The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครูประกอบการจัดกระบวนการเรียนรู้ หลักสูตรวิชา การทํา Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) จํานวน 35 ชั่วโมง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookchon, 2023-08-07 00:43:29

คู่มือครูประกอบการจัดกระบวนการเรียนรู้ หลักสูตรวิชา การทํา Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) จํานวน 35 ชั่วโมง

คู่มือครูประกอบการจัดกระบวนการเรียนรู้ หลักสูตรวิชา การทํา Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) จํานวน 35 ชั่วโมง

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดชลบุรี ค ู่ม ื อคร ู ประกอบการจ ั ดกระบวนการเร ี ยนร ู ้ หล ั กส ู ตรระยะส ั ้ นว ิชาการทา Marbling Art เพอ ื่การค ้ า (รองเท้า,หมวกปี ก)


สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ


ก คำชี้แจงการใช้คู่มือประกอบการฝึกอาชีพ หลักสูตรวิชา การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) จำนวน 35 ชั่วโมง คู่มือประกอบการฝึกอาชีพ หลักสูตรวิชา การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) ถือเป็น สิ่งจำเป็นในการนำไปใช้ในการเรียนรู้ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ ในปีงบประมาณ 2563 เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน วิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ใช้เป็น แนวทางในการนำไปปฏิบัติตามคู่มือประกอบการฝึกอาชีพได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จนประสบ ผลสำเร็จ ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่นำคู่มือประกอบการฝึกอาชีพ หลักสูตรวิชา การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) ไปใช้ควรศึกษากระบวนการ และขั้นตอนการใช้ให้เข้าใจโดยละเอียด 2. วัตถุประสงค์ของคู่มือประกอบการฝึกอาชีพ หลักสูตรการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 2.1 เพื่อใช้เป็นคู่มือประกอบการฝึกอบรมอาชีพหลักสูตรระยะสั้น 2.2 เพื่อให้การฝึกอบรมอาชีพหลักสูตรระยะสั้น มีคุณภาพและเป็นแนวทางเดียวกัน 2.3 เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน วิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ใช้เป็นแนวทาง ในนำไปปฏิบัติตามคู่มือประกอบการฝึกอาชีพ ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ 2.4 เพื่อให้บุคลากร หรือเจ้าหน้าที่สามารถทำงานแทนกันได้ 2.5 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทราบรายละเอียด และทำงานได้อย่างถูกต้อง 3 ขั้นตอนการใช้คู่มือประกอบการฝึกอาชีพ หลักสูตรวิชาการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 3.2 ส่วนที่ 1 ช่องทางการประกอบอาชีพ 3.3 ส่วนที่ 2 ทักษะการประกอบอาชีพ 3.4 ส่วนที่ 3 ช่องทางการขยายอาชีพ 4 เมื่อใช้หลักสูตรนี้เสร็จสิ้นควรมีการวัดผลประเมินผลทุกครั้ง เพื่อนำผลการประเมินไปปรับพัฒนา และประยุกต์ใช้ให้ได้ผลและมีคุณภาพ ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วย 4.2 แบบสำรวจความต้องการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.13) 4.3 ใบสมัครผู้เรียนหลักสูตรการจัดการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.14) 4.4 ใบลงทะเบียนผู้สมัครเรียนหลักสูตรการจัดการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.1) 4.5 แบบประเมินผลการจัดการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.7(1)) 4.6 แบบประเมินความพึงพอใจ (แบบ กศ.ตน.1) 4.7 แบบบันทึกการนิเทศการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.30) 4.8 แบบติดตามผู้เรียนหลังจบหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.22)


ข คำนำ คู่มือประกอบการฝึกอาชีพ หลักสูตรวิชาการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) จำนวน 35 ชั่วโมง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการจัดการฝึกอบรมวิชาชีพให้กับผู้ที่สนใจ ในปีงบประมาณ 2563 คู่มือเล่มนี้ประกอบด้วย รายละเอียด 3 ส่วน ได้แก่ส่วนที่ 1 ช่องทางการประกอบอาชีพ ส่วนที่ 2 ทักษะการประกอบอาชีพ ส่วนที่ 3 ช่องทางการขยายอาชีพ เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน วิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ใช้ เป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติตามคู่มือประกอบการฝึกอาชีพ ได้อย่าง ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หวังเป็น อย่างยิ่งว่าคู่มือเล่มนี้จะเป็นแนวทางที่ดีให้กับสถานศึกษา และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ ขับเคลื่อน การฝึกอบรมวิชาชีพให้กับผู้ที่สนใจ ประจำปีงบประมาณ 2563 ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จนประสบผลสำเร็จต่อไป กศน.ตำบลนาจอมเทียน ผู้จัดทำ



ง สารบัญ หน้า คำชี้แจงการใช้คู่มือประกอบการฝึกอบรม ก คำนำ ข สารบัญ ค ความเป็นมาของหลักสูตร 1 ขอบข่ายเนื้อหา 3 โครงสร้างหลักสูตร 4 1.ช่องทางการประกอบอาชีพ 9 1.1 ความหมายและความสำคัญของการประกอบอาชีพ 9 1.2 ความรู้เบื้องต้นในการประกอบอาชีพ 10 1.2.1 ปัจจัยหลักของการประกอบอาชีพ 10 1.2.2 ความต้องการตลาด 11 1.2.3 การลงทุน/การคิดต้นทุน 21 1.2.4 กระบวนการผลิต/การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ 23 1.3 แหล่งเรียนรู้/ภูมิปัญญาในท้องถิ่น 26 1.4 บอกทิศทางการประกอบอาชีพ 28 1.4.1 เป็นผู้ประกอบการ 28 1.4.2 ผู้ค้าส่ง 29 1.4.3 ลูกจ้าง 30 1.5 การประเมินทางเลือกอาชีพ 33 2. ทักษะการประกอบอาชีพ 40 2.1 ขั้นตอนการเตรียมการก่อนการประกอบอาชีพ 40 2.1.1 สถานที่ 40 2.1.2 การเตรียมอุปกรณ์ 40 2.2 ขั้นตอนการทำวิชาการทำ Marbling Art เพื่อการค้า(พัด,หมวกแก๊ป) 40 3. ช่องทางการขยายอาชีพ 48 3.1 เทคนิคการถ่ายภาพ 48 3.2 การกำหนดราคาขาย 55 3.3 หน้าที่ช่องทางการจำหน่าย 61 3.4 ระดับของช่องทางการจำหน่าย 62 3.5 ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ 75


จ 3.6 การสร้างแฟนเพจการค้าออนไลน์ 89 3.7 ความหมายกลุ่มอาชีพ 91 ภาคผนวก


1 หลักสูตร....การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก)…. จำนวน ....35.....ชั่วโมง ความเป็นมาของหลักสูตร กศน.ตำบลนาจอมเทียน ตั้งอยู่ในชุมชนวัดหนองจับเต่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีศิลปะสร้างสรรค์ที่สวยงามมากมาย ซึ่งงานศิลปะเป็นการ วาดภาพที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการของมนุษย์ เกิดจากการวาดลายเส้น ขีดเขียนให้ออกมา เป็นรูปร่างลักษณะ หรือสร้างภาพบอกถึงเอกลักษณ์ และลักษณะของสิ่งของนั้น ๆ เป็นลวดลายเฉพาะ เช่น พญาเต่าเรือน โบสถ์พญานาค เป็นต้น และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในชุมชนอีกด้วย ดังนั้นชุมชน วัดหนองจับเต่า และ กศน.ตำบลนาจอมเทียน จึงมีแนวคิดสร้างสรรค์งานศิลปะกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Marbling Art ให้เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและ สอดคล้องกับเศรษฐกิจชุมชนของตำบลนาจอมเทียน ซึ่งในปัจจุบันตำบลนาจอมเทียนมีแหล่งท่องเที่ยวเป็น จำนวนมากที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในชุมชนเป็นจำนวนมาก ดังนี้ Marbling Art คืองานศิลปะที่เกิด จาก การหยด สะบัดสี วาดลวดลาย ลงบนพื้นผิวน้ำเจล โดยวาดลายตามจินตนาการของผู้สร้างสรรค์ ให้มี ลักษณะคล้ายชั้นของหินอ่อน หรือเป็นลวดลายอื่นๆ ตามแต่เทคนิคเฉพาะตัว แล้วพิมพ์ภาพลงบนวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษ หมอน ผ้า กระเป๋า หมวก ร่มกระดาษ พัด ไม้ เซรามิก รองเท้าเป็นต้น ซึ่งเกิดเป็นลวดลายของ ผลิตภัณฑ์หนึ่งเดี่ยวในโลก สำนักงาน กศน. ได้กำหนดนโยบายการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ ให้สถานศึกษาได้จัดการเรียน การสอนให้กับประชาชนเพื่อเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับได้ประชาชนให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและ นำไปประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้กับครอบครัวและชุมชนได้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอสัตหีบ จึงมีแนวคิดจัดกระบวนการพัฒนาหลักสูตร Marbling art ให้เป็นองค์ความรู้ที่ สอดแทรกกับพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเป็นช่องทางในการขยายอาชีพ เพื่อมุ่งพัฒนาคน ให้ได้รับการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งเป็นการพัฒนาทักษะอาชีพ การมีงานทำสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ มีความมั่นคงสามารถทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายให้สอดคล้องกับศักยภาพพัฒนาตนเอง สังคม ชุมชน และ สิ่งแวดล้อมที่จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพให้มีความมั่นคงสามารถทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายและ นำเอาความรู้มาเทียบโอนเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ให้ สอดคล้องกับศักยภาพพัฒนาตนเอง สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม มีความพร้อมที่จะสามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ดังนั้น กศน.ตำบลนาจอมเทียน จึงเห็นความสำคัญและช่องทางในการขยายอาชีพ Marbling art เทคนิค การ หยด สะบัดสี วาดลวดลาย ลงบนพื้นผิวน้ำ (เจล) และพิมพ์ภาพลงบนกระดาษ ผ้า ไม้ แผ่นหนัง และอื่นๆ ลวดลายที่เกิดขึ้นในการทำมักจะมีลักษณะลวดลายคล้ายชั้นของหิน จึงมีการเรียกขานงานศิลปะ ชนิดนี้ว่า marbling art นั่นเอง และเป็นชิ้นงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก สามารถส่งเสริมสร้างอาชีพ สร้าง รายได้ ให้กับประชาชนในตำบลนาจอมเทียน


2 หลักการของหลักสูตร การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอาชีพการพัฒนาหลักสูตรหลักสูตรการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (พัด,หมวกแก๊ป) เพื่อการมีงานทำ กำหนดหลักการไว้ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรที่เน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับศักยภาพด้านต่างๆ 5 ด้าน ได้แก่ ศักยภาพของ ทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ศักยภาพของพื้นที่ตามลักษณะภูมิอากาศ ศักยภาพภูมิประเทศและทำเลที่ตั้ง ของแต่ละประเทศ ศักยภาพของศิลปะ วัฒนะธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่และศักยภาพของ ทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ 2. มุ่งพัฒนาคนไทยให้ได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพและการมีงานทำอย่างมีคุณภาพทั่วถึงและ เท่าเทียมกัน สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและเป็นบุคคลที่มีวินัยเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสำนึก ความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม 3. ส่งเสริมให้มีความร่วมมือในการดำเนินงานการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทำร่วมกับภาคี เครือข่าย 4. เน้นการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ให้เกิดรายได้ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอาชีพ 5. ส่งเสริมให้มีการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จุดมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะดังนี้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและฝึกทักษะการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า, หมวกปีก ) พร้อมทั้งวิธีการออกแบบผลิตภัณฑ์การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) สร้าง มูลค่าเพิ่ม 2. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจัดทำโครงการประกอบอาชีพ ซึ่งส่งผลให้มองเห็นช่องทางและตัดสินใจ ประกอบอาชีพ พัฒนาการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) ที่สอดคล้องกับศักยภาพตนเอง ชุมชน และสิ่งแวดล้อม จนสามารถสร้างรายได้ที่ มั่นคงได้ 3. เพื่อให้ผู้เรียน มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ชุมชนและสังคม กลุ่มเป้าหมาย 1. ผู้ที่ไม่มีอาชีพ 2. ผู้ที่มีอาชีพและต้องการพัฒนาอาชีพ ระยะเวลาเรียน จำนวน...............35......ชั่วโมง ภาคทฤษฎี.........10.......ชั่วโมง ภาคปฏิบัติ.........25.......ชั่วโมง


3 วัสดุ/อุปกรณ์ วัสดุอุปกรณ์ในการทำ Marbling Art 1. ผงเมทิลเซลลูโลส 2. สีอะคริลิค 3. น้ำสะอาด 4. สารละลาย (น้ำยาล้างจาน) 5. Textile Meduim (ใช้เฉพาะงานผ้าเท่านั้น) 6. เข็มวาดลาย ขอบข่ายเนื้อหา 1. ช่องทางการประกอบ จำนวน 5 ชั่วโมง 1.1 ความสำคัญของการประกอบอาชีพ 1.2 ความรู้เบื้องต้นในการประกอบอาชีพ 1.2.1 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาชีพจากผู้รู้ผู้ประกอบการในชุมชน 1.2.2 ความต้องการของตลาด 1.2.3 การลงทุน การคิดต้นทุน 1.2.4 กระบวนการผลิต การจัดหาวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบ 1.3 แหล่งเรียนรู้/ภูมิปัญญาในท้องถิ่น 1.3.1 ความเป็นมาและความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น 1.3.2 ความหมายของภูมิปัญญาไทย 1.3.3 ลักษณะของแหล่งเรียนรู้ จัดได้ 3 ประเภท คือ 1.3.4 ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ 1.3.5 แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น (กลุ่มอาชีพในอำเภอสัตหีบ) 1.4 บอกทิศทางการประกอบอาชีพ 1.4.1 เป็นผู้ประกอบการ 1.4.2 ผู้ค้าส่ง 1.4.3 ลูกจ้าง 1.5 การประเมินทางเลือกอาชีพ 1.5.1 การวางแผนเรื่องอาชีพ 1.5.2 องค์ประกอบก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.3 ปัญหาก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.4 ข้อแนะนำก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.5 หลักเกณฑ์ในการเลือกอาชีพ


4 1.5.6 การตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.7 การประเมินความพร้อม ความเป็นไปได้ของอาชีพที่ตัดสินใจเลือก 2. ทักษะการประกอบอาชีพหลักสูตรการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 2.1 ขั้นตอนการเตรียมการก่อนการประกอบอาชีพ 2.1.1 การเตรียมสถานที่ 2.1.2 การเตรียมอุปกรณ์การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 2.2 ขั้นตอนการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 2.2.1 เรามารู้จัก Marbling Art ประวัติการทำ Marbling Art ลวดลาย Marbling Art 2.2.2 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำน้ำเจลในการทำ Marbling art 2.2.3 วิธีการผสมน้ำเจลการทำ Marbling Art 2.2.4 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสีที่นำมาใช้ 2.2.5 เทคนิคการทำ Marbling Art 3. ช่องทางการขยายอาชีพ จำนวน 5 ชั่วโมง 3.1 ผู้เรียนเพิ่มสินค้าในกลุ่ม OOCC กศน.อำเภอสัตหีบ 3.2 เทคนิคการถ่ายภาพ 3.3 การตั้งราคาขาย 3.4 ช่องทางการจำหน่าย 3.5 เทคนิคการประชาสัมพันธ์เพื่อการขายสินค้า 3.6 ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ (เบื้องต้น) 3.7 การสร้าง Fanpage การค้าออนไลน์ 3.8 การจัดตั้งกลุ่มอาชีพ โครงสร้างหลักสูตร ที่ เรื่อง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา การจัดกระบวนการ เรียนรู้ จำนวนชั่วโมง ทฤษฎี ปฏิบัติ 1 ช่อง ทางการ ประกอบ อาชีพ 1.1 อธิบาย ความสำคัญของการ ประกอบอาชีพ 1.2 อธิบายความ เป็นไปได้ในการ ประกอบอาชีพ 1.3 บอกความสำคัญ และประโยชน์ของ 1.1 ความสำคัญของการ ประกอบ อาชีพ 1.2 ความรู้เบื้องต้นในการ ประกอบ อาชีพ 1.2.1 ข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับ อาชีพจากผู้รู้ ผู้ประกอบ การในชุมชน 1.2.2 ความ ต้องการ 1. วิทยากรบรรยายให้ ความรู้เรื่องความ สำคัญ ของอาชีพ 2. ศึกษา ความรู้เบื้องต้น ในการประกอบ อาชีพ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ อาชีพจากผู้รู้ ผู้ประกอบการในชุมชน 3 2


5 ที่ เรื่อง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา การจัดกระบวนการ เรียนรู้ จำนวนชั่วโมง ทฤษฎี ปฏิบัติ แหล่งเรียนรู้และภูมิ ปัญญา ในท้องถิ่น 1.4 สามารถบอก ทิศทาง การ ประกอบ อาชีพได้ 1.5 การประเมิน ทางเลือกอาชีพได้ ของตลาด 1.2.3 การลงทุน 1.2.4 กระบวนการ ผลิต การ จัดหาวัสดุ อุปกรณ์และ วัตถุดิบ 1.3 แหล่งเรียนรู้/ภูมิ ปัญญาในท้องถิ่น 1.4 ทิศทางการประกอบ อาชีพ 1.5 การประเมินทางเลือก อาชีพ 1.5.1 การวางแผน เรื่องอาชีพ 1.5.2 องค์ประกอบ ก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.3 ปัญหาก่อน ตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.4 ข้อแนะนำ ก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ 1.5.5 หลักเกณฑ์ใน การเลือกอาชีพ 1.5.6 การตัดสินใจ ความต้องการของตลาด การลงทุนและ กระบวนการผลิตการ จัดหาวัสดุอุปกรณ์และ วัตถุดิบ 3. ศึกษาดูงานจากแหล่ง เรียนรู้/ภูมิปัญญา ในท้องถิ่น 4. วิทยากรกับผู้เรียน ร่วมกันวิเคราะห์รูปแบบ วิธีการในการประกอบ อาชีพการ Marbling Art กับผู้เรียนที่จะนำไปสู่การ ประกอบ อาชีพ ที่เป็นไป ตามความพร้อมและ ศักยภาพของผู้เรียน เช่น การเป็นเจ้าของ กิจการ การรับจ้าง เป็นต้น 1. วิทยากรบรรยายให้ ความรู้การประเมิน ทางเลือกอาชีพ เรื่อง -องค์ประกอบก่อน ตัดสินใจเลือกอาชีพ -ปัญหาก่อนตัดสินใจ เลือกอาชีพ -ข้อแนะนำก่อน ตัดสินใจเลือกอาชีพ -หลักเกณฑ์ในการ เลือกอาชีพ -การตัดสินใจเลือก อาชีพ


6 ที่ เรื่อง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา การจัดกระบวนการ เรียนรู้ จำนวนชั่วโมง ทฤษฎี ปฏิบัติ เลือกอาชีพ 1.5.7 การประเมิน ความพร้อม ความเป็นไป ได้ของอาชีพที่ตัดสินใจ เลือก -การประเมินความ พร้อม ความเป็นไปได้ของ อาชีพที่ตัดสินใจเลือก 2. วิทยากรให้ผู้เรียนลง มือปฏิบัติการวางแผนใน การประเมินทางเลือก อาชีพตามความสนใจของ ผู้เรียน 3. วิทยากรและผู้เรียน สรุปการประเมินความ พร้อม ความเป็นไปได้ของ อาชีพที่ตัดสินใจเลือก 2 ทักษะ การ ประกอบ อาชีพการ ทำ Marbling Art เพื่อ การค้า (รองเท้า ,หมวก ปีก) 2.1 บอกวิธีการ จัดเตรียม สถานที่ ใน การประกอบอาชีพ การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า ,หมวกปีก) ได้ถูกต้อง 2.2 บอกขั้นตอนการ จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือ ที่ใช้ในการ ทำการทำ Marbling Art เพื่อ การค้า (รองเท้า ,หมวกปีก) 2.3 บอกความหมาย และความสำคัญของ Marbling Art ประวัติ การทำ Marbling Art ลวดลาย Marbling Art ได้ 2.1 สถานที่ ในการ ประกอบอาชีพการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 2.2 ขั้นตอนการเตรียม วัสดุอุปกรณ์ 2.3 เรามารู้จัก Marbling Art ประวัติการทำ Marbling Art ลวดลาย Marbling Art 2.4 ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการทำน้ำเจล ในการทำ Marbling art 2.5 วิธีการผสมน้ำเจลการ ทำ Marbling Art 2.6 ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับสีที่นำมาใช้ 1. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับการเตรียม สถานที่และแนะนำ อุปกรณ์ในการ ประกอบการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (พัด,หมวกแก๊ป) 2. วิทยากรให้ความรู้ ความหมายและ ความสำคัญของ Marbling Art ประวัติการ ทำ Marbling Art ลวดลาย Marbling Art 3. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการทำน้ำเจล ในการทำ Marbling art 4. วิทยากรให้ความรู้ 4 21


7 ที่ เรื่อง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา การจัดกระบวนการ เรียนรู้ จำนวนชั่วโมง ทฤษฎี ปฏิบัติ 2.4 อธิบายความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับการ ทำน้ำเจลในการทำ Marbling art 2.5 สามารถอธิบาย วิธีการผสมน้ำ เจลการทำ Marbling Art 2.6 สามารถอธิบาย ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับสีที่นำมาใช้ และวิธีการผสมสี 2.7 มีความรู้ความ เข้าใจถึงเทคนิคการ ทำ Marbling Art ได้ 2.8 มีความรู้ ความสามารถใน ออกแบบผลิต ภัณฑ์ ใหม่ๆ 2.7 เทคนิคการทำ Marbling Art วิธีการผสมน้ำ เจลการทำ Marbling Art สาธิตและฝึกปฏิบัติจริงให้ เกิดทักษะจนเข้าใจ เทคนิคและวิธีการของ การผสมน้ำเจล 5. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับสีที่นำมาใช้และ วิธีการผสมสี โดยการ บรรยายและสาธิตและฝึก ปฏิบัติจริงให้เกิดทักษะ เทคนิคและวิธีการของ การผสมสี 6. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับเทคนิคการทำ Marbling Art (รองเท้า ,หมวกปีก) โดยการ บรรยายและสาธิตและฝึก ปฏิบัติจริงให้เกิดทักษะ เทคนิคการทำ Marbling Art (รองเท้า,หมวกปีก) 6. วิทยากรให้ความรู้ วิธีการออกแบบผลิต ภัณฑ์ใหม่ๆและและฝึก ปฏิบัติจริงให้เกิด ทักษะ จนเข้าใจเทคนิคการออก ผลิตภัณฑ์ 3 ช่อง 3.1 มีความรู้ความ 3.1 เทคนิคการถ่ายภาพ 1. วิทยากรให้ความรู้ 3 2


8 ที่ เรื่อง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา การจัดกระบวนการ เรียนรู้ จำนวนชั่วโมง ทฤษฎี ปฏิบัติ ทางการ ขยาย อาชีพ เข้าใจในเทคนิคการ ถ่ายภาพ 3.2 สามารถการตั้ง ราคาขายสินค้าได้ 3.3 กำหนดช่องทาง การจำหน่ายสินค้า 3.4 การ ประชาสัมพันธ์เพื่อ การตลาดและกลยุทธ์ การประชาสัมพันธ์ให้ ประสบความสำเร็จ 3.5 สามารถใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารด้านอาชีพ (เบื้องต้น) 3.6 สามารถสร้าง Fanpage การค้า ออนไลน์และเพิ่ม สินค้าในกลุ่ม OOCC กศน.อำเภอสัตหีบได้ 3.2 การตั้งราคาขาย 3.3 ช่องทางการจำหน่าย 3.4 ความหมายและ ความสำคัญของการ ประชาสัมพันธ์เพื่อการ ขายสินค้า -ขั้นตอนการ ประชาสัมพันธ์ -กลยุทธ์การขาย ออนไลน์ให้ประสบ ความสำเร็จ 3.5 ภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารด้านอาชีพ (เบื้องต้น) 3.6 การสร้าง Fanpage การค้าออนไลน์เพิ่มสินค้า ในกลุ่ม OOCC กศน. อำเภอสัตหีบได้ 3.7 การจัดตั้งกลุ่มอาชีพ 3.7.1 ความหมายของ กลุ่มอาชีพ 3.7.2 วัตถุประสงค์ ของการตั้งกลุ่มอาชีพ 3.7.3 ขั้นตอนและ วิธีการจัดกลุ่มอาชีพ 3.7.4 คุณสมบัติและ เอกสารในการจัดตั้ง เกี่ยวกับการเทคนิคการ ถ่ายภาพ 2. วิทยากรให้ความรู้การ ตั้งราคาขายสินค้า 3. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับการกำหนด ช่องทางการจำหน่าย สินค้า 4. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับเทคนิคการ ประชาสัมพันธ์เพื่อการ ขายสินค้า 5. วิทยากรให้ความรู้ ภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารด้านอาชีพ (เบื้องต้น) 6. วิทยากรให้ความรู้พร้อม ลงมือสร้าง Fanpage การค้าออนไลน์และเพิ่ม สินค้าในกลุ่ม OOCC กศน.อำเภอสัตหีบ 1. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับการจัดตั้งกลุ่ม อาชีพ และวัตถุประสงค์ ของการตั้งกลุ่มอาชีพ 2. วิทยากรให้ความรู้ เกี่ยวกับขั้นตอนและ วิธีการจัดกลุ่มอาชีพ 3. วิทยากรให้ความรู้


9 ที่ เรื่อง จุดประสงค์การ เรียนรู้ เนื้อหา การจัดกระบวนการ เรียนรู้ จำนวนชั่วโมง ทฤษฎี ปฏิบัติ 3.7.5 การบริหารกลุ่ม อาชีพ คุณสมบัติและเอกสารใน การจัดตั้ง และการบริหาร กลุ่มอาชีพ การจัดกระบวนการเรียนรู้ หลักสูตรการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) เป็นหลักสูตรที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ตรงด้วยการปฏิบัติจริง โดยมีวิทยากรอาชีพเป็นผู้ชี้แนะและจัดกระบวนการเรียนรู้พร้อมกับ ครูผู้จัดกิจกรรม โดยมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ดังนี้ 1. การศึกษาดูงานจากสถานที่จริง บรรยาย และสาธิตอาชีพ 2. การฝึกปฏิบัติร่วมกับวิทยากร และให้ผู้เรียนฝึกฝนด้วยตนเองจนเกิดทักษะ 3. ทดสอบทักษะที่ได้รับการฝึกฝน 4. จัดสร้างโครงการเพื่อต่อยอดอาชีพ สื่อการเรียนรู้ 1. สื่อเอกสารใบความรู้ในการบรรยายและสาธิตอาชีพและการฝึกปฏิบัติจริง 2. สื่ออิเล็กทรอนิกส์Power Point, การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 3. ผู้รู้/ภูมิปัญญา ที่ชำนาญการ 4. วัสดุ/อุปกรณ์ในอาชีพที่มีการใช้จริง การวัดและประเมินผล 1. การประเมินความรู้ภาคทฤษฎีระหว่างเรียนและจบหลักสูตร 2. การประเมินผลงานระหว่างเรียนจาการปฏิบัติได้ผลงานที่มีคุณภาพสามารถสร้างรายได้และ จบหลักสูตร การจบหลักสูตร 1. มีเวลาเรียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. มีผลการประเมินตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 3. มีผลงานที่มีคุณภาพ ตรงตามหลักเกณฑ์ของหลักสูตร เอกสารหลักฐานการศึกษา 1. แบบประเมินผลการศึกษาต่อเนื่อง (แบบ กศ.ตน.7 (1), 7(2)) 2. ทะเบียนผู้จบหลักสูตร 3. ใบสำคัญผู้ผ่านการฝึกอบรม (แบบ กศ.ตน.11)


10 หลักสูตร....การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก)…. จำนวน ....35.....ชั่วโมง เรื่องที่ 1 ช่องทางการประกอบอาชีพ 1.1 ความหมายและความสำคัญของอาชีพ อาชีพ หมายถึง การทำงานซึ่งมีผลตอบแทนออกมาในรูปของรายได้เพื่อบุคคลนำไปดำรงชีพ ทั้งของ ตนและครอบครัว งานที่ทำนั้นต้องเป็นงานที่สุจริต ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวม โดยไม่ทำให้ ตนเอง และผู้อื่นเดือดร้อน และทำให้ดำรงอาชีพในสังคมได้ และสร้างมาตรฐานที่ดีให้แก่ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ความสำคัญของอาชีพ 1. ความสำคัญของอาชีพต่อตนเอง การประกอบอาชีพของแต่ละบุคคล มีความสำคัญหลายประการ ดังนี้ - อาชีพช่วยสร้างรายได้ - ได้ใช้ทักษะและความสามารถ - สะท้อนบุคลิกภาพและความเป็นตัวเอง - สร้างคุณค่าให้แก่ตัวเอง 2. ความสำคัญของอาชีพต่อครอบครัว ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมที่เล็กที่สุด สมาชิกของครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ซึ่งมี ภาระหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อกัน เช่น พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูลูกและให้การศึกษา เพื่อประกอบอาชีพใน อนาคต ลูกมีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษา แล้วแสวงหาอาชีพ เพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูตนเอง พ่อแม่ และทุกคนในครอบครัว ให้มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 3. ความสำคัญของอาชีพต่อชุมชน ครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือสังคม หากสมาชิกแต่ละครอบครัวประกอบอาชีพที่สุดจริต ถูกต้องตามกฎหมาย และมีอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี และมีโอกาสก้าวหน้าภายในชุมชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจของชุมชนเจริญรุ่งเรืองสามารถพึ่งพาตนเองได้ 4. ความสำคัญของอาชีพต่อประเทศชาติ เมื่อประชาชนในชาติมีการประกอบอาชีพ มีรายได้มาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ทำให้อัตราการ ว่างงานลดน้อยลง ย่อมเป็นการแก้ไขปัญหาสังคมให้กับรัฐบาล สภาพสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดี มีการใช้ ทรัพยากรภายในชุมชน รายได้เกิดการหมุนเวียน ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก้าวหน้า ผลจากการที่ ประชาชนประกอบอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ชุมชนมีความเข้าแข็งและชำระภาษีให้แก่รัฐ เพื่อรัฐจะได้นำไป พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น การสร้างถนน สะพาน เขื่อน โรงไฟฟ้า เป็นต้น การประกอบอาชีพของ ประชาชน ในชุมชนและในประเทศ จึงเป็นการช่วยพัฒนาประเทศชาติได้อีกทางหนึ่ง


11 ความจำเป็นของการประกอบอาชีพมีดังนี้ 1. เพื่อตนเอง การประกอบอาชีพทำให้มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยในชีวิต 2. เพื่อครอบครัว ทำให้สมาชิกของครอบครัวได้รับการเลี้ยงดูทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3. เพื่อชุมชน ถ้าสมาชิกในชุมชนมีอาชีพและมีรายได้ดีจะส่งผลให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ดีขึ้น อยู่ดีกินดี ส่งผลให้ชุมชนเข้มแข็งและพัฒนาตนเองได้ 4. เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชากรของประเทศมีการประกอบอาชีพที่ดี มีรายได้ดี ทำให้มีรายได้ที่ เสียภาษีให้กับรัฐบาลมีรายได้ไปใช้บริหารประเทศต่อไป ประเภทของอาชีพ ประเภทของอาชีพสามารถจัดแบ่งได้หลายประเภท ดังนี้ 1. แบ่งตามลักษณะของอาชีพ ได้แก่ 1.1 อาชีพอิสระ หมายถึงอาชีพที่ผู้ประกอบการเป็นเจ้าของกิจการได้แก่ 1.1.1 อาชีพผู้ผลิต เป็นการสร้างผลผลิตขึ้นจำหน่ายเอง เช่น ผลผลิตทางด้านการเกษตร ผลผลิตด้านอาหาร ผลผลิตงานบ้าน งานประดิษฐ์ ผลผลิตงานศิลปะหัตถกรรม ฯลฯ 1.1.2 อาชีพผู้บริการ ได้แก่อาชีพที่อำนวยความสะดวกสบาย หรือสร้างความบันเทิงแก่ ผู้บริโภค คือการบริการทางการเงิน การบริหารอันเป็นสาธารณะ ธุรกิจการโรงแรม บริการนำเที่ยว เป็นต้น 1.2 อาชีพรับจ้าง หมายถึงอาชีพที่ทำภายใต้การว่าจ้างจากผู้จ้าง หรือทำงานภายใต้ระบบที่ ตนสังกัด เช่น ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานร้านค้าต่าง ๆ ช่างระดับต่าง ๆ เป็นต้น 2. แบ่งตามลักษณะของรายได้และความมั่นคงในอาชีพ ได้แก่ 2.1 อาชีพหลัก เป็นอาชีพที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประกอบการ 2.2 อาชีพรองหรือาชีพเสริม เป็นอาชีพที่ใช้เวลานอกเวลางานปกติของอาชีพหลักเพื่อการมี รายได้เพิ่มขึ้น 1.2 ความรู้เบื้องต้นในการประกอบอาชีพ 1.2.1 ปัจจัยหลักของการประกอบอาชีพ สิ่งสำคัญของการเริ่มต้นประกอบอาชีพอิสระ จะต้องพิจารณาว่าจะประกอบอาชีพอิสระอะไร โอกาส และความสำเร็จมีมากน้อยเพียงไร และจะต้อง เตรียมตัวอย่างไรจึงจะทำให้ประสบผลสำเร็จ ดังนั้น จึงต้อง คำนึงถึงปัจจัยหลักของการประกอบอาชีพ ได้แก่ 1. ทุน คือ สิ่งที่จำเป็นปัจจัยพื้นฐานของการประกอบอาชีพใหม่ โดยจะต้องวางแผนและแนวทางการ ดำเนินธุรกิจไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะทราบว่าต้อง ใช้เงินทุนประมาณเท่าไร บางอาชีพ ใช้เงินทุนน้อยปัญหาย่อมมี น้อย แต่ถ้าเป็นอาชีพที่ต้องใช้เงินทุนมากจะต้องพิจารณาว่ามีทุนเพียงพอหรือไม่ซึ่งอาจ เป็นปัญหาใหญ่ ถ้าไม่ พอจะหาแหล่งเงินทุนจากที่ใด อาจจะได้จากเงินเก็บออม หรือจากการกู้ยืมจากธนาคาร หรือสถาบันการเงิน อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกไม่ควรลงทุน จนหมดเงินเก็บออมหรือลงทุนมากเกินไป


12 2. ความรู้ หากไม่มีความรู้เพียงพอ ต้องศึกษาขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม อาจจะฝึกอบรมจากสถาบัน ที่ให้ความรู้ด้านอาชีพ หรือทำงานเป็นลูกจ้างคน อื่น ๆ หรือทดลองปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อให้มีความรู้ความ ชำนาญ และมีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพนั้น ๆ 3. การจัดการ เป็นเรื่องของเทคนิคและวิธีการ จึงต้องรู้จักการวางแผนการทำงานในเรื่องของตัวบุคคล ที่จะร่วมคิด ร่วมทำและร่วมทุน ตลอดจนเครื่องมือ เครื่องใช้และกระบวนการทำงาน 4. การตลาด เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดปัจจัยหนึ่ง เพราะหากสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นไม่เป็นที่ นิยมและไม่สามารถสร้างความพอใจให้แก่ผู้บริโภค ได้ก็ถือว่ากระบวนการทั้งระบบไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้น การวางแผนการตลาด ซึ่งปัจจุบันมีการแข่งขันสูง จึงควรได้รับความสนใจในการพัฒนา รวมทั้ง ต้องรู้และเข้าใจ ในเทคนิคการผลิต การบรรจุและการหีบห่อ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สินค้าและบริการของเราเป็นที่ นิยมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ต่อไป ข้อแนะนำในการเลือกอาชีพ ก่อนตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพใด ๆ ก็ตาม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งมีข้อแนะนำ ดังนี้ 1. ควรเลือกอาชีพที่ชอบหรือคิดว่าถนัด สำรวจตัวเองว่าสนใจ อาชีพอะไร ชอบหรือถนัดด้านไหน มีความสามารถอะไรบ้าง ที่สำคัญคือต้อง การหรืออยากจะประกอบอาชีพอะไร จึงจะเหมาะสมกับตัวเองและ ครอบครัว กล่าวคือ พิจารณาลักษณะงานอาชีพ และพิจารณาตัวเอง พร้อมทั้งบุคคลในครอบครัวประกอบกัน ไปด้วย 2. จะต้องพัฒนาความสามารถของตัวเอง คือ ต้องศึกษารายละเอียดของอาชีพที่จะเลือกไปประกอบ ถ้าความรู้ความเข้าใจยังมีน้อย มีไม่เพียงพอก็ต้องทำการศึกษา ฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติเพิ่มเติมจากบุคคลหรือ หน่วยงานต่าง ๆ ให้มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในการเริ่มประกอบอาชีพที่ถูกต้อง เพื่อจะได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริงของผู้มีประสบการณ์มาก่อนจักได้เพิ่มโอกาสความสำเร็จสมหวังในการไปประกอบ อาชีพนั้น ๆ 3. พิจารณาองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ทำเลที่ตั้งของอาชีพที่จะทำไม่ว่าจะเป็นการผลิต การจำหน่าย หรือการให้บริการก็ตาม สภาพ แวดล้อมผู้ร่วมงาน พื้นฐานในการเริ่มทำธุรกิจ เงินทุน โดยเฉพาะ เงินทุนต้องพิจารณาว่ามีเพียงพอหรือไม่ถ้าไม่พอจะหาแหล่งเงินทุนจากที่ใด 1.2.2 ความต้องการตลาด/ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตลาด 1. วิวัฒนาการทางการตลาด (Marketing Development) หากกล่าวถึงการวิวัฒนาการ ของการตลาดแล้ว มีข้อมูลจากหลายๆแห่งได้อธิบายถึงลักษณะและช่วงเวลาของการพัฒนาการของการตลาด จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลา หรือ ที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่าคลื่นลูกต่างๆ


13 คลื่นลูกที่ 1 การตลาดยุคเกษตรกรรม ปัจจัยแห่งยุคคือที่ดิน แหล่งน้ำ และแรงงานภาค เกษตรกรรม สังเกตได้จากการที่คนสมัยก่อนที่ มีที่ดินมากสามารถใช้ในการทำเกษตรกรรมและนำเอาสินค้า เกี่ยวกับสินค้าเกษตรกรรมมาค้าขายทำให้ร่ำรวย คลื่นลูกที่ 2 ยุคของอุตสาหกรรม สิ่งที่สำคัญมากของยุคนี้คือเรื่องของเงินทุน เป็นยุคที่ใช้ เครื่องจักร เครื่องกลต่างๆ เมื่อมีการสร้างเครื่องจักรใหม่ๆขึ้นมา โลกเราก็เข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม มีการสร้าง ถนน และสาธารณูปโภคต่างๆ การเดินทางไปยังเมืองต่างๆด้วยความรวดเร็วขึ้น เนื่องจากการคมนาคมสะดวก ช่วงที่ประเทศเกิดการพัฒนา เปลี่ยนแรงคนแรงสัตว์ให้เป็นแรง เครื่องจักร ในยุคนี้กลุ่มคนทำงานด้าน อุตสาหกรรมเจริญรุ่งเรือง ซึ่งคนกลุ่มนี้ปัจจุบันก็ยังทำรายได้ดีอยู่ แต่มีปริมาณไม่มากนัก และก็เป็นเรื่องยาก สำหรับในยุคปัจจุบันที่จะเป็นเจ้าของโรงงานแบบนั้นได้อีก เพราะจำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากจึงจะสามารถตั้ง โรงงานเพื่อผลิตสินค้าได้ คลื่นลูกที่ 3 การแข่งขันด้านข้อมูล เป็นยุคแห่งการสื่อสารข้อมูล โดยใช้เครื่องมือ IT ต่างๆ ใน ยุคนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เข้าถึงข้อมูลก่อนจะได้เปรียบอย่างมากในการแข่งขัน ทางด้านการตลาด เป็นยุคแห่งการสื่อสารไร้พรหมแดน ยุคที่ทำให้มนุษย์จำเป็นจะต้องมีเครื่องมือสื่อสารไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน มี การนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการผลิต และการติดต่อสื่อสารมากขึ้น ธุรกิจที่เกิดขึ้นในยุคนี้ได้แก่ ร้านขาย อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ เป็นต้น คลื่นลูกที่ 4 สังคมแห่งเครือข่ายการตลาดในยุคนี้ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์ หรือสร้างเครือข่ายนั้นเอง เป็นยุคของ Social network เราจึงเห็นการทำตลาดของผู้ประกอบการผ่านสื่อ ออนไลน์ หรือลักษณะการส่งต่อ E-mail กันมากขึ้น การทำตลาดเป็นแบบการบอกต่อจากเพื่อนสู่เพื่อน จากกลุ่มคนเล็กๆขยายไปยังทั่วโลก การตลาดจะเน้นด้านการตอบแทนกับสังคมมากขึ้น การแข่งขันเชิงธุรกิจจะ รุนแรงจนแข่งกัน ธุรกิจขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองน้อย จำเป้นต้องสร้างพันธมิตร เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง ให้กับกลุ่มของตัวเอง ใครที่สามารถสร้างเครือข่ายได้มากและแข็งแกร่งจะเป็นผู้ที่เหลืออยู่ในยุคนี้ วิวัฒนาการการตลาดแบบไร้พรมแดน การตลาดไร้พรมแดน (Global Marketing) คือ การทำตลาดให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก หรือการ ทำประโยชน์ทางการค้าแบบไร้พรมแดน โดยมีการดำเนินงานที่แตกต่างกัน, คล้ายคลึงกัน และมีโอกาสที่จะทำ คนทั่วโลกเข้าสั่งซื้อสินค้าได้ตามวัตถุประสงค์ อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการการตลาดแบบไร้พรมแดน เริ่มตั้งแต่มี การค้าเกิดขึ้น ซึ่งการตลาดสมัยก่อนทำกันอยู่ในพื้นที่จำกัดเช่น ตามหมู่บ้าน อำเภอจังหวัด และมาสู่ระดับทั่ว ประเทศ จนกระทั่งกลายมาสู่การตลาดทั่วโลกหรือไร้พรมแดน มาดูลำดับของวิวัฒนาการต่อไปนี้ 1. การตลาดภายในประเทศ (Domestic Marketing) การทำตลาดลักษณะนี้เน้นการทำ ตลาดเฉพาะภายในประเทศของตนเองเป็นหลัก ถึงแม้ว่ามีบริษัทต่างประเทศเข้ามาแข่งขันบ้าง แต่ก็เน้นลูกค้า ที่อยู่ในประเทศ และต่อมาบางบริษัทอาจมีการตั้งสำนักงานใหญ่ขึ้น อุปสรรคและปัญหาที่ใหญ่สุด


14 ของการตลาดภายในประเทศเกิดจากการโจมตีรอบทิศทางที่ไม่อาจมองเห็น ไม่เหมือนกับการตลาดไร้พรมแดน ที่สามารถมองเห็นได้ และการทำตลาดภายในประเทศไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานแต่อย่างใด เพียงแต่ระมัดระวังจากคู่แข่งขันบ้างเท่านั้นดับของวิวัฒนาการต่อไปนี้ 2. การตลาดส่งสินค้าออก (Export Marketing) การทำตลาดด้วยวิธีนี้ มีสิ่งพึงกระทำอยู่ หลายอย่างด้วยกัน เช่น ต้องมีเอกสารการสั่งซื้อสินค้า, การเสียค่าระวางในการส่งสินค้า ค่าขนส่ง ภาษี เป็นต้น และบางบริษัทกว่าจะดำเนินการได้ต้องผ่านอุปสรรคอีกหลายอย่าง เช่น การจ้างบริษัทอื่นให้เข้ามาบริหาร จัดการ หรือประสานงานเรื่องเอกสาร ตลอดจนอุปสรรคในเรื่องของภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารด้วย ภายหลังต่อมา จึงมีการจัดสร้างหน่วยงานรับผิดชอบด้านการส่งสินค้าออกขึ้นภายในสำนักงานใหญ่นั้น 3. การตลาดนานาชาติ (International Marketing) การทำตลาดโดยการจัดตั้งแผนก รับผิดชอบด้านการส่งออกประสบความสำเร็จแล้ว การทำธุรกิจยังคงต้องใช้งบประมาณมากอยู่ดี เนื่องจาก สาเหตุของระยะเวลาที่แตกต่างกัน อุปสรรคเรื่องภาษา ความไม่รู้ในเรื่องของวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ทำให้เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำตลาดในต่างประเทศ ต่อมาจึงมีการสร้างสำนักงานขึ้นในต่างประเทศ บางบริษัทใช้วิธีซื้อสำนักงานหรือ บริษัท, สร้างร้าน, สร้างโรงงาน และสถานที่ส่วนบุคคลในต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ในการติดต่อสื่อสาร และรายงานการดำเนินต่าง ๆ ไปยังสำนักงานใหญ่ ที่อยู่ในประเทศของตน ในลำดับต่อมามีการสร้างศูนย์กลางทางการตลาด 4. การตลาดหลายประเทศ (Multinational Marketing) การตลาดแบบนี้เป็นเป็นการทำ ตลาดร่วมกันกับหลาย ประเทศบริษัทจะทำการตลาดในเรื่องเกี่ยวกับการผลิตสินค้าและการบริการไปยัง หลายๆ ประเทศทั่วโลก และต้องการผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ จากนั้นก็จะทำการรวมตัวกันเป็นหนึ่ง เดียว เพื่อทำการวิจัย พัฒนา ผลิตสินค้า และทำการตลาดในระดับภูมิภาคต่อไป ตัวอย่างเช่น ภูมิภาคแถบ ยุโรปร่วมมือกับประเทศ สหรัฐอเมริกา เป็นลักษณะของหลายประเทศรวมตัวกันเป็นหนึ่ง เพื่อร่วมกันวางแผน เกี่ยวการผลิตภัณฑ์สินค้า 5. การตลาดทั่วโลกหรือไร้พรมแดน (Global Marketing) การตลาดลักษณะนี้ถือว่า ทั่วโลก คือตลาดเดียว ดังนั้น ต้องผลิตสินค้าให้เพียงพอกับตลาดภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก การตัดสินใจทำการตลาด ต้องมี ที่ปรึกษาและนักการตลาดที่มีประจำอยู่ในประเทศเหล่านั้นทั่วโลก เพื่อป้องกันผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งเป้าหมายคือ ต้องการขายสินค้าที่เหมือนกัน เป็นไปในทิศทางแนวเดียวทั่วโลก หลายบริษัทได้พัฒนาเว็บไซต์ พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ขึ้นมา เพื่อให้ขายสินค้าได้ทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมง 2. ความหมายของการตลาด (Marketing Defined) "การตลาด" คืองานอย่างหนึ่งทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรงเป็นงานที่มาขอบเขต กว้างกว่างานหน้าที่อื่น ๆ ทั้งหมดในองค์การเพื่อเข้าใจความหมายของการตลาดมากขึ้น จึงขอนำนิยามของ การตลาดที่น่าสนใจบางนิยามมากล่าวเพิ่มเติม เพื่อการศึกษาเปรียบเทียบ ดังนี้


15 1. สมาคมการตลาดแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้นิยามของการตลาดอย่างเป็นทางการ ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1985 ไว้ว่า "การตลาดคือกระบวนการวางแผนและปฏิบัติการตามแผน ตามแนวคิด ผลิตภัณฑ์ที่ได้กำหนดขึ้น 2. อาร์มสตรองและคอตเลอร์ ได้ให้นิยามของการตลาดในลักษณะที่เน้นพฤติกรรมของ มนุษย์ไว้ดังนี้ - ความจำเป็น ความต้องการ และอุปสงค์ จุดเริ่มต้นอันเป็นฐานสำคัญที่สุดที่ทำให้ เกิดกิจกรรมทางการตลาด เกิดจากความจำเป็นของมนุษย์ - ผลิตภัณฑ์และบริการ คนเราทุกคนสนองความจำเป็นและความต้องการทำให้เกิด ความพอใจด้วยผลิตภัณฑ์และบริการ - คุณค่า ความพึงพอใจ และคุณภาพ ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์โดยอาศัยการ รับรู้คุณค่าอันเกิดจากผลิตภัณฑ์และบริการเหล่านั้น ผลิตภัณฑ์ใดให้คุณค่าแก่เขามากที่สุดในความรู้สึกของเขา เขาก็จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น - การแลกเปลี่ยน ธุรกรรมและความสัมพันธ์กับลูกค้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ เป็นสิ่ง ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของมนุษย์ให้ได้รับความพอใจ ดังนั้นเมื่อมนุษย์มีความต้องการ ผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น - ตลาด จากแนวความคิดของ การแลกเลี่ยน และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า นำไปสู่แนวความคิดของตลาดนั่นคือ ตลาด หมายถึงกลุ่มของผู้ซื้อทั้งหมดที่เป็นหรือความต้องการ มีทรัพยากร เหล่านี้เพื่อการแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เข้าต้องการอีกด้วย - การตลาด จากแนวคิดของตลาด ในที่สุดก็จะได้ความหมายของการตลาดโดย สมบูรณ์ นั่นคือ การตลาด หมายถึงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดโดยตรง กระทำขึ้นเพื่อให้เกิดการ แลกเปลี่ยน และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสรรค์คุณค่าและเพื่อสนองความจำเป็น และมีความต้องการ โดยอาศัยการสร้างสรรค์ และการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และสิ่งของมีคุณค่ากับผู้อื่น 3. วิวัฒนาการของแนวความคิดทางการตลาด คือการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติงาน ทางการตลาด และจัดสรรทรัพยากรของกิจการ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามแนวทางนั้น แนวทางการตลาดมี การเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของสังคม ระบบเศรษฐกิจและ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีจุดเริ่มต้นขึ้นในช่วงของการ ปฏิวัติ อุตสาหกรรม ที่มีการนำเครื่องจักร มาใช้ในกระบวนการผลิตแทนแรงงานคนที่ทำด้วยมือ ในลักษณะของ Mass Production เพื่อให้เพียงพอต่อ ความต้องการของตลาด ซึ่งทำให้การตลาดมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์มีปริมาณมากขึ้น คู่แข่งขันมี จำนวนเพิ่มขึ้น จึงเริ่มเกิดแนวความคิดทางการตลาดและได้มีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ เป็นวิวัฒนาการของ แนวความคิดทางการตลาด


16 1.The Production Concept เป็นแนวความคิดที่เปลี่ยนแปลงจากการทำเกษตรกรรมมา เป็นการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและมีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการผลิตแทนการผลิตด้วยมือ ทำให้ สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น นักการตลาดจึงให้ความสำคัญกับการผลิตและกระบวนการผลิต โดยพยายาม คิดค้นวิธีการผลิตใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลผลิตในปริมาณมากภายใต้ต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด สินค้า ที่จะใช้บริโภคมีมากกว่าอุปทาน(Supply) ซึ่งเป็นปริมาณของการเสนอขายสินค้าที่ผลิตสินค้าออกสู่ตลาด แนวความคิดทางการตลาดแบบมุ่งเน้นการผลิตนี้ จะยึดหลักว่าผู้บริโภคจะพิจารณาซื้อด้วยความพึงพอใจ ในสินค้าที่มีราคาต่ำและหาซื้อได้ง่าย นักการตลาดจึงต้องปรับปรุงการผลิตให้ดีขึ้น เพื่อลดทุนให้ต่ำและ จัดจำหน่ายให้ทั่วถึง ซึ่งจะเป็นตลาดของผู้ขายหรือตลาดผูกขาด 2.The Product Concept เนื่องจากผลของการมุ่งเน้นการผลิตที่ใช้ต้นทุนต่ำ เพื่อให้ได้ ผลผลิตจำนวนมาก โดยสินค้าที่ผลิตออกมาจำหน่ายไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านคุณภาพและราคาทำให้ เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดดังนั้นนักการตลาดจึงต้องพยายามคิดค้นหาวิธีที่จะให้สินค้าเกิดความแตกต่างจาก คู่แข่งขัน โดยปรับปรุงสินค้าให้มีคุณภาพและรูปลักษณ์ที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับราคา เพื่อสร้างความแตกต่าง แนวความคิดทางการตลาดแบบนี้จะยึดหลักว่าผู้บริโภคจะมีความพึงพอใจในสินค้าที่มีคุณภาพและรูปลักษณ์ ที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับราคาจึงต้องปรับปรุงคุณภาพและพัฒนาให้ดีกว่าคู่แข่งขัน 3.The Selling Concept or Sales Conceptเป็นแนวความคิดที่ให้ความสำคัญกับกิจกรรม ทางด้านการขาย เนื่องจากคู่แข่งที่มีอยู่มากในตลาดได้มีการพัฒนาสินค้าให้มีมีคุณภาพเท่าเทียมกัน ประกอบ กับเป็นช่วงที่ผู้บริโภคคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้สินค้า กล่าวคือ ผู้บริโภคจะซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นและ ตรงกับความต้องการเท่านั่นนักการตลาดจึงต้องจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวิธีการ กระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคคือการอาศัยพนักงานขายให้เป็นผู้นำเสนอขายสินค้า กิจการต่างๆ พยายาม ปรับปรุงรูปแบบวิธีการขาย โดยมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับเทคนิคการขายให้กับพนักงานขาย มีการส่งเสริม การตลาดในด้านต่างๆ เช่น การส่งเสริมการขายด้วยของแจกของแถม การเผยแพร่ข่าวสาร การจัดกิจกรรมเพื่อ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ และตัดสินใจซื้อสินค้า แนวความคิดทางการตลาดแบบมุ่งเน้นการขาย จะยึดหลัก ว่าผู้บริโภคจะซื้อสินค้าต่อเมื่อมีความจำเป็น นักการตลาดจึงต้องพยายามปรับปรุงหน่วยงานขายให้มี ประสิทธิภาพ ด้วยการคัดสรรพนักงานที่มีความสามารถในด้านของเทคนิคการขาย โดยพยายามคิดค้นหา วิธีการขายรูปแบบใหม่ๆ 4.The Marketing Concept เป็นแนวความคิดที่กิจการให้ความสำคัญต่อผู้บริโภคมากขึ้น โดยเริ่มมีการศึกษาวิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นอันดับแรกและสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภค แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้ไปผลิตเป็นสินค้าขึ้นมา เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งเป็นการ เปลี่ยนแนวความคิดแบบเดิมที่มุ้งเน้นแต่ทางด้านการผลิต เมื่อมีสินค้าจำนวนมากแล้วก็นำออกขายแก่ผู้บริโภค ธุรกิจจึงต้องทำการหาข้อมูลทางการตลาดเกี่ยวกับผู้บริโภคให้มากที่สุดแล้วนำข้อมูลที่ได้รับมาดำเนินการผลิต


17 5.The Societal Marketing Concept เป็นแนวความคิดสมัยใหม่ที่ธุรกิจในปัจจุบันนี้ให้ ความสนใจ และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินกิจการ ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีความคิดเห็นว่าธุรกิจควร ให้บริการช่วยเหลือแก่สังคมในด้านต่างๆ โดยมิใช่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเพื่อให้ธุรกิจบรรลุ เป้าหมายเพียงเท่านั่นแต่ควรจะคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การไม่ผลิตสินค้าด้อยคุณภาพ ไม่ทำลาย สิ่งแวดล้อมรวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ด้วย 4. ความสำคัญของการตลาด (The Importance of Marketing) เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา ความสำคัญของการตลาดก็แปรเปลี่ยนไปตามสภาพ สังคม และความต้องการทางภาวะเศรษฐกิจ เช่น ในอดีตการผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุดอาศัยความสำคัญของ การตลาด แต่ในยุคปัจจุบันความต้องการของการตลาดอยู่ที่การให้การบริการที่ประทับใจลูกค้า หากสินค้าและ บริการต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมานั้นไม่มีระบบการตลาดจัดการ สินค้าและบริการเหล่านั้นก็จะขายไม่ได้ ผลที่เกิดขึ้น ก็คือ บริษัทขายสินค้าไม่ออกเกิดการปลดพนักงาน เกิดการเดินขบวน สไตรก์ เศรษฐกิจตกต่ำ เกิดโจรกรรม ขึ้นมากมาย เพราะฉะนั้นการตลาดจึงมีความสำคัญต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1. ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว การตลาดทำให้ระบบการซื้อขายสะดวก รวดเร็ว ผู้ซื้อและผู้ขาย ติดต่อสัมพันธ์กันได้ทุกเวลา มีผลให้การผลิตขยายตัว ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ มีการซื้อขายวัตถุดิบที่นำ มาผลิตทำให้เกิดธุรกิจการขนส่งและธุรกิจอื่น ๆ เกิดขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจรวมของประเทศชาติดีขึ้น 2. ทำให้มีสินค้าและบริการใหม่ ๆ เกิดขึ้น เพราะการตลาดทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่าง บริษัทกับบริษัทที่ขายสินค้าชนิดเดียวกัน ทำให้แต่ละบริษัทใช้กลยุทธ์ในการประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาสินค้า ทำให้ประชาชนได้ใช้สินค้าหลากหลายชนิด ในราคาที่ถูกลงและคุณภาพดีขึ้น 3. ทำให้เกิดอาชีพต่าง ๆ เพิ่มขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการตลาดจะขยายตัว ตามการขยายตัวของธุรกิจอุตสาหกรรม คือ เมื่อเศรษฐกิจก้าวหน้ามีการขยายตัวด้านการลงทุนในการผลิต สินค้าและบริการต่าง ๆ เกิดการพึ่งพากันระหว่างบริษัทต่อบริษัทเช่น เมื่อผลิตสินค้าออกมาต้องอาศัยบริษัทอีก บริษัทในการผลิตหีบกล่องบรรจุสินค้า หรือต้องอาศัยบริษัทอื่นในด้านเอกสารเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ เพื่อโฆษณาสินค้า เป็นต้น 4. ช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชากรในสังคมให้สูงขึ้น ทั้งทางด้านการผลิต และการบริโภค 5. ช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรการบริหารต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยใช้ข้อมูลทางการบริหารการจัดการด้านการวิจัย และหลักเศรษฐศาสตร์มาเกี่ยวข้องและเพื่อให้เกิดภาพที่ ชัดเจนเกี่ยวกับความสำคัญของการตลาด จึงได้แบ่งเป็นระดับต่างๆ ดังนี้


18 5.1 ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศระบบเศรษฐกิจในความต้องการของ ทุกประเทศ คือ ระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการตลาดจะเป็นกลไก หรือเครื่องมือที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดสภาวการณ์ข้างต้นได้ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้ - การตลาดเป็นกลไกหลักในการผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจสามารถขยายตัว และเติบโต - การตลาดจะเป็นเครื่องมือในการยกระดับการดำรงชีวิตของผู้บริโภคใน สังคมให้สูงขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากระบบการแข่งขันทางการตลาดที่จะเป็นปัจจัยให้ผู้ผลิตเร่งพัฒนาสินค้าหรือบริการ ของตนให้มีคุณภาพเกิดความสะดวก และมีราคาต่ำกว่าคู่แข่งขัน - การตลาดจะเป็นปัจจัยให้เกิดการกระจายรายได้และการจ้างงานเพิ่ม 5.2 ความสำคัญต่อองค์กรธุรกิจสามารถประมวลความสำคัญของการตลาดต่อภาค ธุรกิจ ได้ดังนี้ - การตลาด เป็นกิจกรรมหลักขององค์กรธุรกิจที่จะก่อให้เกิดการ แลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการขององค์กรไป สู่ผู้บริโภคและนำรายได้มาสู่องค์กรในที่สุด - การตลาด นำมาซึ่งความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดขององค์กร เช่น สร้างผลกำไรสูงสุด และในระยะยาวคือการขึ้นเป็นผู้นำตลาดขององค์กร หรือแม้แต่การเป็นที่ยอมรับของ ผู้บริโภค เป็นต้น 5.3 ความสำคัญต่อหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรหน่วยงานภาครัฐ (หมายความรวมถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ) และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เช่น สถาบันการศึกษา มูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรเพื่อสาธารณกุศลต่างๆสามารถนำการตลาดมาเป็นเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ หน่วยงาน หรือองค์กรให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้ 5.4 ความสำคัญต่อผู้บริโภค ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการตลาดภายในระบบ เศรษฐกิจ ดังนี้ -ผู้บริโภคจะสามารถเลือกสรรสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพได้สะดวกมาก ยิ่งขึ้น -การตลาด ทำให้สินค้าหรือบริการมีราคาที่ถูกลง เมื่อเทียบกับคุณภาพและความ พอใจที่ได้รับ ช่วยให้เกิดการกระจายสินค้าหรือบริการไปสู่ตลาดได้อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้องค์กรธุรกิจ สามารถบริหารกระบวนการการผลิต และการดำเนินงานด้านอื่นๆ ให้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้ 5. หน้าที่ทางการตลาด (Marketing Function) หน้าที่ทางการตลาด หมายถึง กิจกรรมที่เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของ บริษัทไปยังลูกค้าหรือผู้บริโภค เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เมื่อใดก็ตามที่


19 การตลาดเป็นระบบที่มีคุณภาพ ย่อมส่งผลให้ประชาชน สังคมและชุมชนมีคุณภาพไปด้วย ดังนั้นในระบบของ การตลาดโดยทั่วไปแล้วจะมีหน้าที่สำคัญดังต่อไปนี้ 5.1 หน้าที่การจัดการเกี่ยวกับสินค้าและบริการ คือ การดำเนินการเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดความพอใจและตรงกับความต้องการของผู้บริโภคหรือ ลูกค้ามากที่สุด ซึ่งวิธีที่จะจัดการในเรื่องนี้มีดังต่อไปนี้ 5.1.1 การพัฒนาและกำหนดมาตรฐานสินค้าและบริการ (Development and Standard Goods) หรือที่เรียกว่า “ดีเวลลอบเมนท์ แอนด์ แสตนดาร์ด กู๊ด” หน้าที่โดยตรงของ การตลาด คือ การจัดหาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค โดยการพัฒนาและกำหนด สินค้าให้ทันสมัย กำหนดรายละเอียดของสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพ ปริมาณ ลักษณะ รูปร่าง และมาตรฐานตามกำหนด ซึ่งจะต้องมีการศึกษาหาข้อมูล เพื่อกำหนดสินค้าที่จะผลิตออกมาตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภค 5.5.2 การขาย (Selling) หรือที่เรียกว่า “เซลล์ลิ่ง” หน้าที่โดยตรงของ การตลาด คือการจัดให้มีการถ่ายโอนหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์อันจำเป็นต่อการหมุนเวียนสินค้าและบริการ ทำให้เกิดความคล่องตัวด้านธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งอาจจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อโดยตรง หรืออาจจะมี การประสานงานกันทางโทรศัพท์หรือระบบสารสนเทศต่าง ๆ 5.5.3 การซื้อ (Buying) หรือที่เรียกว่า “บายอิ้ง” กิจกรรมในส่วนของการ ซื้อก็คือการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการซื้อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยในการซื้อ สินค้านั้นจะต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนว่ามีคุณภาพหรือมาตรฐานมากน้อยเพียงใด 5.2 หน้าที่เกี่ยวกับแจกจ่ายสินค้าและบริการ สินค้าที่ผลิตขึ้นมาแล้วจำเป็นต้องมีการ จัดส่งไปยังผู้บริโภค ซึ่งการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวต้องอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 5.2.1 การขนส่ง (Transportation) หรือที่เรียกว่า“ทรานสปอตเตชั่น” สินค้าจะไปถึงมือผู้บริโภคหรือลูกค้าที่อยู่ห่างไกล ซึ่งกระจายกันในแต่ละท้องถิ่นได้ จะต้องอาศัยการ ขนส่ง โดยจะต้องเลือกวิธีการให้เหมาะสมกับสภาพของสินค้า ผลิตภัณฑ์ ระยะเวลาและสภาพของท้องถิ่น รวมทั้ง ความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เช่นสินค้าที่มีน้ำหนักและปริมาณมากควรจะเลือกการขนส่งโดยทาง รถยนต์ 5.2.2 การเก็บรักษาสินค้า (Storage) หรือที่เรียกว่า “สตอเรจ” เป็น กิจกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการให้แก่ลูกค้า ด้วยการเก็บรักษาสินค้าไว้ เพื่อให้สินค้ามีคุณค่า คุณภาพดี สม่ำเสมอ หรือรอโอกาสที่เหมาะสมในการจำหน่ายให้แก่ลูกค้า ซึ่งการเก็บรักษาสินค้าของตลาดนั้นเป็นไปใน 2 ลักษณะ ดังนี้ 5.2.2.1 เก็บรักษาเพื่อเพิ่มคุณภาพ สินค้าและบริการบางอย่างหาก เก็บรักษาไว้นานจะทำให้มีราคาสูงขึ้น เช่น ที่ดิน บ้าน เป็นต้น


20 5.2.2.2 เก็บรักษาเพื่อคาดหวังผลกำไร เช่น กรณีสินค้าราคาตกต่ำ หน้าที่การตลาด (ผู้ขาย) จะเก็บสินค้านั้น ๆ ไว้ก่อนจนกว่าสินค้าจะมีราคาสูงขึ้นจึงจะนำออกมาจำหน่าย 5.3 หน้าที่การบริการให้ความสะดวก เพื่อให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ อย่างมั่นคง และถาวร การตลาดจึงต้องให้การบริการและอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจต่าง ๆ ได้แก่ ด้าน การเงิน โดยมีสถาบันการเงิน คือ ธนาคารเข้ามาจัดบริการด้านสินเชื่อเพื่อให้มีการกู้ยืมเงินมาใช้ในการลงทุน นอกจากนี้ยังจัดให้มีการบริการอำนวยความสะดวก เพื่อลดความเสี่ยงของธุรกิจ เช่น บริการด้านการประกัน ต่าง ๆ เช่น การประกันราคาสินค้า การประกันอุบัติภัย และการให้บริการซ่อมแซม เป็นต้น 5.4 หน้าที่การสื่อสารข้อมูลทางการตลาด เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เมื่อวิเคราะห์ ข้อมูลทางการตลาดได้แล้วจะต้องนำข้อมูลความต้องการสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ให้แก่ผู้ผลิต เพื่อผู้ผลิต จะได้ นำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงสินค้าและบริการขึ้นมาใหม่ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือผู้ผลิต จะมีฝ่ายการ ผลิตเป็นผู้ดำเนินการปรับปรุงสินค้า และฝ่ายประชาสัมพันธ์ภายในบริษัทจะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์สินค้าตัว ใหม่ไปยังลูกค้าและผู้อุปโภค บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าได้ทราบถึงสินค้าหรือบริการใหม่ ผู้ผลิตต้อง ทราบความเคลื่อนไหวทางการตลาดได้ถูกต้อง เพื่อเป็นข้อมูลที่จะนำไปสู่การผลิตสินค้าและบริการมาสนองให้ ตรงกับความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง 5.5 หน้าที่ในการวิเคราะห์ตลาด การวิเคราะห์ตลาดเป็นกระบวนการที่ต้องเนินการ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของตลาด อันจะทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้า และบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้าได้ตลอดเวลา และการวิเคราะห์ตลาดยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาทาง เศรษฐกิจของประเทศได้ เพราะผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และคาดคะเนผลที่อาจ เกิดขึ้นในอนาคตได้ ทำให้มีการเตรียมแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและถูกวิธีด้วย 5.6 หน้าที่ในการทำให้สินค้าต่างกัน เมื่อได้รับข้อมูลจากการวิเคราะห์แล้ว หน้าที่ ของตลาดก็จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสินค้าและบริการขึ้นใหม่ เพื่อสนองความต้องการและสร้างความ พึงพอใจให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทำได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 5.6.1 เปลี่ยนแปลงตัวสินค้าใหม่แทนสินค้าตัวเดิม 5.6.2 เปลี่ยนแปลงราคาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ 5.6.3 เปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้บริโภค เช่น ซื้อสินค้าเพราะของแถมหรือ การออกสลากรางวัลนำโชค 5.6.4 เปลี่ยนแปลงข้อมูลให้ผู้ซื้อได้รับรู้ 5.6.5 เปลี่ยนแปลงการบรรจุหีบห่อ หรือตรายี่ห้อใหม่


21 5.7 หน้าที่ในการตีราคาการตีราคาจะช่วยในการพิจารณาจุดคุ้มทุนว่าการซื้อขาย แลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น ทางการตลาดนั้นมีประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ หรือสร้างความพอใจให้กับผู้ซื้อ-ขายหรือไม่หรือ หากต้นทุนสูงกว่าผลประโยชน์ของสังคมก็ควรจะต้องมี การปรับปรุงคุณภาพของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์และ การตลาดให้เหมาะสม 5.8 หน้าที่ในการแบ่งส่วนตลาด เป็นการทำให้ตลาดมีขนาดเล็กลง เพื่อสะดวกใน การแลกเปลี่ยน ซื้อขายสินค้า เนื่องจากผู้ผลิตสามารถเจาะจงลูกค้าได้ ในขณะที่ผู้บริโภคเองก็สามารถเลือก สินค้าและบริการเฉพาะอย่างได้มากขึ้น ทำให้เกิดการประหยัดทั้งการผลิตและบริโภคด้วย 6. ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) ความหมายและองค์ประกอบของส่วนประสมการตลาด ส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix) คือองค์ประกอบที่สำคัญในการดำเนินงานการตลาด เป็นปัจจัยที่กิจการสามารถควบคุมได้ กิจการธุรกิจจะต้องสร้างส่วนประสมการตลาดที่เหมาะสมในการวางกลยุทธ์ทางการตลาด ( ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ, 2541: 35-36, 337 ) ส่วนประสมการตลาด ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ (Product) การจัดจำหน่าย (Place) การกำหนดราคา (Price) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เราสามารถเรียกส่วนประสมทาง การตลาดได้อีกอย่างหนึ่งว่า 4’Ps ส่วนประกอบทั้ง 4 ตัวนี้ ทุกตัวมีความเกี่ยวพันกัน P แต่ละตัวมีความสำคัญ เท่าเทียมกัน แต่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารการตลาดแต่ละคนจะวางกลยุทธ์ โดยเน้นน้ำหนักที่ P ใดมากกว่ากัน เพื่อให้ สามารถตอบสนองความต้องการของเป้าหมายทางการตลาด คือ ตัวผู้บริโภค 6.1 ผลิตภัณฑ์ (Product) ปัจจัยแรกที่จะแสดงว่ากิจการพร้อมจะทำธุรกิจได้ กิจการนั้นจะต้องมีสิ่งที่จะเสนอขาย อาจเป็นสินค้าที่มีตัวตน บริการ ความคิด (Idea) ที่จะตอบสนองความ ต้อง การได้ การศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้น นักการตลาด มักจะศึกษาผลิตภัณฑ์ในรูปของผลิต ภัณฑ์ เบ็ดเสร็จ (Total Product) ซึ่งหมายถึง ตัวสินค้า บวกกับความพอใจและผลประโยชน์อื่นที่ผู้บริโภคได้รับจาก การซื้อสินค้านั้น ผู้บริหารการตลาดจะต้องมีการปรับปรุงสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้นมาให้สอดคล้องกับความ ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นถึงการสร้างความพอใจให้แก่ผู้ บริโภคและสนองความต้องการของผู้บริโภค เป็นสำคัญ ในการศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ จะต้องศึกษาปัญหาต่างๆ ที่ครอบคลุมถึงการเลือกตัวผลิตภัณฑ์ หรือสายผลิตภัณฑ์ การเพิ่มหรือลดชนิดของสินค้าในสายผลิตภัณฑ์ ลักษณะของผลิตภัณฑ์ ในเรื่องคุณภาพ ประสิทธิภาพ สี ขนาด รูปทรง การให้บริการประกอบการขาย การรับประกัน ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา จำหน่ายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มใด วงจรผลิตภัณฑ์ของสินค้ามีระยะเวลานานเท่าใด ในแต่ละ ช่วง เวลาของวงจรผลิตภัณฑ์นั้น นักบริหารการตลาดควรจะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างไร และเมื่อต้องการที่ จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่กิจการ ธุรกิจจะต้องมีการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอด คล้องกับ ความต้องการของตลาดได้อย่างไร


22 ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคให้ความสนใจและพิถีพิถันในการเลือกซื้อสินค้ามากกว่าแต่ก่อน บทบาทของการบรรจุภัณฑ์จึงมีความสำคัญต่อตัวผลิตภัณฑ์อย่างยิ่ง การบรรจุภัณฑ์จะก่อให้ เกิดประโยชน์ หลักอยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ เป็นการป้องกันคุณภาพของสินคาและช่วยส่งเสริมการจำหน่าย ดังนั้น รูปร่าง ของภาชนะบรรจุหรือหีบห่อในปัจจุบันจึงมีสีสันสะดุดตา และวัสดุที่ใช้ทำหีบห่อแปลกใหม่กว่าเดิม บ่อยครั้งที่ ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงตัวบรรจุภัณฑ์มากกว่าตัวสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาจำหน่ายในตลาด จะต้องมีการกำหนดตราสินค้าและเครื่องหมายการค้า เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นของผู้ผลิต รายใดรายหนึ่งอย่างชัดเจน ตราสินค้าเป็นสิ่งมีประโยชน์แก่ผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้าชนิดนั้น เป็นของผู้ผลิตรายใด ผู้บริโภคจะสามารถใช้ประสบการในอดีตมาช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยมิต้อง สอบถามข้อมูลอยู่ตลอดเวลาและเกิดความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อสินค้านั้น 6.2 การจัดจำหน่าย (Place or Distribution) ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตผลิตขึ้นมาได้นั้น ถึงแม้ว่าจะมีคุณภาพดีเพียงใดก็ตาม ถ้าผู้บริโภคไม่ทราบแหล่งซื้อและไม่สามารถจะจัดหามาได้เมื่อเกิดความ ต้องการ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ ดังนั้น นักการตลาดจึง จำเป็นต้องพิจารณาว่าที่ไหน เมื่อไร แบะโดยใครที่จะเสนอขายสินค้า การจัดจำหน่ายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องศึกษา การจัดจำหน่ายแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ส่วน คือ ช่องทางจำหน่ายสินค้า (Channel of Distribution) เน้นการศึกษาถึงชนิดของช่องทางการจำหน่ายว่าจะใช้วิธีการขายสินค้าให้กับผู้บริโภค โดยตรง หรือการขายสินค้าผ่านสถาบันคนกลางต่างๆ บทบาทของสถาบันคนกลางต่างๆ เช่น พ่อค้าส่ง (Wholesalers) พ่อค้าปลีก (Retailers) และตัวแทนคนกลาง (Agent Middleman) ที่มีต่อตลาด อีกส่วน หนึ่งของกิจกรรมการจัดจำหน่ายสินค้า คือ การแจกจ่ายตัวสินค้า (Physical Distribution) การกระจาย สินค้าเข้าสู่ตัวผู้บริโภค การเลือกใช้วิธีการขนส่ง Transportation) ที่เหมาะสมในการช่วยแจกจ่ายสินค้า สื่อ การขนส่งได้แก่ การขนส่งทางอากาศ ทางรถยนต์ ทางรถไฟ ทางเรือ และทางท่อ ผู้บริหารการตลาดจะต้อง คำนึงว่าจะเลือกใช้สื่ออย่างใดถึงจะดีที่สุด โดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำและสินค้านั้นไปถึงลูกค้าทันเวลา ขั้นตอนที่ สำคัญอีกประการหนึ่งในการแจกจ่ายตัวสินค้า คือ ขั้นตอนของการจัดเก็บรักษาสินค้า (Storage) เพื่อรอการ จำหน่ายให้ทันเวลาที่ผู้บริโภคต้องการ 6.3 การกำหนดราคา (Price) เมื่อธุรกิจได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมา รวมทั้งหา ช่องทางการจัดจำหน่ายและวิธีการแจกจ่ายตัวสินค้าได้แล้ว สิ่งสำคัญที่ธุรกิจจะต้องดำเนินการต่อไป คือ การ กำหนดราคาที่เหมาะสมให้กับผลิตภัณฑ์ที่จะนำไปเสนอขายก่อนที่จะกำหนดราคาสินค้า ธุรกิจต้องมีเป้าหมาย ว่าจะตั้งราคาเพื่อต้องการกำไร หรือเพื่อขยายส่วนถือครองตลาด (Market Share) หรือเพื่อเป้าหมายอย่างอื่น อีกทั้งต้องมีการใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาที่จะทำให้เกิดการยอมรับจากตลาดเป้า หมายและสู้กับคู่แข่งขันได้ใน การแข่งขันในตลาด กลยุทธ์ราคาเป็นเครื่องมือที่คู่แข่งขันนำมาใช้ได้ ผลรวดเร็วกว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น การลด ราคา หรืออาจตั้งราคาสินค้าให้สูงสำหรับสินค้าที่มีลักษณะพิเศษในตัวของมันเอง เพื่อแสดงภาพพจน์ที่ดี อาจ


23 ใช้ผลทางจิตวิทยามาช่วยเสริมการตั้งราคา การตั้งราคาสินค้าอาจมีนโยบายการให้สินเชื่อหรือนโยบายการให้ ส่วนลดเงินสดส่วนลดการค้า หรือส่วน ลดปริมาณ ฯลฯ นอกจากนั้นธุรกิจจะต้องคำนึงถึงกฎข้อบังคับทาง กฎหมายที่จะมีผลกระทบต่อราคาด้วย ราคามูลค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ราคาเป็นต้นทุนของลูกค้า ผู้บริโภค จะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่าของผลิตภัณฑ์กับราคาผลิตภัณฑ์นั้น ถ้าคุณค่าสูงกว่าราคา เขาจะตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ผู้กำหนดกลยุทธ์การตลาดด้านราคาต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้ 6.3.1 คุณค่าที่รับรู้ ในสายตาของลูกค้า ซึ่งต้องพิจารณาว่าการยอมรับของ ลูกค้าในคุณค่าของผลิตภัณฑ์ว่าสูงกว่าราคานั้น ผลิตภัณฑ์นั้น 6.3.2 ต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง 6.3.3 การแข่งขัน 6.3.4 ปัจจัยอื่นๆ 6.4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ ติดต่อสื่อสารไปยังตลาดเป้าหมาย การส่งเสริมการตลาดเป็นวิธีการที่จะบอกให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ที่เสนอขายวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด เพื่อบอกให้ลูกค้าทราบว่ามีผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายในตลาด พยายามชักชวนให้ลูกค้าซื้อและเพื่อเตือนความทรงจำกับตัวผู้บริโภคการส่งเสริมการตลาดจะต้องมีการศึกษา ถึงกระบวนการติดต่อสื่อสาร (Communication Process) เพื่อเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง การส่งเสริมการตลาดมีเครื่องมือสำคัญที่จะใช้อยู่ 4 ชนิดด้วยกัน ที่เรียกว่าส่วนผสมของการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) ได้แก่ 6.4.1 การขายโดยใช้พนักงาน (Personal Selling) เป็นการเสนอขายสินค้า แบบเผชิญหน้ากัน (Face-to-Face) พนักงานขายต้องเข้าพบปะกับผู้ซื้อโดยตรงเพื่อเสนอขายสินค้า การ ส่งเสริมการตลาดโดยวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่เสียค่าใช้จ่ายสูง 6.4.2 การโฆษณา (Advertising) หมายถึงรูปแบบของการจ่ายเงินเพื่อการ ส่งเสริมการตลาด โดยมิได้อาศัยตัวบุคคลในการนำเสนอหรือช่วยในการขาย แต่เป็นการใช้สื่อโฆษณาประเภท ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายโฆษณา อินเตอร์เนท (Internet) สื่อโฆษณาเหล่านี้จะ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคเป็นกลุ่มใหญ่ เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการกระจายตลาดกว้าง 6.4.3 การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) หมายถึงกิจกรรมที่ทำ หน้าที่ช่วยพนักงานขายและการโฆษณาในการขายสินค้า การส่งเสริมการขายเป็นการกระตุ้นผู้บริโภคให้เกิด ความต้องการในตัวสินค้า การส่งเสริมการขายจัดทำในรูปของการแสดงสินค้า การแจกของตัวอย่าง แจกคูปอง ของแถมการใช้แสตมป์เพื่อแลกสินค้าการชิงโชคแจกรางวัลต่าง ๆ 6.4.4 การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ (Publicity and Public Relation) ในปัจจุบันธุรกิจมักสนใจภาพพจน์ของกิจการธุรกิจได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพพจน์ของ กิจการ ปัจจุบันองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นที่การแสวงหากำไร (Maximize Profit) เพียงอย่างเดียว


24 ต้องเน้นที่วัตถุประสงค์ของการให้บริการแก่สังคมด้วย (Social Objective) เพราะความอยู่รอดขององค์การ ธุรกิจจะขึ้นอยู่กับการยอมรับของกลุ่มผู้บริโภคในสังคม ถ้าหากกลุ่มผู้บริโภคต่อ ต้านหรือมีความคิดว่าองค์การ ธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนมากจนไม่คำนึงถึงสังคม หรือผู้บริโภค เช่น การผลิตสินค้า แล้วปล่อยน้ำ เสียลงแม่น้ำ หรือทำให้อากาศเป็นพิษ ก่อให้เกิดผลเสียแก่ส่วนรวม โดยมิได้หาวิธีแก้ไข จะสร้างภาพพจน์ที่ไม่ดี ขององค์การธุรกิจ บริษัทบุญรอดบริเวอรี่ จำกัด เป็นกิจการขายเบียร์ ซึ่งมีส่วนในการเสนอสิ่งที่เป็นพิษภัยต่อ ประชาชน จึงพยายามทำป้ายโฆษณาเพื่อเสริมสร้างภาพพจน์ ด้วยการเสนอเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติอนุรักษ์ วัฒนธรรมไทย เป็นการชดเชย เบี่ยงเบนความรู้สึกต่อต้านของสังคม หากกลุ่มผู้บริโภคไม่พอใจและไม่ต้องการ ซื้อสินค้าและบริการของผู้ผลิต ย่อมเป็นสาเหตุที่จะจำกัดการเจริญเติบโตของธุรกิจได้ 6.4.5.กระบวนการ (Process) เป็นการสร้างสรรค์และการส่งมอบ ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยกระบวนการที่วางแผนมาเป็นอย่างดี กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการบริการ คือ เวลาและประสิทธิภาพในการบริการ ดังนั้นกระบวนการบริการที่ดีจึงควรมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในกาส่งมอบ รวมถึงต้องง่ายต่อการปฏิบัติการ เพื่อที่พนักงานจะได้ไม่เกิดความสับสน ทำงานได้อย่างถูกต้อง และมีแบบแผนเดียวกันและงานที่ได้ต้องดีมีประสิทธิภาพและคุณภาพ 1.2.3 การลงทุน/การคิดต้นทุน ต้นทุนขาย คือจำนวนเงินที่จ่ายไปในการซื้อสินค้า วัตถุดิบ เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นในการผลิตสินค้าและ บริการที่ขายพร้อมกับกิจกรรมกระบวนการที่ทำให้สินค้าและบริการพร้อมขายหรือใช้ในภายหลัง เริ่มตั้งแต่การ ออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การทดสอบ การจัดเก็บ การขนส่ง เป็นต้น วิธีคำนวณต้นทุนขาย เพื่อให้เข้าใจการคำนวณต้นทุนขายของธุรกิจSMEs จึงขอแยกอธิบายในแต่ละ ประเภทของธุรกิจ ดังนี้ 1. ธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจขายของทางออนไลน์ ต้นทุนขายคำนวณไม่ยากคือคิดจากราคาสินค้าที่ซื้อ มาโดยตรง รวมทั้งค่าขนส่งสินค้าเข้าร้าน 2. ธุรกิจผลิตสินค้า เช่น ธุรกิจโรงงาน หรือผู้ประกอบการที่ทำขนมขาย ซึ่งใช้วัตถุดิบหลายอย่างใน การผลิต โดยทั่วไปต้นทุนการผลิตเป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสินค้า ได้แก่ ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าใช้จ่ายในการผลิตเช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ รวมทั้งของเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ในทาง บัญชีถ้าจัดจำแนกตามลักษณะพฤติกรรมของต้นทุนจะแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.1 ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่มีมูลค่าเท่าเดิมไม่ว่าจะมีการผลิตสินค้าในปริมาณมากหรือน้อย ได้แก่ เงินเดือน ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกันภัย เป็นต้น 2.2 ต้นทุนผันแปร เป็นต้นทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิตสินค้า ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าน้ำค่าไฟ สำหรับธุรกิจ SMEs ที่เป็นธุรกิจผลิตที่ไม่ซับซ้อนมาก ผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนได้ดังนี้


25 2.2.1. ต้นทุนวัตถุดิบ เป็นต้นทุนหลักในการผลิตสินค้า ยกตัวอย่างการคำนวณ ง่ายๆ เช่น ผู้ประกอบการที่ทำขนมขาย วัตถุดิบได้แก่ แป้ง น้ำตาล ไข่ เป็นต้น รวมราคาวัตถุดิบที่ซื้อมาเท่ากับ 500 บาทและผลิตขนมออกมาได้ 1,000 ชิ้น ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบต่อขนม 1 ชิ้น เท่ากับ 2 บาท หรืออีกวิธีหนึ่ง คือคำนวณต้นทุนวัตถุดิบจากปริมาณที่ใช้จริง จากสมการนี้ต้นทุนวัตถุดิบ = ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้จริง x (ราคาที่ ซื้อหารด้วยปริมาณที่ซื้อ) เช่น ธุรกิจที่ทำขนมขายซื้อแป้งสาลีมาในราคา 50 บาทต่อ 1,000 กรัม (1ถุง) ใช้แป้ง ทำขนมไปแค่ 80 กรัม ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบคือ 80x(50/1,000) เท่ากับ 4 บาท 2.2.2 ค่าแรงการผลิต กรณีที่มีการจ้างพนักงานที่รับผิดชอบดูแลกระบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายประเภทเงินเดือน ถือเป็นต้นทุนการผลิตโดยตรง การคำนวณค่าแรงมีดังนี้เช่น โรงงานผลิตสินค้าได้ 50,000 ชิ้นต่อวัน เงินเดือนของพนักงานที่ดูแลกระบวนการผลิตมี 2 คนเงินเดือนรวมกัน เดือนละ 40,000 บาท ดังนั้น ต้นทุนค่าแรงต่อสินค้า 1 ชิ้นเท่ากับ 40,000/50,000 เท่ากับ 0.8 บาทต่อ สินค้า 1 ชิ้น เป็นต้น หรืออย่างกรณีของโรงงานทำขนมที่จ้างลูกจ้างรายวัน เช่นค่าแรงวันละ400 บาท โดยเฉลี่ยผลิตขนมได้วันละ 1,000 ชิ้น ค่าแรงต่อขนม 1 ชิ้น เท่ากับ 0.4 บาท 2.2.3 ค่าใช้จ่ายในการผลิต ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ ของเสียที่เกิดขึ้นใน กระบวนการผลิต 2.2.3.1 ค่าไฟฟ้า โดยค่าไฟต่อสินค้า 1 ชิ้น คำนวณจากค่าไฟที่จ่ายจริงแต่ละ เดือนหารด้วยปริมาณการผลิต เช่น โรงงานผลิตสินค้า จ่ายค่าไฟในเดือนตุลาคม 100,000 บาท ผลิตสินค้าได้ 20,000 ชิ้น ดังนั้น ค่าไฟต่อ สินค้า 1 ชิ้น เท่ากับ 5 บาท 2.2.3.2 ค่าน้ำมันรถ โดยคิดจากค่าน้ำมันที่ใช้จริงสำหรับรถแต่ละคันหรือ เทียบจากการใช้รถแท็กชี่โดยเข้าไปดูราคาใน Application Grab 2.2.3.3 ของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต ในช่วงแรกๆอาจใช้วิธีการ ประเมิน เช่น ผลิตขนม 10 ชิ้น เสีย 1 ชิ้น เท่ากับของเสียคิดเป็น 10% ของสินค้าที่ผลิตได้ ต่อไปอาจจะใช้วิธี เก็บข้อมูลและประเมินจากของเสียที่เกิดขึ้นจริงได้ ข้อดีของการทราบต้นทุนขาย 1. นำไปใช้ในการตั้งราคาสินค้าได้อย่างถูกต้อง เมื่อคำนวณต้นทุนขายได้แล้วในการตั้งราคาสินค้าค่อยบวกกำไรที่ต้องการเข้าไป โดยกำหนดเป็นกำไร เพิ่มเข้าไป เช่นต้นทุนขาย 5 บาทต่อชิ้น ต้องการกำไร1 บาทต่อชิ้น ราคาขายเท่ากับ 6 บาทต่อชิ้นซึ่งเป็นวิธีที่ ง่าย ตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินผลกำไรการดำเนินงานเพื่อใช้ในการวางแผนงานได้ 2. สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ในเรื่องราคา ผู้ประกอบการสามารถกำหนดกลยุทธเรื่องราคา ในการปรับเพิ่ม ลด ราคา หรือจัดการส่งเสริมการ ขายเพื่อให้แข่งขันทางด้านราคากับคู่แข่งได้


26 3. ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิตได้ เนื่องจากรู้ข้อมูลต้นทุนที่แท้จริง ทำให้วางแผนในการจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบ หรือการจ้างแรงงาน อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก 4. ช่วยลดการสูญเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตได้ เมื่อทราบต้นทุนของเสียผู้ประกอบการสามารถวางแผนในการบริหารจัดการเพื่อลดของเสียใน กระบวนการผลิต ทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง 5. ตัวเลขต้นทุนขายและกำไรทางบัญชีและภาษีถูกต้อง การที่ธุรกิจสามารถคำนวณตัวเลขต้นทุนขายซึ่งเป็นรายการที่มีสาระสำคัญในงบการเงิน ย่อมทำให้ การคำนวณกำไรสุทธิถูกต้องและตัวเลขภาษีถูกต้องตามไปด้วย นอกจากจะลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับทาง ภาษีแล้ว ในกรณีธุรกิจต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน งบการเงินก็มีความถูกต้องน่าเชื่อถือทำให้มีโอกาส จัดหาแหล่งเงินกู้ได้การคิดต้นทุนขายเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเหตุให้หลายธุรกิจขายขาดทุนกันมาแล้ว การคิด ต้นทุนผิดอาจทำให้คิดราคาขายผิด ยิ่งคำนวณต้นทุนได้ถูกต้องมากเท่าไร ทำให้ทราบผลกำไรบริษัทได้แม่นยำ ยิ่งขึ้น ช่วยลดการสูญเสียที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เมื่อต้นทุนขายลดลง ธุรกิจย่อมมีกำไรเพิ่มขึ้นและเติบโต ยิ่งขึ้น PEAK เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการในการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ สร้างพื้นฐาน สำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจ 1.2.4 กระบวนการผลิต/การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การผลิต คือ การสร้างเศรษฐ์ทรัพย์และบริการต่างๆ เพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์ การผลิตสิ่งของและ บริการทุกอย่าง จะต้องเป็นการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจขึ้นใหม่ การผลิตหรือการสร้างประโยชน์ทาง เศรษฐกิจขึ้นใหม่ อาจจัดอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ต่อไปนี้ 1. การสร้างรูปร่างผลิตผลขึ้นใหม่คือ การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของปัจจัย การผลิตต่างๆ เพื่อให้เกิดสินค้าตามลักษณะและรูปร่างที่ต้องการเพื่อเพิ่มความพอใจให้แก่ผู้ใช้ และผู้บริโภคมากที่สุด 2. การเคลื่อนย้ายผลิตผล คือการเปลี่ยนที่ของผลิตผล เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และอำนาจบำบัด ความต้องการมากขึ้น 3. การเก็บผลิตผลไว้รอเวลาที่ต้องการคือการเก็บสินค้าบางอย่างไว้นานๆเพื่อเพิ่มประโยชน์และเพิ่ม มูลค่า 4. การทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์เปลี่ยนมือ เช่น การทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายบ้าน เท่ากับเป็นการ ช่วยดำเนินการโอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในบ้านจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เจ้าของบ้านใหม่จะเกิดความพอใจที่ได้ บ้านมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ปัจจัยการผลิต ในการผลิตจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยการผลิต ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติได้แก่ ที่ดินรวมถึงสภาพธรรมชาติที่อยู่ใต้ดิน บนดินและเหนือดิน 2. แรงงาน หมายถึง การทำงานทุกชนิดที่ก่อให้เกิดสินค้าและบริการ แรงงานนี้รวมถึง แรงงานด้าน การใช้กำลังกายและกำลังความคิดของมนุษย์ อันก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วย


27 3. ทุน ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สินค้า หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการผลิต 4. ผู้ประกอบการ ได้แก่ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยโดยตรง เป็นผู้ให้ความริเริ่มในนโยบายต่างๆ หรือเปลี่ยนแปลงนโยบายในส่วนสำคัญในอันที่จะทำให้ การผลิตดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลำดับขั้นในการผลิต 1. การผลิตขั้นปฐมหรือการผลิตขั้นแรก ได้แก่ การผลิตทางด้านการเกษตร การทำป่าไม้ การประมง การทำสวน ทำไร่ ซึ่งเป็นการผลิตแบบดั้งเดิมของมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณ 2. การผลิตขั้นมัธยมหรือขั้นที่สอง ได้แก่ การผลิตทางด้านหัตถกรรม และอุตสาหกรรม การผลิตขั้น นี้ จะนำเอาผลิตผลในขั้นปฐมมาดัดแปลง เพื่อถนอมหรือผลิตเป็นสินค้าอื่น 3. การผลิตขั้นอุดมหรือขั้นที่สาม ได้แก่ การให้บริการด้านการขนส่ง การค้าส่ง การค้าปลีก การ ธนาคาร และการประกันภัย ซึ่งเป็นงานที่ช่วยให้การผลิตไปถึงมือผู้บริโภค หลังจากผลิตขั้นที่สองเสร็จแล้ว กระบวนการผลิต (Production process) หมายถึง มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ อันได้แก่ ปัจจัย นำเข้า (Input), กระบวนการแปลงสภาพ (Conversion Process) และผลผลิต (Output) โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 3.1 ปัจจัยนำเข้า (Input) คือทรัพยากรขององค์การที่ใช้ผลิตทั้งที่เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน (Tangible Assets) เช่น วัตถุดิน เครื่องจักร อุปกรณ์ และสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) เช่น แรงงาน ระบบการจัดการ ข่าวสาร ทรัพยากรที่ใช้จะต้องมีคุณสมบัติและประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสม และมี ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพื่อให้สินค้าสำเร็จรูปสามารถแข่งขันทางด้านราคาได้ในท้องตลาด 3.2 กระบวนการแปลงสภาพ (Conversion Process) เป็นขึ้นตอนที่ทำให้ปัจจัย นำเข้าที่ผ่านเข้ามามีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ได้แก่ - รูปลักษณ์ (Physical) โดย การผ่านกระบวนการผลิตในโรงงาน - สถานที่ (Location) โดย การขนส่ง การเก็บเข้าคลังสินค้า - การแลกเปลี่ยน (Exchange) โดย การค้าปลีก การค้าส่ง - การให้ข้อมูล (Informational) โดย การติดต่อสื่อสาร - จิตวิทยา (Psychological) โดย การนันทนาการ ฯลฯ ผลผลิต (Output) เป็นผลได้จากระบบการผลิตที่มีมูลค่าสูงกว่าปัจจัยนำเข้าที่รวมกันอันเนื่องมาจากที่ได้ผ่าน กระบวนการแปลงสภาพ ผลผลิตแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สินค้า (Goods) และบริการ (Service) การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ความหมายของการจัดซื้อ การจัดซื้อ (Purchasing) หมายถึงการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่ง สินค้าหรือบริการวัตถุดิบ ตลอดจน เครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อต้องการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ ธุรกิจ โดยทั่วไปในทางธุรกิจ แบ่งการจัดซื้อ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 1. การซื้อเพื่อจำหน่าย 2. การซื้อเพื่อใช้หรือเปลี่ยนสภาพ


28 ความสำคัญของการจัดซื้อ มีอยู่ 6 ประเภท คือ 1. กำไรของกิจการ 2. ประสิทธิภาพของการดำเนินงาน 3. ภาพลักษณ์ของกิจการ 4. การแข่งขันของการตลาด 5. การรับรู้ข้อมูลของกิจการ 6. กลยุทธ์ของกิจการและนโยบายทางสังคม วัตถุประสงค์ของการจัดซื้อ มี 3 ประการ คือ 1. เพื่อให้กิจการมีสินค้า วัตถุดิบเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ใช้โดยไม่ขาดมือ 2. เพื่อให้กิจการได้รับสินค้าในเวลาอันสมควรคุณภาพถูกต้อง ปริมาณเหมาะสม 3. เพื่อเป็นการบริหารเกี่ยวกับการเงิน ไม่ให้จมอยู่กับสินค้าคงเหลือมากเกินไป และไม่ต้องเสี่ยงภัย กับสินค้าด้วย การเจริญเติบโตของงานจัดซื้อ 1. ด้านการจัดหน่วยงาน มีงานหลักอยู่ 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต และฝ่ายการเงิน สำหรับฝ่าย จัดซื้อขึ้นอยู่กับแผนกผลิต กระบวนการจัดซื้อของหน่วยงาน ประกอบด้วย - การวิเคราะห์การใช้วัตถุดิบของบริษัท - การประเมินสถานะผู้ขาย - การตรวจสอบวัสดุ - การตรวจสอบการรวมกลุ่มจัดซื้อวัตถุดิบ - การตรวจสอบผู้ขายรายอื่นที่มีข้อเสนอดีกว่า 2. ด้านการแบ่งงานและบุคคลที่ทำหน้าที่ เมื่องานด้านการจัดซื้อเริ่มเป็นระบบ ก็ได้มีการ เก็บ รวบรวมข้อมูล ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตลาดเกี่ยวกับความต้องการของผู้ซื้อที่เป็นไปตามฤดูกาลเพื่อเป็น แนวทางในการจัดซื้อโดยเลือกซื้อวัตถุดิบที่มีมาตรฐานมาใช้และมีการพัฒนาสัมพันธภาพอันดีกับผู้ขาย ในปัจจุบันแผนกจัดซื้อเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ขึ้นโดยตรงต่อผู้จัดการใหญ่ หลักเบื้องต้นในการจัดซื้อ การจัดซื้อมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กิจการได้รับสินค้า วัตถุดิบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆได้ ในเวลา อันสมควรและมีความถูกต้องเหมาะสมมากที่สุด การจัดซื้ออย่างถูกต้องเหมาะสมกระทำได้5 ประการ ได้แก่ 1. ซื้อให้ได้คุณภาพที่ถูกต้อง (Right Quality) - การกำหนดคุณภาพ - การจัดซื้อ - การตรวจรับวัสดุ


29 2. ซื้อให้ได้จำนวนที่ถูกต้อง (Right Quantity) อันประกอบด้วย - การพิจารณาราคาของสินค้า - การพิจารณาจำนวนการซื้อแต่ละครั้ง - การพิจารณาค่าใช้จ่ายในการซื้อแต่ละครั้ง 3. การซื้อจากผู้ขายที่ถูกต้อง (Right Source of Supply) พิจารณาจาก - ปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาเลือกแหล่งขาย - ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งขาย - ปัญหาเกี่ยวกับการเลือกผู้ขาย 4. ซื้อในราคาที่ถูกต้อง (Right Price) พิจารณาจาก - ราคาที่มีความสัมพันธ์กับต้นทุน - ราคาที่เกิดจากอุปสงค์และอุปทาน (Demand and Suppy) - ราคาอันเกิดจากการแข่งขัน การดำเนินงานในการจัดซื้อ การดำเนินงานนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของแผนกจัดซื้อที่จะต้องดำเนินการ โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. รับรู้ถึงความต้องการ 2. กำหนดรายละเอียดของวัสดุ 3. เลือกแหล่งขาย 4. กำหนดราคา 5. การออกคำสั่งซื้อ 6. การติดตามคำสั่งซื้อ 7. การตรวจสอบการเรียกเก็บเงิน 8. บันทึกผลการจัดซื้อ แนวโน้มการจัดซื้อในปัจจุบัน ฝ่ายจัดซื้อต้องทำความเข้าใจกับแนวโน้มที่มีอิทธิพลต่อการจัดซื้อในด้านต่อไปนี้ 1. การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดซื้อ 2. การผลิตสินค้าเน้นที่คุณภาพ 3. การลดต้นทุนเพื่อความได้เปรียบคู่แข่งขัน 4. การลดจำนวนแหล่งผู้ขาย 5. ใช้การเจรจาต่อรองแทนการประมูลราคา 6. พัฒนาแหล่งจัดซื้อจากต่างประเทศ 7. สนองความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด 8. การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ทางด้านการตลาด อยู่เสมอ


30 นโยบายการจัดซื้อ ฝ่ายจัดซื้อต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการจัดซื้อ ดังนี้ 1. การผลิตเองหรือการซื้อมา 2. การซื้อจากแหล่งเดียวกันหรือหลายแหล่ง 3. การซื้อจากผู้ผลิต 4. ใช้การเจรจาต่อรอง 5. สัญญาสิ้นเปลืองระยะยาว 6. การซื้อต่างตอบแทน 7. ส่วนลดการซื้อ 8. การรวมกันซื้อ 9. การซื้อล่วงหน้า 10. การซื้อตามงบประมาณ 1.3 แหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ความเป็นมาและความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น โลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารที่แพร่หลายทั่วถึงกันได้อย่างรวดเร็ว ไร้อาณาเขตขวางกั้น สภาพดังกล่าวมีส่วนกระทบถึงวิถีชีวิตของผู้คนพลเมืองโดยทั่วไป เพราะเป็นสภาพที่เอื้ออำนวยในการรับและ ถ่ายโยงเอาศาสตร์หรือภูมิปัญญาตะวันตกเข้ามาในการพัฒนาประเทศและพัฒนาผลผลิต ตลอดจนการดำเนิน ชีวิต อย่างมิได้มีการปรับปนกับภูมิปัญญาไทยที่มีความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ ชุมชนชนบทประสบปัญหาดังที่กล่าวว่าชุมชนล่มสลาย อันมีผลรวมไปถึงความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อมอย่าง กว้างขวาง การพยายามใช้กลไกลทางการศึกษาจากเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาหลักสูตร ตามความ ต้องการของท้องถิ่น เป็นช่องทางในการประยุกต์เอาภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีจุดเด่น ที่สามารถพิสูจน์ตัวเองใน การยืนหยัดอยู่รอดได้ ท่ามกลางกระแส การล่มสลายของชุมชนและการทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวมาสู่ หลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ในแนวทางของการคิดปฏิบัติจริง จากการประยุกต์ปรับปน ภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือภูมิปัญญาไทยกับปัญญาสากล เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบคุณค่าภูมิปัญญาที่มีในท้องถิ่นที่เหมาะสมกับวิถีชีวิต ของชุมชน และสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด นำมาซึ่งดุลยภาพที่สงบสันติสุขของบุคคล ชุมชนและ ชาติ ความหมายของภูมิปัญญาไทย จากการศึกษาความหมายที่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการต่างๆ ซึ่งครอบคลุมคำว่า ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย ได้ให้ความหมายพอสรุปได้ดังนี้ ภูมิปัญญาพื้นบ้านหรือภูมิปัญญาชาวบ้าน (Popular Wisdom) หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่สั่งสมและสืบทอดกันมา อันเป็นความสามารถและศักยภาพในเชิงแก้ปัญหา การปรับตัว เรียนรู้และสืบทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อการดำรงอยู่รอดของเผ่าพันธุ์จึงตกทอดเป็นมรดก ทางวัฒนธรรมของ ธรรมชาติ เผ่าพันธุ์ หรือเป็นวิธีของชาวบ้าน ( ยิ่งยง เทาประเสริฐ)


31 ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง กระบวนทัศน์ของบุคคลที่มีต่อตนเอง ต่อโลกและสิ่งแวดล้อมซึ่ง กระบวนการดังกล่าว จะมีรากฐานคำสอนทางศาสนา คติ จารีต ประเพณี ที่ได้รับการถ่ายทอดสั่งสอนและ ปฏิบัติสืบเนื่องกันมา ปรับปรุงเข้ากับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละสมัย ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายเพื่อความ สงบสุขในส่วนที่เป็นชุมชน และปัจเจกบุคคล ซึ่งกระบวนทัศน์ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น จำแนกได้ 3 ลักษณะ คือ - ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม - ภูมิปัญญาเกี่ยวกับสังคมหรือการจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ - ภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบการผลิตหรือประกอบอาชีพที่มีลักษณะมุ่งเน้นระบบการผลิตเพื่อ ตนเอง เป็นแหล่งเสริมประสบการณ์ตรง ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ในด้านต่างๆ ของการดำรงชีวิตของคนไทยที่เกิดจาก การสะสม ประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับแนวความคิดวิเคราะห์ในการแก้ปัญหาต่างๆ ของตนเอง จนเกิดหลอมตัวเป็นแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่เป็นลักษณะของตนเอง ที่สามารถพัฒนาความรู้ดังกล่าวมา ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับกาลสมัย ในการแก้ปัญหาของการดำรงชีวิต (เสรี พงศ์พิศ) ลักษณะของแหล่งเรียนรู้ จัดได้ 3 ประเภท คือ 1. แหล่งเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติ สวนพฤกษชาติ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล น้ำพุรอน ปรากฏการทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก แดดออก น้ำท่วม ความแห้งแล้ง 2. แหล่งเรียนรู้ที่จัดขึ้นหรือสร้างขึ้น ซึ่งมีในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา เพื่อใช้เป็นแหล่งศึกษาหา ความรู้ได้สะดวกและรวดเร็ว 3. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นทรัพยากรบุคคล ได้แก่ ครู ผู้ปกครอง พ่อแม่ พระภิกษุสงฆ์ ตลอดจนผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในอาชีพแขนงต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชน รวมทั้งสถานที่ประกอบการ ร้านค้า หน่วยงานหรือองค์กร ต่างๆ ในท้องถิ่น แหล่งเรียนรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ 1. เป็นแหล่งเสริมสร้างจินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2. เป็นแหล่งศึกษาตามอัธยาศัย 3. เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต 4. เป็นแหล่งสร้างความรู้ ความคิด วิชาการและประสบการณ์ 5. เป็นแหล่งปลูกฝังค่านิยมรักการอ่านและแหล่งศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 6. เป็นแหล่งสร้างความคิดเกิดอาชีพใหม่สู่ความเป็นสากล 7. เป็นแหล่งเสริมประสบการณ์ตรง 8. เป็นแหล่งส่งเสริมมิตรภาพความสัมพันธ์ระหว่าคนในชุมชนหรือผู้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น


32 แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น (กลุ่มอาชีพในอำเภอสัตหีบ) 1. กลุ่มผ้ามัดย้อมสีสดใส 2. กลุ่มผ้าบาติกบางเสร่ 3. กลุ่มอาชีพเขาหมอนพลูตาหลวง 4. กลุ่มอาชีพการทำเบเกอรี 5. กลุ่มศิลปะผ้าด้นมือ 6. กลุ่ม Marbling Art 7. กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เต่าสีจรรย์ 8. ตะกร้าสานกลุ่มแม่บ้านเอื้ออาทร 9. กลุ่มการแปรรูปอาหารทะเล 10. กลุ่ม DIY สีมัดย้อมธรรมชาติ 11. กลุ่มผลิตภัณฑ์จากผ้า DIY 1.4 บอกทิศทางการประกอบอาชีพ 1.4.1 เป็นผู้ประกอบการ คุณสมบัติของผู้ประกอบการ ประกอบด้วยจำนวน 7 ข้อดังนี้ 1. ต้องเป็นนักแสวงหาโอกาส คือจะต้องเป็นผู้มองเห็นโอกาสและหาช่องทางทางการค้าได้ ตลอดเวลา แม้จะตกอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ 2. ต้องเป็นนักเสี่ยง ต้องกล้าได้กล้าเสีย พร้อมที่จะดำเนินการทันทีเมื่อมองเห็นโอกาส อย่ามัว รีรอ มิฉะนั้นจะสายเกินไป ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ 3. ต้องเป็นคนมีความคิดริเริ่ม หรือสร้างสรรค์ ในการผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ ออกสู่ตลาดที่มี สภาพการแข่งขันสูง 4. ต้องเป็นคนที่ไม่ท้อถอยง่าย มีความอดทน โดยเฉพาะระยะเริ่มก่อตั้งธุรกิจ จะต้องประสบกับ ปัญหามากมาย เถ้าแก่หรือผู้ประกอบการที่ยืนหยัดอยู่ได้ จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนสูง 5. ต้องเป็นคนที่ใฝ่รู้อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาทำให้สามารถ ปรับตัวได้เสมอ 6. ต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทำให้ธุรกิจมีทิศทางที่ชัดเจนไม่เดินทางออกนอกลู่นอกทาง สามารถมุ่งไปสู่อนาคตด้วยเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน 7. ต้องมีเครือข่ายดี เพื่อที่จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งด้านข้อมูล และการได้รับความช่วยเหลือด้าน ต่าง ๆ จากเพื่อน ๆ หรือเครือข่ายได้เป็นอย่างดี


33 คุณสมบัติเฉพาะของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย 3 ข้อดังนี้ 1. ความมุ่งมั่น ปรารถนาและพยายามที่จะดำเนินธุรกิจให้สำเร็จให้ได้ (Passion) มิฉะนั้นจะทำ ให้สูญเสียทั้งเงินทุนและเวลา 2. มีความสามารถในการตัดสินใจในภาวะวิกฤต ด้วยการตรวจสอบทุกอย่างอย่างรอบคอบ (Determination) ไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในโชคชะตาหรือพรหมลิขิตตนเชื่อมั่นว่าตนเองจะฝ่าฟันอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้ หากอุทิศเวลาและทำงานให้หนักเพียงพอ 3. ต้องมีความรู้จริง (Knowledge) ในธุรกิจที่ลงทุน เพื่อจะสามารถสนองความต้องการของ ผู้บริโภคได้ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กประสบความสำเร็จ การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) โดยอาศัยองค์ประกอบ ต่อไปนี้จำนวน 2 ข้อ 1. ความยืดหยุ่น (Flexibility) การผลิตได้อย่างรวดเร็วเมื่อความต้องการของผู้บริโภค เปลี่ยนแปลง 2. สร้างนวัตกรรม (Innovation) นวัตกรรมในการผลิตหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ มักมีจุดเริ่มต้น มาจากนักประดิษฐ์อิสระ 1.4.2 ผู้ค้าส่ง ผู้จัดจำหน่ายที่ขายผลิตภัณฑ์ให้กับ ร้านค้าปลีก. ผู้ค้าส่งจะขายสินค้าของเขาใน ปริมาณมากให้กับผู้ค้าปลีกทำให้ผู้ค้าปลีกสามารถใช้ประโยชน์จากราคาที่ต่ำกว่าหากซื้อสินค้าชิ้นเดียว โดยทั่วไปแล้วผู้ค้าส่งจะซื้อสินค้าโดยตรงจากผู้ผลิต แต่ก็สามารถซื้อจากตัวแทนจำหน่ายได้เช่นกัน ไม่ว่าในกรณี ใดผู้ค้าส่งจะได้รับส่วนลดจำนวนมากสำหรับการซื้อสินค้าจำนวนมาก ผู้ค้าส่งไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการผลิต ผลิตภัณฑ์จริงโดยมุ่งเน้นที่การจัดจำหน่ายแทน ผู้ค้าส่งต้องมีใบอนุญาตในการขายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ค้าปลีกและโดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ของเขาจะไม่ สามารถใช้ได้กับลูกค้าในราคาเดียวกับผู้ค้าปลีก เนื่องจากผู้ค้าปลีกทำกำไรโดยการกำหนดราคาที่พวกเขาจ่าย ให้แก่ผู้ค้าส่ง ในกรณีที่ลูกค้าต้องการซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ค้าส่งเขาจะถูกเรียกเก็บเงินสำหรับการขนส่งลดลง ค่าใช้จ่ายนี้จะถูกเรียกเก็บจากลูกค้าและผู้ค้าส่งโดย drop shipping ผู้ประกอบการค้า บ่อยครั้งที่ผู้ค้าส่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์เฉพาะอย่างหรือในหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ ผู้ค้าส่งราย อื่นจะเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ผู้ค้าส่งสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจประเภทหนึ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ ของพวกเขาหรือพวกเขาสามารถเสนอขายสินค้าให้กับทุกคน ผู้ค้าส่งยังแตกต่างจากผู้จัดจำหน่ายซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ดีเป็นพิเศษดังนั้น พวกเขาจึงไม่น่าจะเสนอระดับการบริการที่สูงขึ้นหรือการสนับสนุนที่มักจะนำเสนอโดยผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ อย่างเป็นทางการ นี่เป็นเพราะผู้ค้าส่งไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ผลิตที่พวกเขาซื้อจากและไม่คุ้นเคยกับ ลักษณะเฉพาะและความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาขาย ผู้ค้าส่งยังสามารถเสนอผลิตภัณฑ์คู่แข่งซึ่งไม่ใช่ กรณีสำหรับผู้จัดจำหน่าย


34 การกำหนดราคาขาดทุน - กลยุทธ์มาร์กอัปประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการเลือกผลิตภัณฑ์บางอย่างเพื่อลด ราคาเป็นครั้งคราว คุณรู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้คนมาที่ร้านของคุณเนื่องจากส่วนลด อย่างไรก็ตามเป้าหมายคือการมี ผลิตภัณฑ์เสริมหลายอย่างที่ลูกค้าผูกพันที่จะซื้อในขณะที่ร้านค้า ตัวอย่างที่ดีคือการขายมีดโกนสำหรับผู้ชายลด ราคาจากนั้นนำเสนอครีมโกนหนวดและครีมหลังโกนหนวดในราคาเต็ม ราคา Anchor - การกำหนดราคาสินค้าทางจิตวิทยาประเภทนี้ช่วยให้คุณสามารถกำหนดราคาขายส่ง ได้จนถึงจุดหนึ่งในขณะที่ยังคงแสดงว่ามีการใช้ส่วนลดแล้ว ไม่ว่าจะไม่มีการใช้ส่วนลด แต่แนวทางปฏิบัติยังคง แสดงราคาเดิมที่ขีดฆ่าพร้อมกับราคาลด แสดงให้เห็นว่าการกำหนดราคาประเภทนี้ก่อให้เกิดการตอบสนองที่ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อมากขึ้น เหนือการแข่งขัน - อีกวิธีหนึ่งในการกำหนดราคาขายส่งของคุณคือการซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่งจากนั้นดู ทันทีว่าคู่แข่งของคุณขายสินค้าที่คล้ายคลึงกันเพื่ออะไร คุณสามารถกำหนดราคาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้สูงกว่า คู่แข่งเล็กน้อยเพื่อสร้างการรับรู้ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณมีคุณภาพดีกว่าจริง ตัวอย่างที่ดีคือวิธีที่ Starbucks หรือ Apple สร้างผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันกับคู่แข่งไม่มากก็น้อย แต่ผู้คนคิดว่าพวกเขาดีกว่าเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ตอนนี้ Apple อาจสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีกว่าผู้ผลิตบางรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ยากที่จะโต้แย้งว่า คอมพิวเตอร์ของ Apple มีมูลค่ามาร์กอัป $ 1,000 ถัดจากคอมพิวเตอร์ Dell ที่เทียบเคียงได้ ใต้การแข่งขัน - อีกทางเลือกหนึ่งคือไปต่ำกว่าการแข่งขัน คุณวิเคราะห์ราคาขายส่งของคุณและ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณสามารถเจรจากับผู้ค้าส่งเหล่านี้เพื่อลดต้นทุนได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้พิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากคุณอาจต้องแข่งขันกับผู้ค้าปลีกราคาประหยัดรายใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามการกำหนดราคา ประเภทนี้ยังสามารถใช้ได้กับความคิดสร้างสรรค์เช่นใช้ Dollar Shave Clubด้วยกลยุทธ์การกำหนดราคา ทั้งหมดคุณยังต้องเริ่มต้นด้วยการไปที่ผู้ค้าส่งของคุณและทำความเข้าใจกับจำนวนเงินที่คุณสามารถทำ เครื่องหมายผลิตภัณฑ์ของคุณเพื่อให้คุ้มค่าในระยะยาว มักจะต้องทำการทดสอบพร้อมกับการวิจัยตลาด หลังจากนั้นคุณสามารถปรับราคาเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่าคุณสามารถทำกำไรได้เท่าไรสำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์ ข้อเสียของการซื้อขายส่งคืออะไร ข้อเสียเปรียบหลักของการซื้อจากผู้ค้าส่งคือคุณต้องซื้อในปริมาณมาก ด้วยเหตุนี้คุณต้องหาสถานที่ใน การจัดเก็บชุดใหญ่ของสินค้าคงคลัง นอกจากนี้คุณต้องใช้เงินในการบรรจุหีบห่อพนักงานเพิ่มขึ้นไปรษณีย์และ ทุกสิ่งที่เข้าสู่กระบวนการจัดเก็บและการจัดส่ง แม้ว่าคุณจะทำกำไรได้มากกว่า แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลาย อย่างที่มาพร้อมกับการจัดเก็บและจัดส่งผลิตภัณฑ์ของคุณเอง สุดท้ายมีความเสี่ยงในการซื้อขายส่ง แม้ว่าคุณจะสมมติว่าผู้ค้าส่งชอบผลิตภัณฑ์เหล่านี้และรู้ว่าพวก เขาขายดี แต่คุณถูกบังคับให้ซื้อสินค้าจำนวนมาก หากโดยบังเอิญคุณไม่สามารถขายสินค้าทั้งหมดที่คุณซื้อ บริษัท ของคุณจะติดอยู่กับค่าใช้จ่ายนั้น ข้อดีของการ drop shipping? Drop shipping เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่กว่าซึ่งมีประโยชน์เล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ ขนาดเล็ก ประการแรกการลงทุนครั้งแรกอาจใกล้เคียงกับอะไรเลย คุณมักจะสร้างเว็บไซต์และใช้เงินและเวลา ในการตั้งค่าการดำเนินการทั้งหมด แต่คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสำหรับสินค้าขายส่งจำนวนมาก


35 ข้อเสียสุดท้ายของ drop shipping เกี่ยวข้องกับอัตรากำไร เนื่องจากซัพพลายเออร์กำลังส่งสินค้าให้กับลูกค้าของคุณในdiviโดยปกติแล้ว คุณจะไม่เข้าใกล้ระยะขอบจากระยะไกลที่คุณต้องการด้วยการค้าส่ง โชคดีที่คุณประหยัดเงินได้โดยไม่ต้องจ่าย ค่าขนส่งและสถานที่จัดเก็บ อย่างไรก็ตามคุณจะพบว่าผลกำไรของคุณมักจะน้อยมากหรือคุณต้องขึ้นราคา เพื่อที่จะแข่งขันกับร้านค้าอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ที่มีสินค้าที่คล้ายคลึงกันได้ยาก ความแตกต่างระหว่างการค้าส่งและการเติมเต็มความพึงพอใจคืออะไร การเติมเต็มตนเองมักเป็นคำที่ คุณอาจสะดุดเมื่อสร้างร้านค้าออนไลน์ จริงๆแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายส่ง แต่เป็นสิ่งที่คุณจะทำในฐานะ ผู้ค้าหลังจากซื้อจากผู้ค้าส่ง ในความเป็นจริงมันค่อนข้างตรงกันข้ามกับ drop shipping (ตามที่พูดถึงในหัวข้อ ก่อนหน้านี้) ซึ่งคุณซื้อสินค้าคงคลังทั้งหมดของคุณจากผู้ค้าส่งจากนั้นทำงานเติมเต็มทั้งหมดด้วยเวลาเงินและ ทรัพยากรของคุณเอง 1.4.3 ลูกจ้าง ลูกจ้าง หมายความว่าผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง ไม่ว่าจะ เรียกชื่ออย่างไร คําว่า ผู้ซึ่ง หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้าง และหมายถึงบุคคลธรรมดามิใช่นิติ บุคคล ที่เข้ามาตกลงทํางานให้นายจ้าง และได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง โดยไม่คํานึงว่าผู้นั้นจะทําหน้าที่ใน ตําแหน่งใด และการตกลงนั้นจะเป็นการตกลงโดยตรงกับนายจ้างหรือตกลงโดยปริยายก็ได้ค่าตอบแทนในการ ทำงาน นายจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทํางานโดยจ่ายค่าจ้างให้และหมายความรวมถึง 1. ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางานแทนนายจ้าง 2. ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอํานาจการกระทําแทนนิติบุคคล ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลให้ทําการแทนด้วย จากบทบัญญัติข้างต้น อธิบายได้ว่า นายจ้าง หมายถึงบุคคล ดังนี้ 1. บุคคลธรรมดา ได้แก่บุคคลทั่วๆ ไป มีกิจการธุรกิจเป็นส่วนตัวของตนเอง และเป็นเจ้าของ กิจการนั้นๆ ได้ตกลงรับเอาบุคคลภายนอก คือ ลูกจ้างเข้ามาทํางานกับตนโดยจ่ายค่าจ้างให้บุคคลผู้ตกล รับ ลูกจ้างเข้ามาทํางานและจ่ายค่าจ้างให้ คือ นายจ้าง และให้หมายรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางาน แทนนายจ้าง สิทธิที่ลูกจ้างควรรู้ ค่าจ้าง จ่ายเป็นเงินเท่านั้น จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ถ้ากำหนดเวลา ทำงานปกติเกิน 8 ชม./วัน ให้จ่ายค่าตอบแทนแก่ลูกจ้าง ซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนสำหรับการทำงานที่ เกิน 8 ชม. ขึ้นไป ไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงหรือต่อหน่วยในวันทำงาน และในอัตราไม่น้อย กว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงหรือต่อหน่วยในวันหยุด ค่าจ้างในวันหยุด จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี และวันหยุดพักผ่อน ประจำปี ยกเว้นลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมง หรือตามผลงาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ ค่าจ้างในวันลา จ่ายค่าจ้างในวันลาป่วยไม่เกิน 30 วันทำงาน/ปี จ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อทำหมัน จ่ายค่าจ้างใน วันลาเพื่อรับราชการทหารไม่เกิน 60 วัน/ปี จ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตรไม่เกิน 45 วัน/ครรภ์


36 ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด 1. ถ้าทำงานเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่ง เท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวน ชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตรา ค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน 2. ถ้าทำงานในวันหยุดเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาใน วันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือตาม จำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย 3. ถ้าทำงานในวันหยุดในเวลาทำงานปกติ นายจ้างต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างที่ มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของค่าจ้าง ในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุด หรือตาม จำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย สำหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิ ได้รับ ค่าจ้างในวันหยุดต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุดหรือ ตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย ค่าชดเชย 1. ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด ดังนี้ 1.1 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับ ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน 1.2 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง อัตราสุดท้าย 90 วัน 1.3 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง อัตราสุดท้าย 180 วัน 1.4 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตรา ค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน 1.5 ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตรา สุดท้าย 300 วัน 2. ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิตการจำหน่าย หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่อง จักรหรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุ ให้ต้องลดจำนวนลูกจ้างลง นายจ้างต้องปฏิบัติดังนี้ 2.1 แจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และรายชื่อลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้าง ให้ลูกจ้าง และพนักงานตรวจแรงงาน ทราบล่วงหน้าไม่ น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง 2.2 ถ้าไม่แจ้งแก่ลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้า หรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลาหกสิบ วัน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างเท่ากับค่า จ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทำงานหกสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่า จ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็น หน่วย


37 ค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านี้ ให้ถือว่านายจ้างได้จ่ายค่าสินจ้างแทน การบอกกล่าวล่วงหน้า ตามกฎหมายด้วยนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติดังต่อไปนี้ 1. ลูกจ้าง ทำงานติดต่อกันครบหกปีขึ้นไป นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย พิเศษเพิ่มขึ้นจาก ค่าชดเชยปกติซึ่งลูกจ้างนั้นมีสิทธิได้รับอยู่แล้ว ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสิบห้าวันต่อการทำงานครบหนึ่ง ปี หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสิบห้าวันสุดท้ายต่อการทำงาน ครบหนึ่งปีสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย 2. ค่าชดเชยพิเศษนี้รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อย หกสิบวัน หรือไม่เกิน ค่าจ้างของการทำงานสามร้อยหกสิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย แต่รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยหกสิบวันนับเป็นการทำงานครบหนึ่งปี 3. ในกรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญต่อ การดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว 1. นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าให้แก่ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อน ย้าย ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อย กว่าอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามมาตรา 118 2. ถ้านายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้างทราบการย้ายสถานประกอบกิจการล่วงหน้า นายจ้าง ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษ แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน ข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย : ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้ 1. ลูกจ้างลาออกเอง 2. ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง 3. จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย 4. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง 5. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วย กฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้อง ตักเตือน ซึ่งหนังสือเตือนนั้นให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด 6. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่มีเหตุ อันสมควร 7. ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 8. กรณีการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และนายจ้างเลิกจ้าง ตามกำหนด ระยะเวลานั้น ได้แก่งานดังนี้ 8.1 การจ้างงานในโครงการ เฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือ การค้าของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน 8.2 งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว ที่มีกำหนดงานสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน


38 8.3 งานที่เป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้นซึ่งจะต้องแล้ว เสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี โดยนายจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง 1.5 การประเมินทางเลือกอาชีพ การวางแผนเพื่อเลือกอาชีพ การประกอบอาชีพตามที่ต้องการ และตรงกับความสนใจและความถนัด และสามารถปฏิบัติได้ตามที่ วางแผนไว้ จะสามารถทำให้ตัดสินใจหรือวางแผนในการประกอบอาชีพได้ถูกต้องเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ซึ่งการวางแผนเพื่อเลือกอาชีพควรมีปัจจัยต่างๆ พิจารณาประกอบดังนี้ ต้องรู้จักตนเอง 1.1 ความชอบหรือความสนใจของบุคคล ในการเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองควรนำเอาผลการ สำรวจด้านต่างๆ มาประกอบการพิจารณา เช่นมีบุคลิกภาพแบบใด ความสามารถด้านใด ชอบทำกิจกรรมอะไร ซึ่งจะช่วยให้พิจารณาตนเองได้ว่า ควรประกอบอาชีพอะไร ซึ่งหากเลือกอาชีพได้ตรงกับคุณสมบัติของตนเอง ก็จะทำให้ประกอบอาชีพนั้นได้อย่างมีความสุข และมีผลงานที่มีประสิทธิภาพ 1.2 ความถนัดของบุคคล การที่บุคคลจะวางแผนในอนาคตได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับตนเองได้นั้น บุคคล ต้องรู้จักความถนัดของตนเอง ทุกคนมีความถนัด แต่ละด้านแตกต่างกันไป เมื่อทำสิ่งใดได้ดีก็จะทำให้มี ความสุข และเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง การรู้จักจุดด้อยของตนเองจะช่วยให้พัฒนาได้ถูกต้อง และเรียนรู้ที่ จะปรับปรุงด้านที่ไม่ถนัด ความถนัดและความสนใจมักเป็นสิ่งที่คู่กันไปความถนัด อาจสังเกตได้จากการที่บุคคล ทำกิจกรรมใดหรือสิ่งใดแล้วทำได้ดีคล่องแคล่ว ทำแล้วประสบความสำเร็จ 1.3 สติปัญญาและความสามารถ การที่จะดูว่าสติปัญญาหรือความสามารถดีหรือไม่ดีนั้นอาจดูได้จาก ผลการเรียนที่ผ่านมา ได้ผลการเรียนเป็นอย่างไรถ้าได้ผลการเรียนในวิชานั้นสูงก็แสดงว่าระดับสติปัญญาหรือ ความสามารถในการเรียนวิชานั้นสูง แต่ถ้าผลการเรียนในวิชานั้นต่ำก็แสดงว่าสติปัญญาหรือความสามารถใน การเรียนวิชานั้นต่ำ ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเองมีความสามารถด้านใดก็จะช่วยทำให้ เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับ ตนเองมากที่สุด 1.4 ค่านิยม การที่บุคคลจะวางแผนอนาคตได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับตนเองได้นั้น ต้องรู้ค่านิยมใน งานที่ตนยึดไว้เป็นหลักค่านิยมในตนเองมีผลต่อการเลือกแนวทางต่างๆในชีวิต การสำรวจค่านิยมในงานอาชีพ จะช่วยชี้นำไปสู่อาชีพที่ตรงกับความต้องการของตนเอง มีโอกาสประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสูง แต่ก็ ควรจะนำคุณสมบัติด้านอื่นๆมาประกอบกับค่านิยมของตนเองด้วย เพื่อช่วยให้พิจารณาอาชีพที่ควรเลือกทำ เพื่อจะไปประกอบอาชีพในอนาคต 1.5 บุคลิกภาพ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลด้านต่างๆทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก เช่น รูปร่าง หน้าตา กิริยา มารยาท การแต่งกาย


39 ภายใน เช่น สติปัญญา ลักษณะอารมณ์ ลักษณะต่างๆของบุคลิกภาพ ไม่สามารถแยกเป็น ส่วนๆออกจากกันได้ บุคลิกภาพของบุคคลถูกหล่อหลอมด้วยพันธุกรรม การเรียนรู้ วิธีปรับตัวของบุคคลและ สิ่งแวดล้อม ต้องพิจารณาว่าอุปนิสัยใจคอของตนเองเป็นอย่างไร ควรได้รับการพัฒนาจนกลายเป็น ความสามารถและลักษณะเฉพาะตัว ทำให้เป็นคนมีคุณภาพ ลักษณะบางอย่างอาจนึกไม่ถึงเพราะเป็นจุดเล็กๆ แต่อาจเป็นจุดที่ดีและเด่นของตนเองก็ได้ การสำรวจตนเองจะทำให้เลือกแนวทางชีวิตได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม 1.6 รูปร่างและลักษณะของร่างกาย สถานศึกษาหลายแห่งกำหนดคุณสมบัติ รูปร่างและลักษณะของ ทางร่างกายไว้ด้วย เช่น สถานศึกษาด้านทหาร ตำรวจ พลศึกษา จะต้องเป็นคนที่มีสุขภาพดีคือมีรูปร่างสมบูรณ์ แข็งแรง (มีส่วนสูงสัมพันธ์กับน้ำหนัก) มีลักษณะสมชายและต้องไม่พิการทางสายตา 1.7 อายุสถานศึกษาหลายแห่ง กำหนดอายุของผู้ที่จะเข้าศึกษาไว้ ซึ่งต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ 1.8 เพศ บางสถานศึกษาได้กำหนดเพศเอาไว้ด้วย เพื่อความเหมาะสมและความคล่องตัวในการ ประกอบอาชีพ เช่น พยาบาล 1.9 สัญชาติและเชื้อชาติสถานศึกษาบางแห่งจะกำหนดว่า ผู้เข้าศึกษาต่อต้องมีสัญชาติและเชื้อชาติ ตามสถานศึกษานั้นกำหนด ทั้งนี้ต้องสงวนสิทธิ์ในการประกอบอาชีพบางอาชีพเพื่อคนไทย เช่น อาชีพทหาร หรือตำรวจ 1.10 เป้าหมายในอนาคต ควรตั้งเป็นเป้าหมายในอนาคตว่า ต้องการประกอบอาชีพใดที่สอดคล้องกับ อาชีพที่ตนเองสนใจ มีความถนัดและสอดคล้องกับบุคลิกภาพของตน ต้องรู้จักสิ่งแวดล้อม ต้องดูข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพว่า ลักษณะงาน คุณสมบัติที่ต้องมี โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ รายได้ สวัสดิการเป็นอย่างไร และอาชีพในอนาคตเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานหรือไม่ เปรียบเทียบข้อมูลของตนเองกับสิ่งแวดล้อม เมื่อรู้จักตนเองด้านต่างๆ รู้จักข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพแล้วให้นำข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเองเปรียบเทียบกับ ข้อมูลสิ่งแวดล้อม ว่าเหมาะสมที่จะเลือกศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม กับอัตภาพ ของตนโดยมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ องค์ประกอบก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ ก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพจำเป็นต้องมีการวางแผนระยะยาวที่ต้องใช้ระยะเวลานาน และใช้ความ พยายาม การจะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 2 ประการคือ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ข้อมูลอาชีพเป็นข้อมูลที่มีขอบข่ายกว้างขวางมากซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1. แนวโน้มของตลาดแรงงาน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการผู้ทำงานในด้านต่างๆใน ปัจจุบันและพยากรณ์ที่จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นหรือลดลงใน 2. ลักษณะงาน งานที่จะต้องทำเป็นประจำมีลักษณะอย่างไร ที่ทำงานจะต้องทำอะไรบ้าง เป็นงานที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินหรือก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย


40 3. สภาพแวดล้อมของงาน ได้แก่ สภาพแวดล้อมและบรรยากาศของงานเช่น ร้อน เย็น ชื้น แห้ง เปียก ฝุ่นละออง สกปรก เสียงดัง ในอาคารกลางแจ้ง ในโรงงานมีสารพิษ มีความขัดแย้ง 4. คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ อายุ ได้มีการกำหนดช่วงอายุในการทำงานและเกษียณ ไว้อย่างไร เพศ อาชีพนั้นๆโดยทั่วไปเป็นอาชีพสำหรับเพศหญิงหรือเพศชายหรือให้โอกาสแก่ทั้งหญิงทั้งชาย หรือให้โอกาสแก่เพศใดเพศหนึ่งมากกว่า 5. การเลือกประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพต้องมีวิธีการอย่างไร โดยการสมัครงานกับ นายจ้างด้วยตนเอง ต้องมีการสอบสัมภาษณ์ หรือต้องสอบข้อเขียนด้วย ถ้าเป็นการประกอบอาชีพอิสระต้องใช้ ทุนทรัพย์เพื่อดำเนินกิจการมากน้อยเพียงใด 6. รายได้ในการประกอบอาชีพนั้นควรพิจารณาว่าจะมีรายได้เป็น วัน สัปดาห์ เดือน ปี โดยเฉลี่ยแล้วเป็นเงินจำนวนเท่าใด 7. ความก้าวหน้า อาชีพนั้นจะมีความก้าวหน้าเพียงใด จะต้องมีการศึกษาอบรมเพิ่มเติม มีความสามารถหรือประสบการณ์อย่างไรจึงจะได้เลื่อนขั้นมากน้อยเพียงใด การประกอบอาชีพเดิมนำไปสู่ อาชีพใหม่หรือไม่ 8. การกระจายของผู้ประกอบอาชีพ มีผู้ประกอบอาชีพมากน้อยเพียงใด และกระจายอยู่ทั่ว ประเทศหรือมีอยู่เพียงบางจังหวัด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ประกอบอาชีพใดก็ได้หรือจะต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง โดยเฉพาะ 9. ข้อดีและข้อเสีย อาชีพแต่ละอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับความพอใจและความ ต้องการของผู้ประกอบอาชีพ ของแต่ละคน งานบางอย่างอาจมีการทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุด และเดินทางไปปฏิบัติในท้องที่อื่นๆ งานบางอาชีพมีความมั่นคงกว่างานอาชีพอื่น ปัจจัยภายใน โดยแบ่งออกเป็น 1. ปัจจัยส่วนบุคคล เช่นความสนใจ บุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด ทักษะความสัมฤทธิ์ผล ประสบการณ์ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ผล ความรับผิดชอบ ความอุตสาหะ ความตรงต่อเวลา ความอบอุ่น เพศ เชื้อ ชาติ ปัจจัยเกี่ยวกับโครงสร้างของ


41 ค่านิยม ปัญหาก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ ในการตัดสินใจเลือกอาชีพจำเป็นต้องวางแผนให้รอบคอบ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร และ ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลตอบแทนอย่างดีที่สุดในชีวิตของตนเอง อย่างไรก็ตามก่อน จะตัดสินใจเลือกอาชีพอาจจะมีปัญหาของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไปดังนี้ 1. ขาดความรู้ความเข้าใจในการประกอบอาชีพ ขาดทักษะและรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพ เช่น ลักษณะของงานอาชีพ กระบวนการทำงานในอาชีพนั้นๆ ความก้าวหน้าในอาชีพ และความต้องการของ ตลาดแรงงานสาขาอาชีพนั้น 2. ขาดความช่วยเหลือเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา แนะนำ แนะแนวอาชีพ แนะแนวการศึกษาต่อและ การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 3. ขาดความรู้ขีดความสามารถของตนเอง ผู้สมัครงานไม่สามารถประเมินสติปัญญาความถนัด ความ สนใจและความพร้อมในการเลือกประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับตนเองได้ 4. ขาดความรู้ด้านเศรษฐกิจ ผู้สมัครงานจะต้องมีความรู้เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลตั้งแต่การเลือก เรียนต่อหรือศึกษาเพิ่มเติมในสาขาวิชาที่ใช้เงินทุนจำนวนน้อย และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นที่ต้องการของ ตลาดแรงงานและการฝึกพัฒนาฝีมือตนเองเพิ่มเติม เพื่อคุณลักษณะเด่นในการสมัครงาน ข้อแนะนำก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพ ก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพใดควรพิจารณาอย่างรอบคอบซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้ ผู้ตัดสินใจเลือกอาชีพควรรู้จักตนเอง ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ความรู้ ความถนัด ความสามารถ ความสนใจ บุคลิกภาพ เจตคติเกี่ยวกับอาชีพ และฐานะการเงินของตนเอง ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าจ้าง สวัสดิการ ความก้าวหน้า และความ มั่นคงของงาน ความต้องการของตลาดแรงงาน ควรเลือกอาชีพที่ชอบหรือคิดว่าถนัดสำรวจตัวเอง ว่าสนใจอาชีพอะไร ชอบหรือถนัดด้านใด มีความสามารถอะไรบ้าง ที่สำคัญคือต้องการหรืออยากจะประกอบอาชีพอะไรจึงจะเหมาะสมกับตัวเองและ ครอบครัวกล่าวคือ พิจารณาลักษณะงานอาชีพและ พิจารณาตัวเองพร้อมทั้งบุคคลในครอบครัวประกอบกันไป ด้วย


42 ควรจะต้องพัฒนาความสามารถของตนเอง คือ ต้องศึกษารายละเอียดของอาชีพที่จะเลือกไปประกอบ ให้ความรู้ความเข้าใจยังมีน้อยมีไม่เพียงพอก็ต้องทำการศึกษา ฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติเพิ่มเติมจากบุคคลหรือ หน่วยงานต่างๆ ให้มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจ ในการเริ่มประกอบอาชีพที่ถูกต้อง เพื่อจะได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริงของผู้มีประสบการณ์มาก่อน จะได้เพิ่มโอกาสความสำเร็จสมหวังในการประกอบอาชีพนั้นๆ ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ทำเลที่ตั้งของอาชีพ สภาพแวดล้อมผู้ร่วมงาน พื้นฐาน ในการเริ่มทำธุรกิจเงินทุนโดยเฉพาะเงินทุน ต้องพิจารณาว่ามีเพียงพอหรือไม่ ไม่พอจะหาแหล่งเงินทุนจากที่ใด หลักเกณฑ์ในการเลือกอาชีพ เมื่อได้รายชื่อบริษัทที่ผู้สมัครสนใจจะไปสมัครงานจากแหล่งต่างๆเรียบร้อยแล้ว ควรจะมีการศึกษา หารายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทเหล่านั้นบ้าง เพื่อป้องกันความผิดพลาดการหารายละเอียดนี้ก็เพื่อดูความมั่นคง ของกิจการ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาต่อไปนี้ 1. หุ้นดำเนินการและกิจการทั่ว ไปผู้สมัครคงจะไม่ทราบฐานะทางการเงินของบริษัทยกเว้นธนาคาร บางแห่ง ที่มีการเปิดเผยผลกำไรขาดทุนและแสดงฐานะของกิจการในรายงานประจำปี แต่ผู้สมัครก็พอจะมีทาง ทราบฐานะของกิจการทั่วไป เช่น ด้านการตลาด การผลิต และการให้บริการ และสวัสดิการแก่พนักงาน บริษัท หลายแห่งที่มั่นคงจะมีตึกสำนักงานของตนเอง และมีการให้บริการแก่สังคมสูง เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป 2. ที่ตั้ง ผู้สมัครควรพิจารณาที่ตั้งของบริษัทที่ไปสมัครงานเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปกลับ จากที่ทำงานถ้าบริษัทอยู่ไกลจากที่พักมาก 3. รายได้ผู้สมัครจะต้องพิจารณาให้ดีอาจจะสอบถามคนที่ทำงานอยู่แล้วหรือสอบถามจากกรรมการ เมื่อสอบสัมภาษณ์ก็ได้ 4. บรรยากาศการทำงาน ผู้สมัครควรศึกษาบรรยากาศในการทำงานของบริษัทนั้นว่า มีการทำงานกัน อย่างมีความสุข เป็นระเบียบเรียบร้อย มีวินัยดีพอสมควรหรือไม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจให้ถูกต้องและเพื่อ ความสบายใจในการทำงาน 5. สภาพการทำงาน สภาพการทำงานเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สำคัญในการทำงานอย่างมีความสุขและมี ประสิทธิภาพ บ้างบริษัทที่ก้าวหน้าและทันสมัย จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการทำงานเกือบทุกอย่าง นับตั้งแต่ มีที่จอดรถของพนักงาน ลิฟต์ เครื่องปรับอากาศ โต๊ะ และม้านั่ง เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องเขียนและ อุปกรณ์โทรศัพท์หลายเลขหมาย เพื่อการติดต่อภายนอกได้สะดวก โต๊ะรับแขก บริการกาแฟและเครื่องดื่ม ห้องน้ำและห้องอาหาร 6. โอกาสก้าวหน้า ผู้สมัครควรพิจารณาดูว่าบริษัทนั้นให้โอกาสแก่พนักงานในการพัฒนาความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้มีความก้าวหน้าในตำแหน่งงานอาชีพ และเงินเดือน บางบริษัทจะสนับสนุน พนักงานในการเข้ารับการฝึกอบรม สัมมนาดูงาน และฝึกงานทั้งในและนอกประเทศ หรือให้พนักงานร่วม กิจกรรมของสังคมที่เป็นประโยชน์ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานมีโอกาสพัฒนาตนเอง 7. มีวัตถุประสงค์ตรงกับผู้สมัคร ปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ควรจะสอดคล้องกับปรัชญาใน การประกอบอาชีพผู้สมัครด้วย เช่น มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค หรือมีเป้าหมายแอบแฝง หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ


43 8. ลักษณะงาน มนุษย์ทุกคนมีความถนัดเฉพาะตัวแตกต่างกัน และความถนัดนี้ ก็น่าจะได้มีโอกาส นำมาใช้งานให้เหมาะสมและถูกต้อง ดังคำสุภาษิตที่ว่า จงบรรจุคนที่เหมาะสมที่สุดในงานที่เหมาะสมที่สุด หรือ put the right Man on the right Job ดังนั้นลักษณะงานจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความพอใจในงานด้วย เพื่อจะได้ทำงานด้วยความรักและมีประสิทธิภาพ การตัดสินใจเลือกอาชีพ การตัดสินใจเลือกอาชีพ คือ การนำข้อมูลหลายๆ ด้าน ที่เกี่ยวกับอาชีพที่จะเลือกมาพิจารณาอย่าง ละเอียดถี่ถ้วนรอบคอบ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เลือกประกอบการให้เหมาะสมกับสภาพ ขีดความสามารถ ของตนเองให้มากที่สุด มีปัญหาอุปสรรคน้อยที่สุด องค์ประกอบในการตัดสินใจเลือกอาชีพ การตัดสินใจเลือกอาชีพมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้ 1. ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ซึ่งจะพิจารณาข้อมูล 3 ด้านคือ 1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง คือข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพที่ตนเองมีอยู่ เช่น เงินทุน ที่ดิน อาคารสถานที่ แรงงาน เครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุอุปกรณ์ ความรู้ ทักษะต่างๆที่จะนำมาใช้ในการประกอบ อาชีพมีหรือไม่อย่างไร 1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและสังคม เช่น ผู้ที่จะมาใช้บริการ (ตลาด) ส่วนแบ่งของตลาดทำเล การคมนาคม ทรัพยากรที่จะเอื้อประโยชน์ในท้อง ถิ่นแหล่งความรู้ ตลอดจนผลที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชน 1.3 ข้อมูลทางวิชาการ ได้แก่ ความรู้ทางเทคนิคต่างๆ ที่จำเป็นต่ออาชีพนั้นๆ เช่น การตรวจซ่อมแก้ไข เทคนิคการให้บริการลูกค้า ทักษะงานอาชีพต่างๆ 2. ความถนัด โดยทั่วไปคนเราจะมีความถนัดในเชิงช่างแตกต่างกัน เช่น ความถนัดในการทำอาหาร ถนัดในการ ประดิษฐ์ ผู้ที่มีความถนัดจะช่วยให้การทำงานนั้นเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว คล่องแคล่ว รวมทั้งยังช่วยให้ มองเห็นแนวทางในการพัฒนาอาชีพนั้นๆ ที่รุดหน้าได้ดีกว่าคนที่ไม่มีความถนัด 3 เจตคติที่ดีต่องานอาชีพ เป็นความรู้สึกภายในของแต่ละคนที่มีต่องานอาชีพ ได้แก่ ความรัก ความศรัทธา ความภูมิใจ ความจริงใจ ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นแรงผลักดันให้คนเกิดความมานะอดทน มุ่งมั่นขยัน กล้าสู้ กล้าเสี่ยง ทำให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพได้ การที่จะตัดสินใจเลือกอาชีพผู้ประกอบการ ต้องนำเอาข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์โดยมีแนวทางในการพิจารณา คือ 3.1 วิเคราะห์สภาพที่เป็นอยู่ หมายถึง สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนั้นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆโดยต้องวิเคราะห์ตาม สภาพจริงที่เป็นอยู่ 3.2 วิเคราะห์ทางออก หมายถึง แนวทางในการดำเนินงานที่ผู้วิเคราะห์เห็นว่า ในกรณีที่สภาพที่ เป็นอยู่นั้นไม่เป็นไปตามความต้องการหรือตามที่กำหนด แต่อาจมีแนวทางดำเนินงานหรือทางออกอื่นๆ ที่จะทำ ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้หลายวิธี ซึ่งต้องตัดสินใจเลือกทางออกโดยวิธีที่เหมาะสมเป็นไปได้มากที่สุด 3.3 วิเคราะห์ความเป็นไปได้หมายถึง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพที่เป็นอยู่กับทางออก แนวทางที่จะดำเนินการนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้เกิดขึ้น หรือเป็นไปได้จริงหรือไม่ ตามทางออกที่คิดไว้ 3.4 ตัดสินใจเลือก เป็นการตัดสินใจเลือกอาชีพหลังจากที่มีการวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว


Click to View FlipBook Version