43
่
มา จนนางคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้คงต้องการอภิรมย์กับเราเป็นแน่นอน วันหนึ่งนางจึงถามชายหนุ่มวา “เธอ
์
่
ต้องการฉันใช่ไหม” เขารับคำวา “ครับ แต่ผมเกรงกลัวอาจารย” นางพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงฆ่าลูกฉัน
่
เสียสิ” เขากล่าววา “ผมเรียนหนังสือกับท่าน จะให้ฆ่าท่านได้อย่างไร” นางพูดว่า “ถ้าหากเธอไม่ทอดทิ้ง
ฉันจริง ฉันจะฆ่าเขาเอง” ธรรมดาหญิงส่วนมากไม่น่ายินดี มีลับลมคมใน ถึงจะแก่แล้วก็ยังมีกิเลสราคะ
ถึงกับคิดจะฆ่าลูกชายตนเอง ชายหนุ่มได้บอกเรื่องทุกอย่างแก่อาจารย์ อาจารย์จึงทราบว่ามารดาตนจะ
สิ้นชีวิตในวันนี้ จึงเรียกให้ลูกศิษย์ไปตัดต้นมะเดื่อมาทำเป็นรูปหุ่นเท่าตัวให้นอนในที่นอนคลุมผ้าทั่วร่าง ผูก
ราวเชือกไว้เสร็จแล้ว มอบขวานให้ลูกศิษย์นำไปมอบให้มารดา บอกว่าอาจารย์เข้านอนแล้ว นางเดินไป
ตามราวเชือกแล้วเงื้อขวานจามลงบนหุ่นไม้นั้นหวังให้ตายคาที่ พอเกิดเสียงดังกึก จึงทราบว่าฟันถูกไม้
ทันใดนั้นเองลูกชายก็โผล่มาถามว่าแม่ทำอะไร นางทราบว่าถูกหลอกแล้ว จึงล้มลงสิ้นใจตาย ณ ที่นั้น
นั่นเอง ความที่จริงถ้านางไม่เดินมาก็จะนอนตายที่ศาลาของตนเองอยู่แล้ว นางเดินมาด้วยอำนาจกิเลส
ตัณหา อาจารย์ได้ทำการเผาศพมารดาแล้วเรียกลูกศิษย์มาสอนว่า “อสาตมนต์ไม่มีดอก ขึ้นชื่อว่าหญิง
ส่วนมาก ไม่รู้จักจืดจาง มารดาของเจ้าส่งเจ้ามาเพื่อให้รู้จักโทษของหญิง บัดนี้ เจ้าเห็นโทษของมารดาเรา
่
แล้ว พึงทราบวา ผู้หญิงส่วนมากไม่รู้จักอิ่ม ชั่วช้า “แล้วให้เขากลับบ้าน เมื่อชายหนุ่มกลับไปถึงบ้าน
มารดาจึงถามวา “บัดนี้เจ้าจักบวชหรือจะครองเรือน” เขาได้ตัดสินใจออกบวชเพราะเห็นโทษของหญิง
่
ิ
และได้กล่าวคาถาว่า “ขึ้นชื่อว่า หญิงในโลกนี้ไม่นายนดี เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีขอบเขต มีแต่ความ
กำหนัด คะนอง เหมือนเปลวไฟไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพเจ้า จักละทิ้งหญิงทั้งหลายเหล่านั้น ไปบวชเพิ่มพูน
วิเวก” เพื่อความชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นพึงทราบวา “หญิงเหล่านั้น ร้อยเล่ห์ หลอกลวง เป็นบ่อเกิดแห่ง
่
ความโศก มีเชื้อโรค เป็นตัวอุบาทว์ หยาบคาย ก่อให้เกิดความผูกพันธ์ เป็นชะนวนแห่งความตาย เป็นนาง
บังเงา ชายใด วางใจในนาง ชายนั้น จัดเป็นคนเลวในฝูงคน”
ู
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ภรรยา ทาส ช้างสาร งเห่า (คนไม่ดี) ไว้ใจไม่ได้ ๛
การทำเกินประมาณ (เภริวาทชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีต
นิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นช่างตีกลอง อาศัยอยู่
หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในช่วงเทศกาลงานประจำปีในเมืองพาราณสี เขาได้ชวนลูกชายไปแสดงตีกลองเก็บเงินค่า
ดูได้จำนวนมาก ในวันสุดท้ายของวันงานจึงเดินทางกลับบ้าน ลูกชายด้วยความคะนองและดีใจที่ได้เงินมาก
จึงตีกลองไปตลอดทาง พอไปถึงดงโจรในระหว่างทาง พ่อจึงกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าตีกลองไม่หยุดระยะ
จงตีเป็นระยะ เหมือนกลองของทหารเดินทางสิ” ลูกชายกลับพูดว่า “ผมจักไล่พวกโจรให้หนีไปด้วยเสียง
กลองนี้” แล้วยิ่งกระหน่ำตีกลอง ไม่หยุดระยะเลย ฝ่ายพวกโจรพอได้ยินเสียงกลองครั้งแรกก็คิดจะหนีไป
เพราะนึกว่ากลองทหาร พอฟังนานๆไปก็เอ๊ะใจว่าไม่ใช่ จึงซุ่มดูอยู่ข้างทางเห็นมีเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น จึง
รุมทุบตีแย่งชิงทรัพย์เอาไปหมดสิ้น พ่อจึงกล่าวสอนลูกชายด้วยคาถาว่า “เมื่อจะตีกลองก็ตีเถิด แต่อย่าตี
เกินประมาณ เพราะการตีเกินประมาณ เป็นการเสียหายของเรา ทรัพย์ตั้งร้อยที่ได้มาเพราะการตีกลอง ได้
้
สูญเสียไป เพราะเจาตีกลองเกินประมาณ”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าทำอะไรให้เกินประมาณเพราะจะสร้างความลำบากให้ภายหลัง ๛
ลิงเจ้าปัญญา (วานรินทชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภความพยายามเพื่อปลงพระชนม์
พระองค์ของพระเทวทัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญา
44
ู่
วานรตัวหนึ่ง มีรูปร่างขนาดเท่าลูกม้า มีพละกำลังมาก อาศัยอยในชายป่าแห่งหนึ่ง เที่ยวหากินอยู่บนเกาะ
กลางแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้นานาชนิด พญาวานรจะกระโจนจากฝั่งแม่น้ำข้างนี้ไปพัก
ที่แผ่นหินกลางน้ำ แล้วกระโจนจากแผ่นหินไปขึ้นบนเกาะนั้นในเวลาเช้า เที่ยวหากินผลไม้ต่างๆ ในเกาะ
นั้นในเวลากลางวัน แล้วจะกระโดดกลับทำนองเดียวกันในเวลาเย็น โดยลักษณะเช่นนี้เป็นประจำทุกวัน
ู่
ในแม่น้ำนั้น มีจระเข้ผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอย ได้มองเห็นลิงนั้นกระโดดข้ามไปมาทุกเช้าเย็น ในเช้าวันหนึ่ง
่
จระเข้ผู้เมียเกิดแพ้ท้องต้องการกินหัวใจของลิง จึงพูดกับสามีวา “พี่ ฉันแพ้ท้องต้องการกินหัวใจของลิงตัว
่
นั้น พี่จงหามาให้ฉันหน่อยนะ” จระเข้ผู้สามีกล่าววา “ได้จ้า ที่รัก เดี๋ยวพี่จะคอยจับมันที่มาจากเกาะในเย็น
วันนี้” ฝ่ายพญาวานรเที่ยวหากินบนเกาะนั้นทั้งวัน ครั้นถึงเวลาเย็นก็มายืนอยู่ที่ชายฝั่งที่เคยกระโดดข้าม
ทุกวัน มองเห็นความผิดปกติของแผ่นหินกลางน้ำแล้วคิดว่า “วันนี้ ทำไมแผ่นหินจึงสูงกว่าเดิม ปริมาณน้ำ
ก็ยังเท่าเดิม เห็นทีจะมีสัตว์อะไรมานอนบนแผ่นหินนั่นกระมัง” จึงทำเป็นเรียกแผ่นหินว่า
“หิน หิน” ก็ไม่ได้รับคำตอบ จึงพูดเปรยๆขึ้นว่า “หิน ทำไมวันนี้ ท่านจึงไม่ขานรับข้าพเจ้าละ” ฝ่ายจระเข้
ที่นอนอยู่บนแผ่นหิน ได้ฟังเช่นนั้นคิดหลงกลว่า “ในวันอื่นๆ แผ่นหินนี้ คงให้คำตอบแก่ลิงเป็นแน่” จึงขาน
รับออกไปว่า “อะไร ท่านลิง” พญาวานร” ท่านเป็นใคร ?” จระเข้” เราเป็นจระเข้” พญาวานร” ท่านมา
นอนอยู่ที่นี่ทำไม ?” จระเข้” เพื่อต้องการหัวใจของท่าน” พญาวานร” ท่านต้องการไปทำไม ?” จระเข้
“เมียเราแพ้ท้อง ต้องการกินหัวใจของท่าน” พญาวานรคิดว่า “เราไม่มีทางอื่น นอกจากจะลวงจระเข้ตัว
นี้” จึงพูดว่า “จระเข้สหายรัก เราตกลงสละร่างกายให้ท่านแล้วละ เพื่อเห็นแก่ลูกน้อยของท่าน ท่านจงอ้า
่
ปากไว้ เราจะกระโจนเข้าปากของท่านเอง” หลักความจริงมีอยู่วาเมื่อจระเข้อ้าปาก ตาทั้ง 2 ข้างก็จะหลับ
จระเข้ไม่ทันคิดถึงเหตุนี้ จึงอ้าปากคอย พญาวานรจึงกระโดดเหยียบหัวจระเข้กระโดดข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม
อย่างรวดเร็ว จระเข้พอคิดได้ว่าหลงกลพญาวานรก็สายเสยแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า “พญาวานร ผใดมี
ี
ู้
ธรรม 4 ประการนี้ คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ เช่นกับท่าน ผู้นั้น ย่อมครอบงำศัตรูที่ตนพบเห็นได้”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้มีปัญญาสามารถเอาชีวิตรอดได้ด้วยสติปัญญาของตน ๛
ประโยชน์ของฤกษ์ (นักขัตตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภเรื่องประโยชน์ของฤกษ์ เรื่องมีอยู่
ว่า วันหนึ่ง มีชาวบ้านนอกคนหนึ่ง ไปขอสาวในเมืองสาวัตถีให้ลูกชายของตน พร้อมกำหนดนัดวันแต่งงาน
ไว้แล้ว ครั้นถึงวันแต่งานได้ไปสอบถามฤกษ์กับนักบวชอาชีวกว่าดีหรือไม่ นักบวชอาชีวกโกรธที่เขาไม่ได้มา
ปรึกษาก่อนในคราวแรกจึงพูดว่า “วันนี้ฤกษ์ไม่ดี ท่านอย่ากระทำการมงคลใดๆ ขืนทำลงไปจะเกิดความ
พินาศ” พวกเขาพากันเชื่ออาชีวกจึงไม่ได้ไปรับตัวเจ้าสาวในวันนั้น ฝ่ายชาวเมืองสาวัตถีได้จัดเตรียมงาน
ั
มงคลไว้พร้อมเพรียงแล้ว แต่ไม่เห็นพวกเจ้าบ่าวมารบเจ้าสาวสักที จึงตกลงกันว่า “พวกนั้น กำหนดนัด
็
วันนี้แล้วกลับไม่เห็นมา งานของพวกเราก็ใกล้จะเสรจแล้ว พวกเราจะยกลูกสาวให้คนอื่นไปเสีย” จึงได้จัด
งานแต่งงานด้วยมงคลที่ได้เตรียมไว้แล้วนั้น ในวันรุ่งขึ้นพวกบ้านนอกที่ขอไว้ก็มาถึง ทันทีที่เห็นหน้ากัน
พวกชาวเมืองก็พากันด่าพวกบ้านนอกว่า “พวกท่านสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นคนบ้านนอก ขาดความเป็นผู้ดี
กำหนดนัดวันไว้แล้ว กลับไม่มาตามนัด เชิญกลับไปตามทางที่มานั้นแหละ พวกเรายกเจ้าสาวให้คนอื่นไป
แล้วละ” พวกชาวบ้านนอกจึงทะเลาะกับชาวเมืองด้วยเหตุอันนี้ เรื่องที่อาชีวกทำลายงานมงคลของผู้คน
เป็นที่ทราบกันไปทั่ว แม้กระทั่งภิกษุในวัด ในเย็นของวันหนึ่ง พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภาถามเรื่อง
ประโยชน์ของฤกษ์แก่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสเป็นพระคาถาว่า “ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลาที่
ู่
มัวรอคอยฤกษ์ยามอย ประโยชน์นั่นแหละเป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลายจักทำอะไรได้”
45
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: จะทำกิจการใดๆ ไม่ควรคอยฤกษ์ยาม ๛
อาจารย์ขมังเวทย์ (เวทัพพชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีต
์
นิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี มีพราหมณผู้รู้มนต์คนหนึ่งชื่อเวทัพพะ
สามารถร่ายมนต์เรียกฝนเงิน ฝนทองให้ตกลงมาได้ พราหมณ์มีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง วันหนึ่งอาจารย์และลูก
ศิษย์ได้เดินทางไปทำธุระที่แคว้นเจตี พอไปถึงป่าในระหว่างทางถูกโจรจับเรียกค่าไถ่ ทำเนียมของโจรพวกนี้
คือเมื่อจับผู้คนได้แล้ว ถ้าเป็นแม่กับลูกสาวจะปล่อยแม่ไป ถ้าเป็นพี่กับน้องจะปล่อยพี่ไป ถ้าเป็นอาจารย์
่
กับลูกศิษย์ จะปล่อยลูกศิษย์ไป ลูกศิษย์ก่อนแต่จะออกเดินทางไป ได้กระซิบเตือนอาจารย์วา “อาจารย์
ครับ ผมจะไปสักสองสามวันเท่านั้น อาจารย์อย่าได้หวั่นไปเลย และวันนี้จะมีฤกษ์ดี ท่านอย่าได้ไร้ความ
อดทน ร่ายมนต์ให้ฝนเงินฝนทองตกลงมาเป็นอันขาด เพราะพวกโจรจักฆ่าท่านเสีย” ฝ่ายพวกโจร พอ
อาทิตย์ตกดินก็จับมัดพราหมณ์ให้นอนอยู่ ขณะนั้น พระจันทร์เต็มดวงก็โผล่ขึ้น พราหมณ์ เห็นเช่นนั้นก็คิด
่
ได้ว่า “ฤกษ์ที่จะทำให้ฝนเงินฝนทองตกลงมามีแล้ว เราจะมานอนทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ทำไม รายมนต์
เรียกฝนเงินฝนทองตกลงมามอบทรัพย์ให้โจรแล้ว ให้พวกมันปล่อยเราไปจะดีกว่า “จึงเรียกโจรมาบอกให ้
ปล่อยตนแล้ว นั่งประกอบพิธีร่ายมนต์แหงนดูดาวเรยกฝนเงินฝนทองให้ตกลงมา พวกโจรพากันเก็บ
ี
รวบรวมทรัพย์ใส่ห่อผ้าแบกหนีไป ฝ่ายพราหมณ์ก็เดินตามไปข้างหลัง ขณะนั้น ได้มีโจรอีกกลุ่มหนึ่งพากัน
จับโจรพวกที่หนึ่งไว้ โจรกลุ่มที่หนึ่งจึงบอกให้จับพราหมณ์ที่เดินตามหลังมา เพราะทรัพย์นี้พราหมณ์เป็น
ผู้เรียกมาให้ จะเอามากเท่าใดก็ได้ พวกโจรกลุ่มนั้นจึงปล่อยโจรกลุ่มที่หนึ่งไป จับพราหมณ์แล้วบังคับให้
เรียกฝนเงินฝนทองตกลงมาให้ พอได้ยินพราหมณ์ตอบว่าไม่สามารถเรียกฝนเงินฝนทองได้อีก ปีหนึ่ง
สามารถเรียกได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องรอจนถึงปีหน้า ด้วยความโกรธหัวหน้าโจรจึงฟันพราหมณ์ตายคาที่
แล้วรีบติดตามโจรกลุ่มที่หนึ่งไป ทำการชิงทรัพย์และฆ่าโจรกลุ่มที่หนึ่งตายหมดสิ้น ในระหว่างที่เก็บ
รวบรวมทรัพย์อยู่นั้นพวกโจรเกิดแตกคอกันเรื่องการแบ่งทรัพย์ จึงเกิดการต่อสู่กันเองจนในที่สุดเหลือโจร
เพียง 2 คนเท่านั้น โจรทั้ง 2 คน ได้นำเอาทรัพย์ไปซ่อนไว้ในป่าใกล้หมู่บานแห่งหนึ่ง ด้วยความหิวจึงให้โจร
้
็
คนหนึ่งนั่งเฝ้าทรัพย์ไว้ อีกคนเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้าน” ธรรมดาความโลภเปนต้นเหตุแห่งความพินาศ”
โจรที่นั่งเฝ้าทรัพย์ก็คิดด้วยความโลภว่า “ถ้ามีมัน ก็ต้องแบ่งทรัพย์เป็นสองสวน พอมันมาถึง เราจะฆ่ามัน
่
ด้วยการฟันครั้งเดียว” ฝ่ายโจรอีกคนก็คิดเช่นเดียวกัน พอได้อาหารแล้วก็รีบกินเสียก่อน ส่วนที่เหลือก็ใส่
ยาพิษไว้ ถือเดินไปหาโจรที่เฝ้าทรัพย์ พอก้มลงวางอาหารเท่านั้นก็ถูกฟันตายคาที่ โจรนั้นได้นำศพเพื่อนไป
ทิ้งแล้วกลับมากินอาหาร ตนเองก็เสียชีวิตในที่นั้นนั่นเอง คนทั้งหมดได้ถึงความพินาศเพราะอาศัยทรัพยนั้น
์
ด้วยประการฉะนี้ สองสามวันต่อมา ลูกศิษย์ได้ถือเอาทรัพย์กลับมาแล้วไม่พบอาจารย์ในที่นั้น เห็นแต่
ทรัพย์กระจัดกระจายอยู่ จึงทราบเหตุการณ์ เดินผ่านไปเห็นอาจารย์นอนตายอยู่ และซากศพโจรอีก
จำนวนหนึ่ง จึงกล่าวเป็นคาถาว่า “ผู้ใด ปรารถนาประโยชน์ โดยอุบายอันไม่แยบยล ผู้นั้น ย่อมเดือดร้อน
เหมือนโจรชาวแคว้นเจตะ ฆ่าพราหมณ์เวทัพพะเสียแล้ว ก็พลอยถึงความพินาศทั้งหมด”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ความโลภเป็นหนทางแห่งความฉิบหาย ๛
ลิงโง่ (อารามทูสกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภคนประทุษร้ายอุทยาน ใน
หมู่บ้านโกศลตำบลหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสีมีงาน
46
เทศกาลประจำปี ชาวเมืองต่างก็สนุกสนานรื่นเริง ในพระราชอุทยานมีลิงอาศัยอยู่ฝูงหนึ่ง คนเฝ้าสวนหลวง
อยากจะไปเที่ยวงานประจำปีกับเขาด้วย จึงเข้าไปหาฝูงลิงแล้วพูดกับลิงหัวหน้าฝูงวา “เจาลิง สวนหลวงนี้
่
้
มีอุปการะคุณแก่พวกเจ้ามาก พวกเจ้าได้ขบเคี้ยวดอก ผลและใบอ่อนของต้นไม้ในสวนหลวงนี้ บัดนี้ ใน
้
เมืองมีงานเทศกาลประจำปี เราอยากจะไปเที่ยวบาง เราอยากจะวานให้พวกเจ้าช่วยรดน้ำต้นไม้ ที่กำลัง
้
ปลูกใหม่ในสวนนี้ แทนเราจะได้ไหม ?” ลิงรับวาได้ คนเฝาสวนหลวงก่อนจะเข้าไปเที่ยวในเมือง กำชับว่า
่
“พวกท่านอย่าประมาทนะ” แล้วมอบอุปกรณ์ตักน้ำให้แก่พวกลิง ลิงตัวหัวหน้าฝูง ได้กล่าวกะพวกลิงผู้
ถือเอาอุปกรณ์ตักน้ำเตรียมพร้อมที่จะรดน้ำต้นไม้ว่า “ท่านทั้งหลาย ธรรมดาน้ำเป็นของหายาก พวกท่าน
เมื่อจะรดน้ำต้นไม้ พึงรดตามความต้องการของต้นไม้ ด้วยการถอนต้นไม้ขึ้นมาดู ต้นไหนรากยาวก็จงรดน้ำ
ให้มากๆ ต้นไหนรากสั้นก็จงรดน้ำให้แต่น้อย” พวกลิงรับคำแล้วก็ทำตามนั้น สร้างความเสียหายแก้ต้นไม้
เป็นจำนวนมาก ในขณะนั้น ได้มีชายบัณฑิตคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้า จึงถามความนั้นแก่ฝูงลิง พวกลิงจึง
บอกว่าหัวหน้าให้ทำเช่นนั้น เขาจึงคิดว่า “โอ! เจ้าลิงโง่ ช่างไม่ฉลาดเสียเลย คิดจะทำประโยชน์ แต่กลับทำ
ความฉิบหายเสียนี่” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ผู้ไม่ฉลาดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถึงจะบำเพ็ญประโยชน์ ก็ไม่
สามารถ จะนำความสุขมาได้เลย คนมีปัญญาทรามทำประโยชน์ให้เสียหาย เหมือนลิงเฝ้าสวน”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คนโง่มักทำความฉิบหายให้ มากกว่าประโยชน์ ๛
ฆ่ายุง (มกสชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จจาริกไปในหมู่ชนชาวมคธ ทรงปรารภพวกชาวบ้านที่เป็นคนพาลใน
หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง
ไปค้าขายที่แคว้นกาสี ในระหว่างทำการค้าขายที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เห็นนายช่างไม้หัวล้านคนหนึ่งกำลัง
ถากไม้อยู่ ในขณะนั้นยุงได้มาจับที่หัวของเขา เขาจึงเรียกลูกชายที่นั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ ว่า “ไอ้หนู ยุงมันกัดหัว
พ่อ เจ้าจงฆ่ามันเสีย” ลูกบอกว่า “พ่อ อยู่นิ่งๆนะ ผมจะฆ่ามัน ด้วยการตบครั้งเดียว” พูดพลางก็เงื้อขวาน
เล่มใหญ่อันคมกริบ ยืนอยข้างหลังพ่อ แล้วฟันลงบนหัวพ่ออย่างเต็มเหนี่ยว ด้วยคิดว่าจะฆ่ายุง นายช่างไม้
ู่
ได้ถึงแก่ความตายในที่นั้นเอง พ่อค้าเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า “ศัตรูผู้มีความรู้ประเสริฐ
กว่า ส่วนมิตรผู้ไร้ปัญญาไม่ประเสริฐเลย เพราะลูกชายผู้โง่เขลา คิดว่า จักฆายง กลับผ่าหัวของพ่อเสีย”
ุ
่
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้ไม่มีปัญญา มักนำความฉิบหายมาให้ ๛
นกกระยางเจ้าเล่ห์ (พกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ล่อลวงถือเอาผ้าจีวรรูปหนึ่ง ได้ตรัส
อดีตนิทานมาสาธกว่า ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่สระน้ำแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่มากนัก มีปลาอาศัยอยู่มาก
ในฤดูร้อน น้ำในสระจะลดน้อยลงจนเกือบแห้งขอด ทำให้ปลาอยู่อย่างลำบาก ในที่ไม่ไกลจากสระนี้ มีนก
กระยางอยู่ตัวหนึ่ง เห็นปลามีอยู่จำนวนมาก จึงคิดหาอุบายลวงกินปลาขึ้นมาได้อย่างหนึ่งแล้วไปยืนอยู่ที่
ริมสระน้ำนั้น ทำทีเป็นเศราสร้อยหงอยเหงา ยืนเซื่องซึมอยู่ ปลาเห็นนกกระยางเป็นเช่นนั้นจึงถามว่า
้
“ท่านเป็นอะไร ถึงดูซึมเศร้าไป” นกกระยางจึงบอกว่า “เรากำลังสลดใจ สงสารพวกท่าน ที่น้ำในสระนี้มี
น้อย มีที่เที่ยวน้อยและความร้อนมีมาก ในที่ไม่ไกลจากนี้ มีสระใหญ่อยู่สระหนึ่งทั้งลึก มีน้ำมากและมี
ดอกบัวเต็มสระ ถ้าพวกท่านไว้ใจเราๆ จะอาสาพาพวกท่านไปด้วยจงอยปาก คาบพวกท่านไปทีละตัว”
ปลากล่าวว่า “เจ้านาย ไม่เคยได้ยินว่า นกกระยางคิดดีต่อปลาเลย ท่านต้องการกินปลาทีละตัวมากกว่า
พวกเราไม่เชื่อท่าน” นกกระยางกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรา พวกเจ้าจงส่งปลาตัวหนึ่งไปดูสระน้ำ
พร้อมกับเราซิ” ปลาจึงคัดเลือกได้ปลาดำใหญ่ตัวหนึ่ง ที่มีความสามารถทั้งทางน้ำและทางบก เป็นตัวแทน
47
ไปดูสระน้ำนั้นกับนกกระยาง นกกระยางได้นำปลาตัวนั้นไปชมสระน้ำนั้นบินวน 3 รอบ แล้วนำกลับมา
ปล่อยยังสระเดิม ปลานั้นได้พรรณนาถึงสระน้ำที่ไปเห็นมาให้ปลาทั้งหลายฟัง พวกปลาจึงตกลงใจจะไปอยู่
ที่สระใหม่ตามคำแนะนำของนกกระยางนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกกระยางก็คาบปลาทีละตัวไปและกิน
เสียที่ต้นไม้กุ่มใกล้สระนั้น จนปลาหมดสระ ในสระนั้นยังมีปูใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง นกกระยางอยากจะกินปูนั้น
่
่
จึงไปใช้อุบายนั้นอีก ส่วนปูฉลาดกลับเสนอวา เนื่องจากปูตัวใหญ่ เกรงวานกจะคาบไปไม่ไหว จึงขอใช้
ก้ามปูคีบคอนกไปแทนก็แล้วกัน ด้วยอำนาจแห่งความหิว ทำให้นกกระยางตกลงตามนั้น พอบินไปถึงต้น
กุ่มนกกระยางก็ไปจับที่ต้นไม้นั้นหวังจะกินปู ปูเห็นก้างปลาที่โคนต้นกุ่มนั้น กองอยู่อย่างมากมาย ทำให้
ทราบความจริง จึงสั่งให้นกกระยางบินกลับไปส่งที่สระตามเดิม นกกระยางจะไม่ไป ปูจึงหนีบคอนกก
ระยางให้แน่นขึ้น พร้อมกับขู่จะหนีบคอนกให้ขาด นกกระยางกลัวตายจึงบินกลับไปที่สระน้ำนั้น พอบินไป
ถึงกลางสระน้ำ ปูจึงตัดสินใจหนีบคอนกกรยางค์ขาดตายกลางสระนั่นเอง รุกขเทวดา เห็นเหตุการณ์นั้น
แล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า “บุคคล ผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น จะพบความสุขอยู่ได้ไม่นาน เพราะผู้ใช้
ปัญญาหลอกลวงคนอื่น ย่อมประสบผลแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้ เหมือนนกกระยางถูกปูหนีบคอตาย
ฉะนั้น”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ไม่ควรใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น เพราะจะประสบความพินาศในภายหลัง ๛
ลำดับอาวุโส (ติตติรชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า เมื่อคราวเสด็จไปเมืองสาวัตถี ทรงปรารภการห้ามเสนาสนะของพระสารบุตร
ี
เรื่องมีอยู่ว่า สมัยนั้นเมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างวิหารเสร็จแล้ว ส่งทูตไปนิมนต์พระพุทธเจ้า พระ
พุทธองค์ มีพระสงฆ์สาวกแวดล้อมได้เสด็จออกจากเมืองราชคฤห์มารับการถวายวิหาร พวกอันเตวาสิกของ
ฉัพพัคคีย์ภิกษุ เดินทางล่วงหน้าไปถึงกรุงสาวัตถีก่อนใคร แล้วพากันจับจองเสนาสนะเอาไว้ให้พระ
อุปัชฌาย์และอาจารย์ของตนเอง ทำให้พระสารีบุตรเถระผู้มาถึงทีหลังไม่ได้เสนาสนะ จึงเป็นเหตุให้พระ
่
พุทธองค์ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วตรัสวา “ภิกษุทั้งหลาย ในศาสนานี้ ควรกระทำอภิวาท การลุกรับ อัญชลี
กรรม สามีจิกรรมต่อผู้แก่กว่า ภิกษุควรได้อาสนะเลิศ น้ำอันเลิศ ก้อนข้าวอันเลิศ ตามลำดับผู้ที่แก่กว่า “
แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสัตว์สามสหายคือ นกกระทา ลิงและช้าง
อาศัยต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ สัตว์ทั้งสามอยู่อย่างไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่เสมอภาคกัน
ต่อมาสัตว์ทั้งสามตัวตกลงจะทำความเคารพกันตามความอาวุโส จึงคิดหาวิธีรู้ว่าใครจะเกิดก่อนกัน อยู่มา
วันหนึ่ง สัตว์ทั้งสาม ขณะอยู่ที่ต้นไทรได้ถามกันและกันว่า “ท่านรู้จักต้นไทรนี้เมื่อไหร่ ?” ช้างพูดว่า “สมัย
ที่เราเป็นลูกช้าง ต้นไทรนี้อยู่ระดับขาอ่อนของเรา เราเห็นมันตั้งแต่เป็นพุ่มไม้” ลิงพูดว่า “เราเป็นลูกลิงนั่ง
อยู่พื้นดิน ก็เคี้ยวกินหน่อของต้นไทรอ่อนนี้ เราเห็นมันตั้งแต่เป็นต้นเล็ก ๆ อยู่” ส่วนนกกระทาพูดว่า
“สหายทั้งสองเอ๋ย เมื่อก่อนต้นไทรใหญ่อยู่ที่โน้น เราไปกินผลของมันแล้วมาถ่ายอุจจาระลงในที่นี้ จึงทำให้
มีต้นไทรต้นนี้ขึ้น” จึงทำให้สัตว์ทั้งสามทราบลำดับอาวุโสของกันและกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลิงและช้าง
จึงอยู่ในโอวาทของนกกระทา ทำความเคารพยำเกรงกันและกัน พระพุทธองค์ เมื่อตรัสอดีตนิทานจบแล้ว
จึงได้ตรัสพระคาถาวา “นรชนเหล่าใด ฉลาดในธรรม นอบน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ นรชนเหล่านั้น เป็นผู้
่
ั
ได้รับความสรรเสริญ ในปจจุบันนี้ และมีสุคติภพในเบื้องหน้า “
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เป็นผู้น้อยควรให้ความเคารพยำเกรงผู้ที่อาวุโสกว่า ๛
48
นกคุ่มโพธิสัตว์ (วัฏฏกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า เมื่อคราวเสด็จเที่ยวจาริกไปในมคธชนบททั้งหลาย ทรงปรารภการดับไฟป่า
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวมคธแห่งหนึ่ง ฉัน
เสร็จแล้วเสด็จไปตามทาง วันนั้น เกิดไฟป่ารอบด้าน พวกภิกษุปุถุชนต่างกลัวตายจึงพากันจะดับไฟ ถูก
พวกภิกษุห้ามไว้และให้อยู่ในอาการที่สงบ ไฟป่าไหม้มารอบด้าน พอใกล้เข้ามาหาพื้นที่พระพุทธองค์และ
หมู่สงฆ์อยู่ก็ดับไปเอง สร้างความแปลกประหลาดใจแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุ
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกคุ่มผัวเมียคู่หนึ่งกำลังมีลูก
น้อยตัวหนึ่ง ทุกวันนกคุ่มผัวเมียจะออกจากรังไปหาอาหารมาป้อนลูกนกอยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง เกิดไฟไหม้
ป่ารอบข้าง นกต่างๆ รวมทั้งนกคุ่มสองผัวเมีย ได้บินออกจากรังไป เพราะกลัวตาย ปล่อยให้นกคุ่มลูกน้อย
นอนผจญภัยอยู่ตามลำพัง นกคุ่มน้อยเมื่อเห็นไฟไหม้ใกล้เข้ามา จึงรำลึกถึงคุณแห่งศีลว่า “คุณแห่งศีลมีอยู่
ในโลก ความสัจ ความสะอาด และความเอ็นดู มีอยู่ในโลก ด้วยความสัจนั้น ข้าพเจ้าจักทำสัจกิริยาอันยอด
เยี่ยม ข้าพเจ้าพิจารณากำลังแห่งธรรม ระลึกถึงพระชินเจ้าทั้งหลายในปางก่อน อาศัยกำลังสัจจะ ขอทำสจ
ั
จกิริยา “แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ปีกของเรา มีอยู่ แต่ก็บินไม่ได้ เท้าทั้งสองของเรา มีอยู่แต่ก็เดินไม่ได้
มารดาและบิดาของเรา ออกไปหาอาหาร นี่ไฟป่า ท่านจงถอยกลับไปเสีย” ด้วยอำนาจแห่งการทำสัจกิริยา
ของลูกนกคุ่มไฟป่าได้ดับลงไปหมดสิ้น
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คุณของศีลทำให้รอดพ้นภัยวิบัติได้ ๛
นกกระจาบ (สัมโมทมานชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดนิโคธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ ทรงปรารภการทะเลาะกันของพระ
ประยูรญาติ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีฝูงนกกระจาบหลายพันตัวอาศัยอยู่
ู่
ในป่าแห่งหนึ่ง มีนายพรานคนหนึ่ง มีอาชีพจับนกกระจาบขายอยเป็นประจำ วันหนึ่ง นกกระจาบจ่าฝูงได้
แนะนำนกกระจาบทุกตัววา “ท่านทั้งหลาย เมื่อถูกตาข่ายนายพรานครอบแล้ว ให้ท่านทุกตัวสอดหัวเข้าใน
่
ตาข่ายตาหนึ่งๆ แล้วพากันบินไปที่ต้นไม้มีหนาม ทิ้งตาข่ายไว้แล้วบินหนีไปนะ” หมู่นกกระจาบพากัน
รับคำ ต่อมาอีกสองวัน ฝูงนกกระจาบถูกตาข่ายนายพรานเข้าก็พากันทำเช่นนั้น นกทุกตัวสามารถหนีรอด
ไปได้ กว่านายพรานจะปลดตาข่ายออกจากหนามก็ค่ำมืดพอดี อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่หากินอาหาร มีนก
กระจาบตัวหนึ่ง บินลงพื้นที่หากินเหยียบถูก หัวนกกระจาบอีกตัวหนึ่งเข้า ตัวถูกเหยียบหัวโกรธจึงเป็นเหตุ
ให้ทะเลาะกันลามไปทั้งฝูงว่า “เห็นจะมีแต่ท่านเท่านั้นกระมัง ที่ยกตาข่ายขึ้นได้ ตัวอื่นไม่มีกำลังหรอกนะ”
ฝ่ายนกกระจาบจ่าฝูง เห็นพวกนกมัวแต่ทะเลาะกัน ก็คิดว่า “ขึ้นชื่อว่า การทะเลาะกัน ย่อมไม่มีความ
ปลอดภัย ความพินาศจะเกิดขึ้น” จึงได้พาบริวารส่วนหนึ่งบินหนีไปอยู่ที่อื่น ฝ่ายนายพราน พอผ่านไปสอง
สามวัน ก็มาดักตาข่ายอีก พอฝูงนกกระจาบติดตาข่ายนายพรานในครั้งนี้อีก ต่างทะเลาะกันเกี่ยงกันบินขึ้น
็
จึงถูกนายพรานรวบไปเปนอาหารและขายทั้งหมด นายพรานจึงกล่าวเป็นคาถาว่า “นกกระจาบทั้งหลาย
ร่าเรง บันเทิงใจ พาเอาข่ายไปได้ เมื่อใดพวกมันทะเลาะกัน เมื่อนั้น พวกมันจักตกอยู่ในเงื้อมมือของเรา “
ิ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: การทะเลาะกัน นำมาซึ่งความพินาศ ๛
หมูมุณิกะ (มุณิกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการประเล้าประโลมของ
เด็กหญิงอ้วนคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพารณาสี ที่บ้าน
พ่อค้าคนหนึ่ง มีโคหนุ่มสองพี่น้อง โคพี่ชื่อมหาโลหิต(แดงใหญ่) โคน้องชื่อจูฬโลหิต (แดงเล็ก) ได้ช่วย
49
่
ทำงานภาระกิจการของพ่อค้าเป็นอยางดี และในบ้านนั้นยังมีหมูตัวหนึ่งชื่อมุณิกะ พ่อค้ามีลูกสาวอยู่คน
หนึ่ง ซึ่งมีกำหนดจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกหลายเดือนข้างหน้า พวกเขาจึงให้อาหารบำรุงหมูเพื่อให้เจริญเติบโต
์
ทันวันงานวิวาห เจ้าโคหนุ่มจูฬโลหิตเห็นเช่นนั้น เกิดความน้อยใจ จึงถามพี่ชายว่า “ธุระการงานในตระกูล
ดำเนินการไปได้ด้วยอาศัยเราสองพี่น้อง ผู้คนให้เพียงหญ้าและใบไม้เท่านั้น กลับไปบำรุงหมูผู้ไม่ได้ทำอะไร
่
เลย ทำไม ?” ผู้พี่ชายกล่าววา “เจาอย่าไปริษยาอาหารของหมูเลย เพราะหมูกำลังบริโภคอาหารเป็นเหตุ
้
ตายในวันวิวาห์ของลูกสาวพ่อค้า “แล้วกล่าวเป็นคาถาวา “เธออย่าริษยาหมูมุณิกะเลย มันกินอาหารอัน
่
เป็นเหตุให้เดือดร้อน เธอจงเป็นผู้ขวนขวายน้อย กินแต่แกลบเถิด นี่เป็นลักษณะแห่งความเป็นผู้มีอายุยืน”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ไม่ควรกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ๛
การเสี้ยมสอน (มหิลามุขชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัตผู้ทุศีล ได้ตรัสอดีต
นิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัต ในเมือง
พาราณสี มีช้างมงคลตัวหนึ่งนามว่า มหิลามุข เป็นช้างมีศีล มีอาจาระมารยาทงาม ไม่เบียดเบียนใครๆ
ต่อมาในคืนหนึ่ง พวกโจรได้ไปปรึกษาวางแผนการปล้นที่ใกล้โรงช้างนั้น คุยกันว่าจะทำลายอุโมงค์อย่างไร
จะลักสิ่งของอย่างไร ฆาเจ้าของแล้วจึงลักขโมย โจรต้องเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า ป่าเถื่อน เป็นต้น พวก
่
โจรได้ปรึกษากันเช่นนี้หลายคืน ช้างได้ฟังทุกคืน เข้าใจว่า “พวกโจรสอนให้ตนเป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า ป่า
เถื่อน” เช้าตรู่วันหนึ่ง จึงเอางวงจับคนเลี้ยงช้างฟาดพื้นดินให้ตายไปหลายคน พวกทหารได้กราบทูลเหตุ
นั้นแด่พระราชา พระองค์ทรงรับสั่งให้อำมาตย์เข้าเฝา และให้ไปตรวจดูช้างว่า เป็นเพราะเหตุไร อำมาตย์
้
ไปตรวจดูแล้วพบว่าช้างปกติดี ไม่เป็นโรคอะไร จึงคิดว่าเหตุที่ช้างดุร้าย อาจได้รับฟังคำของใครๆในที่ไม่
ไกล จึงถามคนเลี้ยงช้างว่า “พวกท่านพบเห็นอะไรผิดสังเกตหรือไม่” พวกคนเลี้ยงช้างแจ้งให้ทราบว่า
“เห็นพวกโจรมาปรึกษากันใกล้โรงช้างหลายคืนแล้วละครับท่าน” อำมาตย์จึงไปกราบทูลพระราชาวา
่
“ช้างมหิลามุขเป็นปกติดี เหตุที่ช้างดุร้ายเป็นเพราะได้รับฟังคำของพวกโจร พ่ะย่ะค่ะ ต่อแต่นี้ให้นิมนต์พระ
ิ
ผู้มีศีลมากล่าวถึงศีลและอาจาระมารยาทอันงามในที่ใกล้โรงช้างนั้น ช้างก็จะเลกดุร้าย พะย่ะค่ะ”
ั
พระราชารบสั่งให้กระทำเช่นนั้น ผ่านไปสองสามวันเท่านั้น ช้างมหิลามุขก็กลับมาเป็นช้างที่มีศีลธรรมปกติ
เหมือนเดิม พระราชาทราบความนี้แล้วจึงตรัสเป็นคาถาว่า “พญาช้างชื่อมหิลามุข ได้เที่ยวทำร้ายคน
เพราะได้ฟังคำของพวกโจรมาก่อน พญามงคลหัตถี ได้ตั้งอยู่ในคุณธรรมทั้งปวง ก็เพราะได้ฟังคำของ
นักบวชผู้สำรวมดีแล้ว”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คนจะดีหรือเลวสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ๛
กวางเจ้าปัญญา (กุรุงคมิคชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัตผู้ตะเกียกตะกาย
เพื่อจะปลงพระชนม์ของพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกวางตัวหนึ่ง
หากินผลมะรื่นในป่าแห่งหนึ่ง มีพรานชาวบ้านคนหนึ่ง มีอาชีพล่าเนื้อขาย ด้วยการผูกห้างบนต้นไม้มะรื่น
ซัดหอกฆ่ากวางที่มากินผลมะรื่นนั้นเป็นประจำทุกวัน ในวันหนึ่ง กวางเจ้าปัญญานั้น มากินผลมะรื่นตั้งแต่
เช้าตรู่ แต่ไม่ได้ผลุนผลันเข้าไปที่โคนต้นมะรื่นนั้นเลยทีเดียว ด้วยคิดว่าอาจจะมีพรานนั่งห้างอยู่บนต้นไม้
นั้นก็ได้ จึงได้ยืนพิจารณาอยู่ภายนอก ฝ่ายนายพรานเมื่อเห็นกวางไม่เข้ามา จึงโยนผลมะรื่นให้ตกลง
ข้างหน้ากวางนั้น หวังล่อให้กวางเข้าไป ฝ่ายกวางเหนเช่นนั้นจึงคิดว่า “ข้างบนต้นไม้ต้องมีนายพรานอยู่
็
อย่างแน่นอน เพราะลมไม่มี แล้วทำไมผลมะรื่นจึงมาตกที่หน้าของเราได้” จึงแหงนไปดูบนต้นไม้ เหลือบไป
50
ู
เห็นนายพรานบนต้นไม้ แกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วจึงพดขึ้นว่า “ต้นมะรื่นเอ๋ย เมื่อก่อนท่านให้ผลตกลงตรงๆ
แต่บัดนี้ ท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียแล้ว เราจะไปยังต้นไม้อื่นแสวงหาอาหารของเรา “แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
“แน่ะไม้มะรื่น การที่ท่านปล่อยผลมะรื่นให้หล่นกลิ้งมานั้น เราผู้เป็นกวางรู้แล้ว เราจะไปสู่ต้นมะรื่นต้นอื่น
เพราะเราไม่ชอบใจผลของท่าน” ฝ่ายนายพรานที่นั่งอยู่บนห้างนั้น ได้พุ่งหอกไปยังกวางนั้นอย่างสุดแรง
หวังฆ่ากวางนั้นให้ตาย แต่หอกนั้นพลาดเป้าเพราะอยู่ไกลเกินไป กวางได้วิ่งหนีเข้าชายป่าไปด้วยความ
ปลอดภัย
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้มีปัญญาใคร่ครวญแล้วจึงทำ ๛
การเปลื้องตน (อายาจิตภัตตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภประโยชน์การทำพลีกรรมอ้อน
วอนแก่เทวดา เรื่องมีอยู่ว่า สมัยนั้น มนุษย์ส่วนมาก เมื่อจะไปค้าขายหรือทำงานต่างประเทศ มักจะฆ่าสัตว์
ทำพลีกรรมแก่เทวดา ปรารถนาความสำเร็จประโยชน์โดยไม่ให้ขัดข้องอยู่เสมอๆ และเมื่อกลับมาถึงบ้าน
โดยความปลอดภัยแล้ว เข้าใจว่า เป็นผลที่เกิดจากอานุภาพของเทวดา จึงฆ่าสัตว์เป็นอันมากทำพลีกรรม
์
เพื่อปลดเปลื้องการอ้อนวอนของตนนั้น พวกภิกษุเห็นเหตุการณเช่นนี้แล้ว จึงทูลถามพระพุทธองค์ว่า
“ประโยชน์ของการอ้อนวอนและทำพลีกรรมนี้มีอยู่หรือ ?” พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า
...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในแคว้นกาสี มีพ่อค้าคนหนึ่ง เมื่อจะออกจากบ้านไปทำการค้าขาย ได้ไปบน
บานศาลกล่าวแก่เทวดาที่ต้นไทร ใกล้ประตูบ้านว่า “สาธุ…ทวยเทพทั้งหลาย หากข้าพเจ้าไปค้าขายได้กำไร
ั
กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าพเจ้าจักทำการฆาสัตว์ทำพลีกรรมบูชา “หลายวนต่อมาเมื่อเขากลับมาถึง
่
บ้านโดยไม่มีอันตรายแล้ว จึงได้ทำการฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก เพื่อทำพลีกรรมเปลื้องคำอ้อนวอนนั้น
รุกขเทวดาที่ต้นไทรนั้น จึงกล่าวคาถาว่า “ถ้าท่านปรารถนาจะเปลื้องตนให้พ้น ท่านละโลกนี้ไปแล้วก็จะ
พ้นได้ ก็ท่านเปลื้องตนอยู่อย่างนี้ กลับจะติดหนักเข้า เพราะนักปราชญ์หาได้เปลื้องตน ด้วยอาการอยางนี้
่
ไม่ การเปลื้องตนอย่างนี้ เป็นเครื่องติดของคนพาล”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: การทำพลีกรรมด้วยการฆ่าสัตว์บูชา ไม่มีประโยชน์ ๛
แพะรับบาป (มตกภัตตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมตกภัต ได้ตรัสอดีตนิทานมา
้
สาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี สมัยพระเจาพรหมทัต มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่ง
คิดจะทำมตกภัต (อุทิศคนตาย) จึงให้ลูกศิษย์จับแพะตัวหนึ่งไปอาบน้ำและประดับดอกไม้ แพะพอถูกลูก
ศิษย์จูงไปที่ท่าน้ำ ก็ทราบถึงวาระสุดท้ายชีวิตของตนมาถึงแล้วอันเนื่องจากกรรมเก่า จึงเกิดความโสมนัส
ได้หัวเราะออกมาเสียงดัง และคิดเวทนาสงสารพราหมณ์ที่จะได้รับความทุกข์โศก จึงร้องไห้ออกมา แพะ
แสดงอาการเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ออกมา ทำให้พวกลูกศิษย์แปลกใจ เมื่อนำแพะกลับมาถึงสำนักแล้ว
จึงบอกเรื่องนี้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงถามแพะถึงอาการนั้น แพะจึงบอกพราหมณ์ว่า “อดีตชาติเคยเป็น
์
พราหมณเหมือนกัน เพราะได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งทำมตกภัต จึงเป็นเหตุให้ถูกฆ่าตัดศีรษะถึง 499 ชาติ นี่เป็น
ชาติที่ 500 พอดี จึงหัวเราะดีใจที่จะสิ้นกรรมในวันนี้ และร้องไห้ เพราะสงสารท่านที่จะเป็นเช่นกับเรา “
พราหมณ ได้ฟังแล้วเกิดความสลดใจ จึงยกเลิกไม่ฆ่าแพะ และสั่งให้ลูกศิษย์ทำการอารักขาแพะเป็นอย่างดี
์
เพื่อไม่ให้แพะเกิดอันตราย แพะจึงบอกพราหมณ์วา “การอารักขาของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปกรรม
่
ของเรามีกำลังมาก อะไรก็ห้ามไม่ได้” แพะพอเขาปล่อย ก็ชะเง้อคอจะกินใบไม้ใกล้แผ่นหินแห่งหนึ่ง ทันใด
นั้นเอง ฟ้าได้ผ่าลงที่แผ่นหิน สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งได้ปลิวไปตัดคอแพะที่กำลังชะเง้อคออยู่พอดี แพะล้มลง
51
สิ้นใจตายทันที รุกขเทวดาที่อยู่ในที่นั้น ได้กล่าวสอนว่า “มนุษย์ผู้กลัวตกนรก พึงพากันงดจากปาณาติบาต
ตั้งอยู่ในเบญจศีลเถิด” และกล่าวเป็นคาถาว่า “ถ้าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติภพนี้เป็นทุกข์
สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศก”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เกิดเป็นคนไม่พึงทำกรรมชั่วด้วยการฆ่าสัตว์ด้วยกัน มิเช่นนั้นจะได้รับความทุกข์เช่น
แพะรับบาปนี้ ๛
เล่ห์กลลวงนายพราน (ติปัลลัตถมิคชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดพทิรการาม เมืองโกสัมพี ทรงปรารภพระราหุลเถระ ผู้ใคร่ต่อ
่
การศึกษา เรื่องมีอยู่วา...สมัยนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปประทับอยู่ในอัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี มีอุบาสก
อุบาสิกา ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมาก ไปฟังธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อฟังธรรมเสร็จสิ้นแล้ว ภิกษุที่
เป็นพระเถระก็พากันไปยังที่พักของตน ส่วนภิกษุหนุ่มและอุบาสกพากันนอนที่โรงฉัน พอเข้าสู่ความหลับมี
ภิกษุบางรูปนอนกรน บางรูปนอนกัดฟัน ก่อความรำคาญให้แก่พวกอุบาสก พวกเขาพากันนอนครู่เดียวจึง
ลุกขึ้นหนีไป วันต่อมา พวกอุบาสกกราบทูลเรื่องนี้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบท
ว่า “ก็ภิกษุใด นอนร่วมกับอนุปสัมบัน ภิกษุนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์” แล้วเสด็จไปยังเมืองโกสัมพี ก่อนมี
สิกขาบทนี้ สามเณรราหุล มักจะได้รับการสงเคราะห์จากภิกษุให้พักร่วมกุฏิเสมอ เมื่อพระพุทธองค์ทรง
บัญญัติสิกขาบทนี้แล้ว จึงไม่มีภิกษุรูปใดอนุเคราะห์แก่เธอ สร้างความเดือดร้อนแก่สามเณรราหุล ท่านจึง
เลือกไปอาศัยที่เวจกุฎี (ส้วม) ของพระพุทธองค์เป็นที่อยู่อาศัยแทน ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธองค์ เสด็จมาถึง
เวจกุฎีแล้วไอขึ้น สามเณรราหุลก็ไอขึ้นเช่นกัน พระพุทธองค์จึงทรงทราบความเดือดร้อนเพราะการบัญญัติ
สิกขาบทนี้ ทรงดำริถึงคราวต่อไปเมื่อสามเณรมีมากขึ้น จะให้ภิกษุปฏิบัติเช่นใด จึงตรัสเรียกประชุมสงฆ์แต่
เช้าตรู่ แล้วทรงทำอนุบัญญัติสิกขาบทนี้ว่า “ตั้งแต่นี้ไป ท่านทั้งหลาย จงให้อนุปสัมบันอยู่ในที่พักของตนได้
ั
สองวัน ในวันที่สามให้อยู่ภายนอกเถิด” ต่อมาเย็นวนหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันถึงเรื่องสามเณรราหุลเปนผู้
็
ตั้งอยู่ในโอวาท เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนาน
่
มาแล้ว มีเนื้อสองพี่น้องคู่หนึ่ง มีบริวารแวดล้อมมาก อยู่ในปาใกล้เมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง เนื้อผู้น้องสาวนำ
เนื้อลูกชายมาฝากให้ศึกษามารยาทของเนื้อกับพี่ชาย เนื้อผู้หลานชาย ได้ศึกษามารยาทของเนื้อกับลุงจน
หมดสิ้น วันหนึ่ง ออกหากินในป่าติดบ่วงนายพราน จึงร้องบอกหมู่เนื้อให้หนีไปบอกมารดา ส่วนมารดารีบ
ไปบอกพี่ชายด้วยความห่วงใย พี่ชายจึงพูดปลอบใจวา “น้องหญิง พี่ให้เนื้อหลานชาย ผู้มีกีบเท้า 8 กีบ
่
เรียนท่านอน 3 ท่า เรียนมีเล่ห์กลมารยาหลายอย่าง และการดื่มกินน้ำในเวลาเที่ยงคืน เนื้อนั้น เมื่อหายใจ
ทางจมูกข้างที่แนบติดอยู่กับพื้นดิน ก็จะลวง นายพรานได้ด้วยอุบาย 6 ประการ”
เล่ห์กลลวงนายพรานด้วยอุบาย 6 ประการ คือ
1. นอนตะแคงเหยียดเท้าทั้ง 4
2. ใช้กีบเท้าตะกุยหญ้าและดินร่วน
3. ทำลิ้นห้อยออกมา
4. ทำให้ท้องพองขึ้น
5. ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะออกมา
6. กลั้นลมหายใจไว้
52
ฝ่ายเนื้อผู้หลานชาย ได้แสดงอาการทำทีเป็นตายแล้ว มีแมลงวันหัวเขียวบินตอมตัวว่อน นายพราน
พอเห็นอาการเช่นนั้นเข้าใจว่าเนื้อตายแล้ว เลยแก้เชือกผูกเนื้อออก หวังจะแล่เนื้อในที่นั้น เดินหักใบไม้ไป
มา ฝ่ายเนื้อได้โอกาสจึงลุกขึ้นวิ่งหนีกลับมาได้ ด้วยความปลอดภัย
่
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เกิดเป็นคนควรศึกษารำไปอยาได้ประมาท เมื่อยามตกอยู่ในอันตราย พึงเอาชีวิตรอด
่
มาได้ด้วยเล่ห์กลที่ได้ศึกษามา ๛
ตายเพราะไม่เรียน (ขราทิยชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ได้ตรัส
อดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเนื้อตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า ใกล้เมือง
พาราณสี มีเนื้อน้องสาวอยู่ตัวหนึ่ง วันหนึ่ง เนื้อน้องสาวได้พาลูกเนื้อมาหาพี่ชาย แล้วมอบให้พี่ชายสอน
มายาของเนื้อให้ เนื้อผู้ลุงจึงบอกให้เนื้อผู้หลานมาหาในวันพรุ่งนี้เพื่อจะสอนมายาของเนื้อ แต่เนื้อผู้หลาน
ไม่มาตามนัดตามเวลาที่พูดกันไว้ เวลาผ่านไปถึง 7 วัน เนื้อผู้หลาน ผู้ไม่มีประสบการณ์และยังไม่ทันได้
เรียนรู้มายาของเนื้อ ท่องเที่ยวหากินไปจึงติดบ่วงนายพรานถูกฆ่าตาย แม่เนื้อผู้น้องสาวจึงร้องไห้ไปหา
พี่ชายต่อว่าสอนหลานยังไง เขาจึงบอกว่า “เจาอย่าเสียใจต่อบุตร ผู้ไม่รับโอวาทสั่งสอนนั่นเลย บุตรของ
้
ี
เจ้าไม่เรยนเอามายาของเนื้อเอง ไม่มีความประสงค์จะเรียนรู้และตั้งอยู่ในโอวาทเลย” แล้วได้กล่าวเป็น
คาถาวา “แม่ขราทิยา ฉันไม่สามารถจะสั่งสอนเนื้อตัวนั้น ผู้มีกีบเท้า 8 กีบ มีเขาคดตั้งแต่โคนจรดปลาย ผ ู้
่
ล่วงเลยโอวาทเสียตั้ง 7 วันได้”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และครูอาจารย์ มักพบกับความฉิบหาย ๛
อำนาจของรส (วาตมิคชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระจูฬปิณฑิกปาติกติสสเถระ ผู้
ติดในรสตกอยู่ในอำนาจนางวัณณทาสี ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมือง
้
พาราณสี มีชายเฝาสวนหลวงของพระเจ้าพรหมทัตคนหนึ่งชื่อว่า สัญชัย ในสวนหลวงนั้นจะมีเนื้อสมันตัว
หนึ่งแวะแอบมากินหญ้าอยู่เป็นประจำ เมื่อมันเจอนายสัญชัยก็จะวิ่งหนีเข้าป่าไป แต่เขาไม่เคยทำให้มัน
ตกใจกลัวเลยสักครั้งเดียว จึงทำให้มันแวะเข้ามาในสวนหลวงนั้นบ่อย ๆ ในเวลาเช้าตรู่ทุกวัน นายสัญชัย
จะนำผลไม้ชนิดต่างๆ ไปถวายพระราชาเป็นประจำ วันหนึ่ง พระราชา ตรัสถามเขาว่า “เธอได้เห็นความ
อัศจรรย์อะไร ในสวนหลวงบ้างไหม ?” เขาจึงกราบทูลไปว่า “ไม่พบสิ่งใดเลย พระเจ้าค่ะ มีเพียงเนื้อสมัน
ตัวหนึ่ง แวะเวียนมาแทะหญ้าในสวนหลวง พระเจ้าค่ะ” พระราชาตรัสถามว่า “เธอสามารถจับมันได้ไหม
?” เขากราบทูลว่า “ถ้าได้น้ำผึ้ง ข้าพระองค์ สามารถนำมันมาในพระราชนิเวศน์นี้ได้ พระเจ้าค่ะ”
พระราชา จึงรับสั่งให้มอบน้ำผึ้งแก่เขา เขานำน้ำผึ้งไปทาที่หญ้าตรงที่เนื้อสมันเคยมาเที่ยวกิน วันต่อมา เจ้า
เนื้อสมันพอได้กินหญ้าเจือน้ำผึ้ง ก็ติดในรสชาติ จึงมาในที่นั้นทุกวัน เขาปรากฏตัวให้มันเห็นเพื่อให้เกิด
ความคุ้นเคย ในสองสามวนแรกมันจะวิ่งหนีไป พอวันต่อๆมา มันเห็นเขาบ่อยๆ ก็เกิดความคุ้นเคย ถึงกับ
ั
กินหญ้าที่อยู่ในมือของเขา เมื่อเขารู้ว่ามันคุ้นเคยแล้ว วันหนึ่ง จึงให้เอาเสื่อล้อมถนนไปจนถึงพระราช
นิเวศน์ แล้วปักกิ่งไม้ไว้ตามเสื่อนั้น สะพายน้ำเต้าบรรจุน้ำผึ้ง โปรยหญ้าทาน้ำผึ้ง เดินนำหน้าเนื้อสมันเข้า
ไปในพระราชนิเวศน์ เมื่อมันเข้าไปภายในพระราชนิเวศน์แล้ว ผู้คนจึงปิดประตูเมือง เนื้อสมันนั้นเห็นผู้คน
จำนวนมาก ก็ตัวสั่นกลัวความตายวิ่งไปวิ่งมาในพระลานหลวงนั้น พระราชา เสด็จลงจากปราสาท
ทอดพระเนตรเห็นเนื้อนั้นตัวสั่นอยู่ จึงตรัสวา “ธรรมดา เนื้อย่อมไม่ไปยังที่มีคนเห็นตลอด 7 วัน และจะไม่
่
ไปยังที่ถูกคุกคามตลอดชีวิต แต่เจ้าเนื้อสมันป่าตัวนี้ ติดในรสน้ำผึ้ง จึงได้มาสู่สถานที่มีผู้คนมากเช่นนี้ ท่าน
53
่
ทั้งหลาย ชื่อว่า สภาวะที่เลวกว่าความอยากในรส ไม่มีในโลก” แล้วตรัสพระคาถาวา “ได้ยินว่า สภาวะ
อย่างอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลาย ย่อมไม่มี รสเป็นสภาวะที่เลว แม้กว่าถิ่นที่อยู่ แม้กว่าความสนิทสนม
ู่
นายสัญชัยผู้เฝ้าสวน นำเนื้อสมัน ซึ่งอาศัยอยในป่าทึบมาสู่อำนาจของตนได้ เพราะรสทั้งหลาย” เมื่อตรัส
แล้วจึงรับสั่งให้ปล่อยเนื้อสมันตัวนั้นเข้าป่าไปตามเดิม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าติดในรสชาติ เพราะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าความอยากในรส ๛
บวชเพราะผมหงอก (มฆเทวชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการเสด็จออกผนวชของพระองค์
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในกรุงมิถิลา วิเทหรัฐ มีพระราชาผู้ทรงธรรม
พระองค์หนึ่งพระนามว่า มฆเทวะ พระองค์ได้ตรัสกับนายช่างกัลบก(ช่างตัดผม)ว่า “นายช่าง หากวันใด
ท่านเห็นผมหงอกบนศีรษะเรา จงบอกเราด้วย” ต่อมาวันหนึ่ง นายช่างกัลบกพบผมหงอกเส้นหนึ่งบน
ศีรษะของพระราชา จึงได้ทูลให้ทรงทราบ พระราชาจึงสั่งให้ถอนออกมาวางไว้ที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์
ในสมัยนั้น พระราชายังมีพระชนมายุเหลืออยู่อีก 84,000 ปี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ถึงความสลดพระทัยว่า
ความตายใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงวิตกจนพระเสโทเปียกชุ่มไปทั่วพระวรกาย ได้ตัดสินพระทัยออก
บรรพชาในวันนั้น จึงทรงประทานบ้านหลังโตแก่นายช่างกัลบก และมอบราชสมบัติแก่พระโอรสพระองค์
ใหญ่ พวกอำมาตย์ ได้ทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์สละราชสมบัติ พระองค์จึงตรัสบอกสาเหตุที่สละราช
สมบัติออกบวชเพราะผมหงอกบนศีรษะ แล้วได้ตรัสคาถาแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า “เมื่อวัยล่วงลับไป ผมบน
ศีรษะของเราก็หงอก เทวทูตก็ปรากฎชัด บัดนี้ เป็นเวลาที่เราควรจะบวช” ครั้นตรัสแล้ว ก็สละราชสมบัติ
บวชเป็นฤๅษีในวันนั้นเอง ประทับอยู่ในสวนมะม่วงตราบจนสวรรคต
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ไม่ควรประมาทในวัย เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ๛
ราคาข้าวสาร (ตัณฑุลนาฬิชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ
ผู้ไม่รู้เรื่องในวิธีการให้สลากภัต ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยของพระ
เจ้าพรหมทัต ครองเมืองพารารณสี แคว้นกาสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพนักงานตีราคา ทำหน้าที่ตีราคา
แลกเปลี่ยนสินค้าในพระคลังหลวงด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม พระราชามีความโลภทรงดำริวา “ถ้าเป็น
่
เช่นนี้ ไม่นานทรัพย์ในท้องพระคลังจักหมดสิ้นไป” จึงตั้งชายชาวบ้านผู้โง่เขลา ผู้หนึ่ง เป็นพนักงานตีราคา
แทนพระโพธิสัตว์นั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์มักจะอยู่เบื้องหลังการตีราคาสินค้าเสมอ มักตีราคาเอา
ตามความชอบใจ วันหนึ่ง มีพ่อค้าม้าคนหนึ่ง นำม้า 500 ตัว มาจากแคว้นอุตตราปถะเพื่อแลกเปลี่ยน ถูก
พนักงานตีราคาม้า 500 ตัว ด้วยข้าวสารทะนานเดียว ทำให้พ่อค้าเสียใจเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปที่บ้าน
ของพระโพธิสัตว์เพื่อปรึกษาขอความเป็นธรรม พระโพธิสัตว์จึงแนะนำให้พ่อค้าม้าติดสินบนพนักงานตี
ราคาแล้วให้เขาตีราคาข้าวสารทะนานหนึ่งใหม่ เมื่อปรึกษากันเช่นนั้นแล้วก็ชวนกันไปเข้าเฝ้าพระราชา
พร้อมอำมาตย์และประชาชนเป็นจำนวนมาก พร้อมให้พนักงานตีราคาข้าวสารทะนานหนึ่งใหม่ พ่อค้าม้า
ได้กราบทูลพระราชาวา “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทราบว่า ม้า 500 ตัว มีราคาเท่าข้าวสารหนึ่ง
่
ทะนาน แต่ข้าวสารทะนานนี้ มีราคาเท่าไร ? ขอพระองค์โปรดถามพนักงานตีราคาเถิด พระเจ้าข้า “
เมื่อพระราชาถามพนักงานตีราคา เขาจึงกราบทูลว่า “ข้าวสารทะนานนี้ มีราคาเท่ากับเมืองพาราณสีทั้ง
เมือง พะย่ะค่ะ” พระโพธิสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงถามเป็นคาถาวา “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ตรัสว่า
่
ข้าวสาร 1 ทะนานมีราคาเท่ามูลค่าม้า 500 ตัวหรือ และข้าวสาร 1 ทะนานนี้มีค่าเท่ากับกรุงพาราณสีทั้ง
54
ภายในภายนอกเชียวหรือ” พวกอำมาตย์และประชาชนทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงพากันตบมือหัวเราะ
่
้
เยาะเยยวา “เมื่อก่อนพวกเราเข้าใจวา แผ่นดินและราชสมบัติเมืองพาราณสีนี้มีค่าหาประมาณมิได้ แต่ที่
่
ไหนได้ กลับมีค่าเพียงข้าวสารทะนานเดียวเท่านั้นหรือ โอ ! ท่านช่างเหมาะสมกับพระราชาเราเสียจริง ๆ
นะ” พระราชาทรงละอายพระทัยยิ่ง จึงรับสั่งให้ขับไล่พนักงานตีราคานั้นหนีไป ทรงแต่งตั้งให้พระโพธิสัตว์
เป็นพนักงานตีราคาเหมือนเดิม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: โลภมาก มักลาภหาย ๛
วาทศิลป์ (มังสชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภบิณฑบาตอันมีรสอร่อยที่พระสารี
บุตรให้แก่พวกภิกษุผู้ดื่มยาถ่าย ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิด
เป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีลูกชายเศรษฐีอีก 3 คนเป็นเพื่อนรักกัน อยู่มาวันหนึ่ง พวกเขาชวน
กันไปนั่งสนทนากันเล่นที่หนทางสี่แพร่งนอกเมือง ในขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งนั่งเกวียนบรรทุกเนื้อมา
เต็มลำ เพื่อจะนำไปขายในเมืองพาราณสี ลูกชายเศรษฐีทั้ง 4 คนเห็นเขากำลังมา จึงปรึกษากันว่าใครจะ
สามารถใช้วาทศิลป์ขอเนื้อจากนายพรานคนนั้นได้มากกว่ากัน เมื่อนายพรานขับเกวียนเข้ามาใกล้แล้ว
ลูกชายเศรษฐีคนที่ 1 จึงร้องขอเนื้อขึ้นว่า “เฮ้ย..นายพราน ขอเนื้อสักชิ้นหน่อยสิ” นายพรานพูดว่า “วาจา
ของท่านหยาบคายนัก เป็นเช่นกับพังผืด เราจะให้เนื้อพังผืดแก่ท่าน” แล้วให้เนื้อพังผืดแก่เขาไป
ลูกชายเศรษฐีคนที่ 2 ร้องขอเนื้อวา “พี่ชาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ” นายพรานพูดว่า “คำว่าพี่ชายนี้
่
เป็นส่วนประกอบของมนุษย์ที่เรียกขานกันในโลก วาจาของท่านเป็นเช่นกับส่วนประกอบ เราจะให้เนื้อ
ส่วนประกอบแก่ท่านนะ” แล้วก็ยื่นเนื้อส่วนประกอบแก่เขาไป ลูกชายเศรษฐีคนที่ 3 เอ่ยปากขอเนื้อว่า
“พ่อ ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ” นายพรานพูดว่า “บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทำให้หัวใจพ่อหวั่นไหว
วาจาของท่านเป็นเช่นกับน้ำใจ เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่านนะ” แล้วก็ยื่นเนื้อหัวใจให้เขาไป พระโพธิสัตว์
เอ่ยปากขอเนื้อเป็นคนที่ 4 ว่า “สหาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ” นายพรานพูดเป็นคาถาว่า “ในบ้านของ
ผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านนั้นเป็นเช่นกับป่า คำพูดของท่านเช่นกับสมบัติทั้งหมด สหาย ข้าพเจ้าให้เนื้อทั้งหมดแก่
ท่าน” ว่าแล้วก็ชวนพระโพธิสัตว์ขึ้นเกวียนไปที่บ้านของเขามอบเนื้อให้ทั้งหมด ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เชิญ
นายพรานพร้อมภรรยาและบุตรธิดามาอยู่ด้วยกันให้เลิกทำการล่าสัตว์ เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันเกื้อกูลกัน
จนตราบสิ้นชีวิต
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: วาทศิลป์เป็นศิลปะชนิดหนึ่งที่พึงศึกษาเพราะพูดถูกใจคนย่อมมีผลดีมากกว่าผลร้าย
นกหัวขวานกับราชสีห์ (ชวสกุณชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ทรงปรารภความอกตัญญูของพระเทวทัต
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานอาศัยอยู่ในป่าแห่ง
หนึ่ง มีราชสีห์ตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ในบรเวณเดียวกัน วันหนึ่ง ราชสีห์กินเนื้อด้วยความมูมมามจึงทำให้
ิ
กระดูกติดคอจนคอบวม มันไม่สามารถจับเหยื่อหากินได้นอนปวดร้าวทรมานอยู่ หลายวันต่อมานก
หัวขวานบินเที่ยวหากินไปพบมันเข้าจึงจับกิ่งไม้ร้องถามไปว่า “ท่านราชสีห์ ท่านนอนร้องครวญครางอยู่
เป็นอะไรหรือ ?” “กระดูกติดคอเรานะสิ เรานอนเจ็บปวดทรมานมาหลายวันแล้ว ช่วยเราด้วย” มันร้อง
ตอบนกหัวขวานพูดว่า “เราอยากจะช่วยท่านอยู่ แต่ไม่กล้าจะเข้าไปในปากท่าน กลัวท่านจะกินเรา
“ราชสีห์อ้อนวอนว่า “ท่านอย่ากลัวไปเลย เราไม่กินท่านดอก ช่วยเราด้วยนะ” นกหัวขวานใจอ่อนด้วย
ความกรุณาสงสารราชสีห์จึงรับคำช่วยเหลือ ให้ราชสีห์นอนตะแคงแล้วใช้ท่อนไม้ค้ำปากของมันให้อ้าปาก
55
ไว้ เพื่อไม่ให้มันหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปากราชสีห์ ใช้ปากจิกกระดูกให้เคลื่อนเข้าไปในท้องของมันแล้วจิก
ท่อนไม้ให้ล้มลง บินขึ้นไปจับบนกิ่งไม้ตามเดิม ทำให้ราชสีห์หมดทุกข์เที่ยวจับเหยื่อกินได้เป็นปกติ อีก
หลายวันต่อมา นกหัวขวานบินหากินไปพบราชสีห์กำลังนอนแทะเนื้ออยู่ คิดจะทดสอบจิตใจของราชสีห์ จึง
จับบนกิ่งไม้เหนือราชสีห์นั้นแล้วพูดว่า “ท่านจอมแห่งไพร ขอแสดงความเคารพ เราเคยได้ช่วยเหลือท่าน
้
อย่างหนึ่ง แล้วท่านจะมีอะไรตอบแทนกันบ้างหนอ” ราชสีห์ตอบว่า “เจานกหัวขวานเอ๋ย ในวันนั้น ขณะที่
เจ้าอยู่ในปากของเรา เจ้าเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้าแล้วละ เจ้าจะเอาอะไรอีก” นก
หัวขวานได้ฟังเช่นนั้นแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ผู้ไม่รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้ว ผู้ที่ไม่เคยทำความดีอย่างใด
อย่างหนึ่งแก่ใคร ผู้ที่ไม่ตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำให้แล้ว น่าตำหนิ ความกตัญญูไม่มีในผู้ใด การคบหาผู้
นั้น ก็ไร้ประโยชน์ . แม้อุปการคุณที่กระทำต่อหน้า มิตรธรรมยังหาไม่ได้ในบุคคลใด บัณฑิตไม่ริษยา ไม่ด่า
บุคคลนั้น พึงค่อย ๆ หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย” กล่าวจบก็บินหนีเข้าป่าไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
ผู้ไม่รู้บุญคุณที่เขาทำไว้แล้ว ไม่ควรคบสมาคมด้วย ๛
กากินน้ำทะเล (สมุททชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระอุปนันทเถระผู้ไม่รู้จักพอแล้ว
เที่ยวสอนภิกษุอื่นให้รู้จักพอ จึงตรัสพระคาถาวา “บุคคลควรตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน แล้วพึงสั่งสอน
่
ผู้อื่นในภายหลัง บัณฑิตจะไม่พึงเศร้าหมอง” แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดารักษาสมุทร สมัยนั้นมีกาน้ำตัวหนึ่งบินเที่ยวหากินอยู่ในมหาสมุทรนั้นมักร้อง
ห้ามฝูงนกฝูงปลาว่า “ท่านทั้งหลาย จงดื่มกินน้ำทะเลเพียงเล็กน้อยนะ ช่วยกันประหยัดน้ำทะเลด้วย”
เทวดาเห็นพฤติกรรมของมันแล้วจึงถามไปว่า “ใครนะ ช่างบินวนเวียนอยู่แถวนี้ เที่ยวร้องห้ามฝูงนกฝูงปลา
อยู่ ท่านจะไปเดือดร้อนอะไรกับน้ำทะเลด้วยละ” มันจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าคือกาผู้ไม่รู้จักอิ่ม ปรารถนาจะ
่
ดื่มน้ำทะเลผู้เดียว กลัววาน้ำทะเลจะหมดก่อน จึงต้องร้องห้ามอย่างนั้น” เทวดาได้ฟังเช่นนั้นจึงกล่าวเป็น
คาถาว่า “ทะเลใหญ่นี้จะลดลงหรือเต็มอยู่ก็ตามที ที่สุดของน้ำแห่งทะเลใหญ่นั้นที่บุคคลดื่มแล้ว ใคร ๆ ก็รู้
ไม่ได้ ทราบว่า สาครอันใคร ๆ ไม่อาจดื่มให้หมดสิ้นไปได้” ว่าแล้วก็แปลงร่างเป็นรูปที่น่ากลัวขับไล่กาน้ำ
นั้นให้หนีไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าไปพะวงอะไรกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่านไปเปล่า ๆ ๛
คนชั่วสรรเสริญกันเอง (อันตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะต่าง
สรรเสริญกันเอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดา
ประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบานได้
้
ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อ
โคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอก
ขึ้นว่า “ท่านพญาเนื้อ ผู้มีรางกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำ
่
อย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง” สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบวา “กุลบุตร
่
ย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อ
56
ให้สบายใจเถิด” รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า
“บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด ที่สุด 3 อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คนเลวยกย่องกันเอง ชื่อเสียงมักไม่ปรากฏ คนดียกย่องคนดีเหมือนกัน
ชื่อเสียงย่อมปรากฏ ๛
บุญที่ให้ทานแก่ปลา (มัจฉทานชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่ง
ในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหาร
กิจการค้าขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทาง
กลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหาร
ที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพสัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพอ
อนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาด
ผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผน
ฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงินนั้น เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้ว
ถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่ง
ลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้” “เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่าง
มันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้” พี่ชายตอบ เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้น
ตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัวหนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้
ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความกระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญ
เสียใจอยู่คนเดียวที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร หลายวันต่อมา
่
พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่วา “ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัว
ละ 1,700 บาท สนไหมครับ” ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า “ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ” จึงไม่มีใคร
ซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้าร้านนั้น พระโพธิสัตว์
เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า “ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ” “ผมขายให้ 28
่
บาทละกันครับ” ชาวประมงตอบ เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผาท้องปลา
เท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
“แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น 1,700 บาท แต่ขายให้เราเพียง 28 บาท เราได้เงินคืนมา
เพราะอะไรหนอ” ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า “เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา
ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ
แผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น” แล้วได้กล่าวคาถา
์
ว่า “ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพยสมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่ ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ยอมไม่
่
่
มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา “กล่าวคาถาจบก็หายรางไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน
แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง ๛
57
การหลอกลวง (ลาภครหิกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุลูกศิษย์ของพระสารีบุตรผู้
ถามถึงวิธีการได้ลาภสักการะด้วยการหลอกลวง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์อยู่ประมาณ 500 คน ตั้งสำนักเรียนอยู่ในเมืองแห่ง
หนึ่ง วันหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้าไปถามถึงวิธีได้เงินทองว่า “อาจารย์ครับ ผมเรียนใกล้จะจบแล้ว ผมอยาก
ทราบว่าชาวโลกเขา มีวิธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างไรครับ” อาจารย์ตอบว่า
ิ
ี
“ฟังนะเธอ ชาวโลกเขามีวธีการหลอกลวงให้ได้เงินทองโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเลย อยู่ 4 วิธ คือ
“ไม่ใช่คนบ้าทำเป็นเหมือนคนบ้า ไม่ใช่คนพูดส่อเสียดทำเป็นเหมือนคนพูดส่อเสียด ไม่ใช่นักฟ้อนรำทำเป็น
เหมือนนักฟ้อนรำ ไม่ใช่คนพูดพล่อยทำเป็นเหมือนคนพูดพล่อย ย่อมได้เงินทองจากคนผู้หลงงมงาย นี่เป็น
คำสอนสำหรับเธอ” “มันมีความหมายว่าอย่างไรครับ อาจารย์ช่วยอธิบายให้ทราบด้วยครบ” ลูกศิษย์ซักไซ้
ั
ต่อ อาจารย์จึงอธิบายให้ฟังว่า “คนบ้า ผู้คนมักจะไม่ถือโทษโกรธเคือง เขาจะหยิบฉวยอะไรไปก็ได้ ไม่ว่าจะ
เป็นเสื้อผ้า อาหาร ขนม หรือเงินทอง คนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่กลัวนรก มีความโกรธ ถูกตัณหาครอบงำ
ย่อมทำกรรมชั่วทุกอย่าง ได้เช่นกันกับคนบ้า เขาจะแสวงหาเงินทองมาด้วยวิธีการแบบคนบ้า คนพูด
้
ส่อเสียด ย่อมสามารถพูดคำไม่เป็นจริงใหเป็นจริงได้ สามารถใส่รายป้ายสีคนอื่นให้เสียหายได้ ฉะนั้น ผ ู้
้
ต้องการเงินทองก็ต้องรู้จักพูดส่อเสียด นักฟ้อนรำ ย่อมไม่มีหิริโอตตัปปะ ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ทรัพย์มา
ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทองก็ต้องเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ คนพูดพล่อย ย่อมทำตัวเป็นคนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่าใคร
ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ผคนกลัวคนผู้นี้จะประจานจึงมอบทรัพย์ให้เขาเพื่อปิดปาก ทรัพย์จำนวนมากจึง
ู้
เกิดขึ้นแก่เขา ฉะนั้น ผู้ต้องการเงินทอง จึงต้องรู้จักเป็นคนพูดพล่อย” ลูกศิษย์ได้ฟังแล้วจึงพูดตำหนิวิธีการ
หลอกลวงให้ได้ลาภมาโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมวา “อาจารย์ครับ ถ้าเป้นเช่นนี้การออกบวชจะประเสริฐกว่า
่
การแสวงหาลาภโดยไม่มีคุณธรรมเลย” ว่าแล้วจึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤๅษี บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าจนตราบ
เท่าชีวิต
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: วิธีการหลอกลวงของผู้คนในโลกนี้มีอยู่ 4 วิธีหลัก ให้พึงระวังเข้าไว้ ๛
ประโยชน์ของสัตว์ป่า (พยัคฆชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภโกกาลิกภิกษุผู้ไม่อาจจะอยู่
ร่วมกับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะได้ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระ
โพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในราวปาแห่งหนึ่ง และในที่ไม่ไกลกันนักมีรุกขเทวดาตนหนึ่งอาศัยอยู่ต้นไม้
่
้
ใหญ่ต้นหนึ่ง ในป่านั้นมีราชสีห์กับเสือ 2 ตัวอาศัยอย เพราะกลัวราชสีห์และเสอพวกชาวบานจึงไม่ไปทำนา
ู่
ื
ใกล้ป่าและไม่คิดที่จะเข้าไปตัดต้นไม้ในป่านั้น สัตว์ทั้งสองตัวเมื่อล่าเหยื่อได้แล้วก็จะฉีกกินเนื้อปล่อยให้
เหลือแต่กระดูกทิ้งไว้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วป่า วันหนึ่ง รุกขเทวดาตนนั้นได้แวะไปปรึกษากับรุกขเทวดา
โพธิสัตว์ว่า “เพื่อนรัก เพราะอาศัยราชสีห์และเสือสองตัวนี้ ป่าจึงมีกลิ่นเหม็นไม่สะอาด เราเสนอวาให้ขับ
่
ไล่สัตว์สองตัวนี้หนีไปที่อื่นเสีย” พระโพธิสัตว์ห้ามวา “อย่าเลยท่าน เดี๋ยววิมานของท่านจะถูกทำลายนะ”
่
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “เพราะการคบหามิตรใด ความปลอดภัยจะหมดไป บัณฑิตควรรักษาลาภยศและ
ชีวิตของตน ที่มิตรนั้นเคยครอบครองมาก่อนเอาไว้ ประดุจบุคคลรักษาดวงตา เพราะการคบหามิตรใด
ความปลอดภัยเพิ่มพูนมากขึ้น บัณฑิตควรทำการช่วยเหลือในกิจทุกอย่างของมิตรนั้น ให้เหมือนกับทำ
ให้กับตนเอง” เทวดาตนนั้นไม่เชื่อฟังได้แสดงรูปร่างน่ากลัวขับไล่ราชสีห์และเสอให้หนีไปอยู่ที่อื่น ต่อมาไม่
ื
ี
นานเมื่อชาวบ้านไม่เห็นรอยเท้าราชสห์และเสือก็เข้าไปตัดต้นไม้ในป่านั้น ถางป่าด้านหนึ่งเป็นที่นา และตัด
58
ต้นไม้วิมานของรุกขเทวดานั้นไปใช้ประโยชน์ สร้างความเดือดร้อนแก่รุกขเทวดาตนนั้นมาก วันหนึ่ง เทวดา
นั้นได้คร่ำครวญไปหาพระโพธิสัตว์และขอคำแนะนำ พระโพธิสัตว์จึงแนะนำให้ไปอ้อนวอนราชสีห์และเสือ
ให้กลับมาอยู่เหมือนเดิม เทวดานั้นไปยืนประคองอัญชลีต่อหน้าสัตว์ทั้งสองอ้อนวอนว่า “ท่านสัตว์ทั้งสอง
่
ขอเชิญท่านไปอยู่ป่าเชนเดิมเถิด ป่าไม้ถูกมนุษย์ทำลายเกือบจะหมดแล้ว” แต่สัตว์ทั้งสองหาได้กลับไปไม่
มีแต่เทวดาตนนั้นเท่านั้นเดินกลับเข้าป่าไป ไม่นานป่านั้นก็เป็นที่ทำกินของชาวบ้านไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: : ป่ามีเพราะเสืออยู่เสืออ้วนเพราะมีป่า ต่างคนต่างอาศัยกัน เพราะป่าไม่มีสัตว์ร้ายอยู่
ผู้คนจึงตัดไม้ทำลายป่าไปเสียหมด เป็นเหตุให้ความสมดุลทางธรรมชาติสูญเสีย
ไป ขอเชิญช่วยกันปลูกป่าตั้งแต่วันนี้เถิดท่านทั้งหลายเอ๋ย ๛
กากับนกเค้า (อุลูกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภการทะเลาะกันของกากับนกเค้า
เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยนั้น กาจะทำร้ายนกเค้าในเวลากลางวัน นกเค้าจะทำร้ายกาในเวลากลางคืน ทำให้
บริเวณวัดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนก พวกภิกษุได้กวาดซากศพของนกกาไปทิ้งเป็นจำนวนมาก เพื่อคลาย
ความสงสัยของพวกภิกษุ พระองค์ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในครั้งปฐม
กัลป์พวกสัตว์ทั้งหลายได้เลือกผู้นำของตนเองกล่าวคือ พวกมนุษย์เลือกชายผู้มีรูปร่างสวยงาม มีมารยาท
เรียบร้อยและมีสติปัญญาเป็นพระราชา พวกสัตว์ 4 เท้าเลือกราชสีห์เป็นหัวหน้า พวกปลาเลือกปลา
อานนท์เป็นหัวหน้า ฝ่ายพวกนกมาประชุมกันที่ป่าแห่งหนึ่งแล้วทำการคัดเลือกหัวหน้า ฝูงนกเสนอให้นก
เค้าขึ้นเป็นหัวหน้า แต่มีกาตัวหนึ่งพูดคัดค้านขึ้นว่า “ท่านทั้งหลาย หน้าตาของนกเค้าขนาดยังไม่โกรธก็ยัง
เป็นเช่นนี้ ถ้าเขาโกรธขึ้นมาจะดูได้หรือ ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าจะต้องหน้าตาดูดีกว่านี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นดีด้วย”
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ขอความเจริญรุ่งเรืองจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่
ข้าพเจ้ายังไม่ชอบใจ ท่านจงมองดูหน้านกเค้าที่ยังไม่โกรธดูซิ ถ้านกเค้าโกรธจะทำหน้าอย่างไร” ว่าแล้วก็
บินร้องไปในอากาศวา “ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ๆ” ฝ่ายนกเค้าโกรธมากที่ถูกกาว่าร้ายได้บินไล่กานั้นไป ตั้งแต่
่
นั้นเป็นต้นมากากับนกเค้าได้จองเวรกันและกันจนถึงปัจจุบัน สุดท้ายพวกนกได้เลือกหงส์ทองให้เป็น
หัวหน้านก
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เป็นผู้นำคนหน้าตาจะต้องยิ้มแย้มเบิกบานเป็นที่สบายใจของลูกน้อง
และผู้พบเห็น ๛
สะใภ้เศรษฐี (สุชาตาชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภนางสุชาดาน้องสาวของนางวิสาขา
ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า...นางสุชาดาสำคัญตนว่าเป็นลูกสาวของตระกูล
ั
ใหญ่ จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับใคร ๆ ในครอบครวสามี แม้กระทั่งปู่และย่า เที่ยวดุด่าเฆี่ยนตีทาสรับใช้ในเรือน
ของสามีอยู่เป็นประจำ ต่อมาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้าไปฉันที่บ้านของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี ขณะที่กำลังแสดงธรรมอยู่นั่นเอง ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย จึงตรัสถามท่านเศรษฐี เมื่อ
เศรษฐีกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระองค์จึงรับสั่งใหเรียกนางมาเข้าเฝ้า และตรัสถามนางว่า “สุชาดา
้
ภรรยามี 7 จำพวก เธอเป็นภรรยาจำพวกไหน” นางสุชาดาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ทราบว่า
พระองค์ตรัสหมายถึงอะไร โปรดอธิบายด้วยเถิดพระเจ้าข้า “พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงภรรยา 7 จำพวกว่า
“สุชาดา ภรรยาจำพวกที่ 1 มีจิตคิดประทุษร้ายสามี มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี รักใคร่
ในชายอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวายเพื่อจะฆ่าสามี นี่เรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมือนดังเพชฌฆาต
59
ภรรยาจำพวกที่ 2 สามีได้ทรัพย์มามอบให้ภรรยาเก็บรักษาไว้ แต่ภรรยาไม่รู้จักเก็บรักษา ปรารถนาแต่จะ
ี
ใช้ทรัพย์นั้นให้หมดไป นี่เรยกว่า โจรีภริยา ภรรยาเสมือนดังโจร ภรรยาจำพวกที่ 3 เกียจคร้านทำงาน กิน
จุ มักโกรธ มักดุด่า กดขี่คนใช้ นี่เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยาเสมือนดังเจ้านาย ภรรยาจำพวกที่ 4 โอบ
์
อ้อมอารี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนแม่รักษาลูก รักษาทรัพยที่สามีหามา
ได้ไว้ นี่เรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมือนดังมารดา ภรรยาจำพวกที่ 5 มีความเคารพสามี มีความละอาย
ี
ใจ ทำตามความพอใจสามี คล้ายน้องสาวเคารพพี่ชาย นี่เรยกว่า ภคินีภรรยา ภรรยาเสมือนดังน้องสาว
ภรรยาจำพวกที่ 6 เห็นหน้าสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับเพื่อนรักมาเยี่ยมเยือนบ้าน รักษาชื่อเสียงวงศ์
่
ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี นี่เรียกวา สขีภริยา ภรรยาเสมือนดังเพื่อน ภรรยาจำพวกที่ 7 เป็นคนที่
ไม่มีความขึงโกรธ ถึงจะถูกคุกคามก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อสามี เอาใจสามีเก่ง นี่เรียกว่า ทาส ี
ภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส สุชาดา ภรรยา 3 จำพวกแรกต้องตกนรก ส่วนภรรยา 4 จำพวกหลังไปเกิดใน
เทวโลกชั้นนิมมานรดี ภรรยา 7 จำพวกนี้ เธอจะเป็นจำพวกไหน” เมื่อพระพุทธองค์เทศนาเรื่องภรรยา 7
จำพวกจบเท่านั้น นางสุชาดาได้เป็นพระโสดาปัตติผลทันที จึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ขอเป็นทาสีภริยา
ภรรยาเสมือนดังทาส พระเจ้าข้า “ถวายบังคมขอขมาพระพุทธเจ้าแล้วก็ไป
เมื่อกลับถึงวัดเชตวันพวกภิกษุพากันสนทนาถึงนางสุชาดาที่เป็นหญิงสะใภ้ผู้ดุร้าย พอได้ฟังธรรมของพระ
พุทธองค์แล้วกลับเป็นหญิงเรียบร้อยไปได้ พระพุทธเจ้าเพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุได้ตรัสอดีต
นิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต
เมืองพาราณสี พอเจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปะที่เมืองตักกสิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้ขึ้น
ครองราชยสืบมา พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม แต่พระมารดาเป็นผู้มักโกรธดุร้าย ชอบด่าข้า
์
ทาสบริวารอยู่เสมอ พระองค์คิดหาวิธีจะตักเตือนพระมารดาแต่ก็ยังหาไม่ได้ วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปสวน
ิ
หลวงพร้อมด้วยพระมารดา มีบรวารแวดล้อมไปด้วยคณะใหญ่ พวกข้าทาสบริวารพอได้ยินเสียงนก
้
ต้อยตีวิดร้องก็พากันปิดหูพร้อมกับบ่นว่า “เจ้านกบา เสยงไม่ไพเราะก็ยังรองอยู่ได้ ไม่อยากฟัง” ลำดับนั้น
้
ี
ได้ยินเสียงนกดุเหว่าร้องสำเนียงไพเราะก็พากันชื่นชมว่า “เสียงเจ้าช่างไพเราะจริงๆ ร้องต่อไปเรื่อย ๆ
อย่าได้หยุดนะ” พระองค์คิดว่าได้โอกาสตักเตือนพระมารดาแล้ว จึงตรัสเป็นพระคาถาว่า “ธรรมดาสัตว์
ี
ทั้งหลายที่สมบูรณ์วรรณะ มีเสยงอันไพเราะ น่ารักน่าชม แต่พูดจาหยาบกระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระองค์ก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่าสีดำตัวนี้มีสีไม่สวย ลายพร้อยไปทั้งตัว แต่
เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก เพราะร้องด้วยเสียงอันไพเราะ เพราะฉะนั้น บุคคลควรพูดคำอัน
สละสลวย คิดก่อนพูด พูดพอประมาณไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อยคำของผู้ที่แสดงเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นถ้อยคำอัน
ไพเราะ เป็นถ้อยคำที่เป็นภาษิต” พระมารดาได้สดับแล้วก็กลับได้สติ จำเดิมแต่วันนั้นมาก็กลายเป็นคน
เพียบพร้อมด้วยมารยาทอันดีงามไม่ดุด่าว่าร้ายใครๆ ครองชีวิตโดยธรรมเสด็จไปตามยถากรรม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: สะใภ้ที่ดีควรเลือกทำตามภรรยา 4 จำพวกหลัง และควรเป็นคนเจรจาด้วย
คำไพเราะอ่อนหวามเหมือนกับเสียงนกดุเหว่าที่ใครๆ ก็ลุ่มหลงอยากฟัง ๛
ปูทอง (สุวรรณกักกฏกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภหญิงชาวเมืองผู้ปกป้องสามีจาก
พวกโจรคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบึงใหญ่ใกล้ป่าหิมพานต์อยู่บึง
หนึ่ง ในบึงนั้นมีปูทองตัวขนาดเท่าลานนวดข้าวตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มันสามารถจับช้างที่มาดื่มน้ำในบึงเป็น
อาหารได้ ฝูงช้างเพราะกลัวปูทองนั่นเองจึงไม่กล้าลงดื่มน้ำในบึงนั้น สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิใน
60
ครรภ์ของช้างพังเชือกหนึ่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากปูทอง ช้างพังนั้นได้หนีไปอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่ง จนพระ
โพธิสัตว์เติบโตมีช้างพังเชือกหนึ่งเป็นภรรยาแล้วถึงได้กลับมายังถิ่นที่อยู่เดิม วันหนึ่ง ช้างโพธิสัตว์ได้เข้าไป
พูดกับพญาช้างผู้เป็นบิดาว่า “พ่อ ฉันจักจับปูทอง” พญาช้างห้ามไว้ไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายทนคำอ้อนวอน
ของลูกช้างไม่ได้ก็ต้องใจอ่อน ช้างโพธิสัตว์ได้เรียกประชุมฝูงช้างแล้วเดินไปใกล้บึงนั้นถามว่า “ท่าน
ทั้งหลาย ปูทองจะจับช้างในเวลาลงไปหรือเวลาขึ้นจากน้ำ” ได้ฟังว่าปูทองมักจะจับช้างในเวลาขึ้นจากน้ำ
เท่านั้น จึงบอกช้างทุกตัวลงไปในบึงดื่มน้ำให้อิ่มแล้วค่อยขึ้นมา ส่วนตนจะตามขึ้นมาทีหลัง ช้างทุกตัวได้ลง
ั
ไปดื่มน้ำในบึงแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ขณะที่ช้างโพธิสัตว์กำลังจะขึ้นจากน้ำตามหลงฝูงช้างนั่นเองก็ถูกปูทอง
หนีบ 2 เท้าหลังไว้แน่น ช้างพังผู้ภรรยาไม่ทอดทิ้งสามีได้ยืนดื่มน้ำอยู่เป็นเพื่อนใกล้ ๆ นั่นเอง ช้างโพธิสัตว์
้
พยายามดึงปูทองแต่ปูก็ไม่ขยับเขยื้อน กลับถูกปูดึงไปไว้ตรงปากพร้อมที่จะกิน ช้างโพธิสัตว์กลัวตายจึงรอง
ขึ้นสุดเสียงว่า “ข้าพเจ้าขึ้นไม่ได้ ติดก้ามปูแล้ว” เท่านั้นเองฝูงช้างต่างร้องแตกตื่นวิ่งขี้เยี่ยวราดเข้าป่าไป
อย่างรวดเร็ว ช้างพังผู้ภรรยาก็กลัวตายกำลังจะวิ่งหนีไปด้วยเช่นกัน ถูกสามีอ้อนวอนว่า “น้องรัก ปูทองมี
นัยน์ตายาว มีหนังเป็นกระดูก ไม่มีขน ได้หนีบพี่ไว้แล้ว น้องอยาทิ้งพี่ไปนะ” นางช้างจึงหันมาปลอบใจสามี
่
ว่า “พี่ ฉันไม่ละทิ้งพี่ไปหรอก พี่มีกำลังมากกว่าใคร ๆต้องเอาชนะปูได้แน่ พี่เป็นที่รักของฉันยิ่งกว่าแผ่นดิน
แผ่นฟ้า “แล้วหันมาพูดอ้อนวอนปูทองเป็นคาถาว่า “ท่านเป็นสัตว์น้ำที่ประเสริฐกว่าปูทั้งหลายในสมุทร
ในแม่น้ำคงคา และในแม่น้ำยมุนา ขอท่านจงปล่อยสามีของฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด” ปูทองได้ฟังนางช้างพังแล้ว
ใจอ่อนยอมปล่อยเท้าช้างโพธิสัตว์ แต่หารู้ไม่ว่ากระดองของตนเองได้ถูกช้างโพธิสัตว์กระทืบจนพังทลาย
และเสียชีวิตไปเวลาต่อมา ช้างโพธิสัตว์ได้ลากปูทองขึ้นไปบนฝั่งเรียกฝูงช้างมาประชุมกันแล้วช่วยกัน
กระทืบปูทองจนละเอียดเป็นจุณในที่สุด
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ภรรยาที่ดีควรอยู่เคียงข้างสามีจนตราบเท่าชีวิต
์
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณใด ๆก็ตาม ๛
ชายจมูกแหว่ง (ปทุมชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพวกภิกษุได้บูชาต้นโพธิ์ด้วย
ดอกบัวเพราะอาศัยพระอานนทเถระผู้ฉลาดในการกล่าวถ้อยคำ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองพาราณสี มีเพื่อนที่เป็นลูก
ชายเศรษฐีด้วยกันอีก 2 คน ในสมัยนั้นมีชายจมูกแหว่งคนหนึ่งทำหน้าที่ดูแลสระดอกบัวอยู่ชานเมือง
พาราณสี วันหนึ่งในเมืองพาราณสีมีมหรสพ ลูกชายเศรษฐีทั้ง 3 คนได้พากันไปที่สระดอกบัวเพื่อขอ
ดอกบัวประดับกายไปเที่ยวงานมหรสพนั้น พอไปถึงสระดอกบัวแล้วลูกชายเศรษฐีคนที่ 1 ได้พูดขอดอกบัว
กับชายจมูกแหว่งว่า “พี่ชาย ผมและหนวดที่ตัดแล้วยังงอกขึ้นได้ ขอให้จมูกของท่านงอกขึ้นเช่นกัน ผมขอ
ดอกบัวด้วยครับ” ชายจมูกแหว่งโกรธไม่ชอบใจจึงไม่ให้ดอกบัวแก่เขา ต่อจากนั้น ลูกชายเศรษฐีคนที่ 2 ได้
พูดขอดอกบัวว่า “พี่ชาย ข้าวที่หว่านในนายังงอกขึ้นได้ ขอให้จมูกท่านงอกได้เช่นกัน ผมขอดอกบัวด้วย
ครับ” ชายจมูกแหว่งก็ยังโกรธอีกไม่ให้ดอกบัวแก่เขา พระโพธิสัตว์จึงพูดขอดอกบัวเป็นคนที่ 3 ว่า
“พี่ชาย คนทั้งสองพูดกับท่านเกินความเป็นจริง ถึงยังไงจมูกของท่านก็ไม่มีวันงอกขึ้นมาได้อีก ผมขอ
ดอกบัวด้วยครับ” ชายจมูกแหว่งพอใจจึงพูดว่า “สองคนนั้นพูดมุสา ท่านจึงพูดความจริง เราให้ดอกบัวแก่
ท่าน” ว่าแล้วก็ยกดอกบัวให้พระโพธิสัตว์ไปกำใหญ่
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าพูดอะไรให้เกินความเป็นจริง จะเสียใจภายหลัง
โดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ๛
61
พระราชกุมารผู้อัจฉริยะ (คามณิจันทชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญาพระองค์ของ
พวกภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชกุมารของพระ
เจ้าชนสันธะ ผู้ครองเมืองพาราณสี มีหน้าตาสดใสงดงามมากจึงถูกขนานนามว่าอาทาสมุขกุมาร พอมีอาย ุ
ได้ 7 ขวบเท่านั้นพระชนกก็สวรรคต พวกอำมาตย์เห็นว่าพระกุมารยังไม่อยู่ในฐานะจะครองเมืองได้ จึงจะ
ทดสอบภูมิปัญญาของพระกุมารดู ในวันหนึ่ง ได้ตกแต่งพระนครใหม่ จัดตั้งสถานวินิจฉัย(ศาล)เสร็จแล้ว ได้
มอบให้พระกุมารขึ้นตัดสินคดีความ พอพระกุมารประทับบนบัลลังก์แล้วก็ให้เอาลิงตัวหนึ่งซึ่งสามารถเดิน
2 เท้าได้แต่งตัวเป็นอาจารย์ผู้รู้วิชาดูที่ แล้วถวายรายงานพระราชกุมารว่า “ขอเดชะ นี่คืออาจารย์ผู้รู้วิชาดู
ที่ สมัยของพระชนก ขอพระองค์จงสงเคราะห์ชายผู้นี้ แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้วยเถิด” พระราชกุมารแลดูผู้
นั้นแล้วทราบว่าเป็นลิงมิใช่มนุษย์จึงตรัสว่า “สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดทำบ้านเรือน หลุกหลิก หนังหน้าย่น รู้แต่จะ
ทำลายสิ่งที่เขาทำไว้แล้วเท่านั้น จะให้เป็นที่ปรึกษาไม่ได้” พวกอำมาตย์รับคำแล้วนำลิงนั้นกลับไป อีกสอง
วันต่อมาก็นำลิงตัวนั้นมาถวายรายงานอีกว่า “ขอเดชะ นี่คืออำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี สมัยพระชนก ขอ
พระองค์โปรดแต่งตั้งไว้เป็นที่ปรึกษาเถิด” พระราชกุมาร แลดูก็ทราบว่ามนุษย์ไม่มีขนมากขนาดนี้ จึงตรัส
ว่า “สัตว์ที่มีความคิด ขนไม่มากขนาดนี้ ลิงตัวนี้ไม่มีความคิด ไม่รู้จักเหตุผล ทำการวินิจฉัยคดีไม่ได้หรอก”
พวกอำมาตย์รับคำแล้วก็นำลิงนั้นกลับไป อีกสองวันถัดมาก็นำลิงตัวนั้นมาถวายรายงานอีกว่า “ขอเดชะ
ชายผู้นี้ในสมัยพระชนก ได้บำรุงเลี้ยงบิดามารดาเป็นชายกตัญญู ขอพระองค์โปรดอนุเคราะห์เขาด้วยเถิด”
พระราชกุมาร แลดูลิงนั้นแล้วตรัสว่า “สัตว์เช่นนี้จะเลี้ยงดูบิดามารดาไม่ได้ มีจิตใจกลับกลอก บิดาเราสอน
่
ไว้อย่างนี้” พวกอำมาตย์ทราบวาพระกุมารเป็นบัณฑิตแล้วจึงอภิเษกให้ขึ้นครองราชตั้งแต่บัดนั้น ความ
อัจฉริยะของพระราชกุมาร 14 เรื่องจึงเกิดขึ้น คือ ในสมัยนั้น มีชายแก่คนหนึ่งชื่อคามณิจันท์เคยเป็นทาส
รับใช้ของพระเจ้าชนสันธะ เมื่อสิ้นรัชกาลพระเจ้าชนสันธะแล้วได้ปลีกตัวออกไปประกอบอาชีพกสิกรรมอยู่
บ้านนอกหมู่บ้านหนึ่ง แต่เขาไม่มีโคทำนา เมื่อฝนตกในฤดูทำนาจึงไปยืมโค 2 ตัวจากเพื่อนบ้านมาไถนาทั้ง
วัน ตกเย็นได้นำโคไปคืนเจ้าของที่บ้าน เห็นเจ้าของโคกำลังนั่งกินข้าวอยู่กลางบ้าน เกรงว่าเขาจะชวนกิน
ข้าวด้วย นายคามณิจันท์จึงปล่อยแต่โคเข้าไปในคอก ส่วนตัวเองเดินกลับบ้านไป ตกกลางคืนมีโจรมาลักโค
เหล่านั้นไปหมด เจ้าของโคถึงแม้รู้อยู่ว่าโคถูกขโมยไป ก็ไปทวงโคกับนายคามณีจันท์พร้อมกับปรับสินไหม
ั
นำไปแจ้งความที่เมืองหลวง ในขณะเดินทางไปเมืองหลวง นายคามณิจนท์หิวข้าวจึงขอแวะบ้านเพื่อนที่
หมู่บ้านหนึ่งก่อน ปรากฏว่าเพื่อนไม่อยู่บ้าน อยู่แต่ภรรยาที่ท้องได้ 7 เดือน นางดีใจที่นายคามณิจันท์มา
เยี่ยม แต่ข้าวสุกไม่มี จึงต้องขึ้นไปเอาข้าวที่ฉาง นางได้พลัดตกลงมาที่พื้นดินทำให้นางแท้งลูก พอสามีกลบ
ั
มาถึงบ้านทราบเรื่องจึงตั้งข้อหานายคามณิจันท์ฆ่าลูก ชายทั้ง 3 คนจึงต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยกัน
เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนเลยงม้าคนหนึ่งกำลังต้อนม้าให้กลับบ้าน มีม้าตัวหนึ่งพยศไม่ยอมไป
ี้
เขาจึงร้องบอกให้นายคามณิจันท์เอาอะไรขวางม้าให้กลับเข้าบ้านที นายคามณิจันท์เอาก้อนหินขว้างไปถูก
ขาม้าหัก คนเลี้ยงม้าจึงตั้งข้อหาเขาทำให้ขาม้าหัก เป็นเหตุชายทั้ง 4 คนต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงไป
ด้วยกัน ในขณะเดินทาง นายคามณจันท์คิดน้อยใจอยู่คนเดียวว่า “ช่างโชคร้ายนักเรา เมื่อถึงเมืองหลวง
ิ
เงินสักบาทจะจ่ายค่าโคก็ไม่มี อีกทั้งค่าลูก ค่าม้า ขอตายเสียดีกว่า “ในระหว่างทางต้องเดินผ่านภูเขามีผา
ชันลูกหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงในเหวไปตาย แต่บังเอิญมี 2 พ่อลูกนั่งสานเสื่อลำแพนอยู่ที่เชิงเขานั้น
นายคามณิจันท์จึงตกลงไปทับช่างสานผู้พ่อเสียชีวิตส่วนตัวเขารอดชีวิต เป็นเหตุให้ลูกชายช่างสานตั้งข้อหา
ฆ่าพ่อของเขา ชายทั้ง 5 คนจึงเดินทางเข้าเมืองหลวงไปด้วยกัน ในระหว่างทาง มีทั้งคนและสัตว์ได้ฝาก
ื่
สาส์นกับนายคามณิจันท์ไปถวายพระราชาอีก 10 เรอง เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว วันนั้นพระราชกุมารขึ้น
62
ประทับบัลลังก์ตัดสินคดีเอง พอเห็นหน้านายคามณิจันท์ก็จำได้ จึงตรัสถามว่า “ลุงคามณิจันท์ ท่านไปอยู่ที่
ี
ไหนมา “นายคามณจันท์กราบทูลว่า “ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระองค์ไปอยู่บ้านนอกทำกสิกร
รมพระเจ้าข้า จึงได้เกิดคดีโคกับท่านนี้ขึ้น” พระราชกุมารจึงไตร่สวนจนทราบความแล้วตรัสถามเจ้าของโค
ว่า “เมื่อโคเข้าบ้าน ท่านเห็นหรือไม่” เจ้าของโคทูลว่า “ไม่เห็น พระเจ้าข้า “พระองค์จึงตรัสถามย้ำอีกว่า
้
“ไม่เห็นแน่นะ” เขาจึงทูลใหม่ว่า “เห็นอยู่พระเจาข้า” พระองค์จึงตัดสินคดีว่า “ลุงคามณิจันท์ เพราะท่าน
ไม่เอ่ยปากมอบโคแก่เจ้าของ จึงปรับสินไหมท่าน 24 กหาปณะ แต่ชายคนนี้พูดมุสา ทั้งที่เห็นอยู่กลับบอก
้
ว่าไม่เห็น ท่านจงควักนัยน์ตาของพวกเขาสองผัวเมียเสีย” ชายเจาของโครีบกรูเข้าไปหมอบลงแทบเท้านาย
คามณิจันท์พูดว่า “ท่านลุง เงินค่าโคขอยกให้ท่านก็แล้วกัน และเงินเหล่านี้ขอมอบให้ท่านอีก ขออย่าได้
ควักนัยน์ตาของพวกข้าพเจ้าเลย” มอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป คดีที่ 2 พระราชกุมารทราบเรื่องแล้วตรัส
ั
ถามว่า “เมื่อนายคามณิจนท์ไม่ได้ฆ่าลูกของท่าน ท่านจะทำอย่างไรละ” ชายคนนั้นจึงทูลว่า “ข้าพระองค์
ต้องการลูกคืนเท่านั้นแหละ พระเจ้าข้า “พระองค์จึงตัดสินคดีว่า “ถ้าเช่นนั้น ลงคามณิจันท์จงนำภรรยา
ุ
ของเขาไปอยู่ด้วย เมื่อมีลูกแล้วค่อยคืนเขาไปก็แล้วกัน” ชายคนนั้นก็หมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์
อ้อนวอนว่า “ท่านลุง…อย่าได้ทำลายครอบครัวผมเลยนะครับ” มอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป คดีที่ 3 พระ
ราชกุมารทราบเรองแล้วตรัสถามว่า “ท่านเป็นคนบอกให้นายคามณิจันท์ขว้างม้าใช่หรือไม่” ครั้งแรกเขา
ื่
บอกปฏิเสธเมื่อพระองค์ตรัสถามเป็นครงที่สองจึงทูลความจริง พระองค์จึงตัดสินคดีว่า “ชายคนนี้พูดมุสา
ั้
ลุงคามณิจันท์จงตัดลิ้นของเขาเสีย แล้วจ่ายค่าขาม้าเขาไป 1,000 กหาปณะ” ชายเจาของม้าหมอบลงแทบ
้
ิ
เท้านายคามณิจันณ์ขอชีวตพร้อมมอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป คดีที่ 4 เมื่อพระราชกุมารทราบเรื่องแล้ว
ตรัสถามว่า “เมื่อเขาตกลงมาทับบิดาของท่านตายโดยไม่เจตนาเช่นนี้ ท่านจะให้ทำอย่างไรละ” ลูกชายช่าง
สานจึงทูลว่า “ข้าพระองค์ขอเพียงบิดาคืนมาเท่านั้น พระเจ้าข้า “พระองค์จึงตัดสินคดีว่า “ลุงคามณิจันท์
เมื่อเขาต้องการบิดาของเขาคืน คนตายไปแล้วย่อมฟื้นคืนมาไม่ได้ ท่านจงรับมารดาของเขามาเป็นภรรยาก็
แล้วกัน” บุตรช่างสานจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์อ้อนวอนว่า “ท่านลุง…อย่าได้ทำลาย
ครอบครัวผมเลยนะครับ” มอบเงินให้แล้วก็กลับบ้านไป นายคามณิจันท์ชนะคดีความจึงมีความยินดีเบิก
บานใจกราบทูลว่า “ขอเดชะ ยังมีสาส์นฝากมาถวายพระองค์อีก 10 เรื่อง พระเจ้าข้า “พระราชกุมารจึง
รับสั่งให้บอกสาส์นนั้นมาทีละเรื่อง สาส์นที่ 1 นายบ้านส่วยคนหนึ่งทูลถามว่า “เดิมทีเขาเป็นคนรูปงาม มี
็
ทรัพย์สมบัติมาก ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน แต่บัดนี้เปนคนทุกข์ยาก ซูบผอมเป็นโรค เป็นเพราะเหตุไร พระ
เจ้าข้า “พระราชกุมารตรัสว่า “นายบ้านส่วยคนนั้นเดิมเป็นคนมีศีลธรรม ตัดสินคดีโดยธรรม จึงเป็นที่รัก
ของทุกคน เขาจึงมีทรัพย์สมบัติมาก ต่อมาเขาเห็นแก่สินบน ตัดสินคดีโดยไม่เป็นธรรม จึงเป็นคนทุกข์ยาก
เข็ญใจ มีโรคภัยเบียดเบียน บอกให้เขากลับมาเป็นคนมีศีลธรรมอีก เขาก็จะเป็นคนมั่งมีเหมือนเดิม” สาส์น
ที่ 2 หญิงคณิกานางหนึ่งทูลถามว่า “เมื่อก่อนได้ค่าจ้างมาก แต่มาบัดนี้ไม่ได้แม้แต่หมากพลูมวนเดียว ไม่มี
ใครมาเที่ยวเลยเป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมารตรัสว่า “เมื่อก่อนนางรับค่าจางจากชายคนหนึ่งแล้วจะไม่
้
ั
รับจากคนอื่นอีก (เป็นไปตามลำดับ) นางจึงมีค่าจ้างมาก บัดนี้นางรบค่าจ้างจากคนแรกแล้วกลับไปนอนกับ
คนหลัง ค่าจ้างจึงไม่ค่อยจะมี ถ้านางกลับไปปฏิบัติตามเดิมไม่เห็นแก่ได้ นางก็จะเป็นคนมีค่าจ้าง
เหมือนเดิม” สาส์นที่ 3 หญิงสาวนางหนึ่งทูลถามว่า “นางไม่สามารถอยู่ในบ้านของสามีและบิดามารดาได้
เป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมารตรัสว่า “ในระหว่างบ้านของสามีและบิดามารดาของสาวนางนั้น มีบ้าน
ของชายคนรักของเธออยู่หลังหนึ่ง เธอจึงไม่สามารถอยู่ในบ้านสามีได้ บอกสามีว่าจะกลับไปเยี่ยมบิดา
มารดาก็แอบไปอยู่บ้านชายชู้ 2-3 วัน ไปบ้านบิดามารดาก็บอกว่าจะไปบ้านสามี แล้วก็แอบอยู่บ้านชายชู้
2-3 วัน ท่านลุงคามณิจันท์จงบอกให้เธอทราบว่า พระราชกำหนดกฎหมายมีอยู่ ถ้าเธอไม่อยู่ที่บ้านสามีอีก
63
ชีวิตเธอก็จะไม่มีเช่นกัน” สาส์นที่ 4 งูตัวหนึ่งอยู่ที่จอมปลวกใกล้ทางใหญ่ทูลถามว่า “ในเวลาออกหากิน
ร่างกายผอมกลับคับปล่องทางออกจะออกจากจอมปลวกยากลำบาก เมื่อกินอิ่มแล้วร่างกายอ้วนพีกลับเข้า
ปล่องง่าย ร่างกายไม่กระทบแม้กระทั่งข้างปล่องเลย เป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมารตรัสว่า “ภายใต้จอม
่
์
ปลวกมีขุมทรัพย์หม้อใหญ่ฝังอยู่ งูนั้นเฝ้าหม้อทรัพยนั้นอยู่ จึงทำให้รางกายหยอนติดนั่นติดนี่เวลาออกจึง
่
ยากลำบาก เมื่อกินอิ่มแล้วไม่ติดขัดรีบเข้าไปโดยเร็วเพราะติดอยู่ในทรัพย์ ท่านลุงคามณิจันท์จงไปขุดเอา
ทรัพย์นั่นเสียเถอะ” สาส์นที่ 5 เนื้อตัวหนึ่งทูลถามวา “ข้าพเจ้าไม่อาจไปกินหญ้าที่อื่นได้ กินอยู่ที่โคนต้นไม้
่
แห่งเดียวเท่านั้น เป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมารตรัสว่า “ที่ต้นไม้นั้นมีรวงผึ้งใหญ่ เนื้อตัวนั้นติดอยู่ใน
หญ้าที่เปื้อนน้ำผึ้ง จึงไม่ไปไหน ท่านลุงคามณิจันท์ จงไปนำน้ำผึ้งนั้นมาให้เรา ที่เหลือยกให้ท่าน”
สาสน์ที่ 6 นกกระทาตัวหนึ่งทูลถามว่า “ข้าพเจ้าจับอยู่ที่จอมปลวกเท่านั้นจึงอยู่ได้สบาย อยู่ที่อื่นไม่ได้เลย
เป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมารตรัสว่า “นกกระทาจับที่จอมปลวกจึงขันอย่างอิ่มเอิบใจ และภายใต้จอม
ปลวกนั้น มีหม้อขุมทรัพย์ ท่านลุงคามณิจันท์จงไปขุดเอาหม้อขุมทรัพย์นั้นเถิด” สาส์นที่ 7 รุกขเทวดาตน
หนึ่งทูลถามว่า “เมื่อก่อนเคยได้ลาภสักการะมาก บัดนี้ไม่ได้แม้แต่ใบไม้อ่อนกำมือหนึ่ง เป็นเพราะเหตุไร”
พระราชกุมารตรัสว่า “เมื่อก่อนรุกขเทวดานั้น รักษาพวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง จึงได้เครื่องสักการะที่
เขาทำพลีกรรม บัดนี้ไม่ได้รักษา พวกมนุษย์จึงไม่ได้ทำพลีกรรม ถ้ากลับไปรักษาพวกมนุษย์อีก ก็จะได้ลาภ
สักการะเหมือนเดิม” สาส์นที่ 8 พญานาคตัวหนึ่งทูลถามว่า “เมื่อก่อนน้ำในสระใสสะอาดมีสีเหมือนแก้ว
มณี บัดนี้กลับขุ่นมัวมีแหนปกคลุม เป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมารตรัสว่า “พญานาคทะเลาะกัน น้ำจึง
ขุ่นมัว ถ้าพญานาคกลับมาสมานสามัคคีกัน น้ำในสระก็จะใสสะอาดเหมือนเดิม” สาส์นที่ 9 พวกดาบสที่
่
อยู่ใกล้เมืองนี้ทูลถามวา “เมื่อก่อนผลไม้ในอารามอร่อยมาก บัดนี้กลับมาเฝื่อนฝาดไม่อร่อย เป็นเพราะเหตุ
ไร” พระราชกุมารตรัสว่า “เมื่อก่อนพวกดาบสพากันปฏิบัติสมณธรรม เป็นผู้ขวานขวายในการบริกรรม
กสิณ บัดนี้พากันละทิ้งไม่ปฏิบัติธรรมประกอบในกิจที่ไม่ควรทำ ให้ผลไม้ที่เกิดในอารามแก่พวกโยม
อุปัฎฐาก เลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เพราะเหตุนี้ผลไม้ของพวกดาบสจึงไม่อร่อย ถ้าพวกดาบสพากันปฏิบัติ
ธรรมเหมือนเดิม ผลไม้ก็จะอร่อยเหมือนเดิม” สาส์นที่ 10 พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งที่ศาลาใกล้ประตูเมืองทูล
ถามว่า “เมื่อก่อนเรียนหนังสือท่องจำได้ดี แต่บัดนี้เรียนเท่าไหร่ก็ไม่จำ เป็นเพราะเหตุไร” พระราชกุมาร
ตรัสว่า “เมื่อก่อนมีไก่ขันบอกเวลา พวกพราหมณ์หนุ่มจึงเรียนได้จำดี แต่บัดนี้ไก่ขันไม่เป็นเวลา จึงทำให้
์
พวกเขาเรียนหนังสือไม่ได้ และจำไม่ได้” พระราชกุมารครั้นพยากรณปัญหาหมดแล้ว ก็พระราชทานทรัพย ์
มากมายและบ้านให้นายคามณิจันท์ เขาได้เดินทางกลับไปส่งสาส์นตามที่พระราชาประทานแก่คนเหล่านั้น
และทำตามคำแนะนำของพระราชาทุกประการ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งกันไม่ได้ เป็นเรื่องของบุญกุศล
ที่เคยทำมาก่อน ใครทำไว้มากย่อมได้มากตามยถากรรม ๛
ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ (มณีกัณฐชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่อัคคาฬวเจดีย์เมืองอาฬวี ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบทที่ภิกษุ
ชาวเมืองอาฬวีพากันสร้างกุฏิด้วยการเที่ยวขอไม่มีขีดจำกัด เป็นเหตุให้ชาวเมืองอาฬวีเดือดร้อนเห็น
พระภิกษุที่ไหนก็กลัวหลบหนีหน้าไปหมด พระองค์จึงตรัสติเตียนพวกภิกษุว่า “ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการ
ขอ อย่าวาแต่มนุษย์เลย แม้พวกนาคในนาคภิภพ ก็ไม่ชอบใจ” แล้วทรงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในตระกูลมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากตระกูลหนึ่ง ท่าน
มีน้องชายอยู่คนหนึ่งรักกันมาก ต่อมาเมื่อมารดาบิดาเสียชีวิตแล้ว พราหมณ์สองพี่น้องก็พากันสละทรัพย ์
64
ู่
สมบัติบริจาคทานออกบวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญพรตอยู่ฝั่งแม่น้ำคงคา ฤๅษีพี่ชายอยทางทิศเหนือของแม่น้ำ ส่วน
ฤๅษีน้องชายอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำ อยู่มาวันหนึ่ง พญานาคมณิกัฏฐะได้แปลงเพศเป็นชายหนุ่มเที่ยวเล่น
ไปตามฝั่งแม่น้ำคงคา ผ่านไปถึงอาศรมของฤๅษีผู้น้องจึงแวะเข้าไปสนทนาปราศรัยด้วยเกิดความสนิทสนม
คุ้นเคยชอบพอกันกับฤๅษีผู้น้องนั้น จึงเทียวมาเยี่ยมเยือนทุกวันมิได้เว้น เมื่อสนทนาเสร็จก่อนจะกลับก็จะ
คืนร่างเป็นพญานาคเอาขนดหางตะหวัดรัดรอบฤๅษีแผ่พังพานไว้เหนือหัวด้วยความสิเนหาในฤๅษีนั้น นอน
พักอยู่หน่อยหนึ่งแล้วค่อยคลายร่างออกไหว้ฤๅษีแล้วจึงกลับนาคพิภพ จะเป็นเช่นนี้ประจำ ฤๅษีนั้นทุกครั้งที่
ถูกรัดตัวเกิดความกลัวจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายซูบซีดผ่ายผอมลงทุกวัน วันหนึ่ง ท่านได้แวะไปหา
ฤๅษีพี่ชาย เล่าเรื่องให้ฟังแล้วปรับทุกข์กับพี่ชายวา “ผมไม่อยากให้พญานาคมาหาผมเลย พี่ช่วยผมหน่อย
่
ซิ” พี่ชายถามว่า “พญานาคเวลามา มีเครื่องประดับอะไรไหมละ” “ประดับแก้วมณีมาครบพี่” ท่านตอบ
ั
พี่ชาย ฤๅษีพี่ชายจึงแนะนำว่า “เมื่อพญานาคมาถึงอาศรมของท่าน ยังไม่ทันได้ไหว้ ท่านก็ขอแก้วมณีของ
มันเลย มันก็จะหนีไป วันที่สองพอมันมาถึงประตูอาศรมเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีของมันอีก พอถึง
วันที่สาม ท่านไปยืนดักรอที่ฝั่งแม่น้ำ พอมันโผล่หัวขึ้นจากฝั่งแม่น้ำเท่านั้น ท่านก็เอ่ยปากขอแก้วมณีอีก ที
นี้แหละมันก็จะไม่มารบกวนท่านอีกเลย” ฤๅษีผู้น้องได้ทำตามนั้น ในวันที่ 3 พญานาคขณะยืนอยู่ในน้ำเมื่อ
ถูกฤๅษีขอแก้วมณีอีก จึงพูดว่า “ท่านฤๅษี ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยงมีแก่ข้าพเจาก็เพราะแก้วมณีดวงนี้
ิ่
้
ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีแก่ท่านได้อย่างไร ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มาอาศรมของท่านอีก
แล้วละ เมื่อท่านขอแก้วมณีดวงนี้ทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียวเหมือนชายหนุ่มถือดาบอันคมกริบ” กล่าวจบก็
ดำน้ำลงไปนาคพิภพไม่กลับมาที่นั้นอีกเลย ฝ่ายฤๅษี เมื่อพญานาคไปแล้วไม่มาหาอีกกลับคิดถึง เกิดความ
เศร้าเสียใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงยิ่งซูบผอมลงไปมากกว่าเดิมอีก หลายวันต่อมาฤๅษีพี่ชายอยากจะทราบ
เรื่อง จึงแวะมาที่อาศรมน้องชาย เมื่อเห็นน้องชายแล้วยิ่งตกใจจึงถามถึงสาเหตุ ฤๅษีน้องชายจึงตอบเป็น
คาถาว่า “บุคคลไม่ควรขอสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา อนึ่ง เพราะขอเกินไปย่อมเป็นที่เกลียดชัง นาคราชถูก
ฤๅษีขอแก้วมณี จึงไม่หวนกลับมาให้ฤๅษีเห็นอีกเลย” ฤๅษีพี่ชายได้ปลอบน้องชายให้หายเศร้าเสียใจแล้วจึง
กลับอาศรมของตน ฤๅษีสองพี่น้องบำเพ็ญฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลกในที่สุด
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ควรขอเท่าที่จำเป็น และขอในสิ่งที่เขาจะสามารถให้ได้เท่านั้น ๛
กบเขียว (หริตมาตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเจ้าอชาตศัตรูผู้หลานทำ
สงครามกับพระเจ้าโกศลผู้ปู่ต่างพลัดกันแพ้ชนะอยู่ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนาน
ู่
มาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกบเขียวอยในแม่น้ำแห่งหนึ่ง สมัยนั้นชาวบ้านจะดักลอบจับปลาในแม่น้ำ ที่
ู
ลอบหลังหนึ่งมีปลาเข้าไปติดอยู่เป็นจำนวนมาก มีงปลาตัวหนึ่งเห็นปลาติดลอบจำนวนมากคิดจะเข้าไปกิน
ปลาจึงเข้าไปในลอบหลังนั้น ถูกปลารุมกัดจนเลือดนองไปทั่วร่าง ดิ้นรนออกมานอนอยู่บนฝั่งใกล้ ๆ ลอบ
หลังนั้น กบเขียวที่นอนอยู่บนหลังลอบได้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอด งูปลาเหลือบไปเห็นกบแล้วถามวา
่
“ท่านกบเขียว ปลาทั้งหลายรุมกัดฉันผู้เข้าไปในลอบ เรื่องนี้ท่านชอบใจหรือไม่” กบเขียวตอบว่า “สหาย
ถูกแล้วเราพอใจ เพราะถ้าปลามาถิ่นท่าน ท่านก็ต้องกินปลาเป็นธรรมดา ฝ่ายปลาก็กินท่านผู้มาถิ่นของเขา
เช่นกัน การอ่อนข้อให้ผู้อื่นในถิ่นหากินของตนไม่มีดอก” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “บุรุษผู้มีอิสรภาพอยู่
เพียงใด ก็ย่ำยีผู้อื่นได้อยู่เพียงนั้น คนอื่นมายำยีตนคราวใด คราวนั้น ผู้ที่ถูกย่ำยีก็ย่ำยีตอบบ้าง” ฝูงปลาเมื่อ
่
ได้ฟังกบวินิจฉัยคดีเช่นนี้ ก็กรูกันออกจากลอบกัดงูปลาจนตาย ณ ที่ตรงนั้นเอง แล้วต่างก็หนีไป
ิ
ข้อคดที่ได้จากเรื่อง: ถิ่นใคร ถิ่นมัน อย่าใหญ่ผิดที่แล้วจะถึงความพินาศ ๛
65
วัยรุ่นวุ่นรัก (วีณาถูณชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภลูกสาวเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคน
หนึ่งที่หอบผ้าหนีตามชายค่อมไป ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์
เกิดเป็นเศรษฐี มีลูกสาวกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง นางเห็นเครื่องสักการะที่เขาจัดทำให้โคอุสภราช
่
(หัวหน้าโค)ในบ้านของตนแล้วถามพี่เลี้ยงว่า “พี่..โคตัวนี้เป็นอะไร เขาถึงประดับถึงเพียงนี้” พี่เลี้ยงตอบวา
“นายหญิง..เขาเรียกโคอุสภราชจ้า “นางคิดว่า “โคที่ได้รับยกย่องว่าเป็นใหญ่ จะมีโหนกที่หลัง ถ้าเช่นนั้น
ชายผู้เป็นใหญ่ ก็คงจะมีโหนกขึ้นกลางหลังเช่นกัน” วันหนึ่งเมื่อเห็นชายหลังค่อมคนหนึ่งระหว่างทางจึง
็
่
เข้าใจวา “ชายคนนี้เป็นบุรุษอุสภราช เราควรจะเปนภรรยาของเขา “จึงใช้พี่เลี้ยงไปบอกเขาให้ไปรออย ู่
่
ปากทางลูกสาวเศรษฐีจะไปด้วย นางได้ห่อสิ่งของมีค่าหนีตามชายค่อมนั้นไป เศรษฐีพอทราบวาลูกสาวหนี
่
ตามชายค่อมไป ก็ออกติดตามเพื่อนำกลับมาบ้าน ฝายลูกสาวเศรษฐีกับชายค่อมเดินทางกันทั้งคืนไม่ได้
พักผ่อน ชายค่อมถูกความหนาวเหน็บตลอดคืนรุ่งแจ้งโรคเก่าได้กำเริบขึ้น เดินต่อไปไม่ได้ จึงแวะลงข้าง
ทางนอนขดตัวอยู่ เศรษฐีและคณะตามมาทันเห็นลูกสาวนั่งอยู่ข้างๆชายค่อมนั้น จึงเข้าไปสนทนาด้วยและ
พูดว่า “ลูกรัก เรื่องนี้เจาคิดคนเดียวไม่ได้นะ ชายค่อมผู้โง่เขลานี้จะนำทางเป็นที่พึ่งของเจ้าไม่ได้แน่ ลูกรัก
้
เจ้าไม่สมควรจะไปกับชายค่อมผู้นี้ดอกนะ” ลูกสาวตอบเป็นคาถาว่า “ลูกเข้าใจว่าชายค่อมเป็นคนองอาจ
จึงได้รักใคร่เขา เขานอนตัวคดอยู่อย่างนี้ ดุจคันพิณที่สายขาด” เศรษฐีได้นำลกสาวกลับคืนบ้านของตน
ู
และให้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีชาวเมืองในเวลาต่อมา
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: วัยรุ่นปัจจุบันมักจะทำตามใจตนเอง ควรถือนิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
ลูกที่ดีควรยึดถือคำพูดของพ่อแม่เป็นเกณฑ์ ๛
ลิงสองพี่น้อง (จุลลนันทิยชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัตผู้ชั่วช้า ได้ตรัสอดีต
นิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลิงชื่อนันทิยะอาศัยอยในป่าหิมพานต์ มี
ู่
ลิงน้องชายชื่อจุลลนันทิยะ มีลิงบริวารอยู่ประมาณ 84,000 ตัว ปรนนิบัติลิงมารดาตาบอดอยู่ ด้วยภารกิจ
ต้องดูแลเลี้ยงดูลิงลูกน้อง ลิงสองพี่น้องจึงต้องแอบซ่อนมารดาไว้ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วพวกตนก็ออก
แสวงหาอาหาร พอได้อาหารก็จะมอบให้ลิงตัวหนึ่งนำไปมอบให้มารดาของตน แต่ลิงตัวนั้นก็ได้กินอาหาร
ไปเสียในระหว่างทาง เวลาผ่านไปหลายวันลิงมารดาไม่ได้กินอาหารจึงมีร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้ม
่
กระดูก เมื่อลิงทั้งสองกลับมาหามารดาในวันหนึ่งก็ต้องตกใจถามมารดาวา “แม่จ๋า ลูกส่งผลไม้อร่อยมาให้
แม่ไม่ได้กินหรือ” แม่ตอบว่า “ลูกเอ๋ย แม่ไม่เคยได้รับอะไรเลย” ลิงนันทิยะคิดว่า “ถ้าเราปกครองฝูงลิงอยู่
เช่นนี้ แม่เราต้องตายแน่” จึงพูดกับลิงจุลลนันทิยะว่า “นี่น้องชาย พี่จะมอบให้เจ้าปกครองฝูงลิงเจ้าจะว่า
อย่างไร พี่จะขออยู่เลี้ยงแม่เอง” ลิงจุลลนันทิยะตอบว่า “พี่ชาย ผมก็ไม่อยากปกครองฝูงลิง จะขออยู่เลยง
ี้
แม่เช่นกัน” ทั้งสองจึงพามารดาหนีไปอยู่ที่ต้นไทรใกล้ชายป่าต้นหนึ่งตั้งแต่วันนั้น สมัยนั้น มีชายหนุ่มคน
หนึ่ง เรยนจบศิลปะทุกอย่างจากสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักกสิลาแล้วจึงอำลาอาจารย์กลับบ้าน
ี
อาจารย์ทราบว่าเขามีนิสัยหยาบกระด้างจึงให้โอวาทเขาว่า “นี่พ่อหนุ่ม เธอนะเป็นคนค่อนข้างกระด้างนะ
อย่าทำกรรมชั่วนะ แล้วจะไม่เดือดร้อน” ชายหนุ่มกราบลาอาจารย์แล้วกลับบ้านที่เมืองพาราณสี ไม่นานก็
แต่งงานมีครอบครัว คิดไม่ออกว่าจะเลี้ยงชีพด้วยอะไรดีจึงตกลงใจเป็นนายพรานธนูล่าสัตว์เลยงชีพ ขาย
ี้
บ้าง กินเองบ้าง ได้พอเลี้ยงครอบครัว วันหนึ่งเขาเข้าป่าหาล่าสัตว์ตามปกติ ปรากฏว่าทั้งวันไม่พบสัตว์อะไร
สักตัวเดียว กำลังจะเดินทางกลับบ้าน ผ่านมาทางต้นไทรพอดีเห็นลิงชราตาบอดบนต้นไทรนั้นก็ตัดสินใจจะ
66
ฆ่ามัน ลิงนันทิยะเห็นนายพรานนั้นกำลังเล็งลูกธนูมาทางมารดาของตนก็ทราบถึงภัยอันตรายรีบบอกลิง
จุลลนันทิยะให้อยู่ดูแลแม่ ตนเองจะสละชีพเพื่อทุกคนจึงกระโดดลงไปขวางทางธนูพร้อมพูดกับนายพราน
้
้
ว่า “ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าได้ฆ่ามารดาของข้าพเจาเลย จงฆ่าข้าพเจาแทนเถิด ปล่อยมารดาข้าพเจาไป
้
เสีย มารดาของข้าพเจ้าตาบอด” นายพรานไม่พูดอะไร ยิงธนูปักอกลิงนันทิยะทันที เสร็จแล้วก็เล็งลูกธนูไป
ที่ลิงชราอีก ลิงจุลลนันทิยะจึงกระโดดลงมาขวางทางพร้อมกับพูดว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านอย่ายิงมารดาของ
ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอสละร่างกายให้ท่านแทนมารดา ท่านยิงเราสองพี่น้องแล้วก็จงไว้ชีวิตมารดาของเรา
เถิด” นายพรานไม่พูดอะไรได้ยิงลิงจุลลนันทิยะตายอีก และคิดว่า “เราจะเอาไปเผื่อเด็กๆที่บ้านด้วย” จึง
ยิงลิงมารดาของลิงทั้งสองนั้นอีก เสร็จแล้วก็หาบลิง 3 ตัวมุ่งหน้าตรงกลับไปบ้าน ขณะนั้น ได้เกิดสายฟ้าผ่า
ไปที่บ้านของนายพรานนั้น ทำให้ภรรยาและลูกสองคนของเขาเสียชีวิต บ้านก็ถูกไฟไหม้เหลือเพียงเสากับ
ขื่อเท่านั้น พอนายพรานกำลังจะเข้าถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านก็บอกเรื่องนั้นให้เขาทราบ เขารีบวางหาบลิงทิ้งไว้
แล้ววิ่งเข้าไปที่บ้านร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ทันใดนั้นเองขื่อได้หักมาทับหัวของเขาแตก แผ่นดินได้แยกออกสูบ
ร่างเขาลงไปตกในอเวจีนรก ในขณะที่แผ่นดินสูบเขาได้ระลึกถึงโอวาทของอาจารย์จึงกล่าวเป็น 2 คาถาวา
่
“อาจารย์ปาราสริยะได้กล่าวคำใดไว้ว่า ท่านอยาได้กระทำกรรมชั่ว อันจะทำตัวท่านให้เดือดร้อนใน
่
ภายหลังนะ คำนี้เป็นคำของท่านอาจารย์. คนทำกรรมใดไว้ย่อมเห็นกรรมนั้นในตน ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่ว
ย่อมได้ชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ๛
ลิงติเตียนมนุษย์
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันเพราะอำนาจกิเลส
รูปหนึ่ง ตรัสให้โอวาทว่า “ภิกษุ ธรรมดากิเลสแม้สัตว์เดรัจฉานก็ติเตียน เธอบวชในศาสนานี้แล้วเหตุไฉนจึง
กระสันด้วยอำนาจกิเลสที่แม้สัตว์ก็ติเตียนเลา “แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
่
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลิงอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งถูกพรานป่าจับได้แล้วนำไปถวายพระเจาเมือง
้
พาราณสี พระราชามิได้สั่งทำร้ายมันกลับสั่งให้เลี้ยงมันอย่างดี ลิงนั้นอยู่ในพระราชวังหลายปีเห็น
พฤติกรรมของมนุษย์มากมาย กลายเป็นสัตว์เชื่องเรยบร้อยมิได้ดุร้าย พระราชาทรงพอพระทัยและมี
ี
เมตตาต่อมันมากจึงโปรดให้นายพรานนำกลับไปปล่อยยังป่าหิมพานต์เหมือนเดิม ฝูงลิงเมื่อทราบว่าลิง
โพธิสัตว์กลับมาแล้ว จึงประชุมกันที่ลานหินแห่งหนึ่งพร้อมกับต้อนรับและถามข่าวซักไซ้ไล่เลียงว่า “เจ้า
เพื่อนยาก ท่านหายไปไหนมาเป็นเวลานาน” ลิงโพธิสัตว์ตอบว่า “เราไปอยู่ที่เมืองพาราณสีมานะสิ” “แล้ว
ท่านออกมาได้อย่างไรละ” ฝูงลิงถามต่อ “พระราชาเลี้ยงเราไว้ดูเล่น แล้วก็ปล่อยมานี่แหละ” มันตอบ ฝูง
ลิงถามต่อว่า “ท่านอยู่กับมนุษย์มานาน คงพอจะทราบพฤติกรรมหรือนิสัยของมนุษย์กระมัง ลองเลาสู่พวก
่
่
เราฟังสิว่าเป็นอย่างไร” ลิงโพธิสัตว์ “พวกท่านอย่าถามเลย เราไม่อยากจะเลา “ฝูงลิง “เล่ามาเถิด พวกเรา
อยากจะฟัง” ลิงโพธิสัตว์ทนการอ้อนวอนไม่ไหวจึงพูดว่า “ท่านทั้งหลายเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ จะเป็น
กษัตริย์ เศรษฐีหรือยาจก ล้วนแต่พูดคำเดียวกันว่า ของเรา ของเรา ไม่รู้ถึงความไม่เที่ยง ความไม่มีอยู่เลย
มีแต่คนพาลละเพื่อนเอ๋ย” ว่าแล้วก็กล่าวติเตียนมนุษย์เป็นคาถาว่า “มนุษย์ทั้งหลายผู้มีปัญญาเขลา ไม่เห็น
ิ
อริยธรรม พูดกันแต่ว่า เงนของเรา ทองของเรา ทั้งคืนทั้งวัน ในเรือนหลังหนึ่ง มีเจ้าเรือนอยู่ 2 คน ใน 2
คนนั้น คนหนึ่ง ไม่มีหนวด นมยาน เกล้าผมมวย และเจาะหู ถูกซื้อมาด้วยทรัพย์เป็นจำนวนมาก ชาย
เจ้าของเรือนนั้น พูดเสียดแทงคนนั้นตั้งแต่วันที่มาถึง” พวกลิงได้ฟังลิงโพธิสัตว์กล่าวติเตียนชาวมนุษย์อย่าง
67
นี้ก็ทนฟังไม่ได้ พากันเอามือปิดหูแล้วพูดว่า “พอละ..พอละ..ท่านหยุดพูดได้แล้ว พวกเราไม่อยากฟังสิ่งที่ไม่
ควรจะฟัง” ว่าแล้วก็พากันวิ่งหนีเข้าป่าไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังไม่อยากจะฟังสิ่งที่ไร้สาระ
และกิเลสตัณหาของชาวมนุษย์ ๛
คดีหนูกินผาลเหล็ก (กูฏวาณิชชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง
ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีประจำ
ี
ราชสำนักในเมืองพาราณส สมัยนั้นมีพ่อค้า 2 คนคือพ่อค้าบ้านนอกกับพ่อค้าชาวเมืองเป็นเพื่อนสนิทกัน
วันหนึ่ง พ่อค้าบ้านนอกได้ฝากผาลไถเหล็กประมาณ 500 อันไว้กับพ่อค้าชาวเมือง เมื่อถึงฤดูทำนาแล้วจะ
มารับคืน พ่อค้าชาวเมืองคิดไม่ซื่อได้ขายผาลเหล็กทั้งหมดไปนำเงินมาใช้แล้วเอาขี้หนูมาโรยไว้บริเวณเก็บ
ผาลเหล็กนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนถึงฤดูทำนาพ่อค้าบ้านนอกมาขอรับผาลเหล็กคืน เขาจึงพูดด้วย
๋
เสียงละห้อยวา “เพื่อนเอย เราเสียใจจริงๆ ผาลเหล็กของท่านถูกหนูกินหมดแล้ว ทิ้งแต่ขี้หนูไว้เป็นอนุสรณ์
่
เท่านั้น แล้วเราจะทำอย่างไรละทีนี้ นั่นเห็นไหม” พร้อมกับชี้ให้ดูขี้หนู พ่อค้าบ้านนอกคิดไม่ถึงว่าจะถูก
เพื่อนโกงซึ่ง ๆ หน้า จึงคิดหาวิธีแก้เผ็ดคืนได้อย่างหนึ่ง ในเย็นของวันนั้นได้อาสาพาลูกชายของพ่อค้า
ชาวเมืองนั้นไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ อาบน้ำเสร็จแล้วขากลับก็ได้แวะที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งพร้อมกับมอบเด็กฝาก
ไว้กับเพื่อนคนนั้น พูดกำชับว่า “ท่านอย่าให้ใครเห็นเด็กคนนี้นะ ใครจะมาขอรับคืนก็อย่าให้ไปเด็ดขาด
นอกจากเราคนเดียวเท่านั้น” ว่าแล้วก็กลับไปบ้านพ่อค้าชาวเมืองพร้อมกับคร่ำครวญให้เขาฟังว่า “เพื่อน
ู่
เอ๋ย…เราขอแสดงความเสยใจต่อท่านจริงๆ ลูกชายของท่านนะสิ ขณะที่เราลงเล่นน้ำในแม่น้ำ เขานั่งอยริม
ี
ฝั่งน้ำ ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาไปกินเสียแล้ว สุดปัญญาที่เราจะช่วยได้จริงๆละเพื่อน ทีนี้จะทำอย่างไรดี
ละ” พ่อค้าชาวเมืองไม่เชื่อว่าเด็กที่โตขนาดนี้แล้วจะถูกเหยี่ยวโฉบเอาไปได้ ด้วยความโกรธจึงชี้หน้าพ่อค้า
บ้านนอกพร้อมกับพูดว่า “อ้ายโจรชั่ว…เจ้าต้องติดคุกแน่นอน เราจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้า “ว่าแล้ว
ก็ไปแจ้งความ พ่อค้าบานนอกก็พูดตอบว่า “เชิญตามสบายเลยเพื่อน จะเอาอย่างนั้นก็ได้” แล้วก็เดิน
้
ตามหลังเขาไปที่ศาล พ่อค้าชาวเมืองแจ้งความกับอำมาตย์โพธิสัตว์ว่า “นายท่าน พ่อค้าคนนี้นำลูกชายของ
ี่
ผมไปอาบน้ำที่ท่าน้ำด้วย แต่เมื่อกลับถึงบ้าน กลับบอกผมว่าลูกชายผมถูกเหยยวโฉบไปกินเสียแล้ว มันจะ
เป็นไปได้อย่างไร เด็กโตขนาดนี้แล้ว มันต้องฆ่าลูกชายผมแน่เลย” อำมาตย์จึงถามพ่อค้าบ้านนอกว่า “จริง
หรือไม่ ที่ท่านนำเด็กไปอาบน้ำแล้วถูกเหยี่ยวโฉบเอาไปนะ” เขาตอบว่า “เป็นความจริงครับท่าน”
่
อำมาตย์ถามวา “ไม่น่าเชื่อที่เหยี่ยวจะโฉบเอาเด็กที่โตขนาดนี้ไปได้” เขาก็เรียนให้ทราบว่า “นายท่าน…
ถ้าเหยี่ยวไม่สามารถนำเด็กที่โตขนาดนี้บินไปได้ แล้วหนูจะสามารถกินผาลเหล็กไปได้อย่างไร” พระ
โพธิสัตว์จึงถามว่า “นี่พ่อคุณ..มันเรื่องอะไรกันแน่” พ่อค้าบ้านนอกจึงเรียนให้ทราบว่า “นายท่าน…ผมได้
ฝากผาลเหล็กจำนวน 500 อันไว้ที่บ้านพ่อค้าคนนี้ วันนี้ผมมาขอรับคืน เขาบอกว่าหนูได้กินผาลเหล็กไป
หมดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหนูกินผาลเหล็กได้ เหยี่ยวก็สามารถนำเด็กไปได้เช่นกันละขอรับ ถ้าหนูกินผาล
เหล็กไม่ได้ เหยี่ยวก็ไม่สามารถนำเด็กไปได้ละขอรับ ขอท่านจงตัดสินคดีด้วยเถิด” อำมาตย์โพธิสัตว์พอ
ทราบว่าพ่อค้าคนนี้กำลังแก้ลำพ่อค้าคนโกง จึงกล่าวชมเชยเป็นคาถาว่า “ท่านได้คิดอุบายตอบอุบายดีแล้ว
ได้คิดโกงตอบผู้โกงท่านดีแล้ว ถ้าหนูทั้งหลายพึงกินผาลได้ เหตุไฉนเหยี่ยวทั้งหลายจะเฉี่ยวเด็กไปไม่ได้เล่า
บุคคลที่โกงตอบคนโกงมีอยู่มากในโลก ผู้ที่ล่อล่วงตอบคนล่อลวงก็มีอยเหมือนกัน ท่านผู้มีบุตรหายจงให ้
ู่
ผาลแก่เขาเถิด ท่านผู้มีผาลหายก็คืนบุตรมาให้เขาเถิด” พ่อค้าบ้านนอกพูดว่า “ถ้าเขาคืนผาลเหล็กแก่ผม
68
่
ผมก็จะคืนลูกชายแก่เขาเหมือนกันละขอรับ” อำมาตย์จึงถามพ่อค้าชาวเมืองวาจะคืนผาลเหล็กแก่เขาไหม
พ่อค้าชาวเมืองยินยอมตามนั้น คนทั้งสองจึงคืนผาลเหล็กและลูกชายแก่กัน ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
ตามยถากรรม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เพื่อนที่ดีย่อมซื่อสัตย์ต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๛
เต่าตายเพราะปาก (กัจฉปชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภพระโกกาลิกะผู้เดือดร้อนเพราะ
ปาก ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ผู้สอนธรรมแก่
พระเจ้าพรหมทัต ผู้ครองเมืองพาราณสี โดยปกติพระราชาเป็นคนพูดมาก อำมาตย์พยายามหาอุบายกล่าว
ตักเตือนพระองค์อยู่แต่ก็ยังหาไม่ได้ สมัยนั้นที่สระแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์มีเต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มันเป็น
เพื่อนกันกับลูกหงส์ 2 ตัว วันหนึ่ง ลูกหงส์ได้มาเยี่ยมเต่าและชักชวนมันไปเที่ยวที่ถ้ำทองด้วย โดยให้เต่า
คาบไม้ตรงกลางแล้วหงส์จะคาบปลายทั้งสองข้างบินไป ก่อนไปได้ตกลงกับเต่าว่า “สหาย ท่านต้องอดทน
ไม่พูดอะไรกับใครจนกว่าจะถึงถ้ำของเรานะ มิเช่นนั้นท่านจะร่วงลงพื้นดินแน่ ๆ จะหาว่าเราไม่เตือน” เต่า
รับคำอยางมั่นเหมาะพอหงส์บินผ่านเมองพาราณสี เด็กชาวบ้านได้พากันชี้และตะโกนว่า “เฮ้ ๆ พวกเรามา
ื
่
ดูหงส์หามเต่า เร็ว ๆ” เต่าได้ฟังเช่นนั้นโกรธจึงปล่อยไม้เอ่ยปากวา “เจ้าเด็กร้าย เราต่างหากหามหงส์ไป”
่
มันได้ร่วงตกลงไปตายที่ท้องพระลานหลวง ขณะนั้นอำมาตย์กำลังเข้าเฝ้าพระราชาอยู่พอดี พอมีเสียงคนว่า
“มีเต่าตกจากอากาศมาตายตัวหนึ่ง” เท่านั้น พร้อมด้วยพระราชาได้ไปที่นั้น พระราชาตรัสถามถึงสาเหตุที่
เต่าตกลงมาตายอำมาตย์โพธิสัตว์ได้โอกาสจึงให้โอวาทพระราชาเป็นคาถาว่า “เต่าพออ้าปากจะพูด ได้ฆ่า
ตนเองแล้วหนอ เมื่อคาบท่อนไม้อยู่ดีแล้ว กลับฆ่าตนเองเสียด้วยคำพูดของตนเองนั่นแหละ ข้าแต่พระองค์
็
ผู้ประเสริฐในหมู่วีรชน บุรุษผู้เปนบัณฑิต เห็นเหตุวันนี้แล้วควรพูดให้ดี ไม่ควรพูดให้เกินเวลา ขอพระองค์
ทรงทอดพระเนตรเต่าผู้ถึงความพินาศเพราะพูดมาก” พระราชาทราบว่าอำมาตย์พูดถึงพระองค์จึงตรัส
ถามว่า “ที่ท่านพูดหมายถึงเราใช่ไหม ?” อำมาตย์โพธิสัตว์จึงกราบทูลว่า “มหาราชเจ้า..ไม่ว่าพระองค์หรือ
ใครคนไหน ๆ เมื่อพูดเกินประมาณย่อมถึงความพินาศกันทั้งนั้น” ตั้งแต่วันนั้นมา พระราชาได้ทรงตรัสแต่
น้อยลง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ควรพูดให้ถูกกาละเทศะและพูดแต่คำที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
อย่างเป็นคนพูดมาก เข้าทำนองน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ๛
นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น (กันทคลกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้เลียนแบบอย่าง
พระองค์แล้วถึงความพินาศ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็น
นกหัวขวานชื่อขทิรวนิยะ เที่ยวหากินอาหารอยู่ในป่าไม้ตะเคียนแห่งหนึ่ง มีเพื่อนนกหัวขวานตัวหนึ่งชื่อกัน
ทคลกะ เที่ยวหากินอาหารอยู่ในป่าไม้ทองหลางแห่งหนึ่ง ในวันหนึ่ง นกกันทคลกะมาหานกขทิรวนิยะที่ป่า
ไม้ตะเคียน นกขทิรวนิยะดีใจที่เพื่อนมาเยี่ยมจึงพาเพื่อนไปที่ต้นตะเคียนต้นหนึ่ง ใช้จะงอยปากเคาะต้น
ตะเคียนคาบตัวหนอนให้พื่อนกินอย่างอร่อย นกกันทคลกะเห็นเพื่อนส่งอาหารมาให้กิน ก็คิดอยากจะลอง
่
หากินแบบเพื่อนดูบ้างจึงพูดขึ้นว่า “สหาย อย่าได้ลำบากเลย เราจะหากินในปาตะเคียนด้วยตัวของเรา
เอง” นกขทิรวนิยะพูดห้ามว่า “สหาย ท่านเคยหากินอยู่แต่ในเขตป่าไม้ไม่มีแก่น ไม้ตะเคียนเป็นไม้มีแก่น
ท่านจะไหวหรือ ?” นกกันทคลกะพูดว่า “เราก็นกหัวขวานเหมือนกันกับท่านนี่” ว่าแล้วก็ผลุนผันไปเอา
จะงอยปากเคาะต้นตะเคียนต้นหนึ่งสุดแรงเกิด ดัง “ป๊อก ๆ ๆ” ทันใดนั่นเองจะงอยปากของมันได้หักทันที
69
ตาทะลักออก หัวแตกตกจากต้นไม้ลงพื้นดิน นอนดิ้นไปมาได้ร้องถามก่อนสิ้นใจว่า “สหาย ต้นไม้ที่มีใบ
ละเอียด มีหนามนี้เป็นต้นอะไร เราเจาะเพียงครั้งเดียว ทำให้สมองไหลหัวแตกเสียแล้ว” นกขิทรวนิยะได้
ร้องตอบเป็นคาถาว่า “นกกันทคลกะ เมื่อเจาะหมู่ไม้ในป่าได้เคยเที่ยวเจาะแต่ไม้แห้งที่ไม่มีแก่น ภายหลัง
มาพบต้นตะเคียนซึ่งมีแก่นโดยธรรมชาติ ได้ทำลายกระหม่อมที่ต้นตะเคียนนั้นแล้ว”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าอวดเก่งในสิ่งที่ตนเองไม่ชำนาญ ๛
การร่วมมือกัน (กรุงคมิคชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระ
ชนม์พระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกวางตัวหนึ่ง
่
อาศัยอยู่ในปาละเมาะแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากนั้นมีสระน้ำสระหนึ่ง เต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ และใกล้ ๆ สระ
น้ำนั้นมีนกสตปัตตะทำรังอยู่ สัตว์ทั้ง 3 เป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่งกวางออกหากินได้ติดบ่วงนายพราน
ี
ตอนเที่ยงคืนจึงร้องเรยกให้เพื่อนมาช่วย เต่าและนกสตปัตตะมาเห็นแล่วตกลงกันว่าให้เต่าใช้ปากกัดบ่วง
่
ให้ขาดก่อนฟ้าสว่าง ส่วนนกพยายามไม่ให้นายพรานออกจากบ้านก่อนสว่างเชนกัน เมื่อตกลงกันตามนั้น
นกสตปัตตะจึงพูดเตือนเต่าว่า “เต่าเพื่อนรัก ท่านต้องรีบกัดบ่วงให้ขาดเร็ว ๆ นะ เราจักหาวิธีไม่ให้
นายพรานมาถึงที่นี่เร็วได้” ว่าแล้วก็บินไป ฝ่ายเต่าได้เริ่มแทะเชือกบ่วกนั้นทันที ส่วนนกสตปัตตะได้บินไป
จับที่ต้นไม้หน้าบ้านนายพราน พอถึงเวลาตี 5 นายพรานลุกขึ้นเดินถือหอกออกมาทางประตูหน้าบ้าน นก
เห็นเช่นนั้นก็บินโฉบลงไปจิกนายพราน เขาถูกนกจิกไปหลายทีจึงคิดว่าเราถูกนกกาฬกรรณีจิกแล้ว โชคไม่
ดีเลยเวลานี้ กลับเข้าไปนอนต่ออีกสักหน่อยดีกว่า “เวลาผ่านไปเล็กน้อยนายพรานได้เปลี่ยนไปออกทาง
็
ประตูหลังบ้าน นกสตปัตตะก็ไปดักที่ประตูหลังบ้านเช่นกัน เขาถูกนกจิกอีกเปนครั้งที่ 2 จึงกลับเข้าบ้านไป
พร้อมกับบ่นว่า “นกบ้านี่ร้ายจริง ๆ ไว้ให้สวางก่อนค่อยไปก็ได้วะ” พอสว่างแล้ว นายพรานเดินถือหอก
่
ออกจากบ้านไป นกสตปัตตะได้บินไปบอกกวางและเต่าล่วงหน้าแล้ว ปรากฏว่าเต่าแทะเชือกบ่วงทั้งคืนจน
ปากระบมเปื้อนไปด้วยเลือดยังเหลือเชือกเกลียวเดียวก็จะขาด กวางจึงใช้กำลังดิ้นให้เชือกขาดหลุดหนีเข้า
ป่าไปได้อย่างหวุดหวิด ปล่อยให้เต่านอนหมดแรงอยู่ตรงนั้น นายพรานมาเห็นเฉพาะเต่านอนอยู่จึงใส ่
กระสอบแขวนเต่าเอาไว้บนกิ่งไม้ กวางได้ปรากฎตัวให้นายพรานเห็นแล้วล่อให้นายพรานวิ่งตามไปจนไกล
ลิบ แล้ววิ่งย้อนกลับคืนมาช่วยเต่า โดยใช้เขายกกระสอบลงมาแล้วกล่าวขอบคุณเต่าและนกสตปัตตะที่ได้
ช่วยเหลือชีวิต และต่างคนต่างแยกย้ายกันหลบซ่อนและหาที่อยู่ใหม่เพื่อความปลอดภัย เต่าได้หนีลงน้ำ
กวางหนีเข้าป่าลึก ส่วนนกสตปัตตะไปถึงต้นไม้แล้วก็พาลูก ๆ ไปอยู่ในทีห่างไกล นายพรานกลับมาถึงที่นั้น
อีกไม่เห็นเต่าในกระสอบ ก็ได้แต่ถือกระสอบขาดกลับบ้านไป สัตว์ทั้ง 3 ได้เป็นเพื่อนรักกันจนตราบเท่า
ชีวิต
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ดินดีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะดินดี
คบคนไว้มากมายย่อมมีประโยชน์ในยามตกทุกข์ได้ยาก ๛
เต่าชอบโอ้อวด (คังเคยยชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุสหายกันสองรูปที่มักเถียง
กันว่า ใครรูปหล่อกว่ากัน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็น
รุกขเทวดาประจำอยู่ต้นไม้ อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา สมัยนั้นมีปลาอยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคา อีก
ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำยมุนา ปลาทั้ง 2 ตัวเมื่อว่ายมาเจอกันที่แม่น้ำทั้ง 2 สายมาบรรจบกันตรงที่ต้นไม้
นั้นอยู่ก็มักจะทุ่มเถียงกันว่าใครงามกว่ากันเสมอ ต่างก็ว่าตัวเองนั้นงามกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ตกลงกันไม่ได้สักที
70
่
จึงพากันไปหาเต่าตัวหนึ่งเป็นผู้ตัดสินให้ว่าใครงามกวากัน “ท่านเต่าผู้น่ารัก ขอท่านช่วยตัดสินให้พวก
ข้าพเจ้าเสียทีว่าใครงามกว่ากัน” เต่าตัดสินว่า “ท่านปลาทั้งสอง ท่านที่มีอยู่แม่น้ำคงคาก็งามดีไม่มีที่ติ
่
ท่านที่อยู่แม่น้ำยมุนาก็งามดีไม่มีที่ติ แต่โดยรวมแล้วเรางามกวาพวกท่านทั้งสองอยู่ดี” ปลาทั้ง 2 ตัวฟังคำ
ตัดสินของเต่าแล้วก็ด่ามันกว่า “เจ้าเต่าชั่ว เจ้าไม่ตอบคำถามของพวกเรากลับตอบไปอย่างอื่น” แล้วก็
กล่าวเป็นคาถาว่า “ท่านไม่ตอบเรื่องที่เราถาม เราถามอย่างหนึ่ง ท่านกลับตอบเสียงอีกอย่างหนึ่ง คนที่ยก
ย่องตนอง พวกเราไม่ชอบใจเลย” ว่าแล้วปลาทั้ง 2 ตัวก็พ่นน้ำใส่เต่านั้น เต่ากลับไปที่อยู่ของตนตามเดิม
เทวดาโพธิสัตว์เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอดได้แต่ให้เสียงสาธุการ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้มักโอ้อวดตนเอง ยกตนข่มท่าน มักจะไม่มีเพื่อนและขาดคนเชื่อถือ ๛
พระปริตป้องกันสัตว์ร้าย (ขันธปริตตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง มรณภาพเพราะถูกงู
กัด ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธการ ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษีบำเพ็ญสมาบัติอยู่
ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ มีฤๅษีหลายร้อยตนเป็นบริวาร ณ ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น มีงูนานาชนิดอาศัยอย ู่
งูได้กัดฤๅษีเสียชีวิตไปหลายตน พระโพธิสัตว์ทราบเรื่องนั้นแล้วจึงพูดให้โอวาทคณะฤๅษีว่า “ท่านทั้งหลาย..
่
หากพวกท่านเจริญเมตตาให้ตระกูลพญางูทั้ง 4 งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกท่านหรอก” แล้วกล่าวคาถาวา
“ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูวิรูปักขะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูเอราปถะ ขอ
ไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูกัณหาโคตมะ”
และกล่าวคาถาที่ 2 ว่า “ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ 2 เท้า
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ 4 เท้า ขอไมตรีจิตของเรา จงมีกับสัตว์ที่มีเท้ามาก” พระโพธิสัตว์เมื่อจะ
แสดงธรรมด้วยการขอร้อง ได้กล่าวคาถาว่า “ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี 2 เท้า สัตว์ที่มี 4 เท้า สัตว์ที่มีเท้า
ี
มาก อย่าได้เบยดเบียนเราเลย” เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจงได้กล่าวคาถาว่า “ทั้งมวลจงพบ
กับความเจริญ ความชั่วช้าอย่าได้มาแผ้วพานสัตว์ตนใดตนหนึ่งเลย” เพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จึงพูด
ว่า “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมลงป่อง
ตะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแกและหนู มีคุณหาประมาณได้” เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ได้กล่าว
คาถาว่า “เราได้ทำการรักษา ทำการป้องกันไว้แล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายผู้มีชีวิตจงพากันหลีกไป ข้าพเจ้าขอ
นอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์” ตั้งแต่นั้นมา คณะฤๅษีได้
เจริญเมตตารำลึกถึงพระพุทธคุณงูทั้งหลายต่างก็หลบหนีไปอยู่ที่อื่น
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: แม้อสรพิษก็ไม่เบียดเบียนผู้เจริญเมตตาภาวนา ๛
เรือนจำที่แท้จริง (พันธนาคารชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภเรือนจำสำหรับคุมขังผู้ตน ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลายเครื่องจองจำเหล่านั้นไม่นับว่าเป็นเรือนจำที่แท้จริง ส่วนเครื่องผูกคือกิเลสตณหาในทรัพย ์
ั
สมบัติ บุตรและภรรยา ถือเป็นเรือนจำที่แท้จริง มั่นคงยิ่งกว่า ตัดได้ยากกว่า โบราณบณฑิตได้ตัดเรือนจำนี้
ได้แล้วออกบวช” แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูก
ชายโทนของตระกูลคหบดีเก่าแก่ แต่ยากจนตระกูลหนึ่ง พอบิดาเสียชีวิตแล้วเขาก็ได้ออกรับจ้างหาเลี้ยง
มารดา อยู่ต่อมาพอเขาแต่งงานแล้วมารดาก็เสียชีวิตไปอีกคน ใจจริงแล้วเขาไม่อยากจะแต่งงานอยากบวช
มากกว่า เพราะมองเห็นความลำบากของตนเอง แต่ก็ต้องแต่งงานตามใจมารดาเท่านั้น ต่อมาไม่นาน
ภรรยาของเขาตั้งครรภ์ เขาไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์จึงพูดกับนางในวันหนึ่งว่า “นี่น้อง เธอจงดูแลตัวเองนะ พี่จะ
71
ไปบวชละ” ภรรยาบอกว่า “พี่..ฉันท้องแล้วนะ เมื่อฉันคลอดลูกแล้วพี่ค่อยบวชเถิด” เขาจึงอยู่ต่อจนนาง
่
คลอดลูกแล้วจึงพูดอำลานางอีกว่า “น้อง..พี่จะออกบวชแล้วนะ ขอให้เธอดูแลลูกน้อยนะ” นางขอร้องวา
“พี่..ขอให้ลูกหย่านมก่อนเถอะ พี่ค่อยไป” ต่อมาอีกสองสามเดือนภรรยาก็ตั้งครรภ์อีก เขาคิดว่า “ถ้าขืน
เรามัวแต่อำลานางอยู่เช่นนี้ก็คงจะไม่ได้บวชหรอก เราต้องหนีไปบวชในคืนนี้ละ” พอถึงเวลาเที่ยงคืนก็แอบ
็
หนีออกจากบ้านไปบวชเปนฤๅษีบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง ฤๅษีนั้นขณะนั่งบำเพ็ญเพียรได้รำลึก
ถึงชีวิตของตนเอง จึงเปล่งอุทานเป็นคาถาว่า “นักปราชญ์ไม่กล่าวเครื่องผูกที่ทำด้วยเหล็ก ทำด้วยไม้ และ
ทำด้วยหญ้าปล้องวาเป็นเครื่องผูกที่มั่นคง ส่วนความกำหนัดยินดีในแก้วมณีและต่างหูก็ดี ความห่วงใยใน
่
่
บุตรและภรรยาก็ดี, นักปราชญ์กล่าวเครื่องผูกที่ประกอบด้วยกิเลสนั่นวาเป็นเครืองผูกที่มั่นคง ทำให้สัตว์
ื่
ตกต่ำ ย่อหย่อนแก้ได้ยาก นักปราชญ์ทั้งหลายตัดเครองผูกนั้นได้ขาด หมดความห่วงใย ละกามสุข หลีก
ออกไปได้” ฤๅษีบำเพ็ญเพียรอยู่เช่นนี้จนสิ้นชีวิตไปเกิดที่พรหมโลกในที่สุด
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เรือนจำ (เครื่องผูก) ที่แท้จริงของมนุษย์คือ ลูกภรรยา สามี
และทรัพย์สินศฤงคาร ๛
ตำราเลือกลูกเขย (สาธุศีลชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพราหมณ์เลือกลูกเขยคนหนึ่ง ได้
ั้
ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า ...กาลครงหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในเมือง
ตักกสิลา มีพราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาว 4 คน แต่ละคนมีรูปร่างสวยงามเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วไป
็
ในบรรดาชายหนุ่มที่มาจีบลูกสาวของพราหมณ์นั้นมีชายหนุ่ม 4 คนที่เข้าตาของพราหมณ์ คือ คนที่ 1 เปน
คนรูปหล่อ คนที่ 2 มีอายุมากแต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คนที่ 3 เป็นลูกชายเศรษฐีตระกูลดี คนที่ 4 เป็นคนมี
ศีลธรรม พราหมณ์คิดหนักใจว่าจะเลือกใครเป็นลูกเขยดี เพราะทั้ง 4 คน ก็มีความดีแตกต่างกันไป เขาจึง
ตัดสินใจไปปรึกษาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า “ท่านอาจารย์ครับ ผมมีเรื่องกลุ้มใจมาปรึกษาอาจารย์ คือมี
ชายหนุ่มอยู่ 4 คน คือ 1 คนรูปหล่อ 2 คนอายุมาก 3 คนมีชาติสูง 4 คนมีศีล มาจีบลูกสาวผม ผมคิดไม่ตก
ว่าจะเลือกใครดี ถ้าอาจารย์เป็นผมจะเลือกเอาคนไหน” พระโพธิสัตว์พูดตอบว่า “พราหมณ์..คนไม่มีศีลถึง
มีรูปสมบัติก็น่าตำหนิ ดังนั้น รูปสมบัตินี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ถ้าฉันเป็นพราหมณ์นะ ฉันจะเลือกคนมีศีลเป็น
ลูกเขย” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ร่างกายก็มีประโยชน์ ข้าพเจ้าขอทำความนอบน้อมต่อท่านผู้เจริญวัย
ชาติสูงก็มีประโยชน์ แต่ข้าพเจ้าชอบใจศีล” พราหมณ์ฟังแล้วชอบใจ พอกลับไปถึงบ้านจึงตัดสินในยกลูก
สาวทั้ง 4 คน ให้แก่คนผู้มีศีลไป
ื่
ข้อคิดที่ได้จากเรอง: ผู้มีศีลธรรมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง ๛
ผู้ใหญ่บ้านทวงหนี้ไม่ถูกเวลา (คหปติชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันอยากสึกรูปหนึ่ง
ตรัสให้โอวาทว่า “ภิกษุ..ขึ้นชื่อว่ามาตุคามดูแลไม่ไหว ทำความชั่วแล้วยังลวงสามีด้วยอุบายอย่างใดอย่าง
หนึ่งอีก” แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดีใน
แคว้นกาสี มีภรรยาผู้ทุศีลคนหนึ่งชอบคบชู้กับผู้ใหญ่บ้านเป็นประจำ พระโพธิสัตว์ก็พอทราบระแคะระคาย
ื
อยู่บ้างจึงเฝ้าสบดูอยู่ ในฤดูทำนาของปีหนึ่ง หลังจากดำนาเสร็จแล้ว ข้าวยังไม่ทันตั้งท้อง ก็เกิดฝนแล้งขึ้น
ชาวบ้านเดือดร้อนกันทั้งหมู่บ้านเพราะไม่มีอาหารจะกิน จึงได้ตกลงกันซื้อวัวของผู้ใหญ่บ้านตัวหนึ่งเพื่อ
นำมาฆ่าแบ่งเนื้อปันกัน เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วถึงจะนำข้าวเปลือกมอบให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นค่าเนื้อในอีกสอง
ู้
เดือนข้างหน้า อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระโพธิสัตว์ออกไปนา ผใหญ่บ้านได้แอบย่องเข้าไปหาภรรยาของพระ
72
โพธิสัตว์ที่บ้าน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังนอนด้วยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น พระโพธิสัตว์กลับมาถึงบ้านพอดีได้
เห็นเหตุการณ์นั้นจึงยืนดูอยู่ที่ประตูบ้าน ฝ่ายภรรยาพอเห็นสามีกลับมาในขณะนั้นจึงรีบบอกอุบายแก่
ผู้ใหญ่บ้านว่า “ท่านจงทำเป็นมาร้องทวงหนี้เนื้อวัวนะ ฉันจะขึ้นไปบนยุ้งข้าวตอบท่านว่าข้าวเปลือกไม่มี
ท่านก็จงพูดทวงหนี้นั้นไปเรื่อย ๆ” ผู้ใหญ่บ้านก็ทำใจดีสู้เสือเดินออกไปยืนกลางเรือนแล้วร้องเรียกว่า
ู่
“น้องหญิงอยู่ไหม ฉันมาทวงหนี้ค่าเนื้อวัวนะ” ฝ่ายภรรยาที่รีบปีนขึ้นไปนั่งอยบนยุ้งข้าวแล้วก็ร้องตอบมา
ว่า “ข้าวเปลือกยังไม่มีหรอกพี่ผู้ใหญ่ เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วเราจะนำไปให้ดอกนะ กลับไปก่อนเถอะจ้า
“พระโพธิสัตว์เดินเข้าไปในบ้านเห็นเขาพูดโต้ตอบกัน ก็ทราบว่าเป็นอุบายของภรรยา จึงเรียกผู้ใหญ่บ้าน
ั
พูดว่า “ท่านผู้ใหญ่..เราสญญากันไว้ 2 เดือนมิใช่หรือ นี่ยังไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำไป ท่านมาทวงหนี้ทำไม
เวลานี้ ท่านมาเพราะเรื่องอื่นกระมัง ผมไม่ชอบใจเลยนะ นางนั้นก็เหลือร้ายรู้ทั้งรู้อยู่ว่าในยุ้งข้าวไม่มี
ข้าวเปลือกก็ยังร้องบอกอยู่นั่นแหละ ผมไม่พอใจพฤติกรรมของพวกท่านเลยนะ” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
“กรรมทั้ง 2 ไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจ ก็หญิงคนนี้ลงไปในยุ้งข้าวแล้วพูดว่าเรายังใช้หนี้ให้ไม่ได้ท่าน
ผู้ใหญ่บ้าน เพราะเหตุนี้เราจึงพูดกะท่าน ท่านได้ทำสัญญากำหนดไว้ 2 เดือน แล้วมาทวงเนื้อวัวผอมแก่
เมืองยังไม่ถึงกำหนดเวลาสัญญา กรรมทั้ง 2 นั้น ฉันไม่ชอบใจเลย” เมื่อพูดจบแล้วก็จิกผมผู้ใหญ่บ้าน
กระชากให้ล้มลงกลางเรือน แล้วพูดสอนว่า “ท่านทำร้ายคนอื่นเพราะถือว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือ”
ทุบตีจนผู้ใหญ่บ้านบอบช้ำแล้วก็ไล่ไสหัวไป หันไปคว้าผมภรรยามาพูดขู่ว่า “นางตัวดี ถ้าเธอไม่เลิก
พฤติกรรมเช่นนี้อีกจะเห็นดีกัน” ตั้งแต่วันนั้นมาผู้ใหญ่บ้านไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่านหน้าบ้านหลังนั้นอีกเลย
ภรรยา ของพระโพธิสัตว์ก็ได้เลิกพฤติกรรมเช่นนั้นไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เมื่อภัยไม่มาถึงตัว คนก็มักเห็นสิ่งที่ตนกระทำผิด ถูกอยู่เสมอ ๛
ความจริงที่ไม่ควรพูด (ราชชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารถภิกษุรูปหนึ่ง ผู้กระสันอยากสึกเพราะ
เห็นหญิงงามคนหนึ่ง ตรัสให้โอวาทว่า “ภิกษุ..ธรรมดามาตุคาม ใครๆ ก็รักษาไว้ไม่ได้ แม้เมื่อก่อนเขาวาง
ยามประตูรักษาไว้ ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ เธอจะต้องการมาตุคามไปทำอะไร แม้ได้แล้วก็ไม่อาจจะรักษาเอาไว้
ได้” แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกแขกเต้าชื่อ ราธะ
มีน้องตัวหนึ่งชื่อ โปฏฐปาทะ อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง ในเมืองพาราณสี พราหมณ์
และนางพราหมณีไม่มีลูกด้วยกัน จึงเลี้ยงดูนกแขกเต้าทั้งสองตัวเป็นเสมือนลูกชาย พราหมณ์มีอาชีพ
ค้าขายจะเดินทางออกจากบ้านไปค้าขายยังต่างแดน เป็นเวลาหลายวันค่อยกลับมา ช่วงที่พราหมณ์ไม่อยู่
ู่
บ้าน นางพราหมณีมักจะคบชู้สู่ชายอยเป็นประจำ วันหนึ่งก่อนออกเดินทางไปค้าขาย พราหมณ์ซึ่งพอจะ
ทราบพฤติกรรมของภรรยาอยู่บ้างแต่ยังจับไม่ได้ จึงสั่งนกแขกเต้าสองพี่น้องว่า “ลูกรัก พ่อจะไปค้าขาย
เจ้าทั้งสองคอยดูแลแม่ของเจ้านะ วาช่วงพ่อไม่อยู่นี้มีชายคนใดมาหาหรือไม่ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน”
่
ว่าแล้วกก็ออกเดินทางไป นับตั้งแต่วันที่พราหมณ์ออกจากบ้านไป นางพราหมณีก็คบชายชู้ไม่ซ้ำหน้ากันทั้ง
กลางวันกลางคืน นกโปฏฐปาทะ เห็นดังนั้นจึงถามพี่ชายว่า “แม่เราเป็นเช่นนี้ เราจะว่าแกดีไหมพี่” นก
ราธะตอบว่า “อย่าเลยน้องมันจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตเราเสยเปล่า ๆ” แต่นกโกฎปาทะไม่เชื่อฟังคำพี่ชาย
ี
ได้พูดต่อว่านางพราหมณ เป็นเหตุให้นางพราหมณีโกรธมาก จับมาบิดคอขาดตายแล้วโยนใส่เตาไฟเผาทิ้ง
ี
ไป หลายวันต่อมา พราหมณ์กลับมาถึงบ้านแล้วได้ถามนกราธะว่า “ลูกรัก พ่อเพิ่งกลับมาจากที่ค้างแรม
เดี๋ยวนี้เอง น้องเจ้าไปไหนเสียแล้วละ ในช่วงที่พ่อไม่อยู่บ้านนี้แม่ของเจ้าไม่ไปคบหาชายอื่นดอกหรือ” นก
73
ราธะตอบเป็นคาถาว่า “ธรรมดาบัณฑิตไม่พูดคำที่เป็นจริงแต่ไม่ดี ขืนพูดไปจะพึงหมกไหม้ เหมือนนกแขก
่
เต้าชื่อโปฏฐปาทะ หมกไหม้อยู่ในเตาไฟ” กล่าวจบก็นิ่งเสียไม่เลาอะไรให้พราหมณ์ฟัง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: การพูดความจริงที่ไม่ดีในที่ไม่เหมาะสม มักนำโทษมาให้แก่ผู้พูดมากกว่าผลดี ๛
อภัยโทษ (ปัพพตูปัตถรชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเจ้าโกศล ผู้เข้าเผ้าด้วยความ
ลำบากใจที่มีอำมาตย์และหญิงเป็นที่รักคบชู้กัน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ทำหน้าที่สอนธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัต ในเมืองพาราณสี ในสมัยนั้น มี
อำมาตย์คนหนึ่งแอบเป็นชู้กับหญิงคนรักของพระราชา พระองค์เองก็ทรงทราบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจตัดสิน
พระทัยที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ เพราะอำมาตย์เป็นผู้มีอุปการะคุณมาก และหญิงนั้นก็เป็นที่รักยิ่งของ
พระองค์ วันหนึ่งพระองค์ด้วยความโทรมนัสเป็นอย่างยิ่งจึงรับสั่งให้อำมาตย์โพธิสัตว์มาเข้าเฝ้า แล้วตรัส
ถามปัญหาเป็นคาถาว่า “สระโบกขรณีมีน้ำเย็นใสสะอาด รสอร่อย เกิดอยู่ที่เชงเขาหิมพานต์ น่ารื่นรมย์
ิ
สุนัขจิ้งจอกรู้อยู่ว่าสระนั้นราชสีห์รักษาอยู่ก็ยังลงไปดื่มกิน” พระโพธิสัตว์ทราบเรื่องนั้นอยู่แล้ว จึงกราบทูล
เป็นคาถาเช่นกันว่า “ข้าแต่มหาราช ถ้าสัตว์มีเท้าทั้งหลายพากันดื่มน้ำในมหานที แม่น้ำจะไม่ชื่อว่าเป็น
แม่น้ำเพราะเหตุนั้นก็หาไม่ หากว่าคน 2 คนนั้นเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ก็ทรงอภัยโทษเสียเถิด”
ี
พระราชาทรงคลายความโทรมนัสลงไปได้บ้าง และตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ จึงเรยกบุคคลทั้งสอง
เข้าเฝ้าและยกโทษให้แก่คนทั้งสอง พร้อมตรัสสอนวา “นับตั้งแต่นี้ไปเจ้าทั้งสองอย่าได้กระทำกรรมชั่วนี้
่
อีก” คนทั้งสองรับคำและก็เป็นคนดีมีศีลธรรมมาตั้งแต่วันนั้นตราบเท่าชีวิต
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คนที่ไม่มีความชั่วโดยชาติกำเนิด ควรได้รับอภัยโทษให้กลับตัวกลับใจ
และอาจทำประโยชน์ให้ได้มากมาย ๛
อาจารย์รุหกะ (รุหกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่งผู้ถูกภรรยาเก่า
้
หัวเราะเยาะเยย ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชา
ครองเมืองพาราณสี ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระองค์มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อว่า รุหกะ เขามีภรรยาชื่อว่า
ปุรณีพราหมณี พระราชาได้พระราชทานม้าตัวหนึ่งพร้อมเครื่องประดับแก่ท่านรุหกะปุโรหิตนั้นไปใช้เป็น
พาหนะว่าราชการ วันหนึ่งท่านรุหกะปุโรหิตขี่ม้าไปราชการ ชาวบ้านที่พบเห็นได้พากันชมม้าของเขาว่า
“แม่เจ้าโว้ย ม้าต้วนี้ช่างงามแท้” พอเขาได้กลับไปถึงบ้านพร้อมกับรอยยิ้มได้เรียกภรรยามาพูดอวดว่า
“นี่น้องม้าของพี่งามเหลือเกิน ไครๆ เขาก็ชมกันทั้งนั้นนะ น้องว่าจริงไหมจ๊ะ” ภรรยาของเขาค่อนข้างจะมี
นิสัยเป็นนักเลงอยู่บ้างจึงพูดตอบแบบกวน ๆ ว่า “พี่..ม้าตัวนี้งามเพราะมันมีเครองประดับหรอกจ๊ะ พี่ก็
ื
ลองเดินซอยเท้าเหมือนม้าไปเข้าเฝ้าพระราชาดูบ้างซิ พระองค์จะได้ทรงโปรดปราน ชาวบ้านก็จะพากันชื่น
ชมพี่ด้วยนะจ๊ะ” ท่านรุหกะเป็นคนค่อนข้างบ้า ๆ บอ ๆ อยู่บ้าง พอได้ฟังภรรยาพูดยุเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่านาง
พูดเย้ยหยัน มุ่งแต่จะได้ความงามอย่างเดียวจึงลองทำตามทำพูดภรรยาดู ชาวบ้านที่เห็นเขาก็พากัน
หัวเราะแล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ท่านอาจารย์งามแท้หนอ” พระราชาเห็นท่านแล้วก็รับสั่งว่า “อาจารย์..ท่าน
จิตใจไม่ปกติหรือ เป็นบ้าไปแล้ว หรือถึงได้ทำเช่นนี้” ทำให้ท่านรุหกะได้สติและอับอายเป็นอย่างยิ่ง ท่าน
โกรธภรรยามาก นึกไว้ในใจว่า “คอยดูนะนางตัวแสบ พอกลับถึงบ้านจะทุบตีมันสักป้าบสองป้าบแล้วค่อย
่
ไล่มันหนีไป” ฝ่ายนางปุรณีพราหมณีทราบวาสามีโกรธนางมากและกำลังกลับมาบ้าน ก็แอบออกทางประตู
หลังบ้านเข้าพระราชวัง พระราชาทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงตรัสกับท่านรุหกะในวันหนึ่ง “อาจารย์..
74
ธรรมดาผู้หญิงก็มีความผิดได้เหมือนกัน ควรยกโทษให้นางเสียเถิด ธรรมดาสายธนูที่ขาดแล้วยังต่อกันได้อีก
ี
ท่านจงคืนดีกับภรรยาเสยเถิด อย่าได้โกรธไปเลย” ท่านรุหกะปุโรหิตจึงทูลตอบเป็นคาถาว่า “เมื่อสายป่าน
ยังมีอยู่ นายช่างผู้กระทำสายธนูก็ยังมีอยู่ ข้าพระองค์จักกระทำสายธนูใหม่ พอกันทีสำหรับสายธนูเก่า
“เมื่อกราบทูลแล้วก็กลับไปบ้านไล่นางปุรณีพราหมณีหนีไปแล้วแต่งตั้งภรรยาคนใหม่มาทำหน้าที่แทน
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: เป็นสามีภรรยาต้องรู้จักยอมกันบ้าง ยอมยกโทษให้กันและต้องเข้าใจกัน ๛
อานิสงส์ของศีล (สีลานิสังสชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภอุบาสกผู้มีศรัทธาคนหนึ่งที่
สามารถเดินข้ามแม่น้ำอจรวดีไปฟังธรรมได้ด้วยอำนาจคุณของศีล ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
ิ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยพระพุทธเจ้านามว่า กัสสปะ ในวันหนึ่งมีอุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็นพระโสดาบัน
ได้โดยสารเรือไปค้าขายต่างเมืองกับช่างตัดผมคนหนึ่ง ก่อนออกเดินทาง ภรรยาของช่างตัดผมได้ฝากให้
อุบาสกช่วยดูแลสามีของตนพร้อมกับสั่งว่า “ท่านเจ้าค่ะ ขอท่านได้ช่วยดูแลสามีดิฉันด้วยนะคะ สุขทุกข์
ของสามี ดิฉันขอมอบให้เป็นภาระของท่านก็แล้วกัน” เรือออกเดินทางไปได้ 7 วัน ก็เจอพายุกระหน่ำจน
เรืออับปางลงกับทะเลราวกับเรือไทนานิคล่ม ชายทั้ง 2 ได้เกาะแผ่นกระดานแผ่นหนึ่งลอยคอจนมาถึงเกาะ
แห่งหนึ่ง ด้วยความหิวนายช่างตัดผมได้ฆ่านกปิ้งกินและชวนอุบาสกกินด้วยกัน แต่อุบาสกไม่กินเพราะคิด
ว่า “สถานการณ์เช่นนี้ มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งเราได้” จึงนั่งระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอย ู่
ื
ขณะนั้นพญานาคผู้บนเกาะนั้นได้เนรมิตร่างเป็นเรอลำใหญ่ มีเทวดาประจำทะเลเป็นต้นเรือ บรรทุก
ทรัพย์สินเงินทองเต็มลำ มีเสากระโดงทำด้วยแก้วมณีสีอินทนิล ใบเรือทำด้วยทองเชือกทำด้วยเงิน แล่นมา
ที่เกาะนั้น พร้อมประกาศว่า “มีใครจะไปด้วยไหม” อุบาสกร้องตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไปด้วย” นายต้นเรือ
พูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านขึ้นมาเถอะครับ” อุบาสกจึงชวนนายช่างตัดผมขึ้นเรือไปด้วยกัน แต่นายต้นเรือร้อง
ห้ามไว้ว่า “ขึ้นมาได้เฉพาะท่านคนเดียวเท่านั้น อีกคนหนึ่งขึ้นไม่ได้” อุบาสกถามว่า “ทำไมละท่าน” นาย
ต้นเรือตอบว่า “เพราะคนนั้นไม่มีศีลจึงรับไปด้วยไม่ได้ เรือลำนี้รับเฉพาะคนมีศีลเท่านั้น” อุบาสกพูดว่า
“เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอแบ่งให้ส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลให้แก่เขาก็แล้วกัน” นายช่างตัด
ผมก็รับคำอนุโมทนาในบุญกุศลว่า “ข้าพเจ้าขออนุโมทนา “เทวดาจึงนำชายทั้ง 2 ขึ้นเรือแล้วนำไปส่ง
จนถึงฝั่งพร้อมทั้งมอบทรัพย์สมบัติให้อีกด้วย แล้วกล่าวให้โอวาทเป็นคาถาว่า “ดูเถิด นี่แหละผลของ
ศรัทธา ศีล และจาคะ พญานาคแปลงตนเป็นเรือนำอุบาสกผู้มีศรัทธาไป บุคคลพึงคบหาสัตบุรุษเท่านั้น พง
ึ
ั
่
ทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะการอยู่รวมกับสตบุรุษนายช่างตัดผมจึงถึงความสวัสดี” เมื่อกล่าวจบก็
พาพญานาคกลับวิมานของตนไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้มีศีลตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ๛
ลาปลอมตัวเป็นราชสีห์ (สีหจัมมชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภพระโกกาลิกะผู้ชอบหลอกลวง
ผู้อื่น ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายชาวนาคนหนึ่ง
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีพ่อค้าคนหนึ่งเที่ยวค้าขายด้วยการบรรทุกสินค้าบนหลังลา ไปถึงหมู่บ้าน
หนึ่งแล้วก็จะเอาหนังราชสีห์คลุมหลังลา ปล่อยไปกินข้าวสาลีและข้าวเหนียวของชาวบ้าน ส่วนตนเองก็จะ
แบกสินค้าขายในหมู่บานนั้น ชาวนาเห็นลากินข้าวก็ไม่กล้าเข้าไปไล่เพราะนึกว่าเป็นราชสีห์ อยู่มาวันหนึ่ง
้
พ่อค้านั้นไปขายสิ่งของถึงหมู่บ้านนั้นแล้วก็ทำโดยทำนนองนั้นอีก ลาได้ลงไปกินข้าวกล้าของชาวนา ชาวนา
เห็นลานั้นแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปไล่เพราะนึกว่าเป็นราชสีห์ จึงกลับเข้าไปบ้านบอกญาติพี่น้องมาช่วยกันไล่
75
ราชสีห์ ต่างคนต่างก็ถืออาวุธทั้งเป่าสังข์ รัวกลอง โห่ร้องไป ลาได้ยินเสียงนั้นกลัวตายจึงร้องออกมาเป็น
เสียงลา พระโพธิสัตว์พอรู้ว่ามันเป็นลาไม่ใช่ราชสีห์จึงร้องบอกชาวบ้านว่า “นี่มันไม่ใช่เสียงราชสีห์ดอก
ี
ไม่ใช่เสียงเสือโคร่ง ไม่ใช่เสยงเสือเหลือง มันเป็นเสียงลาคลุมหนังราชสีห์ นี่” พอทราบว่าเป็นลาเท่านั้น
ชาวบ้านก็รุมทุบตีจนลาตายแล้วเอาหนังราชสีห์ไป พ่อค้ากลับมาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดีจึงกล่าวเป็นคาถา
ว่า “ลาเอาหนังราชสีห์คลุมตัว เที่ยวกินข้าวเหนียวอันเขียวสดเป็นเวลานาน (เพราะ)มันร้องออกมานั่น
แหละ จึงทำร้ายตัวเอง”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าได้คิดหลอกลวงผู้อื่นเลี้ยงชีพ ผลที่สุดจะได้รับความทุกข์ยากลำบาก ๛
หงส์ทองคำ (สุวัณณหังสชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีชื่อ ถุลนันทา ผู้ไม่รู้จัก
ประมาณในการบริโภคกระเทียม สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบาน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง มีภรรยาและลูกสาว 3 คน ชื่อ นันทา
นันทวดี และสุนันทา พอลูกสาวทั้ง 3 ได้สามีแล้วทุกคน พราหมณ์ก็เสียชีวิตไปเกิดเป็นหงส์ทองคำระลึก
ชาติได้ วันหนึ่งได้เห็นความลำบากของนางพราหมณีและลูกสาวของตนที่ต้องรับจ้างคนอื่นเลี้ยงชีพ จึงเกิด
ความสงสาร ได้โผบินไปจับที่บ้านนางพราหมณีแล้วเล่าเรื่องราวให้นางพราหมณีและลูกสาวฟัง และได้สลัด
ขนให้แก่พวกเขาเหล่านั้นคนละหนึ่งขนแล้วก็บินหนีไป หงส์ทองได้มาเป็นระยะๆ มาครั้งใดก็สลัดขนให้ครั้ง
ละหนึ่งขนโดยทำนองนี้ นางพราหมณีและลูกสาวจึงร่ำรวยและมีความสุขไปตาม ๆ กัน ต่อมาวันหนึ่งนาง
่
พราหมณเกิดความโลภอยากได้มากกว่าเดิมจึงปรึกษากับลูก ๆ วา “ถ้าหงส์มาครั้งนี้ พวกเราจะจับถอนขน
ี
เสียให้หมด เพื่อจะได้มีทรัพย์สมบัติมาก” พวกลูก ๆ ไม่เห็นดีด้วย แต่นางพราหมณีไม่สนใจ ครั้งวันหนึ่ง
พญาหงส์ทองมาอีก นางก็ได้จับถอนขนเสียให้หมด ขนเหล่านั้นกลายเป็นขนนกธรรมดาเท่านั้น เพราะ
พญาหงส์ทองมิได้ให้ด้วยความสมัครใจ นางพราหมณีได้เลี้ยงหงส์นั้นจนขนงอกขึ้นมาใหม่เต็มตัว หงส์ก็ได้
บินหนีไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลย พระพุทธองค์ เมื่อนำอดีตนิทานมาสาธกแล้ว ได้ตรัสพระคาถาว่า
“บุคคลได้สิ่งใดควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณเป็นความชั่วแท้ นางพราหมณีจับเอาพญา
หงส์ทองแล้วจึงเสื่อมจากทองคำ”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: โลภมาก มักลาภหาย ๛
ม้าขาเป๋ (คิริทัตตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วันเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้คบพวกผิดรูปหนึ่ง ได้ตรัส
อดีตนิทานมาสาธก ว่า... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ผู้สอนธรรม ของพระเจ้า
สามะ ในเมืองพาราณสี พระราชามีม้ามงคล อยู่ตัวหนึ่งชื่อปัณฑวะ มีรปร่างสวยงามมาก ต่อมาคนเลี้ยงม้า
ู
คนเดิมเสียชีวิตลง จึงรับนายคิริทัตซึ่งเป็นชายขาเป๋เข้ามาเลี้ยงม้าตัวนี้แทน ฝ่ายม้าปัณฑวะเดินตามหลัง
นายคิริทัตทุกวันสำคัญว่า “คนนี้สอนเรา “จึงกลายเป็นม้าขาเป๋ไป นายคิริทัตได้เข้ากราบทูลเรื่องมาขาเป ๋
ให้พระราชาทราบ พระองค์ได้สั่งแพทย์ให้ไปตรวจดูอาการของม้า แพทย์ตรวจดูแล้วไม่พบโรคอะไรจึงไป
กราบทูลให้พระราชาทราบ พระองค์จึงรับสั่งให้อำมาตย์ไปตรวจดู อำมาตย์โพธิสัตว์ไปตรวจดูก็ทราบว่าม้า
นี้เดินขาเป๋เพราะเกี่ยวกับคนเลี้ยงม้าขาเป๋ จึงกราบทูลให้ทราบว่าม้านี้เดินขาเป๋เพราะเกี่ยวกับคนเลี้ยงม้า
ขาเป๋ จึงกราบทูลให้พระราชาทราบวา “ขอเดชะ ม้าปัณฑวะของพระองค์เป็นปกติดี ที่เดินเช่นนั้นเป็น
่
เพราะแบบคนเลยงม้า พระเจ้าข้า “พระราชาตรัสถามว่า “แล้วจะให้ทำอย่างไรกับม้านี้ละทีนี้” อำมาตย์
ี้
้
จึงกราบทูลว่า “เพียงได้คนเลี้ยงม้าขาดี ม้าก็จะเป็นปกติเหมือนเดิม พระเจาข้า “แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
76
“ถ้าคนบริบูรณ์ด้วยอาการอันงดงามที่สมควรแก่ม้านั่น พึงจับม้านั่นที่บังเหียนแล้วจูงไปรอบๆ สนามม้าไซร้
ั
ม้าก็จะละอาการเขยกแล้วเลียนแบบคนเลี้ยงม้านั้นโดยพลัน” พระราชารบสั่งให้เปลี่ยนคนเลี้ยงม้าใหม่ พอ
เปลี่ยนคนเลี้ยงม้าคนใหม่ ไม่นานม้านั้นก็เดินปกติดีเช่นเดิม พระราชาจึงได้พระราชทานลาภยศแก่พระ
โพธิสัตว์เป็นจำนวนมากในฐานะรู้อัธยาศัยของม้านั้น
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพา ไปหาผล ๛
อาหารไม่บริสุทธิ์ (สตธรรมชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภการแสวงหาไม่ควร 21 ประการ มี
การเป็นพระหมอดู เป็นต้น ของพวกภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระ
โพธิสัตว์เกิดเป็นคนจัณฑาล (คนทุกข์ยาก) ในเมืองพาราณสี เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว วันหนึ่งได้เดินทางไป
ต่างเมืองด้วยกิจธุระอย่างหนึ่ง จึงเตรียมข้าวสารและห่อข้าวเป็นเสบียง ในวันนั้น สตธรรมมานพ ลูกชาย
ของพราหมณ์ตระกูลดังประจำเมืองพาราณสีก็เดินทางไกลเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เตรียมเสบียงอาหารอะไรไป
ด้วย ชายหนุ่มทั้งสองคนมาพบกันที่ทางใหญ่ สนทนากันทราบเรื่องแล้วก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน
้
พอเดินทางไปได้เวลาอาหารเชา ก็ชวนกันแวะลงข้างทางที่สระน้ำลูกหนึ่ง พระโพธิสัตว์ล้างมือแล้วแก้ห่อ
ข้าว เชิญชวนสตธรรมมานพร่วมกินข้าวด้วยกัน เมื่อได้รับคำปฏิเสธจากสตธรรมมานพแล้วก็แบ่งข้าวไว้
ครึ่งหนึ่ง กินไปครึ่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ห่อไว้ตามเดิม ล้างมือแล้วชวนกันออกเดินทางต่อไป จนกระทั่งเวลา
ึ
เย็นชายหนุ่มทั้งสองจงชวนกันแวะลงข้างทางอาบน้ำในสระแห่งหนึ่ง แล้ว พระโพธิสัตว์ก็แวะไปนั่งกินข้าว
่
อย่างสำราญอยู่คนเดียวโดยไม่ได้เชิญชวนสตธรรมมานพอีก เพราะเข้าใจวาถึงชวนก็คงไม่กินอยู่ดี ฝ่ายสต
ิ
ธรรมมานพเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน หวข้าวก็หิวได้แต่มองดูเขากินข้าว พร้อมกับคิดในใจว่า
“ถ้าเขาชวนเรากินข้าวด้วย ครั้งนี้เราต้องกินด้วยแน่ ๆ” พระโพธิสัตว์ก็ไม่พูดอะไรกินข้าวท่าเดียว สตธรรม
มานพจึงคิดว่า “มันไม่ชวนเรา เราจะแอบกินข้าวเหลือเดนมันก็ได้วะ” เขาได้แอบไปกินข้าวเหลือเดนนั้น
เมื่อกินเสร็จแล้วก็เกิดความไม่สบายใจว่า “เราทำอะไรนี่ กินอาหารเหลือเดนของคนจัณฑาล ทำสิ่งที่ไม่ดี
แล้ว” ทันใดนั่นเองเขาก็ได้อาเจียนออกมาเป็นเลือดคร่ำครวญอยู่ว่า “เรากินอาหารที่เป็นเดนของคนสกุล
ต่ำ เราเป็นชาติพราหมณ์บริสุทธิ์ไม่น่าจะทำเลย” คร่ำครวญเสร็จก็เดินโซซัดโซเซเข้าป่าไปและเสียชีวิตใน
ที่สุด พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานแล้วจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เพราะสตะรรมมานพบริโภคอาหาร
อันเป็นเดนของคนจัณฑาล จึงคิดเสียใจ ฉันใด ผู้บวชในพระพุทธศาสนานี้ก็ไม่ควรเลี้ยงชีพด้วยการแสวงหา
ที่ไม่เหมาะไม่ควร ฉันนั้น” ได้ตรัสพระคาถาว่า “ภิกษุใดละทิ้งธรรมเสีย หาเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรมภิกษุ
นั้นก็ย่อมไม่เพลินด้วยลาภแม้ที่ตนได้มาแล้วเปรียบเหมือนสตธรรมมานพ”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่ากินอาหารโดยไม่พิจารณาเสียก่อน และอย่าเลยงชีพด้วยอาชีพที่ผิดกฎหมาย ๛
ี้
อุบายหนีตาย (ตินทุกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภพระปัญญษบารมีของพระองค์ ได้
ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาวานร มีลิงเป็นบริวาร
ู่
หลายหมื่นตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บางคราวก็มีคนมาอย บางคราวก็
เป็นหมู่บ้านร้าง ที่กลางหมู่บ้านนั้น มีต้นมะพลับต้นหนึ่ง มีผลสุกอร่อยมาก ฝงลิงจะมากินผลมะพลับสกใน
ู
ุ
คราวที่ไม่มีคนมาอยู่เสมอๆ เพราะติดใจในรสชาติของมัน ต่อมาในปีหนึ่ง ถึงฤดูมะพลับมีผล ได้มีชาวบ้าน
กลุ่มหนึ่งมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น ฝูงลิงก็คิดจะมากินผลมะพลับอีก จึงมอบให้ลิงตัวหนึ่งไปดูลาดเลา มัน
่
ไปดูแล้วกลับมาบอกเพื่อนๆ วา “ขณะนี้ผลมะพลับกำลังสุกเต็มต้นเลย แต่มีอุปสรรคเพราะมีชาวบ้านมา
77
ิ่
อยู่ด้วย พวกเราจะทำอย่างไรดี” พวกลิงพอทราบว่ามีผลมะพลับสุกก็กระตุ้นความอยากกินยงขึ้น จึงเข้าไป
รายงานพญาวานร พญาวานรถามว่า “บ้านมีคนอยู่หรือไม่” พวกมันตอบว่า “มีอยู่ขอรับท่าน” พญาวานร
พูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่ควรไป เพราะมีอันตรายมาก” พวกลิงเสนอว่า “พวกเราไปกินในเวลาเที่ยงคืนส ิ
ชาวบ้านหลับหมดแล้ว อันตรายก็ไม่มี” พญาวานรจึงเห็นด้วย ลิงทั้งฝูงได้ไปแอบอยู่หลังแผ่นหินใหญ่ไม่
ั
ไกลจากหมู่บ้านนั้น พอถึงเวลาเที่ยงคืน ชาวบ้านหลบมหดแล้ว จึงพากันไปขึ้นต้นมะพลับ กินผลมะพลับ
สุก ขณะนั้น บังเอิญว่ามีชายคนหนึ่งเกิดปวดท้องถ่ายอุจจาระ ได้ลงจากเรือนเห็นฝูงลิงกำลังกินผลไม้อยู่
จึงตะโกนปลุกชาวบ้านให้มาจับลิง ชาวบ้านต่างลุกขึ้นถือหอกถือธนูและอาวุธต่างๆ ยืนรายล้อมต้นมะพลับ
็
ไว้ เตรียมการที่จะจับลิงในเวลาเช้าสว่างแล้ว ฝูงลิงเหนเช่นนั้น ตกใจกลัวตาย จึงไปหาพญาวานรแล้ว
ปรึกษาว่า “นายท่าน พวกมนุษย์ถือธนู ถือดาบอันคมกริบ พากันมาแวดล้อมพวกเราไว้แล้ว พวกเราจะทำ
อย่างไรละทีนี้ ?” พญาวานรพูดปลอบใจฝูงลิงว่า “พวกเจ้าอย่ากลัวไปเลย มนุษย์มีการงานมาก ขณะนี้เพิ่ง
จะเที่ยงคืนเอง อาจจะมีกิจการงานอย่างอื่นมาทำให้มนุษย์ทำก็เป็นได้ ใจเย็นๆ เข้าไว้” แล้วกล่าวเป็นคาถา
ว่า “ประโยชน์อย่างใด อยางหนึ่ง จะพึงเกิดแก่มนุษย์ ผู้มีกิจการงานมากเป็นแน่ ยังมีเวลาพอที่จะเก็บ
่
ผลไม้เอามากินได้ พวกเจ้าจงพากันกินผลมะพลับนั้นเถิด” พญาวานรพูดปลอบใจฝูงลิงไว้เพื่อไม่ได้พวกมัน
กลั้นใจตาย เพราะความตกใจกลัว แล้วพูดว่า “พวกเจ้านับลิงดูสิว่ามีครบกันไหม” เมื่อพวกลิงรายงานว่า
้
“ลิงเสนกะ หลานของท่านหายไปขอรับ” จึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกลัว เจาเสนกะจะมาช่วย
พวกเราเอง” ฝ่ายเจ้าลิงเสนกะนอนหลับสนิทอยู่ที่หลังแผ่นหิน เวลามาไม่มีใครปลุก พอตื่นขึ้นไม่เห็นลิงตัว
ใดจึงเดินตามรอยเท้าฝงลิงไป เห็นชาวบ้านยืนถืออาวุธรายล้อมต้นไม้อยู่ ก็ทราบเรื่องอันตรายเกิดขึ้นแก่ฝูง
ู
ลิง จึงเดินไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งกรอด้ายอยู่ท้ายเรือนหลังหนึ่ง คว้าคบไฟดุ้นหนึ่งวิ่งไปจุดหลังคาบ้าน
หลังโน้น หลังนี้ไปทั่วหมู่บ้าน พวกชาวบ้านพอเห็นไฟไหม้บ้านต่างก็ทิ้งอาวุธวิ่งไปดับไฟกันชุลมุน ฝูงลิงได้
โอกาสรีบเก็บผลไม้แล้วก็หลบหนีเข้าป่าไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อุบายเอาชีวิตรอด พึงใช้ปัญญาพิจารณา ในยามคับขัน จะสามารถเอาชีวิตรอดได้ ๛
ลิงโลภมาก (กฬายมุฏฐิชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภพระเจ้าโกศลผู้จะไปปราบกบฏ
ชายแดน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ผู้สอน
้
ธรรมของพระเจาพรหมทัต ในเมืองพาราณสี ต่อมาในฤดูฝนมีกบฏเกิดขึ้นที่ชายแดน พระราชาจะยกทัพไป
ปราบปรามจึงตั้งค่ายไว้ที่สวนหลวง พระโพธิสัตว์ได้เข้าเฝ้าเพื่อคัดค้านแต่ยังหาโอกาสไม่ได้ ขณะนั้นพวก
ทหารได้นำถั่วดำอาหารม้า มาใส่ไว้ในราง มีลิงตัวหนึ่งลงมาจากต้นไม้ฉวยเอาถั่วดำจากรางนั้นใส่จนเต็ม
ปาก แล้วยังคว้าติดมือมาอีกกำหนึ่งกระโดดขึ้นต้นไม้ไปหวังจะนั่งกิน บังเอิญมีถั่วดำเม็ดหนึ่งหลุดจากมือ
มันล่วงลงบนพื้นดิน มันได้ทิ้งถั่วดำทั้งหมดทั้งที่อยู่ในปากและที่มือ ลงจากต้นไม้มาหาถั่วดำเม็ดนั้น เมื่อไม่
เห็นก็กระโดดขึ้นต้นไม้นั่งซึมเศร้าเสยใจอยู่บนกิ่งไม้นั้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นพฤติกรรมของลิงทั้ง
ี
หมดแล้วตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า “ท่านอาจารย์ ดูซิ.. ลิงมันทำอะไร?” พระโพธิสัตว์จึงกราบทูลว่า “ขอ
เดชะมหาราชเจ้า ลิงโง่ตัวนี้หากินตามกิ่งไม้ ปัญญาของมันไม่มี สาดถั่วดำทั้งหมดทิ้งเพื่อถั่วดำเม็ดเดียว
เปรียบผู้โง่เขลาไร้ปัญญา ไม่มองเห็นประโยชน์ส่วนมาก มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนน้อยจึงเป็นเช่นนี้” แล้ว
กล่าวเป็นคาถาว่า “ข้าแต่พระราชา พวกเราก็ดี ชนเหล่าอื่นก็ดีที่มีความโลภจัด จะเสื่อมจากประโยชน์
ส่วนมากเพราะประโยชน์ส่วนน้อย เหมือนลิงเสื่อมจากถั่วทั้งหมดเพราะถั่วเมล็ดเดียวแท้ๆ” พระราชาสดับ
78
ถ้อยคำนั้นแล้วกลับได้สติจึงรับสั่งให้เลิกขบวนทัพเสด็จกลับเข้าเมืองพาราณสีไป ฝ่ายพวกโจรเข้าใจว่า
พระราชาเสด็จออกจากเมืองมาปราบปรามก็ได้พากกันหลบหนีไปเอง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: จงยอมเสียสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อรักษาประโยชน์ส่วนมากไว้ ๛
ลิงไหว้พระอาทิตย์ (อาทิจจุปัฏฐานชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ชอบหลอกลวงรูปหนึ่ง ได้
ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษีบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิม
พานต์เป็นเวลานานหลายปี มีคณะฤๅษีเป็นบริวารหลายร้อยตน วันหนึ่ง ได้ลงจากเขา เข้าเมืองมาอาศัยอยู่
้
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แถบชายแดน ชาวบานมีศรัทธาได้สร้างศาลาถวายหลังหนึ่ง ในเวลาที่คณะฤๅษีไป
ภิกขาจาร จะมีลิงโทนตัวหนึ่งมาที่ศาลาของพวกฤๅษีทำการเทน้ำทิ้ง ทุบหม้อ ทำลายสิ่งของและถ่าย
อุจจาระไว้ที่เตาไฟเป็นประจำ เมื่อออกพรรษาแล้วคณะฤๅษีจึงบอกลาชาวบ้านจะกลับเข้าป่าหิมพานต์
ึ
เหมือนเดิม พวกชาวบ้านจงนิมนต์ให้อยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพื่อถวายอาหาร ครั้งหนึ่งถึงเวลาเช้า ชาวบ้านก็นำ
ข้าวปลาอาหารและผลไม้ไปที่อาศรมของฤๅษี ลิงโทนตัวนั้นเห็นเช่นนั้นก็คิดจะลวงชาวบานเพื่อที่จะได้
้
้
อาหารบาง จึงทำทีเป็นผู้ทรงศีล บำเพ็ญตบะ ยืนไหว้พระอาทิตย์อยู่ในที่ไม่ไกลจากอาศรมฤๅษีนั้น พวก
ชาวบ้านเห็นมันแล้วก็พูดสรรเสริญว่า “ท่านทั้งหลายจงดู ลิงอยู่ใกล้ผู้ทรงศีลก็เป็นผู้ทรงศีลด้วย ตั้งมั่นอย ู่
้
ในศีล ยืนไหว้พระอาทิตย์อยู่น่าสรรเสริญจริง ๆ” ฤๅษีโพธิ์สัตว์เห็นพวกชาวบานสรรเสริญลิงนั้นจึงพูดขึ้นว่า
“พวกท่านไม่ทราบพฤติกรรมของมัน จึงเลื่อมใสในสิ่งไม่เป็นเรื่องเป็นราว” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ท่าน
ทั้งหลายไม่รู้จักปกติของมัน เพราะไม่รู้จักจึงพากันสรรเสริญ ลิงตัวนี้มันเผาโรงไฟ และคนโทน้ำ 2 ลูกก็ถูก
มันทำลาย” พวกชาวบ้านเมื่อทราบว่ามันเป็นลิงหลอกลวง จึงขว้างก้อนหินและท่อนไม้ไล่มันหนีไป แล้วพา
กัน ถวายอาหารแก่คณะฤๅษี พอฉันเสร็จคณะฤๅษีก็ออกเดินทางเข้าป่าหิมพานต์ปฏิบัติธรรมตามเดิม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คนพาลถึงแม้จะอยู่ใกล้บัณฑิตผู้ทรงศีล ก็ยังเป็นคนพาลอยู่นั่นเอง ๛
นิสัยของลิงชั่ว (ทุพภิยมักกฏชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้อกตัญญู
ประทุษร้ายมิตร ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูล
พราหมณ์แห่งหนึ่ง ในแคว้นกาสี ในระหว่างทางมีบ่อน้ำลึกอยู่บ่อหนึ่ง สัตว์ลงกินน้ำไม่ได้ ผู้คนสัญจรไปมา
ต่างต้องการบุญ ใช้กระบอกตักน้ำเทใส่รางทิ้งไว้ให้สัตว์ได้ดื่มกิน ใกล้บ่อน้ำนั้นมีป่าใหญ่ล้อมรอบมีลิงฝูง
ใหญ่อาศัยอยู่ในป่านั้น ต่อมาช่วงหนึ่ง ทางนั้นขาดคนสัญจรไปมาติดต่อกันถึง 2-3 วัน สัตว์ต่าง ๆ รวมทั้ง
ฝูงลิงไม่ได้ดื่มน้ำ มีลิงตัวหนึ่งกระหายน้ำมากเดินวนเวียนรอบบ่อน้ำนั้นอยู่ วันนั้นพระโพธิสัตว์เดินทางผ่าน
ไปทางนั้นพอดีจึงตักน้ำในบ่อเทใส่รางให้มันดื่มกิน เสร็จแล้วคิดจะเอนหลังนอนพักเหนื่อยใต้ต้นไม้สักงีบ
หนึ่งก่อนเดินทางต่อไป ส่วนลิงนั้นดื่มน้ำแล้วก็ไม่หนีไปไหนได้นั่งทำหน้าล่อกแล่กหลอกพระโพธิสัตว์อยู่ใกล้
ๆ นั่นเอง พระโพธิสัตว์เห็นกริยาของมันแล้วจึงพูดตวาดว่า “อ้ายวายร้าย ลิงอัปรีย์ ข้าได้ให้เจ้าดื่มน้ำรอด
ตายแล้ว ยังจะมาทำหน้าล่อกแล่กหลอกข้าอีกน่าอนาถใจแท้ ข้าช่วยเหลือสัตว์ชั่ว ๆ ไม่มีประโยชน์เลย”
ลิงได้ฟังคำนั้นแล้วพูดตอบว่า “ท่านเข้าใจว่าจะมีเพียงแค่นี้หรือ เราจะถ่ายอุจจาระรดหัวท่านอีกด้วยนะ”
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ท่านเคยได้ยินหรือเคยได้เห็นมาบ้างไหมว่า ลิงตัวไหนที่ชื่อว่าเป็นสัตว์มีศีล เราจะ
ถ่ายอุจจาระรดหัวท่านเดี๋ยวนี้แล้วจึงจะไป นี่เป็นธรรมดาของพวกเรา “พระโพธิสัตว์ได้ฟังเช่นนั้นจึงเตรียม
จะลุกขึ้น ทันใดนั้นเองลิงกระโดดจิบกิ่งไม้แล้วถ่ายอุจจาระรดหัวพระโพธิสัตว์ แล้วร้องเจี๊ยก ๆ เข้าป่าไป
พระโพธิสัตว์อาบน้ำชำระร่างกายแล้วจึงเดินกลับบ้านไปอย่างคนหัวเสีย
79
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: การคบและช่วยเหลือคนชั่วไม่มีประโยชน์มีแต่จะสร้างความรำคาญและให้โทษ ๛
บวชเพราะแม่ยาย (กัลยาณธรรมชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภแม่ยายหูหนวกคนหนึ่ง ...เรื่องมี
อยู่ว่า ในเมืองสาวัตถีมีพ่อค้าคนหนึ่ง มีศรัทธาเลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนา ถือศีลห้าเป็นประจำ วันหนึ่งเขา
ไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน ขณะนั้นแม่ยายได้ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา แต่แม่ยายคนนี้หูแกค่อนข้างตึง เมื่อไป
ึ
ถึงบ้านพบแต่ลูกสาวอยู่บ้านไม่พบลูกเขยจึงเอ่ยปากถามลูกสาวว่า “นี่ลูกผัวเอ็งนะยังรักเอ็งอยู่รเปล่า มี
เรื่องทะเลาะกันบ้างไหม?” ลูกสาวตอบว่า “แม่..คนดีๆ อย่างลูกเขยแม่คนนี้นะ แม้บวชแล้วก็ยังหายาก”
ยายแกฟังคำพูดของลูกสาวไม่ชัดได้ยินแต่คำว่าบวชเท่านั้น จึงร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจกว่า “อ้าว..ผัว
เอ็งไปบวชแล้วหรือ” ชาวบ้านเรือนข้างเคียงกันได้ยินเช่นนั้นก็พากันพูดว่า “พ่อค้าไปบวชเสียแล้ว” คนที่
้
เดินผ่านไปมาจึงพูดคุยกันแต่เรื่องพ่อค้าออกบวชแล้ว ฝ่ายพ่อค้าเจาของเรื่องหลังจากฟังธรรมเสร็จก็เดิน
กลับบ้าน ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งได้เดินตรงมาจับแขนเขาถามว่า “ข่าวว่าท่านบวชแล้ว ลูกและเมียของท่าน
พากันร้องไห้อยู่ที่บ้านมิใช่หรือ” พ่อค้าไม่พูดอะไรได้แต่คิดว่า เรายังไม่ได้บวชก็มีคนว่าเราบวชแล้ว ข่าวดี
เช่นนี้ไม่ควรให้หายไปไหน ตกลงเราควรจะบวชในวันนี้ละ” จึงเดินกลับวัดเชตวันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระองค์ หลังจากอุปสมบทได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพื่อคลายความ
สงสัยของพวกภิกษุ พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิด
เป็นพ่อค้าในเมืองพาราณสีมีแม่ยายหูตึงเช่นกัน วันหนึ่งเขาเดินทางไปนอกเมืองด้วยราชกรณียกิจอยาง
่
หนึ่งได้เกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้ขึ้น เมื่อเขากลับเข้าเมืองมาทราบข่าวนั้น จึงไปทูลลาพระราชาออกบวช
ด้วยการกล่าวเป็นคาถาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ในกาลใด บุคคลได้รับสมัญญาว่าผู้มีกัลยา
ธรรมในโลก ในการนั้นนรชนผู้มีปัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลก ในกาลนั้นนรชนผู้มีปัญญาไม่ควรให้ตน
เสื่อมจากสมัญญานั้นเป็นธุระสำคัญแม้ด้วยหิริ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน สมัญญาว่าผู้มีกัลยาณ
ธรรมในโลกข้าพระองค์ได้รับแล้วในวันนี้ ข้าพระองค์พิจารณาเห็นสมัญญานั้นอยู่ จักขอบวชในวันนี้ เพราะ
ข้าพเจ้าองค์ไม่มีความพอใจในการบริโภคกามคุณในโลกนี้” เขาได้บวชเป็นฤๅษีอยู่ป่าหิมพานต์จนตลอดชีพ
ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คำพูดของผู้คน สามารถชักจูงความคิดของคนให้กระทำความดีความชั่วได้ ๛
อานิสงส์การแผ่เมตตา (อรกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงตรัสปรารภเมตตาสูตรว่า...ภิกษุทั้งหลาย
อานิสงส์ของการแผ่เมตตามี 11 ประการ คือ
1. หลับเป็นสุข 2. ตื่นเป็นสุข
3. ไม่ฝันร้าย 4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย 6. เทวดาย่อมรักษา
7. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน 8. จิตได้สมาธิเร็ว
9. สีหน้าผ่องใส 10. ไม่หลงตาย
11. เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
ุ
ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อเบกขา
แม้ไม่ได้มรรคผลก็ยังเข้าถึงพรหมโลกได้” แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระ
่
โพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษีชื่ออรกะ บำเพ็ญเพียรอยู่ปาหิมพานต์ ได้เป็นอาจารย์สอนหมู่ฤๅษี พร่ำสอนอานิสงส์
80
เมตตาว่า “ธรรมดาพรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเมื่อจิตถึงความแน่วแน่แล้ว
ย่อมบังเกิดในพรหมโลกได้” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ผู้ใดอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งมวล ด้วยเมตตาจิตอันหา
ประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องล่าง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูล หาประมาณมิได้ เป็นจิต
บริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมมาดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจะไม่เหลืออยู่ในจิตของเขานั้น”
เมื่อกล่าวคาถาจบ ได้พาหมู่ฤๅษีบำเพ็ญเพียรไม่เสื่อมจากฌาน ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่ได้กลับมาเกิด
ในโลกมนุษย์อีก เป็นเวลา 7 สังวัฏฏกัป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อานิสงส์ของการเจริญภาวนา นักปฏิบัติธรรมพึงมีความขยันมั่นเพียรเทอญ ๛
เหยี่ยวนกเขา (สกุณัคฆิชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระสูตรว่าด้วยโอวาทของนกที่
ไม่ควรเที่ยวหากินไกลถิ่นที่อยู่ของตน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระ
ั
โพธิสัตว์เกิดเป็นนกมูลไถอาศัยหากินอยู่ตามก้อนดินมูลไถ วนหนึ่ง มันบินไปหากินต่างถิ่นถูกเหยี่ยวนกเขา
จับได้ จึงพูดขึ้นว่า “วันนี้เราเคราะห์ร้าย เพราะมาหากินต่างถิ่น ถ้าอยู่ในถิ่นของเราแล้ว ท่านไม่มีโอกาส
จับเราได้หรอก” เหยี่ยวนกเขาได้ฟังเช่นนั้นจึงปล่อยมันไปพร้อมกับพูดว่า “เจานกน้อย ในที่ไหน ๆ เจ้าก็
้
ไม่รอด พ้นกรงเล็บของเราไปได้ดอกให้โอกาสเจ้าแก้ตัว” นกมูลไถพอถูกปล่อยเป็นอิสระก็บินกลับไปถึงที่
้
อยู่ของตน ขึ้นไปจับบนก้อนดินใหญ่แล้วร้องท้าทายเหยี่ยวนกเขาว่า “มาเลยเจาเหยี่ยวโง่ แน่จริงมาจับข้า
ั
อีกสิ” เหยี่ยวนกเขาเห็นมันร้องท้าเช่นนี้นจึงโถมกำลงปีกโฉบเข้าหามันทันที นกมูลไถรู้ว่าเหยี่ยวนกเขาใกล้
จะถึงตัวแล้วก็บินกลับเข้าไปในระหว่างก้อนดินมูลไถ เหยี่ยวมาด้วยความเร็วด้วยหวังจะขย้ำนกมูลไถให้
แหลกคากรงเล็บ จึงกระแทกอกเข้ากับก้อนดินตาถลนออกตายคาที่ ณ ตรงนั้นเอง เมื่อเหยี่ยวตายแล้ว นก
มูลไถจึงขึ้นมายืนบนอกของเหยี่ยวด้วยมั่นใจว่าชนะข้าศึกได้แล้ว กล่าวเป็นคาถาว่า “เรานั้นเป็นผู้
เพียบพร้อมด้วยอุบาย ยินดีแล้วในที่หากินอันเป็นเขตแห่งบิดา เห็นประโยชน์ของตนอยู่ เป็นผู้หลีกพ้นจาก
ศัตรู ย่อมเบิกบานใจ”
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าคิดทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดและไม่มีความชำนาญ
เพราะจะนำความฉิบหายมาให้มากกว่าสิ่งดี ๛
ไม่รู้เวลาตาย (สมิทธิชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดตโปทาราม เมืองราชคฤห์ ทรงปรารถพระสมิทธิเถระ ผู้ถูกนาง
เทพธิดาชักชวนให้เสพกาม ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็น
ฤๅษีบำเพ็ญเพียรฌานสมาบัติอยู่ใกล้สระน้ำำในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งท่านได้บำเพ็ญเพียรตลอดทั้งคืนพอ
สว่างแล้วจึงไปอาบน้ำในสระเสร็จแล้วได้มายืนอาบแดดอยู่ ในขณะนั้นมีเทพธิดานางหนึ่งมองเห็นรูปโฉม
ความงามของร่างกายท่านแล้วเกิดความรักและมีความกำหนัดขึ้น จึงพูดเชิญชวนเสียแล้ว ท่านเสพกาม
ั
เสียก่อนแล้วจึงออกบวชจะไม่ดีกว่าหรือ ท่านอย่าได้ปล่อยให้วยและเวลาเสพกามล่วงเลยไปเสีย ขอเชิญ
ท่านมาเสพกามเถิด” ฤๅษีโพธิสัตว์ได้ฟังเช่นนั้นจึงกล่าวตอบเป็นคาถาว่า “เราไม่รู้เวลาตายของตนเลย
เวลาตายยังปกปิดอยุ่หาปรากฎไม่ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บริโภคกามมาเที่ยวภิกขาจารอยู่ ขอเวลาบำเพ็ญ
สมณธรรมอย่าล่วงเลยเราไปเสีย บุคคลแม้เป็นอติบัณฑิต ก็ไม่รู้ถึงฐานะ 5 อย่าง อันไม่มีนิมิตรในโลกนี้ คือ
ชีวิต 1 พยาธิ 1 เวลา 1 ที่ตาย 1 ที่ไป 1” เทพธิดาได้ฟังคำนั้นแล้วเกิดความละอายใจ ก็หายร่างไปจากที่
ตรงนั้นทันที
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าประมาทในวัยและชีวิต ควรรีบเร่งทำความดีแข่งกันกับวันและเวลา ๛
81
หาที่ตาย (อุปสาฬหกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพราหมณ์อุปสาฬกะ ผเข้าใจว่ามี
ู้
่
ป่าช้าบริสุทธ์ เรื่องมีอยู่วา… พราหมณ์คนนี้มีทรัพย์สมบัติมากแต่เป็นคนเจ้าทิฏฐิ ถึงบ้านจะอยู่ติดกับ
วัดเชตวัน แต่ก็ไม่เคยถวายอะไรแก่พระพุทธเจ้าเลย เข้าทำนองใกล้เกลือกินด่าง เขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง
เป็นคนฉลาด มีความรู้ดี พอพราหมณ์แก่ชราลง วันหนึ่งจึงเรียกลูกชายมาหาแล้วพูดว่า “ลูกรัก ถ้าพ่อตาย
แล้ว เจ้าอย่าเอาศพพ่อไปเผาในป่าช้าที่ปะปนกับคนอื่นนะ ให้เอาศพพ่อไปเผาในป่าช้าใหม่ที่ไม่เคยเผาใคร
มาก่อนเลยนะ” ลูกชายพูดว่า “พ่อครับ ผมไม่รู้ว่าจะุถูกใจพ่อหรือเปล่า ทางที่ดีพ่อพาผมไปเลือกสถานที่ไว้
ตั้งแต่เดี๋ยวนี้จะดีกว่า “วันนั้นพราหมณ์กับลูกชายจึงแสวงหาที่เผาศพ ออกจากเมืองมุ่งตรงไปที่ยอดเขา
คิชกูฏ เลือกได้ที่แห่งหนึ่งแล้วก็ลงจากยอดเขามา ในเวลารุ่งอรุณของวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัย
ของสรรพสัตว์ ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยโสดาปัตติมรรคของพ่อลูกคู่นั้น ดังนั้น พระองค์จึงเสด็จไป
ประทับนั่งรอสองพ่อลูกลงจากเขามา พอพวกเขาเดินลงมาถึงที่ประทับจึงตรัสถามว่า “ไปไหนกันมาละ
ท่านพราหมณ์” ลูกชายจึงกราบทูลเนื้อความให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะไปดู
สถานที่ตรงนั้นด้วย” ว่าแล้วก็พาสองพ่อลูกกลับขึ้นเขาไปดูสถานที่นั้นอีกครั้ง พอขึ้นไปถึงที่นั้น ลูกชายจึงชี้
ให้ดูและกราบทูลว่า “ตรงระหว่างภูเขาสามลูกนี่แหละพระเจ้าข้า “พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พ่อหนุ่ม พ่อ
ของเจ้ามิใช่จะเลือกป่าช้าเผาในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตก็เคยมาแล้วและที่ตรงนี้ก็เคยเผาเขามาแล้ว
14,000 ชาติด้วย” จึงทรงนำอดีตนิทานมาสาธก และตรัสพระคาถาวา “พราหมณ์ชื่อว่าอุปสาฬกะ ได้ถูก
่
พวกญาติเผาในสถานที่นี้ จำนวน 14,000 ชาติแล้ว สถานที่ไม่เคยมีคนตายไม่มีในโลก สัจจะ ธรรมะ
อหิงสา สัญญมะ และทมะมีอยู่ในผู้ใด พระอริยะทั้งหลายย่อมคบหาผู้นั้น (เพราะ) คุณธรรมชื่อว่าไม่ตายใน
โลก” เมื่อตรัสพระธรรมเทศนาจบทำให้ 2 พ่อลูกได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ณ ที่ตรงนั้นเอง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่าไปแสวงหาสถานที่ไม่เคยมีคนนอนตายบนพื้นโลกนี้ให้ยากเลย
เพราะสถานที่ไม่เคยมีคนตายไม่มีในโลก ๛
พังพอนกับงู (นกุลชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการทะเลาะกันของอำมาตย์ 2
ั
คน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษีบำเพ็ญเพียรสมาบติ
ู่
อยู่ป่าหิมพานต์ มีพังพอนตัวหนึ่ง อาศัยอยในจอมปลวกที่จงกรมของฤๅษีนั้น และมีงูตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ที่โคน
ไม้ต้นหนึ่งใกล้จอมปลวกนั้น งูและพังพอนไม่ถูกกันเป็นคู่อริกันตลอดกาล ฤๅษีเห็นสัตว์ทั้งสองทะเลาะกัน
จึงกล่าวถึงโทษของการทะเลาะกันและอานิสงส์ในการเจริญเมตตาแก่สัตว์ทั้งสอง จนทำให้งูและพังพอน
เลิกทะเลาะกันกลับมาเป็นมิตรกันในที่สุด ถึงกระนั้นพังพอนก็ไม่ไว้ใจงู เวลางูออกไปข้างนอกพังพอนก็จะ
นอนอ้าปากหันหัวออกนอกโพรง แม้หลับก็ยังนอนอ้าปากอย ฤๅษีเห็นพฤติกรรมเช่นนั้นของมันจึงถามมัน
ู่
ว่า “พังพอน..เจ้าได้ทำมิตรภาพกับงูผู้เป็นศัตรูแล้วมิใช่หรือ เหตุไฉนจึงนอนแยกเขี้ยวอยู่อีกเล่า ภัยที่ไหน
จะมาถึงตัวเจ้าอีกละ” พังพอนตอบว่า “พระคุณเจ้า เราไม่ควรดูหมิ่นศัตรู ควรระแวงไว้เสมอ” แล้วกล่าว
เป็นคาถาว่า “บุคคลพึงระแวงภัยในศัตรูไว้ก่อน แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้วางใจ ภัยที่เกิดขึ้นจากมิตรย่อมกัด
้
่
กร่อนจนถึงโคนราก” ฤๅษีจึงกล่าวสอนพูดให้พังพอนเลิกระแวงวา “เจาอย่ากลัวไปเลย เราได้ทำให้งูไม่ทำ
ร้ายเจ้าแล้ว เจ้าเลิกระแวงได้แล้วละ” งูและพังพอนนั้นก็เป็นอยู่อยางสันติจนตราบสิ้นชีวิต
่
่
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อยู่รวมกันไม่ควรทะเลาะกัน เพราะจะนำมาซึ่งความระแวงกัน ๛
82
พญาแร้ง (คิชฌชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ได้ตรัส
ว่า “สาธุ สาธุ โบราณบณฑิตได้ทำอุปการะแก่ผู้มิใช่ญาติ เพื่อตอบแทนบุญคุณส่วนมารดาบิดาถือเป็น
ั
ภาระของภิกษุโดยแท้” แล้วทรงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิด
เป็นพยาแร้งเลี้ยงดูบิดามารดาอยู่ที่คิชฌบรรพต ต่อมาวันหนึ่งเกิดพายุฝนหาใหญ่พัดกระหน่ำ ฝูงแร้งไม่
่
สามารถทนพายุฝนได้ พากันบินหนีตายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองพาราณส วันนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสี
ี
คนหนึ่ง ออกจากเมืองจะไปอาบน้ำเห็นฝูงแร้งเปียกมอมแมมอยู่ จึงหอบไปรวมกันในที่แห่งหนึ่ง ก่อไฟให้
ผิงแล้วนำไปไว้ที่ป่าช้า นำเนื้อโคมาเลี้ยงพวกแร้งเป็นอย่างดี เมื่อพายุฝนหยุดแล้ว ฝูงแร้งมีรางกายเข้มแข็ง
่
แล้วพากันบินกลับรังที่ภูเขาตามเดิม วันหนึ่งฝูงแร้งจับกลุ่มปรึกษากันว่า “พวกเรารอดตายมาได้ ก็เพราะ
การช่วยเหลือของเศรษฐีคนหนึ่ง พวกเราจะตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างไรดี” จึงตกลงร่วมกันว่า
“ตั้งแต่วันนี้ไป แร้งตัวใดได้ผ้าหรือเครื่องนุ่งห่มใด ๆ ก็พึงคาบไปทิ้งที่บ้านเศรษฐีนะ” นับแต่วันนั้นมาฝูง
แร้งก็ดูทีเผลอของพวกมนุษย์ที่ตากผ้าไว้ที่กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉี่ยวเอาผ้าไปทิ้งไว้ที่บ้านเศรษฐีเป็น
ประจำ เศรษฐีพอเห็นผ้านั้นแล้ว ก็นำไปเก็บไว้ในที่ส่วนหนึ่งต่างหากไม่นำเอามาใช้ ชาวเมืองเกิดความ
เดือดร้อนเพราะฝูงแร้งลักผ้าไป จึงเข้ากราบทูลพระราชา พระองค์รับสั่งให้ดักบ่วงและข่ายเพื่อจับพญาแร้ง
ั
เมื่อชาวเมืองจับพญาแร้งได้แล้ว จะนำไปถวายพระราชา เศรษฐีก็กำลงจะเข้าเฝ้าพระราชาเช่นกัน จึงเดิน
ตามกันไป พระราชาตรัสถามพญาแร้งว่า “พวกเจ้าคาบผ้าชาวเมืองไปหรือ?” พญาแร้งตอบว่า “จริง พระ
เจ้าข้า” พระราชา “พวกเจ้าเอาไปให้ใคร” พญาแร้ง” ให้เศรษฐี พระเจ้าข้า “พระราชา “ทำไมละ” พญา
แร้ง” เพราะเศรษฐีช่วยเหลือชีวิตของพวกข้าพระองค์จึงต้องตอบแทนบุญคุณ .. พระเจ้าข้า “พระราชา
ตรัสถามอีกว่า “เขาลือกันว่า แร้งเห็นซากศพได้ ถึง 100 โยชน์มิใช่หรือ เหตุไร พวกเจ้ามาใกล้ข่ายและบ่วง
แล้วก็ไม่รู้สึกตัวเล่า “พญาแร้งตอบเป็นคาถาว่า “เมื่อใดสัตว์มีความเสื่อมในขณะจะสิ้นชีวิต เมื่อนั้นนถึงจะ
มาใกล้ข่ายและบ่วงก็ไม่รู้” พระราชาตรัสถามเศรษฐีว่า “เป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ท่านเศรษฐี” เศรษฐีได้
กราบทูลว่า “จริงพระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยแร้งตัวนี้ไปเถิด ข้าพระองค์จะคืนผ้าเหล่านั้นแก่
เจ้าของเดิม พระเจ้าข้า “พระราชาจึงรับสั่งให้ปล่อยแร้งไปตามเดิม เศรษฐีก็คืนผ้าให้แก่เจ้าของเดิมไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: : บุญคุณต้องตอบแทนแม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังรู้จักตอบแทนบุญคุณ
และอย่าได้ประมาทในวัยเพราะความตายไม่เคยเว้นใคร ๛
กาเทียมหงส์ (วินีลกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้แสดงท่าทางเอา
อย่างพระองค์แล้วถึงความพินาศ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์
เกิดเป็นพระราชา ครองเมืองมิถิลา แคว้นวิเทหะ สมัยนั้น พญาหงส์ตัวหนึ่ง มีเมียตัวหนึ่งเป็นนางนกกา ทำ
รังอยู่ที่ต้นตาล ใกล้โรงอาหาร มีลูกด้วยกันตัวหนึ่ง เป็นตัวผู้หน้าตา่ไม่เหมือนพ่อแม่ จึงตั้งชื่อว่า วินีลกะ
เพราะมันมีสีค่อนข้างคล้ำ อนึ่ง พญาหงส์นั้นมีลูกหงส์อยู่ก่อนแล้ว 2 ตัว ลูกหงส์เห็นพญาหงส์ไปถิ่นมนุษย์
บ่อยนักจึงถามพ่อว่าไปทำไม พญาหงส์จึงบอกลูกว่า “ลูกรัก..พ่อไปเยี่ยมน้องของพวกเจ้าชื่อวินีลกะที่เกิด
จากนางนกกานะ” ลูกถามว่า “พวกเขาอยู่ตรงไหนละครับพ่อ” พ่อตอบว่า “อยู่ยอดต้นตาลตรงโน้น ใกล้
เมืองมิถิลาจ้าลูก” ลูกพูดว่า “พวกผมจะไปพาเขามานะครับพ่อ” พ่อห้ามว่า “อย่าไปเลยลูก ถิ่นมนุษย์มัน
มีภัยอันตรายรอบด้าน พ่อจะพาเขามาเอง” ลูกหงส์ทั้งสองหาเชื่อคำของพ่อไม่ ได้อาสาไปนำนกวินีลกะมา
จึงพากันไปที่ต้นตาลนั้น ให้นกวินีลกะจับคอนไม้อันหนึ่งแล้ว ช่วยกันคาบปลายไม้คนละข้าง บิินผ่านเมือง
83
มิถิลามา ขณะนั้น พระราชากำลังประทับบนราชรถเทียมม้าสีขาวปลอด 4 ตัว ทรงทำประทักษิณพระนคร
อยู่ นกวินีลกะเห็นเช่นนั้นแล้วก็นึกในใจว่า “เราก็ไม่ต่างจากพระราชาเลยนะ ได้นั่งบนรถเทียมหงส์เลียบ
พระนคร” จึงพูดเปรย ๆ ขึ้นว่า “ม้าอาชาไนยพาพระเจ้าวิเทหะผู้ครองเมืองมิถิลาให้เสด็จไป เหมือนหงส์
่
สองตัวพาเราผู้ชื่อวาวินีลกะไปจริง ๆ หนอ” ลูกหงส์พอได้ฟังคำนั้นแล้วโกรธ ตั้งใจว่าจะปล่อยให้มันตกลง
ไปเสียก็กลัวพ่อจะตำหนิเอา จึงอดทนไว้พามันไปจนถึงรังแล้วเล่าให้พ่อฟัง พญาหงส์โกรธจัดตวาดว่า
“เจ้าวิเศษกว่าลูกเราเชียหรือ จึงเปรียบเปรยลูกเราเหมือนม้าเทียมรถ เจ้าช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง ที่นี่
ไม่ใช่ที่อยู่ของเจ้า เจ้าจงกลับไปหาแม่เจ้าเถิด” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “เจ้าวินีลกะ เจ้ามาอยู่อาศัยซอกเขา
อันมิใช่พื้นเพเดิมของเจ้า เจ้าจงไปอยู่อาศัยสถานที่ใกล้หมู่บ้านเถิด นั้นเป็นที่อยู่อาศัยของแม่เจ้า “แล้วสั่ง
ให้ลูกหงส์นำมันกลับไปปล่อยไว้ที่เดิม
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: อย่ายกตนข่มท่าน จะนำความลำบากมาให้ ๛
ราชสีห์ตกหล่ม (คุณชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระอานนทเถระ ผู้ได้รับการ
ถวายผ้านุ่งจำนวน 500 ผืนจากพระเทวี เป็นเหตุให้พระเจ้าโกศลเข้าใจผิดคิดว่าพระเถระจะค้าขายผ้า เมื่อ
เข้าใจแล้วกลับยิ่งศรัทธาถวายผ้านุ่งอีก 500 ผืน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งกับตัวเมียอีกตัวหนึ่ง วันหนึ่ง ราชสีห์นั้นออกหากินได้
่
ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขามองดูสัตว์น้อยใหญ่ที่มาหากินอยู่ข้างสระใหญ่ข้างลาง ในสระนั้นมีดินดอนที่เกิด
จากเปลือกตมอยู่ดอนหนึ่ง พอเปลือกตมแห้งก็มีหญ้าอ่อนเกิดขึ้น มักจะเป็นที่หากินของกระต่าย เนื้อ แมว
และสุนัขจิ้งจอกเสมอ ในวนนั้นมีเนื้อตัวหนึ่งกำลังยืนแทะเล็มหญ้าอ่อนอยู่ที่ดอนนั้น ราชสีห์เห็นเนื้อนั้น
ั
็
แล้วก็หมายใจไว้ว่าจะจับกินเป็นอาหารในวันนี้ จึงกระโดดลงจากเขาวิ่งไปด้วยความเรว แต่เนื้อได้ยินเสียง
เสียก่อนจึงวิ่งหนีไปได้หวุดหวิด ราชสีห์วิ่งมาด้วยความเร็ว ตกลงไปในบ่อโคลนตม ไม่สามารถขยับเขยื้อน
ขึ้นมาได้ ยืนอดอาหารอยอย่างนั้นถึง 7 วัน ในวันที่ 7 ได้มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเที่ยวหากินมาถึงที่นั้น พอ
ู่
่
เห็นราชสีห์เข้าก็ตกใจกลัวจะวิ่งหนีไป ราชสีห์จึงร้องเรียกมันให้ช่วยเหลือวา “สุนัขจิ้งจอกพ่อมหาจำเริญ..
ท่านอย่ากลัวไปเลยเราติดหล่ม ช่วยเราด้วย” สุนัขจิ้งจอกนั้นจึงพูดว่า “ท่านราชสีห์ถ้าข้าพเจ้าช่วยเหลือ
่
ท่านขึ้นมาแล้ว เกรงวาท่านจะกินข้าพเจ้าเสียนะสิ” ราชสีห์พูดว่า “อย่ากลัวไปเลย เราไม่กินท่านดอก มี
แต่จะตอบแทนบุญคุณท่านนั้นแหละ จงหาวิธีช่วยเราขึ้นไปที” สุนัขจิ้งจอกได้ฟังราชสีห์พูดเช่นนั้นจึงตกลง
ใจเข้าไปช่วยเหลือด้วยการตะกุยเลนรอบเท้าทั้ง 4 ทำเป็นรางให้น้ำไหลเข้าไป พอน้ำไหล เข้าไปทำให้เลน
อ่อน มันจึงเข้าไปดุนท้องราชสีห์พร้อมพูดกระตุ้นว่า “พยายามเข้าท่าน” ราชสีห์จึงกระโดดขึ้นจากหล่มได้
พักอยู่ครู่หนึ่งแล้วลงไปอาบน้ำในสระนั้น ขึ้นมาล่าควายป่าได้ตัวหนึ่งได้มอบเนื้อส่วนหนึ่งให้สุนัขจิ้งจอก
พร้อมกับพูดว่า “กินเสยเถิด สหาย” ให้สุนัขจิ้งจอกกินอิ่มแล้ว ตัวเองจึงกินทีหลัง ลำดับนั้น สุนัขจิ้งจอกได้
ี
่
กัดเนื้อก้อนหนึ่งคาบไว้ เมื่อราชสีห์ถามวาท่านจะทำอะไร มันจึงพูดว่า “ข้าพเจ้ามีภรรยาอยู่ตัวหนึ่งนอนรอ
อาหารอยุ่ที่ถ้ำ” ราชสีห์จึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราไปกันเถิด” แม้ตัวเองก็คาบเนื้อชิ้นหนึ่งไปเพื่อนาง
ราชสีห์เช่นกัน พาสุนัขจิ้งจอกไปที่ถ้ำแล้วชักชวนให้มาอยู่ที่ถ้ำใกล้ชิดกัน ตั้งแต่นั้นมาราชสีห์และสุนัข
จิ้งจอกก็ได้ออกหาอาหารด้วยกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป นางราชสีห์และนางสุนัข
่
จิ้งจอกได้ลูกคนละ 2 ตัว สัตว์ทั้งหมดอยู่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี ต่อมาวันหนึ่งนางราชสีห์เฉลียวใจวา
“ทำไมหนอ ราชสีห์สามีเราถึงได้รักนางสุนัขจิ้งจอกและลูกมันเหลือเกิน หรือจะมีการชมเชยกันเสียแล้วละ
เราจะขับไล่นางสุนัขจิ้งจอกและ ลูกของมันให้หนีไปเสีย” พอถึงเวลาที่ราชสีห์และสุนัขจิ้งจอกออกหากิน
84
่
นางจึงได้ไปขับไล่นางสุนัขจิ้งจอกให้หนีไปอยู่ที่อื่น ฝ่ายนางสุนัขจิ้งจอกพอสามีกลับมาแล้วก็เลาเรื่องนั้นให้
ฟังและชวนกันกลับไปอยู่ถ้ำของตนตามเดิม สุนัขจิ้งจอกจึงเข้าไปหาราชสีห์ พูดว่า “นาย..ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็
นานแล้ว ธรรมดาผู้ที่อยู่นานๆ นักย่อมไม่เป็นที่พอใจของเจ้าของบ้าน นางราชสีห์ภรรยาท่านคุกคามลูก
และภรรยาของข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านพึงทราบด้วย พวกข้าพเจ้าขอลาไปละ” ราชสีห์ได้ฟังคำของสุนัข
จิ้งจอกแล้วจึงได้เล่าเรื่องสุนัขจิ้งจอกเป้นผู้มีบุญคุณ ช่วยเหลือชีวิตตนขึ้นจากโคลนตมให้นางราชสีห์ฟัง
พร้อมทั้งกล่าวเป็นคาถาว่า “ถึงแม้ว่ามิตรจะมีกำลังด้อยกว่า แต่ตั้งอยู่ในมิตรธรรม เขาชื่อว่าเป็นญาติ เป็น
เผ่าพันธุ์ เป็นมิตรและเป็นเพื่อนของเรา นี่นางผู้มีเขี้ยวแหลมคม เจ้าอย่าได้ดูหมิ่นสุนัขจิ้งจอกผู้ให้ชีวิตแก่
เราอีกเลย” นางราชสีห์ฟังคำนั้นแล้วจึงขอโทษสุนัขจิ้งจอก แต่นั้นมาสัตว์ทั้งหมดก็อยู่อย่างกลมเกลียวกัน
เหมือนเดิมเป็นมิตรกันตลอด 7 ชั่วตระกูล
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: มิตรแท้ ย่อมช่วยเหลือให้พ้นภัยได้ ๛
หมูท้าชนราชสีห์ (สูกรชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภหลวงตารูปหนึ่ง ผู้วิ่งหนีตายไป
ตกหลุมส้วมเปื้อนอุจจาระเต็มตัว ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์
เป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ที่ภูเขาในป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลจากภูเขานั้น มีหมูป่าฝูงหนึ่งอาศัยอยู่
ริมสระน้ำแห่งหนึ่ง และที่ใกล้ๆ สระน้ำนั้นมีฤๅษีกลุ่มหนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่ อยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์เที่ยวหา
อาหารกินอิ่มแล้วได้มาดื่มน้ำที่สระนั้น ขณะนั้นมีหมูป่าอ้วนตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่ริมสระนั้นพอดี ราชสีห์
พอเห็นหมูนั้นแล้วก็นึกในใจว่า “สักวันหนึ่ง เราจะมาจับหมูตัวนี้กิน แต่ถ้ามันเห็นเรา มันจะไม่มาที่นี่อีก”
เพราะกลัวหมูนั้นเห็น จึงหลบไปเสียอีกทางหนึ่ง ฝ่ายเจ้าหมูตัวนั้นพอเห็นราชสีห์แอบไปข้างหนึ่ง กลับคิด
ว่า “ราชสีห์ตัวนี้กลัวเรา พอเห็นหน้าเราแล้วก็วิ่งหลบหนีไป วันนี้เราจะต่อสู่กับราชสีห์ตัวนี้ละ” มันชูหัว
ร้องเรียกราชสีห์ให้มาต่อสู้กันว่า “สหาย เราก็มี 4 เท้า ท่านก็มี 4 เท้าเหมือนกัน กลับมาสู้กันก่อนเถิด
ท่านกลัวเราหรือจึงวิ่งหนีไป” ราชสีห์พอได้ฟังคำท้าของหมูป่านั้นก็พูดขึ้นว่า “เจ้าหมูป่าเพื่อนเกลอ วันนี้
เราไม่สู้กับท่านหรอก แต่อีก 7 วัน เรามาสู้กันที่นี่ก็แล้วกันนะ” ตกลงกันตามนั้นแล้วก็กลับเข้าป่าไป ฝ่าย
เจ้าหมูป่ารู้สึกเบิกบานใจที่จะได้ต่อสู้กับราชสีห์ จึงเรื่องนี้กลับไปเล่าอวดพวกพ้องเป็นการใหญ่ พวกหมูป่า
ตกใจด่ามันว่า “เจ้าหมูอ้วนบ้า เจ้าหาเรื่องฉิบหายมาให้พวกเราเสียแล้ว เจ้าไม่เจียมหัวกบาลตัวเอง ไปท้าสู้
ี
กับเจ้าไพร ราชสีห์จะมาเขมือบพวกเราก็ครั้งนี้ละ” มันพอทราบว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่ไปท้าสู้กับราชสห์
่
ก็กลัวตาย ถามว่า “แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีละท่านทั้งหลาย” พวกหมูปาจึงแนะนำมันวา “เพื่อนเอ๋ย เจ้าจง
่
ไปที่ถ่ายอุจจาระของพวกฤๅษี แล้วเกลือกตัวด้วยอุจจาระ ปล่อยให้แห้งติดตัวสัก 7 วัน พอถึงวันที่ 7 ก็
ู่
เกลือกตัวให้ชุ่มด้วยน้ำค้างตอนเช้า แล้วไปยืนอยเหนือลมก่อนราชสีห์จะมา ชีวตเจ้าจะรอดมาได้” มันได้
ิ
ทำตามนั้น ในวันนัดต่อสู้ ราชสีห์พอมาถึงได้กลิ่นตัวหมูป่านั้นก็พูดขึ้นว่า “เจ้าหมูป่าเพื่อนเกลอ ท่านช่าง
คิดหาชั้นเชิงได้ดีมาก หากท่านไม่เปื้อนอุจจาระ เราจะเขมือบท่านเสียตรงนี้แหละ เราขอยอมแพ้ ให้ท่าน
เป็นฝ่ายชนะก็แล้วกัน” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “สุกร..เจ้าเป็นสัตว์สกปรก มีขนเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้ง
กระจายไป สหาย... หากท่านประสงค์จะสู้กับเรา เราขอยกชัยชนะแก่ท่าน” ว่าแล้วก็รีบวิ่งหนีไปเพราะทน
กลิ่นเหม็นไม่ไหว เจ้าหมูป่าก็รีบกลับไปบอกถึงชัยชนะของตนแก่พวกพ้อง แล้วก็พากันอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น
เพราะกลัวราชสีห์จะมารังควาญ
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: รู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ๛
85
ราชสีห์ 8 พี่น้อง (สิคาลชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ทรงปรารถลูกชายของช่างตัด
ผม ชาวเมืองเวสาลีคนหนึ่ง กลั้นใจตายเพราะไม่สมหวังในความรัก ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์ มีน้องชาย 6 ตัวและน้องสาว 1 ตัว อาศัยอยู่ในถ้ำ
ทองแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ในที่ไม่ไกลจากถ้ำทองนั้นมีถ้ำแก้วผลึกอยู่ถ้ำหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสุนัข
ู่
จิ้งจอกตัวหนึ่ง ต่อมาเมื่อพ่อแม่ของราชสีห์ได้ตายลง ราชสีห์ผู้ที่พี่จึงให้ราชสีห์น้องสาวอยเฝ้าถ้ำส่วนพวก
ตนออกหาอาหาร เมื่อได้อาหารแล้วก็จะพากันกินส่วนหนึ่ง นำอาหารอีกส่วนหนึ่งมามอบให้น้องสาวที่ถ้ำ
เป็นลักษณะเช่นนี้ประจำ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อราชสีห์ผู้พี่ทั้ง 7 ตัวออกไปหาอาหารแล้วสุนัขจิ้งจอกที่อาศัยอยู่
้
่
ถ้ำแก้วผลึกได้มาที่ถ้ำทองพร้อมกับพูดเกี้ยวพาราสีนางราชสีห์สาววา “แม่ราชสีห์น้อย เรามี 4 เท้า เจาก็มี
4 เท้า เจ้าจงเป็นภรรยาของเราเสียเถิด” นางราชสีห์สาวได้ฟังคำของสุนัขจิ้งจอกพูดเช่นนั้นก็คิดน้อยใจวา
่
ุ
“เราเป็นสัตว์ตระกูลสูง สนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ตระกูลต่ำ มันพูดไม่ไพเราะเลย เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม จะ
กลั้นใจตายเสียดีกว่า “แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า “รอให้พวกพี่กลับมาก่อนดีกว่า เล่าให้พวกเขาฟังแล้วค่อยตาย”
จึงไม่พูดตอบอะไร เมื่อไม่ได้รับคำตอบสุนัขจิ้งจอกก็เดินกลับถ้ำของตนไป ราชสีห์หนุ่มทั้ง 6 ตัวกลับมาถึง
ถ้ำก่อน เมื่อได้รับฟังคำบอกเล่าจากน้องสาวแล้วโกรธมาก ถามถึงที่อยู่ของสุนัขจิ้งจอกนางราชสีห์เพราะไม่
เคยออกไปจากถ้ำสักครั้งเข้าใจว่าสุนัขจิ้งจอกอยู่กลางแจ้งจึงบอกไปวา “มันอยู่กลางแจ้งที่เชิงเขาละพี่”
่
ราชสีห์เหล่านั้นด้วยอารมณ์โกรธ จึงวิ่งไปหาสุนัขจิ้งจอกด้วยความเร็วหวังจะขย้ำให้ตายครั้งเดียว ได้ชนเข้า
กับถ้ำผลึกนอนตายอยู่ที่ นั่นเองทั้ง 6 ตัว ตกเย็นเมื่อราชสีห์โพธิสัตว์กลับมาถึงถ้ำทราบเหตุการณ์ นั้นแล้ว
พอน้องสาวบอกว่าสุนัขจิ้งจอกอยู่กลางแจ้งที่เชิงเขาเท่านั้นก็คิดได้ว่า “พวกสุนัขจิ้งจอกไม่เคยอาศัยอย ู่
กลางแจ้ง มันต้องนอนอยู่ในถ้ำแก้วผลึกแน่นอน” เดินไปที่เชิงเขาเห็นราชสีห์น้องชายทั้ง 6 ตัวนอนตายอยู่
จึงพูดขึ้นว่า “พวกนี้คงจะไม่รู้ว่าสุนขจิ้งจอกนอนอยู่ในถ้ำแก้วผลึก เพราะไม่ทันใช้ปัญญาพิจารณา
ตรวจสอบจึงวิ่งชนถ้ำตายเสียหมด การงานของผู้ไม่พิจารณาแล้วรีบทำย่อมเป็นอย่างนี้กันทุกคนแหละ”
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “การงานเหล่านั้นย่อมเผาบุคคลผู้มิได้พิจารณาแล้วรบรอนจะทำให้เสร็จ เหมือนกับ
ี
้
่
ขอร้อนที่บุคคลไม่พิจารณาก่อนแล้ว ใสเข้าไปในปาก” เมื่อกล่าวจบก็ขึ้นไปที่ปากถ้ำ แก้วผลึกคำรามเสียง
ดังขึ้น 3 ครั้ง ทำให้สุนัขจิ้งจอกที่นอนหวาดกลัวอยู่ในถ้ำนั้นหัวใจวายตายไปเอง แล้วกลับลงมาฝังพวก
น้องชายไว้ที่แห่งหนึ่ง กลับไปถ้ำเล่าเรื่องราวให้น้องสาวฟัง แล้วพูดปลอบใจน้องสาวให้หายความน้อยใจ
ได้อาศัยอยู่ที่นั้นจนตราบสิ้นชีวิต
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: จะทำกิจการงานใด ๆ อย่าได้รีบด่วนตัดสินใจ พึงพิจารณาอย่างรอบคอบ
หรือปรึกษาท่านผู้รู้เสียก่อนค่อยลงมือกระทำ ๛
ลูกศิษย์สอนอาจารย์ (การันทิยชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีปรารภพระสารีบุตรผู้ให้ศีลแก่ทุกคนที่ตนพบ
เห็น แต่ไม่ค่อยมีคนรักษาศีล ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดใน
ตระกูลพราหมณ์เมืองพาราณสี มีชื่อว่า การันทิยะ เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มแล้วได้ไปศึกษา ศิลปวิทยาที่เมือง
ตักกศิลา ได้เป็นหัวหน้าคณะศิษย์อาจารย์ของเขาได้ให้ศีลแก่คนพบเห็นทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวประมง
ชาวนา ผู้ไม่ขอศีลเลยวา “ท่านทั้งหลายจงรับศีล รักษาศีลนะ” ปรากฏว่าคนเหล่านั้นรับศีล เมื่ออาจารย์
่
่
ทราบเรื่องแล้วก็มักบ่นให้ลูกศิษย์ฟังอยู่เป็นประจำวา “อ้ายพวกนี้ ไม่รู้จักทำคุณงามความดี รับศีลไปแล้วก็
์
ไม่รู้จักรักษา “อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านแห่งหนึ่งมาเชิญให้ไปสวดพิธีพราหมณ์ อาจารยจึงเรียกการรันทิยะ
86
ั
มาพบแล้วมอบให้เป็นหัวหน้าคณะไปแทนตน และกล่าวกำชับว่า “การนทิยะ ฉันจะไม่ไปนะ มอบให้เธอ
เป็นหัวหน้าพากันไป แต่อย่าลืมนำส่วนของฉันมาด้วยละ” เมื่อการันทิยะพาคณะไปแล้วขากลับมาได้พากัน
นั่งพักผ่อนอยู่ข้างเขาลูกหนึ่งใกล้สำนักเรียน เขาคิดหาวิธีที่จะเตือนสติอาจารย์ให้เลิกให้ศีลคนทั่วไป ให้รู้จัก
ให้ศีลแก่ผู้ที่ขอเท่านั้น เดินไปเห็นซอกเขา ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงจับก้อนหินโยนลงไปที่ซอกเขานั้นพวกศิษย์คน
์
อื่น ๆ ถามว่าทำอะไร ก็ไม่ยอมบอก พวกลูกศิษย์จึงพากันกลับสำนักเรียนไปบอกอาจารย อาจารย์พอมาถึง
ก็ถามขึ้นว่า “การันทิยะ จะมีประโยชน์อะไรกับการทิ้งก้อนหินลงไปในซอกเขานี้ เจ้าทำไปทำไม” การันทิ
์
ยะตอบวา “ผมจักทำแผ่นดินให้เรียบเสมอกันดังฝ่ามือครับอาจารย” อาจารย์” ท่านคนเดียวย่อมไม่
่
่
สามารถถมหุบเหวให้เต็มทำแผ่นดินให้ราบเรียนได้หรอก เกรงวาท่านตายไปก็ยังทำไม่ได้” การันทิยะ” ถ้า
ผมคนเดียวไม่สามารถทำแผ่นดินให้ราบเรียนเสมอกันได้ อาจารย์ก็ไม่สามารถนำมนุษย์ผู้มีทิฏฐิต่าง ๆ กัน
ให้มีศีลธรรมเสมอกันได้เช่นกันนะ ขอรับ” อาจารย์ได้ฟังแล้วกลับได้สติรู้ว่าตนผิดแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า
“การันทิยะ เจ้าได้บอกความจริงแก่เรา ข้อนี้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แผ่นดินนี้มนุษย์ไม่สามารถจะทำให้
ราบเรียบได้ ฉันใด เราก็ไม่อาจทำมนุษย์ทั้งหลายให้มาอยู่ในอำนาจของเราได้ฉันนั้น” นับตั้งแต่วันนั้น
อาจารย์ก็เลิกให้ศีลแก่ผู้ไม่ขอศีล ให้เฉพาะผู้ที่ขอเท่านั้น
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: คนมีทิฏิฐิต่างกันพึงเลือกสอนคนที่ควรสอนเท่านั้น เพราะพระพุทธองค์เปรียบ
บุคคลเหมือนดอกบัว 4 เหล่า 3 พวกแรกสอนได้ พวกหลังสุดปล่อยทิ้งไปเสีย ๛
ลูกสอนพ่อ (สุชาตกุมารชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีปรารภพ่อค้าผู้เศร้าโศกเสียใจกับการตายของ
บิดาอย่างไม่สร่างซาคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดใน
็
ตระกูลพ่อค้าเมืองพาราณสี มีชื่อว่า สุชาตกุมาร เมื่อเติบโตเปนหนุ่ม ปู่ของเขาก็ได้เสียชีวิตลง หลังจากปู่
เสียชีวิตแล้ว บิดาของเขาอยู่ในอาการเศร้าโศกตลอดมา ไม่มีจิตใจทำการค้าขายเลย เมื่อเผาร่างปู่เสร็จแล้ว
ก็นำกระดูกมาบรรจุสถูปดินไว้ในสวนหลังบ้าน เที่ยวไปไหว้กระดูกนั้นแล้วเดินวนเวียนนั่งร้องไห้อยู่ ไม่
อาบน้ำ ไม่กินข้าว ไม่ทำการค้าขาย เป็นประจำทุกวัน สุชาตกุมารเห็นบิดาตกอยู่ในอาการเช่นนั้นจึงคิดหา
วิธีเตือนสติ วันหนึ่งเขาเดินไปนอกบ้านเห็นวัวตายตัวหนึ่ง จึงนำหญ้าและน้ำมาวางไว้ข้างหน้ามัน แล้วพูด
ว่า “จงกิน จงดื่ม” ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นเขาก็ถามว่า “ท่านทำอะไร เป็นบ้าเหรอ ป้อนอาหารให้วัว
ตาย” สุชาตกุมารก็ไม่พูดตอบโต้อะไรยังคงนั่งพูดอยู่อย่างนั้น ชาวบ้านจึงเดินไปบ้านบอกบิดาของเขาให้
้
ทราบว่า สุชาตกุมารเป็นบาแล้ว นั่งป้อนอาหารวัวที่ตายแล้ว บิดาของเขาพอทราบเรื่องก็รีบไปดูด้วยความ
เป็นห่วงลูกชาย ลืมการตายของบิดาไปชั่วขณะ เมื่อไปถึงที่ลูกชายนั่งอยู่จึงถามว่า “ลูก เป็นคนฉลาดมิใช่
หรือ ทำไมจึงป้อนหญ้าป้อนน้ำให้วัวตายเล่า ไม่มีวันที่มันจะฟื้นคืนมาได้ดอก อย่ามานั่งบ่นเพ้อเหมือนคน
ไร้ความคิดเลย” สุชาตกุมารจึงตอบว่า “พ่อ.. วัวตัวนี้ร่างกายมันอยู่ครบบริบูรณ์ดี ผมเข้าใจว่า มันต้องลุก
ขึ้นมากินได้ ส่วนปู่ของเราไม่มีร่างกายแล้วพ่อยังไปนั่งร้องไห้คร่ำครวญหาอยู่ท้ายสวนเป็นประจำ พ่อมิใช่
เป็นคนไร้ความคิดกว่าเหรอ” บิดาจึงได้สติคืนมา กล่าวยกย่องชมเชยสุชาตกุมารแล้วกล่าเป็นคาถาว่า “คน
ผู้มีปัญญา มีใจอนุเคราะห์ ย่อมทำบุคคลให้หลุดพ้นจากความเศร้าโศกได้ เหมือนกับสุชาตบุตรของเราทำ
เราผบิดาให้หลุดพ้นความโศก ฉะนั้น”
ู้
ี
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: การเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมชาติของชาวโลก อย่าไปอาลัยอาวรณ์อยู่กับผู้ที่เสยชีวิต
กระทำความดีกันเถิด สาธุชนเอ๋ย ๛
87
ความลับไม่มีในโลก (สีลวิมังสชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ปรารภอุบายเครื่องข่มกิเลสที่เกิดขึ้นภายใน
พวกภิกษุในยามรุ่งแจ้งได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้นหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูล
์
พราหมณในเมืองพาราณส เมื่อเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มได้ไปเรียนศิลปวิทยาในสำนักอาจารย์คนหนึ่งในเมือง
ี
นั้นเอง ที่สำนักเรียน อาจารย์มีลูกสาวสวยคนหนึ่ง ต้องการอยากจะได้ลูกเขยเป็นผู้มีศีลธรรม คิดแผนการ
ได้อย่างหนึ่งแล้ว ก็เรยกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด ประกาศให้ทราบว่า “นี่เธอทั้งหลาย ลูกสาวเราเติบโตเป็น
ี
สาวแล้ว เราจักให้เธอแต่งงานแต่ยังขาดผ้าประดับอยู่อีกมาก ขอให้พวกเธอจงลักเอาผ้าประดับพวกญาติๆ
ั
แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่มีใครเห็นนะ ผ้าที่มีคนเห็นเราจะไม่รับ” พวกลูกศิษย์รบคำ ตั้งแต่วันนั้นมา ลูกศิษย์
คนอื่น ๆ ก็พากันนำผ้าประดับที่แอบลักได้มอบให้อาจารย์ ท่านก็เก็บรวบรวมไว้ที่หนึ่ง มีเพียงพระโพธิสัตว์
่
เท่านั้นที่ไม่มีผ้าอะไรมามอบให้ อาจารย์จึงถามวา “ทำไมเธอถึงไม่ลักผ้าประดับมาให้อาจารย์ละ” พระ
็
โพธิสัตว์ตอบว่า “อาจารย แม้แต่ท่านก็ไม่รับเอาสิ่งของที่เขาเอามาให้ เมื่อมีคนเหน ผมก็ไม่เห็นที่ลับในการ
์
ทำบาปเลย” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า “ชื่อว่าที่ลับในโลก ย่อมไม่มีแก่ผู้กระทำบาปกรรม ต้นไม้ที่เกิดในป่าก็
ยังมีคนเห็น คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่าเป็นความลับ” อาจารย์เลื่อมใสเขามาก จึงยกลุกสาวให้แก่
เขา พร้อมกับประกาศให้ศิษย์ทุกคนทราบและให้นำผ้าที่ทุกคนนำมาให้กลับคืนบ้านไป
ู้
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ความลับไม่มีในโลก แม้นไม่มีผู้อื่นทราบ ตัวเราเองย่อมรดีอยู่แก่ใจ ๛
หนอนท้าสู้กับช้าง (คูถปาณกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ปราบความจองหอง
ของชายด้วน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ บ้านพักริมทางปลายแดนแห่ง
ั
หนึ่งระหว่างอังครฐกับมคธรัฐ จะมีพ่อค้าทั้งสองเมืองแวะมาพักร้อนก่อนเดินทางไปค้าขายต่ออยู่เป็น
ประจำ อยู่มาวันหนึ่งมีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งแวะมาพักเช่นเคย แต่ครั้งนี้ได้นำสุรามาดื่มด้วยพักค้างคืนแล้วจึง
ออกเดินทางในตอนเช้ามืด เมื่อพวกพ่อค้าไปแล้วไม่นาน มีหนอนกินอุจจาระตัวหนึ่งได้กลิ่นอุจจาระจึงมาที่
นั้น เห็นสุราที่เขาทิ้งไว้ตรงนั้น มันก็กินด้วยความหิวกระหายแล้วเกิดอาการเมาสุรา ไต่ขึ้นไปบนกอง
อุจจาระๆ ก็ยุบลง มันจึงร้องขึ้นด้วยความลำพองใจวา “อะฮ้า ในโลกนี้ไม่มีใครใหญ่เกินเรา แม้แต่แผ่นดิน
่
ก็ยังทนทานน้ำหนักเราไม่ได้” ขณะนั้นเองได้มีช้างตกมันตัวหนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นพอดี พอได้กลิ่น
อุจจาระจึงปลีกตัวเดินห่างออกไป เจ้าหนอนเห็นช้างเดินตรงมาถึงแล้วก็หลบไปทางอื่นก็ยิ่งลำพองใจคิดว่า
ช้างกลัวตนเอง จึงร้องเรียกช้างขึ้นว่า “ท่านเป็นช้างผู้กล้าหาญมิใช่เหรอ ท่านอย่างพึ่งหนีไป กลับมาสู้กัน
ก่อน เราคือผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี้” ช้างพอได้ยินเสียงหนอนเรียกท่าสู้ด้วย จึงเดินกลับไปหาพร้อมตวาดขึ้นว่า ...
่
“เจ้าหนอนตัวเหม็น เราไม่จำเป็นต้องออกแรงฆาเจ้าด้วยเท้าด้วยงาดอก เพียงแค่ขี้ของเราจึงจะคู่ควร”
ว่าแล้วก็ถ่ายอุจจาระก่อนโตตกลงไปทับหนอนตายคาที่พร้อมกับปัสสาวะรดแล้วก็แผดเสียงร้องเข้าป่าไป
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ฤทธิ์ สุราทำให้คนใจใหญ่หยิ่งผยอง ไม่เกรงกลัวใคร
และมักนำความฉิบหายมาให้มากกวาผลดี ๛
่
พ่อลองใจลูกสาว (ปัณณิกชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีปรารภอุบาสกพ่อค้าผักผู้ลองใจลูกสาวคน
หนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่
ต้นไม้ในราวป่าแห่งหนึ่งใกล้เมืองพาราณสี สมัยนั้นมี พ่อค้าขายผักคนหนึ่ง มีธิดาสาวสวยอยู่คนหนึ่ง มี
ี
มารยาทความประพฤติเรยบร้อยดีมาก เสียอย่างเดียวที่ชอบหัวเราะหน้ารื่นอยู่เสมอ อยู่ต่อมาได้มีผู้มาสู่ขอ
88
่
นางไปเป็นลูกสะใภ้ พ่อค้าเกิดความไม่มั่นใจในตัวลูกสาว เกรงวาจะไปสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่
สกุลเมื่อไปอยู่ในบ้านสามี เพราะเห็นหัวเราะหน้ารื่นอยู่เป็นประจำ จึงจะทดลองใจลูกสาว วันหนึ่ง จึงชวน
ลูกสาวไปเก็บผักในป่าด้วย เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง จึงเข้าไปจับมือลูกสาวแล้วกล่าวถ้อยคำเล้าโลมทำที่
จะโอบกอด นางพอถูกพ่อจับมือและทำทีจะปล้ำเช่นนั้น ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นว่า “ยามเมื่อฉันมีทุกข์
ท่านผู้ใดเล่าเป็นที่พึ่ง ท่านผู้นั้นคือ บิดาของฉัน กำลังประทุษร้ายฉันในป่า ฉันจะร่ำร้องหาใครในกลางป่า
ท่านผู้นั้นกลับทำกรรมอันสาหัสเสียเอง” พ่อจึงพูดปลอบนางว่า “ลูกรัก พ่อจับมือเจ้าก็เพื่อจะทดลองใจ
้
เจ้าดู บอกพ่อซิลูกว่า เจามีกุมาริกาธรรม (หิริโอตตัปปะ) แล้วหรือ” “ฉันมีแล้วจ๊ะพ่อ แม้แต่จะมองดูผู้ชาย
คนไหน ก็ไม่คิดอยากจะได้เลย” ลูกสาวตอบ พ่อค้าจึงทราบว่า ลูกสาวของตนเป็นผู้พร้อมที่จะมีครอบครัว
ได้แล้ว เมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็ยกลูกสาวให้แก่สกุลนั่นไป รุกขเทวดาที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นได้แต่ให้เสียง
สาธุการ
ู
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: มีลูกสาวดีเป็นศรีแก่บ้าน มีลกสาวขี้คร้านอัปรีย์จัญไร ๛
พ่อค้าโกง (กูฏวาณิชชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยวัดเชตวัน เมืองสาวัตถีปรารภพ่อค้าโกงผู้หนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทาน
ู่
ชาดกมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองพาราณสี มีชื่อว่า
บัณฑิตได้เข้าหุ้นทำการค้ากับพ่อค้าคนหนึ่งชื่อว่า อติบัณฑิต วันหนึ่ง คนทั้งสองชวนกันบรรทุกสินค้าด้วย
เกวียน 500 เล่มไปขายที่ชายแดนแห่งหนึ่ง ได้กำไรกลับมาอย่างงดงามเมื่อกลับมาถึงเมืองพาราณสีแล้ว ถึง
เวลาแบ่งทรัพย์กัน นายอติบัณฑิตจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “นี่เพื่อนรัก เราควรจะได้ส่วนแบ่ง 2 ส่วนนะ” “ทำไม
ละเพื่อน” พระโพธิสัตว์ถาม” ก็เพราะท่านชื่อบัณฑิตเฉยๆ ควรได้ส่วนเดียว ส่วนเราชื่ออติบัณฑิตจึงควร
จะได้ 2 ส่วนนะสิ” อติบัณฑิตตอบ พระโพธิสัตว์ไม่ยอมกล่าวอ้างว่า “ทุนซื้อก็ดี พาหนะขนสิ่งของก็ดีมี
ส่วนเท่าๆ กัน แล้วทำไมเวลาแบ่งจึงต้องแบ่งไม่เท่ากันละ นายอติบัณฑิตก็อ้างแต่ว่าไปหารุขเทวดาเป็นผู้
ตัดสินให้ คนทั้งสองเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งอติบัณฑิตได้บอกอุบายให้พ่อของตนเองไปแอบอยู่ใน
โพรงไม่นั่นแล้ว เมื่อไปถึงต้นไม้นั้นแล้ว อติบัณฑิตก็ถามความเห็นของรุกขเทวดาให้ช่วยเป็นผู้ตัดสินใจให้
ิ
ด้วยทันใดนั่นเองก็มีเสียงเปล่งออกมาจากต้นไม้นั้นว่า “ถ้าเช่นนั้น คนชื่อบัณฑิตควรได้ 1 ส่วน อติบัณฑต
ควรได้ 2 ส่วน” พระโพธิสัตว์ฟังคำตัดสินนั้นแล้วคิดว่า “เดี๋ยวเถอะจะได้รู้กันว่าเป็นเทวดาจริง หรือเทวดา
ปลอมกันแน่” เดินไปหอบฟางมาใส่โพรงไม้แล้วจุดไฟทันที ทันใดนั่นเองพ่อของนายอติบัณฑิตรีบหนีตาย
ขึ้นข้างบนต้นไม้โหนกิ่งไม้แล้วกระโดดลงดินพลางกล่าวเป็นคาถาว่า “คนชื่อบัณฑิตดีแน่ ส่วนอติบัณฑิตไม่
ดีเลย เพราะ เจ้าอติบัณฑิตลูกเราเกือบเผาเราเสียแล้ว” เมื่อแผนการถูกเปิดโปง นายอติบัณฑิตจึงจำต้อง
แบ่งส่วนแบ่งเท่า ๆ กัน
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ๛
พระมหาสุบิน 16 ข้อ (พระสุบินชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมหาสุบิน 16 ข้อของพระเจ้า
โกศลมหาราช เรื่องมีอยว่า...คืนวันหนึ่ง พระเจ้าโกศลมหาราช ผู้ครองเมืองสาวัตถี ในเวลาใกล้รุ่งทรงพระ
ู่
สุบิน 16 ประการ แล้วสะดุ้งตื่นจากบรรทมคิดหวาดกลัวว่าอันตรายอะไรจักเกิดมีแก่ตัวเรา จึงรับสั่งให้
พราหมณ์ปุโรหิตหลวงเข้าเฝ้าแต่เช้าตรู่ พวกพราหมณ์โหรหลวงพอได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องพระสุบินจบ ก็พา
กันกราบทูลว่าจักมีอันตราย 3 อย่างเกิดขึ้น คืออันตรายแก่ราชสมบัติ 1 โรคภัยเบียดเบียน 1 อันตรายแก่
ชีวิต 1 อย่างใดอย่างหนึ่ง พระองค์พอได้รับฟังยิ่งตระหนกพระทัย จึงถามหาวิธีแก้ไข พวกโหรหลวงจึงทูล
89
ั
ว่า “ขอเดชุ พอมีทางแก้ไขอยู่นั่นคือ ต้องบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิต 4 อย่าง พระเจ้าค่ะ” พระราชรับสั่งให้รบ
กระทำตามนั้น พวกโหรหลวงรีบพากันไปทำหลุมบูชายัญที่นอกเมือง จับฝูงสัตว์ 4 เท้ามัดไว้ที่หลักยัญ
กำลังรวมฝูงนกสั่งทหารให้นำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาอยู่ ลำดับนั้นพระนางมัลลิกาเทวีทรงทราบเรื่อง จึงรีบเข้าเฝ้า
พระราชทานทูลถามถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เมื่อทราบสาเหตุแล้ว จึงทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์
ได้ทูลถามยอดพราหมณ์ในโลกและเทวโลกแล้วหรือเพคะ” ทรงรับสั่งว่า “ใครกันเลา “พระนางจึงทูลว่า
่
“พระองค์ไม่ทรงรู้จักมหาพราหมณ์โคดมผู้ตถาคต ผู้สัพพัญญูดอกหรือเพคะ” จึงได้สติเสด็จไปวัดเชตวัน
ทันที พระพุทธองค์เมื่อทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงพยากรณ์พระสุบินเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อที่ 1 ที่พระสุบินเห็นวัวผู้มีสีเหลืองดอกอัญชัน 4 ตัว วิ่งมาคนละทิศ จะชนกันที่ท้องพระลาน
หลวง เมื่อมหาชนชุมนุมกันดูแล้วกลับไม่ชนกัน ถอยวิ่งกลับไป นั้นคือ เหตุจักไม่มีในรัชกาลของพระองค์
และจักไม่มีในศาสนาของพระตถาคต ในอนาคตเมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มี
ศีลธรรม เหล่าประชาราษฎร์ไม่ตั้งอยู่ในธรรม กุศลกรรมลดน้อยถอยลง อกุศลกรรมหนาแน่นขึ้น เมื่อนั้น
โลกจักเกิดฝนแล้ว ทุพภิกขภัยเมฆฝนตั้งเค้าขึ้นทิศทั้ง 4 ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบเหมือนฝนจะตกพอชาวบ้าน
เก็บสิ่งของหนีฝนแล้วเท่านั้น ก็ไม่ตกลอยหายไป
ข้อที่ 2 ที่พระสุบินเห็นต้นไม้เล็ก ๆ และกอไผ่ พอแตกหน่อได้คืบหนึ่งบ้าง ศอกหนึ่งบ้าง แล้วก็ผลิต
ดอกออกผลเสียแล้ว นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์มีอายุน้อยลงมีราคะกล้า เด็กหญิง
จักมีสามีตั้งแต่เด็ก ตั้งครรภ์ มีบุตรธิดาตั้งแต่อายุยังน้อย
ข้อที่ 3 ที่พระสุบินเห็นแม่วัวพากันดูดกินนมลูกวัวที่เพิ่งเกิดในวันนั้น นั้นคือในอนาคต เมื่อโลก
เสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะพากันละทิ้งความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ (เชษฐาปจายิกธรรม)ลูกไม่
เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ป ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่หมดที่พึ่งอาศัยต้องง้อเด็ก ๆ เลี้ยงชีพ
ู่
ข้อที่ 4 ที่พระสุบินเห็นฝูงชนไม่เทียมแอกวัวใหญ่ที่เป็นงานกลับไปเทียมววหนุ่มที่ไม่เป็นงาน ต่าง
ั
สลัดแอกทิ้งยืนเฉยอยู่ลากเวียนไปไม่ได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม บณทิตผู้มีศีลธรรมจัก
ั
ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ข้าราชการและปกครองบ้านเมือง ผู้ไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นใหญ่
บริหารบานเมือง จักละทิ้งงาน ความเสื่อมจักมีแก่ประเทศชาติ
้
ข้อที่5 ที่พระสุบินเห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองปาก ฝูงชนพากันให้หญ้าที่ปากสองข้างของมัน นั้นคือใน
อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม คนไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ก็จักรับสินบนจากมือคู่คดีทั้ง
สองฝ่ายมากิน
ข้อที่ 6 ที่พระสุบินเห็นมหาชนขัดถูถาดทองราคาแพงแล้วนำไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่งปัสสวะใส่
ถาดทอง นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ตั้งผู้มี
ศีลธรรมบริหารประเทศ กลับตั้งผู้คนไม่มีสกุลแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลใหญ่จักตกยาก ตระกูลเลว ๆ จัก
พากันเป็นใหญ่ เพื่อความอยู่รอดตระกูลใหญ่พากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุลนั้น
ข้อที่ 7 ที่พระสุบินเห็นชายคนหนึ่งนั้งฟั้นเชือกหย่อนลงไปใกล้เท้า มีแม่หมาจิ้งจอกอดโซตัวหนึ่ง
นอนกัดกินเชือกนั้นอยู่ใต้ตั่งที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ โดยที่เขาไม่รู้เลย นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจาก
ศีลธรรม หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละในชาย ดื่มสุรา เอาแต่แต่งตัว ชอบเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ ไม่มีศีลธรรม
จักพากันนำทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างยากลำบากไปซื้อสุรา คบชู้สู่ชาย ซื้อเครื่องประดับ และเที่ยวเตร่
เห็นแก่ได้ แม้จะไม่มีข้าวกินก็ตาม
ข้อที่ 8 ที่พระสุบินเห็นตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ประตูวัน มีตุ่มเปล่าตั้งอยู่เรียงราย
โดยรอบ ผู้คนนำน้ำมาจากทิศทั้ง 4 เทใส่ตุ่มที่เต็มแล้วนั้นล้นแล้วล้นอีก ไม่มีใครสนใจตุ่มที่ว่างเลย นั้นคือ
90
ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ทุศีลจักปกครองบ้านเมือง เมื่อเกิดทุพภิกขภัย จักเกณฑ์ชาวบ้าน
ช่วยกันนำทรัพย์เพาะปลูกเพื่อผู้ปกครองอย่างเดียว จนชาวบ้านจะไม่มีอยู่มีกิน สร้างความเดือดร้อนให้
ข้อที่ 9 ที่พระสุบินเห็นสระน้ำสระหนึ่งมีดอกบัว 5 สี น้ำลึก มีท่าขึ้นรอบด้าน ฝูงสัตว์สองเท้าสี่เท้า
พากันลงดื่มกินน้ำในสระโดยรอบ น้ำอยู่กลางสระขุ่นมัว แต่น้ำที่อยู่ตรงเท้าสัตว์เหยียบย่ำ กลับใสสะอาด
นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เห็นแก่สินบน ขูดรีดภาษี
ชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน พวกชาวบ้านไม่สามารถจะให้อะไรได้จึงพากันหนีอพยพไปอยู่
์
ชายแดนเสียส่วนมากศูนยกลางเมืองจักว่างเปล่า ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดี
ข้อที่ 10 ที่พระสุบินเห็นข้าวสุกที่หุงในหม้อเดียวกัน แต่สุกไม่เท่ากัน มีแฉะ ดิบ และสุกพอดี คือ
อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ชาวโลกไม่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม ฝนจักไม่ตกอย่างทั่วถึงแม้กระทั่งใน
สระลูกเดียวกัน ข้าวกล้าที่หว่านในนาไร่เดียวกัน ก็จะมีผลเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน มีตายแล้ง น้ำท่วม และ
ได้เก็บเกี่ยวพอดี
ข้อที่ 11 ที่พระสุบินเห็นผู้คนเอาแก่นจันทร์ที่มีราคาแพงขายแลกกับเปรียงเน่า (นมส้ม) นั้นคือใน
อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม พวกนักบวชรวมทั้งภิกษุจักแสดงธรรมเพื่อปัจจัยและอามิสบูชา มิได้
แสดงธรรมเพื่อพระนิพพาน นำเอาพระธรรมที่มีค่าควรแก่พระนิพพานไปแลกกับปัจจัย 4 หรือเงินตรา
เท่านั้น
ข้อที่ 12 ที่พระสุบินเห็นกะโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ นั้นคือในอนาคนเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม คำพูดของผู้ทุศีลจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนัก ผู้คนจะเชื่อถือแม้แต่ในที่
ประชุมสงฆ์ ผู้ทุศีลจะเป็นผู้ชนะอธิกรณ์ ทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกได้
ข้อที่ 13 ที่พระสุบินเห็นก้อนหินแท่งทึบใหญ่ขนาดเท่าเรือนลอยน้ำได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลก
เสื่อมจากศีลธรรมแล้วคำพูดของผู้ทุศีลจะมีค่ามีน้ำหนัก พูดในสิ่งผิดให้ถูกได้ พูดสิ่งที่ถูกให้กลับผิดได้
ิ่
ข้อที่ 14 ที่พระสุบินเห็นฝูงเขียดตัวเล็ก ๆ วงไล่ทำร้ายงูเห่าตัวใหญ่ นั่นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อม
ุ
จากศีลธรรม มนุษย์จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสราคะ บรุษเพศจักตกอยู่ภายใต้อำนาจของสตรีเพศ สามีจักอยู่
ในอำนาจของภรรยา ภรรยาจะกดสามีไว้ดังทาสและคนรับใช้
ข้อที่ 15 ที่พระสุบินเห็นฝูงพญาหงส์ทองแวดล้อมกาเที่ยวหากินตามบ้าน นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลก
เสื่อมจากศีลธรรมผู้ปกครองบ้านเมืองจักไม่ฉลาดในศิลปะและเก่งกล้าในการรบ จักมอบความเป็นใหญ่ให้ผู้
ที่ใกล้ชิด เช่นช่างตัดผม เป็นต้น ไม่เหลียวแลสกุลสูง ๆ สกุลเหล่านั้นจะหันไปคบค้าสมาคมกับพวกช่างตัด
ผมเหล่านั้นเหมือนหงส์ทองแวดล้อมกา
ข้อที่ 16 ที่พระสุบินเห็นฝูงแกะพากันไล่กัดกินฝูงเสือเหลือง เสืออื่น ๆ มีเสือดาว เสือโคร่งเห็น
เช่นนั้น ต่างวิ่งจาละหวั่นหลบเข้าไปพุ่มไม้และป่ารกไป นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม ไม่คบค้าสมาคมกับผู้มีสกุลสูง เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจ ผู้มีสกุล
สูงจะพากันยินยอมให้ที่ของตนแล้วหลบหนีเข้าบ้านนอนผวาไปตาม ๆ กัน พวกภิกษุผู้ทุศีลจะเบียดเนียน
ภิกษุผู้มีศีล ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่มีที่พักก็จะเข้าป่าไป
เมื่อพยากรณ์พระสุบินให้พระเจ้าโกศลมหาราชทราบถึงความไม่มีอันตรายใด ๆ แล้ว พระพุทธองค์
้
ก็ตรัสอดีตนิทานมาสาธกทำนองเดียวกัน และตรัสใหยกเลิกการบูชายัญพระราชทานชีวิตแก่สรรพสัตว์ทุก
ตัวเสีย พระราชาได้รับสั่งให้กระทำตามนั้น
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ผู้มีศีลธรรมย่อมแนะนำทางที่ถูกต้องเสมอ ๛
91
นาคกับพญาครุฑ (ปัณฑรกาชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พูดมุสาแล้วถูก
แผ่นดินสูบ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีประมาณ
500 คน แล่นสำเภาไปในมหาสมุทรเพื่อไปค้าขายเมืองอื่น ในวันที่ 7 สำเภาถูกพายุกระหน่ำล่มกลางทะเล
ผู้คนล้มตายเป็นเหยื่อของปลาหมด หลงเหลือเพียงชายคนหนึ่งถูกลมพัดกระหน่ำไปขึ้นที่ฝั่งท่าน้ำกทัมพิยะ
เสิ้อผ้าไม่มี เปลือยกายล่อนจ้อน เดินเที่ยวขอทานอยู่ พวกชาวบ้านพบเห็นเขาก็พากันยกย่องเขาว่าเป็นผ ู้
มักน้อยสันโดษ เป็นนักบวช จึงพากันสักการะบูชาเขาเป็นการใหญ่ นับตั้งแต่วันนั้นมาเขาเองก็ไม่ปรารถนา
จะนุ่งห่มเสื้อผ้าได้ลาภสักการะจำนวนมาก ถูกคนเรยกหาว่า กทัมพิยอเจลกะ (ชีเปลือยทัมพิยะ) ในสมัย
ี
นั้น มีพญานาคตนหนึ่งชื่อบัณฑรกนาคราช และพญาครุฑตนหนึ่งจะพากันมาปรึกษาชีเปลือยนั้นอยู่เป็น
ประจำ อยู่มาวันหนึ่งพญาครุฑมาหาชีเปลือยแล้วขอร้องว่า “ท่านขอรับพวกญาติของผมจำนวนมาก ตาย
เพราะจับพวกนาคโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอความกรุณาจากท่านช่วยถามพญานาคให้ผมด้วยเถิด” ชีเปลือย
นั้นรับคำจะถามให้ เมื่อพญานาคมาหาจึงถามความนั้นพญานาคตอบว่า “ท่านขอรับเรื่องนี้เป็นความลับ
ของพวกกระผม ถ้าผมบอกท่านเท่ากับผมนำความตายมาสู่ตนเอง และพวกญาติ จึงไม่ขอตอบได้ไหม” ชี
เปลือย” พญานาค เราจะไม่บอกใครหรอก ถามเพราะอยากจะทราบเท่านั้นเองละ จงบอกเถิด” พญานาค
ตอบว่า “ผมบอกไม่ได้หรอกครับท่าน” ไหว้ชีเปลือยแล้วก็กลับไป ชีเปลือยถามเช่นนั้นอยู่ 2 วัน พญานาค
ก็ไม่ยอมบอกเช่นเดิม ในวันที่ 3 พญานาคพอถูกชีเปลือยถามอีกจึงกำชับชีเปลือยอย่าได้บอกใคร แล้วก็เล่า
ให้ฟังว่า “ท่านขอรับเพราะพวกกระผมกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนักนอนอย เมื่อพวกครุฑมาจบที่
ั
ู่
หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางของพวกเรา
หินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกเราไปได้ ความลับก็มีอยู่เท่านี้แหละท่าน” แล้วก็ลากลับไป อีกวัน
ต่อมา เมื่อพญาครุฑมาหาเปลือยผู้ทุศีลก็เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พญาครุฑจึงปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผ
บินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปดเผยแล้ว จึงคร่ำครวญว่า “ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่
ิ
พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ” พญาครุฑพูดว่า “ท่านนาคราช
ท่านบอกความลับแก่ชีเปลือยแล้ว จะมาคร่ำครวญอยู่ทำไม สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลกขึ้นชื่อว่าความลับไม่
ควรบอกใครๆ ไม่ว่าจะเปนบิดามารดา พี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา “แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
็
“บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับ พึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่
ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี ศัตรู คนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ”
พญานาคได้ฟังธรรมของพญาครุฑแล้วอ้อนวอนขอชีวิตว่า “ท่านพญาครุฑ ข้าพเจ้าขอชีวิตจากท่าน ขอ
ท่านจงตั้งตนดุจเป็นมารดาของข้าพเจ้าเถิด” พญาครุฑตอบว่า “เอาเถอะ เราจะปล่อยท่านไป แต่ว่า บุตร
มี 3 จำพวก คือ ศิษย์ บุตรบุญธรรม และบุตรตัวเอง ท่านยินดีจะเป็นบุตรประเภทไหนของเราละ” ว่าแล้ว
ก็ปล่อยพญานาคไป สัตว์ทั้ง 2 ก็อยู่กันอย่างสามัคคีกันเช่นเดิม ต่อมาวันหนึ่งสัตว์ทั้ง 2 ได้ชวนกันไปหาชี
เปลือยอีก พญาครุฑทราบว่าพญานาคจักหมายชีวิตชีเปลือย จึงไม่เข้าไปหาปล่อยให้แต่พญานาคผู้เดียวเข้า
ไปหาชีเปลือยนั้น พญานาคได้กล่าวติเตียนและสาบแช่งชีเปลือยว่า “ท่านเป็นคนเลวทรามประทุษร้ายต่อผู้
ไม่ประทุษร้าย ไม่รักษาคำสัตย์ ขอให้หัวของท่านจงแตกเป็น 7 เสี่ยง” กล่าวจบก็พากันกลับไปที่อยู่ของตน
ี่
ส่วนชีเปลือยพอสัตว์ทั้ง 2 จากไปเท่านั้น หัวก็แตกออกเป็น 7 เสยงสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในนรก
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง: ความลับไม่ควรเปิดเผยให้ใครที่ไหนทราบดังคำมีว่า ความลับไม่ให้ถึงสาม
ความงามไม่ให้ถึงสี่ ความมิดความหมี่ไม่ให้ถึงห้าถึงหก ๛
92
พญาช้างฉัททันต์ (ฉัททันตชาดก)
๏ ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง ผู้นั่งฟังธรรม
ระลึกถึงอดีตชาติได้แล้วแสดงอาการเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...กาลครั้งหนึ่ง
นานมาแล้ว มีช้างประมาณ 8,000 เชือกมีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ อาศัยสระฉันททันต์อยู่ในป่าหิมพานต์
ครั้งนั้น พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นลูกช้างของช้างหัวหน้าโขลง มีสีขาวปลอด ปากและเท้าสีแดง เมื่อเติบโตขึ้นมี
ร่างกายใหญ่โตมากกว่าช้างเชือกอื่น ๆ ที่งามีแสงรัศมี 6 ประการเปล่งประกายออกมา อยู่ต่อมาเมื่อบิดา
เสียชีวิตแล้ว พระโพธิสัตว์ได้เป็นหัวหน้าช้างแทน มีชื่อว่า พญาช้างฉัททันต์ มีภรรยา 2 เชือก คือมหาสุภัท
ทาและจุลลสุภัททา วันหนึ่งในฤดูร้อน ป่ารังมีดอกบานสะพรั่ง พญาช้างฉัททันต์ได้พาบริวารไปหากินที่ป่า
รัง ใช้กระพองชนต้นรังให้ดอกหล่นลงมา นางช้างจุลลสุภัททายืนอยู่เหนือลมจึงถูกใบรังเก่า ๆ ติดกับกิ่งไม้
แห้งมีมดดำมดแดงตกใส่ร่างกาย ส่วนนางช้างมหาสุภัททายืนอยู่ใต้ลมเกสรดอกไม้และใบสด ๆ จึงโปรย
ปรายใส่ร่างกาย นางช้างจุลลสุภัททาเห็นเช่นนั้นจึงเกิดความน้อยใจว่าสามีโปรดปรานและรักใคร่แต่นาง
ช้างมหาสุภัททา ส่วนตนมีแต่มดดำมดแดงร่วงใส่ จึงผูกความอาฆาตในพญาช้างฉัททันต์ ต่อมาอีกวันหนึ่ง
พญาช้างฉัททันต์เมื่ออาบน้ำในสระเสร็จแล้ว ขึ้นมายืนบนฝั่งขอบสระ มีนางช้างทั่งสองยืนเคียงข้าง
ขณะนั้นมีช้างเชือกหนึ่งได้นำดอกบัวมีกลีบ 7 ชั้นดอกหนึ่งขึ้นมามอบให้พญาช้าง พญาช้างโปรยเกสรลงบน
กระพองแล้ว ยื่นดอกบัวให้แก่นางช้างมหาสุภัททา เป็นเหตุให้นางช้างจุลลสุภัททาเห็นแล้วคิดน้อยใจวา
่
“พญาช้างให้ดอกบัวแก่ภรรยาที่รักและโปรดปรานเท่านั้น ส่วนเราไม่เป็นที่รักที่โปรดปรานจึงไม่ให้” จึงผูก
เวรในพญาช้างอีก อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พญาช้างได้ไปอุปัฏฐากถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
่
นางช้างจุลลสุภัททาถวายผลไม้แล้วตั้งความปรารถนาไว้วา “สาธุ ถ้าดิฉันตายไปแล้วขอให้ไปเกิดเป็นอัคร
มเหสีของพระราชาผู้มีอำนาจ สามารถฆ่าพญาช้างนี้ได้ด้วยเทอญ” นับแต่วันนั้นนางก็อดหญ้าอดน้ำ
ร่างกายผ่ายผอม ไม่นานก็ล้มป่วยตายไปเกิดเป็นธิดาของพระราชาในแคว้นมัททรัฐ เมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ได้
เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าเมืองพาราณสี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานมาก ระลึกชาติหนหลังได้ วันหนึ่งจึงทำที
เป็นประชวรไข้หนักบรรทมอยู่ พระราชาเสด็จมาตรัสถามวา “น้องนางดูนัยน์ตาเจ้าก็แจ่มใส แต่เหตุไรหนอ
่
น้องนางจึงดูโศกเศร้าซูบผมไปละจ๊ะ” มเหสี” เสด็จพี่ หม่อมฉันแพ้ครรภ์ ฝันเห็นสิ่งที่หาได้ยากพระเจ้าคุณ
แต่ถ้าไม่ได้สิ่งนั้น ชีวิตของหม่อมฉันคงอยู่ไม่ได้เช่นกัน” พระราชา “น้องนาง มีอะไรในโลกนี้ที่หาได้ยาก
บอกพี่มาเถิดจะจัดหามาให้” มเหสี” เสด็จพี่ ถ้าจะกรุณาหม่อมฉัน โปรดรับสั่งให้ประชุมนายพรานป่าทุก
สารทิศเข้าประชุมกันที่ท้องพระโรง มีนายพรานป่าประมาณ 60,000 คนมาประชุมกัน พระเทวีเมื่อ
พระราชาเปิดโอกาส จึงตรัสว่า “ท่านนายพรานทั้งหลาย ฉันฝันเห็นช้างเผือก ที่งามีรัศมี 6 ประการ ฉัน
ต้องการงาคู่นั้น ถ้าไม่ได้ชีวิตฉันก็คงอยู่ไม่ได้ ขอให้พวกท่านนำมาถวายเถิด” พวกนายพรานทูลว่า “ขอ
เดชะอาญาไม่พ้นเกล้า ตั้งแต่เป็นพรานมาก็ไม่เคยได้ยินปู่ทวดกล่าวถึงพญาช้างเผือก งามีรัศมี 6 ประการ
เลย ขอพระองค์ได้ตรัสบอกที่อยู่ของพญาช้างด้วยเถิดพะยะค่ะ” พระเทวีได้ตรวจดูพรานป่าทั้งหมด เห็น
พรานป่าคนหนึ่งชื่อโสณุตระ มีเท้าใหญ่ เข่าโต หนวดดก เคราแดง ตาเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของพรานผ ู้
โหดร้าย จึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกทิศทางไปว่า “จากนี้ไปทางทิศเหนือ ข้ามภูเขา 7 ลูก มีภูเขาสูง
้
ที่สุดลูกหนึ่งชื่อ สุวรรณปัสสคีรี เจาจงขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้นมองดูตามเชิงเขา จะเห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งมี
กิ่งก้านสาขาหนาทึบมีพญาช้างเผือกเชือกหนึ่งอาศัยอยู่ มีงาสวยงามมาก มีบริวารอยู่มาก เจาจงระวังตัวให้
้
ดี พวกมันระวังรักษาแม่แต่ธุลีก็ไม่ให้แตะต้องพญาช้างได้” นายพรานเกิดความกลัวตายทูลว่า “ข้าแต่พระ
เทวี พระแม่เจ้าทรงประสงค์จะฆ่าพญาช้าง เอางามาประดับหรือว่าจะให้พญาช้างฆ่าพวกนายพรานเสีย
กระมัง” พระเทวี” นายพราน..เรามีความริษยาและความน้อยใจเมื่อนึกถึงความหลัง ขอเพียงท่านทำตาม