รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานแล่นประสาน สัปดาห์ที่ 7-8 แผ่นที่ 8
การเลือกใช้ฟลักซ์และโลหะประสานให้เหมาะสมกับชิ้นงาน
ชิ้นงาน โลหะประสาน ฟลักซ์
เหล็กกล้า เหล็กหล่อ ทองเหลือ บรอนซ์ บอแร็กซ์ (Borax)
ทองแดง เงิน เงิน เงินผสม ทังสเตน โซเดียมไซยาไนต์ กรดบอริก
กรดโบเรต
เหล็กแสตนเลส ซิลิกอน บรอนซ์ เงินผสม อัลคาไลน์ไบฟลูออ
ทองเหลือมผสมอะลูมิเนียม
ตารางที่ 5.2 แสดงการใช้ฟลักซ์และโลหะประสานกับชิ้นงาน
ฟลักซ์เหมาะสมกับโลหะประสานชนิดลวดทองเหลือง คือ บอแร็กซ์ ซึ่งนิยมใช้การผสมกรดบอเร็กซ์ 75%
กับกรดบอริก 25% ผงบอแรกซ์ที่ผสมอยู่อาจมีส่วนผสมของฟอสฟอรัส ส่วนการเชื่อมเหล็กสแตนเลส ซิลิกอล
บรอนซ์ ทองเหลืองเจือ ฯลฯ ใช้ฟลักซ์ชนิด อัลคาไลน์ไบฟลูออไรต์ (Alkaline Bifuoride) กลิ่นระเหยของฟ
ลักซ์นี้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการปฏิบัติงานการแล่นประสานด้วยฟลักซ์ชนิดนี้จะต้องทาให้ที่มีระบบ
ถ่ายเทอากาศได้ดี ส่วนในการแล่นประสานชนิดลวดเงินและทังสเตนกับทองแดง ฟลักซ์ที่ใช้ คือ โซเดียมไซยา
ไนต์เป็นฟลักซ์พิเศษ คุณสมบัติดีที่สุดแต่ฟลักซ์ชนิดนี้อันตรายมาก กลิ่นที่ระเหยจะเป็นอันตรายอย่างมาก และ
อย่าให้ฟลักซ์สัมผัสกับส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ถ้าถูกต้องรีบ ล้างออกด้วยน้าสะอาดทันทีและต้องใช้กับผู้ที่
ผ่านการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ก่อนที่จะทาการแล่นประสานควรทาความสะอาดชิ้นงานให้ดีเสียก่อน อาจใช้แปรง
ลวดขัดหรือกระดาษทรายขัดบริเวณที่ต้องการแล่นประสานเพื่อให้เกิดคุณภาพของรอยเชื่อมที่ดีและแข็งแรง
ผงฟลักซ์ที่ใช้ก็ควรใช้จานวนปริมาณที่พอเหมาะเพราะถ้าผงฟลักซ์เหลืออาจเป็นคราบสกปรกทาให้แก๊ส
ออกซิเจนเข้าไปรวมตัวทาให้รอยเชื่อมไม่แข็งแรง ฟลักซ์ที่ใช้ทุกชนิดเป็นสารเคมีอันตราย ไม่ควรสัมผัสด้วยมือ
โดยตรงเนื่องจากฟลักซ์อาจติดมือไปแล้วนาไปขยี้ตาหรือโดนปากอาจเกิดอันตรายได
แก๊สที่ใช้ในการแล่นประสาน
แก๊สที่ใช้ในการแล่นประสานก็เหมือนกับการเชื่อมแก๊ส เปลวที่ใช้ในการแล่นประสาน คือเปลวลด
(Reducing Flame) แก๊สออกซิเจนกับแก๊สอะเซทิลีนนิยมใช้กันมากแต่แก๊สอะเซทิลีนนั้น จะให้ความร้อนสูง
มาก เปลวที่ออกมาจะเล็กเรียวทาให้การเผาไหม้บริเวณที่แล่นประสานมากไป อาจทาให้ชิ้นงานหลอมละลาย
และฟลักซ์ที่ใช้ก็จะหลอมละลายเร็ว ผู้ปฏิบัติงานจะต้อง มีความชานาญในการแล่นประสาน ส่วนแก๊สเชื้อเพลิง
ชนิดอื่นที่ใช้ร่วมกับแก๊สออกซิเจนที่ใช้ มีหลายชนิด เช่น แก๊สโพรเพน (Propane) แก๊สธรรมชาติ (Natural
Gas) แก๊สบิวเทน (Butane) และแก๊ส MAPP (Methylacetylene Propadiene) แก๊สที่กล่าวมานี้จะให้ความ
ร้อนน้อยกว่าแก๊สอะเซทิลีน แต่เปลวที่ได้จะมีขนาดใหญ่กว่าจึงแผ่นกระจายความร้อนไปได้ดีกว่าเหมาะกับการ
แล่นประสาน เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเชื่อมท่อทองแดงเล็กซึ่งใช้กันมากในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ
ทาให้โลหะประสานสามารถวิ่งเข้าไปประสานได้โดยไม่ต้องหมุนชิ้นงาน
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานแล่นประสาน สัปดาห์ที่ 7-8 แผ่นที่ 9
เปลวไฟแก๊สออกซิเจนกับ
อะเซทิลีน
เปลวไฟแก๊สออกซิเจนเมทิลอะเซทิลีนและโปรพาดีน อะเซทิลีน
รูปที่ 5.10 แสดงลักษณะเปลวไฟที่ใช้ในการแล่นประสาน
ที่มา: ยุทธนา ชัยวงค์. 2554
รูปที่ 5.11 แสดงลักษณะความร้อนของเปลวไฟของการแล่นประสาน
ที่มา: ยุทธนา ชัยวงค์. 2554
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
แบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 1
ค าสั่งจงท าเครื่องหมาย × ทับหัวข้อค าตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของงานแล่นประสาน
ก. ใช้กับงานที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก
ข. ชิ้นงานไม่หลอมละลายทาให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
ค. เสียค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากทองเหลืองมีราคาแพง
ง. เกิดการบิดตัวน้อยเนื่องจากใช้ความร้อนน้อย
2. การแล่นประสานประเภทใดที่ใช้เปลวไฟที่เกิดจากแก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลีนในการแล่นประสาน
ก. การแล่นประสานโดยใช้ทอร์ชเชื่อม
ข. การแล่นประสานโดยใช้เตา
ค. การแล่นประสานด้วยอินฟราเรด
ง. การแล่นประสานด้วยความต้านทาน
3. ในการแล่นประสานที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงานครั้งละมากๆเราควรใช้การแล่นประสานประเภทใด
ก. การแล่นประสานโดยใช้ทอร์ชเชื่อม
ข. การแล่นประสานโดยใช้เตา
ค. การแล่นประสานด้วยอินฟราเรด
ง. การแล่นประสานด้วยความต้านทาน
4. รอยต่อชนิดใดที่นิยมใช้ในการแล่นประสาน
ก. รอยต่อขอบ ข. รอยต่อเกย
ค. รอยต่อตัวที ง. รอยต่อมุม
5. โลหะประสานชนิดลวดทองเหลืองที่ใช้ในการแล่นประสานได้จากการนาโลหะชนิดใดมาผสมกัน
ก. เงิน + ทองแดง ข. สังกะสี + เงิน
ค. สังกะสี+เงิน+ทองแดง ง. ทองแดง + สังกะสี
6. สัญลักษณ์ลวดแล่นประสาน ตามมาตรฐานของสมาคมการเชื่อมของสหรัฐอเมริกา (AWS) ข้อใดหมายถึง
ลวดแล่นประสาน
ก. A ข. B
ค. C ง. D
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
แบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 2
ค าสั่งจงท าเครื่องหมาย × ทับหัวข้อค าตอบที่ถูกต้องที่สุด
7. เปลวที่ใช้ในการการแล่นประสานลวดเชื่อมเงินเจือคือเปลว
ก. เปลวคาร์บูไรซิง ( Carburizing Flame )
ข. เปลวกลาง ( Neutral Flame )
ค. เปลวออกชิไดซิง ( Oxidizing Flame )
ง. ถูกทุกข้อ
8. เปลวที่ใช้ในการการแล่นประสานลวดเชื่อมทองเหลืองคือเปลว
ก. เปลวคาร์บูไรซิง ( Carburizing Flame )
ข. เปลวกลาง ( Neutral Flame )
ค. เปลวออกชิไดซิง ( Oxidizing Flame )
ง. ถูกทุกข้อ
9. หน้าที่ของฟลักซ์คือข้อใด
ก. ทาให้รอยเชื่อมการแล่นประสานแข็งแรง
ข. ทาความสะอาดผิวหน้างาน
ค. ช่วยทาให้โลหะประสานละลายได้ง่าย
ง. ช่วยป้องกันแก๊สออกซิเจนขณะบัดกรีแข็ง
10. ฟลักซ์ที่ใช้กับการแล่นประสานชนิดลวดเงินใช้ฟลักซ์ชนิดใด
ก. ผงบอแรกซ์
ข. อัลคาไลน์ไบฟลูออไรด์
ค. โซเดียมไซยาไนด์
ง. กรดบอริค
11. ฟลักซ์ที่ใช้กับการแล่นประสานชนิดลวดทองเหลืองผสมอะลูมิเนียม ใช้ฟลักซ์ชนิดใด
ก. ผงบอแรกซ์ ข. อัลคาไลน์ไบฟลูออไรด์
ค. โซเดียมไซยาไนด์ ง. กรดบอริค
12. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบในการแล่นประสาน
ก.การทาความสะอาด
ข. การเว้นช่องว่างรอยต่อ
ค. การให้ความร้อน
ง. ชิ้นงาน
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
แบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 3
ค าสั่งจงท าเครื่องหมาย × ทับหัวข้อค าตอบที่ถูกต้องที่สุด
13. การเว้นช่องว่างรอยต่อควรเว้นระยะห่างประมาณกี่มิลลิเมตร
ก. 0.015 – 0.020 มิลลิเมตร
ข. 0.025 – 0.130 มิลลิเมตร
ค. 0.230 – 0.260 มิลลิเมตร
ง. 0.270 – 0.312 มิลลิเมตร
14. ข้อดีของการแล่นประสานคือข้อใด
ก. เหมาะกับงานที่รับแรงมากๆ
ข. แนวเชื่อมมีความยืดหยุ่นสูง
ค. เหมาะกับงานที่ใช้อุณหภูมิสูงๆ
ง. โลหะชิ้นงานมีการบิดตัวน้อย
15. ข้อเสียของการแล่นประสานคือข้อใด
ก. โลหะชิ้นงานมีการบิดตัวมาก
ข. แนวแล่นประสานมีความยืดหยุ่นสูง
ค. เนื้อเชื่อมและเนื้องานมีสีต่างกัน
ง. แนวแล่นประสานมีความหนามาก
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
เฉลยแบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 1
ค าสั่งจงท าเครื่องหมาย × ทับหัวข้อค าตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของงานแล่นประสาน
ก. ใช้กับงานที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก
ข. ชิ้นงานไม่หลอมละลายท าให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
ค. เสียค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากทองเหลืองมีราคาแพง
ง. เกิดการบิดตัวน้อยเนื่องจากใช้ความร้อนน้อย
2. การแล่นประสานประเภทใดที่ใช้เปลวไฟที่เกิดจากแก๊สออกซิเจนและแก๊สอะเซทิลีนในการแล่นประสาน
ก. การแล่นประสานโดยใช้ทอร์ชเชื่อม
ข. การแล่นประสานโดยใช้เตา
ค. การแล่นประสานด้วยอินฟราเรด
ง. การแล่นประสานด้วยความต้านทาน
3. ในการแล่นประสานที่ให้ความร้อนแก่ชิ้นงานครั้งละมากๆเราควรใช้การแล่นประสานประเภทใด
ก. การแล่นประสานโดยใช้ทอร์ชเชื่อม
ข. การแล่นประสานโดยใช้เตา
ค. การแล่นประสานด้วยอินฟราเรด
ง. การแล่นประสานด้วยความต้านทาน
4. รอยต่อชนิดใดที่นิยมใช้ในการแล่นประสาน
ก. รอยต่อขอบ ข. รอยต่อเกย
ค. รอยต่อตัวที ง. รอยต่อมุม
5. โลหะประสานชนิดลวดทองเหลืองที่ใช้ในการแล่นประสานได้จากการน าโลหะชนิดใดมาผสมกัน
ก. เงิน + ทองแดง ข. สังกะสี + เงิน
ค. สังกะสี+เงิน+ทองแดง ง. ทองแดง + สังกะสี
6. สัญลักษณ์ลวดแล่นประสาน ตามมาตรฐานของสมาคมการเชื่อมของสหรัฐอเมริกา (AWS) ข้อใดหมายถึง
ลวดแล่นประสาน
ก. A ข. B
v
ค. C ง. D
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
เฉลยแบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 2
ค าสั่งจงท าเครื่องหมาย × ทับหัวข้อค าตอบที่ถูกต้องที่สุด
7. เปลวที่ใช้ในการการแล่นประสานลวดเชื่อมเงินเจือคือเปลว
ก. เปลวคาร์บูไรซิง ( Carburizing Flame )
ข. เปลวกลาง ( Neutral Flame )
ค. เปลวออกชิไดซิง ( Oxidizing Flame )
ง. ถูกทุกข้อ
8. เปลวที่ใช้ในการการแล่นประสานลวดเชื่อมทองเหลืองคือเปลว
ก. เปลวคาร์บูไรซิง ( Carburizing Flame )
ข. เปลวกลาง ( Neutral Flame )
ค. เปลวออกชิไดซิง ( Oxidizing Flame )
ง. ถูกทุกข้อ
9. หน้าที่ของฟลักซ์คือข้อใด
ก. ท าให้รอยเชื่อมการแล่นประสานแข็งแรง
ข. ท าความสะอาดผิวหน้างาน
ค. ช่วยท าให้โลหะประสานละลายได้ง่าย
ง. ช่วยป้องกันแก๊สออกซิเจนขณะบัดกรีแข็ง
10. ฟลักซ์ที่ใช้กับการแล่นประสานชนิดลวดเงินใช้ฟลักซ์ชนิดใด
ก. ผงบอแรกซ์
ข. อัลคาไลน์ไบฟลูออไรด์
ค. โซเดียมไซยาไนด์
ง. กรดบอริค
11. ฟลักซ์ที่ใช้กับการแล่นประสานชนิดลวดทองเหลืองผสมอะลูมิเนียม ใช้ฟลักซ์ชนิดใด
ก. ผงบอแรกซ์ ข. อัลคาไลน์ไบฟลูออไรด์
ค. โซเดียมไซยาไนด์ ง. กรดบอริค
12. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบในการแล่นประสาน
ก. การท าความสะอาด
ข. การเว้นช่องว่างรอยต่อ
ค. การให้ความร้อน
ง. ชิ้นงาน
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
เฉลยแบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 3
ค าสั่งจงท าเครื่องหมาย × ทับหัวข้อค าตอบที่ถูกต้องที่สุด
13. การเว้นช่องว่างรอยต่อควรเว้นระยะห่างประมาณกี่มิลลิเมตร
ก. 0.015 – 0.020 มิลลิเมตร
ข. 0.025 – 0.130 มิลลิเมตร
ค. 0.230 – 0.260 มิลลิเมตร
ง. 0.270 – 0.312 มิลลิเมตร
14. ข้อดีของการแล่นประสานคือข้อใด
ก. เหมาะกับงานที่รับแรงมากๆ
ข. แนวเชื่อมมีความยืดหยุ่นสูง
ค. เหมาะกับงานที่ใช้อุณหภูมิสูงๆ
ง. โลหะชิ้นงานมีการบิดตัวน้อย
15. ข้อเสียของการแล่นประสานคือข้อใด
ก. โลหะชิ้นงานมีการบิดตัวมาก
ข. แนวแล่นประสานมีความยืดหยุ่นสูง
ค. เนื้อเชื่อมและเนื้องานมีสีต่างกัน
ง. แนวแล่นประสานมีความหนามาก
แผนการสอนหน่วยที่ 6
งานเชื่อมไฟฟ้า
แผนการสอนหน่วยที่ 6
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น รหัส 2100 - 1005 สัปดาห์ที่ 9-10-11-12
ชื่อหน่วย งานเชื่อมไฟฟ้า รายการที่สอน จ านวน 16 ชั่วโมง
ผู้สอน นายขันติ สุมังสะ
หัวข้อเรื่องและงาน
1 ความหมายของการเชื่อมไฟฟ้า
2 เครื่องมือและอุปกรณ์การเชื่อมไฟฟ้า
3 ชนิดเครื่องเชื่อมไฟฟ้า
4 ลวดเชื่อมเปลือยและลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์
5 การเลือกใช้ลวดเชื่อมไฟฟ้า
6 องค์ประกอบของการเชื่อมไฟฟ้า
8 การเริ่มต้นอาร์ก
9 การเดินแนวเชื่อม
10 ปฏิบัติการเชื่อมไฟฟ้าเชื่อมจุดหาระยะอาร์ก
11 ปฏิบัติการเชื่อมไฟฟ้าเริ่มต้นอาร์กและเดินแนวช่วงสั้นๆ
12 ปฏิบัติการเชื่อมไฟฟ้าเดินแนวท่าราบ
13 ปฏิบัติการเชื่อมไฟฟ้าการเชื่อมพอกทับแนวเดิม
สมรรถนะที่พึงประสงค์
1. สามารถติดตั้งเครื่องเชื่อมได้ถูกต้อง
2. สามารถบอกชื่อเครื่องมือและอุปกรณ์เชื่อมไฟฟ้าได้ถูกต้อง
3. ปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้าได้ถูกต้อง
สาระส าคัญ
การเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ ( Shielded Metal Are Welding ) หรือการเชื่อมแบบ
SMAW หมายถึงการเชื่อมที่เกิดจากการอาร์ก ระหว่างชิ้นงานและลวดเชื่อมโดยผ่านช่องว่างอากาศ ท าให้
เกิดความร้อนขึ้นในบริเวณนั้น ความร้อนท าให้ลวดเชื่อมหลอมเหลวหยดลงเป็นแนวเชื่อม โดยมีการฟลักซ์
เป็นตัวปกคลุมแนวเชื่อม เพื่อป้องกันไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปรวมตัวกับแนวเชื่อม ตลอดจนความปลอดภัยใน
การเชื่อมไฟฟ้าตามหลักอาชีวอนามัย เป็นการจัดสภาพแวดล้อม เช่น ฝุ่น เสียง แสง และเครื่องมือ
อุปกรณ์ได้มาตรฐานในการเชื่อมไฟฟ้า
ล าดับขั้นการสอน
1. ขั้นน า (Motivation)
2. ขั้นสอน (Information)
3. ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน (Application)
4. ขั้นสรุปผล (Progress)
1. ขั้นน า (Motivation)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
ครูซักถามความรู้ของนักเรียน ฟังการชี้แจงและซัก-ถาม ในรายละเอียดในการวัดผล
ครูอธิบายหลักการเชื่อมไฟฟ้า ประเมินผลทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ซัก-ถาม เกณฑ์การ
ครูอธิบายเทคนิคของการเชื่อมไฟฟ้า ประเมินผล
2. ขั้นสอน (Information)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
ผู้สอนบรรยายตามหัวข้อสาระการเรียน พร้อมทั้ง - ฟังการอธิบาย
ยกตัวอย่างประกอบ - ถามและตอบ
ผู้สอนสุ่มผู้เรียนให้ตอบคาถามขณะทาการสอนเพื่อ - ตอบค าถามจากภาพ
กระตุ้นให้นักเรียนได้ติดตามเนื้อหา
3. ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน (Application)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
ให้นักเรียนท าแบบทดสอบความรู้ นักเรียนท าแบบทดสอบความรู้
4. ขั้นสรุปผล (Progress)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
สอบถามความเข้าใจของนักเรียน ตอบความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
ผู้เรียนทาแบบประเมินผลการเรียนรู้ สรุปกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย
นักเรียนปฏิบัติตามใบงานที่มอบหมาย
งานที่มอบหมายหรือกิจกรรม
ก่อนเรียน
1. เช็คชื่อนักศึกษา
2. แจ้งจุดประสงค์ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเรียน
ขณะเรียน
1. น าเข้าสู่บทเรียนโดยการถามตอบเกี่ยวกับงานเชื่อมไฟฟ้า
2. บรรยายเนื้อหาและให้ศึกษา ค้นคว้า เนื้อหาที่จะต้องเรียน จากใบความรู้ที่แจกให้
3. ครูและนักเรียน ซักถามและตอบปัญหาที่ไม่เข้าใจกัน
หลังเรียน
1. ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดท้ายบท
2. นักเรียนถามข้อสงสัยในเนื้อหา
3. ครูตรวจแบบฝึกหัด
4. นักศึกษาปฏิบัติตามใบงานพร้อมส่งตรวจ
สื่อการเรียนการสอน
1. หนังสืองานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น
2. ใบความรู้
3. กระดานด า
4. ของจริง
การประเมินผล
ก่อนเรียน
- ศึกษาใบความรู้และใบงานที่มอบหมายให้
ขณะเรียน
- สาธิต
- ถามตอบ
- ท าแบบฝึกหัด
หลังเรียน
- ตรวจความถูกต้องในการปฏิบัติงาน
- ตรวจงานเก็บคะแนน
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 1
หน่วยที่ 6
งานเชื่อมไฟฟ้า
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเชื่อมไฟฟ้า
6.1 การเชื่อมโลหะ
การเชื่อมโลหะ (welding) หมายถึง การต่อโลหะที่ท าให้โลหะเกิดการหลอมละลายด้วยการอาร์ก
ระหว่างลวดเชื่อมกับ โลหะงานจนท าให้โลหะหลอมละลายติดเป็นเนื้อเดี่ยวกันวิธีการเชื่อมโลหะแบ่งออกได้
ดังนี้
6.1.1 การเชื่อมแก๊ส (Gas Welding) คือ การหลอมเหลวโลหะ แหล่งความร้อนที่ใช้เกิดมาจากการเผา
ไหม้ระหว่าง แก๊ส อะเซทีลีน ซึ่งเป็นแก๊สเชื้อเพลิง และแก๊สออกซิเจน อุณหภูมิของการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ให้
ความร้อนสูง 3200°C และจะไม่มีเขม่าหรือควัน
6.1.2 การเชื่อมไฟฟ้า (Arc Welding)การ เชื่อมไฟฟ้า หรือ "อาร์ค" ความร้อนที่ใช้ในการเชื่อมเกิด
จากประกายอาร์ค ระหว่างชิ้นงาน และลวดเชื่อมซึ่งหลอมละลายลวดเชื่อม เพื่อท าหน้าที่ประสานเนื้อโลหะ
เข้าด้วยกัน
6.1.3 การเชื่อมอัด (Press Welding)คือ การประสานโลหะ 2 ชิ้น โดยใช้ความร้อน กับชิ้นงานใน
บริเวณที่จะท าการเชื่อม จากนั้นใช้แรงอัดส่วนที่หลอมละลายจนกระทั่งชิ้นงานติดกันเป็นจุด หรือเกิดแนว
ความร้อนที่ใช้ได้จากความต้านทานไฟฟ้า เช่น การเชื่อมจุด (Spot Welding)
5.1.4 การเชื่อม TIG (Tungsten Inert Gas Welding) เป็น วิธีเชื่อมโลหะด้วยความร้อน ที่เกิดจาก
การอาร์คระหว่างลวดทังสเตน กับชิ้นงาน โดยมีแก๊สเฉื่อยปกคลุมบริเวณเชื่อม และบ่อหลอมละลายเพื่อไม่ไห้
บรรยากาศภายนอกเข้ามาท าปฏิกิริยา
6.1.5 การเชื่อม MIG (Metal Inert Gas Welding) เป็น กระบวนการเชื่อมที่สร้างความร้อน ระหว่าง
ลวดเชื่อมกับชิ้นงาน ลวดเชื่อมที่ใช้จะเป็นลวดเชื่อมเปลือยที่ส่งป้อนอย่างต่อเนื่อง ไปยังบริเวณอาร์ค และท า
หน้าที่เป็นโลหะเติมลงยังบ่อหลอมละลาย บริเวณบ่อหลอมละลายจะถูกปกคลุมไปด้วยแก๊สเฉื่อย เพื่อไม่ให้เกิด
การรวมตัวกับอากาศ
6.1.6 การเชื่อมใต้ฟลักซ์ (Submerged Arc Welding) การเชื่อมใต้ฟลักซ์เป็นกระบวนการเชื่อมไฟฟ้า
ที่ได้รับความร้อนจากการอาร์คระ หว่างลวดเชื่อมเปลือยกับชิ้นงานเชื่อม โดยมีฟลักซ์ชนิดเม็ด (Granular
Flux) ปกคลุมบริเวณอาร์ก และฟลักซ์ส่วนที่อยู่ใกล้ กับเนื้อเชื่อมจะหลอมละลายปกคลุมเนื้อเชื่อมเพื่อป้องกัน
อากาศภายนอกท าปฏิกิริยากับแนวเชื่อม ส่วนฟลักซ์ที่อยู่ห่างจากเนื้อเชื่อมจะไม่หลอมละลาย และไม่สามารถ
น ากลับมาใช้ใหม่ได้อีก
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 2
6.2 กรรมวิธีการเชื่อมโลหะด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์
กรรมวิธีการเชื่อมโลหะด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ (Shield Metal Arc welding : SMAW) หรือที่
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเชื่อมไฟฟ้าหรือการเชื่อมโลหะด้วยธูปเชื่อม เป็นกรรมวิธีการเชื่อมแบบหลอมเหลว
วิธีหนึ่ง ซึ่งใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งความร้อน โดยอาศัยหลักการอาร์กระหว่างปลายลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์กับโลหะงาน
ความร้อนจากการอาร์กจะหลอมเหลวปลายลวดเชื่อมกับโลหะงานบริเวณอาร์กหลอมรวม กันและแข็งตัวเป็น
แนวเชื่อม ส่วนฟลักซ์เมื่อหลอมละลายบางส่วนจะเกิดเป็นแก๊สเฉื่อยปกคลุมบ่อหลอมเหลว เพื่อป้องกัน
บรรยากาศจากภายนอกเข้าท าปฏิกิริยากับแนวเชื่อม เมื่อเย็นตัวลงจะกลายเป็นสแลกปกคลุมแนวเชื่อมเพื่อ
ลดอัตราการเย็นตัว ดังแสดงในรูป
รูปที่ 6.1 แสดงการเชื่อมโลหะด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์
ที่มา : http://www.supradit.com/contents/metal/Data/5/1.html
6.3 เครื่องเชื่อมไฟฟ้า(Electric Welding Machine)
เครื่องเชื่อมเป็นอุปกรณ์ที่ส าคัญในขบวนการเชื่อมเป็นตัวก าเนิดพลังงานโดย ผลิตกระแสไฟเชื่อมและแรง
เคลื่อนออกมาถ้าพิจารณาลักษณะพื้นฐานแล้วจะสามารถ แบ่งเครื่องเชื่อมออกได้ 2 ชนิดคือเครื่องเชื่อมชนิด
กระแสคงที่ (CC) และเครื่องเชื่อมชนิดแรงดันไฟฟ้าคงที่ (CV) ความแตกต่างนี้พิจารณาจากคุณลักษณะของ
Volt Ampere Curves ซึ่งได้จากการก าหนดจุดระหว่างกระแสเชื่อมกับแรงเคลื่อนในขณะท าการเชื่อม
เครื่องไฟฟ้าที่ใช้งานอยู่ทั่วไป แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดกระแสตรง (Direct Current) หรือเรียกว่า เครื่องเชื่อม DC
2. ชนิดกระแสสลับ (Alternating Current) หรือเรียกว่า เครื่องเชื่อม AC
6.4 เครื่องเชื่อมชนิดกระแสตรง (Direct Current Welding)
6.4.1 เครื่องเชื่อมแบบเจนเนอเรเตอร์ ( Welding Generator) ใช้เจนเนอเรเตอร์เป็นแหล่งพลังงาน
เจนเนอเรเตอร์ส าหรับการเชื่อมจะถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ สามารถผลิตกระแสสูงที่แรงเคลื่อนต่ า เป็นเครื่อง
เชื่อมที่ผลิตกระแสตรงจ่ายให้กับวงจรเชื่อม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 3
1. แบบมอเตอร์เจนเนอเรเตอร์ (Motor Generator) เป็นเครื่องเชื่อมที่ใช้ก าลังไฟฟ้าเป็นต้นก าลังใน
การขับเคลื่อนมอเตอร์โดย ใช้ไฟฟ้าแบบกระแสสลับ ซึ่งทั่วไปจะใช้แรงเคลื่อน 380 โวลต์ เพลาของมอเตอร์จะ
ต่อร่วมกับเพลาของเจนเนอเรเตอร์ ดังแสดงในรูป
รูปที่ 6.2 แสดงเครื่องเชื่อมแบบมอเตอร์เจนเนอเรเตอร์
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 147)
2. แบบเครื่องยนต์ขับเคลื่อน (Engine Motor Generator) เป็นเครื่องเชื่อมที่ใช้ก าลังขับจาก
เครื่องยนต์ เครื่องยนต์ที่ใช้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลหรือแก๊สโซลีนก็ได้ แต่ต้องมีก าลังม้าและความเร็วรอบ
เพียงพอในการขับเคลื่อนที่จะก่อให้เกิดการ เชื่อมได้ เครื่องเชื่อมแบบนี้เหมาะส าหรับใช้งานภาคสนาม ที่ไม่มี
ไฟฟ้าใช้ และสามารถเคลื่อนย้ายสะดวก ดังรูปที่แสดง
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 4
รูปที่ 6.3 แสดงเครื่องเชื่อมแบบเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเจนเนอเรเตอร์
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 148)
3. เครื่องเชื่อมเรกติไฟเออร์(Rectifier Welding) เป็นเครื่องเชื่อมกระแสตรงแบบเครื่องเรียงกระแส
ประกอบ ด้วย หม้อแปลงไฟฟ้าและตัวเรียงกระแส (Rectifier) ตัวเรียงกระแส เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยน
กระแสไฟสลับให้เป็นกระแสตรง เครื่องเรียงกระแสสลับให้เป็นกระแสตรงนี้จะใช้สารกึ่งตัวน า เช่น แผ่น
ซิลิคอน (Silicon) และซีลีเนียม (Selenium) ส าหรับเปลี่ยนกระแสไฟสลับให้เป็นกระแสตรง ซึ่งโลหะกึ่งตัวน า
นี้จะยอมให้กระแสไหลผ่านได้สะดวกเพียงทางเดียวเท่านั้น เครื่องเชื่อมชนิดนี้ท างานได้เงียบไม่มีเสียงรบกวน
ค่าบ ารุงรักษาน้อย ไฟฟ้าที่ใช้งานเป็นไฟฟ้าแบบ 3 เฟสดังรูป
รูปที่ 6.4 แสดงส่วนต่างๆของเครื่องเชื่อมเรกติไฟเออร์
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 148)
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 5
รูปที่ 6.5 แสดงไดอะแกรมของเครื่องเชื่อมแบบเรกติไฟเออร์
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 149)
จากรูปที่ 6.5 ชุดหม้อแปลงไฟฟ้าจะท าหน้าที่เปลี่ยนแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ต่อเข้าเครื่อง ให้มีแรงเคลื่อน
ต่ ากระแสสูง ส่วนตัวเรียงกระแส (Rectifier) จะท าหน้าที่เรียงกระแสให้ไหลเพียงทิศทางเดียวกระแสไฟที่
ออกจากเครื่องไปใช้ในการเชื่อมจะเป็นกระแสตรง เครื่องเชื่อมกระแสตรงแบบเรติไฟเออร์นี้ ชิ้นส่วนหรือ
กลไกของเครื่องจะไม่เคลื่อนไหว แต่ที่ส าคัญคือ ต้องมีการหล่อเย็นเป็นอย่างดี โดยทั่วไปจะติดตั้งพัดลมเพื่อ
ระบายความร้อนให้แก่เครื่องเชื่อม การเชื่อมด้วยเครื่องเชื่อมกระแสตรงสามารถจะกลับขั้วโดยให้อิเล็กโทรด
(Electrode) เป็นลบ (-) หรือเป็นบวก (+) ก็ได้
รูปที่ 6.6 แสดงลักษณะภายในและการต่อกระแสไฟฟ้าเข้าเครื่องเชื่อมกระแสตรงโดยใช้เรกติไฟเออร์
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 149)
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 6
6.5 เครื่องกระแสตรงแบบเรกติไฟเออร์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
6.5.1 เครื่องเชื่อมกระแสตรงต่อขั้วตรง (Direct Current Straight Polarity) หรืออิเล็กโทรด
เป็นขั้วลบ (Direct Current Electrode Negative) หัวจับลวดเชื่อมต่อเข้ากับขั้วลบท าให้กระแสไฟไหลจาก
ขั้วลบไปยังขั้วบวกนั้น หมายถึง เมื่อกระแสไฟออกจากเครื่องเชื่อมแล้วจะไหลผ่านลวดเชื่อมก่อน แล้วค่อย
ผ่านไปยังชิ้น งานเชื่อมดังนั้นปริมาณความร้อนประมาณ 70 % จึงอยู่ที่ชิ้นงานอีก 30 % อยู่ที่ลวดเชื่อมดังนั้น
จะท าให้ชิ้น งานหลอมละลายได้ดีเหมาะส าหรับเชื่อมชิ้น งานหนาๆหรือต้องการการซึมลึก
รูปที่ 6.7 แสดงเครื่องเชื่อมกระแสตรงต่อขั้วตรง
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 150)
6.5.2 เครื่องเชื่อมกระแสตรงต่อกลับขั้ว (Direct Current Reverse Polarity) หรือ อิเล็กโทรด
เป็นขั้วบวก (Direct Current Electrode Positive)หัวจับลวดเชื่อมต่อเข้ากับขั้วบวกท าให้กระแสไฟไหลจาก
ชิ้นงานไปยัง ลวดเชื่อมหมายถึงเมื่อกระแสไฟออกจากเครื่องเชื่อมแล้วจะไหลผ่านชิ้นงาน เชื่อมก่อนแล้วค่อย
ผ่านไปยังลวดเชื่อมดังนั้นปริมาณความร้อนประมาณ 70 % จึงอยู่ที่ลวดเชื่อมอีก 30 % อยู่ที่ชิ้นงานดังนั้นจะ
ท าให้ลวดเชื่อมหลอมละลายได้ดีเหมาะส าหรับเชื่อมชิ้น งานบางๆหรือต้องการการเติมเนื้อโลหะบนชิ้นงาน
เชื่อม
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 7
รูปที่ 6.8 แสดงเครื่องเชื่อมกระแสตรงต่อกลับขั้ว
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 150)
6.5.3 เครื่องเชื่อมชนิดกระแสสลับ (Alternating Current Welding)
เครื่องเชื่อมกระแสสลับจะมีทรานส์ฟอร์เมอร์ (Transformers) เป็นส่วนประกอบที่ส าคัญหรือ
โดยทั่วไปเรียกว่า หม้อแปลงไฟ โดยหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformers) จะแปลงแรงเคลื่อนไฟฟ้าจาก
ภายนอกให้เป็นแรงเคลื่อนส าหรับใช้เชื่อม (Welding Voltage) หม้อแปลงนี้จะประกอบด้วย
- ขดลวดปฐมภูมิ (Primary Winding) เป็นขดลวดขนาดเล็กพันรอบแกนเหล็กจ านวนมาก ปลายทั้ง
สองข้างจะต่อเข้ากับกระแสไฟจากภายนอก เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดจะท าให้เกิดเส้นแรง
แม่เหล็กไหลวนในแกนเหล็กนั้น
- ขดลวดทุติยภูมิ (Secondary Winding) เป็นขดลวดที่มีขนาดใหญ่ และจ านวนรอบที่พันอยู่บน
แกนเหล็กน้อยกว่าขดลวดปฐมภูมิ ที่ขดลวดทุติยภูมิจะมีเส้นแรงแม่เหล็ก ซึ่งเกิดจากการเหนี่ยวน า
ของขดลวดปฐมภูมิไหลผ่านตัดกับขดลวดทุติยภูมิท าให้เกิดความต้านทานต่ า และมีกระแสสูง ซึ่ง
เราน ากระแสไฟสูงที่ได้นี้ไปใช้ในการเชื่อม ดังแสดงในรูป
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 8
รูปที่ 6.9 แสดงลักษณะภายในของเครื่องเชื่อมกระแสสลับ
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 152)
ขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลงจะสร้างเส้นแรงแม่เหล็กขึ้นในแกนเหล็ก และก าลังไฟฟ้าจะถูกส่งไปยัง
ด้านทุติยภูมิโดยเส้นแม่แรงเหล็ก ดังนั้น แม้ว่าจะไม่มีการใช้ก าลังไฟฟ้าเลยที่ขดลวดทุติยภูมิ ก็ยังต้องมี
กระแสที่จ่ายให้ เพื่อการสร้างสนามแม่เหล็กให้ไหลอยู่เสมอ จึงมีก าลังไฟฟ้าเล็กน้อยเสียไปตลอดเวลา ซึ่ง
เรียกกระแสสูญเสียเล็กน้อยนี้ว่า “ก าลังไฟฟ้าที่สูญเสียเมื่อไม่มีโหลด (No-Load Loss)
6.6 ลวดเชื่อมไฟฟ้า (Electrode)
ลวดเชื่อมไฟฟ้าจะท าหน้าที่เป็นตัวอาร์กกับโลหะงาน ท าให้เกิดความร้อนสูง จนกระทั่งโลหะงาน
หลอมละลาย ในขณะเดียวกันตัวมันเองก็จะหลอมละลาย และจะเติมลงบนเนื้อโลหะเชื่อมและเมื่อเย็นตัวลงจะ
แข็งตัวกลายเป็นแนวเชื่อม เพื่อให้ได้แนวเชื่อมที่แข็งแรงเนื้อโลหะรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ลวดเชื่อมและโลหะ
งานที่จะน ามาเชื่อม จะต้องเป็นโลหะชนิดเดียวกัน
ลวดเชื่อมโลหะ (Metallic Electrode) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้คือ
1. ลวดเชื่อมเปลือย (Bare Electrode)
2. ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (Flux Covered Electrode)
1. ลวดเชื่อมเปลือย (Bare Electrode) จะเป็นเส้นไม่มีฟลั้กซ์หุ้ม ส่วนใหญ่จะใช้ในงานเชื่อมแบบ
อัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ การป้องกันออกซิเจนจากอากาศจะใช้แก๊สเฉื่อยคลุมแนวเชื่อม ปัจจุบันมีการใช้ใน
การเชื่อมบางประเภทที่ไม่ต้องการควบคุมคุณภาพของแนวเชื่อม ซึ่งแนวเชื่อม(Bead) ที่ได้จะมีความแข็งแรง
น้อยกว่าแนวเชื่อมที่เชื่อมด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (Flux) เนื่องจากการเชื่อมด้วยลวดเปลือย ไนโตรเจนและ
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 9
ออกซิเจนในอากาศมีโอกาสเข้าไปรวมตัวกับแนวเชื่อมได้ และน้ าโลหะที่หยดลงจะมีรูปร่างเป็นเม็ดขนาดใหญ่
รูปที่ 6.10 แสดงการเชื่อมด้วยลวดเชื่อมเปลือย
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 153)
จากรูปที่ 5.10 แสดงให้เห็นว่า ออกซิเจน จะมีส่วนช่วยในการเผาไหม้โลหะ ส่วนไนโตรเจน ที่เข้า
รวมตัวกับแนวเชื่อม เมื่อแนวเชื่อมเย็นตัวลง จะเป็นผลท าให้มีความเปราะ ความเหนียวของแนวเชื่อมจะน้อย
กว่าโลหะงาน ทนต่อการกัดกร่อนได้เล็กน้อย ไม่มีสแลก(Slag) สามารถเชื่อมได้ทุกท่าเชื่อม(All Position)
ลวดเชื่อม เปลื่อยปกติจะมีส่วนผสมของธาตุต่างๆดังนี้
คาร์บอน 0.08-0.13% แมงกานีส 0.03-0.40%
ฟอสฟอรัส 0.012-0.018% ก ามะถัน 0.026-0.028%
ซิลิคอนสูงสุดไม่เกิน 0.08-0.30%
2. ลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ (Flux Covered Electrode)
กรรมวิธีการเชื่อมโลหะด้วยลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ มีองค์ประกอบที่ส าคัญในการเชื่อม คือ ลวด
เชื่อม ซึ่งเป็นแท่งโลหะหุ้มไว้ด้วยฟลักซ์ เพื่อสร้างแก๊สปกคลุมด้วยตัวเอง ท าให้การอาร์กสม่ าเสมอและ
ปรับปรุงคุณภาพของแนวเชื่อมให้ดีขึ้น ซึ่งมีส่วนประกอบ ดังแสดงในรูป
รูปที่ 6.10 แสดงสัญลักษณ์บนลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์และการระบุขนาด
ที่มา: http://www.supradit.com/contents/metal/Data/5/3.html
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 10
โครงสร้างของลวดเชื่อมนี้ประกอบด้วย แกนลวดและฟลั้กซ์ที่หุ้มแกนลวด ฟลั้กซ์ที่หุ้มจะมีส่วนผสม
ต่างๆ เช่น ใยแร่เฟลด์สปาร์ ไทเทเนียมไดออกไซด์ ไมกา อะลูมินา แคลเซียมคาร์บอเนต แมกนีเซียม
คาร์บอเนต เป็นต้น
รูปที่ 6.11 แสดงลักษณะโครงสร้างลวดเชื่อมหุ้มฟลั้กซ์
ที่มา: http://www.supradit.com/contents/metal/Data/5/3.html
หน้าที่ของฟลักซ์ (Function of Flu)
1. ป้องกันบรรยากาศภายนอกมารวมตัวกับโลหะแนวเชื่อมขณะท าการเชื่อม
2. ขจัดออกไซด์ และสิ่งสกปรกออกจากน้ าโลหะเชื่อม
3. กลายเป็นสแลกปกคลุมแนวเชื่อมเพื่อป้องกันการรวมตัวของออกซิเจนกับแนวเชื่อม
4. มีธาตุที่ท าให้อาร์คคงที่สม่ าเสมอ
5. มีธาตุผสมช่วยท าให้แนวเชื่อมมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น
6. มีผงเหล็ก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลวดเชื่อม
7. ท าให้เชื่อมต าแหน่งท่าต่าง ๆ ได้สะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อม
8. สแลกปกคลุมแนวเชื่อมท าให้แนวเชื่อมเย็นลงอย่างช้า ๆ เป็นผลดีทางโลหะวิทยา
9. ท าให้แนวเชื่อมมีประสิทธิภาพ ได้รูปร่างที่ดี และการซึมลึกสมบูรณ์ถูกต้อง
10. ช่วยลดการกระเด็นของเม็ดโลหะ
คุณสมบัติของฟลั๊กซ์ที่ดี
1. มีความถ่วงจ าเพาะต่ า เพื่อให้สามารถลอยตัวขึ้นมาจากน้ าโลหะเหลวได้
2. จะต้องมีอุณหภูมิการหลอมละลายเมื่อเกิดการอาร์ก
3. เมื่อหลอมละลายจะเกิดกลุ่มควันซึ่งเป็นแก๊สชนิดหนึ่ง เพื่อป้องกันและขับไล่แก๊สจากภายนอก
ไม่ให้เข้าไปท าให้เกิดผลเสียต่อแนวเชื่อม
4. ต้องหุ้มแกนลวดได้แน่น ไม่แตกหรือหลุดจากแกนลวดได้ง่าย
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 11
มาตรฐานของลวดเชื่อม (Standard of Electrode)
ประเทศกลุ่มอุตสาหกรรมจะก าหนดมาตรฐานการผลิตลวดเชื่อม เพื่อควบคุมคุณภาพและเป็นมาตรฐาน
ในการใช้งาน ตัวอย่างมาตรฐานประเทศต่าง ๆ เช่น
AWS เป็นมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา ย่อมาจากค าว่า American Welding Society
JIS เป็นมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ย่อมาจากค าว่า Japanese Industry Standard
DIN เป็นมาตรฐานของประเทศเยอรมัน
มอก. 49 – 2516 เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับลวดเชื่อมหุ้มฟลั้กซ์ของไทย
มาตรฐานลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลั้กซ์แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ แยกตามรหัสสี กับแยกตามรหัสตัวอักษรและ
ตัวเลขแยกตามรหัสสีโดยใช้สีท าเครื่องหมายที่ส่วนปลายของลวดเชื่อม เช่น ลวดเชื่อม E 6010 จะไม่มีสี
ลวดเชื่อม E 6011 จะมีสีฟ้า ลวดเชื่อม E 6012 จะมีสีขาว ลวดเชื่อม E 6013 จะมีสีน้ าตาลแยกตามรหัสตัว
อักษรและตัวเลข เช่นตามมาตรฐาน AWS ของประเทศอเมริกาจะก าหนดโดยมีรายละเอียดดังตัวอย่างลวด
เชื่อม E 6013 จะให้ความหมายดังนี้
มาตรฐานลวดเชื่อมแก๊สตาม AWS
มาตรฐานสมาคมการเชื่อมอเมริกัน (American Welding Society ; AWS) ได้จัดกลุ่มลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์
ส าหรับเชื่อมเหล็กชนิดต่างๆ เช่นกลุ่ม A5.1 ส าหรับงานเชื่อมเหล็กกล้าละมุนและเหล็กกล้าโครงสร้างซึ่งได้
ก าหนดเป็นรหัสตัวอักษรผสมตัวเลข ดังนี้ AWS A5.1 – 91 E XX XX ซึ่งมีความหมายดังนี้
A 5.1 หมายถึง กลุ่มลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ส าหรับเชื่อมเหล็กกล้าละมุน
91 หมายถึง ปีที่ก าหนดมาตรฐาน
E (Electrode) หมายถึง ลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์
XX หมายถึง ค่าความต้านทานแรงดึงต่ าสุด มีหน่วยเป็นปอนด์ต่อตารางนิ้ว(PSI)คูณค่าคงที่ (1,000)
X หมายถึง ต าแหน่งท่าเชื่อม
X หมายถึง สมบัติต่าง ๆ ของลวดเชื่อม , กระแสไฟ , การอาร์ก ,การกินลึกและชนิดของฟลักซ์
ตัวอย่าง ลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ในกลุ่ม A5.1 – 91 ได้แก่
E 6010 เป็นลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์เซลลูโลสค่าความต้านทานแรงดึงต่ าสุด 60,000 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
(60) เชื่อมได้ทุกต าแหน่ง (1) ใช้กระแสไฟเชื่อม DCEP (Direct Current Electrode Positive) การอาร์
กรุนแรงกินลึกสูง
E 6013 เป็นลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์รูไทล์ ค่าความต้านทานแรงดึงต่ าสุด 60,000 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
(60) เชื่อมได้ทุกต าแหน่ง (1) ใช้กระแสไฟเชื่อม AC และ DCEP และ DCEN การอาร์กนิ่ม การกินลึกน้อย
E 7016 เป็นลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ต่างค่าความเค้นแรงดึงต่ าสุด 70,000 ปอนด์ / ตารางนิ้ว (70)
เชื่อมได้ทุกต าแหน่ง (1) ใช้กระแสไฟเชื่อม AC และ DCEP การอาร์กปานกลางการกินลึกปานกลาง
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 12
ตัวเลขต าแหน่งสุดท้ายจะแสดงสมบัติต่างๆ ของลวดเชื่อมดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 6.1 แสดงความหมายต่างๆ ของตัวเลขต าแหน่งสุดท้าย
มาตรฐานประเทศไทย (Thai Industrail Stundard ; TIS)
ส านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ก าหนดมาตรฐานลวดเชื่อมหุ้ม
ฟลักซ์ไว้ ดังนี้
มอก. 49 – 2538 ส าหรับงานเชื่อมเหล็กกล้าละมุนตามรหัส ดังนี้
E XX XB X X มีความหมายดังนี้
E หมายถึง ลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์
XX หมายถึง ความต้านทานแรงดึงของเนื้อโลหะเชื่อม
X หมายถึง ค่าความต้านทานแรงกระแทก , ความยืดหยุ่นของเนื้อโลหะเชื่อม
B หมายถึง ชนิดของฟลักซ์
X หมายถึง ต าแหน่งท่าเชื่อม
X หมายถึง กระแสไฟเชื่อม
ตัวอย่างลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ในกลุ่ม มอก. 49 – 2538 ได้แก่
E 43 2R 13 เป็นลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์รูไทล์ เนื้อโลหะเชื่อมมีสมบัติทางกล ดังนี้
ความต้านทานต่อแรงดึง 430 – 510 เมกาปาสกาล (43) ความยืด 22% ความต้านทานแรงกระแทกที่
28 จูลา ณ อุณหภูมิ 00C (2) เชื่อมได้ทุกต าแหน่ง (1) ใช้กระแสไฟเชื่อม DCEP (3)
ส าหรับตัวเลขทั้ง 4 กลุ่มนั้น จะแสดงสมบัติต่าง ๆ ของลวดเชื่อม
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 13
ตารางที่ 6.2 แสดงความหมายของตัวเลขคู่แรก
ตารางที่ 6.3 แสดงความหมายของตัวเลขตัวที่ 3
ตารางที่ 6.4 แสดงความหมายของชนิดของฟลักซ์
ตารางที่ 6.5 แสดงความหมายของต าแหน่งท่าเชื่อม
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 14
ตารางที่ 6.6 แสดงความหมายตัวเลขตัวที่ 5 กระแสและแรงดันไฟฟ้าที่ใช้
หมายเหตุ 1. ค่าแรงดันไฟฟ้าที่ก าหนดนี้ใช้ส าหรับลวดเชื่อมขนาด 2.6 มม. ถ้าลวดเชื่อม เล็กกว่านี้
แรงดันไฟฟ้าต้องสูงกว่านี้
2. ส าหรับกระแสตรงไม่ก าหนดเพราะขึ้นอยู่กับคุณลักษณะทางพลศาสตร์ของ เครื่องเชื่อม
มาตรฐานญี่ปุ่น (Japanese Industrial Standard ; JIS)
ได้จัดกลุ่มลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ส าหรับเชื่อมเหล็กชนิดต่าง ๆ ดังนี้กลุ่ม Z 3211 – 1991 ส าหรับงาน
เชื่อมเหล็กกล้าละมุนตามรหัสดังนี้ D XX XX ซึ่งมีความหมายดังนี้
D หมายถึง ลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ (Electrode) ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Denkoyosetubo
X X หมายถึง สมบัติทางกลและค่าความเค้นต่ าสุดของเนื้อโลหะเชื่อม N / mm2
X หมายถึง ต าแหน่งท่าเชื่อม
X หมายถึง สมบัติต่าง ๆ ของลวดเชื่อม กระแสไฟและชนิดของ ฟลักซ์
ตัวอย่าง ลวดเชื่อมในกลุ่ม Z 3211 – 1991 ได้แก่ D 4313 เป็นลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ไทเทเนียมออกไซด์
ค่าความต้านทานแรงดันต่ าสุด 420 N / mm2 (43) เชื่อมได้ทุกต าแหน่ง (1) ใช้กระแสไฟเชื่อม AC และ
DCEN (3) ส าหรับตัวเลข 2 กลุ่ม นั้นจะแสดงสมบัติต่างๆ ของลวดเชื่อม ดังแสดงในตารางที่
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 15
ตารางที่ 6.7 แสดงความหมายของตัวเลขตามรหัสลวดเชื่อม JIS (Z3211-1991)
6.7 องค์ประกอบของงานเชื่อมไฟฟ้า (Factor Involve Weldind)
ในการควบคุมคุณภาพแนวเชื่อมให้ได้ประสิทธิภาพที่สมบูรณ์นั-นจะต้องมีการควบคุมองค์ประกอบต่าง
ๆ หลายอย่าง แต่ที่ส าคัญ และควบคุมได้ง่ายเป็นพื้นฐาน มี 5 ประการ ดังนี้
6.7.1 การเลือกลวดเชื่อมให้ถูกต้อง (CORRECT ELECTRODE) สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกลวดเชื่อม
มีดังนี้
6.7.2 คุณสมบัติของวัสดุจะต้องเหมือน หรือใกล้เคียงกับชิ้นงาน
6.7.3 คุณสมบัติเฉพาะของลวดเชื่อม ลักษณะรอยต่อที่ใช้ ชนิดกระแสไฟที่ใช้
6.7.4 ขนาดลวดเชื่อม
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 16
ตารางที่ 6.8 แสดงการใช้ลวดเชื่อมเหล็กเหนียว และเหล็กผสมต่่า
ตารางที่ 6.9 แสดงการใช้ลวดเชื่อมเหล็กเหนียว และเหล็กผสมต่่า
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 17
6.8 การปรับกระแสไฟที่เหมาะสม (CORRECT CURRENT)
6.8.1 ชนิดของกระแสไฟ ขึ้นอยู่กับชนิดของลวดเชื่อมที่ใช้ว่าก าหนดให้ใช้กระแสไฟชนิดใดถ้าใช้ผิด
ประเภทคุณภาพแนวเชื่อมจะไม่ดีเท่าที่ควร เช่น E6010 ให้ใช้ DCRP E6013 ให้ใช้ ACเป็นต้น
6.8.2 ปริมาณกระแสไฟ ขึ้นอยู่กับขนาดความหนาของชิ้นงาน และขนาดของลวดเชื่อม ถ้าปรับกระแสสูง
เกินไป บ่อหลอมละลายจะกว้าง และควบคุมยาก ถ้าปรับต่ าเกินไป ชิ้นงานอาจไม่หลอมละลายได้ผลจากการ
ตั้งกระแสไฟในการเริ่มต้นอาร์กแบ่งได้ 3 ระดับคือ
1. การตั้งกระแสไฟสูง ผลที่เกิดคือ
• เริ่มต้นอาร์กง่าย
• อาร์กรุนแรง
• มีเม็ดโลหะมาก
• มีเสียงดัง
• แนวเชื่อมแบน
• มีอัตราการสิ้นเปลืองลวดเชื่อมมาก
• ลวดเชื่อมมีความร้อนสูงมาก
2. การตั้งกระแสไฟต่ า ผลที่เกิดคือ
• เริ่มต้นอาร์กยาก
• แนวเชื่อมนูนมาก
• เชื่อมได้ช้า
• การอาร์กไม่สม่ าเสมอ
• ชิ้นงานมีความร้อนต่ าท าให้การหลอมละลายของชิ้นงานไม่ดี
3. การตั้งกระแสไฟเหมาะสม ผลที่เกิดคือ
• อาร์กง่าย
• เกิดเม็ดโลหะน้อย
• แนวเชื่อมสม่ าเสมอ ไม่กว้างหรือนูนเกินไป
• การอาร์ก สม่ าเสมอ
รูปที่ 6.12 ปรียบเทียบผลของการตั้งกระแสไฟเชื่อม
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 18
6.8.3 การใช้ระยะอาร์กที่เหมาะสม (CORRECT ARC LENGTH) ระยะอาร์กมีผลต่อคุณภาพของ
แนวเชื่อม ดังนี้
6.8.4 ระยะอาร์กยาวเกินไป มีผลท าให้น าความร้อนทิ่เกิดขึ้นจะแผ่กระจายไปบนผิวหน้าชิ้นงานมาก
และก๊าซที่ปกคลุมแนวเชื่อมอาจไม่เพียงพอ แนวเชื่อมจะมีลักษณะ กว้าง แบน ราบ แนวไม่สม่ าเสมอ หรือไม่
เป็นแนว เม็ดโลหะกระเด็นมาก การอาร์กรุนแรง ความแข็งแรงขอแนวเชื่อมน้อยลง การควบคุมแนวเชื่อมได้
ยาก
รูปที่ 6.13 แสดงลักษณะระยะอาร์กยาวเกินไป
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
6.8.5 ระยะอาร์กสั้นเกินไป จะท าให้ความร้อนจากการอาร์กน้อยเกินไป แนวเชื่อมจะมีลักษณะแคบ
นูนสูง การหลอมละลายน้อย การอาร์กไม่สม่ าเสมอ การหลอมละลายของชิ้นงานน้อย ความแข็งแรงของแนว
เชื่อมน้อยลง และปลายลวดเชื่อมอาจติดกับชิ้นงานได้ง่าย
รูปที่ 6.14 แสดงลักษณะระยะอาร์กสั้นเกินไป
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
6.8.6 ระยะอาร์กที่ถูกต้อง มีผลท าให้ การรวมตัวของอากาศภายนอกกับโลหะหลอมละลายได้ยาก มี
การอาร์กท่สม่ าเสมอ เกิดเม็ดโลหะน้อยแนวเชื่อมมีขนาดความกว้างและนูนเหมาะสม แนวเชื่อมมีความ
แข็งแรงสูง
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 19
รูปที่ 6.15 แสดงลักษณะระยะอาร์กที่เหมาะสม
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
6.8.9 การตั้งมุมลวดเชื่อมทีเหมาะสม (CORRECT ANGLE OF ELECTRODE) มุมของลวดเชื่อมมีผล
ท าให้การควบคุมแนวเชื่อมให้เป็นไปตามความต้องการและแนวเชื่อมมีคุณภาพ มุมของลวดเชื่อมจะประกอบ
ไปด้วยมุมด้านข้าง (Side Angle) และมุมน า (Lead-Angle)
1. ด้านข้าง (Side Angle) มุมด้านข้างของลวดเชื่อมส าหรับงานเชื่อมท่าราบโดยทั่ว ไปจะเป็น 90 องศา
โดยวัดเข้าหาตัวผู้เชื่อม และออกนอกตัวของผู้เชื่อม แต่ถ้าเป็นการเชื่อมท่าขนานนอน รอยต่อตัวที มุมลวด
เชื่อมด้านข้างท ามุม 45 องศา
2. มุมน า (Lead Angle) ซึ่งหมายถึงมุมเอียงของลวดเชื่อมจากแนวระดับ 90 องศา ถ้าถนัดขวาให้เอียง
ไปทางขวา ถ้าถนัดซ้ายให้เอียงไปทางซ้ายโดยเอียงท ามุมประมาณ 10 – 15 องศา
รูปที่ 6.16 แสดงมุมลวดเชื่อมที่กระท าต่อชิ้นงานท่าราบ
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 20
รูปที่ 6.17 แสดงมุมลวดเชื่อมที่กระท าต่อชิ้นงานต่อตัวที
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
รูปที่ 6.18 แสดงผลของมุมน า (Lead Angle) ต่อความสูง ความกว้างและการซึมลึกของแนวเชื่อม
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
6.8.10 ความเร็วในการเดินลวดเชื่อมที่เหมาะสม(CORRECT TRAVEL SPEED) ในการเดินลวดเชื่อม
ต้องสังเกตน้ าโลหะที่ก าลังหลอมละลายติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบและต่อเนื่อง ความเร็วในการเดินเร็วเกินไป
จะท าให้บ่อหลอมละลาย แคบหรือตื้นเกินไปสารมลทินและก๊าซต่าง ๆ จะรวมตัวในแนวเชื่อมได้ง่าย ส่วนการ
เดินช้าเกินไปแนวเชื่อมจะกว้างนูนมากเกินไป และความร้อนสะสมในชิ้นงานมาก
รูปที่ 6.19 แสดงลักษณะของการเดินลวดเชื่อม
ที่มา : www.km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 21
6.9 เทคนิคการเชื่อมไฟฟ้า
การเชื่อมไฟฟ้าประกอบไปด้วยลักษณะของท่าเชื่อมต่างๆที่มีความส าคัญเป็นอย่างมากของวิชางานเชื่อม
เบื้องต้น เพราะสื่อการสอนนี้จะสามารถท าให้ตัวนักศึกษาเอง เข้าใจหลักและวิธีการต่างๆที่จะน าไปปฏิบัติให้
เป็นองค์ความรู้ที่เป็นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ
6.9.1 การเชื่อมต่อชนท่าราบ (Flat Butt Joint)
การเชื่อมท่าราบเป็นการเชื่อมที่สามารถควบคุมการเชื่อมได้ง่าย การเชื่อมท่าราบนั้น ลวดเชื่อม
ท ามุมกับงาน (มุมเดิน) ประมาณ 67-75 องศา และท ามุมกับชิ้นงานด้านข้าง (มุมงาน) 90 องศา ท าการเชื่อม
ทางซ้ายมือไปขวามือ
รูปที่ 6.20 แสดงมุมและทิศทางของการเชื่อมต่อชนท่านาบ
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 180)
6.9.2 การเชื่อมต่อชนท่าขนานนอน (Horizontal Butt Joint)
ส าหรับผู้ฝึกเชื่อมใหม่ ๆ เนื่องจากน้ าโลหะจะไหลย้อนลงมาอันเนื่องมาจากแรงดึงดูดของโลก ท า
ให้แนวเชื่อมไม่แข็งแรงเท่าที่ควร แต่ก็สามารถเชื่อมได้ดี ถ้ามีการฝึกเชื่อมจนกระทั่งช านาญ การหลอมละลาย
ลึกสามารถควบคุมได้ด้วยระยะอาร์ก และมุมในการเชื่อม
รูปที่ 6.21 แสดงภาพด้านข้างของการเชื่อมต่อชนท่าขนานนอนแนวที่ 1,2 และ 3
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 180)
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 22
รูปที่ 6.22 แสดงมุมเดินและมุมงานของลวดเชื่อมในการเชื่อมต่อชนท่าขนานนอนแนวที่ 2 และแนวที่ 3
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 180)
6.9.3 การเชื่อมต่อชนท่าตั้ง (Vertical Butt Joint)
การเชื่อมท่าตั้งที่ให้การหลอมละลายลึกที่ดี แนวเชื่อมแข็งแรงสูงนั้น ควรเชื่อมขึ้นการเชื่อมท่าตั้ง
เชื่อมขึ้น แนวเชื่อมมีลักษณะนูนมากกว่าแนวเชื่อมท่าอื่นๆ เทคนิควิธีการที่จะท าให้น้ าโลหะไหลย้อยน้อยก็คือ
เมื่อเคลื่อนที่ส่ายลวดเชื่อม ควรหยุดบริเวณขอบของรอยต่อชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แนวเชื่อมตรงกลาง
แข็งตัว และลดการย้อยของน้ าโลหะได้
รูปที่ 6.23 แสดงเทคนิควิธีในการเชื่อมต่อท่าชนตั้งเชื่อมขึ้น
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 181)
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 23
6.9.4 การเชื่อมต่อชนท่าเหนือศีรษะ (Overhead Butt Joint)
การเชื่อมที่มีปัญหาและยากที่สุดในการเชื่อมส าหรับผู้ปฏิบัติงานเชื่อมก็คือ การเชื่อมท่าเหนือ
ศีรษะ การเชื่อมท่าเหนือศีรษะนี้ ผู้เชื่อมต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายเป็นอย่างดี มุมเดินและมุมงานของลวด
เชื่อมที่กระท ากับงาน เหมือนกับการเชื่อมท่าราบ แต่เพียงเชื่อมงานในลักษณะคว่ าลงเท่านั้น
รูปที่ 6.24 แสดงการเชื่อมต่อชนท่าเหนือศีรษะ
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 181)
6.9.5 การเชื่อมต่อตัวทีท่าขนานนอน (Horizontal T-joint)
การเชื่อมแนวแรก ลวดเชื่อมท ามุมกับงานขณะเดิน (มุมเดิน) ประมาณ 67-70 องศา และมีงาน
ประมาณ 40-50 องศา กับชิ้นงาน
รูปที่ 6.25 แสดงการเชื่อมต่อตัวทีท่าขนานนอนแนวที่ 1
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 181)
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 24
การเชื่อมแนวที่สอง ลวดเชื่อมมีมุมเดินประมาณ 65-75 องศา และมุมงานประมาณ 55-65 องศากับ
ชิ้นงานนอน
รูปที่ 6.26 แสดงการเชื่อมต่อตัวทีท่าขนานนอนแนวที่ 2
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 182)
การเชื่อมแนวที่สาม ลวดเชื่อมมีมุมเดินประมาณ 70-80 องศา และมีมุมงานประมาณ 40-50 องศา
กับชิ้นงานนอน
รูปที่ 6.27 แสดงการเชื่อมต่อตัวทีท่าขนานนอนแนวที่ 3
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 182)
6.9.6 การเชื่อมต่อตัวทีท่าตั้ง (Vertical T-joint)
- การเชื่อมแนวแรก ลวดเชื่อมมีมุมเดินประมาณ 70-80 องศา มีมุมงานประมาณ 45 องศา
- เพื่อไม่ให้น้ าโลหะไหลย้อนมากขณะเคลื่อนส่าย ควรหยุดบริเวณขอบของแนวเชื่อมชั่วขณะหนึ่ง
เพื่อเปิดโอกาสให้แนวเชื่อมบริเวณตรงกลางและที่ขอบอีข้างหนึ่งเย็นตัวลง
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 25
รูปที่ 6.28 แสดงเทคนิคการเชื่อมต่อตัวทีท่าตั้งเชื่อมขึ้น
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 182)
6.9.7 การเชื่อมต่อตัวทีท่าเหนือศีรษะ (Overhead T-joint)
การเชื่อมต่อตัวทีและการเชื่อมต่อมุมภายใน ท่าเชื่อมเหนือศีรษะ ลวดเชื่อมจะท ามุมกับงานมี
มุมเดิน 85 องศา มีมุมงานประมาณ 40-45 องศา
รูปที่ 6.29 แสดงการเชื่อมต่อมุมภายใน และการต่อตัวทีท่าเหนือศีรษะ
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 183)
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 26
6.9.8 การเชื่อมต่อมุมภายนอกท่าขนานนอน (Horizotal Outside Weld)
ลวดเชื่อมท ามุมกับชิ้นงานโดยมีมุมเดินประมาณ 65-75 องศา มีมุมงาน 130-140 องศา
รูปที่ 6.30 แสดงการเชื่อมต่อมุมภายนอกท่าเหนือศรีษะ
(ที่มา : นริศ ศรีเมฆ ,2545 หน้า 183)
6.9.9 การเริ่มต้นอาร์ก (Strike the Arc)
การเริ่มต้นอาร์ก เป็นขั้นตอนที่มีความยุ้งยากส าหรับผู้เริ่มฝึกปฏิบัติงานเชื่อมไฟฟ้า ซึ่ งมักจะ
ท าให้ลวดเชื่อมติดกับชิ้นงาน การฝึกปฏิบัติในการเริ่มต้นอาร์กให้เกิดความช านาญเสียก่อนการเริ่มต้นอาร์กนั้น
สามารถกระท าการเริ่มต้นอาร์กได้ 2 วิธี
6.9.10 แบบแตะสัมผัส (Tapping Method ) เป็นวิธีเริ่มต้นอาร์ก โดยใช้ปลายลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์
เคาะลงบนชิ้นงานที่จะท าการเชื่อม เมื่อปลายลวดเชื่อมสัมผัสกับชิ้นงานกระแสไฟจะไหลผ่านจากลวดเชื่อมไฟ
ยังชิ้น งาน จากนั้นท าการยกลวดเชื่อมขึ้นให้ห่างจากชิ้นงานโดยให้ระยะห่างไม่เกินขนาดความโตของแกนลวด
เชื่อมตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้ลวดเชื่อมขนาด 3.2 มม. ดังนั้นระยะห่างของระยะ
รูปที่ 6.31 แสดงลักษณะการเริ่มต้นอาร์กวิธีเคาะอาร์ก (Tapping)
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า สัปดาห์ที่ 9-10-11-12 แผ่นที่ 27
6.9.11 แบบเขี่ยสัมผัส (Scratch Method) เป็นวิธีเริ่มต้นอาร์ก โดยใช้ปลายลวดเชื่อมหุ้มฟลั๊กซ์ขีด
ลงบนชิ้น งานที่จะท าการเชื่อม ซึ่งมีลักษณะเดียวกับที่เราจุดไม้ขีดไฟ เมื่อปลายลวดเชื่อมสัมผัสกับชิ้นงาน
กระแสไฟจะไหลผ่านจากลวดเชื่อมไฟยังชิ-นงาน จากนั้นท าการยกลวดเชื่อมขึ้นให้ห่างจากชิ้นงานโดยให้
ระยะห่างไม่เกินขนาดความโตของแกนลวดเชื่อม ตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้ลวดเชื่อมขนาด 3.2 มม. ดังนั-นระยะ
ห่างของระยะอาร์ก1ประมาณ 3.2 มม.
รูปที่ 6.32 แสดงลักษณะการเริ่มต้นอาร์กวิธีขีดอาร์ก (Scratching)
ที่มา : www. km.sukhothaitc.ac.th/files/10101910105625_1010200002455.pdf
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
แบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า แผ่นที่ 1
ค าสั่ง ตอนที่ 1 จับคู่รูปภาพกับข้อความดังต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1.
การเชื่อมต่อมุมภายนอกท่าเหนือศรีษะ
2.
การเชื่อมต่อชนท่าราบ
3.
การเชื่อมต่อท่าชนตั้งเชื่อมขึ้น
4.
การเชื่อมต่อชนท่าเหนือศีรษะ
5.
การเชื่อมต่อตัวทีท่าขนานนอน
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
แบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานเชื่อมไฟฟ้า แผ่นที่ 2
ค าสั่ง ตอนที่ 2 ท าเครื่องหมาย หน้าข้อความที่ถูกต้อง และเครื่องหมาย หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง
……..1. ฟลั๊กซ์มีหน้าที่ป้องกันบรรยากาศภายนอกมารวมตัวกับโลหะแนวเชื่อมขณะท าการเชื่อม
……..2. ฟลั๊กซ์มีหน้าที่ขจัดออกไซด์ และสิ่งสกปรกออกจากน้ าโลหะเชื่อม
……..3. การตั้งกระแสไฟสูง ผลที่เกิดคือ เริ่มต้นอาร์กง่าย อาร์กรุนแรง มีเม็ดโลหะมาก เป็นต้น
……..4. การตั้งกระแสไฟต่ า ผลที่เกิดคือ เริ่มต้นอาร์กยาก แนวเชื่อมนูนมากและการอาร์กไม่สม่ าเสมอ
……..5. ระยะอาร์กไม่มีผลต่อคุณภาพของแนวเชื่อม
……..6. ระยะอาร์กสั้นเกินไป จะท าให้ความร้อนจากการอาร์กมาก แนวเชื่อมจะมีลักษณะแคบ นูนสูง
……..7. มุมของลวดเชื่อมจะประกอบไปด้วยมุมด้านข้าง (Side Angle) และมุมน า (Lead-Angle)
……..8. ความเร็วในการเดินลวดเชื่อมที่เหมาะสม(CORRECT TRAVEL SPEED) ในการเดินลวดเชื่อมต้อง
สังเกตน้ าโลหะที่ก าลังหลอมละลายติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบและต่อเนื่อง
……..9. มุมด้านข้างของลวดเชื่อมส าหรับงานเชื่อมท่าราบโดยทั่ว ไปจะเป็น 90 องศา โดยวัดเข้าหาตัวผู้เชื่อม
และออกนอกตัวของผู้เชื่อม
……..10. AWS เป็นมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา ย่อมาจากค าว่า American Welding Society
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
เฉลยแบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 1
ค าสั่ง ตอนที่ 1 จับคู่รูปภาพกับข้อความดังต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1.
การเชื่อมต่อมุมภายนอกท่าเหนือศรีษะ
2.
การเชื่อมต่อชนท่าราบ
3.
การเชื่อมต่อท่าชนตั้งเชื่อมขึ้น
4.
การเชื่อมต่อชนท่าเหนือศีรษะ
5.
การเชื่อมต่อตัวทีท่าขนานนอน
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น จ านวน 20 นาที
เฉลยแบบประเมินผลการเรียน
เรื่อง งานแล่นประสาน แผ่นที่ 2
ค าสั่ง ตอนที่ 2 ท าเครื่องหมาย หน้าข้อความที่ถูกต้อง และเครื่องหมาย หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง
1. ฟลั๊กซ์มีหน้าที่ป้องกันบรรยากาศภายนอกมารวมตัวกับโลหะแนวเชื่อมขณะท าการเชื่อม
2. ฟลั๊กซ์มีหน้าที่ขจัดออกไซด์ และสิ่งสกปรกออกจากน้ าโลหะเชื่อม
3. การตั้งกระแสไฟสูง ผลที่เกิดคือ เริ่มต้นอาร์กง่าย อาร์กรุนแรง มีเม็ดโลหะมาก เป็นต้น
4. การตั้งกระแสไฟต่ า ผลที่เกิดคือ เริ่มต้นอาร์กยาก แนวเชื่อมนูนมากและการอาร์กไม่สม่ าเสมอ
5. ระยะอาร์กไม่มีผลต่อคุณภาพของแนวเชื่อม
6. ระยะอาร์กสั้นเกินไป จะท าให้ความร้อนจากการอาร์กมาก แนวเชื่อมจะมีลักษณะแคบ นูนสูง
7. มุมของลวดเชื่อมจะประกอบไปด้วยมุมด้านข้าง (Side Angle) และมุมน า (Lead-Angle)
8. ความเร็วในการเดินลวดเชื่อมที่เหมาะสม(CORRECT TRAVEL SPEED) ในการเดินลวดเชื่อมต้องสังเกต
น้ าโลหะที่ก าลังหลอมละลายติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบและต่อเนื่อง
9. มุมด้านข้างของลวดเชื่อมส าหรับงานเชื่อมท่าราบโดยทั่ว ไปจะเป็น 90 องศา โดยวัดเข้าหาตัวผู้เชื่อม
และออกนอกตัวของผู้เชื่อม
10. AWS เป็นมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา ย่อมาจากค าว่า American Welding Society
แผนการสอนหน่วยที่ 7
งานโลหะแผ่น
แผนการสอนหน่วยที่ 7
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น รหัส 2100 - 1005 สัปดาห์ที่ 13-14-15
ชื่อหน่วย งานโลหะแผ่น รายการที่สอน จ านวน 12 ชั่วโมง
ผู้สอน นายขันติ สุมังสะ
หัวข้อเรื่องและงาน
1 ความปลอดภัยในงานโลหะแผ่น
2 เครื่องมืออุปกรณ์ในงานโลหะแผ่น
3 เครื่องมือ (Hand Tool )
4 การท าตะเข็บและขอบงาน
5 ปฏิบัติการตัดตรง
6 การตัดโค้งด้วยกรรไกร
7 ปฏิบัติการพับขอบและการเข้าตะเข็บ
8 ปฏิบัติการพับตะเข็บสองชั้น
9 ปฏิบัติการท ากล่องสี่เหลี่ยม
สมรรถนะที่พึงประสงค์
1. บอกชื่อเครื่องมือและอุปกรณ์งานโลหะแผ่นได้ถูกต้อง
2. ใช้เครื่องมืองานโลหะแผ่นได้ถูกต้อง
3. ปฏิบัติงานโลหะแผ่นได้ถูกต้อง
สาระส าคัญ
ในการปฏิบัติงานด้านโลหะแผ่น ผู้ปฏิบัติงานต้องรู้จัดการป้องกันตามหลักอาชีวอนามัย เพื่อป้องกัน
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ จากเครื่องจักรและสภาพสิ่งแวดล้อมมลพิษต่าง ๆ เช่น ฝุ่น เสียง และสภาพแสง
สว่าง สภาพอากาศถ่ายเทสะดวก เป็นงานที่ผู้ปฏิบัติต้องร่างแบบ ตัดชิ้นงานตามแบบและขึ้นรูปชิ้นงาน
เป็นงานมีหลายขั้นตอน ท างานเก็บเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์หลายชนิด
ล าดับขั้นการสอน
1. ขั้นน า (Motivation)
2. ขั้นสอน (Information)
3. ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน (Application)
4. ขั้นสรุปผล (Progress)
1. ขั้นน า (Motivation)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
ครูซักถามความรู้ของนักเรียน ฟังการชี้แจงและซัก-ถาม ในรายละเอียดในการวัดผล
ครูอธิบายหลักการส าหรับงานโลหะแผ่น ประเมินผลทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ซัก-ถาม เกณฑ์การ
ครูอธิบายเทคนิคของปฏิบัติงานโลหะแผ่น ประเมินผล
2. ขั้นสอน (Information)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
ผู้สอนบรรยายตามหัวข้อสาระการเรียน พร้อมทั้ง - ฟังการอธิบาย
ยกตัวอย่างประกอบ - ถามและตอบ
ผู้สอนสุ่มผู้เรียนให้ตอบคาถามขณะทาการสอนเพื่อ - ตอบค าถามจากภาพ
กระตุ้นให้นักเรียนได้ติดตามเนื้อหา
ผู้สอนสาธิตวิธีการปฏิบัติงานให้ดูและอธิบายขั้นตอน
โดยละเอียด
3. ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน (Application)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
ให้นักเรียนท าแบบทดสอบความรู้ นักเรียนท าแบบทดสอบความรู้
4. ขั้นสรุปผล (Progress)
กิจกรรมของครู กิจกรรมของนักเรียน
สอบถามความเข้าใจของนักเรียน ตอบความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
ผู้เรียนทาแบบประเมินผลการเรียนรู้ สรุปกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย
นักเรียนปฏิบัติตามใบงานที่มอบหมาย
งานที่มอบหมายหรือกิจกรรม
ก่อนเรียน
1. เช็คชื่อนักศึกษา
2. แจ้งจุดประสงค์ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเรียน
ขณะเรียน
1. น าเข้าสู่บทเรียนโดยการถามตอบเกี่ยวกับงานโลหะแผ่น
2. บรรยายเนื้อหาและให้ศึกษา ค้นคว้า เนื้อหาที่จะต้องเรียน จากใบความรู้ที่แจกให้
3. ครูและนักเรียน ซักถามและตอบปัญหาที่ไม่เข้าใจกัน
4. ครูสาธิตวิธีการปฏิบัติงานและอธิบายขั้นตอนการท างานโดยละเอียด
หลังเรียน
1. ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดท้ายบท
2. นักเรียนถามข้อสงสัยในเนื้อหา
3. ครูตรวจแบบฝึกหัด
4. นักศึกษาปฏิบัติตามใบงานพร้อมส่งตรวจ
สื่อการเรียนการสอน
1. หนังสืองานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น
2. ใบความรู้
3. กระดานด า
4. ของจริง
การประเมินผล
ก่อนเรียน
- ศึกษาใบความรู้และใบงานที่มอบหมายให้
ขณะเรียน
- สาธิต
- ถามตอบ
- ท าแบบฝึกหัด
หลังเรียน
- ตรวจความถูกต้องในการปฏิบัติงาน
- ตรวจงานเก็บคะแนน
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานโลหะแผ่น สัปดาห์ที่ 13-14-15 แผ่นที่ 1
หน่วยที่ 7
งานโลหะแผ่น
1 ประเภทและชนิดของโลหะแผ่น
โลหะแผ่น หมายถึง โลหะที่ผ่านกระบวนการ จนกระทั่งเป็นแผ่นบาง มีความหนาไม่เกิน 3/16” 4.5 มม.
โลหะแผ่นมีหลายประเภท รีดออกมาเป็นแผ่นแล้วต้องเคลือบด้วยโลหะอีกชนิดหนึ่ง บางประเภทรดออกมา
เป็นแผ่นก็สวามารถใช้งานได้เลย โลหะแผ่นโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
1.1 โลหะแผ่นเปลือย (Uncoated Metal or Bare Metal) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก หรือ
โลหะผสมที่ไม่ท าปฏิกิริยากับออกซิเจนในบรรยากาศ ไม่เกิดการผุกร่อน เช่น ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก
สังกะสี อะลูมิเนียม และเหล็กกล้าไร้สนิม
1.2 โลหะแผ่นเคลือบ (Coated Metal) เป็นโลหะที่เป็นเหล็ก เนื่องจากตัวของมันเองจะท าปฏิกิริยากับ
ออกซิเจนในอากาศเกิดสนิม และผุกร่อนไปในที่สุดซึ่งจ าเป็นต้องเคลือบด้วยโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เพื่อป้องกันการ
กัดกร่อน ท าให้ชิ้นงานนั้นมีราคาถูก และมีอายุการใช้งานได้นาน
ดังนั้นในการท างานเกี่ยวกับโลหะแผ่นเคลือบต้องระมัดระวังไม่ให้โลหะที่เคลือบผิวอยู่หลุดออกหรือถูก
ท าลายไป โดยเฉพาะการน าไปเชื่อมผิว ขัดผิว และตะไบผิว ควรหลีกเลี่ยงหรือไม่ควรท า เพราจะท าให้โลหะ
เคลือบอยู่หลุดออก ท าให้เกิดการกัดกร่อน เป็นเหตุให้มีอายุการใช้งานสั้นลงส าหรับโลหะแผ่นเคลือบในที่นี้จะ
ขอกล่าว เฉพาะโลหะแผ่นเคลือบสังกะสี โดยเฉพาะแผ่นเหล็กอาบสังกะสี ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้กันมากในงาน
โลหะแผ่น แผ่นเหล็กอาบสังกะสีเป็นโลหะชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีสีเทา – ขาว
2. สามารถขัดให้เป็นเงาได้
3. มีความเปราะ
4. ไม่เกิดสนิม
5. ละลายได้ง่ายในกรดเจือจาง และในน้ าด่าง
ในด้านอุตสาหกรรมชุบโลหะทั่ว ๆ ไปแล้ว การชุบสังกะสีได้มีบทบาทมากในการชุบโลหะนิยมชุบบน
ชิ้นงานที่เป็นเหล็ก เพราะสังกะสีจะเกาะติดแผ่นเหล็กได้ดี ท าให้แผ่นเหล็กทนต่อการเกิดสนิมดีมากการชุบ
สังกะสี สามารถกระท าได้ 2 วิธี
1. โดยวิธีจุ่ม (Hot Dipped) เป็นการเคลือบสังกะสีลงบนผิวเหล็กโดยตรงเพื่อกันสนิมซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า
กัลวาไนซ์ เป็นการหลอมสังกะสีให้หลอมเหลวแล้วจุ่มเหล็กซึ่งท าความสะอาดแล้วลงไป สังกะสีเหลวก็จะจับ
บนผิวเหล็ก เช่น แป๊บน้ า
2. การชุบสังกะสีโดยใช้เคมี – ไฟฟ้า เพื่อป้องกันสนิมบนแผ่นเหล็ก สารเคมีที่ใช้ในการชุบจะเป็น
ซิงออกไซด์ หรือ ซิงไซยาไนด์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานโลหะแผ่น สัปดาห์ที่ 13-14-15 แผ่นที่ 2
2 การเคาะชิ้นขอบด้วยมือ
การเคาะชิ้นขอบโดยทั่วไปจะเป็นการเคาะชิ้นขอบเพื่อท าตะเข็บก้นกระป๋อง (Double Bottom Seam)
และเพื่อเข้าขอบลวด (Wire Edge)
2.1 การเคาะขึ้นขอบเพื่อท าตะเข็บก้นกระป๋อง
1. ขึ้นขอบชิ้นล าตัวกระป๋อง และแผ่นก้นกระป๋องด้วยคีมปากแบน หรือใช้ค้อนเคาะบน
Double Seaming Stake ดังแสดงในรูป ก และ ข
2. น าชิ้นส่วนตัวกระป๋องซึ่งเคาะขึ้นรูปเป็นปีกแล้ววางลงบนชิ้นส่วนก้นกระป๋องจึงเคาะขึ้นรูป
อยู่ในลักษณะตั้งฉาก และท าการเคาะด้วยค้อนเคาะตะเข็บให้ขอบของชิ้นส่วนก้นพับลงไปบนปีกของชิ้นส่วน
ล าตัว ดังแสดงในรูป ค และ ง
3. น าตะเข็บชั้นเดียว (Single Seam) มาพับของสองชั้น (Double Bottom Seam) บน stake
ดังแสดงในรูป จ และ ฉ
(ก) ท าหน้าแปลนท่อ (ข) ขึ้นขอบก้น (ค) น ามาสวมเข้าด้วยกัน (ง) ใช้หางค้อนเคาะขอบให้แนบ
ลงบนปีกของล าตัวกระป๋อง
(จ) (ฉ) ใช้ค้อนไม้เคาะตะเข็บให้เป็น (ช)
Double Bottom Seam
รูปที่ 7.1 แสดงขั้นตอนการเคาะตะเข็บก้นกระป๋องด้วยมือ
ที่มา : นริศ ศรีเมฆ , 2545 หน้า 231
รหัสวิชา
วิชา งานเชื่อมและโลหะแผ่นเบื้องต้น ใบเนื้อหา
2100 - 1005
เรื่อง งานโลหะแผ่น สัปดาห์ที่ 13-14-15 แผ่นที่ 3
2.2 การเคาะขึ้นขอบเพื่อท าการขึ้นขอบลวด
1. เคาะพับขอบชิ้นงานให้ตั้งฉากบนแบบของ Beak Horn Stake ดังแสดงในรูป ก
2. วางลวดลงบนมุมฉากของชิ้นงานใช้คีมปากแบนจับชิ้นงานกับลวดไว้จากนั้นใช้ค้อนไม้เคาะ
ขอบให้แนบลงกับลวด ดังแสดงในรูป ข และ ค
3. ใช้มือช่วยจับยกชิ้นงานขึ้นโดยให้ด้านที่เข้าขอบลวดวางอยู่บนโต๊ะใช้หางของค้อนเคาะ
ตะเข็บท าการเคาะขอบโลหะแผ่นให้แนบไปตามผิวโค้งของลวด ดังแสดงในรูป ง และ จ
(ก) พับขอบให้ตั้งฉากบน Stake (ข)
(ค) (ง) (จ)
รูปที่ 7.2 แสดงแสดงการเข้าขอบลวดด้วยมือ
ที่มา : นริศ ศรีเมฆ , 2545 หน้า 232
2.3 การขึ้นขอบด้วยเครื่อง
การขึ้นขอบของชิ้นงานด้วยเครื่องมีขั้นตอน ดังนี้
1. ขึ้นขอบก้นกระป๋องด้วยเครื่องโดยค่อยๆปรับให้ขอบงอขึ้นทีละน้อย ดังแสดงในรูป ก และ ข
2. ขึ้นขอบล าตัวกระป๋องด้วยเครื่องขึ้นขอบ (Burring Machine) เช่นกัน โดยปรับลูกกลิ้งให้
ขึ้นทีละน้อย เพื่อให้โลหะแผ่นค่อยๆยืดตัว การขึ้นขอบครั้งละมากๆ อาจท าให้ขอบฉีกหรือล าตัวกระป๋อง
บริเวณใกล้ๆก้นขอบเกิดบุบบี้ได้ ดังแสดงในรูป ค และ ง
3. น าชิ้นส่วนล าตัวที่ขึ้นขอบจนมีลักษณะเป็นปีกวางลงบนชิ้นส่วนก้น จากนั้นให้หางของค้อนเคาะ
ตะเข็บท าการเคาะขอบของชิ้นส่วนก้นกระป๋องให้เอนลงเลยมุมฉากมาเล็กน้อยโดยรอบดังแสดงในรูป
จ และ ฉ