The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่มพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงาน กศน.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maw.nfe, 2020-04-15 01:58:56

สุขศึกษา พลศึกษา ประถมศึกษา

กลุ่มพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงาน กศน.

หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาเนินชีวติ

รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา

( ทช11002 )

ระดบั ประถมศึกษา
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)

หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551

สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั
สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธิการ

ห้ามจาหน่าย

หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพ่ือการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธ์ิ
เป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
เอกสารทางวชิ าการลาดบั ที่ 12/2555

หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาเนินชีวติ

รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช 11002 )

ระดบั ประถมศึกษา
ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560

ลิขสิทธ์ิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
เอกสารทางวชิ าการลาดบั ท่ี 12/2555

คํานาํ

กระทรวงศึกษาธิการไดประกาศใชหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศกั ราช 2551 เม่อื วนั ที่ 18 กนั ยายน พ.ศ. 2551 แทนหลกั เกณฑและวิธกี ารจัดการศกึ ษานอกโรงเรียน
ตามหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2544 ซ่ึงเปนหลักสูตรท่ีพัฒนาข้ึนตามหลักปรัชญาและ
ความเชื่อพ้ืนฐานในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนที่มีกลุมเปาหมายเปนผูใหญมีการเรียนรูและส่ังสม
ความรูและประสบการณอ ยา งตอเนือ่ ง

ในปง บประมาณ 2554 กระทรวงศึกษาธิการไดก ําหนดแผนยุทธศาสตรใ นการขบั เคลอื่ นนโยบาย
ทางการศึกษาเพือ่ เพ่มิ ศกั ยภาพและขดี ความสามารถในการแขงขันใหป ระชาชนไดมีอาชีพทส่ี ามารถสรา ง
รายไดที่ม่ังคั่งและม่ันคง เปนบุคลากรที่มีวินัย เปยมไปดวยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสํานึก
รับผิดชอบตอตนเองและผูอ่ืน สํานักงาน กศน. จึงไดพิจารณาทบทวนหลักการ จุดหมาย มาตรฐาน ผล
การเรียนรทู ค่ี าดหวัง และเนือ้ หาสาระ ทัง้ 5 กลุมสาระการเรียนรู ของหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั
การศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ใหม ีความสอดคลองตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ
ซง่ึ สงผลใหตอ งปรบั ปรุงหนังสือเรียน โดยการเพ่ิมและสอดแทรกเน้ือหาสาระเก่ียวกับอาชีพ คุณธรรม
จริยธรรมและการเตรยี มพรอม เพ่ือเขาสปู ระชาคมอาเซยี น ในรายวิชาท่ีมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน แต
ยังคงหลักการและวิธีการเดิมในการพัฒนาหนังสือท่ีใหผูเรียนศึกษาคนควาความรูดวยตนเอง ปฏิบัติ
กจิ กรรม ทาํ แบบฝกหัด เพ่ือทดสอบความรูความเขาใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรูกับกลุม หรือ
ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ จากภมู ิปญ ญาทอ งถิ่น แหลง การเรยี นรแู ละสอ่ื อนื่

การปรับปรุงหนังสือเรียนในคร้ังนี้ ไดรับความรวมมืออยางดีย่ิงจากผูทรงคุณวุฒิในแตละ
สาขาวิชา และผูเก่ียวขอ งในการจดั การเรียนการสอนที่ศึกษาคนควา รวบรวมขอมูลองคความรูจากสื่อ
ตา ง ๆ มาเรียบเรียงเนือ้ หาใหค รบถว นสอดคลองกับมาตรฐาน ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวัง ตัวชี้วัดและกรอบ
เนื้อหาสาระของรายวชิ า สํานักงาน กศน.ขอขอบคณุ ผมู สี ว นเกย่ี วของทกุ ทานไว ณ โอกาสนี้ และหวังวา
หนังสือเรียน ชุดน้ีจะเปนประโยชนแกผูเรียน ครู ผูสอน และผูเก่ียวของในทุกระดับ หากมี
ขอ เสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอมรับดวยความขอบคณุ ย่ิง

สารบญั หนา
1
บทท่ี 1 รางกายของเรา 2
เร่อื งท่ี 1 วัฏจกั รชวี ติ ของมนษุ ย
เรือ่ งที่ 2 โครงสรา ง หนา ทแ่ี ละการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคญั 4
ของรางกาย
เรอื่ งที่ 3 การดูแลรักษาปอ งกนั ความผดิ ปกติของอวยั วะสําคญั ของรางกาย 10
อวัยวะภายนอกและภายใน 16
17
บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรนุ การคุมกําเนดิ และโรคติดตอทางเพศสัมพนั ธ 19
เรอ่ื งท่ี 1 พฒั นาการทางเพศของวยั รนุ 20
เรอ่ื งที่ 2 การดูแลสขุ ภาพเบอื้ งตนในวัยรนุ 24
เรอ่ื งท่ี 3 การคุมกาํ เนิด 27
เรอื่ งท่ี 4 วิธีการสรางสัมพนั ธภาพทีด่ รี ะหวา งคนในครอบครวั 29
เรอ่ื งท่ี 5 การสื่อสารเรื่องเพศในครอบครวั 39
เรอ่ื งที่ 6 ปญหาที่เก่ยี วขอ งกับพัฒนาการทางเพศของวัยรนุ 44
เร่อื งที่ 7 ทกั ษะการจัดการกับปญ หา อารมณ และความตองการทางเพศของวัยรนุ 47
เรอ่ื งท่ี 8 หลากหลายความเชื่อทผ่ี ดิ ในเรอ่ื งเพศ 53
เรอ่ื งท่ี 9 กฎหมายที่เกย่ี วขอ งกบั การลว งละเมดิ ทางเพศ 58
เร่อื งที่ 10 โรคตดิ ตอทางเพศสมั พันธ 59
65
บทที่ 3 การดูแลสขุ ภาพ 67
เร่ืองที่ 1 ความหมาย ความสําคญั และคณุ คาของอาหาร และโภชนาการ 68
เรื่องท่ี 2 การเลอื กบรโิ ภคอาหารตามหลักโภชนาการ 70
เรื่องที่ 3 วธิ กี ารถนอมอาหารเพือ่ คงคุณคาของสารอาหาร 72
เรื่องท่ี 4 ความสาํ คญั ของการมสี ุขภาพดี 74
เรอ่ื งท่ี 5 หลกั การดูแลสุขภาพเบื้องตน 75
เรื่องที่ 6 ปฏิบตั ิตนตามหลักสุขอนามัยสว นบคุ คล 76
เรอ่ื งท่ี 7 คุณคา และประโยชนข องการออกกําลงั กาย
เรอื่ งที่ 8 หลกั การและวิธอี อกกําลงั กายเพื่อสุขภาพ
เรอ่ื งท่ี 9 การปฏบิ ัตติ นในการออกกาํ ลงั กายรปู แบบตา ง ๆ

เรอื่ งท่ี 10 ความหมาย ความสาํ คญั ของกจิ กรรมนันทนาการ 80
เรอ่ื งที่ 11 ประเภทและรูปแบบของกจิ กรรมนนั ทนาการ 81
บทท่ี 4 โรคติดตอ
เรื่องที่ 1 โรคตบั อักเสบจากเช้อื ไวรสั 82
เรื่องท่ี 2 โรคไขเลอื ดออก 83
เร่ืองท่ี 3 โรคไขหวดั ธรรมดา 84
เรือ่ งท่ี 4 โรคเอดส 85
เรือ่ งท่ี 5 โรคฉีห่ นู 86
เรอื่ งท่ี 6 โรคมอื เทา เปอย 88
เรอื่ งที่ 7 โรคตาแดง 90
เรอื่ งท่ี 8 โรคไขห วดั นก 91
บทที่ 5 ยาสามญั ประจําบา น 93
94
เร่ืองท่ี 1 หลักการและวธิ ีการใชยาสามัญประจําบา น
เรือ่ งท่ี 2 อันตรายจากการใชยา และความเชอ่ื ท่ีผิดเกี่ยวกบั ยา 95
บทท่ี 6 สารเสพตดิ อนั ตราย 100
เรื่องท่ี 1 ความหมาย ประเภท และลกั ษณะของสารเสพติด 104
เร่อื งที่ 2 อันตรายจากสารเสพติด 105
บทที่ 7 ความปลอดภยั ในชวี ิตและทรัพยส นิ 108
110
เรือ่ งที่ 1 อนั ตรายท่อี าจเกดิ ในชวี ติ ประจําวนั
เร่อื งท่ี 2 อันตรายทเ่ี กดิ ขึน้ ในบา น 111
เรอื่ งท่ี 3 อันตรายทเ่ี กิดขึน้ จากการเดนิ ทาง 113
เรื่องท่ี 4 อันตรายจากภัยธรรมชาติ 113
บทที่ 8 ทกั ษะชวี ติ เพ่อื การคิด 115
เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสําคญั ของทักษะชวี ิต 10 ประการ 118
เรื่องท่ี 2 ทักษะชวี ิตที่จาํ เปน 119
บทที่ 9 อาชีพกบั งานบรกิ ารดานสขุ ภาพ 120
ความหมายงานดา นบรกิ ารดา นสุขภาพ 126
การนวดแผนไทย
ธุรกจิ นวดแผนไทย 129
บรรณานกุ รม 129
คณะผูจดั ทํา 136
139
141

คาํ แนะนาํ การใชห นังสือเรยี น

หนังสือเรียนสาระทักษะการดําเนินชีวิต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ระดับประถมศึกษา รหัส
ทช 11002 เปนหนังสือเรียนที่จัดทําข้ึน สําหรับผูเรียนที่เปนนักศึกษานอกระบบ ในการศึกษาหนังสือ
เรียนสาระทักษะการดาํ เนนิ ชีวิต รายวชิ าสขุ ศกึ ษา พลศกึ ษา ผเู รียนควรปฏิบัตดิ ังนี้

1. ศึกษาโครงสรางรายวิชาใหเขาใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง
และขอบขา ยเน้ือหาของรายวชิ าน้นั ๆ โดยละเอียด

2. ศึกษารายละเอียดเนื้อหาของแตละบทอยางละเอียด และทํากิจกรรมตามที่กําหนด
แลว ตรวจสอบกับแนวตอบกจิ กรรมตามท่กี าํ หนด ถาผเู รียนตอบผิดควรกลบั ไปศึกษาและทําความเขาใจ
ในเนอ้ื หาน้นั ใหมใหเ ขาใจ กอนทจ่ี ะศกึ ษาเรือ่ งตอ ๆ ไป

3. ปฏิบัติกิจกรรมทายเรื่องของแตละเรื่อง เพื่อเปนการสรุปความรู ความเขาใจของเนื้อหา
ในเรื่องนัน้ ๆ อกี คร้งั และการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมของแตล ะเนอ้ื หา แตล ะเร่อื ง ผเู รยี นสามารถนาํ ไปตรวจสอบ
กบั ครูและเพอ่ื น ๆ ที่รวมเรียนในรายวิชาและระดบั เดยี วกันได

4. หนงั สอื เรยี นเลมนีม้ ี 8 บท
บทที่ 1 รา งกายของเรา
บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรนุ การคุมกําเนดิ และโรคติดตอ ทางเพศสัมพนั ธ
บทที่ 3 การดูแลสขุ ภาพ
บทที่ 4โรคตดิ ตอ
บทท่ี 5 ยาสามัญประจาํ บาน
บทที่ 6 สารเสพตดิ อันตราย
บทที่ 7 ความปลอดภยั ในชวี ติ และทรัพยสนิ
บทท่ี 8 ทกั ษะชวี ิตเพ่อื การคดิ
บทท่ี 9 อาชีพกบั งานบรกิ ารดา นสขุ ภาพ

โครงสรา งหลักสตู รรายวิชาสาระทกั ษะการดาํ เนนิ ชีวิต
ระดบั ประถมศกึ ษา สุขศกึ ษา พลศึกษา (ทช11002)

สาระสําคญั

เปนสาระที่เก่ียวของกับธรรมชาติการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย เมื่อมนุษยมีการ
พฒั นาการดา นสรรี ะ เจรญิ เติบโต แลว มนุษยตองดแู ลและสรา งเสรมิ พฤติกรรมสุขภาพทดี่ ีของตนเองและ
ครอบครัว ปฏิบตั ิตนจนเกิดเปน นสิ ัย รูจกั หลกี เลี่ยงพฤติกรรมเส่ียงตอสุขภาพ ตลอดจนสงเสริมสุขภาพ
พลานามยั ของตนเองและครอบครัว

ผลการเรยี นรูท่คี าดหวงั

1. อธบิ ายธรรมชาตกิ ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาการของมนุษยได
2. บอกหลักการดแู ลและสรางเสริมสขุ ภาพท่ดี ีของตนเองและครอบครวั
3. ปฏิบัตติ นในการดูแลและสรางเสรมิ พฤติกรรมสขุ ภาพพลานามยั จนเปน กิจนสิ ยั
4. ปองกนั และหลีกเล่ียงพฤติกรรมเส่ียงตอ สุขภาพและความปลอดภัยดว ยกระบวนการทกั ษะชวี ติ

ขอบขายเนือ้ หาวิชา

บทท่ี 1 รา งกายของเรา
บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอทางเพศสมั พันธ
บทท่ี 3 การดแู ลสุขภาพ
บทที่ 4 โรคตดิ ตอ
บทที่ 5 ยาสามัญประจําบาน
บทที่ 6 สารเสพตดิ อันตราย
บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ิตและทรพั ยส นิ
บทท่ี 8 ทักษะชวี ติ เพ่ือการคิด
บทที่ 9 อาชพี กบั งานบรกิ ารดานสุขภาพ

1

บทท่ี 1
รางกายของเรา

สาระสําคญั

รางกายของมนุษยประกอบดวยอวัยวะตางๆ ท้ังภายใน และภายนอกท่ีทําหนาท่ีตางๆ
ตามความสําคัญของโครงสรางรางกายมนุษย รวมถึงการปองกันดูแลรักษาไมใหเกิดอาการผิดปกติ
เพื่อใหรางกายไดมีการพัฒนาและเปล่ียนแปลงตามวัฏจักรชีวิตของมนุษยและมีสุขภาพกายที่สมบูรณ
ตามวัย

ผลการเรียนรทู ี่คาดหวัง

1. อธิบายการเปลย่ี นแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได
2. อธิบายโครงสรางและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได
3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะท่ีสําคัญของรางกาย ท้ังภายใน
และภายนอกได

ขอบขายเนอ้ื หา

เรอื่ งที่ 1 วฏั จักรชีวิตของมนษุ ย
เรือ่ งท่ี 2 โครงสราง หนา ทแ่ี ละการทํางานของอวยั วะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย
เรือ่ งที่ 3 การดแู ลรักษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะสาํ คัญของรา งกาย อวยั วะภายนอกและ
ภายใน

2

เรอ่ื งที่ 1 วัฏจักรชีวิตของมนษุ ย

ธรรมชาตขิ องชีวิตมนษุ ย
ธรรมชาติของมนุษยประกอบไปดวยการเกิด แก เจ็บ ตาย ซ่ึงเปนธรรมดาของชีวิตท่ี

ทุกคนหลีกไมพ น ดงั นั้นควรเรียนรแู ละปฏิบัติตนดวยความไมประมาท
1. การเกิด
ทุกคนเกิดมาจากพอซ่งึ เปนเพศชาย และแมซ่ึงเปน เพศหญงิ โดยธรรมชาติไดกําหนดให

เพศหญิงเปนคนอุมทองตามปกติประมาณ 9 เดือน จะคลอดจากครรภมารดา เจริญเติบโตเปนทารก
แลวพัฒนาการเปนวัยเด็ก วัยรุน วัยผูใหญ วัยชรา ตามลําดับ รางกายของคนเราก็จะคอย ๆ เปล่ียนไป
ตามวัย

2. การแก
เมือ่ อายุมากขน้ึ รางกายจะมีการเปลี่ยนแปลงท่เี หน็ ไดช ัด เชน เมื่ออยูในชวงชรารางกาย
จะเสอ่ื มสภาพลง ผิวหนงั เหี่ยวยน การเคลอ่ื นไหวชา ลง คนสวนใหญเ รยี กวา “คนแก”
3. การเจบ็
การเจ็บปวยของมนุษยสวนใหญเกิดจากการขาดการดูแลรักษาสุขภาพที่ถูกตองและ
สม่ําเสมอ คนสวนใหญมักเคยเจ็บปวย บางคนเจ็บปวยเล็ก ๆ นอย ๆ หรือมาก จนตองรับการรักษา
จากแพทย ถาไมดูแลรักษาสุขภาพตนเอง รางกายยอมออนแอและมีโอกาสจะรับเช้ือโรคเขาสูรางกาย
ไดง ายกวาบคุ คลทร่ี ักษาสุขภาพสมาํ่ เสมอ
4. การตาย
ความตายเปนสิ่งที่ทุกคนหนีไมพน เกิดแลวตองตายดวยกันทุกคน แตการตายน้ัน
ตองถึงวัยท่ีรางกายเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติ เมื่ออยูในวัยหนุมสาวจึงควรดูแลรักษาสุขภาพและ
ดาํ รงชวี ติ ดว ยความไมป ระมาท

การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการตามวยั
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย จะเร่ิมต้ังแตเกิด ซึ่งแบงไดเปน 5 ชวงวัย

โดยแตละวยั จะมีลักษณะและพฒั นาการเฉพาะของวยั
การเจรญิ เติบโต (Growth) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในขนาดรูปราง สัดสวนตลอดจน

กระดูก กลามเน้ือ และอวยั วะทกุ สวนของรา งกายตามลําดับข้นั

3

พัฒนาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของมนุษยทุกสวนที่ตอเนื่องกัน
ตงั้ แตแรกเกดิ จนตลอดชวี ิต ซ่ึงเปน กระบวนการเปลี่ยนแปลงท้ังรางกายและจิตใจผสมผสานกันไปเปน
ข้นั ๆ จากระยะหน่งึ ไปสอู กี ระยะหนงึ่ ทําใหเกดิ การเจริญกาวหนา เปนลาํ ดับ ซึง่ แบงเปน 5 ชว งวัย ดังนี้

1. วัยทารก (Infancy) ตง้ั แตเกดิ – 2 ป
เด็กในวัยน้ีจะมีพัฒนาการทางดานรางกายที่รวดเร็วมากในขวบปแรกเปน 2 เทาจาก
แรกเกิด ปตอไปมาพัฒนาการจะเพิ่มข้ึนเพียง 30 % จากน้ันจะเจริญเติบโตข้ึนตามลําดับ ตามแผนของ
การพัฒนา วยั ทารกจะสามารถรับรูส ่ิงตา ง ๆ ไดในระดับเบ้ืองตน เชน รูจักสํารวจ คนหา ทําความเขาใจ
และปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมรอบ ๆ ตัว รูจักใชอวัยวะสัมผัสส่ิงตางๆ วัยน้ีตองอาศัยการเลี้ยงดู
เอาใจใสม ากทสี่ ุด

2. วยั เด็ก (Childhood) ต้งั แต 3 – 12 ป
การเจริญเติบโตในวัยน้ีสวนใหญเปนเร่ืองของกระดูกกลามเนื้อ และการประสานกับ
ระบบตา ง ๆ ในรางกาย ความแตกตางระหวางบุคคลและเพศตรงกันขาม จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเด็ก
แบงออกเปน 3 ชวง ดังน้ี
2.1 วัยเด็กตอนตน (3 - 5 ป) รูจักใชภาษา หัดพูด กินขาว ลางมือ รูจักสังเกต อยากรู
อยากทดลอง และเลน
2.2 วัยเดก็ ตอนกลาง (6 - 9 ป) เร่มิ ไปโรงเรียนตอ งปรับตวั เขา กับคนแปลกหนา และทํา
ความเขา ใจกับระเบยี บของโรงเรียน รจู กั เลอื กตัดสินใจ รับผดิ ชอบการทาํ งานของตนเองได
2.3 วัยเด็กตอนปลาย (10 – 12 ป) เพศชาย - หญิง จะแสดงความแตกตางชัดเจนในดาน
พฤติกรรมและความสนใจ เดก็ หญิงจะโตกวา เดก็ ชาย มีทกั ษะการใชภ าษาท่ีดีขึ้น ทําตามคําส่ังได เรียนรู
บทบาททเ่ี หมาะสมกบั เพศของตน และจะเลน เฉพาะกลุม ทเี่ ปน เพศเดียวกนั

3. วัยรุน (Adolescence) อายุระหวา ง 13 – 20 ป
วัยนี้เปนชวงหัวเล้ียวหัวตอของชีวิต เนื่องจากเปนวัยท่ีมีการเปลี่ยนแปลงทางรางกาย
จิตใจและตอ งปรับตัวเขากับส่งิ ใหมๆ ที่เกดิ ขึ้น รวมทั้งปรับตัวใหเขากับสังคม บางคร้ังทําใหเกิดปญหา
ตาง ๆ ขน้ึ โดยเฉพาะปญหาทางเพศ เร่ิมใหความสนใจกับเพศตรงกันขาม เริ่มมองอนาคต คิดถึงการมี
อาชีพของตน คิดถึงครอบครัว อยากรูอยากเห็น อยากแสดงความสามารถ บางคร้ังแสดงออกในทางท่ี
ไมถูกตอง จึงทาํ ใหเ กิดปญหาขึน้ ผูปกครองหรอื ผูใหญ ควรใหคาํ แนะนาํ ท่ีเหมาะสม

4

4. วัยผูใ หญ (Adulthood) อายุระหวา ง 21 – 60 ป
วัยน้รี า งกายเจริญเติบโตเตม็ ทแี่ ลว มีรูปรางสมสวน รางกายแข็งแรง แตเนื่องจากความ
เจรญิ เติบโตและพฒั นาการทางกาย และใจของแตละคนตางกัน เชน คนที่เปนลูกคนโต ตองดูแลนอง ๆ
กอ็ าจจะเปนผูใหญเร็วกวานองคนเล็ก หรือคนท่ีกําพราพอแม ก็ยอมเปนผูใหญเร็วกวาคนที่มีพอแมอยู
ใกลชิด สรุปไดวาวัยนี้ เปนวัยท่ีมีความเจริญดานตาง ๆ ทั้งดานความสนใจ ทัศนคติ และคานิยม
โดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคูครอง และการมีชีวิตครอบครัว เปนวัยท่ีมีพละกําลัง มีความสามารถ
ในการทาํ งานมากทสี่ ดุ เพราะเปน วัยทตี่ อ งรับผดิ ชอบในหนาที่ เพอ่ื ครอบครัวและประเทศชาติ
5. วยั ชรา (Old Age) อายุ 60 ปข น้ึ ไป
วัยน้ีเปนวัยท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางดานรางกาย จิตใจ อารมณ รวมท้ังสมองในทาง
เสอื่ มลง จงึ ประสบปญ หาสขุ ภาพมากกวา วยั อ่ืน มอี าการหลงลืม มกั จะจําเรื่องราวในอดตี เหมาะที่จะเปน
ท่ีปรึกษาใหคําแนะนําแกผูอ่ืน เพราะเปนผูท่ีมีประสบการณมากอน วัยน้ีมักมีอารมณคอนขางเครียด
โกรธ และนอ ยใจงาย

เรอ่ื งที่ 2 โครงสรา ง หนา ท่แี ละการทาํ งานของอวยั วะภายนอก ภายใน
ทส่ี ําคญั ของรา งกาย

อวัยวะและระบบตา ง ๆ ในรา งกาย

อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน
อวัยวะภายนอก เปน อวัยวะทมี่ องเห็นได เชน ตา หู จมกู ปากและผิวหนัง อวยั วะเหลาน้ี
มหี นา ท่ีการทํางานตา งกนั
อวยั วะภายใน เปน อวัยวะที่อยใู นรางกายท่ีมีความสําคัญมาก เพราะเปนสวนหน่ึงของ
ระบบตาง ๆ ภายในรางกาย โดยอวยั วะภายนอกและอวยั วะภายใน มีการทาํ งานทสี่ ัมพนั ธกันหากสวนใด
สว นหนึง่ บกพรอ ง หรือไดรับอนั ตรายก็อาจมีผลกระทบตอ สวนอน่ื ได

5

1. อวัยวะภายนอก มดี งั น้ี
1.1 ตา เปนอวัยวะทีท่ าํ ใหม องเห็นสิง่ ตางๆ และชว ยใหเ กดิ การเรียนรู เพราะถาไมมี

ดวงตา สมองจะไมสามารถรับรูและจดจําสิ่งท่ีอยูรอบตัว นอกจากน้ันตายังแสดงออกถึงอารมณ
ความรสู ึกตา งๆ เชน ดใี จ เสยี ใจ ตกใจ

สวนประกอบของตา ท่สี าํ คัญมดี ังนี้
(1) ค้ิว เปนสวนประกอบท่ีอยูเหนือหนังตาบน ทําหนาท่ีปองกันอันตราย

ไมใหเกิดกับดวงตา โดยปองกันส่ิงสกปรก เหงื่อ น้ํา และส่ิงแปลกปลอมท่ีอาจไหลหรือตกมาจาก
หนา ผาก หรอื ศีรษะ เขา สูด วงตาได

(2) หนงั ตา และเปลอื กตา ทาํ หนา ที่เปด ปดตา เพ่อื รบั แสง และปอ งกันอันตราย
ท่ีอาจเกดิ ข้นึ แกต า และกระจกตา โดยอตั โนมัติเม่อื มสี ิง่ อนั ตรายเขา มาใกลตา

(3) ขนตา เปนสวนประกอบที่อยูหนังตาบน หนังตาลาง ทําหนาที่ปองกัน
อนั ตราย เชนฝนุ ละออง ไมใหทาํ อนั ตรายแกต า

(4) ตอ มน้าํ ตา เปนสว นประกอบของตาที่อยูในเบาตา ทางดานหางคิ้วบริเวณ
หนงั ตาบน ทาํ หนาทซี่ ับนาํ้ ตา มาชว ยใหต าชมุ ช้ืน และขับสงิ่ สกปรกออกมากบั นํ้าตา

1.2 หู เปนอวัยวะรับสัมผัสท่ีทําใหไดยินเสียงตาง ๆ เชน เสียงเพลง เสียงพูดคุย
การไดยนิ เสยี ง ทาํ ใหเกิดการสือ่ สารระหวา งกัน ถาหูผิดปกติไมไดยินเสียงใดเลย สมองไมสามารถแปล
ความไดว าเสยี งตา ง ๆ เปน อยา งไร

สว นประกอบของหู
สว นประกอบของหแู บงเปน 3 สว น คือ หชู ั้นนอก หูชน้ั กลาง หูชัน้ ใน

(1) หูชน้ั นอก ประกอบดว ยสว นตาง ๆ ดังนี้
 ใบหู ทาํ หนาท่ีรบั เสียงสะทอนเขา สูรหู ู
 รูหู ทําหนาที่เปนทางผานของเสียง ใหเขาไปสูสวนตาง ๆ ของรูหู

ภายในรหู จู ะมตี อ มนํ้ามัน ทําหนาท่ีผลิตไขมันทําใหหูชุมชื้น และดักจับฝุนละออง และส่ิงแปลกปลอม
ทเ่ี ขามาภายในรหู ู และเกดิ เปน ขห้ี ู นอกจากน้นั ภายในรหู ยู ังมเี ยื่อแกวหู ซึ่งเปน เยอื่ แผนกลมบาง ๆ กั้นอยู
ระหวา งหชู ้นั นอก กบั หชู นั้ กลาง ทาํ หนาท่ีถายทอดเสียงผานหชู ั้นกลาง

(2) หูชัน้ กลาง มีลักษณะเปน โพรง ประกอบดวยสวนตาง ๆ ไดแก กระดูก
รูปคอน กระดูกรูปทั่ง และกระดูกรูปโกลน เปนกระดูกชิ้นนอกติดอยูกับหูช้ันใน กระดูกท้ัง 3 ชิ้น
ดังกลาว ทําหนา ท่รี บั คลื่นเสียงตอจากเยอ่ื แกวหู

6

(3) หูช้ันใน มีลักษณะเปนรูปหอยโขง เปนสวนท่ีอยูดานในสุด ทําหนาท่ี
ขับคล่ืนเสียงโดยผานประสาทรับเสียงสงตอไปยังสมอง และสมองก็แปลผลทําใหรูวาเสียงท่ีไดยิน
คอื เสยี งอะไร

1.3 จมูก เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําหนาท่ีหายใจเอาอากาศเขาและออกจากรางกาย
และมีหนาที่รับกลิ่นตาง ๆ ถาจมูกไมสามารถทําหนาที่ไดตามปกติ จะไมไดกล่ินอะไรเลย หรือทําให
ระบบการหายใจและการออกเสียงผดิ ปกติ

สวนประกอบของจมกู
จมูกเปนอวัยวะภายนอกท่ีอยูบนใบหนา ชวยเสริมใหใบหนาสวยงาม จมูก
แบง ออกเปน 3 สวน ดงั น้ี
(1) สนั จมูก เปนสว นที่มองเห็นจากภายนอก เปนกระดูกออ น ทาํ หนา ท่ปี อ งกัน
อันตรายใหก ับอวัยวะภายในจมกู
(2) รูจมูก รูจมูกมี 2 ขาง ทําหนาท่ีเปนทางผานของอากาศ ที่หายใจเขาออก
ภายในรจู มูกมีขนจมกู และเย่ือจมกู ทําหนาท่กี รองฝนุ และเช้อื โรคไมใหเ ขาสูห ลอดลมและปอด
(3) ไซนสั เปน โพรงอากาศครอบจมกู ในกะโหลกศีรษะ จํานวน 4 คู ทําหนาที่
พัดอากาศเขาสปู อด และปรบั ลมหายใจใหม อี ุณหภมู ิและความชืน้ พอเหมาะ

1.4 ปากและฟน เปนอวัยวะสําคัญของรางกายท่ีใชในการพูด ออกเสียง
และรับประทานอาหาร โดยฟนของคนเราจะมี 2 ชุด คือ ฟนน้าํ นมและฟนแท

(1) ฟนนํ้านม เปนฟนชุดแรก มีท้ังหมด 20 ซี่ เปนฟนบน 10 ซี่ ฟนลาง 10 ซ่ี
ฟนน้ํานมเริ่มงอกเมื่ออายุประมาณ 6 - 8 เดือน จะงอกครบเม่ืออายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบคร่ึง และจะคอย ๆ
หลดุ ไปเมือ่ อายุประมาณ 6 ขวบ

(2) ฟนแท เปนฟนชุดท่ีสอง ท่ีเกิดขึ้นมาแทนฟนนํ้านมท่ีหลุดไป ฟนแทมี
32 ซ่ี ฟนบน 16 ซ่ี ฟน ลา ง 16 ซ่ี ฟนแทจะครบเมอื่ อายุประมาณ 21 - 25 ป ถาฟนแทผ ุหรือหลุดไป จะไม
มฟี นงอกขนึ้ มาอกี

7

หนา ท่ขี องฟน
ฟน มีหนาที่ในการเคี้ยวอาหาร เชน ฉีก กัด บดอาหารใหละเอียด ฟนจึงมีหนาที่และ

รูปรางตางกันไป ไดแก ฟนหนา มีลักษณะคลายลิ่ม ใชกัดตัด ฟนเขี้ยว มีลักษณะปลายแหลม ใชฉีก
อาหาร และฟน กราม มีลกั ษณะแบน กวา ง ตรงกลางมรี องใชบดอาหาร

1.5 ผิวหนัง เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําใหรูสึก รอน หนาว เจ็บปวด เพราะภายใต
ผิวหนังเปนที่รวมของเซลลประสาทรับความรูสึก นอกจากน้ันผิวหนังยังทําหนาท่ีปกคลุมรางกาย
และชว ยปองกันอวัยวะภายในไมใหไดรับอันตราย และยงั ชวยระบายความรอนภายในรา งกายทางรูเหง่ือ
ตามผิวหนงั อกี ดวย

สวนประกอบของผวิ หนงั แบงออกเปน 2 ช้นั ดังน้ี
(1) ช้ันหนงั กาํ พรา เปน ช้นั บนสดุ เปน ชั้นทีจ่ ะหลุดเปนขี้ไคล แลวมีการสราง
ขน้ึ มาทดแทนข้นึ เรื่อย ๆ และเปน ผิวหนังช้ันทบี่ ง บอกความแตกตางของสผี ิวในแตล ะคน
(2) ชั้นหนังแท เปนผิวหนังที่หนากวาช้ันหนังกําพรา เปนแหลงรวมของ
ตอ มเหงอื่ ตอมไขมัน และเซลลประสาทรับความรสู กึ ตา ง ๆ

2. อวัยวะภายใน
อวยั วะภายในเปนอวัยวะที่อยูใตผิวหนัง ซ่ึงเราไมสามารถมองเห็น อวัยวะภายใน

เหลาน้ีมีมากมายและทํางานประสานสมั พันธกันเปน ระบบ

2.1 ปอด ปอดเปนอวัยวะภายในอยางหนึ่ง อยูในระบบหายใจ ปอดมี 2 ขาง ตั้งอยู
บริเวณทรวงอกทง้ั ทางดานซายและดานขวา จากตน คอลงไปจนถึงอก ปอดมีลกั ษณะน่ิมและหยุนเหมือน
ฟองน้ํา ขยายใหญเทากับซ่ีโครงเวลาที่ขยายตัวเต็มท่ี มีเยื่อบาง ๆ หุม เรียกวา เย่ือหุมปอด ปอด
ประกอบดวยถุงลมเล็กๆ จํานวนมากมาย เวลาหายใจเขาถุงลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะ
แฟบ ถุงลมนปี้ ระสานติดกันดวยเย่ือประสานละเอียดเต็มไปดวยเสนเลือดฝอยมากมาย เลือดดําจะไหล
ผานเสนเลือดฝอยเหลา นั้น แลวคายคารบอนไดออกไซดอ อก และรับเอาออกซิเจนจากอากาศท่ีเราหายใจ
เขาไปในถุงลมไปใชในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของรางกาย กระบวนการที่เลือดคาย
คารบอนไดออกไซด และรับออกซิเจนขณะท่ีอยใู นปอดน้ี เรยี กวา การฟอกเลือด

8

หนาทีข่ องปอด
ปอดจะทาํ หนาที่สูบและระบายอากาศ ฟอกเลือดเสียใหเปนเลือดดี การหายใจมีอยู

2 ระยะ คอื หายใจเขา และหายใจออก หายใจเขา คอื การสูดอากาศเขาไปในปอดหรือถุงลมปอด เกิดข้ึน
ดว ยการหดตวั ของกลามเนอ้ื กะบงั ลม ซ่ึงกน้ั อยรู ะหวางชอ งอกกบั ชองทอง เมื่อกลามเนื้อกะบังลมหดตัว
จะทําใหชองอกมีปริมาตรมากข้ึน อากาศจะวิ่งเขาไปในปอด เรียกวาหายใจเขา เม่ือหายใจเขาสุดแลว
กลามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง กลามเนื้อทองจะดันเอากลามเนื้อกะบังลมข้ึน ทําใหชองอกแคบลง
อากาศจะถกู บบี ออกจากปอด เรยี กวา หายใจออก ปกติผูใหญหายใจประมาณ 18 - 22 คร้ังตอนาที ผูท่ีมี
อายนุ อยการหายใจจะเรว็ ข้นึ ตามอายุ

2.2 หัวใจ เปนอวัยวะท่ีประกอบดวยกลามเนื้อ ภายในเปนโพรง รูปรางเหมือนดอก
บวั ตูม มีขนาดราวๆ กาํ ปน ของเจา ของ รอบๆ หวั ใจมีเยือ่ บางๆ หุมอยเู รยี กวา เย่ือหุมหัวใจ ซ่ึงมีอยู
2 ชน้ั ระหวางเย่อื หุม ท้งั สองชน้ั จะมชี อง ซ่ึงมีนํ้าใสสีเหลืองออนหลออยูตลอดเวลา เพื่อมิใหเยื่อทั้งสอง
ชั้นเสยี ดสกี นั และทําให หวั ใจเตนไดสะดวกไมแหงติดกับเยอื่ หุมหวั ใจ หัวใจตั้งอยูร ะหวา งปอดท้ังสอง
ขา ง แตคอ นไปทางซายและอยูหลังกระดูกซ่ีโครงกับกระดูกอก โดยปลายแหลม ชี้เฉียงลงทางลาง
และชี้ไปทางซา ย ภายในหัวใจจะมโี พรง ซึง่ ภายในโพรงนี้จะมผี นังกัน้ แยกออกเปนหอ งๆ รวม 4 หอง คือ
หอ งบน 2 หอง และหองลา ง 2 หอ ง สาํ หรับหอ งบนจะมขี นาดเล็กกวาหองลาง

หนาทข่ี องหัวใจ
หัวใจมจี งั หวะการบีบตัว หรือที่เราเรียกวาการเตนของหัวใจ เพ่ือสูบฉีดเลือดแดง ไป

หลอ เลี้ยงรางกายตามสว นตางๆ ของรา งกาย ขณะท่ีคลายตัวหัวใจหองบนขวาจะรับเลือดดํามาจาก ท่ัว
รางกาย และจะถูกบีบผานล้ินที่กั้นอยูลงไปทางหองลางขวา ซึ่งจะถูกฉีดไปยังปอดเพื่อคาย
คารบอนไดออกไซดและรับออกซิเจนใหมกลายเปนเลือดแดง ไหลกลับเขามายังหัวใจหองบนซาย
และถูกบบี ผา นลิน้ ท่ีก้นั อยไู ปทางหองลางซาย จากน้ันกจ็ ะถกู ฉดี ออกไปเล้ยี งท่ัวรางกาย ถาเราใชน้ิวแตะ
บริเวณเสนเลือดใหญ เชน ขอมือ หรือขอพับตาง ๆ เราจะรูสึกไดถึงจังหวะการบีบตัวของหัวใจ
ซึง่ เราเรียกวา ชีพจร หัวใจเปนอวัยวะท่ีสําคัญท่ีสุด เพราะเปนอวัยวะที่บอกไดวาคนนั้นยังมีชีวิตอยูได
หรอื ไม ถา หากหวั ใจหยุดเตน กห็ มายถงึ วา คนคนนนั้ เสียชีวิตแลว การเตน ของหัวใจน้ัน ในคนปกติหัวใจ
จะเตน ประมาณ 70 - 80 ครัง้ ตอ นาที หัวใจตอ งทาํ งานหนกั ตลอดชวี ิต ทง้ั เวลาหลับและตื่น เวลาทห่ี ัวใจจะ
ไดพักผอนบา งกค็ อื ตอนทีเ่ รานอนหลบั หวั ใจจะเตน ชา ลง เราจึงตอ งระมัดระวังรกั ษาหวั ใจใหแข็งแรงอยู
เสมอ โดยอยาใหห วั ใจตอ งทํางานหนกั มากจนเกนิ ไป

9

2.3 กระเพาะอาหาร มีรูปรางเหมือนนํ้าเตา คลายกระเพาะหมู มีความจุประมาณ 1
ลิตร อยูตอ หลอดอาหารและอยใู นชอ งทอ งคอนไปทางดานซาย

หนา ที่สําคญั ของกระเพาะอาหาร คอื มีหนาท่ีในการยอยอาหารท่ีมีขนาดเล็กลง และ
ละลายใหเปน สารอาหาร แลวสงอาหารท่ียอยแลวไปยงั ลําไสเล็ก แลวลาํ ไสเล็กจะดูดซึมไปใชประโยชน
แกร างกายตอไป สวนทไ่ี มเปน ประโยชนท ีเ่ รยี กวากากอาหารจะถูกสงตอไปยังลําไสใหญ เพื่อขับถาย
ออกจากรางกายเปนอุจจาระตอไป สิ่งท่ีชวยใหกระเพาะยอยอาหารก็คือ น้ํายอยซ่ึงมีสภาพ เปนกรด
นา้ํ ยอยในกระเพาะจะมีเปนจํานวนมากเม่ือถึงเวลารับประทานอาหาร ถาไมรับประทานอาหารใหตรง
เวลานา้ํ ยอยจะกดั เนื้อเยอื่ ในบริเวณกระเพาะไดเ ชน กัน อาจจะทําใหเ กดิ เปนแผลในกระเพาะอาหารได วิธี
ท่จี ะชว ยปอ งกนั ไดก ค็ ือ ดม่ื นํา้ สะอาดใหม ากๆ และรบั ประทานอาหารใหต รงเวลา งดรับประทานอาหาร
ทม่ี ีรสจัด

2.4 ลําไสเล็ก มีลักษณะเปนทอกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยูในชองทอง
ตอนบน ปลายบนเชื่อมกับกระเพาะอาหาร สว นปลายลา งตอ กับลาํ ไสใ หญ

หนาท่ีสําคัญของลําไสเล็ก คือ ยอยอาหารตอจากกระเพาะอาหาร จนอาหาร มี
ขนาดเลก็ พอท่ีจะดูดซมึ เขาสกู ระแสเลือด เพอ่ื นําไปเล้ยี งสว นตาง ๆ ของรา งกาย

2.5 ลาํ ไสใ หญ เปนอวัยวะทีอ่ ยูในระบบทางเดนิ อาหาร ลาํ ไสใหญของคนมคี วามยาว
ประมาณ 1.5 เมตร เสนผานศูนยกลางประมาณ 6 เซนติเมตร แบง ออกเปน 3 สวน คือ

(1) กระเพาะลําไสใหญ เปนลําไสใหญสวนแรก ตอจากลําไสเล็ก ทําหนาท่ี
รบั กากอาหารจากลําไสเลก็

(2) โคลอน (Colon) เปนลําไสใหญสวนที่ยาวที่สดุ ประกอบดวยลําไสใหญขวา
ลําไสใหญกลาง และลําไสใหญซาย มีหนาที่ดูดซึมน้ําและพวกวิตามินบี12 ที่แบคท่ีเรียในลําไสใหญ
สรา งข้ึนและขบั กากอาหารเขา สลู ําไสใ หญสว นตอ ไป

(3) ไสต รง เม่ือกากอาหารเขาสูไสต รงจะทาํ ใหเกิดความรูส กึ อยากถายขน้ึ
เพราะความดนั ในไสตรงเพ่มิ ขน้ึ เปนผลทาํ ใหก ลา มเนือ้ หรู ูดท่ที วารหนกั ดา นใน ซึง่ จะทําใหเกดิ การ
ถายอจุ จาระออกทางทวารหนักตอ ไป

หนา ท่ีของลาํ ไสใ หญ
(1) ชว ยยอยอาหารเพยี งเลก็ นอ ย
(2) ถายระบายกากอาหาร ออกจากรา งกาย
(3) ดูดซึมนาํ้ และสารอเิ ล็คโตรลัยต เชน โซเดียม และเกลอื แรอ ื่น ๆ จากอาหาร

10

ที่ถูกยอ ยแลว ทเี่ หลืออยใู นกากอาหาร รวมท้งั วติ ามินบางอยางทส่ี รางจากแบคทเี รยี ซง่ึ อาศยั อยู
ในลาํ ไสใ หญ ไดแ ก วติ ามินบรี วม วติ ามนิ เค ดว ยเหตนุ ้ี จึงเปนชองทางสาํ หรับใหน า้ํ อาหารและยาแก
ผปู วยทางทวารหนกั ได

(4) ทําหนา ทเ่ี กบ็ อุจจาระไวจ นกวาจะถงึ เวลาอนั สมควรทจี่ ะถายออกนอก
รางกาย

1.5 ไต เปน อวัยวะสว นหน่งึ ในระบบขบั ถาย จะขับถายของเสียจากรางกายออกมา
เปน นํ้าปสสาวะ ไตของคนเรามี 2 ขาง มีรปู รา งคลา ยเมลด็ ถ่วั แดง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร อยูติดผนัง
ชอ งทองดานหลงั ตํ่ากวา กระดูกซีโ่ ครงเล็กนอ ย

หนาท่ีสําคัญของไต คือ กรองของเสียออกจากเลือดแดง แลวขับของเสีย
ออกนอกรา งกายในรูปของปส สาวะ

เรือ่ งที่ 3 การดูแลรกั ษาปอ งกนั ความผดิ ปกติของอวยั วะสาํ คัญของรา งกาย อวยั วะ
ภายนอกและภายใน

การดูแลรกั ษาปอ งกนั ความผิดปกตขิ องอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและภายใน
มีความสําคัญของรางกาย จําเปนตองดูแลรักษาใหสามารถทํางานไดตามปกติ เพราะถาอวัยวะสวนใด
สว นหนึ่งเกิดความบกพรองหรือเกิดความผดิ ปกติ ระบบการทํางานนั้นก็จะบกพรองหรือผิดปกติดวย มี
วธิ กี ารงา ย ๆ ในการดูแลรกั ษาอวัยวะตาง ๆ ดังน้ี

1. การดแู ลรักษาตา
ตามคี วามสําคัญ ทาํ ใหม องเหน็ ส่งิ ตาง ๆ จึงควรดแู ลรักษาตาใหด ดี วยวธิ ี ดงั ตอ ไปนี้
1. ไมควรใชสายตาจองหรือเพงสิ่งตาง ๆ มากเกินไป ควรพักสายตาโดยการหลับตา

หรือมองออกไปยงั ที่กวาง ๆ หรอื พ้ืนที่สีเขียว
2. ขณะอา นหรือเขยี นหนงั สือ ควรใหแสงสวางอยางเพียงพอ และควรวางหนังสือใหหาง

จากตาประมาณ 1 ฟุต
3. ไมควรอา นหนังสอื ขณะอยูบนยานพาหนะ เชน รถ หรือรถไฟท่กี ําลงั แลน

11

4. ดูโทรทศั นใหหางจากจอภาพไมนอยกวา 3 เทา ของขนาดจอภาพ
5. เมอื่ มฝี ุนละอองเขา ตา ไมควรขยตี้ า ควรใชวธิ ลี มื ตาในนํ้าสะอาด หรอื ลางดวยน้าํ ยาลางตา
6. ไมค วรใชผ า เช็ดหนา รว มกับผูอ่ืน เพราะอาจติดโรคตาแดงจากผูอืน่ ได
7. หลกี เลยี่ งการมองบรเิ วณท่แี สงจา หรือหลกี เลยี่ งสถานท่ที ่มี ีฝุนละอองฟุงกระจาย
8. อยาใชย าลางตาเม่อื ไมม คี วามจาํ เปน เพราะตามธรรมชาตนิ าํ้ ในเปลอื กตาทําหนาทีล่ างตา

ดีท่สี ุด
9. บริหารเปลอื กตาบนและเปลือกตาทุกวันดวยการใชนิ้วช้ีรูดกดไปบนเปลือกตาจากค้ิว

ไปทางหางตา

2. การดแู ลรักษาหู
หูมีความสําคญั ตอการไดยนิ ถา หูผิดปกติจนไมส ามารถไดยินเสยี งตา งๆ การทํากิจกรรม

ในชวี ติ ประจาํ วนั ก็ไมร าบรื่นเกดิ อุปสรรค ดงั น้ันจงึ ควรดูแลรกั ษาหูใหท าํ หนาที่ใหด อี ยเู สมอ
1. หลีกเลี่ยงแหลงท่ีมีเสียงดังอึกทึก ถาหลีกเล่ียงไมไดควรปองกันตนเอง โดยหา

อปุ กรณม าอดุ หู หรอื ครอบหู เพือ่ ปองกนั ไมใ หแกว หูฉีกขาด
2. ไมควรแคะหดู วยวสั ดใุ ด ๆ เพราะอาจทาํ ใหหูอักเสบเกิดการติดเชอ้ื
3. เม่อื มีแมลงเขา หู ใหใ ชน ้ํามันมะกอก หรือนํ้ามันพาราฟลหยอดหู ท้ิงไวสักครูแมลง

จะตาย แลวจงึ เอยี งหูใหแ มลงไหลออกมา
4. ขณะวายนํ้า หรืออาบน้ํา พยายามอยาใหน้ําเขาหู ถามีนํ้าเขาหูใหเอียงหูใหน้ําออก

มาเอง
5. เม่ือเปนหวัดไมควรสั่งนํ้ามูกแรงๆ เพราะเช้ือโรคอาจผานเขาไปในรูหู เกิดอักเสบ

ตดิ เชอื้ กลายเปน หูนาํ้ หนวก และเมื่อมสี ง่ิ ผิดปกติเกิดขึ้นกับหู ควรปรึกษาแพทย

3. การดแู ลรกั ษาจมูก
จมูกเปนอวัยวะรับสัมผัสที่มีความสําคัญ ทําใหไดกล่ิน และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์

เขาสูป อด ควรดแู ลรกั ษาจมกู ใหทําหนา ทไี่ ดต ามปกตดิ วยวธิ ดี งั นี้
1. หลีกเล่ียงบริเวณท่ีมีฝุน ละอองฟุงกระจาย
2. ไมควรแคะจมกู ดวยวัสดุแข็ง เพราะอาจทําใหจมูกอักเสบ
3. ไมค วรสั่งน้ํามกู แรง ๆ ถาเปนหวดั เรื้อรงั ไมควรปลอ ยทงิ้ ไว ควรปรกึ ษาแพทย
4. ถามคี วามผิดปกติเกดิ ข้ึนกบั จมูก ควรปรึกษาแพทย

12

4. การดูแลรักษาปากและฟน
1. ควรแปรงฟนใหถกู วิธหี ลงั อาหารทกุ ม้อื หรือควรแปรงฟนอยางนอยวนั ละ 2 คร้ัง
2. ไมควรกดั หรือฉีกของแข็งดวยฟน และควรพบทันตแพทยเพือ่ ตรวจฟนทกุ 6 เดือน
3. ออกกําลังเหงือกดวยการถู นวดเหงือก ตอนเชา และกลางคืนกอนนอน โดยการ

อมเกลอื หรือเกลอื ปนผสมสารสม ปนประมาณ 5 นาที แลวนวดเหงือก
4. รับประทานผัก ผลไมสดมาก ๆ และหลีกเลี่ยงรับประทานลูกอม ช็อคโกแลตและ

ขนมหวาน ๆ

5. การดูแลรกั ษาผวิ หนงั
1. อาบนาํ้ อยา งนอ ยวนั ละ 2 คร้ัง หลงั จากอาบนา้ํ เสรจ็ ควรเช็ดตวั ใหแหง
2. สวมเสอื้ ผา ทส่ี ะอาด ไมเปยกช้นื และไมรัดรูปจนเกินไป
3. รับประทานอาหารท่ีมีประโยชนและด่ืมนํ้ามาก ๆ ออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอ

หลกี เล่ยี งแสงแดดจา และระมดั ระวงั ในการใชเครอื่ งสาํ อาง
4. เมอื่ ผวิ หนังผดิ ปกติ ควรปรกึ ษาแพทย

6. การดูแลรกั ษาปอด มีขอ ควรปฏบิ ัติดังน้ี
1. ควรอยใู นสถานที่ที่มอี ากาศบริสทุ ธถิ์ ายเทไดเสมอ หลีกเลี่ยงอยูในสถานที่ท่ีมีฝูงชน

แออดั
2. ควรหายใจทางจมูก เพราะในจมกู มีขนจมูกและเยื่อเสมหะ ซึ่งจะชวยกรองฝนุ ละออง

และเชื้อโรคไมใ หเขา ไปในปอด หลีกเลี่ยงการหายใจทางปาก
3. ไมค วรนอนควา่ํ นาน ๆ จะทําใหปอดถูกกดทบั ทํางานไมส ะดวก
4. ไมค วรสูบบุหรี่ เพราะจะสงผลใหเปน อนั ตรายตอ ปอด
5. ควรน่ังหรือยืนตัวตรง ไมควรสวมเส้ือผาท่ีรัดแนน เพราะจะทําใหปอดขยายตัว

ไมส ะดวก
6. ควรรกั ษารางกายใหอบอนุ เพ่อื ปองกนั การเปนหวดั
7. ควรบริหารปอด ดวยการหายใจยาว ๆ วันละ 5-6 ครั้งทุกวัน ทําใหปอดขยายตัว

ไดเตม็ ท่ี
8. ควรระวังการกระทบกระเทือนอยางรุนแรงจากภายนอก เชน หนาอก แผนหลัง

เพราะจะกระทบกระเทือนไปถงึ ปอดดว ย

13

9. ควรพกั ผอ นใหเ ตม็ ที่ การออกกําลังกายหรือการเลนกีฬาใด ๆ อยาใหเกินกําลังหรือ
เหนือ่ ยเกินไป เพราะจะทําใหป อดตองทาํ งานหนกั จนเกนิ ไป

10. ควรตรวจสุขภาพ หรอื เอ็กซเรยปอดอยางนอยปละ 1 ครั้ง
7. การดแู ลรักษาหวั ใจ มีวธิ กี ารปฏิบัติ ดงั น้ี

1. ควรออกกําลังกายสม่ําเสมอ เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวัย ไมหักโหมเกินไป
เพราะจะทาํ ใหหัวใจตองทาํ งานมาก อาจเปนอนั ตรายได

2. ไมดมื่ น้ําชา กาแฟ สบู บหุ รี่ ด่ืมสรุ าหรอื เครื่องด่ืมท่ีมีสารกระตุน เพราะมีสารกระตุน
ทําใหห วั ใจทาํ งานหนักจนอาจเปน อนั ตรายแกกลามเนื้อหวั ใจได

3. ไมรับประทานยา ทจ่ี ะกระตนุ ในการทํางานของหวั ใจโดยไมปรกึ ษาแพทย
4. การนอนควา่ํ เปนเวลานานๆ จะสงผลทาํ ใหหวั ใจถูกกดทบั ทํางานไมส ะดวก
5. ไมค วรนอนในสถานท่ีอากาศถา ยเทไมส ะดวก หรือสวมเส้ือผาทร่ี ดั รปู จนเกนิ ไป
จะทําใหระบบการทํางานของหวั ใจไมสะดวก
6. ระมัดระวังไมใหหนาอกไดรับความกระทบกระเทือน เพราะอาจเปนอันตรายกับ
หวั ใจได
7. ไมควรวิตกกังวล กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะสงผลตอการทํางานของ
หัวใจ
8. ไมควรรบั ประทานอาหารท่มี ีไขมนั และนํ้าตาลมากเกนิ ไป เพราะจะทําใหเกิดไขมัน
เกาะภายในเสนเลือดและกลา มเน้ือหวั ใจ ทําใหหวั ใจตองทํางานหนักข้นึ จะเปน อนั ตรายได
9. เมื่อเกดิ อาการผดิ ปกตขิ องหัวใจ ควรปรึกษาแพทย
8. การดูแลรักษากระเพาะอาหารและลาํ ไส ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้
1. ควรรับประทานอาหาร ท่มี ีประโยชน ไมแข็ง ไมเหนียว หรือยอยยาก หรือมีรสจัด
เกินไป เพราะทําใหกระเพาะอาหารทํางานหนกั หรือทําใหเ กิดเปน แผลได
2. ควรใหรางกายอบอุน ในเวลานอนตองสวมเส้ือผาหรือหมผาเสมอ เพื่อมิใหทอง
รับความเย็นจนเกินไป จนอาจเกดิ อาการปวดทอง
3. ควรควบคุมอารมณ เพราะความเครียด ความวติ กกงั วล กท็ าํ ใหกระเพาะอาหารหล่ัง
น้ํายอ ยออกมามาก
4. เค้ียวอาหาร ใหละเอียดกอนกลืน และไมรีบรับประทาน เพราะจะทําใหอาหาร
ยอ ยยาก

14

5. ไมควรสวมเส้ือผาคับหรือรัดเข็มขัดแนนเกินไป จะทําใหกระเพาะอาหารทํางาน
ไมส ะดวก

6. ไมควรรับประทานจุบจิบ เพราะจะทําใหกระเพาะอาหารตองทํางานอยูเสมอไมมี
เวลาพกั

7. ควรรับประทานอาหารใหเปนเวลา ไมปลอยใหหิวมาก หรือรับประทานอาหาร
มากเกินไป จะทําใหก ระเพาะอาหารตอ งทํางานหนกั หรอื เกดิ อาการอาหารไมยอ ย แนน ทองได

8. ไมร ับประทานของหมกั ดอง จะทําใหเกิดอาการทอ งเสยี หรือทองรวงได
9. ปฏิบัติตนตามหลักสุขนิสัยท่ีดี โดยรักษาความสะอาดมือ ภาชนะและอาหารท่ี
รบั ประทานเพือ่ ปองกันเชอ้ื โรคจะเปนอนั ตรายตอกระเพาะอาหารได
10. ควรรับวคั ซีนปองกันโรค เม่ือเกิดโรคติดตอระบาดในชุมชน เชน อหิวาตกโรค บิด
พยาธติ า ง ๆ ทองรวง

9. การดแู ลรักษาไต ควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี
1. ควรรบั ประทานอาหาร นํ้า เกลือแร ใหเหมาะสมตามสภาวะของรา งกาย
2. ควรหลกี เลี่ยงการใชย าหรอื รับประทาน ยาท่มี ีผลเสยี ตอ ไต เชน ยาซัลฟา ยาแกปวด

และแกอกั เสบตอ เนือ่ งเปน เวลานาน
3. ไมควรกลัน้ ปส สาวะเอาไวน าน ๆ หรอื สวนปส สาวะ
4. ผูท่ีมีอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรักษา เพราะจะสงผล

กระทบตอการทาํ งานของไต
5. เมื่อเกิดอาการผิดปกตทิ ่ีสงสัยวาจะเปนโรคไต เชน เทา ตัว หรือหนาบวม ปสสาวะ

เปนสีคลา้ํ เหมอื นสนี ้าํ ลา งเนอ้ื หรือปสสาวะบอ ยผดิ ปกติ ควรปรึกษาแพทย
6. ควรตรวจสขุ ภาพ ตรวจปสสาวะ อยา งนอ ยประจําปล ะ 1 - 2 คร้งั

15
กิจกรรมทายบท

1. ใหผ เู รยี นแบงกลุมศึกษาพฒั นาการของมนุษยตามวัยตางๆ แลวใหแตละกลุมอภิปราย
นาํ เสนอผลงานแตล ะกลุม

2. ใหผ ูเ รยี นเปรียบเทยี บความแตกตา งที่เกิดขน้ึ ในแตละวยั และชวยกันสรปุ ผล
3. ใหผูเรียนบอกความแตกตางของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอก
พรอมอภปิ รายวิธกี ารปอ งกนั และดูแลรกั ษา

16

บทที่ 2
พฒั นาการทางเพศของวยั รุน
การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอทางเพศสัมพนั ธ

สาระสําคัญ
มคี วามรูความเขาใจเกี่ยวกับปญหาและการพัฒนาทางเพศของวัยรุนในเรื่องตาง ๆ ท้ังเพศชาย

และเพศหญิง ท่ีมีปญหาที่แตกตางกันออกไปตลอดจนเรียนรูในเร่ืองของกฎหมายที่เกี่ยวของกับการ
ลวงละเมิดทางเพศ และมีความรูในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองใหพนจากโรคติดตอจากการ
มเี พศสัมพันธ
ผลการเรียนรูที่คาดหวัง

1. เรียนรเู ก่ียวกบั การพัฒนาการทางเพศ และการดูแลสุขภาพของวยั รุน
2. เรียนรูเกี่ยวกบั การปองกันปญหาทีจ่ ะเกดิ จากสาเหตุตาง ๆ ของวยั รนุ
3. เรยี นรใู นเรอื่ งกฎหมายทเี่ กีย่ วของกบั การลว งละเมิดทางเพศ
4. เรียนรใู นเรอื่ งของโรคติดตอตาง ๆ ทีเ่ กดิ จากการมีเพศสัมพันธ
ขอบขา ยเน้อื หา
เรื่องที่ 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รุน
เรื่องที่ 2 การดูแลสขุ ภาพเบ้อื งตน ในวัยรนุ
เรื่องที่ 3 การคมุ กาํ เนิด
เรอ่ื งที่ 4 วธิ กี ารสรางสัมพันธภาพทีด่ ีระหวา งคนในครอบครัว
เรื่องท่ี 5 การส่อื สารเรอ่ื งเพศในครอบครัว
เรอ่ื งที่ 6 ปญหาทเ่ี ก่ยี วขอ งกบั พัฒนาการทางเพศของวยั รุน
เรอ่ื งที่ 7 ทกั ษะการจัดการกับปญหา อารมณ และความตองการทางเพศของวัยรุน
เรือ่ งที่ 8 หลากหลายความเชื่อที่ผดิ ในเรือ่ งเพศ
เรอ่ื งท่ี 9 กฎหมายทีเ่ ก่ยี วกับการลว งละเมิดทางเพศ
เรอ่ื งที่ 10 โรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธ

17

เรอ่ื งท่ี 1 พฒั นาการทางเพศของวยั รุน

วยั รนุ ชว งอายรุ ะหวาง 8 - 18 ป เปนวยั ทรี่ างกายเปล่ยี นจากเดก็ ไปเปนผูใ หญ เรียกวา วัยรุน หรือ
วยั เจรญิ พันธุ มกี ารเปลยี่ นแปลงเกดิ ขึน้ หลายอยา งทั้งทางรางกายและจิตใจ โดยมฮี อรโ มน เปน ตวั กระตุน
การทีจ่ ะบอกใหแ นชัดลงไปวา เดก็ ชายและเดก็ หญิงเขา สูวยั รุนเมอื่ ใดนนั้ เปน เรือ่ งคอ นขา งยาก เพราะเดก็
ท้ังสองเพศนอกจากจะแตกเนื้อหนุมสาวไมพรอมกันแลว คนแตละคนในเพศเดียวกันก็ยังแตกเนื้อ
หนมุ สาวไมพรอ มกันอีกดว ย แตพอจะกลา วโดยท่วั ไปไดว า เด็กหญิงจะเขา สวู ยั รนุ ในอายุระหวาง 13 - 15
ป และเด็กชายจะเริ่มเม่ืออายุ 15 ป โดยเด็กหญิงจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางดานรางกายในชวงน้ี
เรว็ กวาเดก็ ชายประมาณ 1 - 2 ป แตท ั้งนข้ี ้ึนอยูกับลักษณะหรือแบบแผนการเจริญเตบิ โตของแตละคน

ฮอรโมนเพศ หญิงและชายเมื่อเขา สูชวงวัยรนุ ตอมไฮโปเตลามสั (Hypothalamus) ซ่ึงเปนตอม
เล็ก ๆ ในสมอง เริ่มสงสัญญาณผานตอมใตสมองพิทูอิตารี (Pituitary gland หรือ Master gland) ซึ่งเปน
ตอมไรทอ ท่ีสาํ คญั ทสี่ ดุ ของรางกาย เพราะมีหนาทผี่ ลิตฮอรโ มนท่แี ตกตา งกัน เพ่ือไปกระตุนและควบคุม
การทํางานของอวัยวะตา ง ๆ รวมถงึ อวัยวะทเ่ี กยี่ วกบั เพศ คอื รงั ไขสําหรบั ผหู ญิงในการผลิตฮอรโมนเพศ
เอสโทรเจน (Estrogen) และลกู อัณฑะสาํ หรับผูชายผลติ ฮอรโมนเพศเทสทอสเทอโรน (Testosterone)

ฮอรโมนเอสโทรเจน และฮอรโ มนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเปนฮอรโมนเพศน้ี ทําใหรางกายวัยรนุ
เจรญิ เตบิ โตอยา งรวดเรว็ มไี ขมันและกลามเนื้อเพ่ิมข้ึน ตัวสูงข้ึน มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ รักแรและ
สวนตาง ๆ ของรางกาย มีกล่ินตัว มีสิว ผูหญิงจะมีสะโพกผาย ตนขา หนาอกและกนใหญขึ้น และมี
ประจาํ เดือน สวนผูชาย เสียงจะแตกหาว ฝนเปยก และท้ังหญิงชายจะเริ่มมีความรูสึกตองการทางเพศ
หรือมอี ารมณเพศ

นอกจากการเปล่ียนแปลงทางรางกายแลว วัยรุนหญิงชายยังมีการเปล่ียนแปลงทางดานจิตใจ
อารมณแ ละความรูส กึ โดยเรม่ิ มีความสนใจ หรอื ความรูสกึ พงึ พอใจเปนพิเศษตอบางคนทีอ่ าจเปนท้ังเพศ
เดียวกนั และตา งเพศ

วัยรุนเปนวัยท่ีรางกายมีความพรอมในการผลิตเซลลเพศเพ่ือการสืบพันธุ คนทั่วไปจึงตัดสิน
การเขาสูวัยรุน โดยพิจารณาจากการมีประจําเดือนครั้งแรก (เด็กหญิงราว 13 ป) และการหลั่งนํ้าอสุจิ
ครั้งแรก (เด็กชายอายุประมาณ 11 ป) แตปรากฏการณทั้งสองไมคอยแนนอนนัก เชน การหล่ังนํ้าอสุจิ
อาจเกดิ ชากวาการเปลยี่ นแปลงทางรางกายดา นอนื่ ๆ สาํ หรบั การมาของประจาํ เดอื นครง้ั แรกของเด็กหญิง
กเ็ ชน กัน การสุกของไข (ไขต ก) ในบางคนอาจไมมีความสมั พนั ธก ับการมปี ระจําเดือนเสมอไป และการ
ตกไขฟ องแรก ๆ อาจไมท ําใหเ กิดประจําเดือนกเ็ ปนได รวมทั้งการมปี ระจําเดอื นคร้ังแรกอาจเกิดขน้ึ กอน
หรอื หลงั การเปลี่ยนแปลงของรา งกายสว นอน่ื ๆ เมือ่ เขาสูวยั รุนแลว ไดเ ปนเวลานาน

18

การมีประจําเดือนครัง้ แรก
ขณะแรกคลอด รงั ไขของเดก็ หญิงจะมีไขทย่ี งั ไมเ จริญอยูแลวหลายพันใบ เม่ือนับจากชวงวัยรุน

เปนตนไป ทุก ๆ 28 วันจะมีไข 1 ใบที่เจริญเต็มที่แลวหลุดออกมาเขาสูทอนําไข เรียกวา การตกไข
ขณะเดียวกัน เยอ่ื บุโพรงมดลกู จะมีหลอดเลือดงอกมาหลอเล้ียงมากมาย เพื่อเตรียมรับไขท่ีผสมกับอสุจิ
หากไมไดรับการผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกหลุดออกมาเปนเศษเนื้อเย่ือและเลือดไหลออกมา
ทางชอ งคลอด เรยี กวา ประจําเดือน อายขุ องเด็กหญิงทปี่ ระจําเดอื นมาคร้ังแรกยอมแตกตางกัน สวนมาก
จะมอี ายุ 12 - 13 ป แตบางคนอาจเริ่มต้ังแตอายุ 10 ป บางคนก็ลาชาไปถึง 16 ป ซ่ึงยังไมนับวาเปนเรื่อง
ผิดปกติ
การฝน เปยก

การหลงั่ นํ้าอสจุ นิ ัน้ จะเริม่ เกดิ ขนึ้ ในชว งอายปุ ระมาณ 11 ป แตก็อาจเกิดข้ึนเร็วหรือชากวานี้ดังท่ี
กลาวมาแลวขางตน ขึ้นอยูกับแตละคน การฝนเปยกเปนลักษณะทางธรรมชาติของเด็กผูชาย
ทแ่ี ตกเน้อื หนุม เมอ่ื รางกายผลิตนาํ้ อสจุ แิ ละเก็บสะสมไว เม่ือมีปริมาณมากเกินไป รางกายจะขับออกมา
ตามกลไกธรรมชาติ มักเกิดขึ้นในชวงท่กี าํ ลงั ฝนโดยอาจนึกถงึ สงิ่ ท่กี ระตนุ อารมณทางเพศ เมื่อต่ืนขึ้นมา
กพ็ บวา มขี องเหลวเปย กช้นื ตรงเปากางเกงนอน หรือเปอนบนที่นอน จึงเรียกวา “ฝนเปยก” หรืออีกกรณี
การเลน ตอ สกู ับเพอ่ื นๆ อาจปลกุ เรา และกระตุน องคชาตได จะทาํ ใหน ้ําอสุจเิ ลด็ ลอดออกมาตามธรรมชาติ
ท่ีเรยี กวา “การหล่ังอยางไมรูตัว” ท้ังนี้ เด็กชายแตละคนอาจมีความถ่ีในการฝนเปยกแตกตางกัน ตั้งแต
ไมเ คยฝนเปยกเลยจนกระทง่ั สัปดาหละหลาย ๆ ครั้ง จึงไมควรถือเรื่องนี้เปนเรื่องความผิดปกติทางเพศ
ของวัยรุนชาย น้าํ อสจุ เิ ปน ของเหลวสขี าวขุน ประกอบ ดว ยตวั อสจุ แิ ละสารคดั หล่งั จากตอ มลูกหมากและ
ตอมพักตัวอสุจิ ซึง่ จะถกู ขับออกมาพรอมกนั ผานทางทอ นาํ อสจุ ิ ในน้าํ อสจุ ิเพียงหยดเดยี วจะมสี เปร ม หรอื
ตวั อสจุ ิประมาณ 1,500 ตวั ขณะทผ่ี ชู ายถึงจุดสดุ ยอด จะหลั่งนํา้ อสุจิออกมาประมาณ 1 ชอนชา ซึ่งมีอสุจิ
อยูถ ึง 300 ลา นตวั และเชือ้ อสจุ ิเพียงหนึง่ ตวั ก็สามารถเขาไปผสมกับไขไดเมื่อมีเพศสัมพันธแบบสอดใส
วยั รุน ชายจะมีอสจุ ิทีส่ มบรู ณเ มอ่ื อายรุ าว 13 - 14 ป
การจัดการอารมณเ พศ หรอื การชวยตัวเอง

วัยรนุ หญิงชายตา งก็เร่ิมมีความรสู กึ หรืออารมณทางเพศเพิ่มมากข้ึนตามลําดับ (วัยรุนเปนวัยท่ีมี
ความรูสกึ ทางเพศสูงสุด) การชวยตัวเอง เปนวิธีการจัดการเพ่ือผอนคลายอารมณเพศ ซ่ึงเปนเร่ืองปกติ
ธรรมดาของท้ังหญิงและชาย โดยการลูบคลําอวัยวะเพศของตนเองจนถึงจุดสุดยอด แตละคนอาจมี
วิธีการแตกตา งกันไป

19

การต้งั ครรภ
เกิดขนึ้ จากการมีเพศสมั พนั ธร ะหวา งชายและหญิง เมือ่ มีการหลั่งน้าํ อสุจใิ นชองคลอด ตวั อสุจิจะ

วา ยเขาไปในมดลูกจนถงึ ทอ นาํ ไข และพบไขของฝา ยหญงิ พอดี ก็จะเกิดการผสมระหวางอสุจิกับไขหรือ
ทเ่ี รยี กวา “การปฏิสนธ”ิ แตถาไมม ีไข อสุจิจะตายไปเองภายในเวลา 2 - 3 วนั

เรอ่ื งท่ี 2 การดูแลสุขภาพเบือ้ งตน ในวัยรนุ

วธิ กี ารดแู ลผิวหนา ใหส ะอาดเพอื่ ลดการมีสิว
การลา งหนา ดว ยนา้ํ สะอาดเพียงอยางเดียว และซับหนาใหแหงอยางเบามือ เปนการถนอมผิวที่
ไดผ ลดี เปนวธิ ีทีแ่ พทยผวิ หนงั แนะนําใหใช เพื่อลดการระคายเคือง แตการลางหนาดวยสบูหรือครีมลาง
หนาบอยครง้ั ซง่ึ จะไปชะลา งไขมันทผ่ี วิ สรางข้นึ ตามธรรมชาติ เมื่อผิวแหงตึง ก็จะกระตุนใหตอมไขมัน
ยง่ิ ทาํ งานมากขึน้
การทําความสะอาดอวยั วะเพศหญงิ
ใหลางจากดา นหนา ไปดานหลังดวยสบูและนํ้าสะอาด ไมจําเปนตองใชสเปรยหรือน้ํายาลางทํา
ความสะอาดชอ งคลอดอีก เนื่องจากชองคลอดมีระบบทําความสะอาดตามธรรมชาติอยูแลว บางคนใช
แลวอาจเกิดอาการระคายเคืองจากสารเคมีเหลาน้ัน เพราะผิวบริเวณนั้นบอบบางมาก ระหวางมี
ประจาํ เดอื น ควรเปลย่ี นผาอนามัยทกุ 2 - 3 ชั่วโมงเพอื่ ปอ งกันกลิน่
การทําความสะอาดอวัยวะเพศชาย
ทบ่ี รเิ วณใตหนังหุมปลายของผูชายจะมีเมือกขาวเหลืองขุนๆ เรียกวา ‘ขี้เปยก’ ซึ่งทําใหมีกล่ิน
การลา งทาํ ความสะอาดอวยั วะเพศชายจึงตองดงึ หนังหุมปลายอวัยวะเพศข้ึน เพ่ือทําความสะอาดบริเวณ
สวนหวั ของอวยั วะเพศ (ถาหนังหมุ ปลายตึงเกินไป ใหคอยๆ ดึงขนึ้ ทลี ะนอ ยในระหวา งอาบน้าํ โดยใชสบู
ชว ย)

20

อาการผดิ ปกติบรเิ วณอวยั วะเพศ

เชน คนั ในชอ งคลอด ตกขาวมากจนผิดสงั เกต อวัยวะเพศมกี ลิ่นเหมน็ มาก มสี ผี ิดไปจากเดิม
หรอื เวลาปส สาวะแลวรสู ึกเจ็บเหมือนปส สาวะไมสดุ สามารถขอคาํ ปรกึ ษาจากหนว ยงานทใี่ หบรกิ าร
ดา นสุขภาพวยั รนุ หรือคลกิ เขาไปทคี่ ลินิกสขุ ภาพ www.teenpath.net

กลนิ่ ตวั

เม่ือเขาสูวัยรุน ตอมไขมันจะผลิตความมันออกมาตามรูขุมขนเพิ่มขึ้น ตอมเหง่ือก็เชนกันผลิต
เหง่ือออกมามากโดยเฉพาะเวลาวง่ิ เลน เดินเร็วในอากาศรอน เหงื่อออกมาจากรูเปดของตอมเหง่ือซึ่งอยู
ไมหางจากรูเปดขุมขนมากนัก เม่ือทั้งความมันและน้ําเหง่ือไหลซึมออกมาจากรูเปดบนผิวพรรณสัก
ระยะเวลาหน่ึง และมีสภาพแวดลอมท่ีอับช้ืนนานพอเหมาะ บรรดาเชื้อจุลินทรียตางๆ ที่อาศัยอยูตาม
ธรรมชาตบิ นผวิ พรรณเรากจ็ ะพากันเจรญิ เติบโตแพรพ ันธุออกมาจํานวนมาก พรอมทั้งสงกลิ่นเหม็นอับ
ออกมาเปนกล่นิ ตวั แรง ๆ

นอกจากน้ัน อาหารประเภท เครือ่ งเทศ กระเทียม ทุเรียน ซึ่งเปนอาหารท่ีมีกลิ่นแรง อาจระเหย
ออกมาจากลมหายใจ ขับถายออกมาทางตอมเหงื่อ ตอมไขมัน ตอมกลิ่น หรือเปนบอเกิดในการสราง
สารประกอบมีกล่ินไดแลว จึงปลดปลอยออกมาทางชองระบายของรางกายไดอีกทอดหนึ่ง รวมท้ัง
รองเทา หมุ สน รองเทาผาใบ ลว นเปน บอ เกดิ ของกลิน่ เหม็นอบั ไดเชน กัน

วธิ กี ารทาํ ความสะอาดดวยการอาบน้ํา ฟอกสบูทุกคร้ังท่ีมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะผูที่มีผิวมัน
ตอ งหมัน่ สระผม ถรู กั แรซ ่งึ เปนจดุ อบั ทม่ี กั สง กลน่ิ รนุ แรงเสมอดวยสารสม เปนวธิ ีพน้ื บานทีไ่ ดผ ลดี

เรอ่ื งที่ 3 การคมุ กาํ เนิด

การแสวงหาขอมลู เก่ียวกับวธิ กี ารคุมกาํ เนิด ถอื เปนการแสดงความรับผิดชอบท้ังตอตัวเองและ
คนที่เรามคี วามสมั พนั ธด วย มคี นจาํ นวนมากยังเช่ือวาเร่ืองเพศเปนเรื่องนาอาย ทําใหไมกลาหาความรู
ในเร่ืองนีอ้ ยางเปด เผย จงึ สงผลใหข าดความรู หรอื มีความเชื่อที่ผิด ๆ จนสงผลตอสุขภาพทางเพศ ท้ังท่ี
การมีขอมูลถูกตอง รอบดานและเพียงพอในเร่ืองเพศจะชวยใหทุกคนมีทางเลือกท่ีเหมาะสมท่ีสุดกับ

21

เงื่อนไขของตนเองเมือ่ ตองตัดสนิ ใจในเรือ่ งเพศ เชน การส่ือสารกับคู/คนรอบขาง การมีเพศสัมพันธที่
ปลอดภยั ฯลฯ

วิธกี ารคมุ กําเนดิ แบบตางๆ
ถงุ ยางอนามัย

 มหี ลายขนาด ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับอวัยวะเพศ ควรดวู ันผลติ หรือวันหมดอายกุ อ น
การใช

 ใชส วมเมือ่ อวัยวะเพศแข็งตัว โดยใหบ ีบปลายถุงยางอนามัยเพ่ือไลล มขณะสวม เร่มิ สวมจากตรง
ปลายอวยั วะเพศรูดเขาหาตวั แลวรดู ใหส ุดโคนอวยั วะเพศ

 เมอ่ื เสรจ็ กิจ ใหถอดถุงยางอนามยั ขณะท่ีอวยั วะเพศยงั แขง็ ตวั โดยจับที่ขอบถุงยางและคอยๆ รูด
ออก หากปลอ ยใหอ วัยวะเพศออ นตัวในชอ งคลอดอาจทาํ ใหถ งุ ยางอนามยั หลดุ ได

 ในขณะนี้ ถุงยางอนามัยเปนวิธีคุมกําเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพในการคุมกําเนิดและ
สามารถปองกันการติดเชื้อเอชไอวี รวมท้ังโรคตดิ ตอทางเพศสัมพันธอ ื่นๆ เชน เริม หูดหงอนไก
หนองใน ซิฟล สิ แผลริมออ น ไปพรอมกนั ได

ยาเมด็ คุมกาํ เนดิ ทั่วไป

• ยาคุมกาํ เนิดชนดิ เมด็ มี 2 แบบคอื แบบ 21 เมด็ และแบบ 28 เมด็ ซง่ึ มีประสิทธิภาพไมแตกตาง
กนั

• ยาคมุ ชนดิ 28 เม็ด เม็ดยาท่เี พ่ิมขึ้นมา 7 เม็ดเปนวิตามนิ ทชี่ ว ยใหกนิ ยาตอเนือ่ งโดยไมลืม
• วิธีการกินยาคุมแผงแรก ใหเริ่มกินเม็ดแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจําเดือน แลวกิน

ติดตอ กันทกุ วนั วันละ 1 เม็ดจนหมดแผง
• สาํ หรับยาคมุ 21 เมด็ เมอื่ กินหมดแผง ใหเ วนไป 7 วันแลวจึงเริ่มแผงใหม สวนยาคุม 28 เม็ด

ใหกนิ แผงใหมต ิดตอ ไปไดเ ลย
• ออกฤทธค์ิ มุ กําเนิดโดย 1) ยับยั้งไมใหม ีการเจรญิ เตบิ โตของไข และปองกนั ไขตก 2) ทาํ ให

เยอ่ื บุโพรงมดลกู บางลงไมเ หมาะแกก ารฝงตวั ของตวั ออ น 3) ทาํ ใหม ูกที่ปากมดลูกเหนยี วขน
ไมเ หมาะแกก ารใหอสจุ เิ คล่อื นผา นเขาไปในโพรงมดลูก 4) เปลี่ยนแปลงการเคล่ือนไหวของ
ทอนาํ ไข ทาํ ใหไขทีผ่ สมแลวเดนิ ทางไปถงึ มดลกู เร็วเกินไปจนไมสามารถฝงตวั ได
• ถาลมื กิน 1 วัน ใหก นิ 2 เมด็ ในวันถัดไป

22

• ถาลมื กิน 2 วัน ใหก นิ 2 เม็ดในวนั ทส่ี าม และอกี 2 เม็ดในวันท่ี 4
• ถา ลืมกนิ 3 วนั ขึ้นไป ควรหยุดกนิ ยาคุมแผงน้ันไปเลย และใชว ิธคี มุ กําเนิดชนิดอนื่ ไปกอ น เชน

ใชถุงยาง แลวจงึ เริม่ กินแผงใหมในการมีประจําเดือนรอบถัดไป
• หากเร่ิมกินเปนคร้ังแรก ตองกินไป 14 วัน แลวจึงจะมีผลตอการปองกันการต้ังครรภ หากมี

เพศสมั พนั ธในชวงเวลาดงั กลาว ควรใชถุงยางอนามัยควบคูไ ปดวย
• แมผูหญงิ จะเปน คนกินยาคมุ แตผ ูช ายควรมสี วนรวมในการชวยเตอื นใหก ินยาตอเนือ่ ง

ยาเม็ดคุมกาํ เนิดแบบฉกุ เฉนิ
• ตอ งกิน 2 เม็ด จึงมปี ระสิทธิภาพในการคมุ กําเนดิ
• เม็ดแรก กินทันทีหรือภายใน 72 ชั่วโมง (สามวัน) หลังการมีเพศสัมพันธ ประสิทธิภาพจะ
ขึ้นกับเวลาทกี่ ินภายหลังการมีเพศสัมพันธ หากกนิ ไดเร็วเทาไร ความสามารถในการปองกัน
การต้งั ครรภก จ็ ะสงู ขึน้ เทานัน้
เม็ดที่สอง กินหา งจากเมด็ แรก 12 ช่วั โมง
• หากกนิ ถูกวิธี มีประสทิ ธภิ าพปอ งกันการต้ังครรภ 75%
• การกนิ ยาคมุ ฉกุ เฉนิ มีประสทิ ธิภาพตาํ่ กวา วธิ ีคุมกําเนิดแบบปกตทิ ว่ั ๆ ไป ดังนนั้ ควรใชใ นกรณี
ฉกุ เฉินเทา นนั้ ไมค วรใชเ ปนวิธีการคุมกําเนดิ ประจํา

การนับระยะปลอดภัย หรอื นบั หนา 7 หลัง 7
เปนวิธีคุมกาํ เนดิ แบบธรรมชาติ วธิ ีนี้ใชไ ดผลเฉพาะผูหญงิ ทม่ี รี อบเดือนมาสม่ําเสมอเทาน้ัน ซึ่ง

ไมเ หมาะกบั วยั รุน ซง่ึ รางกายยังอยูในชวงฮอรโมนเพศปรับตัว อาจมรี อบเดือนไมส มํ่าเสมอ
การนับหนาเจ็ดหลังเจ็ด ใหใช “วันแรก” ของการมีประจําเดือน นับเปนวันท่ี 1 หนาเจ็ดคือ

นับยอนข้ึนไปใหครบเจ็ดวัน สวนหลังเจ็ด ใหนับตอจากวันแรกที่มีประจําเดือนไปใหครบ 7 วัน
ดังตัวอยา ง

23

12 3 4 5 6 7

89 10 11 12 13 14
21
ระยะหนา เจ็ด วันแรกของ ระยะหลังเจด็

การมปี ระจาํ เดอื น

15 16 17 18 19 20

22 23 24 25 26 27 28

29 30 31

การหลัง่ ขา งนอก

การหลัง่ ขา งนอก เปนวธิ ีการคมุ กาํ เนดิ แบบธรรมชาติ ไดผ ลไมแนน อน เพราะขณะที่สอดใส
ฝายชายจะมีน้ําคัดหลงั่ จํานวนหน่ึงออกมากอ น ซ่ึงจะมอี สุจปิ ะปนอยูดวย ตวั อสุจนิ นั้ สามารถวา ยไป
ผสมกบั ไข การตั้งครรภจงึ เกดิ ข้ึนไดก อ นผชู ายจะหลงั่ น้ําอสุจิภายนอกเสยี อกี

24

นอกจากน้นั การหลัง่ ภายนอกยังเปนวธิ กี ารทข่ี ึ้นอยกู ับฝา ยชาย โดยทฝ่ี า ยหญิงไมส ามารถ
ควบคุมไดเ ลย

o การกินยาคุมกาํ เนิดชนดิ เมด็ ยาคมุ กาํ เนดิ แบบฉกุ เฉนิ การนับวัน และการหลั่ง
ขา งนอก ลวนเปนวธิ ีคมุ กาํ เนิดทไ่ี มสามารถปองกนั การติดเชอื้ เอชไอวี และเชอ้ื
โรคติดตอ ทางเพศสมั พนั ธ

o ถุงยางอนามัย เปน วิธีเดียวที่ชวยปอ งกนั การตงั้ ครรภ ปองกนั การตดิ เชือ้ เอชไอวี
และเช้ือโรคตดิ ตอทางเพศสัมพันธ

เรอื่ งที่ 4 วธิ ีการสรา งสมั พนั ธภาพที่ดรี ะหวา งคนในครอบครวั

ครอบครวั หมายถงึ กลมุ คนต้ังแต 2 คนขึน้ ไปมาเกยี่ วพนั กนั และสืบสายเลือด ไดแก พอ แม ลูก
และอาจมญี าติ หรือไมใชญาติมาอาศยั อยูดว ยกัน ซ่งึ ถอื เปนสมาชกิ ครอบครัว เชนกัน มีความรัก มีความ
ผูกพนั ซ่ึงกันและกัน

ครอบครัวมหี นาทีห่ ลอ หลอม ขดั เกลาสมาชิกในครอบครัว ใหเปนคนดี รูระเบียบและกฎเกณฑ
ของสังคม อีกท้ังยังสรางความเปนตัวตนของทุกคน เชน ลักษณะนิสัย ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ
เปนตน

การสรา งสัมพนั ธภาพในครอบครวั

ความขัดแยงระหวางพอแมและลูกเปนเร่ืองที่เกิดข้ึนเสมอ เพราะความแตกตางของวัยและ
ประสบการณ ความหว งใยของพอ แมท ี่ปรากฏผานการวากลาว ตกั เตือน หา มปราม ใหค วามรสู ึกไมไ วใจ
และกงั วลเกินความจาํ เปนตอลูกโดยเฉพาะลกู ท่ีอยใู นวยั รนุ

เปลี่ยนพฤติกรรม เน่อื งจากพอ แมใ ชประสบการณข องตนมาคาดเดาถงึ ผลทอ่ี าจเกิดขึ้นเม่ือเห็น
การกระทาํ ของลกู การตาํ หนิจงึ มกั มาพรอมกับทา ทีขนุ เคอื ง โมโห บน ทําใหด เู หมอื นวาพอแมชอบใช
อารมณ ไมใชเหตผุ ล ไมค อ ยยอมรับส่งิ ทีเ่ ปน อยขู องลกู วยั รุน

ความตอ งการของตวั เองเปน ทตี่ ั้ง ไมพยายามเขา ใจอกี ฝา ยหนงึ่ วา ตองการอะไร ยอ มทาํ ใหเกิด
ความขัดแยงกัน การหาทางออกจึงตองเริ่มจากตัวเองกอนในการเปดใจมองหาความหมายที่อีกฝาย
พยายามส่ือสารผานการกระทําซึ่งเราอาจไมชอบใจ การเขาใจความหมายท่ีแทจริงจะชวยใหเกิดการ
สอื่ สารระหวา งกัน ไมติดกบั อารมณและทา ทขี องกันและกนั

25

การเรียนรูถึงความแตกตางของวัยและประสบการณของทั้งสองฝาย จะชวยสรางความเขาใจ
ลดขอขดั แยง และส่ือสารกันไดม ากขน้ึ

ปจ จยั ท่ชี วยสง เสริมใหมสี ัมพันธภาพทด่ี ีตอ กนั ไดแก
 การชมเชยหรอื ชืน่ ชมอยา งเหมาะสม
 การติเพ่อื กอ
 การแกไขความขดั แยงในเชงิ สรา งสรรค

การชมเชยหรอื ช่ืนชม
คนสวนใหญไ มวาจะอยใู นครอบครัวหรืออยูในสงั คมภายนอกครอบครัว มักจะไมค อยช่ืนชม

หรอื ชมเชยกนั พอแมส ว นใหญเ ช่ือวาถา ชมลูกบอยๆ เดก็ จะเหลิง อาจกลายเปน คนไมดีได ทาํ ใหพ อ แม
ไมชมเมื่อลกู กระทําสิง่ ท่ีดหี รือมีพฤตกิ รรมในลักษณะท่ีเปน สิ่งทพี่ อแมต องการ จึงทาํ ใหเด็กขาดกําลังใจ
ขาดนํ้าหลอเล้ยี งจติ ใจ

คนเราโดยทว่ั ไปตอ งการคําชมเชย โดยการชมเชยทจี่ ะสรางเสริมสมั พันธภาพใหด คี วรมีลกั ษณะ
ดังน้ี

 ชมพฤติกรรมท่ีเพิ่งเกดิ ขึ้นใหมๆ
 การชมควรเนนทีพ่ ฤตกิ รรมที่ทําไดด ี และชมทลี ะ 1 พฤติกรรม
 บอกความรูสกึ ของเราตอพฤตกิ รรมนนั้ อยา งจริงใจ
 ชมเฉพาะสงิ่ ทค่ี วรชม
 ไมช มมากเกนิ กวา ความเปน จรงิ
ตัวอยา ง เชน
ลกู บอกกบั แมว า “วนั นี้ แมทาํ กับขา วอรอยมาก ทาํ ใหก นิ ไดม าก ลูกรูสกึ มีความสขุ ภูมิใจที่มีแม
ทํากบั ขา วอรอย”
แมบอกกับลูกวา “วันน้ี แมรูสึกภูมิใจท่ีลูกชวยลางชามในตอนเย็นไดสะอาดเรียบรอยดีมาก
โดยทีแ่ มไมตองเรียกใหทํา”
การตเิ พื่อกอ
คนสวนใหญ ไมชอบฟงคําติ การติติงท่ีไมเหมาะสม มักจะทําใหเกิดผลเสียหายตามมา เชน
เกดิ การทะเลาะกันได แตก ารติในเชิงสรา งสรรคก ็มปี ระโยชน และสามารถเสริมสรา งสัมพันธภาพท่ีดีได
โดยมีลักษณะดังน้ี
 ตอ งแนใจวา เขาสนใจทจ่ี ะรบั ฟง คําติ และพรอมที่จะรบั ฟง

26

 เรือ่ งทจี่ ะติ ตองเปนเรอื่ งที่เพิ่งเกดิ ขึ้น ไมใ ชเ กิดขึน้ เมือ่ นานมาแลว
 ส่ิงทจ่ี ะติ ตอ งเปนสงิ่ ท่ีเปล่ยี นแปลงได
 พดู ถงึ พฤตกิ รรมท่ีตใิ หช ดั เจน เปน รปู ธรรม
 บอกทางแกไขไวดว ย เชน ควรทําอยา งไรใหด ีขนึ้
 รกั ษาหนาของผูร บั คาํ ตเิ สมอ เชน ไมสมควรตติ อ หนาคนอนื่
 เลอื กเวลาและจังหวะทีเ่ หมาะสม เชน ผรู ับคําติมีอารมณส งบหรอื แจมใส ไมตใิ นชวงทมี่ ี
อารมณโกรธ
ตวั อยางเชน หากพอหรือแมตองการติลกู วยั รนุ ในเร่ืองการคยุ โทรศัพทนาน ควรเลอื กเวลาทลี่ กู มี
อารมณส งบ พรอมที่จะรบั ฟง และพดู ตใิ นเชิงสรางสรรคว า
“วันนีล้ กู คุยโทรศัพทก ับเพื่อนมานาน 2 ชว่ั โมงแลว แมคดิ วาลกู ควรหยดุ คุยโทรศัพทไดแ ลว
และหนั มาทําการบาน อานหนังสอื แลวเขา นอน จะดกี วา ไหม”

การแกไ ขความขดั แยง ในเชงิ สรางสรรค

หนทางในการแกไ ขปญ หา เมอ่ื เกิดความขดั แยง ในครอบครวั คือ การสอื่ สารทด่ี ี ซง่ึ ตองอาศยั
ทักษะและความสามารถ ดังตอ ไปนี้

 แสดงความปรารถนาอยา งแนว แนท่จี ะรว มกนั รกั ษาความสัมพนั ธทด่ี ตี อกนั ไว
 มุงมั่นเชงิ สรางสรรค เปนไปในทางการปรกึ ษากัน
 ใหค วามสําคัญ และตงั้ ใจฟงความคิดเห็นของอกี ฝา ยหนง่ึ
 แสดงความคดิ เห็นของเราใหช ดั เจนและสอ่ื สารใหอีกฝา ยหนง่ึ ไดร ับทราบ
 ไมถ อื วา การยอมรับความคดิ เหน็ ของผอู ื่นเปน เรือ่ งแพหรอื เปนเรอ่ื งที่เสยี หาย
 ยอมรบั ฟงความคิดเห็นของกนั และกนั
 หลกี เลีย่ งการใชอารมณ ขู คกุ คาม ด้ือรนั้
 ชวยกันเลอื กหาทางออกทีย่ อมรบั ไดท ัง้ 2 ฝา ย
ตัวอยา งการแกไขความขัดแยง ระหวางคูส มรส
 คสู มรสทง้ั 2 คนจะตอ งเปด ใจรบั ฟงกันกอนโดยการพูดทีละคน และรับฟงกันโดยพูดใหจบ

ประโยคหรือจบประเดน็ ทลี ะคน และรบั ฟงใหเขาใจวา อีกคนตงั้ ใจจะสือ่ อะไรใหทราบ

27

 ถาฝายหน่งึ พูดแทรกในขณะทอี่ ีกคนพูดไมจบประเด็น ก็จะทาํ ใหสอื่ สารกันไมได
 ถา คนหน่งึ หรือทงั้ 2 คน โกรธ โมโห ขม ขู กจ็ ะย่ิงทาํ ใหไมส ามารถแกไขความขดั แยงได ตอง

หลกี เล่ยี งการใชอ ารมณ พยายามพูดคุยกันดวยอารมณที่สงบ และต้ังใจฟงความคิดเห็นของ
อีกฝายหนง่ึ
 ทา ยทสี่ ุด ชวยกนั เลือกหรอื ตดั สนิ ใจมองหาทางออกท่ีทัง้ คยู อมรบั ได

เรื่องที่ 5 การสอื่ สารเรื่องเพศในครอบครัว

พอแมท่ีมีลูกกําลังเปนวัยรุน ลวนพบปญหาเดียวกันคือ “พูดกับลูกไมคอยจะรูเร่ือง คุยกันได
แปบๆ กข็ ดั คอกัน ทะเลาะกนั แลว” ชว งเวลาแหงการเชื่อฟง ไมวาพอแมพูดอะไร ลูกก็ เออ ออ หอหมก
ไปดวยไดหมดไปแลวเม่ือลูกยางเขาสูวัยที่กําลังจะเร่ิมเปนหนุมเปนสาว และย่ิงยากมากขึ้นเมื่อหัวขอ
ของการพดู คุยเก่ียวกบั ความประพฤตทิ ีพ่ อแมเ ปนหวง เพราะลูกกําลังจะเปน หนมุ เปน สาวน่ีเอง

เพราะไมเคยมีใครสอนเราซึ่งเปนพอแมมากอนวาตองคุยกับลูกยังไง ดังนั้น เม่ือเกิดความ
ไมส บายใจ กังวลใจกับพฤตกิ รรมของลูก เราจึงมักเลือกวิธีเดียวกับที่พอแมปฏิบัติกับเราเมื่อเราเปนเด็ก
คือ เงียบ บน หรือดา วา ซึง่ วธิ ีการเหลา นั้นเปนการสรางกาํ แพงระหวางเรากับลกู ใหยิ่งสูงขึ้น และยากตอ
การปนปา ยขาม โดยเฉพาะเมอื่ เปน เร่อื งเพศ ซ่ึงเปนเรื่องท่ีหลายครอบครัวไมเคยเอยปากสนทนาเมื่ออยู
ดว ยกันพรอ มหนา
ลองเร่ิมตน จากการตอบคําถามตวั เองกอ น

การกอบกชู ว งเวลาดี ๆ ท่ีเคยมีเมื่อตอนลูกยังเปนเด็กเล็ก ๆ ใหกลับมาแมลูกจะเขาสูวัยรุนแลว
เปนเร่ืองที่ทําได แตตองอาศัยการฝกฝน ทําบอย ๆ และแมจะยากเพียงใด ก็เปนเรื่องที่พอแมควรตอง
เรียนรู ตองฝกการพูดคุยกับลูกดวยทาทีท่ีแสดงใหลูกเห็นถึงความรัก ความหวงใย และสรางความ
ไวว างใจ เพราะผลดีจะตกอยูท ีล่ กู ของเรา เมือ่ ความสัมพันธใ นครอบครัวดีข้ึน

กอ นจะเรม่ิ ตน คุยกับลูก ลองทบทวน ถามตวั เองในใจวา
 มเี ร่อื งอะไรบา งทเ่ี ราพูดไดอยางสบายใจ
 มีเร่ืองอะไรทเ่ี หน็ ๆ อยูตาํ ตา แตไมเ คยพูดเลย
 มเี ร่ืองอะไรท่ีเปนความลับสุดยอดของครอบครัว ซึ่งตองปดไว ไมสามารถเปดเผยไดจริงๆ

เพราะจะสงผลกระทบถึงสมาชกิ ในครอบครัว
 มคี วามลับอะไรในครอบครัวท่เี ก่ียวของกับเรอ่ื งศาสนา

28

 มีศีลธรรม จรยิ ธรรมขอไหนบางทเ่ี ราไดแ ตพ ูด แตทําตามไมได
การตอบคาํ ถามเหลาน้ี คือการเร่มิ ตน ทจ่ี ะทาํ การสํารวจและทําความเขาใจกับกฎกติกาความคิด

ความเชื่อของครอบครัวเราที่มตี อเรอื่ งตา ง ๆ ทําใหเรารวู าทาํ ไมเราถึงคิดและประพฤตเิ ชน น้นั และจะชว ย

เตอื นเราวามีหลายเรอื่ งอาจไมสอดคลอ งกับครอบครัวของเราหรือกบั ของคนอืน่ เราจงึ ควรเปดใจกวา งขนึ้

ซึ่งการเปดใจยอมรับประสบการณใ หม ๆ คือจุดเรม่ิ ตนของการส่อื สารทไี่ ดผ ล

เมอ่ื ส่อื สารเรอ่ื งเพศกบั ลกู

สิง่ ที่ตอ งระวัง ลองพยายามทาํ สงิ่ น้ี

ไมค วรหลกี เลีย่ ง บา ยเบ่ยี ง - ต้ังใจฟงคําถามลูก และฉวยโอกาสพูดคุยโดยยกตัวอยางจาก
หรือ เปลยี่ นเรือ่ งคยุ สถานการณตาง ๆ ในขณะน้ัน เชน ระหวางดูโฆษณา ละครทีวี
เดินเลน ในหา ง นงั่ รถ ฯลฯ

- ใหคําตอบส้ัน ๆ ถายังไมสะดวกใจจะคุย เชน อยูในที่สาธารณะ
หรืออยใู นชว งเวลาที่ยงั ไมเ หมาะสมวา “เด๋ียวเราคอยคุยเรื่องน้ีกัน
ทีบ่ า น” หรือ “รอใหแม/ พอวา งกอนนะ เดย๋ี วจะคยุ ใหฟง ”

ไมควรไลใ หไ ปถามพอ - บอกลูกไปตรง ๆ วา “ไมรู แตจะลองไปหาคําตอบให” หรือชวน
หรอื ถามแมแ ทน ลูกใหช ว ยกันหาคาํ ตอบวา เพราะอะไร

- หากคณุ ลาํ บากใจ อายท่จี ะพดู กค็ วรใหล กู รบั รูว า “แมกระดากปาก
ยังไมก ลาพูด ขอเวลาหนอย แลว จะตอบ”

ไมค วรหัวเราะ ลอเลยี น หรือ การหัวเราะหรือลอเลียนคําถามของเด็กในเรื่องเพศ จะทําใหลูกเกิด
แสดงใหลูกเห็นวา คําถามของ ความสับสน และกังวลใจ สง ผลใหใ นอนาคตเม่ือลกู เกิดปญหาในเรื่อง
ลูกเปน เรือ่ งตลก เพศ ลกู จะไมส ามารถตดั สินใจไดวา ควรทําอยา งไร

สิ่งที่ควรทํา คือ การสนับสนุน หรือแสดงออกทั้งนํ้าเสียง กริยา วาจา
ในทางท่ีทําใหลกู รวู าเมอ่ื ไหรท ่ีมคี าํ ถามในเร่ืองเพศ ใหมาปรึกษาหรือ
ถามกบั พอ แมไ ดเสมอ

29

สงิ่ ทีต่ องระวัง ลองพยายามทาํ สิง่ นี้
ไมควรใชน ํ้าเสียงตําหนิ หา ม เปดใจรับฟง แสดงใหลกู เห็นวา พอ แมมีความสนใจเรอ่ื งตา งๆ ท่ี
ปรามเม่อื ไดยนิ คาํ ถามที่แสดง เกยี่ วของกับเรือ่ งเพศ และเหน็ วา เปน เร่ืองธรรมชาติ ไมใ ชเรอ่ื งผิดปกติ
ความอยากรอู ยากเหน็ ในเรอื่ ง
เพศของลูก ใชคําเรียกอวัยวะตางๆ ที่เกย่ี วขอ งกบั เร่อื งเพศทีถ่ ูกตอ งตามความเปน
ไมควรใชคาํ เรียกอวยั วะตา งๆ จริง
ดว ยน้ําเสียงดูถูก ติเตียน

ไมค วรใหลูกฟง ขอมูลตางๆ การพดู คุยเรื่องเพศกับลูก ตองเลือกใชคําศัพทท่ีสอดคลองกับวยั ของลกู
มากมายในคราวเดยี ว ไมใชศัพทท่ยี ากเกินกวา ลกู จะเขา ใจ เชน การตอบคาํ ถามวา เด็กเกดิ มา
จากไหน กบั เดก็ วยั 5 ป ตอ งใชการอธบิ ายทต่ี างจากการตอบคําถามแก
เด็กวยั 8 ป และ 11 ป

เร่อื งท่ี 6 ปญหาทเ่ี กี่ยวขอ งกับพัฒนาการทางเพศของวยั รุน

เม่ือรางกายเจริญเติบโตเขาสูวัยรุน หญิงและชายมีการเปลี่ยนแปลงหลายดานทั้งทางรางกาย
จติ ใจ สงั คม และพฒั นาการทางเพศ ซ่ึงเปนพฒั นาการตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ
คือในผูชายมีการฝนเปยก และในผูหญิงมีประจําเดือน ซ่ึงหมายถึงภาวะท่ีนําไปสูการตั้งครรภได
พัฒนาการทางรางกายน้ีมีความจําเปนที่แตละบุคคลตองดูแลสุขอนามัยสวนบุคคล และเขาใจกลไก
การสบื พนั ธุข องรา งกายเพือ่ ท่จี ะดํารงอยูไดอ ยา งมสี ุขภาวะทดี่ ี

ประจาํ เดือน การตัง้ ครรภ และการแทง

ผหู ญิงมีประจาํ เดอื นไดอยา งไร

การมีประจําเดือน หรือระดู (Menstruation) เปนกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดข้ึนในสตรี
โดยรังไขจะผลิตไขขึ้นมาทุกเดือน เมื่อไขสุกรางกายเตรียมพรอม เพื่อรองรับไขท่ีอาจถูกผสมโดยเช้ือ
อสุจิของฝายชาย โดยผนังมดลูกจะเกิดการเปล่ียนแปลง ถาไมมีการผสมระหวางไขและเช้ืออสุจิของ

30

ฝายชาย ผนงั มดลกู จะลอกหลดุ ออกมาเปนเลือด ท่ีเรียกวา “ประจําเดือน” กระบวนการท้ังหมดกินเวลา
ประมาณ 28 วัน หรือคลาดเคล่ือนมากหรือนอยกวา 7 วัน และมักจะมีครั้งละ 3 – 7 วัน จํานวนเลือด
ทีอ่ อกมาในแตละเดอื นประมาณ 30 – 80 มิลลลิ ิตร

เมื่อรางกายของผูหญิงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กหญิงเขาสูวัยสาว นอกเหนือจากการ
เปล่ียนแปลงทางสรรี ะภายนอกแลว การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญอีกอยางหนึ่งคือ การมีประจําเดือนน่ันเอง
เด็กผูหญิงจะเริ่มมีประจําเดือนครั้งแรกในอายุราว 11 – 15 ป การมีประจําเดือนคร้ังแรกจะชาหรือเร็ว
ขึ้นกับพัฒนาการของสมอง กรรมพันธุ และสุขภาพกายและใจของคน ๆ น้ัน ในชวงปแรก ๆ ที่มี
ประจาํ เดอื นใหม ๆ และในวยั ใกลห มดประจําเดือน รอบเดือนมักจะไมสม่ําเสมอและบางเดือนอาจไมมี
การตกไข และโดยเฉลยี่ แลววยั หมดประจําเดอื นจะเกิดขนึ้ เมอ่ื มีอายุประมาณ 45 – 50 ป ซึ่งเปนเวลาที่รัง
ไขหยดุ สรางไขอ อกมา

วงจรการเกิดประจําเดือน

 การตกไข
ชว งประมาณก่ึงกลางของรอบเดือน ตอมใตสมองจะหล่ังฮอรโมนออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งมีผล

ทาํ ใหร งั ไขปลดปลอ ยไขอ อกมาเพือ่ รอการผสม
 หลงั จากตกไข

หลังจากไขตก ก็จะเคลื่อนไปตามทอนําไขไปสูมดลูก ขณะเดียวกัน รังไขก็เร่ิมผลิตฮอรโมน
เพ่ือทาํ ใหผ นังมดลูกเร่มิ สรา งตวั ใหหนาขน้ึ ขณะเดยี วกันก็มีเลอื ดมาหลอเลยี้ งมดลูกมากข้ึน และพรอมที่
จะรองรบั ไขท อ่ี าจถูกผสม
 ระหวางมีประจําเดอื น

เม่อื ไขเดินทางมาถึงมดลูก และไมไดรับการผสม ซึ่งอาจเปนเพราะไมไดมีเพศสัมพันธ หรือมี
เพศสัมพันธโดยมีการปองกันการตั้งครรภ ระดับฮอรโมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนจะลดลง
อยางรวดเร็ว ทําใหผนังมดลูกหลุดลอกออกกลายเปนประจําเดือน โดยปกติผูหญิงจะมีประจําเดือน
อยใู นชวง 3 - 5 วัน
 หลังจากหมดประจําเดือน

หลงั จากหมดประจาํ เดอื น ฮอรโมนจากตอ มใตส มองในกระแสเลอื ด ก็เริ่มกระตุน ใหไ ขในรังไข
เจริญขึ้น ขณะเดียวกัน ฮอรโ มนจากรงั ไขก ็เร่มิ กระตุนการสรา งตัวของผนังมดลูก

31

ลักษณะของประจาํ เดือนทป่ี กติ

ลักษณะของประจําเดือนปกติคือเลือดที่ออกจากชองคลอดอยางสมํ่าเสมอ ทุก 28 วัน  7 วัน
ประจาํ เดอื นท่ีออกมา ประกอบดว ยนาํ้ เมอื กจากปากมดลูก นํ้าชองคลอด น้ําเมือกและช้ินสวนของเย่ือบุ
มดลูก และเลือด ซ่งึ สว นประกอบเหลานเี้ ห็นไมชดั เจนเพราะสขี องเลือด ประจําเดือนท่ีปกติมีสีคลํ้า ไมมี
เลือดกอน ไมมีกลิ่น จนกระทั่งมีแบคทีเรียและมีการสัมผัสอากาศภายนอกชองคลอด จึงทําใหมีกล่ิน
เกิดขน้ึ ปกตจิ ะมาประมาณ 3 - 7 วนั หากผิดไปจากนอี้ าจถอื วาผดิ ปกติ

ปญหาและอาการที่มักเกิดขึ้นในชว งมีประจําเดือน

กอนหนาท่ีจะมีประจาํ เดอื น
ในชว งระหวา งที่มกี ารตกของไข สว นมากผหู ญงิ จะมอี าการทีบ่ งบอกลว งหนา กอน บางคนอาจมี

อาการปวดถวงบรเิ วณทอ งนอย หรือปวดหลงั อาจปวดมากหรือนอยแตกตางกันไป อาจมีอาการรวมของ
ทองเสีย และรสู กึ คล่นื ไส มบี างรายอาจปวดศีรษะเพิ่มเขา มาอกี อยางหนง่ึ ในชว งแรก กอนประจําเดือนมา
มกั มอี าการตกขาว และมอี าการเจ็บคดั เตานมรวมดวยก็ได ในระหวางน้ี ผูหญิงหลายรายจะมีความรูสึก
ไมสบายใจ ซึมเศรา หรือหงุดหงิด รําคาญใจไดงาย ซึ่งถือเปนเร่ืองปกติธรรมดา และอาการอยางน้ี
จะหายไปไดเองเมื่อประจําเดือนออกมาแลว ตามสถิติพบวา อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นใสชวงอายุ
18 – 24 ปแลว ก็จะทุเลาลง อาการปวดประจาํ เดือนจะหายไปไดภายหลังหญิงนั้นต้ังครรภและคลอดบุตร
ซงึ่ เชอ่ื วา เปน เพราะปากมดลูกทถ่ี างขยาย มผี ลใหเกดิ การทาํ ลายปลายประสาทท่ีอยูบรเิ วณดงั กลา ว

วิธกี ารบําบดั อาการอาการปวดทองปวดเกรง็ สามารถทําไดด วยวิธีงาย ๆ คือ การประคบบริเวณ
หนาทอ งดวยการใชก ระเปา น้ํารอน และนอนพักเพื่อทุเลาอาการ หรืออาจรับประทานยาระงับปวดชนิด
ธรรมดา หรือใหยาชวยคลายการหดเกร็งของกลามเน้ือมดลูก นอกจากนี้ควรออกกําลังอยางสมํ่าเสมอ
จะชวยปองกันมใิ หป ญ หาการปวดทองประจําเดือนรุนแรงไดดว ย

อาการปวดประจําเดือนอีกประเภทหน่ึงที่อาจไมปกติท่ีผูหญิงควรระวัง สวนใหญอาการ
จะเกิดข้ึนภายหลังจากหญิงนั้นมีประจําเดือนเปนเวลานานหลายป เชน อาการของโรคภายใน
ชองเชิงกราน ซึ่งเกิดจากภาวะการติดเชื้อในอุงเชิงกรานชนิดเรื้อรัง ทําใหมีผังผืดยึดอวัยวะใน
ชองเชงิ กรานไวด วยกัน หรือภาวะเยื่อบุผนังโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในอุงเชิงกราน หรือเพราะมีเนื้องอก
ของกลามเน้ือผนังมดลูก นอกจากนี้การใสหวงคุมกําเนิดก็เปนสาเหตุที่พบบอย ในภาวะเหลานี้จะมี
อาการปวดประจําเดือนแตกตางกันไป เชน ยังคงปวดทองแมประจําเดือนหยุดไปแลวหลายวัน หรือมี

32

อาการปวดทวีขึ้นอยา งมากในแตละวงจรรอบประจําเดือนตามกาลเวลาที่ผานไป หรือบางคร้ังอาจรูสึก
หรือคลํากอนที่ทอ งนอยไดเ อง หากมีอาการเหลา นี้ควรรบี ปรกึ ษาแพทยเ พือ่ การวนิ ิจฉยั ท่ีถกู ตอ ง
ประจําเดือนไมมา

ตามปกติ ประจําเดือนจะมาคร้ังแรกเม่ืออายุระหวาง 11–15 ป ชาหรือเร็วแตกตางกันไปบาง
หากประจาํ เดือนไมม าเม่ือถงึ เวลา หรือวยั ที่ควรจะตองมี ถือวามคี วามผิดปกติ
สาเหตทุ ่ปี ระจําเดือนไมม า เกดิ ขึน้ ไดดังนคี้ ือ

1. ไมม ีมดลกู
2. ไมม รี ังไข
3. ไมม ีชองคลอดโดยกําเนดิ
4. มรี ังไขแตเ กดิ ความผิดปกตขิ องรังไข
5. เยอื่ พรหมจารีไมเ ปด
6. เกดิ ความผิดปกตขิ องชอ งคลอด
7. เกิดความผดิ ปกตขิ องมดลกู

บางรายอาจมปี ระจําเดือนขาดหายไป กค็ วรตองพิจารณาสาเหตุความผิดปกติท่ีเกิดข้ึน หากเกิด
ขาดหายไปโดยไมทราบสาเหตุ ควรรีบปรึกษาแพทยทันที สาเหตุของประจําเดือนขาดหายไปอาจเกิด
จากสาเหตุเชน

1. เกดิ การตัง้ ครรภ
2. ใชย าคุมกาํ เนดิ เชน ยาฉีดคุมกาํ เนิด
3. หลงั การคลอดบุตรหรอื กาํ ลงั ใหน ้าํ นมบตุ รอยู
4. เกิดอาการเครียดทางจิตใจมาก
5. ไดรบั การผา ตัดเอามดลูกออก หรือรงั ไขออกทัง้ สองขางแลว
ทัศนคตแิ ละความเช่ือเกยี่ วกบั ประจาํ เดอื น
ประสบการณของผูหญิงเกี่ยวกับประจําเดือน มิใชเพียงเปนแคสวนหนึ่งของชีวิต ท่ีเปนเร่ือง
ของธรรมชาติ หากแตย งั สะทอ นใหเ ห็นถงึ อทิ ธิพลความเชอ่ื ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคมที่มากําหนด
วิธกี ารปฏิบัตติ อ ภาวะการมีประจาํ เดอื นของผหู ญงิ อันสะทอ นใหเ ห็นถึงความคิดและทัศนคติของสังคม

33

ที่ มีตอ ผหู ญงิ และโดยมากมกั เปนทัศนะในดา นลบมากกวาดา นบวก ดงั เชน การหามผหู ญงิ เขาสูพธิ กี รรม
ทางศาสนา หรอื หามหญงิ สงั สรรคก ับผอู น่ื หากหญงิ น้นั อยใู นชว งมปี ระจาํ เดือน เปน ตน

นอกจากน้ี อทิ ธพิ ลความเช่ือบางอยางมผี ลตอ การปฏิบัติตัวในระหวางมีประจําเดือนของผูหญิง
เชน ความเช่ือในการงดเวนการออกกําลังกาย การอาบน้ําหรือสระผม หรือไมมีเพศสัมพันธระหวางน้ี
ขอเท็จจริงในเรื่องเหลานี้ไมปรากฏชัด บางเร่ืองก็พอสามารถหาเหตุผลได และบางเรื่องก็ไมมีเหตุผล
ท่ีชัดเจน ดังเชน การหามการมีเพศสัมพันธขณะมีประจําเดือน ซ่ึงในทางการแพทยไมมีขอหามใดๆ
แตไมเปน ทน่ี ิยม กเ็ พราะเลอื ดประจําเดอื นจะออกมาเลอะเทอะ และท่ีสําคัญก็คือโอกาสจะมีการอักเสบ
ติดเชื้อไดงายข้ึน เพราะปากมดลูกเปดออกเล็กนอย และในมดลูกจะมีแผลเน่ืองจากมีการลอกหลุดของ
เยือ่ บุมดลูก

การตัง้ ครรภ

การต้ังครรภเกิดจากการปฏิสนธิ หรือการผสมของไข กับตัวอสุจิของฝายชาย ในชวงกึ่งกลาง
ของรอบประจําเดอื น ซ่ึงเปนระยะท่ีฝา ยหญิงมีไขสกุ

เมื่อไขและอสุจิผสมกันแลว ไขท่ีไดรับการผสม จะเดินทางมาฝงตัวบนเยื่อมดลูกซ่ึงหนาข้ึน
แลวแบงตัวออกเร่ือยๆ กลายเปนเด็กตัวเล็กๆ จนอายุครบ 9 เดือนจึงคลอดออกมา ขณะท่ีต้ังครรภแม
และลกู มกี ารเช่อื มโยงกันของเลอื ดผานทางรก

เม่ือเริ่มต้ังครรภผูห ญิงจะมอี าการตางๆ ท่ีสังเกตไดด ังนี้
 ประจาํ เดอื นขาด

ประจําเดือนทีเ่ คยมมี าสม่าํ เสมอทกุ เดอื น จะหายไปไมม าอกี เลยตลอดระยะเวลาตั้งครรภ
ประมาณ 38 - 40 สปั ดาห
 อาการคลน่ื ไส อาเจียน วิงเวียนศรี ษะ

มักจะมอี าการในสามเดอื นแรก อาการเหลาน้ีมกั เปนในตอนเชา ซึง่ เราเรียกวา แพทอ ง
นัน่ เอง
 เตา นมคัด

หัวนมและอวยั วะเพศจะมสี คี ลาํ้ ลง มกั พบในครรภแรก บางครั้งอาจมีนา้ํ นมเหลือง
ออกมาเม่อื บบี หวั นม
 เด็กด้นิ

34

ในครรภแ รก จะรสู ีกวา เดก็ เรมิ่ ดนิ้ เมือ่ อายคุ รรภป ระมาณ 20 สัปดาห สว นในครรภหลัง
จะเร่ิมด้นิ เมือ่ อายุครรภป ระมาณ 16 สปั ดาห ถาเด็กท่เี คยดนิ้ อยแู ลวดน้ิ นอยลง ตอ งรีบไปพบ
แพทย
 ปสสาวะบอ ย

เนอ่ื งจากมดลูกโตขนึ้ และไปกดทบั กระเพาะปสสาวะ แตถ าปสสาวะบอยขึน้ มอี าการ
แสบขดั หรือปสสาวะขนุ ตอ งรีบไปพบแพทย
 มอี ารมณห งดุ หงิด
การตรวจการตงั้ ครรภ
หากผูห ญิงเราไมแ นใจวา ตัง้ ครรภหรือไม สามารถตรวจสอบไดทีค่ ลินกิ สถานพยาบาลทง้ั ของรฐั
และเอกชน หรอื สามารถซื้อชุดตรวจการตั้งครรภไดตามรานขายยาทั่วไป ซึ่งเปนการตรวจหาฮอรโมน
ในปส สาวะ เปนวิธีท่ีงาย สะดวก และประหยัด ซึ่งผลการตรวจจะคอนขางแมนยําสําหรับผูหญิงที่อายุ
ครรภป ระมาณ 27 วันหลงั ปฏสิ นธิ
ขอ ควรปฏบิ ัตกิ อ นการทดสอบการตงั้ ครรภเ อง เพอ่ื เพิม่ ประสทิ ธภิ าพการตั้งครรภ คือ
1. งดน้ําหรอื เครอื่ งดืม่ ใด ๆ ต้ังแตสองทมุ และถา ยปสสาวะใหหมดกอ นเขา นอนของคนื กอนทจ่ี ะ
เก็บปส สาวะ
2. เก็บปส สาวะ ครงั้ แรกท่ีถายปสสาวะเมอ่ื ต่นื นอนในตอนเชา ลงในภาชนะทส่ี ะอาด
3. ไมควรรับประทานยาใด ๆ ท้ังสิน้ ใน 48 ชว่ั โมงกอนเกบ็ ปส สาวะ
4. ในกรณที ี่ยงั ไมท ดสอบทนั ที ควรเกบ็ ปสสาวะใสชอ งเก็บอาหารปกติของตูเยน็ เพราะฮอรโ มน
ทขี่ บั ออกมาในปสสาวะของผหู ญิงตัง้ ครรภ จะเสอ่ื มสลายในอุณหภมู ิหอง
อะไรคือทอ งนอกมดลกู
ทอ งนอกมดลกู คอื การฝง ตวั นอกโพรงมดลูกของไขท ี่ถกู ผสมซ่งึ จะเจรญิ ตอ ไปเปนรกและทารก
แตตําแหนงที่ไขฝงตัวกลับอยูผิดท่ี ตําแหนงที่เกิดขึ้นบอยคือในทอนําไข แตอาจมีบางรายเกิดขึ้นที่คอ
มดลกู ชอ งทอ ง รงั ไขและตาํ แหนงอน่ื ๆ ไดด วย สาเหตุสําคัญของการเกดิ ทอ งนอกมดลกู คอื กลไกการ
นาํ ไขเสยี ไป โดยรทู อนาํ ไขผดิ ปกติ ทาํ ใหไขท ่ผี สมแลว ไมส ามารถเคล่ือนผานไปไดสะดวก มักมีสาเหตุ
มาจากการอักเสบติดเช้ือ เช้ือท่ีสําคัญคือหนองใน ซึ่งกอใหเกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังทอนําไข

35

โดยตรง นอกจากนี้การอักเสบหรือพยาธิสภาพเรื้อรังของชองเชิงกราน ก็ทําใหเกิดพังผืดท่ียึดทอนําไข
มใิ หเคลอ่ื นไหวไดส ะดวก ทําใหก ารเคลื่อนยา ยไขท ่ีผสมใหเดินทางสมู ดลูกไมไ ดตามกาํ หนด

อาการที่เกิดข้ึน คือประจําเดือนจะขาดไปชวงหน่ึง แตมักไมมีอาการแพทองเดนชัด เม่ือ
ภาวะวกิ ฤตดังกลาวเกดิ ข้นึ กจ็ ะทาํ ใหม อี าการปวดทองเฉยี บพลันทีท่ องนอยขางใดขา งหน่ึงอยูตลอดเวลา
แลวรูสึกหนามืด ใจส่ัน หรือเปนลม อาจมีเลือดออกทางชองคลอดกะปริบกะปรอยรวมดวยหรือไมมี
กไ็ ด ในบางราย เลือดที่ตกในชองทองมีจํานวนมาก ก็จะไประคายกะบังลมที่ก้ันระหวางชองปอดและ
ชองทอง ทําใหมีอาการเจ็บปวดที่หัวไหลขางขวาได ผูปวยจะซีดมาก กระสับกระสาย เหงื่อออก
สติสัมปชัญญะเลือนราง มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นช็อกได หากนําสงโรงพยาบาลไมทัน
อาจอันตรายถงึ ชวี ิตได เพราะรา งกายขาดเลือด

ในสตรที ีท่ ําหมนั แลว กอ็ าจเกดิ อบุ ัติเหตุของการตั้งครรภนอกมดลูกไดแมวาโอกาสเสี่ยงมีนอย
มาก สาเหตเุ กิดจากทอ นําไขท ่ถี ูกผูกตัดออกไปแลวบางสวนจากการผาตัดกลับเช่ือมกันไดใหม หรือมีรู
เปดถงึ กนั ไดใหม เปนเหตใุ หต ง้ั ครรภได ตามสถิตพิ บวา เกิดขน้ึ นอยกวา 1 ใน 1,000 ราย และในจํานวนน้ี
เปนการทองนอกมดลูกสวนหนงึ่ หากเปรยี บเทียบอัตราสวนกับการต้ังครรภปกติแลว พบวาเปอรเซ็นต
การตงั้ ครรภนอกมดลกู เกดิ ขึ้นสงู ในหญิงที่ทอ งภายหลังการทาํ หมนั แลว

การระมัดระวังมิใหเกิดการอักเสบในชองเชิงกราน และมิใหเกิดโรคติดตอทางเพศสัมพันธ
จึงเปน การปอ งกันมิใหเ กิดการทองนอกมดลูกได หากรสู กึ มผี ิดขาวผดิ ปกติ หรอื ปส สาวะแสบขัด อยานิ่ง
นอนใจ ควรไปใหแพทยตรวจเพื่อการรักษาในระยะแรกเร่ิม เพราะอาการโรคติดตอทางเพศสัมพันธ
ทส่ี าํ คญั โดยเฉพาะหนองในในผหู ญงิ น้นั จะไมม อี าการเดนชัดเทา อาการในเพศชาย

อาการปกตริ ะหวา งต้งั ครรภ การดูแล การปอ งกันและขอปฏิบตั ิในการบรรเทาอาการ

อาการ การดแู ล /ลดอาการ/ปอ งกัน

คลืน่ ไส  กินอาหารคร้ังละนอย แตบ อ ยครงั้ หลกี เลย่ี งอาหาร
บวม มันๆ

 พักผอ นใหเ พยี งพอ ทาํ จติ ใจใหส ดชนื่

 ยกขาใหส งู ระหวางวนั
 เวลานอนใหต ะแคงซาย

36

 เลือกรองเทาไมร ัดรปู และไมส ูง

ตะครวิ ที่เทา  เวลาเปน ใหนอนหงายเหยยี ดเทา ตรง และเหยยี ด

ปลายหวั แมเทา ขึน้
 หม่ันนวดทน่ี อ ง และระวงั อยาใหเ ทา เย็นจดั

ออนเพลีย เหน่อื ยงา ย หนามืด เปน  อยา เปลยี่ นอริ ิยาบถโดยกะทันหนั
 พกั ผอนใหเพยี งพอ
ลม เวียนศีรษะ เบอ่ื อาหาร

ปวดแสบบริเวณล้นิ ป  ไมท านอาหารใหอ่มิ เกนิ ไป แตท านใหบ อ ยครั้งขน้ึ
ปวดหลัง  นอนในทา ศรี ษะสูง
ทองผกู  ด่ืมนมและน้ํามากๆ ไมค วรดมื่ นํา้ อัดลม
 ทํางาน ออกกาํ ลงั กายเบาๆ
ตกขาว  น่ังหลังตรง และยนื ตวั ตรง
 นอนตะแคงโดยกอดหมอนขาง
 ด่ืมน้ํามากๆ อยา งนอ ยวนั ละ 10 แกว
 ออกกาํ ลงั กายเบาๆ
 ถา ยอุจจาระใหเปน เวลา
 รบั ประทานผักผลไม และอาหารท่มี เี สน ใยเพิ่มขึ้น

 ในชว งตงั้ ทองอาจมอี าการตกขาวมากกวาปกติมี
สีขาวปนเทาหรอื เหลืองออน แตไมม ีกล่ิน และไมคัน
ซึ่งเปนเร่ืองปกติ ใหดแู ลความสะอาดโดยการลา งดว ย
นํ้าสบูออน ๆ ที่อวัยวะเพศภายนอกก็เพียงพอ
ไมจ ําเปน ตองใชน ํา้ ยาฆา เช้อื โรค

การแทง
การแทง หมายถึง การสน้ิ สุดของการตงั้ ครรภใ นระยะกอนท่เี ดก็ จะเตบิ โตพอทีจ่ ะมีชวี ติ รอดได

โดยมีอายุครรภน อ ยกวา 28 สัปดาห และ/หรือ นาํ้ หนักเดก็ นอ ยกวา 1,000 กรัม

37

ชนดิ ของการแทง

การแทงแบงออกไดเ ปน 2 ชนิด คือ
1. แทงทีเ่ กดิ ขึ้นเอง คือ การแทงบุตรทเี่ กดิ ขึ้น โดยไมม กี ารใชย า เครอ่ื งมอื หรอื วธิ ีการใด ๆ ทัง้ ส้ิน
2. แทง ท่เี กดิ จากการกระทํา แบงออกไดเ ปน 2 ชนิด คอื

2.1 การทําแทงเพอ่ื การรกั ษา
2.2 การทําแทงที่ผิดกฎหมาย
สาเหตุของการแทงทเี่ กดิ ขนึ้ เอง
ความผิดปกตขิ องตัวออน ซ่งึ อาจเกดิ จากความผดิ ปกตขิ องตัวออนเอง ซึง่ พบบอยถึงรอ ยละ 60
ความผดิ ปกตใิ นตวั มารดา ซงึ่ อาจเกดิ จากความผดิ ปกติของมดลูกการอกั เสบ ติดเชื้อ เชน ซิฟล สิ
ซึ่งอาจจะทําใหแ ทง ได
นอกจากนยี้ งั มสี าเหตุตา ง ๆ อีกมากมาย บางสาเหตุก็ไมส ามารถรักษา หรอื ปองกนั ได บางสาเหตุ
กส็ ามารถปอ งกันได เพราะฉะน้ัน ผูที่เคยแทงควรจะตองไปพบแพทยเพ่ือตรวจหาสาเหตุ และปองกัน
กอ นทจ่ี ะต้ังครรภในครงั้ ตอไป เพราะอาจจะเกิดการแทงซ้ําได และขณะตั้งครรภควรจะตองระมัดระวัง
เปนพเิ ศษ และอยใู นความดแู ลของแพทย
อาการของการแทงทเ่ี กดิ ขน้ึ เอง
โดยท่ัวไป หญิงมีครรภเมื่อจะแทงลูก จะเริ่มตนดวยอาการเลือดออกกะปริบกะปรอยทาง
ชองคลอด ซึ่งเปนเลือดท่ีออกจากโพรงมดลูก เรียกการแทงอยูในระยะคุกคาม อาจรวมกับอาการปวด
ทองนอยท่ีบริเวณตรงกลางเหนอื หัวเหนา จากน้ันมดลกู เรม่ิ บบี รดั ตวั เมื่อการแทงลุกลามมากข้ึน จนการ
ตัง้ ครรภไ มอ าจดาํ เนินตอไปได เลอื ดกจ็ ะออกมากขึ้น อาการปวดทองจะรุนแรงข้ึน สุดทายมดลูกจะหด
ตัวบบี ไลต ัวออนหรอื ทารกและรกออกมา ซึ่งอาจหลดุ ออกมาจากโพรงมดลกู ไดท ั้งหมด เรียกวาแทงครบ
โดยมากการแทงออกมาครบเชนนีจ้ ะเกดิ ในชว งอายคุ รรภท อ่ี อ นเดอื นมาก ๆ คือไมเกนิ 8 สปั ดาหหลังจาก
วันแรกของการมีประจําเดือนครั้งสุดทาย ถาอายุครรภมากกวาน้ี ส่ิงท่ีแทงออกมาอาจจะไมครบหมด
ทุกอยาง สว นใหญ มเี พียงแตท ารกและกอนเลือด แตรกยังคงคางอยู เพราะย่ิงอายุครรภมาก รกจะเจริญ
มากขึน้ ทาํ ใหไ มหลุดออกจากโพรงมดลกู ไดง าย ๆ การแทงเชนนี้ถือวาเปนแทงไมครบ มีผลตอสุขภาพ
ของผูหญิงคือทําใหผูหญิงตกเลือดไดอยางมากจนเปนอันตรายตอชีวิต การบําบัดคือการขูดมดลูก
เพื่อเอารกสวนทีเ่ หลอื ออกใหห มด

38

ขอปฏบิ ัติและการปองกนั การแทง ทเี่ กดิ ข้นึ เอง
1. เม่อื รูวา ตนเองประจําเดอื นขาด หรอื สงสัยวา จะตัง้ ครรภ ควรมาพบแพทยต งั้ แตเ นน่ิ ๆ และมาพบ
ทุกคร้ังตามนัด
2. บอกประวตั กิ ารเจบ็ ปว ยในอดีต และโรคทางกรรมพันธุ เชน ธาลสั ซเี มีย เบาหวาน
ความดนั โลหติ สงู ใหแกแพทยท ราบ
3. ถาตง้ั ครรภเ มอ่ื อายุมาก (35 ปข ้นึ ไป) ควรรบี มาพบแพทย
4. ถาเคยมีการแทงมากอ น ตองแจงใหแ พทยทราบ
5. ในระหวางตั้งครรภ ถา เกดิ อาการผดิ ปกติ เชน เลอื ดออก ตอ งรบี มาพบแพทยโ ดยดว น แมว า จะยงั
ไมถงึ เวลานัด
6. รับประทานยาบาํ รุงท่แี พทยใ หอ ยา งสมา่ํ เสมอ
7. หลกี เลีย่ งการมเี พศสมั พนั ธใ นขณะท่ีมี เลือด หรอื นํ้าใส ๆ ไหลออกมาทางชอ งคลอด
8. ควรตงั้ ครรภในระยะหา งกนั อยา งนอย 2 ป
9. ควรหลกี เลย่ี ง ของมึนเมา เคร่ืองดม่ื ผสมคาเฟอนี และสิ่งเสพติด

การแทง ทเ่ี กดิ จากการกระทาํ
ตามกฎหมายไทย การทําแทง เปนการกระทาํ ผิดกฎหมาย แตกฎหมายมขี อยกเวนใหมีการทําแทง

ไดบางประการ ซ่ึงจะตองเปนการกระทําของแพทยและมีขอบงชี้ขัดเจน เชน อันตรายตอสุขภาพของ
มารดา หรือหญิงตง้ั ครรภเพราะถูกขมขืน เปนตน นอกเหนือจากกรณีเหลาน้ี การทําแทงถือเปนการผิด
กฎหมายทงั้ ส้ิน

สาเหตุของการทําแทงสวนใหญของผูหญิงไทยมาจากการต้ังครรภไมพึงประสงค เคยมี
ผูศึกษาวิจัยสาเหตุและกลุมอายุของผูทําแทง พบวา วัยรุนมีการต้ังครรภไมพึงประสงคคอนขางสูง
โดยมีตนเหตุมาจากการไมใชวิธีคุมกําเนิดปองกันเม่ือมีเพศสัมพันธ แตก็เปนท่ีสังเกตพบวา ในกลุม
ผูใหญ หญิงที่แตงงานแลวก็พบมีการไปทําแทงในสัดสวนท่ีไมนอย ซ่ึงมีสาเหตุสวนใหญมาจาก
ความลม เหลวจากการใชวิธีคมุ กําเนิด

ยังมีผูหญิงจํานวนมากท่ีไมมีความรูความเขาใจเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบท่ีตามมาจากการ
ทําแทงทผี่ ิดกฎหมาย ซง่ึ นอกจากเปนอนั ตรายตอชวี ติ อยา งมาก โดยเฉพาะอยางยงิ่ ในรายที่อายุครรภมาก
ยง่ิ อนั ตรายมาก อาการแทรกซอนท่พี บไดบอยจากการทาํ แทงที่ผิดกฎหมาย ที่อาจมีทั้งอาการแทรกซอน
ในระยะสนั้ และระยะยาวตอ ชวี ติ ของหญิงคนน้นั เชน

39

 การตกเลอื ด อาจมีเลอื ดออกมากผดิ ปกติ ถาไมไ ดร ับเลือดทดแทน หรือชวยเหลือได
ทนั ทวงทีกอ็ าจถงึ แกชีวติ ได

 มดลูกทะลุ อาจจะตอ งตดั มดลูกทงิ้
 มดลูกแตก จะตอ งตดั มดลกู ทงิ้ ทาํ ใหห มดโอกาสท่จี ะมีลูกไดอีก
 การอกั เสบติดเชอ้ื อนั เกดิ จากกระบวนการทําแทง ท่ีใชเ คร่อื งมอื ที่ไมส ะอาดปราศจาก
ความระมดั ระวังในมาตรการการปองกันการแพรเชื้อโรค ทําใหเกิดการอักเสบติดเชื้อจากการ
ขูดมดลกู ซงึ่ สง ผลตามมาในปญ หาสขุ ภาพอ่นื ๆ ทาํ ใหส ิ้นเปลืองคา ใชจา ยในการรกั ษา เน่อื งจาก
เช้ือทก่ี อ ใหเ กิดการอกั เสบมกั เปนแบคทีเรยี ทม่ี อี านภุ าพในการกระจายเชอ้ื ไดรุนแรงมาก จึงตอง
ใชก ารรักษาเปนเวลานาน หากไมห ายขาดก็จะทาํ ใหเกิดการติดเชื้ออกั เสบเรื้อรังในอวัยวะอุงเชิง
กราน และหากรักษาหายขาดจากการอักเสบแลว ผูหญิงคนนั้นก็อาจมีการปญหาดานการมีบุตร
ยากตอไปได

เรอ่ื งที่ 7 ทักษะการจดั การกบั ปญ หา อารมณแ ละความตองการทางเพศของวัยรนุ

เพศสัมพันธเปนเรื่องของความรับผิดชอบตอตนเอง เคารพความรูสึกของคูของตน ไตรตรอง
วิเคราะหถึงผลดี ผลเสีย และเปนสิทธิสวนบุคคลท่ีจะตัดสินใจ แตตองไมสรางปญหาภาระแกผูอื่น
ภายหลัง และเม่ือมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็เปนเรื่องที่จะแกไขและหาทางออกท่ีเหมาะสมตอไป และ
กอนที่จะคิดถึงการมีเพศสัมพันธ ตองแสวงหาความรูเก่ียวกับเร่ืองเพศสัมพันธ และสุขภาพอนามัย
ท่ีเก่ียวของกับเพศสัมพันธ เพื่อจะไดปลอดภัย ไมเกิดการต้ังครรภที่ไมตองการ และไมเกิดการติดโรค
รวมทงั้ ปญ หาอน่ื ๆ ทางดา นจิตใจ ที่จะตามมา

สิ่งที่ตามมาจากการตัดสินใจมีเพศสัมพันธ จึงมีทั้งดานบวกและดานลบ การวิเคราะหถึงผล
ที่จะตามมาลวงหนา จะชวยใหเราสามารถเตรียมการ และคิดวิธีการปองกันและ/หรือหลีกเล่ียงไมให
ตวั เองและคนท่ีเก่ียวของตองเผชิญกับปญหาท่ีอาจตามมา ดังน้ัน เม่ือคิดและคาดการณไดลวงหนาวา
ส่ิงที่ตวั เองตองการและไมตองการใหเกิดขน้ึ คอื อะไร กส็ ามารถใชเปน เหตผุ ลประกอบการตดั สินใจวาจะ
ทําหรือไมทํา เพราะผลที่เกิดขึ้น เปน เรื่องทีเ่ ราจะตองเผชิญและรบั ผิดชอบดวยตวั ของเราเอง

การเรียนรูทจ่ี ะประเมินสถานการณ หรอื การคาดเดาไดวา อะไรบา งที่จะนาํ ไปสกู ารมเี พศสมั พนั ธ
ของตนเอง เราพรอ มที่จะเผชญิ สถานการณนน้ั หรือไมอยางไร การคาดการณและตอบตัวเองไดชัดเจน

40

จะชวยใหเราควบคุม จัดการ และแกไขสถานการณไดดีกวาการไมไดเตรียมตัว ซึ่งอาจสงผลตอส่ิงท่ี
ตามมาทีไ่ มพงึ ประสงค เชน การต้ังครรภท ไี่ มพ รอ มและความเส่ียงตอ การตดิ เช้อื เอชไอวี เปน ตน

เชนเดียวกับการเรียนรูและฝกฝนทักษะการยืนยันความตองการและการตอรองเพื่อใหบรรลุ
ความตอ งการของท้ังสองฝายเปนเร่ืองสําคญั การเรยี นรนู ้ดี ําเนินไปตลอดชีวิต การเผชิญกับความรูสึกผิด
อารมณโกรธ หว่นั เกรงกับความรสู ึกของผอู ่ืนท่ีมตี อ ตนเองหรอื รูสึกวาตนเองดอยคา เปนประสบการณ
รวมของทกุ คน การเริม่ ตนและฝกฝนในชีวิตประจาํ วันจะชว ยใหเราทําไดดีข้ึนและจะนําไปสูการพัฒนา
ความสมั พนั ธข องท้งั ฝายใหแ นน แฟนยิ่งขนึ้

การเรียนรูความตองการของตัวเอง และสิ่งที่อาจมีอิทธิพลตอความคิด และการตัดสินใจของ
ตัวเองเปนเรือ่ งสําคัญของวัยรนุ เพราะในสถานการณหลายอยางที่วัยรุนเผชิญ การเขาใจความตองการ
ของตัวเองอยางชัดเจนจะชวยใหวัยรุนสามารถส่ือสาร ตอรอง หรือปฏิเสธเพื่อใหเปนไปตามความ
ตอ งการของตนเองได

นอกจากน้ัน การเรียนรูเทคนิคการชักชวน จะทําใหเห็นวา คนสวนใหญมีวิธีการหลายอยาง
ในการโนม นา วใจ หรอื ชกั จูงคนอ่ืนใหค ลอยตาม ท้ังน้ี อาจทําไปโดยไมสนใจความตองการของอีกฝาย
และไมเ คารพในการตัดสินใจที่แตกตา งไปจากส่งิ ทีต่ ัวเองตอ งการ การเรียนรู ยอมรับ และเคารพความ
คดิ เห็นทีแ่ ตกตา งของบุคคลเปนพื้นฐานสําคัญในการสรา งสมั พนั ธภาพและการอยูรวมกนั

เสน ทางความคิดเพอื่ ตดั สนิ ใจ
1. เรอ่ื งทตี่ อ งตดั สนิ ใจคืออะไร

เรอื่ ง.................................................................................

2. ทางเลือกท่ีมีอยูม อี ะไรบา ง

ทางเลอื กที่ 1 ทางเลอื กที่ 2 ทางเลอื กท่ี 3 ทางเลือกอนื่ ๆ

คดิ ตอ...มที างเลอื กอนื่ อกี ไหม

41

3. คดิ ถงึ ผลทีต่ ามมาของแตละทางเลอื ก วา จะเกดิ อะไรขน้ึ ถาเราเลอื ก

ผลบวก ผลลบ  มีความเส่ียงอะไรบา ง?

 ความเส่ยี งนั้นมีโอกาสที่จะเกิดข้ึนมากแคไ หน?
 ถาเกดิ ขึน้ แลว เราจัดการ/รบั ไดหรือไม?

 จะลดความเสยี่ งของทางเลือกทีเ่ ราอยากเลอื ก
ไดอ ยางไร?

4. ความตองการที่แทจรงิ ของเราคอื

 เรารวู าคนอนื่ อยากใหเราทําอะไร
 แลว เรารูไ หมวา เราอยากทําอะไรท่ีเปนความตองการที่แทจ ริงของตัวเราเอง

5. ตดั สินใจ

ทางเลือก 1. .....................................................................................................
2. .....................................................................................................

ฉันเปนแบบไหน

บุคลกิ 3 แบบ ในเรื่องการกลาแสดงความคดิ เหน็ ความตอ งการและการตอบสนองความตอ งการของ
ตัวเอง

1. “ฉันจะเอาแบบน้ี ฉันไมสนใจวาเธออยากเลือกแบบไหน” (Aggressive)
คนบุคลิกนี้ไมคอยสนใจความตองการของผูอื่น กลาแสดงออก กลาทําเพ่ือใหไดตามที่
ตอ งการ

42

 ไมช อบใหข ดั ใจ
คนทีไ่ มคอ ยสนใจความตองการของผูอ่ืนเปนคนที่รูวาตัวเองตองการอะไรและเดินหนา
เพ่อื ใหไดม า การไดตามทีต่ อ งการเปนเร่อื งสําคัญจงึ ทาํ ใหเปนคนท่ีไมให ความสนใจ
กับผลทเี่ กิดกับผูอ่ืนมากนัก มักทาํ ใหเ พอ่ื นอดึ อดั ใจ

2.“ฉันรเู ธออยากไดอะไร และฉันเลอื กไดว าฉนั จะทําอะไร” (Assertive)
คนบุคลกิ น้ี จะยอมรับในสิทธแิ ละความตอ งการของผูอ ื่น รูจกั ปกปอ งสทิ ธแิ ละตอบสนอง
ความตองการของตวั เอง
 กลา ถามและกลาบอก
คนที่ยอมรับในสิทธแิ ละความตองการของผอู น่ื ขณะเดียวกันกร็ ูจกั ปกปองสิทธแิ ละ
ตอบสนองความตองการของตวั เอง เปน ผูท่ีมคี วามสขุ และสรา งสัมพันธภาพท่ียง่ั ยนื ได

3. “สําหรับฉนั อะไรกไ็ ด” (Passive)
คนบุคลกิ นี้ มกั คลอยตามผูอ นื่ ไมค อ ยกลาแสดงความตองการและความรูสกึ ของตวั เอง
โดยเฉพาะเรื่องที่ตองขดั ใจผอู น่ื ปฏิเสธไมเปน
 ไมค อ ยกลาบอก
คนทม่ี ักคลอ ยตามผูอ่ืนเปน คนที่ไปกบั เพือ่ นไดดี ไมมคี วามขดั แยง ไมค อยแสดง
ความตองการและความรสู กึ ออกมาโดยเฉพาะเรอื่ งทีต่ องขดั ใจผูอ นื่ เมอ่ื อยูใ นสถานการณ
อยากปฏิเสธจึงยากที่จะบอกยนื ยันความตองการของตวั เอง

การบอกยนื ยนั ความตองการ

ทบทวนเร่ือง + บอกความรสู ึก + ระบคุ วามตองการ

ตวั อยาง: สถานการณค ยุ กนั จนดึก แฟนขอนอนคางท่ีหอ ง
 ทบทวน “เรอ่ื ง”

คือ คําชกั ชวนหรอื คาํ ขอรอง ทางเลอื กทเ่ี พอ่ื นหยบิ ยนื่ ให : (แฟนขออยคู า ง)


Click to View FlipBook Version