The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรรายวิชา พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ถัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookchon, 2023-08-06 05:43:20

หลักสูตรรายวิชา พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ถัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษา

หลักสูตรรายวิชา พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ถัดสัตหีบ สค3300174 ระดับมัธยมศึกษา

192 บรรณานุกรม


193 บรรณานุกรม กรมศาสนา. (2526). ประวัติวัดสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตอนที่ 3. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์การ ศาสนา.กำเนิดพุทธศาสนา สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 จาก https://www.youtube.com/watch?v=X3EMTCaZNDU ชื่น หัตถโกศล. (2542). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง เล่ม 4. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์สยาม เพรสแมเนจเม้นท์จำกัด. ญาณภัทร ยอดแก้ว. การนับถือศาสนาในพุทธชยันตี2,600 ปีGotoKnow . สืบค้นเมื่อวันที่ 21 กกกกกกกกกกันยายน 2560 จาก https://www.gotoknow.org/posts/485798 ณัฐพงษ์ สังข์กลิ่นหอม. (2559). มูลเหตุการณ์เกิดศาสนา. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 จาก https://sites.google.com/site/nathphngssangkhklinhxmiom/prawati นที สังข์เทียบ, สมบัติ รอดประเสริฐ. (2555). เปิดตำนาน หลวงพ่ออี๋. ชลบุรี; วงตะวันเพรส จำกัด บุปผา คุมมานนท์. (2559). หลักการมัคคุเทศก์. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. พุทธศาสนา หลังพุทธกาล สืบค้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 จาก http://202.28.117.35 /UserFiles/chapter-1(2).pdf มนต์ ทองชัช. (2530). 4 ศาสนาสำคัญของโลกปัจจุบัน . กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์. มนัสสินี บุญมีศรีสง่า. (2530). หลักการมัคคุเทศก์Principles of Tour Guide. เพชรบุรี; คณะ กกกกกกก วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวารสนเทศเพชรบุรี. ราชบัณฑิตยสถาน. (2512). สารานุกรมไทย เล่ม 9 จีน-ฉัททันต์. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์รุ่งเรือง ธรรม. . (2556). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติ กกกกก ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระ ชนมพรรษา ก7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ; ราชบัณฑิตยสถาน. สุชีพ ปัญญานุภาพ. (2516). ประวัติศาสตร์ศาสนา. กรุงเทพฯ; รวมสาส์น. กกกกกกก..ก(2539). พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ 16. กรุงเทพฯ; มกุฏราวิทยาลัย. เสถียร โฑธินันทะ. (2515). ภูมิประวัติพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ; โรงพิมพ์บรรณาคาร. เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สืบค้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2560 จาก https://www.dmc.tv/pages/ความรู้รอบตัว/หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธ โบราณ


194 ภาคผนวก


195 ภาคผนวก ก. ใบความรู้


196 ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การไหว้ และการกราบมารยาทไทยที่ควรสืบทอด วัฒนธรรมในเรื่องของการไหว้นั้น มีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีหลักฐานที่ระบุไว้แน่ชัด นาย พะนอม แก้วกำเนิด อดีตเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น กรม ส่งเสริมวัฒนธรรม) ได้ให้ความเห็นว่า การไหว้นั้นเกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ที่จะแสดงความรัก ความเคารพต่อกัน เนื่องจากมนุษย์มีสมอง มีพัฒนาการที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงมีความคิด ว่าทำอย่างไรจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะกินอาหารอย่างไรจึงจะดีต่อสุขภาพ แต่งตัวอย่างไรจึง จะเหมาะสม ที่อยู่อาศัยทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย รวมไปถึงเมื่อเจอกันจะทักทาย จะแสดงความรัก ต่อกันอย่างไรดี โดยธรรมชาติแล้วการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกัน เป็นภาษาท่าทางที่แสดงออกถึงความ รักที่มีต่อกัน สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขหรือแมวมักจะแสดงความรักกับเจ้าของด้วยการเข้ามา สัมผัสคลอ เคลียด้วย มนุษย์ก็เช่นกันที่มีการแสดงความรักต่อกันด้วยการโอบกอด หลายประเทศทางยุโรปใช้ การสัมผัสมือเมื่อพบกัน บางประเทศใช้แก้มสัมผัสกัน ใช้หน้าผากสัมผัสกัน หรือใช้จมูกสัมผัสกันก็มี แต่ทางแถบเอเชียนั้นการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวผู้อื่นนั้นถือว่าไม่สุภาพนัก คนทางแถบเอเชียจึงใช้การ สัมผัสตัวเองเป็นการแสดงการทักทายหรือทำความเคารพ เช่นชาวจีนใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสกันเพื่อ แสดงการคารวะ อินเดีย ใช้ฝ่ามือทั้งสองประนมประกบกันเหมือนดอกบัวตูม เพื่อแสดงความ เคารพและบูชา ของไทยเราน่าจะรับวัฒนธรรมนี้มาจากอินเดีย นำมาปรับปรนให้เหมาะกับวิถีชีวิต ของคนไทยจึงเกิดเป็นวัฒนธรรมการไหว้ที่แบ่ง เป็นระดับต่างๆ ขึ้นมา โดยใช้มือกับใบหน้าเป็นตัว แบ่งระดับ “การไหว้” เป็นภาษาท่าทางที่ใช้แสดงความเคารพ ทักทาย โดยการยกมือสองข้าง ประนม พร้อมกับยกขึ้นไหว้ในระดับต่างๆ นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความหมายของ การขอบคุณ การขอโทษ การยกย่อง การระลึกถึง และอีกหลายความหมายสุดแท้แต่โอกาส การไหว้เป็นการ แสดงมิตรภาพ มิตรไมตรี ที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นวัฒนธรรมที่งดงาม รวมทั้งเป็นสิ่งที่ แสดงถึงเอกลักษณ์ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทย ที่ปัจจุบันกำลังเลือนหายและถูกละเลย อย่างน่าเสียดาย ประเทศไทยซึ่งเคยได้ชื่อว่ามีวัฒนธรรมที่งดงามเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม (Land of Smile) ที่ผู้คนรู้จักไปทั่วโลก กำลังสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป ทั้งที่การไหว้เป็นมารยาทแบบไทยๆ ที่เรา คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อพูดถึงเรื่องการไหว้ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่ทันสมัย อายที่จะปฏิบัติ หรือไม่ก็กลัวว่าจะไหว้ผิดบ้าง กลัวถูกมองว่าประหลาดบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องของ มารยาทไทยนั้นไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่ความนุ่มนวล สวยงามหรือไม่เท่านั้น ดังนั้นวิธีการปฏิบัติ จึงเป็นเพียงแนวทาง ที่ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปปรับปรน ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ ซึ่งแนวปฏิบัติในเรื่องของการไหว้นั้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดระดับ ของการไหว้ไว้ 3 ระดับ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและใบหน้าเป็นตัวกำหนดตำแหน่ง ดังนี้


197 การไหว้ระดับที่ 1 ใช้สำหรับไหว้พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมถึง โบราณสถาน โบราณวัตถุทางพุทธศาสนา ในกรณีที่เราไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว นิ้วชี้สัมผัสส่วนบนของหน้าผาก นัยว่า พระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่ควร เคารพอย่างสูงสุด จึงยกมือที่ประนมขึ้นให้สัมผัสส่วนที่สูงสุดของร่างกาย หรืออีกนัยหนึ่งว่าพระ รัตนตรัยนั้นเป็นดวงแก้วมณีที่ประเสริฐ มีค่าสูง คอยกำกับและสอนให้เรามีสติมีปัญญาอยู่ ตลอดเวลา จึงสมควรแก่การเคารพกราบไหว้ การไหว้ในระดับที่ 1 นี้ จึงให้ยกมือที่ประนมขึ้นให้ นิ้วหัวแม่มืออยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองข้างนั่นเอง การไหว้ระดับที่ 2 ใช้สำหรับไหว้ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ครู อาจารย์และผู้ที่มีเรา เคารพนับถืออย่างสูง โดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก นิ้วชี้สัมผัสระหว่างคิ้ว นัยว่า บุคคลกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ควรแสดงความเคารพอย่างสูงรองลงมาจากพระรัตนตรัย มือที่สัมผัสส่วนของใบหน้าจึง ลดต่ำลงมา หรืออีกนัยหนึ่งว่า บุคคลกลุ่มนี้ทำให้เรามีลมหายใจเกิดขึ้นมาได้ และเป็นผู้มีพระคุณที่ ทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ได้ในสังคม ควรแก่การแสดงความเคารพการไหว้ในระดับที่ 2 จึงให้ยกมือที่ ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มืออยู่บริเวณปลายจมูก การไหว้ระดับที่ 3 ใช้สำหรับไหว้บุคคลทั่วๆไป ที่มีวัยวุฒิสูงกว่าเราไม่มากนัก รวมถึงใช้ แสดงความเคารพผู้ที่เสมอกันหรือเป็นเพื่อนกันได้ด้วย โดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง นิ้วชี้สัมผัส บริเวณปลายจมูก นัย ว่าบุคคลกลุ่มนี้ควรแก่การเคารพรองลงมาจากบิดา มารดา มือที่สัมผัสส่วน ของใบหน้าจึงลดต่ำลงมาตามลำดับ หรืออีกนัยหนึ่งว่า บุคคลกลุ่มนี้ เป็นผู้ที่เราจะต้องพบปะพูดคุย อยู่ด้วยเป็นประจำ การใช้วาจาจึงเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ การไหว้ระดับที่ 3 จึงให้ยกมือที่ ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มืออยู่บริเวณปลายคาง ในการยืนไหว้นั้น ชายให้ยืนตัวตรง ค้อมตัวลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ ตำแหน่งของ นิ้วหัวแม่มือให้ถูกต้องตามระดับของบุคคลที่เราแสดงความเคารพ จากนั้นลดมือลงพร้อมกับยืดตัว ขึ้นกลับมาในท่ายืนตรงตามเดิม สำหรับหญิงนั้น เมื่อยืนไหว้ ให้ถอยเท้าใดเท้าหนึ่งที่ถนัดไปข้างหลังเล็กน้อย พร้อมกับย่อ ตัวยกมือขึ้นไหว้ ตำแหน่งของนิ้วหัวแม่มือให้ถูกต้องตามระดับของบุคคลที่เราแสดงความเคารพ จากนั้นจึงลดมือลงพร้อมกับชักเท้าที่ถอยไปกลับมาอยู่ในท่ายืนตรงตามเดิม หรือจะใช้การยืนตรง ไหว้แบบชายก็ได้ 1. การไหว้ การปฏิบัติในท่าไหว้ประกอบด้วยกิริยา 2 ส่วน คือ การประนมมือและการ ไหว้ การประนมมือ (อัญชลี) เป็นการ แสดงความเคารพ โดยการประนมมือให้นิ้วมือทั้งสองข้าง ชิดกัน ฝ่ามือทั้งสองประกบเสมอกันแนบหว่างอก ปลายนิ้วเฉียงขึ้นพอประมาณ แขนแนบตัวไม่กาง ศอก ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน การประนมมือนี้ใช้ในการสวดมนต์ ฟังพระสวดมนต์ ฟังพระ ธรรมเทศนา ขณะสนทนากับพระสงฆ์ รับพรจากผู้ใหญ่ แสดงความเคารพผู้เสมอกัน และรับความ เคารพจากผู้อ่อนอาวุโสกว่า เป็นต้น


198 การไหว้ (วันทนา) เป็นการแสดง ความเคารพ โดยการประนมมือแล้วยกมือทั้งสองขึ้นจรด ใบหน้าให้เห็นว่าเป็นการแสดงความ เคารพอย่างสูง การไหว้แบบไทย แบ่งออกเป็น 3 แบบ ตาม ระดับของบุคคล ระดับที่ 1 การไหว้พระ ได้แก่ การไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งปูชนียวัตถุ ปู ชนียสถาน ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดย ประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วแนบส่วนบนของ หน้าผาก ระดับที่ 2 การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้อาวุโส ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้ ที่เราเคารพนับถือ โดยประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลาย นิ้วแนบระหว่างคิ้ว ระดับที่ 3 การไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไป ที่เคารพนับถือหรือผู้มีอาวุโสสูงกว่าเล็กน้อย โดยประนม มือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วแนบปลายจมูก อนึ่ง สำหรับหญิงการไหว้ทั้ง 3 ระดับ อาจจะถอยเท้าข้างใดข้างหนึ่งตามถนัดไปข้างหลัง ครึ่งก้าวแล้วย่อเข่าลงพอ สมควรพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ก็ได้ 2. การกราบ (อภิวาท) เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง มี 2 แบบ คือ 2.1 การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์เป็นการใช้อวัยวะทั้ง 5 คือ หน้าผาก ซึ่งเป็นตัวแทน ของส่วนบนของร่างกาย มือและข้อศอกทั้ง 2 เป็นตัวแทนส่วนกลางของร่างกาย เข่าทั้ง 2 ซึ่งเป็น ตัวแทนส่วนล่างของร่างกายจรดพื้น การกราบมี 3 จังหวะ คือ ท่าเตรียม ชาย นั่งคุกเข่าตัวตรงปลายเท้าตั้ง ปลายเท้าและส้นเท้าชิดกัน นั่งบนส้นเท้า เข่าทั้งสองห่าง กันพอประมาณ มือทั้งสองวางคว่ำบนหน้าขา ทั้งสองข้าง นิ้วชิดกัน (ท่าเทพบุตร) หญิง นั่งคุกเข่าตัวตรง ปลายเท้าราบ เข่าถึงปลายเท้าชิดกัน นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวาง คว่ำบนหน้าขา ทั้งสองข้าง นิ้วชิดกัน (ท่าเทพธิดา) ท่ากราบ จังหวะที่ 1 (อัญชลี) ยกมือขึ้นในท่าประนมมือ จังหวะที่ 2 (วันทนา) ยกมือขึ้นไหว้ตามระดับที่ 1 การไหว้พระ จังหวะที่ 3 (อภิวาท) ทอดมือทั้งสองลงพร้อม ๆ กัน ให้มือและแขนทั้งสองข้างราบกับพื้น คว่ำมือห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือได้ ชาย ศอกทั้งสองข้างต่อจากเข่าราบไปกับพื้น หลังไม่โก่ง หญิง ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย ราบไปกับพื้น หลังไม่โก่ง จากนั้นก้มศีรษะลงให้ หน้าผากจรด


199 พื้นระหว่างมือทั้งสอง ทำสามจังหวะให้ครบ 3 ครั้ง แล้วยกมือขึ้นไหว้ในท่าไหว้พระ แล้ววางมือคว่ำลงบนหน้าขา ในท่าเตรียมกราบ จากนั้นให้เปลี่ยนอิริยาบถตามความเหมาะสม 2.2 การกราบผู้ใหญ่กราบ ผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสรวมทั้งผู้มีพระคุณ ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพ ผู้กราบทั้งชายและหญิงนั่งพับเพียบทอดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกัน ให้แขนทั้ง สองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประนมตั้งกับพื้นไม่แบมือ ค้อมตัวลงให้ หน้าผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม ในขณะกราบไม่กระดกนิ้วมือขึ้นรับหน้าผาก กราบเพียงครั้ง เดียว จากนั้นให้เปลี่ยนอิริยาบถโดยการนั่งสำรวมประสานมือ จากนั้นเดินเข่าถอยหลังพอประมาณ แล้วลุกขึ้นจากไป


200 ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง ดอกไม้ ธูป เทียน บูชาพระ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายแท้จริง ก็คือ ให้พุทธศาสนิกชนตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของ พระองค์ คือเอาธรรมนั่นเองไปปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลดีแก่ชีวิตของตนเอง อันเนื่องไปด้วยกันกับสังคม เพราะแท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงต้องการวัตถุสิ่งของอะไรที่เราเอาไปบูชาด้วยซ้ำ มันเป็น การแสดงน้ำใจของเราเอง แล้วมองให้ลึกลงไป การแสดงน้ำใจอย่างจริงจัง ก็คือ ต้องคิดได้ว่า พระองค์ทรงหวังดีต่อเราแล้วนี่ จึงทรงสอนให้รู้ ปฏิบัติ ให้เราทำความดีอันนั้นอันนี้ เราก็เอาความดี นั้นไปทำ นี่คือบูชาแท้จริงทีนี้ เพื่อจะให้การบูชาด้วยอามิสนั้น มีความหมายขึ้น อย่างน้อยคนก็ทำ อามิสบูชากันเรื่อย ท่านก็หาทางที่จะทำให้อามิสบูชานี้ไปเชื่อมกับปฏิบัติบูชาได้ง่ายขึ้น ก็เลยมีการ ให้ความหมายสำหรับเครื่องบูชาแต่ละอย่างๆนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ความหมายเหล่านี้ ให้ถือว่าเป็นมติของนักปราชญ์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องตายตัว ให้ถือว่าเป็นเพียงการหาความหมายให้แก่สิ่งเหล่านี้ เพื่อจะได้มีทางคิดเชื่อมอามิสต่อไปหาธรรม ที่ จะทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติให้ได้ ธูป 3 ดอก สื่อความหมายถึง พระคุณของพระพุทธเจ้า 3 ประการคือ พระปัญญา คุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ เทียน 2 เล่ม สื่อความหมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ได้แก่ พระธรรม และ พระ วินัย ดอกไม้ สื่อความหมายถึง พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งมาจากหลาย ตระกูล ต่างวรรณะ เชื้อชาติ ต่างชนชั้น มาอยู่ในพระธรรมวินัยเดียวกันจึงสวยงามเหมือนดอกไม้ ต่าง ๆ แจกันใส่ดอกไม้หมายถึง อารามซึ่งเป็นที่รวมแห่งบรรดาพระสงฆ์ อนึ่ง ในการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ ซึ่งชาวพุทธทุกท่านคงทราบดีและใช้ อยู่เป็นประจำแล้วนั้น ในขณะที่กล่าวคำบูชาและขณะที่กราบ ขอให้น้อมจิต น้อมใจระลึกถึงคุณ พระรัตนตรัยตามความหมายไปด้วยก็จะเป็นการดีและอาจก่อให้เกิดความปิติสุขเกิดขึ้นในจิตใจของ เราด้วย ขออนุโมทนา สรุปความหมายของเทียน ธูป และดอกไม้ ธูป 3 ดอก ที่จุดบูชานั้น หมายถึงพระพุทธคุณทั้ง 3 ประการ คือ 1. พระปัญญาคุณ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงด้วยพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน) 2. พระบริสุทธิคุณ (ความบริสุทธิ์หมดจดสิ้นจากราคะ โทสะ และโมหะ) 3. พระมหากรุณธิคุณ (มีเมตตาสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง) เทียน 2 เล่ม หมายถึงจุดเพื่อบูชาคุณของศีลและธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระบรมศาสดา ที่พระองค์ทรงค้นพบด้วยปัญญาของพระองค์เอง


201 1. เทียนเล่มซ้ายมือผู้จุด หมายถึงพระวินัยคือศีลทั้งหมด เวลาจุดเทียนต้องจุดเล่มซ้ายมือของเราก่อน เพราะหมายถึง ศีลซึ่งกำจัดกิเลสอย่าง หยาบ ปรกติเมื่อจะทำบุญใด ๆ (ทำความดี) ก็ตามเราจะต้องรับศีลก่อนเสมอ เพราะการรับศีลคือ การชำระจิตของตนให้ผ่อนใส 2. เทียนเล่มขวามือผู้จุด หมายถึงพระธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบแล้วทรงสั่งสอนหมู่มนุษย์ และ เทวดาให้มีจิตใจอ่อนโยน การจุดเทียนเล่มขวามือของเรานั้น หมายถึงพระธรรมอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่าง ละเอียด และรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมมิให้ตกไปทางที่ชั่ว ดอกไม้ ที่นำมาบูชาพระบนโต๊ะหมู่นั้น หมายถึงพระสงฆ์ที่ท่านออกจากบ้านเรือนมาบวช แล้วตั้งอยู่ในศีลธรรม ทั้งที่เป็นพระอริยสงฆ์ และพระกัลยาณะ สมมติสงฆ์ เมื่อเราทราบความหมาย ดังนี้แล้ว จึงควรที่เราทั้งหลายมาช่วยกันรักษาและกราบไหว้ให้ถูกต้อง และสั่งสอนบุตรหลาน ทั้งหลายให้เขาเข้าใจในความหมายเหล่านี้ เมื่อเขาเข้าใจดีแล้ว ก็จะได้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ ยาวนานสืบต่อไป.


202 ใบความรู้ 3 เรื่องที่ 2 ประวัติความเป็นมา วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้นักศึกษาบอกประวัติความเป็นมาของวัดสัตหีบได้ 2 เพื่อให้นักศึกษาบอกประวัติความเป็นมาของพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ได้ เนื้อหา 2.1 ประวัติวัดสัตหีบ วัดสัตหีบ หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกกันวา “วัดหลวงพ่ออี๋” เนื่องมากจากหลวงพ่ออี๋เป็น ผู้สร้างวัดนี้ขึ้น เมื่อ พ.ศ.2442 ตั้งอยู่ที่ 333 หมู่ 1 ถนนบ้านนา ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี รหัสไปรษณีย์ 20180 โดยมีนายขำ นางเอียง ชาวบ้านตำบลสัตหีบ เป็นผู้ขอพระราชทาน ที่ดินเพื่อสร้างวัด เพราะที่ดินดังกล่าวนั้น เดิมเป็นที่ว่างเปล่าและ เป็นป่าไม่มีเจ้าของ มีอาณาบริเวณ ดังนี้ - ด้านเหนือติดทางเกวียน (ถนนบ้านนา) - ด้านใต้ติดทะเล - ด้านตะวันตกติดชายเขา (หลัง ร.พ.อาภากรเกียรติวงศ์) - ด้านตะวันตกติดที่ดินบ้านสัตหีบ โดยในปัจจุบัน ที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ วันมีเนื้อที่จำนวน 30 ไร่ 28 ตารางวา ได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมาอุโบถหลังแรก (รื้อถอนแล้ว) เมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ.138 (พ.ศ. 2463) เนื้อที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา กว้าง 2 เส้น ยาว 3 เส้น สิ่งก่อสร้างและเสนาสนะอื่น ๆ ที่หลวงพ่ออี๋ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ รูปที่ 1 สร้างไว้ เช่น ศาลาธรรมประสพ 1 หลัง สร้างด้วย คอนกรีตทั้งหลัง แม้แต่หลังคาก็เทด้วยคอนกรีต สร้างกุฎิสงฆ์ 4 หลัง หลวงพ่ออี๋อยู่หลังแผดหันหน้า ไปทางทะเล มีห้องจำนวน 5 ห้อง ส่วนหลังเล็กมี 2 ห้อง มีถังน้ำฝนขนาดใหญ่ 1 ลูก ได้สร้างขนาด ติดกับกุฎิของหลวงพ่ออี๋ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก บนถังน้ำฝนได้ทำเป็นหอกลองและหอระฆัง อละได้ สร้างโรงเรียนประชาบาลขึ้นอีก 1 หลัง ชื่อว่า “โรงเรียนบั๊กเส็งเศรษฐนุกูล” โดย ขุนเจริญ มั่งมี เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการก่อสร้าง ปัจจุบัน โรงเรียนดังกล่าว นี้ได้ย้ายไปตั้งเป็น “โรงเรียนบ้าน สัตหีบ”หรือที่เรียกกันว่า “โรงเรียนบ้านนา”เพราะตั้งอยู่ที่ถนนบ้านนา สิ่งก่อสร้างในวนเหล่านี้ได้ ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว เหลืออยู่แต่เพียง “ศาลาธรรมประสพ”หลังเดียวเท่านั้น ปัจจุบันทางวัดได้ใช้ เป็นห้องสมุด เพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้


203 เจ้าอาวาสวัดสัตหีบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ลำดับ รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ รวมระยะเวลา (ปี) 1 พระครูวรเวทมุนี (อี๋ พุทธสโร) พ.ศ. 2442 พ.ศ. 2489 47 ปี 2 พระครูศรีสัตตคุณ (พ.ม.เกษม สนตุสสโก) พ.ศ. 2489 พ.ศ. 2496 9 ปี 3 พระครูศรีสัตตคุณ (บัญญัติ โกมุทโท) พ.ศ. 2496 พ.ศ. 2527 31 ปี 4 พระครูวิบูลธรรมบาล (เหล็ง ธมมปาโล) พ.ศ. 2527 พ.ศ. 2557 30 ปี 5 พระครูทัสนียคุณากร (วรรณะ ทสสนีโย) พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบัน เจ้าอาวาสรูปที่ 1 พระครูวรเวทมุนีมีนามเดิมว่า อี๋ ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2408 ตรงกับวัน อาทิตย์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของนายขำ และนางเอียง ทองขำ ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเป็นวัดอ่าง ศิลาเดียววัดเดียว) โดยมีพระอุปัชฌาย์คือพระอธิการจั่น จนฺทสโร วัดเสม็ด พระอาจารย์ทิมเป็นพระ กรรมวาจารจารย์และพระอาจารย์แดงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาให้ว่า พุทฺธสโร งานปกครอง • พ.ศ. 2467 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ • พ.ศ. 2467 เป็นพระอุปัชฌาย์ • พ.ศ. 2484 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะแขวงกิ่งอำเภอสัตหีบ สมณศักดิ์ • เป็นพระครูประทวนสมณศักดิ์ • พ.ศ. 2484 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวรเวทมุนี มรณภาพ หลวงพ่ออี๋มรณภาพในท่านั่งสมาธิเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2489 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สิริอายุได้80 ปี354 วัน เจ้าอาวาสรูปที่ 2 พระครูศรีสัตคุณ (พระมหาเกษม สนตุสสโก ป.ธ.4) ได้สร้างเสนาสนะ มีศาลา 1 หลัง กุฎิ สงฆ์ สร้างด้วยไม้ 5 หลัง ปัจจุบันได้รื้อถอนออกไปหมดแล้ว ที่ยังเหลือเป็นอนุสรณ์ คือที่ดินจำนวน 6 ไร่ ซึ่งซื้อมาจากนายประเวศน์ วิเศษภูติ ราคา 20,000 บาท อยู่ติดถนนบ้านนา ปัจจุบันได้สร้าง ห้องแถว และฌาปนสถาน (เมรุ)วัดสัตหีบ เจ้าอาวาสรูปที่ 3


204 พระครูศรีสัตคุณ (บัญญัติ โกมุโท) หรือพระอาจารย์สายบัว ท่านได้สร้างเสนาสนะขึ้นอีก หลายหลัง และที่ยังใช้การได้ คือ - อุโบสถ สร้างเสร็จเมือ พ.ศ.2511 - วิหารหลวงพ่ออี๋ สร้างเมื่อ พ.ศ..2515 - ศาลาบำเพ็ญกุศล ฌาปนสถาน (เมรุ) สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2513 - สุสาน (ที่เก็บศพ ในฌาปนสถาน สร้างเสร็จเมื่อง พ.ศ.2514 - หอระฆัง สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2519 - ศาลาการเปรียญ และโรงครัวสร้างเสร็จเมือ พ.ศ.2522 โดยเฉพาะอุโบสถนั้น ท่านพระครูศรีสัตคุณ ได้ใช้ความเพียรพยายามและความละเอียด เป็นพิเศษ เพราะกว่าจะกำหนดรูปร่างขึ้นมาได้ ท่านต้องไปขอให้ คุณสง่า มยุระ ซึ่งเป็นช่างปั้น มี ฝีมือ ซึ่งได้วางมือจากงานปั้นไปแล้ว มาช่วยกันออกแบบลายหน้าบันให้ ท่านพยายามอยู่นาน คุณ สง่าจึงตกลงปันให้ นับว่าเป็นความโชคดีของชาวบ้านสัตหีบ ที่ได้มีอุโบสถที่สง่างาม เป็นที่สรรเสริญ แก่ผู้พบเห็นทั่วไป ด้วยคุณความดีดังที่กล่าวมานี้ พระครูศรีสัตคุณ ท่านจึงเป็น ที่เคารพรักของ ชาวบ้านสัตหีบ เป็นอย่างยิ่ง เจ้าอาวาสรูปที่ 4 พระครูวิบูลธรรมบาล (เหล็ง ธมมปาโล) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ รูปที่ 4 ต่อจากพระครูศรีสัตคุณ (สายบัว) เมื่อปี พ.ศ. 2527 มาถึงยุคของท่านสนั้น สิ่งก่อสร้างเสนาสนะ ของวัดสัตหีบได้สมบูรณ์เกือบทุกอย่าง ท่านจึงมีนโยบายช่วยสงเคราะห์แก่สาธารณชน ในการ ก่อสร้างอาคารเรียน โรงพยาบาล วัดในเขตปกครอง และหน่วยงานราชการในอำเภอสัตหีบ ทางด้านการศึกษา ท่านได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ว่าจะสามารถพัฒนาคนให้ เป็นทรัพยากรทีมีคุณภาพของประเทศชาติได้ จึงได้ดำเนินรอยตามแนวอดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 3 คือ


205 การแจกทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในเขตพื้นที่อำเภอสัตหีบ ที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี แต่ ขาดแคลนทุนทรัพย์ซึ่งสมัยนั้นยังแจกทุนในวงจำกัด พอมาถึงยุคของท่านได้ดำริห์ว่าจะขยายการ แจกทุนการศึกษาให้กว้างกว่าเดิม คือจัดให้แก่โรงเรียนของรัฐ ในเขตอำเภอสัตหีบ และใน ระดับอุดมศึกษาด้วย ตามกำลังทรัพย์ในปีนั้นๆ เจ้าอาวาสนวัดสัตหีบรูปที่ 5 (รูปปัจจุบัน) พระครูทัสนียคุณากร (วรรณะ ทสสนีโย) น.ธ.เอก ปบ.ส. พธ.บ. พธ.ม. สถานะเดิม ชื่อ วรรณะ นามสกุล บุญเต็ม เกิดเมื่อวันที่ 7 ฯ9 ปี ฉลู ตรงกับวันที่ 6 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2492 ที่บ้านบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี บรรพชา วัน 1ฯ 6 ปีขาล ตรงกับวันที่ 12 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 ณ วัดบางเสร่คงคาราม ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พระอุปัชฌาย์ พระครูสาธกธรรมคุณ อดีตเจ้าคณะตำบลสัตหีบ วัดอัมพาราม ต.นา จอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อุปสมบท วัน 1ฯ6 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 11 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2514 สำเร็จญัติ เวลา 14.22 น ณ วัดบางเสร่คงคาราม จังหวัดชลบุรี ได้รับฉายาว่า ทสสนีโย โดยมีพระครูสาธกธรรมคุณ วัดอัมพา ราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการร่วม ยจรณธมโม วัดสามัคคีบรรพต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เสมือน ทินนาโภ วัดบางเสร่คงคาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์


206 วิทยฐานะ พ.ศ. 2551 สำเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ป.บส) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยวิทยบริการ วัดใหญ่อินทาราม (พระอารามหลวง) อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2555 สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ สาขาการ จัดการเชิงพุทธ เกียรตินิยมอันดับสอง จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย พ.ศ. 2557 สำเร็จการศึกษาปริญญาโท พุทธศาสตร์มหาบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ สาขา การจัดการเชิงพุทธ เกียรตินิยมอันดับสอง จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย งานปกครอง พ.ศ. 2516 -2557 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเสร่คงคาราม พ.ศ. 2539-2551 เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ พ.ศ. 2551 -ปัจจุบัน เป็นเจ้าคณะอำเภอสัตหีบ พ.ศ.2532 - ปัจจุบัน เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ พ.ศ.2557 - ปัจจุบัน เป็นเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2.2 ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ 2.1 ชาติภูมิ พระครูวรเวทมุนี หรือปรากฏนามเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “หลวงพ่ออี๋” เพราะท่านชื่ออี๋ มา แต่แรก เป็นบุตรนายขำ-นางเอียง ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2408 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น


207 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตรงกับปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 2.2 บรรพชิต เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้อุปสมบทที่วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเข้าเป็นวัดอ่างศิลา) โดยมีพระอาจารย์จั่น จนทสโร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ได้ตั้งฉายาให้ว่า “พุทธสโร” เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัยและศาสนพิธีในสำนักพระอุปัชฌาย์รวม 6 พรรษา ท่องจำพระพุทธมนต์ได้มากและแม่ยำ รวมถึงพระปาฏิโมกข์ด้วย ต่อมาท่านได้ไปศึกษา สมถะและวิปัสสนาธุระในสำนักของพระครูนิโรธาจารย์ หรือหลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส (วัด บางเหี้ย) ตำบลบางเหี้ย (ตำบลคลองด่านในปัจจุบัน) อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีความ ชำนาญในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน และได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดอ่านศิลา นอก จังหวัดชลบุรี ตามเดิม หลวงพ่ออี๋ไม่ได้กลับบ้านเลย เป็นเวลา 11 พรรษา เพื่อเล่าเรียนวิชาต่างๆ จนพอสมควร แล้ว ท่านจึงได้ราบลาหลวงพ่อปาน กลับไปอำเภอสัตหีบ เมื่อไปถึงบ้าน โยมบิดาได้นิมนต์ ให้ท่าน อยู่เสียในที่สงบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ชายทะเล ปลูกกระต๊อบเล็กๆ ให้อยู่ปฏิบัติภาวนาธรรม และได้เห็น ปฏิปทาของพระลูกชาย ดูน่าเลื่อมใสศรัทธา จึงคิดว่าทานคงไม่ศึกหาลาเพศเป็นแน่ บิดาของทานรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า นายกอง ในปี พ.ศ. 2450 โยมบิดาของท่านมีโอกาสไปกรุงเทพฯ และเข้าไปยังสำนักพระราชวัง ได้มีโอกาสกราบบังคมทูลต่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระบรมราชานุญาตสร้างวัดสัตหีบ ภายใน บริเวณที่ดินว่างเปล่า เมื่อได้รับพระกรุณา โยมบิดาแสนจะดีใจรีบเดินทางกลับมานมัสการ ให้พระ ลูกชายทราบ ช่วงปี พ.ศ. 2450-2451 หลวงพ่ออี๋ โยมบิดา ตลอดถึงชาวบ้าน ได้ร่วมกันก่อสร้างวัดแห่งนี้ ขึ้น โดยไปหาไม้สวยๆ ในบริเวณใกล้เคียง มาทำเสา ทำฝา และหาดินเหนียวที่บางปะกง ไปเผาทำ กระเบื้องมุงหลังคา การสร้างวัดของท่าน ไม่ถึง 5 ปี ก็แล้วเสร็จ เว้น อุโบสถ วิหาร และศาลาการ เปรียญ มีการสร้างในเวลาต่อมา และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ. 138 (พ.ศ.2463) 2.3 สมณศักดิ์ ในปีที่หลวงพ่ออี๋ทานสร้างวัดนั้น กิตติศัพท์ของท่านขจรจายไปไกล ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร ผู้คนพากันหลั่งไหลไปมากมาย มีทั้งที่ต้องการฟังธรรมะและการปฏิบัติสมาธิกับท่าน บางคนต้องการวัตถุมงคล ก็ได้สมปารถนาทุกประการ ดังนั้น ท่านจึงเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกและเป็นผู้สร้างวัดสัตหีบ นับว่าท่านมีพระคุณต่อวัดสัต หีบและชาวอำเภอสัตหีบเป็นอย่างมาก ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ เมื่อปี พ.ศ. 2467 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในปีเดียวกัน เมื่อตำบลสัตหีบได้รับการ สถาปนาขึ้น


208 เป็นกิ่งอำเภอ ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะแขวงกิ่งอำเภอสัตหีบ เมื่อ พ.ศ.2484 และได้รับ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูวรเวทมุนี” พระวรเวทมุนี หรือหลวงพ่ออี๋ มีความรู้ทางด้านการใช้ยาแผนโบราณรักษาโรคทั่วไป มีวัตถุ มงคลที่มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งญาติโยมนำมาให้ท่านปลุกเสก จนเป็นที่นิยมของประชาชน ทั่วไป แม้ว่าท่านจะได้สมณศักดิ์เป็นพระครุวรเวทมุนีแล้ว แต่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า “หลวงพ่ออี๋” มาจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่ออี๋มีความชำนาญในด้านสมถะและวิปัสสนาธุระ คือ คล่องแคล่วในการเข้า-ออก และการพักจิตอยู่ในกศิณ ตามปรารถนา จะเรียกว่ามีวสีภาพก็ควร เพราะเมื่อท่านปารถนาจำ สำรวมจิตแล้วไม่มีอะไรจะมาขวางทางเดินภายในของท่านได้ สามารถกำหนดทางเดินเข้า-ออก ได้ ตามประสงค์ เมื่อกล่าวถึงคุณสมบัติข้อนี้แล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะเหนือกว่าพระเถระรูปอื่นๆ เพราะ ท่านสามารถยกจิตให้พ้นจากเวทนาได้ ดังจะเห็นได้จากเวทนาที่เกิดขึ้นจากความหนาว ร้อน หิว กระหาย ความเจ็บปวด เป็นต้น ท่านไม่เคยปริปากในเรื่อทุกขเวนาให้ผู้อื่นได้ยินเลย คงอยู่ ใน อาการสงบเป็นปกติ จนหมดอายุขัยของท่าน 2.4 พระอภิญญา ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ ทางทหาร และเป็นเป้าหมายโจมตีของฝ่ายพันธมิตร บรรดาผู้หวาดหวั่นในภัยสงครามต่างยึดเอา หลวงพ่ออี๋เป็นที่พึ่ง วันหนึ่งๆชาวบ้านและผู้คนในอำเภอสัตหีบ จะมาหลบภัยอยู่ในวัดสัตหีบกันจน หมดสิ้น ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะมาทิ้งระเบิดปรากฏว่าเครื่องบินฝ่านพันธมิตรได้นำระเบิดมาทิ้งที่สัต หีบถึงสามครั้ง แต่ลูกระเบิดไม่ระเบิดสักลูกเดียว เพราะตกลงในทะเลเสียหมด เวลาเครื่องบินมาทิ้ง ระเบิดหลวงพ่ออี๋ท่านจะออกไปยืนอยู่กลางแจ้ง แล้วเพ่งมองขึ้นไปเบื้องบน กำหนดกสิณลมพัดเอา ลูกระเบิดหนักเป็นตันๆ นั้น ไปตกลงในทะเล ลูกระเบิดเหล่านั้นไม่ทำงาน เพราะเมื่อเครื่องบินฝูง ใหญ่มาถึง หลวงพ่ออี๋ท่านได้เดินลงไปที่ลาดวัดเอาผ้าอาบน้ำฝนที่ท่านพาดบ่าไว้นั้น สะบัดโบกไปมา ท่านเพ่งกสิณน้ำ ไปที่ชนวนและดินระเบิด ลูกระเบิดเมื่อเปียกน้ำก็เหมือนลูกเหล็กหนักๆ ลูกหนึ่ง เท่านยืนบริกรรมเฉยอยู่ ฝูงเครื่องบินพอบินมาถึงตลาดสัตหีบ ก็โปรยลูกระเบิดเปียกน้ำลงมา พอ ผ่านฐานทัพเรือก็โปรยลูกระเบิดลงมา ก็ไม่มีผล ลูกระเบิดถูกลมหอบพัดไปตกลงกลางทะเลหมด การทิ้งระเบิดทั้งสามครั้งระเบิดแม้ลูกเดียวก็ไม่ทำงาน ประชาชนจึงเชื่อในปาฎิหาริย์ของท่านยิ่งนัก ทหารเรือทั้งหลาย นอกจะมีความเคารพในหลวงปู่ศุข กรมหลวงชุมพรฯ แล้วก็มีหลวงพ่ออี๋ พุทธสโร อีกองค์หนึ่งที่เป็นที่เคารพสักการบูชา อนึ่ง ความที่สุขภาพที่แข็งแรงหรือความมีอาพาธน้อยก็ดี ดูเหมมือนจะเป็นคุณสมบัติพิเศษ ของท่านอีกอย่างหนึ่งด้วยเพราะแม้ว่าท่านจจะมีอายุถึง 80 ปีแล้วคนหนุ่มๆก็เดินเอาชนะท่านได้ ยาก เป็นที่รู้จักทั่วไป ถ้าไม่นึกอานุภาพกำลังคุณธรรมภายในใจของท่านก็น่าจะชื่นชมกำลังกายของ ท่านอีกอย่างหนึ่งด้วย ฉะนั้น จึงพาพระภิกษุที่มีกำลังกายและกำลังใจเสมอเหมือน ท่านได้ยาก


209 2.5 ละสังขาร หลวงพ่ออี๋ เริ่มอาพาธในอวสานแห่งชีวิตนี้ ด้วยโรคฝีที่คอตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2498 แต่ท่านก็ไม่ได้ใส่รักษานัก ท่านเคยปรารภว่า “มันจะเอาชีวิตท่าน” คงใช้แค่ยาของท่านเอง ปิดบ้าง พอกบ้าง ใช้น้ำมนต์บ้าง เรื่อยมา และไม่ได้หยุดการรับกิจนิมนต์ กำลังของท่านเริ่มลดลง หัวฝีเล็กๆ ใต้คางด้านขวาก็เริ่มบวมมากขึ้น มีผู้ห่วงใยแนะนำท่านให้เข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดเสีย ท่านบอก ว่า “ช่างมันเถอะเป็นกรรมเก่าของฉัน เจ้ากวางหนองไก่เตี้ย มันตามมาทวงหนี้แล้ว ท่านเคยบอกคนใกล้ชิดว่า ในอดีตนั้น เคยไปยิงกวางตัวหนึ่งที่หนองไก่เตี้ย ถูกที่ซอกคอ กวางตัวนั้นตาย กรรมนั้นจึงตามมมาให้ผล ท่านคิดว่าเป็นกรรมเก่า อยากชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น จึง ไม่ได้สนใจที่จะรักษาทางการแพทย์ปัจจุบัน แม้โรงพยาบาลก็ไม่ได้พูดถึงเวลาผ่านไปฝีที่คอโตเร็ว มากขึ้นและทำให้กำลังร่วงโรย ประกอบกับเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2489 พระภิกษุสงฆ์ได้จัดเวรยาม ผลัดกันเฝ้าพยาบาลท่าน 4 รูป บ้าง 5 รูปบ้าง จนกระทั้งถึงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2489 ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ เวลา 20.35 น. คือวันถึงกาลอาวสานแห่งชีวิติของหลวงพ่ออี๋ ท่านได้สั่งให้พระภิกษุจำเนียร พระ หลานชาย ช่วยประคองให้ท่านลุกขึ้นนั่ง และสั่งไม่ให้คนแตะต้องตัวท่าน เสร็จแล้วท่าน ได้ นั่งขัดสมาธิ ตัวตรง เริ่มเจริญ จิตตภาวนา ขณะที่ทุกคนกำลังใจจดใจจ่อห่วงใยอาการอาพาธ ของ ท่านอยู่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทุกกคนคาดไม่ถึง ทำให้ตกใจกันสุดขีด เมื่อไม้กระดานแผ่นหนึ่งซึ่งตั้งพิงฝา ผนังภายในกุฏิอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว ได้ล้มโครมลงมาฟาดกับพื้นกระจกแผ่นหนึ่งที่ติดกับบาน ประตูตู้ ห่างจากไม้กระดานหลายเมตร กระเด็นหลุดออกมาแตกกระจายทั่วพื้น ทั้งพระและลูกศิษย์ ต่างหันมาดูหลวงพ่ออี๋ท่านนั่งสงบนิ่งปราศจากลมหายใจเข้าออกแล้ว ทุกคน เริ่มตะลึง บ้างก็คร่ำ ครวญร้องไห้ด้วยความอาลัยรักต่อหลวงพ่ออี๋ ข่าวการมรณภาพของท่าน แพร่กระจายไปทั่วกิ่ง อำเภอสัตหีบอย่างรวดเร็ว รวมสิริอายุของท่าน 81 ปี แม้ว่าหลวงพ่ออี๋ท่านมารภาพละสังขารจากโลกนี้ไป จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2558) นับได้ 69 ปีแล้วก็ตาม แต่ดูประหนึ่งว่าชีวิตของท่านยังดำรงอยู่ เพราะคุณงามความดีที่ท่านได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่เริ่มอุปสมบทจนถึงมรณภาพ ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของศิษยานุศิษย์ ท่านเป็นพระสุปฏิปัน โน เป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวสัตหีบ และผู้ที่เคารพศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงปัจจุบันนี้ ณ วิหารหลวง พ่ออี๋ เป็นสถานที่ประดิษฐานรูปเหมือนของท่าน มีศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธา ได้เดินทางมา นมัสการรูปเหมือนท่านอย่างมิรู้เสื่อมคลาย วัดสัตหีบในอดีต เป็นแหล่งธรรม และยังเป็นสถานที่ให้ความร่มเย็นแก่ญาติโยม ผู้เดินทาง มาพึ่งพาอาศัย คนป่วยจากจังหวัดต่าง ๆ ได้รอนแรมมาเพื่ออาศัยอิทธิบุญมารมีของหลวงพ่ออี๋ ได้ ช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้ ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาญาณของท่าน สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้เจ็บป่วย ให้หายวันหายคืนจนกลับสู่บ้านเรือนของตนได้ รวมทั้งคนเจ็บป่วยที่ต้องด้วยคุณไสยร้ายแรง หลวง พ่อท่านก็ช่วยปัดเป่าให้รอดชีวิตกลับไปได้ จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชนทั่วไป


210 สรุป วัดสัตหีบ หรือ วัดหลวงปู่อี๋ ตั้งอยู่ในตัวอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีด้านหลังวัดติดทะเล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยหลวงพ่ออี๋ หรือพระครูวรเวทมุนี เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 1 ถนนชายทะเล ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยวัดถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 2442 นายขำ และ นางเอียง ทองขำโยมบิดาและโยมมารดาของหลวงปู่ฯ ได้ขอพระราชทานที่ดินว่าง เปล่าเป็นป่าไม้ที่ไม่มีเจ้าของ พระองค์ฯทรงอนุญาตให้สร้างวัดได้ ด้านเหนือติดทางเกวียน ด้านใต้ ติดทะเลและด้านตะวันตกติดป่า ด้านตะวันออกติดที่ดินบ้านสัตหีบ โดยในปัจจุบันวัดนี้มีเนื้อที่ จำนวน 30 ไร่ 28 ตารางวา ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมาอุโบสถหลังแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ. 138 พ.ศ. 2463 เนื้อที่ได้รับพระราชทาน กว้าง 2 เส้น ยาว 3 เส้น ประวัติพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ พระครูวรเวทมุนีมีนามเดิมว่า อี๋ ทองขำ เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2408 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับปลาย รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของนายขำ และนางเอียง ทองขำ ที่บ้าน ตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีเมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก (ซึ่ง ปัจจุบันได้ยุบรวมเป็นวัดอ่างศิลาเดียววัดเดียว) โดยมีพระอุปัชฌาย์คือพระอธิการจั่น จนฺทสโร วัด เสม็ด พระอาจารย์ทิมเป็นพระกรรมวาจารจารย์ และพระอาจารย์แดงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ ฉายาให้ว่า พุทฺธสโรได้อยู่ศึกษาธรรมมะและเวทมนตร์ต่าง ๆ กับพระอาจารย์แดงถึง 6 พรรษา ก่อน ไปฝากตัวเป็นศิษย์พระครูพิพัฒนิโรธกิจ (ปาน) วัดคลองด่าน ซึ่งช่วงนั้นมีชื่อเสียงมาก และท่านยังได้ ออกธุดงค์ควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อบังเกิดความกล้าแข็งทางจิต สัมฤทธิ์ในธรรมแล้ว จึงเดินทางกับมาสร้างวัดสัตหับขึ้น ใช้เวลาเพียง 5 ปีจึงสมบูรณ์ ท่านได้ใช้วิชาอาคมอันแก่กล้ามา สร้างและปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่าง ๆ มาแจกกับศิษยานุศิษย์ หลวงพ่ออี๋มรณภาพในท่านั่ง สมาธิเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2489 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท มหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สิริอายุได้80 ปี354 วัน


211 ใบความรู้เรื่อง ศาสนพิธี4 คําว่า ศาสนพิธีหมายถึง ระเบียบ ขั้นตอน วิธีการปฏิบัติกิจกรรมของ พระพุทธศาสนา ซึ่งกิจกรรมก็ดี สังฆกรรมของพระสงฆ์ก็ดี แต่ละอย่างย่อมมีวิธีการปฏิบัติเป็น แนวทางเป็นขั้นตอนเอาไว้จนกลายเป็นระเบียบแบบอย่าง และประเพณีวัฒนธรรมสืบต่อกันมา จนถึงปัจจุบันในพระพุทธศาสนาเมื่อจะทำกิจกรรมใด หรือจะบำเพ็ญกุศลชนิดใด จะต้องปฏิบัติตาม วิธีขั้นตอนและระเบียบแบบอย่างของกิจกรรมนั้น ๆ อย่างถูกต้อง จึงจะชื่อว่าได้ทำกิจกรรมนั้นได้ อย่างถูกต้อง ผลที่เกิดคือบุญกุศลซึ่งเป็นที่หวังสุดท้ายของการกระทำนั้น ๆพระพุทธศาสนามี กิจกรรมพิธีกรรมหลายอย่างและมีวิธีปฏิบัติเอาไว้ เรียกว่า ศาสนพิธีซึ่งเป็นองค์ประกอบของ พระพุทธศาสนาชนิดหนึ่งในองค์ประกอบ 4 ประการ คือ (1) ศาสนธรรม พระพุทธศาสนามีพระธรรมเป็นองค์อันดับแรกและเป็นหลักการที่สําคัญ ได้แก่คําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรียกโดยส่วนรวมว่าพระธรรมวินัย พระวินัยคือส่วนที่เป็นคําสั่ง กฎระเบียบปฏิบัติ กล่าวคือส่วนที่เป็นข้อห้าม พระธรรมเป็นข้อปฏิบัติเพื่อความสงบสุข กล่าวคือ ส่วนที่เป็นข้ออนุญาตให้ปฏิบัติ พระธรรมและพระวินัยต่อมาได้จารึกเป็นอักษรอยู่ในรูปพระไตรปิฎก แบ่งเป็น 3หมวดคือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอธิธรรมปิฎก (2) ศาสนบุคคล ได้แก่ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมีตัวตนอยู่4 กลุ่ม คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา (3) ศาสนวัตถุและศาสนสถาน ได้แก่วัตถุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นรูปเปรียบพระธรรม รูปเปรียบ พระพุทธเจ้า เช่น รูปเสมาธรรมจักร พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เป็นต้น และสถานที่สําคัญทางศาสนา เช น วัด อุโบสถ เจดีย์วิหาร เป็นต้นนต้น ซึ่งเป็นต้นนสถาปัตยกรรมประจําสมัยและประจํา ชาติ (4) ศาสนพิธีได้แก่วิธีปฏิบัติตามกิจกรรมต่าง ๆ ของพระพุทธศาสนา เช่น วิธีทําบุญ วิธี บําเพ็ญกุศล การถวายทาน เป็นต้น องค์ประกอบทั้ง 4 อย่างนี้ เป็นต้นนเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ซึ่งถ้า องค์ ประกอบทั้ง 4 อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดเสื่อมสูญไป พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่าเสื่อมไปสูญไปด้วย เช่น ถ้าพระภิกษุสูญไปผู้ที่จะศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยสั่งสอนธรรมวินัยก็หมดไป อุบาสก อุบาสิกาก็ หมดไปด้วย ผู้ที่จะปฏิบัติศาสนพิธีก็ไม่มี ศาสนพิธีก็ชื่อว่าสิ้นสูญไปด้วย มูลเหตุการเกิดศาสนพิธี พิธีคือ แบบอย่างหรือแบบแผนต่าง ๆ ที่พึงปฏิบัติ เพื่อความเรียบร้อยพร้อมเพรียงและ ครบถ้วนตามที่นิยมกันในสังคม สําหรับกรณีหนึ่ง ๆ หรืองานหนึ่งที่ต้องทําร่วมกัน จึงเรียกว่า พิธีกรรม


212 พิธีหรือพิธีกรรมที่พึงปฏิบัติในพระพุทธศาสนาเรียกว่า ศาสนพิธีศาสนพิธีเป็นต้นนเรื่องที่เกิดขึ้น ภายหลังศาสนา กล่าวคือ เมื่อมีศาสนาเกิดขึ้นแล้วพิธีต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นตามมาภายหลังในทาง พระพุทธศาสนาถือกันว่าศาสนพิธีสืบเนื่องมาจากหลักคําสอนที่เป็นต้นนหลักการสําคัญของ พระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงวางไว้ตั้งแต่ปีที่ตรัสรู้เพื่อพุทธสาวกจะได้ถือเป็นต้นนหลักใน การ ออกไปประกาศพระพุทธศาสนา ที่รู้จักกันดีว่า โอวาทปาฏิโมกข์อันเป็นต้นนหลักการสําคัญทั่วไป 3 ประการ คือ (1) การไม่ทําความชั่วทั้งปวง (2) การอบรมกุศลให้ถึงพร้อม (3) การทําจิตให้บริสุทธิ์ โดยหลักทั้ง 3 ประการนี้ พุทธศาสนิกชนจึงได้พยายามเลิกละความประพฤติชั่วทุกอย่าง เต็มความสามารถ และพยายามสร้างกุศลคุณความดีให้เกิดมีขึ้นในตนเอง รวมทั้งพยายามชําระจิต ของตนให้สะอาดผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักคําสอน จากหลักการที่ กล่าวมานี้การพยายามทําความดีเราเรียกว่า ทําบุญ และการทําบุญนี้เองพระพุทธเจ้าทรงแสดงวัตถุ กล่าวคือ ที่ตั้งหรือหลักการวิธีการทําบุญไว้โดยย่อ 3 ประการ เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ คือ (1) ทาน คือ การบริจาค การให้สิ่งของเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น (2) ศีล คือ การรักษาระเบียบวินัย การรักษากายวาจาให้สงบเรียบร้อย (3) ภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตใจ พัฒนายกระดับคุณภาพจิตให้ดีขึ้น บุญกิริยาวัตถุนี้เองเป็นต้นนแนวทางให้พุทธบริษัทประพฤติบุญตามหลักการที่กล่าวข้างต้น และเป็นต้นนมูลเหตุให้เกิดศาสนพิธีต่าง ๆ ขึ้น โดยในกาลต่อ ๆ มาพุทธบริษัทนิยมทําบุญไม่ว่าจะ ปรารภเหตุใด ๆก็ขอให้เข้าหลักบุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ ในการทําบุญตามหลักการบุญกิริยาวัตถุดังกล่าวมักเริ่มต้นที่การรับศีล ต่อไปภาวนาด้วย การสวดมนต์และจบลงที่การบริจาคทานตามสมควร เพราะเหตุที่นิยมทําบุญเป็นต้น การบําเพ็ญ คุณความดี ทําในกรณีต่าง ๆ กันตามเหตุที่ปรารภ จึงเกิดพิธีกรรมขึ้นนานับประการ เมื่อพิธีกรรมใด เป็นต้นนที่นิยมและรับรองปฏิบัติสืบ ๆ มาจนเป็นต้นนประเพณี พิธีกรรมนั้นก็กลายเป็นต้นนศาสน พิธีขึ้นความสําคัญและประโยชน์ของศาสนพิธี ศาสนาพิธี มีความสําคัญต่อพระพุทธศาสนาและชาวพุทธมากโดยเฉพาะเกี่ยวกับด้านจิตใจ เพราะศาสนพิธีเป็นต้นนเครื่องจูงใจในเบื้องต้นตั้งแต่แรกพบและมองเห็นผู้นประกอบและขณะที่ ตนเองประกอบพิธีกรรมนั้น ๆ อยู่ ซึ่งทําให้เกิดความคิดขึ้นว่าพิธีกรรมนั้น ๆ ศักดิ์สิทธิ์ ขลัง น่า ศรัทธาเสื่อมใสไม่กล้าล้วงละเมิด ไม่กล้าดูถูก เหยียดหยาม ลบหลู่ทําให้เกิดความอิ่มเอิบใจที่ เรียกว่าปิติศาสนพิธีช่วยให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเกิดความมั่นใจว่าพิธีกรรมที่ทํานั้นถูกต้องตามระเบียบ ปฏิบัติ ถูกประเพณีธรรมเนียม ถูกตามหลักธรรม คติธรรม ของพิธีนั้น ๆ และเชื่อว่าจะเกิดบุญกุศล อันยิ่งใหญ่ขึ้นแก่ตน เพราะการปฏิบัติถูกหลักที่วางไว้ตรงกันข้ามถ้าทำผิดวิธี ผิดระเบียบปฏิบัติ ก็


213 เชื่อว่าการกระทํานั้นจะไม่เกิดผลอันใดแก่ตนและผู้ปฏิบัติศาสนพิธีแม้จะเป็นต้นนเพียงเปลือกนอก ของศาสนาก็ตาม แต่ก็มีความสําคัญเป็นต้นนอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นต้นนเครื่องชักจูงและปลูกฝัง ศรัทธา ส่งเสริมและให้กําลังใจ สร้างความอุ่นใจ ความเชื่อมั่นแก่ศาสนิกชนของศาสนา รวมทั้งเป็น ต้นนสื่อกลางสําหรับน้อมนําให้ผู้ปฏิบัติหันมาสนใจและศึกษาเรียนรู้หลักธรรมอันเป็นต้นนแกนกลาง ของพระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นต้นนส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของศาสนา ศาสนพิธีจึงเป็นต้นน วิธีการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้หลักธรรมคําสอน เป็นต้นนวิธีการปรับสภาพผู้เรียนรู้ศึกษาให้ อยู่ในภาวะเหมาะสมกับสภาพการเรียนรู้เนื่องจากโดยปกติทั่วไปแล้วผู้เรียนรู้ศึกษาศาสนามักจะ เริ่มต้นที่ ศรัทธา ศาสนพิธีจึงเป็นต้นนรูปแบบการปลูกสร้างศรัทธาที่เป็นต้นนรูปธรรม และเป็นต้นน เครื่องมืออย่างดียิ่งที่จะโน้มนําศาสนิกให้หันมาสนใจหลักคําสอนศาสนพิธีแม้จะเป็นต้นนเพียง องค์ประกอบภายนอกของศาสนา แต่ก็มีความสําคัญในฐานะที่เป็นต้นนเครื่องมือและวิธีการสําหรับ เชื่อมโยงศรัทธาไปสู่ปัญญา ศาสนพิธีแม้จะเป็นต้นนเพียงเปลือกนอกแต่ก็เป็นต้นนเปลือกที่มี ความสําคัญสําหรับแก่นของศาสนา ในฐานะที่เป็นต้นส่วนห่อหุ้มแก่นให้สามารถดํารงอยู่ได้เปรียบ เหมือนต้นไม้ที่สามารถดํารงอยู่ได้ก็เพราะมีองค์ประกอบต่าง ๆ สมบูรณ์รวมทั้งเปลือกไม้ต้นไม้ที่ไร้ เปลือกห่อหุ้มแก่นจึงกลายเป็นต้นไม้ตายซากในที่สุด นอกจากนั้นแล้วหากมองในฐานะประโยชน์ศาสนพิธีก็มีประโยชน์มากแก่ชาวพุทธ เพราะ เป็นต้นนเครื่องมือและวิธีการประกอบพิธีกรรมในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ (1) ใช่เป็นแบบอย่างการปฏิบัติในพิธีกรรม (2) เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติในพิธีกรรมนั้น ๆ เพราะพิธีกรรมต่าง ๆ มักดําเนินการ เป็นขั้นตอน จากเริ่มต้นไปจนจบหรือเสร็จกิจกรรม (3) เป็นพิธีการที่ดีงามมีระเบียบแบบแผน มีขั้นตอนทําให้เกิดศรัทธาความเลื่อมใสแก่คน ทั่วไป (4) สามารถยึดถือไว้เป็นแบบอย่าง เป็นประเพณีธรรมเนียมและวัฒนธรรมอันดีงาม สืบ ต่อไปจนถึงอนุชนรุ่นหลังได้ศาสนพิธี นอกจะมีความสําคัญและประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังเป็นเครื่อง สร้างศรัทธาเลื่อมใสจูงใจให้เกิดฉันทะ วิริยะ ในการเรียนรู้พระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง เพราะศาสน พิธีเป็นกิจเบื้องต้นและง่ายแก่การเรียนรู้และประพฤติปฏิบัติตาม และเป็นกิจที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ และยึดถือเอามาปฏิบัติ กล่าวโดยสรุปศาสนพิธีแม้เป็นเพียงพิธีกรรมภายนอก หรือเปลือกนอกที่มิใช่แก่นของ พระพุทธศาสนา แต่ก็มีประเป็นอย่างยิ่งกล่าวคือ (1) เป็นสื่อจูงใจคนให้ละชั่ว ทําดี และทําจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ (2) ก่อให้เกิดคุณค่าทางใจ เป็นความปิติอิ่มเอิบ (3) เสริมสร้างและสืบสานมรดกทางวัฒนธรรม รักษาเอกลักษณ์ของชาติ เพราะศาสนพิธี เป็นต้นนวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติไทยอย่างไรก็ตามในการประกอบศาสนพิธีนั้น มีสิ่งที่ ควรคํานึงถึงดังนี้


214 (1) การประหยัด (2) ประโยชน์ (3) ความถูกต้อง (4) ความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสภาวการณ หลักทั่วไปในการประกอบศาสนพิธี ในการประกอบศาสนพิธี พุทธศาสนิกชนจะปฏิบัติตนโดยความเรียบร้อย สํารวมและด้วย อาการอันแสดงความเคารพตลอดพิธี มีวิธีการปฏิบัติบางอย่างสําหรับคฤหัสถ์ที่ถือกันเป็นประเพณี ในการประกอบหรือร่วมอยู่ในศาสนพิธี เช่น ศาสนพิธี 9 (1) การแสดงความเคารพพระ (2) การประเคนของพระ (3) การทําหนังสืออาราธนา (4) การทําใบปวารณาถวายจตุปัจจัย (5) การอาราธนาศีล (6) การอาราธนาพระปริตร (7) การอาราธนาธรรม (8) การกรวดนน้ำ (9) การจับด้วยสายสิญจน์ (10) การจัดโต๊ะหมู่บูชา (11) การเตรียมการพิธีสงฆ์ (12) การเตรียมการพิธีเฉพาะ เช่น วิธีบังสุกุล พิธีเกี่ยวกับศพ วิธีบอกศักราชในการแสดง พระธรรมเทศนา เป็นต้น การประกอบศาสนพิธีแต่ละประเภท คือ กุศลพิธี บุญพิธี และทานพิธี มีระเบียบกําหนดไว้ เป็นการเฉพาะของแต่ละพิธี จึงเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจ เพื่อจะได้ ปฏิบัติถูกต้องและเหมาะสมกับพิธีการนั้น ๆ


215 ภาคผนวก ข. ใบงาน


216 ใบงาน 1 พุทธวิถี 1. พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามว่า.............................................................. หมายถึง ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 2. จงบอกสาเหตุการกำเนิดศาสนาพุทธ ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 3. นิกายในศาสนาพุทธมี................นิกาย ได้แก่ นิกายอะไรบ้างพร้อมอธิบาย ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 4. จงเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างนิกายมหายานกับนิกายเถรวาท นิกายอาจริยวาท (มหายาน) นิกายเถรวาท (หินยาน) …………………………………………………………… ……………………………………………………..…… …………………………………………………..……… …………………………………………………..……… …………………………………………………..……… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… …………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ………………………………………………………………… ……………………………………………………………………


217 ใบงาน 2 หัวข้อเรื่องที่ 2 ประวัติความเป็นมา คำชี้แจง กกกกกกก1. ใบงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษามีความรู้และประสบการณ์ในหัวเรื่องที่ 2 ประวัติ ความเป็นมา กกกกกกก2. ให้นักศึกษาปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ กกกกกกกกกก2.1 ให้นักศึกษาค้นคว้าประเด็น เรื่องประวัติความเป็นมาของวัดสัตหีบ และ จากสื่อ การเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อหนังสือที่เกี่ยวข้อง (2 เล่ม) สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต (2 เว็บไซด์) สัมภาษณ์ภูมิปัญญาหรือผู้รู้ จำนวน 1 คน และศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน (ห้องสมุด ประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัตหีบ) จากสื่อหนังสืออย่างน้อย 2 เล่ม รวมถึงศึกษาจากใบ ความรู้เรื่อง ประวัติความเป็นมา 2.2 ให้นักศึกษารวมรวบข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าในข้อ 2. 1 ลงในเอกสาร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนเมื่อวันที่มาพบกลุ่มเสร็จสิ้นในวันที่........ เดือน ....................... พ.ศ. ........................... กกกกกกกกกก2.3 นักศึกษามาพบกลุ่มในวันที่ที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 2.2 อภิปรายข้อมูลที่ศึกษา ค้นคว้าได้ แลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักศึกษาและครูผู้สอน อภิปราย วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาแลกเปลี่ยน กับครู กกกกกกกกกก2.4 สรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการอภิปรายและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ร่วมกัน บันทึกลงใน เอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกกกกก2.5 นักศึกษานำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปทดลอง ปฏิบัติตอบคำถามในใบงานฉบับนี้ แล้วบันทึกคำตอบที่ได้ลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนหลังเสร็จสิ้นการพบ กลุ่มในวันที่....... เดือน ................. พ.ศ. ...........


218 คำถาม 1. ให้นักศึกษาบอกประวัติความเป็นมาของวัดสัตหีบ (วัดหลวงพ่ออี๋) ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหนักศึกษาบอกประวัติหลวงพ่ออี๋มาพอสังเขป ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. หลวงพ่ออี๋มีความชำนาญในด้านใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. สงครามโลกครั้งที่2ฝ่ายพัทธมิตรทิ้งระเปิดลงจุดยุทธศาสตร์ของอำเภอสัตหีบ หลวงพ่ออี๋แสดง อภินิหารแบบใด และส่งผลอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ให้นักศึกษา อธิบายอภินิหารการดับขันของหลวงพ่ออี๋ ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………


219 ใบงาน 3 หัวเรื่องที่ 3 คุณค่า และความศรัทธาที่มีต่อพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) คำชี้แจง กกกกกกก1. ใบงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษามีความรู้และประสบการณ์ในหัวเรื่องที่ 3 คุณค่า และ ความศรัทธาที่มีต่อพระพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) กกกกกกก2. ให้นักศึกษาปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ กกกกกกกกกก2.1 ให้นักศึกษาค้นคว้าประเด็น เรื่องความสำคัญ คุณค่า และความศรัทธาที่มีต่อ พระพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) จากสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อหนังสือที่เกี่ยวข้อง สืบค้นจากอินเทอร์เน็ต และศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน (ห้องสมุด “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอสัต หีบ) จากสื่อหนังสือ รวมถึงศึกษาจากใบ ความรู้เรื่อง คุณค่า และความศรัทธาที่มีต่อพระพระครูวร เวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) กกกกกกกกกก2.2 ให้นักศึกษารวมรวบข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าในข้อ 2.1 เป็นรูปเล่ม รายงาน ส่งครูผู้สอนเมื่อวันที่มาพบกลุ่มเสร็จสิ้นในวันที่......... เดือน ............................ พ.ศ. ……………. กกกกกกกกกก2.3 นักศึกษามาพบกลุ่มในวันที่ที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 2.2 อภิปรายข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้า ได้ แลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักศึกษาและครูผู้สอน อภิปราย วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาแลกเปลี่ยนกับครู กกกกกกกกกก2.4 สรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการอภิปรายและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ร่วมกัน บันทึกลงใน เอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกกกกก2.5 นักศึกษานำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปทดลอง ปฏิบัติตอบคำถามในใบงานฉบับนี้ แล้วบันทึกคำตอบที่ได้ลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนหลังเสร็จสิ้นการพบ กลุ่ม ในวันที่......... เดือน ............................ พ.ศ. ……………. คำถาม กกกกกกก1. หลวงพ่ออี๋ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ในสมัยนั้นท่านได้สร้าง โรงเรียนประชาบาล 1 หลัง ชื่อโรงเรียนอะไร ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ไหน 2. หลวงพ่ออี๋ ท่านเป็นพระเกจิผู้โด่งดังในยุคสมัยใด เพราะเหตุใด ก3. นักศึกษาอธิบายความหมายของวัตถุมงคล มาพอสังเขป ก4. พระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ได้สร้างวัตถุมงคลต่างๆ ไว้มากมาย เพื่อเป็นที่ระลึกใน พิธีการต่าง ๆ เช่นอะไรบ้าง ให้นักศึกษายกตัวอย่างที่นักศึกษาสนใจ พร้อมอธิบายมา 1 อย่าง 5. ความศรัทธาที่มีต่อวัตถุมงคลมีอิทธิพลด้านใดบ้าง จงอธิบายมาพอสังเขป


220 ใบงานหัวเรื่องที่4 ศาสนพิธีภายในวัดสัตหีบ คำชี้แจง กกกกกกก1. ใบงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษามีความรู้และประสบการณ์ในหัวเรื่องที่4 ศาสนพิธี ภายในวัดสัตหีบ กกกกกกก2. ให้นักศึกษาปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ กกกกกกกกกก2.1 ให้นักศึกษาค้นคว้าประเด็น เรื่องศาสนพิธีในวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัด สัตหีบ ภายในวัดสัตหีบ และศาสนพิธีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา บทสวดต่างๆ จากสื่อการ เรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่ สื่อหนังสือที่เกี่ยวข้อง (2 เล่ม) สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต (2 เว็บไซด์) สัมภาษณ์ภูมิปัญญาหรือผู้รู้ จำนวน 1 คน และศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ในชุมชน (ห้องสมุดประชาชน เฉลิราชกุมารีอำเภอสัตหีบ) รวมถึงศึกษาจากใบความรู้เรื่อง ศาสนพิธีภายในวัดสัตหีบ กกกกกกกกกก2.2 ให้นักศึกษารวมรวบข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าในข้อ 2. 1 ลงในเอกสาร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนเมื่อวันที่มาพบกลุ่มเสร็จสิ้นในวันที่........ เดือน .............. พ.ศ. ....................... กกกกกกกกกก2.3 นักศึกษามาพบกลุ่มในวันที่ที่ได้กำหนดไว้ในข้อ 2.2 อภิปรายข้อมูลที่ศึกษา ค้นคว้าได้ แลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักศึกษาและครูผู้สอน อภิปราย วิเคราะห์ข้อมูลที่ศึกษาแลกเปลี่ยน กับครู กกกกกกกกกก2.4 สรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการอภิปรายและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ร่วมกัน บันทึกลงใน เอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กกกกกกกกกก2.5 นักศึกษานำผลสรุปการเรียนรู้ที่ได้ไปทดลอง ปฏิบัติตอบคำถามในใบงานฉบับนี้ แล้วบันทึกคำตอบที่ได้ลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนหลังเสร็จสิ้นการพบ กลุ่มในวันที่....... เดือน ................. พ.ศ. ...........


221 ใบงานที่ 5 คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้สมบูรณ์ กกกกกก1. ความเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่ออี๋หรือพระครูวรเวทมุนี วัดสัตหีบ มีอะไรบ้าง คำตอบ ....................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 2. ศาสนพิธีวันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ มีการปฏิบัติอย่างไร คำตอบ ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 3. ศาสนพิธีในวันสำคัญทางศาสนา มีการปฏิบัติอย่างไร 1. วันวิสาขบูชา 2. วันอาสาฬหบูชา 3. วันมาฆบูชา 4. วันเข้าพรรษา 5. วันออกพรรษา คำตอบ ....................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .........................................................................................................................................................


222 4. บทสวดต่างๆ คำตอบ ....................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 5. คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมาย / ลงในช่องว่างหน้าข้อความที่ถูกต้อง และเครื่องหมาย x ลงในช่องว่างหน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง 1. หลักอริยจสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ มี 4 ประการ คือ ทุกข์สมุทัย นิโรธ และ มรรค เป็นหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับวันวิสาขบูชา 2. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม (ปฐมเทศนา) ชื่อ “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” แก่ปัญจ วัคคีย์ในวัน วิสาขบูชา 3. พระพุทธเจ้าประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งอยู่ ระหว่างกรุง กบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ 4. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระอรหันต์สาวก จำนวน 1,250 รูป มาประชุม กันโดยมิได้นัด หมาย 5. วันวิสาขบูชา คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งถือว่าเป็นวันคล้ายวัน ประสูติ วันตรัสรู้ และวัน ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า 6. พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานที่ กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ 7. ในวันวิสาขบูชาควรสวดมนต์และสดับรับฟังพระธรรมเทศนา เรื่อง โอวาท ปาฏิโมกข์ 8. หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาต คือ อริยสัจ 4 9. นิโรธ ได้แก่ การดับทุกข์ หรือภาวะที่ปลอดปัญหา หมดปัญหา พระพุทธศาสนาสอน วิธีการ ดับทุกข์หรือแก้ปัญหาไว้ 5 ประการ 10. มรรค ได้แก่ หนทางแนวทางหรือวิธีการดำเนินการสู่การดับทุกข์แก้ทุกข์ดับปัญหา หรือ แก้ปัญหา พระพุทธศาสนาสอนวิธีดำเนินการสู่การดับทุกข์ไว้8 ประการ


223 แบบบันทึกกิจกรรมฝึกปฏิบัติ ชื่อ................................................................................................................................................ กิจกรรม……………………………………………………………………………………………………………………………… เนื้อหากิจกรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์ที่ได้รับกับตนเอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์ที่ได้รับต่อชุมชนและสังคม ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ......…………………………………………….. ผู้รับรอง (.................................................................) ลงชื่อ......……………………….……….นักศึกษา ลงชื่อ..............................................ครูประจำ กลุ่ม (.................................................................) (..............................................................)


224 ภาพประกอบกิจกรรม หมายเหตุ อาจมากกว่า 4 ภาพ พร้อมอธิบายใต้ภาพ เงื่อนไขกิจกรรมการฝึกปฏิบัติอาสามัคคุเทศก์ 1. ครูถ่ายทอดเรื่องของมัคคุเทศก์ให้กับนักศึกษา 2. คัดเลือกนักศึกษาที่มีความสามารถกล้าแสดงออก 3. ฝึกพูดหน้าชั้นเรียน/ครูและเพื่อน ประเมินผล 4. จัดตั้งกลุ่มจิตอาสามัคคุเทศก์ กศน.อำเภอสัตหีบ 5. จัดทำบัตรจิตอาสามัคคุเทกศ์ โดย ท่าน ผอ.กศน.อำเภอสัตหีบ 6. ลงพื้นที่ปฏิบัติจริง 7. จัดทำโครงการเสนอขอกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน


225 ภาคผนวก ค. เครื่องมือวัดความก้าวหน้า


226 แบบประเมินเอกสารรายงานการสืบสานและอนุรักษ์ คำชี้แจง กกกกกกกโปรดทำเครื่องหมาย (✓) ลงในช่องหลังรายการตรวจสอบตามที่ท่านตรวจสอบได้จริงใน เอกสารรายงาน และสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา โดยมีระดับคุณภาพ และคะแนน ดังต่อไปนี้ ดีมาก หมายถึง ท่านคิดว่ารายการตรวจสอบรายการนี้มีคุณภาพ อยู่ในระดับดีมาก เท่ากับ 5 คะแนน ดี หมายถึง ท่านคิดว่ารายการตรวจสอบรายการนี้มีคุณภาพ อยู่ในระดับดี เท่ากับ 4 คะแนน พอใช้ หมายถึง ท่านคิดว่ารายการตรวจสอบรายการนี้มีคุณภาพ อยู่ในระดับพอใช้ เท่ากับ 3 คะแนน น้อย หมายถึง ท่านคิดว่ารายการตรวจสอบรายการนี้มีคุณภาพ อยู่ในระดับน้อย เท่ากับ 2 คะแนน ไม่ดี หมายถึง ท่านคิดว่ารายการตรวจสอบรายการนี้มีคุณภาพ อยู่ในระดับไม่ดี เท่ากับ 1 คะแนน ข้อ รายการตรวจสอบ ระดับคุณภาพ ดีมาก 5 ดี 4 พอใช้ 3 น้อย 2 ไม่ดี 1 1 นักศึกษาได้รายงานวัตถุประสงค์ของการเป็น มัคคุเทศก์อาสาได้ถูกต้อง 2 นักศึกษาได้รายงานวัตถุประสงค์ของการเป็น มัคคุเทศก์อาสาได้ครอบคลุม 3 นักศึกษาได้รายงานวัตถุประสงค์ของการเป็น มัคคุเทศก์อาสาได้ชัดเจน 4 นักศึกษาได้รายงานบทบาทของมัคคุเทศก์ อาสาได้ถูกต้อง 5 นักศึกษาได้รายงานบทบาทของมัคคุเทศก์ อาสาได้ครอบคลุม


227 ข้อ รายการตรวจสอบ ระดับคุณภาพ ดีมาก 5 ดี 4 พอใช้ 3 น้อย 2 ไม่ดี 1 6 นักศึกษาได้รายงานบทบาทของมัคคุเทศก์ อาสาได้ชัดเจน 7 นักศึกษาได้รายงานเนื้อหาการเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ถูกต้อง 8 นักศึกษาได้รายงานเนื้อหาการเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ครอบคลุม 9 นักศึกษาได้รายงานเนื้อหาการเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ชัดเจน 10 นักศึกษาได้รายงานการสรุปการเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ถูกต้อง 11 นักศึกษาได้รายงานการสรุปการเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ครอบคลุม 12 นักศึกษาได้รายงานการสรุปการเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ชัดเจน 13 นักศึกษาจัดทำแผ่นพับในการสืบสาน และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ถูกต้อง 14 นักศึกษาจัดทำแผ่นพับในการสืบสาน และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ ครอบคลุม 15 นักศึกษาจัดทำแผ่นพับในการสืบสาน และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ชัดเจน 16 นักศึกษาจัดทำแผ่นพับในการสืบสาน และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้น่าสนใจ หมายเหตุ คะแนนที่ตรวจได้จริงของนักศึกษา = 30 80 x คะแนนที่ตรวจได้ตามแบบ ประเมินนี้


228 ภาคผนวก ง. เครื่องมือวัดผลรวม


229 แบบทดสอบวัดความรู้ คำชี้แจง กกกกกกก1. แบบทดสอบฉบับนี้ทำขึ้น เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความรู้ของนักศึกษา รายวิชา สค3300174 วิถีพุทธวดหลวงพ่ออี๋ กกกกกกก2. แบบทดสอบฉบับนี้มีจำนวน 40 ข้อ มีลักษณะเป็นปรนัย 4 ตัวเลือก ให้นักศึกษา เลือกคำตอบถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว นำคำตอบที่ได้ไปทำเครื่องหมายกากบาท (X) ทับตัวอักษร ของข้อนั้น ๆ ลงในแผ่นกระดาษคำตอบที่แจกให้ โดยตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน กกกกกกก3. เวลาที่ใช้ทำแบบทดสอบฉบับนี้ จำนวน 40 นาที กกกกกกก4. เมื่อนักศึกษาทำแบบทดสอบฉบับนี้เสร็จสิ้น ให้นักศึกษาส่งเอกสารแบบทดสอบ ต้นฉบับและแผ่นกระดาษคำตอบคืนครูผู้สอน กกกกกกก5. ก่อนทำแบบทดสอบ นักศึกษาต้องเขียนชื่อ – สกุล รหัสนักศึกษาลงในแผ่นกระดาษ คำตอบเสมอ 1. ความหมายของศาสนา สอดคล้องกับข้อใด ก. การสอนให้ทำดี ข. การสอนให้เชื่อในกฎแห่งกรรม ค. ลัทธิความเชื่อถือมนุษย์ที่มีหลักเกณฑ์ ง. ข้อบังคับเพื่อให้มนุษย์เกิดความเชื่อถือ 2 มูลเหตุการณ์เกิดศาสนาที่สำคัญที่สุดคือข้อใด ก. อวิชชา ข. ความกลัว ค. ความจงรักภักดี ง. อิทธิพลของผู้นำ 3 การที่พุทธศาสนิกชนนำพิธีกรรมศาสนพิธีมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะอะไร ก. มีความเชื่อ ข. มีความศรัทธา ค. เป็นประเพณี ง. เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล 4 บุคคลควรใช้หลักธรรมใดในการ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต ก. อริยสัจ 4 ข. อิทธิบาท 4 ค. สังคหวัตถุ 4 ง. พรหมวิหาร 4


230 5. มรรค มีความหมายตรงกับข้อใด ก. หนทาง 8 ประการ ที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ ข. องค์ประกอบ 8 ประการ ที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ ค. ทางสายกลาง 8 ประการ ที่นำไปสู่ความดับทุกข์ ง. ทางสายเดี่ยว แต่มีองค์ประกอบ 8 ประการ ที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ 6 ธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์แทนเหตุการณ์ เรื่องใดของพระพุทธเจ้า ก. จำวัตร ข. กิจสงฆ์ ค. สวดมนต์ ง. แสดงธรรมเทศนา 7 เหตุผลที่พุทธศาสนิกชนต้องรักษาศีลคือข้อใด ก. เป็นข้อบังคับของมนุษย์ ข. เป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกัน ค. ทำสืบๆกันมาเป็นขนบธรรมเนียม ง. เพราะสังคมมีความขัดแย้งกันสูง 8 การประสูติบอกให้รู้เกี่ยวกับเรื่องใด ก. อัฐมีบูชา ข. มาฆบูชา ค. วิสาขบูชา ง. อาสาฬหบูชา 9 นิกายต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุผลในข้อใด ก. ความขัดแย้งกันระหว่างผู้นำของศาสนา ข. ความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ค. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่ให้การยอมรับ ง. ความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับหลักธรรมต่างๆทางศาสนา 10. วัดสัตหีบก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.ใด ก. พ.ศ. 2442 ข. พ.ศ. 2447 ค. พ.ศ.2463 ง. พ.ศ 2489 11. ผู้ใดกราบขอใช้ที่ดินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจอมแกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อสร้างเป็นวัด สัตหีบ


231 ก ศิษผู้เคารพและศรัทธาในหลวงพ่ออี๋ ข ประชาชนชาวสัตหีบ ค มารดา ง บิดา 12. เมื่อหลวงพ่ออี๋อุปสมบทแล้วท่านศึกษาพระธรรมวินัยและศาสนพิธี กับพระอาจารย์แดง อยู่กี่ พรรษา ก 4 พรรษา ข 5 พรรษา ค 6 พรรษา ง 7 พรรษา 13.ท่านออกธุดงค์ควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อบังเกิดความกล้าแข็งทางจิต สัมฤทธิ์ใน ธรรมแล้ว จึงเดินทางกับมาสร้างวัดสัตหีบ โดยใช้เวลารวมราวกี่ปี ก 4 ปี ข 5 ปี ค 6 ปี ง 7 ปี 14.ข้อใดกล่าวผิด เกี่ยวกับพระครูวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋) ก เป็นบุตรนายขำ และ นางเอี๋ยง ทองขำ ข หลวงพ่ออี๋ ไปฝากตัวเป็นศิษย์พระครูพิพัฒนิโรธกิจ (ปาน) วัดคลองด่าน ค ท่านยังได้ออกธุดงค์ควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ง ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ 25 ปี 15. ฉายา พุทฺธสโร เป็นที่ได้จากพระอาจารย์ใด ก พระอาจารย์จง พระอาจารย์คง ข พระอาจารย์แดง พระอาจารย์จง ค พระอาจารย์ทิม พระอาจารย์แดง ง พระอาจารย์คง พระอาจารย์ทิม 16.หลวงพ่ออี๋ ได้รับแต่งตั้ง เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวรเวทมุนี เมื่อปีใด ก พ.ศ.2408 ข พ.ศ. 2476 ค พ.ศ.2484 ง พ.ศ.2489


232 17. เครื่องบินฝ่ายพันธมิตรได้นำระเบิดมาทิ้งที่สัตหีบถึงสามครั้ง แต่ลูกระเบิดไม่ระเบิดสักลูกเดียว เหตุการครั้งนั้นลูกละเบิดทั้งหมดตกลงทะเลและไม่ระเบิด จากที่กล่าวข้างต้น หลวงพ่ออี๋ทำสิ่งใด ก สบัดผ้าอาบน้ำฝน และยืนกลางแจ้ง ในช่วงเวลาทิ้งระเบิด ข สบัดผ้าอาบน้ำฝน และยืนกลางแจ้งเพ่งสมาธิไปที่ลูกระเบิด ในช่วงเวลาทิ้งระเบิด ค นั่งสมาธิเพ่งจิตไปที่ลูกระเบิดและสบัดผ้าอาบน้ำฝน ในช่วงเวลาทิ้งระเบิด ง นั่งสมาธิเพ่งจิตไปที่ลูกระเบิดและสบัดผ้าอาบน้ำฝนสลับ กับสบัดผ้าอาบน้ำฝนและยืน กลางแจ้ง ในช่วงเวลาทิ้งระเบิด 18. จากคำกล่าวของหลวงพ่ออี๋ที่ว่า “ช่างมันเถอะเป็นกรรมเก่าของฉัน เจ้ากวางหนองไก่เตี้ย มัน ตามมาทวงหนี้แล้ว” จนถึงท่าน ละสังขาร รวมสิริอายุของท่านคือเท่าใด ก 80 ปี ข 81 ปี ค 82 ปี ง 83 ปี 19. พระครูวรเวทมุนี ท่านได้สร้างโรงเรียนประชาบาล 1 หลัง คือ ก. โรงเรียนสัตหีบ ข. โรงเรียนบ้านสัตหีบ ค. โรงเรียนสิงห์สมุทร ง. โรงเรียนสัตหีบวิทยาคม 20. เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของพระครูวรเวทมุนี สร้างขึ้นปี พ.ศ.ใด ก. พ.ศ. 2473 ข. พ.ศ. 2475 ค. พ.ศ. 2485 ง. พ.ศ. 2474 21. ข้อใดไม่ใช่วัตถุมงคล ก. เหรียญบาท ข. พระกริ่ง ค.ปลัดขิก ง. ผ้ายันต์ 22. ข้อใดไม่ใช่ไม้ที่นำมาทำปลัดขิกมงคลของพระครูวรเวทมุนี ก.แก่นไม้คูณ ข.แก่นไม้มะขาม ค.ไม้งิ้วดำ


233 ง. ไม้มะค่า 23. พระครูวรเวทมุนี พบปลัดขิก ครั้งแรกที่ใด ก.บนเขา ข. ทุ่งนา ค. บนถนน ง.ในบ่อน้ำ 24.เหรียญที่สร้างด้วยเนื้อโลหะที่ใช้ในการสร้างเหรียญ มีกี่ชนิด ก. 2 ชนิด ข. 3 ชนิด ค. 4 ชนิด ง. 5 ชนิด 25.ปลายหัวปลัดขิกพระครูวรเวทมุนี มีกี่แบบ ก. 2 แบบ ข. 3 แบบ ค. 4 แบบ ง. 5 แบบ 26. สมัยรัชกาลใดที่กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ก. สมัยรัชกาลที่ 6 ข. สมัยรัชกาลที่ 7 ค. สมัยรัชกาลที่ 8 ง. สมัยรัชกาลที่ 9 27. จุดมุ่งหมายที่เชิญชวนชาวพุทธเข้าร่วมพิธีกรรมเนื่องในวันสำคัญทางศาสนาคืออะไร ก. ชำระขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ข. ชาวพุทธจะได้ทำความรู้จักกัน ค. หาปัจจัยไปทำนุบำรุงวัดวาอาราม ง. ช่วยลดปัญหาต่างๆ ของสังคมไทย 28.พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนา “โอวาทปาฏิโมกข์” ในวันใด ก. วันวิสาขบูชา ข. วันมาฆบูชา ค. วันเข้าพรรษา ง. วันออกพรรษา


234 29. หลักธรรมที่เกี่ยวเนื่องในวันมาฆบูชา คืออะไร ก. เทศนา 4 ข. อริยสัจ 4 ค. อิทธิบาท 4 ง. ฆราวาสธรรม 30. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะใดในวันอาสาฬหบูชา ก. อนันตลักขณสูตร ข. โอวาทปาฏิโมกข์ ค. จาตุรงคสันนิบาต ง. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร 31. องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันในข้อใดเป็นวันสำคัญในกรอบขององค์การ สหประชาชาติ ก. วันมาฆบูชา ข. วันวิสาขบูชา ค. วันเข้าพรรษา ง. วันอาสาฬหบูชา 32. หลักธรรมที่เกี่ยวเนื่องในวันวิสาขบูชา คืออะไร ก. อริยสัจ 4 ข. อิทธิบาท 4 ค. ฆราวาสธรรม ง. ทศพิธราชธรรม 33. เพราเหตุใด เราจึงเรียกวันมาฆบูชาว่า “วันพระธรรม” ก. เกี่ยวข้องกับไตรสิกขา ข. เกี่ยวข้องกับการแสดงปฐมเทศนา ค. เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ง. เกี่ยวข้องกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา 34. เทศนาวิธีหรือพุทธลีลาในการสอนของพระพุทธเจ้าแบบใดที่ชวนให้รับคำสอนนำไป ปฏิบัติ ก. สันทัสสนา ข. สมาทปนา ค. สมุตเตชนา ง. สัมปหังสนา 35. บุคคลใดต่อไปนี้ปฏิบัติตน ไม่ถูกต้องในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ก. หมวยตื่นมาตักบาตรแต่เช้าตรู่ ข. แดงชวนเพื่อนๆ ไปเวียนที่วัดตอนค่ำ


235 ค. เหมียวไปฟังพระเทศน์เรื่องโอวาทปาฏิโมกข์ ง. ตี๋ไปถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระสงฆ์ที่วัด 36. การประกอบพิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาควรปฏิบัติตนตามข้อใด ก. เดินภายในพระอุโบสถ 3รอบ ข. เดินเวียนขวารอบพระอุโบสถ 3รอบ ค. เดินเวียนซ้ายรอบพระอุโบสถ 3รอบ ง. เดินบริเวณหน้าพระอุโบสถกลับไปกลับมา 3รอบ 37. อาชีพใดในงานบริการเปรียบเสมือน “ทูตวัฒนธรรม” มากที่สุด ก. มัคคุเทศก์ ข. พนักงานโรงแรม ค. สจ๊วตและแอร์โฮสแตส ง. พนักงานการท่าอากาศยาน 38. คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็น มัคคุเทศก์อาสา คือข้อใด ก. เป็นนักวางแผนที่ดี ข. รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ค. มีความรู้ ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ง. ทำงานเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงินหรือสิ่งอื่น ใด 39 ข้อใดไม่ใช่บทบาทของมัคคุเทศก์ ก. บทบาทการเป็นครู ข. บทบาทการเป็นนักแสดง ค. บทบาทการเป็นนักจิตวิทยา ง. บทบาทการเป็นนักพนักงานโรงแรม 40. จิตอาสาสาธารณะ หมายถึง ก. จิตบริการที่เกี่ยวกับการคิด และการปฏิบัติใน การให้ความ ช่วยเหลือผู้อื่น ข. การสํานึกสาธารณะ ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลตระหนักรู้และ คํานึงถึงประโยชน์สุขของ ส่วนรวมและสังคม ค. จิตสํานึกทางสังคมที่สํานักงานและคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติได้อธิบายว่าเป็น การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระ และเข้าร่วมในเรื่อง ของส่วนร่วมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ง. พฤติกรรมหรือการกระทําของบุคคลที่ เกิดขึ้น โดย ความสมัครใจ ปรารถนาที่จะ ช่วยเหลือ ช่วยแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นในสังคม และตระหนักถึงความ รับผิดชอบต่อสังคม มีสํานึกใน ระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม


236 แบบสอบถามวัดทักษะการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ คำชี้แจง กกกกกกกโปรดทำเครื่องหมายถูก (✓) ลงในช่องหลังข้อความที่ตรงกับระดับการปฏิบัติได้จริง ของนักศึกษา โดยมีความหมาย ดังนี้ มาก หมายถึง นักศึกษาสามารถบอกกล่าวเล่าขานเป็นมัคคุเทศก์อาสา และประชาสัมพันธ์ เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ได้ในระดับ มาก เท่ากับ 3 คะแนน พอใช้ หมายถึง นักศึกษาสามารถบอกกล่าวเล่าขานเป็นมัคคุเทศก์อาสา และประชาสัมพันธ์ เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ได้ในระดับ พอใช้ เท่ากับ 2 คะแนน น้อย หมายถึง นักศึกษาสามารถบอกกล่าวเล่าขานเป็นมัคคุเทศก์อาสา และประชาสัมพันธ์ เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ได้ในระดับ น้อย เท่ากับ 1 คะแนน ทำไม่ได้ หมายถึง นักศึกษาไม่สามารถบอกกล่าวเล่าขานเป็นมัคคุเทศก์อาสาและประชาสัมพันธ์ เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ เลย ในระดับ ทำไม่ได้ เท่ากับ 0 คะแนน ข้อ รายการตรวจสอบ ระดับการปฏิบัติ มาก 3 พอใช้ 2 น้อย 1 ทำไม่ได้ 0 1 นักศึกษาสามารถบอกกล่าวเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบให้กับผู้สนใจได้ ถูกต้อง 2 นักศึกษาสามารถบอกกล่าวเล่าขาน พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบให้กับผู้สนใจได้ คล่องแคล่ว 3 นักศึกษาสามารถเป็นมัคคุเทศก์อาสา บอกกล่าว เล่าขานพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ตาม บทบาท ทำได้ถูกต้อง


237 ข้อ รายการตรวจสอบ ระดับการปฏิบัติ มาก 3 พอใช้ 2 น้อย 1 ทำไม่ได้ 0 4 นักศึกษาสามารถเป็นมัคคุเทศก์อาสา บอกกล่าว เล่าขานพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบตามบทบาท ทำได้คล่องแคล่ว 5 นักศึกษาสามารถจัดทำประชาสัมพันธ์ เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้ถูกต้อง 6 นักศึกษาสามารถจัดทำประชาสัมพันธ์ เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้คล่องแคล่ว หมายเหตุ กกกกกกกการแปลความหมายคะแนนที่ได้จากทักษะการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ขอบเขตคะแนน 13.51 – 18.00 นักศึกษามีทักษะการบอกกล่าวเล่าขานการเป็นมัคคุเทศก์อาสา และประชาสัมพันธ์เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ ในระดับ มาก ขอบเขตคะแนน 9.01 – 13.50 นักศึกษามีทักษะการบอกกล่าวเล่าขานการเป็นมัคคุเทศก์อาสา และประชาสัมพันธ์เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ ได้ ในระดับ พอใช้ ขอบเขตคะแนน 4.51 – 9.00 นักศึกษามีทักษะการบอกกล่าวเล่าขานการเป็นมัคคุเทศก์อาสา และประชาสัมพันธ์เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และ อนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบได้ ในระดับ น้อย ขอบเขตคะแนน 0.00 – 4.50 นักศึกษาไม่มีทักษะการบอกกล่าวเล่าขานการเป็นมัคคุเทศก์ อาสา และประชาสัมพันธ์เพื่อสืบสานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบไม้ได้เลย ในระดับ ทำไม่ได้ กกกกกกกเกณฑ์คะแนนที่ผ่าน นักศึกษามีทักษะการสืบสานและอนุรักษ์พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ในระดับ พอใช้ ถึง มาก


238 แบบสอบถามวัดเจตคติต่อหลักสูตรรายวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ คำชี้แจง กกกกกกกโปรดทำเครื่องหมายถูก (✓) ลงในช่องหลังข้อความที่ตรงกับระดับความรู้สึกของ นักศึกษา โดยมีความหมาย ดังนี้ ดี หมายถึง นักศึกษารู้สึกต่อข้อความนี้ อยู่ในระดับ ดี เท่ากับ 4 คะแนน พอใช้ หมายถึง นักศึกษารู้สึกต่อข้อความนี้ อยู่ในระดับ พอใช้ เท่ากับ 3 คะแนน น้อย หมายถึง นักศึกษารู้สึกต่อข้อความนี้ อยู่ในระดับ น้อย เท่ากับ 2 คะแนน ไม่ดี หมายถึง นักศึกษารู้สึกไม่ดีต่อข้อความนี้เลย อยู่ในระดับ ไม่ดี เท่ากับ 1 คะแนน ข้อ ข้อความ ระดับความรู้สึก ดี 4 พอใ ช้ 3 น้อย 2 ไม่ดี 1 1 นักศึกษารู้สึกเห็นคุณค่าของจุดหมายหลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 2 นักศึกษารู้สึกชอบเนื้อหาของหลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 3 นักศึกษารู้สึกเห็นคุณค่า ความสำคัญ ของหลักสูตร รายวิชา 3300174 พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 4 นักศึกษารู้สึกชอบวิธีการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน หลักสูตรรายวิชา รายวิชา 3300174พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ 5 นักศึกษารู้สึกชอบกิจกรรมที่ครูผู้สอนใช้ประกอบการจัด การเรียนรู้หลักสูตรรายวิชา สครายวิชา 3300174พุทธ วิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ 6 นักศึกษารู้สึกชอบสื่อการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนใช้จัด การเรียนรู้หลักสูตรรายวิชา สครายวิชา 3300174พุทธ วิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ


239 ข้อ ข้อความ ระดับความรู้สึก ดี 4 พอใ ช้ 3 น้อย 2 ไม่ดี 1 7 นักศึกษาเห็นความสำคัญของการวัดและประเมินผล หลักสูตรรายวิชา รายวิชา 3300174พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ 8 นักศึกษารู้สึกความภาคภูมิใจในการเรียนรู้หลักสูตร รายวิชา รายวิชา 3300174พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ หมายเหตุ กกกกกกกการแปลคะแนนเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรรายวิชา สค3300174 พุทธวิถีหลวง พ่ออี๋วัดสัตหีบ มีดังนี้ ขอบเขต คะแนน 28.01-32.00 หมายถึง นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อหลักสูตรนี้ ในระดับ ดี ขอบเขต คะแนน 20.01-28.00 หมายถึง นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อหลักสูตรนี้ ในระดับ พอใช้ ขอบเขต คะแนน 12.01-20.00 หมายถึง นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อหลักสูตรนี้ ในระดับ น้อย ขอบเขต คะแนน 8.01-12.00 หมายถึง นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อหลักสูตรนี้ ในระดับ ไม่ดี กกกกกกกเกณฑ์ที่ผ่าน นักศึกษาต้องมี เจตคติต่อหลักสูตร ในระดับ พอใช้ ถึง ดี


240 ภาคผนวก จ. ประกาศแต่งตั้งที่ปรึกษาและผู้ร่วมให้ข้อมูลพัฒนาหลักสูตร


241 ประกาศศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ เรื่อง คณะที่ปรึกษาและผู้ให้ข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรวิชาวิชาเลือก พุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ............................................. ด้วยศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จะดำเนินการพัฒนา หลักสูตรท้องถื่นวิชาพุทธวิถีหลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 2 หน่วยกิต เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ซึ่งมีคณะที่ปรึกษา และผู้ให้ข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ได้เนื้อหา สาระ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและสอดคล้องกับหลักสูตรดังต่อไปนี้ ๑. คณะที่ปรึกษา ประกอบด้วย ๑.๑ พระครูทัสนียคุณากร (วรรณะ ทสสนีโย) เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ๑.๒ นายอนุชา พงษ์เกษม ผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัดชลบุรี ๑.๓ นางสาวอุไรรัตน์ ชนะบำรุง รองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัดชลบุรี ๒. คณะผู้ให้ข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย ๒.๑ นายสน เปรมจิตร์ ผู้ชำนาญการเรื่องวัดสัตหีบ ๒.๒ นาวาเอกบุญรอด สุพรรณวงศ์ อนุศาสนาจารย์ทหารเรือ กรมยุทธศาสตร์ทหารเรือ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ (นางสุรัสวดี เลี้ยงสุพงศ์) ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ


Click to View FlipBook Version