงฟนั และทาฟลูออไรด์

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

42

4. นาสมุดแปรงฟันซ้า ย้าเลิกขวด ให้ผู้ปกครองทาแบบบันทึกการแปรงฟันซ้าก่อนนอนของลูกทุกวัน
โดยจะเปรยี บเทียบคราบพลัคในช่องปากของเดก็ ครัง้ แรกท่ตี รวจ โดยจะบนั ทึกการเปลยี่ นแปลงทั้งหมด ๔ ครงั้
คอื คราบพลัคในช่องปากของเด็กคร้ังแรกและนัดติดตามผลและตรวจช่องปากทุกๆ ๑ เดอื นเปน็ ระยะเวลา ๓ เดือน

5. ติดตามผลโดยให้ผู้ปกครองเข้า Line กลุ่ม เป็นระยะเวลา ๓ เดือนและให้ผู้ปกครองนาขวดนมลูก
มาให้เจ้าหน้าที่ เพอื่ ลดการใหน้ มขวดแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละเดือน แล้วทาการแลกเปล่ียนโดยได้รับแก้วหัดดื่ม
จากเจา้ หน้าที่ในเดือนสดุ ทา้ ย

6. เดือนสดุ ทา้ ยใหผ้ ปู้ กครองทาแบบทดสอบหลังให้ความรู้เร่ืองวิธีการให้เด็กเลิกนมขวดและการแปรงฟัน
ท่ีถกู วิธี จานวน ๑๐ ขอ้
การกาหนดตัวอย่างและวธิ กี ารคดั เลือกกลุม่ ตวั อย่าง

ผปู้ กครองของเด็กและเด็กเล็ก อายุ ๑.๖ ปี - ๔ ปี ที่ยังไม่เลิกขวดนมท่ีสมัครใจเข้าร่วมโครงการโดยมี
ใบยนิ ยอมเข้ารว่ มโครงการใหผ้ ปู้ กครองเซ็นรบั ทราบคาช้ีแจงรายละเอยี ดของโครงการ
วธิ กี ารวิเคราะหข์ อ้ มลู /สถติ ทีใ่ ช้

Paired Samples Test
เคร่ืองมือที่ใช้

- แบบทดสอบความร้เู รื่องวิธีการให้เด็กเลก็ เลกิ ขวดนมและการแปรงฟันทถี่ ูกวิธี
- แบบบันทกึ การแปรงฟนั

ผลการดาเนินการ

Paired Samples Test

Paired Differences t df Sig. (2-tailed)
Std. Std. Error 95% Confidence Interval
Mean

Deviation Mean of the Difference

คะแนนแบบทดสอบ -.37037 .62929 Lower Upper 26 .005
ก่อน - คะแนน .12111 -.61931 -.12143 -3.058
แบบทดสอบหลงั
Pair 1

- ผลการทดสอบก่อนและหลงั ความรขู้ องผูป้ กครองท่ีเข้าร่วมโครงการแปรงฟันซ้า ย้าเลิกขวด แตกต่างกัน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (แสดงให้เห็นว่าโครงการแปรงฟันซ้าย้าเลิกขวด มีผลทาให้ผู้ปกครองมีความรู้
เพิ่มมากขน้ึ )

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

43

Paired Samples Test

Paired Differences t df Sig. (2-tailed)
Std. Std. Error 95% Confidence
Mean

Deviation Mean Interval of the
Difference

การแปรงฟันคร้ังท่ี1 - -.33333 .67937 Lower Upper 26 .017
การแปรงฟันคร้งั ท่ี2 .13074 -.60208 -.06459 -2.550

Pair 1

- ผลการตดิ ตามการแปรงฟันครั้งที่ 1 และผลการติดตามการแปรงฟันครั้งท่ี 2 ของเด็กที่เข้าร่วมโครงการ
แปรงฟนั ซ้า ยา้ เลิกขวด แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .01 (แสดงให้เห็นว่าโครงการแปรงฟันซ้า
ยา้ เลิกขวด มผี ลทาใหอ้ นามยั ชอ่ งปากเดก็ ก่อนวัยเรียนดีข้ึน)

อภิปรายผล
จากการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการแปรงฟันซ้า ย้าเลิกขวด ผลการทดสอบ พบว่าโครงการแปรงฟันซ้า

ย้าเลกิ ขวด มีผลทาให้ผูป้ กครองมีความรเู้ พ่มิ มากขน้ึ และมีผลทาใหอ้ นามัยช่องปากเด็กก่อนวยั เรยี นดีข้นึ

สรปุ และข้อเสนอแนะ
เป็นขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบายโดยทางโรงพยาบาลนครชัยศรคี วรจัดชมรมในคลินิกWBC เด็กก่อนวัยเรียน

มกี ิจกรรมและติดตามผลของการเลิกขวดนมในเดก็ ทเ่ี ลิกขวดนมชา้ โดยใหค้ วามรู้แก่ผปู้ กครองของเด็ก

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

44

เรื่อง Herb For Fun D : ไขม่ ุกป๊อป..ย้อมสี (สมุนไพร) ฟัน

นายภาณรุ ักษ์ แก้วน้อย เจ้าพนกั งานทนั ตสาธารณสุขชานาญงาน
โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตาบลหนองสะเดา อาเภอสามชกุ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
สภาวะโรคฟันผุและการสูญเสียฟันน้านมจากสาเหตุของฟันผุของเด็กวัยเรียน มีอัตราการการสูญเสีย

ฟันสูงข้ึน ผลการสารวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ คร้ังท่ี 8 พ.ศ. 2560 พบว่า สภาวะโรคฟันผุและการสูญเสีย
ฟันน้านมจากสาเหตุของฟันผุ ของเดก็ อายุ 3 ปี และ 5 ปี มีอัตราการการสญู เสียฟนั สูงถึง 2.3 ซี่/คน และ 6.5 ซ่ี/คน
ตามลาดบั ซง่ึ การสูญเสียฟันนนั้ สามารถปอ้ งกนั ได้ โดยโรคในช่องปากส่วนใหญ่ เช่น โรคฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบ
สามารถปอ้ งกนั ได้ด้วยวธิ ีการแปรงฟันทถ่ี กู ต้อง แตซ่ งึ่ เดก็ แต่ละคนมีความสามารถในการกาจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์
โดยการแปรงฟันที่แตกต่างกัน การใช้เม็ดสีย้อมฟันจึงเป็นวิธีการหน่ึงที่ช่วยให้ตรวจสอบความสะอาดบริเวณท่ียัง
มีสีย้อมฟันตกค้างอยู่หลังจากการแปรงฟัน แต่ในปัจจุบันเม็ดสีย้อมฟันน้ันมีราคาแพง หาซ้ือได้ยาก คณะผู้จัดทา
จงึ ศึกษาและพฒั นาเม็ดสยี ้อมฟนั ให้เปน็ ทีด่ งึ ดูดความสนใจของเด็กนั้น คือ “ไข่มุกป๊อป” โดยมีการพัฒนาใช้สีจาก
สมุนไพรแก้วมงั กรแดง และสมนุ ไพรไทยทใ่ี ช้ในช่องปาก คอื กานพลู ข่อย อบเชย มีสรรพคุณรักษาแผลร้อนใน
มีฤทธ์ิครอบคลมุ ในการลดอาการปวดอักเสบ กระตนุ้ การสมานแผล ต้านแบคทเี รยี มีความปลอดภัยและประสิทธภิ าพ
ในการดูแลสขุ ภาพชอ่ งปากไดด้ ี

วตั ถุประสงค์
เพื่อให้นักเรียนช้ันประถมศึกษา สามารถแปรงฟันได้อย่างถูกวิธี และมีสุขภาพช่องปากท่ีดี โดยประยุกต์

การใช้ตารบั สมนุ ไพรไทยท่ใี ช้ในช่องปาก ร่วมกบั การดูแลทนั ตสขุ ภาพโดยใชน้ วัตกรรมเป็นการกระตุ้นความสนใจ

วธิ ดี าเนนิ การ
นวัตกรรม Herb For Fun D : ไข่มุกป๊อป..ย้อมสี (สมุนไพร) ฟัน โดยใช้ไข่มุกป๊อปสาเร็จรูปสีขาว และ

นาไปผสมกับสูตรสมนุ ไพร ท่ีใชใ้ นชอ่ งปาก โดยทดลองใช้กบั กลมุ่ นกั เรียนประถมศึกษาในเขตตาบลหนองสะเดา
ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 148 คน โดยใหน้ ักเรยี นใชน้ วัตกรรมไข่มุกป๊อป เค้ียวก่อนการแปรงฟันเพื่อให้ติดสีแปรงฟัน
ตรวจความสะอาดก่อน-หลังการแปรงฟัน บันทึกข้อมูล และสงั เกตความสนใจในการเข้ารว่ มกิจกรรม

ผลการดาเนนิ การ
พบว่าการใช้นวัตกรรม Herb For Fun D : ไข่มุกป๊อป..ย้อมสี (สมุนไพร) ฟัน โดยโรงเรียนได้จัดให้มี

นักเรียนแกนนาทันตสุขภาพ ในการควบคุม และดูแลการแปรงฟันของนักเรียนทุกคน จึงทาให้ผลการดาเนินงาน
การใช้นวัตกรรม และประสิทธิผลในการแปรงฟัน ดียิ่งข้ึน โดยพบว่านักเรียนมีอัตราการแปรงฟันท่ีถูกวิธี และ
ไมต่ ิดสีย้อมฟนั เพิม่ ขนึ้ จากร้อยละ 57.43 เพ่ิมขน้ึ เปน็ ร้อยละ 92.56 สภาพเหงือกจากโรคปริทันต์อักเสบ (ระยะที่ 1)
ลดลงจากรอ้ ยละ 29.05 เป็นร้อยละ 17.57 และจากการใช้นวัตกรรม “Herb For Fun D : ไข่มุกป๊อป..ย้อมสี
(สมนุ ไพร) ฟนั ” ยังสรา้ งความสนใจและกระตือรอื รน้ ในการแปรงฟันมากขึ้นกว่าการใช้เม็ดสีย้อมสีฟัน และสีย้อมฟัน
ในรูปแบบเก่า โดยสังเกตจากการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจ ต้ังแต่การเตรียมอุปกรณ์ในการผลิตนวัตกรรมและ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

45
ความอยากใช้ตัวนวัตกรรม นักเรียนมีความสุข ต่ืนเต้น และสนุกสนานกับการใช้ “Herb For Fun D : ไข่มุกป๊อป
ยอ้ มสี (สมนุ ไพร) ฟนั ” ในระดับมากทส่ี ุด คดิ เป็นรอ้ ยละ 97.25
สรุปและข้อเสนอแนะ

นวัตกรรม Herb For Fun D : ไข่มุกป๊อป..ยอ้ มสี (สมนุ ไพร) ฟนั เป็นนวัตกรรมทส่ี ่งเสริมการดูแลทันตสุขภาพ
ในเด็กนักเรียนให้ปราศจากฟนั ผุ มีสุขภาพช่องปากท่ีดี ลดปัญหาการเกิดโรคที่สามารถป้องกันได้ และยังได้รับประโยชน์
จากตารับสมุนไพรไทย ท่ีใช้ในช่องปาก มีกระบวนการผลิตนวัตกรรมท่ีง่าย ไม่ซับซ้อน และยังสร้างกระบวนการ
มีส่วนร่วมท้ังครูอนามัยโรงเรียน นักเรียน และเจ้าหน้าที่ทันตสาธารณสุข โดยสามารถขยายผลให้กับโรงเรียน
และผสู้ นใจอนื่ ๆ และเปน็ การบูรณาการในหลากหลายวชิ าชพี ท้ังแพทย์แผนไทย และทันตบุคลากรร่วมกัน เพ่ือ
การมีสุขภาพชอ่ งปากทด่ี ีต่อไป

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565


Click to View FlipBook Version