1
2 หลักสูตรรายวิชา พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดชลบุรี สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
ก คำนิยม กกกกกกกเอกสารหลักสูตรรายวิชา พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ถัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็น หลักสูตรวิชาเลือกเสรี ที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้นักศึกษา เกิดการเรียนรู้ และมีความ เข้าใจเกี่ยวกับ พุทธวิถี ประวัติหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สามารถสืบสาน และอนุรักษ์แนวทางการ ปฏิบัติของวิถีพุทธหลวงพ่ออี๋ ด้วยการบอกกล่าวเล่าขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์อาสาควบคู่กับการทำ สื่อประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนที่มานมัสการหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ และส่งผลต่อความภาคภูมิใจใน ชุมชนท้องถิ่น บ้านเกิด และยังช่วยให้นักศึกษาตระหนักถึงความดีของหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เห็น คุณค่าของพระพุทธศาสนา และการเป็นศาสนิกชนด้วย กกกกกกกขอชื่นชม นางสุรัสวดี เลี้ยงสุพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และคณะ ได้แก่ ข้าราชการครู ครูอาสาสมัครฯ ครู กศน. ตำบล ครูศูนย์การเรียนชุมชน บรรณารักษ์ สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอ สัตหีบ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด ชลบุรี ตลอดจนผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร สค3300174 ที่ร่วมมือร่วมใจจัดทำเอกสารฉบับนี้ จนสำเร็จลุล่วงและนำไปใช้ในการจัดการศึกษาให้กับนักศึกษามา ณ ที่นี้ด้วย กกกกก กก (นายอนุชา พงษ์เกษม) ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดชลบุรี
ข คำนำ กกกกกกกเอกสารหลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษา ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี ได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ พุทธ วิถี ประวัติหลวงพ่ออี๋ประวัติหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ มีความ ศรัทธา สามารถสืบสาน และอนุรักษ์แนวทางการปฏิบัติของวิถีพุทธของหลวงพ่ออี๋ด้วยการบอก กล่าวเล่าขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์อาสาควบคู่กับการทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนที่มา นมัสการหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ตลอดจนศรัทธาต่อหลวงพ่ออี๋ และเกิดความภาคภูมิใจในการเป็น รวมถึงเป็นคนอำเภอสัตหีบ ส่งผลให้นักศึกษาเห็นคุณค่า เกิดความภาคภูมิใจ ระลึกถึงหลวงพ่ออี๋วัด สัตหีบ สามารถนำความรู้ และทักษะที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวัน และเกิดความรักในถิ่นฐานบ้าน เกิด ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้สักการะของคนในชุมชนวิถีพุทธให้คงอยู่คู่ท้องถิ่นตลอดไป กกกกกกกเอกสารฉบับนี้ประกอบด้วย (1) ผังมโนทัศน์ (2) คำอธิบายรายวิชา (3) รายละเอียด คำอธิบายรายวิชา (4) โครงสร้างหลักสูตร (5) รายละเอียดของหัวเรื่องที่ 1 พุทธวิถีหัวเรื่องที่2 ประวัติ หลวงพ่ออี๋ หัวเรื่องที่ 3 คุณค่า ความศรัทธา หัวเรื่องที่ 4 ศาสนพิธี หัวเรื่องที่ 5 การสืบสานและ อนุรักษ์(6) บรรณานุกรม และ (7) ภาคผนวก กกกกกกกเอกสารฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีเนื่องจากได้รับการสนับสนุนจาก นายอนุชา พงษ์เกษม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด ชลบุรี นางสาวอุไรรัตน์ ชนะบำรุง รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยจังหวัด ตลอดจนผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ ข้าราชการครู บรรณารักษ์ ครูอาสาสมัคร การศึกษานอกโรงเรียน ครู กศน.ตำบล ครูศูนย์การเรียนชุมชน ครูสอนผู้พิการและบรรณารักษ์ อัตราจ้าง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ขอขอบพระคุณและ ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย (นางสุรัสวดี เลี้ยงสุพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ
ค ประกาศศูนย์การศึกษานอกระบบแลการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสัตหีบ เรื่อง อนุมัติใช้หลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกกกกกกตามที่อำเภอสัตหีบมีวัดสัตหีบ เป็นอำเภอที่มีนักท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไปมาสักการะ หลวงพ่ออี๋ ส่วนใหญ่ให้การเคารพนับถือ มีประวัติความเป็นมาที่นักศึกษาควร ได้ศึกษาเรียนรู้ ตลอดจนควรมีการอนุรักษ์และสืบสานการปฏิบัติตามแนวพุทธวิถีของหลวงพ่ออี๋ ในการจัด การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับสถานศึกษาได้แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างอัต ลักษณ์ ความภาคภูมิใจในการเป็นคนอำเภอสัตหีบให้เกิดขึ้นกับนักศึกษาได้ด้วย ศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีจึงได้พัฒนาหลักสูตร รายวิชา สค 3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบขึ้น และคณะกรรมการสถานศึกษาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว กกกกกกก ดังนั้นศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภออำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรีจึงได้อนุมัติใช้หลักสูตรนี้ให้กับนักศึกษาในสังกัดที่ลงทะเบียนเรียน ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องจัดการศึกษาให้กับนักศึกษาเพื่อให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้และบรรลุจดมุ่งหมายของหลักสูตรนี้ ประกาศ ณ วันที่ 1 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 (นางสุรัสวดี เลี้ยงสุพงศ์) ผู้อ านวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสัตหีบ
ง ความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา กกกกกกกตามที่อำเภอสัตหีบ เป็นอำเภอที่มีวัดหลวงพ่ออี๋เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญทาง พุทธศาสนา ที่ทั้งชาวชลบุรีและคนไทยส่วนใหญ่ให้การเคารพนับถือ มีประวัติความเป็นมาที่นักศึกษาควรได้ ศึกษาเรียนรู้ ตลอดจนควรมีการอนุรักษ์และเผยแพร่ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่จัดขึ้นที่วัดสัตหีบ รวมถึงช่วยเสริมสร้างเอกลักษณ์ในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับ สถานศึกษาได้แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ ความภาคภูมิใจในการเป็นคนอำเภอสัตหีบให้เกิด ขึ้นกับนักศึกษาได้ด้วย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรีจึงได้พัฒนาหลักสูตร รายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบขึ้น กกกกกกกเพื่อให้การจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะหลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลให้ผู้มีส่วน เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมมือกันจัดการศึกษาให้กับ นักศึกษาในสังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ให้บรรลุ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ทั้งนี้ ตั้งแต่ วันที่ 1 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 ลงชื่อ .................................................. (นายณรงค์ บรรเจิดศรี) ประธานกรรมการสถานศึกษา
จ สารบัญ หน้า ผังมโนทัศน์...................................................................................................................... 1 คำอธิบายรายวิชา............................................................................................................ 2 รายละเอียดคำอธิบายรายวิชา......................................................................................... 4 โครงสร้างหลักสูตรรายวิชา.............................................................................................. 7 กกกสรุปสาระสำคัญ........................................................................................................ 7 กกกผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง............................................................................................. 13 กกกขอบข่ายเนื้อหา......................................................................................................... 13 กกกการจัดประสบการณ์การเรียนรู้................................................................................. 14 กกกสื่อและแหล่งเรียนรู้................................................................................................... 14 กกกการวัดและประเมินผล.............................................................................................. 15 หัวเรื่องที่1 วิถีพุทธ....................................................................................................... 17 กกกสาระสำคัญ............................................................................................................... 17 กกกตัวชี้วัด………………………........................................................................................... 17 กกกเนื้อหา...................................................................................................................... 17 กกกการจัดประสบการณ์การเรียนรู้................................................................................. 32 กกกสื่อและแหล่งเรียนรู้................................................................................................... 32 กกกการวัดและประเมินผล.............................................................................................. 33 หัวเรื่องที่ 2 ประวัติหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ......................................................................... 34 กกกสาระสำคั................................................................................................................. 34 ตัวชี้วัด………………………........................................................................................... 35 กกกเนื้อหา...................................................................................................................... 35 กกกการจัดประสบการณ์การเรียนรู้................................................................................. 42 กกกสื่อและแหล่งเรียนรู้................................................................................................... 43 กกกการวัดและประเมินผล.............................................................................................. 43 หัวเรื่องที่ 3 คุณค่า ความศรัทธาหลวงพ่ออี๋.................................................................... 44 กกกสาระสำคัญ............................................................................................................... 44 กกกตัวชี้วัด..................................................................................................................... 44 กกกเนื้อหา...................................................................................................................... 44
ฉ สารบัญ(ต่อ) หน้า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้.................................................................................. 76 กกกสื่อและแหล่งเรียนรู้................................................................................................... 76 กกกการวัดและประเมินผล.............................................................................................. 77 หัวเรื่องที่ 4 ศาสนพิธี..................................................................................................... 78 กกกสาระสำคัญ............................................................................................................... 78 ตัวชี้วัด………………………........................................................................................... 80 กกกเนื้อหา...................................................................................................................... 81 กกกการจัดประสบการณ์การเรียนรู้................................................................................. 146 กกกสื่อและแหล่งเรียนรู้................................................................................................... 147 กกกการวัดและประเมินผล.............................................................................................. 148 หัวเรื่องที่5 การสืบสานและอนุรักษ์............................................................................... 149 กกกสาระสำคัญ............................................................................................................... 149 กกตัวชี้วัด………………………............................................................................................. 150 กกกเนื้อหา...................................................................................................................... 151 กกกการจัดประสบการณ์การเรียนรู้................................................................................. 189 กกกสื่อและแหล่งเรียนรู้................................................................................................... 189 กกกการวัดและประเมินผล.............................................................................................. 190 บรรณานุกรม................................................................................................................... 191 ภาคผนวก....................................................................................................................... 193 กกกก. ใบความรู้............................................................................................................ 194 กกกข. ใบงาน................................................................................................................ 214 กกกค. เครื่องมือวัดความก้าวหน้า.................................................................................. 224 กกกง. เครื่องมือวัดผลรวม............................................................................................. 227 กกกจ. ประกาศแต่งตั้งที่ปรึกษาและผู้ร่วมให้ข้อมูลพัฒนาหลักสูตร................................ 239 กกกฉ. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร......................................................... 241 กกกช. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ.................................... 244
ผังมโนทัศน์หลักสูตรวิชารายวิช 1 4. ศาสนพิธี 4.1 ความเชื่อเกี่ยวกับเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋ 4.2 พิธีกรรมเกี่ยวกับวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋ 4.3 ศาสนพิธีในวันสำคัญทางศาสนา (จำนวน 10 ชั่วโมง) 5. การสืบสานและอนุรักษ์ 5.1 การบอกกล่าวเล่าขาน กก5.2 การเป็นมัคคุเทศก์อาสา กก5.3 การประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อที่ หลากหลาย กก5.4 การฝึกปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา (จำนวน 40 ชั่วโมง)
1 ชา พุทธวิถีพลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ วิชาพุทธวิถีพลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ (จำนวน 80 ชั่วโมง) 1. พุทธวิถี 1.1 การกำเนิดศาสนา 1.2 นิกายในศาสนาพุทธ 1.3 การนับถือศาสนาพุทธ (จำนวน 10 ชั่วโมง) 2. ประวัติหลวงพ่ออี๋ 2.1 ชาติภูมิ 2.2 บรรพชิต 2.3 สมณศักดิ์ 2.4 พระอภิญญาณ 2.5 ละสังขาร (จำนวน 10 ชั่วโมง) 3. คุณค่า ความศรัทธา 3.1 วัตถุมงคล 3.2 ประสบการณ์ ปาฏิหารย์ (จำนวน 10 ชั่วโมง)
2 คำอธิบายรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ จำนวน 2 หน่วยกิต ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าและสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีเพื่อ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ศึกษาและฝึกทักษะ กกกกกกกวิถีพุทธ ประวัติหลวงอี๋คุณค่า คุณค่า ความศรัทธาหลวงพ่ออี๋ศาสนพิธี รวมทั้งการสืบ สานและอนุรักษ์ กกกกกกกเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพุทธวิถีประวัติหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ มีความ ศรัทธา สามารถสืบสาน และอนุรักษ์แนวทางการปฏิบัติของวิถีพุทธของหลวงพ่ออี๋ด้วยการบอก กล่าวเล่าขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์อาสาควบคู่กับการทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนที่มา นมัสการหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ตลอดจนศรัทธาต่อหลวงพ่ออี๋ และเกิดความภาคภูมิใจในการเป็น พุทธศาสนิกชน รวมถึงเป็นคนอำเภอสัตหีบ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ กกกกกกกบรรยาย กำหนดประเด็นการศึกษาร่วมกัน ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากสื่อที่ หลากหลาย ได้แก่ สื่อเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อบุคคลและภูมิปัญญา และแหล่งเรียนรู้ใน ชุมชน บันทึกผลการศึกษาค้นคว้าลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) พบกลุ่ม อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาได้ สรุปการเรียนรู้ร่วมกัน และบันทึกลงในเอกสาร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) นำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปฝึกปฏิบัติตามใบงาน ฝึกปฏิบัติสืบสาน และอนุรักษ์ศาสนาวิถีพุทธด้วยการบอกกล่าวเล่าขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์อาสาควบคู่กับการทำสื่อ ประชาสัมพันธ์และส่งเอกสารรายงานการสืบสานและอนุรักษ์ศาสนาวิถีพุทธและสื่อประชาสัมพันธ์ ที่ผลิตได้ การวัดและประเมินผล กกกกกกกประเมินความก้าวหน้า ด้วยวิธีการ สังเกต ซักถาม ตรวจเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ตรวจเอกสารรายงานการสืบสานและอนุรักษ์ศาสนาและตรวจสื่อประชาสัมพันธ์ และ
3 ประเมินผลรวม ด้วยการ ให้ตอบแบบทดสอบวัดความรู้ ตอบแบบสอบถามวัดทักษะการสืบสาน และอนุรักษ์ศาสนาพุทธวิถีและให้ตอบแบบสอบถามวัดเจตคติต่อหลักสูตรรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่อ อี๋วัดสัตหีบ
4 รายละเอียดคำอธิบายรายวิชา สค330174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ จำนวน 2 หน่วยกิต ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่า และสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีเพื่อ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จำนวน (ชั่วโมง) 1. วืถีพุทธ 1. บอกการกำเนิดศาสนา 2. บอกนิกายในศาสนา พุทธได้ 3. อธิบายจุดหมายการนับ ถือศาสนาพุทธ และ ความสำคัญของวิถีพุทธ 1. การกำเนิดศาสนาพุทธ 2. นิกายในศาสนาพุทธ 3. การนับถือศาสนาพุทธ 10 2 ประวัติความเป็นมา 1.บอกประวัติความเป็นมา ของวัดสัตหีบได้ 2 บอกประวัติความเป็นมา ของพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋)ได้ 1 ประวัติวัดสัตหีบ 2 ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) 2.1 ชาติภูมิ 2.2 บรรพชิต 2.3 สมณศักดิ์ 2.4 พระอภิญญา 2.5 ละสังขาร 10 3. คุณค่า และความ ศรัทธาที่มีต่อพระ ครูวรเวทมุนี (หลวง พ่ออี๋) 1. ให้คุณค่า และความ ศรัทธาที่มีต่อพระครูวรเวท มุนี(หลวงพ่ออี๋) ได้ 2. เห็นคุณค่า และความ ศรัทธาที่มีต่อพระครูวรเวท มุนี (หลวงพ่ออี๋) 3.1 วัตถุมงคล 3.2 ประสบการณ์ ปาฏิหาร 10 4. ศาสนพิธี 1.สามารถปฏิบัติตนให้ เหมาะสมในการเข้าร่วม ศาสนพิธีได้ 1.ประวัติความเป็นมาของ วันคล้ายวันมรณภาพ หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 10
5 ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จำนวน (ชั่วโมง) 2.เห็นคุณค่าความส าคัญ ของ ศาสนพิธีวันคล้าย วันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัด สัตหีบ 3.สามารถท่องบทสวดใน พิธีกรรมทางศาสนาอย่าง ง่ายได้ 2.พิธีกรรมของวันคล้ายวัน มรณภาพหลวงพ่ออี๋วัดสัต หีบ 3.บทสวดในพิธีกรรม -ค าบูชาพระ -บทสวดมนต์ บูชาพระ รัตนตรัย -บทสวดมนต์ นะโม สรรเสริญพระพุทธเจ้า -บทสวดมนต์ อาราธนาศีล 5 -บทสวดมนต์ สมาทานศีล 5 -บทสวดมนต์ อธิษฐาน รักษาศีล 5 บทสวดมนต์แผ่เมตตาแก่ ตนเอง -บทสวดมนต์แผ่เมตตาให้ สรรพสัตว์ 4.วันส ำคัญทำงศำสนำ -วันวิสาขบูชา -วันอาสาฬหบูชา -วันมาฆบูชา -วันออกพรรษา -วันเข้าพรรษา 5. การสืบสานและ อนุรักษ์พุทธวิถี หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 1. สามารถบอกกล่าวเล่า ขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์ อาสา แนะนำสืบสานและ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบได้ 2. สามารถการ ประชาสัมพันธ์ แนะนำสืบ ก1. การบอกกล่าวเล่าขาน ก2. การเป็นมัคคุเทศก์ อาสา ก3. การประชาสัมพันธ์ ด้วยสื่อที่หลากหลาย ก4. การฝึกปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา 40
6 ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จำนวน (ชั่วโมง) สานและอนุรักษ์พุทธวิถี หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบด้วยสื่อที่ หลากหลายได้ 3. สามารถฝึกปฏิบัติตน ในฐานะเป็นพลเมืองดี ตาม หลักศาสนาได้
7 โครงสร้างหลักสูตร รายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สรุปสาระสำคัญ กกกกกกก1. หัวเรื่องที่ 1 วิถีพุทธ 1.1. กำเนิดศาสนา ศาสนามีกำเนิดจากสาเหตุหลายประการตามความเชื่อ ของ ประชาชนแต่ละกลุ่ม และสภาพสิ่งแวดล้อมที่โน้มน้าวให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุ ออกได้ 6 ประการ คือ (1) เกิดจากความไม่รู้ (2) เกิดจากความกลัว (3) เกิดจากความจงรักภักดี(4) เกิดจากความอยากรู้เหตุผล หรือปัญญา (5) เกิดจากอิทธิพลของคนสำคัญ และ (6) เกิดจากลัทธิ การเมือง 1.2 นิกายสำคัญของพุทธศาสนา มี 2 นิกาย คือ (1) นิกายเถรวาท (หินยาน) เป็น นิกาย ที่ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักที่ว่า พระธรรมวินัยของ พระพุทธเจ้าเป็นกาลิโก ซึ่งหมายถึง ทันสมัยตลอดกาล ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุจุดหมายปลายทางได้ ยาก(2) นิกายอาจริยวาท (มหายาน) เป็นนิกายที่ยึดหลักที่ว่า ศาสนาจำเป็นต้องเสริมการพัฒนาให้ ทันสมัยเหมาะสมกับกาลเวลา และสภาวะของสังคมอยู่เสมอ ไม่กำหนดเรื่องกาลเวลา สามารถ พัฒนาได้เรื่อยไป ทำให้นิกายนี้แตกแยกเป็นนิกายย่อยจำนวนมากมาย จุดเด่นของนิกายนี้อยู่ที่ แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิ์สัตว์ สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือ สรรพชีวิตในโลกไปสู่ความ พ้นทุกข์ 1.3 การนับถือศาสนาพุทธ มี 2 แนว ได้แก่ (1) พระพุทธศาสนาแนวจารีต หมายถึง พระพุทธศาสนานัยที่สะท้อนความเป็นจารีตดั้งเดิม คือ พระไตรปิฎก เป็นแก่น สาระสำคัญ เน้นการปฏิบัติตามวิถีแห่งมรรค เพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง และ(2) พระพุทธศาสนา แนวประชานิยม หมายถึง ศาสนานัยที่สะท้อนวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ที่ถูกเสริม แต่งหรือกลมกลืนกับพระพุทธศาสนา มีพุทธธรรมบ่อเกิดประเพณีและถูกสร้างสรรค์ให้มีความ งดงามอย่างเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะท้องถิ่นผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมทั้งพราหมณ์รวมทั้งลัทธิ นับถือผีสาง เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ วิถีการปฏิบัติที่เห็นได้เด่นชัด คือ การทำบุญตาม ประเพณีในเทศกาลต่าง ๆ
8 2. หัวเรื่องที่2 ประวัติ 1.ประวัติวัดสัตหีบ วัดสัตหีบ หรือ วัดหลวงปู่อี๋ตั้งอยู่ในตัวอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีด้านหลังวัดติด ทะเล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยหลวงพ่ออี๋หรือพระครูวรเวทมุนี เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 1 ถนนชายทะเล ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยวัดถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 2442 นายขำ และ นางเอียง ทองขำโยมบิดาและโยมมารดาของหลวงปู่ฯ ได้ขอพระราชทานที่ดิน ว่างเปล่าเป็นป่าไม้ที่ไม่มีเจ้าของ พระองค์ฯทรงอนุญาตให้สร้างวัดได้ ด้านเหนือติดทางเกวียน ด้าน ใต้ติดทะเลและด้านตะวันตกติดป่า ด้านตะวันออกติดที่ดินบ้านสัตหีบ โดยในปัจจุบันวัดนี้มีเนื้อที่ จำนวน 30 ไร่ 28 ตารางวา ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมาอุโบสถหลังแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ. 138 พ.ศ. 2463 เนื้อที่ได้รับพระราชทาน กว้าง 2 เส้น ยาว 3 เส้น 2. ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2.1 ชาติภูมิ พระครูวรเวทมุนีมีนามเดิมว่า อี๋ ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2408 ตรง กับวันอาทิตย์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของนายขำ และนางเอียง ทองขำ ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี 2.2 บรรพชิต เมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเป็น วัดอ่างศิลาเดียววัดเดียว) โดยมีพระอุปัชฌาย์คือพระอธิการจั่น จนฺทสโร วัดเสม็ด พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจารจารย์ และพระอาจารย์แดงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาให้ว่า พุทฺธสโร 2.3 สมณศักดิ์ - เป็นพระครูประทวนสมณศักดิ์ - พ.ศ. 2484 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวรเวทมุนี 2.4 พระอภิญญา 2.5 ละสังขาร หลวงพ่ออี๋มรณภาพในท่านั่งสมาธิเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2489 ตรงกับรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สิริอายุ ได้80 ปี354 วัน 2.2 ประวัติพระครูวรเวทมุนี(หลวงพ่ออี๋) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2.2.1 ชาติภูมิ พระครูวรเวทมุนี หรือปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หลวงพ่ออี๋” เพราะ ท่านชื่ออี๋ มาแต่แรก เป็นบุตรนายขำ-นางเอียง ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2408 ตรงกับ
9 วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตรงกับ ปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2.2.2 บรรพชิต เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้อุปสมบทที่วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเข้าเป็นวัด อ่างศิลา) โดยมีพระอาจารย์จั่น จนทสโร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ได้ตั้งฉายาให้ว่า “พุทธสโร” 2.2.3 สมณศักดิ์ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ เมื่อปี พ.ศ.2467 และได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในปีเดียวกัน เมื่อตำบลสัตหีบได้รับการ สถาปนาขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ ท่าน ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะแขวงกิ่งอำเภอสัตหีบ เมื่อ พ.ศ.2484 และได้รับพระราชทานเลื่อน สมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูวรเวทมุนี” 2.2.4 พระอภิญญา ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ สำคัญของทางทหาร และเป็นเป้าหมายโจมตีของฝ่ายพันธมิตร บรรดาผู้หวาดหวั่นในภัยสงคราม ต่างยึดเอาหลวงพ่ออี๋เป็นที่พึ่ง ประชาชนจึงเชื่อในปาฎิหาริย์ของท่าน ทำให้ลูกระเบิดของทหารไม่ ทำงาน ไปตกลงกลางทะเลหมด 2.2.5 ละสังขาร หลวงพ่ออี๋ เริ่มอาพาธในอวสานแห่งชีวิตนี้ ด้วยโรคฝีที่คอตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2498 ใน วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2489 ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ เวลา 20.35 น. ใน ลักษณะได้นั่งขัดสมาธิ ตัวตรง เริ่มเจริญ จิตตภาวนา รวมสิริอายุของท่าน 81 ปี 3. หัวเรื่องที่3 คุณค่า และความศรัทธาที่มีต่อพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) 1. คุณค่าของพระครูวรเวทมุนี(หลวงพ่ออี๋) พระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสัตหีบ โดยนายขำ และนางเอียงบิดามารดาของหลวงพ่ออี๋ได้ขอพระราชทานที่ดินว่างเปล่าที่เป็นป่าไม้เพื่อสร้างวัดจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปีพ.ศ. 2442 และพระองค์ได้ทรงอนุญาต โดยมีชาวบ้านและลูกศิษย์ลูกหาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัด เพื่อให้ใช้ประกอบศาสนกิจต่างๆ จนสำเร็จสมประสงค์ ในนาม “วัดสัตหีบ” หรือที่เรียกว่า “วัด หลวงพ่ออี๋” หลวงพ่ออี๋ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษา หลวงพ่ออี๋มีความชำนาญในด้าน สมถะวิปัสสนาธุระมากสามารถยกจิตให้พ้นจากเวทนาได้จากกความหนาว ร้อน หิว กระหาย ปวด บวม ระบม เป็นต้น ท่านไม่เคยปริปากบ่นในเรื่องทุกขเวทนาดังกล่าวให้ผู้อื่นได้ยินเลย แม้การ เจ็บป่วยเจ็บป่วยของท่าน คงอยู่ในอาการสงบเป็นปรกติจนหมดอายุขัย
10 กกกก2 วัตถุมงคล ประกอบด้วยเหรียญ ตั้งแต่ปีเหรียญ พ.ศ.2471 ถึงปี 2530 3. ปาฏิหาริย์ 3.1 ปาฏิหาริย์ กสิณลม หรือวาโยกสิณ 3.2 ปาฏิหาริย์ คุ้มทัย 3.3 ปาฏิหาริย์ จิตตุธรรม 3.4 ปาฏิหาริย์วัตถุศักดิ์สิทธิ์ 3.5 ปาฏิหาริย์ เหตุเรือรบหลว 4. หั วเรื่องที่ 4ความเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋หรือพระครูวรเวทมุนี วัดสัตหีบ 4.1 ความเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋และวิธีการบูชา การนมัสการหลวงพ่ออี๋ถือเป็นสิริมงคลและ ได้อานิสงส์อย่างมาก ในปัจจุบันมีผู้เลื่อมใสในหลวงพ่ออี๋ ต่างพากันมาทำบุญและปิดทองนมัสการ รูปหล่อของท่านที่วัดเป็นจำนวน 4.2. พิธีกรรมศาสนพิธีในวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ศาสนาพิธีในวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ จะจัดขึ้นปีละ 3 ครั้งคือช่วง ก่อนวันตรุษจีน ช่วงวันที่ 1 -9 พฤษภาคม และวันมรณภาพของหลวงพ่ออี๋ ซึ่งตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 (ประมาณเดือนกันยายน) เพื่อบำเพ็ญกุศลให้กับหลวงพ่ออี๋ หรือพระครูวรเวทมุนีวัดสัต หีบ เกจิอาจารย์ชื่อดังภาคตะวันออก อีกทั้งอดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบทุกรูป เพื่อแสดงความนอบ น้อมกตัญญู ระลึกถึงความดีและพระคุณที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มีแต่เราท่านทั้งหลาย.. 4.3. ศาสนพิธีในวันสำคัญทางศาสนา 3.1 วันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญ ที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปีซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์3 ประการ ได้แก่วันที่ พระพุทธเจ้าระสูติวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้(อนุตตรสัมโพธิญาณ) และวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติสร้างภพอีกต่อไป) 3.2 วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกใน พระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
11 3.3 วันมาฆบูชา วันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ตามประวัติกล่าว ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประชุมครั้งใหญ่ ครั้งแรกในพุทธศาสนา ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร เรียกว่า มหาสาวกสันนิบาต ในการประชุมครั้งนี้ มีองค์ประกอบ 4 ประการ เรียกว่า จาตุรงค สันนิบาต มีความหมายดังนี้ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 มีพระสาวกเข้าประชุมโดยมิได้นัดหมาย จำนวน 1,250 รูป มีพระสาวกเข้าร่วมประชุมล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ และพระอรหันต์สาวกที่เข้า ร่วมประชุมทุกรูปเป็นผู้ได้รับอุปสมบทจากพระพุทธองค์โดยตรง ดังนั้น พระองค์ทรงได้แสดง โอวาทปาติโมกข์ ประกาศตั้งหลักการของพระพุทธศาสนา เพื่อให้พระสาวก ถือเป็นหลักปฏิบัติใน การสั่งสอนประชาชนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 3.4 วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัย พุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จน เสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดู ฝน 3.5 วันออกพรรษา วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับตั้งแต่ วันเข้าพรรษา) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า "ปวารณา" แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" ในวันออกพรรษานี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรม เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการ เปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมี ข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิด โอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย 36 บทสวดในพิธีกรรม การสวดมนต์คือการกล่าวคำศักดิ์สิทธิ์ อันมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือชีวิตจิตใจ ได้แก่การสรร เสริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และมนต์ของพระพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่า “พระพุทธมนต์” แต่พระพุทธมนต์เป็นคำศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ผู้นับถือพระพุทธศาสนาย่อมนับถือพระ พุทธมนต์เสมอด้วยชีวิตจิตใจ ถือว่าเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตราย และประสิทธิ์ประสาทความเจริญ ให้จัดเป็นกุศลพิธีมาแต่ครั้งพุทธกาล การสวดมนต์ใช้สวดกันเป็นภาษามคธเป็นพื้น เพราะภาษา มคธเป็นภาษาหลักเดิมของพระพุทธศาสนา และนับถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ข้อสำคัญควรรู้ความ ที่สวดนั้นด้วย การสวดมนต์ที่เราเห็นกันอยู่คือการสวดเป็นกิจวัตรสำหรับตนอย่างหนึ่ง ฟังพระสวด มนต์ในพิธีต่างๆ อย่างหนึ่ง ในการสวดก็มีหลายแบบ หลายวิธีสุดแต่จะนิยมสวดกัน ส่วนที่นิยมเป็น
12 อย่างเดียวกันและเว้นไม่ได้ก็คือ บทนมัสการพระ ได้แก่ “นะโม” บทนี้ต้องใช้ขึ้นต้นเสมอไปไม่ว่าใน พิธีใด ๆ และดูเหมือนจะขึ้นใจกันในบทนี้ก่อน เพราะเป็นบทไหว้พระบรมครู ที่ต้องการว่าก่อน เรียกว่าตั้ง นะโม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อท่านผู้เป็นพระบรมครูของโลก ผู้เริ่มสร้าง หลักธรรมของพระพุทธศาสนาขึ้นจะได้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ 5. หัวเรื่องที่ 5 การสืบสานและอนุรักษ์อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 5.1. การบอกกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ซึ่งเป็นความรู้ต่างๆ ที่อยู่กับตัวบุคคล ที่มี ความรู้ หรือประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกก5.2. การเป็นมัคคุเทศก์อาสา มัคคุเทศก์หมายถึง ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้ข้อมูล ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ร่วมสมัยต่าง ๆ แก่บุคคลที่อยู่ในกลุ่ม นักท่องเที่ยว ในกรณีทัศนศึกษาที่สถานที่ทางศาสนาหรือประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจอื่น ๆ มัคคุเทศก์ส่วนใหญ่จะได้รับการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้องก่อน ปฏิบัติหน้าที่มัคคุเทศก์ คุณลักษณะที่ดีของมัคคุเทศก์จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง สามารถปรับตัว ให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเหมาะสม จำเป็นต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการ ดังนี้(1) มนุษยสัมพันธ์ดี (2) บุคลิกภาพ (3) มีความรู้ดี (4) รักงานรักหน้าที่ และ (5) มี ศิลปะใน การพูด กกกก5.3. การประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อที่หลากหลาย ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์หมายถึง สื่อดิจิทัลที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติการ ทางสังคม (Social Tool) เพื่อใช้สื่อสารระหว่างกันในเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ผ่าน ทางเว็บไซต์และโปรแกรมประยุกต์บนสื่อใดๆ ที่มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเน้นให้ผู้ใช้ทั้งที่ เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสารมีส่วนร่วม (Collaborative) อย่างสร้างสรรค์ ในการผลิตเนื้อหาขึ้น เอง (User-GenerateContent: UGC) ในรูปของข้อมูล ภาพ และเสียง รวมถึงการประชาสัมพันธ์ ด้วยสื่อแผ่นพับ แผ่นพับ หมายถึง สื่อโฆษณาที่เป็นสิ่งพิมพ์ที่ผู้ผลิตส่งตรงถึงผู้บริโภค มีทั้งวิธีการส่ง ทางไปรษณีย์และแจกตามสถานที่ต่าง ๆ ลักษณะเด่นของแผ่นพับ คือ มีขนาดเล็ก หยิบง่าย ให้ ข้อมูลรายละเอียดได้มากพอสมควร ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านเวลาใดก็ได้ ผู้ออกแบบมีเทคนิคการ ออกแบบตามอิสระ หลากหลาย ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำกว่าสิ่งพิมพ์ชนิดอื่น นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่ เข้าถึงเป้าหมายได้อย่างแท้จริง การทำแผ่นพับที่ดี ต้องประกอบไปด้วย (1) หลักการทั่วไป การออกแบบแผ่นพับ มี 2
13 เรื่องที่สำคัญ คือ หลักการที่ 1 สิ่งที่ต้องกำหนดและวางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ หลักการที่ 2 องค์ประกอบ และการจัดวางองค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับ (2) สิ่งที่ต้องกำหนด และ วางแผนก่อนการออกแบบแผ่นพับ มี 4 ข้อ ดังนี้ การกำหนดขนาดและรูปแบบของแผ่นพับ การ กำหนดลักษณะการส่ง การกำหนดกระดาษ และการกำหนดลำดับของการอ่านตามลักษณะของ แผ่นพับ และ (3) องค์ประกอบ และการจัดวางองค์ประกอบในการออกแบบแผ่นพับที่ต้องกำหนด และวางแผนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ พาดหัว ภาพประกอบข้อความ ภาพสถานที่หลัก และตราสัญลักษณ์ เป็นต้น กกก4. การฝึกปฎิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง โดยเฉพาะหนทางการดับกิเลส ดังนั้น ในเรื่องของ ศีล สมาธิ และปัญญา คือศีล มีหลายอย่าง หลายระดับ ทั้ง ศีล ที่เรามักเข้าใจกันทั่วไป คือ การงด เว้นจากการทำบาป ทางกาย วาจา เป็นต้น แต่มีศีลที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ที่เป็นศีล ที่เรียกว่า อธิศีล อันเป็นศีลที่เกิดพร้อมกับ สมาธิและปัญญาสมาธิโดยทั่วไป ก็เข้าใจกันว่า คือ การนั่งสมาธิ ให้สงบ แต่ในทางพระพุทธศาสนาจะใช้คำว่า อธิจิตสิกขา หรือ บางครั้งใช้คำว่า สัมมาสมาธิ ที่มุ่ง หมายถึง การเจริญสมถภาวนา และ สมาธิที่เกิดพร้อมกับปัญญาในปัญญาขั้นวิปัสสนาปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา ก็มีหลายระดับ แต่คือ ความเห็นถูกเช่น เชื่อกรรมและผลของกรรม ปัญญาขั้นการฟังการศึกษา ปัญญาขั้นสมถภาวนา และปัญญาขั้นวิปัสสนาภาวนา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง กกกกกกก1. ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับวิถีพุทธ ประวัติหลวงพ่ออี๋ คุณค่า ความภาคภูมิใจศาสนพิธี และการสืบสาน และอนุรักษ์หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกกกกกก2. ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตนในพิธีกรรมที่ทางศาสนาอย่างเหมาะสม และสามารถบอก กล่าวเล่าขานหรือเป็นมัคคุเทศก์อาสาแนะนำประวัติความเป็นมา ความศรัทธาที่มีต่อพ่ออี๋วัดสัตหีบ ได้ กกกกกกก3. ผู้เรียนเห็นคุณค่า ความสำคัญและภาคภูมิใจที่ได้เรียนรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋ ตลอดจนเห็นคุณค่าในการมีส่วนร่วมสืบสานและอนุรักษ์คุณงามความดีของหลวงพ่ออี๋ ขอบข่ายเนื้อหา หลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีเนื้อหาการเรียนรู้ จำนวน 80 ชั่วโมง หัวเรื่องที่ 1 วิถีพุทธ จำนวน 10 ชั่วโมง กกกกกกหัหัวเรื่องที่ 2 ประวัติหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ จำนวน 10 ชั่วโมง กกกกกกกหัวเรื่องที่3 คุณค่า ความศรัทธาที่มีต่อพ่ออี๋วัดสัตหีบ จำนวน 10 ชั่วโมง
14 กกกกกกกหัวเรื่องที่ 4 ศาสนพิธี กกกกกกก จำนวน 10 ชั่วโมง กกกกกกกหัวเรื่องที่5 การสืบสานและอนุรักษ์อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ จำนวน 40 ชั่วโมง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ กกกกกกก1. บรรยาย กกกกกกก2. กำหนดประเด็นการศึกษาร่วมกัน ให้ไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากสื่อที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อบุคคลและภูมิปัญญา และแหล่งเรียนรู้ในชุมชน กกกกกกก3. บันทึกผลการศึกษาค้นคว้าลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก4. พบกลุ่ม อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาได้ สรุปการเรียนรู้ ร่วมกัน กกกกกกก6. บันทึกลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก6. นำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปฝึกปฏิบัติตามใบงาน กกกกกกก7. ฝึกปฏิบัติสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบด้วยการบอกกล่าวเล่าขาน หรือเป็นมัคคุเทศก์อาสาควบคู่กับการทำสื่อประชาสัมพันธ์การฝึกปฏิบัติ กกกกกกก8. ส่งเอกสารรายงานการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ การฝึกปฏิบัติ กกกกกกก9. ส่งสื่อประชาสัมพันธ์ที่ผลิตได้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ กกกกกกก1. สื่อเอกสาร ได้แก่ 1.1 ใบความรู้ 1.2 ใบงาน 1.3 หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสังคมรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัด สัตหีบ 1.4 หนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิถีพุทธ ได้แก่ 1.4.1 ชื่อหนังสือ สารานุกรมไทย จีน-ฉัททันต์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 9 ผู้แต่งราชบัณฑิตยสถาน ปีที่พิมพ์ 2512-2513 โรงพิมพ์ รุ่งเรืองธรรม 1.4.2 ชื่อหนังสือ ภูมิประวัติพระพุทธศาสนา ผู้แต่ง เสถียร โฑธินันทะ ปีที่ พิมพ์2515 โรงพิมพ์บรรณาคาร 1.4.3 ชื่อหนังสือ ประวัติศาสตร์ศาสนา ผู้แต่ง สุชีพ ปัญญานุภาพ ปีที่พิมพ์ 2516 โรงพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด รวมสาส์น 1.4.4 ชื่อหนังสือ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน ผู้แต่ง สุชีพ ปัญญานุภาพ ปีที่ พิมพ์ 2539 โรงพิมพ์ กรุงเทพฯ : มกุฏราชวิทยาลัย.
15 1.4.5 ชื่อหนังสือ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. ผู้แต่ง ราชบัณฑิตยสถาน ปีที่พิมพ์ 2556 โรงพิมพ์ กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน 1.4.6 ชื่อหนังสือ 4 ศาสนาสำคัญของโลกปัจจุบัน หน้าที่ 51-52 นิกายใน ศาสนาพุทธ ผู้แต่ง มนต์ ทองชัช กกกกกกก2. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2.1 CD 2.2 Website ได้แก่ 2.2.1 Website เรื่อง มูลเหตุการณ์เกิดศาสนา ผู้เขียน ณัฐพงษ์ สังข์กลิ่นหอม (2559) สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/nathphngssangkhklinhxmiom/prawati 2.2.2 Website เรื่อง กำเนิดพุทธศาสนา สืบค้นเมื่อวันที่20 ตุลาคม 2560 จาก https://www.youtube.com/watch?v=X3EMTCaZNDU 2.2.3 Website เรื่อง การนับถือศาสนาพุทธ เว็บ GotoKnow โดย อาจารย์ ญาณภัทร ยอดแก้ว ในพุทธชยันตี 2,600 ปีสืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/485798 กกกกกกก3. สื่อบุคคลและภูมิปัญญา 3.1 พระครูทัศนีย์คุณากร เจ้าคณะอำเภอสัตหีบ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ที่อยู่ 333 หมู่ ที่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กกกกกกก4. สื่อแหล่งเรียนรู้ในชุมชน 4.1 วัดสัตหีบ ที่อยู่ เลขที่ 333 หมู่ที่ 1 ถนนชายทะเล ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 038-437125, 038-431400 4.2 ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอสัตหีบ (ห้องสมุด กศน.อำเภอสัต หีบ) ที่อยู่ เลขที่ 471 หมู่ที่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 038- 437807 การวัดและประเมินผล กกกกกกก1. ประเมินความก้าวหน้า คะแนนรวม 60 คะแนน ด้วยวิธีการ 1.1 การสังเกต 1.2 การซักถาม 1.3 ตรวจเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) 30 คะแนน 1.4 ตรวจเอกสารรายงานการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบและ ตรวจสื่อประชาสัมพันธ์30 คะแนน กกกกกกก2. ประเมินผลรวม คะแนนรวม 40 คะแนน ด้วยวิธีการ
16 2.1 ตอบแบบทดสอบวัดความรู้ 40 คะแนน 2.2 ตอบแบบสอบถาม วัดทักษะการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 2.3 ตอบแบบสอบถาม วัดเจตคติต่อหลักสูตรรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ กกกกกกก3. ให้นำคะแนนที่ได้จากข้อ 1 และ 2 มารวมกันแล้วแปลความหมายของคะแนน ออกเป็น 8 ระดับ ดังนี้ ได้คะแนนร้อยละ 80 - 100 ให้ระดับ 4 หมายถึง ดีเยี่ยม ได้คะแนนร้อยละ 75 - 79 ให้ระดับ 3.5 หมายถึง ดีมาก ได้คะแนนร้อยละ 70 - 74 ให้ระดับ 3 หมายถึง ดี ได้คะแนนร้อยละ 65 - 69 ให้ระดับ 2.5 หมายถึง ค่อนข้างดี ได้คะแนนร้อยละ 60 - 64 ให้ระดับ 2 หมายถึง ปานกลาง ได้คะแนนร้อยละ 55 - 59 ให้ระดับ 1.5 หมายถึง พอใช้ ได้คะแนนร้อยละ 50 - 54 ให้ระดับ 1 หมายถึง ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด ได้คะแนนร้อยละ 0 – 49 ให้ระดับ 0 หมายถึง ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ กำหนด กกกกกกก4. สำหรับคะแนนที่ผู้เรียนตอบแบบสอบถามวัดทักษะในข้อ 2.2 ถ้าผู้เรียนมีทักษะระดับ พอใช้ถึง มาก ถือว่าผ่าน ถ้าต่ำกว่า ให้ครูผู้สอนนำมาปรับปรุงการจัดการเรียนรู้เน้นทักษะที่ ต้องการพัฒนาให้มากยิ่งขึ้น กกกกกกก5. สำหรับคะแนนผู้เรียนตอบแบบสอบถามวัดเจตคติในข้อ 2.3 ถ้าผู้เรียนมีเจตคติ ระดับ พอใช้ถึง ดีถือว่าผ่าน ถ้าต่ำกว่า ให้ครูผู้สอนปรับปรุงเนื้อหาการจัดการเรียนรู้ และการวัด ประเมินผลให้ดียิ่งขึ้น
17 หัวเรื่องที่ 1 วิถีพุทธ สาระสำคัญ กกกกกกก1. การกำเนิดศาสนา ศาสนามีกำเนิดจากสาเหตุหลายประการตามความเชื่อของ ประชาชนแต่ละกลุ่ม และสภาพสิ่งแวดล้อมที่โน้มน้าวให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุ ออกได้ 6 ประการ คือ (1) เกิดจากความไม่รู้ (2) เกิดจากความกลัว (3) เกิดจากความจงรักภักดี(4) เกิดจากความอยากรู้เหตุผล หรือปัญญา (5) เกิดจากอิทธิพลของคนสำคัญ และ (6) เกิดจากลัทธิ การเมือง กกกกกกก2. นิกายสำคัญของพุทธศาสนา มี 2 นิกาย คือ (1) นิกายเถรวาท (หินยาน) เป็นนิกาย ที่ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักที่ว่า พระธรรมวินัยของ พระพุทธเจ้าเป็นกาลิโก ซึ่งหมายถึง ทันสมัยตลอดกาล ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุจุดหมายปลายทางได้ ยาก(2) นิกายอาจริยวาท (มหายาน) เป็นนิกายที่ยึดหลักที่ว่า ศาสนาจำเป็นต้องเสริมการพัฒนาให้ ทันสมัยเหมาะสมกับกาลเวลา และสภาวะของสังคมอยู่เสมอ ไม่กำหนดเรื่องกาลเวลา สามารถ พัฒนาได้เรื่อยไป ทำให้นิกายนี้แตกแยกเป็นนิกายย่อยจำนวนมากมาย จุดเด่นของนิกายนี้อยู่ที่ แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิ์สัตว์ สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือ สรรพชีวิตในโลกไปสู่ความ พ้นทุกข์ กกกกกกก3. การนับถือศาสนาพุทธ มี 2 แนว ได้แก่ (1) พระพุทธศาสนาแนวจารีต หมายถึง พระพุทธศาสนานัยที่สะท้อนความเป็นจารีตดั้งเดิม คือ พระไตรปิฎก เป็นแก่นสาระสำคัญ เน้นการ ปฏิบัติตามวิถีแห่งมรรค เพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง และ (2) พระพุทธศาสนาแนวประชานิยม หมายถึง ศาสนานัยที่สะท้อนวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ที่ถูกเสริมแต่งหรือกลมกลืน กับพระพุทธศาสนา มีพุทธธรรมบ่อเกิดประเพณีและถูกสร้างสรรค์ให้มีความงดงามอย่างเป็น เอกลักษณ์ เฉพาะท้องถิ่นผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมทั้งพราหมณ์รวมทั้งลัทธินับถือผีสาง เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ วิถีการปฏิบัติที่เห็นได้เด่นชัด คือ การทำบุญตามประเพณีในเทศกาลต่าง ๆ กกกกกกก ตัวชี้วัด กกกกกก1. บอกการกำเนิดศาสนา 2. บอกนิกายในศาสนาพุทธได้ 3. อธิบายจุดหมายการนับถือศาสนาพุทธ และความสำคัญของวิถีพุทธ เนื้อหา 1. การกำเนิดศาสนา 1.1 ความหมายของศาสนา ความหมายของศาสนาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 และ
18 ตามความเห็นของนักวิชาการด้านการศาสนาที่สำคัญ มีดังต่อไปนี้ ศาสนา หมายถึง ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลัก คือ แสดงกำเนิด และ ความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญ บาป อันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทำตามความเห็นหรือตามคำสั่ง สอนในความเชื่อถือนั้น ๆ ศาสนา หมายถึง คำสั่งสอน ท่านผู้ใดเป็นต้นเดิม เป็นผู้บัญญัติสั่งสอนก็เรียกว่า ศาสนาของท่านผู้นั้น หรือท่านผู้บัญญัติสั่งสอนนั่นได้นามพิเศษอย่างไร ก็เรียกชื่อนั้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ศาสนาจึงมีมาก คำสอนก็ต่างกัน ศาสนา หมายถึง ที่รวมแห่งความเคารพนับถืออันสูงส่งของมนุษย์เป็นที่พึ่ง ทางจิตใจซึ่งมนุษย์ส่วนมากย่อมเลือกยึดเหนี่ยวตามความพอใจ และความเหมาะสมแก่เหตุ แวดล้อมของตน มีคำสั่งสอน อันว่าด้วยศีลธรรม และอุดมคติสูงสุดในชีวิตของบุคคล รวมทั้งแนว ความเชื่อถือและแนวการปฏิบัติต่าง ๆ กันตามคติของแต่ละศาสนา กล่าวโดยสรุปแล้ว ศาสนา หมายถึง ความเชื่อของมนุษย์ที่เกี่ยวกับการกำเนิด และการสิ้นสุดของโลก ความเชื่อเกี่ยวกับการหลุดพ้นอันเป็นปรมัตถ์ และความเชื่อเกี่ยวกับบุญ บาป อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ช่วยให้มนุษย์ได้ทำความดีตามความเชื่อของตน ศาสนาจะมีชื่อเรียกตามนามศาสดาผู้ให้กำเนิดหรือนามพิเศษที่กำหนดขึ้น 1.2 สาเหตุการกำเนิดศาสนา นักวิชาการกล่าวถึงสาเหตุของการกำเนิดศาสนาไว้หลายประการ สามารถ จัดเป็น2 ความเห็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ ความเห็นที่ 1 มีความเห็นว่าศาสนามีกำเนิดจาก 6 สาเหตุ ได้แก่ สาเหตุที่ 1 เกิดจากความไม่รู้ หรืออวิชชา สาเหตุที่ 2 เกิดจากความกลัว สาเหตุที่ 3 เกิดจากความจงรักภักดี สาเหตุที่ 4 เกิดจากความอยากรู้เหตุผล หรือการใช้ปัญญา สาเหตุที่ 5 เกิดจากอิทธิพลของคนสำคัญ สาเหตุที่ 6 เกิดจากลัทธิการเมือง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ สาเหตุที่ 1 เกิดจากความไม่รู้ หรืออวิชชา ความไม่รู้เหตุผลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปรากฏการณ์ ธรรมชาติก็คิดว่าเป็นอำนาจของเทพเจ้าบันดาลให้เป็นไป ซึ่งความไม่รู้ในเหตุผลทั้งหลายเหล่านั้น สรุปได้ดังนี้ ความไม่รู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์คนในประเทศอินเดียไม่เคยปีนไปบนยอดเขา
19 หิมาลัยอันปกคลุมด้วยหิมะอย่างหนาทึบในฤดูหนาว เมื่อถึงฤดูร้อนหิมะละลาย น้ำไหลลงมาเป็น แม่น้ำคงคา ชาวอินเดียไม่รู้ว่าต้นน้ำของแม่น้ำคงคาเกิดจากเหตุนี้เข้าใจว่าเป็นน้ำที่ไหลมาจาก สวรรค์ผ่านเศียรพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ และเข้าใจว่าแม่น้ำคงคานั้น ศักดิ์สิทธิ์สามารถล้างบาปได้ คนจึงนิยมไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคาเพื่อล้างบาป ตามความเชื่อของ ศาสนาพราหมณ์ ความไม่รู้เหตุผลทางดาราศาสตร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาขึ้นเพราะ การโคจร ของโลกรอบดวงอาทิตย์ ประชาชนที่ไม่รู้เหตุผลก็เรียกว่าเกิดราหูอมจันทร์ จึงยิงปืนบ้าง จุดประทัดบ้าง หรือตีเกราะเคาะไม้ เพื่อให้ราหูตกใจแล้วจะได้หนีไป ความไม่รู้เหตุผลทางชีววิทยา คนบางคนเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ เขาจะยกมือไหว้ โดยเชื่อว่า ต้นไม้นั้นเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าผู้ที่เดินทางผ่านภูเขาใหญ่ หรือภูเขาที่ประกอบด้วย หน้าผารูปแปลก ๆ ชาวบ้านให้ชื่อภูเขานั้นตามที่ตนนึกว่าเหมือนอะไร แล้วก็แสดงความเคารพ ภูเขานั้น โดยถือว่ามีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ ความไม่รู้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์เมื่อเห็นรุ้งกินน้ำ ก็เข้าใจว่าเกิดจากอำนาจสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้เกิดขึ้น จึงทำนายไปตามความเข้าใจของตนว่า รุ้งกินน้ำทางทิศนี้ฝนจะตกชุก รุ้ง กินน้ำ ทางทิศนั้นฝนจะแล้ง จากความไม่รู้เหตุผลดังกล่าวมาแล้ว ทำให้คนยึดถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดศาสนาประเภทเทวนิยม หรือศาสนาที่นับถือเทพเจ้าขึ้น สาเหตุที่ 2 เกิดจากความกลัว เนื่องจากความไม่รู้เหตุผล เมื่อบุคคลได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ลม พายุ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว มีดาวหางปรากฏขึ้นก็เกิดความกลัว จึงขวนขวายหาที่พึ่งโดยคิดว่า ปรากฏการณ์เหล่านั้นมีเทพเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้น จึงได้อ้อนวอนบนบานศาลกล่าวขอให้เทพเจ้า เหล่านั้น โปรดระงับสิ่งเหล่านั้นเสีย สาเหตุที่ 3 เกิดจากความจงรักภักดี ความภักดี คือ ความเชื่อในสิ่งนั้นว่ามีอำนาจเหนือคน หรือเชื่อในบุคคลว่า มีความ ดีที่เชื่อถือได้เกิดความเลื่อมใสในสิ่งนั้น หรือบุคคลนั้นว่ามีศักดิ์ศรีหรือมีจริยาวัตรที่ควรแก่การ ยก ย่อง เมื่อเกิดความเชื่อความเลื่อมใสแล้ว ความเคารพ ความรักและความนับถือจะเกิดขึ้นตามมา กิจกรรมประกอบในสิ่ง ที่ตนมีความเชื่อความเลื่อมใสนั้น ได้แก่ การแสดงความเคารพทางกายมีการ กราบไหว้บูชา เคารพทางวาจาได้แก่ การกล่าวคำสรรเสริญ ยกย่อง เคารพทางใจได้แก่ การ เลียนแบบจริยาวัตร หรือปฏิบัติตาม คำสอนของผู้นั้น ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดศาสนาขึ้น สาเหตุที่ 4 เกิดจากความอยากรู้เหตุผล หรือการใช้ปัญญา ความอยากรู้เหตุผลนั้น เป็นความรู้ที่ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งจะต้องคิดค้นถึง เหตุผล
20 ที่แท้จริงว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร ดังเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทุกข์ จึงทรงพยายามที่จะแก้ทุกข์ทั้งสามอย่าง โดยทรง ดำริว่าในโลกมีสิ่งที่เป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกันเสมอ เช่น มีมืดแล้วก็มีสว่าง มีร้อนแล้วก็มีเย็น ฉะนั้นเมื่อมี แก่ก็ต้องมีไม่แก่ได้ มีเจ็บก็ต้องมีไม่เจ็บได้ มีตายก็ต้องมี ไม่ตายได้ ความอยากรู้เหตุผลเป็นเหตุให้เกิด ศาสนาที่เป็น อเทวนิยม หรือศาสนาที่ไม่นับถือเทพเจ้า สาเหตุที่ 5 เกิดจากอิทธิพลของคนสำคัญ การเคารพต่อวิญญาณของบรรพบุรุษ เป็นสิ่งที่ได้กระทำกันมาช้านาน ถ้าบุคคล นั้นเป็นที่สำคัญต่อชุมชน ก็สามารถเป็นจุดศูนย์รวมน้ำใจของคนส่วนมากไว้ได้ อีกประการหนึ่งการ เคารพบุคคลสำคัญทางวรรณคดี เช่น พระราม และพระกฤษณะในเรื่องมหาภารตะ ซึ่งเป็น วรรณคดีที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย พราหมณ์ต้องการให้พระราม และพระกฤษณะเข้ามาเป็นเทพเจ้าใน ศาสนาฮินดู เพื่อต้องการให้ประชาชนนับถือศาสนาฮินดูมากยิ่งขึ้น จึงได้ประกาศแก่ประชาชนว่า พระราม และพระกฤษณะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ พระวิษณุได้อวตารลงมานั่นเอง ประชาชนได้ทราบ เช่นนั้นก็ไม่ว่าอะไร เพราะเขานับถือของเขาอยู่แล้วก็ยิ่งเป็นความดียิ่ง ๆ ขึ้น การเคารพนับถือ วิญญาณของบุคคลสำคัญก็เป็นทางหนึ่งที่ทำให้เกิดศาสนาขึ้น สาเหตุที่ 6 เกิดจากลัทธิการเมือง ความเชื่อถือทางลัทธิการเมือง ทำให้คนมีจิตใจเบี่ยงเบนออกไปจากศาสนาประจำ ชาติของตนได้ เช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ได้กล่าวประณามศาสนาเป็นยาเสพติด เอาเปรียบสังคม เป็น กาฝากสังคม สูบเลือดเอาประโยชน์จากสังคม ผู้ที่เชื่อถือศาสนาเป็นพวกงมงาย ทำให้เริ่มต้น เผยแพร่ลัทธินี้คือ ประเทศรัสเซีย และจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นประเทศที่ถือลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นศาสนาประจำชาติ ความเห็นที่ 2 มีความเห็นว่าศาสนามีกำเนิดจาก 6 ประการ ได้แก่ ประการที่ 1 อวิชชา (Lack of Knowledge) ความไม่รู้ ความไม่รู้ ไม่เข้าใจในเหตุผลทางด้านภูมิศาสตร์ดาราศาสตร์ ชีววิทยา รวมถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่น ๆ รอบตัวของคนสมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงจึงคิด ว่ามีสิ่งที่มีอำนาจเหนือมนุษย์เหนือธรรมชาติ แล้วพากันบูชาบวงสรวงอ้อนวอนให้เมตตาปรานีเพื่อ ขอความปลอดภัยในชีวิต ความคิดลักษณะเช่นว่านี้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดศาสนาขึ้น และศาสนาของ คนโบราณจึงมักจะมีมูลเหตุมาจากอวิชชา หรือความไร้ความรู้เหตุผล ประการที่ 2 ความกลัวภัย (Fear) เพราะความไม่รู้ ความไม่รู้เป็นสาเหตุให้เกิดความกลัว เช่น ไม่รู้ไม่เข้าใจในปรากฏการณ์ ธรรมชาติ อาจเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วม ฟ้าผ่า ความมืด ก็เกิดความกลัวในปรากฏการณ์ธรรมชาติ พร้อมกับเข้าใจไปว่าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ๆ จะต้องมีผู้มีฤทธิ์เดชเป็นผู้ดลบันดาล จึงเกิดความ เชื่อเรื่องเทพเจ้าหรือเทวดาต่าง ๆ เช่น เทพเจ้าแห่งฝน เทพเจ้าแห่งพายุ เป็นต้น และเทพเจ้า เหล่านั้นก็คงมีลักษณะเช่นเดียวกับมนุษย์ คือ มีรัก มีโกรธ มีการให้รางวัล และการลงโทษ จึงคิด
21 หาทางเอาอกเอาใจด้วยการเคารพกราบไหว้ เพื่อมิให้เทพเจ้าเหล่านั้นบันดาลภัยพิบัติแก่ตน แต่ให้ บันดาลความสุขสวัสดีมาให้ ภัยหรือความกลัวจึงเป็นมูลเหตอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดศาสนาขึ้น ประการที่ 3 ความศรัทธา (Faith) ความศรัทธา นำไปสู่ความเชื่อ หรือ ความเลื่อมใสในสิ่งที่ตนเองมั่นใจว่ามี อำนาจ เหนือมนุษย์ธรรมดา มีอำนาจเหนือธรรมชาติที่จะสามารถดลบันดาลให้ตนได้รับความ คุ้มครองป้องกันจากภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ เมื่อเกิดความเชื่อและความเลื่อมใสเช่นนี้ก็ยอมที่จะปฏิบัติ ตาม ยอมที่จะมอบกายถวายตนด้วยความจงรักภักดีอย่างสุดจิตสุดใจ ศรัทธาหรือความจงรักภักดีจึง กลายเป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดศาสนา โดยเฉพาะศาสนาประเภทเทวนิยม หรือศาสนาที่นับถือเทพเจ้า ประการที่ 4 ความต้องการเหตุผล (Want of Sources) เมื่อมนุษย์มีความเจริญมากขึ้น ก็มีสติปัญญาสามารถพิจารณาหาเหตุผลได้ หา ความจริงของชีวิตได้ ศาสนาที่เกิดจากความต้องการเหตุผล เช่น ศาสนาพุทธ เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงมีสติปัญญาดี รู้จักค้นคิด เข้าใจคิด เช่น คิดเรื่อง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย และทุกหนทุกแห่ง แต่พระองค์ได้เข้าใจคิดให้เป็นประโยชน์ รู้จักหาประโยชน์จากเหตุการณ์ธรรมดา ๆ เหล่านี่มาเป็น ตัวปลุกเร้าให้เกิดปัญญาญาณ หรือรู้อย่างถ่องแท้ ความต้องการเหตุผล เมื่อค้นพบเหตุผลแล้วก็จะ เกิดความศรัทธาและปฏิบัติตาม เป็นสาเหตุของการเกิดศาสนาได้ ประการที่ 5 ความต้องการที่พึ่งทางใจ (Needs of Spiritual Refuge) ที่พึ่งทางใจเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการมากเพราะสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของตนรู้สึก ว่าจะไม่เป็นที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติ จากอมนุษย์หรือจากมนุษย์ด้วยกัน หรือจาก ธรรมดาของชีวิต เช่น ความผิดหวัง ความกังวลใจ ทรมานใจ ความเจ็บ ความแก่ ความตาย ความ พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ขาดความอบอุ่นทางจิตใจ จึง จำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยวเพื่อให้ชีวิตยังคงมีความหวังมีความหมาย ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจ ได้ก็ต้องมีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา อันได้แก่ พระเจ้า หรือเทพเจ้า มนุษย์จึงพากันบูชาเทพเจ้า เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งปลอดภัย ประการที่ 6 ความต้องการความสงบสุขของสังคม (Social Needs of Happiness) การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นกลุ่มเป็นสังคมนั้น สิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับ สมาชิกของสังคม คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สงบเรียบร้อย ทุกคนสามารถหาความสุข ความสำเร็จ ความปลอดภัยได้ตามสมควรแก่อัตภาพ การที่จะบรรลุเป้าหมายเช่นนั้นได้ สมาชิกของ สังคมจะต้องอยู่ในกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผน ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงาม ของสังคม นอกจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกควบคุมระเบียบสังคมให้เรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องมี ศาสนาเข้าไปมีบทบาทด้วย จึงจะได้ผลสมบูรณ์มากขึ้น เพราะการที่มนุษย์จะเชื่อหรือปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์ทางสังคมมากน้อยเพียงใดนั้น ศาสนามีความสำคัญมากในการช่วยกล่อมเกลาโน้มน้าว
22 จิตใจ และสร้างสำนึกทางศีลธรรมต่อสังคม อันจะยังผลให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นแก่สังคมที่ทุกคน ต้องการ 1.3 ประวัติพระศาสดาของศาสนาพุทธ กกกกกกก พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่ง หมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุ ทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายาพระราชธิดาของ กษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ กกกกกกก พุทธประวัติย่อ ประสูติ กกกกกกก ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระ สุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ปัจจุบัน คือ สวนลุมพินีวัน อยู่ในเขตประเทศเนปาล ทันทีที่ประสูติเจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระ บาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า “เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของ เรา” แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชาย สิทธัตถะ จึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดี โคตรมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา มี พราหมณ์ จำนวน 8 คน ได้ทำนายว่าเจ้าชายสิทธัตถะ มีลักษณะเป็นมหาบุรุษหากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอก ของโลกแต่โกณฑัญญะ พราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่าพระราชกุมาร สิทธัตถะ จะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ชีวิตในวัยเด็กของเจ้าชายสิทธัตถะ
23 ในวัยเด็กเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ 18 แขนงอันเป็น ศาสตร์ที่กษัตริย์ต้องเล่าเรียนในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชาย สิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการ สร้างปราสาท 3 ฤดู ให้ประทับ การอภิเษกสมรสของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ พระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา หรือพระนางพิมพา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนกระทั่งมี พระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า “ราหุล” ซึ่ง หมายถึง “บ่วง” การเสด็จออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ
24 เจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้า ประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต หรือ ทูตสวรรค์ ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงการเกิด แก่ เจ็บ และตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทาง โลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเพศสมณะ ดังนั้น พระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา โดยพระองค์ทรงม้ากัณฐกะ สู่ แม่น้ำอโนมา ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุด ผ้ากาสาวพัตร์ หรือผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้ แล้วให้นายฉันทะนำเครื่องทรงกลับไปยังกรุง กบิลพัสดุ์ การบำเพ็ญทุกรกิริยาของเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ด้วย การศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบ ทั้ง 2 สำนักแล้วทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ใน ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจ และอด อาหารจนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิก บำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลง มาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือ ดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึง ไว้หย่อน เสียงจะยืดยาด ขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียง กังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลาง คือ ไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่น คือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์ หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อ
25 พระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความ ตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในตอนเช้าวันเพ็ญเดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ขณะนั้นนางสุชาดาได้นำข้าวมธุปายาสไปบวงสรวงเทวดา ครั้นเห็นพระ มหาบุรุษประทับที่โคนต้นไทรด้วยอาการสงบ นางคิดว่าเป็นเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส เมื่อ เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสวยข้าวมธุปายาสแล้ว จึงเสด็จไปริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตอนเย็นวันนั้นเอง พระองค์ได้กลับมายังต้นโพธิ์ที่ประทับ พบคนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะนำหญ้ามาถวายให้พระองค์ปูลาด ณ ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ทรงนำหญ้าปูลาดเป็นที่ประทับ แล้วขึ้นประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศ ตะวันออก และได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า แม้เลือดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตาม ถ้ายังไม่พบธรรมวิเศษแล้วจะไม่ยอมหยุดความเพียรเป็นอันขาด เมื่อทรงตั้งจิตอธิษฐานแล้ว พระองค์ก็ทรงสำรวมจิตให้สงบแน่วแน่เริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต และในที่สุดทรงชนะความลังเล พระทัย ทรงบรรลุความสำเร็จ เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นจากกิเลสทั้งปวง พระองค์ก็ ตรัสรู้เป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ในวันเพ็ญ เดือน 6 ปีระกา ธรรม สูงส่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
26 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตรและเพื่อนของยสกุล บุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้ มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้ สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดง ธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถ ดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ “ติสรณคมนูปสัมปทา” คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ ตรัสว่า “บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคตเสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และ ปรินิพพาน” และมีพระดำรัสว่า “โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โสโว มมจจเยน สตถา” อันแปลว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอ ทั้งหลายธรรม วินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอด กลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละเพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จ ดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่ พระสุภัททะปริพาชก ซึ่งถือได้ว่า “พระสุภภัททะ” คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และ
27 ปุถุชนจากแคว้นต่าง ๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้ ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาท ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” (อปป มาเทน สมปาเทต) จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัล ลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราชพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน สรุป ศาสนามีกำเนิดจากสาเหตุหลายประการตามความเชื่อของประชาชนแต่ละ กลุ่มและสภาพสิ่งแวดล้อมที่โน้มน้าวให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุออกได้ 6 ประการ คือ (1) เกิดจากความไม่รู้ (2) เกิดจากความกลัว (3) เกิดจากความจงรักภักดี(4) เกิดจากความอยาก รู้เหตุผล หรือปัญญา (5) เกิดจากอิทธิพลของคนสำคัญ และ (6) เกิดจากลัทธิการเมือง กกกกกกก2. นิกายในศาสนาพุทธ 2.1 นิกายที่สำคัญของพุทธศาสนา มี 2 นิกาย ได้แก่ 2.1.1 นิกายอาจริยวาท (มหายาน) หมายถึง นิกายในศาสนาพุทธ ฝ่ายอาจริ ยวาทที่นับถือกันอยู่ในประเทศแถบตอนเหนือของอินเดีย เนปาล จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม มองโกเลีย รวมถึงบางส่วนของรัสเซีย สมัยต่อมาเรียกตัวเองว่า“มหายาน” แปลว่า พาหนะอัน ใหญ่โตเพราะการแก้ไขวัตรปฏิบัติให้อำนวยความสะดวกสบายยิ่งขึ้นจะช่วยให้สามารถนำผู้พ้นทุกข์ ได้จำนวนมาก มีหลักความเชื่อว่า มหายาน แปลว่า “ยานใหญ่” เป็นนามซึ่งตั้งขึ้นเพื่อแสดงว่า พระพุทธศาสนาแบบนี้ สามารถช่วยให้สัตว์โลกข้ามพ้นวัฎสงสารได้มาก นิกายอาจาริยวาท เป็น นิกายที่ยึดหลักที่ว่า ศาสนาจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยเหมาะสมกับกาลเวลา และสภาวะ ของสังคมอยู่เสมอ อกาลิโกในทัศนะของฝ่ายอาจริยวาท จึงหมายถึง ไม่กำหนดเรื่องกาลเวลา สามารถพัฒนาได้เรื่อยไป ความคิดเห็นดังกล่าวของผู้นับถือนิกายอาจาริยวาท ทำให้นิกายนี้ แตกแยกเป็นนิกายย่อยจำนวนมากมายในสมัยนี้จุดเด่นของนิกายนี้อยู่ที่แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือ สรรพชีวิตในโลกไปสู่ความพ้นทุกข์ 2.1.2 นิกายเถรวาท (หินยาน) หมายถึง นิกายที่ยึดถือพระธรรมวินัยเดิม ของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด นิกายนี้ยึดหลักที่ว่า พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นกาลิโก ซึ่ง หมายถึง ทันสมัยตลอดกาล หินยาน แปลว่า “ยานอันคับแคบ”เพราะวัตรปฏิบัติอันเข้มงวดกวดขันจะ ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุจุดหมายปลายทางได้ยาก นิกายเถรวาท หรือ หินยาน เป็นนิกายเก่าแก่ที่สุด ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมอย่างเคร่งครัด นับถือมากในไทย พม่า เขมร ลาว ศรีลังกา 2.2 สาเหตุของการเกิดนิกาย ความแตกแยกนิกายในวงการพุทธศาสนาครั้งสำคัญ เริ่มขึ้นหลังจากการ สังคายนา
28 ครั้งที่ 2 เมื่อคณะสงฆ์วัชชีบุตรซึ่งมีพวกมากประพฤตินอกรีตนอกรอย และแก้ไขพระวินัย 10 ข้อ เป็นเหตุให้คณะสงฆ์ที่ยึดมั่นในพระธรรมวินัยเดิมอย่างเคร่งครัดและคณะสงฆ์วัชชีบุตร ต่างฝ่ายต่าง แยกกันทำสังคายนา ครั้งนั้นพุทธศาสนาได้เริ่มแตกแยกเป็น 2 นิกาย คือ เถรวาท กับ อาจริ ยวาท ฝ่ายเถรวาท เรียกว่า นิกายสถวีระ หรือ สถวีระ ฝ่ายอาจริยวาท เรียกว่า นิกายมหาสังฆิกะ นิกายมหาสังฆิกะเจริญรุ่งเรืองในอินเดียภาคเหนือ ส่วนนิกายสถวีระ เจริญรุ่งเรืองในอินเดียภาคใต้ ฐานะของนิกายทั้งสองในสังคมอินเดียขณะนั้นต่างกัน คือ นิกายสถวีระ เป็นนิกายของทางราชการ เพราะได้อุปถัมภ์จากกษัตริย์นับแต่ต้นมาโดยตลอด ส่วนนิกายมหาสังฆิกะ เป็นนิกายของประชาชน เพราะอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติและพัฒนาตามสภาวะของสังคม จึงได้รับความนิยมในหมู่ ประชาชนและมีจำนวนผู้นับถือมากกว่านิกายเถรวาท เนื่องจากนิกายมหาสังฆิกะ เริ่มต้นด้วยพุทธบริษัทที่มีความคิดก้าวหน้า ต้องการ พัฒนาศาสนาให้มีผู้นิยมนับถือมากที่สุด ประกอบกับการที่ต้องแข่งขันกับอิทธิพลของศาสนาอื่น เช่นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ศาสนาเซน และศาสนากรีก (สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์รุกรานอินเดีย) ทำให้บรรดาคณาจารย์ที่แยกย้ายกันออกไปเผยแผ่ศาสนาต่างเพิ่มเติมความคิดส่วนตัวของตนเข้าใน คำสอน เป็นเหตุให้เกิดคัมภีร์ใหม่และนิกายใหม่ขึ้นหลายนิกาย เช่น คําภีร์ มหาวัสดุ ของนิกายโลกุ ดรวาทีนและคัมภีร์ ลลิตวิลดร ของนิกายสรวาทติวาทิน เป็นต้น ประมาณพ.ศ. 235 นิกายเถรวาท ได้รับอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช จนแพร่ขยายไปตั้งมั่นอยู่ในประเทศลังกา พม่า ไทย ลาว และกัมพูชาสมัยต่อมา ประมาณ พ.ศ. 624 พุทธศาสนานิกายย่อยของนิกายมหาสังฆิกะ ชื่อนิกายล วาสทิน ได้รับความอุปถัมภ์จากพระเจ้ากนิษกะ แห่งราชวงศ์กุษานซึ่งปกครองอินเดียระหว่าง พ.ศ. 613 - 645 ทำการสังคายนา ครั้งที่ 3 ครั้งนั้นได้จารึกพระไตรปิฎกทั้งหมดลงแผ่นทอง นับแต่นั้น พุทธศาสนานิกาย ลวาสทินได้ตั้งมั่นในอินเดียภาคเหนือ และแพร่ขยายสู่ประเทศจีน มองโกเลีย ทิเบต เกาหลี เวียดนามและญี่ปุ่น นิกายมหายานเริ่มต้นอุบัติขึ้นในสมัยของพระเจ้ากนิษกะ และ ปรากฏเด่นชัดโดยสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 700 2.3 หลักความเชื่อในนิกายมหายาน 2.3.1 พระพุทธเจ้าที่แท้จริงทรงเป็นอมตะ ทรงมี 3 สภาวะ เรียกว่า “ตรีกาย” คือ ธรรมกาย สัมโภกายและนิรนามกาย ประทับอยู่เหนือโลก (โลกุตระ) ณ แดนที่เรียกว่า “พุทธ เกษตร” หรือสุขาวดี ทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์เพียงครั้งคราวเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ 2.3.2 ผู้ใดปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นบรรลุโพธิญาณก็สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ ทั้งนั้น พระพุทธเจ้า จึงมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน 2.3.3 มหายานบางนิกายให้ความเคารพนับถือพระโพธิสัตว์ (ผู้ที่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าด้วยการบำเพ็ญบุญบารมี ในอนาคต) ซึ่งก็มีจำนวนมากมายหลายพระองค์เช่นกัน องค์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้แก่องค์ที่มีพระนามว่า อวโลกิเตศวรและมัญชุนาถ คัมภีร์สัทธรรม ปุณฑริก ถือว่า พระมัญชุนาถ (มัญชุศรีหรือมัญชุโฆษ) เป็นองค์ปฐมโพธิสัตว์ และเป็นพระอาจารย์
29 ของพระศรีอารยเมตไตรย (ในอนาคต) พระพุทธรูปซึ่งสร้างขึ้นบุชาพระสงค์มักทำเป็นรูปพระหัตถ์ หนึ่งทรงกระบี่ (หมายถึง ปัญญา) อีกพระหัตถ์หนึ่งถือหนังสือ 2.3.4 จุดหมายสูงสุดของนิกายมหายาน คือ การบรรลุ “ฌาน” (ญี่ปุ่นเรียก “เซน”) หมายถึง ปัญญาความรู้ที่เกิดจากสมาธิจิตระดับสูง 2.3.5 นิกายมหายาน ถือว่า พระพุทธเจ้าทรงบรรลุนิพพาน (สอปาทิเสสนิ พาน)นับแต่วันตรัสรู้ ข้อควรทราบ ผู้สั่งสอนแลเผยแผ่ลัทธิมหายานโดยตรง และเด่นชัดที่สุดเป็นคน แรก คือ “นาคารชุน” บุตรพราหมณ์ชาวเมืองวิทรรภ ท่านผู้นี้เป็นคณาจารย์ในพุทธศาสนาทาง ภาคใต้ของอินเดีย (ประมาณ พ.ศ. 700) 2.4 ความแตกต่างระหว่างนิกายมหายานกับนิกายเถรวาท เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างนิกายมหายานกับนิกายเถรวาท นิกายอาจริยวาท (มหายาน) นิกายเถรวาท (หินยาน) 1. สอนให้ทุกคนมุ่งมั่นโพธิญาณด้วยการปฏิบัติ ตามทศบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ 2. มุ่งพัฒนาปริมาณผู้ศรัทธาเข้ามานับถือ ศาสนาก่อนการพัฒนาด้านคุณภาพ 3. มุ่งประโยชน์สูงสุดโพธิจิตเป็นใหญ่แม้ต้อง กระทำผิดวินัย เช่น การค้าถ้าจำเป็น 4. มีการปรับปรุงพิธีกรรมและใช้ธรรมสังคีต เป็นเครื่องมือประกอบการประกาศพระ ศาสนา 5. มีการอธิบายขยายความเพิ่มเติมพระพุทธเจ้า วัจนะออกไปอย่างกว้างขวาง 6. มีการแต่งพระสูตรใหม่ ๆ เพิ่มเติมอย่างมาก โดยมิได้ยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก 7. เป็นศาสนาเทวนิยมนับถือและให้ความสำคัญ แก่พระพุทธเจ้าหลายองค์ซึ่งไม่ใช่ พระสมณโคดม 8. เน้นความช่วยเหลือที่จะได้รับจากพระเจ้า ด้วยความศรัทธาและภักดีต่อพระองค์ 9. นิพพานของพระพุทธเจ้ามิใช่การดับสูญโดย สิ้นเชิงแต่เป็นการเสด็จจากโลกมนุษย์กลับสู่ สวรรค์โลกุตระเมื่อไดโลกเกิดยุคเข็ญจะลงมา 1. สอนให้มุ่งอรหันต์ผลเพื่อพ้นทุกข์โดยเน้น หลักอริยสัจ 4 2. มุ่งพัฒนาคุณภาพผู้เข้ามานับถือศาสนา เป็นสำคัญ 3. มุ่งผลสูงสุดที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติอัน ถูกต้องตามพระวินัย 4. ไม่ถือว่าพิธีกรรมเป็นเรื่องสำคัญและไม่ นิยมใช้ธรรมสังคีตประกอบการเผยแพร่ ศาสนา 5. ยึดถือพระพุทธเจ้าคณะเดิมอย่าง เคร่งครัด 6. มีการแต่งเพิ่มเติมบ้างแต่น้อยและยึดถือ พระพุทธเจ้าเป็นหลักสำคัญ 7. เป็นศาสนาอเทวนิยมนับถือและให้ ความสำคัญแก่พระพุทธเจ้าองค์ที่มี พระนาม ว่าพระสมณโคดมสูงสุด 8. ให้พึ่งตนเองและเชื่อกฎแห่งกรรม 9. นิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นการดับสูญ ตามอายุไขของมนุษย์ธรรมดาแต่เป็นการ ดับสูญโดยสิ้นเชิงไม่หวนกลับมาเกิดอีก
30 นิกายอาจริยวาท (มหายาน) นิกายเถรวาท (หินยาน) เกิดเป็นมนุษย์โพธิสัตว์เพื่อชี้ทางพ้นทุกข์แก่ สัตว์โลกอีก 10. พระไตรปิฎกจารึกบนแผ่นทองด้วยภาษา สันสกฤต 10. พระไตรปิฎกจารึกบนใบลานด้วยภาษา สันสกฤต กกกกกกกสรุป นิกายสำคัญของพุทธศาสนา มี 2 นิกาย คือ (1) นิกายเถรวาท (หินยาน) เป็นนิกาย ที่ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักที่ว่า พระธรรมวินัยของ พระพุทธเจ้าเป็นกาลิเก ซึ่งหมายถึง ทันสมัยตลอดกาล ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุจุดหมายปลายทางได้ ยาก(2) นิกายอาจริยวาท (มหายาน) เป็นนิกายที่ยึดหลักที่ว่า ศาสนาจำเป็นต้องเสริมการพัฒนาให้ ทันสมัยเหมาะสมกับกาลเวลา และสภาวะของสังคมอยู่เสมอ ไม่กำหนดเรื่องกาลเวลา สามารถ พัฒนาได้เรื่อยไป ทำให้นิกายนี้แตกแยกเป็นนิกายย่อยจำนวนมากมาย จุดเด่นของนิกายนี้อยู่ที่ แนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิ์สัตว์ สร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือ สรรพชีวิตในโลกไปสู่ความ พ้นทุกข์ กกกกกกก3. การนับถือศาสนาพุทธ ในอดีตที่ผ่านมาสันนิษฐานว่าเดิมทีสังคมในดินแดนสุวรรณภูมิก่อนที่จะนับถือ พระพุทธศาสนานั้น มีลัทธิความเชื่อดั้งเดิมแพร่หลายอยู่ก่อนทั้งความเชื่อ เรื่องผีสาง เทพเจ้า ไสยศาสตร์ และลัทธิศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามามีอิทธิพลอยู่ก่อน การเข้ามาของพระพุทธศาสนาจึง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนความเชื่อและวิถีชีวิตดั้งเดิมไปโดยสิ้นเชิง คงเป็นไปได้เพียงค่อย ๆ สร้าง ความสนใจ ความเข้าใจและความเคารพนับถือจากผู้คนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะปรับตัว เข้ากับความเป็นดั้งเดิมนั้น แต่ในขณะเดียวกันแก่นหรือสาระเดิมแท้ที่เป็นหลักสำคัญอันได้แก่ ความ เชื่อและหลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ที่เรียกว่า “พระธรรมวินัย” ก็จะต้องรักษาไว้ให้มั่นคงตาม แนวคิดของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะนั่นคือ วิถีแห่งสัจจะที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเป็น เช่นนี้ นับจากอดีตสู่ปัจจุบัน พระพุทธศาสนาในสังคมไทยจึงก่อเกิดภาพลักษณ์ 2 ด้าน กลายเป็น นัยแห่งพระพุทธศาสนา 2 แนว ดังนี้ 3.1 พระพุทธศาสนาแนวจารีต หมายถึง พระพุทธศาสนานัยที่สะท้อนความเป็น จารีตดั้งเดิม ถือพระไตรปิฎกเป็นแก่นสาระสำคัญ เน้นการปฏิบัติตามวิถีแห่งมรรคเพื่อความพ้นทุกข์ โดยสิ้นเชิง ในปัจจุบันพบได้ในแนวปฏิบัติของวัดที่เป็นสำนักปฏิบัติสายพระป่าเป็นส่วนมาก ที่ไม่ เน้นการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เน้นอามิส ศาสนพิธีและประเพณีทางศาสนาที่ผิดหลักหรือ คลาดเคลื่อนจากพระธรรมวินัยดั้งเดิม มีเป้าหมายของการปฏิบัติสู่พระนิพพานอย่างชัดเจน 3.2 พระพุทธศาสนาแนวประชานิยม หมายถึง พระพุทธศาสนานัยที่สะท้อน วัฒนธรรมหรือความเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยที่ถูกเสริมแต่ง หรือกลมกลืนกับพระพุทธศาสนา
31 มีพุทธธรรมเป็นบ่อเกิดประเพณีและถูกสร้างสรรค์ให้มีความงดงามอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ท้องถิ่น ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมทั้งพราหณ์รวมทั้งลัทธินับถือผีสาง เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่าง ๆ วิถีการปฏิบัติที่เห็นได้ชัด คือ การทำบุญตามประเพณีในเทศกาลต่าง ๆ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้า ที่ นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนบานสานกล่าว ทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เสริมดวงและความ เชื่อทางไสยศาสตร์ที่มีรูปแบบทางพุทธเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เป็นต้น ซึ่งดูจะเป็นความเชื่อและวิถี ชีวิตของคนส่วนมากในสังคมไทย มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการ ความสุขสบาย โชคลาภ ความเจริญก้าวหน้าและสิริมงคลสำหรับชีวิตเป็นหลัก การนับถือพระพุทธศาสนาทั้ง 2 ลักษณะนี้ ดูเหมือนจะเป็นคนละทางเดียวกัน คือ มิใช่ว่าจะแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง พุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งที่ศึกษาเรียนรู้และเข้าใจแก่น สำคัญของพระพุทธศาสนาก็จะมุ่งเน้นสู่การปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมวินัยดั้งเดิมเป็นหลัก เรียกว่า นับถือโดยการปฏิบัติธรรม แต่ด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยก็มิอาจละทิ้งวิถีสังคมที่ปฏิบัติ กันในรูปแบบวัฒนธรรมไปได้ การร่วมงานประเพณีต่าง ๆ การปฏิบัติตามศาสนพิธีของท้องถิ่น การ รักษาขนบธรรมเนียมต่าง ๆ และการปฏิบัติตามมารยาททางสังคมที่ถูกหล่อหลอมมาจากพุทธธรรม เป็นต้น ยังคงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติตามโอกาส แม้กระทั่งพิธีที่ดูเหมือนจะมิใช่พุทธ เช่น การสะเดาะ เคราะห์ต่อชะตา สืบชะตา เสริมสง่าราศีและประเพณีท้องถิ่นทั้งหลาย ก็มิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้อง ปฏิเสธไปเสียที่เดียว เพราะพิธีเหล่านี้ก็มีนัยเชิงลึกที่แฝงไว้ด้วยปรัชญา และความปรารถนาที่ดี เพียงแต่ว่ามิควรยึดติดหรือคิดสร้างสรรค์กันจนลืมแก่นธรรมะ หรือแก่นสารที่ดีงามไปเสีย เครื่องชี้ วัดอย่างง่ายที่สุดว่ายังอยู่ในร่องลอยพุทธที่พอจะรับได้กันหรือไม่ก็คือ สิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อ เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เป็นไปเพื่อความเดือนร้อนสับสนทางจิตใจหรือไม่ เป็นไปเพื่อความหลงมัว เมา เขลาปัญญาจนเป็นที่มาของปัญหาต่าง ๆ หรือไม่ หากเป็นไปในทางคำถามเหล่านี้ ผู้ที่เรียกตนว่า เป็น “ชาวพุทธ” ก็ควรวางท่าทีให้ถูกเสีย ไม่ส่งเสริม สนับสนุนหรือมีส่วนร่วมเพราะจะพาให้ตัว “เสียศูนย์” เสียหลักความเป็นพุทธและอาจพบกับความ “สูญเสีย” ในที่สุด กล่าวโดยสรุป การนับถือศาสนาพุทธ มี 2 แนว ได้แก่ (1) พระพุทธศาสนา แนวจารีต หมายถึง พระพุทธศาสนานัยที่สะท้อนความเป็นจารีตดั้งเดิม คือ พระไตรปิฎก เป็นแก่น สาระสำคัญ เน้นการปฏิบัติตามวิถีแห่งมรรค เพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง และ (2) พระพุทธศาสนา แนวประชานิยม หมายถึง ศาสนานัยที่สะท้อนวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ที่ถูกเสริม แต่งหรือกลมกลืนกับพระพุทธศาสนา มีพุทธธรรมบ่อเกิดประเพณีและถูกสร้างสรรค์ให้มีความ งดงามอย่างเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะท้องถิ่นผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมทั้งพราหมณ์ รวมทั้งลัทธิ นับถือผีสาง เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ วิถีการปฏิบัติที่เห็นได้เด่นชัด คือ การทำบุญตามประเพณี ในเทศกาลต่าง ๆ
32 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ กกกกกกก1. กำหนดประเด็นการศึกษาร่วมกัน ให้ไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากสื่อที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อบุคคลและภูมิปัญญา และแหล่งเรียนรู้ในชุมชน กกกกกกก2. บันทึกผลการศึกษาค้นคว้าลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก3. พบกลุ่ม อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาได้พร้อมสรุปการ เรียนรู้ร่วมกัน และบันทึกลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก4. นำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปฝึกปฏิบัติตามใบงาน สื่อและแหล่งเรียนรู้ กกกกกกก1. สื่อเอกสาร ได้แก่ 1.1 ใบความรู้ 1.2 ใบงาน 1.3 หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสังคมรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัด สัตหีบ 1.4 หนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิถีพุทธ ได้แก่ 1.4.1 ชื่อหนังสือ สารานุกรมไทย จีน-ฉัททันต์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 9 ผู้แต่งราชบัณฑิตยสถาน ปีที่พิมพ์ 2512-2513 โรงพิมพ์ รุ่งเรืองธรรม 1.4.2 ชื่อหนังสือ ภูมิประวัติพระพุทธศาสนา ผู้แต่ง เสถียร โฑธินันทะ ปีที่ พิมพ์2515 โรงพิมพ์บรรณาคาร 1.4.3 ชื่อหนังสือ ประวัติศาสตร์ศาสนา ผู้แต่ง สุชีพ ปัญญานุภาพ ปีที่พิมพ์ 2516 โรงพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด รวมสาส์น 1.4.4 ชื่อหนังสือ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน ผู้แต่ง สุชีพ ปัญญานุภาพ ปีที่ พิมพ์ 2539 โรงพิมพ์ กรุงเทพฯ : มกุฏราชวิทยาลัย. 1.4.5 ชื่อหนังสือ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. ผู้แต่ง ราชบัณฑิตยสถาน ปีที่พิมพ์ 2556 โรงพิมพ์ กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน 1.4.6 ชื่อหนังสือ 4 ศาสนาสำคัญของโลกปัจจุบัน หน้าที่ 51-52 นิกายใน ศาสนาพุทธ ผู้แต่ง มนต์ทองชัช กกกกกกก2. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2.1 CD 2.2 Website ได้แก่
33 2.2.1 Website เรื่อง มูลเหตุการณ์เกิดศาสนา ผู้เขียน ณัฐพงษ์ สังข์กลิ่นหอม (2559) สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/nathphngssangkhklinhxmiom/prawati 2.2.2 Website เรื่อง กำเนิดพุทธศาสนา สืบค้นเมื่อวันที่20 ตุลาคม 2560 จาก https://www.youtube.com/watch?v=X3EMTCaZNDU 2.2.3 Website เรื่อง การนับถือศาสนาพุทธ เว็บ GotoKnow โดย อาจารย์ ญาณภัทร ยอดแก้ว ในพุทธชยันตี 2,600 ปีสืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/485798 กกกกกกก3. สื่อบุคคลและภูมิปัญญา 3.1 พระครูทัศนีย์คุณากร เจ้าคณะอำเภอสัตหีบ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ที่อยู่333 หมู่ ที่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กกกกกกก4. สื่อแหล่งเรียนรู้ในชุมชน 4.1 วัดสัตหีบ ที่อยู่ เลขที่ 333 หมู่ที่ 1 ถนนชายทะเล ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีหมายเลขโทรศัพท์ 038-437125, 038-431400 4.2 ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อำเภอสัตหีบ (ห้องสมุด กศน.อำเภอสัต หีบ) ที่อยู่ เลขที่471 หมู่ที่ 1 ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หมายเลขโทรศัพท์038- 437807 การวัดและประเมินผล กกกกกกก1. ประเมินความก้าวหน้า ด้วยวิธีการ 1.1 การสังเกต 1.2 การซักถาม 1.3 ตรวจเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก2. ประเมินผลรวม ด้วยวิธีการ 2.1 ตอบแบบทดสอบวัดความรู้ หัวเรื่องที่ 1 วิถีพุทธ จำนวน 3 ข้อ 2.2 ตอบแบบสอบถามวัดเจตคติที่มีต่อรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ
34 หัวข้อเรื่องที่ 2 ประวัติความเป็นมา สาระสำคัญ 1.ประวัติวัดสัตหีบ วัดสัตหีบ หรือ วัดหลวงปู่อี๋ ตั้งอยู่ในตัวอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีด้านหลังวัดติด ทะเล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยหลวงพ่ออี๋หรือพระครูวรเวทมุนี เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 1 ถนนชายทะเล ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยวัดถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 2442 นายขำ และ นางเอียง ทองขำโยมบิดาและโยมมารดาของหลวงปู่ฯ ได้ขอพระราชทานที่ดิน ว่างเปล่าเป็นป่าไม้ที่ไม่มีเจ้าของ พระองค์ฯทรงอนุญาตให้สร้างวัดได้ ด้านเหนือติดทางเกวียน ด้าน ใต้ติดทะเลและด้านตะวันตกติดป่า ด้านตะวันออกติดที่ดินบ้านสัตหีบ โดยในปัจจุบันวัดนี้มีเนื้อที่ จำนวน 30 ไร่ 28 ตารางวา ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมาอุโบสถหลังแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ. 138 พ.ศ. 2463 เนื้อที่ได้รับพระราชทาน กว้าง 2 เส้น ยาว 3 เส้น 2. ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2.1 ชาติภูมิ พระครูวรเวทมุนีมีนามเดิมว่า อี๋ ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2408 ตรง กับวันอาทิตย์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของนายขำ และนางเอียง ทองขำ ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี 2.2 บรรพชิต เมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเป็น วัดอ่างศิลาเดียววัดเดียว) โดยมีพระอุปัชฌาย์คือพระอธิการจั่น จนฺทสโร วัดเสม็ด พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจารจารย์ และพระอาจารย์แดงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาให้ว่า พุทฺธสโร ได้อยู่ศึกษาธรรมมะและเวทมนตร์ต่าง ๆ กับพระอาจารย์แดงถึง 6 พรรษา ก่อนไป ฝากตัวเป็นศิษย์พระครูพิพัฒนิโรธกิจ (ปาน) วัดคลองด่าน ซึ่งช่วงนั้นมีชื่อเสียงมาก และท่านยังได้ ออกธุดงค์ควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อบังเกิดความกล้าแข็งทางจิต สัมฤทธิ์ในธรรมแล้ว จึงเดินทางกับมาสร้างวัดสัตหับขึ้น ใช้เวลาเพียง 5 ปีจึงสมบูรณ์ ท่านได้ใช้วิชาอาคมอันแก่กล้ามา สร้างและปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่าง ๆ มาแจกกับศิษยานุศิษย์ 2.3 สมณศักดิ์ - เป็นพระครูประทวนสมณศักดิ์ - พ.ศ. 2484 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวรเวทมุนี 2.4 พระอภิญญา 2.5 ละสังขาร
35 หลวงพ่ออี๋มรณภาพในท่านั่งสมาธิเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2489 ตรงกับรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สิริอายุ ได้80 ปี354 วัน ตัวชี้วัด 1.บอกประวัติความเป็นมาของวัดสัตหีบได้ 2 บอกประวัติความเป็นมาของพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ได้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. ประวัติวัดสัตหีบ 2. ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) 2.1 ชาติภูมิ 2.2 บรรพชิต 2.3 สมณศักดิ์ 2.4 พระอภิญญา 2.5 ละสังขาร เนื้อหา 2.1 ประวัติวัดสัตหีบ วัดสัตหีบ หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกกันวา “วัดหลวงพ่ออี๋” เนื่องมากจากหลวงพ่ออี๋เป็น ผู้สร้างวัดนี้ขึ้น เมื่อ พ.ศ.2442 ตั้งอยู่ที่ 333 หมู่ 1 ถนนบ้านนา ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี รหัสไปรษณีย์ 20180 โดยมีนายขำ นางเอียง ชาวบ้านตำบลสัตหีบ เป็นผู้ขอพระราชทาน ที่ดินเพื่อสร้างวัด เพราะที่ดินดังกล่าวนั้น เดิมเป็นที่ว่างเปล่าและ เป็นป่าไม่มีเจ้าของ มีอาณาบริเวณ ดังนี้ - ด้านเหนือติดทางเกวียน (ถนนบ้านนา) - ด้านใต้ติดทะเล - ด้านตะวันตกติดชายเขา (หลัง ร.พ.อาภากรเกียรติวงศ์) - ด้านตะวันตกติดที่ดินบ้านสัตหีบ โดยในปัจจุบัน ที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ วันมีเนื้อที่จำนวน 30 ไร่ 28 ตารางวา ได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมาอุโบถหลังแรก (รื้อถอนแล้ว) เมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ.138 (พ.ศ. 2463) เนื้อที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา กว้าง 2 เส้น ยาว 3 เส้น สิ่งก่อสร้างและเสนาสนะอื่น ๆ ที่หลวงพ่ออี๋ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ รูปที่ 1 สร้างไว้ เช่น ศาลาธรรมประสพ 1 หลัง สร้างด้วย
36 คอนกรีตทั้งหลัง แม้แต่หลังคาก็เทด้วยคอนกรีต สร้างกุฎิสงฆ์ 4 หลัง หลวงพ่ออี๋อยู่หลังแผดหันหน้า ไปทางทะเล มีห้องจำนวน 5 ห้อง ส่วนหลังเล็กมี 2 ห้อง มีถังน้ำฝนขนาดใหญ่ 1 ลูก ได้สร้างขนาด ติดกับกุฎิของหลวงพ่ออี๋ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก บนถังน้ำฝนได้ทำเป็นหอกลองและหอระฆัง อละได้ สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นอีก 1 หลัง ชื่อว่า “โรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูล” โดย ขุนเจริญ มั่งมี เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการก่อสร้าง ปัจจุบัน โรงเรียนดังกล่าว นี้ได้ย้ายไปตั้งเป็น “โรงเรียนบ้าน สัตหีบ”หรือที่เรียกกันว่า “โรงเรียนบ้านนา”เพราะตั้งอยู่ที่ถนนบ้านนา สิ่งก่อสร้างในวนเหล่านี้ได้ ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว เหลืออยู่แต่เพียง “ศาลาธรรมประสพ”หลังเดียวเท่านั้น ปัจจุบันทางวัดได้ใช้ เป็นห้องสมุด เพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ลำดับ รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ รวมระยะเวลา (ปี) 1 พระครูวรเวทมุนี (อี๋ พุทธสโร) พ.ศ. 2442 พ.ศ. 2489 47 ปี 2 พระครูศรีสัตตคุณ (พ.ม.เกษม สนตุสสโก) พ.ศ. 2489 พ.ศ. 2496 9 ปี 3 พระครูศรีสัตตคุณ (บัญญัติ โกมุทโท) พ.ศ. 2496 พ.ศ. 2527 31 ปี 4 พระครูวิบูลธรรมบาล (เหล็ง ธมมปาโล) พ.ศ. 2527 พ.ศ. 2557 30 ปี 5 พระครูทัสนียคุณากร (วรรณะ ทสสนีโย) พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบัน เจ้าอาวาสรูปที่ 2 พระครูศรีสัตคุณ (พระมหาเกษม สนตุสสโก ป.ธ.4) ได้สร้างเสนาสนะ มีศาลา 1 หลัง กุฎิ สงฆ์ สร้างด้วยไม้ 5 หลัง ปัจจุบันได้รื้อถอนออกไปหมดแล้ว ที่ยังเหลือเป็นอนุสรณ์ คือที่ดินจำนวน 6 ไร่ ซึ่งซื้อมาจากนายประเวศน์ วิเศษภูติ ราคา 20,000 บาท อยู่ติดถนนบ้านนา ปัจจุบันได้สร้าง ห้องแถว และฌาปนสถาน (เมรุ)วัดสัตหีบ เจ้าอาวาสรูปที่ 3 พระครูศรีสัตคุณ (บัญญัติ โกมุโท) หรือพระอาจารย์สายบัว ท่านได้สร้างเสนาสนะขึ้นอีก หลายหลัง และที่ยังใช้การได้ คือ - อุโบสถ สร้างเสร็จเมือ พ.ศ.2511 - วิหารหลวงพ่ออี๋ สร้างเมื่อ พ.ศ..2515 - ศาลาบำเพ็ญกุศล ฌาปนสถาน (เมรุ) สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2513 - สุสาน (ที่เก็บศพ ในฌาปนสถาน สร้างเสร็จเมื่อง พ.ศ.2514 - หอระฆัง สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2519 - ศาลาการเปรียญ และโรงครัวสร้างเสร็จเมือ พ.ศ.2522
37 โดยเฉพาะอุโบสถนั้น ท่านพระครูศรีสัตคุณ ได้ใช้ความเพียรพยายามและความละเอียด เป็นพิเศษ เพราะกว่าจะกำหนดรูปร่างขึ้นมาได้ ท่านต้องไปขอให้ คุณสง่า มยุระ ซึ่งเป็นช่างปั้น มี ฝีมือ ซึ่งได้วางมือจากงานปั้นไปแล้ว มาช่วยกันออกแบบลายหน้าบันให้ ท่านพยายามอยู่นาน คุณ สง่าจึงตกลงปันให้ นับว่าเป็นความโชคดีของชาวบ้านสัตหีบ ที่ได้มีอุโบสถที่สง่างาม เป็นที่สรรเสริญ แก่ผู้พบเห็นทั่วไป ด้วยคุณความดีดังที่กล่าวมานี้ พระครูศรีสัตคุณ ท่านจึงเป็น ที่เคารพรักของ ชาวบ้านสัตหีบ เป็นอย่างยิ่ง เจ้าอาวาสรูปที่ 4 พระครูวิบูลธรรมบาล (เหล็ง ธมมปาโล) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ รูปที่ 4 ต่อจากพระครูศรีสัตคุณ (สายบัว) เมื่อปี พ.ศ. 2527 มาถึงยุคของท่านสนั้น สิ่งก่อสร้างเสนาสนะ ของวัดสัตหีบได้สมบูรณ์เกือบทุกอย่าง ท่านจึงมีนโยบายช่วยสงเคราะห์แก่สาธารณชน ในการ ก่อสร้างอาคารเรียน โรงพยาบาล วัดในเขตปกครอง และหน่วยงานราชการในอำเภอสัตหีบ ทางด้านการศึกษา ท่านได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ว่าจะสามารถพัฒนาคนให้ เป็นทรัพยากรทีมีคุณภาพของประเทศชาติได้ จึงได้ดำเนินรอยตามแนวอดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 3 คือ การแจกทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในเขตพื้นที่อำเภอสัตหีบ ที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี แต่ ขาดแคลนทุนทรัพย์ซึ่งสมัยนั้นยังแจกทุนในวงจำกัด พอมาถึงยุคของท่านได้ดำริห์ว่าจะขยายการ แจกทุนการศึกษาให้กว้างกว่าเดิม คือจัดให้แก่โรงเรียนของรัฐ ในเขตอำเภอสัตหีบ และใน ระดับอุดมศึกษาด้วย ตามกำลังทรัพย์ในปีนั้นๆ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบรูปที่ 5 (รูปปัจจุบัน)
38 พระครูทัสนียคุณากร (วรรณะ ทสสนีโย) น.ธ.เอก ปบ.ส. พธ.บ. พธ.ม. สถานะเดิม ชื่อ วรรณะ นามสกุล บุญเต็ม เกิดเมื่อวันที่ 7 ฯ9 ปี ฉลู ตรงกับวันที่ 6 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2492 ที่บ้านบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี บรรพชา วัน 1ฯ 6 ปีขาล ตรงกับวันที่ 12 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 ณ วัดบางเสร่คงคาราม ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พระอุปัชฌาย์ พระครูสาธกธรรมคุณ อดีตเจ้าคณะตำบลสัตหีบ วัดอัมพาราม ต.นา จอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อุปสมบท วัน 1ฯ6 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 11 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2514 สำเร็จญัติ เวลา 14.22 น ณ วัดบางเสร่คงคาราม จังหวัดชลบุรี ได้รับฉายาว่า ทสสนีโย โดยมีพระครูสาธกธรรมคุณ วัดอัมพา ราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการร่วม ยจรณธมโม วัดสามัคคีบรรพต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เสมือน ทินนาโภ วัดบางเสร่คงคาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ วิทยฐานะ พ.ศ. 2551 สำเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ป.บส) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการ วัดใหญ่อินทาราม (พระอารามหลวง) อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2555 สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ สาขาการ จัดการเชิงพุทธ เกียรตินิยมอันดับสอง จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย พ.ศ. 2557 สำเร็จการศึกษาปริญญาโท พุทธศาสตร์มหาบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ สาขา การจัดการเชิงพุทธ เกียรตินิยมอันดับสอง จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย งานปกครอง พ.ศ. 2516 -2557 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเสร่คงคาราม
39 พ.ศ. 2539-2551 เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ พ.ศ. 2551 -ปัจจุบัน เป็นเจ้าคณะอำเภอสัตหีบ พ.ศ. 2532 - ปัจจุบัน เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2 ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2.1 ชาติภูมิ พระครูวรเวทมุนี หรือปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หลวงพ่ออี๋” เพราะท่านชื่ออี๋ มา แต่แรก เป็นบุตรนายขำ-นางเอียง ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2408 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตรงกับปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2.2 บรรพชิต เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้อุปสมบทที่วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเข้าเป็นวัดอ่าง ศิลา) โดยมีพระอาจารย์จั่น จนทสโร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ได้ตั้งฉายาให้ว่า “พุทธสโร” เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัยและศาสนพิธีในสำนักพระอุปัชฌาย์ รวม 6 พรรษา ท่องจำพระพุทธมนต์ได้มากและแม่ยำ รวมถึงพระปาฏิโมกข์ด้วย ต่อมาท่านได้ไป ศึกษาสมถะและวิปัสสนาธุระในสำนักของพระครูนิโรธาจารย์ หรือหลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส (วัดบางเหี้ย) ตำบลบางเหี้ย (ตำบลคลองด่านในปัจจุบัน) อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มี
40 ความชำนาญในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน และได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดอ่าน ศิลานอก จังหวัดชลบุรี ตามเดิม หลวงพ่ออี๋ไม่ได้กลับบ้านเลย เป็นเวลา 11 พรรษา เพื่อเล่าเรียนวิชาต่างๆ จน พอสมควรแล้ว ท่านจึงได้ราบลาหลวงพ่อปาน กลับไปอำเภอสัตหีบ เมื่อไปถึงบ้าน โยมบิดาได้ นิมนต์ ให้ท่านอยู่เสียในที่สงบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ชายทะเล ปลูกกระต๊อบเล็กๆ ให้อยู่ปฏิบัติภาวนาธรรม และได้เห็นปฏิปทาของพระลูกชาย ดูน่าเลื่อมใสศรัทธา จึงคิดว่าทานคงไม่ศึกหาลาเพศเป็นแน่ บิดาของทานรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า นายกอง ในปี พ.ศ. 2450 โยมบิดาของท่านมีโอกาสไปกรุงเทพฯ และเข้าไปยังสำนักพระราชวัง ได้มีโอกาสกราบบังคม ทูลต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระบรมราชานุญาตสร้างวัดสัตหีบ ภายใน บริเวณที่ดินว่างเปล่า เมื่อได้รับพระกรุณา โยมบิดาแสนจะดีใจรีบเดินทางกลับมานมัสการ ให้พระ ลูกชายทราบ ช่วงปี พ.ศ. 2450-2451 หลวงพ่ออี๋ โยมบิดา ตลอดถึงชาวบ้าน ได้ร่วมกันก่อสร้างวัด แห่งนี้ขึ้น โดยไปหาไม้สวยๆ ในบริเวณใกล้เคียง มาทำเสา ทำฝา และหาดินเหนียวที่บางปะกง ไป เผาทำกระเบื้องมุงหลังคา การสร้างวัดของท่าน ไม่ถึง 5 ปี ก็แล้วเสร็จ เว้น อุโบสถ วิหาร และศาลา การเปรียญ มีการสร้างในเวลาต่อมา และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ.138 (พ.ศ.2463) 2.3 สมณศักดิ์ ในปีที่หลวงพ่ออี๋ทานสร้างวัดนั้น กิตติศัพท์ของท่านขจรจายไปไกล ในด้านความ ศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร ผู้คนพากันหลั่งไหลไปมากมาย มีทั้งที่ต้องการฟังธรรมะและการปฏิบัติสมาธิ กับท่าน บางคนต้องการวัตถุมงคล ก็ได้สมปารถนาทุกประการ ดังนั้น ท่านจึงเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกและเป็นผู้สร้างวัดสัตหีบ นับว่าท่านมีพระคุณต่อวัด สัตหีบและชาวอำเภอสัตหีบเป็นอย่างมาก ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ เมื่อปี พ.ศ.2467 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในปีเดียวกัน เมื่อตำบลสัตหีบได้รับการ สถาปนาขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะแขวงกิ่งอำเภอสัตหีบ เมื่อ พ.ศ.2484 และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูวรเวทมุนี” พระวรเวทมุนี หรือหลวงพ่ออี๋ มีความรู้ทางด้านการใช้ยาแผนโบราณรักษาโรคทั่วไป มี วัตถุมงคลที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งญาติโยมนำมาให้ท่านปลุกเสก จนเป็นที่นิยมของประชาชน ทั่วไป แม้ว่าท่านจะได้สมณศักดิ์เป็นพระครุวรเวทมุนีแล้ว แต่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า “หลวงพ่ออี๋” มาจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่ออี๋มีความชำนาญในด้านสมถะและวิปัสสนาธุระ คือ คล่องแคล่วในการเข้า-ออก และการพักจิตอยู่ในกศิณ ตามปรารถนา จะเรียกว่ามีวสีภาพก็ควร เพราะเมื่อท่านปารถนาจำ สำรวมจิตแล้วไม่มีอะไรจะมาขวางทางเดินภายในของท่านได้ สามารถกำหนดทางเดินเข้า-ออก ได้ ตามประสงค์ เมื่อกล่าวถึงคุณสมบัติข้อนี้แล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะเหนือกว่าพระเถระรูปอื่นๆ เพราะ
41 ท่านสามารถยกจิตให้พ้นจากเวทนาได้ ดังจะเห็นได้จากเวทนาที่เกิดขึ้นจากความหนาว ร้อน หิว กระหาย ความเจ็บปวด เป็นต้น ท่านไม่เคยปริปากในเรื่อทุกขเวนาให้ผู้อื่นได้ยินเลย คงอยู่ ใน อาการสงบเป็นปกติ จนหมดอายุขัยของท่าน 2.4 พระอภิญญา ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ของทางทหาร และเป็นเป้าหมายโจมตีของฝ่ายพันธมิตร บรรดาผู้หวาดหวั่นในภัยสงครามต่างยึด เอาหลวงพ่ออี๋เป็นที่พึ่ง วันหนึ่งๆชาวบ้านและผู้คนในอำเภอสัตหีบ จะมาหลบภัยอยู่ในวัดสัตหีบกัน จนหมดสิ้น ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะมาทิ้งระเบิดปรากฏว่าเครื่องบินฝ่านพันธมิตรได้นำระเบิดมาทิ้งที่สัต หีบถึงสามครั้ง แต่ลูกระเบิดไม่ระเบิดสักลูกเดียว เพราะตกลงในทะเลเสียหมด เวลาเครื่องบินมาทิ้ง ระเบิดหลวงพ่ออี๋ท่านจะออกไปยืนอยู่กลางแจ้ง แล้วเพ่งมองขึ้นไปเบื้องบน กำหนดกสิณลมพัดเอา ลูกระเบิดหนักเป็นตันๆ นั้น ไปตกลงในทะเล ลูกระเบิดเหล่านั้นไม่ทำงาน เพราะเมื่อเครื่องบินฝูง ใหญ่มาถึง หลวงพ่ออี๋ท่านได้เดินลงไปที่ลาดวัดเอาผ้าอาบน้ำฝนที่ท่านพาดบ่าไว้นั้น สะบัดโบกไปมา ท่านเพ่งกสิณน้ำ ไปที่ชนวนและดินระเบิด ลูกระเบิดเมื่อเปียกน้ำก็เหมือนลูกเหล็กหนักๆ ลูกหนึ่ง เท่านยืนบริกรรมเฉยอยู่ ฝูงเครื่องบินพอบินมาถึงตลาดสัตหีบ ก็โปรยลูกระเบิดเปียกน้ำลงมา พอ ผ่านฐานทัพเรือก็โปรยลูกระเบิดลงมา ก็ไม่มีผล ลูกระเบิดถูกลมหอบพัดไปตกลงกลางทะเลหมด การทิ้งระเบิดทั้งสามครั้งระเบิดแม้ลูกเดียวก็ไม่ทำงาน ประชาชนจึงเชื่อในปาฎิหาริย์ของท่านยิ่งนัก ทหารเรือทั้งหลาย นอกจะมีความเคารพในหลวงปู่ศุข กรมหลวงชุมพรฯ แล้วก็มีหลวง พ่ออี๋ พุทธสโร อีกองค์หนึ่งที่เป็นที่เคารพสักการบูชา อนึ่ง ความที่สุขภาพที่แข็งแรงหรือความมีอาพาธน้อยก็ดี ดูเหมมือนจะเป็นคุณสมบัติ พิเศษของท่านอีกอย่างหนึ่งด้วยเพราะแม้ว่าท่านจจะมีอายุถึง 80 ปีแล้วคนหนุ่มๆก็เดินเอาชนะท่าน ได้ยาก เป็นที่รู้จักทั่วไป ถ้าไม่นึกอานุภาพกำลังคุณธรรมภายในใจของท่านก็น่าจะชื่นชมกำลังกาย ของท่านอีกอย่างหนึ่งด้วย ฉะนั้น จึงพาพระภิกษุที่มีกำลังกายและกำลังใจเสมอเหมือน ท่านได้ยาก 2.5 ละสังขาร หลวงพ่ออี๋ เริ่มอาพาธในอวสานแห่งชีวิตนี้ ด้วยโรคฝีที่คอตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2498 แต่ท่านก็ไม่ได้ใส่รักษานัก ท่านเคยปรารภว่า “มันจะเอาชีวิตท่าน” คงใช้แค่ยาของท่านเอง ปิดบ้างพอกบ้าง ใช้น้ำมนต์บ้าง เรื่อยมา และไม่ได้หยุดการรับกิจนิมนต์ กำลังของท่านเริ่มลดลง หัว ฝีเล็กๆ ใต้คางด้านขวาก็เริ่มบวมมากขึ้น มีผู้ห่วงใยแนะนำท่านให้เข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดเสีย ท่านบอกว่า “ช่างมันเถอะเป็นกรรมเก่าของฉัน เจ้ากวางหนองไก่เตี้ย มันตามมาทวงหนี้แล้ว ท่านเคยบอกคนใกล้ชิดว่า ในอดีตนั้น เคยไปยิงกวางตัวหนึ่งที่หนองไก่เตี้ย ถูกที่ซอกคอ กวางตัวนั้นตาย กรรมนั้นจึงตามมมาให้ผล ท่านคิดว่าเป็นกรรมเก่า อยากชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น จึง ไม่ได้สนใจที่จะรักษาทางการแพทย์ปัจจุบัน แม้โรงพยาบาลก็ไม่ได้พูดถึงเวลาผ่านไปฝีที่คอโตเร็ว มากขึ้นและทำให้กำลังร่วงโรย ประกอบกับเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว