44 ขั้นตอนการตัดสินใจเลือกอาชีพ 1. กำหนดปัญหาหรืออุปสรรคให้ชัดเจนว่าเรากำลังตัดสินใจเลือกอะไร เช่น เรากำลังเลือกแผนการ เรียนอะไรหรือเลือกที่จะประกอบอาชีพ 2. สำรวจตัวเลือก ต้องรู้จักแผนที่จะเลือกหรืออาชีพที่จะเลือก 3. เปรียบเทียบแต่ละตัวเลือกว่า แตกต่างกันอย่างไร สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับ การตัดสินใจที่จะเลือกแผน หรืออาชีพทั้งหมด 4 แปลความข้อมูลต้องกำหนดน้ำหนักความสำคัญให้แต่ละตัวเลือก การตัดสินใจเลือกอาชีพมักเกิดขึ้น เมื่อมีอาชีพให้เราตัดสินใจเลือกมากกว่าหนึ่งอาชีพ มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับอาชีพที่จะเลือก 5. จัดการกับข้อมูล โดยการให้น้ำหนักความสำคัญแต่ละตัวเลือก ในแต่ละประเด็น เมื่อเราเข้าใจว่า ทำไมจึงเลือกตัวเลือกนี้ จะทำให้ตัวเลือกลดลงจนเหลืออาชีพที่เราสนใจเท่านั้น 6. เรียงลำดับประโยชน์ของตัวเลือก จากมากไปหาน้อย จะช่วยให้เห็นความสำคัญของตัวเลือกแต่ละ ตัวมากขึ้น 7. ตัดสินใจการตัดสินใจเลือกอาชีพ จะต้องไม่กังวลว่าตัวเลือกที่เหลือจะเหมาะสมกับตนเองหรือไม่ เมื่อพิจารณาตัวเลือกหลายปัจจัยอย่างรอบคอบ ต้องตระหนักว่าตนเองทำดีที่สุดแล้วแม้ว่าการตัดสินใจเลือก จะมีความเสี่ยง เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ปัญหาคือต้องพยายามเลือกอาชีพที่เหมาะสมและเป็น ประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์และความรู้สึก ต้องพิจารณาความสนใจ บุคลิกภาพ ค่านิยม และความต้องการที่แท้จริงของตนเอง การประเมินความพร้อมและความเป็นไปได้ ของอาชีพที่ตัดสินใจเลือก การเตรียมความพร้อมและความ เป็นไปได้ของการประกอบอาชีพ เงินทุน การประกอบอาชีพต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นจำนวนเท่าใด ถ้าเปิดเป็นร้านค้าต้องสำรวจตนเองก่อน ว่ามีเงินทุนเพียงพอหรือไม่ และจะสามารถหาเงินทุนจากแหล่งใดได้บ้าง แรงงาน ต้องพิจารณาว่าการประกอบอาชีพจำเป็นต้องจ้างแรงงานคนอื่นเข้ามาช่วยหรือไม่ และ สามารถหาได้จากที่ไหน วัสดุอุปกรณ์ต้องพิจารณาถึงความจำเป็นว่าต้องใช้ เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์อะไรบ้าง จำนวนเท่าใด ในการประกอบอาชีพ ทำเลที่ตั้ง สำรวจตนเองมีสถานที่หรือไม่ ถ้าไม่มีจำเป็นต้องเช่าหรือซื้อ จะมีทุนเพียงพอหรือไม่ คุ้มกับ การลงทุนเพียงใด วัตถุดิบ จะหาซื้อวัตถุดิบได้จากแหล่งใดได้บ้าง คุณสมบัติที่จำเป็นในอาชีพ ผู้ประกอบอาชีพใดก็ตามต้องเป็นผู้ที่มีใจรักในอาชีพนั้น และมีความอดทนมุ่งมั่น ในการประกอบอาชีพให้ประสบผลสำเร็จ สุขภาพ สำรวจว่าตนเองมีสุขภาพแข็งแรงเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพที่ตนได้เลือกไว้หรือไม่
45 ความถนัดและความมีใจรักในอาชีพ ต้องพิจารณาว่าอาชีพที่ตนเองได้เลือกแล้วมีความเหมาะสมกับ คุณสมบัติของตนเองหรือไม่ มีความถนัดที่จะทำหรือมีใจรักที่จะทำเพียงพอที่จะเผชิญปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในอาชีพหรือไม่ ส่วนแบ่งตลาด ต้องสำรวจว่าอาชีพที่ตนได้เลือกแล้วนั้นมีโอกาสก้าวหน้าได้หรือไม่ จะใช้กลยุทธ์ทาง การตลาดให้ประชาชนสนใจสินค้าตนเองได้อย่างไร การขยายกิจการ พิจารณาว่าในอนาคตสามารถขยายกิจการได้หรือไม่จะมีปัญหาหรืออุปสรรค อะไรบ้าง ความมั่นคงในอาชีพ พิจารณาว่าอาชีพนี้มีความมั่นคงเพียงใดเมื่อลงทุนแล้วจะคุ้มทุนหรือไม่ เมื่อมีการ วิเคราะห์ความพร้อมของตนเองในการประกอบอาชีพแล้ว ก็สามารถตอบได้ว่ามีความพร้อมแล้ว และมีความ พอใจกับการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการประกอบอาชีพ ก็แสดงว่ามีความมั่นใจที่จะประกอบอาชีพนี้ต่อไป จากนั้นจึงมีการวางแผนงานในการประกอบอาชีพนั้นๆ ต่อไป เมื่อตัดสินใจว่าจะประกอบอาชีพใดแล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าอาชีพที่เลือกนั้น จะ สามารถดำเนินการได้ตลอดไป จึงมีความจำเป็นต้องมีการประเมิน โดยวิเคราะห์ความพร้อม และความเป็นไป ได้ของอาชีพที่ตัดสินใจเลือก ดังนี้ 2. ทักษะการประกอบอาชีพหลักสูตรการทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) 2.1 ขั้นตอนการเตรียมการก่อนการประกอบอาชีพ 2.1.1 การเตรียมสถานที่ การจัดเตรียมสถานที่ จะต้องมีโตะ เกาอี้ ใหเพียงพอต่อการดำเนินกิจกรรม ในการจัดการศึกษาต่อเนื่อง วิชา การทำ Marbling Art เพื่อการค้า สถานที่โปร่ง โล่ง สบาย และมีแสงสว่าง เพียงพอ 2.1.2 การเตรียมอุปกรณ์การทำ Marbling Art เพื่อการค้า (รองเท้า,หมวกปีก) การจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณใหพรอม และเพียงพอกับจํานวนผูเขารับการฝก พรอมเอกสารคู่มือแสดงขั้นตอนประกอบการสาธิต เพื่อให้ผูที่ทดลองปฏิบัติเขาใจในวิธีการทําใหชัดเจนยิ่งขึ้น
46 วัสดุอุปกรณ์ในการทำ Marbling Art 1. ผงเมทิลเซลลูโลส 2. สีอะคริลิค 3. น้ำสะอาด 4. สารละลาย (น้ำยาล้างจาน) 5. Textile Meduim (ใช้เฉพาะงานผ้าเท่านั้น) 6. พู่กัน เข็มวาดลาย 7. หลอดหยด (Dropper) 8. หวีวาดลาย 9. ถาดอะลูมิเนียม ใช้ในการบรรจุน้ำเจล 10. กระบอกตวงน้ำขนาด 5 ลิตร ใช้ในการตวงน้ำเตรียมน้ำเจล 11. กะละมังอะลูมิเนียม ใช้ในการบรรจุน้ำเจล 2.2 ขั้นตอนการทำ Marbling Art เพื่อการค้า รองเท้า,หมวกปีก) 2.2.1 เรามารู้จัก Marbling Art ประวัติการทำ Marbling Art ลวดลาย Marbling Art งานศิลปะที่เกิดจาก การหยด สะบัดสี วาดลวดลาย ลงบนพื้นผิวน้ำเจล โดยวาดลายตาม จินตนาการของผู้สร้างสรรค์ ให้มีลักษณะคล้ายชั้นของหินอ่อน หรือเป็นลวดลายอื่นๆ ตามแต่เทคนิคเฉพาะตัว แล้วพิมพ์ภาพลงบนวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษ หมอน ผ้า กระเป๋า หมวก ร่มกระดาษ พัด ไม้ เซรามิก รองเท้า เป็นต้น ซึ่งเกิดเป็นลวดลายของผลิตภัณฑ์หนึ่งเดี่ยวในโลก ผลงานเด่นก็คือยังได้เป็นตัวแทนในการจัดแสดง สินค้า Marbling a Art ตามโครงการผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนสำนักงาน กศน. ต่อนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ by ครูพี่โอ๊ะ ตะลุยโคกหนองนา เมืองบางพระ ชลบุรี อีกด้วย 2.2.2 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำน้ำเจลในการทำ Marbling art ผงเมทิลเซลลูโลส คือ สารสกัดจากสาหร่ายทะเล นิยมใช้เพื่อให้เกิดเจล ในผลิตภัณฑ์อาหาร ทำให้อาหารมีความข้นหนืด โดยคาราจีแนนมีคุณสมบัติที่คล้ายเจลาติน แต่ไม่เหนียวและยืดหยุ่นตลอดจนคารา จีแนนจัดเป็นใยอาหารชนิดหนึ่ง มีองค์ประกอบทางเคมีเป็นพวกโพลีแซคคาไรด์ (คาร์โบไฮเดรต)
47 2.2.3 วิธีการผสมน้ำเจลการทำ Marbling Art วิธีการผสมน้ำเจลการทำ Marbling Art การเตรียมน้ำเจล ชั่งผงเจล 4 กรัมในปริมาตรน้ำ 1.5 ลิตร โดยเทผงเจลให้กระจายบนผิวน้ำอย่างช้า ๆ ผงเจลจะเข้ากับน้ำได้ค่อนข้างยาก ให้ตีไปประมาน 5 นาที แล้วพักให้ผงเจลดูดน้ำ หนังสือพิมพ์ปิดหน้าผิว น้ำไว้เพื่อกันฝุ่นละอองและแมลง ทิ้งไว้อย่างต่ำ 6 ชั่วโมง หรือพักน้ำทิ้งไว้24 ชั่วโมง แล้วนำมาใช้งานได้ 2.2.4 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสีที่นำมาใช้ สีที่ใช้สร้างลวดลาย คือ สีอะคริลิกที่มีผสมด้วยสารเติมแต่งและสารตัวกลาง สีอะคริลิก เป็น สีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติกพอลิเมอร์ (Polymer) จำพวก อะคริลิก (Acrylic) หรือ ไวนิล (Vinyl) เป็นสีที่มี การผลิตขึ้นมาใหม่ล่าสุด เวลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำ ใช้งานได้เหมือนกับสีน้ำ และสีน้ำมัน มีทั้งแบบโปร่งแสง และทึบแสง แต่จะแห้งเร็วกว่าสีน้ำมัน 1 - 6 ชั่วโมง เมื่อแห้งแล้วจะมีคุณสมบัติกันน้ำได้และเป็นสีที่ติดแน่น ทนนาน ยึดเกาะติดผิวหน้าวัตถุได้ดี หลักการใช้สีคือ การใช้สีกับงานออกมานั้น อยู่ที่นักออกแบบมีจุดมุ่งหมายใด ที่จะสร้างความสนใจ ความเร้าใจต่อผู้ดูเพื่อให้เข้าถึงจุดหมายที่ตนต้องการ หลักของการใช้มีดังนี้ 1. การใช้สีวรรณะเดียว ความหมายของสีวรรณะเดียว (tone) คือกลุ่มสีที่แบ่งออกเป็นวงล้อ ของสีเป็น 2 วรรณะ คือ วรรณะร้อน (warm tone) ซึ่งประกอบด้วย สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง สีเหล่านี้ให้ อิทธิพลต่อความรู้สึก ตื่นเต้น เร้าใจ กระฉับกระเฉง ถือว่าเป็นวรรณะร้อน วรรณะเย็น (cool tone) ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีเหล่านี้ดูเย็นตา ให้ความรู้สึก สงบ สดชื่น (สีเหลืองกับสีม่วงอยู่ ได้ทั้งสองวรรณะ) การใช้สีแต่ละครั้งควรใช้สีวรรณะเดียวในภาพทั้งหมด เพราะจะทำให้ภาพความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน (เอกภาพ) กลมกลืน มีแรงจูงใจให้คล้อยตามได้มาก
48 2. การใช้สีต่างวรรณะ หลักการทั่วไป ใช้อัตราส่วน 80% ต่อ 20% ของวรรณะสี คือ ถ้าใช้สี วรรณะร้อน 80% สีวรรณะเย็นก็ 20% เป็นต้น ซึ่งการใช้แบบนี้สร้างจุดสนใจของผู้ดู ไม่ควรใช้อัตราส่วนที่ เท่ากันเพราะจะทำให้ไม่มีสีใดเด่น ไม่น่าสนใจ 3. การใช้สีตรงกันข้าม สี ตรงข้ามจะทำให้ความรู้สึกที่ตัดกันรุนแรง สร้างความเด่น และเร้าใจ ได้มากแต่หากใช้ไม่ถูกหลัก หรือ ไม่เหมาะสม หรือใช้จำนวนสีมากสีจนเกินไป ก็จะทำให้ความรู้สึกพร่ามัว ลาย ตาขัดแย้ง ควรใช้สีตรงข้าม ในอัตราส่วน 80% ต่อ 20% หรือหากมีพื้นที่เท่ากันที่จำเป็นต้องใช้ ควรนำสีขาว หรือสีดำ เข้ามาเสริม เพื่อ ตัดเส้นให้แยกออก จาก กันหรืออีกวิธีหนึ่งคือการลดความสดของสีตรงข้ามให้หม่น ลงไปสีตรงข้ามมี 6 คู่ได้แก่สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว สีน้ำเงิน ตรงข้ามกับ สีส้ม สี เขียวเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วงแดง สีส้มเหลืองตรงข้ามกับ สีม่วงน้ำเงิน สีส้มแดง ตรงข้ามกับ สีเขียวน้ำเงิน 4. การใช้สีตัดกัน ควรคำนึงถึงความเป็นเอกภาพด้วย วิธีการใช้มีหลายวิธี เช่น ใช้สีให้มี ปริมาณต่างกัน เช่น ใช้สีแดง 20 % สีเขียว 80% หรือ ใช้เนื้อสีผสมในกันและกัน หรือใช้สีหนึ่งสีใดผสมกับสีคู่ที่ ตัดกันด้วยปริมาณเล็กน้อยรวมทั้งการเอาสีที่ตัดกันมาทำให้เป็นลวดลายเล็ก ๆ สลับกัน ในผลงานชิ้นหนึ่ง อาจจะใช้สีให้กลมกลืนกันหรือตัดกันเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจจะใช้พร้อมกันทั้ง 2 อย่าง ทั้งนี้แล้วแต่ ความต้องการและความคิดสร้างสรรค์ของเรา ไม่มีหลักการ หรือรูปแบบที่ตายตัว ในงานออกแบบ หรือการจัด ภาพ หากเรารู้จักใช้สีให้มีสภาพโดยรวมเป็นวรรณะร้อน หรือวรรณะเย็น เราจะสามารถควบคุม และสร้างสรรค์ ภาพให้เกิดความประสานกลมกลืน งดงามได้ง่ายขึ้น เพราะสีมีอิทธิพลต่อมวล ปริมาตร และช่องว่างสีตัดกันคือ สีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงจรสี การใช้สีให้ตัดกันมีความจำเป็นมาก ในงานออกแบบ เพราะช่วยให้เกิดความ น่าสนใจ ในทันทีที่พบเห็น สีตัดกันอย่างแท้จริงมี อยู่ด้วยกัน 6 คู่สี คือ สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง สีส้ม ตรง ข้ามกับ สีนํ้าเงิน สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว สีเหลืองส้ม ตรงขามกับ สีม่วงนํ้าเงิน สีส้มแดง ตรงข้ามกับ นํ้าเงิน เขียว สีม่วงแดง ตรงข้ามกับ สีเหลืองเขียวการใช้สีตัดกัน ควรคำนึงถึงความเป็นเอกภาพด้วย วิธีการใช้มีหลาย วิธี เช่น ใช้สีให้มีปริมาณต่างกันเช่น ใช้สีแดง 20 % สีเขียว 80% หรือ ใช้เนื้อสีผสมในกันและกัน หรือใช้สีหนึ่ง สีใดผสมกับสีคู่ที่ตัดกัน ด้วยปริมาณเล็กน้อย รวมทั้งการเอาสีที่ตัดกันมาทำให้เป็นลวดลายเล็ก ๆ สลับกันใน ผลงานชิ้นหนึ่ง อาจจะใช้สีให้กลมกลืนกันหรือตัดกันเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจจะใช้พร้อมกันทั้ง 2 อย่าง ทั้งนี้แล้วแต่ความต้องการและความคิดสร้างสรรค์ของเรา ไม่มีหลักการ หรือรูปแบบที่ตายตัว 5. การใช้สีกลมกลืนกันการใช้สีให้กลมกลืนกัน เป็นการใช้สีหรือนํ้าหนักของสีให้ใกล้เคียงกัน หรือคล้ายคลึงกัน เช่น การใช้สีแบบเอกรงค์ เป็นการใช้สีๆ เดียวที่มีนํ้าหนักอ่อนแก่หลายลำดับการใช้สี ข้างเคียง เป็นการใช้สีที่เคียงกัน 2 – 3 สี ในวงสี เช่น สีแดง สีส้มแดง และสีม่วงแดงการใช้สีใกล้เคียง เป็นการ ใช้สีที่อยู่เรียงกันในวงสีไม่เกิน 5 สีตลอดจนการใช้สีวรรณะร้อนและวรรณะเย็น ( Warm tone colors and cool tone colors) ในงานออกแบบหากเรารู้จักใช้สีให้มีสภาพโดยรวมเป็นวรรณะร้อน หรือวรรณะเย็น เราจะ สามารถควบคุม และสร้างสรรค์ภาพให้เกิดความประสานกลมกลืน งดงามได้ง่ายขึ้น เพราะสีมีอิทธิพลต่อ มวล ปริมาตรและช่องว่าง สีมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความกลมกลืน หรือขัดแย้งได้ สีสามารถขับเน้นให้ให้เกิด จุดเด่น และการรวมกันให้เกิดเป็นหน่วยเดียวกันได้ เราในฐานะผู้ใช้สีต้องนำหลักการต่าง ๆ ของสีไปประยุกต์ใช้ให้ สอดคล้องสีมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความกลมกลืน หรือขัดแย้งได้ สีสามารถขับเน้นให้ให้เกิดจุดเด่น และการ
49 รวมกันให้เกิดเป็นหน่วยเดียวกันได้ เราในฐานะผู้ใช้สีต้องนำหลักการต่าง ๆ ของสีไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้อง กับเป้าหมายในงานของเรา โดยสีมีผลต่องานดังนี้ 5.1 สร้างความรู้สึก สีให้ความรู้สึกต่อผู้พบเห็นแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ และภูมิหลังของแต่ละคน สีบางสีสามารถรักษาบำบัดโรคจิตบางชนิดได้ การใช้สีภายใน หรือ ภายนอกอาคาร จะมีผลต่อการ สัมผัส และสร้างบรรยากาศได้ 5.2 สร้างความน่าสนใจ สีมีอิทธิพลต่องานศิลปะการออกแบบ จะช่วยสร้างความ ประทับใจ และความน่าสนใจเป็นอันดับแรกที่พบเห็น 5.3 สีบอกสัญลักษณ์ของวัตถุ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ หรือภูมิหลัง เช่น สีแดง สัญลักษณ์ของไฟ หรืออันตราย สีเขียวสัญลักษณ์แทนพืช หรือความปลอดภัย เป็นต้น 6. สีช่วยให้เกิดการรับรู้ และจดจำ งานศิลปะการออกแบบต้องการให้ผู้พบเห็นเกิดการจดจำ ในรูปแบบ และผลงานหรือเกิดความประทับใจ การใช้สีจะต้องสะดุดตา และมีเอกภาพแม่สี ในวิถีชีวิตของเรา ทุกคนรู้จัก เคยเห็น เคยใช้สี และสามารถบอกได้ว่าสิ่งใดเป็น สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สีขาว และสี อื่น ๆ แต่เป็นเพียงรู้จัก และเรียกชื่อสีได้ถูกต้องเท่านั้น จะมีพวกเรากี่คนที่จะรู้จักสีได้ลึกซึ้ง เพราะ เรายังขาด สื่อการเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นั่นเอง ปัจจุบันนี้ เรายังมองข้ามหลักวิชา ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ประจำวันของ เราอยู่ ถ้าเรารู้จักหลักการเบื้องต้นของสี จะทำให้เราสามารถเขียน ระบายหรือ เลือกประยุกต์ใช้สี เพื่อสร้าง ความสุขในการดำเนินวิถีชีวิตของเราได้ดีขึ้น นักวิชาการสาขาต่าง ๆ ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องสี จนเกิดเป็นทฤษฎีสี ตามหลักการของนักวิชาการสาขานั้น ๆ ดังนี้ 6.1 แม่สีของนักฟิสิกส์(แม่สีของแสง) (Spectrum primaries) คือสีที่เกิดจากการ ผสมกันของคลื่นแสงมีแม่สี 3 สี คือ สีแดง (Red) สีเขียว (Green) สีนํ้าเงิน (Blue) เมื่อนำแม่สีของแสงมาผสม กันจะเกิดเป็นสีต่างๆ ดังนี้สีม่วงแดง (Magenta) เกิดจากสีแดง (Red) ผสมกับสีนํ้าเงิน (Blue) สีฟ้า (Cyan) เกิดจากสีเขียว(Green) ผสมกับสีนํ้าเงิน (Blue) สีเหลือง (Yellow) เกิดจากสีเขียว (Green) ผสมกับสี แดง (Red) และเมื่อนำ แม่สีทั้ง 3 มาผสมกัน จะได้สีขาว 6.2 แม่สีของนักจิตวิทยา (Psychology primaries) คือสีที่มีผลต่อความรู้สึกของ มนุษย์ ในด้านจิตใจซึ่งจะกล่าวในเรื่อง “ความรู้สึกของสี” นักจิตวิทยาแบ่งแม่สี เป็น 4 สี คือ สีแดง (Red) สี เหลือง (Yellow) สีเขียว (Green) สีนํ้าเงิน (Blue) เมื่อนำแม่สี 2 สีที่อยู่ใกล้กันในวงจรสี มาผสมกันจะเกิดเป็น สีอีก 4 สี ดังนี้สีส้ม(Orange) เกิดจากสี แดง (Red) ผสมกับสีเหลือง (Yellow) สีเขียวเหลือง (yellow-green) เกิดจากสี เหลือง(Yellow) ผสมกับสีเขียว (Green) สีเขียวนํ้าเงิน (Blue green) เกิดจากสี เขียว (Green) ผสม กับสีนํ้าเงิน(Blue) สีม่วง (Purple) เกิดจากสี แดง (Red) ผสมกับสีนํ้าเงิน (Blue) ความรู้สึกของสี สีต่าง ๆ ที่ เราสัมผัสด้วยสายตา จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นภายในต่อเรา ทันทีที่เรามองเห็นสีไม่ว่าจะเป็น การแต่งกาย บ้านที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ต่าง ๆ แล้วเราจะ ทำอย่างไร จึงจะใช้สีได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับหลัก จิตวิทยา เราจะต้องเข้าใจว่าสีใดให้ความรู้สึก ต่อมนุษย์อย่างไร ซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับสี สามารถจำแนกออกได้ ดังนี้
50 สี ความหมาย สีแดง ร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสำคัญ อันตราย สีแดงเข้ม จะทำให้เกิดความสมบูรณ์ สีส้ม ร้อน อบอุ่น สดใส มีชีวิตชีวา วัยรุ่น คึกคะนอง ปลดปล่อย เปรี้ยว ระวัง สีเหลือง แจ่มใส ร่าเริง เบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ สุกสว่าง การแผ่กระจาย อำนาจบารมี สีเขียว งอกงาม สดชื่น สงบ เงียบ ร่มรื่น การพักผ่อน การผ่อนคลาย ธรรมชาติ ความปลอดภัยปกติ ความสุข ความสุขุม เยือกเย็น สีเขียวแก่ ให้ความรู้สึกเศร้าใจแก่ชรา สีน้ำเงิน สงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบถ่อมตน สีฟ้า ปลอดโปร่ง โล่ง กว้าง เบา โปร่งใส สะอาด ปลอดภัย ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็น อิสระเสรี ภาพ การช่วยเหลือ แบ่งปัน สีคราม สงบ สีม่วง มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลับ ซ่อนเร้น มีอำนาจ มีพลังแฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผิดหวัง ความสงบ ความสูงศักดิ์ สีน้ำตาล เก่า หนัก สงบเงียบ สีขาว บริสุทธิ์ สะอาด ใหม่ สดใส สีดำ หนัก หดหู่ เศร้าใจ ทึบตัน สีชมพู อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วัยรุ่น หนุ่มสาว ความน่ารัก ความสดใส สีไพล กระชุ่มกระชวย ความเป็นหนุ่มสาว สีเทา เศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพ สุขุมถ่อมตน สีทอง หรูหรา โอ่อ่า มีราคา สูงค่า สิ่งสำคัญ ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย จากความรู้สึกดังกล่าว เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ในทุกเรื่อง และเมื่อต้องการ สร้างผลงาน ที่เกี่ยวกับการใช้สี เพื่อที่จะได้ผลงานที่ตรงตามความต้องการในการสื่อความหมาย และจะช่วยลด ปัญหาในการตัดสินใจที่จะเลือกใช้สีต่าง ๆ ดังนี้ 1. ใช้ในการแสดงเวลาของบรรยากาศในภาพเขียน เพราะสีบรรยากาศในภาพเขียนนั้น ๆ จะแสดงให้ รู้ว่า เป็นภาพตอนเช้า ตอนกลางวัน หรือตอนบ่าย 2. ใช้ในด้านการค้า คือ ทำให้สินค้าสวยงาม น่าซื้อหา นอกจากนี้ยังใช้กับงานโฆษณา เช่น โปสเตอร์ ต่าง ๆ ช่วยให้จำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น 3. ใช้ในด้านเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ถ้าทาสีสถานที่ทำงานให้ถูก หลักจิตวิทยา จะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้น่าทำงาน คนงานจะทำงานมากขึ้น มีประสิทธิภาพใน การทำงานสูงขึ้น
51 4. ใช้ในด้านการตกแต่ง สีของห้อง และสีของเฟอร์นิเจอร์ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสว่างของห้อง รวมทั้งความสุขในการใช้ห้อง ถ้าเป็นโรงเรียนเด็กจะเรียนได้ผลดีขึ้น ถ้าเป็นโรงพยาบาลคนไข้จะหายเร็วขึ้น สีกับการออกแบบ ผู้สร้างสรรค์งานออกแบบจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สีโดยตรง มัณฑนากรจะคิดค้นขึ้น เพื่อใช้ในงานตกแต่ง คนออกแบบฉากเวทีการแสดงจะคิดค้นสีเกี่ยวกับแสง จิตรกรก็จะคิดค้นสีขึ้นมาระบายให้ เหมาะสมกับ ความคิด และจินตนาการของตน 2.2.5 เทคนิคการทำ Marbling Art เทคนิคการหยดสี การสะบัดสี การวาดลวดลายลงบนผิวน้ำ (เจล) และพิมพ์ภาพลงบนกระดาษ ผ้า ผ้าไม้ แผ่นหนัง และอื่น ๆ ให้เกิดลวดลายลงบนผลิตภัณฑ์มีดังนี้ 1. การหยดสี การออกแบบลวดลายด้วยการหยด จะทำได้ลวดลายตามต้องการ 2. การสะบัดสี การออกแบบลวดลายด้วยการสะบัด จะได้ลวดลายที่ไม่แน่นอน 3. การวาดลวดลาย ใช้เข็มวาดลวดลาย จะได้ลวดลายตามที่ต้องการ 4. การใช้หวีสร้างลวดลาย ลากหวีลงบนลวดลาย จะได้ลวดลายตามที่ต้องการ
52 ขั้นตอนการฝึกทักษะ Marbling art เพื่อการค้า 1. ใส่น้ำเจลลงในภาชนะที่มีขนาดพอเหมาะกับชิ้นงาน 2. สร้างลวดลายลงบนน้ำเจล โดยใช้ดรอปเปอร์ใช้เข็มวาดลาย หรือหวีวาดลาย วาดให้เกิดเป็น ลวดลายตามความต้องการ 3. ค่อยๆ จุ่มพัด หรือ รองเท้าหรือ หมวกปีกลงไปน้ำเจล เริ่มจากมุมใดมุมหนี่งเพื่อไม่ให้เกิด ฟองอากาศบนผ้าและผลิตภัณฑ์
53 4. แล้วรองเท้า หรือ หมวกปีก ไปตากในที่ร่มให้แห้งเป็นเวลา 48 ชั่วโมง 5. การทำความสะอาดหลังลายแห้งแล้ว โดยทำการซักกับน้ำสะอาดและตากให้แห้งอีกครั้ง
54 สื่อการสอน https://www.youtube.com/watch?v=L4wWZFKlRek 3. ช่องทางการขยายอาชีพ 3.1 เทคนิคการถ่ายภาพ ภาพถ่าย อาจแยกประเภทใหญ่ ๆ ได้หลายประเภท แต่ละประเภทผู้ถ่ายสามารถนำมาสื่อสารให้ผู้ดูได้ ทราบถึงบรรยากาศ อารมณ์ต่าง ๆ รวมถึงนำภาพถ่ายเหล่านี้ไปสนับสนุนเนื้อหาที่เป็น ตัวหนังสือ ข้อความต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่การที่จะผลิตภาพเพื่อสื่อ ได้อารมณ์จริง ๆ ต้องใช้เทคนิค ความพยายาม ความอดทนของผู้ ถ่าย เป็นอย่างสูง ช่างภาพจำเป็นต้องรู้เทคนิคในการถ่ายภาพประเภทต่าง ๆ และฝึกถ่ายภาพประเภทต่าง ๆ และสนใจภาพถ่ายทั่ว ๆ ไป เพื่อเป็นการสะสมประสบการณ์ในการถ่ายภาพ เพื่อสร้างทักษะและการตัดสินใจ สร้างสรรค์งานออกมาอย่างมีคุณภาพ 1.1 เทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์(Land and Sea Scape) ทิวทัศน์โดยรอบตัวเราจะมีให้ได้พบเห็น โดยตลอดการเดินทางหรือการท่องเที่ยว จะเห็นทิวทัศน์ ที่สวยงาม แปลกตา ทุ่งนา ภูเขา ทะเล ทุ่งหญ้า หรือแม้แต่เราขึ้นไปบนตึกสูง ๆ ในกรุงเทพ ก็จะพบภาพ ทิวทัศน์ของตึกสูง ต่ำสลับกับถนนลอยฟ้าที่เป็นเส้นโค้ง ช่วยประกอบให้ดูภาพสวยงามขึ้น นักถ่ายภาพสมัคร เช่นนิยมถ่ายภาพประเภทนี้มาก เพราะสามารถถ่ายภาพได้ง่ายสะดวก ถ่ายได้ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาสผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ป่าเขาลำเนาไพรน้ำตก หรือท้องทะเลก็ตาม อย่างน้อยผู้ถ่ายภาพก็สามารถก็บภาพไว้เป็นที่ ระลึกถึงความหลัง และมักใช้ ทิวทัศน์เหล่านี้เป็นฉากหลังในการถ่ายภาพของบุคคล ภาพทิวทัศน์ทางธรรมชาติ ก็ควรมีธรรมชาติประกอบที่สวยงาม เช่น แสงแดดสีทอง เมฆสีขาว ที่มีรูปร่างแปลก ๆ ปุยหมอก รุงกินน้ำ สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติจะช่วยเสริมภาพให้ดีขึ้น การถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม อย่าลืมว่าเรามองทิวทัศน์ที่ สวยงามโดยรวมดังนั้นภาพต้องคมชัดทั้งภาพ โดยการใช้หน้ากล้องแคบ ถ่ายในขณะที่มีท้องฟ้าแจ่มใสแดดไม่ แรงจนเกินไปนัก และควบคุมให้ได้ร้ายละเอียดชัดเจน การบันทึกความสวยงามของถูกษณะภูมิประเทศตาม ธรรมชาติดังกล่าว จะมีคุณค่าและความสวยงามนั้น ควรต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบที่ช่วยสร้างเรื่องราวให้ เกิดขึ้นพยายามเลือกมุมกล้องที่แปลกตา คอยจังหวะให้มีลักษณะ แสงสีที่สวยงาม สามารถสร้างบรรยากาศให้ ผู้ดูเกิดอารมณ์คล้อยตาม เช่น ภาพที่มีหมอกในฤดูหนาว ควัน ฝนตก หรือพายุ ฯลฯ บรรยากาศ แสงสีในเวลา
55 เช้ามืดก่อนจะสว่าง หรือในตอนเย็นพระอาทิตย์กำลังจะตก จะมีแสงสีที่ให้ความรุนแรงมีสีน้ำเงิน ม่วง เหลือง แสดและแดงสลับกับก้อนเมฆรูปร่างต่าง ๆ ดูสวยงาม การถ่ายภาพทิวทัศน์นิยมเปิดช่องรับแสงให้แคบเพื่อช่วย ให้ภาพมีความคมและชัดลึกตลอด แม้บางครั้งจะต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ สำหรับเลนส์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ ทิวทัศน์ นอกจากเลนส์ธรรมดาติดกล้องแล้ว ควรมีเลนส์มุมกว้างและเลนส์ถ่ายภาพไกล เพื่อช่วยให้ได้ภาพที่มี มุมแปลกตาดีขึ้น การถ่ายภาพสีก็ควรมีฟิลเตอร์หรือแผ่นกรองแสงตัดหมอกหรือแผ่นกรองแสงโพลาไรซ์เพื่อ ช่วยปรับให้สีของท้องฟ้าอิ่มตัวเข้มขึ้น ลดเงาสะท้อนของวัตถุในภาพ นอกจากนั้นอาจใช้แผ่นกรองแสงสำหรับ เปลี่ยนแปลงสีของภาพเพื่อให้ได้ภาพทิวทัศน์ทีมีสิสันสวยงามแปลกตายิ่งขึ้น เทคนิคการจัดองค์ประกอบของภาพทิวทัศน์ที่ควรคำนึงถึง คือ 1. การลดรายละเอียดที่ไม่ต้องการออกไป เช่นฉากหน้าที่ไม่เหมาะสม ถังขยะ หรือเสาไฟฟ้า อาจจะ เป็นสิ่งที่ทำให้ภาพถ่ายสูญเสียความสวยงามไป ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกล้องถ่ายภาพเพียงเล็กน้อยก็ จะสามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากกรอบภาพได้ การใช้แนวต้นไม้หรือแนวรั้ว หรือวัตถุอื่นๆ ใช้เป็นสิ่งนำ สายตาเข้าไปหาจุดเด่นในภาพ การใช้เฟรมหรือกรอบภาพจะช่วยสร้างการจัดวางองค์ประกอบที่สวยงามได้ 2. ความสว่างและสีสันในภาพ ในการมองภาพสายตาจะถูกดึงมาหาพื้นที่ที่สว่างและวัตถุที่มีสีสดใส สีที่มีน้ำหนักค่าความสว่างมากจะดึงดูดความสนใจจากผู้ดู ดังนั้นจึงควรเลือกมุมมองเลนส์ และการจัดกรอบ ภาพที่ให้ผลอย่างต้องการ 3. การวางเส้นขอบฟ้า ในการถ่ายภาพทิวทัศน์หรือภูมิประเทศมักจะมีเส้นขอบฟ้าปรากฎในภาพเสมอ ตามปกติการวางเส้นขอบฟ้าในภาพในตำแหน่ง 1/3 จากขอบบนของภาพหรือจากขอบล่างของภาพ เทคนิคนี้ จะช่วยสร้างภาพให้ดูมีพลังมากกว่าการจัดวางอยู่กึ่งกลางภาพ 4. ความสมดุล การจัดส่วนประกอบของภาพให้วัตถุอยู่กึ่งกลางภาพก็ทำให้เกิดสมดุลได้ แต่ความ สมดุลแบบนี้จะดูไม่น่าสนใจเท่ากับความสมดุลที่เกิดจากการจัดส่วนประกอบของวัตถุให้อยู่ในส่วนต่าง ๆ ใน ภาพโดยน้ำหนักในภาพส่วนซ้ายและขวายังคงดูแล้วมีน้ำหนักเท่ากัน ซึ่งความสมดุลแบบนี้จะสร้างความ น่าสนใจมากกว่าแบบแรก ดังนั้นก่อนการถ่ายภาพจึงควรเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งกล้องจนได้การจัดวางของวัตถุอยู่ ในตำแหน่งที่สร้างความน่าสนใจและสร้างความสมดุลของภาพด้วย 5. มุมกล้อง นอกจากความสมดุลแล้วจะต้องพิจารณาถึงมุมกล้อง ซึ่งได้แก่การตั้งกล้องให้อยู่ในมุมสูง เพื่อถ่ายลงมาให้เห็นรายละเอียดของส่วนต่าง ๆ หรือลดตำแหน่งของกล้องถ่ายภาพลงมาอยู่ในระดับพื้นดินแล้ว เงยกล้องขึ้น ภาพในลักษณะนี้จะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อวัตถุ โดยใช้ดอกไม้ต้นไม้ให้เป็นส่วนหนึ่งของกรอบ ภาพ หรือเพื่อบดบังรายละเอียดที่ไม่ต้องการออกไป การถ่ายภาพเวลากลางคืน (Night Shot) การถ่ายภาพเวลากลางคืน ได้แก่ การถ่ายภาพที่อาศัยแสง สว่างจากไฟฟ้าตามท้องถนน ป้ายนีออน โฆษณา น้ำพุ การยิงพลุ ห้องโชว์สินค้า ไฟประดับในวันเฉลิมฉลอง ต่าง ๆ แสงไฟจากรถยนต์ แสงเทียน สายฟ้าแลบ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้า ความสวยงามต่าง ๆ ที่เรา สามารถมองเห็นได้ในเวลาค่ำคืนดังกล่าว เราสามารถบันทึกภาพที่งดงามเหล่านั้น ด้วยกล้องถ่ายภาพได้ เช่นเดียวกับการถ่ายภาพในเวลากลางวันแสงสว่างจากหลอดไฟต่าง ๆ ในเวลากลางคืนนั้น เราจะวัดแสงลำบาก และ ไม่แน่นอนจึงควรใช้ประสบการณ์ที่ได้ทดลองถ่ายและจดบันทึกรายละเอียดไว้ในแต่ละครั้งมาพิจารณา
56 ปกติจะถ่ายภาพด้วยการตั้งความเร็วไว้ที่ B หรือ T แล้วนับเวลา (Time exposure) ใช้เวลาในการเปิดม่านชัต เตอร์ เป็นวินาทีหรือนาทีก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะและปริมาณของแสงในขณะที่ถ่ายภาพ เนื่องจากต้องใช้ เวลานานในการเปิดม่านชัตเตอร์ จึงจำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันกล้องเคลื่อนที่และสั่นไหว ขาตั้งกล้อง ควรเป็นชนิดที่แข็งแรงมีที่สำหรับปรับมุมยกหน้ากล่องขึ้นและลงได้ และสามารถหมุนกล้องไปทางซ้ายและขวา ที่เรียกว่า Pan กล้องได้ ซึ่งเราจะได้ถ่ายภาพออกมามีลักษณะและสีสันที่แปลกออกไปอีกแบบหนึ่งส่วนเลนส์ที่ ใช้หากเป็นเลนส์ที่สามารถซูมภาพได้ ก็ยิ่งจะได้ภาพที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีก การถ่ายภาพ ไฟตามถนน ป้ายนีออน โฆษณา ไฟประดับ ก็ควรใช้ปรับสมดุลแสงสีขาวเป็นแบบ (Day Light) ภาพที่ได้จะมีสีก่อนข้างเหลืองจึงต้อง ปรับสมดุลแสงสีขาวให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแหล่งกำเนิดแสง ถ้าเป็นภาพการแสดงบนเวที งานประเพณีต่าง ๆ ควรใช้ความไวแสงสูงเช่น 400 ISO, 800 ISO เพื่อให้สามารถจับภาพเคลื่อนไหวได้ การถ่ายภาพย้อนแสง (Sillouete) การถ่ายภาพย้อนแสงหรือภาพเงาดำ ภาพประเภทนี้นักถ่ายภาพ สมัครเล่นไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะจะได้ภาพที่ไม่ชัด ไม่เห็นรายละเอียดของวัตถุ ถ้าถ่ายภาพคนจะมองดู แล้วมืด แต่ที่จริงแล้วภาพย้อนแสงไม่ว่าจะเป็นภาพสี หรือขาว-ดำก็ตามจะช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องรูปร่าง (Shape) ของวัตถุที่บังแสงอยู่ นักถ่ายภาพอาชีพมักจะเสาะแสวงหาภาพประเภทนี้อยู่เสมอ เพราะภาพช้อน แสงจะให้ทั้งความงามให้อารมณ์ ให้สีสันรุนแรง ให้ความแปลกตาไปอีกลักษณะหนึ่งการถ่ายภาพย้อนแสงควร ถ่ายให้ภาพมีช่วงความชัดลึก โดยเปิดช่องรับแสงให้แคบกว่าปกติเล็กน้อยพยายามเลือกวัตถุที่มี โครงร่างที่ สวยงามหามุมช้อนแสง โดยวางจังหวะของดวงอาทิตย์ให้พอดี 1.2 เทคนิคการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม สิงก่อสร้าง สิ่งก่อสร้าง โดยทั่วไปจะมีรูปแบบทาง สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวตามกาลสมัยและท้องถิ่น แบบและวัตถุประสงค์ของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เหล่านี้จะมีลักษณะและมุมมองที่แตกต่างกันออกไปมีความงามอยู่ในตัวของสิ่งนั้นๆ เช่น ตึก อาคาร โบสถ์ วิหาร มัสยิด มีรูปร่าง รูปทรง เส้นสายต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบ อย่างสวยงาม สามารถใช้สื่ออารมณ์ได้ ภาพตึกที่กำลังเร่งสร้างในเวลากลางคืน โดยมีแสงไฟจากการเชื่อมประสานจะได้แสงไฟที่สวยงาม การถ่ายภาพ สถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างจะต้องการความถูกต้องทางความลึก (Perspective) เป็นประการสำคัญ หรือ จะต้องแสดงระนาบความชัดตลอดแนวที่ถ่ายจึงมีความจำเป็นต้องกำหนดมุมกล้องที่ดีที่สุดเพื่อได้อารมณ์ที่ดี ที่สุดเช่นกัน และจะต้องมีการปรับแก้ความผิดเพี้ยนของภาพอาจจะทำในขณะขั้นตอนของการถ่ายทำโดยการ ปรับแก้แนวระนาบหรือมุมของการวางตำแหน่งของกล้องถ่ายภาพ เพื่อช่วยแก้ความผิดเพี้ยนหรือจะใช้อุปกรณ์ พิเศษเช่น PC-Lens หรือ Shift-Lens ซึ่งจะสามารถปรับแก้ระนาบภาพได้ หรือจะใช้การปรับแก้ในขั้นตอนของ การตกแต่งภาพโดยใช้ซอฟท์แวร์ตกแต่งภาพเข้าช่วย สำหรับสภาพแสงที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ สถาปัตยกรรมควรเป็นสภาพแสงธรรมชาติ ที่ต้องมีการกำหนดทิศทางของแสง ซึ่งทิศทางของแสงที่เหมาะสม แสงที่อยู่ในแนวเฉียงค้านข้างของอาคาร และควรทำมุมสูง 45 องศา ภาพที่ได้จึงจะมีความลึกมีรายละเอียด และควร ใช้ฟิลเตอร์ โพลาไรซ์ร่วมในการถ่ายภาพด้วย แต่ในบางครั้งก็จำเป็นต้องถ่ายภาพสิ่งก่อสร้างหรืองาน สถาปัตยกรรมในเวลากลางคืน ซึ่งจำเป็นต้องมีการใช้แสงประดิษฐ์จากหลอดไฟทั้งจากหลอดทังสเตนและ ฟูลออเรสเซนท์เข้ามาช่วยในการบันทึกภาพ บางครั้งก็จำเป็นต้องใช้แสงแฟลชถ่ายภาพเข้ามาช่วยส่องสว่างเพื่อ เพิ่มรายละเอียดในบางจุด
57 ข้อควรปฏิบัติในการถ่ายภาพทางสถาปัตยกรรม คือ 1. เลือกมุมที่ถ่ายภาพสิ่งก่อสร้างให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมให้วัตถุเด่นออกมาจากพื้นมากที่สุดและ สามารถมองเห็นตัวสิ่งก่อสร้างได้หลาย ๆ มิติ ควรประกอบให้มีฉากหน้า (Foreground)เพื่อให้เกิดคามลึกใน ภาพ 2. พยายามมองหาส่วนประกอบที่สำคัญในงานสถาปัตยกรรมนั้น ๆ เพื่อถ่ายภาพเฉพาะส่วนออกมาให้ เห็นชัดเจนขึ้น 3. ควรกำหนดให้ทิศทางของแสงส่องเข้าหาวัตถุในแนวเฉียงมากกว่าแสงจากทางด้านหน้าหรือแสงที่ ส่องมาจากด้านบนของวัตถุโดยตรง และเลือกสภาพแสงที่ไม่แรงหรือนุ่มนวลจนเกินไป 4. เมื่อถายภาพสิ่งก่อสร้างในแนวดิ่งหรือในแนวราบควรตั้งกล้องถ่ายภาพให้อยู่ในระดับกึ่งกลางวัตถุ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดเพี้ยนของภาพ หรือใช้เลนส์เฉพาะทางการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมซึ่งสามารถแก้ไขการ ผิดเพี้ยนได้ 5. การวัดแสงด้วยเครื่องวัดแสงในตัวกล้องควรระมัดระวังฉากหลังที่อาจทำให้การวัดแสงผิดพลาดได้ การถ่ายภาพสถาปัตยกรรมโดยกำหนดทิศทางของแสงที่อยู่ในแนวเฉียง 1.3 เทคนิคการถ่ายภาพใกล้ การถ่ายภาพระยะใกล้เป็นการถ่ายภาพวัตถุสิ่งของที่มีขนาดเล็กหรือเลือกถ่ายภาพเฉพาะบางส่วน ของวัตถุในระยะใกล้ให้มองเห็นส่วนละเอียดต่าง ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ถ่ายภาพแมลง ลายไม้ดอกไม้ หรือวัตถุ สิ่งของที่มีขนาดเล็กต่าง ๆ ภาพถ่ายในระยะใกล้ของมดทำให้มองเห็นส่วนละเอียดต่าง ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น
58 การถ่ายภาพใกล้จะเน้นที่รายละเอียดของสิ่งที่ถูกถ่ายที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นอุปกรณ์ที่ถูกใช้มากที่สุดก็ คือเลนส์มาโคร การถ่ายภาพใกล้นั้นผู้ถ่ายภาพจะต้องต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ และเทคนิคบางอย่างที่แตกต่าง ออกไปจากการถ่ายภาพบุคคล หรือ การถ่ายภาพทิวทัศน์ การถ่ายภาพงานสถาปัตยกรรมและสถานที่ พอสมควร การถ่ายภาพใกล้เช่นการถ่ายภาพดอกไม้จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะ รูปทรง รูปร่าง และสีสันที่ สวยงาม สามารถเน้นให้เห็นลวดลายของกลีบดอก ตลอดจนแนวเส้นของกิ่งก้านช่วยให้ภาพมีความงคงาม โดยเฉพาะการถ่ายภาพดอกไม้ในระยะใกล้จะให้สีตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ป้าหรือดอกไม้ที่ปลูกไว้ ตามบ้านเรือน เวลาที่เหมาะสมในการถ่ายภาพดอกไม้ควรเป็นเวลาเช้า เพราะคอกไม้จะให้ความรู้สึกสดชื่น หากมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ตามกลืบดอกหรือหาน้ำหวานหรือน้ำผึ้งหยอดลงบนดอกไม้ เพื่อล่อให้ผึ้งหรือแมลงมา ตอมก็จะได้ภาพที่สวยงามเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น แสงที่ใช้ในการถ่ายภาพดอกไม้ควรเป็นแสงธรรมชาติโดยจัด ให้แสงเข้าทางด้านข้าง ถ้าเป็นดอกไม้ชนิดที่ควรเน้นให้เห็นลักษณะความบางและโครงสร้างของกลีบดอก ควร ให้แสงส่องจากด้านหลังของดอกไม้และจัดให้พื้นหลังมีสีค่อนข้างเข้ม และต้องระวังอย่าให้แสงทวนเข้าที่หน้า เลนส์ของกล้อง การถ่ายภาพดอกไม้ ควรต้องใช้ขาตั้งกล่าวเพื่อช่วยในการปรับประยะความคมชัดที่แน่นอน พขายาม จัดมุมกล้อง เพื่อหลีกเลี่ยงจากหลังที่รกรุงรัง หรือแก้ไขโดยใช้กระดาษสีเทาหรือสีดำไปวางไว้ทางด้านหลังของ ดอกไม้ โดยใช้สีของกระดายให้ตัดกับสีของดอกไม้ เพื่อความเด่นชัดหรืออาจใช้วิธีเปิดช่องรับแสงให้กว้างเพื่อ จะได้ฉากหลังที่พร่ามัว อาจใช้เลนส์ถ่ายไกลหรือมาโครจะได้ภาพดอกไม้ที่มีลักษณะเด่นชัดเฉพาะ สวยงามการ ถ่ายภาพระยะใกล้ต้องมีอุปกรณ์ดังนี้ 1. กล้องถ่ายภาพ ซึ่งจะนิยมใช้กล้องแบบสะ ท้อนเลนส์เดี่ยว เนื่องจากจะไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมขณะ มองภาพที่ช่องเล็งภาพ 2. เลนส์ที่ใช้ควรเป็นเลนส์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับงานถ่ายภาพใกล้โดยเฉพาะคือเลนส์มาโคร (Macro) เลนส์มาตรฐานก็สามารถถ่ายภาพใกล้ได้โดยใช้เลนส์ถ่ายใกล้ (Close -up lens) สวมใส่หน้าเลนส์ อาจใช้วง แหวนกลับเลนส์ (Reversing Ring)หรือท่อต่อเลนส์ (Extension tube)หรือใช้เบลโลว์ (Bellow) ต่อคั่น ระหว่างเลนส์กับตัวกล้องเพื่อช่วยให้สามารถถ่ายภาพ ได้ใกล้มากขึ้น 3. ขาตั้งกล้องและสายลั่นไกชัตเตอร์ 4. สิ่งที่ควรระวังสำหรับการถ่ายภาพใกล้ก็คือ การ ปรับหาระยะความคมชัดของภาพเพราะระยะห่าง จากเลนส์ถึงวัตถุมีน้อยมากจึงส่งผลต่อช่วงความชัดของภาพให้ชัดตื้นมาก ระยะที่อยู่ด้านหน้าและหลังของวัตถุ จะพร่ามัว ควรเลือกใช้รูรับแสงแคบเพื่อให้ได้มีความชัดลึกเพิ่มมากขึ้น 1.4 เทคนิคการถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพบุคคล เป็นการบันทึกโครงสร้างลักษณะ และความนึกคิดของ ผู้ถ่ายภาพ และผู้ถูก ถ่ายภาพฉะนั้นภาพถ่ายบุคคลจึงเปรียบเสมือนตัวแทนบุคคลที่ถูกถ่ายและผู้ถูกถ่ายภาพ ทั้งในด้านความรู้สึก นึกคิดและลักษณะท่าทาง ภาพถ่ายบุคคลที่ดีควรแสดงออกใน 2 ประการ คือ 1. ความนึกคิดและการสร้างสรรค์ของผู้ถ่ายภาพ 2. สามารถแสดงบุคลิกของผู้ถูกถ่ายได้เป็นอย่างดี
59 ภาพถ่ายบุคคลที่แสดงออกได้ทั้ง 2 ประการดังกล่าว จำเป็นต้องมีความเข้าใจในองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้คือ 1. การจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับบุคลิกและอาชีพ 2. การจัดฉาก อาจจัดในสตูดิโอ หรือใช้กากธรรมชาติก็ได้ 3. การจัดภาพ จัดท่าทาง ของผู้เป็นแบบ 4. การจัดแสง อาจใช้แสงธรรมชาติ หรือแสงไฟประดิษฐ์ในสตูดิโอ 5. การเลือกใช้กล้อง และเลนส์ในการถ่ายภาพให้เหมาะสม เลนส์ที่ใช้ในการถ่ายภาพบุคคลควรเป็น เลนส์ถ่ายภาพระยะ ไกล ความยาวโฟกัสประมาณ 85 มม. 105 มม. หรือ 135 มม. 6. การเลือกมุมกล้องในการถ่ายภาพ การถ่ายภาพบุคคลเป็นการถ่ายบุคลิกลักษณะของบุคคลมีอารมณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ดีใจ เสียใจ ภูมิใจ เศร้า ดุตกใจ ฯลฯ ภาพบุคคลสามารถเน้นถ่ายได้ ตั้งแต่ใบหน้า หรือใบหน้าถึงช่วงไหล่ ใบหน้ามาถึงเอง ค่อน ตัว เต็มตัว และยังสามารถจัดท่าทางให้สมกับบุคลิก อุปนิสัยของบุคคลนั้น ๆ ได้เราเองคงจะมีความมั่นใจใน การแอ็คชั่น ไม่เคอะเขินถ้าช่างภาพ เป็นเพื่อนหรือคนรู้จักกันเช่นเดียวกันการจะทำให้เกิดบรรยากาศ ในการ ถ่ายภาพบุคคล ซึ่งต้องเป็นบรรยากาศที่มีความเป็นกันเอง เป็นเรื่องที่ช่างภาพต้องสร้างบรรยากาศนั้นขึ้นมา สิ่งที่ช่างถ่ายภาพบุคคลควรมี คือ 1. การมีมนุษย์สัมพันธ์เพื่อสร้างบรรยากาศ 2. การเป็นมืออาชีพในการใช้เครื่องมือถ่ายภาพ 3. การสังเกตจุดเด่น และจุดบกพร่องของแบบ 4. การตัดสินใจที่ดี 5. การตรงต่อเวลา 6. มีความสนใจติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ด้านการถ่ายภาพ 7. มีความรู้เรื่องการจัดแสง 8. มีความคิดสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ภาพถ่ายเด็กเน้นการแสดงอารมณ์ออกทางใบหน้าและแววตา การถ่ายภาพเด็ก เด็กจะมีความสดใสอยู่ในตัว แววตา การเล่นที่เป็นไปอย่าง ธรรมชาติภาพเด็กถือว่า เป็นภาพที่ถ่ายยาก เด็กจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ กลัวกล้อง กลัวผู้ถ่าย อาจจะได้ภาพเด็กโดยการแอบถ่าย หรือใช้ขนม ของเล่น หลอกล่อ และแอบถ่ายในจังหวะที่เด็กเพลิดเพลินสนุกสนาน กับของเล่นนั้น 1 ช่างภาพ ต้องมีความสามารถในการรอคอย เลือกจังหวะ ความไวในการถ่ายอารมณ์ของเด็กชวนน่ารัก เช่น ร้องไห้ หัวเราะ กลัว ดู เด็กควรมีอายุในระหว่าง 6 เดือน ถึง3 ปี เพราะตอบสนอง สิ่งเร้าได้ดี แต่ถ้าเด็กโตเกินไปจะดู
60 เป็นผู้ใหญ่ ถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน ก็จะได้แต่ภาพเด็กที่นอนอยู่ในเบาะเท่านั้น เลนส์ที่ใช้ควรเป็นเลนส์ ถ่าย ระยะไกล หรือเลนส์ซูมเพื่อที่ไม่ต้องเข้าใกล้เด็กมากนัก และจะได้ภาพที่เป็นธรรมชาติจริง ๆการถ่ายภาพเด็ก เป็นการบันทึกภาพความไร้เดียงสา ความน่ารัก ความบริสุทธิ์ตลอดจนความสนุกสนานร่าเริงไว้ในแผ่นภาพ ลักษณะธรรมชาติของเด็กนั้นมักไม่ชอบอยู่นิ่งและ ชอบซุกซนตลอดเวลา ฉะนั้นก่อนถ่ายภาพควรให้เด็กได้เล่น อยู่กับของเล่นที่ถูกใจเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือทำความสนิทสนมกับเด็ก เล่าเรื่องสนุกสนาน ทำท่าทางตลกและ ชักชวนให้เด็กทำสิ่งที่เขาชอบ ผู้ถ่ายภาพต้องคอยกดไกชัตเตอร์ในจังหวะที่เด็กกำลังอยู่ในท่าทางและอารมณ์ที่ เป็นตัวของตัวเองตามธรรมชาติมากที่สุดการถ่ายภาพเด็กไม่ควรบังคับเด็กของตัวเองให้ตั้งทางต่าง 1 ซึ่งจะได้ ภาพที่แข็งไม่เป็นชีวิตจริงเสียลักษณะความเป็นธรรมชาติ แต่ควรบันทึกพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเขาไว้ เช่น การเรียนการเล่นหรือแม้แต่กำลังร้องให้น้ำตาไหลภาพต่าง ๆ เหล่านี้ อาจแสดงให้เห็นถึงความซุกซน ความดื้อรั้น และอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะให้ความน่ารักความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่มีลักษณะ เป็นธรรมชาติ ควรใช้การถ่ายภาพทีเผลอ (Candid photography) หมายถึง การแอบถ่ายโดยใช้แสงธรรมชาติ ไม่ควรใช้ไฟแฟลช เพราะแสงไฟจะทำให้เด็กรู้สึกตัว อาจทำให้พลาดโอกาสที่ดีไปได้ 1.5 เทคนิคการถ่ายภาพสัตว์การถ่ายภาพสัตว์ (Pets & Animals) การถ่ายภาพสัตว์แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. การถ่ายภาพสัตว์เลี้ยงในบ้าน สัตว์ที่เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัข แมว นก ปลา แต่ละชนิดก็มี รูปร่างลักษณะ สีสัน กิริยาท่าทาง และนิสัยที่แตกต่างกันออกไป เป็นสัตว์ที่น่ารักทั้งสิ้น สามารถเลือกมุม ถ่ายภาพให้มีความสวยงามและน่ารักได้ พยายามใช้ความรวดเร็วในการจับภาพในจังหวะที่น่าประทับใจต่างๆ 2. การถ่ายภาพในสวนสัตว์ ในสวนสัตว์จะเป็นที่รวมของสัตว์หลายชนิด ซึ่งมาจากทั่วทุกมุม โลก การถ่ายภาพสัตว์ในส่วนสัตว์ควรไปถ่ายภาพในตอนเช้า ที่อากาศไม่ร้อน สัตว์จะมีอารมณ์ดีโดยเฉพาะเวลา ให้อาหารสัตว์เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการถ่ายภาพ เพราะสัตว์จะแสดงกิริยาต่าง ๆในกรณีที่ต้องการถ่ายภาพ ผ่านลูกกรงเหล็กหรือรั้วกัน ควรเปิดช่องรับแสงของเลนส์ให้กว้างให้กล้องห่างจากลูกกรงประมาณครึ่งเมตร ลูกกรงหรือรั้วกั้น จะพ้นระยะชัดเกิดความพร่ามัว ทำให้มองเห็นเฉพาะภาพสัตว์ และขังช่วยหลบฉากหลังที่รก รุงรังให้หายไปได้อีกด้วย กล้องที่ใช้ถ่ายภาพสัตว์ ควรใช้กล้องแบบ 35 มม. สะท้อนเลนส์เดี่ยว โดยใช้เลนส์ ซูมหรือเลนส์ถ่ายไกล 135 มม. - 300 มม. เพื่อให้สามารถได้ภาพให้มีขนาคใหญ่ได้ ควรใช้ความไวแสงสูง 400 ISO หรือ 800 ISO 3. การถ่ายภาพสัตว์ป่า เป็นการออกไปถ่ายภาพสัตว์ในป่าเขาตามธรรมชาติ ซึ่งค่อนข้างหาได้ ยาก เพราะไม่ค่อยมีสัตว์ป่าให้ได้เห็นกัน จะมีบ้างก็พวกเก้ง กวาง ในป้าสงวนบ้างแห่งเท่านั้น การแอบถ่ายภาพ สัตว์ป่า จำเป็นต้องถ่ายจากบังไพร หรือซุ้มไม้มิดชิดเพื่อไม่ให้สัตว์มองเห็นและกลัว ควรต้องศึกษาแหล่งที่พัก หลับนอน แหล่งอาหาร และแหล่งน้ำของสัตว์อย่างน้อยจะทำให้มีโอกาสการถ่ายภาพได้ง่ายเข้า อุปกรณ์ที่ จำเป็นที่สุดในการถ่ายภาพสัตว์ป่าคือเลนส์ระยะไกล มีความยาวโฟกัสสูง ไม่ต่ำกว่า 400 มม. - 1200 มม. หรือ
61 ใช้ Teleconverter 2X เพื่อช่วยให้สามารถถ่ายภาพในระยะไกลๆ ได้ กล้องควรตั้งบนข้างตั้งใช้ฟิล์มที่มีความ ไวแสงสูง จะ ได้ภาพที่มีความคมชัด แน่นอน ภาพถ่ายสัตว์สามารถสื่อสารในเรื่องของความดุร้าย น่ารัก ลึกลับ แปลก การถ่ายภาพสัตว์เป็นการ ถ่ายภาพที่ยากลำบาก เนื่องจากการไม่อยู่นิ่ง ตกใจ คุร้ายของสัตว์ การถ่ายภาพสัตว์จึงจำเป็นต้องมีสิ่งล่อ เช่น อาหาร และไม่ควรเข้าไปถ่ายในระยะใกล้ควรใช้เลนส์ซูมถ่ายในขณะที่สัตว์ไม่รู้ตัว และเลือกจังหวะ ในการกด ชัตเตอร์ เช่น ร้อง คำราม พองขน ช่างภาพต้องจัดองค์ประกอบอย่างรวดเร็ว เช่น ช่องว่างของภาพ ไม่ใช้แฟลช เพราะจะทำให้สัตว์ตกใจและทำร้ายช่างภาพได้สัตว์ที่อยู่ในกรงขังจะเป็นอุปสรรคในเรื่องของฉากหน้าคือ กรง นั่นเอง แก้ปัญหาโดยการใช้หน้ากล้องกว้าง เพื่อปรับโฟกัสให้กรงเบลอ สัตว์บางชนิดที่ตัวเล็กมากหรืออยู่ที่สูง เช่น นก จึงจำเป็นต้องใช้เลนส์ถ่ายระยะไกลช่วย หรือใช้เลนส์มาโคร สำหรับสัตว์ที่ตัวเล็กมาก เช่น แมลงต่าง ๆ การถ่ายภาพเคลื่อนไหว (Action) การถ่ายภาพเคลื่อนไหว หมายถึง การถ่ายภาพของวัตถุที่ เคลื่อนไหว เช่น คนวิ่ง กระ โดดโลดเต้น, เล่นชิงช้า,กระโดดสูง,ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน รถกำลังแล่นสายน้ำที่ไหล หรือการแข่งขันกีฬาด้านความเร็วประเภทต่าง ๆ การถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะทำได้ใน 3 ลักษณะ คือ 1.การจับภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง (Stop - action) การถ่ายภาพในลักษณะนี้ ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์ให้สูงเช่น 1/250, 1/500 หรือ 1/1000 วินาที ตามความเหมาะสมกับความเร็วของ วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ เมื่อตั้งความเร็วชัตเตอร์สูง ๆ จำเป็นต้องเปิดช่องรับแสงให้กว้างขึ้น เพื่อชดเชยให้แสงผ่าน เข้าไปทำปฏิกิริยากับฟิล์มให้มากพอการถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งได้นั้น จะตั้งความเร็วชัตเตอร์ เท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1) ความเร็วของวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว 2) ทิศทางการเคลื่อนไหวของวัตถุ 3) ระยะทางจากกล้องถึงวัตถุ 4) ความยาวโฟกัสของเลนส์ 2. การถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวดูแล้วให้รู้สึกว่าเหมือนกำลังเคลื่อนไหว การถ่ายภาพใน ลักษณะนี้ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์ให้ช้า ๆ เช่น 1/30 วินาที, 1/15 วินาที หรือ 1/8 วินาที เป็นต้น เมื่อตั้ง ความเร็วชัตเตอร์ช้า ก็ต้องเปิดช่องรับแสงให้เล็กลงภาพที่ได้จะปรากฏว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวจะดูพร่ามัวทำให้ เห็นว่าวัตถุนั้นกำลังเคลื่อนที่ส่วนวัตถุหรือสิ่งที่อยู่นิ่งจะคมชัดและการถ่ายภาพลักษณะนี้ควรจับถือกล้องให้นิ่ง และมั่นคง หรือควรใช้ขาตั้งกล้องช่วย เพื่อไม่ให้กล้องสั่นไหว 3. การถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวให้เห็นวัตถุชัด ส่วนฉากหลังพร่ามัวเป็นทางยาวการ ถ่ายภาพในลักษณะนี้ จะต้องแพนกล้อง (Paning) ตามวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว พร้อม ๆ กับการกดไกชัตเตอร์ ความเร็วชัตเตอร์ความตั้งให้ช้าเช่น1/60วินาที,1/30วินาที่หรือช้ากว่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วของวัตถุที่ เคลื่อนที่ด้วยการปรับระยะชัดให้ปรับไปตรงจุดที่วัตถุเคลื่อนที่ผ่าน
62 การถ่ายภาพหุ่นนิ่งเพื่อนำภาพไปจัดทำเป็นสื่อในการโฆษณา การถ่ายภาพหุ่นนิ่ง (Still life) การถ่ายภาพหุ่นนิ่ง หมายถึง การถ่ายภาพวัตถุสิ่งของต่าง ๆเช่น แจกัน ดอกไม้ ถ้วยจานช้อนซ้อม ขวดเหล้า เบียร์ แก้ว บุหรี่ น้ำหอม เสื่อผ้า รองเท้า ผัก ผลไม้อาหาร ฯลฯ จุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ก็เพื่อนำภาพไปจัดทำเป็นสื่อในการโฆษณา เช่น ทำปกหนังสือวารสาร โปสเตอร์ หรือ สิ่งพิมพ์อื่น ๆ การฝึกถ่ายภาพหุ่นนิ่ง จะช่วยให้เราได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆในการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ เพราะวัตถุสิ่งของต่าง ๆที่นำมาถ่ายภาพจะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหวเราสามารถทดลองจัดภาพได้หลาย ๆแบบตาม ต้องการ ส่วนการใช้แสงก็ทำได้หลายลักษณะ อาจใช้แสงธรรมชาติ แต่ส่วนมากมักใช้แสงไฟประดิษฐ์ เพราะ สามารถควบคุมทิศทางตลอดจนปริมาณของแสงสว่างได้ตามความเหมาะสมขั้นตอนการถ่ายภาพหุ่นนิ่ง 1. จัดสถานที่ได้แก่โต๊ะชุดสำหรับถ่ายภาพหุ่นนิ่งประกอบด้วยขาตั้งเหล็ก หรืออลูมิเนียมมีแผ่นพลาสติก สีต่าง ๆ เช่นสีขาว ดำ น้ำเงิน และม่วง เป็นที่วางวัตถุที่จะถ่ายภาพ ผิวหน้าของแผ่นพลาสติกมี 2 ค้าน ค้าน หนึ่งผิวด้าน ส่วนอีกค้านหนึ่งผิวจะมัน คุณสมบัติของแผ่นพลาสติก คือถ้าใช้ไฟส่องด้านบนจะได้แสงตกกระทบ ธรรมดา แต่ถ้าใช้ไฟส่องจากค้านล้าง แสงจะสามารถทะลุพื้นพลาสติกขึ้นด้านบนสามารถใช้เป็นแสงสำหรับลด เงา หรือ ใช้เป็นแสงส่องจากพื้นล้างและด้านหลังของวัตถุ 2. ออกแบบ ร่างภาพ (lay - out) การจัดวางองค์ประกอบของวัตถุ ซึ่งจะทำให้ผู้ร่วมงานเข้าใจรูปแบบ และแนวคิด สามารถจัดหาวัตถุประกอบฉาก ตลอดจนการจัดภาพ ได้ถูกต้องและรวดเร็วขึ้น 3. จัดหาวัตถุ สิ่งของ ที่จะถ่ายภาพ ถ้าเป็นประเภทผัก ผลไม้ ควรเตรียมไว้ให้มากพอ คอยฉีดน้ำดูแลให้ สดอยู่เสมอ 4. นำวัตถุสิ่งของที่จะถ่าย วางบน โต๊ะถ่ายภาพ โดยจัดวางตามแบบที่สเกตช์ภาพไว้ 5. ทดลองจัดแสง ซึ่งอาจใช้หลอดไฟทังสเตน ถ้าเป็นการถ่ายภาพชิ้นเล็ก ๆ ก็ใช้สปอตไลท์ 500 วัตต์ 2-3 ดวงแต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพขนาดใหญ่ ก็ต้องใช้ไฟที่มีกำลังวัตต์สูง ๆ เช่น 2,000วัตต์ถึง 5,000 วัตต์ โดยใช้ ผ่านแผ่นกรองแสงเพื่อให้ได้แสงที่นุ่มนวล ใช้แผ่นสะท้อนแสงลดเงาและอาจใช้ไฟส่องฉากหลัง เพื่อเน้นวัตถุให้ เห็นเด่นชัดในปัจจุบันนิยมใช้แฟลชอิเลคทรอนิคส์ มีอุปกรณ์เช่น ร่มสะท้อนแสง จานสะท้อนแสง ประตูโคม (Barn doors) กรวยแสง (Snoot) ซึ่งจะให้ความสะดวก สามารถบังคับทิศทางและปริมาณของแสงได้ตาม ต้องการ 6. กล้องถ่ายภาพต้องตั้งบนขาตั้งกล้องให้มั่นคง เพราะการถ่ายภาพหุ่นนิ่งต้องการภาพที่ละเอียดชัดเจน และชัดลึกจึงต้องเปิดช่องรับแสงให้แคบมาก ๆ เช่น (16 ฉะนั้นความเร็วชัตเตอร์จะต้องช้ามากเพื่อให้สัมพันธ์ กับขนาดช่องรับแสง
63 3.2 การกำหนดราคาขาย ความหมายและวัตถุประสงค์ของการกำหนดราคา ราคา (Price) ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึงมูลค่าของที่ คิดเป็นเงินตราจำนวนเงินซึ่งได้มีการชำระหรือตกลงชำระในการซื้อขายทรัพย์สิน ศิริวรรณ เสรีรัตน์(2537) ให้คำจำกัดความราคาไว้ว่า ราคาเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการในรูปตัว เงินหรือหมายถึงสิ่งที่แสดงมูลค่าผลิตภัณฑ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายแสดงค่าผลิตภัณฑ์เป็นเงินหรือผลิตภัณฑ์ วัตถุประสงค์การกำหนดราคา ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกิจการเพราะการดำเนินกิจการต้อง กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนโดยการกำหนดราคามีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. การมุ่งรายได้จากการขาย การกำหนดระดับราคาจะทำให้เกิดรายได้จากการขายสูงสุด โดยอาจตั้งราคาสูงหรือต่ำแล้วแต่ชนิดของสินค้า หรือการปรับราคาและมีส่วนลดเพื่อกระตุ้นให้มีการซื้อมากขึ้น และมีการชำระเงินเร็วขึ้นช่วยเพิ่มเงินหมุนเวียนให้กับกิจการ 2. การมุ่งกำไร การกำหนดราคาจะทำให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุนตามเป้าหมาย การ ควบคุมเงินทุนและปรับราคาสินค้าเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดตามเป้าหมาย ในช่วงกิจการตกต่ำควรทำการปรับราคา เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินงานต่อไปได้ 3. การมุ่งยอดขายหรือปริมาณการขาย การเพิ่มยอดขายโดยการปรับปรุงราคาและการให้ ส่วนลด เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเก่าซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้นและดึงดูดให้ลูกค้าใหม่ซื้อสินค้าการตั้งราคาต้องมั่นใจว่าจะ ทำให้ยอดขายของกิจการสามารถรักษาส่วนครองตลาดได้โดยอาจตั้งราคาให้ต่ำกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งขัน เพื่อให้ ตลาดขยายตัวและมีส่วนครองตลาดเพิ่มขึ้น หรืออาจลดราคาสินค้าลงทำให้กิจการสามารถอยู่รอดได้ ในสถานการณ์ที่มีการแข่งขันรุนแรง 4. การมุ่งแข่งขัน อาจเลือกใช้วิธีการตั้งราคาหรือเสนอส่วนลดให้เท่ากับคู่แข่งขันเพื่อเผชิญ กับการแข่งขัน หรือการตั้งราคาต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ธุรกิจอื่นเข้ามาแข่งขันหรือการตั้งราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่งขัน เพื่อตัดราคา 5. การมุ่งด้านสังคม โดยการตั้งราคาสินค้าต่ำกว่าระดับที่ควรเป็นเพื่อปฏิบัติตามหลัก จรรยาบรรณที่ดีหรือตั้งราคา ณ ระดับราคา ซึ่งจะทำให้กิจการสามารถรักษาระดับการผลิตและการจ้างงานไว้ ได้ 6. การมุ่งสร้างภาพลักษณ์ โดยอาจตั้งราคาต่ำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่ากิจการไม่ได้เอาเปรียบ ลูกค้าหรือการตั้งราคาสูงเพื่อชี้ให้เห็นว่าสินค้ามีคุณภาพดี 2. นโยบายการกำหนดราคา กิจการต้องกำหนดนโยบายราคาเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ โดยหลักเกณฑ์การพิจารณามีดังนี้ 1. นโยบายราคาเชิงจิตวิทยา (Psychological Pricing) เป็นการตั้งราคาที่คำนึงถึงความรู้สึกผู้ซื้อ ซึ่ง ผู้ซื้อจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อนโยบายการกำหนดราคาเชิงจิตวิทยามี4 วิธีดังนี้ 1.1 การตั้งราคาแบบเลขคี่ (Odd Pricing) เป็นการตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลขคี่เช่น 29 บาท,
64 39 บาท, 99 บาท หรือ 199 บาท ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้ามีราคาถูกลงกว่าราคาเต็มและส่งผลให้เกิดการ ซื้อ 1.2 การตั้งราคาแบบเลขคู่ (Even Pricing) เป็นการตั้งราคาสินค้าจำนวนเต็มหรือเลขคู่ เช่น 500 บาท, 1,000 บาท หรือ 2,000 บาท โดยจะใช้กับสินค้าที่มีคุณภาพดีมีชื่อเสียงเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อรู้จักน้อย หรือไม่มีข้อมูลช่วยตัดสินใจ จึงใช้ราคาเป็นเครื่องมือช่วยในการพิจารณา 1.3 การตั้งราคาตามความเคยชิน (Customary Pricing)ผู้ประกอบกิจการที่ขายสินค้า ประเภทเดียวกันกับสินค้าที่ขายอยู่ในตลาดที่ผู้ซื้อคุ้นเคยกับราคาจะต้องตั้งราคาตามราคาตลาดที่ผู้ซื้อคุ้นเคย เช่นหนังสือพิมพ์ฉบับละ 10บาท 1.4 การตั้งราคาสินค้าที่มีชื่อเสียง (Prestige Goods Pricing) เป็นการตั้งราคาสินค้า ค่อนข้างสูง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าว่าเป็นสินค้าที่มีความแตกต่างและเน้นสินค้าที่มีคุณภาพดีเยี่ยม หรือเพื่อแสดงภาพลักษณ์ความหรูรา มีรสนิยมดีผู้ซื้อสินค้าประเภทนี้จะซื้อเพื่อยกระดับฐานะทางสังคมเช่น นาฬิกาโรเล็กซ์รถยนต์โรลส์-รอยซ์ฯลฯ ตัดสินใจซื้อเพราะคิดว่าสินค้าราคาสูงมีคุณภาพดีเช่นกล้องถ่ายรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าฯลฯ 2. นโยบายการตั้งราคาหลายระดับ กิจการขนาดเล็กจะคำนึงถึงกิจการการค้าขนาดเดียวกันหรือ ร้านค้าที่ขายสินค้าชนิดเดียวกัน ส่วนร้านสรรพาหารจะพยายามไม่กำหนดราคาเดียวกันกับคู่แข่งขัน แต่จะ กำหนดราคาสินค้าบางชนิดสูงกว่าและบางชนิดต่ำกว่าคู่แข่งขันการกำหนดราคาวิธีนี้มี3 วิธีดังนี้ 2.1 การกำหนดราคาสูงกว่าตลาด(Pricing Above the Market) เป็นการตั้งราคาสินค้าสูง กว่าระดับราคาสินค้าของคู่แข่งขัน เพราะกิจการขายสินค้าที่พิเศษกว่าคู่แข่งขัน เช่นมีคุณภาพดีกว่า มีการ ให้บริการเหนือกว่า เป็นผู้นำแฟชั่น มีทำเลที่ตั้งสะดวกสบาย ซึ่งผู้ซื้อเต็มใจที่จะจ่ายเงินค่าสินค้าในราคาที่สูง 2.2 การกำหนดราคาต่ำกว่าราคาตลาด (Pricing Below the Market)เป็นการตั้งราคา สินค้าต่ำกว่าคู่แข่งขันเพื่อต้องการขายสินค้าให้ได้ในปริมาณมาก กำไรต่อหน่วยต่ำแต่รายได้จากการขายจะมาก ทำให้ได้กำไรรวมมาก การกำหนดราคาสินค้าด้วยวิธีนี้อาจเกิดปัญหาต่อภาพลักษณ์ของสินค้าและนำไปสู่การ ทำสงครามราคาหากต่างฝ่ายต่างลดราคาสินค้าให้ต่ำกว่ากัน 2.3 การกำหนดราคาเท่ากับราคาตลาด(Pricing At the Market) เป็นการตั้งราคาสินค้าให้ ใกล้เคียงหรือเท่ากับราคาของคู่แข่งขัน ผู้ประกอบกิจการจะพยายามหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาเพราะ สินค้ามีคุณภาพเหมือนกันผู้ซื้อจะซื้อเป็นประจำจนคุ้นเคยกับราคา เช่นนำดื่มยาสีฟันนำอัดลมฯลฯ 3. นโยบายราคาเพื่อส่งเสริมการตลาด (Promotion Pricing) เป็นการตั้งราคาสินค้าที่ต่ำกว่าราคา ขายที่ระบุไว้ชั่วคราว บางครั้งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาทุนเพื่อเพิ่มยอดขายในระยะสั้นและจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อ สินค้ามากขึ้น นโยบายราคาประเภทนี้มี5 วิธีดังนี้ 3.1 การตั้งราคาเพื่อโอกาสพิเศษ (Special Event Pricing) เป็นการตั้งราคาสินค้าให้ต่ำกว่า ราคาปกติและตั้งราคาพิเศษในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ คริสต์มาส วันตรุษจีนวันวาเลนไทน์วันเด็กฯลฯ โดยการลดราคาในโอกาสพิเศษจะต้องมีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
65 3.2 การตั้งราคาแบบกลอุบาย (Fictitious Pricing) เป็นการตั้งราคาโดยโฆษณาว่าลดราคา สินค้าจากราคาปกติ ความจริงอาจลดราคาลงเล็กน้อยหรือไม่ได้ลดเลย สินค้าที่ลดราคาวิธีนี้ เช่น เสื้อผ้าหรือ รองเท้า โดยจะติดราคา 690 บาท แต่ลดราคาเหลือ 199 บาท การลดราคาวิธีนี้อาจลดราคาไว้ตลอดปี ไม่เลือก โอกาสหรือเทศกาล วิธีนี้เคยนิยมใช้กันมาก แต่ปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้มากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าผู้ขายหลอกลวง และมีทัศนคติไม่ดีต่อผู้ขาย 3.3 การตั้งราคาสินค้าที่ขายควบหรือขายรวมห่อ (Multiple Packaging) เป็นการรวมสินค้า ต่างๆ เข้าด้วยกัน และขายรวมกันในราคาที่ลดลง เพื่อกระตุ้นให้เกิดซื้อมากขึ้น วิธีนี้นิยมใช้กันมากในร้าน ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งต้องการให้ผู้ซื้อซื้อสินค้าหลายชนิดหรือหลายชิ้นร่วมกันในราคารวมที่ต่ำกว่าการซื้อแยกกัน 3.4 การตั้งราคาผู้นำหรือราคาล่อใจ (Leader Pricing) เป็นการตั้งราคาโดยนำสินค้าอุปโภค บริโภคบางอย่างมาลดราคาในราคาที่ใกล้เคียงกับต้นทุนหรือราคาต่ำกว่าทุนเพื่อดึงดูดใจให้ซื้อและซื้อสินค้า ชนิดอื่นในราคาปกติโดยจำกัดปริมาณการซื้อ 3.5 การขายเชื่อแบบคิดดอกเบี้ยต่ำ (Low-Interest Financing) เป็นการตั้งราคาเพื่อส่งเสริม การตลาดและต้องการกระตุ้นยอดขายโดยให้สินเชื่อแบบคิดดอกเบี้ยต่ำ เช่น โทรศัพท์มือถือ ที่อยู่อาศัย รถยนต์ ฯลฯ 4. นโยบายการตั้งราคาเดียวหรือราคายืดหยุ่น เป็นการตั้งราคาขายโดยใช้ราคาเดียวเป็นมาตรฐาน หรือการตั้งราคาที่ยืดหยุ่นได้เพื่อให้สามารถสู้กับคู่แข่งขันได้นโยบายการกำหนดราคานี้มี2 วิธีดังนี้ 4.1 การตั้งราคาเดียว (One Price Policy) เป็นการตั้งราคาสินค้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน กับผู้ซื้อทุกรายเป็นวิธีที่ผู้ซื้อไม่ต้องเปรียบเทียบราคา ไม่ต้องเสียเวลาต่อรองราคาผู้ซื้อเพียงพิจารณาคุณภาพ และความเหมาะสมของสินค้า 4.2 การตั้งราคายืดหยุ่นได้(Flexible Price Policy) เป็นการตั้งราคาสินค้าชนิดเดียวกันแต่ จำหน่ายให้ผู้ซื้อแต่ละรายในราคาที่แตกต่างกัน ราคาที่เสนอขายจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ซื้อกับผู้ขาย และความสามารถในการต่อรองราคาของผู้ซื้อการตั้งราคาวิธีนี้ผู้ที่ซื้อสินค้าแพงกว่าผู้อื่นจะมี ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกิจการ 3. วิธีการกำหนดราคา วิธีกำหนดราคาที่นิยมใช้คือกำหนดราคาจากต้นทุน (Cost Oriented Pricing) ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย การ จะบวกจำนวนเปอร์เซ็นต์จะต้องคำนวณเพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยจะบวกเพิ่มจำนวน เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับลักษณะสินค้า หากเป็นสินค้าตามฤดูกาล เช่นเสื้อกันหนาว ปืนฉีดน้ำ ฯลฯ หรือสินค้าตาม สมัยนิยม เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น จะบวกจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงในระยะแรกหรือขณะที่สินค้ากำลังได้รับความนิยม เพื่อชดเชยสินค้าล้าสมัยหรือสินค้าค้างสต็อกที่ไม่เป็นที่นิยมในภายหลัง สินค้าประเภทสะดวกซื้อ เช่น สบู่ ยาสี ฟัน ฯลฯ เป็น สินค้าที่หาซื้อได้ง่าย มีการซื้อบ่อย และมีการแข่งขันสูง จะบวกเปอร์เซ็นต์ต่ำ ส่วนสินค้าที่นานๆ จึงจะขายได้หรือสินค้าที่ต้องใช้พื้นที่ในการจัดแสดงมากจะบวกเปอร์เซ็นต์ไว้สูงเช่นเครื่องเพชร46%,ร้านขาย เสื้อผ้า 41% หรือร้านหนังสือ34%
66 3.1 การตั้งราคาโดยบวกเพิ่มจากต้นทุน เหตุผลที่การตั้งราคาโดยบวกเพิ่มจากต้นทุนได้รับความ นิยมมีดังนี้ 3.1.1 กิจการที่ไม่ทราบต้นทุนราคาสินค้าแน่นอน เพราะการตั้งราคาแบบนี้จะไม่มีการ เปลี่ยนแปลงแม้ว่าความต้องการของสินค้าจะเปลี่ยนแปลงไป 3.1.2 เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากและไม่เสียเวลาปรับปรุง 3.1.3 มีการแข่งขันด้านราคาน้อยเพราะมีราคาสินค้าไม่แตกต่างกัน 3.1.4 มีความยุติธรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย 3.2 การตั้งราคาสินค้าโดยส่วนบวกเพิ่มจากต้นทุน (Markup) เป็นการตั้งราคาสินค้าที่ต้องทราบ ต้นทุนเพราะกำไรจะเกิดจากรายได้ที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว หากต้นทุนตัวใดไม่ได้นำมาคิดอาจ ทำให้ธุรกิจเกิดการขาดทุน ดังนั้นการตั้งราคาจึงมีพื้นฐานมาจากต้นทุนของธุรกิจโดยมีวิธีตั้งราคาสินค้า 2 วิธี ดังนี้ 3.2.1 การตั้งราคาสินค้าจากต้นทุน (Markup on Cost) เป็นวิธีที่นิยมใช้และเป็นการตั้งราคา โดยการบวกเพิ่มจากต้นทุน ตัวอย่างที่1 สินค้ามีต้นทุนรวมชิ้นละ 120บาทต้องการกำไร 20% จะต้องตั้งราคาขายเท่าไหร่ วิธีทำ ราคาขายต่อชิ้น = ต้นทุนรวมต่อชิ้น+ % กำไรที่ต้องการจากต้นทุน = ต้นทุนรวมต่อชิ้น+ กำไรที่ต้องการ+ต้นทุนรวมต่อชิ้น 100 = 120+ 20+120 100 = 120+24 ราคาขายต่อชิ้น = 144.-บาท 3.2.2 การตั้งราคาสินค้าจากราคาขาย (Markup on Selling Price) เป็นการตั้งราคาโดย บวกเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาขาย ตัวอย่างที่2 สินค้ามีต้นทุนรวมชิ้นละ 120บาทต้องการกำไร 20% จะต้องตั้งราคาขายเท่าไหร่ วิธีทำ ราคาขายต่อชิ้น = 100+ต้นทุนรวมต่อชิ้น 100 – กำไรที่ต้องการ = 100+120 100 – 20 = 12,000 80 ราคาขายต่อชิ้น = 150บาท
67 หรือการใช้สูตรในการคำนวณส่วนบวกเพิ่มในต้นทุนซึ่งเป็นผลต่างระหว่างจำนวนเงินที่ผู้ขายสินค้าซื้อสินค้า จากผู้ผลิตและขายให้ผู้ซื้ออีกราคาหนึ่ง โดยสูตรที่ใช้ในการคำนวณดังนี้ M = Markupคือราคาส่วนที่บวกเพิ่ม C = Costคือราคาต้นทุนสินค้า R = Retailคือราคาขายปลีก M = R- C C = R- M R = C + M การคำนวณส่วนบวกเพิ่มโดยคำนวณเป็นจำนวนเงินหรือคำนวณออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ สูตร R = C + M = 120+ (120+20) 10 ราคาขาย = 144บาท ส่วนบวกเพิ่ม = 24บาท ตัวอย่างที่3 สินค้าชนิดหนึ่งมีราคาทุน 860 บาท บวกเพิ่มไว้40% ของราคาทุน จงหาราคาขายและส่วน บวกเพิ่ม สูตร R = C + M = 860+ (860Ö40) 100 = 860+344 ราคาขาย = 1,204บาท ส่วนบวกเพิ่ม = 344บาท ตัวอย่างที่4 สินค้าชิ้นหนึ่งมีราคาทุน400บาทขายไปในราคา 600บาทจงหาส่วนบวกเพิ่มส่วนบวกเพิ่มเป็น % ของราคาทุน สูตร M = R – C = 600 – 400 ส่วนบวกเพิ่ม = 200บาท = M C+100 = 200 400+100 = 50%
68 ส่วนบวกเพิ่มเป็น50% ของราคาทุน หรือการใช้สูตรในการคำนวณการบวกเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาขาย ตัวอย่างที่5 สินค้ามีต้นทุนชิ้นละ 140บาทต้องการกำไร 20% ต้องตั้งราคาขายเท่าไหร่ สูตร R = C + M = 140+ (140+20) 100 = 140+28 ราคาขาย = 168บาท การกำหนดราคาขายเป็นสิ่งสำคัญต่อกิจการ ดังนั้นนักการตลาดจึงควรกำหนดราคาขายให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งรายได้จากการขาย มุ่งกำไร มุ่งปริมาณการขาย มุ่งการแข่งขัน มุ่งด้านสังคม และมุ่งสร้างภาพลักษณ์กิจการ โดยในการกำหนดราคาขายจะมีหลักเกณฑ์ที่ช่วยประกอบการ ตัดสินใจ ซึ่งอาจใช้นโยบายราคาเชิงจิตวิทยา นโยบาย การตั้งราคาหลายระดับ นโยบายราคาเพื่อส่งเสริม การตลาด และนโยบายการตั้งราคาเดียวหรือราคายืดหยุ่น นอกจากนี้วิธีการกำหนดราคาสินค้าที่นิยมใช้ คือ การกำหนดราคาจากต้นทุนซึ่งเป็นการตั้งราคาสินค้าโดยบวกเพิ่มไปในราคาต้นทุนสินค้าหรือใช้วิธีตั้งราคา สินค้าจากราคาขาย ความหมายช่องทางการจัดจำหน่าย กระบวนการทางการตลาดที่ผู้ผลิตสินค้าจะทำให้สินค้าของตัวเองไปสู่ผู้บริโภคหรือทำให้ผู้บริโภคหาซื้อ สินค้าได้อย่างสะดวกในราคาที่เหมาะสมตามเวลาที่ต้องการไม่ใช่เรื่องง่ายดายหากตึกภาพโรงงานของผู้ผลิต ตั้งอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งในขณะที่ผู้บริโภคกระจายอยู่ทั่วประเทศ ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าในเวลาที่ แตกต่างกันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ผลิตจะสนองความต้องการ "โดยตรง" ถึงผู้บริโภคให้ได้รับความพึงพอใจ หรือ "อรรถประโยชน์" ทั้งในด้านปริมาณสินค้า ต้นทุนสินค้า และเวลาได้เหตุผลข้างต้นในกระบวนการทาง การตลาด จึงจำเป็นต้องมีบุคคลที่สามารถเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ผลิต (จำนวนหนึ่ง) กับผู้บริโภค (จำนวนมาก) บุคคลที่สามที่ว่านี้ก็คือกลุ่มของ "คนกลาง" (Intermediaries) ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นช่องทางการจัดจำหน่าย (Marketing Channels หรือ Distribution Channels) เช่น คนกลางในรูปแบบร้านค้า (Merchants) ได้แก่ ร้านค้าส่ง ร้านค้าปลีก คนกลางในรูปแบบตัวแทน (Agents) คนกลางในรูปแบบสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilitators) เช่น คลังสินค้า บริษัทขนส่ง ธนาคาร เป็นต้น ช่องทางการจัดจำหน่าย (Marketing Channels/Distribution Channels) จึงเป็นกลุ่มขององค์กรอิสระซึ่ง เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนที่จะนำสินค้าและบริการไปสู่การบริโภคนั่นเอง หากจะเปรียบเทียบกับส่วนประสม การตลาด (Marketing Mix) อื่น ๆ แล้ว การตัดสินใจเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายดูจะมีความยุ่งยากซับซ้อน อยู่เบื้องหลังเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุที่เป็นการตัดสินใจที่จะต้องขึ้นอยู่กับองค์กรอิสระภายนอกดังที่กล่าวมา ซึ่งต้องถือว่าองค์กรเหล่านั้นมีเป้าหมายและวิธีการดำเนินงานที่แตกต่างออกไปอยู่นอกเหนือการควบคุมของ ผู้ผลิต ด้วยลักษณะที่เป็น "เงินคนละกระเป๋า" "เป้าหมายที่แตกต่าง" จึงทำให้องค์กรต้องประสบปัญหา ยุ่งยากพอสมควรในการจัดการคนกลางเหล่านี้ หากจะดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น การพัฒนาและ
69 เติบโตของร้านค้าปลีกยุคใหม่มีผลต่อสินค้าของผู้ผลิตอย่างมากซึ่งจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป อีกประการหนึ่ง การตัดสินใจเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายมีผลกระทบต่อการตัดสินใจส่วนประสมการตลาดอื่น ๆ เช่น การกำหนดลักษณะสินค้าและบรรจุภัณฑ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมกับวิธีการจัดจำหน่ายการเลือกโปรแกรม การส่งเสริมการตลาด การตัดสินใจเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย จึงเป็นปัญหาท้าทายนักการตลาดให้ต้องปรับ ยุทธวิธีการจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับความก้าวหน้า และเปลี่ยนแปลงไปของคนกลางประเภทต่าง ๆ เทคโนโลยี และระบบข่าวสารข้อมูลที่ถูกนำมาใช้กับการจัดการการจัดจำหน่าย พฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นความ รวดเร็ว นอกจากนี้การคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการสู่ผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความ แตกต่างและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นความท้าทายที่ชี้ชะตาความอยู่รอดของธุรกิจและการตลาดยุคปัจจุบัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 3.3 หน้าที่ของช่องทางการจัดจำหน่าย คนกลางที่ถูกกล่าวถึงในช่องทางการจัดจำหน่าย เข้ามาทำหน้าที่ต่าง ๆ ในกระบวนการที่จะนำสินค้า และบริการไปสู่การบริโภคเพื่อแก้ปัญหาความหลากหลายทางด้านสถานที่ เวลา การเคลื่อนย้ายสินค้าใน ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคหน้าที่หลักของคนกลางในช่องทางการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย 1. รวบรวมข่าวสารข้อมูลการตลาดที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคปัจจุบัน และผู้บริโภคในอนาคต คู่แข่งขัน และข้อมูลอื่น ๆ ทางการตลาด 2. สื่อสารการตลาดกับผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นการซื้อ 3. เจรจาต่อรองเพื่อบรรลุข้อตกลงในด้านเงื่อนไขการซื้อขาย เช่น ด้านราคา เงื่อนไขอื่น ๆ สั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตจัดหา 4. แหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนสินค้าคงคลังในระดับต่าง ๆ 5. รับภาระความเสี่ยงจากการเก็บรักษาสินค้า 6. การเคลื่อนย้ายสินค้าและคลังสินค้า 7. การชำระเงินโดยผ่านระบบธนาคารและสถาบันการเงิน 8. การโอนย้ายสิทธิความเป็นเจ้าของสินค้าในแต่ละช่องของการจัดจำหน่าย หน้าที่ทั้งหมดของช่องทางการจัดจำหน่ายทำให้เกิดการไหล (Flow) 5 ประเภท ซึ่งรวมกันเป็นกลไก สำคัญในการจัดการช่องทางการจัดจำหน่าย ได้แก่ 1. การไหลของสินค้า 2. การไหลของสิทธิความเป็นเจ้าของ 3. การไหลของการชำระเงิน 4. การไหลของข้อมูล 5. การไหลของการส่งเสริมการตลาด
70 3.4 ระดับของช่องทางการจัดจำหน่าย การตัดสินใจระดับของช่องทางการจัดจำหน่าย คือ การพิจารณาความยาว (Length) ของการจัด หน่ายจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคว่าจะต้องผ่านคนกลางมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นจะแยกเป็นสินค้า อุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรม ระดับของช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค 1. การจัดจำหน่ายระดับศูนย์ (Zero-level Channel) หรือเรียกว่า Direct-marketing Channel เป็นการจัดจำหน่ายโดยตรงจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ไม่ผ่านคนกลางใด ๆ รูปแบบที่คุ้นเคยกันก็คือการใช้ พนักงานขายถึงประตูบ้าน(Door-to-Door Sales) หรือการขายตรง (Direct Sales) ซึ่งบริษัทชั้นนำ เช่น แอม เวย์ เอวอน มีสทีน ฯลฯ นำมาใช้อย่างได้ผล การใช้วิธีส่งจดหมายตรง (Mail Order) การขายทางโทรศัพท์ (Telemarketing) การขายผ่านสื่อ (Media Selling) รวมไปถึงรูปแบบร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่าย อินเตอร์เน็ต (Internet Selling) 2. การจัดจำหน่ายระดับหนึ่ง (One-Level Channel) การจัดจำหน่ายผ่านคนกลางเพียงชั้นเดียว คือร้านค้าปลีก (Retailer) โดยผู้ผลิตทำหน้าที่กระจายสินค้าผ่านร้านค้าปลีกเพื่อจำหน่ายต่อไปยังผู้บริโภค 3. การจัดจำหน่ายระดับสอง (Two-Level Channel) ผู้ผลิตมอบภาระการจัดจำหน่ายให้กับร้านค้า ส่ง(Wholesaler) จำหน่ายสินค้าต่อไปยังร้านค้าปลีกอีกทอดหนึ่ง เพื่อให้สินค้ากระจายอย่างทั่วถึง ในอดีต ร้านค้าส่งแบบเดิม (ยี่ปั๊ว) ทำหน้าที่ด้านการตลาดแทนผู้ผลิตในพื้นที่รับผิดชอบ รับผิดชอบเป้าหมายการตลาด และการแข่งขันกับคู่แข่งทุกรูปแบบ 4. การจัดจำหน่ายระดับสาม (Three-Level Channel) คนกลางที่เรียกว่า Jobber " ซาปั๊ว" เข้ามารับ ช่วงต่อจากร้านค้าส่งอีกทอด เพิ่มความเข้มแข็งในการกระจายสินค้า สู่ร้านค้าปลีกให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ระดับของช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม ระดับของการจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมแตกต่างจากสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่บ้าง เนื่องจาก องค์ประกอบของคนกลางแตกต่างกันวิธีการจัดจำหน่ายอาจจะดำเนินการโดยตรงโดยผ่านพนักงานขายของ บริษัทสู่ลูกค้า หรือผ่านผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม (Industrial Distributors) หรือผ่านตัวแทนผู้ผลิต (Manufacturer's Representative) หรือสำนักงานสาขาของผู้ผลิต (Manufacture's Sales Branch) ก็ได้ ส่วนประกอบของการจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายสินค้ามีส่วนประกอบดังนี้ 1. ช่องทางการจัดจำหน่าย (Channel of Distribution) เป็นเส้นทางที่ผลิตภัณฑ์และกรม สิทธิ์ของผลิตภัณฑ์เคลื่อนผ้ายไปยังตลาด 2. การกระจายสินค้า (Physical of Distribution) เป็นการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปยัง ลูกค้าโดยเร็ว
71 หน้าที่ รูปแบบ และประเภทของช่องทางการจัดจำหน่าย 1. หน้าที่ของช่องทางการจัดจำหน่ายการที่ผู้ผลิตจำนวนมากไม่สามารถขายสินค้าขายสินค้าให้กับรับ โภคหรือผู้ได้ไปโดยตรงอย่างทั่วถึง หรือหากทำการจัดจำหน่ายเองโดยตรงจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก บางครั้งคนกลางสามารถทำการกระจายสินค้าได้ดีผู้ผลิต ดังนั้นการตลาดจึงต้องพิจารณาเลือกคนกลางทาง การตลาดที่มีประสิทธิภาพ โดยหน้าที่ของช่องทางการจัดจำหน่ายมีดังนี้ 1.1 เป็นแหล่งข้อมูลทางการตลาด (Information) คนกลางจะทำหน้าที่รวบรวมรัดมูลลูกค้า คู่แข่งขัน หรือสิ่งแวดล้อมทางการตลาดให้กับผู้ผลิต เนื่องจากจะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับลูกค้ามากที่สุด ทำให้ทราบ ความหรือความเคลื่อนไหวทางการ การตลาด การแช่งอัน และสิ่งแวดล้อมทางการตลาดได้ดีกว่าผู้ผลิต ซึ่งผู้ผลิตสมารถนำข้อมูลต่างๆ ไปในการวางแผนการตลาดได้อย่างเหมาสมสะสอดคล้องกับสภาระทาง การตลาด 1.2 การเจรจาต่อรอง (Negotiation) คนกลางจะทำหน้าที่จรจาต่อรองราคาและเงื่อนไขการ ซื้อขายต่างๆ กับผู้ซื้อแทนผู้ผลิต 1.3 ทำหน้าที่การเงิน (Finance) คนกลางความเสี่ยงต่อการเสื่อมคุณภาพของสินค้าหรือ สินค้าล้าสมัย ความเสี่ยงต่อสินค้าสูญหาย 1.4 รับภาระเสี่ยงภัย (Risk- taking) คนกลางจะรับภารการขนส่งและ ระการเก็บรักษา 1.5 จัดทำและส่งคำสั่งซื้อไปยังผู้เด็ด (Ordering) คำสั่งซื้อของลูกค้ามาเป็นคำสั่งซื้อของคน กลางส่งเพื่อส่งต่อหรือจำหน่ายต่อไปยังผู้ซื้อหรือผู้ใช้ 1.6 ทำให้มีคลังสินค้า (Physical Product) คนกลางจะทำ สำรองสินค้าคงคลังไว้เพื่อรอ จำหน่าย 1.7 การชำระเงิน (ไปชำระให้กับผู้ผลิต 1.8 การโอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ คนกลางจะทำหน้าที่โอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์สินค้าของผู้ผลิตไป ยังบุคคลหรือองค์กรอีกกลุ่มหนึ่ง 1.9 ทำหน้าที่ส่งเสริมการตลาด (Promotion) คนกลางทำหน้าที่กระตุ้นและจูงใจให้ลูกค้าซื้อ สินค้าของผู้ผลิต การส่งเสริมการตลาดของ สินค้าจัดแสดงในตู้โชว์หรือชั้นรองเพื่อให้ลูกค้าเห็นได้ง่าย และช่วย โฆษณาส่งเสริมการชายสินคำให้กับผู้ผลิต 2. รูปแบบของช่องทางการจัดจำหน่าย รูปแบบของช่องทางการบริการมีความชับซ้อน มีผู้เกี่ยวร้อง เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้ค้าส่ง โดยจะเป็นรูปแบบเครือข่าย กลุ่มคนกลางต่างๆ มี บทบาทในการติดต่อซื้อขายแล ละกระจายสินค้าไปในช่องทาง การจัดจำหน่ายแบ่งออกได้ 2 ช่องทาง ดังนี้ 2.1 ช่องทางการจัดจำหน่ายทาง ทางตรง (Direct Channel of Distribution) เป็นช่องทาง การกระจายสินค้าที่ไม่มีกลางเข้ามาช่วยกระจายสินค้า ผู้ผลิตจะติดต่อชายสินค้าโดยตรงกับผู้บริโภคคนสุ น่าย สินค้าของผู้ผลิตหน้าโรงงานหรือผู้ผลิตนำสินต่ำไปจำหน่าย ฌ แหล่งจำหน่าย ผู้ผลิตส่งพนักงานชายไปเสนอ ชายให้ลูกค้าถึงบ้านหรือผู้ผลิตเปิดสำนักงานเพื่อจำหน่ายสินค้ให้กับลูกค้า รวมถึงการใช้วิธีการตลาดทางตรง
72 (Direct Marketing) เช่น ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์นอกจากผลิตสินค้า เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้คำส่งแล้วอาจเปิด สำนักงานขายเพื่อจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคเองโดยตรง หรือบริษัท ฟลายนาว (Ply Now) จำกัด นอกจาก จะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายตามห้างสรรทสินค้าแล้ว ยังมีการนำสินค้ามาจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ และเปิดวัน ขายสินค้าจากโรงาน (Out let) เพื่อจำหน่ายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภคด้วย ช่องทางการจัดจำหน่ายโดยตรงไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย ช่องทางการจัดจำหน่ายโดยตรงไปยังผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคที่ใช้ช่องทางการจำหน่ายทางตรงเป็น เป็นสินคำที่มีอายุสั้น ต้องใช้ช่องทางการจำหน่ายที่ เร็วเพื่อลดปัญหาสินค้าเน่าเสียหรือหมดอายุก่อนถึงผู้ปริโภค เช่น นมสด ผัก ผลไม้ ฯลา สินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายทาง ทางตรงนิยมใช้กับสินค้าประเภทวัตถุดิบ ซึ่งต้อง ใช้พื้นที่ในการเก็บรักษามาก หรือตัวแทนจัดจำหน่ายอาจไม่มีสถานที่เก็บรักษาสินค้า จึงจำเป็นที่ผู้ใช้สินค้า อุตสาหกรรมจะตกลงซื้อขายสินค้ากับผู้ผลิต สินค้าอุตสาหกรรมที่นิยมใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายทางตรง เช่น อุปกรณ์ก่อสร้าง สินค้าการเกษตรที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูป ฯลฯ 2.2 ช่องทางการจัดจำหน่ายทางอ้อม (Indirect Channel of Distribution) เป็นช่องทางการ จำหน่ายโดยผ่านตนกลาง ได้แก่ ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย การจัดจำหน่าย วิธีนี้คนกลางจะเข้ามาทำ หน้าที่ระหว่างผู้ผลิตและคนกลางจะทำหนำที่ช่วยให้การกระจายสินค้ามีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น อาจใช้คน กลางเพียงรายเดี่ยวหรือหลายราย มักใช้กับการจำหน่ายสินค้ำอุปโภคบริโภค 2.3 ประเภทของช่องทางการจัดจำหน่าย ช่องทางการจัดจำหน่ายแบ่งตามประเภทของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อการ อุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อไปเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว มีตลาดเป็นหมายอผู้บริโภคคน สุดท้าย และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ผู้บริโภคซื้อไปเพื่อการแปรรูปหรือแปรสภาพสินต่ำเพื่อนำไปขายต่อ ตลาดเป้าหมายคือผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม ช่องทางการจัดจำหน่ายตามประเทผลิตภัณฑ์แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ ผู้ผลิต (Manufacture) ผู้บริโภคคนสุดท้าย (Ultimate Consumer ) ผู้ผลิต (Manufacture) ผู้ใช้สินค้าทางอุตสาหกรรม (Industrial Users)
73 2.3.1 ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) เป็น ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ต้องการกระจายสินค้า ให้ครอบคลุมไปยังแหล่งที่ให้ผู้บริโภคมากที่สุดนักการตลาด ต้องพยายามกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย โดยกำหนดลักษณะของ ช่องทางการจัด จำหน่ายไว้ดังนี้ 2.3.2 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค เป็นช่องทางที่สั้นและง่าย ที่สุด ผู้ผลิตขายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้โดยตรงกับงานขายของผู้ผลิตเป็นผู้กระจายสินค้า โดยการจัดแสดงสินค้า ณ จุดขาย การขายด้วยการสื่อสารทางการตลาด การขายโดยใช้พนักงานขาย การขายโดยเครื่องจักอัตโนมัติ หรือการขายในร้านค้าของผู้ผลิตเอง ช่องทางการจำหน่าย จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค 2.3.3 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านผู้ค้าปลีกไปยังผู้บริโภค เป็นช่อง ทางการจัดจำหน่ายที่ผู้ผลิตจะจำหน่ายสินค้าของตนให้กับผู้ค้าปลีก จากนั้นผู้ค้าปลีกนำไปขายต่อให้ผู้บริโภค หรือผู้บริโภคมาซื้อสินค้าที่ร้านคำของผู้ค้าปลีกเอง สินค้าที่เหมาะกับการจัดจำหน่าย ช่องทางนี้ คือสินค้าทั่วไป ที่จำเป็นแก่การ การครองชีพ ซึ่งจะขายผ่านร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่นห้างสรรสินค้า ร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่ โดยร้านค้าปลีกเหล่านี้จะสั่งซื้อสินค้าโดยตรง จากโรงงาน สินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้าแฟชั่น สินค้า สมัยยม เช่น เสื้อผ้า กระเป้าถือ รองเท้า ฯลฯ และสินค้าเน่าเสียง่าย ชน ผัก ผลไม้ ตอกไม้สด นมสด ฯลา ผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก ผู้บริโภคคนสุดท้าย ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านผู้ค้าปลีกไปยังผู้บริโภค 2.3.4 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกไปยังผู้บริโภคเป็น ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ผ่านคนกลาง 2 ระดับคือผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายแบบดั้ง เต็มที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะผู้ผลิตบางรายผลิตสินค้าเพียงไม่กี่ชนิดแต่ เละแต่ละชนิดจะมีวิธีการผลิตที่ แตกต่างกัน เมื่อผู้บริโภคต้องการใช้สินค้าหลายชนิด ผู้ผลิตจะใช้คนกลางซึ่งเป็นผู้คำส่ง ช่วยกระจายสินค้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกับกับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่าย การจัดเก็บรักษาสินค้าและการชนส่ง ผู้คำสงมีความ ชำนาญ กระตุ้นเคยกับผู้ค้าปลีก โดยเฉพาะร้านค้าปลีก ต่างจังหวัด สินค้าที่นิยมจัดจำหน่ายในช่องทางนี้ คือ สินค้าสะดวกซื้อ สินค้าที่ไม่เน่าเสียง่าย และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้ผลิต ผู้ค้าส่ง ผู้ค้ำปลีก ผู้บริโภคคน สุดท้าย ผู้ผลิต ผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้บริโภคคนสุดท้าย
74 ช่องทางจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านผู้ส่งและผู้ค่าปลีกไปยังผู้บริโภค 2.3.4 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านตัวแทนไปยังผู้บริโภค เป็นช่องทาง การจัดจำหน่ายผ่านคนกลาง 1 ระดับ โดยคนกลางที่ผู้ผลิตแต่งตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิต ทั้งหมดหรือบางส่วน และไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่จำหน่าย โดยผู้ผลิตแต่งตั้งตัวแทนให้จำหน่ายสินค้าแทน เนื่องจากผู้ผลิตไม่มีความรู้ความชำนาญในตลาด หรือผู้ผลิตทำหน้าที่ผลิตและให้ตัวแทนทำหน้าที่เหมือนฝ่าย ขายหรือฝ่ายการตลาดแทนผู้ผลิต การค้ากับต่างประเทศนิยมใช้ช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนเพื่อให้ตัวแทน ช่วยทำหน้าที่ทางการตลาดในต่างประเทศ 2.3.5 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านตัวแหนผู้ผลิตไปยังผู้ใช้ทางการจัด จำหน่ายผ่านตัวแทน แทนผู้ผลิตที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ผลิตให้วับผิดชอบการขายหรือทำหน้าที่ทางการตลาด แทนผู้ผลิต เนื่องจากผู้ผลิตขาดความชำนาญหรือมีเงินทุนจำกัด จึงไม่สามารถทำการจัดจำหน่ายเองได้ ซึ่งผู้ได้ ทางอุตสาหกรรมจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่มีปริมาณและมูลค่าการสั่งซื้อสูง สินค้ามีราคาต่อหน่วยสูง ตัวแทนผู้ผลิตจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายการตลาดให้กับผู้ผลิตช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านตัวแทนผู้ผลิตไป ยังผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม 2.3.6 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตผ่านตัวแทนผู้ผลิต ผ่านผู้จัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไปยังผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม ขนาดเล็ก สินค้ามีราดาต่ำ ผู้ผลิตไม่มีแผนกการตลาดจึงต้องอาศัยผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมช่วย กระจายสินค้า เพราะผู้ใช้ทางอุตสาหกรรมมีจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วไป สินค้าที่ใช้ช่องทางการจัด จำหน่ายนี้ เช่น อุปกรณ์การเกษตร ตะปู เลื่อย เครื่องมือช่างขนาดเล็ก ฯลฯ การค้าปลีกและประเภทของกิจการค้าปลีก การค้าปลีก (Retailing) หมายถึงกิจกรรมที่เกี่ยวกับการขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย โดยเป็นกลางรวบรวมสินค้าและทยอยขายให้กับผู้บริโภคในปริมาณน้อยร้านค้าปลีกมีความ แตกต่างกันใน ขนาดของกิจการ เช่น หาบเร่ แผงลอย ร้านขายปลีกขนาดเล็ก จนถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ การขายปลีก รวมไปถึงการขายปลีกแบบไม่มีร้านค้า เช่นการขายตรง การขายทางโทรศัพท์ การขายโดยเครื่องจักร และการ ขายทางอินเทอร์เน็ต (e-commerce)ในการค้าปลีกมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าปลีก พ่อค้าปลีก (Retailer)ซึ่งเป็นพ่อค้าคนกลางที่ทำหน้าที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ผลิต ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ผู้บริโภคคนสุดท้าย ผู้ผลิต ตัวแทนผู้ผลิต ผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม ผู้ผลิต ตัวแทนผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ (ผู้ค้าส่ง) ผู้ใช้ทาง อุตสาหกรรม
75 ประเภทของกิจการค้าปลีก ปัจจุบันร้านค้าปลีกมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนเป็นอย่างมากเมื่อคนมีรายได้ มีการศึกษาที่ดีขึ้น มีการดมนาคมที่สะดวกสบาย ร้นค้าปลีกจึงเปลี่ยนแปลงไปตามการเจริญเติบโตของสังคม อย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดรูปแบบการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade)เพื่อตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย โดยการค้าปลีกแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. การค้าปลีกแบบมีร้านค้า (Store Retailing) แบ่งออกได้ 3 ประuท ดังนี้ 1.1 ร้านค้าปลีกอีกตามชนิดของสินค้า เป็นการแบ่งประเภทการค้าปลีกตามชนิด สินค้าที่จำหน่ายมีดังนี้ 1.1.1 ร้านค้าปลีกสินค้าทั่วไป (General Merchandise Store) หรือ เรียกว่า ร้านขายของชำหรือร้านโชห่วย (Grocery store) เป็นร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม กระจายอยู่ตามบริเวณ ที่ลูกค้าอาศัย ใช้เงินลงทุนน้อย จัดวางสินค้าไม่ถึง เป็นหมวดหมู่ สินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าที่ใช้ใน ชีวิตประจำวัน เช่น ยาสีฟัน สบู่ อาหาร กระป๋อง ฯลฯ ปัจจุบันร้านค้าประเภทนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจาก ผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าจากศูนย์การค้าหรือร้าน สรรพสินค้ามากกว่า 1.1.2 ร้านค้าปลีกสินค้าเฉพาะหมายถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์พวกเดียวกัน มี ความสัมพันธ์กันหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกัน ร้านค้าประเภทนี้จะจำหน่ายสินค้าเฉพาะชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่มี สินค้าให้เลือกจำนวนมาก เช่น ร้านขายอุปกรณ์กีฬาจะขายอุปกรณ์กีฬาหลายประเภท ทั้งเสื้อผ้าและกางเกง กีฬา รวมทั้งถุงเท้าและรองเท้ากีฬาด้วย 1.1.3 ร้านค้าปลีกสินค้าเฉพาะอย่าง (specialty store) เป็นร้านปลีกที่ขาย สินค้าเจาะจงซื้อประเภทใดประเภทหนึ่ง มีสินค้าให้เลือกหลายแบบ เช่น ร้านวัตสัน จะขายสินค้าเกี่ยวกับการ บำรุงผิวพรรณและเวชภัณฑ์ 2. ร้านค้าตามกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ สามารถจำแนกได้ดังนี้ 2.1 ร้านค้าปลีกอิสระ (Independent store) เป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็กผู้เป็น เจ้าของเนินกิจการเอง เป็นกิจการเจ้าของคนเดียว ใช้เงินลงทุนไม่มาก และจำหน่าย สินค้าหลายชนิด เช่น ร้านค้าแผงลอย ร้านขายของชำ 2.2 ร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่ (Chain Store) เป็นร้านค้าปลีกที่มีตั้งแต่ 2 ร้านขึ้นไป บริหารงานโดยเจ้าของหรือกลุ่มคนเดียวกัน มีหลายและดำเนินงานภายใต้นโยบายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการ จำหน่ายสินค้า มีการตกแต่งร้าน การกำหนดสาขาโดยใช้ชื่อร้านเหมือนกันราคา และการส่งเสริมการขาย เหมือนกัน โดยในแต่ละสาขาจะมีผู้จัดการคอยดูแลและรับคำสั่งการปฏิบัติงานจา จากสำนักงานใหญ่ เช่น ร้าน S&P ร้านสุกี้ MK 2.3 ร้านค้าปลีกแบบให้สิทธิ์ทางการค้า (Franchise System) เป็นระบบที่ผู้ให้สิทธิ์ ทางการค้า (Franchisor) ซึ่งบริษัทแม่ยอมให้ใช้เครื่องหมายการค้า (Trade Mark) และให้ความช่วยเหลือต่างๆ
76 ในการปริหารงานกับผู้วับสิทธิ์ทางการค้า (Franchisee) ซึ่งมีสิทธิ์ในการขายสินคำหรือบริการของผู้ให้สิชี้ทาง การค้า ภายให้เงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้วูบสิทธิ์และผู้ให้สิทธิ์ผู้รับสิทธิ์ต้อง่ายค่าตอบแทนเป็นคำธรรมเนียม แรกเข้าและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินกิจกรรม 2.3.4 ร้านค้าปลีกแบบสหกรณ์ผู้บริโภค (Consumer Co- operative)เป็นการวมตัว ของกลุ่มผู้บริโภคโดยการดำเนินการ สมาชิกสหกรณ์มีสิทธิ์ออกเสียงได้เพียง 1 เสียงไม่ว่าจะถือหุ้นที่หุ้นก็ตาม สมาชิกสหกรณ์จะได้รับผลประโยชน์จากสหกรณ์ 2 อย่าง คือดอกเบี้ยแลเงินปันผล สินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่ เป็นสินค้าที่จำเป็นแก่การครองชีพ มีราคายุติธรรม ราคาเท่ากันหรือต่ำกว่าท้องตลาด แต่ขณะนี้สหกรณ์กำลัง เผชิญปัญหากับการแช่งชันจากร้านสรรพาหารที่จำหน่ายสินค้าราคาถูก จึงทำให้สหกรณ์ผู้บริโภคได้รับความ นิยมลดลง 2.3.5 ร้านค้าปลีกแบบให้เช่าเฉพาะแผนก (Leaded Department Chain) เป็น กิจการขายปลีกที่เช่าสถานที่จองกิจการค้าปลีกอื่นเพื่อชายสินค้าหรือบริการ เช่น เช่าพื้นที่จากห้างสรรพสินค้า เพื่อขายสินค้า ในการเช่าพื้นที่จะเสียค่าเช่าเป็นตารางเมตร โดยค่าเช่าอาจติดเป็นรายวัน รายเดือน หรืออาจ เสียค่าเช่าพื้นที่เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย 2.3.6 ร้านค้าปลีกของผู้ผลิตสินค้า (Manufacturer Owned Chain) เป็นกิจการขายปลีกที่ดำเนินงานโดย ผู้ผลิตเอง เพื่อต้องการทราบพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงเป็นการระบายสินค้าออกสู่ตลาด สามารถใช้เป็น สถานที่จัดแสดงสินค้าที่ผลิตได้ และเป็นแหล่งที่กิจการสามารถระดมเงินได้ ร้านค้าปลีกตามวิธีการดำเนินงาน จำแนกได้ดังนี้ 1. ร้านสรรพสินค้า (Department Store) เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จัดวางสินค้าแบ่งออกเป็น หมวดหมู่และแผนก เพื่อความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า สินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าคุณภาพดี ราคา ราคาค่อนข้างสูงและมีความทันสมัย เช่น แผนกเครื่องแต่งกายสตรีผลบุรุษ แผนกเด็กอ่อน แผนก รองเท้า ฯลฯ ตกแต่งร้านค้าสวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่จอดรถ ลิฟต์ บันไดเลื่อน และบริการเสริม อื่นๆ เช่น การชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต บริหารห่อของขวัญ บริการให้คำแนะนำด้านความงาม ฯลฯ
77 2. ร้านสรรพาหาร (Supermarket) เป็นร้านค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภคที่ใช้ใน ชีวิตประจำวัน เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ให้ถูกค้าบริการด้วย (Self-Service) จำหน่ายสินค้าประเภท อาหาร ที่ใหม่ สด และมีความหลากหลาย โดยแบ่งสินค้าออกเป็นหมวดหมู่เช่น ผักและผลไม้ อาหารพร้อมปรุง อาหาร กระป๋อง เนื้อสัตว์นม เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส สิ่งของจำเป็นที่ใช้ในบ้าน อุปกรณ์ทำอาหาร ฯลฯ การชายใน ร้านสรรพาหารจะขายแบบบริการตัวเอง ซึ่งช่วยลดจำนวนพนักงานและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ทำให้สินค้าที่ จำหน่ายมีราคาถูก 3. ไฮเปอร์มาร์เก็ด (Hypermarket) เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่เป็นการผสมผสานระหว่างห้าง สรรพาหารกับห้างสรรพสินค้า มีพื้นที่ประมาณ 800-2000 ตารางฟุต จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อ การตำรงชีวิตในราคาถูก เช่น เทสโก้ โลตัส หรือ บิ๊กชี ฯลฯ 4. ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) เป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่จำหน่ายสินค้าประเภทอาหาร และสินค้าสะดวกซื้อตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าเข้าถึงสะดวก ติดถนนใหญ่หรือในชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน และเปิด
78 บริการตลอด 24 ชั่วโมง เช่นร้านเซเว่น (7-11) หรือเทศโกโลตัส เอ็กซ์เพรส ฯลฯ 5. ร้านค้าปลีกขายของถูก (Discount Stoke) หรือร้านค้าปลีกแบบให้ส่วนลด โดยกำหนดราคาสินค้า ที่ขายต่ำหว่าราคาที่ผู้ผลิตกำหนด เน้นขายสินค้าเป็นจำนวนมาก หวังผลกำไรเพียงเล็กน้อยและเป็นสินค้า มาตรฐาน 6. ร้านแสดงสินค้าและให้สั่งซื้อสินค้าตามแคตตาล็อก เป็นร้านค้าปลีกที่มีการจัดแสดงสินค้าภายใน และมีแคตตาล็อกที่มีรายละเอียดของสินค้าไว้ให้บริการลูกค้า ถ้าลูกค้าสนใจสามารถเขียนใบสั่งซื้อและขอรับ สินค้าได้ทันที ส่วนใหญ่เป็นสินค้าขนาดเล็กที่มีราคาไม่สูง หากเป็นสินค้าขนาดใหญ่ทางร้านจะจัดส่งให้ลูกค้า หลังจากการสั่งซื้อสักระยะ วิธีการขายแบบนี้ลูกค้าจะมาที่ร้านแสดงสินค้าและสั่งซื้อสินค้าตามแคตตาล็อก หรือร้านค้าอาจส่งแคตตาล็อกไปให้ลูกค้า หากลูกค้าสนใจสามารถเขียนใบสั่งซื้อส่งให้ร้านแสดงสินค้าได้ 7. การค้าปลีกแบบไม่มีร้านค้า (Non Store Retailing) แบ่งตามลักษณะ รูปแบบการสื่อสารระหว่าง ผู้ค้าปลีกกับลูกค้า
79 7.1 การค้าปลีกโดยใช้แคตตาล็อกและจดหมายขายของ (Direct Mail) วิธีนี้จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์ และจดหมายในการติดต่อสื่อสารไปยังลูกค้า ถ้าลูกค้าสนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทางโทรศัพท์หรือไปรษณีย์ จากนั้นผู้ค้าปลีกจะส่งสินค้าให้ลูกค้าทางไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่ง 7.2 การค้าแบบขายตรง (Direct Selling) เป็นการขายโดยส่งพนักงานขายไปติดต่อกับลูกค้า ที่บ้านหรือที่ทำงาน โดยจำนำสินค้าไปสาธิตให้ลูกค้าเป็นถึงประโยชน์ วิธีการใช้ กระตุ้นให้ลูกค้าสนใจและสั่งซื้อ มีการให้บริการหลังการขาย อาจขายแบบตัวต่อตัวหรือขายให้กับลูกค้าเป็นกลุ่ม เช่น การขายเครื่องใช้ใน ครัวเรือนที่มีราคาแพง การขายประกันชีวิต ฯลฯ 7.3 การค้าปลีกผ่านสื่อโทรทัศน์ (T.V.Home Shopping) มีวัตถุปะสงค์ในการขายสินค้าและ ให้บริการตามคำสั่งซื้อ โดยเสนอขายผ่านสื่อโทรทัศน์ซึ่งจะสาธิตการทำงานของสินค้าและลูกค้าสามารถสั่งซื้อ สินค้าได้ทันทีขณะชมการสาธิตสินค้า 7.4 การค้าปลีกผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(Electronic Retailing) บางครั้งเรียกว่า ร้านค้าปลีกที่ ใช้อินเทอร์เน็ต (Internet Retailing) เป็นการขายโดยใช้เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งข้อมูลต่างๆ ไปยัง คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ของลูกค้า และจัดส่งสินค้าผ่านทางไปรษณีย์การขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทำได้ 4 ลักษณะ ดังนี้ 7.4.1 การทำธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค(Business to Consumer: B2C) เป็นการขายปลีกจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าตนกลางหรือ ตัวแทนจำหน่าย มีปริมาณการซื้อขายแต่ละครั้งไม่มาก 7.4.2 การทำธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business: B2B)เป็นการขายสินค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตกับผู้ผลิต ผู้ผลิตกับผู้นำเข้าผู้ผลิตกับผู้ ส่งออก ผู้ผลิตกับผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก มีปริมาณการซื้อขายมากเพื่อจำหน่ายต่อให้กับผู้ค้าปลีก 7.4.3 การทำธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค(Consumer to Consumer: C2C) เป็นการขายสินค้าของบุดคลทั่วไปที่เปิดขายสินค้าตามเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต เช่น www.ebay.com หรือ www.thaisecon ndhand.com ฯลฯ 7.4.4 การทำธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้บริโภคกับธุรกิจ(Consumer to Business: C2B) เป็นการทำธุรกิจผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภคไปยังธุรกิจผู้บริโภคจะสื่อสารไปยัง ธุรกิจ โดยจะส่งคำถาม ข้อเสนอแนะ และดำติชม ผ่านทาง 6-mail 7.5 การขายด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ (Automatic Vending Machine)เป็นการค้าปลึกโดย ไม่มีร้านค้าผ่านเครื่องจักรอัตโนมัติ เพียงแต่ลูกค้าหยอดเหรียญแล้วกดปุ่มเลือกสินค้าที่ต้องการ ลูกค้าสามารถ ใช้บริการในเวลาใดก็ได้ โดยเครื่องจักรขายสินค้าจะตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงงาน สถานีรถไฟฟ้า โรงพยาบาล สินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้าที่มีราคาต่อหน่วยต่ำ เช่น นม กล่อง เครื่องดื่ม ฯลฯ
80 การขายด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ การค้าส่งและประเภทของกิจการค้าส่ง ความหมายของการค้าส่งการค้าส่ง (Wholesaling) หมายถึงการจำหน่ายสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิต ให้กิจการนำไปขายต่อ อาจเป็นพ่อค้าส่งรายอื่นหรือขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อนำไปแปรรูปโดยหวังผล กำไรพ่อค้าส่ง (Wholesalers) หมายถึงพ่อค้าที่ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตและนำไปจำหน่ายต่อให้กับผู้ค้าปลึกหรือ ผู้บริโภคที่เป็นองค์กรโดยหวังผลกำไร ประเภทของกิจการค้าส่งกิจการค้าส่งแบ่งตามกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสามารถแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. ผู้ค้าส่งที่เป็นผู้ค้า (Merchant Wholesalers) เป็นพ่อค้าส่งที่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ขาย บางครั้งเรียกว่า พ่อค้าส่งอิสระ (Jobbers) หรือผู้จัดจำหน่าย (Distribution) โดยจะซื้อสินค้าจากกลุ่มผู้ผลิต หรือผู้ค้าส่งรายอื่นๆ เพื่อไปขายต่อ พ่อค้ากลุ่มนี้แบ่งได้ 2 ประเกท ดังนี้ 1.1 พ่อค้าขายส่งที่ให้บริการเต็มที่ (Full-Service Wholesalers) เป็นพ่อค้าส่งที่มี กรรมสิทธิ์ในสินค้า ให้บริการทุกอย่างแก่ผู้ผลิตหรือร้านค้าปลึก เช่น บริการให้สินเชื่อ บริการขนส่ง บริการให้ ดำปรึกษาและแนะนำ บริการส่งมอบสินค้าและเก็บรักษาสินค้า แบ่งได้เป็น 1.2 พ่อค้าขายส่ง (Wholesale Merchant เป็นพ่อค้าส่งที่ขายสินค้าให้พ่อปลีก โดย ขายสินหลายสายผลิตภัณฑ์หรือเลือกขายสินค้บางสายผลิตภัณฑ์ 2. ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม (Industrial Distributors) เป็นพ่อค้าส่งที่ขายสินค้าให้ อุตสาหกรรม เช่น จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและให้บริการค้านต่างๆ 3. ผู้ค้าส่งที่ให้บริการจำกัด (Limited Service Wholesalers) เป็นพ่อค้าส่งที่ให้บริการลูกค้า บางอย่าง พ่อค้าส่งประเภทนี้แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้ 3.1 พ่อค้าส่งรับคำสั่งซื้อ (Drop Shipper or Desk Jobber) เป็นพ่อค้าส่งที่ไม่มี สินค้าในมือ ทำหน้าที่ติดต่อไปยังผู้ผลิตให้ส่งสินค้าแก่ลูกค้าโดยพ่อค้าส่งจะดูแลการให้สินเชื่อและการเก็บเงิน ซึ่งได้รับผลตอบแทนเป็นค่านายหน้า 2 ประเภท ดังนี้
81 3.1.1 พ่อค้าส่งรับคำสั่งซื้อ (Drop Shipper or Desk Jobber) เป็นพ่อค้า ส่งที่ไม่มีสินค้าในมือ ทำหน้าที่ติดต่อไปยังผู้ผลิตให้ส่งสินค้าแก่ลูกค้า โดยพ่อค้าส่งจะดูแลการให้สินเชื่อและการ เก็บเงิน ซึ่งได้รับผลตอบแทนเป็นด่านายหน้า 3.1.2 พ่อค้าส่งรถเร่ (Wagon Truck Wholesalers) เป็นพ่อค้าส่งที่นำ สินค้าใส่รถเร่ขายให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ เช่น น้ำอัดลม ผลไม้ ขนม ฯลฯ 3.2 พ่อค้าส่งทางไปรษณีย์ (Mail-Order Wholesalers) พ่อค้าส่งประเภทนี้จะใช้วิธี ติตต่อทางจดหมายหรือโทรศัพท์มือถือ และจะจัดส่งสินค้าให้ทางไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่ง โดยลูกค้าจะดู รายละเอียดของสินค้าจากแคตตาล็อก 3.3 พ่ อ ค้ าส่ งขายสิ น ค้ าเป็ น เงิน ส ด และสิน ค้าไป เอง (Cash and Carry Wholesalers) ลูกค้าที่ซื้อสินค้าต้องชำระค่าสินค้าเป็นเงินสดและขนสินค้ากลับบ้านเอง ซึ่งเป็นการลด ค่าใช้จ่ายในการขนส่งและลดความเสี่ยงจากหนี้สูญ ทำให้ขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกกว่าพ่อค้าส่งรายอื่น เช่น ห้างแม็คโคร 3.4 พ่อค้าส่งรูปสหกรณ์ (Producer Co-operative) เกิดจากการรวมตัวของผู้ผลิต รายเล็กๆ ร่วมกันจัดตั้งสหกรณ์ขึ้น เพื่อรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรของสมาชิกและนำมาจำหน่ายต่อให้พ่อ ค้ำปลีก เพื่อไม่ให้เกษตรกรแย่งกันขายผลผลิตตัดราคากัน 3.4 พ่อค้าส่งฝากขายสินค้า (Rack Jobber) เป็นพ่อค้าส่งที่ฝากขายสินค้าตาม ร้านค้าต่างๆโดยจะกำหนดราดาขาย ช่วยจัดวางสินค้าบนชั้นโชว์ ดูแลสินค้า และวางแผนการขาย นายหน้า และตัวแทน (Broker and Agent) เป็นผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่ซื้อสินค้าโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่จำหน่ายและจะ ได้รับค่าตอบแทนเป็นค่านายหน้า แบ่งออกได้ 3.4.1 นายหน้า (Broker) ทำหน้าที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันโดยไม่มี กรรมสิทธิ์และไม่ได้ครอบครองสินค้า ไม่มีอำนาจในการตั้งราดาสินค้า เมื่อมีการตกลงซื้อขายสินค้าจะได้รับ ค่าตอบแทนเป็นค่านายหน้า 3.4.2 ตัวแทนผู้ผลิต (Manufacturer Agent) เป็นตัวแทนที่แต่งตั้งโดย ผู้ผลิตอาจเป็นตัวแทนผู้ผลิตเพียงรายเดียวหรือหลายๆ ราย จำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตโดยสินค้าไม่เป็นคู่แข่งขัน กัน ตัวแทนผู้ผลิตจะมีดวามรู้เกี่ยวกับลูกค้า รับผิดชอบเขตการขาย มีข้อมูลของสินค้าที่เป็นตัวแทน ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสินค้าใหม่ๆ ช่วยผู้ผลิตในการจัดโปรแกรมส่งเสริมการจำหน่ายและได้รับค่าตอบแทน เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย 3.4.3 ตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent) เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้ ผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง ทำหน้าที่ขายสินค้าทุกอย่างให้กับผู้ผลิต ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้า และจะช่วยผู้ผลิตรายเล็ก ที่ไม่มีเงินทุนโดยจะเข้ามาช่วยจัดจำหน่ายสินค้า จัดแสดงสินค้า และโฆษณาให้สินค้าสาขาและสำนักงานผู้ผลิต แบ่งออกได้ดังนี้
82 3.4.3.1 สาขาและสำนักงานขายสินค้า (Sale Branches and office) บางครั้งผู้ผลิตจะตั้งสาขาหรือสำนักงานขายขึ้นเพื่อควบคุมสินค้าคงเหลือ ปรับปรุงการขายและส่งเสริม การจำหน่าย โดยสาขาที่ตั้งขึ้นจะมีสินค้าเก็บไว้ เช่น อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนหรืออะไหล่ รถยนต์ส่วนสำนักงานขายจะไม่เก็บสินค้าไว้ เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจะประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ จัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ 3.4.3.2 สำนักงานจัดซื้อ (Purchasing Office) เป็นผู้ปลีกที่รวมตัว กันจัดตั้งสำนักงาน นจัดซื้อขึ้นในเมืองใหญ่เพื่อจัดหาสินค้ามาชาย โดยสำนักงานจัดซื้อจะทำหน้าที่เช่นเดียวกับ นายหน้าหรือตัวแทนจำหน่ายแต่เป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งของผู้ซื้อ ผู้ค้าส่งอื่นๆ (Miscellaneous Wholesalers) มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากผู้ค้าส่งที่กล่าวมาแล้วดังนี้ 1. ศูนย์รวมพืชผลทางการเกษตร (Agricultural Assembler) ทำหน้าที่รวบรวมผลิตผลทางการ เกษตรจากเกษตรกรหลายๆ ราย หรือผลผลิตจากชาวประมง เช่น ตลาดกลางผักและผลไม้ปากดลองตลาด "ลาดนัดสี่มุมเมือง ตลาดไท องค์การตลาดเพื่อการเกษตรตลาดกลางปลาเพื่อองค์กรสะพานปลา ฯลฯ 2. ผู้ขายโดยวิธีประมูลราคา (Auction Company or Auction House)เป็นการขายที่ผู้ซื้อจะต้อง ประมูลสินค้าแข่งกัน ผู้ประมูลที่เสนอราคาสูงสุดจะได้ซื้อสินค้า และราคาที่ประมูลได้ต้องไม่ต่ำกว่าราคากลาง หรือราดขั้นต่ำที่กำหนด เช่น การขายรถยนต์มือสอง ฯลฯ การกระจายสินค้า การกระจายสินค้า (Physical of Distribution) หมายถึงการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังลูกค้า โดยเร็ว รวมทั้งเป็นการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เข้ามาช่วยเพื่อให้สินค้ามีอายุยืนยาวและเคลื่อนย้ายด้วยความ ปลอดภัย ช่วยประหยัดขั้นทุนและเพิ่มกำไร ปัจจัยที่ทำให้การกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพมีดังนี้ 1. การขนส่ง (Transportation) การขนส่งเป็นการเคลื่อนย้ายสินค้าจากผู้ผลิตไปยังลูกโดยใช้พาหนะ บรรทุกลำเลียงนักการตลาดต้องเลือกวิธีการขนส่งให้เหมาะสมกับสินค้า วิธีการขนส่งมีดังนี้ 1.1 การขนส่งทางรถไฟ (Railroad) เป็นวิธีการขนส่งที่มีราคาไม่แพง เหมาะกับการขนส่ง สินค้าที่มีน้ำหนักหรือปริมาณมาก เช่น หิน ทราย ปูนซีเมนต์ เหล็ก ฯลฯ การขนส่งทางรถไฟมีความปลอดภัย แต่มีข้อจำกัดคือตารางเวลาเดินรถที่แน่นอนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และสถานีรถไฟไม่ได้ตั้งอยู่ในตัวเมือง ทำให้ไม่ สะดวกในการขนส่ง ต้องใช้การขนส่งทางรถยนต์มาช่วยเพื่อให้เข้าถึงลูกค้า ทำให้ค่าขนส่งโดยรวมสูงกว่าการ ขนส่งทางรถบรรทุก
83 1.2 การขนส่งทางรถบรรทุก (Trucks) เป็นวิธีการขนส่งที่ได้รับความนิยมเพราะขนส่งได้ใน ปริมาณมาก มีความสะดวกและรวดเร็ว ส่งตรงให้ลูกค้าได้ถ้ามีถนนเชื่อมถึงไม่ต้องขนถ่ายสินต้าหลายทอด ช่วย ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และสามารถขนส่งได้ทุกเวลา 1.3 การขนส่งทางน้ำ (Waterway) เป็นการขนส่งโดยใช้เรือบรรทุกสินค้ามีต้นทุนต่ำ เหมาะ สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักและมีปริมาณมาก เป็นสินค้าที่เสียหายยากแต่มีข้อจำกัดคือใช้เวลาในการ ขนส่งมาก นิยมใช้กับการขนส่งทราย หิน ข้าวเปลือก และการขนส่งระหว่างประเทศ 1.4 การขนส่งทางอากาศ (Airlines)เป็นการขนส่งที่เหมาะกับสินค้าที่มีราคาแพง สินค้าที่ เสียหายง่าย สินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว มีน้ำหนักไม่มาก และต้องการความปลอดภัยจากการขนส่ง แต่ต้นทุนการขนส่งสูงเมื่อเทียบกับการขนส่งด้วยวิธีอื่น
84 1.5 การขนส่งทางท่อ (Pipeline) เป็นกรขนส่งที่เหมาะกับของเหลว เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซ ธรรมชาติ น้ำ ฯลฯ เป็นการชนส่งที่มีต้นทุนการดำเนินงานในครั้งแรกสูง แต่ลงทุนครั้งเดียวสามารถใช้งานได้ นาน การขนส่งทางท่อไม่มีข้อจำกัดค้านเวลา ภูมิอากาศ สภาพปัญหา การจราจร และสามารถขนส่งได้ ตลอดเวลาการเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าวิธีใด ต้องเลือกให้เหมาะกับตลาดและสินค้าต้องทำให้ ผู้บริโภคได้รับสินค้าตามเวลา สถานที่ และราคาที่ถูกต้องจึงจะทำให้ช่องทางการจัดจำหน่ายเกิดประสิทธิภาพ สูงสุด การเก็บรักษาสินค้า การเก็บรักษาสินค้าเพื่อรอการจำหน่ายหรือการขนส่ง นักการตลาดต้องเก็บรักษาสินค้า เพื่อให้สินค้ามีอายุยืนยาว ไม่ให้สินค้ามีราคาสูงเกินไป และสามารถตอบสนองความต้องการได้เสมอคลังสินค้า (Warehouse) บางแห่งเรียกว่าโกดัง (Go down) แบ่งได้ดังนั้น 1. คลังสินค้าเอกชน (Private Warehouse) เป็นคลังสินค้าที่เจ้าของสร้างขึ้นเองเพื่อใช้สำหรับเก็บ รักษาสินค้าที่ผลิตเองโดยตรงหรือเก็บเพื่อรอจำหน่าย 2. คลังสินค้าสาธารณะ (Public Warehouse) เป็นคลังสินค้าที่สร้างขึ้นเพื่อให้เช่าจัดเก็บสินค้าที่รอ จำหน่ายหรือรอขนถ่ายสินค้าลงเรื่อ บางแห่งอาจมีบริการบรรจุหีบห่อและบริการขนส่งสินค้า 3. คลังสินค้าเฉพาะ (Commodities Warehouse) เป็นดลังสินค้าสำหรับเก็บสินค้าเฉพาะอย่าง เช่น พืชผลทางเกษตรกรรม ข้าว ข้าวโพด ถั่ว ฯลฯ 4. คลังสินค้าทั่วไป (General Merchandise Warehouse) เป็นคลังสินค้าเก็บสินค้าทั่วไป ส่วนใหญ่ จะเก็บรักษาสินค้าอุตสาหกรรม 5. คลังสินค้าพิเศษ (Bonded Warehouse) เป็นคลังสินค้าสำหรับเก็บสินค้าพิเศษที่สั่งเข้ามา จำหน่ายหรือสินค้าอื่น เช่น สุรา บุหรี่ ฯลฯ ซึ่งต้องรอการเสียภาษีก่อนนำออกจำหน่าย 6. คลังสินค้าห้องเย็น (Cold Storage Warehouse) เป็นคลังสินค้าที่เก็บรักษาสินค้าที่เน่าเสียง่าย เช่น อาหารทะเล ผัก ผลไม้ ฯลฯ สามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสินค้าเพื่อรักษาคุณภาพสินค้าได้ 7 คลังสินค้าเก็บเครื่องใช้ในครัวเรือน (Household Goods Warehouse)เป็นคลังสินค้าเก็บรักษา เฟอร์นิเจอร์ ตู้ โต๊ะ เตียง เก้าอี้ และรับฝากเครื่องเรือนต่างๆ โดยไม่เสียค่าบริการ 8. คลังสินค้าเก็บสินค้าประเภทของเหลว (Bulk Storage Warehouse) เช่น น้ำมัน น้ำยา เคมี สุรา ฯลฯ
85 ต้นทุนการขนส่งและการเก็บรักษาสินค้าเป็นต้นทุนที่ผู้ผลิตต้องรวมในราคาสินค้า ดังนั้นนักการตลาดจึงต้อง หาทางลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ 3.5 ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ 3.5.1 การกล่าวทักทายต้อนรับลูกค้า Good morning สวัสดีตอนเช้า (1 a.m. – noon) Good afternoon สวัสดีตอนบ่าย (1 p.m. – 5 p.m.) Good evening สวัสดีตอนเย็น (6 p.m. – midnight) Hello สวัสดี (ทักทายแบบเป็นกันเอง ใช้ได้ตลอดเวลา) Hi สวัสดี (ทักทายอย่างเพื่อนสนิท) คำทักทายต้อนรับลูกค้า Can I help you? หรือ What can I do for you? มีอะไรให้ดิฉัน/ผม ช่วยบ้างครับ/ค่ะ คำกล่าวต้อนรับอื่น ๆ Are you being served? Is anybody looking after you? มีใครบริการ Are you being attended to? คุณหรือยัง Are you being seen too? 3.5.2 การกล่าวแนะนำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกสินค้าตามที่พอใจ คำกล่าวแนะนำขายสินค้า This dress suits you very well. เสื้อชุดนี้เหมาะกับคุณมาก
86 It is wrinkle free and shrink resistant. เป็นผ้าที่ไม่ยับและไม่หด The colours do not wash away. สีไม่ตก We give you 10 percent discount for cash. เราให้ส่วนลด 10% ถ้าคุณจ่ายเงินสด It’s made from a very good material. มันทำมาจากวัสดุอย่างดีมาก Would you try on this shirt? คุณลองเสื้อเชิ้ตตัวนี้ซิครับ/ค่ะ It seems to fit nicely. ดูเหมือนว่า สวมได้พอดี 3.5.3 การกล่าวขอโทษลูกค้า หากลูกค้าเกิดความไม่พอใจในตัวสินค้า หรือได้สินค้าไม่ตรงกับความต้องการ พนักงานขายจึงจำเป็นที่ จะต้องเรียนรู้วิธีแก้ไขสถานการณ์ รู้จักกล่าวคำขอโทษ และแนะนำสินค้าที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสินค้าที่ ลูกค้าต้องการได้ Conversation 1 A : May I help you? ให้ผม/ฉันช่วยอะไรไหมครับ/คะ B : Yes, I’m looking for a pair of shoes. ได้ซิ ฉันกำลังมองหารองเท้าสักคู่ A : What size do you take? คุณใส่ขนาดอะไร B : Number 6. ขนาด 6 A : OK. Do you like this style? โอเค คุณชอบแบบนี้ไหม B : No, I don’t. Can I look around? ไม่ ฉันไม่ชอบ ขอให้ฉันดูไปรอบๆร้านดีกว่า A : Certainly, madam. Our shop has many styles for you to choose. ได้ครับ/ค่ะ ร้านเรามีรองเท้า หลายแบบให้เลือก B : I like this one. ฉันชอบคู่นี้ Conversation 2 A : May I help you? ให้ผม/ฉันช่วยอะไรไหมครับ/คะ B : Yes, I’m looking for a wallet. May I look around? ฉันกำลังมองหากระเป๋าใส่เงินสักใบ แต่ ขอให้ฉันดูไป รอบๆ ร้านดีกว่า
87 A : Certainly, sir. May I show you the one in fashion? ได้ครับ/ค่ะ ผมอยากให้ชมแบบที่กำลังอยู่ ในแฟชั่น B : I don’t care it much. I’d like the genuine leather. ฉันไม่คำนึงถึงแฟชั่นหรอก แต่อยากได้ที่ เป็นหนังแท้ A : Is this one OK for you? แบบนี้ คุณชอบไหมล่ะ B : I don’t like this design. Can you show me others? ไม่ชอบ เอาใบใหม่มาให้ดูได้ไหม A : Sure. How about this one? ได้ครับ/ค่ะ แบบนี้เป็นอย่างไร B : It’s alright. I like it. How much is it? ได้เลย ฉันชอบ ราคาเท่าไร A : It’s four hundred, sir. ราคา 400 บาท ค่ะ/ครับ Conversation 3 Clerk : May I help you? ให้ผม/ฉันช่วยอะไรไหมครับ/คะ Customer : Yes. I would like a toothpaste, please. ฉันอยากได้ยาสีฟันสักหลอด Clerk : What brand would you like? ต้องการประเภทไหน Customer : I want the one that with fluoride. ฉันอยากได้ที่ผสมฟลูออไรด์ Clerk : Why don’t you try this brand. Most of our customers are very satisfied with. ทำไม ไม่ลองยี่ห้อนี้ล่ะ ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบมัน Customer : Fine, I’ll take it. ได้ ตกลงเอายี่ห้อนี้ 3.5.4 การกล่าวเชิญชวนให้ลูกค้ามาใช้บริการอีก คำกล่าวเชิญชวนลูกค้า I wish I could serve you again next time. ฉัน/ผม หวังว่าจะได้รับใช้คุณอีกในโอกาสหน้า See you soon. See you again. แล้วพบกันอีก See you later. See you then. 3.5.5 การพูดถึงคุณสมบัติของสินค้า It is not expensive มันไม่แพงเลย It is inexpensive It is a reasonable price. ราคายุติธรรม It is worth to buy ควรค่าแก่การซื้อหา It’s very delicious. มันอร่อยมาก It’s fresh from farm สดจากไร่ 3.5.6 การกล่าวขอบคุณ ตอบรับคำขอบคุณ และกล่าวลา คำกล่าวขอบคุณ
88 Thank you. ขอบคุณ Many thanks. ขอบคุณมาก Thank you very much. ขอบคุณมาก Thanks a lot. ขอบคุณมาก Thank you so much. ขอบคุณมาก คำตอบรับคำขอบคุณ It’s pleasure ด้วยความยินดี Not at all. ไม่เป็นไร That’s OK. ไม่เป็นไร That’s quite alright. ไม่เป็นไร You’re welcome. ไม่เป็นไร คำกล่าวลา Good bye ลาก่อน Bye – bye ลาก่อน So long ลาก่อน See you แล้วพบกันใหม่ See you later แล้วพบกันใหม่ Please come back again โปรดกลับมาใหม่ คำศัพท์เกี่ยวกับ สี ขนาด red แดง yellow เหลือง pink ชมพู green เขียว orange ส้ม blue ฟ้ า purple ม่วง brown น้ำตาล black ดำ white ขาว grey เทา silver เงิน คำศัพท์เกี่ยวกับขนาด small ขนาดเล็ก
89 medium ขนาดกลาง large ขนาดใหญ่ extra large ขนาดใหญ่พิเศษ มาตราชั่ง ตวง วัด a package หีบ, ห่อ a carton ลัง, หีบห่อกระดาษ a piece ชิ้น, อัน, แท่ง a meter 1 เมตร a yard 1 หลา a pair of 1 คู่ a tube of 1 หลอด a dozen 1 โหล ประโยคที่เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าถามความต้องการของลูกค้า What would you like, Sir? What would you like to have? Which one do you need? What is your size? What size do you wear, Sir? What colour do you prefer? May I take your order? What kind do you want? What style do you prefer? What brand do you have in mind? สอบถามลูกค้าว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่ Can I get you anything else? Do you want anything else? Anything else? Is there anything else you need? ลูกค้าบอกความประสงค์ของตนในการเลือกซื้อสินค้า I would like to buy a shirt. I am looking for a pair of socks.
90 I’m interested in buying a belt. I think I will take raisin bread. Let me have a green basket, please. A gallon of milk, please. I want some onions, please. I would like to have two kilos of oranges. May I have a bar of soap? Can I have a kilo of orange? ลูกค้าต้องการแค่เลือกชมสินค้า I just want to look around. We just want to have a look. กล่าวคำเชิญชวนให้ลูกค้ามาอุดหนุนอีก Please come again. Hope to see you again. Hope to have a chance to serve you again. การแนะนำหรือบอกคุณภาพสินค้า This is our best quality. It’s the latest fashion. The material is very good quality. This is the newest pattern. It’s made of a very fine material. This is handmade product, it’s cheap too. การสอบถามราคาสินค้าของลูกค้า How much? How much is it? How much does it cost? What is the price? How much is it altogether? How much are they? How much do I need to pay? การต่อรองราคาของลูกค้า Can you give me a discount? Could you lower the price?
91 Can I bargain on the price? Could I bargain for a lower price? Could I get it at a discount? Can you possibly give me any discount? โต้ตอบเมื่อถูกลูกค้าต่อรองราคาหรือบอกว่าสินค้ามีราคาแพงเกินไป It’s fixed price/Prices here are fixed. It’s already a discount price. It’s already at a special discount price. The price is quite reasonable. The price is cheap for the quality. It’s not expensive at all. You could not get it cheaper anywhere in this town. I’m sorry. We cannot give you a discount. I am afraid. I cannot give you a discount. การบอกถึงความหลากหลายของสินค้า They come in different (หรือ many) colours. Our products come in many shapes. They come in different sizes. They come in many styles. There are four types/kinds of this product. การบอกเกี่ยวกับส่วนประกอบของสินค้า It consists of…. It’s made (up) of …. It’s composed/made of plastic and metal. บอกถึงการใช้สินค้า It’s used for…. It’s used as…. It’s suitable for…. สัญลักษณ์สกุลเงินต่าง ๆ $ = Us dollar (เงินดอลล่าร์สหรัฐ) ¥ = Yen (เงินเยนญี่ปุ่น) £ = Pound (เงินปอนด์อังกฤษ) € = Euro (เงินยูโร)
92 Aus $ = Australia dollar (เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย) S$ = Singapore dollar (เงินดอลลาร์สิงคโปร์) การชำระเงินด้วยเงินสดและบัตรเครดิต จ่ายด้วยเงินสด Customer : How much are they? ทั้งหมดราคาเท่าไร Seller : That’s 550 baht. ทั้งหมดราคา 550 บาท Customer : Here is 600 baht. นี่คะ 600 บาท Seller : Here is your change 50 baht. เงินทอน 50 บาทท ครับ/ค่ะ จ่ายด้วยบัตรเครดิต Customer : How much is it? ราคาเท่าไร Seller : It is 700 baht 700 บาท Customer : Can I pay by credit card? จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ไหม Seller : OK. Thank you very much. ได้ค่ะ ขอบคุณครับ/ค่ะ การปฏิเสธการจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต Customer : How much do I owe you? ผม/ฉันต้องจ่ายเงินให้คุณเท่าไร Seller : It is 500 ฿ 500 บาท ครับ/ค่ะ Customer : Can I pay by credit card? จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ไหม Seller : I’m sorry. Please, pay in cash. ขอโทษครับ/ค่ะ เรารับเฉพาะเงินสด
93 รูปแบบประโยคที่เกี่ยวกับการซื้อขาย เครื่องไฟฟ้า และของที่ระลึก Which brand do you prefer? There are many sizes. Which size do you want? Are you being served? Please pay at the counter. There are many styles for you to choose. It can serve you well. I am looking for a new electric kettle. บทสนทนาที่เกี่ยวกับการซื้อขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และของที่ระลึก บทสนทนาที่ 1 Seller : What can I do for you? ให้ช่วยอะไรไหม Customer : I would like to find a new electric kettle. ฉันอยากได้กาต้มน้ำไฟฟ้าซักชิ้นหนึ่ง Seller : Which brand do you prefer: Toshiba, Mitsubishi, National or Samsung? คุณอยากได้ยี่ห้ออะไร โตชิบ้า มิตซูบิชิ เนชั่นแนล หรือซัมซุง Customer : I prefer National. Please show me one. ฉันต้องการเนชั่นแนล หยิบมาให้ดูสักอัน Seller : There are many sizes. Which size do you want? มีหลายขนาด คุณต้องการขนาดไหน Customer : My family is small. I want the small one. ครอบครัวฉันมีไม่กี่คน ขอขนาดเล็ก Seller : (Show the goods) Is this OK. for you? แสดงสินค้าให้ดู และถามว่า ชอบไหม Customer : Yes, I like it. How many colors are they? ฉันชอบ มีกี่สี Seller : They are pink, blue and green. มีสีชมพู ฟ้า และเขียว Customer : I love pink. How much is it? ฉันขอสีชมพู ราคาเท่าไร Seller : 950฿, Sir. เก้าร้อยห้าสิบบาท