The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Service Plan Sharing ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by region5.cso, 2022-09-04 23:35:26

ผลงานวิชาการ เขตสุขภาพที่ 5

Service Plan Sharing ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

46
เร่อื ง การพัฒนางานบริการใสฟ่ นั เทยี มแก่ผู้สูงอายุ อาเภอบ้านลาด จังหวดั เพชรบรุ ี

นางสาวภทั รา เจนธญั ญวรรณ ทันตแพทย์ชานาญการพเิ ศษ
กลุ่มงานทนั ตกรรม โรงพยาบาลบา้ นลาด

ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
อาเภอบา้ นลาดเข้าสู่“สงั คมผสู้ ูงอายุ”อย่างสมบูรณ์ (Aging society) ปี 2563 อาเภอบ้านลาดมีประชากร

ผสู้ งู อายุ รอ้ ยละ 21.75 (14,870/68,342) ผลการสารวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ คร้ังที่ 8 พ.ศ. 2560
ข้อมลู ประเทศ กลุ่มวยั ผสู้ งู อายุ 60-74 ปี ผู้สูงอายุท่ีมีฟันแท้ใช้งาน 20 ซี่ และมีฟันหลังแท้ 4 คู่สบ ร้อยละ 39.4
ปี 2563 จังหวดั เพชรบรุ ี ผู้สูงอายุท่ีมีฟันแท้ใช้งาน 20 ซ่ี และมีฟันหลังแท้ 4 คู่สบ ร้อยละ 22.28 แสดงถึงการ
สญู เสียฟันมากกว่าระดับประเทศ ดังนัน้ หากคาดการณ์จากข้อมูลความจาเป็นต้องได้รับการใส่ฟันเทียมทั้งปากบนและล่าง
ของผูส้ งู อายุ เฉลีย่ ร้อยละ 3 จงั หวดั เพชรบุรจี ะมีผ้สู ูงอายทุ ีม่ ีความจาเป็นตอ้ งไดร้ บั การใส่ฟนั เทยี มท้งั ปาก จานวนมากถึง
400 คนต่อปี ข้อมูลจาก HDC ปี 2563 จานวนผรู้ บั บรกิ ารทนั ตกรรมที่เป็นผู้สูงอายุ มีมากถึงร้อยละ 37.5 และผู้รับบริการ
ท่มี ีอายุ 40-59 ปี คิดเป็นร้อยละ 14.6 และจานวนผู้รับบริการทันตกรรมประดิษฐ์ (คร้ัง) คิดเป็นร้อยละ 9.38 จาก
จานวนผ้ปู ่วยนอกท่ีมารับบริการทนั ตกรรมทัง้ หมด จากหลกั คดิ การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง CQI ซ่ึงเป็นพ้ืนฐาน
ในการปฏบิ ัตงิ านทาให้เกิดการพฒั นาระบบการให้บริการแกผ่ ู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง จากจุดเร่ิมต้น ปีงบประมาณ 2552
ทมี่ ผี ู้มารับบรกิ ารใสฟ่ นั เทียมเพียง 21 คน ปัจจุบันผู้รับบริการฟันเทียมชนิดถอดได้ ปีงบประมาณ 2563 จานวน 375 คน
ดังน้ัน โรงพยาบาลบ้านลาดได้เห็นความสาคัญในการพัฒนาการให้บริการทันตกรรมแก่ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นผู้ป่วย
กลุ่มใหญ่ท่ีมารับบริการในแต่ละวัน โดยเฉพาะงานที่บริการท่ีมีการเข้าคิวรับบริการจานวนมาก คือ งานใส่ฟันเทียม
ชนิดถอดได้

วตั ถปุ ระสงค์
การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเน่ือง (CQI) ระบบการให้บริการใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ ตัง้ แต่ปี 2558 - 2563

วิธีดาเนนิ การ
ขน้ั ตอนของการพฒั นาคุณภาพอย่างต่อเนอื่ ง คอื การใช้แนวคิด Plan-Do-Check-Act (PDCA) ซึ่งต้อง

ออกแบบทดลองพฒั นาใช้รว่ มกับการใชผ้ ลการปฏบิ ัตงิ านจริง เปน็ การวดั ผลการปรับปรงุ และทาอยา่ งต่อเนือ่ งสม่าเสมอ
ในระบบการให้บริการมหี ลายวงล้อกจิ กรรมทตี่ ้องพฒั นา จงึ มแี นวทางพัฒนาในระบบบริการ ดว้ ย FOCUS ดังนี้

 F : Find a process that needs improvement หากระบวนการท่ีจะมาใช้ปรับปรงุ คุณภาพ
 O : Organize a team knowledgeable about the process มีการบริหารจัดการทีมด้วยความรู้

ตามหลกั วิชาการ
 C : Clarity the knowledge about the process ระบุกระบวนการการแก้ปัญหาให้ชัดเจนตาม

หลกั วิชาการ

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

47
 U : Understand the causes of variations in the process ศึกษาใหเ้ ข้าใจสาเหตุและความหลากหลาย

ของปัญหา และกระบวนการแก้ปญั หา
 S : Select the improvement เลือกสิง่ ท่ตี ้องการพฒั นาและวัดผล
โดย FOCUS ใน 5 เป้าประสงค์ (รายละเอียดตามกรอบแนวคดิ การพัฒนางานบริการ)
ผลการดาเนินการ
ตงั้ แต่ปี 2558 ถึงปี 2563 ผปู้ ว่ ยที่มารบั บริการใส่ฟนั ทโ่ี รงพยาบาลบา้ นลาด ได้รับความพึงพอใจ มากกว่า 90%
และมกี ารบอกตอ่ คาแนะนาให้มารับบริการ รวมทงั้ ผปู้ ว่ ยกลบั มารบั บรกิ ารทาฟนั เทียมซ้า เม่ือต้องการฟันเทียม
ชดุ ใหม่เสมอ (รายละเอียดตามกรอบแนวคดิ การพัฒนางานบริการ)
สรปุ และข้อเสนอแนะ
มกี ารศึกษาวจิ ยั หลายฉบบั ที่มีขอ้ สรุปในทิศทางเดยี วกนั วา่ คณุ ภาพชีวติ ในมติ ิสขุ ภาพชอ่ งปากและความสุข
เพ่ิมข้นึ หลงั ไดร้ บั การรกั ษาทางทันตกรรมประดิษฐ์ ดงั นน้ั การให้บริการทันตกรรมประดิษฐ์ท่ีดี มีคุณภาพ จึงเป็น
ส่ิงที่ทุกหน่วยบริการต้องให้การใส่ใจในการพัฒนาปรับปรุงระบบการให้บริการเพ่ือรองรับสังคมผู้สูงอายุของ
ประเทศไทยซึ่งเป็นสิ่งท่ีหลกี เลี่ยงไม่ได้

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

48

กรอบแนวคดิ การพัฒนางานบรกิ ารใส่ฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุ อาเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบรุ ี

Goal

การพัฒนางานบริการใสฟ่ ันเทยี มแก่ผ้สู ูงอายุ
ใหไ้ ด้รับความพงึ พอใจ เทา่ เทียม มปี ระสทิ ธภิ าพ

วัตถุประสงค์ : ผู้ป่วยพงึ พอใจ เทา่ เทยี มทุกสิทธิ มปี ระสิทธภิ าพ

ระสงค์ : ผปู้ ่ วยพงึ พอใจ เทา่ เทียมทกุ สิทธิ มีประสิทธิภาพวตั ถุประสงค์ : ผปู้ ่ วยพึงพอใจ เท่าเทียมทุกสทิ ธิ
1. ผ้ปู ่วยไดร้ บั การตอบสนองการบริการสะดวก รอไมน่ าน 4. ให้บรกิ ารทม่ี ีประสิทธิภาพ โดยทีมงานคุณภาพ

2. ผูป้ ว่ ยกลมุ่ เปราะบาง ไดร้ ับบรกิ ารอย่างเอ้ืออาทร 5. ปอ้ งกนั ความเสย่ี งทางการเงนิ ของหนว่ ยบรกิ าร

3. ผู้ป่วยไดร้ บั บริการเทา่ เทยี มทุกสทิ ธิการรกั ษาพยาบาล

เปา้ ประสงค์ที่ 1 เป้าประสงค์ท่ี 2 เป้าประสงค์ที่ 3 เป้าประสงค์ท่ี 4 เป้าประสงค์ท่ี 5
ผปู้ ว่ ยได้รับการ ผ้ปู ว่ ยกลุ่มเปราะบาง ผู้ปว่ ยได้รับบริการ พฒั นาศกั ยภาพผู้ ป้องกันความเสี่ยงทาง
ตอบสนองการบริการ ได้รับบริการอยา่ งเอือ้ เทา่ เทยี มทกุ สิทธกิ าร ให้บริการทกุ ระดับ การเงนิ ของหน่วย
สะดวก รอไม่นาน อาทร รกั ษาพยาบาล บริการ

มาตรการ : มาตรการ : มาตรการ : มาตรการ : มาตรการ :
1.ผ้ปู ่วยได้รับการวาง 1.ผูป้ ่วยกลุ่มเปราะบาง
แผนการรักษาเตรียม อาทิ อายุ 80 ปี ขึ้นไป, 1.ผู้ป่วยทกุ สิทธไิ ดร้ ับ 1.มกี ารประชุมฝ่าย 1.มีการตรวจสอบและ
ช่องปากทชี่ ดั เจน ทา ผูพ้ กิ าร, ไดร้ ับบริการ ทกุ เดือนเพ่อื พัฒนา ตดิ ตามระบบการเบกิ
ทรี่ พ.สต.ใกล้บ้านได้ ชอ่ งทางพิเศษ การบริการทาฟัน
2.มกี ารส่งต่อระหวา่ ง 2. ผู้ใหบ้ รกิ ารทุกคน เทียมอยา่ งเท่าเทยี ม ปรับปรงุ คณุ ภาพการ ชดเชยค่าฟนั เทยี ม
รพ.สต.และรพ.บ้าน ให้บริการดว้ ยความ กัน ตามลาดับการ บริการอย่างสม่าเสมอ จาก กบก และ สปสช.
ลาด อยา่ งไรร้ อยต่อ เอ้อื อาทรดว้ ยหวั 2. มีการควบคุมการ
3.มีระบบติดต่อผปู้ ่วย ใจความเปน็ มนุษย์ เข้าคิวทาฟันเทยี ม ตามมาตรฐาน HA
ที่ได้รับนดั ด้วยวธิ ีท่ี 2.มโี ครงการคนื รอยย้ิม 2.มรี ะบบพ่แี นะนา จัดซอ้ื วัสดทุ ันตกรรม
สะดวกรวดเร็ว และ ผู้สงู วัยดว้ ยฟันเทยี มใน 2. ผู้ป่วยไดร้ บั
เหมาะสมกับผู้ป่วย ชุมชน บรกิ ารผู้ป่วย คาแนะนาการเบิก น้อง แกท่ ันตแพทย์ และการใชง้ านอยา่ ง
ที่มารพ.บ้านลาดไมไ่ ด้ คา่ ใชจ้ า่ ยตามสิทธิ ที่มาปฏิบัติงานใหมใ่ ห้ เหมาะสม
zผลลัพธ์ : โดยทาท่ี รพ.สต.ใกล้ 3.มีการสรุปรายรบั
1.ผู้ปว่ ยร้อยละ 90 บ้าน (ทาปี ละ 3 แหง่ การรักษาพยาบาล เข้าใจระบบงาน
ได้รับการบรกิ าร หมุนเวยี น) 3. สง่ ทันตแทพย์ไป รายจ่ายประจาปี ให้
ภายใน 2 -3 เดือน และอานวยความ
หากชอ่ งปากพร้อม ผลลพั ธ์ : สะดวกชอ่ งทางการ ศึกษาตอ่ ทนั ตกรรม ผบู้ ริหารรับทราบ
ทาฟันเทยี ม 1.ผูป้ ่วยกลุ่มเปราะบาง 4.มีการทาวิจัย
2. ผู้ป่วยได้รับบริการ ได้รบั ความพึงพอใจใน เบกิ ค่าใช้จ่ายชดเชย ผูส้ ูงอายุ และ
ใส่ฟนั เทยี มถอดได้ การบรกิ าร ฟันเทียมแกผ่ ู้ปว่ ย ทนั ตกรรมประดษิ ฐ์ วิเคราะหห์ าต้นทนุ
มากกวา่ ปลี ะ 2. รพ.สต.พื้นที่ เชน่ เบกิ ด้วย EDC 4. มีการประสานงาน และรายไดจ้ ากการทา
250 คน ให้บรกิ ารได้รับคา ฟันเทยี ม เพ่ือเป็น
ชน่ื ชมจากผู้ป่วย เบิกจาก สปสช. ที่ดกี บั รพ.สต. ใน
ขอ้ มูลอ้างอิงแก่
ระบบ E-claims เครือขา่ ย
ผเู้ กยี่ วขอ้ ง
zผลลัพธ์ : ผลลพั ธ์ :

1.ผปู้ ่วยสว่ นใหญ่ 1.ผู้ป่วยมีคาชืน่ ชมแก่ ผลลัพธ์ :

ได้รับความพึงพอใจ ทันตแพทยแ์ ละ 1.หน่วยบรกิ ารไม่ต้อง

โดยเฉพาะการไมต่ อ้ ง ผใู้ ห้บริการทุกคน รับภาระคา่ ใชจ้ ่าย

สารองเงนิ จา่ ย ทาให้ ทาให้มีขวญั กาลงั ใจ การทาฟันเทียม

มีการบอกตอ่ เพ่อื มา ในการทางาน 2.ผ้บู ริหารเชือ่ มั่นใน

รบั บรกิ ารฟนั เทยี ม การบริหารจัดการ

อย่างต่อเนือ่ ง. ความเสี่ยงดา้ นการเงิน
Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจขาอปงีงงบานปทระันมตากณรรพม.ศ. 2565

49

เรือ่ ง การพฒั นาระบบแนวทางการดูแลผูป้ ว่ ยโรคไตวายเรือ้ รงั แบบ “ตน้ นา้ ปลายใจ”
โรงพยาบาลสามร้อยยอด จังหวดั ประจวบคีรีขันธ์

นายณฐั พล ไทยอุดมทรัพย์ เภสชั กรชานาญการ
โรงพยาบาลสามรอ้ ยยอด

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
โรคไตเร้ือรัง (Chronic kidney disease) กาลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สาคัญท้ังของโลกและของ

ประเทศไทย ซ่ึงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี สถานการณ์โรคไตเร้ือรังในประเทศไทยปัจจุบัน พบผู้ป่วยสะสมถึง
ร้อยละ 17.60 ของประชากร หรอื ประมาณ 8 ลา้ นคน โดยเพิม่ ขน้ึ ปีละ 7,800 คน และในจานวนน้ีมีผู้ป่วยโรคไต
เร้ือรังระยะสดุ ทา้ ยประมาณ 2 แสนคน โดยจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี (พ.ศ. 2555 – พ.ศ. 2560) พบว่ามีผู้ป่วย
โรคไตวายเรื้อรังที่ต้องได้รับการบาบัดทดแทนไตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2556 เพิ่มข้ึนจาก 667.30 เป็น
1,198 ต่อล้านประชากรในปี 2560 ซ่ึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงภาครัฐที่ต้องลงทุน
ปลี ะกวา่ หม่ืนล้านบาท เพอ่ื ใชใ้ นการดูแลรักษาผู้ปว่ ย (สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การสร้างเสริมสขุ ภาพ, 2561)

การลา้ งไตทางช่องท้อง (Continuous Ambulatory peritoneal dialysis, CAPD) เป็นการบาบัดทดแทนไต
ทีผ่ ูป้ ว่ ยสามารถทาได้เองท่ีบ้านและยังสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน ทางาน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ต้อง
เสยี เวลาเดินทางมาฟอกเลือดที่โรงพยาบาล ซ่ึงถือเป็นทางเลือกท่ีดีท่ีสุดทางหน่ึงที่ทาให้ผู้ป่วยเข้าถึงการบาบัด
ทดแทนไตได้มากขน้ึ ทาใหอ้ าการตา่ งๆทีเ่ กิดจากของเสยี คง่ั ในร่างกายจากภาวะไตวายเรื้อรังดีขึ้น ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิต
ท่ดี ีขน้ึ แต่ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่ทาให้อาการและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซ่ึงผู้ป่วย
จะต้องดูแลตนเองเพอื่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนท่ีเกดิ ข้นึ

การจัดการผู้ป่วยรายกรณี (Case management) เป็นรูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่เน้นความร่วมมือของ
สหสาขาวิชาชีพ ซึง่ พยาบาลจะทาหน้าที่พยาบาลผู้จัดการรายกรณี (Nurse case manager) มีหน้าท่ีประสาน
การดูแลผู้ป่วยกับสหสาขาวิชาชีพ ในการคัดเลือกผู้ป่วย ประเมินภาวะสุขภาพและความต้องการ แล้วระบุปัญหา
วางแผนการดแู ล ดาเนนิ การดแู ลตามแผน ประเมินผล และตดิ ตามผลการดูแลอย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้แผนการดูแล
ตอบสนองความตอ้ งการของผ้ปู ่วยแตล่ ะรายอยา่ งต่อเนื่อง นามาซึ่งผลการดูแลรักษาท่ีมีประสิทธิภาพ (Powel &
Tahan, 2010)

สาหรบั โรงพยาบาลสามร้อยยอดเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง มีอายุรแพทย์โรคไต และพยาบาล
วิชาชพี เฉพาะทางด้านไต ดาเนนิ การดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องต่อเนื่องมาจากทางโรงพยาบาลหัวหิน โดยมี
การจดั การรายกรณีเพื่อดูแลผูป้ ่วยแตล่ ะราย เปน็ ระยะเวลา 2 ปี ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องท่ีทาง
โรงพยาบาลดแู ลอยู่เป็นจานวนทั้งสิ้น 14 ราย ซงึ่ เปน็ ผู้ป่วยทีผ่ า่ นการจัดการรายกรณีต่อเนื่องจากโรงพยาบาลหัวหิน
และในผ้ปู ว่ ยรายใหม่ ท่ีมีการวางสายท่ีโรงพยาบาลสามร้อยยอด มีการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยและให้คาปรึกษาผู้ป่วย
รายบุคคลเก่ยี วกบั ครอบครวั สภาพแวดล้อม โภชนาการ ยา การปฏิบัติตัว และค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย ดังนั้นทาง
โรงพยาบาลจึงมีความสนใจศึกษาดูคุณภาพของชีวิตของผู้ป่วยท่ีได้รับการดูแล ท้ังน้ีเพื่อดูคุณภาพชีวิตโดยรวม
ของผู้ป่วย และค้นหามิติของสุขภาพที่เป็นปัญหาหรือผู้ป่วยท่ีมีคุณภาพชีวิตไม่ดี เพื่อนามาใช้มาเป็นแนวทางในการ
พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของผปู้ ่วยตอ่ ไป

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

50

รปู แบบการศึกษา
การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) เก็บข้อมูล

ในผู้ปว่ ยล้างไตทางชอ่ งทอ้ งของโรงพยาบาลสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบครี ขี ันธ์ จานวน 14 ราย ระหว่างวันท่ี 1-10
มีนาคม 2565

วธิ ดี าเนินการ

เก็บข้อมลู ของผ้ปู ว่ ยล้างไตทางชอ่ งทอ้ งโดยประกอบไปด้วยข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพ

สิทธิการรักษา ระดับการศึกษา รายได้ การทางานในปัจจุบัน โรคร่วม ระยะเวลาที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้องและ

จานวนครั้งท่ี admit ในโรงพยาบาล ในรอบหน่ึงปีท่ีผ่านมา และเก็บข้อมูลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยใช้แบบวัด

คุณภาพชีวิต 9-THAI (9-item Thai Health status Assessment Instrument) ซึ่งเป็นเครื่องมือท่ีพัฒนาขึ้น

สาหรับใชส้ าหรบั ผูป้ ว่ ยไทย โดยมีคาถาม 9 ขอ้ ประกอบดว้ ย 7 มิติ คาถามประเมินภาพรวมอีก 2 ข้อ โดยรวม

คะแนนเป็น 2 ด้าน คือ คะแนนสุขภาพกาย และคะแนนสุขภาพใจ ใช้หลักการของ การคานวณคะแนนมาตรฐาน

Standardized T-score ซ่ึง ต้องใช้เพศ อายุ ของผู้ตอบแบบสอบถาม แปลผลเปรียบเทียบกับคนไทย เพศ และ

กลุ่มอายุเดียวกันทมี่ สี ขุ ภาพดี (Norm- based scoring) แบ่งระดับคะแนนคุณภาพชีวิต แปลผลตามตารางคะแนน

มาตรฐานดา้ นกาย และมาตรฐานด้านใจ คะแนนมาตรฐาน มากกว่า 20 ขึ้นไป เป็นคุณภาพชีวิตระดับที่ดี คะแนน

มาตรฐาน 0-20 เปน็ คุณภาพชีวติ ระดับพอใช้ ส่วนคะแนนติดลบ เป็นคุณภาพชีวิตระดับต่า จากน้ันผู้วิจัยนาข้อมูล

ทีไ่ ด้มาวเิ คราะห์

สถติ ิที่ใชใ้ นการศึกษา

ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงข้อมูลในรูปของความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบน

มาตรฐาน

ตารางที่ 1 แสดงขอ้ มูลท่ัวไปของผู้ป่วย

ขอ้ มูลท่วั ไปของผปู้ ่วย จานวน (n = 14) ร้อยละ

อายุ

ค่าเฉลย่ี + ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 59.79 + 11.42

เพศ

ชาย 9 64.29

หญิง 5 35.71

สถานภาพ

สมรส 8 57.14

หมา้ ย/หย่า/แยกกนั อยู่ 6 42.86

สิทธิการรกั ษา

ประกันสุขภาพถ้วนหน้า 14 100

ระดับการศกึ ษา

ไมไ่ ดศ้ ึกษา 1 7.14

ประถมศึกษา 11 78.57

มธั ยมศึกษา 2 14.29

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

51

ข้อมูลทัว่ ไปของผปู้ ว่ ย จานวน (n = 14) ร้อยละ

รายได้ 64.29
28.57
ตา่ กว่า 10,000 บาท 9 7.14

10,000 – 19,900 บาท 4 57.14
14.29
มากกวา่ 19,900 บาท 1 28.57

การทางานในปัจจุบัน 14.29
7.14
ไม่ได้ทางาน 8 35.71
42.86
ทางานไมเ่ ตม็ เวลา 2
78.57
ทางานบา้ น 4 21.43

โรคร่วม 71.44
7.14
ไม่มโี รคร่วม 2 7.14
0.00
โรคเบาหวาน 1 7.14
7.14
โรคความดันโลหิตสูง 5

โรคเบาหวานและโรคความดนั โลหิตสูง 6

ระยะเวลาเวลาทร่ี ักษาดว้ ยการลา้ งไตทางช่องท้อง

นอ้ ยกว่า 5 ปี 11

มากกว่า 5 ปี 3

ค่าเฉลีย่ + คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน 3.30 + 3.55

จานวนครง้ั ที่ admit ในโรงพยาบาล ในรอบหนึง่ ปที ผ่ี า่ นมา

0 10

11

21

30

41

51

ในการศึกษานี้ พบวา่ ผู้ป่วยมอี ายุเฉลย่ี 59.79 + 11.42 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 64.29) สถานภาพ
สมรส (ร้อยละ 57.14) ผู้ป่วยทุกรายใช้สิทธิการรักษาประกันสุขภาพถ้วนหน้า นอกจากน้ีส่วนใหญ่มีรายได้ต่ากว่า
10,000 บาท (รอ้ ยละ 64.29) ไม่ไดท้ างาน (ร้อยละ 57.14) มีโรคร่วมเป็นโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง
(ร้อยละ 42.86) ได้รับการล้างไตทางช่องท้องเป็นระยะเวลาเฉลี่ย 3.30 + 3.55 ปี และส่วนใหญ่ไม่เคย admit
ในโรงพยาบาล ในรอบหน่งึ ปีทผ่ี ่านมา

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

52

ตารางท่ี 2 แสดงระดับคุณภาพชวี ิตของผู้ป่วยแยกตามรายข้อ

ขอ้ ท่ี ค่าเฉลยี่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน การแปลผล

การเคลื่อนไหว 4.21 1.05 เล็กนอ้ ย

1.ระหวา่ งหนง่ึ เดือนกอ่ นหน้าน้ี ท่านมคี วามยากลาบากในการเคล่ือนไหวมือ

แขน ขา ลาตวั หรอื ทั้งร่างกายหรอื ไม่ ถา้ มี อยู่ในระดับใด

การดแู ลตนเอง 4.43 0.94 เลก็ น้อย

2.ระหว่างหน่ึงเดือนก่อนหน้านี้ ท่านมีความยากลาบากในการดูแลตัวเอง

หรือไม่ ถ้ามีอยู่ในระดับใด (การดูแลตัวเอง เช่น การแต่งตัว การทาความ

สะอาดรา่ งกาย การขับถ่าย เปน็ ตน้ )

การทากจิ กรรมปกติ 3.79 1.12 เลก็ นอ้ ย

3.ระหว่างหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ท่านมีความยากลาบากในการทางานนอก

บา้ น หรอื การทางานบ้านหรอื ไม่ ถ้ามี อยู่ในระดบั ใด

การเจ็บป่วย 3.79 0.89 เลก็ น้อย

4.ระหว่างหน่ึงเดือนก่อนหน้านี้ ท่านเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบายหรือไม่ ถ้ามี

อยู่ในระดับใด

ความวติ กกงั วลซึมเศร้า 4.14 0.54 เล็กนอ้ ย

5.ระหวา่ งหน่ึงเดือนก่อนหนา้ น้ี ทา่ นมีความรู้สึกหดหู่ เศร้า เสียใจ หรือวิตก

กังวลหรอื ไม่ ถา้ มี อยูใ่ นระดบั ใด

การจดจาสมาธิ 3.36 0.50 ปานกลาง

6.ระหว่างหนึง่ เดอื นก่อนหนา้ น้ี ทา่ นมีความยากลาบากในการตั้งสมาธิ หรือ

จดจาสงิ่ ต่างๆ หรอื ไม่ ถา้ มี อยูใ่ นระดบั ใด

การเข้าร่วมสังคม 3.29 0.47 ปานกลาง

7.ระหว่างหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ท่านมีความยากลาบากในการร่วมกิจกรรม

กับบคุ คลอ่นื หรอื การเข้าร่วมในสงั คม/ชุมชน หรอื ไม่ ถ้ามี อยู่ในระดบั

เปรยี บเทียบสขุ ภาพกับปีทแ่ี ลว้ 2.86 0.36 เหมอื นๆกัน

8.เม่ือเปรียบเทียบสุขภาพของท่านในวันน้ีกับสุขภาพของท่านเม่ือปีที่แล้ว

วนั นี้เปน็ อยา่ งไร

เปรยี บเทียบกับสขุ ภาพกบั ผ้อู ่ืนท่ีเหมือนกนั แตไ่ มม่ โี รคประจาตัว 2.36 0.50 แยก่ วา่ เลก็ น้อย

9.เมื่อเปรียบเทียบสุขภาพของท่านกับผู้อ่ืนท่ีมีอายุ เพศ ฐานะ หน้าที่การ

งาน และความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกับท่าน ท่านเห็นว่าสุขภาพของท่านเป็น

อยา่ งไร

เมอื่ พจิ ารณาจากระดบั คุณภาพชีวิตเป็นรายขอ้ พบวา่ คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพกาย (Physical Health

Scores, PHS) ซ่ึงประกอบไปด้วยคาถามข้อท่ี 1-4 ได้แก่ การเคล่ือนไหว การดูแลตนเอง การทากิจกรรมปกติ

และการเจ็บปว่ ย โดยเฉลย่ี แลว้ มคี วามรู้สึกหรอื ความยากลาบากเพียงเล็กน้อย ส่วนคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพใจ

(Mental Health Scores, MHS) ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยคาถามข้อท่ี 5-7 ได้แก่ ความวิตกกังวลซึมเศร้า โดยเฉล่ียแล้ว

อยูใ่ นระดบั เลก็ นอ้ ย ส่วนการจดจาสมาธิและการเขา้ ร่วมสงั คม โดยเฉล่ียแล้วมีความยากลาบากปานกลาง และเม่ือ

พิจารณาจากคาถามข้อท่ี 8-9 ซึ่งเป็นการประเมินภาพรวม (Global assessment) พบว่าสุขภาพของผู้ป่วยเมื่อ

เปรยี บเทยี บกับปที ี่แลว้ โดยเฉลี่ยแลว้ มีความเหมอื นๆ กัน และเมอ่ื เปรยี บเทยี บสุขภาพของผปู้ ่วยกับผู้อ่ืนท่ีเหมือนกัน

แตไ่ มม่ ีโรคประจาตัว พบวา่ โดยเฉล่ยี แลว้ แย่กวา่ เลก็ น้อย

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

53

ตารางท่ี 3 แสดงระดับคณุ ภาพชวี ิตแยกตามรายด้าน

คณุ ภาพชวี ิตแยกตามรายด้าน ความถ่ี ร้อยละ
คณุ ภาพชีวิตดา้ นสขุ ภาพกาย (Physical Health Scores)
12 85.72
ระดบั ดี (>20 คะแนน) ความถี่ ร้อยละ
คุณภาพชวี ติ แยกตามรายด้าน
1 7.14
คณุ ภาพชวี ติ ด้านสุขภาพกาย (Physical Health Scores) 1 7.14
ระดับพอใช้ (0-20 คะแนน) 37.32 + 18.38
ระดับต่า (<0 คะแนน) 85.72
คา่ เฉลี่ย + คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน 12 14.28
2 0.00
คณุ ภาพชวี ิตดา้ นสุขภาพใจ (Mental Health Scores) 0
ระดบั ดี (>20 คะแนน) 26.55 + 6.71
ระดับพอใช้ (0-20 คะแนน)
ระดับต่า (<0 คะแนน)
คา่ เฉลย่ี + ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน

เมื่อพิจารณาจากคุณภาพชีวิตแยกตามรายด้านแล้วพบว่าคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ
ของผู้ปว่ ยสว่ นใหญ่ รอ้ ยละ 85.72 มีคุณภาพชีวิตในระดับดี โดยมีค่าเฉล่ียคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพกายเท่ากับ
37.32 + 18.38 คะแนน และมีค่าเฉลยี่ คุณภาพชีวติ ด้านสขุ ภาพใจเท่ากบั 26.55 + 6.71
ตารางท่ี 4 แสดงขอ้ มลู คะแนนคณุ ภาพชวี ติ ของผูป้ ่วยรายบคุ คล

รายที่ การเคล่อื นไหว การดูแล การ การ คะแนน ความ การมี กิจกรรม คะแนน

ตนเอง ทางาน เจบ็ ป่วย สถานะ กังวล สมาธิ สงั คม สถานะ

สขุ ภาพ ซมึ เศร้า สขุ ภาพ

ด้านกาย ดา้ นใจ

13 5 5 4 41.58 4 3 4 30.89

24 5 4 3 36.79 4 3 3 24.42

33 3 2 2 12.72 3 3 3 19.07

45 5 5 5 52.91 4 4 4 21.47

52 3 2 3 -9.68 4 3 3 12.41

65 5 4 4 46.36 4 3 3 24.42

75 5 5 5 52.91 5 4 4 32.44

84 3 3 3 25.96 4 3 3 25.55

93 3 2 3 23.66 4 3 3 28.93

10 5 5 5 5 55.29 4 4 3 26.69

11 5 5 4 4 48.02 4 3 3 25.55

12 5 5 4 4 43.97 5 4 4 41.30

13 5 5 4 4 41.42 5 4 3 29.63

14 5 5 4 4 50.63 4 3 3 28.93

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

54
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลคะแนนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยรายบุคคล จะพบผู้ป่วยที่มีปัญหาคุณภาพชีวิตไม่ดี
โดยมคี ุณภาพชีวติ ดา้ นสุขภาพกายและสขุ ภาพใจอยู่ในระดับต่าถึงปานกลาง จานวน 2 ราย ได้แก่ ผู้ป่วยรายท่ี 3
และรายท่ี 5
สรุปผลและการนาไปใช้
การศกึ ษานแ้ี สดงให้เหน็ ว่าการจดั การรายกรณใี นผ้ปู ่วยล้างไตทางช่องท้องของโรงพยาบาลสามร้อยยอด
จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ ทาใหผ้ ู้ป่วยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับดีทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ เมื่อ
วัดด้วยแบบวดั คณุ ภาพชีวิต 9-THAI นอกจากน้ีการล้างไตทางช่องท้องในโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้านทาให้ผู้ป่วย
สะดวกในการเดนิ ทาง รวมถงึ ญาติผู้ป่วยเองสามารถทางานประกอบอาชีพได้ตามปกติ และลดค่าใช้จ่ายในการ
เดินทางของผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพบผู้ป่วยจานวน 2 ราย ที่มีปัญหาคุณภาพชีวิตไม่ดี
โดยมคี ณุ ภาพชีวิตด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจอยู่ในระดับต่าถึงปานกลาง ซ่ึงมีความจาเป็นที่จะต้องค้นหาสาเหตุ
และจดั การเพม่ิ เติมในอนาคตเพ่ือให้ผ้ปู ว่ ยมีคณุ ภาพชีวิตที่ดี

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

55
เร่อื ง การรักษาโดยการดูดซับสาร cytokine ในเลือดของผปู้ ว่ ยโควดิ 19 ทโ่ี รงพยาบาลราชบรุ ี
(Adsorption therapy in COVID-19 patients at Ratchaburi hospital and clinical experience)

นายสมบูรณ์ อภชิ ัยย่งิ ยอด นายแพทยเ์ ช่ียวชาญ (อายุรแพทยโ์ รคไต)
นางสาวอาทติ ยา ไพศาลนันทน์ พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ
หนว่ ยไต แผนกอายรุ กรรม โรงพยาบาลราชบุรี

ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา
การตอบสนองท่ีผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ท่ีเรียกว่า cytokine strom มีบทบาทสาคัญต่อพยาธิกาเนิด

ของเชื้อโคโรนาไวรสั (โควิด19) การมองหาผ้ปู ่วยทม่ี ีการตอบสนองทผ่ี ดิ ปกตขิ องระบบภมู คิ ุม้ กัน และมคี วามเสย่ี งสงู ที่
จะเกดิ ภาวะการหายใจล้มเหลว อวัยวะอื่นทางานผดิ ปกติ และเสียชีวิต มีความสาคัญทางคลินิกเพราะผู้ป่วยกลุ่มน้ี
อาจจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการรกั ษาโดยการดดู ซบั สาร cytokine ผ่านตัวกรองเลอื ด

วตั ถปุ ระสงค์
เพอ่ื ประเมนิ ประสทิ ธิผลการรกั ษาด้วยวิธีการดูดซับสาร cytokine ผ่านตัวกรองเลือด ในผู้ป่วยโควิด 19

ทมี่ ปี อดบวม การหายใจล้มเหลวท่ีไมต่ อบสนองกบั การนอนควา่ หนา้ และมี cytokine สงู ผดิ ปกติ

วธิ ดี าเนนิ การ
เป็นการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วย 3 รายของโรงพยาบาลราชบุรีที่เป็นโควิด19 มีภาวะปอดบวม และ

การหายใจล้มเหลว มสี าร cytokine สงู ในเลือดมาทาการรักษาโดยดูดซับสาร cytokine ในเลือด โดยใช้ตัวกรอง
ดดู ซบั ทช่ี อื่ cytosorb ข้อบง่ ช้ใี นการรักษา คอื ผ้ปู ว่ ยโควดิ 19 ทม่ี ภี าวะปอดบวม การหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ท่ีไม่ตอบสนองการนอนท่าควา่ และมีระดบั CRP ท่สี ูงในเลอื ด

ผลการดาเนินการ
ในจานวนผูป้ ่วยท้งั หมด 76 คน ที่ได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตทางเดินหายใจ จากภาวะการติดเช้ือ

โควิด19 ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม 2564 ; มีผู้ป่วย 3 รายที่ได้รับการรักษาโดยการดูดซับสาร cytokine
ผ่านตัวกรองเลือด โดยผู้ป่วยท้ัง 3 รายนี้ต้องใช้เคร่ืองช่วยหายใจและไม่ตอบสนองต่อการนอนคว่าหน้า ค่าเฉล่ียของ
ระดับ CRP ก่อนการรักษา เท่ากับ 162.98 (ช่วง150.84-214.99) และหลังการรักษาเท่ากับ 54.74 (ช่วง 47.25-86.45).
p-value 0.109 โดยใช้สถิติ Wilcoxon Signed Rank Test ในผู้ป่วยทั้ง 3 รายหลังได้รับการดูดซับสาร cytokine
ผา่ นตวั กรองเลอื ด พบว่าผลเอ็กซเรย์ปอดมจี ุดฝ้าขาวลดลง

สรปุ ผลการดาเนนิ การ
จากการศกึ ษาในครงั้ นี้ พบว่าผูป้ ว่ ยโควิด 19 ท่มี ีภาวะการหายใจลม้ เหลว ไม่ตอบสนองต่อการนอนคว่าหน้า

มีระดับ cytokine ที่สงู และไดร้ บั การรกั ษาโดยดูดซับสาร cytokine ผา่ นตวั กรองเลือด ไม่มีความแตกต่างอย่างมี
นัยสาคัญทางคลินิกของระดับ CRP และภาวะออกซิเจนในเลือด เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยท่ีไม่ได้รับการรักษา
ซึง่ อาจเปน็ เพราะเรามีผู้ปว่ ยในการศึกษาน้อยเกินไป

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

56
เรอ่ื ง แนวทางการดแู ลผ้ปู ่วยโรคไตวายทไี่ ด้รบั การบาบดั ทดแทนด้วยการฟอกเลือดด้วยเครือ่ งไตเทียม

ในห้องแยกเด่ยี วท่ีมแี รงดนั เปน็ ลบ

นายศุภศรณั ย์ ศุภพฒั นพงศ์ นายแพทย์ชานาญการ
นางสาวพชั รนนั ท์ สขุ สนั รงุ่ เรือง พยาบาลวชิ าชพี ชานาญการ

หน่วยไตเทียม 1 โรงพยาบาลสมทุ รสาคร

ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา
จากสถานการณก์ ารระบาดโรคติดต่อทางเดินหายใจ COVID-19 ตง้ั แต่ ปี 2563 - ปจั จุบัน ทาใหเ้ กดิ ผลกระทบ

ทกุ หนว่ ยบรกิ ารในโรงพยาบาลและทกุ โรงพยาบาล ซ่ึงหน่วยไตเทียม 1 โรงพยาบาลสมุทรสาคร ก็เป็นหนึ่งหน่วยงาน
ทไ่ี ดผ้ ลกระทบดังกล่าว โรงพยาบาลสมทุ รสาครเป็นโรงพยาบาลศูนย์และบริบทของหน่วยไตเทียม ให้บริการฟอกเลือด
ด้วยเครอ่ื งไตเทยี มในผู้ปว่ ยไตวายเฉียบพลนั และเรอ้ื รังมที ี่ภาวะแทรกซอ้ นต่างๆ เช่น นา้ ทว่ มปอด ตดิ เชอื้ กระแสเลอื ด
ติดเช้อื ท่ีสายฟอกเลือด มีเครื่องไตเทียมให้บริการท้ังหมด 10 เคร่ือง ห้องฟอกเลือดเป็นพื้นท่ีโล่งมีระบบปรับอากาศ
แบบทาความเยน็ จากส่วนกลาง (Central Air Conditioning) ภายในหน่วยมีฉากก้ันเว้นระยะห่างทุกเตียง มีผู้ป่วย
ไตวายเรือ้ รังและเฉียบพลันมารับบริการ วันละ 2 รอบ และพบว่ามีผู้ป่วยไตวายเร้ือรังท่ีเป็นโควิดมาฟอกเลือด
ในบางรอบ (หลดุ เขา้ มาในหนว่ ย) จากข้อมูลตงั้ แต่กรกฎาคม 2564 - ปัจจุบัน มีท้ังหมด 5 ราย และต้องจัดรอบเสริม
เพ่อื ฟอกเลอื ดคนไข้หลังโควิด ซึ่งทาใหเ้ กดิ ภาระงานของพยาบาลเพ่ิมจากเดิม เนื่องจากทีมพยาบาลต้องไปฟอกเลือด
คนไข้โควดิ ในห้องคนไข้โควิดและกลับมาปฏิบัติงานท่ีหน่วยไตเทียมอีก จากพยาบาลไตเทียม มีจานวน 4 ท่าน
ซึ่งทาให้เกิดการอ่อนล้า ทางผู้อานวยการได้เล็งเห็นความสาคัญของคนไข้และทีมพยาบาล เพื่อให้ทีมพยาบาล
ไดด้ ูแลคนไข้ที่มีภาวะเสี่ยง COVID PUI จึงกาหนดให้หน่วยไตเทียมมีห้องแยกเด่ียวท่ีมีแรงดันเป็นลบจานวน 1 ห้อง
ในเดอื นธันวาคม 2564

วตั ถุประสงค์
เพ่อื ปอ้ งกนั คนไขก้ ระจายเชื้อโรคที่เปน็ อยู่ออกไปติดต่อผ้อู นื่

วธิ ีดาเนนิ การ
1. ประชมุ ทมี สหสาขาวิชาชพี
2. กาหนดเกณฑก์ ารรับคนไข้ เน้นผปู้ ่วยท่มี ภี าวะทางเดินหายใจรุนแรง เชน่
- ผู้ป่วย Post Covid-19
- ผู้ป่วยวัณโรคปอด
- ผู้ปว่ ยท่ีมีอาการไข้ ไอ นา้ มูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลาบาก ร่วมกับมีประวัติครอบครัว

เปน็ COVID-19
- ผ้ปู ่วยทีร่ อผล PCR

3. ขนั้ ตอนการให้บริการ แบ่งเปน็ 3 ระยะ กอ่ นการฟอกเลอื ด ขณะฟอกเลอื ด หลงั การฟอกเลอื ด ดังน้ี

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

57

ก่อนการฟอกเลอื ด
1. เตรียมหอ้ งแยกเด่ียวทม่ี ีแรงดันเปน็ ลบ
- ตรวจสอบ และทดสอบการทางานเครื่องแรงดันลบ โดยการTest ระบบ
- สารวจสภาพห้องและประตหู อ้ ง วา่ มีช่องวา่ งรอยรรู ั่วหรือไม่
2. ประสานกบั เจา้ หนา้ ท่ปี ระจาตกึ ทผี่ ปู้ ว่ ยนอนพกั เพ่ือเตรยี มอุปกรณ์ให้พร้อมใชก้ ารรบั ผู้ปว่ ย
3. มอบหมายเจ้าหนา้ ที่ให้รับผดิ ชอบเป็นรายบคุ คล
4. ทบทวนขน้ั ตอนการใหบ้ ริการฟอกเลือด และอุปกรณส์ วมใส่ปอ้ งกันของเจา้ หน้าทีแ่ ละผปู้ ่วย
5. เตรียมเครอื่ งไตเทียมและวงจรไตเทียม
5.1 Test เคร่ืองไตเทยี มทกุ ครงั้ กอ่ นการใชง้ าน
5.2 ดูระดับของ conductivity ชนิดของน้ายาล้างไต K = 3 mEg/dl Ca = 2.5 mEg/dl ปรับค่า HCO

3 = 32 mEg/L อัตราการไหลของนา้ ยาล้างไต 500 ml/min อณุ หภมู ิน้ายาลา้ งไต 36 องศาเซลเซยี ส
5.3 เตรียม dialyzer ชนิด Low flux ใหต้ รงตามแผนการรกั ษา
5.4 ตรวจสอบชอ่ื นามสกุลของผปู้ ่วยที่ dialyzer ให้ตรงกับผปู้ ว่ ย
5.5 Dialyzer และ bloodline ตอ้ งไดร้ ับการเตรียมตามแนวทางปฏิบัติการเตรียม dialyzer และ

bloodline กอ่ นการฟอกเลือด
5.6 ตรวจสอบสายขอ้ ต่อตามจุดตา่ ง ๆ ของสายส่งเลอื ดให้แนน่ เพื่อปอ้ งกนั การหลุดหรือร่ัวซึม ซ่ึง

อาจทาให้ฟองอากาศเข้าไปในระบบวงจรไตเทียมหรือการร่ัวซึมของเลือดออกนอกวงจรไตเทียมได้ พร้อมทั้งใส่
venous bloodline เขา้ ใน line clamp ไวต้ ลอดการฟอกเลือด

5.7 เตรยี มเครอ่ื ง patient monitor EKG BP oxygen saturation
5.8 เตรยี ม Fluid replacement ตามแผนการรกั ษาเตรยี มความพร้อมของรถ emergency
เมื่อผปู้ ่วยมาถึงห้องแยกเดี่ยวแรงดันเป็นลบ พยาบาลใส่อุปกรณ์ป้องกันการติดเช้ือ หมวกคลุมผม หน้ากาก
N 95 ชุดกาวน์กันน้า ถงุ มอื กระจังหนา้ รองเทา้ ห้มุ ปลาย เขา้ หอ้ งแยกเด่ียวแรงดนั เป็นลบ
6. ประเมนิ ดา้ นผู้ป่วย
6.1 ทกั ทายผู้ปว่ ยโดยการเรยี กชอ่ื และนามสกุล
6.2 ซักประวัติ และสอบถามเก่ียวกับประวัติอาการสาคัญ การเจบ็ ปว่ ยในปจั จบุ ัน
6.3 ตรวจสอบขอ้ มูลแผนการรกั ษา การตรวจพเิ ศษตา่ ง ๆ เช่น ผลการตรวจคลนื่ หวั ใจ
6.4 ตรวจร่างกาย มจี ุดเลือดออกหรือมีบาดแผลตามร่างกาย หรือไม่
6.5 ประเมนิ สมดลุ ของน้าในรา่ งกายจาก บวม อตั ราการหายใจ Intake output
ขณะฟอกเลือด
1. ดา้ นผ้ปู ่วย
1.1 วัดสัญญาณชีพทันทีหลังจากเร่ิมการฟอกเลือดและบันทึกลงใน hemodialysis flow chart และ
สอบถามอาการทกุ 10-15 นาที

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

58
1.2 ตรวจสอบตาแหน่งของเข็มและข้อต่อต่างๆ ของวงจรไตเทียม เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดหรือมีการ
หักงอของเข็มและ bloodline ตรวจสอบ bleeding บริเวณที่แทงเข็ม หรือ exit site ของ hemodialysis catheter
ให้คาแนะนาและช่วยเหลือผปู้ ่วยในเรอ่ื งการเปลย่ี นท่าขณะฟอกเลือด
1.3 เฝา้ ระวงั อาการอย่างใกล้ชิดต่อเน่ือง ป้องกัน และแก้ไขภาวะแทรกซ้อนผิดปกติ เช่น ความดันโลหิตต่า
ขณะฟอกเลือด ตะคริว หวั ใจเตน้ เร็วฯลฯ
2. ด้านเครื่องไตเทยี ม และวงจรไตเทยี ม
- เฝ้าระวังใหเ้ ครื่องไตเทยี มทางานปกติตลอดเวลา และสังเกตลักษณะความผิดปกติของสีเลือดใน
วงจรไตเทยี ม
การสน้ิ สดุ การฟอกเลอื ด
1. ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์และปริมาตร NSS สาหรบั การคืนเลอื ดควรมีมากกวา่ 300 มิลลิลติ ร
2. หยุดการดึงน้าและลด BFR ไม่เกนิ 200 มลิ ลลิ ติ รต่อนาทีเพ่ือลด resistance ใน blood circuit
3. คนื เลอื ดเข้าตัวผปู้ ว่ ยโดยปลดสายสง่ เลือดทางดา้ น artery ระวงั ไมใ่ ห้มีฟองอากาศเข้าส่ผู ปู้ ่วย
4. เมือ่ เลือดในสายสง่ เลอื ดด้าน Vein มีสีค่อนข้างใส ให้ clamp bloodline และ AVF needle ทางด้าน vein
แล้วปลด bloodline ออก
5. นา dialyzer และสาย bloodline อุปกรณต์ ่างๆ ทงิ้ ถงุ ขยะแดง
6. ดูแลและทาความสะอาดอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการฟอกเลอื ด
- ทาความสะอาดเครื่องไตเทยี มภายนอก โดยการเชด็ ด้วย 0.01 % โซเดียมไฮโปรคลอไรด์
- อบฆ่าเชื้อเครอื่ งไตเทียม ด้วยโปรแกรม Hot Disinfectant ด้วยนา้ ยา citrosteril
- ทาความสะอาดภายในหอ้ งเดยี่ วแรงดันเปน็ ลบ โดยเปดิ เครอ่ื งแรงดนั ลบตอ่ อกี 1 ชวั่ โมง
หลังการฟอกเลือด
1. ดา้ นผู้ป่วย
1.1 ประเมินอาการ และอาการแสดง
1.2 วดั vital signs
1.3 สังเกตอาการผดิ ปกติทอ่ี าจเกิดขนึ้ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูงหรือต่าผดิ ปกติ
2. ประเมนิ vascular access
การบนั ทึก
1. ลงบนั ทึกไดใ้ จความ ชดั เจน กะทัดรัดครบถ้วน และอ่านง่าย โดยไม่นาใบฟอกเลือดเข้าไปในห้องแยก
แรงดนั ลบ
2. ให้ความสาคัญของการเขียนข้อมูลการพยาบาล เพื่อป้องกันความผิดพลาดในทีมการพยาบาล และการ
ได้รับผลกระทบจากข้อร้องเรียนของผปู้ ่วยและญาติ

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

59
การจาหนา่ ย

1. ประสานศูนย์เปลมารับผู้ป่วย และส่งรายงาน ใบ Hemodialysis พร้อมท้ังรายงานการพยาบาล
และขอ้ มลู ท่ตี อ้ งเฝ้าระวังผู้ปว่ ยให้กับพยาบาลประจาหอผู้ป่วยหนกั ที่รับผิดชอบทราบ

2. เตรียมการวางแผนการรกั ษาพยาบาลในครงั้ ต่อไป
- ใหพ้ ยาบาลทดี่ ูแลผู้ปว่ ยอาบนา้ เปลย่ี นเสื้อผ้าและชาระรา่ งกาย

4. ชีแ้ จ้งแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคไตวายท่ีได้รับการบาบัดทดแทนด้วยการฟอกเลือดด้วยเคร่ืองไตเทียม
ในหอ้ งแยกเดี่ยวที่มแี รงดันเปน็ ลบให้ทีมพยาบาลและนาไปปฏบิ ตั ิ

5. ตดิ ตามและประเมนิ ผล
ผลการดาเนินการ

เบอ้ื งตน้ พบวา่ หลังจากมหี อ้ งแยกเด่ียวที่มแี รงดนั เป็นลบ แล้ว มีระบบการจัดการที่ชัดเจน และครอบคลุม
ผปู้ ่วยไตวายทม่ี าฟอกเลอื ดในหนว่ ยไตเทียมไม่มีการติดเชื้อโควดิ

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

60
เรอ่ื ง นวตั กรรมจุกปิด safety connecter ระบบนา้ RO For HD ไตเทียม โรงพยาบาลนครปฐม

นางสาวณฐั นี สทุ ธพิ ณชิ พงศ์ พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ
นางสาวนงลักษณ์ จนั ทพิ ย์วงษ์ พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ

นายณฐั วุฒิ สตั ยกลุ พยาบาลวิชาชีพ
ไตเทยี มนครปฐม โรงพยาบาลนครปฐม

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา
ผู้ป่วยไตวายได้รับการรักษาด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมนอกจากเครื่องไตเทียม, ตัวกรอง

ฟอกเลือด, สายนาเลือดเข้า-ออก และยังมีส่วนประกอบที่สาคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ระบบผลิตน้าบริสุทธ์ิ ซ่ึงถือ
เป็นหัวใจสาคัญของงานไตเทียมคุณภาพน้าท่ีดีจะส่งผลให้ประสิทธิผลในการฟอกเลือดดีย่ิงขึ้น ระบบการเตรียม
น้าบรสิ ุทธิ์ เพ่อื ใช้ในการฟอกเลอื ดด้วยเครอ่ื งไตเทียมเปน็ กระบวนการหนึ่งทีม่ ีความสาคัญ โดยในการฟอกเลือด
แต่ละครั้งต้องใช้น้าปริมาณมากถึง 120 ลิตร และน้าสามารถซึมผ่านเข้ากระแสเลือดผู้ป่วยได้ น้าที่ใช้จึงต้องมี
ความสะอาดบรสิ ทุ ธต์ิ ามมาตรฐาน ดังน้ันกระบวนการควบคมุ คณุ ภาพในระบบนา้ บริสทุ ธ์จิ ึงมีความสาคญั ยิ่ง

ปัจจุบันหนว่ ยไตเทยี มโรงพยาบาลนครปฐมมีระบบผลิตนา้ บริสุทธ์ิชนดิ ถาวร 2 หน่วยบริการและระบบ
ผลิตน้าบริสุทธ์ิเคลื่อนท่ีได้ จานวน 3 เครื่อง ปัญหาที่พบ คือ มีการเคล่ือนย้ายเครื่องฟอกเลือดและระบบผลิต
น้าบริสุทธ์ิ เพ่ือนาไปใช้ยังหน่วยบริการหอผู้ป่วยวิกฤตต่างๆ จึงมีการปลดข้อต่อระบบผลิตน้าบริสุทธ์ิและ
เครื่องฟอกเลือดจึงมีโอกาสเกิดการปนเปื้อนได้ ปัจจุบันในการปลดข้อต่อต่างๆ จะใช้ถุงมือปราศจากเช้ือครอบปิด
บรเิ วณขอ้ ต่อต่างๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเช้ือ จากการเก็บข้อมูล 3 เดือน พบปัญหาว่าถุงมือที่ใช้ในการสวมปิด
บรเิ วณขอ้ ต่อมีการฉีกขาดจานวน 3 คร้ัง และเลื่อนหลุด 7 ครั้ง ต้องอบฆ่าเช้ือระบบน้าเคล่ือนที่ก่อนใช้งาน 4 คร้ัง
และอบฆ่าเชื้อเครอื่ งไตเทียมจานวน 6 ครั้ง ซึง่ ส่งผลให้เพม่ิ ค่าใชจ้ ่ายในการอบฆ่าเชื้อ

วตั ถุประสงค์
1. บุคลากรใช้นวตั กรรมจุกปิดทดแทนการใชถ้ ุงมือปราศจากเช้อื
2. เพ่อื ปอ้ งกันการปนเปื้อนและติดเชอื้ ในระบบผลิตนา้ บรสิ ุทธ์ิ
3. เพ่ือลดค่าใช้จา่ ยในการอบฆา่ เชื้อระบบผลติ นา้ บริสทุ ธิ์และเครื่องไตเทยี ม

การดาเนนิ งาน
1. ออกแบบนวตั กรรม
2. ทดลองใช้
3. ประเมนิ ผล

ระยะเวลาดาเนนิ การ
มกราคม 2563 – มิถุนายน 2563

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

61
สถานทีด่ าเนนิ การ

หนว่ ยไตเทยี ม โรงพยาบาลนครปฐม
งบประมาณ

ราคาต่อช้ิน 19.5 บาท
ตัวช้ีวดั ความสาเรจ็

1. บคุ ลากรใช้นวัตกรรมคิดเป็นรอ้ ยละ 100
2. อัตราการเลอื่ นหลดุ จกุ ปิดบรเิ วณข้อตอ่ = 0
3. ผลการเพาะเชอ้ื น้าบรสิ ุทธ์ิ อยู่ในเกณฑม์ าตรฐานของสมาคมโรคไตแหง่ ประเทศไทย
4. ผลการเพาะเชอ้ื บรเิ วณข้อต่อน้าบริสทุ ธิ์และเครอื่ งไตเทียมไม่พบเชื้อ

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

62

เร่อื ง ปจั จยั ที่เป็นสาเหตขุ องการกลบั มาวดั เลนส์แก้วตาเทียมซา
(Causing Factors of Return Measuring Intra ocular lens)

นางณัชพณั ณ์ ปฐมพิทกั ษ์นุกูล พยาบาลวิชาชพี ชานาญการ
โรงพยาบาลนครปฐม

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
โรคต้อกระจก เป็นสาเหตุของการตาบอดท่ีสาคัญอันดับ 1 ที่สามารถแก้ไขได้ ผู้สูงอายุควรได้รับการ

คัดกรองสายตา เพื่อคน้ หาต้อกระจก หัวใจสาคัญของการผ่าตัดต้อกระจก คือ แก้วตาเทียม 10 ปีที่ผ่านมาการ
วัดเลนส์แก้วตาเทียมโดยพยาบาลเวชปฏิบัติคนเดียว ปัจจุบันวัดโดยทีมพยาบาลจากศูนย์ตาต้อกระจกเมื่อพบว่า
มีคา่ ทผี่ ดิ ปกติ จะส่งผู้ป่วยมากลับมาวัดเลนส์แก้วตาเทียมซ้า ปีงบประมาณ 2558-2560 มีจานวนผู้รับบริการท่ีเป็น
ต้อกระจกเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม จานวน 1,493, 1,524 และ 1,563 ราย ตามลาดับ
(รายงานประจาปี โรงพยาบาลนครปฐม, 2560) 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ป่วยถูกส่งกลับมาวัดเลนส์แก้วตาเทียมซ้า
เพ่มิ มากขึน้ จานวน 762 ราย คิดเป็น 14% ของผู้ป่วยที่ถูกวัดเลนส์แก้วตาเทียมท้ังหมด ผู้วิจัยซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงาน
ที่ห้องเคร่ืองมือพิเศษทางตา จึงมีความสนใจที่จะศึกษาปัจจัยท่ีเป็นสาเหตุของการกลับมาวัดเลนส์ซ้าเพ่ือทา
การปรับปรุงแก้ไข วางแนวทางในการปฏบิ ตั ิงานใหด้ ีข้นึ

วัตถุประสงค์
1. เพือ่ ศึกษาปัจจยั ทเี่ ป็นสาเหตุของการกลบั มาวดั เลนสแ์ ก้วตาเทียมซ้า
2. เพือ่ กาหนดแนวทางในการส่งผปู้ ว่ ยกลับมาวัดเลนส์แก้วตาเทียมซา้

วิธีดาเนนิ การ
ศึกษาขอ้ มูลยอ้ นหลงั (Retrospective Research) ของผู้ป่วยต้อกระจกท่ีวัดเลนส์จากศูนย์ตาต้อกระจก

ได้ผลของค่าความโค้งกระจกตา หรือค่าความยาวลูกตา 2 ข้าง ท่ีมีความแตกตา่ งกนั ถกู ส่งกลบั มาวัดเลนส์แก้วตาเทียมซ้า
กลุม่ ตัวอย่างคอื ผปู้ ่วยต้อกระจกทถ่ี กู สง่ กลับมาวดั เลนสแ์ ก้วตาเทียมซ้าที่ห้องตรวจรักษาพิเศษทางตา กาหนดขนาด
ของกล่มุ ตัวอยา่ งโดยการเปิดตารางของเครซี่และมอร์แกน ได้จานวน 79 คน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย
สาหรบั วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทดสอบความแตกต่างระหว่างค่ากลางของสองประชากรที่มีการกระจายแบบปกติ
แตไ่ ม่อสิ ระต่อกนั

ผลการดาเนินการ
การวัดคา่ กาลังเลนส์แก้วตาเทียม มีผลต่อการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียม (IOL Power) สูตร SPKII,

A Constance 118.0 ซ้า และการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียมลูกตาของห้องตรวจรักษาพิเศษทางตา (OPD)
และศูนย์ตาตอ้ กระจก (WARD) มคี วามสัมพันธ์กับการวดั ค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียมซ้า อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05 ส่วนการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียม มีผลต่อการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียม (IOL Power)
สูตร SPKII, A Constance 118.4 ซ้า และการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียมของห้องตรวจรักษาพิเศษทางตา (OPD)
และศนู ย์ตาต้อกระจก (WARD) มีความสัมพันธ์กับการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตาเทียมซ้า อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ทรี่ ะดับ .05 ส่วนการวัดความโคง้ กระจกตาแนวตั้ง มีผลตอ่ การวัดความโค้งกระจกตาซ้า และการวัดความโค้งกระจกตา

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

63

แนวตัง้ ของห้องตรวจรักษาพิเศษทางตา (OPD) และศูนย์ตาต้อกระจก (WARD) มีความสัมพันธ์กับการวัดความโค้ง
กระจกตาแนวต้ังซ้า อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิที่ระดบั .05 และพบว่าการวัดความยาวลูกตา มีผลต่อการวัดความยาว
ลูกตาซ้า และการวัดความยาวลูกตาของห้องตรวจรักษาพิเศษทางตา (OPD) และศูนย์ตาต้อกระจก (WARD)
มคี วามสมั พันธ์การวัดความยาวลกู ตาซ้า อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสาเหตุท่ีทาให้ต้องมีการวัดค่า
กาลังเลนส์แก้วตาเทียมซ้า เนื่องมาจากความผิดปกติทางตาของผู้ป่วย จึงทาให้ผลการวัดค่ากาลังเลนส์แก้วตา
เทยี มของห้องตรวจรักษาพเิ ศษทางตา (OPD) และศนู ยต์ าต้อกระจก (WARD) มีความคลาดเคล่ือนเกดิ ข้นึ

อภปิ รายผล
ปจั จัยทเ่ี ป็นสาเหตขุ องการวัดเลนสแ์ กว้ ตาเทียมซา้ เกดิ จากการวดั ค่าความยาวลูกตาและความโค้งกระจกตา

ของลูกตาผู้ป่วยท้ังสองข้างมีความแตกต่างกัน ทาให้ได้ผลการคานวณกาลังเลนส์แก้วตาเทียมผลที่แตกต่างกัน
ดงั นั้นจกั ษุแพทย์ และพยาบาล ผู้วัดเลนส์ ต้องการให้มีการตรวจซ้า เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการวัด พบว่าปัญหา
ด้านตัวผู้ป่วยที่มีโรคทางตาร่วมด้วยทาให้วัดยากและได้ค่าที่ต่างกัน ด้านเครื่องมือตรวจตาท่ีแตกต่างกัน จึงได้
ทาการตรวจสอบความแม่นยาและเที่ยงตรง โดยการวิเคราะห์ค่าความโค้งกระจกตาท้ังแนวตั้งและแนวนอ น
คา่ ความยาวลูกตา และผลการคานวณกาลังเลนส์ของตาสองข้างเปรยี บเทยี บการวัดทั้งสองแผนกในผูป้ ่วยรายเดยี วกนั

สรปุ และข้อเสนอแนะ
1. ควรวดั ดวงตาท้งั สองข้างและทาซ้าหากความแตกตา่ งของกาลงั เลนสท์ ้ังสองตามากกว่า 1 dioptor
2. คา่ ความโคง้ กระจกตา (K) ของทั้งสองตาแตกต่างกันมากกว่า 1 dioptor ต่อการวดั ซา้ 3 ครง้ั
3. ค่าความยาวลกู ตา (AL) ของทง้ั สองตาแตกตา่ งกันเกนิ 3 mm. ต่อการวัดซา้ 8 – 10 ครงั้
4. ค่าความโค้งกระจกตา (K) แตล่ ะขา้ งผดิ ปกติ คา่ ปกติควรอยทู่ ่ี 40 - 47 dioptor
5. คา่ ความยาวลกู ตา (AL) แต่ละขา้ งผิดปกติ คา่ ปกตคิ วรอยู่ที่ 22- 25 mm
6. ควรวดั ค่าเฉลย่ี ให้ไดผ้ ลลัพธ์ทส่ี ม่าเสมอมากท่ีสดุ ใหไ้ ด้ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานต่าสดุ (SD<0.02 มม.)
7. ผปู้ ่วยท่ไี ม่ใหค้ วามรว่ มมอื ในการตรวจวัด หรอื มโี รคทางตาทซี่ บั ซอ้ น

ข้อเสนอแนะ
จากผลการวจิ ัยครัง้ น้ี ผู้วิจัยมขี อ้ เสนอแนะจากการศึกษาและทบทวนปัจจัยท่ีเป็นสาเหตุการกลับมาวัดเลนส์

แก้วตาเทียมซ้า ที่เห็นว่าเปน็ ประโยชนต์ อ่ การกาหนดแนวทางในการปฏบิ ัติงานให้เกิดประสิทธิภาพดีย่ิงขึ้น โดยมี
ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้ ดังน้ี

1. บคุ ลากรควรหม่นั ทบทวน และฝกึ ฝนเพอื่ ใหม้ ีประสบการณ์ในการวัดเลนส์แก้วตาเทียมด้วยความชานาญ
เพ่ือใหส้ ามารถเผชญิ กับผู้ป่วยทป่ี ัญหาความผดิ ปกตทิ างตาลักษณะต่าง ๆ

2. ควรมกี ารร่วมประชมุ แลกเปลยี่ นความคดิ เห็นระหวา่ งทีมผปู้ ฏิบัติงาน ก่อนจัดทาคู่มือแนวทางการวัดเลนส์
แก้วตาเทยี ม แผนกจักษุ โรงพยาบาลนครปฐม นาไปปรับใชใ้ นการปฏบิ ัติงานที่ศูนย์ตาตอ้ กระจก

3. ข้อเสนอแนะเพื่อการทาวิจยั ในครั้งต่อไป ควรศึกษาเปรียบเทียบระดับสายตา ก่อนหลังผ่าตัด รวมถึง
ระดับความพึงพอใจของผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คุณภาพชีวิตในด้านการมองเห็นหลังการผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์
แกว้ ตาเทียมของผู้ป่วย

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

64

เร่ือง การพฒั นา “นวตั กรรมดูผลเลือดออนไลน์” เพื่อการปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมผ้ปู ่วยเบาหวานชนดิ ที่ 2

นางสาวนภิ า เช้ือทอง พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ
และคณะ โรงพยาบาลสมเด็จพระสงั ฆราชองค์ที่ 19

ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมผลเลือดต่างๆ ไม่ได้ตามเป้าหมาย จะถูกส่งเข้ามารับคาแนะนาในการปรับเปล่ียน

พฤติกรรมที่ห้องสุขศึกษา จากการพูดคุยกับผู้ป่วยถึงความรู้เกี่ยวกับค่าผลเลือด และการใช้ประโยชน์จากสมุด
ประจาตัวผ้ปู ว่ ยนนั้ พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 62.81 ไม่มีสมุดประจาตัวมาด้วย ทาให้ไม่มีการบันทึกผลเลือดให้ได้รับรู้
ภาวะสุขภาพของตนเอง ส่วนผู้ที่มีสมุดประจาตัวน้ัน เม่ือสอบถามความเข้าใจในค่าผลเลือดแต่ละตัว พบว่าผู้ที่
เข้าใจดี ได้ใช้ประโยชน์จากสมุดประจาตัวจริงๆ มีเพียงร้อยละ 9.92 ส่วนร้อยละ 23.97 เข้าใจบ้าง และมีผู้ท่ี
ไม่เข้าใจร้อยละ 66.11 ในช่วงท่ีผ่านมานั้น มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบสมุดประจาตัวผู้ป่วยเบาหวานมา 3 คร้ัง
มีความแตกต่างกันไป แตผ่ ปู้ ่วยกย็ ังไม่ค่อยทราบถงึ คา่ ต่างๆ เนื่องจากเปน็ ภาษาอังกฤษบ้าง เป็นกราฟบ้าง และ
การส่ือสารให้ผู้ป่วยเข้าใจยังทาได้ไม่ครอบคลุม ดังน้ันงานสุขศึกษาจึงได้มีการพัฒนารูปแบบการให้สุขศึกษา
เพ่อื การปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมผู้ปว่ ยเบาหวาน โดยไดร้ บั ความร่วมมือกับงานสารสนเทศทางการแพทย์ (IT) ช่วยเขียน
โปรแกรมแสดงค่าผลเลือดเช่อื มกับ ระบบ HosXP แบ่งสีตามระดับความรุนแรงอิงเกณฑ์ปิงปอง 7 สี ใช้งานผ่าน
แอปพลิเคชันไลน์ เกดิ เป็น “นวัตกรรมดผู ลเลอื ดออนไลน์” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้เรื่องค่าผลเลือด
สามารถอ่านผลและระดับเสี่ยงของผลเลือดแต่ละตัวที่มีผลต่อภาวะสุขภาพ ทา QR Code จากเลขบัตรประชาชน
ของแตล่ ะคนไว้ที่มุมล่างขวาของใบนัดผู้ป่วย เพ่ือให้สามารถสแกนเข้าไปดูผลเลือดของตนเองได้ และแทรกคลิป
VDO สั้นๆ เกย่ี วกบั ความรแู้ ละคาแนะนาในการปฏิบัตติ ัว เพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ชะลอการเกิด
ภาวะแทรกซ้อนได้

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือเปรยี บเทียบพฤตกิ รรมสุขภาพผ้ปู ่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ก่อนและหลังดาเนินการ
2. เพ่อื เปรยี บเทียบนา้ ตาลในเลอื ด Glucose และ HbA1C ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ก่อนและหลัง

ดาเนินการ
3. เพ่ือประเมินความพึงพอใจการใช้ “นวัตกรรมดูผลเลือดออนไลน์” เพ่ือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ผู้ป่วยเบาหวานชนดิ ที่ 2

วธิ ีดาเนนิ การ
เป็น Research & Development Designs เพ่ือสร้างนวัตกรรมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ

ของผู้ป่วยเบาหวานในลักษณะ One - Group Pre - Posttest ระยะเวลาดาเนินการ ระหว่าง วันที่ 1 ตุลาคม 2563
ถงึ 31 พฤษภาคม 2564

ประชากร คอื ผปู้ ว่ ยเบาหวานชนิดท่ี 2 ท่ีมารับการรักษาแบบไปกลับที่แผนกผู้ป่วยนอก ของคลินิก NCD
โรงพยาบาลสมเดจ็ พระสังฆราชองค์ที่ 19 อย่างตอ่ เนอ่ื ง ต้ังแต่ 1 ตลุ าคม 2562 – 30 กันยายน 2563 และเข้ารับบริการ
ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม ณ ห้องสขุ ศกึ ษา จานวนทงั้ สน้ิ 1,527 คน

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

65

กลุม่ ตวั อยา่ ง คือ ผปู้ ่วยเบาหวานชนิดท่ี 2 ทคี่ ดั เลอื กโดยมคี ุณสมบตั ิตามเกณฑ์ท่ีกาหนด คือมีอายุ 15 – 65 ปี
อา่ นหนังสือได้ รับการรักษาด้วยยาเม็ดรับประทาน ระดับน้าตาลในเลือด HbA1C อยู่ในช่วง 7.0 – 8.9 % เป็นผู้ท่ี
ไม่มีโรคหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง สามารถใช้สมาร์ทโฟนได้ (หรือมีญาติ/ผู้ดูแลใช้สมาร์ทโฟนได้) ได้จานวน
ทั้งส้นิ 170 คน

เคร่ืองมือท่ีใช้ในการทดลอง คือ นวัตกรรมดูผลเลือดออนไลน์ผ่านแอปไลน์สู่ HosXP เครื่องมือที่ใช้ในการ
เกบ็ ขอ้ มลู คือ การประมวลผล Glucose และ HbA1C จาก HosXP และแบบสอบถามท่ีสร้างขึ้น เก็บข้อมูล 1 ตุลาคม 2563
ถึง 31 พฤษภาคม 2564 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และวิเคราะห์ความแตกต่างของข้อมูลก่อน - หลัง
ดว้ ย Paired t-test

ผลการดาเนินการ
กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง 68.82% อายุเฉล่ีย 54.66, S.D.=7.84 ปี หลังดาเนินการพบว่ากลุ่มตัวอย่าง

มีพฤติกรรมสุขภาพดีข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ จาก M = 34.61 เป็น M = 46.93 (p<.001) ค่าน้าตาลในเลือด
ลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ Glucose จาก 165.65 mg.%, S.D.= 36.99 เป็น 147.82 mg.%, S.D.= 36.64
(p<.001) ส่วน HbA1C จาก 7.96%, S.D.=0.52 เป็น 7.43%, S.D.=0.71 (p<.001) และมีความพึงพอใจการใช้
นวัตกรรมในระดับ “มาก” 94.55% โดยมคี วามพึงพอใจในภาพรวมคะแนนเฉล่ียสูงสุด 4.68, S.D.=0.47 รองลงมา
คือ นวัตกรรมมีความชัดเจน เข้าใจง่าย M=4.64, S.D.=0.59 นวัตกรรมมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยและญาติในการ
เรียนรู้ M=4.58, S.D.=0.63 และนวตั กรรมมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ในการนาไปใช้งานจริง M = 4.54,
S.D. = 0.71 ตามลาดบั

อภิปรายผล
การใช้ “นวตั กรรมดผู ลเลอื ดออนไลน์” เพื่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้มีการ

พฒั นาเครื่องมือมาอย่างต่อเนือ่ ง มีความชัดเจน เขา้ ใจไดง้ า่ ย มปี ระโยชน์กับผปู้ ว่ ยเบาหวานและญาติ ทาให้เกิด
ความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม เพราะสามารถประเมินภาวะสุขภาพและระดับความรุนแรงของผลเลือด
ตนเองได้ ทาให้เกิดความตระหนักในการปรับเปล่ียนพฤติกรรม และส่งผลให้ระดับน้าตาลในเลือดของผู้ป่วย
เบาหวานดขี ้นึ ได้ ดังน้ี

1. เปรียบเทียบพฤตกิ รรมสุขภาพกอ่ นและหลงั ดาเนินการ พบว่าก่อนดาเนินกิจกรรม พฤติกรรมสุขภาพ
ของผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่อยู่ในระดับ “ไม่ดี” ร้อยละ 49.70 และระดับ “พอใช้” ร้อยละ 50.30 หลังดาเนินการ
มีการเปล่ียนแปลงดีขึ้น กล่าวคือส่วนใหญ่อยู่ในระดับ “พอใช้” ร้อยละ 57.58 และระดับ “ดี” ร้อยละ 42.42
โดยพบความแตกต่างของพฤติกรรมสุขภาพก่อนและหลังอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) อธิบายได้ว่า เมื่อ
ผู้ป่วยมีความเข้าใจเกี่ยวกับค่าตัวเลข และระดับความรุนแรงของผลเลือดในแต่ละตัวน้ัน จะรู้สึกกลัวท่ีจะเกิด
ภาวะแทรกซ้อน แสดงให้เห็นว่า ความสาคัญของการคืนข้อมูลหรือรู้การเปลี่ยนแปลง จะทาให้ผู้ป่วยเกิด
ความตระหนัก ซ่ึงหากการเปล่ียนแปลงดีข้ึนจะทาให้เกิดกาลังใจ หรือมีความเช่ือมั่นในตนเองที่จะปฏิบัติตนให้ดีขึ้น
แต่ถ้าผลไม่ดีจะทาให้เกิดความกลัว และมีความตระหนักที่จะต้องปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก
ไมต่ อ้ งการใหเ้ กิดโรคแทรกซอ้ นต่างๆ กับตวั เอง

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

66
2. เปรยี บเทียบน้าตาลในเลือดกอ่ นและหลงั ดาเนินการ พบว่าก่อนดาเนินการกลุ่มตัวอย่างมีค่าน้าตาล
Glucose เฉล่ยี 165.65 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 36.99 และหลงั ดาเนินการมคี ่าเฉลยี่ 147.82 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
36.64 ซึ่งมีค่าลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) เช่นเดียวกับค่า HbA1C พบว่าก่อนดาเนินกิจกรรม
กลุ่มตวั อย่างมคี า่ เฉลย่ี 7.96 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.52 และหลังดาเนินการมีค่าเฉลี่ย 7.43 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
0.71 ซึ่งมีค่าลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) อธิบายได้ว่าเมื่อผู้ป่วยรู้ว่าตนเองมีค่าผลเลือดท่ีอยู่ใน
ระดบั อนั ตราย อาจเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา จึงเกิดความกลัว และตระหนักในการปรับเปล่ียนพฤติกรรม
สง่ ผลใหค้ ่าระดบั น้าตาลในเลือดดขี ึน้
3. ความพึงพอใจต่อนวตั กรรมดผู ลเลือดออนไลน์เพ่ือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
พบวา่ ผู้ป่วยและญาตเิ กอื บทัง้ หมด มีความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมดูผลเลือดออนไลน์ ในระดับ “มาก” คิดเป็น
ร้อยละ 94.55 โดยความพงึ พอใจตอ่ การใช้นวัตกรรมฯ ในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด 4.68 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
0.47 รองลงมาคือ นวตั กรรมมีความชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย 4.64 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.59 อธบิ ายได้วา่ การนาเทคโนโลยี
มาชว่ ยทาให้ผ้ปู ว่ ยสามารถเข้าถึงขอ้ มูลภาวะสุขภาพของตนเอง และทราบถึงระดับความรุนแรงต่างจากสมุดประจาตัว
รูปแบบเดมิ ทมี่ ีตัวเลขหรอื ภาษาอังกฤษท่ีผู้ปว่ ยไมเ่ ขา้ ใจ ดังคาพูด “เปน็ ภาษาอังกฤษทั้งนั้น ฉันอ่านไม่ออกหรอกหมอ”
“ผมเห็นตัวเลข แตผ่ มไม่รู้วา่ ภาษาองั กฤษตัวนั้นมันคืออะไร” “กราฟอะไร..ป้าดูไมร่ ้เู ร่อื ง” เมอ่ื ได้ปรับมาใช้นวัตกรรม
ดูผลเลือดออนไลน์ ที่ค่าผลเลือดจะออกเปน็ สตี ามระดับความรุนแรง ทาให้ผูป้ ว่ ยมีความเข้าใจดีข้ึน จึงเกิดความ
พึงพอใจในการใชง้ าน สว่ นขอ้ ทมี่ ีคะแนนเฉล่ียต่าสุด คือ นวัตกรรมมีความสะดวกในการใช้งาน ใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
มีคะแนนเฉลี่ย 4.32 นั้นอาจเนื่องจากผู้ป่วยบางคนมีปัญหาเรื่องเครือข่ายบริการท่ีไม่สัญญาณอินเตอร์เน็ต จึงทาให้
ไมส่ ามารถสแกน QR Code ได้ ซึง่ จะได้มีการพฒั นาต่อไป อยา่ งไรกต็ ามคา่ เฉล่ยี ยังอยู่ในระดับสูง
สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
1. คลนิ กิ โรคเบาหวานในทุกระดบั ของสถานบริการ ควรนาไปปรบั ใช้ในการสร้างการรับรู้และความตระหนัก
ให้กับคนไข้เบาหวาน เพ่อื ให้สามารถควบคมุ ระดับนา้ ตาลในเลือดได้
2. หน่วยงานบริการสาธารณสขุ ในระดับตาบล และอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน ควรจะเป็นสื่อกลาง
ในการใชข้ ้อมูล และสนับสนุนให้ญาติหรือผูด้ ูแลเขา้ ถึงข้อมูลภาวะสุขภาพผู้ป่วย เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุน
ในการควบคมุ กากบั พฤตกิ รรมของผู้ปว่ ยดว้ ย
3. ควรผลักดนั ในเชิงนโยบายให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขนาไปพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพ
ย่งิ ข้ึน

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

67

เรือ่ ง การศกึ ษาประสิทธิผลการใช้ยาฟ้าทะลายโจรต่อการรว่ มรกั ษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี

นางสาวสดุ ารตั น์ เกียรติพัฒนกุล แพทย์แผนไทยปฏบิ ตั ิการ
และคณะ กลุม่ งานการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลโพธาราม

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
ฟ้าทะลายโจรมีชือ่ ทางวทิ ยาศาสตร์ว่า Andrographispaniculata (Burm.f.) Wall. ex Nees มีการนามาใช้

ทางการแพทยแ์ ผนไทยเพื่อรักษาโรคทางเดนิ หายใจสว่ นตน้ ไดแ้ ก่ ไข้ ไอ เจ็บคออาการท้องเสียแบบไม่ติดเช้ือ ซ่ึง
มกี ารศึกษา วิจยั ฟ้าทะลายโจรเกี่ยวกับฤทธ์ิทางเภสัชวิทยา พบว่าสารสกัดจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาท่ี
หลากหลาย อาทิ ฤทธต์ิ า้ นการอักเสบ ฤทธลิ์ ดปวด ฤทธ์ิลดไข้ แก้ไอ สาร andrographolide มีฤทธ์ิกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดย
มีผลเพิ่มการแบ่งตัวของ lymphocyte, เพิ่มการสร้างcytokine, เพ่ิมระดับ immunoglobulin G และเพิ่มระดับ interferon-g
นอกจากนย้ี ังมีการศึกษาในห้องปฏิบัตกิ ารและทางคลนิ ิกเพอ่ื ใช้เปน็ ยาต้านเชือ้ ไวรสั ซ่งึ ครอบคลมุ เชอื้ ไวรสั หลายชนดิ
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ทาการศึกษานาร่องเพื่อกาหนดขนาดใช้ท่ีเหมาะสม พบว่า
ไดร้ ับการรกั ษาตามมาตรฐาน ร่วมกับการได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร (andrographolide 180 มิลลิกรัมต่อวัน)
นาน 5 วัน ความรุนแรงของอาการไอ ความถขี่ องการไอ ความรุนแรงของอาการเจบ็ คอ ปริมาณเสมหะ และความรุนแรง
ของความปวดศีรษะลดลง อย่างนัยสาคัญทางสถิติ (p-value <0.05) ในวันที่ 3 และ 5 ของการรับประทานสารสกัด
ฟา้ ทะลายโจร (กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก, 2564)

ในการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด–19 ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ทางกรมการแพทย์แผนไทย
และการแพทย์ทางเลือก ได้ร่วมมือกับ 9 โรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุขดาเนินการศึกษาวิจัย
โดยไดจ้ า่ ยยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควดิ –19 ทม่ี ีอาการรนุ แรงน้อย ร่วมกับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน
จานวน 309 คน พบว่า ผู้ป่วยจานวน 306 คน มีอาการดีขึ้นกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก จึงได้มี
นโยบายสนับสนนุ การใชย้ าฟา้ ทะลายโจร ซ่ึงเปน็ ยาสมุนไพรในบญั ชยี าหลักแห่งชาติ มาในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
ในกลุ่มที่ไม่มีอาการหรือท่ีมอี าการไม่รุนแรง และช่วยลดการเกิดอาการท่ีรุนแรงขึ้น (กรมการแพทย์แผนไทยและ
การแพทย์ทางเลอื ก, 2564)

ปีงบประมาณ 2564 โรงพยาบาลโพธาราม มีผู้ปว่ ยโรคโควดิ -19 จานวน 6,092 คน กลุ่มงานการแพทย์
แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เล็งเห็นถึงความสาคัญของยาฟ้าทะลายโจร ซ่ึงเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ทมี่ ีสรรพคณุ บรรเทาอาการไข้ บรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการเจ็บคอ บรรเทาอาการท้องเสียแบบไม่ติดเช้ือ จึง
ได้มกี ารนายาฟา้ ทะลายโจรมาใชใ้ นผปู้ ่วยโรคโควดิ -19 ในกล่มุ ที่ไมม่ ีอาการและท่มี ีอาการไมร่ นุ แรงด้วยการบูรณาการ
การรกั ษาร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เพ่ือลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 และพัฒนาต่อยอดการใช้ยาสมุนไพรเพ่ือ
เป็นแนวทางการรักษาโรคโควิด-19 ตอ่ ไป

วัตถปุ ระสงค์

1. เพ่อื เปรยี บเทียบประสทิ ธิผลของการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มท่ีไม่มีอาการและ
ท่ีมอี าการไมร่ ุนแรงระหว่างวนั ที่ 1 และวันท่ี 6

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

68

2. เพ่ือศึกษาอัตราการเกิดภาวะปอดอักเสบ ระหว่างการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มที่
ไม่มีอาการและทีม่ ีอาการไมร่ ุนแรง

วธิ ดี าเนินการ
เก็บขอ้ มลู ผ้ปู ่วยในโรงพยาบาลโพธาราม ตัง้ แตเ่ ดอื นพฤษภาคมถึงกรกฎาคม จานวน 200 ราย ทว่ี ินจิ ฉัยเปน็

ผู้ป่วยโควดิ -19 ในกล่มุ ท่ีไม่มอี าการหรอื ที่มอี าการไม่รุนแรง ได้รับยาฟ้าทะลายโจร 350 มก. (บ.แก้วมังกร) รับประทาน
ครั้งละ 4 แคปซูล วันละ 4 คร้ัง ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน ติดตามด้วยแบบประเมิน COVID-19 Symptoms Score
ซ่งึ ประกอบด้วย 12 อาการ ไดแ้ ก่ อาการไข้ อาการไอ อาการเจ็บคอ มีน้ามูก หายใจเหนื่อย จมูกไม่ได้กล่ิน ลิ้นไม่รับรส
ตาแดง ผนื่ ถ่ายเหลว ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเน้อื แต่ละอาการมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยการเปรียบเทียบ
แตล่ ะอาการ ในวันวนั ท่ี 1 และวันที่ 6 วิเคราะห์ข้อมูลก่อนหลังการรักษาโดยใช้สถิติ Paired t-test กาหนดค่าระดับ
ความมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ี p-value < 0.01

ผลการดาเนินการ
ผู้ป่วยเพศหญิง 100 ราย(50%) เพศชาย 100 ราย(50%) การประเมินด้วยแบบประเมิน COVID-19

Symptoms Score เฉล่ียเปรียบเทียบก่อนและหลังรับประทานยาฟ้าทะลายโจร 350 มก. ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน
เท่ากับ 17.19 และ 4.49

ตารางแสดง เปรียบเทียบคะแนนเฉลย่ี COVID-19 Symptoms Score วนั ท่ี 1 และ 6

3 ไอ นา้ มูก เจ็บคอ เหนื่อย การได้ การรับรส ตาแดง ผน่ื ถา่ ยเหลว ปวดศรี ษะ ปวด
2 กล่นิ กลา้ มเนื้อ
1
0 2.44 0.84 1.52 1.25 2.73 1.6 0.18 0.18 0.68 2.1 1.7

ไข้ 0.96 0.1 0.12 0.54 1.2 0.48 0.01 0.03 0.13 0.32 0.43

Day 1 1.98

Day 6 0.17

Day 1 Day 6

Mean Std. t Sig.

Deviation (2-tailed)

ไข้ 1 – ไข้ 6 1.806 2.956 9.306 0.000

ไอ 1 – ไอ 6 1.478 2.488 9.051 0.000 3.5

นา้ มูก 1 – นา้ มูก 6 0.737 1.883 5.962 0.000 76.5
Mild covid-19
เจ็บคอ 1 – เจ็บคอ 6 1.401 2.716 7.857 0.000

เหนอ่ื ย 1 – เหนอื่ ย 6 0.711 2.188 4.952 0.000

การไดก้ ลนิ่ 1 – การได้กลน่ิ 6 1.530 3.606 6.463 0.000

การรบั รส 1 – การรับรส 6 1.121 3.031 5.631 0.000

ตาแดง 1 – ตาแดง 6 0.168 0.963 2.657 0.008

ผนื่ 1 – ผนื่ 6 0.151 1.036 2.219 0.027

ถ่ายเหลว 1 – ถ่ายเหลว 6 0.547 1.432 5.824 0.000

ปวดศรี ษะ 1 – ปวดศรี ษะ 6 1.776 2.888 9.367 0.000

ปวดกล้ามเนอื้ 1 – ปวดกล้ามเนอ้ื 6 1.272 2.818 6.874 0.000

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

69
สรปุ ผลการศกึ ษาและอภิปรายผล

จากการศึกษาเพื่อเปรยี บเทียบประสทิ ธิผลการใช้ยาฟา้ ทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มที่ไม่มีอาการและ
ที่มีอาการไม่รนุ แรง ระหวา่ งวนั ที่ 1 และ 6 พบว่ายาฟ้าทะลายโจรสามารถลดอาการทางคลินิกได้ ดังน้ี อาการไข้
อาการไอ มนี ้ามกู อาการเจ็บคอ หอบเหนื่อย การได้กลิ่น การรับรส ตาแดง ถ่ายเหลว ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อ
ลดลง อย่างนยั สาคัญ (0.000) ยกเว้นอาการผ่ืน ลดลงอย่างไม่มีสาคัญ (0.027) โดยกาหนดค่านัยสาคัญทางสถิติ
ไว้ที่ 0.01

จากการศกึ ษาอตั ราการเกิดภาวะปอดอักเสบ ระหว่างการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มที่
ไม่มีอาการและทม่ี ีอาการไม่รนุ แรง พบวา่ อตั ราผ้ปู ่วยโรคโควิด-19 ท่ีใช้ยาฟ้าทะลายโจรแล้วมีภาวะปอดอักเสบ
มรี ้อยละ 3.5

จากการศึกษา ผู้วิจัยพบว่ายาฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาอาการทางคลินิกได้ สอดคล้องกับสรรพคุณ
ยาฟา้ ทะลายโจรว่าสามารถบรรเทาความรุนแรงอาการในกลุ่มทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น บรรเทาอาการไข้ บรรเทา
อาการไอ บรรเทาเจ็บคอได้ ในมุมมองผู้วิจัยโรคโควิด-19 เป็นโรคท่ีมีอาการในทางเดินหายใจส่วนต้นเช่นกัน แต่
ในส่วนของอาการผ่ืน ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ เน่ืองจากยาฟ้าทะลายโจรไม่มีผลการรักษาในอาการผ่ืน ผู้วิจัยเห็นว่า
หากคนไข้มีผืน่ ควรจา่ ยยาสมุนไพรตารับอ่ืนร่วมด้วย และนอกจากน้ียังพบว่ายาฟ้าทะลายโจรช่วยลดความรุนแรง
ที่เกิดข้ึน โดยอัตราผู้ปว่ ยท่ใี ช้ฟา้ ทะลายโจรแลว้ เกดิ ปอดอักเสบ ร้อยละ 3.5 เท่านั้น สอดคล้องกับผลการศึกษา
ของกรมแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ท่ีว่าการให้ยาฟ้าทะลายโจรสามารถลดโอกาสการเกิดปอดอักเสบ
ได้ 94.3 %
ขอ้ เสนอแนะ

1. งานวิจัยนี้ประเมินอาการจากแบบสอบถาม หากมีการศึกษางานวิจัยครั้งถัดไป ผู้วิจัยเห็นว่าควรมี
การศึกษาขอ้ มูลทางคลินกิ เพิ่มเตมิ เช่น การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร การถา่ ยภาพด้วยรงั สีเอกซ์ เพื่อให้งานวิจัย
มคี วามนา่ เชือ่ ถือมากขึน้

2. ควรมกี ารศึกษาระยะปลอดภยั ในการใช้ยาฟ้าทะลายโจรรว่ มด้วย

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

70
เรอ่ื ง การศึกษาผลการปอ้ งกันการเกดิ ภาวะ Post Covid โดยการใช้ศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ในผปู้ ว่ ย COVID-19 โรงพยาบาลอทู่ อง จังหวดั สุพรรณบรุ ี

นางสาวพิมพช์ นก ลมิ้ สกลุ แพทย์แผนไทยปฏบิ ตั ิการ
นางสาวดลิชา ชั่งสิรพิ ร เภสชั กรชานาญการ

กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก โรงพยาบาลอทู่ อง

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
จากการแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ณ ปัจจุบัน ท่ัวโลกมีผู้ติดเช้ือรวม 408,797,977 ราย

(WHO) ในประเทศไทยมีผู้ติดเช้ือ 2,577,445 ราย(ศูนย์บริการสถานการณ์โควิด-19) การระบาดของโรคน้ี เริ่มข้ึน
เม่ือธันวาคม 2562 พบครั้งแรกในนครอู่ฮั่น ประเทศจีน สาเหตุจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ช่ือ SARS-CoV-2 ซ่ึงไวรัส
ชนดิ น้ี สามารถแพร่เชื้อจากคนไปสู่คนเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ จะติดเช้ือผ่านละอองเสมหะจากการไอ หรือการ
สมั ผัสเชอ้ื ตามสง่ิ ของท่ีผู้ตดิ เช้อื สมั ผัสไวแ้ ลว้ นาเชือ้ เข้าสู่จมูก ตาหรือปาก ระยะการฟกั ตวั ของโรคอยู่ที่ 2-14 วัน
อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้ ไอ หายใจลาบาก การรับรสและกลิ่นผิดปกติ มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม และ
กลมุ่ อาการหายใจลาบากเฉยี บพลัน เม่ือพบผู้ติดเชอื้ จะนาตัวเขา้ ไปรกั ษาในโรงพยาบาล หรือศูนย์ดูแลผู้ป่วยในชุมชน
ทาการรักษาและกกั ตัวครบ 14 วัน แลว้ ใหผ้ ้ปู ว่ ยกลบั ไปพักฟน้ื ต่อที่บา้ น

หลงั จากผูป้ ่วยออกจากโรงพยาบาล ไปพักฟ้ืน อาจพบอาการหลงเหลือ เรียกว่า ภาวะ Post Covid เป็นภาวะ
ทเี่ กิดหลังจากมีการติดเชื้อ 1-3 เดือนข้ึนไป พบได้ร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
แตใ่ นผ้ปู ่วยทมี่ ีอาการเล็กนอ้ ย หรือไม่แสดงอาการ ก็พบได้เช่นกัน โดยพบภาวะ Post Covid ในผู้ป่วยนอกประมาณ 35 %
และผู้ป่วยในประมาณ 87% อาการที่พบมากท่ีสุด คือ อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หายใจลาบาก หายใจ
ไม่อ่มิ การรบั รส และการรบั กลน่ิ เปลี่ยนไป เจ็บหนา้ อก ปวดตามขอ้ ไอ ท้องร่วง กล้ามเน้ืออ่อนแรง และนอนไม่หลับ
(ศนู ย์บริการสถานการณโ์ ควิด-19)

ในจงั หวดั สุพรรณบุรี พบผู้ติดเช้ือจานวน 18,252 ราย (ศูนย์ปฏิบัติการฯ COVID-19 จังหวัดสุพรรณบุรี)
โดยโรงพยาบาลอู่ทอง ไดเ้ ปดิ ให้การรกั ษาผ้ปู ว่ ยที่ตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา2019 แบบผู้ป่วยในตั้งแต่เดือน เมษายน พ.ศ. 2564
ถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยรวม 7,464 ราย (ณ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2565) จากการ ติดตามรวบรวมข้อมูล พบว่าผู้ป่วยบางส่วนยังคง
มอี าการท่ีจะทาใหเ้ กดิ ภาวะ Post Covid ได้ ซ่งึ ในทางศาสตร์การแพทย์แผนไทย ภาวะ Post Covid สามารถป้องกัน
และรกั ษาไดด้ ้วยการปรับสมดุลธาตใุ นร่างกายของผปู้ ว่ ยให้กลับสู่สมดลเป็นปกติ เพ่ือให้ผู้ป่วยมีสุขภาวะที่ดีดังเดิม
โดยการใชย้ าสมุนไพรต่างๆ อาทิเช่น ยาเบญจกลู ยาตรีผลา ยาปราบชมพูทวปี ยาแก้ไอมะขามปอ้ ม เปน็ ตน้

ผู้วิจัย จึงมีความสนใจรวบรวมข้อมูล ติดตามผลจากการใช้ศาสตร์การแพทย์แผนไทย และยาสมุนไพร
ในการรักษา ป้องกนั การเกิดภาวะ Post Covid เพอื่ ใหผ้ ู้ป่วยมีอาการดขี น้ึ รวมถงึ เพือ่ เพมิ่ ความเชือ่ ม่ันใหแ้ กบ่ คุ ลากร
ทางการแพทยแ์ ละประชาชนในการเลอื กใช้ศาสตร์การแพทยแ์ ผนไทยและยาสมนุ ไพรเพ่ือดแู ลสขุ ภาพต่อไป

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

71

วัตถปุ ระสงค์
1. เพอ่ื ปอ้ งกนั การเกดิ ภาวะ Post Covid โดยการใช้ศาสตรก์ ารแพทยแ์ ผนไทย ในผปู้ ่วย Covid-19
2. เพอ่ื เพม่ิ ความเชื่อมน่ั ใหแ้ ก่บุคลากรทางการแพทยแ์ ละประชาชนในการเลือกใช้ศาสตร์การแพทย์แผนไทย

และยาสมนุ ไพรในการดูแลสขุ ภาพ

วธิ ีดาเนนิ การ

รปู แบบการศึกษา (Case Study)

5.1 ประชากร คือ ผู้ป่วย Covid-19 รักษาท่ีโรงพยาบาลอู่ทอง ระหว่างตุลาคม 2564 ถึงกุมภาพันธ์ 2565

จานวน 696 ราย กลุ่มตัวอย่าง คอื ผูป้ ว่ ย Covid-19 ที่มีอาการหลงเหลือและได้รับยาสมุนไพรไปรกั ษาต่อ 47 ราย

5.2 การเลอื กกลุ่มตัวอย่าง เลอื กแบบเจาะจง จากผปู้ ว่ ย Covid-19 ที่ตรงตามเกณฑ์การรบั เขา้ โครงการ

5.3 เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการศึกษา คอื แบบเก็บข้อมูล ผลการรักษาอาการที่นาไปสภู่ าวะ Post Covid (Before–After)

5.4 การวิเคราะห์ขอ้ มลู ใชค้ า่ ร้อยละวิเคราะห์คุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง และผลจากการรักษา โดย

การเปรียบเทียบอาการ ก่อน – หลัง จากใช้ยาสมนุ ไพร ครบ 14 วนั

ผลการดาเนินการ

จากการรวบรวมผลการใช้ยาสมุนไพรต่อเน่ือง 14 วัน เพ่ือรักษาอาการและป้องกันภาวะ Post Covid

ในผู้ป่วยจานวน 47 ราย เป็นผู้หญิงร้อยละ 65.96 ผู้ชายร้อยละ 34.04 และช่วงอายุอยู่ในช่วงปัจฉิมวัยมากที่สุด

รอ้ ยละ 76.6

ตาราง แสดงผลการรักษาอาการที่นาไปสภู่ าวะ Post Covid หลังการใชย้ าสมุนไพร 14 วนั (N = 47)

รอ้ ยละ ติดตามผล 7 วนั ติดตามผล 14 วัน

อาการ จาก ดี รอ้ ยละ คง ร้อย แย่ รอ้ ย ดขี ึ้น รอ้ ยละ คง รอ้ ยละ
N = 47 ขน้ึ เดมิ ละ ลง ละ เดมิ

1. เหนอ่ื ยงา่ ย หายใจไมอ่ ิม่

ออ่ นเพลีย ใจส่ัน แน่นหน้าอก 7 14.58 7 100.00 0 0.00 0 0 7 100.00 0 0.00

2. ปวดเมือ่ ยตามตัว ปวดตามขอ้

กลา้ มเน้อื ไมม่ แี รง 4 8.33 4 100.00 0 0.00 0 0 4 100.00 0 0.00

3. ไอเร้อื รัง 28 58.33 26 92.86 2 7.14 0 0 27 100.00 1 0.00

4. การรบั รสและไดก้ ลน่ิ ผดิ ปกติ 6 12.5 5 83.33 1 16.67 0 0 6 100.00 0 0.00

5. ปวดศีรษะ มึนศีรษะ 4 8.33 4 100.00 0 0.00 0 0 4 100.00 0 0.00

6. นอนไม่หลับ 7 14.58 7 100.00 0 0.00 0 0 7 100.00 0 0.00

7. ท้องเสีย 3 6.25 3 100.00 0 0.00 0 0 3 100.00 0 0.00

8. ทอ้ งอดื 2 4.17 2 100.00 0 0.00 0 0 2 100.00 0 0.00

รวม 61 58 95.08 3 4.92 0 0 60 98.36 1 1.64

จากตาราง พบว่าผปู้ ว่ ย Covid-19 ท่รี กั ษาตวั ครบตามกาหนดแลว้ แตย่ ังมอี าการต่างๆหลงเหลืออยู่ อาจนาไปสู่
การเกดิ ภาวะ Post Covid ได้แก่ อาการ ไอเร้ือรัง (58.33%) พบมากท่ีสุด และ อาการ เหนื่อยง่าย หายใจไม่อ่ิม
อ่อนเพลีย ใจสั่น แน่นหน้าอก (14.58%) นอนไม่หลับ (14.58%) การรับรสและได้กล่ินผิดปกติ (12.5%) ปวดเมื่อย

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

72
ตามตัว ปวดตามข้อ กล้ามเนื้อไม่มีแรง (8.33%) ปวดศีรษะ มึนศีรษะ (8.33%) ท้องเสีย (6.25%) ท้องอืด (4.17%)
ตามลาดับ เม่ือให้ผู้ป่วยทานยาสมุนไพรรักษาอาการครบ 14 วัน พบว่าอาการต่างๆหายหรือดีขึ้น ถึง 98.36%
มอี าการไอเรื้อรงั ที่หลงเหลอื อยู่ 1 ราย (1.64%)
อภปิ รายผล

การศกึ ษาครง้ั น้ี เปน็ การติดตามผลการใช้ยาสมุนไพรรักษาอาการต่างๆท่ีหลงเหลืออยู่ในผู้ป่วย Covid-19
หลังส้ินสดุ การรกั ษาทโี่ รงพยาบาล อาการเหล่าน้หี ากไม่ได้รักษาอาจทาให้เกิดภาวะ Post Covid ท่ีจะเป็นปัญหา
สุขภาพต่อไป เชน่ อาการไอเรือ้ รัง เหนอื่ ยง่าย หายใจไม่อ่มิ อ่อนเพลยี ใจสนั่ แนน่ หนา้ อก นอนไม่หลบั การรับรสและ
ไดก้ ลน่ิ ผิดปกติ ปวดเม่ือยตัว ปวดข้อ กล้ามเน้ือไม่มีแรง ปวดศีรษะ มึนศีรษะ เป็นต้น ซ่ึงยาสมุนไพรท่ีใช้อยู่ใน
บญั ชียาหลกั แหง่ ชาติ มคี วามปลอดภัยและใช้ได้ผลผลิตจากโรงพยาบาลอู่ทอง (ที่ผ่าน GMP) ซ่ึงการใช้ยาสมุนไพร
เหล่านี้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาภาวะ Post Covid/Long Covid ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์
ทางเลือก ได้แก่ การใช้ยาตรีผลา ยาปราบชมพูทวีป ยาแก้ไอมะขามป้อม ท่ีช่วยเพ่ิมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ยามีฤทธ์ิ Antioxidant แกไ้ อ ขบั เสมหะ ใช้ยาเบญจกูล เพ่ือปรับสมดุลธาตุต่างๆในร่างกายให้กลับสู่สมดุล ลดอาการ
นอนไม่หลับ การรับรสและได้กลิ่นผิดปกติ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นต้น ซ่ึงผลจากการรักษาด้วยยาสมุนไพรต่อเนื่อง
14 วนั พบว่าผู้ป่วย Covid-19 ทีม่ อี าการต่างๆหลงเหลืออยู่ มีอาการดีขึน้ ถึง 98.36%
สรุปและข้อเสนอแนะ

จากการศึกษา สรปุ ได้ว่าการใช้ยาสมุนไพรต่างๆ เพื่อรักษาและปรับสมดุลธาตุภายในร่างกายให้กลับสู่
สมดุลเป็นปกติ ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย เช่น ยาเบญจกูล ยาตรีผลา ยาปราบชมพูทวีป จะช่วยรักษาและ
ฟ้ืนฟูสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยโรค Covid-19 ให้ดีขึ้นได้ รวมถึงช่วยป้องกันการเกิดภาวะ Post Covid ได้จริง

ในการศกึ ษาคร้งั นี้ ผปู้ ่วยท่ีใช้ในการศกึ ษามปี รมิ าณน้อย เพียง 47 ราย และติดตามผลในระยะสั้นแค่ 14 วัน
ซง่ึ ภาวะ Post Covid ผู้ปว่ ยจะมีอาการต่างๆนานประมาณ 1-3 เดือน ดังนั้น ในการศึกษาคร้ังต่อไป แนะนาให้ทาการศึกษา
ในผูป้ ว่ ย Covid-19 จานวนมากขึ้น และตดิ ตามผลเป็นเวลานานกว่าน้ี เพื่อให้ผลการศึกษาน่าเชื่อถือ และเป็นที่
ยอมรับมากข้นึ

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

73

เรื่อง การบรู ณาการองค์ความรูใ้ นคัมภีรแ์ พทยแ์ ผนไทยร่วมรกั ษาโรคโควิด-19
โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบรุ ี

นางสาวสุดารตั น์ เกยี รตพิ ฒั นกลุ แพทย์แผนไทยปฏิบัติการ
และกลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก โรงพยาบาลโพธาราม

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา
ปัญหาการแพรร่ ะบาดของโรคติดเช้ือโรคโควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่ ท่ีทุกประเทศท่ัวโลกกาลังเผชิญอยู่

ปัจจบุ นั ทัว่ โลกมีผู้ติดเช้ือรวม 460,150,698 ราย สาหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันท่ี 15 มีนาคม 2565 มีผู้ติดเชื้อ
รวม 3,226,697 ราย (ศนู ยบ์ ริหารสถานการณ์โควิด-19) ซ่งึ กลไกการแพร่กระจายเช้ือโรคโควิด-19 เกิดจากคน
ไปสู่คน โดยผา่ นทางฝอยละอองสารคดั หล่งั จากการไอหรอื จาม อาการแสดงเมื่อได้รับเช้ือโควิดท่ีพบบ่อย ได้แก่
อาการไข้ ไอ เหนื่อย/อ่อนเพลีย หายใจขัด จมูกไม่ได้กลิ่น ล้ินไม่รับรส คัดจมูก ตาแดงอักเสบ เจ็บคอ ปวดศีรษะ
ปวดกล้ามเน้อื ผ่ืน คลื่นไส้ อาเจยี น ท้องเสยี หนาวสัน่ เปน็ ต้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสท่ีได้รับการขึ้นทะเบียน
ให้ใช้รักษาโรคโควดิ -19 (WHO, 2564)

จากคมั ภีร์ตกั ศลิ าไดก้ ลา่ วถงึ อาการของโรค ความวา่ “อันว่าคนไข้ทง้ั หลาย ใด เม่ือเป็นไข้น้ันช่ือว่าหวัดใหญ่
ให้จับสะบัดร้อนสะท้านหนาว ให้ปวดศีรษะ กินข้าวไม่ได้ ให้ไอจาม น้ามูกตกเป็นกาลัง ให้ตัวร้อน ให้อาเจียน
ให้ปากแหง้ เพดานแห้ง จมูกแห้ง ปากเปร้ียว ปากขม กินข้าวไม่ได้ แล้วแปรเป็นไอเป็นกาลัง แลทาพิษคอแห้ง
ปากแหง้ เพดานแห้ง จมกู แหง้ นา้ มกู แห้งไม่มี บางทีกระทาน้ามูกไหล” และ “ทีน้ีจะแสดงซึ่งไข้กาเดาใหญ่นั้น ต่อไป
มอี าการนัน้ ใหป้ วดศรี ษะเปน็ กาลัง ให้จักษแุ ดง ให้ตัวรอ้ นเป็นเปลว ให้ไอ ให้สะบัดรอนสะท้านหนาว ให้ปากแห้ง
คอแหง้ เพดานแห้ง ฟันแหง้ ใหเ้ ช่ือมใหม้ ัว ใหเ้ มื่อยไปทง้ั ตวั จับสะบดั รอ้ นสะท้านหนาวไม่เป็นเวลา บางทีผุดขึ้น
เปน็ เม็ดเทา่ ยงุ กดั ทัง้ ตัว แต่เม็ดยอดไม่มี บางทีให้ไอเป็นโลหิตออกมาทางจมูกทางปาก บางทีให้ชักมือกาเท้ากา”
(ตาราการแพทย์ไทยเดิม เล่มท่ี 1 , 2550, น.354-355) ในการรักษาโรคดังกล่าว จากคัมภีร์ตักศิลามีการใช้ตารับ
ยาแก้วหา้ ดวง (ยาหา้ ราก) เพื่อกระทุ้งพิษไข้ ใช้ตารับยาจันทลีลา เพ่ือล้อม รักษาอาการไข้ จากคัมภีร์ธาตุวิภังค์
มกี ารใช้ยาสงิ ฆนิกา เพื่อรักษาอาการทางธาตุน้า (ศอเสมหะ) และตารับยาหลวงปู่ศุข น้ากระสายขนานที่ 14 เพ่ือ
รักษาโรคหดื หอบ (อาการทางปอดตา่ ง ๆ)

จะเหน็ วา่ อาการแสดงของโรคโควดิ -19 มคี วามคล้ายกันกับโรคในคัมภีร์ตักศิลา ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วย
ยาสมุนไพร ประกอบกับนโยบายกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ส่งเสริมให้มีการใช้ยาสมุนไพร
มากข้ึน ดังนน้ั กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลโพธาราม จึงได้บูรณาการองค์ความรู้
ในคัมภรี ์ตักศลิ า คมั ภรี ์ธาตุวภิ ังค์และตารับยาสมุนไพรหลวงปู่ศุข นายาสมุนไพรมาใช้ร่วมรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
เพ่อื ให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพในการรักษาโรคย่งิ ข้นึ

วัตถุประสงค์
1. เพือ่ บรู ณาการองค์ความรู้ในคัมภรี ์แพทยแ์ ผนไทยร่วมรักษาโรคโควิด-19
2. เพอ่ื เพิ่มประสทิ ธภิ าพในการรกั ษาโรคโควดิ -19

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

74

วิธีดาเนินงาน
จากการร่วมดูแลผ้ปู ่วยโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดอื นสงิ หาคม 2564 จนถึงเดอื นธนั วาคม 2564 เป็นจานวน

256 ราย ทุกรายไดร้ ับการ consult จากแพทย์แผนปจั จบุ ัน คัดเลอื กโดยการสุ่มเป็นรายเดือน (ในเดือนกันยายน
2564 และเดือนพฤศจิกายน 2564) เป็นจานวน 112 ราย โดยเก็บข้อมูลประเมินอาการด้วย อาการไข้, O2 sat,
การให้ O2, ผล X-ray ปอดและติดตามด้วยแบบประเมิน COVID-19 Symptoms Score 12 อาการ โดยแบ่งเป็น
3 กลมุ่ อาการ ไดแ้ ก่ กลมุ่ อาการทางปติ ตะ ได้แก่ ไข้ เจบ็ คอ ตาแดง ผื่น ปวดศีรษะ กลุ่มอาการวาตะ ได้แก่ การได้กลิ่น
การรบั รส เหน่อื ย ปวดกลา้ มเน้อื กลมุ่ อาการทางเสมหะ ไดแ้ ก่ ไอ มนี ้ามูก ถา่ ยเหลว แตล่ ะอาการมีคะแนนเต็ม
10 คะแนน คะแนนรวม 120 คะแนน เปรยี บเทียบคะแนนรวม ในวันที่ 1 และวันท่ี 7 โดยวิเคราะห์ข้อมูลก่อนหลัง
การรักษาโดยใชส้ ถิติ Paired t-test กาหนดค่าระดับความมนี ยั สาคัญทางสถิติที่ p-value < 0.001 และประเมิน
อาการดีขน้ึ หลังได้รับยาตารับสมนุ ไพรเป็นจานวนวนั

ผลการดาเนนิ การ
จากการศกึ ษาพบวา่ ผู้ป่วยอยูใ่ นชว่ งอายุ 15-84 ปี เปน็ เพศชาย 44 ราย (39.29%) เพศหญิง 68 ราย (60.71%)

มโี รคประจาตัว 56 ราย (50%) ไม่มโี รคประจาตัว 56 ราย (50%) ไดร้ ับการวินิจฉัยเป็น Mild symptomatic covid-19
จานวน 18 ราย (16.07%) และ covid-19 pneumonia จานวน 94 ราย (83.93) การประเมินอาการด้วยแบบประเมิน
COVID-19 Symptoms Score 12 อาการ เฉล่ียเปรียบเทียบก่อนและหลังการรักษาด้วยตารับยาสมุนไพรร่วมกับ
favipiravir เท่ากบั 15.86 และ 1.21 คะแนน ลดลงอยา่ งนัยสาคญั (p=0.000)
ตาราง แสดงคะแนนเฉลี่ยอาการกลมุ่ ปติ ตะ วาตะ เสมหะ

คะแนนเฉลย่ี อาการกล่มุ ปิตตะ วาตะ เสมหะ คะแนนเฉลย่ี อาการกลุ่มปติ ตะ วาตะ เสมหะ
ในกล่มุ Mild symptomatic covid-19 ในกลุ่ม covid-19 pneumonia

20 14.53 20 15.86

15 9.61 0.53 15 2.8
0.38 รวม รวม
10 10 8.78 4.6
0.82 0.25
5 0.76 0 4.15 5 2.52
0 0.15 0.14

ปิตตะ วาตะ เสมหะ 0 วาตะ เสมหะ
Day 1 Day 6 ปิตตะ Day 1 Day 6

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

75

ตาราง แสดงผลการรักษาอาการด้วยตารบั ยาสมนุ ไพร

กลมุ่ ผูป้ ว่ ย รายละเอยี ด จานวน รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี จานวนวนั
(ราย) ท่อี าการดีขึ้น

Mild symptomatic ใช้ตารับสมนุ ไพรอย่างเดียว 13 72.2 4.07
covid-19 ใชต้ ารบั สมนุ ไพรร่วมกบั favipiravir
ใชต้ ารบั สมนุ ไพรรว่ มกบั favipiravir 5 27.77 4.22
Covid-19 ในวนั เดียวกัน
pneumonia ใช้ตารบั สมนุ ไพรรว่ มกบั favipiravir 15 15.95 4
ในชว่ ง 2-5 วนั
ใช้ตารบั สมนุ ไพรหลงั จากได้ยา favipiravir 65 69.10 4.20
มากกว่า 5 วัน
ได้รับยาสมุนไพรหลงั มีอาการ (DOI) 14 14.89 4.14
ภายใน 7 วัน
ไดร้ ับยาสมุนไพรหลงั มีอาการ (DOI) 82 87.23 4.19
เกนิ 7 วนั
12 12.76 4.25

อภปิ รายผล
จากการการศกึ ษาผลของการใช้ยาตารับสมุนไพรต่อการร่วมรักษาโรคโควิด19 โรงพยาบาลโพธาราม พบว่า

สามารถทาใหผ้ ู้ป่วยมีอาการลดลงในชว่ ง 4 วัน หลงั ได้รบั ยาทัง้ ในผู้ปว่ ยท่ีมกี ล่มุ อาการไมร่ ุนแรง (Mild symptomatic
covid-19) และผู้ป่วยที่มีอาการติดเช้ือลงปอด (covid-19 pneumonia) โดยผู้ป่วยที่ได้รับยาสมุนไพรในช่วง
ระยะแรกของการมอี าการกจ็ ะทาใหก้ ารรักษาไดผ้ ลดยี ่งิ ข้นึ

ดงั น้นั ทีมผูว้ ิจยั เสนอทางเลือกให้เป็นแนวทางในการนายาตารับสมุนไพรนี้ ไปร่วมใช้ในการรักษาผู้ป่วย
Covid-19 ซึ่งผลทไี่ ด้จะสง่ เสริมการรักษาร่วมกบั แผนปัจจบุ นั ได้ในระดบั ทีด่ ีต่อไป

ขอ้ เสนอแนะ
1. ควรส่งเสรมิ ให้บคุ ลากรทางการแพทยม์ ีความรู้และความเข้าใจผลของการใช้ยาสมุนไพรไทย เช่น เม่ือผู้ป่วย

หลังได้รับยาสมุนไพรแล้วมีอาการขับถ่ายอุจจาระเหลว แสดงว่ากาลังเกิดกระบวนการระบายพิษของเสียออกจาก
ร่างกาย จะทาใหอ้ าการของผู้ป่วยดขี น้ึ

2. ควรให้ข้อมูลที่ถูกตอ้ งเก่ยี วกับการใชส้ มุนไพร ทาให้ผู้ป่วยยอมรับการรักษาและปฏิบัติตามคาแนะนา
อยา่ งเคร่งครดั

3. ควรมกี ารบนั ทึกขอ้ มูลและอาการเปลยี่ นแปลงของผู้ป่วยดว้ ย COVID-19 Symptoms Score

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

76

เรอื่ ง ผ้ายาง ๓ มิติ (ประหยัด ปลอดภยั ภูมิใจ)

นางสาวยุพยง ประเสรฐิ ลาภ แพทย์แผนไทยปฏิบัตกิ าร
และคณะ หน่วยงานแพทยแ์ ผนไทย โรงพยาบาลมะการักษ์
ที่ปรึกษา :
1. พญ.ศิริรัตน์ วรรณศิริ แพทย์อายุรกรรมชานาญการพิเศษ
2. นางนรศิ า จันทร์ทอง พยาบาลวชิ าชีพชานาญการพิเศษ
3. นางสาวอชิรญา เอกจติ ร พยาบาลวชิ าชีพชานาญการ

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา

สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019( Coronavirus Disease 2019 :

COVID-19 ) ส่งผลใหเ้ กดิ การเจบ็ ปว่ ยและการดาเนนิ ชีวิตที่ลาบากของประชาชนท่ัวโลก ท้ังในด้านธุรกิจต้องชะลอ

หรือปดิ กจิ การลง ประชาชนเกดิ ความตน่ื ตระหนก ทาใหห้ นว่ ยงานทุกภาคส่วนตอ้ งเตรยี มความพรอ้ มและปรบั เปลี่ยน

วถิ ีการดารงชวี ิตประจาวัน รปู แบบการทางาน เพ่อื ป้องกันการแพร่ระบาดของเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019

สาหรับการให้บริการรักษาผู้ป่วย ด้วยหัตถการทางแพทย์แผยไทย ต้องคานึงถึงการป้องกัน และการลด

การแพร่กระจายเชื้ออย่างเคร่งครัด ซึ่งงานแพทย์แผนไทย ได้ปฏิบัติตามมาตรการและแนวปฏิบัติการจัดการทาง

คลินิกดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในสถานบริการสาธารณสุขด้านการคัดกรองด้านบริการ

ดา้ นสถานท่ี อุปกรณ์ เครอื่ งมอื เครอ่ื งใช้ และดา้ นการดแู ลความสะอาด ซึง่ ทาให้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มข้ึนอย่างมาก ดังน้ัน

ทีมงานได้ร่วมกนั ระดมสมองหาวธิ ีการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทีด่ ี แต่ให้คานึงถึงเรื่องต้นทุนทรัพยากร และ

คา่ ใช้จา่ ย ทตี่ ้องใชเ้ พมิ่ ข้นึ จงึ เกิดแนวคิดการใชผ้ า้ ยางซาตินที่มีคุณสมบัติคล้ายผ้าและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

ตอ่ ผู้รับบรกิ ารมาทดแทนการใช้ผ้าปูทน่ี อนแบบเดิม ซ่งึ มีผลเปรยี บเทยี บได้ ดงั น้ี

การปฏิบัติแบบเดมิ (ก่อนสถานการณ)์ การปฏิบัติแบบใหม่ (หลงั สถานการณ์)

1. เปลี่ยนผา้ ปูท่ีนอนทกุ วนั ๆ ละ 1 ครัง้ (15 ผืน/วนั ) ลดการแพร่กระจายเชื้อโดยทาความสะอาดผา้ ยางดว้ ย

นา้ ยาฆ่าเช้ือ (Rely+On Virkon) ทกุ ครงั้ หลังให้บรกิ าร

แต่ละราย

2. ลดตน้ ทนุ ในการเบิกผ้าปทู ีน่ อน ผ้ายางซาติน 20 ผนื ๆละ 180 บาท = 3,600 บาท

เบิกใหม่ 150 ผืนๆละ 670 บาท = 100,500 บาท

3. ลดค่าใช้จา่ ยในการซกั ผา้ ปูท่นี อน น้ายาฆา่ เชื้อ(Rely+On Virkon) ซองละ 14 บาท

ค่าซกั ผา้ 10.19 บาท/กโิ ลกรมั 1 ซอง( 5 กรัม) ผสมนา้ อุ่น 1,000 มิลลลิ ติ ร

ผ้าปูท่นี อนหนกั ผืนละ 1 กิโลกรมั

ผูร้ ับบริการเฉล่ยี วันละ 45 ราย

สรปุ คา่ ซกั ผ้าปูท่นี อน 10.19 x 45 = 458.55 บาท/วนั สรปุ คา่ น้ายาฆ่าเช้อื 14 x 2 = 28 บาท/วนั

อา้ งองิ ตามแนวปฏิบตั กิ ารจัดการทางคลนิ ิกดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก

ต้องเปลี่ยนผ้าปทู ี่นอน ปลอกหมอน ผ้าขวางเตยี ง ทกุ ครั้งหลังให้บริการแต่ละราย

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

77

วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่อื ลดตน้ ทุนการใชท้ รัพยากร และค่าใชจ้ า่ ยให้กบั องค์กร
2. เพอ่ื ให้เจา้ หนา้ ท่แี ละผ้รู ับบริการปลอดภัยจากการแพร่กระจายเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019

ระยะเวลาดาเนนิ การ : กรกฎาคม 2563 ถงึ 31 ธนั วาคม 2563

วัสดุและอุปกรณ์ :
1. ผ้ายางซาตนิ
2. น้ายาฆ่าเชอื้ (Rely+On Virkon)

วิธกี ารทดสอบประสิทธภิ าพและวิธกี ารใชง้ านนวัตกรรม หรือส่งิ ประดษิ ฐ์ :
1. ปรกึ ษาผูช้ านาญการด้านการป้องกันการตดิ เชือ้
2. ชีแ้ จง้ วิธปี ฏบิ ตั กิ ารเปล่ียนผา้ ปูทน่ี อนเปน็ ผา้ ยางซาตนิ และวิธที าความสะอาดผ้ายางให้กับเจ้าหน้าท่ี

ในหน่วยงาน
3. ประเมินผลการใชผ้ า้ ยางซาตนิ กับผ้รู ับบรกิ ารและเจ้าหน้าท่ี

ผลการทดสอบประสิทธิภาพของนวตั กรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ :

1. เจา้ หนา้ ที่ใช้ผ้ายางซาตินปูเตียงนวดแทนผ้าปูท่ีนอนเดิมครบ 100 % ไม่พบการแพร่กระจายเช้ือไม่พบ

อุบตั กิ ารณ์การเกดิ บาดแผล

2. เจา้ หนา้ ทแี่ ละผ้รู บั บรกิ ารมคี วามพงึ พอใจ 100 %

3. ลดตน้ ทุนการจัดหาผ้าปูทนี่ อนและค่าใชจ้ ่ายในการซกั ผ้าปทู ี่นอน

3.1 ลดต้นทนุ การจัดซ้ือผ้าปูท่ีนอน 96,900 บาท

3.2 ลดค่าใช้จ่ายในการซักผ้าปูทีน่ อน 430 บาท/วัน

{กค. – ธค.63 (140 วนั ) ลดคา่ ใช้จ่ายได้ 63,640 บาท}

สรุปอภปิ รายผล/ข้อเสนอแนะ
จากมาตรการและแนวปฏิบตั กิ ารจัดการทางคลินิกด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ใน

สถานบรกิ ารสาธารณสุข สกู่ ารระดมความคิดของทีมงาน เพื่อปรับเปลี่ยนการปฏิบัติงานแนววิถีใหม่ ทีมงานจึง
นาผ้ายางซาตินมาใชแ้ ทนผา้ ปูท่ีนอนแบบเดมิ ทาให้ลดตน้ ทนุ ค่าใชจ้ า่ ย (การจัดหาและค่าใช้จา่ ยในการซกั ผา้ ปูที่นอน)
เจ้าหนา้ ที่และผู้รับบริการปลอดภยั จากการแพร่กระจายเช้ือไวรัสโคโรนา2019 และเพม่ิ ความสวยงาม

การนาผลงานไปใช้ประโยชน์
สามารถปรบั วิธกี ารปฏิบัติงานวิถีใหม่ โดยการใช้ผ้ายางซาตินแทนผ้าปูท่ีนอนแบบเดิมได้อย่างปลอดภัย

พร้อมทัง้ ความพงึ พอใจของทมี งานและผู้รบั บรกิ าร ยงั เกิดความภาคภูมิใจในการเปน็ ตน้ แบบการใช้ผ้ายางซาติน
ใหก้ ับองคก์ รอน่ื

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

78
เรอ่ื ง การศกึ ษาเปรียบเทยี บผลของการรับประทานน้ากระชายกบั นมถว่ั เหลือง
ในผ้ปู ว่ ยโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ในโรงพยาบาลมะการักษ์ จังหวัดกาญจนบุรี ปี 2564

นางสาวศริ ริ ตั น์ วรรณศิริ นายแพทย์ชานาญการพิเศษ
นางสาวพรทพิ ย์ เอกจติ ร แพทยแ์ ผนไทยปฏิบตั กิ าร

นางสาวยพุ ยง ประเสรฐิ ลาภ แพทยแ์ ผนไทยปฏิบัตกิ าร
กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก โรงพยาบาลมะการกั ษ์
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 ที่เมือง Wuhan
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยพบในผู้ปว่ ยที่ถกู นาส่งโรงพยาบาลดว้ ยอาการปอดอักเสบอยา่ งรนุ แรง[1]
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเช้ือไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะพบผู้ป่วยอย่างต่อเน่ือง
เมอ่ื ตดิ เช้อื จะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน innate immunity (cytotoxic T cell) จึงมีการอักเสบรุนแรง ปัจจุบัน
ยังไม่มสี ูตรยามาตรฐานทีร่ ักษาโรคได้[2]
กระชายขาวเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ไดร้ ับการศึกษา พบวา่ สกดั ได้สาร Cardamonin
มฤี ทธิ์ยบั ยั้ง IL-1β, IL-6 และ TNF-α ในหลอดทดลอง และสตั วท์ ดลอง[3,4]
ซึ่งเปน็ สารอกั เสบทม่ี ีความสัมพันธก์ บั อัตราการเสยี ชวี ิต และอวัยวะถูกทาลาย[5]
ผูว้ จิ ัยจงึ จัดทานา้ กระชายสกัดเย็นเปรียบเทียบกบั นมถ่ัวเหลืองในผ้ปู ว่ ยโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วตั ถุประสงค์
เพอื่ ศึกษาผลของนา้ กระชายต่อผปู้ ่วยโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วธิ ดี าเนนิ งาน
โครงการวิจัยน้เี ป็นการศึกษารปู แบบวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่ม ในผู้เข้าร่วมวิจัย 23 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดย
กลมุ่ ท่ี 1 จานวน 12 ราย ได้รบั นา้ กระชายสกัดเย็น กลุ่มที่ 2 จานวน 11 ราย ได้รับนมถ่ัวเหลือง ซ่ึงท้ัง 2 กลุ่ม ให้
รับประทานคร้ังละ 125 ซีซี วันละ 2 คร้ัง ตดิ ต่อกันเปน็ เวลา 14 วัน โดยประเมนิ ผลจากการตรวจพิเศษด้วยชุด
ตรวจวินิจฉัยเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธี RT-PCR (Real Time PCR)[6] โดยในกลุ่มท่ี 1 ตรวจวันที่ 2, 4, 6, 10,
14 และ28 เปรยี บเทียบผลการตรวจกบั กลุ่มท่ี 2 วันท่ี 6 และ14 วิเคราะห์ข้อมูลก่อนหลังการทดลองภายในกลุ่ม
โดยใช้สถติ ิ Paired t-test กาหนดค่าระดับความมีนยั สาคัญทางสถติ ิที่ p-value < 0.05
โครงการนีผ้ ่านการอนุมตั ิจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โรงพยาบาลมะการักษ์ เลขท่ี 3/64
วนั ท่ี 13 พฤษภาคม 2564

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

ผลการดาเนนิ การ 79

ตารางท่ี 1 ขอ้ มลู ท่วั ไปของผ้ปู ว่ ย นมถัว่ เหลอื ง
11
นา้ กระชาย 4 Total
7 23
จานวนผปู้ ่วย (คน) 12 9
18 – 54 14
- เพศชาย (คน) 5 34 18 – 60
38
- เพศหญงิ (คน) 7 18.25 – 33.32
22.10 – Not detected 17.56 – 35.73
ชว่ งอายุ (ปี) 19 – 60 28.15 – Not detected 18.74 – Not detected
21.36 – Not detected
อายเุ ฉล่ยี (ป)ี 42 24.31 ± 5.62
29.17 ± 5.65 26.74
ปริมาณการพบเชอ้ื ชนดิ N gene 35.96 ± 3.87 31.83
35.14
1.ช่วงจานวน 11
9 23
- ก่อน 17.56 – 35.73 8 16
15
- หลงั (6 วัน) 18.74 – Not detected 1
5
- หลัง (14 วัน) 21.36 – Not detected

2.คา่ เฉล่ีย

- ก่อน 29.16 ± 6.30

- หลัง (6 วนั ) 34.48 ± 6.87

- หลงั (14 วัน) 34.32 ± 6.70

ผลการตรวจพบเชือ้ (positive) (คน)

- ก่อน 12

- หลัง (6 วัน) 7

- หลัง (14 วัน) 7

มกี ารใช้ยา favipiravir

(คน) 4

รปู ท่ี 1 เปรียบเทียบผลการตรวจพบเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (positive) ก่อนและหลงั ใช้นา้ กระชายและนม
ถ่วั เหลือง วนั ท่ี 6 และ14 เป็นรอ้ ยละ (p < 0.05)

100%

80%

60%

40% นา้ กระชาย

20% นมถั่วเหลือง

0% 6 14
0

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

80

อภปิ รายผล
การศึกษาคร้ังน้ีแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ากระชายขาวในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)

ให้ผลลดระดับการติดเชื้อได้ ซ่ึงภายในกลุ่มเดียวกันผลก่อนและหลังใช้ลดลงแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
เปรียบเทียบกับกล่มุ ท่ีใชน้ มถว่ั เหลือง ซง่ึ ใหผ้ ลการรักษากอ่ นและหลงั ใช้ไมแ่ ตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
สอดคลอ้ งกับการศึกษาคดั กรองสมุนไพรในการตา้ นไวรสั โคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 โดยเคร่ืองมือสาหรับการวิเคราะห์
ภาพถ่ายด้วยแสงฟลูออเรสเซนต์ (high-content screening by using a fluorescence - based technique) โดย
นาผลติ ภณั ฑธ์ รรมชาติ จานวน 122 ชนดิ มาทดสอบฤทธ์ิตา้ นไวรสั โคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 เบ้ืองต้น พบว่ามีผลิตภัณฑ์
ธรรมชาติ 6 ชนิด จากสามสมุนไพร คือ สารสกัดกระชาย, สารสกัดขิง, สารสกัดฟ้าทะลายโจร, สารแพนดูราตินเอ
(จากกระชาย), 6-จิงเจอรอล (จากขิง) และสารแอนโดกราโฟไลด์ (จากฟ้าทะลายโจร) ในบรรดาสมุนไพรทั้งสามชนิด
กระชายและสารแพนดู-ราตนิ เอ มีฤทธิ์ตา้ นไวรัสดีทสี่ ดุ มีฤทธ์ใิ นการปอ้ งกันไวรัสโคโรนาสายพนั ธุใ์ หม่ 2019 เข้าสูเ่ ซลล์[7]

สรปุ และข้อเสนอแนะ
น้ากระชายขาวแบบสกัดเย็นมีผลต่อการรักษาผู้ป่วยโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งน้ี

ควรลดระยะเวลาการใช้จาก 14 วนั เปน็ 6 วัน กเ็ พยี งพอ เนอ่ื งจากให้ผลไม่แตกต่างกัน ควรเพ่ิมจานวนผู้ร่วมทดลอง
และควรมีการกาหนดระดบั ความรุนแรงของการตรวจพบปริมาณเชื้อในกลุ่มควบคุมในการศึกษาครงั้ ต่อไป
ภาคผนวก
เอกสารอา้ งองิ
1. ปาริชาติ พมุ่ ขจร. โคโรนาไวรสั : มหันตภยั ชวี ภาพจากซารส์ และเมอร์สถึงโควิด-19. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.2563;39(6):595-604.
2. สบื สาย คงแสงดาว. ยาต้านไวรัสท่ีกาลังอยู่ในกระบวนการวิจัยเพื่อใช้รักษาโรค COVID- 19. วารสารกรมการแพทย์.
2563;45(1):5-8.
3. Voon FL, Sulaiman MR, Akhtar MN, Idris MF, Akira A, Perimal EK, et al. Cardamonin (2’,4’-
dihydroxy-6’-methoxychalcone) isolated from Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.Inhibits CFA-
induced rheumatoid arthritis in rats.Eur J Pharmacol. 2560;794:127-34.
4. Ahmad S, Israf DA, Lajis NH, Shaari K, Mohamed H, Wahab AA, et al. Cardamonin, inhibits
pro-inflammatory mediators in activated RAW 264.7 cells and whole blood. Eur J Pharmacol.
2549;538(1):188-94.
5. Catanzaro M, Fagiani F, Racchi M, Corsini E, Govoni S, Lanni C. Immune response in COVID-19:
addressing a pharmacological challenge by targeting pathways triggered by SARS-CoV-2.
Signal Transduct Target Ther. 2563;5(1):84.
6. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย.์ คู่มอื การตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทางห้องปฏิบัติการ
SARS-CoV-2. [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเม่ือวันท่ี 1 เม.ย. 2564]. เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/
viralpneumonia/file/guidelines/G37.pdf.

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

81
7. ธงชัย สุขเศวต, รัชนี จันทร์เกษ, ผกากรอง ขวัญข้าว. High-content screening of Thai medicinal plants
reveals Boesenbergia rotunda extract and its component Panduratin A as anti-SARS-CoV-2 agents.
วารสารการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. 2563;18(2):446-450

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

82
เรอ่ื ง ประสิทธผิ ลของการนวดรักษาแบบราชสานกั และการพอกยาสมุนไพรในผู้ปว่ ย

โรคลมปลายปตั คาตนิว้ มือ (น้วิ ลอ็ ก) โรงพยาบาลนครปฐม ปี 2563

นางสาวเกียรตสิ ุดา เชอ้ื สพุ รรณ แพทย์แผนไทยชานาญการ
กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก โรงพยาบาลนครปฐม

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
โรคนว้ิ ล็อก เป็นโรคเส้นเอ็นอกั เสบแบบน้ิวไกปนื (Trigger finger) ทีเ่ รียกกนั หลายชอื่ เชน่ น้ิวล็อก น้ิวไกปืน

เอ็นนิ้วมอื ฯลฯ เกดิ ข้นึ ไดก้ ับทกุ นิ้วแต่ทพี่ บบอ่ ยคือ น้วิ นาง นว้ิ กลาง และนิ้วหัวแม่มือ และตาแหน่งที่เกิดการอักเสบ
คือ บริเวณโคนนิ้วข้างใดข้างหน่ึง หลายคนกาลังมีอาการดังกล่าวและทุกข์ทรมานด้วยอาการนี้มานาน ส่วนใหญ่
มสี าเหตเุ กิดจากการอักเสบของเยื่อหมุ้ เสน้ เอน็ ทงี่ อนิว้ ซ่ึงอย่ทู ี่บริเวณฝา่ มือตรงตาแหนง่ โคนน้วิ ทาใหม้ อี าการเหมือน
นิว้ ล็อก คือ กางมือ งอน้ิวได้ แต่เวลาเหยียดนิ้วออก นิ้วใดนิ้วหน่ึงเกิดติดเหยียดไม่ได้ และจะมีอาการปวดเจ็บมาก
เวลางอนิว้ มอื หรอื กางมอื หรือเหยยี ดนว้ิ ออกไม่สุด มักมีอาการรุนแรงตอนต่ืนนอนตอนเช้า หรืออากาศเย็น ซึ่ง
การอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นน้ิวมือมักเกิดจากแรงกดหรือเสียดสีของเส้นเอ็นซ้าซาก หรือใช้งานฝ่ามือ
มากเกินไป เชน่ การใชม้ อื หยิบจับอุปกรณ์ในการทางานบ้าน ทาสวน ขุดดิน เล่นกีฬา เล่นดนตรี เป็นต้น โรคน้ี
จึงพบบอ่ ยในกลุม่ แมบ่ ้าน ผูท้ ช่ี อบเล่นกีฬา (เช่น กอล์ฟ เทนนิส) หรือเล่นดนตรี (เช่น ไวโอลิน) นอกจากนี้ยังพบ
ในผู้ป่วยท่ีเป็นโรคข้อรูมาตอยด์ เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น (ยิ่งศักดิ์ จิตตะโคตร์, สมเกียรติ ศรไพศาล,
มนตรี มาคะเกศ, 2557, 6-9)

จากการเก็บรายงานการใหบ้ ริการผปู้ ว่ ยของกลุม่ งานการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก โรงพยาบาล
นครปฐม พบว่าในชว่ งปงี บประมาณ 2560 - 2562 พบผปู้ ่วยที่มีอาการโรคลมปลายปัตคาตนิ้วมือหรือน้ิวไกปืน
เข้ารับการรักษา จานวน 87, 98 และ 121 คน ตามลาดับ การทาการรักษาด้วยการนวดและประคบสมุนไพร
ได้ผลดีในด้านการลดอาการปวด และอาการข้อนิ้วมือติดได้ ยังไม่พบว่ามีผู้ป่วยมีอาการแย่ลงหรือปวดมากข้ึน
หลงั เขา้ รับการรกั ษา และจากการให้บริการคลินิกเฉพาะโรคแบบครบวงจร 4 โรค พบว่าการพอกเข่าด้วยสมุนไพร
มีส่วนช่วยใหอ้ าการปวดขอ้ เขา่ ของผู้ปว่ ยลดลงไดม้ ากกว่าการนวดและประคบเพียงอย่างเดียว จึงสนใจนาหัตถการ
พอกยาดว้ ยสมุนไพรมาใชใ้ นผ้ปู ่วยโรคลมปลายปตั คาตนิ้วมอื

วตั ถุประสงค์
1. เพอ่ื ศึกษาการเปล่ียนแปลงของระดับความปวดก่อนและหลังการศึกษาในกลุ่มเดียวกันและระหว่าง

กลมุ่ ของกลุ่มควบคุมที่ได้รับการรกั ษาด้วยการนวดประคบสมุนไร และกลุ่มทดลองท่ีได้รับการรักษานวดการนวด
และพอกยา

2. เพื่อศกึ ษาการเปลี่ยนแปลงของอาการน้ิวมือติดในกลุ่มตัวอย่างท้ังสองกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลัง
การศึกษา

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

83

วธิ ดี าเนินการ
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ทาการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง

จานวน ๔๐ คน แบ่งออกเป็นกลุ่มควบคุมให้ได้รับการรักษาแบบอนุรักษ์ (นวดและประคบ) กลุ่มทดลองให้ได้รับ
การรักษาด้วยการนวดแบบราชสานักและการพอกยาตารับโรงพยาบาลนครปฐม ติดตามประสิทธิผลด้านการลด
ระดับความปวดและการตดิ ของข้อน้ิวมอื

ประชากร คือ กลุ่มผ้รู บั บริการท้งั หมด ของกลุม่ งานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาล
นครปฐม จังหวัดนครปฐม ในชว่ งเดอื น กรกฎาคม – ตุลาคม ปี 2563

กลมุ่ ตวั อย่าง คือ กลุ่มผู้รับบริการที่มีอาการน้ิวล็อก นิ้วติด หรือลมปลายปัตคาตนิ้วมือ ท่ีได้รับการวินิจฉัย
จากแพทยแ์ ผนไทย มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคดั เขา้ รว่ มการศึกษา และสมคั รใจ

เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion Criteria)
1. เพศชาย หรือเพศหญิง
2. อายุ 20 – 60 ปี
3. อาการทีเ่ ปน็ น้วิ ล็อก น้วิ ติด
4. ไม่มีความผดิ ปกติของกระดูกข้อน้วิ มอื
5. ไมม่ ีบาดแผลท่ีบรเิ วณน้ิวมือ ฝ่ามอื และหลงั มือ
6. ไมม่ ปี ระวัติแพส้ มนุ ไพรทีเ่ ป็นส่วนประกอบของยาพอกตารบั โรงพยาบาลนครปฐม
7. ไมม่ ีอาการช้าบวมท่บี ริเวณนวิ้ มือ ฝ่ามือ และหลงั มือ
8. มคี วามสมัครใจทจ่ี ะเข้ารว่ มโครงการและสามารถติดตามอาการได้

เกณฑ์การคดั ออก (Exclusion Criteria)
1. มีอาการข้อนิ้วมือบิดผดิ รปู
2. อยรู่ ะหว่างรับการรักษาอื่นอยู่
3. มีโรคประจาตัวต้องรบั ประทานยาเปน็ ประจา
4. มอี าการแสดงที่อาจทาใหเ้ กดิ อนั ตรายระหวา่ งการรกั ษา

เกณฑ์การใหเ้ ลิกจากการศกึ ษา (Discontinuation Criteria)
1. ไม่สมัครใจเขา้ ร่วมการศกึ ษาตอ่
2. พบอาการข้างเคียงร้ายแรงหลงั ใชย้ าพอกตารบั โรงพยาบาลนครปฐม

เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้และการเก็บรวบรวมข้อมลู
1. แบบซักประวตั ิและตรวจรา่ งกายทางการแพทย์แผนไทย ของกลุ่มงานการแพทยแ์ ผนไทยและ

การแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลนครปฐม
2. มาตรวัดระดับความปวดท่ีวดั ด้วย Visual Rating Scales : VRS กอ่ นและหลงั การรักษา

การวิเคราะห์ข้อมลู และสถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั
การศึกษาครั้งน้ีใชส้ ถติ ิพรรณนา (Descriptive statistic) จานวน คา่ เฉล่ยี รอ้ ยละ และส่วนเบี่ยงเบน

มาตรฐานในการวเิ คราะหข์ ้อมูล เปรยี บเทยี บก่อนและหลงั การศึกษา

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

84

ผลการดาเนินการ
จากการศึกษาพบว่า กอ่ นการรกั ษากลุ่มที่ 1 มีระดับความปวดเฉลี่ย 6.5 คะแนน พบอาการนิ้วติดจานวน 4 คน

หลังไดร้ บั การรักษาด้วยการนวดรักษาแบบราชสานักรว่ มกบั การประคบสมุนไพรครบ 6 คร้ัง นาน 2 สัปดาห์ มีระดับ
ความปวดเฉล่ยี 0.90 คะแนน มกี ลมุ่ ตัวอยา่ งท่หี ายจากอาการปวดจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 35 ของกลุ่มตัวอย่าง
ทั้งหมดในกลุ่มที่ 1 และพบอาการน้ิวติด 0 คน และก่อนการศึกษากลุ่มที่ 2 มีระดับความปวดเฉลี่ย 6.4 คะแนน
พบว่ามอี าการน้ิวติดจานวน 3 คน หลงั การรักษาดว้ ยการนวดแบบราชสานักจานวนและพอกยาสมุนไพรจานวน 6 คร้ัง
มีระดับความปวดเฉล่ีย 0.65 คะแนน มีกลุ่มตัวอย่างหายจากอาการปวดจานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 55 ของ
กลุม่ ตัวอยา่ งท้ังหมดในกลมุ่ ท่ี 2 พบมอี าการน้วิ ตดิ 0 ราย จากการศึกษาครง้ั นี้ สรุปไดว้ ่าการนวดรักษาแบบราชสานัก
ร่วมกับการประคบสมุนไพรทาให้ผู้ป่วยโรคลมปลายปัตคาตน้ิวมือมีอาการปวดลดลงใกล้เคียงกันกับการรักษา
ด้วยการนวดแบบราชสานักร่วมกับการพอกขาสมุนไพรที่น้ิว แต่การเพ่ิมหัตถการพอกยาท่ีน้ิวมือเข้ามาทาให้
กลุ่มตัวอย่างท่ี 2 หายจากอาการปวดได้มากกว่ากลุ่มท่ี 1 ซ่ึงน่าจะเป็นผลมาจากสมุนไพรที่ใช้ในการพอกมีฤทธิ์เย็น
ลดอาการปวดอักเสบของข้อน้ิวมือได้ และการพอกยาทาให้สมุนไพรได้สัมผัสกับน้ิวบริเวณที่มีอาการโดยตรง
เป็นเวลานาน จงึ ทาใหอ้ าการปวดลดลงได้ นอกจากน้ยี งั พบว่าการนวดรกั ษาแบบราชสานักช่วยให้กลุ่มตัวอย่าง
ทงั้ สองกลมุ่ ทพ่ี บว่ามอี าการน้ิวตดิ ก่อนการศึกษาหายเป็นปกติท้ังหมด น่าจะเป็นผลมาจากการนวดช่วยให้เลือด
ไหลเวียนไดด้ ี ชว่ ยคลายกล้ามเนื้อ จึงทาให้อาการนวิ้ ติดในกลุ่มตัวอย่างหายไปได้ ซึ่งจะนาข้อมูลในการศึกษานี้
ไปใช้สนบั สนนุ การทาหตั ถการพอกยาสมนุ ไพรในผปู้ ่วยโรคลมปลายปตั คาตน้วิ มือตอ่ ไป

อภิปรายผล
จากการศึกษาครง้ั น้ี สรุปได้ว่าการนวดรกั ษาแบบราชสานักรว่ มกับการประคบสมุนไพรทาให้ผู้ป่วยโรค

ลมปลายปตั คาตน้ิวมอื มอี าการปวดลดลงใกล้เคยี งกันกับการรักษาด้วยการนวดแบบราชสานักร่วมกับการพอกยา
สมุนไพรท่ีน้วิ แต่การเพิม่ หตั ถการพอกยา ท่นี ้ิวมือเขา้ มาทาให้กล่มุ ตัวอย่างท่ี 2 หายจากอาการปวดได้มากกว่ากลุ่มท่ี 1
ซ่ึงน่าจะเป็นผลมาจากสมนุ ไพรที่ใช้ในการพอกมีฤทธเิ์ ย็นลดอาการปวดอักเสบของข้อน้ิวมือได้ และการพอกยา
ทาให้สมุนไพรไดส้ ัมผสั กับนวิ้ บริเวณทีม่ อี าการโดยตรงเปน็ เวลานาน จึงทาให้อาการปวดลดลงได้ นอกจากนี้ยังพบว่า
การนวดรักษาแบบราชสานักชว่ ยใหก้ ลุ่มตวั อย่างทั้งสองกลุ่มท่ีพบว่ามีอาการน้ิวติดก่อนการศึกษาหายเป็นปกติ
ท้ังหมด น่าจะเป็นผลมาจากการนวดช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยคลายกล้ามเนื้อ จึงทาให้อาการนิ้วติดใน
กลมุ่ ตวั อย่างหายไปได้ ซง่ึ จะนาขอ้ มลู ในการศกึ ษาน้ไี ปใช้สนับสนุนการทาหัตถการพอกยาสมุนไพรในผู้ป่วยโรค
ลมปลายปัตคาตนวิ้ มือตอ่ ไป

ข้อเสนอแนะ
1. การศึกษาขั้นต่อไปควรเพม่ิ การวัดระดับความปวดก่อนและหลังการรักษาทุกคร้ัง เพื่อข้อมูลการเปลี่ยนแปลง

ของระดับความปวดในกลุ่มตัวอยา่ งท่ลี ะเอียดขึ้น
2. การคดั เลือกกล่มุ ตัวอย่างเข้ารับการศึกษา ควรคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีการติดของน้ิวไว้อีกกลุ่มหนึ่ง

เพ่อื การวเิ คราะห์ผลทีแ่ มน่ ยาข้ึน

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

85
เรอื่ ง การศึกษาประสิทธิผลการนวดไทยแบบทั่วไปกบั การนวดไทยแบบราชสานกั

ในการลดอาการปวดบ่า ต้นคอ และศรี ษะ โรงพยาบาลนครปฐม

นายนพพร ชายหอมรส แพทยแ์ ผนไทยชานาญการ
กลุม่ งานการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก โรงพยาบาลนครปฐม

ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
ในปัจจุบันประชาชนเกิดภาวะเครยี ด และการทางานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ท่าทาง อิริยาบถต่างๆ ไม่ถูกต้อง

เป็นสาเหตุที่ทาให้มอี าการปวดบา่ ตน้ คอ และศีรษะ กลุ่มน้ีเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ทางานเป็นเวลานานๆ ส่วนใหญ่
เคยรักษาด้วยการกินยาแกป้ วด แต่อาการเป็นๆหายๆ ในการดูแลรักษาอาการปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะ ยึดหลัก
ในการหลกี เลีย่ งและปอ้ งกันสาเหตทุ ่อี าจทาให้เกิดอาการปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะ รวมทั้งใช้ทางเลือกอ่ืนผสมผสาน
เชน่ การรกั ษาดว้ ยแพทย์แผนปจั จุบัน แพทย์แผนจนี หรือการแพทย์แผนไทย จากสถิติของโรงพยาบาลนครปฐม
ในปี 2561 พบว่าในจานวนผู้ใช้บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มีจานวน 41,598 ราย/ปี มีการรักษา
ด้วยการนวดไทย 34,204 ราย/ปี และเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะ12,510 ราย/ปี คิดเป็น
รอ้ ยละ 37 จากปัญหาดงั กลา่ ว จึงได้นาแนวคิดการนวดไทยเข้ามาดูแลผู้ป่วย แต่ในการรักษาในปัจจุบันมีการนา
การนวดไทยแบบราชสานักมาใช้กันอย่างแพร่หลาย จากการศึกษาระดับความปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบนของ
ผู้รับการรักษาภายหลังจากการนวดแบบราชสานักเพ่ือรักษาระดับความปวดลดลง และการนวดไทยแบบราชสานัก
สามารถบรรเทา รักษา ผู้ป่วยโรคลมปะกังที่มีอาการปวดศีรษะได้ จะเห็นได้ว่าแนวทางการรักษาด้วยการนวดไทย
ในขณะทกี่ ารประกอบวชิ าชพี การแพทยแ์ ผนไทย ในดา้ นการนวดไทย มีการนวดไทย 2 แบบน้ัน คือ การนวดไทย
แบบท่ัวไปหรือการนวดไทยแบบเชลยศักด์ิและการนวดไทยแบบราชสานักที่แตกต่างกัน ในการนวดไทยแบบทั่วไป
(แบบเชลยศกั ด์ิ) เปน็ จดุ นวด แนวเส้น การนวดไทยแบบราชสานัก เป็นการนวดแนวเส้นพ้ืนฐานและจุดสัญญาณ
ในบริเวณส่วนที่ทาการนวดใกล้เคียงกันในการรักษาแต่ละอาการ ท้ังน้ีในการนวดไทยแบบท่ัวไป ไม่ได้มีการนามา
ปรับใช้ในการรักษาในสถานพยาบาลของภาครัฐ มีแต่เพียงการนวดไทยแบบราชสานักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ซ่ึงในการประกอบวชิ าชพี การแพทย์แผนไทย ดา้ นการนวดไทย ต้องสามารถทาได้ทั้ง 2 แบบ ในมหาวิทยาลัยที่เปิด
การเรียนการสอนในหลกั สตู รปรญิ ญาตรีทางการแพทยแ์ ผนไทย มีการเรยี นรู้การนวดไทยแบบทว่ั ไปอย่างแพร่หลายแล้ว
ในขณะน้ีจึงเห็นความสาคัญในพฒั นาใหม้ ีประสทิ ธภิ าพในการบาบดั การรักษาในอาการปวดบ่า ต้นคอและศีรษะ
เพือ่ ใหผ้ ูป้ ว่ ยได้รับการรกั ษาท่มี ีประสทิ ธภิ าพ ตามหลกั การนวดไทย

นอกจากนี้ พบว่าประสิทธิผลการนวดไทยแบบราชสานักยังไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างการนวดไทย
แบบทั่วไปกับการนวดไทยแบบราชสานัก มีผลแตกต่างกันหรือไม่ ทาให้ผู้วิจัยตระหนักและเห็นความจาเป็น
ในการวิจัยศึกษาประสิทธิผลการนวดไทยแบบทั่วไปกับการนวดไทยแบบราชสานักในการลดอาการปวดบ่า ต้นคอ
และศีรษะของผมู้ ารับบริการงานแพทยแ์ ผนไทยและแพทย์ทางเลอื ก โรงพยาบาลนครปฐม

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

86

วัตถปุ ระสงค์
ศกึ ษาเปรยี บเทียบการนวดไทยแบบท่วั ไป(แบบเชลยศักดิ์) กับการนวดไทยแบบราชสานักในการลดอาการ

ปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะของผู้มารับบริการ งานแพทยแ์ ผนไทยและแพทย์ทางเลอื ก โรงพยาบาลนครปฐม

วิธดี าเนินการ
กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาไดค้ ัดเลอื กกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กับผู้ป่วยที่มีการได้รับการวินิจฉัยทาง

การแพทย์แผนไทยวา่ เปน็ อาการปวดบา่ ต้นคอและศีรษะ ซ่งึ ผ้มู ารบั การรกั ษาจานวน 60 คน โดยกลุ่มท่ี 1 คือ
ผปู้ ว่ ยท่ีมอี าการปวดบา่ ต้นคอและศีรษะจากลักษณะงานหรือความเครียด และระดับความปวดตั้งแต่ 4 ข้ึนไป
(จากการใช้ Visual Rating Scale of Pain Score : VRS) ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาหรือวิธีอื่นอย่างน้อย 1 สัปดาห์
ท่ีมารบั บริการท่ีงานการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก โรงพยาบาลนครปฐม จานวน 30 คน ได้รบั การนวดไทย
แบบท่ัวไป(แบบเชลยศักด์ิ) กลุ่มท่ี 2 คือ ผู้ป่วยท่ีมีอาการปวดบ่า ต้นคอและศีรษะจากลักษณะงานหรือความเครียด
และระดบั ความปวดตง้ั แต่ 4 ขึน้ ไป (จากการใช้ Visual Rating Scale of Pain Score : VRS) ท่ีไมไ่ ดร้ บั การรักษาด้วยยา
หรือวิธอี ่ืนอยา่ งนอ้ ย 1 สปั ดาห์ท่ีมารับบรกิ ารทง่ี านการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลนครปฐม
จานวน 30 คน ไดร้ บั การนวดไทยแบบราชสานัก ทัง้ 2 กลมุ่ จะได้รับการรักษาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งจะใช้
เวลา 45 นาที เป็นเวลา 2 สัปดาห์
เคร่ืองมือทีใ่ ช้

เครอื่ งมอื ดาเนินการวจิ ยั ได้แก่ อปุ กรณ์-เตียงนวดตัวพร้อมผ้าปู ปลอกหมอน เส้ือผ้า เอกสารคู่มือการนวดไทย
แบบราชสานกั และการนวดไทยแบบ(แบบเชลยศกั ดิ์)

ผู้ชว่ ยการวิจยั จานวน 12 คน และต้องเปน็ ผูท้ ี่ผา่ นหลกั สูตรผ้ชู ่วยแพทยแ์ ผนไทย
เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มี 5 ข้ันตอน ตอนที่ 1 แบบสอบถามด้านปัจจัยชีวสังคม ตอนที่ 2
ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเจ็บป่วย ตอนท่ี 3 แบบประเมินลักษณะกระดูกต้นคอการวัดองศาการเคลื่อนไหว
ตอนท่ี 4 ประเมินการวดั ความปวดตามความรสู้ ึก ตอนท่ี 5 แบบประเมนิ ความพึงพอใจ
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบก่ึงทดลอง (Quasi experimental research) การคัดเลือก กลุ่มตัวอย่าง
แบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง 60 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆละ 30 คน กลุ่มที่ 1 ได้รับการนวดไทยแบบท่ัวไป
ใช้เวลาการนวดไทยคร้งั ละ 45 นาที กลมุ่ ที่ 2 ได้รับการนวดไทยแบบราชสานัก ใชเ้ วลาการนวดไทยครัง้ ละ 45 นาที

ผลการดาเนินการ
ผลการวิจยั พบว่ากลุ่มท่ีได้รับการนวดไทยแบบทั่วไป มีค่าเฉล่ียระดับความปวดก่อนและหลังการรักษาท่ี

6.72±0.56 และ 5.02±0.08 และในกลุ่มท่ีได้รับการนวดไทยแบบราชสานัก มีค่าเฉลี่ยระดับความปวดก่อนและหลัง
การรกั ษาท่ี 6.53±0.73 และ 5.96±0.35 โดยการนวดทั้ง 2 วิธีนั้น พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ระหว่างระดบั ความปวดกอ่ นและหลงั การวัดผล เมื่อทาการเปรียบเทียบผลของการนวดหลังการรักษา พบว่าการนวดไทย
แบบท่ัวไปสามารถลดระดับความปวดได้ดีกว่าการนวดไทยแบบราชสานักอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ 0.05 ในการ
ประเมนิ ความพึงพอใจไมพ่ บความแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิระหว่างกลุ่ม โดยกลุ่มที่ได้รับการนวดไทย

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

87
แบบทั่วไปมีระดับความพึงพอใจเฉลี่ย 4.25±0.47 และในกลุ่มท่ีได้รับการนวดไทยแบบราชสานักมีระดับความ
พงึ พอใจเฉลย่ี 4.49±0.49 สรปุ ได้ว่า การนวดไทยท้งั สองแบบสามารถลดระดบั ความปวดบริเวณบ่า ต้นคอ และศีรษะ
และทาให้ผู้ป่วยมีความพึงพอใจหลังการรักษา โดยที่การนวดแบบท่ัวไปสามารถลดระดับความปวดได้ดีกว่า
การนวดไทยแบบราชสานกั
อภิปรายผล

การนวดไทยแบบทั่วไปและการนวดไทยแบบราชสานัก สามารถลดอาการปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะได้
โดยท่กี ารนวดไทยแบบทวั่ ไป สามารถลดระดับความปวดไดด้ กี ว่าการนวดไทยแบบราชสานัก ดังนั้น ในการรักษา
ด้วยการนวดไทย สามารถนาการนวดไทยแบบทั่วไป ไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยท่ีมีอาการปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะ
ทาให้เปน็ อีกวธิ หี น่งึ ที่ชว่ ยใหอ้ าการปวดลดลงได้
สรุปและขอ้ เสนอแนะ

การวจิ ยั ในคร้ังนี้ เปน็ การนาการนวดไทยมาใช้ในการรักษาของผู้ป่วยอาการปวดบ่า ต้นคอ และศีรษะ
เพื่อมาปรับใช้ให้เหมาะสมและนาไปสู่การประยุกต์ใช้ ดังนั้นควรศึกษาวิจัยก่ึงทดลอง ในหัวข้อเร่ืองการพัฒนา
ผสมผสานการนวดไทยแบบท่ัวไปกับการนวดไทยแบบราชสานัก เพ่ือให้เกิดการพัฒนางานด้านการแพทย์แผนไทย
ในทกุ ระดบั ของกระทรวงสาธารณสขุ เพอ่ื ทาการวจิ ัยในครงั้ ต่อไป

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

88
เรอ่ื ง “The COVID-19 pandemic and organ donation and transplantation in Maeklong”

นายอภศิ ักด์ิ สตุ านนท์ นายแพทย์ชานาญการ
ศลั ยแพทยร์ ะบบประสาท หัวหน้างานรบั บรจิ าคและปลูกถา่ ยอวัยวะ
ศนู ย์รับบริจาคและปลกู ถ่ายอวยั วะ โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า

ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา
จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทาให้เกิดปัญหาในการดาเนินงานของศูนย์รับบริจาคอวัยวะเป็น

อย่างมาก ในขณะท่ีผู้รอรับบริจาคอวัยวะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถิติของศูนย์รับบริจาคอวัยวะ
สภากาชาดไทย พ.ศ. 2564 มีผรู้ อรับอวัยวะท้ังหมดจานวน 5,552 ราย แต่มีผู้บริจาคอวัยวะเพียง 119 ราย ซ่ึงลดลง
จากปี พ.ศ. 2563 ซึ่งมจี านวนผบู้ รจิ าคสงู ถงึ 315 ราย ซ่ึงเกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวงกว้าง
ในช่วง พ.ศ. 2564 ทาให้เกิดอุปสรรคในการดาเนินงานเป็นอย่างมาก จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงในการปรับรูปแบบ
การทางานตามสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโควดิ -19 เพ่อื เพมิ่ ประสิทธภิ าพในการรับบรจิ าคอวัยวะ

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่มิ ประสิทธิภาพการรบั บริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควดิ -19
2. ลดการสูญเปลา่ จากอวยั วะของผปู้ ่วยสมองตาย จากการเฝ้าระวังการตดิ เช้อื โควิด-19
3. ปรับระบบการทางานและพัฒนาการเข้าถึงผูป้ ว่ ยสมองตายใหม้ โี อกาสไดเ้ จรจาขอรับบรจิ าคอวยั วะมากข้ึน
4. เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอวัยวะ และลดอัตราตายจากการรออวัยวะของผู้รอรับอวัยวะในภาพรวม

ของประเทศได้

วธิ ดี าเนนิ การ
1. เกบ็ ขอ้ มลู นามาวิเคราะห์ และหาโอกาสพฒั นาอยา่ งสมา่ เสมอทกุ เดือน
2. ปรบั ระบบการทางาน และการคัดกรองโรคโควิด-19 รวมถึงการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติของผู้บริจาค

อวยั วะให้เป็นระบบ Fast tract มีการจดั โซนแยกในการดูแลผู้ป่วยบริจาคอวัยวะ
3. พฒั นาระบบการให้ข้อมลู การรกั ษาแก่ญาตติ ามแนวทางการเย่ียมผู้ป่วยวิถีใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

(Line official account) เพ่ือลดช่องว่างการได้รับข้อมูลระหว่างญาติกับประสาทศัลยแพทย์ เพ่ือให้ญาติได้ทราบ
การดาเนินของโรคอย่างใกล้ชดิ และชว่ ยในการตดั สนิ ใจในการบริจาคอวัยวะ เพิ่มการประชาสัมพันธ์ท้ังการรับบริจาค
อวยั วะ และมีการประชาสัมพันธ์ในการเชิดชูคุณงามความดีของผู้บริจาคอวัยวะภายหลังการจัดเก็บอวัยวะในส่ือ
ระดบั จงั หวดั และ Social media

4. ทบทวนเกณฑก์ ารเลือกผู้บริจาคอวัยวะใหก้ ับหอผูป้ ว่ ยต่างๆ สร้าง Short cut ให้สามารถแจ้งทีมเจรจา
รับบริจาคอวัยวะหรือ transplant co-ordinating nurse (TCN) ได้สะดวกขึ้นเมื่อมีผู้ป่วยเข้าข่ายวินิจฉัย
ภาวะสมองตาย จัดตัง้ ทีม TCWN เพือ่ เพม่ิ เครือข่ายในการทางานในการรับบริจาคอวัยวะตามหอผู้ป่วยต่างๆเพิ่มเติม
เชน่ ICU med, Stroke unit, ward ศลั ยกรรม

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

89

5. มีการพัฒนาและทบทวนให้กับทีมตามเส้นทางการวินิจฉัยสมองตาย (The road to diagnosis of
brain death) ไดแ้ ก่

5.1 ขั้นตอนการยืนยันภาวะสมองตาย (Essential preconditions) : ปรับแนวทางการปรึกษาประสาทแพทย์
หรอื ประสาทศัลยแพทย์ใหช้ ัดเจนและมีการส่งตรวจวินิจฉัยด้วย CT scan เพื่อวินิจฉัยแน่ชัดว่าผู้ป่วยนั้นเป็นโรค
ทเี่ ปน็ เหตใุ ห้ผู้ปว่ ยอยใู่ นภาวะ apnoeic coma

5.2 ขั้นตอนการแยกภาวะ toxic metabolic causes ท่ีทาให้เกิดภาวะ apnoeic coma (Necessary exclusions) :
พฒั นาระบบ Standing order เพอ่ื การตรวจทาง Metabolic ที่ครบและมีแนวทางการดแู ล Donor ไปในทางเดียวกัน
รวมไปถึงการ Management ในการ Resuscitation Donor เบอื้ งตน้ ร่วมด้วย

5.3 ข้ันตอนการทดสอบยืนยัน (Tests) : มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ เป็นชุด set ที่จาเป็นในการตรวจ Brain
stem reflex และการทา Apnea test เพื่อความสะดวกของแพทยท์ จ่ี ะประเมินสมองตาย

6. เพม่ิ ศกั ยภาพแพทยผ์ ดู้ แู ลงานบริจาคอวัยวะให้เป็นบุคคลากรนวัตกรรม (People & Process innovation)
ที่เรียกว่า “Transplant co-ordinating doctor” (TCD) เพิ่มพูนทักษะการทา Ultrasound Kidney หรือ
การทา Echocardiogram เพ่อื เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มสาหรับ Donor ในการบรจิ าคอวัยวะตา่ งๆ

ผลการดาเนนิ การ
- ร้อยละการเจรจาขอรบั บรจิ าคอวยั วะ ปงี บ 2564 = 100%
- รอ้ ยละการเจรจาขอรับบริจาคสาเร็จ ปีงบ 2564 = 66.67% เพ่ิมขึ้นจากปีงบ 2562 และ 2563 = 20%

และ 0% ตามลาดับ
- จานวนผ้บู รจิ าคอวัยวะสมองตายเพมิ่ ขึน้ ปงี บ 2562 - 2564 = 1,0,3 ตามลาดับ

อภปิ รายผล
1. แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะมีความรุนแรง ทาให้สูญเสียกาลังคนและสูญเสียทรัพยากรไป

ในงานโควิดมากก็ตาม การเพมิ่ ประสิทธิภาพในการทางานดา้ นการรับบริจาคโดยการปรบั การทางานให้เข้ากับสถานการณ์
พัฒนาทกั ษะและความสามารถของทมี ทบทวนและหาโอกาสพัฒนา ก็สามารถบรรลุผลสมั ฤทธใิ์ นการทางานได้

2. การลดการสูญเปล่าของอวัยวะ จากการเฝ้าระวังการติดเช้ือโควิด-19 โดยการปรับแนวทางการตรวจ
หาเชื้ออย่างเครง่ ครัด การจัดโซนแยกสาหรับผู้บริจาคเพื่อเพ่ิมโอกาสในการได้รับอวัยวะเพื่อแก้ปัญหาและเพ่ิม
คุณภาพของชีวิตในผู้รับบริจาคอวัยวะซึ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดมีจานวนผู้บริจาคลดลงอย่างมาก อวัยวะ
สูญเปล่าจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ที่มากขึ้น ท้ังน้ีแนวทางปฏิบัติท่ีชัดเจนทาให้การเฝ้าระวังการติดเชื้อ
โควิดในผบู้ รจิ าคทาได้มีประสิทธิภาพมากขึน้ ก็สง่ ผลให้ลดการสญู เปลา่ อวยั วะได้อย่างชัดเจน

3. การเขา้ ถึงผูป้ ว่ ยวนิ ิจฉยั สมองตายในหอผู้ป่วยต่างๆ บางครั้งอาจจะทาได้ยาก เมื่อไม่ได้วินิจฉัยภาวะ
สมองตาย กไ็ ม่ไดเ้ จรจาบรจิ าคอวัยวะ ทาใหเ้ สยี โอกาสในการได้รับอวัยวะไปปลูกถ่าย การปรับระบบให้ง่ายต่อ
การแจ้งทีม สรา้ ง short cut หรอื คยี ล์ ดั ตา่ งๆเพ่อื ลดภาระงานปรับตามสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด รวมไปถึง
การต้ังทีม TCWN ในการเพ่ิมเครือข่ายการทางานตามหอผู้ป่วยต่างๆ ท้ังหมดน้ีจะช่วยให้เพ่ิมการเข้าถึงผู้ป่วย
สมองตายและเพม่ิ โอกาสการเจรจาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากข้ึน

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

90
4. ปัญหาการขาดแคลนอวัยวะในขณะท่ีผู้บริจาคอวัยวะมีจานวนลดลง จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้
จานวนผู้เสียชวี ิตจากการรอรบั บริจาคอวัยวะเพิ่มมากข้ึน ภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข
กเ็ พ่ิมขึ้น ดังน้ันจึงมีความจาเป็นต้องถ่ายทอดข้อมูลเชิงนโยบายให้ผู้ปฏิบัติงานทราบ เพ่ือให้เข้าใจและร่วมพัฒนา
สรา้ งทัศนคติท่ีดใี หก้ บั ทีม เชน่ เรื่องผลบุญจากการปฏบิ ัตดิ ีซ่งึ สอดคลอ้ งกับวถิ ชี าวพุทธ งานรับบรจิ าคอวัยวะ จึงเป็น
งานทสี่ ามารถทาบุญกันไดง้ า่ ยๆ จากงานประจาสง่ ผลให้ผปู้ ฏบิ ตั ิงานเกิดความปิติ ความสุขได้ทันทีภายหลังการ
จัดเก็บอวยั วะและดวงตาได้สาเร็จ ซึ่งเป็นงานท่มี ีคุณคา่ ตอ่ จิตใจผู้ปฏิบตั เิ ปน็ อย่างมาก
สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะรุนแรงเพียงใด สถิติจานวนผู้บริจาคอวัยวะในภาพรวม
ของประเทศจะลดลงมากแค่ไหน หากทีมมีความมุ่งม่ันตั้งใจที่จะพัฒนาระบบและการทางานเพ่ือตอบสนองต่อ
สถานการณ์ในการฝ่าวิกฤติ จะเห็นได้ว่าก็สามารถประสบผลสัมฤทธ์ิท่ีดีได้เช่นกัน ปัจจัยเหล่าน้ีล้วนข้ึนกับ
ความรว่ มมือร่วมใจของทีมงาน การม่งุ มัน่ ที่จะเรยี นรู้ร่วมกันและหาโอกาสในการพฒั นาศักยภาพตัวเองอยู่เสมอ
ก็สามารถก้าวผา่ นความยากลาบากในสถานการณ์นีไ้ ปไดโ้ ดยมงุ่ ประโยชน์ท่ีผรู้ บั บริจาคอวัยวะ ซึ่งเป็นการต่อชีวิต
ให้เพอ่ื นมนุษยส์ อดคลอ้ งกบั พทุ ธศาสนาทวี่ า่ “การบริจาคอวยั วะนัน้ เป็นกจิ อนั เปน็ มหากศุ ลอยา่ งยิ่ง”

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

91
เรื่อง “ระบบการป้องกนั แพ้ยาซา...สดุ ต๊าซซ”

เภสชั กรยุทธศักด์ิ โสภณรัตน์ เภสัชกรปฏิบตั กิ าร
คณะกรรมการระบบยา โรงพยาบาลบ่อพลอย

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
จากขอ้ มูล ปี 2562 - 2563 จานวนใบส่ังยา 142, 684, 124, 032 ใบ, ซักประวัติแพ้ยา 850, 787 ราย

แพ้ยา 357, 401 ราย ตามลาดับ ปี 2562 พบผู้ป่วยแพ้ยาซ้า 1 ราย ปี 2563 แพ้ยาข้ามกลุ่ม 2 ราย ระดับ E สาเหตุ
เน่ืองจากระบบการแจ้งเตือนไม่มีประสิทธิภาพ เภสัชกรบันทึกข้อมูลช่ือยาไม่ตรงกับระบบ Hos XP ใช้ช่ือสามัญ
ช่ือการค้า ลงช่ือยาไมค่ รบถ้วน ไม่เป็นทิศทางเดียวกัน ทาให้ไม่สามารถตรวจจับและแจ้งเตือนแพทย์ผู้ส่ังใช้ยาได้
และในช่วงเวลาเรง่ ดว่ น ผู้รับบรกิ ารหนาแน่น เกิดขอ้ ผิดพลาดจากการสัง่ ใช้ยา, จ่ายยา แพทย์มีการจ่ายยาในผู้ป่วย
ท่ีมีโอกาสเกิดการแพ้ยาขา้ มกลุ่ม (การแพย้ ากลุ่มเดียวกันท่ีมีโอกาสแพ้ข้ามสูง) ปัจจัยสาคัญ แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ
ดา้ นบคุ ลากร ซกั ประวัติแพ้ยาไมค่ รอบคลมุ ลงชอื่ ยาไม่ถูกต้อง ขาดการสอื่ สารระหว่างวิชาชีพ และด้านผู้ป่วยไม่ทราบว่า
ตนเองแพ้ยา ผู้ป่วยจาชือ่ ยาไม่ได้ ไมม่ ีบัตรแพ้ยา แพ้ยาจากโรงพยาบาลอ่ืน ไมม่ ีประวตั แิ พ้ยาในระบบ Hos XP
วตั ถุประสงค์

1. เพือ่ ปอ้ งกนั การแพย้ าซา้ และแพ้ยาข้ามกลุ่ม
2. เพอ่ื ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลรายการยา ชอ่ื ยา ในระบบ Hos XP
วิธดี าเนินการ
1. ประชมุ ส่ือสาร ช้ีแจงเกีย่ วกบั ข้อมลู การแพย้ า แนวทางการแจ้งเตือนแกท่ ีมสหวชิ าชีพ

1.1 แพทย์ : จัดทาแนวทางการสงั่ ยาในผปู้ ่วยมีประวตั แิ พ้ยาเพ่ือป้องกันการแพ้ยาซ้าในกลมุ่ เดยี วกนั
1.2 พยาบาล : ประชมุ ส่อื สารแลกเปล่ยี นความรเู้ ร่ืองการแพย้ า และยาท่ีมโี อกาสแพ้ซ้าในกลุม่ เดียวกัน
1.3 เภสัชกร : ประชมุ กาหนดแนวทางปฏิบัตกิ ารป้องกนั การแพย้ าซ้าในกลุ่มเดยี วกนั

แนวทางและระบบแจ้งเตือนการสง่ั ใชย้ าท่มี คี วามเสยี่ งต่อการแพ้ยาซาในกลมุ่ เดยี วกัน

2. ปรับปรุงระบบการซักประวตั คิ ดั กรอง ประวัตแิ พ้ยา เนน้ การสื่อสารระหว่างเภสัชกรและผูป้ ่วย
กรณีผู้ป่วยมีประวัติการแพ้ยาจากโรงพยาบาลอื่นหรือประวัติแพ้ยา แต่ไม่ได้ลงในฐานข้อมูล Hos XP
สง่ พบเภสชั กร เพ่ือซักถามประวตั กิ ารแพย้ าและบันทึก ลงช่ือยาท่ีถูกต้องในระบบ Hos XP ออกบัตรแพ้ยาใหม่

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

92

โดยใช้ชอ่ื ภาษาอังกฤษและภาษาไทย พรอ้ มทง้ั บนั ทึกช่ือยาที่แพ้ในโทรศัพท์มือถือของผู้ป่วยและญาติ เพื่อสามารถ
ส่ือสาร กรณี ผู้ป่วยไปสถานบริการอน่ื
3. พฒั นาเครอื่ งมอื ระบบการแจ้งเตือนแพ้ยา

3.1 จัดทาระบบป้องกันการแพ้ยาซ้าในกลุ่มยาเดียวกันในโปรแกรม HosXP และปรับข้อมูลยาให้สอดคล้อง
กบั ระบบทตี่ งั้ ข้ึน ปรบั ข้อมลู ยา เพมิ่ ชอ่ื ยา หรือช่ือกลุ่มยาที่มีโอกาสแพ้ข้ามสูงในช่อง Generic name ทาให้สามารถ
ตรวจจบั และแจ้งเตือนได้ เมอื่ มีการสัง่ ใช้ยาท่ีสมุ่ เสยี่ ง

ตวั อย่าง กอ่ นแก้ไขข้อมูลยา ตวั อย่าง ก่อนแกไ้ ขขอ้ มูลยา

ระบบแจง้ เตือนแพย้ า
เมอื่ แพทย์สั่งใช้ยาท่ีผู้ปว่ ยแพ้หรอื เส่ยี งแพข้ ้ามสงู

3.2 ปรบั เปลี่ยน โดยกาหนดให้ข้อมูลชื่อยาที่ผู้ป่วยแพ้ต้องเป็นช่ือสามัญของยาตามหลักสากล ห้ามใช้ช่ือ
การค้าและบนั ทกึ ข้อมูลใหค้ รบถว้ น, ถกู ตอ้ ง

ตวั อย่าง กอ่ นแกไ้ ขข้อมูลแพ้ยาของผู้ปว่ ย ตัวอยา่ ง หลงั แกไ้ ขขอ้ มูลแพย้ าของผูป้ ว่ ย

4. กาหนดรูปแบบการลงขอ้ มลู แพย้ าของผู้ป่วยแก่เภสัชกรให้สอดคล้องกับระบบป้องกันการแพ้ยาซ้ากลุ่มเดียวกัน
โดยต้องลงข้อมลู สาคญั ใหค้ รบถว้ นและใช้ชือ่ สามัญของยาหรือชอ่ื กลมุ่ ยาที่กาหนดใหเ้ ป็นไปในทศิ ทางเดียวกนั

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

93

5. กรณี แพทย์ประสงคส์ ัง่ ใช้ยาเสยี่ งแพ้ข้ามกลุ่ม โทรประสานเภสชั กรเพอ่ื ยืนยัน
การใช้เภสัชกรปลดลอ็ คช่ัวคราว เพอ่ื ใหส้ ่งั ยาไดแ้ ละลงขอ้ มูลยืนยันการใช้ยาท่ีมีความเสี่ยงแพ้ข้ามกลุ่ม

พรอ้ มท้ังใหค้ าแนะนาและเบอรโ์ ทรศัพท์สายตรงเภสชั กรผูร้ ับผดิ ชอบ
6. ติดตามเยยี่ มผปู้ ่วย

- ผู้ปว่ ยนอก สอบถามอาการผปู้ ่วยทางโทรศัพท์
- ผู้ป่วยใน ประเมนิ อาการท่ีหอผู้ปว่ ยรว่ มกบั ทมี สหวิชาชพี

7. ประเมนิ ประสทิ ธิภาพของระบบ โดยการทดสอบระบบป้องกันการแพ้ยาซ้าและการแพ้ยาซ้าในกลุ่มเดียวกัน
โดยการสุม่ ตวั อยา่ ง ก่อนและหลงั การเริ่มใชร้ ะบบป้องกันการแพ้ยา 3 เดือน สุ่มตัวอย่างผู้ป่วยท่ีมีประวัติแพ้ยา
40 ราย กลุ่มยาท่ีใช้บ่อยในโรงพยาบาล เช่น Penicillin, Cephalosporins, Sulfonamides, NSAIDs Quinolones)
โดยคัดเลือก HN และข้อมูลแพ้ยา รูปแบบยาน้า ยาฉีด ยาเม็ด ความแรงต่างๆ จากฐานข้อมูลโดยไม่เปลี่ยนแปลง
ข้อมูลใดๆ กอ่ นและหลงั ใช้ระบบปอ้ งกันการแพย้ ากลมุ่ เดยี วกัน สุ่มโดยใชโ้ ปรแกรม Excel

ผลการดาเนินการ

ตวั ชวี ัด เป้าหมาย 2563 2564
1. ร้อยละชอื่ ยาในฐานข้อมูลถูกตอ้ ง 95 35.60 95.40
2. รอ้ ยละข้อมูลช่ือยาทผี่ ปู้ ่วยแพ้ลงในโปรแกรม Hos xp ถกู ตอ้ ง 95 52.20 94.30
3. รอ้ ยละระบบแจง้ เตอื นการแพ้ยา 100 45.00 96.41
4. จานวนผปู้ ว่ ยแพย้ าซ้า/ แพย้ าขา้ มกลมุ่ 0 ราย 2 ราย 0 ราย
5. ร้อยละการตดิ ตามเยย่ี มในผปู้ ว่ ยใช้ยาเสี่ยงแพข้ า้ มกลุ่ม > 90 NA 100

อภิปรายผล
คณะกรรมการระบบยา ได้เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพระบบการป้องกนั แพย้ าซ้า โดยปรับปรุงโปรแกรม HosXP

ระบบการแจ้งเตือนแพ้ยา โดยเนน้ การลงบนั ทกึ ทคี่ รบถ้วนถกู ต้อง ปรบั ข้อมลู ยา, ช่ือยา, ยาทีม่ ีโอกาสแพ้ข้ามสูง
ระบบการป้องกันหากแพทย์ยืนยันจะใช้, เน้นการสื่อสารระหว่างทีมสหวิชาชีพ การติดตามผู้ป่วย หากแพทย์ยืนยัน
ทมี่ คี วามเส่ียงแพ้ข้าม ตลอดจนมีการประเมินประสิทธิภาพของระบบการป้องกันแพ้ยา โดยการสุ่มตัวอย่าง ส่งผล
ให้ระบบการทางานมปี ระสิทธิภาพ จานวนการแพย้ าซ้า/แพ้ยากลมุ่ เดยี วกันลดลง

สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
1. การลงบนั ทึกขอ้ มูลยาในโปรแกรม HosXP ท่ีถูกตอ้ งครบถว้ น ทาใหร้ ะบบการแจ้งเตือนมีประสิทธภิ าพ
2. การสื่อสารระหว่างวิชาชีพ และการสื่อสารระหว่างเภสัชกรกับผู้รับบริการนั้นสาคัญมาก ส่งผลให้

ผปู้ ่วยปลอดภัยจากการใชย้ า

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

94
เรอ่ื ง “การพัฒนาระบบการดแู ลดา้ นยาผปู้ ่วยติดเชือไวรัสโคโรนา 2019 ณ โรงพยาบาลสนามทองอุไร”

นางสาวจิณณพตั สิทธิชาตบิ ูรณะ
เภสัชกรปฏบิ ัติการ โรงพยาบาลกระทุ่มแบน
ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
เน่ืองด้วยสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาล
ในการเพ่ิมระบบสอบสวน ควบคุมป้องกันโรค บริการวัคซีน การคัดกรอง-รักษาผู้ป่วยโควิด ท่ีมีจานวนมากใน
อาเภอกระทมุ่ แบนและพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งท่เี ขา้ รับบริการทีโ่ รงพยาบาลกระทุ่มแบน
เภสัชกรมีหน้าที่ จัดหาอุปกรณ์ที่จาเป็นสาหรับเจ้าหน้าท่ีในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขณะปฏิบัติหน้าที่
วางแผน จัดหาอุปกรณ์ท่ีใช้ในการบริการวัคซีน รวมถึงการบันทึกการให้บริการวัคซีนแต่ละราย การสารองยา
เวชภัณฑ์ ในสถานการณ์ขาดแคลน การ Remedication นานกว่าปกติ และการสารองอุปกรณ์-ยา-เวชภัณฑ์
สาหรับโรงพยาบาลสนาม-ศูนยพ์ ักคอย
โรงพยาบาลสนามทองอุไร เปิดบริการรองรับผู้ป่วยระดับเขียว-เหลือง ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2564
เพ่ือแบง่ เบาภาระโรงพยาบาลกระทุม่ แบน ซ่งึ เรม่ิ มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาวันที่ 17 กันยายน 2564 ด้วยจานวน
ผู้ป่วย 5 ราย เจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้ป่วย ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาลและเภสัชกร จากโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 5
หลังจากเดือนเภสัชกรโรงพยาบาลกระทุ่มแบนประสานการทางานพัฒนาระบบยาเพ่ือรองรับผู้ป่วยตามสถานการณ์
โดยการทางานรว่ มกบั สหสาขาวชิ าชพี ให้ได้มาตรฐาน โดยยึดความปลอดภัยของผ้ปู ่วยเป็นสาคญั
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่อื ป้องกันและแก้ไขปญั หาด้านยาด้วยกระบวนการบริบาลทางเภสัชกรรม เช่น การดาเนินการประสาน
รายการยา, ตดิ ตามอาการไม่พงึ ประสงคจ์ ากการใช้ยา, การตดิ ตามการใชย้ า (High Alert Drug, HAD) เปน็ ต้น
2. ผูป้ ่วยได้รบั ยาอยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม ทันเวลาทาใหเ้ กดิ ความปลอดภัยจากการไดร้ บั ยา
3. ลดภาระการทางานของทมี สหสาขาวชิ าชพี ทีร่ ่วมดแู ลผู้ป่วย

Best Practice เขตสขุ ภาพที่ 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

95

วธิ ีดาเนนิ การ
เภสชั กรพัฒนาระบบยาทโี่ รงพยาบาลสนามทองอไุ ร ดงั น้ี

ก.ย. 64 ต.ค. 64 พ.ย.64 ม.ค. 65 ก.พ.65 มี.ค. 65 (วันที่ 1-14)
(3/26)* (3/87)* (4/100 (8/248 (15/39 (12/165)*

- ภก.เขต ตรวจสอบความถูก - ภก.รพ.สนามดาเนินงาน Wk3 (6/91)* - ภก.รพ.สนามปฏิบตั ิ 7 วนั /สัปดาห์
ตอ้ งรายการยาที่แพทยส์ ัง่ , บริบาลทางเภสชั กรรม เช่น วางแผนจัด ภก.
จดั และจ่ายยา (17 กย.64) การทาประสานรายการยา, ประจาท่ีรพ.สนาม (8.00-16.00 น.)
ตดิ ตามอาการไม่พึงประสงค์ เพ่อื รองรบั จานวน
- ภก.รพ.จดั ระบบ Substock จากการใช้ยา, การสอนใชย้ า ผปู้ ่วยท่ีเพิ่มข้ึน - เร่ิมใชแ้ บบรายงานการใชย้ า
ยา-เวชภณั ฑ-์ อปุ กรณป์ อ้ งกนั เทคนคิ พเิ ศษ, การตดิ ตามการ อยา่ งรวดเร็ว
โควดิ ของเจ้าหนา้ ท่ี ใช้ยา HAD Favipiravir เพื่อแจง้ เตอื นแพทยถ์ ึง
การใช้ยา Favipiravir เปน็ วนั ท่ี 4
ป้องกันผู้ป่วยขาดยา favipiravir

- พยาบาลคีย-์ จัด-จ่ายยาสาหรับรักษาตามอาการให้ผปู้ ว่ ย - ภก.รพ.สนามปฏิบัติ 5วัน/สัปดาห์ (8.00-16.00 น.)
- ภก.รพ.ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง-เหมาะสมของการส่ังใช้ - ภก.รพ.สนามตรวจสอบคาสั่งใช้ยาจากแพทย์ คีย์ จัด จา่ ยยา ให้ผปู้ ว่ ย
- ปรบั เพิ่มรายการยาสารองท่ีรพ.สนาม
ยาFavipiravir และยาโรคประจาตวั อื่นๆ - ติดตั้งระบบพมิ พส์ ตกิ เกอร์ฉลากยาท่ีโรงพยาบาลสนาม
- วางระบบ สรา้ ง WI ใช้ ภก.หมนุ เวยี น
- ภก.รพ.สนามเข้าไปตรวจสอบการจา่ ยยา-Substock

สปั ดาห์ละ 2 วัน

- เร่มิ ใช้ Favi Daily Matrix (FDM) ติดตามการใช้ยา Favipiravir และ

หมายเหตุ : Dexamethasone

- *จานวนผู้ปว่ ยแรกรับเฉล่ีย/จานวนผู้ปว่ ยท้งั หมด

- ภก.โรงพยาบาลสนาม : เภสัชกร โรงพยาบาลกระทุ่มแบน ปฏิบตั งิ านทโ่ี รงพยาบาลสนามทองอไุ ร

ผลการดาเนินการ
จากการเก็บรวบรวมผลการดาเนนิ งาน ตง้ั แตเ่ ดือน กนั ยายน 2564 –14 มีนาคม 2565

หัวขอ้ ผลการดาเนินงาน
จานวนผปู้ ่วยทไ่ี ด้เข้ารกั ษาตัวทโี่ รงพยาบาลสนาม 1,083 ราย
จานวนผปู้ ่วยทไ่ี ด้รับ Medication Reconciliation
994 ราย (91.78%)
- พบปญั หาจากยาและแก้ไขปัญหา 28 ราย
จานวนผปู้ ว่ ยที่ติดตามการใช้ยา Hight Alert Drug
4 ราย (100%)
- แก้ไขปัญหา INR ไมอ่ ยู่ในช่วงเปา้ หมาย 2 ราย
จานวนการสอนใชย้ าเทคนคิ พิเศษรายใหม่# 5 ราย
3 ราย
- สอนการใชย้ าฉีด Insulinชนดิ Syring 2 ราย
- สอนการใชย้ าพน่ ชนดิ สดู ทางปาก

Best Practice เขตสขุ ภาพท่ี 5 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2565


Click to View FlipBook Version