30
ตารางที่ 2-5 ตารางแปลงคา่ ความเข้มขน้ กมั มนั ตรงั สี (IAEA, 2003)
1% K in rock = 313 Bq/kg 40K
1 ppm U in rock = 12.35 Bq/kg 238U, or 226Ra
1 ppm Th in rock = 4.06 Bq/kg 232Th
2.1.2 ปัจจัยทผ่ี ลกระทบตอ่ การสารวจวัดค่าความเข้มกมั มันตรังสี
Paterson (1997) และ International Atomic Energy (2003) กล่าวถึงปัจจัยท่ีมีผล
ต่อการบินสารวจวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสี ได้แก่ ปรากฏการณ์คอมป์ตัน หรือ การกระเจิงคอมป์ตัน
(Compton scattering) รังสีคอสมิก (Cosmic radiation) การแผ่รังสีของช้ันบรรยากาศ (Atmospheric
radiation) สภาพแวดล้อม (Environment) ขนาดของวัตถุท่ีวัด (Source size) ขนาดของเคร่ืองมือวัด
และความเร็วเคร่ืองบิน (Detector Volume and Aircraft speed) ความสูง (Altitude) สภาพอากาศ
(Weather) ลักษณะภมู ปิ ระเทศ (Topography or Geometry) และลกั ษณะการบินของเครอ่ื งบนิ
ปรากฏการณ์คอมป์ตนั หรือ การกระเจิงคอมปต์ นั (Compton scattering)
เป็นปรากฎการณ์ที่รังสีแกมมา วิง่ ไปชนกับอีเลคตรอนในอากาศหรือในพ้นื ผิวโลก ทาให้
พลังงานลดลงและเปล่ียนทิศทาง และการที่พลังงานของรังสีแกมมาลดลงนี้ ทาให้การวัดค่าความเข้ม
กัมมันตรังสี สงู ข้ึน หรือ ต่ากวา่ ความเป็นจริง
รังสีคอสมกิ (Cosmic radiation)
เป็นรังสีแกมมาที่เกิดมาจากอนุภาคจากอวกาศซึ่งมีประจุไฟฟ้าท่ีว่า charge particles
หรือไม่มีประจุไฟฟ้า (neutron) ชนกับนิวเครียสของอะตอมในชั้นบรรยากาศของโลก ทาให้เกิดรังสี
แกมมาพลังงานสูง คือประมาณ 3-6 Mev และพลังงานของรังสีนี้จะถูกลดลงโดยปรากฏการณ์คอมป์ตัน
คา่ พลงั งานเหลา่ นว้ี ัดรวมกบั จากรงั สที ี่วัดได้ ทาให้คา่ ทวี่ ดั ไดต้ า่ งจากความเป็นจรงิ
การแผ่รังสีของชัน้ บรรยากาศ (Atmospheric radiation)
การแผ่รังสีของก๊าซเรดอนในช้ันบรรยากาศ จะมีการสลายตัวและให้ธาตุบิสมัส (Bi214)
จากนั้นธาตุบิสมัสจะสลายตัวและให้รังสีแกมมาท่ีมีพลังงาน 1.76 Mev ซ่ึงเท่ากับพลังงานของยูเรเนียม
ของเครื่องวดั ดังนั้นก๊าซเรดอนในอากาศจะทาใหค้ า่ ความเขม้ ที่วัดไดผ้ ดิ ไปจากความจริง
สภาพแวดล้อม (Environment)
ลักษณะพ้ืนผิวภูมิประเทศ จะมีผลต่อการดูดซับความเข้มกัมมันตรังสีแตกต่างกัน เช่น
พืช ดิน หิมะ และ ความชื้น ตลอดจน การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความดัน ซ่ึงมีผลทาให้มวลของ
อากาศน้ันมีความแตกตา่ งกัน มีผลต่อการวัดค่าความเขม้ กมั มนั ตรงั สี
จากรายงาน International Atomic Energy (2003) สรุปการศึกษาของ Grasty (1997)
ดังนี้ ดินท่ีมีความช้ืนสูง ทาให้ค่ายูเรเนียมท่ีวัดได้มีค่าสูงขึ้นจากปกติ (รูปที่ 2-3) สาเหตุเน่ืองมากจาก
เรดอน ( 222Rn ) ที่ถกู เกบ็ ไวใ้ นช่องว่างของดิน หรอื ในดนิ มปี ระมาณ 20% and 40%
ในการบนิ สารวจกัมมันตรังสีทางอากาศ ในการแก้ปญั หาค่ายูเรเนียมที่เกิดจากเรดอนใน
ธรรมชาติ ดาเนนิ การโดยบนิ สารวจเหนือแหลง่ นา้ ขนาดใหญ่
31
รูปที่ 2-3 เปรียบเทียบปริมาณความช้ืนกับปริมาณความเข้มข้นของเรดอน (International Atomic Energy,
2003)
ขนาดของวัตถุทีว่ ัด (Source size)
ขนาดของวัตถุท่ีวัด (รูปท่ี 2-4) เม่ือทาการวัดค่าท่ีระดับความสูงเท่ากัน วัตถุท่ีทาการวดั
ถ้ามีความกว้างไม่จากัด (infinite source) ค่าที่วัดได้จะเป็นค่าของวัตถุนั้น ในทางกลับกันถ้าวัตถุมีความ
กว้างน้อย (Finite Source) กว่ารัศมีการวัด ค่าที่วันได้จะได้รับผลกระทบจากวัตถุข้าง ๆ ซึ่งทาให้มีค่า
กมั มันตรังสีทว่ี ดั ได้ มากขึน้ หรอื นอ้ ยลงขึ้นอยูก่ ับวตั ถนุ ัน้
รูปท่ี 2-4 แสดงความกว้างของวัตถุท่ีทาการวัดที่มีระยะจากัด (finite source) และระยะอนันต์ (Infinite
Source) (Paterson,1997)
32
ขนาดของเครอ่ื งมือวัดและความเรว็ เครอื่ งบนิ (Detector Volume and Aircraft speed)
การวัดคา่ ความเขม้ กมั มันตรงั สี เปน็ การวัดอัตราการแตกตัวของรงั สีแกมมา การวัดค่าใน
เบ้ืองต้น หน่วยนับคือ count/sec ดังนั้นความเร็วของเคร่ืองบินและขนาดของเคร่ืองมือในการวัด ต้องมี
การคานวณให้เหมาะสม ถา้ เครอ่ื งบนิ มคี วามเร็วสูงข้นึ ขนาดของเคร่อื งมอื วดั ควรมขี นาดใหญ่ขนึ้ ดว้ ย
ความสูง (Altitude)
ความสูงของเคร่ืองมือวัด (Detector) เป็นอีกปัจจัยท่ีมีผลต่อการวัดค่าความเข้ม
กัมมนั ตรงั สี จาก รูปท่ี 2-5 เม่อื ความสูงเพ่มิ ขน้ึ ค่าความเข้มกมั มันตรังสมี คี ่าลดลง
รูปที่ 2-5 แสดงความสัมพันธ์ของค่าความเข้มกัมมันตรังสี ที่ระดับความสูงแตกแต่งกัน ของค่ากัมมันตรังสีรวม
โพแทสเซียม ยูเรเนยี ม และ ทอเรยี ม (IAEA, 2003)
สภาพอากาศ (Weather)
International Atomic Energy (2003) สรุปจากการศึกษาของ Charbonneau and
Darnley (1970) ช่วงเวลาทฝ่ี นตก การวดั ค่ายูเรเนยี ม สูงขน้ึ กว่า 2,000 เปอรเ์ ซน็ ต์ การสารวจวัดคา่ ความ
เข้มกัมมันตรังสีไม่ควรดาเนินการขณะฝนตก ซึ่งปรากฎการณ์น้ีจะเข้าสู่สภาวะปกติใช้เวลาประมาณ 3
ชว่ั โมง
ลกั ษณะภูมิประเทศ (Topography or Geometry)
นอกจากน้ีลักษณะทางภูมิประเทศ ของวัตถุท่ีทาการวัดนั้น มีผลต่อการบินสารวจวัดค่า
ความเข้มกัมมันตรังสี (รูปที่ 2-6) อย่างไรก็ลักษณะน้ี ในการบินสารวจนามาพิจารณาในการแก้ไขค่าจาก
การวัดความเข้มกัมมันตรังสีอีกด้วย พ้ืนท่ีราบนั้นเป็นพื้นท่ี ที่ผลการวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสีวัดได้ค่า
จากวัตถุตน้ กาเนดิ ไม่แสดงค่าทสี่ งู เกิน หรือน้อยเกนิ จากลกั ษณะภูมปิ ระเทศ
33
รูปที่ 2-6 แสดงลกั ษณะภูมิประเทศทแี่ ตกต่างกัน ทาให้ไดผ้ ลการวดั ทแี่ ตกตา่ งกนั (Grasty, 1976)
ลกั ษณะการบนิ ของเครือ่ งบนิ
ลักณะการบินของภูมิประเทศท่ีสูงชัน เนื่องจากเครื่องบินมีการเอียงตัวทาให้ตาแหน่ง
และความสูง ทีว่ ดั ค่าความเขม้ กัมมนั ตรงั สี แตกตา่ งจากความเปน็ จรงิ
รูปที่ 2-7 แสดงลักษณะการบินกับลักษณะภูมิประเทศที่มีผลต่อต่าแหน่ง และความสูง ต่างไปจากความเป็นจริง
(Potisat, 1989)
34
2.1.3 การประยุกต์ใชข้ อ้ มลู ความเขม้ กมั มนั ตรงั สี
ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสีสามารถประยุกต์ใช้ในการศึกษาด้าน ธรณีวิทยา ด้าน
ธรณีวิทยาแหล่งแร่ และด้านธรณีวิทยาสิง่ แวดล้อมซ่ึงการวัดค่าคามเขม้ กัมมันตรังสีนั้นเป็นการวดั ค่าความ
เข้มกัมมันตรังสีที่ระดับพ้ืนผิว ท่ีความลึกไม่เกิน 35 เซนติเมตร (IAEA, 2003) ดังนั้นขบวนการต่าง ๆ ท่ี
เกดิ บนพนื้ ผิวอาจมผี ลตอ่ การวดั คา่ ความเขม้ กัมมนั ตรงั สี
เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อค่าความเข้มกัมมันตรังสี การ
ประยุกต์ใช้ข้อมูลกัมมันรังสีในรายงานฉบับน้ีจึงได้จัดกลุ่มตาม Gunn and et.al (1997) เป็น 3 กลุ่ม
ได้แก่ หินท่ีไม่ผุพัง (unweathered bedrock) หินท่ีผุพัง (weathered bedrock) และ วัตถุท่ีถูกพัดพา
(transport material)
ปัจจุบันการกระทาของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ มีผลต่อการวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสี
ดังนั้นผู้เขียนเพิ่ม บริเวณที่ได้รับผลกระทบจากมนุษย์ด้วย (Anthropogenic) ในการประยุกต์ใช้ข้อมูล
ความเข้มกัมมันตรังสี ดังน้ันในหัวข้อน้ีจึงแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ หินท่ีไม่ผุพัง หินที่ผุพัง ท่ีถูกพัดพา และ
บรเิ วณทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากมนุษย์
2.1.3.1 หินทไี่ ม่ผุพัง (Unweathered Bedrock)
การประยุกต์ใช้ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี กับหินที่ไม่ผุพัง (Unweathered Bedrock)
ซึ่งส่วนใหญ่พบเป็นพื้นท่ีขนาดเล็ก พบว่าหินโผล่ที่ต่างชนิดกันจะมีปริมาณค่าความเข้มกัมมันตรังสีท่ี
แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของแร่นั้น ๆ สาหรับหินอัคนีค่าความเข้มกัมมันตรังสีมี
แนวโน้มมีค่าสงู ขน้ึ เมอ่ื หนิ อัคนมี ีความเป็นเฟลสกิ มากข้ึน (รูปที่ 2-8)
การประยุกต์ใช้ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี ในการจัดทาแผนท่ีธรณีวิทยา ค่าความเข้ม
กัมมันตรังสีเป็นค่าโดยรวมของ หินท่ีไม่ผุพงั และผุพงั รวมทั้งตะกอนที่มีตน้ กาเนิดมาจากหินนั้น ไม่ได้หิน
โผล่ทั้งหมด เช่น ขุนตาลแกรนิต ลักษณะของหินที่ไม่ผุพังและโผล่ให้เห็นได้แก่ หินแกรนิตบริเวณเขาเต่า
ซึ่งอย่หู ่างจากอาเภอหัวหนิ ประมาณ 13 กโิ ลเมตร
อย่างไรก็ตามข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการจัดทาแผนที่
ธรณีวิทยาพ้ืนผิวได้และในอนาคตข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสีท่ีมีความละเอียดสูงขึ้นจะสามารถแสดง
ลกั ษณะความเข้มกมั มนั ตรงั สขี องหนิ ท่ไี ม่ผพุ ัง กับหนิ ทีผ่ พุ งั ออกจากกนั ได้
35
รูปที่ 2-8 14 ค่าความเข้มกัมมันตรังสี K, U & Th ในหินอัคนีเมื่อมีค่า Si content เพ่ิมมากขึ้น
(Gunn et al., 1997)
Weihermann and et.al. (2016) ประยุกต์ใช้ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสีศึกษา
หินแกรนิตบริเวณ Paranaguá Terrane ทางตอนใต้ของบราซิล ท่ีระดับความสูง 1,200 เมตร ถึง 1,800
เมตร จากระดับน้าทะเล ซ่ึงยากต่อการเข้าถึง จากข้อมูลการบินสารวจในแนวทิศเหนือ-ใต้ มีระยะห่าง
ระหว่างแนวบิน 500 เมตร ท่รี ะดบั ความสงู 100 เมตร
แผนที่ความเข้มกัมมันตรังสีเทอร์นารี (รูปที่ 2-9 ) ในระบบบ RGB โดยให้โพแทสเซียม
แสดงสีแดง ทอเรียม แสดงสีเขียว ยูเรเนียมแสดงสีน้าเงิน ซ้อนทับกับแผนท่ีความสูงเชิงเลข (DEM) และ
เส้นทางน้า บริเวณที่แสดงสีออ่ นในแผนที่เป็นบรเิ วณที่มีค่ากัมมนั ตรังสีสูง บริเวณท่ีมีสีเข้มเปน็ บริเวณที่คา่
กัมมันตรังสีต่า แนวตัดขวาง x-x’ ในแผนที่แสดงแผนที่ภาคตัดขวาง (รูปท่ี 2-10) จากข้อมูลความเข้ม
กัมมันตรังสี และข้อมูลธรณีสัณฐานวิทยา สามารถจาแนกหินแกรนิตออกเป็น 3 หน่วย ได้แก่ 1) หน่วย
หินแกรนิตชุด Canavieiras–Estrela Suite (ด้านตะวันตกของแผนท่ี) ซึ่งมีค่ากัมมันตรังสีปานกลาง 2)
หนว่ ยหินแกรนติ ชดุ Rio do Poço มีคา่ กมั มันตรงั สตี า่ 3 หนว่ ยหิแกรนติ ชุด Morro Inglês Suite อยดู่ า้ น
ตะวนั ออกของแผนที่ ซ่งึ มคี ่ากัมมันตรังสสี งู แผนท่กี ัมมนั ตรงั สเี ทอรน์ ารีแสดงสีไมส่ ม่าเสมอเนื่องจากขอ้ มลู
การบินสารวจเป็นข้อมูลที่มีความละเอียดสูง ทาให้สามารถ แยกบริเวณท่ีเป็นหินโผล่ และบริเวณท่ีเกิด
จากการเคล่ือนตวั ของมวล (Mass Movement) ได้
36
รูปท่ี 2-9 แผนที่กมั มันตรังสีเทอร์นารีซ้อนทับกบั ข้อมูลความสูง และทางน้า แสดงผลในระบบ RGB หรอื Reverse
CMY ซ่งึ บรเิ วณทค่ี า่ ความเข้มกมั มนั ตรงั สีสูงแสดงสีอ่อน Weihermann and et.al. (2016)
รปู ที่ 2-10 แผนทีภ่ าคตัดขาว x-x’ แสดงภาพจาลองของหินแกรนติ จากข้อมลู ความเขม้ กัมมันตรังสี
37
2.1.3.2 หนิ ทีผ่ ุพงั (Weathered Bedrock)
การสารวจวัดค่ากัมมันตรังสีน้ัน สามารถวัดค่าลึกลงไปจากผิวดินไม่เกิน 35 เซนติเมตร
(IAEA, 2003) ดังน้นั การวดั คา่ ความเข้มกมั มันตรังสีทางอากาศเป็นการวัดดนิ ที่ปิดทบั หินท่ผี ุพงั ทงั้ น้ขี ้ึนอยู่
กับปัจจัยการเกิดดิน ได้แก่ หินต้นกาเนิด (parent material) เวลา (Time) ภูมิอากาศ (Climate) ระดับ
ความสงู (elevation) สงิ่ มชี ีวติ (organism) และกระบวนการผพุ งั (weathering process)
การศึกษาดินที่มีต้นกาเนิดจากหินแกรนิต โดย Dickson and et.al., (1997) และ
Wilford and et.al (1997) และ ดินที่มีต้นกาเนิดจากหินไดออไรต์ และหินบะซอลต์ (Dickson and
et.al., 1997) แสดงให้เห็นความแตกต่างของค่ากัมมันตรังสีที่เปลี่ยนแปลงไปจากหินต้นกาเนิด อย่างไรก็
ตามจาก รูปท่ี 2-11 และ รูปท่ี 2-12 ดินท่ีเกิดจากหินแกรนิต มีค่าความเข้มกัมมันตรังสี โพแทสเซียม
ยเู รเนยี ม และทอเรยี ม สงู กวา่ ดินท่มี ีตน้ กาเนิด จากหินไดออไรด์ และหินบะซอลต์
รูปท่ี 2-11 หน้าตัดดิน ที่มีต้นกาเนิดจากหินแกรนิต เปรียบเทียบกับค่า โพแทสเซียม ทอเรียม และยูเรเนียม ตอน
เหนือของรัฐควีนแลนด์ ออสเตรเลีย(ซ้าย) (Wilford and et.al, 1997) และบริเวณรัฐนิวเซาว์เวลส์ (ขวา)
(Dickson and et.al., 1997)
รูปท่ี 2-12 การกระจายตัง ของโพแทสเซียม ยูเรเนียม และทอเรียม ในช้ันดินที่เกิดจาก หินไดออร์ไรด์ (ซ้าย) และ
บะซอลต์ (ขวา) (Dickson and et.al., 1997)
Dickson and et.al. (1997) อธิบายถึงปริมาณโพแทสเซียมท่ีเกี่ยวข้องกับการ
เปล่ียนแปลง (alteration) โพแทสเซียมมีคา่ เพิม่ มากขึ้นในหนิ ตน้ กาเนิด ในขบวนการเกิดแบบแหล่งแรน่ ้า
ร้อน (Hydrothermal deposit) ตัวอย่าง เช่น แหล่งแร่ porphyry Cu-Au โพแทสเซียมมีค่าสูงข้ึนใน
บริเวณที่เกิดขบวนการเปลี่ยนแปลง (รูปท่ี 2-13 บน) แหล่งแร่ทองคา พบได้ทั้งบริเวณท่ีมีค่าโพแทสเซียม
38
สูงขึ้น และค่าโพแทสเซียมต่าลง จาก รูปที่ 2-13 (ล่างขวา) ค่าโพแทสเซียมสูงข้ึน บริเวณที่เกิด Potassic
alteration ส่วนค่าโพแทสเซยี มมีค่าต่า พบในบริเวณทีเ่ ป็น Silicification alteration
รูปท่ี 2-13 แบบจาลองการกระจายตัวของ โพแทสเซียม ยูเรเนียม และทอเรียม บริเวณแหล่งแร่ Porphyry Cu-
Au (ภาพบน) และแหลง่ แรท่ องคา (ภาพลา่ ง) ประเทศออสเตรเลยี (Dickson and et.al., 1997)
2.1.3.3 ตะกอนทถี่ กู พดั พา (Transport Material/soil/regolith)
ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสีสามารถแสดงผลเช่นเดียวกับแผนท่ีธรณีเคมีของธาตุ
โพแทสเซียม ยูเรเนียม และทอเรียม ของหินและเรโกริธ (regolith) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการผุพังใน
ปัจจุบันและอดีต ตลอดจนลักษณะธรณีสัณฐานวิทยาของพ้ืนที่ ( Wilford and et.al,1997) ค่า
กัมมันตรังสีของตะกอนที่ถูกพัดพา ได้แก่ alluvial colluvial และ Aeolian ซึ่งขึ้นอยู่กับหินต้นกาเนิด ถ้า
หินต้นกาเนิดมีค่ากัมมันตรังสีสูง ค่าความเข้มกัมมันตรังสีจะมีค่าสูงเช่นเดียวกันกับหินต้นกาเนิด
นอกจากน้ีลักษณะธรณีสัณฐานวิทยา มีความสัมพันธ์กับค่าความเข้มกัมมันตรังสี โดยบริเวณท่ียังเกิด
ขบวนการสะสมตัว เช่น ทางน้าที่ยังมีน้าไหลผ่าน ค่าความเข้มกัมมันตรังสีมีค่าใกล้เคียงกับหินต้นกาเนิด
สว่ นทางน้าเก่า คา่ ความเข้มกมั มนั ตรงั สีบรเิ วณนัน้ แตกต่างจากหนิ ตน้ กาเนิด
39
รูปท่ี 2-14 (บน) ภาพสามมิติ ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสีเทอร์นารี (K=สีแดง Th=สีเขียว U=สีน้าเงิน) A=บริเวณ
หน้าผาชันของหินแกรนิต (B) ตะกอนน้าพา (c) ดินท่ีสะสม ล่าง ภาพตัดขาง x-x’ แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล
ความเขม้ กมั มนั ตรงั สแี ละธรณีสณั ฐานวทิ ยา
40
2.1.3.4 ผลกระทบจากมนุษย์ (Anthropogenic)
ปัจจุบันมนุษย์ มีส่วนเข้ามาเก่ียวข้องกับขบวนการทางธรณีวิทยา ซ่ึงมีผลทาให้ค่าความ
เขม้ กมั มนั ตรงั สีเปลี่ยนแปลงไป เช่น พ้ืนที่ทาเหมอื งแร่ พนื้ ท่ีการเกษตร พน้ื ทีต่ ัวเมือง
การประยุกต์ใชข้ ้อมูลความเข้มกัมมันตรังสีในดา้ นโบราณคดนี ้ัน ข้ึนอยู่กับความแตกต่าง
ของค่าความเข้มกัมมนั ตรังสีของแหล่งทตี่ ้องการศึกษา กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ (Moussa, 2001) ไดใ้ ช้
เครื่องมือวัดความเข้มกัมมันตรังสีในการหากาแพงท่ีทาจากดินเผา ซึ่งมีปริมาณโพแทสเซียม มากกว่า
บริเวณโดยรอบ และจากผลการศึกษา ค่าโพแทสเซียม และ ค่ากัมมันตรังสีรวม สามารถกาหนดขอบเขต
ของกาแพง ไดด้ กี ว่าค่ายเู รเนียม และ ทอเรยี ม
รูปท่ี 2-15 แสดงเสน้ ชัน้ ความเข้มกัมมนั ตรงั สีรวม โพแทสเซียม ยเู รเนยี ม และ ทอเรยี ม ตามลาดับ ในการสารวจหา
กาแพงโบราณ (Moussa, 2001)
The Geological Survey of Sweden (2018) ได้เตรยี มความพร้อมเพอื่ ความปลอดภัย
ดา้ นพลังงานนวิ เคลียร์ ภายหลังจากที่มีอุบัตเิ หตเุ กดิ ขน้ึ ท่โี รงไฟฟา้ นิวเคลียรท์ ่ี Chernobyl ในปี ค.ศ.1986
โดยใช้การบินสารวจวัดค่าความเขม้ กมั มนั ตรงั สี ในการจดั ทาแผนที่ radioactive fallout ซึง่ เป็นวธิ ีการที่
สามารถดาเนินการได้อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมพ้ืนที่บริเวณกว้าง Sanderson (2004) ได้รายงานการ
บินสารวจความเข้มกัมมันตรังสี พื้นท่ีโรงงานผลิตนิวเคลียร์ประเทศ เบลเย่ียม เพื่อเป็นข้อมูลพ้ืนฐานใน
การควบคุมความปลอดภยั
41
รปู ที่ 2-16 Gamma-ray dose rate บริเวณโรงงานผลิตนวิ เคลียร์ Mol-Dessel เบลเย่ียม
2.2 ความเข้มสนามแม่เหลก็
การสารวจวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก เป็นการวัดค่าเข้มสนามแม่เหล็กโลกท่ีเกิดการ
เบี่ยงเบน โดยวัตถุที่มีคุณสมบัตคิ วามเป็นแม่เหล็ก
รปู ท่ี 2-17 ภาพแสดงคา่ ความเขม้ สนามแม่เหล็กท่ีเบ่ยี งเบนไปจากเดมิ เนอ่ื งจากถงั เหล็กทฝ่ี งั ไว้ (geosphere,
2007)
42
2.2.1 ความเปน็ แม่เหล็ก
คุณสมบัติความเป็นแม่เหล็กสามารถจาแนกได้ 3 แบบได้แก่ 1) diamagnetic หรือไม่มี
ความเป็นแม่เหล็ก 2) Paramagnetic มีคุณสมบัติคามเป็นแม่เหล็กเสมือน และ 3) Ferromagnetic มี
ความเป็นแมเ่ หลก็ ความเปน็ แม่เหลก็ ของหินชนดิ ตา่ ง ๆ ดังรูปท่ี 2-18
รปู ที่ 2-18 ความเป็นแม่เหล็ก (Magnetic Susceptibility) ของหินชนดิ ต่าง ๆ (Clark, 1997)
43
2.2.2 การแปลความหมายขอ้ มลู ความเข้มสนามแม่เหล็ก
ข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็ก สามารถดาเนินการประมวลผลและแปลความหมายได้
หลากหลายวิธี สาหรับการศึกษาลักษณะเด่นของข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็ก ในการศึกษาน้ี ใช้การ
ประมวลผลข้อมูลเป็นเสน้ ชัน้ ความเข้มสนามแมเ่ หล็ก โดยใช้คุณสมบตั ิของเส้นช้ันความเขม้ สนามแม่เหลก็
ได้แก่ relief, base-level, wavelength symmetry และรูปร่างของเส้นชั้นความเข้มสนามแม่เหล็ก
ลักษณะการใช้เส้นชั้นความเข้มสนามแม่เหล็กใช้หลักการเดียวกันกับที่ใช้เส้นช้ันความสูงจาแนกความ
แตกต่างของข้อมูลธรณีวิทยา คือ หน่วยหินท่ีมีเส้นชั้นความเข้มสนามแม่เหล็กแตกต่างกัน มีคุณสมบัติ
ความเป็นแมเ่ หลก็ แตกตา่ งกัน
รูปที่ 2-19 การแปลความหมายข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็กโดยใช้เส้นช้ันความสูง โดยใช้ความแตกต่างของ
relief base-level wavelength และ symmetry นอกจากนี้ใช้ลักษณะรูปร่างของเส้นชั้นความเข้ม
สนามแมเ่ หล็ก
รปู ที่ 2-20 ลักษณะเส้นชัน้ ความเข้มสนามแม่เหลก็ แสดงรปู ร่างแบบ round หรอื angular
บทท่ี 3
ประวตั กิ ารบินสารวจธรณฟี สิ กิ สท์ างอากาศในประเทศไทย
และการพฒั นาเทคโนโลยใี นการบินสารวจธรณีฟสิ กิ ส์ทางอากาศ
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศครอบคลุมพ้ืนท่ีเกือบท้ังหมดของประเทศไทยได้
ดาเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2527-2533 ซ่ึงเป็นข้อมูลท่ีนามาใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ อย่างไรก็ตาม ประวัติ
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทาอากาศท่ีเคยดาเนินการในประเทศไทย ตลอดจนการสารวจความเข้ม
สนามแม่เหล็กในทะเลไดร้ วบรวมไวใ้ นในบทนด้ี ว้ ย
นอกจากนี้ ได้สรุปผลการบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศท่ีดาเนินการก่อนปี พ.ศ.
2527 สาหรับผลการสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศดาเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2527-2533 ได้จัดทาเป็น
รายการรายงานไวใ้ นภาคผนวก
เพอื่ เปน็ แนวทางในการดาเนนิ การสารวจธรณีฟสิ กิ สท์ างอากาศ ในอนาคต จงึ ได้รวบรวม
เทคโนโลยีการบนิ สารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศในยุคปัจจุบนั เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีท่ี
ได้พัฒนาข้ึน เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีการบินสารวจในอดีตท่ีผ่านมา จนถึงเทคโนโลยีการบินสารวจใน
ปัจจบุ ัน ด้านเทคโนโลยกี ารสารวจนน้ั ไดก้ ลา่ วถึงเทคโนโลยีการสาการสารวจธรณีฟสิ กิ สข์ องอากาศยานไร้
คนขับในภาพรวม รวมทัง้ ประเทศกลมุ่ สมาชิก CCOP ทไี่ ด้ใชเ้ ทคโนโลยนี ีใ้ นการสารวจด้วย
3.1 ประวัตกิ ารบนิ สารวจธรณีฟสิ กิ ส์ทางอากาศในประเทศไทย
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศในประเทศไทย ดาเนินการสารวจข้ึนคร้ังแรกในปี
พ.ศ. 2497 โดยบริษัท Hunting Geophysics โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาโครงสร้างทางธรณีวิทยาท่ี
เหมาะสมในการสารวจแหล่งน้ามัน ในการดาเนินการสารวจครั้งนี้ บินสารวจเฉพาะข้อมูลความเข้ม
สนามแมเ่ หล็กบรเิ วณที่ราบเจา้ พระยาตอนล่าง (Mineral Resource Development project,1989)
การบนิ สารวจธรณีฟิสิกสใ์ นประเทศไทยในระหว่างปี 2502-2512 มีวัตถุประสงค์หลักใน
การสารวจแร่ และผลการสารวจอาจแสดงผลให้เห็นถึงลักษณะธรณีวิทยาโครงสร้างอีกด้วย (ปรีชา ศุภ
ลักษณ์ ,2519) และในขณะนั้นได้มีการจัดทาแผนงานของโครงการท่ีจะดาเนินการบินสารวจธรณีฟิสิกส์
ทางอากาศครอบคลุมเกือบทั้งประเทศ สาหรับการบินสารวจในระหว่างปี 2502-2503 แบ่งออกเป็น 4
ช่วงเวลา สรุปไดด้ ังนค้ี ือ
ในปี พ.ศ. 2502 กรมทรัพยากรธรณี หรือ กรมโลหะกิจในขณะนั้น ได้รับความร่วมมือ
จากองค์กรบริหารวเิ ทศกิจแหง่ สหรฐั อเมริกา หรือ U.S agency for international Development โดย
ให้บริษัท Aero Service Corporation บินสารวจค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก และ Scintillometer หรือ
การวัดค่ากัมมันตรังสีรวม ซ่ึงดาเนินการต่อเนื่องจนถึงปี 2503 ในการบินสารวจในคร้ังน้ี มีการสารวจ
ด้วยกัน สามรูปแบบ คือ 1) เป็นการบินสารวจเป็นพื้นที่ จานวนสามพ้ืนที่ ได้แก่ พื้นที่จังหวัดเลย พ้ืนที่
ตอนใต้ของจังหวัดนครสวรรค์ และพื้นท่ีตอนใต้ของจังหวัดฉะเชิงเทรา 2) มีการบินสารวจเป็นรูป
สามเหลีย่ ม 3) การบินสารวจแบบนเสน้ แนวบนิ เดีย่ วจานวน 9 แนวบนิ บรเิ วณท่รี าบสูงโคราช (รูปที่ 3-1)
45
ในปี พ.ศ. 2506 มีการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี มี
วัตถปุ ระสงคเ์ พื่อหาแหล่งแร่เหลก็ โดยไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากสหพนั ธส์ าธารณรัฐยอรมนั
ในปี พ.ศ. 2508 มีการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กพ้ืนท่ีจังหวัดเลยอีกครั้ง โดย
บริษัท Hunting Geophysics สาหรับพ้ืนที่จังหวัดเลยนี้ ได้มีการเขียนรายงานการศึกษาไว้ใน USGS
professional paper 618 “Mineral Investigations in Northeastern Thailand”
ในปี พ.ศ 2512 มีการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กต่อเนื่องกับพื้นที่ที่ดาเนินการ
สารวจในปี พ.ศ.2502-2503 ครอบคลุมพน้ื ทบี่ ริเวณจังหวดั ฉะเชงิ เทรา และจงั หวดั ชลบรุ ี
ในปี พ.ศ. 2523 การบนิ สารวจความเข้มสนามแมเ่ หลก็ และความเขม้ กัมมนั ตรงั สีบรเิ วณ
ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยบรษิ ัท Sander Geophysics Limited
ในระหว่างปี พ.ศ.2527-2533 กรมทรัพยากรธรณีได้ว่าจ้างบริษัท Kenting Earth
Sciences International Ltd. เป็นผู้ดาเนินการบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศทั่วประเทศ โดยบิน
สารวจความเข้มสนามแมเ่ หล็ก ความเข้มกัมมันตรงั สี และการสารวจวดั คา่ ความเขม้ สนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
นอกจากนี้การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศในประเทศไทย ยังมีบริษัทท่ีดาเนินการ
สารวจแร่ / น้ามันในประเทศไทย จ้างบริษัทบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ บริเวณพื้นท่ี ท่ีได้สัมปทาน
สารวจแร่
ตารางที่ 3-1 การบินสารวจธรรณีฟิสิกส์ทางอากาศของประเทศไทย โดยกรมทรัพยากรธรณีเป็นผู้จ้างสารวจหรือ
ไดร้ บั ความร่วมมอื จากตา่ งประเทศ
ลาดบั ที่ บรษิ ทั ทด่ี าเนนิ การ พื้นที่สารวจ ระยะทาง ปีท่ีดาเนนิ การ
(กิโลเมตร) 2502- 2503
2507
1 Aero Service จ.เลย จ.นครสวรรค์, 2522
2527-2533
ฉะเชิงเทรา 12,368 2527-2528
2527-2530
2 Hunting Geophysics อ.เชยี งคาน-จ.เลย 2530-2531
3 Sander Geophysics ภาคตะวนั ออก
4 Kenting Earth Sciences ทว่ั ประเทศ
Survey A 497,250
Survey B&C 301,390.17
Follow-Up Survey 45,297
3.2 ผลจากการบินสารวจธรณฟี ิสิกส์ทางอากาศ กอ่ นปพี .ศ. 2527
ผลการสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศท่ีดาเนินการก่อนปี พ.ศ.2527 ได้แก่ 1) การบิน
สารวจดาเนินการบินสารวจโดย บริษัท Aero Service พื้นท่ี จังหวัดเลย จังหวัดนครสวรรค์ และ จังหวัด
ฉะเชิงเทรา 2) การบินสารวจดาเนินการโดยบริษัท Hunting Geophysics พื้นที่ อาเภอเชียงคาน-จังหวัด
เลย และ 3) การบินสารวจดาเนินการโดยบริษทั Sander Geophysics พืน้ ที่ภาคตะวันออก
3.2.1 การบนิ สารวจโดยบริษัท Aero Service Cooperation
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศโดยบริษัท Aero Service Cooperation
(W.B.Agocs and et.al.,1959) เร่ิมดาเนินการเม่ือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2502 และส้ินสุดโครงการวันท่ี 3
46
พฤษภาคม 2503 ครอบคลมุ พ้นื ที่ 6,140 ตารางกิโลเมตร รวมเปน็ ระยะทาง 12,368 กโิ ลเมตร ดาเนินการ
บนิ สารวจโดยใช้เครือ่ งบนิ Twin engine, Piper Apache เครื่องมือวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก ของ Gulf
Research and Development Mark III, satturable core, total magnetic field detector แ ล ะ
เครื่องมือวัดความเข้มกัมมันตรังสี Counting rate meter-Mt Sopris SC156A Detector Head-Mt.
Sopris Sc118DA โดยใช้ thallium activated sodium iodide ขนาด 5 น้ิว โดยบินสารวจวัดค่าความ
เข้มสนามแมเ่ หล็ก และความเข้มกัมมนั ตรังสีรวม จานวน 3 พ้นื ท่ี ไดแ้ ก่ พื้นที่ 1 พน้ื ท่ีเชียงคาน-เลย พ้นื ที่
2 นครสวรรค์ พื้นที่ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา และนอกจากน้ีได้บินเป็นเส้นบนิ เดี่ยวจานวน 9 แนวบิน โดยมี
วัตถุประสงค์ในการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็ก เพ่ือหาแหล่งแร่เหล็ก และลักษณะโครงสร้าง
ธรณีวิยาทีม่ ีความเหมาะสมในการเกิดแร่
รปู ที่ 3-1 แผนท่ีเสดงพื้นทกี่ ารบินสารวจโดยบริษทั Aero Services Cooperation (W.B.Agocs and et.al., 1959)
ตารางท่ี 3-2 ข้อมลู การบนิ สารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศในแต่ละพื้นท่ี (W.B.Agocs and et.al., 1959)
รายการ พนื้ ท่ี 1 (เชียงคาน-เลย) พื้นที่ 2 (นครสวรรค)์ พ้นื ท่ี 3 (ฉะเชิงเทรา)
ครอบคลุมพนื้ ท่ี (ตร.กม) 3,050 830 2,260
ระยะห่างระหวา่ งแนวบิน (ก.ม.) 0.8 0.4 0.4
ระยะหา่ งระหวา่ งแนวควบคมุ (กม.) 7.5 15.0 15.0
ทิศทางการบนิ N 30 W N-S N-S
ความสงู การบิน (ม.) 225 160 160
Magnetic Inclination 20 23 9
47
การบินสารวจแนวบนิ เดยี่ ว
แนวบินสารวจเด่ียวบริเวณท่ีราบสูงโคราช โดยที่แนวบิน 1 2 4 5 6 9 บินในแนว
ตะวนั ออก-ตะวนั ตก ไดแ้ ก่
แนวบนิ ท่ี 1 บนิ จากสระบุรี ไปนครราชสีมา
แนวบนิ ท่ี 2 ตอนใตข้ องแผนที่ระวาง 1:50,000 อาเภอพิมาย
แนวบินที่ 3 บินจากบรุ รี ัมย์ไปมหาสารคาม
แนวบินท่ี 4 และ 9 บินขนานกันโดยมีระยะห่าง 5 กิโลเมต จากมหาสารคมบินไปทาง
ตะวันตกเฉยี งเหนอื
แนวบินท่ี 5-6 บนิ ขนานกันโดยมีระยะหา่ ง 6 กิโลเมตร จากอดุ รธานไี ปทางตะวนั ตกเฉียง
เหนือ
แนวบินที่ 13-14 บินขนานกันมีระยะห่างง 20 กิโลเมตร ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
จากแนวบนิ ท่ี 4 และ 9
พื้นที่ 1 (เชียงคาน-เลย) การบินสารวจพ้ืนท่ีเขียงคาน-เลย บินในแนว N30W มี
ระยะห่างระกว่างแนวบิน 0.8 กิโลเมตร ท่ีระดับความสูง 225 เมตร (รูปที่ 3-2) W.B.Agocs and et.al.,
(1959) แปลความหมายความเข้มสนามแม่เหล็ก พบค่าผิดปกติ จานวน 12 หน่วย ส่วน การวัดค่าความ
เขม้ กัมมันตรงั สไี มส่ ามารถนาขอ้ มลู มาแสดงผลใด ๆ ได้ ลกั ษณะความเข้มสนามแมเ่ หลก็ ท่พี บ มีทั้งทแี่ สดง
ลักษณะ induce magnetization (คู่ของความความเข้มสนามแม่เหล็กมีค่าลบอยู่ทิศเหนือ ) และ
remnant magnetization ( คู่ของความเข้มสนามแมเ่ หลก็ บวกอยู่ทิศเหนอื ) แสดงลักษณะ Long wave
length มีค่าแอมพลิจูดความเข้มสนามแม่เหล็ก ตั้งแต่ 100nT ถึง 300 nT ยกเว้น ค่าผิดปกติ ทางด้าน
ตะวันตกเฉียงใต้ของพ้ืนท่ีศึกษาที่เปน็ Short wave length Anomaly ความเข้มสนามแม่เหล็กพื้นที่นี้ มี
ความสัมพนั ธก์ บั หนิ อคั นีชนดิ เบสิก
รปู ท่ี 3-2 พ้นื ที่ 1 (เชยี งคาน-เลย) บนิ สารวจในแนวบนิ N 30 W และมรี ะยะหา่ งระหว่างแนวบนิ
48
พืน้ ท่ี 2 (นครสวรรค์) การบินสารวจพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ บนิ ในแนวทิศเหนือ-ทิศใต้
โดยใช้ระยะห่างระหว่างแนวบิน 0.4 กิโลเมตร ที่ระดับความความสูง 160 เมตร (รูปที่ 3-3) W.B.Agocs
and et.al. (1959) จาแนก ค่าผิดปกติจากความเข้มสนามแม่เหล็ก ได้ 8 หน่วย และแบ่งความแตกต่าง
ของความเข้มกัมมันตรังสีออกเป็น 4 หน่วย โดยค่าแอมพลิจูดของความเข้มสนามแม่เหล็กพ้ืนที่นี้มีค่าต่า
กว่า พื้นที่ 1 โดยมีค่าประมาณ 80-100 nT มีความสัมพันธ์กับขบวนการแปรสภาพ และจากการแทรกดัน
ของหินอัคนีข้างล่าง ซึ่งค่าผิดปกติความเข้มสนามแม่เหล็ก แสดงให้เห็นในพ้ืนที่น้ีอยู่ในระดับตื้น สาหรับ
ค่าความเข้มกัมมันตรังสีที่แบ่งเป็น 4 หน่วยน้ันเพียงแสดงค่าลักษณะทางธรณีวิทยา หรือลักษณะดินท่ี
แตกตา่ งกันในพน้ื ทส่ี ารวจ
รปู ท่ี 3-3 แสดงพื้นทแ่ี ละแนวบินสารวจ พ้ืนที่ 2 นครสวรรค์ (W.B.Agocs and et.al., 1959)
พ้ืนที่ 3 (ฉะเชิงเทรา) การบินสารวจพ้ืนท่ีฉะเชิงเทรา บินในแนวทิศเหนือ-ทิศใต้ โดยมี
ระยะห่างระหว่างแนวบิน 0.4 กิโลเมตร บินท่ีระดับความสูง 160 เมตร (รูปที่ 3-3) W.B.Agocs and
et.al. (1959) ไดร้ ายงานไว้วา่ พ้ืนท่ีนี้ข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็กมีความซับซ้อน ซึ่งมาจากตน้ กาเนิดที่
อยู่ท้ังในระดับตื้นและระดับลึก จาแนก Magneticได้ 12 หน่วย และแบ่งความความเข้มกัมมันตรังสี
ออกเปน็ 7 หน่วย คา่ แอมพลิจดู ของความเขม้ สนามแม่เหล็กในพน้ื ที่น้ี แต่ละหน่วยมีความแตกตา่ งกันมาก
บางหน่วยอยู่ในช่วง 300nT บางหน่วยอยู่ในช่วง 100nT บางหน่วยมีค่าอยู่ในช่วง 50-60nT มี
49
ความสัมพันธ์กับหินแกรนิตที่เป็นหินฐานที่ระดับลึกกว่า และหินภูเขาไฟ หรือหินเถ้าภูเขาไฟ ที่มี
ความสัมพันธ์กับข้อมูลความเขม้ สนามแม่เหล็กในระดับตนื้
ข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี ซ่ึงแบ่งเป็น 7 หน่วย ซ่ึงก็ไม่ได้กล่าวแยกหน่วยกันอย่าง
ชัดเจน มีบางหน่วยมีความสัมพันธ์กับแนวสัมผัส ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับแหล่งแร่ และมีหน่วย R7 ซ่ึงอยู่
บรเิ วณมมุ ด้านตะวนั ตกของพน้ื ที่ ที่มีความสัมพนั ธก์ ับแหล่งแร่หนัก ทสี่ ะสมตวั บริเวณตะกอนรปู พดั
รปู ที่ 3-4 แสดงพน้ื ทแี่ ละ แนวบินสารวจ พน้ื ที่ 3 ฉะเชงิ เทรา (W.B.Agocs and et.al., 1959)
3.2.2 การบนิ สารวจโดย Hunting Surveys, Ltd.
เป็นการบินสารวจเพิ่มเติมจาก การบินสารวจของบริษัท Aero Services ซ่ึงการบิน
สารวจครั้งนี้ ไม่มรี ายงานการสารวจและรายละเอยี ดการบินสารวจ Herbert S, J. a. O. (1969) กลา่ วว่า
การสารวจครงั้ นี้มเี ฉพาะแผนท่ีการบนิ สารวจ ไม่มีรายงานผลการแปลความหมายการสารวจ ตามข้อตกลง
ตามสัญญา แต่มีการนาข้อมูลของท้ัง Aero Service ในปี พศ.2502-2503 และ Hunting Services ในปี
พ.ศ. 2507 จัดทาเป็นรายงานการสารวจแร่ในพ้ืนท่ีนี้ โดย USGS ใน Geological Survey Professional
Paper 618 โดยใช้ข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็กจากการบินสารวจ และดาเนินการสารวจธรณีฟิสิกส์
ภาคพ้นื ดิน และธรณเี คมี
Herbert S, J. a. O. (1969) สรุปการบินสารวจโดย Hunting Surveys, Ltd. ในการ
สารวจความเข้มสนามแม่เหล็กโดยบินในแนวทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก มีระยะห่างระว่างแนวบินน 400
เมตร โดยรักษาระดับความสูงจากพื้นดิน (Mean terrain clearance) ที่ความสูง 150 เมตร สรุปผลการ
แปลความหมายในพื้นที่ เลย-เชียงคาน มี ค่าผิดปกติ ความเข้มสนามแม่เหล็กจานวน 22 หน่วย มี
50
ความสัมพันธ์กับ หินแกรโนไดออไรด์ท่ีแทรกซอนเข้ามา และบางหน่วยมีความสัมพันธ์กับแหล่งแร่เหล็ก
เชน่ ภูยาง ภูเฮีย ภูแกว้ ใหญ่ ภูหินเหลก็ ไฟ ภูเหลก็ ฯลฯ
3.2.3 การบนิ สารวจโดยบรษิ ัท Sander Geophysics Limited
กรมทรัพยากรธรณีได้ว่าจ้าง บริษัท Sander Geophysics Ltd. จากประเทศแคนนาดา
สารวจความเข้มสนามแม่เหล็กและความเข้มกัมมันตรังสีพื้นท่ีภาคตะวันออก ในปีพ.ศ. 2522 (รูปท่ี 3-5)
ครอบคลุมพืน้ ที่ 35,000 ตารางกิโลเมตร ห่างจากชายแดนกัมพูชา 25 กิโลเมตร โดยใชเ้ คร่ืองบิน Cessna
420B twin-engine fixed-wing aircraft โดยใช้เครื่องมือวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก Sander NPM-5
proton precession magnetometer และ เคร่ืองมือวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสี Sander SPM-12
gamma ray spectrometer โดยเครื่องมือวัดค่าความเข้มสนามแม่เหลก็ ห่างจากเครือ่ งบนิ 15 เมตร และ
เครื่องมอื วดั คา่ ความเข้มกมั มนั ตรงั สี วดั แยกค่าเป็น โพแทสเซียม ยูเรนียม และทอเรยี ม (ตารางท่ี 3-3)
ตารางท่ี 3-3 ชว่ งพลงั งานในการวดั คา่ ความเข้มกมั มนั ตรงั สี โพแทสเซยี ม ยูเรเนยี ม และ ทอเรยี ม
ธาตุ ชว่ งพลงั งาน
Thorium 2.42-2.82 MeV
Uranium 1.67-1.86 MeV
Potassium 1.36-1.56 MeV
total 0.40-2.82 MeV
การบินสารวจสารวจพื้นทภี่ าคตะวันออกน้ี บนิ สารวจในแนวทิศเหนอื -ใต้ โดยมรี ะยะห่าง
ระหว่างแนวบิน 1 กิโลเมตร และ ในพื้นท่ีทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดปราจีนบุรี บินด้วย
ระยะห่างระหว่างแนวบนิ 500 เมตร
ผลิตภัณฑ์จากการบินสารวจครั้งนี้ เป็นแผนที่แผ่นใสเส้นช้ันข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี
รวม (total count) มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งได้ทาการแสกนภาพเก็บไว้ จานวน 57 แผนที่ และรายงาน
ผลการสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กและความเข้มกมั มนั ตรังสี
รปู ท่ี 3-5 แสดงพนื้ ที่สารวจภาคตะวันออกโดย Saner Geophysics Limited (sander, 1980)
51
ผลการแปลความหมาย sander (1980) ได้สรุปผลการแปลความหมายข้อมูลความเข้ม
สนามแม่เหล็กและความเข้มกัมมันตรังสี เป็น 8 block ในแนวเหนือ-ใต้ ในพ้ืนท่ีนี้ มีความสัมพันธ์กับ
หินตะกอน หรือ หินตะกอนท่ีเกิดการแปรสภาพ ส่วนความเข้มกัมมันตรังสี มีค่าโพแทสเซียมสูงมี
ความสัมพันธก์ ับหินแกรนิต
3.3 การบนิ สารวจโดยหนว่ ยงานอนื่ หรือเอกชน (ในเขตพน้ื ทสี่ มั ปทาน)
การบินสารวจโดยหน่วยงานอ่ืน หรือโดยบริษัทเอกชน (ในเขตพ้ืนที่สัมปทาน) นั้น
ข้อมูลการบินสารวจไม่สามารถรวบรวมมาได้ทั้งเหมด ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลปกปิด ท่ีรวบรวมได้มี
ดังต่อไปนี้
ช่ ว ง ปี พ . ศ . 2525-2526 ท่ี ก า ร บิ น ส า ร ว จ โ ด ย บ ริ ษั ท Hunting Geology and
Geophysics Limited บริเวณแอ่งพิษณุโลก เพอ่ื หาแอง่ น้ามนั ปโิ ตเลยี ม
ช่วง ปี พ.ศ. 2547 มีการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กและข้อมูลความเข้ม
กัมมันตรังสี แบบละเอียดในพ้ืนท่ี แปลงอาญชาบัตรพิเศษสารวจแร่ทองคาในพื้นท่ี จังหวัดเลย และ
จังหวัดพจิ ติ ร
ช่วงเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2556 กรมทรัพยากรน้าบาล ได้
วา่ จา้ งบรษิ ัทที่ปรึกษา ได้แก่ บริษทั จีเอ็มที คอรปอเรชน่ั จากดั และบริษัทไทย แดนวอเตอร จากดั สารวจ
วัดค่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และความเข้มสนามแม่เหล็ก โดยบินสารวจ ในเขตอาเภอเมือง อาเภอไทรงาม
และอาเภอลานกระบอื จังหวดั กาแพงเพชร ครอบคลุมพ้ืนท่ีการบินประมาณ 1,000 ตารางกิโลเมตร โดย
บนิ ที่ระดับความสูงประมาณ 30-50 เมตร เพื่อประยุกตใ์ ช้งานดา้ นธรณีวทิ ยาและอุทกธรณีวิทยา สามารถ
คัดลอกเอกสารรายงานการสารวจ ไดท้ ่ี เวบไซต์ของกรมทรพั ยากรนา้ บาดาล
3.4 การสารวจความเขม้ สนามแมเ่ หลก็ ทางทะเล
การสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กทางทะเล มีการดาเนินการโดยสานักทรัพยากรแร่
กรมทรัพยากรธรณี และบริษัทสารวจปิโตเลียม ภายใต้การกับดูแลของกองเช้ือเพลิงธรรมชาติ
กรมทรัพยากรธรณี หรือปัจจุบนั คอื กรมเชื้อเพลงิ ธรรมชาติ กระทรวงพลงั งาน
การสารวจโดยกรมทรัพยากรธรณีนั้น ดาเนินงานภายใต้โครงการสารวจแร่นอกชายฝ่ัง
ทะเลอา่ วไทย ซึ่งได้รับความชว่ ยเหลอื จากสานักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ระหวา่ งปี
พ.ศ. 2531-2535
ตารางท่ี 3-4 การดาเนินการสารวจความเข้มสนามแม่เหลก็ ทางทะเลบริเวณอา่ วไทย (กรมเชอ้ื เพลิงธรรมชาต)ิ
ลาดบั ผู้ดาเนินการ แปลง เวลา ระยะทาง (กม.)
1 Songkhla Resources 12/32 4-13 ธ.ค. 2535 418.00
2 Freeport McMoran 4/32 5 ม.ค.-1 ก.พ. 2536 2,605.00
3 BG Thailand 5/27 17-29 ม.ี ค. 2536
4 Texaco III 1/32 5 พ.ย. 2535- 2 ม.ค. 2536 906.00
5 Texaco III 3/32 5 พ.ย. 2535- 2 ม.ค. 2536 3,038.38
6 Thaipo 8/32 2 ก.ค.-13 ส.ค. 2545 3,033.65
รวม 13,213.00
23,214.03
52
3.5 การบนิ สารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศทั่วประเทศ
การดาเนินการบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศท่ัวประเทศไทย ได้ดาเนินงานภายใต้
โครงการพัฒนาทรัพยากรธรณี (คพท.) กรมทรัพยากรธรณี โดยว่าจ้างบริษัท Kenting Earth Sciences
International Ltd. (KESL) โครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ 1) โครงการพัฒนาทรัพยากรธรณี ระยะที่หนึ่ง
(ระหว่างปีงบประมาณ 2527-2533) 2) โครงการพัฒนาทรัพยากรธรณีระยะที่ 2 (ระหว่างปีงบประมาณ
(2534-3539) และ 3) โครงการพัฒนาทรัพยากรธรณีระยะที่ 3 (ระหว่างปีงบประมาณ 2540-2544) ซ่ึง
ข้ันตอนการบินสารวจท่ัวประเทศอยู่ในโครงการพัฒนาทรัพยากรธรณี ระยะท่ี 1 ส่วนระยะที่ 2 ส่วนระยะ
ท่ี 3 เปน็ การประมวลผล แปลความหมาย และตดิ ตามผลภาคพืน้ ดนิ จากข้อมูลการบนิ สารวจ
สาหรับการบินสารวจคร้ังน้ีใช้งบประมาณในการบินสารวจรวมทั้งส้ิน 699.64 ล้านบาท
ข้อมลู สารวจทไี่ ดอ้ ย่ทู ้ังในรปู ดิจทิ ัล และ แผนที่
การบนิ สารวจทั่วประเทศไทยในครั้งนี้ ได้แบง่ การสารวจออกเป็น 3 แบบ คือ 1) การบิน
สารวจ Survey A ซ่ึงจะบินสารวจเฉพาะความเข้มสนามแม่เหล็ก 2) การบินสารวจ Survey B&C ซ่ึงทา
การบินสารวจ ความเข้มสนามแม่เหล็กและความเข้มกัมมันตรังสี 3) การบินสารวจ Follow-up Survey
ได้ทาการบินสารวจในพืน้ ท่ีคัดสรร 5 พ้ืนท่ี โดยจะบินสารวจวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก และความเข้ม
สนามแม่เหล็กไฟฟา้ ซ่งึ ในรายงานนจ้ี ะเขยี นสรุปย่อในแต่ละการบินสารวจ
3.5.1 การบินสารวจ Survey A
การบินสารวจ Survey A ดาเนินการระหว่างวันท่ี 30 มิถุนายน พ.ศ. 2527 ถึง
วันท่ี 24 ตุลาคม พ.ศ. 2528 โดยการบินสารวจ Survey A น้ันบินสารวจวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก
เพียงอย่างเดียว โดยทาการบินสารวจท่ัวประเทศ เว้นภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยใช้เครื่องบินปีก
แข็ง 2 เครื่องยนต์ ชนิด Cessna 404 Titans บินในแนวทิศเหนือ-ทิศใต้ มีระยะห่างระหว่างแนวบิน 1
กิโลเมตร และแนวควบคมุ การบิน ซึ่งบินในแนว ทิศตะวนั ออก-ทศิ ตะวันตก มีระยะห่าง 14 กิโลเมตร การ
บินสารวจแบง่ เปน็ พ้ืนทส่ี ารวจ (Block) จานวน 15 พื้นที่ โดยมคี วามสงู ตา่ ง ๆ กันตามลักษณะภูมปิ ระเทศ
(รูปที่ 3-6 และ ตารางที่ 3-5) สาหรับพ้ืนที่ A4 ได้แบ่งเป็นพื้นท่ีย่อย ๆ เน่ืองจากตอนเข้าพ้ืนท่ีจริง ความ
สูงไม่ได้เป็นตามท่ีวางแผนไว้ จึงได้แบ่ง A4 เป็น A4N A4CN A4SI และ A4SII รวมระยะทางการบินของ
15 พ้ืนท่ีสารวจคิดเปน็ 439,588.01 กิโลเมตร รวมแนวบินควบคุมคิดเปน็ ระยะทาง การบินสารวจทั้งสิ้น
497,250 กโิ ลเมตร
53
รูปท่ี 3-6 ดัชนีแผนที่การบินสารวจ Survey A ซ่งึ บินสารวจในแนวเหนือ-ใต้ โดยบินสารวจเฉพาะข้อมูลความเขม้
สนามแม่เหล็ก มีระยะห่างระหว่างแนวบิน 1 กิโลเมตร โดยมีความสูงแต่ละ Block Survey แตกตา่ งกัน ข้ึนอยู่กับ
ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ โดยบริเวณทเ่ี ปน็ ภูเขาสูงชนั บินดว้ ยระดับความสูงท่สี ูงกว่าพนื้ ทร่ี าบ (ขอ้ มลู ดิจิทลั SurveyA)
54
ตารางที่ 3-5 การบนิ สารวจ Survey A แต่ละ จานวน 15 พน้ื ที่ ท่คี วามสูงตา่ ง ๆ โดยแตล่ ะพ้ืนทมี่ ีระยะห่าง
ระหว่างแนวบนิ เทา่ กบั 1 กิโลเมตร (Final Report for Airborne Geophysical Survey of The Mineral
Resources Development project)
ลาดับ ช่ือฺ Block ร ะ ย ะ ท า ง ก า ร บิ น ความสูงของการบินสารวจ
(กโิ ลเมตร)
1 A1 2,518.43 1,524 เมตร (5,000 ฟตุ )
2 A2 43,537.70 2,286 เมตร (7,500 ฟตุ )
3 A3 21,101.88 1,829 เมตร (6,000 ฟตุ )
4 A4N 103,360.77 1,524 เมตร (5,000 ฟตุ )
5 A4CN 7,211.30 1,524 เมตร (5,000 ฟตุ )
6 A4SI 11,501.33 1,524 เมตร (5,000 ฟตุ )
7 A4SII 9,653.28 1,524 เมตร (5,000 ฟตุ )
8 A5 55,786.63 762 เมตร (2,500 ฟตุ )
9 A6 57,744.30 305 เมตร (1,000 ฟตุ )
10 A7 63,658.63 457 เมตร (1,500 ฟตุ )
11 A8 8,736.24 305 เมตร (1,000 ฟตุ )
12 A9 9,937.04 1,524 เมตร (5,000 ฟตุ )
13 A10 1,107.00 914 เมตร (3,000 ฟตุ )
14 A11 64.23 914 เมตร (3,000 ฟตุ )
15 A12 43,669.25 610 เมตร (2,000 ฟตุ )
รวม 439,588.01 -
ในการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็ก Survey A มีฐานการบินสารวจตามภูมิภาค
ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ จังหวดั เชียงใหม่ จงั หวดั ขอนแก่น กรงุ เทพฯ อาเภอหัวหิน จังหวดั ภูเก็ต และ จังหวัดสงขลา
สาหรับการบินสารวจในช่วงน้ัน ยังไม่ได้ใช้ระบบ GNSS เหมือนเช่นในปัจจุบัน รวมท้ัง
ระบบคอมพิวเตอร์ยังไม่มีประสิทธภิ าพในเช่นปจั จุบนั เช่นเดยี วกัน อปุ กรณ์เคร่ืองมือที่ใช้ในการบินสารวจ
ไดแ้ ก่เคร่ืองมือวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก (Magnetometer) และอุปกรณ์ในกาหนดตาแหน่งที่ทาการวัด
ความเข้มสนามแม่เหล็ก ได้แก่ Barometric Altimeter, Radar Altimeter , Tracking Camera,
Dropper Navigation System และอ่นื ๆ (ตารางท่ี 3-6)
การสารวจวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก ใช้เครื่องมือวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก ชนิด
Cesium-vapor optically pumped โดยมีความละเอียด 0.01nT โดยมี Base Station วัดค่าความเข้ม
สนามแมเ่ หลก็ ซง่ึ วางเครื่องมือไว้ในพ้นื ท่ี ท่ไี ม่มีการรบกวนจากความเขม้ สนามแม่เหล็กจากพน้ื ท่ีรอบขา้ ง
ในการกาหนดตาแหน่งของการวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กในขณะบินสารวจ มีสาม
องค์ประกอบหลัก ได้แก่ Radar Altimeter, Barometric Altimeter และ Navigation System โดย
Radar Altimeter จะคานวนระยะห่างระหว่างเคร่ืองบินกับภูมิประเทศ ว่ามีระยะทางเท่าไหร่ ในขณะที่
Barometric Altimeter จะคานวณความสูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง หรือ ระดับความสูงของ
เคร่ืองบินจากระดับน้าทะเลปานกลาง ดังนั้นถ้านาค่าที่วัดได้ จาก Barometric Altimeter ลบ กับค่า
Radar Altimeter จะได้ค่าความสูงของภมิประเทศ ณ ตาแหน่งน้ัน ส่วน Navigation System กาหนด
55
จากการลากแนวบินจากแผนท่ีภูมิประเทศ และนาทางโดยต้นหนประจาเคร่ืองบิน โดยการสังเกตจาก
ลักษณะภมู ิประเทศ และมี ระบบ Doppler System ท่ีระบุตาแหน่งของเครอ่ื งบนิ ในแนวระดบั อกี ดว้ ย
ตาแหน่งที่วดั ค่าความเข้มสนามแมเ่ หล็ก ดาเนินการโดยใช้ภาพถ่ายจากกล้องในขณะบิน
เปรียบเทียบกับข้อมูลแผนท่ีภูมิประเทศ โดยภาพถ่ายน้ีเป็น 35mm ฟิล์ม (ในปัจจุบัน ฟิล์มถ่ายรูปชุดน้ี
เสียหาย ไมส่ ามารถนามาใชง้ านไดอ้ กี )
การประมวลผลข้อมูลดาเนินการที่สานักงานของบริษัท KESIL ณ ประเทศแคนาดา โดย
เครื่อง minicomputer ระบบ Vax ในสมัยน้ัน ซ่ึงมีหน่วยความจา 16 Megabytes และอุปกรณ์ในการ
บันทึกข้อมูลเป็น เทปแม่เหล็ก การประมวลผลมีสองส่วนคือ การหาค่าตาแหน่งของการวัดค่าความเข้ม
สนามแม่เหล็ก และ การแก้ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กท่ีวัดได้ ซ่ึงข้อมูลท่ีกรมทรัพยากรธรณีได้รับมาน้ัน
อยู่ในรูปแผนที่ และข้ออมูลดิจิทัล ในรูป XYZ data และ Grid format ซึ่งในปัจจุบันนี้ข้อมูลท่ีเป็นดจิ ิทัล
นน้ั ปจั จบุ นั เก็บในรปู แบบซดี ี และ Hard disk
ตารางที่ 3-6 เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการบนิ สารวจความเข้มสนามแม่เหล็กความละเอยี ดสงู (Survey A) ทม่ี า
Appendix IV Technical Report of Airborne Geophysical Survey The Mineral Resources
Development Project “Survey A”
ลาดับ ชนดิ เครื่องมือ รายละเอยี ด Model
1 เครอื่ งบนิ Fixed wing Aircraft Cessa 404 Titan Courier
2 Magnetometer Varian cesium vapour optically V1W2321G4
pumped (Scintrex Limited)
3 Barometric Altimeter Rosemount Inc. 800F4D
4 Radar Altimeter Telecommunications Radio AHV8
electrique et Telephonique
5 Tracking Camera Automax Industries GS-2 mounted vertically
6 Doppler Navigation Canadian Marconi Company AN/APN/-208(V)/CMA
System 708/C
7 Directional Gyro Sperry Rand Corporation C-12
8 Vertical Gyro Sperry Rand Corporation 615039
8 Graphic Recorder RMS Instruments Ltd. GR-33-1
9 Chart Recorder Centronix Data Computer 22 Graphics
Corporation
56
98°E 100°E 102°E 104°E 106°E
20°N
C-1A
18°N C-1NB B-2N
C-3
C-2
B-2S
16°N B-3
B-4
14°N C-1NC C-4
No B-1
12°N C-1C
10°N C-5
8°N C-1S ±
0 100 200 400
6°N Kilometers
รูปท่ี 3-7 ดัชนีแผนท่ีการบินสารวจ Survey B& C ซ่ึงบินสารวจในแนวตะวันออก-ตะวันตก โดยบินสารวจข้อมูล
ความเข้มสนามแม่เหล็ก และข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี โดยรักษาระยะห่างจากพ้ืนดิน 122 เมตร (ข้อมูลดิจิทัล
Survey B)
57
3.5.2 การบนิ สารวจ Survey BC
การบินสารวจ Survey B และ Survey C โดยการบินสารวจ Survey B ดาเนินการ
ในช่วงเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2527 ถึง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2529 และการบินสารวจ Survey C
ดาเนินการในช่วงวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ถึง เดือนเมษายน 2530 ทั้งสองการสารวจนี้ ดาเนินการ
สารวจเหมือนกัน โดยการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็ก ความเข้มกัมมันตรังสี และ VLF-EM ในแนว
ตะวันออกตะวันตก โดยรักษาระยะห่างระหว่างภูมิประเทศท่ีความสูง 122 เมตร โดยมีระยะห่างระหว่าง
แนวบินต่าง ๆ กัน ท้ังสอง Survey ต่างกันที่เครื่องบินที่ใช้ และลักษณะการบินสารวจ การบินสารวจ
ครอบคลุมทง้ั ประเทศ ยกเว้นพืน้ ที่ลาบลุ่มแมน่ า้ เจา้ พระยา
การบนิ สารวจ Survey B บนิ สารวจในพ้นื ท่ี ที่มีลักษณะภูมิประเทศค่อนข้างราบ โดยใช้
เครื่องบินปีกแข็ง (Fixed wing Aircraft) และ helicopter รวมระยะทางการบิน 68,681 กิโลเมตร
อย่างไรกต็ ามตอ้ งบินห่างจากชายแดนระหว่างประเทศ เป็นระยะทางประมาณ 10-15 กิโลเมตร
การบินสารวจ Survey C บนิ สารวจในพ้ืนท่ที ่เี ปน็ เทอื กเขาสลบั ซับซ้อน โดย Helicopter
เพ่ือง่ายต่อการรักษาระยะห่างระหว่างเคร่ืองบินและภูมิประเทศให้คงท่ี รวมระยะทางการบิน 232,709
กิโลเมตร โดยบินหา่ งจากชายแดนประเทศ เปน็ ระยะทางประมาณ 10-15 กิโลเมตร
การกาหนดตาแหน่งในการบินสารวจน้ัน มีหลักการเช่นเดียวกันกับการบินสารวจ
Survey A โดยมีสามส่วนที่สาคัญได้แก่ Radar Altimeter, Barometric Altimeter และ Navigation
System รายละเอียดน้ันอ่านได้ในสว่ นของการบนิ สารวจ Survey A
ตารางที่3-7 การบินสารวจ Survey B และ C ซ่ึงบินรักษาระดับความสูงห่างจากพ้ืนดิน 122 เมตร ในแนว
ตะวันออก-ตะวันตก ( ท่ีมา Technical Report for Airborne Geophysical Survey of The Mineral
Resources Development Project “Survey B” and “Survey C”)
ลาดบั ช่อื พน้ื ท่ี ระยะ ระยะห่างระหวา่ ง
1 B1 ทางการบนิ แนวบิน (กิโลเมตร)
2 B2
3 B3 (กิโลเมตร)
4 B4
5 C1-NA 28,675.65 1
6 C1-NB
7 C1-NC 18,759.51 5
8 C1-1C
9 C1-1S 4,703.16 5
10 C2
11 C3 16,542.84 2
12 C4
13 C5 37,170.26 1
รวม 65525.08 1
23728.19 1
19128.01 1
61119.68 1
15596.58 2
2388.50 5
7689.24 1
363.47 1
301390.17
58
ตารางท3ี่ -8 เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการบนิ สารวจความเขม้ สนามแม่เหล็กความละเอยี ดสูง (Survey B และ C)
ลาดบั ชนิดอปุ กรณ์ ผ้ผู ลติ โมเดล
1 Fixed Wing Aircraft Britten-Norman Limited BN-2A Islander
2 Helicopter Bell Helicopter Textron Inc. Bell 412
3 Spectrometer Crystals Harshaw Chemical Inc.
4 Spectrometer Pulse Processing Kenting Ltd.
1985
5 Spectrometer Pulse Processing Urtec Ltd. GRP-100
1986-1987
6 Spectrometer ADC 1985 Nuclear Data Inc. ND560
7 Spectrometer ADC1986-1987 Urtec Ltd. GRP-200(ND571)
8 Magnetometer (Fixed wing) Geometrics Inc. G-813
9 Magnetometer (Helicopter) Geometrics Inc. G-803
10 VLF-EM Hertz Industries Ltd. Totem 2A
11 Doppler Navigation System Canadian Marconi AN/APN-208(v)/CMA-
708/C
12 Directional Gyro Sperry Rand Corp. C-12
13 Vertical Gyro Sperry Rand Corp. 615039
14 Radar Altimeter Honeywell Inc. YG7602AC
15 Barometric Altimeter Rosemount Inc. 800 F4D
16 Tracking Cameral 35mm Automax Indurtries GS-2
17 Digital Temperature Sensor Omega DP661 c/w air
temperature
thermistor probe
18 Graphic Recorder RMS Instruments Ltd. GR33-1
19 Chart Recorder Centronix DataComputer Corp. 122 Graphics Dot
Matrix printer
20 Portable Spectrometer Geometrics Inc. GR410
21 Portable Spectrometer Scintrex Ltd. GAD-6
ที่มา: Appendix IV Technical Report for Airborne Geophysical Survey of The
Mineral Resources Development Project “Survey B” and Survey “C”
รายละเอยี ดการบนิ สารวจ และ เทคนิคการบินสารวจ ในรายละเอยี ด อยู่ใน Technical
Report for Airborne Geophysical Survey ซึ่งรายการเอกสารท้ังหมดที่เกี่ยวข้องกับการสารวจ อยู่ใน
ส่วน Appendix ส่วนในบทน้ีเปน็ การสรปุ ยอ่ ๆ พอให้เขา้ ใจขนั้ ตอน ตลอดจนเทคนคิ การสารวจ
การบินสารวจ Survey B และ C ทาการบินสารวจ ความเข้มสนามแม่เหล็ก ความเข้ม
กัมมันตรังสี และ VLF-EM ในคราวเดียวกัน โดยเคร่ืองมือ วัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก และ VLF-EM
ตดิ อยู่นอกตัวเครอื่ งบนิ
การบนิ สารวจความเข้มสนามแมเ่ หล็กนั้น มี 2 เครือ่ ง ไดแ้ กเ่ คร่อื งที่ติดกบั เครื่องบนิ และ
เครื่องที่วางเป็น Base Station ในพ้ืนที่ที่ ไม่มีค่าสนามแม่เหล็กอื่นรบกวน เคร่ืองมือความเข้ม
สนามแมเ่ หลก็ ท่ีตดิ กับเครอื่ ง Fixed wing เปน็ เคร่อื ง G-813 proton precession magnetometer สว่ น
59
เคร่ืองมือวัดความเข้มสนามแม่เหล็กท่ีใช้ Helicopter เป็นเคร่ือง G-803 proton precession
magnetometer ส่วนเครื่องท่ีเป็น Base Station เป็นเคร่ือง VIW 2321G4 cesium vapor ทาการวัด
ค่าทกุ ๆ 1 วินาที การประมวลผลนั้น ได้ดาเนนิ การ ทีส่ านกั งานของ KESL ประเทศแคนาดา
การสารวจวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสี เพื่อทาการวัดการกระจายตัว ของธาตุ
โพแทสเซียม ยูเรเนียม และทอรียม ในธรรมชาติ เคร่ืองมือที่ใช้ในการสารวจประกอบด้วย 3 ส่วนท่ีสาคัญ
คือ ส่วนที่หน่ึง Detector Assemblies ใช้ Sodium iodide crystals มีขนาด 4x4x16 นิ้ว จานวน 12
ชิ้น คิดเป็น 50.36 ลิตร, ส่วนที่สอง Pulse Processing and Analysis Circuitry ซึ่งจะทาการคานวณค่า
พลังงานกัมมันตรังสีแกรมมาและ ส่วนท่ีสาม Spectral windows summation ทาการแยกค่าพลังงาน
โพแทสเซยี ม ยเู รเนยี ม และทอเรียม
การสารวจวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสีทางอากาศนั้น สภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศ
ตลอดจนความสูง มีผลต่อการวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสี มีการตรวจสอบการวัดค่า ทีเป็นประจาทุกวัน
ทุกเดือน และทุกฤดู หากมีฝนตก ไม่สามารถทาการสารวจได้ ภายหลังฝนหยุดตก 3 ช่ัวโมง ถึงดาเนินการ
สารวจตอ่ ไปได้ สาหรับค่าความเข้มกัมมันตรังสี ค่าท่ีสามารถนามาประมวลผลไดน้ ั้น ได้จากการบินสารวจ
ที่ความสูงไม่เกิน 300 เมตร ถ้าสูงเกินกว่านี้ค่าท่ีวัดได้จะถูกตัดท้ิงไป ซึ่งกรณีน้ี เป็นข้อมูลที่ได้จะการบิน
สารวจ ภาคตะวนั ออก ของ Survey B1 ท่ีบนิ สารวจดว้ ยเครือ่ งบินปีกแขง็
ความถูกต้องของการคานวณค่าความเข้มกัมมันตรังสี เพ่ือให้ได้ค่าใกล้เคียงกับค่า
กัมมันตรงั สบี นพ้ืนดินน้ัน ได้มกี ารสรา้ ง คอนกรีต (Calibration Pads) ขนาด 7.6x7.6 เมตร หนา้ ประมาณ
0.5 เมตร จานวน 4 อัน โดยให้มีปริมาณ โพแทสเซียม ยูเรเนียม ทอเรียม ต่าง ๆ กัน โดย Calibration
Pads น้ี ได้สร้างไว้ที่สนามบินอู่ตะเพา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี (ในปัจจุบัน ได้มีการปรับปรุงสนามบิน และ ได้
ทาลาย Calibration Pads ซงึ่ ไมไ่ ด้มกี ารใชง้ านแลว้ )
ตารางที่3-9 แสดงช่องพลงั งานทท่ี าการวัดค่าความเข้มกมั มนั ตรังสี
ลาดับ ชนิด ช่วงพลงั งาน
1 คา่ กัมมนั ตรังสรี วม 0.40-2.82 MeV
2 คา่ กมั มนั ตรังสโี พแทสเซียม (K) 1.36-1.56 MeV
3 คา่ กัมมันตรังสยี เู รเนยี ม 1.66-1.86 MeV
4 คา่ กัมมนั ตรังสีทอเรยี ม (Th) 2.42-2.82 MeV
การบนิ สารวจ VLF-EM (Very-Low-Frequency Electromagnetic System) โดยใช้
Totem 2A dual Chanel เป็นตัวรับสัญญาณคลื่นวิทยุความถี่ต่า (VLF-EM) ที่ส่งสัญญาณมาจาก NWC,
Northwest Cape Australia ที่ความถี่ 22.3Hz และจาก NDT , Yosami ประเทศญี่ปุ่น ที่
ความถึ่ 17.4 Hz
60
98°E 100°E 102°E 104°E 106°E
20°N
18°N ลาปาง-แพร่ เลย
อตุ รดิตถ์-น่าน
16°N
14°N เพชรบูรณ์
กบินทร์บรุ ี
12°N
10°N
8°N ±
0 100 200 400
6°N Kilometers
รูปที่ 3-8 ดัชนแี ผนทก่ี ารบนิ สารวจ Follow-up Survey (ขอ้ มูลดจิ ทัล Follow-up Survey)
61
3.5.3 การบนิ สารวจ Follow-up Survey
การบนิ สารวจพื้นที่ Follow-up Survey ได้คัดเลือกพ้นื ท่ีที่มีศักยภาพทางแร่สูง จานวน
5 พ้ืนที่ ได้แก่ ลาปาง-แพร่ อุตรดิตถ์-น่าน เพชรบูรณ์ เลย และ กบินทร์บุรี เพื่อดาเนินการสารวจใน
รายละเอียด โดยมีระยะห่างระหว่างแนวบินประมาณ 400 เมตร และ บินสูงจากระดับพื้นดิน ประมาณ
60 เมตร โดยทาการบินสารวจวัดค่า ความเข้มสนามแม่เหล็ก และ ความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ท่ี
ความถ่ี 736Hz 912Hz และ 4200Hz
ตารางท่ี3-10 การบนิ สารวจ Follow-up Survey ของแต่ละพื้นที่
ลาดบั พนื้ ท่ี ระยะทาง (กโิ ลเมตร) ระยะหา่ งระหวา่ งแนวบิน ความสูง
1 เพชรบูรณ์ 14,485 400 เมตร (E-W) 60 เมตร
2 กบนิ ทรบ์ รุ ี 5,531 400 เมตร (N20E) 60 เมตร
3 อตุ รดิตถ-์ น่าน 4,383 400 เมตร (310) 60 เมตร
4 ลาปาง-แพร่ 7,633 400 เมตร (290,310) 60 เมตร
5 เลย 13,265 400 เมตร (E-W) 60 เมตร
การบินสารวจวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กพ้ืนที่ Follow-up Survey ท้ัง 5 พ้ืนที่ ใช้
เครื่องมือ proton precession magnetometer รุ่น G-803 เช่นเดียวกันกับการบินสารวจ Survey B
และ มีความละเอยี ด 0.25nT ในอัตราการวัดค่า ทุก 1 วินาที
ตารางท่ี3-11 เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการบินสารวจความเข้มสนามแมเ่ หล็กความละเอียดสงู (Follow-up Surveys)
ลาดับ เคร่อื งมือ ผผู้ ลติ รนุ่
1 Helicopter Bell Helicopter Textron Inc. Bell 412
2 Electromagnetometer Geotech Ltd. Roxhem3 (Modified
EMEX-1)
3 Aeromagnetometer Geometrics Inc. G-803
AN/APN-208(V)/CMA-
4 Doppler Navigation Canadian Marconi 708/C
C-12
System 615039
HG7502AC02
5 Directional Gyro Sperry Rand Corp. GS-2
GR33-1
6 Vertical Gyro Sperry Rand Corp. VIW2321G4
122 Graphics Dot
7 Radar Altimeter Honeywell Inc. Matrix Printer
8 Tracking Cameral 35mm Automax Industries
9 Graphic Recorder RMS Instrumnent Ltd.
10 Magnetometer(Ground) Scintrex/Varian
11 Chart Recorder (Ground) Centronix Data Computer Corp.
การสารวจวัดค่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic) เป็นการสารวจวัดแบบ
Frequency Domain เครื่องมือวัดมที งั้ ตวั ส่งสญั ญาณ และตัวรับสัญญาณ ในชิน้ เดยี วกนั มีขนาดประมาณ
8 เมตร ในการสารวจใช้ 3 ความถี่ แบบต่าง ๆ กนั ตารางท3ี่ -12
62
ตารางท3ี่ -12 แสดงความถี่และทศิ ทางการวางเครือ่ งมอื
ลาดบั Frequency (Hz) Coil Pair Orientation Coil Separation (m)
1 736 Vertical coaxial (x-x) 6.43
6.43
2 912 Horizontal coplanar (y-y) 6.43
3 4200 Horizontal coplanar (y-y)
3.5.3.1 พ้นื ที่ลาปาง-แพร่
การบนิ สารวจ Follow-up Survey พื้นท่ลี าปาง-แพร่ ดาเนินการระหว่างวนั ที่ 7 ตุลาคม
ถึงวนั ที่ 31 ธนั วาคม 2530 มรี ะยะทาง 7,633 กิโลเมตร โดยทางตอนเหนอื บนิ ในแนว 310 องศา ส่วนทาง
ตอนใต้ของพ้ืนท่ีบินในแนว 290 องศา มีระยะห่างระหว่างแนวบิน 400 เมตร และมีแนวการบินควบคุม
ห่างกัน 5.5 กิโลเมตร รวมระยะทางท้ังส้ิน 7,633 กิโลเมตร โดยเครื่องมืองความเข้มสนามแม่เหล็กอยู่
เหนอื พื้นดนิ 50 เมตร และ เครื่องมือ Electromagnetic อยหู่ า่ งจากพื้นดนิ 30 เมตร
3.5.3.2 พื้นที่อตุ รดติ ถ์-น่าน
การบินสารวจ Follow-up Survey พื้นที่อุตรดิตถ์-น่าน ดาเนินการระหว่าง
วันที่ 2-23 มกราคม 2531 มีระยะทาง 4,383 กิโลเมตร โดยบินแนว 310 องศา มีระยะห่างระหว่าง
แนวบิน 400 เมตร มีแนวควบคุมการบินระยะห่าง 5.5 กิโลเมตร โดยเครื่องมืองความเข้มสนามแม่เหล็ก
อย่เู หนอื พืน้ ดนิ 50 เมตร และ เครอ่ื งมอื Electromagnetic อยหู่ า่ งจากพ้นื ดิน 30 เมตร
3.5.3.3 พืน้ ท่ีเพชรบูรณ์
การบินสารวจ Follow-up Survey พ้ืนที่เพชรบรู ณ์ ดาเนนิ การระหว่างวนั ท่ี 28 มนี าคม
ถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2531 มีระยะทาง 14,485 กิโลเมตร ในแนวตะวันออก-ตะวันตก มีระยะห่าง
ระหว่างแนวบิน 400 เมตร ท่ีระดับความสูง 60 เมตร โดยเครื่องมืองความเข้มสนามแม่เหล็กอยู่เหนือ
พ้นื ดิน 50 เมตร และ เคร่อื งมือ Electromagnetic อยหู่ ่างจากพ้ืนดนิ 30 เมตร
3.5.3.4 พนื้ ทเี่ ลย
การบินสารวจ Follow-up survey พ้ืนท่ีเลย ดาเนินการระหว่างวันท่ี 29 มกราคม ถึง
วันที่ 24 มีนาคม 2531 มีระยะทางรวม 13,265 กิโลเมตร ในแนวตะวันออกตะวันตก มีระยะห่าง 400
เมตร ท่ีระดับความสูง 60 เมตร โดยเคร่ืองมืองความเข้มสนามแม่เหล็กอยู่เหนือพ้ืนดิน 50 เมตร และ
เครอ่ื งมือ Electromagnetic อยหู่ า่ งจากพ้นื ดนิ 30 เมตร
3.5.3.5 พน้ื ที่กบินทร์บรุ ี
การบินสารวจ Follow-up survey พ้ืนท่ีกบินทร์บุรี ดาเนินการระหว่างวันท่ี 31
กรกฎาคม ถงึ วันท่ี 7 ตุลาคม 2530 มรี ะยะทางรวม 5,531 กิโลเมตร ระยะห่างระหวา่ งแนวบิน 400 เมตร
ในแนว N20oE มแี นวบนิ ควบคมุ การบนิ ระยะห่าง 5.5 กโิ ลเมตร โดยเคร่อื งมืองความเข้มสนามแมเ่ หล็กอยู่
เหนอื พน้ื ดนิ 50 เมตร และ เครื่องมอื Electromagnetic อยหู่ า่ งจากพืน้ ดิน 30 เมตร
63
3.5.4 ผลผลติ จากการบินสารวจ
ในการดาเนินการประมวลผลข้อมูลหรือแก้ค่าข้อมูลเบ้ืองต้นจากการบินสารวจน้ั น
ดาเนนิ การ ณ สานกั งานใหญข่ องบรษิ ัทรบั จ้างการสารวจ ทปี่ ระเทศแคนนาดา
ผลผลิตที่ไดจ้ ากการบินสารวจธรณฟี ิสกิ สท์ างอากาศท่ังประเทศ นัน้ มอี ยทู่ ้ังในรปู แผนที่
แผ่นใส เอกสารรายละเอยี ดการสารวจ ซงึ่ ต้องดาเนินการจัดเก็บในรูปแบบดจิ ทิ ัลต่อไป และขอ้ มูลท่ีได้จาก
การบนิ สารวจนัน้ มีการประมวลผลทง้ั ในรปู แบบ Grid หรอื ข้อมลู XYZ ตามพ้ืนท่ีบินสารวจ
3.5.4.1 ขอ้ มูลเอกสาร/แผนที่/รายงาน
ข้อมูลเอกสาร/แผนท่ี/รายงาน ท่ีได้จากการบินสารวจทั้งหมดน้ัน แสดงรายการอยู่ใน
สว่ นภาคผนวก สาหรับหัวขอ้ นี้จะสรุปเป็นรายการทั้งหมด
ข้อมูลแผนท่ีท่ีจานวนหลายๆ ชุด รวมทั้ง Stacked profiles น้ัน ได้จัดเก็บไว้ ณ ศูนย์
ศึกษาวิจัยแร่และหิน จ.ระยอง เอกสารท่ีได้จากการบินสารวจน้ัน นอกจากมีผลิตภัณฑ์ตามรายการที่มีไว้
ในรายงานนี้ ยังมีเอกสาร ท่ีบันทึกไว้ในช่วงการบินสารวจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนท่ีเป็นเทปแม่เหล็ก
และแผ่นฟลิ ์มถา่ ยรปู และเอกสารทบี่ ันทึกในกระดาษทนความรอ้ น ได้เสียหายไม่สามารถนามาใช้การได้
นอกจากนี้ยังมีแผนที่ ท่ีเป็นแผ่นใส ท่ีเป็นท้ัง Positive และ Negative นั้น ท่ีมีการแยก
ชัน้ ข้อมูลเส้นช้นั ข้อมูลตา่ ง ๆ กับแผนท่ีฐานนั้น ไม่ได้นับรวมเข้าไปในรายการดังกล่าว แตก่ ็ไดถ้ ูกจัดเก็บไว้
ท่ี ศนู ยศ์ ึกษาวจิ ยั แร่ และหิน จงั หวัดระยองอีกด้วย
สาหรับผลิตภัณฑ์การบินสารวจน้ี มีไว้จาหน่าย ตามราคาประกาศไว้ใน Website ของ
กรมทรัพยากรธรณี http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=6791 ท้ังข้อมูลแผนท่ีพิมพ์ และ
ดิจิทัล อย่างไรก็ตามสาหรับแผนที่พิมพ์ ต้องแจ้งรายการล่วงหน้า เน่ืองจากว่าอาจต้องทาสาเนาจาก
แผน่ ใส หรือ ต้องไปนามาจากที่ศูนย์ศกึ ษาวจิ ยั แร่และหนิ จังหวดั ระยอง
แผนท่ีพิมพ์ความเข้มสนามแม่เหล็ก Survey A มีครอบคลุมทั้งประเทศ ถ้าเป็นแผนที่
พมิ พค์ วามเข้มสนามแมเ่ หลก็ Survey B และ C มีเฉพาะบรเิ วณท่ีมรี ะยะหา่ งระหวา่ งแนวบนิ 1 กิโลเมตร
รายงานการแปลความหมาย (Interpretation Report) จากการบินสารวจ Survey A B
และ C ตามระวางแผนท่ี 1:250,000 แจกแจงรายการไวใ้ นภาคผนวก
นอกจากนี้ยังมีเอกสาร รายละเอียดของข้ออมูลดิจิทัล แยกตามพ้ืนท่ีการสารวจ ซ่ึงจะ
แจกแจงรายการไวใ้ นภาคผนวกเช่นเดียวกัน
64
ตารางท3ี่ -13รายการข้อมูลเอกสาร/แผนที่/รายงาน ทไี่ ด้จากการบนิ สารวจ Survey A
ลาดบั ชนดิ ผลติ ภัณฑ์ มาตราสว่ น จานวน (ระวาง) จานวน (ชุด)
1 แผนทีเ่ ส้นชนั้ ความเข้มสนามแม่เหล็ก 1:50,000 774 100
2 แผนทเี่ สน้ ช้นั ความเข้มสนามแม่เหล็ก 1:250,000 47 300
3 แผนทีอ่ ะนอมาลีความเขม้ สนามแมเ่ หลก็ 1:10,00,000 2 2,000
ตารางท3่ี -14 รายการแผนท/่ี จากการบนิ สารวจธรณีฟสิ กิ ส์ทางอากาศ Survey B และ C
Survey B Survey C
ลาดบั ชนดิ ของผลดิ ตภัณฑ์ มาตราสว่ น จ า น ว น จ า น ว น จ า น ว น จานวน
(ระวาง) (ชุด) (ระวาง) (ชดุ )
1 แผนท่ีเส้นชั้นความเข้มกัมมันตรังสีรวม 1:25,000 23 100 38 100
(TC)
2 แผนท่ีเส้นช้ันความเข้มกัมมันตรังสี 1:25,000 23 100 38 100
โพแทสเซยี ม
3 แผนที่เส้นช้ันความ่เข้มกัมมันตรังสีธาตุ 1:25,000 23 100 38 100
ทอเรียม
4 แผนท่เี สน้ ชัน้ กัมมนั ตรงั สธี าตุยูแรเนยี ม 1:25,000 23 100 38 100
5 แผนท่ีเส้นช้ันความเข้มกัมมันตรังสีส่ัน 1:25,000 23 100 38 100
สว่ นของธาตุ
6 แผนท่ีสีความเข้มกัมมันตรังสี K U Th 1:10,000 8 1,000
และ TC
7 แ ผ น ที่ Profile map ค ว า ม เ ข้ ม 1:25,000 23 5 38 5
สนามแมเ่ หล็กไฟฟา้ VLF
8 แผนท่เี ส้นชั้นความเขม้ สนามแม่เหล็ก 1:50,000 70 5 383 5
65 38 5
9 แผนทเ่ี สน้ ชน้ั ความเข้มสนามแม่เหล็ก 1:250,000 276 5 468 5
10 Stacked profiles 1:50,000
ตารางท3่ี -15 รายการแผนท่ี พน้ื ท่บี ินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศพื้นท่ี Follow-up Survey
ลาดับ รายการ มาตราม ลป-พร/ อต-นน/ พช/ ลย/ กบ/
จานวน จานวน จานวน จานวน จานวน
สว่ น
8+ 5+ 18+ 11+ 6+
1 แผนทคี่ วามเขม้ สนามแม่เหล็ก 1:50,000 8+ 5+ 18+ 11+ 6+
8+ 5+ 18+ 11+ 6+
2 Apparent resistivity map (4200 Hz) 1:50,000 8+ 5+ 18+ 11+ 6+
8+ 5+ 18+ 11+ 6+
3 EM profile maps 736Hz coaxial 1:50,000 8+(-2) 5+/(-2) 18+(-2) 11+(-2) 6+
421(5) 287(5) 479(5) 286(5) 243(5)
4 EM profile map 912 coplanar 1:50,000 25 25 25 25 5
5 EM profile Map 4200 Hz coplanar 1:50,000
6 EM anomaly/Interpretation maps 1:50,000
7 Stacked profiles 1:50,000
8 Interpretation Report
ลป=ลาปาง พร=แพร่ อต=อุตรดิตถ์ นน=น่าน พช=เพชรบูรณ์ ลย=เลย กบ=กบินทร์บุรี “+”=positive
( )=number of copy *ไมร่ วมขอ้ มูล Positive และ Negative ท่ีมีฉบบั แยก
65
3.5.4.2 ขอ้ มลู ดจิ ทิ ัล
ข้อมูลดิจิทัล ท่ีได้รับหลังจากทางบริษัทรับจ้างสารวจ ได้ทาการแก้ไขค่าเบื้องต้น ซึ่งได้
จัดเก็บในรปู แบบเทปแมเ่ หล็ก (รายละเอียด ตารางที่3-16) ภายหลังไดด้ าเนินการประมวลผล และเปล่ียน
มาจัดเก็บในรูปแบบ CD โดย คุณธนา เกียรติวงศ์ชัย และในปัจจุบันสามารถจัดเก็บลงใน Hard Disk ได้
ทัง้ หมด
ตารางที่3-16 รายการเทปแม่เหล็กทไ่ี ดจ้ ากการสารวจของแตล่ ะ Survey
ลาดบั รายการ (Digital archive data tape) จานวน (มว้ น)
1 Survey A 73(2)
2 Survey B 32
3 Survey C 125(2)
4 พื้นทีล่ าปาง-แพร่ 15(2)
5 พื้นที่อุตรดิตถ-์ นา่ น 8(2)
6 พื้นทเี่ พชรบูรณ์ 18(2)
7 พน้ื ทเ่ี ลย 16(2)
8 พ้ืนที่กบนิ ทร์บรุ ี 8(2)
รวม 295(2)
ข้อมูลจากเทปแม่เหล็ก จานวน 295 ม้วน จานวน 2 ชุด ซ่ึงต้องใช้พื้นท่ีเป็นห้องขนาด
ใหญ่ในการจัดเก็บ ไดเ้ ปล่ียนมาเปน็ ข้อมูลที่มีขนาดความจุ 70 GB ซ่ึงไม่เป็นอปุ สรรคสาหรับเนื้อท่ีในการ
จัดเก็บสาหรบั เทคโนโลยีในปจั จบุ ัน
ข้อมูลดิจิทัล น้ัน ได้จัดเก็บไว้ในหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบเดิม และจากการประมวลผล
เพิ่มเติม ข้อมูลท่ีจัดเก็บ มีท้ัง ในรูปแบบ Tape format ข้อมูล XYZ ในรูปแบบ Geosoft GDB files และ
ข้อมลู กรดิ
ข้อมลู ในรูปแบบ Tape format น้ัน เป็นข้อมูลที่อ่านมาจากเทปแม่เหล็ก รายละเอยี ด
จะอยู่ในเอกสาร “Digital Archive Documentation” แยกตามแต่ละ Block Surveys มีรายละเอียด
ของ ข้อมูลแต่ละม้วนเทปท่ีจัดเก็บ ตลอดดจน Source Code ภาษา Basic ในการอ่านข้อมูลในรูปแบบ
TAPE Format ซึ่งเป็นข้อมูลตัวเลขท่ีจัดเก็บต่อเนื่องกันไปเพียงแถวเดียว โดยท่ีหมายเลขเทปแม่เหล็กที่
จัดเก็บ คือ แต่ละ Folder ที่ปรากฏ และในแต่ Folder จะมีชื่อ Files และต้องดูตามรายการเอกสาร จะ
บอกรายละเอียดข้อมูลไว้ ข้อมูลในรูปแบบ Tape format ไม่สามารถนามาใช้งานได้ ต้องใช้โปรแกรมใน
การอ่าน เพื่อแปลงข้อมูลมาอยู่ในรูปแบบ XYZ หรือ Grid ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับชนิดข้อมูลใน File น้ัน ข้อมูล
Tape น้ี ไดท้ าการประมวลผล และสามารถนามาใช้งานแล้ว แต่ยังคงเก็บรูปแบบเดมิ นไ้ี ว้ดว้ ย
66
รูปที่ 3-9 ภาพด้านบนเป็นข้อมูล Tape Format ซึ่งเป็นข้อมูลตัวเลข ต้องนามาทาการแปลงค่าให้อยู่ในรูป Grid
format ตามภาพด้านล่าง ภาพนี้เป็นข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี ระวาง NB47-02 มีขนาด Grid Cell Size
0.4233 เมตร
67
ขอ้ มูลในรูปแบบ XYZ และ GDB เปน็ ข้อมลู เป็นข้อมูลที่ไดจ้ ากการบินสารวจ ทีท่ าการ
แก้ไขข้อมูลเบ้ืองต้นแล้ว โดยข้อมูลจะแยกจัดเก็บตามแต่ละ BLOCK SURVEYS ข้อมูล XYZ นั้นถึงแม้จะ
เป็นข้อมูลในรูปแบบ ASCII format ที่โปรแกรมส่วนใใหญ่อ่านได้ แต่สาหรับข้อมูลธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ
นั้น ไม่ว่าจะเป็น Note Pad, Excel ก็ไม่สามารถที่จะอ่านข้อมูลนี้ได้หมด และ XYZ ที่จัดเก็บน้ีเป็น
Geosoft Format มี การกาหนด Header ซึ่งเป็น ชื่อ Line สารวจแทรกอยู่เม่ือมีการเปล่ียน Line ใหม่
สาหรับ รปู แบบ GDB เป็นรปู แบบของ Geosoft ใน Version ใหม่เท่านั้นเอง
รูปที่ 3-10 ด้านบนแสดงข้อมูล XYZ format ใช้ในโปรแกรม Geosoft Version บน DOS ซ่ึงจะมี “LINE
xxxx” ขั้น เมื่อมีการเปลี่ยน Line ใหม่ ภาพล่างเป็นข้อมูล GDB database ในโปรแกรม Geosoft Oasiz
Montaj สามารถใส่ Header ชนิดข้อมูล และแสดงผล แยกแต่ละ Line Data ซ่ึงไม่ต่อเนื่องเหมือนกับ XYZ
format นอกจากนี้ ยงั สามารถคานวนเพม่ิ คา่ เขา้ ไปยังคอลมั ใหม่ได้ในทันที
68
ข้อมูลในรปู แบบ GRID เป็นการแสดงผลดว้ ยข้อมลู ในรูปแบบ PIXEL แทนค่าท่ีวัดไดจ้ าก
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ ด้วยสี ที่มีช่วงระหว่า 0-254 ได้มาจากการประมวลผลข้อมูล XYZ
หรือ GDB file ข้อมูล Grid file น้จี ดั เกบ็ ครอบคลุมพื้นท่ี และการประมวลผลต่าง ๆ กนั และมีขนาด Cell
size ต่าง ๆ กัน กาลังดาเนินการเพ่ิมเติม เพื่อให้สามารถนาข้อมูลมาใช้งานได้สะดวกรวดเร็วขึ้น มีขนาด
ครอบคลมุ ท้งั ประเทศ ตามแผนทีม่ าตราสว่ น 1:50,000 มาตราส่วน 1:250,000 รายการข้อมลู GRID แจก
แจงไว้ Appendix
ข้อมูลดิจิทัลน้ัน พิกัด เป็น UTM ใช้ Projection Indian1975 ถ้ามีการเปล่ียนแปลง
projection จะเพม่ิ WGS84 ในชอื่ ของข้อมูลดังกลา่ ว
3.6 เทคโนโลยีการบินสารวจธรณีฟสิ ิกสต์ ั้งแต่อดีตถึงปัจจุบนั
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ พัฒนาขึ้น ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
สาหรับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ เลือกกล่าวถึงใน 3 หัวข้อ ได้แก่
ความก้าวหน้าด้านการกาหนดพิกัดตาแหน่ง ความก้าวหน้าเร่ืองเคร่ืองมือธรณีฟิสิกส์ท่ีใชใ้ นการบินสารวจ
และ ความก้าวหน้าทางดา้ น Hardware และ Software คอมพวิ เตอร์
3.6.1 การกาหนดพิกดั ตาแหนง่ ภาคพื้นดินในการบนิ สารวจ
ในอดตี การกาหนดตาแหน่งสามารถทาได้โดยการใชเ้ ข็มทศิ หาตาแหนง่ ยอดเขา จานวน
สามตาแหน่งเพ่ือกาหนดตาแหน่งปัจจุบัน โดยปรียบเทียบกับลักษณะภูมิประเทศ ทางน้า ต่อมาได้มีการ
นาเคร่ืองมือในกาหนดตาแหน่งพิกัดภูมิศาสตร์จากดาวเทียม เป็นท่ีรู้จัก/หรือเรียกว่า ระบบ Global
Positioning System (GPS) ซึ่งเคร่ืองมือกาหนดตาแหน่งหรือ GPS ที่กรมทรัพยากรธรณีที่มีใช้อย่าง
แพร่หลาย ได้แก่ ยี่ห้อ Magellan รุ่น NAV 5000 (รูปท่ี 3-11) ในช่วงปี 2538 ตามหมายเลขครุภณั ฑ์ของ
ก ร ม ท รั พ ย า ก ร ธ ร ณี ต า ม ป ร ะ วั ติ บ ริ ษั ท Magellan นั้ น ไ ด้ ก่ อ ต้ั ง ข้ึ น เ ม่ื อ ปี 2529
( http://www.magellangps.com/About-Us)
ปัจจุบนั น้ี เปลย่ี นมาใช้คาวา่ “GNSS” (Global Navigation Satellite System) เป็นชอ่ื
ตามมาตรฐานสาหรับระบบท่ีใช้ดาวเทียมเป็นตัวกาหนดตาแหน่ง ซึ่งความหมายรวมถึง GPS (The
Global Positioning System) ซ่ึงเป็นระบบพิกัดภูมิศาสตร์จากดาวเทียมของประเทศสหรัฐอเมริกา
GLONASS (Globalnaya Navigazionnaya Sputnikovaya Sistema, or Global Navigation Satellite
System) เป็นระบบพิกัดภูมิศาสตร์จากดาวเทียมของประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย Galieo เป็นรบบพิกัด
ภูมิศาสตร์จากดาวเทียมของสหภาพยุโรป และ Beidou เป็นระบบพิกัดภูมิศาสตร์จากดาวเทียมของ
สาธารณรัฐประชาชนจีน การกาหนดตาแหน่งจากดาวเทียม ได้มีวิวัฒนาการไปมาก ขึ้นอยู่กับราคา และ
คุณสมบัติ โดยท่ีสามารถวัดค่าตาแหน่งถูกต้องในระดับ เพียงไม่ก่ีเซนติเมตร ในขณะ GNSS ได้เป็นส่วน
หนึ่งในชีวิตประจาวันของทุกคน ในการหาตาแหน่ง สถานท่ีท่องเทยี่ ว สถานท่ีรับประทานอาหาร และ อ่นื
ๆ จากระบบ GNSS ในมือถือของตนเอง หรือสามารถกาหนดตาแหน่งปัจจุบนั ท่ีตนเองอยู่ให้ผู้อื่นรับทราบ
ไดอ้ กี ด้วย
ในการบินสารวจธรณฟี สิ ิกสท์ างอากาศ นอกจากจะตอ้ งกาหนดตาแหน่ง ในแนวราบแล้ว
ตอ้ งมคี วามแม่นยาในการกาหนดตาแหน่งในแนวดง่ิ อกี ด้วย
69
รูปท่ี 3-11 เคร่ือง GPS เป็นรุ่น ที่กรมทรัพยากรธรณี นามาใช้ในการปฏิบัติงานอย่างแพร่หลาย ย่ีห้อ Magellan
รุ่น NAV 5000 ซ่ึงมีน้าหนักประมาณ 0.85 กิโลกรัม มีความถูกตอ้ งในการวัด 15 เมตร สามารถบันทึกตาแหน่งใน
เครื่องได้ 100 ค่า ในการวัดต้องใช้เวลาในการวัด ณ ตาแหน่งท่ีต้องการมากกว่า 15 นาที เมื่อมีการเคล่ือนย้ายไป
จากตาแหน่งท่ีหา่ ง จากตาแหนง่ ที่วัดก่อนหนา้ มาก
3.6.2 ความก้าวหนา้ ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ นอกจากจะมีบทบาทท่ีสาคัญในการ
สารวจแล้ว การประมวลผล การแสดงผลขอ้ มลู มีความสาคัญเชน่ เดยี วกัน
ในการบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ ในระยะแรกก่อน ปี 2527 ไม่ได้กล่าวถึงการ
ประมวลผลดว้ ยระบบคอมพิวเตอร์ มผี ลผลติ จากการบนิ สารวจพบเป็นเพียงแผนท่ีหรอื รายงาน
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศระหว่างปี 2527-2530 นั้น การประมวลผลข้อมูล
น้ัน ดาเนินการที่สานักงานหลักของบริษัทที่ดาเนินการบินสารวจ ณ ประเทศแคนาดา ซ่ึงดาเนินการด้วย
เคร่อื ง VAX11/780 เป็น minicomputer ในสมัยน้นั ซึ่งในปจั จบุ นั ไมม่ ีการผลิตแล้ว
การประมวลผลข้อมูลในประเทศไทย ในระยะเร่ิมแรก ดาเนินการประมวลผล 2 ระบบ
ได้แก่ ระบบ UNIX โดยเครื่อง Sun Sparcstation 2 และ เครื่อง PC computer ซ่ึงใช้ระบบปฏิบัติการ
DOS โดยใช้ Program Geosoft การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่น้ันต้องดาเนินการบนเครื่อง UNIX
เท่าน้ันโดยใช้โปรแกรม Gipsi ซ่ึงการประมวลผลข้อมูล ธรณีฟิสิกส์ทางอากาศบนระบบ DOS นั้นมี
ข้อจากัดเรื่องขนาดของข้อมูล ในการประมวลผลข้อมูลกริดนั้น ถ้าเป็นข้อมูลกริดท้ังประเทศ สามารถ
แสดงผล ได้ที่ กริดเซล 500 เมตรเท่าน้ัน ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ได้ อีกท้ังยังไม่สามารถ
ดาเนินการแปลผลข้อมูลผ่านจอคอมพิวเตอร์อีกด้วย ต้องดาเนินการพิมพ์ออกมาเท่านั้นจึงจะสามารถทา
การแปลความหมายได้
70
การพัฒนาท้ังด้าน Hardware และ Software ในปัจจุบัน ทาให้การประมวลผลใน
ปัจจุบันสามารถดาเนินการได้อย่างรวดเร็ว และใช้ข้อมลู ที่มขี นาดใหญห่ รอื ปรมิ าณมากได้
การพฒั นาทางทางดา้ น Software น้ัน รวมท้ังโปรแกรมระบบปฏบิ ัติการ และโปรแกรม
ที่ใช้ในการประมวลผล โปรแกรมที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลธรณีฟิสิกส์ทางอากาศ ได้แก่โปรแกรม
Oasiz Montaj (Geosoft) บนระบบปฏบิ ตั ิการ Window เรม่ิ ต้นในปี พ.ศ 2545 ทาใหก้ ารประมวลผลนน้ั
สามารถที่จะดาเนินการประมวลผลข้อมูลท้ังประเทศ ได้อย่างรวดเร็ว มีการแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่าง
โปรแกรมอ่นื ๆ ไดส้ ะดวกมากย่ิงข้ึน และสามารถทจี่ ะดาเนนิ การแปลความหมายบนหน้าจอได้ในทันที ไม่
ต้องมีการ Digitize ผลการแปลความหมายข้อมูลเพ่ือมาจัดทาแผนท่ีซ้าอีก นอกจากนี้ยังสามารถนาข้อมูล
ที่ได้จากการบินสารวจไปประมวลผล กับข้อมูล Raster อื่น ๆ เช่น ข้อมูลดาวเทียม โดยใช้โปรแกรม ER
Mapper ซ่ึงสามารถใช้หลักการประมวลผลรูปภาพ (Image processing) ในการแบ่งหน่วยข้อมูลความ
เขม้ กมั มันตรังสีแบบอัตโนมตั
การพัฒนาทางดา้ น Hardware(ฮาร์ดแวร์) ตวั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง
peripheral (เพอริพรี ีว) ท่ีเก่ียวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์ , เคร่ืองพิมพ์, ซีพยี ู, เมนบอร์ด, แรม, การ์ดจอ, ไดร์ฟ
ดีวีดี, เคส, จอภาพ, คีบอร์ด, เมาส์ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ สามารถทางานได้
รวดเรว็ ข้ึน แสดงผลได้ดยี งิ่ ขึ้น ในขณะทรี่ าคาลดลง
ดว้ ยการพัฒนาเทคโนโลยไี ด้มกี ารพฒั นาไปอย่างรวดเรว็ อุปกรณท์ ่ใี ชใ้ นการจดั เก็บขอ้ มลู
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างตลอดเวลา (รูปท่ี 3-12) ซ่ึงเม่ือเวลาผ่านไป อุปกรณ์ท่ีเก็บในรูปแบบเก่าไม่
สามารถที่จะนามาใช้ได้ หรือมีความเสียหาย ดังน้ันในการดูแลจัดเก็บ และเปล่ียนแปลงอุปกรณ์จัดเก็บ
ข้อมูลให้มีความทันสมัยจงึ มีความสาคญั อยา่ งย่ิง
การจัดเก็บข้อมูลธรณีฟิสิกส์ทางอากาศเร่ิมแรกหลังจากที่ดาเนินการบินสารวจ ข้อมูล
การบินสารวจทั้งหมด ได้จัดเก็บในรูปเทปแม่เหล็ก จานวน 295 ม้วน หลังจากนั้นได้มีการดาเนินการ
ปรับเปล่ียนอุปกรณ์การจัดเก็บตามเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ที่พัฒนามากข้ึน มีการจัดเก็บลงในเทป
แม่เหล็กซึ่งมีขนาดเล็กกว่าในระยะแรกๆ และขนาดการจัดเก็บมากกว่า และมีการเปล่ียนจัดเก็บลงใน CD
ในปัจจุบันข้อมูลจากากรบินสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศทั้งหมด ได้ถูกจัดเก็บไปไว้ใน Hard Disk ใน
เครอ่ื งที่ใช้สาหรบั ในการประมวลผล ซงึ่ ใชเ้ นื้อทปี่ ระมาณ 70 GB
รูปที่ 3-12 อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์จากซ้าย-ขวา ได้แก่เทปแม่เหล็ก ซิปไดร์ฟ ซดี ี/ดีวดี ี Remove hard
disk และ handy drive ซึง่ เทปแมเ่ หลก็ และซปิ ไดรฟ์ ไม่มีใชใ้ นปัจจุบัน
71
3.6.3 การพฒั นาเคร่อื งมือธรณีฟิสกิ ส์ในการบนิ สารวจทางอากาศ
การพฒั นาเคร่ืองมือการสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศเป็นปจั จัยสาคัญอันหน่ึง ที่ทาให้ได้
ข้อมูลท่ีมีคุณภาพมากข้ึน ทางานได้รวดเร็วมากย่ิงข้ึน และสามารถวัดค่าท่ีมีความแตกต่างน้อย ได้ดียิ่งขึ้น
วธิ ีท่ีสามารถบินสารวจทางอากาศไดแ้ ก่ ความเข้มสนามแม่เหล็ก ความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ความเข้ม
กมั มนั ตรังสี และ ความโนม้ ถว่ งของโลก
3.6.3.1 ความเขม้ สนามแม่เหลก็ (Magnetic)
การบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็ก เป็นวิธีสารวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศท่ีพัฒนาขึ้น
มาเป็นลาดับแรก หรือ เก่าแก่ท่ีสุด แรกเริ่ม มีการศึกษาค้นคว้าโดย Vacquier at the Gulf Research
Laboratory ในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ.1940) หรือในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ในการบินสารวจความเข้ม
สนามแม่เหล็กในขณะน้นั มีวัตถปุ ระสงคใ์ นการตรวจหาเรือดาน้า (Muffly, 1946) ซึง่ เครือ่ งมือวัดค่าความ
เขม้ สนามแมเ่ หลก็ ในตอนนัน้ คอื ชนดิ Saturation magnetometer หรอื Fluxgate magnetometer
การพัฒนาของเคร่ืองมือสารวจในช่วงทศวรรษท่ี 1950-1970 น้ัน (Nabighian et al.
,2005) ความละเอียด (Sensitivity) ของเคร่ืองมือเพ่ิมขึ้นจาก 1nT ถึง ดีว่า 0.01 nT ซึ่งเครื่อมือความ
เขม้ สนามแมเ่ หล็กทมี่ ีความละเอียด 0.01 ได้แก่ Alkali vapor magnetometer
เครื่องมือวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กท่ีมีใช้น้ันมีหลายเทคโนโลยีมีความนิยมในการใช้
งานในช่วงเวลาแตกต่างกัน (ตารางท่ี3-17) หรืออาจมีวัตถุประสงค์ท่ีนามาใช้งานท่ีแตกต่างกัน ได้แก่
Fluxgate magnetometer, Proton precession magnetometer, Alkali vapor magnetometer
และ Superconducting quantum interference device (SQUID) magnetometer เครื่องท่ีนิยมใช้
ในปัจจุบนั ไดแ้ ก Alkali vapor magnetometer สารับเครอื่ ง Fluxgate ในปัจจุบันใช้สารวจในหลุมเจาะ
เคร่ือง Proton precession magnetometer นั้นยังคงมีการใช้อยู่ในการสารวจภาคพ้ืนดิน ส่วน SQUID
ยังไม่เปน็ ทนี่ ยิ ม จะใช้ในเรอื่ งของ Magnetotelluric และ การศึกษาเกย่ี วกับ Paleomagnetic
ตารางที่3-17 เคร่อื งมอื วดั ความเข้มสนามแมเ่ หล็ก ชนดิ ตา่ ง ๆ
ลาดับ ชนิด ทศวรรษท่ีเร่ิมศึกษาใช้ ทศวรรษท่ีนามาใช้งาน ความละเอยี ด (Sensitivities)
1 Fluxgate งาน อยา่ งแพร่หลาย
Magnetometer
1940 (พ.ศ.2483) 1 nT
2 Proton precession
magnetometer Mid-1950 (พ.ศ.2493) Mid-1960 (พ.ศ.2503) 0.1/0.2/0.05nT
3 Alkali Vapor 1960 (พ.ศ.2503) 1970 (พ.ศ. 2513) 0.01nT
Magnetometer
1930 - -
4 SQUID
SQUID= Superconducting quantum interference device Magnetometer
การพฒั นาการบนิ สารวจธรณีฟิสิกสท์ างอากาศในปัจจบุ ัน ซึ่งระบบการระบุตาแหน่งด้วย
GPS นน้ั ความกา้ วหน้ามาก การบินสารวจความเข้มสนามแม่เหลก็ ความละเอียดสูงนั้น สามารถบนิ สารวจ
ท่ีความสูง 80-150 เมตร มีระยะห่างระหว่างแนวบิน 250-500 เมตร ในประเทศออสเตรเลียสามารถมา
72
รถบนิ ได้ท่ีระดบั ความสูง 60-80 เมตร หรือประเทศฟินแลนด์บินที่ระดับความสงู 30-40 เมตร มีระยะห่าง
ระหว่างแนวบิน 200 เมตร (Nabighian et al., 2005)
3.6.3.2 ความเขม้ กมั มันตรังสี (Radiometric)
การบินสารวจความเข้มกัมมันตรังสีในปัจจุบัน ได้พัฒนาจนเป็นท่ียอมรับ เป็นวิธีการ
มาตรฐานในการสารวจด้านธรณีวิทยาและรณีวิทยาแหล่งแร่ การบินสารวจความเข้มกัมมันตรังสีนั้น โดย
ส่วนมากจะดาเนินการร่วมกับการบินสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กในคราวเดียวกัน (IAEA, 2013) ได้
กล่าวถึงเครื่องมือ multichannel gamma ray spectrometers มีขนาด 32 ถึง 50 ลิตร NA(Tl) เป็น
มาตรฐานทใ่ี ชใ้ นการสารวจในปัจจบุ นั
3.6.3.3 สนามแม่เหลก็ ไฟฟ้า (Electromagnetic)
การสารวจความเข้มสนามแม่เหล็กฟ้าทางอากาศ เป็นวิธีการที่มีการพัฒนาอย่างมาก
ในช่วงที่ผ่านมา การสารวจสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีสองวิธี คือ Frequency Domain และ Time Domain
ซ่งึ การสารวจดว้ ยเครื่องบินปีกแข็ง และเฮลิคอปเตอร์มีการพัฒนาเครือ่ งมอื ทีแ่ ตกต่างกันอกี ดว้ ย
รูปที่ 3-13 ภาพรวมของการพัฒนาการสารวจสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้กับเฮลิคอปเตอร์ (Thomson,
Fountain, & Watts, 2007)
73
รปู ที่ 3-14 ภาพรวมของการพฒั นาการสารวจสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้าใชก้ บั เคร่ืองบนิ ปกี แขง็ (Thomson, Fountain,
& Watts, 2007)
3.6.3.4 ความโน้มถ่วงโลก (gravity) และ Gravity Gradiometry
การบินสารวจความโน้มถ่วงโลก มีสองวิธี ได้แก่การวดั ค่าความโน้มถ่วงของโลกโดยตรง
(Gravity Method) และ การวดั คา่ ความชนั (Gradient) ของคา่ ความโน้มถ่วง (Gravity Gradiometry)
การวดั ค่าความโน้มถ่วงของโลกโดยตรงน้ัน โดยใชพ้ าหนะท่ีเคลื่อนท่ี (โดยปกติการวัดค่า
ความโน้มถ่วงของโลกบนพ้ืนดิน ต้องตั้งเครื่องมือให้อยู่ในระดับน่ิงๆ แล้วถึงทาการอ่านค่า) เป็นเรื่องที่ท้า
ทายความสามารถของนักธรณีฟิสกิ สเ์ ปน็ อยา่ งมาก การวดั ค่าความโน้มถ่วงของของคร้งั แรกในเรือดาน้าใน
ปี พ.ศ.2443 (ค.ศ.1900) และมกี ารวัดค่าบนเรอื ครงั้ แรกในปี พ.ศ.2501 (ค.ศ.1958) (Hammer, 1983)
Gumert (1998) ไดร้ วบรวมประวัตกิ ารบินสารวจ Gravity โดยในชว่ ง พ . ศ .
2506-พ.ศ.2513 (ค.ศ.1963-1970) นน้ั เปน็ การทดสอบการบนิ สารวจ Gravity ในการทาแผนที่
จากทางทหาร หรือได้รับสนับสนุนจากบริษัทสารวจปิโตเลียม ซึ่งได้ค่าความถูกต้องประมาณ 3-5mGal
ต่อมามีการสารวจในเชิงพาณิช เริ่มต้นในช่วง พ.ศ.2513 (ค.ศ.1970) โดยในระยะแรกสารวจโดยใช้
เฮลิคอปเตอร์ ในปี พ.ศ.2527 (ค.ศ.1984) ถึงได้พัฒนาการสารวจโดยใช้เคร่ืองบินปีกแข็ง อย่างไรก็ตาม
วธิ ีกาการบนิ สารวจ Gravity ท่ีวัดค่าโดยตรงนั้นก็ไม่ได้รับความนิยม การดาเนินการสารวจเป็นการค้นคว้า
ศึกษาวจิ ยั หรือเปน็ เพยี งการทดสอบ
การบินสารวจวัดค่าความชัน (Gradient) ของค่าความโน้มถ่วง (Airborne Gravity
Gradiometry: AGG) มีแนวโน้มในการเจริญเติบโตท่ีเพ่ิมมากขึ้น โดยที่การสารวจแบบ AGG สามารถได้
ข้อมมูลที่มีความละเอียดสูง และสามารถสารวจครอบคลุมพื้นท่ีขนาดใหญ่ และมีข้อดีคือ ได้แผนท่ีที่มี
ความถูกต้อง ท้ังในเร่ืองความลึก รูปร่าง และการวางตัวของธรณีวิทยาใต้ผิวดิน (Dransfield &
Christensen, 2013)
74
DiFrancesco, (2013) ได้กล่าวว่า การสารวจโดยวิธีนี้ เริ่มจาก การสารวจทางทะเล ใน
ปี พ.ศ.2537 (ค.ศ.1994) และได้เร่ิมบินสารวจทางอากาศครั้งแรกโดยบริษัท Sander Geophysics ในปี
พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999) นับว่าเป็นยุคของ Airborne gravity gradiometry โดยมีการสารวจโดยวธการน้ี
เพิม่ ข้ึนอย่างตอ่ เนอื่ ง และสามารถพัฒนาประสทิ ธภิ าพในการสารวจใหเ้ พ่มิ ขนึ้ อีกในอนาคต
3.6.4 การสารวจธรณีฟิสกิ ส์โดยอากาศยานไรค้ นขบั (unmanned aircraft
system: UAS)
ปัจจุบันการสารวจโดยอากาศยานไร้คนขับ ( unmanned aircraft system,
unmanned aircraft vehicle หรอื Drone) เขา้ มามีบทบาทในการสารวจธรณีวทิ ยา ด้านขอ้ มลู ระยะไกล
และ ด้านธรณีฟิสิกส์ เคร่ืองมือด้านข้อมูลระยะไกล ท่ีสามารถติดกับอากาศยานไร้คนขับได้แก่ กล้อง
ถ่ายภาพ กล่องถ่ายภาพเคล่ือนไหว Near Infrared, Short Wave Infrared, Thermal Infrared,
Multi/hyper spectral และ LiDar เครื่องมือธรณีฟิสิกส์ ได้แก่ เครื่องมือวัดค่าความเข้มกัมมันตรังสี
เคร่ืองมอื วดั คา่ ความเข้มสนามแม่เหล็ก และ เครอ่ื งมอื วัดคา่ สนามแม่เหลก็ ไฟฟา้
การบินสารวจธรณีฟิสิกส์โดยอากาศยานไร้คนขับนั้น สามารถดาเนินการโดยว่าจ้าง
บริษัทสารวจ หรือ ซื้อชุดอุปกรณ์การสารวจมาดาเนินการเอง หรือบางประเทศมีการพัฒนาชุดการสารวจ
ข้ึนมาเอง ซึ่งคุณสมบัติของเคร่ืองวัดความความเข้มสนามแม่เหล็กท่ีติดกับ Drone ที่ควรต้องคานึงถึง
ได้แก่ กาลงั ฟ้าท่ีใช้ นา้ หนกั ขนาด อัตราการวดั และ ความละเอยี ด
นอกจากนี้ในการสารวจโดยอากาศยานน้ัน ต้องมีการขออนุญาต โดยมีกฎหมายท่ี
เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัตกิ ารเดินอากาศ พ.ศ.2497, 2553 และ 2558 ประกาศกระทรวงคมนาคม
2558 (หลักเกณฑการขออนุญาตและเงื่อนไขในการบังคับหรือปลอยอากาศยานซึ่งไมมีนักบินประเภท
อากาศยานท่คี วบคุมการบนิ จากภายนอก ) และบทกาหนดโทษ ตาม พรบ.การเดินอากาศ
ตารางท3่ี -18 แสดงบริษทั ผู้ผลิต อปุ กรณ์วัดค่าความเขม้ สนามแม่เหล็ก (Bell., 2017)
ชนดิ บรษิ ทั ผผู้ ลติ (เว็บไซต)์
Optically Pumped Magnetometers GEM Systems (http://www.gemsys.ca/)
Scintrex (http://www.scintrexltd.com)
Geometrics Inc. (http://www.geometrics.com/)
Fluxgate Magnetometer (3 axis) Mobile Geophysical Technologies (http://www.mgt-
geo.com/)
Bartington Instruments (http://www.bartington.com/)
LEMI Sensors (http://www.lemisensors.com/)
SENSYS GmbH
(http://www.sensysmagnetometer.com/en/contact.html)
75
รปู ที่ 3-15 แสดงเครือ่ งมือวัดความเข้มสนามแมเ่ หลก็ ท่ีสามารถตดิ ต้งั กับ Drone
ตารางที่ 3-19 การประยกุ ตใ์ ช้ UAV ดา้ นธรณีวทิ ยา (Bell, R.S.,2017)
ข้อมูลระยะไกล วิธกี าร การประยกุ ต์ใช้งาน
การถา่ ยภาพ (Color photograph) ถ่ายภาพ / ถา่ ยภาพ 3 มิติ
ธร ีณฟิสิกส์ การถ่ายภาพเคลือ่ นไหว
(Color Video (4K) NDVI ชนดิ หนิ /ชนดิ ดนิ /การผุพงั /น้า
Near Infrared บาดาล/ การดูดกลืนความรอ้ น
Short Wave Infrared Point cloud, 3D surfaces
Thermal Infrared แผนท่ธี รณีวทิ ยา/ ภัยจากกัมมันภาพรงั สี
Multi/hyper-spectral ชนดิ หิน การผพุ ัง โครงสรา้ งทาง
LiDar ธรณีวทิ ยา วตั ถุท่ีฝังใตด้ นิ
Gamma Ray Spectrometry
Magnetic
Electromagnetic (EM)
การพัฒนาเคร่ืองมือวดั คา่ ความเข้มสนามแม่เหล็ก นน้ั มีความหลากหลาย ในขณะที่ ด้าน
การสารวจความเขม้ กมั มันตรังสนี ้ัน หาข้อมูลจากเว็บไซต์ ไดน้ ้อยมาก มีเพียงกลา่ วไวส้ ัน้ ๆ เทา่ นน้ั
สาหรับประเทศ กลุ่มสมาชิก CCOP ที่มีการสารวจธรณีฟิสิกส์โดยใช้ระบบอากาศยานไร้
คนขับ ไดแ้ ก่ เกาหลี ญป่ี นุ่ และจนี
76
ประเทศเกาหลี
KIGAM (Korean Institute of Geoscience and Mineral Resources ใ ช้ UAVs ใ น
การสารวจทาแผนท่คี วามเขม้ สนามแม่เหลก็ และความเขม้ กมั มันตรงั สี บริเวณตอนใต้ของคาบสมทุ รเกาหลี
โดยความเข้มสนามแม่เหล็ก โดยใช้เครื่องมือความเข้มสนามแม่เหล็กรุ่น G822A Cesium
magnetometers และใช้ข้อมูลคามเข้มกัมมันตรังสี รุ่น RSX-5 1024-channel (KIGAM Annual
Report 2015)
รูปที่ 3-16 ระบบ Airborne magnetic survey system with 3-axis (ซ้าย) Radioelement survey และ
Electromagnetic survey system based on multicopter (ขวา)
ประเทศจนี
นักวิจัย ของ the Institute of Geophysical & Geochemical Exploration ภายใต้
China Geological Survey ประสบความสาเร็จ ในการใช้ เครื่องมือความเข้มสนามแม่เหล็ก และ ความ
เข้มกัมมันตรังสี ทางานร่วมกับ Rainbow-3 UAV platform ในการสารวจดา้ นธรณีและ ธรณีวิทยาแหล่ง
แร่ (http://en.cgs.gov.cn/Achievement/tag/201603/t20160309_266141.html)
http://en.cgs.gov.cn/Achievement/tgs/201603/t20160309_266025.html
รปู ที่ 3-17 ระบบ Rainbow-3 UAV aerogeophysical (magnetic/radioactive) station
77
ประเทศญ่ีปุ่น
Geological Survey of Japan, AIST ได้พฒั นา drone โดยตดิ กบั เคร่อื งมอื EM sensor
ในการค้นหารกถทต่ี ดิ อยู่ภายใต้ดินถลม่ ซึ่งสามารถหารถทอ่ี ยู่ลกึ ลงไป 1.5 เมตร
https://www.gsj.jp/en/research/topics/pr20170605.html
รปู ท่ี 3-18 ภาพจาลองระบ EM ท่สี ามารถค้นหารถยนตท์ ี่ถกู ปดิ ทบั ไว้
บทที่ 4
ลกั ษณะเด่นของขอ้ มลู ความเข้มเสนามแมเ่ หล็ก
และขอ้ มูลความเข้มกมั มนั ตรงั สีกับหนิ แกรนิต
ลักษณะเด่นของข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี และข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็กของ
หินแกรนิตประเทศไทย อธิบายเปรียบเทียบกับบทความเรื่อง “Granitic Rocks” ซ่ึงรวบรวมไว้โดย
Cobbing (2011) โดยการแบ่งกล่มุ ของหนิ แกรนิตและการบรรยายขอ้ มลู ของหนิ แกรนิตของบทความน้ี ซง่ึ
มคี วามสมั พันธก์ ับขอ้ มลู ความเขม้ กัมมันตรังสี ไดเ้ ปน็ อย่างดี
ลักษณะเด่นของข้อมูลความเข้มกัมมันตรังสี โดยการแสดงผลค่ากัมมันตรังสีในรูปแบบ
แผนท่ีเทอร์นารี แผนท่ีความเข้มกัมมันตรังสีรวม (Total Count) แผนที่ความเข้มสนามแม่เหล็ก แผนท่ี
ความเขม้ กมั มนั ตรังสรี วมซอ้ นทับกับเส้นชั้นความเข้มสนามแม่เหล็ก
แผนท่ีกัมมันตรังสีเทอร์รี่แสดงผลระบบสี ในระบบ CMY โดยค่าความเข้มกัมมันตรังสี
โพแทสเซียม (K) ให้แสดงผลเป็นสีม่วงแดง ค่ายูเรียมแสดงผลเป็นสีเหลือง (Y) และ ค่ากัมมันตรังสี
ยเู รเนยี ม แสดงผลเปน็ สเี หลอื ง โดยคา่ ตา่ แสดงเปน็ สขี าว และมสี เี ขม้ ข้ึนเมอ่ื มคี า่ สงู ขน้ึ (รปู ท่ี 4-1)
แผนที่ความเข้มกัมมันตรังสีรวม(TC) แสดงผลแสดงการแสดงผลโดยใช้ color
table=color.tbl (แสดงผลจากโปรแกรม Geosoft Oasis montaj) (รปู ท่ี 4-2)
ข้อมูลความเข้มสนามแม่เหล็กในการเปรียบเทียบกับหินแกรนิต ใช้ข้อมูลความเข้ม
สนามแมเ่ หลก็ คงเหลอื (Residual Magnetic) การแสดงผลใช้ color table=color.tb เช่นเดยี วกับข้อมูล
ความเข้มกัมมันตรงั สีรวม
K
U
TH
รูปท่ี 4-1 ตารางสีแสดงผลแผนท่ีกัมมันตรังสีเทอร์นารี ค่าโพแทสเซียมกาหนดให้แสดงสีม่วงแดง ค่ายูเรนียม
กาหนดใหแ้ สดงสีเหลอื ง คา่ ทอเรยี มกาหนดให้แสดงสฟี า้
รปู ท่ี 4-2 ตารางสแี สดงผลโดยใช้ color table=color.tbl (แสดงผลจากโปรแกรม Geosoft Oasis montaj)
4.1 หินแกรนติ
ลักษณะเด่นของหินแกรนิตใช้ข้อมูลเกือบท้ังหมดของหินแกรนิตอธบายหัวข้อแยกตาม
บทความของ (Cobbing, 2011) และเพ่มิ เติมข้อมูลหนิ แกรนติ เลย และหินไซยีไนต์
79 ข
ก
คง
รูปที่ 4-3 แผนที่แสดงแนวหินแกรนิตภาคเหนือ (ก) ซ่ึงแสดงหินแกรนิตแนวกลางและแนวตะวันออก แนวกลาง
(Central Province Granites of Permo-Triassic and Triassic age) (Cobbing, 2011) เปรียบเทียบกบั
แผนที่กัมมันตรังสีเทอร์นารี (ข) และ แผนท่ีความเข้มกัมมันตรังสีรวม (ค) แสดงขอบเขตของหินแกรนิต และ
ตะกอนของหินแกรนิต เป็นสีเข้ม แผนท่ีความเข้มสนามแม่เหล็ก (ง) แสดงให้เห็นลักษณะหน่วยหินท่ีมีความเป็น
แม่เหล็ก ทไี่ ม่ได้แสดงความสัมพันธ์กับหินแกรนติ อย่างชัดเจน