The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาวิชาเขตทางทะเล ม.1-3และ กศน.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookchon, 2022-05-26 22:57:06

เนื้อหาวิชาเขตทางทะเล ม.1-3และ กศน.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

เนื้อหาวิชาเขตทางทะเล ม.1-3และ กศน.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

Keywords: พนัสนิคม

45

5. อ่ืนๆ
5.1 อตุ สาหกรรมการต่อเรอื และซ่อมเรอื
ประเทศไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก โดย ร้อยละ 90 ของปริมาณ การค้าระหว่าง
ประเทศ อาศัย การขนส่งทางน้า เน่ืองจาก สามารถบรรทุกสินค้าได้ใน ปริมาณมาก และมีต้นทุนการขนส่งที่ราคาถูก
กว่าการขนส่งด้านอ่ืน ๆ ดังนั้น อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยสนับสนุนกิจการเดินเรือ
ขนส่งและกิจการค้า ระหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงทุกประเทศท่ัวโลกยอมรับว่า อุตสาหกรรม
ตอ่ เรือและซอ่ มเรือน้ันเป็นอุตสาหกรรมที่เก่ียวเน่ืองกับการป้องกันประเทศ (Defense Related Industry) เพราะจะ
ให้การสนับสนุนประเทศด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจในยามสงครามด้วย ซึ่งหากอุตสาหกรรมนี้ได้รับการพัฒนา
อย่างต่อเนอื่ ง จะท้าให้ การขนส่งสินค้าทังขาเข้าและขาออกไม่จ้าเป็นต้องพึ่งพากองเรือของประเทศอ่ืน และยังสามารถ
เพ่มิ ขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั กบั ต่างประเทศไดอ้ ีกดว้ ย
5.2 การผลิตน้าจดื จากทะเล
โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตน้าประปาจากน้าทะเลระบบรีเวอร์สออสโมซีส (Reverse Osmosis: RO)
ที่ใช้แรงดันสูงดันน้าทะเลผ่านเย่ือกรองท่ีมีรูขนาดเล็ก เพ่ือกรองแร่ธาตุเกลือ และ สารตกตะกอนต่าง ๆ ออกจาก
น้าทะเล ท้าให้น้าจืดออกมาและพร้อมป้อนเข้าสู่ระบบจ่ายน้าประปา ส่วนเกลือท่ีได้น้ันน้ากลับไปท้ิงในทะเล
เทคโนโลยีนี้ จะใช้กับพื้นท่ีที่มีสภาพเป็นเกาะท่ีไม่มีแหล่งน้าจืดส้าหรับอุปโภคและบริโภค เพื่อช่วยแก้ปัญหาการ
ขาดแคลนน้า โดยจ้าเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้าร่วมระหว่างน้าจืด จากธรรมชาติและน้าจืดที่สกัดจากน้าทะเล
ซ่ึงปัจจุบันประเทศไทยได้มกี ารนา้ เทคโนโลยนี ี้ มาใช้ในพืน้ ท่เี กาะสีชงั เกาะสมยุ และเกาะลา้ น
5.3 การทานาเกลือ
การท้าเกลือทะเลต้องใช้น้าทะเลเป็นวัตถุดิบ โดยการน้าน้าทะเลข้ึนมาตากแดดให้น้าระเหยไป
เหลือแต่ผลึกเกลือตกอยู่ (Solar Evaporation System) เกลือประเภทน้ีมีการผลิตและการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
และถือเป็นอาชีพเก่าแก่อาชีพหน่ึงของโลกและของคนไทย โดยได้มีการก้าหนดเป็นสินค้าเกษตรกรรมขั้นต้น
ตามพระราชบญั ญตั ิธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509
ดังน้ัน แหล่งผลิตจึงต้องอยู่บริเวณใกล้ ชายฝั่งทะเล ถึงแม้ประเทศไทยจะมีชายฝั่งทะเลยาวถึง
3,193.44 กิโลเมตร แต่แหล่งท่ีเหมาะสมส้าหรับการผลิตเกลือทะเลมีค่อนข้างจ้ากัด คือ ต้องมีลักษณะทาง
ภูมปิ ระเทศเป็นท่ีราบ สภาพดินต้องเปน็ ดินเหนียว สามารถอุ้มน้าไดด้ ปี ้องกนั ไม่ให้น้าเค็มซึมลงไปใตด้ ิน และปอ้ งกัน
ไม่ให้น้าจืดซึมขึ้นมาบนดิน มีกระแสลมและแสงแดดช่วยในการตกผลึกเกลือ ซ่ึงแหล่งท่ีเหมาะสมตอ่ การท้านาเกลือ
ของประเทศไทยในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ จังหวดั สมทุ รสาคร สมทุ รสงคราม และเพชรบรุ ี
ตง้ั แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กิจกรรมการใช้ประโยชน์พื้นท่ีชายฝ่ังส่วนใหญ่ ที่มีแนวโน้มเพ่ิมข้ึน ได้แก่
การขนส่งและพาณิชยนาวี การส้ารวจและผลิต ปิโตรเลียม การทอ่ งเที่ยวทางทะเล ส้าหรบั กิจกรรมท่ีมแี นวโนม้ ลดลง
ได้แก่ การประมงและการเพาะเล้ียงสัตว์น้า และการท้านาเกลือ โดยรวมแล้ว กิจกรรม การใช้ประโยชน์บนฐาน
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง มีแนวโน้มของปริมาณ การใช้ที่เพิ่มข้ึน ทั้งน้ี เกิดจากปัจจัยขับเคลื่อนในประเทศ
ที่ส้าคัญ ไดแ้ ก่ แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ สง่ ผลให้เกดิ การพฒั นากจิ กรรมต่าง ๆ เพ่ิมข้นึ ซง่ึ จะเป็นการ

46

ใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังมากขึ้นจนท้าให้เกิดความเส่ือมโทรมมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน (สถานการณ์ด้าน
ทรัพยากรทางทะเล และชายฝ่ังและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ.2560 กรมทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝ่ัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม)

ท่มี า : หนังสอื ทะเลและมหาสมุทร และผลประโยชน์ของชาตทิ างทะเล
โดย คณะอนกุ รรมการจดั การความร้เู พื่อผลประโยชน์แหง่ ชาติทางทะเล (อจชล.)
ส้านกั งานสภาความมน่ั คงแหง่ ชาติ (สมช.) สา้ นักนายกรฐั มนตรี

47

หนว่ ยท่ี 2
เขตทำงทะเล

ผลการเรียนรู้
1. บอกความสาคญั และลกั ษณะของอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทย
2. จาแนกลกั ษณะของอาณาเขตทางทะเลได้
3. สบื คน้ และนาเสนอข้อมูลเกยี่ วกับลักษณะ อาณาเขตทางทะเล และพน้ื ท่ีอาณาเขต
4. วิเคราะห์ถงึ ความสาคัญของอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยได้
5. อภิปรายความสาคัญของเขตอานาจของรฐั เหนอื เขตทางทะเลต่าง ๆ ของไทย ชายฝั่งทะเลและพ้นื ท่ี

ทางทะเลทปี่ ระเทศไทยมีอานาจอธิปไตยหรือสทิ ธอิ ธปิ ไตย หรือมสี ทิ ธหิ รือเสรภี าพในการใช้หรอื จะใช้
6. เสนอแนวคิดเกยี่ วกับบทบาทหนา้ ทรี่ ับผิดชอบตามกฎหมายท่เี กย่ี วข้องกบั ทะเลระหว่างประเทศได้
7. บอกบทบาทหนา้ ท่ีขององค์กรและหน่วยงานรบั ผิดชอบในการรกั ษาผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล

สาระการเรยี นรู้
1. การกาหนดอาณาเขตทางทะเล (Delimitation of Maritime zones)
2. ลักษณะอาณาเขตทางทะเล
3. อาณาเขตทางทะเลของไทย
4. อานาจอธิปไตย สิทธอิ ธิปไตย และเขตอานาจในเขตทางทะเลต่าง ๆ ของไทย

48

เร่อื งที่ 1 กำรกำหนดขอบเขตของทะเล (Limit of Sea)

ขอบเขตของทะเล (Limit of the Sea) ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับน่านน้าไทย
โดยท้าเลที่ต้งั ในทางภมู ริ ฐั ศาสตร์ของประเทศไทยท่ีมนี า่ นนา้ อยู่ทัง้ สองดา้ นคือ ด้านตะวนั ออกของ

ประเทศ มีพ้ืนที่น่านน้าอยู่ในอ่าวไทยและด้านตะวันตกของประเทศมีน่านน้าบางส่วนอยู่ในทะเลอันดามันและ
ในช่องแคบมะละกา ซ่ึงในพ้ืนที่ทะเลดังที่กล่าวมา มิได้เป็นน่านน้าในเขตอ้านาจของประเทศใดประเทศหนึ่ง
เพียงประเทศเดียว ซ่ึงทะเลในที่อื่น ๆ ท่ัวโลกก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน การที่จะทราบว่ามีประเทศใดบ้างมีพ้ืนที่
ทางทะเลอยู่ในเขตทะเลท่ีกล่าวมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจในขอบเขตทะเลท่ีตรงกันและเป็นท่ียอมรับในบรรดา
รฐั ชายฝ่ัง องค์การอุทกศาสตร์สากลก้าหนดขอบเขตของมหาสมุทรและทะเลทั่วโลกไว้ในบรรณสารหมายเลข S-23
(Limit of The Ocean and Sea) ซ่ึงเอกสารดังกล่าวได้กาหนดขอบเขตของทะเลในทุก ๆ พื้นท่ีของโลกเพื่อให้
ประเทศต่าง ๆ สามารถน้ามาใช้อ้างอิงได้ตรงกัน ในส่วนของพ้ืนท่ีทางทะเลที่เก่ียวข้องกับประเทศไทยน้ัน ประเทศ
ไทยมีอาณาเขตติดทะเลทง้ั 2 ดา้ นไดแ้ ก่ ดา้ นอา่ วไทย และด้านตะวนั ตกของประเทศไทยในส่วนท่ีเปน็ ทะเลอันดามัน
และช่องมะละกา การศึกษาเร่ืองเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล จึงต้องทราบขอบเขตของอ่าวไทย ทะเล
อนั ดามัน และชอ่ งแคบมะละกา โดยมีรายละเอียดของขอบเขตการก้าหนดทเ่ี ปน็ สากลดังน้ี

1. ขอบเขตของอา่ วไทย ไดแ้ ก่ บริเวณพน้ื ทท่ี างเหนือของเส้นตรงที่ลากเชอ่ื มระหว่างปลายแหลม
ด้านตะวนั ตกของแหลมกาเมา (สาธารณรฐั สังคมนิยมเวียดนาม) กับจุดทอ่ี ยูป่ ลายแหลมด้านเหนือฝัง่ ตะวนั ออก
ของปากแมน่ ้ากลนั ตัน (Kalantan River) ในมาเลเซียตามรปู ทแ่ี สดง

ภาพ แสดงขอบเขตของอ่าวไทย ( ที่มา: คู่มอื การสรา้ งแผนท่ีเดนิ เรอื กรมอุทกศาสตร์)

49

2. ขอบเขตของทะเลอนั ดามนั ไดแ้ ก่ พนื้ ทร่ี ะหว่างฝั่งตะวันตกของประเทศไทยและฝ่งั ด้านใต้ของ
ประเทศพม่าโดยมขี อบเขต ดงั นี้

- ด้านเหนือ ครอบคลมุ ชายฝงั่ ตอนใต้ของประเทศเมียนมา (สหภาพพม่า)
- ดา้ นใต้ เรมิ่ จากเส้นท่ลี ากเช่อื มระหวา่ งปลายแหลมพรหมเทพ จังหวัดภเู กต็ ไปยงั แหลม
Pedropunt ทางเหนอื ของเกาะสมุ าตรา ประเทศอนิ โดนเี ซีย
- ดา้ นตะวนั ออก ครอบคลมุ ชายฝ่งั ทางใตแ้ ละตะวนั ออกของประเทศเมียนมา ชายฝ่งั ด้านตะวนั ตก
ของประเทศไทยจนถึงบรเิ วณปลายแหลมพรหมเทพ จงั หวดั ภเู กต็
- ดา้ นตะวนั ตก จากปลายแหลม Pedropunt ลากเสน้ เชือ่ มผา่ นหมู่เกาะ Nicobar แหลม Sandy
point ท่ีหมู่เกาะ Little Andaman ผ่านเกาะใหญ่ของหมู่เกาะ Andaman ตรงไปยังปลายแหลม Negrais บนฝ่ังใน
ประเทศเมียนมา
3. ขอบเขตของช่องแคบมะละกา ได้แก่ พ้ืนทที่ อ่ี ยรู่ ะหวา่ งฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู และ
ฝ่ังตะวนั ตกของประเทศไทยกับฝ่ังตะวันออกเฉยี งเหนือของเกาะสุมาตราโดยมีขอบเขตดงั นี้
- ดา้ นเหนือ จากปลายแหลมพรหมเทพ จงั หวัดภูเกต็ ไปยงั ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ตามแนวชายฝง่ั ของ
ประเทศไทย ไปตลอดแนวชายฝ่ังของแหลมมลายู จนถงึ แหลม Piai
- ดา้ นใต้ เริม่ จากทิศตะวันตกเฉยี งเหนือของปลายแหลม Kedabu ไปตามชายฝ่ังเกาะสุมาตราจนถงึ
ปลายแหลม Pedropunt
- ดา้ นตะวันออก เรม่ิ จากเส้นตรงท่ีลากจากทศิ ตะวันตกเฉยี งใต้ของแหลม Piai ไปยงั เกาะ Iyu Kecil
และลากเส้นต่อไปยงั ด้านเหนือของเกาะ Kalimun kecil และลากเส้นต่อออกไปยังดา้ นทิศใต้จนถึงแหลม Kedabu
- ด้านตะวันตก เรม่ิ จากเส้นตรงทลี่ ากจากทิศตะวันออกเฉยี งเหนือของแหลม Pedropunt ไปจนถงึ
บริเวณปลายแหลมพรหมเทพ จงั หวดั ภูเกต็

ภาพ แสดงขอบเขตของทะเลอนั ดามัน (Andaman Sea) และช่องแคบมะละกา ( Malacca Strait)
(ที่มา : คู่มือการสรา้ งแผนท่เี ดนิ เรือ กรมอุทกศาสตร์)

50

ตามท่ีไดก้ ลา่ วมาแล้วขา้ งต้นจะเห็นไดว้ า่ ประเทศไทยมีนา่ นน้าทางทะเลเพยี งสว่ นหนง่ึ ในอ่าวไทย
เท่านั้น อ่าวไทยเป็นพ้ืนท่ีที่มีรัฐชายฝั่งอยู่รายเรียงตลอดแนวอ่าวไทยถึง 4 ประเทศได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา ไทย
และมาเลเซียในลักษณะท่ีมีน่านน้าอยู่ประชิดและอยู่ตรงข้ามกับประเทศไทย ซึ่งบรรดาประเทศต่าง ๆ เหล่านี้
ต่างก็อ้างสิทธิฝ่ายเดียว (Unilateral claim) ในการประกาศเขตทางทะเลของตนเองเป็นต้นเหตุของการเกิดพ้ืนท่ี
ทอี่ า้ งสทิ ธทิ ับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยทม่ี ีขนาดพ้ืนทีถ่ ึง 34,000 ตารางกิโลเมตร

ในส่วนของนา่ นน้าทางดา้ นตะวันตกของประเทศไทยกเ็ ช่นเดียวกนั ไทยมนี ่านน้าท่มี พี น้ื ท่ีส่วนใหญ่
(ประมาณ 65% ของพ้ืนที่ทะเลทางด้านตะวันตก) ต้ังแต่ จ.ระนอง-จ.ภูเก็ต อยู่ในเขตของทะเลอันดามัน และมี
พ้ืนที่อีกส่วนหนึ่ง (ประมาณ 35% ของพ้ืนท่ีทะเลทางด้านตะวันตก) ต้ังแต่ จ.กระบ่ี-จ.สตูล อยู่ในเขตของช่องแคบ
มะละกา ซง่ึ พ้ืนท่ีทางทะเลของไทยทางด้านตะวนั ตกของประเทศไทยนี้ก็แวดลอ้ มไปด้วยประเทศต่าง ๆ ท่ีมีอาณาเขต
อยู่ประชิดกันและตรงข้ามกันกัประเทศไทยได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และเมียนมา ซ่ึงการที่ประเทศไทย
มีที่ต้ังทางภูมิศาสตร์เช่นนี้จึงเป็นเรื่องจาเป็นที่จะต้องให้ความสนใจในเรื่องของเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล
และสถานะของการประกาศเขตและการเจรจาเขตแดน

51

เรื่องท่ี 2 ลักษณะเขตทางทะเล

เขตทางทะเล (Maritime Zones) และ เขตแดนทางทะเล(Maritime Boundary)
ความหมายของเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล

1. เขตทางทะเล (Maritime Zones) เป็นระบอบของแนวความคิดในความเกยี่ วพันของรัฐชายฝัง่
และพื้นท่ีทางทะเลท่ีอยู่ต่อเนื่องออกไปจากชายฝ่ังทะเลของรัฐ ระบอบแนวคิดน้ีได้เกิดขึ้นจากการพัฒนาหลักการ
ของกฎหมายทะเลมาตั้งแต่สมัยยุคโรมันในยุคแรกที่กฎหมายทะเลยังเป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่ยอมรับกัน โดย
ไม่มีการบญั ญัติเป็นลายลกั ษณ์อักษร ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นกฎหมายท่ีมบี ทบญั ญัตเิ ปน็ ลายลักษณ์อักษรเปน็ คร้ังแรก
ในอนุสัญญาสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 โดยในขณะน้ันระบอบของเขตทางทะเลมี เพยี งน่านน้า
ภายใน ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเน่ืองและทะเลหลวง และในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาการก้าหนดเขตทางทะเล
ออกเป็นเขตต่าง ๆ ตามท่ีปรากฏในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 เช่น น่านน้าภายใน
ทะเลอาณาเขต เขตตอ่ เน่ือง เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ ไหล่ทวีป ทะเลหลวง และ บริเวณพื้นทตี่ ามลา้ ดับ เขตต่าง ๆ
เหล่านี้ มีมาตรฐานในการกาหนดท่ีเป็นสากลและใช้บังคับส้าหรับรัฐชายฝ่ังทั้งปวงท่ีเป็นภาคีอนุสัญญาฯ มีการ
ก้าหนดให้รัฐชายฝ่ังใช้อานาจรัฐที่ลดหล่ันกันไปในแต่ละเขตทางทะเล กล่าวคือในเขตน่านน้าภายในและทะเล
อาณาเขต รัฐมีอ้านาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าว ในเขตต่อเน่ืองและเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ และไหล่ทวีป รัฐมี
เพียงสิทธิอธิปไตยในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรเท่าน้ัน อย่างไรก็ตามรัฐก็มีพันธะกรณีท่ีจะต้องดูแลการใช้
ทะเลใหเ้ กิดความย่ังยืนดว้ ยเช่นกนั

เขตแดนทางทะเล( Maritime Boundary) คอื เส้นท่ีก้าหนดขน้ึ จากขอ้ ตกลงระหวา่ งรัฐชายฝง่ั
ที่มีพ้ืนท่ีทางทะเลประชิดหรือตรงข้ามกันตามหลักการ ของกฎหมายทะเลเพ่ือแบ่งแยกการใช้เขตอานาจของรัฐชายฝ่ัง
ให้เกิดความชัดเจนซึ่งโดยหลักการแล้วไม่ควรมีพ้ืนที่ทางทะเลใด ๆ ที่รัฐใช้เขตอ้านาจทับซ้อนกัน ไม่ว่าจะเป็นเขต
อ้านาจอธิปไตยหรอื เขตทีร่ ฐั มสี ิทธอิ ธิปไตย ดังน้นั ถา้ รัฐชายฝ่ังมีพื้นที่ทะเลอาณาเขต หรือมี เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะอยู่
ประชิดติดกันหรือตรงข้ามกัน ก็จะต้องมกี ารเจรจาแบ่งเขตแดนระหว่างกนั ใหไ้ ด้ข้อยุติ เส้นที่กา้ หนดขนึ้ นี้ จะเรียกว่า
เขตแดนทางทะเล

การท่รี ัฐชายฝ่ังจะกา้ หนดขอบเขตนอกสุดของแตล่ ะเขตทางทะเล (Outer limit of Maritime
Zone) ท่ีได้กล่าวมาข้างต้นได้นั้น รฐั ชายฝ่ังจะพิจารณาก้าหนดเส้นฐานของตนขึ้นก่อนเพื่อใช้เป็นเส้นอ้างอิงเร่ิมต้น
ทจ่ี ะใช้วัดความกวา้ งของเขตทางทะเลทุก ๆ เขตท่ีจะประกาศในข้ันตอ่ ไป

2.เส้นฐาน (Base Lines) ทใ่ี ช้กาหนดความกวา้ งของเขตทางทะเล เสน้ ฐาน (Base line) คอื
เส้นท่ีใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการวัดขอบเขตของทะเลอาณาเขตและเขตทางทะเล อื่น ๆ ที่อยู่ถัดออกไปทั้งหมด ดังน้ัน
จึงมีความจ้าเป็นจะต้องท้าความเข้าใจถึงประเภทของเส้นฐานก่อนเป็นอันดับแรก เส้นเกณฑ์ที่ใช้อ้างอิงในการ
ก้าหนดเส้นฐานตามปกติแล้ว ก้าหนดให้ใช้เส้นฐานปกติที่อ้างอิงจากแนวน้าลด ตามแนวชายฝ่ังที่ปรากฏบนแผนที่
มาตราส่วนใหญ่ (Large Scale Chart) ของรัฐชายฝ่ัง ในการนี้ก่อนที่จะก้าหนดว่าเส้นฐานปกติอยู่ ณ ต้าแหน่งใด
ของแผนที่ เจ้าหน้าท่ีอุทกศาสตร์จ้าเป็นต้องมีพื้นฐานความเข้าใจเบ้ืองต้นในนิยามของเส้นอ้างอิงท่ีเกี่ยวข้อง
ซึ่งรัฐชายฝ่ังต่าง ๆ เลือกใช้ เช่น เส้นแนวน้าลด ( Low-Water Line) หรือพื้นที่ที่อยู่เหนือระดับน้าขณะน้าลด
( Low-Tide Elevation) เป็นต้น เส้นแนวน้าลดชายฝั่ง (Low - Water Line) บางคร้ังอาจใช้ค้าว่า รอยน้าลด
( Low Water Mark ) แทนได้ เส้นดังกล่าวน้ีหมายถึง แนวซ่ึงเป็นท่ีบรรจบกันระหว่างระดับน้าลดกับแผ่นดิน คือ
แนวชายฝงั่ หรอื ชายหาดขณะน้าลด โดยปกติแนวนา้ ลดจะแสดงไวใ้ นแผนที่เดนิ เรอื มาตราส่วนใหญ่ แต่ในกรณแี ผนที่

52
เดินเรือมีมาตราส่วนเล็กมากจนท้าให้ไม่สามารถสร้างแผนท่ีแสดงบริเวณแนวน้าข้ึนหรือแนวน้าลดได้ หรือบริเวณ
แนวชายฝั่งที่ไม่มีการเปล่ียนแปลง (เช่นส่วนท่ีเป็นหน้าผาชัน) ก็ให้ถือว่าแนวน้าขึ้นและแนวน้าลดเป็นเส้นเดียวกันได้
เว้นแต่มีหลักเกณฑ์พิเศษอ่ืน ๆ ก้าหนดไว้ให้ เส้นฐานที่ใช้ส้าหรับเป็นจุดเร่ิมในการก้าหนดเขตทางทะเลของรัฐ
โดยปกติแล้วก้าหนดข้ึนจากแนวน้าลดตลอดชายฝั่ง ตามที่ได้หมายไว้ในแผนที่ ซ่ึงใช้มาตราส่วนขนาดใหญ่ท่ีเป็น
ทางการของรฐั ชายฝั่งนัน้

ภาพ แสดงการกาหนดเสน้ เกณฑแ์ ผนที่สาหรบั ใช้อา้ งอิงระดับนา้ ลงต่าสุดท่แี ตกตา่ งกันแสดงใหเ้ หน็ ว่า
หากใช้เส้นเกณฑ์ที่ตา่ ท่สี ดุ เป็นเกณฑใ์ นการกาหนดเสน้ ฐานปกตแิ ลว้ ย่อมส่งผลให้มีอาณาเขตทางทะเลที่กว้างขน้ึ

(ท่ีมา : TALOS)

ในกรณที ี่พน้ื ทเ่ี หนือน้าขณะน้าลดทัง้ หมดหรือบางสว่ นต้ังอยูใ่ นระยะห่างจากผนื แผน่ ดินหรือเกาะ
ไม่เกินความกวา้ งของทะเลอาณาเขต (12 ไมล์ทะเล) อาจใช้เส้นแนวน้าลดของพ้ืนที่เหนือน้านั้นเป็นเส้นฐานสา้ หรับ
วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตได้ แต่กรณีพ้ืนท่ีเหนอื นา้ ขณะน้าลดทงั้ หมด ต้ังอยู่ในระยะห่างจากแผ่นดนิ เกินกว่า
ความกว้างของทะเลอาณาเขต พ้ืนที่เหนือน้านั้นจะไม่มีทะเลอาณาเขตของตนเอง ส้าหรับทะเลอาณาเขตน้ัน
มีระยะ 12 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งภายในระยะดังกล่าวหากมีพื้นที่เหนือน้าขณะน้าลดปรากฏก็ย่อมท้าให้ทะเล
อาณาเขต มีความกว้างเพ่ิมข้ึน ดังอธิบายตามภาพข้างล่างให้เห็นว่าในบริเวณท่ี 1 และ 2 ซ่ึงอยู่ภายในระยะ
12 ไมล์ จากแนวน้าลด จะมีผลในการก้าหนดเส้นทะเลอาณาเขตเพ่ิมขึ้น ตามเส้นสีน้าเงินส่วนที่โป่งออกไป
สว่ นพืน้ ทเ่ี หนอื น้าขณะน้าลด ในบรเิ วณ 3 ซ่งึ อยนู่ อกระยะ 12 ไมล์ ไม่มีผลให้ได้อาณาเขตทางทะเลเพ่ิมขึน้

53

ภาพ แสดงให้เหน็ ถงึ พนื้ ทีเ่ หนอื น้าขณะน้าลด (Low Tide Elevation)
ที่มผี ลต่อการกาหนดขอบนอกของทะเลอาณาเขต
(ที่มา : TALOS)

เสน้ ฐานในการกา้ หนดเขตทางทะเลน้นั ถกู ก้าหนดขน้ึ ตามลักษณะของภูมิประเทศ โดยสามารถ
แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท คือ เส้นฐานปกติ (Normal Baseline) และ เส้นฐานตรง (Straight Baseline) ซ่ึงการก้าหนด
เสน้ ฐานแต่ละประเภทมรี ายละเอียดดังน้ี

1. เส้นฐานปกติ (Normal Baseline) เส้นฐานชนิดนี้เป็นเส้นฐานทใ่ี ช้กนั ท่ัวไป ส้าหรบั วัด
ความกว้างของทะเลอาณาเขต เสน้ ฐานปกติได้แก่แนวน้าลดตลอดชายฝ่ังตามที่ได้หมายไว้ในแผนท่ีมาตราส่วนใหญ่
ท่ีรัฐชายฝั่งยอมรับนับถือเป็นทางการ อย่างไรก็ตามใน อนุสัญญาฯ ค.ศ.1982 ยังมีข้อบทส่วนอ่ืนๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
การก้าหนดเส้นฐานปกติดว้ ยได้แก่ ข้อ 6 บัญญัตเิ กี่ยวกับโขดหิน ข้อ 11 บัญญตั ิเกี่ยวกับท่าเรือและส่ิงปลกู สรา้ งต่างๆ
ตามแนวชายฝั่งและนอกฝงั่ และ ข้อ 13 ทบ่ี ญั ญตั เิ ก่ียวกบั พ้นื ทีเ่ หนอื น้าขณะน้าลด

ภาพ แสดงเสน้ ประทีแ่ สดงในแผนที่คอื เส้นแนวนาลดทีช่ ายฝง่ั ทะเลและใชเ้ ปน็ เส้นฐานปกติ
( ท่ีมา : กรมอุทกศาสตร์)

54

2. เสน้ ฐานตรง (Straight Baselines) กรณีทแ่ี นวชายฝงั่ เวา้ แหว่งเข้าไปลกึ หรอื ทซ่ี งึ่ มีเกาะเรยี งราย
ตามฝ่ังทะเลในบริเวณใกล้ชิดติดกับฝ่ังทะเลนั้น ฝั่งทะเลตอนน้ันต้องมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ผิดกว่าธรรมดา
กล่าวคือ ชายฝั่งมีลักษณะเว้าแหว่ง หรือตัดลึกเข้าไปในแผ่นดินมาก และมีลักษณะซับซ้อนพอสมควร หรือมีเกาะ
เรียงรายอยู่ชิดฝั่งเป็นจ้านวนมาก หรือมีลักษณะฝ่ังและเกาะในลักษณะดังกล่าวประกอบกัน จนเป็นชายฝั่งท่ีมี
ลักษณะพิเศษผิดกว่าชายฝั่งธรรมดาทั่วไปรัฐชายฝั่งอาจใช้เส้นฐานตรงได้โดยการก้าหนดจุดท่ีเหมาะสม อาจเป็น
น้อยจุดหรือมากจุดก็ได้ แล้วลากเส้นตรงเช่ือมจุดเหล่านั้น เส้นตรงที่ลากขึ้นดังกล่าวนี้ คือ เส้นฐานตรง ซ่ึงใช้เป็น
เส้นฐานในการก้าหนดเขตทางทะเล เช่นเดียวกับเส้นฐานปกติ โดยหลักทั่วไปแล้วเส้นฐานตรงต้องไม่หักเหไปจาก
ทิศทางโดยท่ัวไปของชายฝั่ง และบริเวณทะเลท่ีอยู่ภายในเส้นฐานเหล่าน้ันต้องมีความสัมพันธ์กับผืนแผ่นดินอย่าง
ใกล้ชิด รัฐชายฝ่ังซ่ึงใช้เส้นฐานตรงต้องแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งในแผนท่ีของตนหรือประกาศรายการพิกัดทาง
ภูมิศาสตร์ของจุดดังกล่าว โดยปกติแล้วการก้าหนดเส้นฐานตรงนั้นต้องมีเง่ือนไขต่าง ๆ ตามท่ีกฎหมายระหว่าง
ประเทศได้วางหลักเกณฑไ์ ว้ ตามข้อ 4 ของอนุสัญญาวา่ ด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเน่ือง ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501)
หรือขอ้ 7 ของอนสุ ญั ญา ฯค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525)

ภาพ แสดงการกาหนดเส้นฐานตรงเมื่อชายฝ่ังมลี กั ษณะเวา้ แหวง่ หรือมเี กาะเรยี งรายที่แนวชายฝ่ัง
( ที่มา: TALOS )

เส้นฐานอ่าวประวตั ศิ าสตร์ (Historic Bay)
อ่าวประวัตศิ าสตร์ คือ อ่าวซึ่งรฐั ชายฝัง่ กล่าวอา้ งอา้ นาจอธปิ ไตยของตนเหนอื อ่าวนนั้ อ่าวชนิดน้ี
ไม่ได้ค้านึงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ว่าปากอ่าวมีความกว้างเท่าใด และไม่ค้านึงถึงหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้
ในอนุสัญญากฎหมายทางทะเลแต่อย่างใด กล่าวคืออ่าวประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกก้าหนดข้ึนโดยกฎของคร่ึงวงกลม
และการลากเส้นปิด 24 ไมล์ทะเล ตามหลักเกณฑ์ระหว่างประเทศเกี่ยวกับการอ้างอ่าวประวัติศาสตร์ รัฐที่อ้าง
สิทธินั้น ต้องท้าการโดยเปิดเผย อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเวลายาวนาน และมีการใช้อ้านาจเหนืออ่าวดังกล่าว
อยา่ งต่อเนื่อง โดยต้องไม่มกี ารคดั คา้ นการใชอ้ า้ นาจเช่นวา่ นนั้ จากรฐั อนื่ ๆ

55

อย่างไรก็ตามไม่มกี ฎเกณฑบ์ ญั ญัติไวว้ า่ การครอบครองน่านน้าน้นั ต้องเปน็ ระยะเวลากป่ี ี ทงั้ น้ี
ขึ้นกับพฤติการณ์แต่ละกรณีเป็นเร่ือง ๆ ไป อ่าวประวัติศาสตร์ที่ส้าคัญ ๆ เช่นในฝรั่งเศส อ่าวกองกาเล ( Cancale )
และอ่าวกรองวีลย์ ( Granville ) มีความกว้าง 17 ไมล์ ในสหรัฐ อ่าวเซซาพีค ( Chesapeake ) กว้าง 12 ไมล์
อ่าวเดลาแวร์( Delaware) กว้าง 10 ไมล์ และอ่าวซานตา โมนิกา ( Santa Monica ) กว้าง 24 ไมล์ ในรัสเซีย
อา่ วปเี ตอร์ เดอ เกรท ( Peter the Great ) กว้าง 200 ไมล์ และในพมา่ อ่าวเมาะตะมะ กว้าง 203 ไมล์ เป็นต้น

ประเทศไทยมีน่านนา้ ในอา่ วไทยเปน็ อ่าวประวตั ศิ าสตร์ ตามประกาศส้านกั นายกรัฐมนตรี เรอื่ ง
อ่าวไทยตอนใน ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2502 ก้าหนดว่าอ่าวไทยตอนในเหนือเส้นฐานจากจุด ณ แหลมบ้านช่อง
แสมสาร ละติจูด 12o35/45//เหนือ ลองจิจูด 100 o 57/45// ตะวันออก ตามเส้นขนานละติจูดไปทางทิศตะวันตก
ถงึ จุด ณ ฝัง่ ทะเลตรงข้าม ละตจิ ูด 12 o 35/45// เหนือ ลองจิจูด 99 o 57/30// ตะวันออก เป็นอ่าวประวตั ิศาสตรแ์ ละ
นา่ นนา้ ภายในเส้นฐานดังกล่าวน้ันเปน็ นา่ นน้าภายในประเทศไทย

ลกั ษณะทางธรรมชาตทิ ่ีมผี ลตอ่ การกาหนดเสน้ ฐาน
1.แนวชายฝั่งท่ีมีลักษณะไมค่ งที่ (Unstable Coastlines) แนวชายฝ่ังทีม่ กี ารเปล่ยี นแปลง
ตลอดเวลาตามธรรมชาติ เช่น ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้า (Deltas) เส้นฐานตรงอาจก้าหนดขึ้นโดยให้เชื่อม
ระหว่างจุดทเ่ี หมาะสมของเส้นแนวน้าลด แม้ว่า ต่อมาภายหลังแนวชายฝั่งถูกเซาะหายไปหรืองอกออกมา เส้นฐาน
ตรงเหล่าน้ียังคงมีผลต่อไป จนกว่ารัฐชายฝ่ังจะท้าการเปล่ียนแปลง เช่นการก้าหนดเส้นฐานท่ีชายฝ่ังของบังคลาเทศ
เป็นตน้
2.ชายฝ่งั เว้าแหว่ง (Indent Coast) ลกั ษณะของขอบฝั่งทีเ่ วา้ แหวง่ มักเป็นอุปสรรคในการสรา้ ง
เส้นฐาน ดังนั้นในอนุสัญญาฯ ค.ศ.1982 ได้ระบุวิธีการสร้างเส้นฐานขึ้นโดยก้าหนดหลักการว่า หากบริเวณที่ต้องการ
สรา้ งเสน้ ฐานนั้นมลี ักษณะเว้าแหว่ง หรือมีเกาะเรียงรายตามฝั่งทะเล ใหน้ ้าวธิ ีการลากเส้นฐานตรงเชือ่ มจดุ ที่เหมาะสม
มาใช้ในการกา้ หนดเส้นฐาน ส้าหรับเป็นเส้นเร่มิ ตน้ ในการกา้ หนดเขตทางทะเล
3.หินโสโครก (Reefs) เส้นแนวน้าลดของหินโสโครกอาจน้ามาใชเ้ ป็นเส้นฐานของหมเู่ กาะ ท่ตี งั้
อยบู่ นหินปะการังหรือของเกาะท่ีมชี ายขอบเปน็ แนวโขดหนิ
4. ส่ิงก่อสร้างของเขตท่า (Habour Works) สง่ิ ก่อสร้างถาวรตอนนอกสดุ ของเขตท่า ซึ่งเปน็
สว่ นประกอบหนึ่งของระบบท่าเรือเท่านัน้ ให้ถือวา่ เป็นสว่ นของฝ่งั ทะเลในการกา้ หนดเส้นฐาน สิง่ ก่อสรา้ งของ
เขตท่า เชน่ ท่าเรอื เข่ือนกันคล่ืน และส่วนป้องกันการสกึ กรอ่ นของชายฝ่งั เปน็ ต้น ซ่งึ สรา้ งขน้ึ ตามแนวชายฝงั่
บริเวณอ่าว หรือแม่น้า เพอื่ ใชป้ ้องกนั หรือเพื่อลอ้ มรอบพน้ื ท่จี อดเรือ หรอื เป็นที่ก้าบังคลนื่ ลม

56

ภาพ แสดงสง่ิ ก่อสร้างนอกสุดของเขตทา่ สามารถใชเ้ ป็นจดุ ฐานในการกาหนดเขตทางทะเลได้
(ที่มา : คูม่ อื เทคนคิ กฎหมายทะเลสาหรบั นายทหารอุทกศาสตร์ )

5. เกาะ โขดหนิ และพน้ื ท่ีท่ีอย่เู หนือน้าขณะนา้ ลด (Islands, Rocks and Low Tide
Elevations) เกาะแตล่ ะเกาะต่างมที ะเลอาณาเขตของตน และมเี ส้นฐานส้าหรับวดั เช่นเดียวกับแผน่ ดนิ เกาะคือ
บรเิ วณแผ่นดนิ ท่ีเกดิ ข้นึ ตามธรรมชาติ ลอ้ มรอบดว้ ยน้าซงึ่ อยเู่ หนือนา้ ขณะนา้ ข้ึน หนิ โสโครกเปน็ พ้นื ที่ ท่ีคนไม่
สามารถอาศยั หรอื ยังชีพอยู่ได้ หากหนิ โสโครกยงั คงอย่เู หนอื น้าขณะนา้ ข้ึนสงู สดุ กจ็ ะมที ะเลอาณาเขตเช่นเดยี วกนั
ส่วนหนิ ท่ซี ่ึงพน้ื ท่ที ี่อยู่เหนือระดบั น้าขณะน้าลดทอ่ี ย่ภู ายนอกทะเลอาณาเขตทง้ั หมด จะไม่มีทะเลอาณาเขตของตนเอง

ภาพ แสดงเกาะ หินโสโครก และพื้นทีท่ ่ีอยู่เหนือระดับน้าขณะน้าลด
(ท่ีมา : คมู่ อื เทคนคิ กฎหมายทะเลสาหรับนายทหารอุทกศาสตร์)

57

6. เกาะเทยี มและส่ิงตดิ ตั้งนอกชายฝัง่ (Artificial islands and Offshore
installations) เกาะเทยี มและสง่ิ ตดิ ตั้งนอกชายฝัง่ ไม่มีทะเลอาณาเขตของตนเอง

7. ที่จอดเรอื (Roadsteads) ท่จี อดเรือตามปกติใชส้ าหรับขนสินค้าขึ้น-ลงเรอื และทอดสมอเรือ
ซึ่งแม้ว่าที่จอดเรือท้ังหมดหรือบางส่วนจะต้ังอยู่ภายนอกขอบเขตด้านนอกของทะเลอาณาเขต ให้รวมอยู่ในทะเล
อาณาเขตดว้ ย ทจี่ อดเรือตอ้ งก้าหนดและแสดงไวอ้ ยา่ งชัดเจนในแผนท่ีซ่ึงรัฐชายฝัง่ นัน้ จัดท้าข้นึ

ปัญหาพนื้ ฐานโดยท่ัวไปของเส้นฐานปกตแิ ละเส้นฐานตรง (ยกไปไว้ ม.ปลาย)
1.ข้อมลู แนวน้าลดตลอดแนวชายฝั่งตอ้ งได้มาจากตรวจระดบั นา้ เป็นระยะเวลาท่ยี าวนานพอสมควร

รวมท้ังมีการส้ารวจหยั่งน้า ท้าแผนท่ีโดยหน่วยงานอุทกศาสตร์ของรัฐชายฝั่ง เพ่ือให้ได้แนวของน้าลงต่้าสุด
ที่รัฐชายฝั่งน้ันยึดถือหรือยอมรับใช้อย่างเป็นทางการ ซ่ึงการด้าเนินการดังกล่าวนี้ มักเป็นปัญหาของบางรัฐชายฝั่ง
ที่ยังไมม่ ขี ดี ความสามารถในการส้ารวจทางอทุ กศาสตรด์ ้วยตนเอง

2. แผนทซ่ี ึง่ ใชใ้ นการกา้ หนดเส้นฐานท้ังเส้นฐานปกติ และเสน้ ฐานตรงทุกประเภท ต้องเป็นชนดิ
มาตราส่วนใหญ่ (Large Scale Chart) ท่ีให้รายละเอียดเขตท่ีน้าขึ้นลงชัดเจน และมีระวางครอบคลุมบริเวณชายฝั่ง
ทัง้ หมดอย่างครบถว้ น

3. วธิ กี ารก้าหนดเส้นฐานประเภทตา่ ง ๆ ให้เป็นไปอย่างถูกตอ้ งตามเงอ่ื นไขท่ีกฎหมายทะเลก้าหนด
4. ความถกู ตอ้ งของต้าบลทใ่ี นการประกาศเสน้ ฐาน เช่น การกา้ หนดพกิ ัดของจดุ นอกสดุ ทช่ี ายฝั่ง
โดยค่าตัวเลขพิกัดท่ีประกาศ ควรระบุท่ีมาของการหาค่า ท้ังวิธีการที่ได้มา และการอ้างอิงขนาดของโลกและมูลฐาน
ที่ใช้
5. การปรับปรงุ ความถูกตอ้ งต้าบลทีข่ องเส้นฐานท่ีเคยประกาศไว้ เม่อื ภายหลงั มีข้อมลู ที่ถูกตอ้ งและ
มีคุณภาพของข้อมูลดีกว่าเดิม เช่น เม่ือมีการส้ารวจแผนท่ีขยายใหม่ที่ใช้สัณฐานและขนาดของโลกในระบบ ที่อ้างอิง
จากจุดศูนย์กลางของมวลโลก (World Geodetic System - WGS 84) เป็นต้น
สรปุ เสน้ ฐานแต่ละประเภทตามทีไ่ ด้กลา่ วมาแลว้ ข้างต้น ถอื เป็นจุดเริ่มต้นทร่ี ฐั ชายฝง่ั ใช้สา้ หรับการ
วัดระยะความกว้างเขตทางทะเลของตนออกไป การก้าหนดเขตทางทะเลทุก ๆ เขต ใช้การวัดระยะจากเส้นฐาน
ทง้ั ส้นิ ดงั นนั้ เส้นฐานจึงมีความส้าคัญเป็นอันดบั แรกที่ควรให้ความสนใจ พร้อมทัง้ มีการตรวจสอบความถูกต้องและ
ดา้ เนนิ การทสี่ อดคลอ้ งกบั กฎเกณฑ์ตามที่อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลกา้ หนดไว้
3. การประกาศอา้ งสิทธฝิ ่ายเดียว (Unilateral Claimed) ในเขตทางทะเล
การประกาศอา้ งสิทธฝิ ่ายเดียว (Unilateral Claimed) ถอื เป็นขนั้ ตอนเร่มิ ต้นของเขตทางทะเลของ
รัฐชายฝ่ัง ตัวอย่าง ของการประกาศอ้างสิทธิฝ่ายเดียวของรัฐเช่น การประกาศเส้นฐานตรงในแต่ละบริเวณ เป็นส่ิงที่
จ้าเป็นถ้ารัฐไม่ประกาศอย่างเป็นทางการก็จะไม่ได้สิทธิในเขตทางทะเลตามที่กฎหมายทะเลก้าหนด นั่นคือ ถ้ารัฐ
ไม่ประกาศเส้นฐานตรงการวัดเขตทางทะเลก็จะต้องใช้เส้นฐานปกติคือแนวน้าลดท่ีชายฝ่ังเป็นขอบเขตเร่ิมต้น
ในการวัด ก็จะส่งผลให้ได้พ้ืนที่ทางทะเลน้อยกว่าการประกาศอ้างสิทธิท่ีชัดเจน ส่วนการประกาศความกว้างของ
ทะเลอาณาเขตแม้ว่ารัฐชายฝั่งจะประกาศหรือไม่ประกาศรัฐย่อมมีสิทธิในทะเลอณาเขตของตนอยู่แล้วในลักษณะ
ท่ีเป็นไปตามหลักการของกฎหมายในส่วนที่เป็นหลักการของจารีตประเพณีที่ยึดถือกันมา แต่การประกาศขอบเขต
ที่ชัดเจนลงในแผนที่เป็นการแสดงเจตนาของรัฐชายฝั่งให้เป็นท่ีปรากฏชัดเจน จะเห็นได้ว่าในบางเขตทางทะเลเช่น
เขตไหล่ทวีปแม้จะเป็นสิทธิตามธรรมชาติท่ีรัฐจะมีเขตไหล่ทวีปของตนเองได้ตามธรรมชาติของไหล่ทวีป ไม่ว่าจะ
ประกาศอ้างสิทธิหรือไม่ก็ตาม แต่รัฐส่วนใหญ่ก็นิยมท่ีจะประกาศอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปของตน เพื่อแสดงขอบเขต

58

การอ้างสิทธิของตนเองให้เป็นท่ีประจักษ์ แม้ว่าการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวไม่มีผลผูกพันให้ประเทศเพ่ือนบ้านโดยรอบ
ต้องยอมรับการอ้างสิทธิน้ัน ๆ ก็ตาม แต่ประโยชน์ของการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวจะเป็นพื้นฐานให้ประเทศที่มีอาณาเขต
ติดกันใช้เป็นกรอบของขอบเขตพ้ืนท่ี ท่ีจะต้องมีการเจรจาร่วมกันให้ได้ข้อยุติต่อไปตามท่ีกฎหมายทะเลก้าหนด
แนวทางไว้ ปัญหาที่เกิดข้นึ จากการอา้ งสิทธิฝ่ายเดียวอาจส่งผลเสียได้หากการอ้างสิทธินั้นเป็นการอ้างสิทธทิ ี่เกินเลย
และไม่อยู่บนพ้ืนฐานของหลักกฎหมาย เช่น การอ้างสิทธิฝ่ายเดียวในไหล่ทวปี ของกัมพูชาเป็นต้น ในขณะเดียวกัน
ในบางพื้นท่ีที่รัฐคู่กรณีมิได้มีการอ้างสิทธิฝ่ายเดียว การเจรจาให้ได้ข้อยุติก็จะเป็นไปได้ง่ายกว่าเช่น การแบ่งเขต
ทางทะเลในพ้ืนที่ทางด้านฝั่งตะวันตกของประเทศไทยในปัจจุบันสามารถตกลงกันได้ ข้อยุติเกือบทั้งหมดยังมีท่ี
คงค้างบรเิ วณเหนือเกาะสุรินทร์ไปจนถึงบริเวณปากนา้ ระนองทยี่ ังไมม่ ีการเจรจาระหว่างกัน

ระบอบของเขตทางทะเลตามอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ ่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982

1.ประเภทของเขตทางทะเล (Maritime Zones) ตามหลักกฎหมายทะเล
อนุสัญญาสหประชาชาติวา่ ด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 United Nations Convention
On the Law of the Sea : 1982 UNCLOS) เป็นอนุสัญญาท่ีประมวลกฎหมาย จารีตประเพณีทางทะเล
เป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมท้ังก้าหนดหลักเกณฑ์ให้ครอบคลุมกิจกรรมทางทะเลในทุกด้าน อาทิ การใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรทางทะเล การอนุรักษ์ และการจดั การทรพั ยากรในทะเล การคุ้มครองส่ิงแวดลอ้ มทางทะเล การวิจัย
และวทิ ยาศาสตรท์ างทะเล การระงับข้อพิพาท ซ่ึงประเทศไทยได้ให้สัตยาบันและมีสิทธิและหน้าท่ีเก่ียวข้องกับทะเล
ตามอนสุ ัญญาฯ ตั้งแต่วนั ท่ี ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ อนสุ ัญญาฯ ไดก้ ้าหนดเขตทางทะเล และกา้ หนดอ้านาจ สทิ ธิ
และหน้าทข่ี องรฐั ภาคี ไวด้ ังนี้

1.1 น่านนา้ ภายใน (Internal Waters) คอื นา่ นน้าทางด้านแผ่นดนิ หลงั เสน้ ฐาน
(Baselines) ซ่ึงรัฐชายฝั่งมีอ้านาจอธิปไตย (Sovereignty) เสมือนอ้านาจอธิปไตยเหนือดินแดน (Territory) ทั้งน้ี
เส้นฐานแบ่งเป็นเส้นฐานปกติ (Normal Baseline) คือ แนวน้าลดตลอดชายฝ่ังทะเล ตามท่ีรัฐชายฝั่งก้าหนดไว้
ในแผนท่ีของตน ซึ่งโดยอนุโลมคือเส้นแนวน้าลึกศูนย์เมตรท่ีอยู่ในแผนที่เดินเรือ ส่วนเส้นฐานตรง (Straight
Baseline) กาหนดขึ้น ในกรณีที่ชายฝั่งมีความเว้าแหว่งมาก หรือมีเกาะเรียงรายใกล้ชิดไปกับแนวชายฝั่ง
จนไม่สามารถหาแนวน้าลดได้ ให้รัฐชายฝ่ังสามารถก้าหนดการเชื่อมต่อจุดที่เหมาะสม บริเวณชายฝั่งเข้าด้วยกัน
เปน็ เส้นฐานตรงได้

1.2 ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) มีพนื้ ทไี่ มเ่ กนิ 12 ไมลท์ ะเล หรือประมาณ 22
กิโลเมตร โดยวัดจากเส้นฐาน (Baselines) โดยรัฐชายฝั่งมีอ้านาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขต ซึ่งหมายความ
รวมถึงอ้านาจอธิปไตยในห้วงอากาศ (Air space) เหนือทะเลอาณาเขต และอ้านาจอธิปไตยเหนือพื้นดินท้องทะเล
(Seabed) และดินใต้ผิวดนิ (Subsoil) ของทะเลอาณาเขตด้วย แตใ่ ห้สิทธิในการผ่านโดยสุจรติ (Right of innocent
passage) ของเรอื ตา่ งชาติ

1.3 เขตตอ่ เน่ือง (Contiguous Zone) มีพนื้ ท่ีไมเ่ กนิ 24 ไมลท์ ะเล หรอื ประมาณ
44 กิโลเมตร โดยวัดจากเส้นฐาน (Baselines) ซ่ึงใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต ซึ่งรัฐชายฝ่ังอาจใช้สิทธิ
ประกาศเป็นเขตต่อเน่ืองเพื่อด้าเนินการควบคุมที่จ้าเป็น เพ่ือป้องกันการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับเก่ียวกับ
ศลุ กากร (Customs) การคลงั (Fiscal) การเขา้ เมอื ง (Immigration) หรือการสขุ าภิบาล (Sanitary)

59

1.4 เขตเศรษฐกิจจาเพาะ (Exclusive Economic Zone) คอื บริเวณที่อย่ถู ดั ไปและ
ประชิดกบั ทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกจิ จ้าเพาะ จะต้องไม่ขยายออกไปเกนิ 200 ไมล์ทะเล หรอื ประมาณ 370
กิโลเมตรจากเส้นฐาน ซ่ึงใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต โดยรัฐชายฝ่ังมีสิทธิอธิปไตย เพ่ือความมุ่งประสงค์
ในการส้ารวจ (Exploration) การแสวงประโยชน์ (Exploitation) การอนุรักษ์ (Conservation) และการจัดการ
(management) ทรัพยากรธรรมชาติท้ังท่ีมชี ีวิตหรือไม่มีชีวิตในน้า เหนือพนื้ ดนิ ท้องทะเล (Water superjacent to
the seabed) และในพ้ืนดินท้องทะเล (Seabed) กับดินใต้ผิวดิน (Subsoil) ของพ้ืนดินท้องทะเลนั้น และมีสิทธิ
อธิปไตยในส่วนท่ีเก่ียวกับกิจกรรมอ่ืน ๆ เพื่อการแสวงประโยชน์ และการส้ารวจทางเศรษฐกิจ แต่รัฐอ่ืนมีเสรีภาพ
ในการเดินเรือ (Freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (Freedom of over flight) การวางสายเคเบิล
และท่อใต้ทะเล (Freedom of the laying of submarine cables and pipelines) และยังรวมไปถึงการใช้
ประโยชน์จากพ้นื ท่ีไหล่ทวปี (Continental Shelf) และทะเลหลวงหรือน่านนา้ สากล (High Seas)

1.5 ไหลท่ วปี (Continental Shelf) หมายถงึ พื้นดนิ ทอ้ งทะเล (Seabed) และดินใต้
ผวิ ดนิ (Subsoil) ของบรเิ วณใตท้ ะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตของรฐั ตลอดส่วนตอ่ ออกไปตามธรรมชาติ (Natural
Prolongation) ของดินแดนทางบกจนถึงริมนอกของขอบทวีป (Continental Margin) หรือจนถึงระยะ 200 ไมล์
ทะเลจากเส้นฐาน ซ่ึงใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต แต่อาจมีบางกรณีท่ีสามารถขยายเขตไหล่ทวีปได้ถึง 350
ไมลท์ ะเล หรือประมาณ 648 กิโลเมตร ทงั น้ี หลกั เกณฑ์เปน็ ไปตามท่ีกฎหมายกาหนด

1.6 ทะเลหลวงหรอื นา่ นน้าสากล (High Seas) คือ ทุกสว่ นของทะเลซึ่งไม่ได้รวมอยู่ใน
เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ (Exclusive economic zone) ในทะเลอาณาเขต (Territorial sea) หรือ ในน่านน้าภายใน
(Internal waters) ของรฐั หรอื ในน่านน้าหมู่เกาะ (Archipelagic waters) ของรัฐ หมู่เกาะเสรีภาพแห่งทะเลหลวง
ใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กาหนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ เสรีภาพ
ในการเดินเรือ (Freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (Freedom of over flight) เสรีภาพในการ
ท้าประมง (Freedom of fishing) โดยหน้าที่ประการส้าคัญของรัฐต่าง ๆ ที่ท้าการประมงในทะเลหลวง คือ
ตอ้ งร่วมมือกนั เพ่ือกา้ หนดมาตรการในการอนรุ กั ษ์ และจัดการทรัพยากรทมี่ ชี วี ิตในทอ้ งทะเล

1.7 บริเวณพืน้ ท่ี (The Area) หมายถงึ พืน้ ดินทอ้ งทะเลและพ้ืนมหาสมุทรและดนิ
ใต้ผิวดินท่ีอยพู่ ้นเขตอา้ นาจของรัฐ ดงั นั้น รัฐใด ๆ จึงมอิ าจอ้างหรือใช้อ้านาจอธิปไตยหรอื สิทธิอธิปไตยเหนอื ส่วนใด
ส่วนหน่ึงของบริเวณพื้นท่ีและทรัพยากรในบริเวณพ้ืนที่ เพราะถือเป็นมรดกร่วมของมนุษยชาติ โดยมีองค์กร
ท่ีเรียกว่า International Seabed Authority (ISA) ท้าหน้าท่ีบริหารจัดการทรัพยากรในบริเวณพื้นท่ีเพ่ือประโยชน์
ร่วมกันของรัฐต่าง ๆ ส่วนห้วงน้าและห้วงอากาศ ที่อยู่เหนือบริเวณพ้ืนท่ีรัฐทุกรัฐยังคงมีสิทธิเสรีภาพในระบอบ
ทะเลหลวง ดงั ระบุแลว้ ขา้ งต้น

60

ภาพ ภาพตดั ขวางแสดงใหเ้ ห็นเขตทางทะเลที่สัมพันธ์กับ หว้ งอากาศ มวลนา้ ผิวดิน และใตผ้ วิ ดนิ ก้นทะเล
(ท่ีมา : กรมอทุ กศาสตร)์

ประเทศไทยเปน็ รฐั ชายฝ่ัง (Coastal State) ตัง้ อย่บู นคาบมหาสมทุ รอนิ โดจนี มแี ผ่นดนิ ตดิ กับ
ทะเล 2 ด้าน คือ อ่าวไทยทางทิศตะวันออก และทะเลอันดามันกับช่องแคบมะละกาทางทิศตะวันตก ประเทศไทย
มีพื้นท่ีประมาณ 514,000 ตารางกิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 3,193.44 กิโลเมตร ตลอดแนว 23 จังหวัด
ชายทะเล มีเส้นทางเข้าออกทะเล 2 มหาสมุทร (มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย) มีอาณาเขตทางทะเล
คิดเปน็ พน้ื ที่ ทแ่ี ตกต่างกันตามระบอบของเขตทางทะเลดงั น้ี

1. เขตนา่ นน้าภายใน (Internal Waters) : พ้ืนที่รวม 61,954.04 ตารางกโิ ลเมตร
2. ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) : พนื้ ทีร่ วม 53,068.23 ตารางกโิ ลเมตร
3. เขตตอ่ เน่อื ง (Contiguous Zone) : พนื้ ทร่ี วม 37,513.22 ตารางกิโลเมตร
4. เขตเศรษฐกจิ จ้าเพาะ (Exclusive Economic Zone – EEZ) : พนื้ ท่รี วม 201,340.83
ตารางกิโลเมตร (ไมร่ วมพน้ื ท่พี ัฒนารว่ ม ไทย-มาเลเซยี )
5. เขตไหล่ทวปี (Continental Shelf Zone) มีขอบเขตพนื้ ท่เี ช่นเดียวกับเขตเศรษฐกจิ จ้าเพาะ

61
รวมนา่ นน้าไทยมีพ้ืนทีท่ ้ังหมดประมาณ 323,488.32 ตารางกโิ ลเมตร โดยฝงั่ อา่ วไทยมีพื้นที่
ประมาณ 202,676.20 ตารางกิโลเมตร และฝั่งทะเลอันดามันมีพื้นที่ประมาณ 120,812.12 ตารางกิโลเมตร
คิดเป็น 0.63 เท่าของพ้ืนที่บนบกของประเทศ พ้ืนที่ทางทะเลดังกล่าวประเทศไทยมีอ้านาจอธิปไตยและสิทธิ
อธิปไตย ท่ีท้าให้เกิดผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างมหาศาล เช่น เป็นแหล่งทรัพยากรท้ังมีชีวิตและไม่มีชีวิต
แหล่งพลังงาน การขนส่งทางทะเล การท่องเที่ยว และกิจกรรมเนื่องอันเกิดจากการใช้ประโยชน์จากทะเล
นอกจากนย้ี ังใช้สิทธิ ในการแสวงหาผลประโยชน์ในเขตทะเลหลวง และพื้นท่ีทางทะเลได้อีกด้วย

ภาพ แสดงแผนท่ีเขตทางทะเล (Maritime Zone Chart) ของไทย
(จดั ทาโดย กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ)

2.การประกาศเขตทางทะเลของประเทศไทย
ประเทศไทยไดล้ งนามรับรองกฎหมายทะเลในอนุสญั ญาเจนวี า ปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) และ
ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2501 และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ในวันท่ี 1 สิงหาคม พ.ศ.2512 และ
อนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแล้ว
เม่ือปี พ.ศ. 2554 ในห้วงเวลาถึง 5 ทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยได้ใช้สิทธิในการประกาศ เส้นฐานตรง และ
ประกาศความกว้างของเขตทางทะเลต่าง ๆท้ังด้านอ่าวไทยและด้านฝั่งทะเลด้านตะวันตกของประเทศไทย
โดยมรี ายละเอียดสรุปได้ดงั น้ี

2.1 ประกาศอ่าวประวตั ิศาสตร์
รฐั บาลไทยประกาศให้เส้นฐานตรงเชอื่ มบริเวณอา่ วไทย 2 จดุ เพื่อใหพ้ นื้ ท่จี ากเสน้ ฐานตรง
ดังกล่าวถึงชายฝ่งั เปน็ พน้ื ที่ของอ่าวประวัติศาสตรไ์ ทย ดงั นี้

62

1) แหลมบ้างชอ่ ง แสมสาร อ้าเภอสัตหีบ จงั หวัดชลบุรี พิกัด
ละติจดู 12 35 45 เหนือ
ลองจิจูด 100 57 45 ตะวนั ออก

2) ชายฝงั่ ทะเลตรงบ้านบอ่ ฝ้าย อา้ เภอชะอา้ จงั หวดั เพชรบุรี พกิ ัด
ละติจดู 12 35 45 เหนอื
ลองจจิ ดู 99 57 30 ตะวนั ออก

ทัง้ น้ี ต้งั แต่วนั ท่ี 22 กันยายน พ.ศ.2502 ตามราชกิจจานเุ บกษา ฉบับพิเศษ เล่ม 76
ตอนท่ี 91 หนา้ 1 วันท่ี 26 กนั ยายน พ.ศ.2502

2.2 ประกาศความกวา้ งของทะเลอาณาเขต
ก้าหนดความกวา้ งของทะเลอาณาเขตของประเทศไทย ระยะ 12 ไมลท์ ะเล นบั จาก
เสน้ ฐาน ทั้งน้ี ต้งั แต่วนั ท่ี 6 ตุลาคม พ.ศ.2509 ตามราชกจิ จานุเบกษา เลม่ 83 ตอนท่ี 92 วันท่ี 18 ตลุ าคม พ.ศ.2509
2.3 รัฐบาลไทยไดป้ ระกาศเสน้ ฐานตรง 2 คร้ัง คอื

1) คร้ังท่ี 1 ได้ประกาศเสน้ ฐานตรงรวม 3 บรเิ วณ เม่อื วนั ท่ี 11 มถิ นุ ายน
พ.ศ.2513 ตามราชกิจจานเุ บกษา ฉบบั พเิ ศษ เล่ม 87 ตอนท่ี 52 หนา้ 4-7 วันที่ 12 มิถนุ ายน พ.ศ.2513 มี 3 บริเวณ
ดังนี้

1.1) บรเิ วณท่ี 1 เร่มิ ต้นทบ่ี ริเวณแหลมลิง อา้ เภอแหลมสิงห์ จังหวัดจนั ทบรุ ีทางฝ่ัง
ตะวนั ออกของอ่าวไทยโอบรอบหมู่เกาะตา่ ง ๆ เช่น เกาะช้าง เกาะกูด เขา้ บรรจบฝ่ังท่หี ลักเขตเขตแดนไทย – กัมพูชา
ทส่ี ุดเขตแดนไทย - กมั พูชา อา้ เภอคลองใหญ่ จงั หวดั ตราด

1.2) บรเิ วณที่ 2 ทางฝ่ังตะวันตกของไทย เร่มิ ตน้ ทแี่ หลมใหญ่ อ้าเภอประทวิ
จงั หวัดชมุ พร โอบรอบหมู่เกาะพะงนั และเกาะอื่น ๆ บริเวณน้ัน ไปจนถงึ อ้าเภอขนอม จังหวัดนครศรธี รรมราช

1.3) บรเิ วณท่ี 3 ทางฝ่งั ทะเลอนั ดามนั ต้งั แต่ อา้ เภอเมือง จังหวดั ภเู กต็ ลงไป
จนถึงเกาะตะรุเตาและเข้าบรรจบฝั่งทห่ี ลกั เขตแดนไทย – มาเลเซีย ทีจ่ งั หวัดสตลู ตอ่ มาในปี พ.ศ.2535

2) ครั้งท่ี 2 เมอื่ วนั ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2535 ตามราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 109
ตอนท่ี 89 หน้า 1 วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2535 ได้ประกาศเส้นฐานตรงและน่านน้าภายใน บริเวณท่ี 4 ทางด้าน
อา่ วไทย ฝ่ังตะวันตกต้ังแต่เกาะกงออก อ้าเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎรธ์ านี เกาะกระ เกาะโลซิน เข้าบรรจบฝ่ัง
ทห่ี ลกั เขตแดนไทย – มาเลเซีย บริเวณปากน้าโกลก อ้าเภอตากใบจังหวดั นราธวิ าส

63

ภาพ แสดงการประกาศเสน้ ฐานตรงของประเทศไทยท้ัง 4 บรเิ วณ (พ้ืนทีส่ ีเหลือง)
บริเวณท่ี 1-3 ในปี พ.ศ. 2513 และบรเิ วณที่ 4 ในปี พ.ศ. 2535
(ท่ีมา: กรมอทุ กศาสตร์)

2.4. ประกาศเขตไหลท่ วีปด้านอ่าวไทย
เน่อื งจากปญั หาทะเลอาณาเขตและเขตไหล่ทวีประหว่างประเทศไทยกบั ประเทศกัมพูชาและ
เวยี ดนาม ในอดีตไม่อาจประชุมตกลงกนั ได้ ประเทศทั้งสองได้ประกาศเขตไหล่ทวปี ของตนฝา่ ยเดียวขึ้น ถา้ ประเทศ
ไทยไม่ประกาศบ้าง ก็จะเสียเปรียบประเทศทั้งสอง ในการให้สัมปทานการขุดเจาะส้ารวจหาแหล่งน้ามันและก๊าซ
ธรรมชาติ ดังนั้น ในวันท่ี 18 พฤษภาคม พ.ศ.2516 ประเทศไทยไดป้ ระกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย จ้านวน 18 จุด
ติดต่อกับประเทศกัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 90 ตอนท่ี 60 หน้า 1-2 วันท่ี 1
มิถุนายน พ.ศ.2516 การที่ต่างฝ่ายต่างประกาศน้ีท้าให้เขตไหล่ทวีปซ้อนทับกัน ปัจจุบันประเทศไทยได้ท้าความตก
ลงกับมาเลเซียและเวียดนามได้ คงเหลือจดุ ร่วมสามประเทศ คือ ไทย - เวยี ดนาม - มาเลเซีย และ ไทย - เวียดนาม
- กมั พูชา และเขตไหล่ทวีป ระหว่างไทย - กัมพูชา ท่รี ฐั บาลทงั้ สองยังเจรจากนั อยู่ ฉะนน้ั ตามประกาศของไทยฉบับ
นี้ยงั คงมีผลบงั คับใชเ้ พียง 9 จดุ คอื ต้งั แต่ จุดท่ี 1-9

64

ภาพ แสดงการประกาศเขตไหล่ทวีปดา้ นอ่าวไทยจานวน 18 จดุ เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516
(ท่ีมา : กรมอุทกศาสตร์)

2.5. ประกาศเขตเศรษฐกิจจาเพาะระยะ 200 ไมลท์ ะเล
ประเทศไทยประกาศเขตเศรษฐกจิ จ้าเพาะ ระยะ 200 ไมล์ทะเล นับตัง้ แต่เส้นฐาน เมื่อวันที่ 22
กุมภาพนั ธ์ 2524 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89 ตอนท่ี 30 หน้า 9 วนั ที่ 25 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2524
2.6 ประกาศเขตเศรษฐกิจจาเพาะด้านทะเลอนั ดามนั
เป็นการประกาศเพ่ิมเติมจากทป่ี ระกาศไปแล้ว เม่อื 23 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2524 แต่การประกาศครงั้ น้ี
เป็นการประกาศโดยก้าหนดค่าพิกัดของจุดต่าง ๆ รวม 27 จุด เมื่อพิจารณาแล้ว ค่าพิกัดของจุดท้ัง 27 จุด ก็คือ
เขตไหล่ทวีป และเขตก้นทะเล (Sea bed) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และพม่า
ให้เป็นเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะด้วย ประกาศเม่ือวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105
ตอนท่ี 20 หน้า 231 - 233 วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2531

65

ภาพ แสดงการประกาศเขตเศรษฐกจิ จาเพาะด้านทะเลอันดามันจานวน 27 จดุ เมื่อวันท่ี 18 กรกฎาคม 2531
(ท่ีมา: กรมอทุ กศาสตร์)

2.7. ประกาศเขตเศรษฐกจิ จาเพาะด้านอา่ วไทย
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2531 รฐั บาลไทยได้ประกาศเขตเศรษฐกจิ จาเพาะ รวม 8 จุด ระหว่าง
ไทย - มาเลเซีย ซ่ึงท้ัง 8 จุด ก็คือเขตไหล่ทวีปและพ้ืนที่แสวงประโยชน์ร่วมท่ีตกลงกับมาเลเซียแล้วนั่นเอง
ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนท่ี 27 หน้า 51 – 52 วันท่ี 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2531 ส่วนเขตเศรษฐกิจ
จ้าเพาะระหว่างไทย - เวียดนามนั้น เมื่อครั้งตกลงเรื่องเขตไหล่ทวีปได้ ก็ตกลงให้เป็นเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะด้วย
ตามความตกลงระหว่างไทยกบั เวียดนาม ลงวันที่ 9 สงิ หาคม ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540)
2.8 ประกาศเขตตอ่ เนื่อง
ประเทศไทยได้ประกาศเขตต่อเน่ืองถดั จากทะเลอาณาเขต โดยใช้ระยะ 24 ไมล์ทะเล นับจาก
เส้นฐาน เม่ือวันท่ี 14 สิงหาคม พ.ศ.2538 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนท่ี 69 หน้า 1 ลงวันท่ี 29 สิงหาคม
พ.ศ.2538 ท้ังน้ี เพอ่ื ป้องกันการละเมิดกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง
การสาธารณสุข ท่ีจะกระท้าภายในราชอาณาจักร หรือทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย รวมทั้ง ด้าเนินการ
ลงโทษผูล้ ะเมดิ

66

เร่อื งท่ี 3 ขอบเขตทางทะเลของไทย

ขอบเขตทางทะเลของไทย
ลักษณะพ้ืนที่ทางทะเลของประเทศไทย ถูกล้อมด้วยพื้นที่ทางทะเล ของประเทศเพ่ือนบ้านท้ังสองด้านและ

ประชิดกบั เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนัน้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการแบ่ง เขตแดน
ทางทะเลระหว่างประเทศ ประเทศต่าง ๆ รอบอ่าวไทย และทะเลฝ่ัง ตะวันตก จึงไม่สามารถขยายเขตเศรษฐกิจ
จ้าเพาะออกไปได้เต็มท่ีถึง 200 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 370 กิโลเมตร แต่มีส่วนที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ ซ่ึงจะต้อง
เจรจาตกลงกัน
ประเทศไทยถกู ล้อมด้วยเขตเศรษฐกิจจาเพาะของประเทศเพื่อนบา้ น

ท่ีมา : หนังสอื ทะเลและมหาสมทุ รและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
โดย คณะอนกุ รรมการจดั การความร้เู พื่อผลประโยชน์แหง่ ชาติทางทะเล (อจชล.)
สานกั งานสภาความม่ันคงแหง่ ชาติ (สมช.) สานักนายกรัฐมนตรี

67

เขตแดนทางทะเลของไทยกับประเทศเพื่อนบา้ นโดยรอบ

เน่ืองจากทีต่ ัง้ ในทางภมู ิศาสตร์ของประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเลตดิ ตอ่ กับประเทศเพื่อนบ้าน
โดยรอบ เขตแดนทางทะเลทางด้านอ่าวไทยประเทศไทย มีพ้ืนที่ทางทะเลท่ีอยู่ประชิดและอยู่ตรงข้ามกับกัมพูชา
อยู่ตรงข้ามกับเวียดนาม และอยู่ประชิดกับมาเลเซีย และบรรดาประเทศต่าง ๆท่ีมีพื้นท่ีทางทะเลในอ่าวไทย
ต่างก็มีการประกาศอ้างสิทธิฝ่ายเดียวในเขตไหล่ทวีป จึงเป็นเหตุให้การประกาศอ้างสิทธิเกิดการทับซ้อนกัน
ในลักษณะการทับซ้อนสองฝ่าย และการทับซ้อนสามฝ่าย ตั้งแต่ ปี 2513 เป็นต้นมาได้มีความพยายามที่จะเจรจา
แบ่งเขตระหว่างกัน จนกระทั่งปัจจุบันไทยกับประเทศเพ่ือนบ้านในอ่าวไทยสามารถเจรจาจนได้ข้อยุติไปแล้ว
เชน่ ระหว่างไทยและมาเลเซีย ระหว่างไทยและเวยี ดนาม ส่วนของพน้ื ที่ท่ียงั คงเป็นปัญหาคงคา้ งในปจั จุบนั คอื พน้ื ที่
อา้ งสิทธิทบั ซ้อนกลางอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นพ้ืนที่ประมาณ 26,000 ตร.กม. ในส่วนของเขตแดนทางทะเล
ทางด้านฝ่ังตะวันตกของประเทศไทยน้ันมีลักษณะที่แตกต่างจากด้านอ่าวไทยกล่าวคือบรรดาประเทศต่าง ๆ มิได้
มีการประกาศอ้างสิทธิฝา่ ยเดียวในเขตไหล่ทวีปของตน การเจรจาจึงเป็นการหารือลากเส้นเขตแดนทางทะเลรว่ มกัน
ในห้วงเวลาประมาณเกือบ 25 ปี ก็สามารถบรรลุข้อตกลงในการแบ่งเขตแดนระหว่างกันได้เป็นส่วนใหญ่
สว่ นท่ียังคงเป็นปัญหาคงค้างในปัจจุบันคือเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและเมียนมา ตั้งแต่ เหนือเกาะสุรนิ ทร์ข้ึนไป
จนถึงปากน้ากระบุรี จังหวัดระนอง รวมไปถึงปัญหาการอ้างกรรมสิทธ์ิในเกาะหลาม เกาะคัน และเกาะขี้นก
สา้ หรบั ความตกลงระหวา่ งไทยกับประเทศเพอ่ื นบ้านทีส่ ามารถเจรจาไดข้ อ้ ยตุ ิ และมีการจดั ทา้ ข้อตกลงร่วมกันได้แล้ว
มดี งั น้ี

1. เขตแดนทางทะเลด้านอา่ วไทย
1.1 ความตกลงเกย่ี วกบั เขตทะเลอาณาเขตระหวา่ งไทย - มาเลเซยี ตกลงเมอื่ วันท่ี 24 ตุลาคม
ค.ศ. 1979 (พ.ศ.2522) จากจดุ ท่ปี ากแมน่ ้าโก - ลก อา้ เภอตากใบ จังหวดั นราธิวาส คือ จุดที่ 18 ไปถงึ จุดที่ 17
1.2 ความตกลงเกย่ี วกบั เขตไหลท่ วีประหวา่ งไทย - มาเลเซยี ตกลงเมอ่ื วนั ที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1979
(พ.ศ.2522) ก้าหนดเขตไหล่ทวีปไว้ 3 จุด คือ จุดที่ 17, 16 และ 15 ตามประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย ในปี
พ.ศ.2516
1.3 เนอื่ งจากระหว่างจดุ ที่ 15 ถงึ 14 ตามประกาศเขตไหลท่ วปี ของไทยในปี พ.ศ.2516 น้นั
เป็นพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งน้ามันและก๊าซธรรมชาติแหล่งเดียวกันกับพ้ืนท่ีของมาเลเซีย ถ้ามีการขุดเจาะแล้วปริมาณ
น้ามันและก๊าซธรรมชาติจะถ่ายเทไปมาระหว่างหลุมเจาะทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะเป็นกรณีพิพาทกันภายหลัง ประกอบกับ
บรเิ วณดังกล่าวทางฝั่งไทยมีเกาะโลซิน ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ คล้ายหินโผล่พ้นน้า ถ้าฝ่ายไทยเอาเกาะโลซินมาใช้อ้างอิง
แล้ว แนวเส้นเขตไหล่ทวีปจากจุดท่ี 15 ไปจุดที่ 14 จะเบนไปทางใต้เข้าเขตมาเลเซีย ดังน้ัน มาเลเซียจึงไม่ยอมรับ
สภาพว่าเกาะโลซินมีลกั ษณะเป็นเกาะ ฉะน้ัน เพอื่ ขจดั ปัญหาดังกล่าว รฐั บาลทั้งสองจึงตกลงตั้งองค์กรร่วม เพื่อแสวง
ประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเล และใต้พื้นดิน ในบริเวณไหล่ทวีปของประเทศทั้งสอง มีก้าหนด 50 ปี โดยก้าหนด
จากจุดที่ 15 ให้เป็นจุด A และจดุ อ่นื ๆ อีก 6 จุด รวมเป็น 7 จุด ในวนั ที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
1.4 ความตกลงเกี่ยวกับเขตไหลท่ วีปและเขตเศรษฐกจิ จาเพาะ ไทย - เวยี ดนาม ตามความตกลงวา่
ด้วยการแบ่งเขตทางทะเลในอ่าวไทย ลงวันท่ี 9 สิงหาคม ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) โดยกาหนดไว้เพียง 2 จุด คือ จุด C
ตามความตกลงแสวงประโยชนร์ ่วมกันระหวา่ งไทย - มาเลเซีย ไปยงั จดุ K

68

2. เขตแดนทางด้านฝ่งั ทะเลด้านตะวนั ตกของประเทศไทย (ทะเลอนั ดามนั และชอ่ งแคบ
มะละกา)

2.1 เขตไหล่ทวีประหว่างไทย – อินโดนเี ซีย ตามความตกลงเม่อื วนั ท่ี 17 ธันวาคม ค.ศ.1971
(พ.ศ.2514) ให้สตั ยาบัน วนั ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2516

2.2 วันท่ี 21 ธันวาคม ค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) รัฐบาลไทย - มาเลเซีย - อินโดนเี ซยี ไดร้ ว่ มกนั ทา้
ความตกลงก้าหนดจุดร่วมสามประเทศของเขตไหล่ทวีป

2.3 เนื่องจากพ้นื ทะเลทีต่ ่อจากเขตไหลท่ วีปไทย - อินโดนีเซยี ระดับทะเลลกึ เกนิ 200 เมตร รัฐบาล
ทง้ั สองจงึ ตกลงก้าหนดเขตก้นทะเล (Sea bed) ขึ้น ในวนั ท่ี 11 ธนั วาคม ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) ให้สัตยาบนั วนั ที่ 18
กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2521

2.4 การกา้ หนดจุดรว่ ม 3 ประเทศ ในเขตกน้ ทะเล ระหว่างไทย - อินโดนีเซีย - อินเดีย ในวันที่ 22
มิถนุ ายน ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) ใหส้ ัตยาบนั วันที่ 2 มนี าคม พ.ศ.2522

2.5 การก้าหนดเขตกน้ ทะเลระหวา่ งไทย - อินเดีย ในวันท่ี 22 มิถนุ ายน ค.ศ.1978/พ.ศ.2521
ใหส้ ัตยาบัน วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2521

2.6 การก้าหนดทะเลอาณาเขตระหว่างไทย - มาเลเซยี ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
2.7 การก้าหนดเขตไหลท่ วีประหว่างไทย - มาเลเซีย ในวนั ท่ี 24 ตุลาคม ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
2.8 การก้าหนดเขตทะเลอาณาเขต เขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกจิ จาเพาะ ในวันท่ี 25 กรกฎาคม
ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) ระหว่างไทย - พม่า ให้สัตยาบนั 12 เมษายน พ.ศ.2525
2.9 การกา้ หนดจุดร่วม 3 ประเทศไทย - พม่า - อินเดยี วันท่ี 27 ตุลาคม ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536)
ให้สตั ยาบนั วนั ท่ี 24 พฤษภาคม พ.ศ.2538

69

ภาพ แสดงแนวเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและประเทศเพ่อื นบา้ น
โดยรอบทางฝ่ังทะเลดา้ นตะวนั ตกของประเทศไทยท่สี ามารถตกลงกนั ได้ข้อยุติแล้ว

ยังคงมบี างส่วนบริเวณจงั หวัดระนองท่ียังไม่มีการกาหนด
เสน้ เขตแดนระหวา่ งกัน (ท่ีมา: กรมอทุ กศาสตร์ )

70

เรือ่ งท่ี 4 อานาจอธิปไตย สิทธอิ ธปิ ไตย และเขตอานาจในเขตทางทะเลต่าง ๆ ของไทย

ประเทศไทยมิได้มีอ้านาจอธิปไตย เหนือเขตทางทะเลอย่างสมบูรณ์ในทุกพื้นท่ี เนื่องจากมีการ
ก้าหนดอ้านาจ สิทธิและหน้าท่ขี องรัฐชายฝั่งไวใ้ นแตล่ ะเขตทางทะเล 7 เขต คือ น่านนา้ ภายใน ทะเลอาณาเขต เขต
ตอ่ เนื่อง ไหล่ทวปี เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ ทะเลหลวง และ บรเิ วณพนื้ ที่ ซง่ึ เป็นไปตามหลกั สากล

ดังนนั้ ในบางพื้นท่ปี ระเทศไทยจะมี อ้านาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ในขณะท่ีบางพื้นที่ประเทศไทยจะ
มเี พียงสทิ ธิอธิปไตยหรอื สิทธบิ างประการในการใช้ประโยชน์

โดยพ้ืนที่ทางทะเลที่ประเทศไทยมีสิทธิใช้ประโยชน์ มีพื้นที่ถึง 323,488.324 ตารางกิโลเมตร
จากท่ีเขตทางทะเล ซึ่งแปลจากค้าภาษาอังกฤษว่า Maritime Zones นับเป็นเขตต่าง ๆ ทางทะเลท่ีประเทศไทย
ได้ประกาศไว้ เช่น อ่าวประวัติศาสตร์ น่านน้าภายใน ทะเลอาณาเขต เส้นฐานตรง ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจ
จา้ เพาะ เป็นต้น ดงั มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี

นา่ นนา้ ภายใน ( Internal Waters )
น่านน้าภายในเป็นพื้นที่ทางทะเล ท่ีอยู่หลังเส้นฐานแห่งทะเลอาณาเขต เข้ามาทางด้านแผ่นดิน
รฐั ชายฝง่ั มอี า้ นาจอธปิ ไตย (Sovereignty) อย่างสมบรู ณ์ เชน่ เดียวกบั อธิปไตยบนแผ่นดินทีเ่ ปน็ อาณาเขตของตน
ประเทศไทยได้ออกประกาศก้าหนดเส้นฐานตรงและน่านน้า ภายในของประเทศไทยไว้ชัดแจ้งแล้ว
หลายฉบับ นับแต่ประกาศส้านักนายกรัฐมนตรี เรื่อง เส้นฐานตรงและน่านน้า ภายในของประเทศไทยฉบับแรก เม่ือ
วนั ท่ี 11 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ในส่วนอ่าวประวัติศาสตรข์ องประเทศไทยที่มีสถานะทางกฎหมาย เป็นน่านน้า ภายใน
เช่นกันนั้น เป็นพ้ืนที่จากการลากเส้นฐานตรงปิดปากอ่าวไทย ตอนบนหรือที่เรียกว่าอ่าวตอนใน (จากจุดท่ี 1 ณ
แหลมบ้านช่องแสมสาร ไปยังจุดที่ 2 ณ ฝั่งทะเลต้าบลห้วยทรายเหนือ ตามประกาศส้านักนายกรัฐมนตรี เร่ือง อ่าว
ไทย ตอนใน เมอ่ื 22 กันยายน พ.ศ. 2502)
ทะเลอาณาเขต ( Territorial Sea )
ทะเลอาณาเขตเป็นพื้นท่ีทางทะเลที่อยู่ภายใต้อ้านาจอธิปไตย (Sovereignty) ของรัฐชายฝ่ัง
ตามข้อ 2(1) ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 UNCLOS) ซ่ึงระบุว่า “อธิปไตย
ของรัฐชายฝั่งขยายเลยอาณาเขตทางบกและน่านน้าภายในของตน ...” และข้อ 3 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งระบุว่า “รัฐ
ทุกรัฐมีสิทธิก้าหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตของตนได้จนถึง ขอบเขตหนึ่งซึ่งไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจาก
เส้นฐานที่ก้าหนดขึ้นตามอนุสัญญาน้ี” ซ่ึงประเทศไทยได้ออกประกาศเม่ือวันท่ี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ก้าหนด
ความกว้างของทะเลอาณาเขตออกไป 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐาน ท่ีใช้วดั ความกว้างของทะเลอาณาเขตไวอ้ ย่าง
ชัดแจ้งแล้ว อธิปไตยของไทยในทะเลอาณาเขตขยายไปถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต ตลอดจนพื้นดินท้อง
ทะเลและดนิ ใตพ้ ืน้ ดนิ ท้องทะเล (Seabed and Subsoil) แหง่ ทะเลอาณาเขตตามข้อ 2(2) ของอนสุ ัญญาฯ อยา่ งไร
ก็ดี การใช้อ้านาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขต จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของอนุสัญญาฯ และ กฎหมายระหว่าง
ประเทศ อาทิ การยอมให้เรือต่างชาติผ่านโดยสุจริต (Innocent Passage) ในทะเลอาณาเขตตามข้อ 17 ของ
อนุสญั ญาฯ
เขตต่อเนอ่ื ง (Contiguous Zone)
เขตต่อเนื่องเป็นพนื้ ที่ทางทะเลที่ตอ่ ออกไปจากทะเลอาณาเขต โดยวัดจากเสน้ ฐานที่ใช้วัดความกว้าง
ของทะเลอาณาเขตออกไปไมเ่ กิน 24 ไมล์ทะเล ดังนั้น เขตต่อเนื่องจึงเปน็ พื้นท่ที างทะเลท่มี ีความกวา้ ง 12 ไมล์ทะเล
ที่อยู่ประชิดติดกับและถัดออกไปจากทะเลอาณาเขต เขตต่อเน่ืองพ้นจากทะเลอาณาเขตของไทยแล้ว จึงพ้นจาก

71

อ้านาจอธิปไตยของไทย แต่ไทยสามารถด้าเนินการได้บางประการ ตามข้อ 33 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ ด้าเนินการ
ควบคุมท่ีจ้าเป็นเพ่ือป้องกัน การฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับ 4 เรื่อง ได้แก่ (1) ศุลกากร (2) การคลัง
(3) การเข้าเมือง (4) การสุขาภิบาล และลงโทษการฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับ 4 เรื่องดังกล่าวท่ีได้กระท้าภายใน
อาณาเขตหรอื ทะเลอาณาเขตของไทย

เขตเศรษฐกจิ จาเพาะ(Executive Economic Zone)
เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะเป็นพื้นที่ทางทะเลท่ีตอ่ ออกไปจากทะเลอาณาเขต โดยวัดจากเส้นฐานท่ใี ช้วัด
ความกว้างของทะเลอาณาเขตออกไปไม่เกิน 200 ไมล์ทะเล ดังนัน เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะจึงเป็นพ้ืนท่ีทางทะเล
ที่มีความกว้างไม่เกิน 188 ไมล์ทะเล ซ่ึงอยู่ประชิดติดกับและถัดออกไปจากทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ
พ้นจากทะเลอาณาเขตของไทยแล้ว จึงพ้นจากอ้านาจอธิปไตย (Sovereignty) ของไทย แต่ไทยมีสิทธิอธิปไตย
(Sovereign Rights) ตามข้อ 56 ของอนุสัญญาฯ กล่าวคือ สิทธิจ้าเพาะแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Rights) ในการ
ส้ารวจและ แสวงประโยชน์ อนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิต ในน้าเหนือพื้นดิน
ทอ้ งทะเล พ้นื ดินทอ้ งทะเล และใต้พ้ืนดนิ ท้องทะเลน้ัน และใน กจิ กรรมอื่น ๆ เพ่ือการแสวงประโยชน์และการสา้ รวจ
ทางเศรษฐกิจ อาทิ การผลิตพลังงานจากน้า กระแสน้าและลม นอกจากนี้ ไทยยังมีเขตอ้านาจ (Jurisdiction)
เก่ียวกับ (1) การสร้างและการใช้เกาะเทียม สิ่งติดตั้ง และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ (2) การวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล
(3) การคุ้มครองและการรกั ษาส่งิ แวดลอ้ มทางทะเล ไทยไดอ้ อกประกาศเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของราชอาณาจกั รไทย
เม่ือวันท่ี 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ก้าหนดว่า เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของราชอาณาจักรไทย ได้แก่ บริเวณท่ีอยู่
ถัดออกไปจากทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย มคี วามกว้าง 200 ไมล์ทะเล วัดจากเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้าง
ของทะเลอาณาเขต และได้มีประกาศเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะเพิ่มเติมอกี 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ
ของราชอาณาจักรไทยด้านอ่าวไทย ส่วนท่ีประชิดกับ เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของประเทศมาเลเซีย เม่ือวันที่ 16
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 และประกาศเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของราชอาณาจักรไทย ด้านทะเลอันดามัน เมื่อวันที่ 18
กรกฎาคม พ.ศ. 2531
สิทธิที่ไทยในฐานะรัฐชายฝ่ัง มีอยู่ในเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ จึงมีขอบเขต จ้ากัดอยู่เพียงสิทธิอธิปไตย
และเขตอา้ นาจข้างต้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากน้ี ข้อ 58 ของอนสุ ัญญาฯ ก้าหนดให้รัฐชายฝั่งหรือรฐั ไร้ฝั่งทะเล
มีเสรีภาพ สิทธิ และหน้าทีเ่ ชน่ เดียวกับทีก่ ้าหนดไว้ให้ในกรณีทะเลหลวง อาทิ เสรีภาพในการเดนิ เรือ เสรีภาพ ในการ
บินผ่าน และเสรภี าพทั้งการวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล โดยรัฐอ่ืน ๆ ท่ีใช้เสรภี าพ สิทธิ และหน้าที่ดังกล่าวภายใน
เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ ของไทยจะต้องค้านึงถึงสิทธิและหน้าท่ีของไทย และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อบังคับ
ต่าง ๆ ของไทยท่ีตราขึ้น ตามสิทธิอธิปไตยและเขตอ้านาจข้างต้น ท่ีไทยมีอยู่ในฐานะรัฐชายฝั่ง รวมทั้ง สิทธิอื่น ๆ
ทไี่ ทยมีอย่ตู ามกฎหมายระหว่าง ประเทศด้วย
การประกาศก้าหนดเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของไทยในอ่าวไทยออกไป 200 ไมล์ทะเล จากเส้นฐาน
ท่ีใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต มีพ้ืนที่บางส่วนที่เป็นการอ้างสิทธิทับซ้อนกับเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะท่ีประเทศ
เพ่ือนบ้านก้าหนด ได้แก่ กัมพูชา และมาเลเซีย ซ่ึงประกาศก้าหนดเขตเศรษฐกิจจ้าเพาะของตน ออกไป 200
ไมล์ทะเล เช่นกัน และยังไม่มีการจัดท้าความตกลงแบ่งเขต เศรษฐกิจจ้าเพาะระหว่างกัน รวมทั้งในระหว่างที่ยังไม่มี
ความตกลงแบ่งเขต ก็ยังไม่มีการจัดท้าข้อตกลงชั่วคราวซ่ึงมีลักษณะท่ีปฏิบัติได้ด้วยเจตนารมณ์แห่งความเข้าใจและ
ร่วมมือกันตามขอ้ 74 วรรค 1 และวรรค 3 ของอนสุ ญั ญาฯ แต่อยา่ งใด
ไหล่ทวปี (Continental Shelf

72

ไหล่ทวีปของรัฐชายฝ่ัง ได้แก่ พื้นดินท้องทะเลและดินใต้พื้นดินท้องทะเล ส่วนท่ีทอดยาวเลยทะเล
อาณาเขตของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติของ ดินแดนทางบกของตนจนถงึ ริมนอกของขอบทวีป หรือจนถึง
ระยะ 200 ไมลท์ ะเล จากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตในกรณีที่รมิ นอกของ ขอบทวปี ขยายไปไมถ่ ึง
200 ไมล์ทะเล ส้าหรับส่วนที่ทอดยาวออกไปเกินกว่า 200 ไมล์ทะเล อนุสัญญาฯ ได้ระบุวิธีก้าหนดขอบเขตไหล่ทวีป
ไวใ้ นกรณตี ่าง ๆ โดยละเอยี ด

ไทยได้ออกประกาศก้าหนดเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันท่ี 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516
ซง่ึ ก้าหนดเขตไหล่ทวปี ของไทยตามแผนทีแ่ ละพิกดั ภมู ิศาสตรท์ ่ีแนบท้ายประกาศดงั กล่าว

ไทยมีสิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) ในไหล่ทวีป ซึ่งเป็นสิทธิจ้าเพาะ แต่เพียงผู้เดียว
(Exclusive Rights) ในการส้ารวจและแสวงประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติของไหล่ทวีป ได้แก่ แร่และทรัพยากร
ไม่มีชีวิตอย่างอื่นของ พ้ืนดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดิน รวมท้ังอินทรียภาพมีชีวิตซึ่งจัดอยู่ในประเภทอยู่ติดกับท่ี
ซึ่งหากไทยไม่ด้าเนินการส้ารวจหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากร ธรรมชาติของไหล่ทวีป รัฐอ่ืน ๆ ก็ไม่สามารถ
ส้ารวจหรือแสวงประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติของไหล่ทวีปได้ หากไม่ได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากไทย
อย่างไรก็ดี รัฐอื่น ๆ ยังคงมีเสรีภาพในการเดินเรือในห้วงน้าเหนือไหล่ทวีป หรือบินผ่านในห้วงอากาศเหนือไหล่ทวีป
และมีสิทธิวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล บนไหล่ทวีป ซึ่งไทยมีสิทธิในการก้าหนดเงื่อนไขส้าหรับสายเคเบิลหรือท่อ
ท่ี วางเข้ามาในดนิ แดนหรือทะเลอาณาเขตหรือเขตอ้านาจรฐั ของไทยและก้าหนด เสน้ ทางสา้ หรบั การวางท่อนัน้ ได้

ด้านทะเลอ่าวไทย
ไทยอ้างสิทธใิ นเขตไหล่ทวีปทับซอ้ นกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ มาเลเซีย เวยี ดนาม และกัมพูชา
ซงึ่ ยังไม่มกี ารจัดท้าความตกลงแบ่งเขต ไหล่ทวีประหวา่ งกนั ตามขอ้ 83 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ โดยในส่วนที่ไทยอา้ ง
สิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกับมาเลเซียมีการจัดท้าข้อตกลงซึ่งมีลักษณะช่ัวคราวตามนัยข้อ 83 วรรค 3 ของอนุสัญญาฯ
ได้แก่ บันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจกั รไทยและมาเลเซียเก่ียวกับการจัดตัง้ องค์กรรว่ มเพ่ือแสวงประโยชนจ์ าก
ทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณท่ี ก้าหนดของไหล่ทวีปของประเทศท้ังสองในอ่าวไทย ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2522 (Memorandum of Understanding between the Kingdom of Thailand and Malaysia on the
Establishment of the Joint Authority for the Exploitation of the Resources of the Seabed in a
Defined Area of the Continental Shelf of the Two Countries in the Gulf of Thailand, 21 February
1979) เพอ่ื ส้ารวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของไหลท่ วีปในพ้ืนท่ีพฒั นาร่วม (Joint Development
Area: JDA) รว่ มกนั
ดา้ นทะเลอันดามนั ไดท้ า้ ความตกลง
1. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ อินโดนีเซีย ว่าด้วย
การแบ่งก้นทะเลระหวา่ งประเทศทั้งสองในทะเลอนั ดามนั
2. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจกั รไทย รฐั บาลแห่งสาธารณรัฐ อนิ โดนีเซีย และรัฐบาล
แหง่ มาเลเซีย วา่ ดว้ ยการแบง่ เขตไหลท่ วีปในตอนเหนือ ของชอ่ งแคบมะละกา
3. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจกั รไทย รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย และรฐั บาลแห่ง
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เก่ียวกับการกา้ หนดจุดร่วมสามฝ่าย และการแบ่งเขตท่ีเก่ียวข้องกับประเทศท้ังสาม ในทะเล
อันดามัน
4. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ อินเดีย ว่าด้วยการ
แบง่ เขตก้นทะเล ระหว่างประเทศท้งั สองในทะเลอนั ดามัน

73

5. ความตกลงระหวา่ งรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมา
วา่ ด้วยการแบง่ เขตทางทะเล ซึ่งในส่วนทีอ่ ้างสิทธิทบั ซอ้ นกับเมยี นมายังไมแ่ ล้วเสรจ็

ทะเลหลวง (High Seas)
ทะเลทั้งหมดที่ไม่ได้รวมอยู่ในน่านน้าภายใน (หรือน่านน้าหมู่เกาะของรัฐ หมู่เกาะ) ทะเลอาณาเขต
และเขตเศรษฐกจิ จ้าเพาะของรฐั ใดรฐั หนงึ่ ในทะเลหลวงน้ี รัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการเดินเรอื เสรีภาพในการบินผา่ น
การวางสายเคเบิลและ ท่อใต้ทะเล การสร้างเกาะเทียมและสิ่งติดต้ังต่าง ๆ การประมง การวิจัยทาง วิทยาศาสตร์
ภายใต้เงื่อนไขข้อบังคับท่ีก้าหนดไว้ในอนุสัญญาฯ และใช้เพ่ือความมุ่งประสงค์ในทางสันติตามท่ีระบุในข้อ 86 – 88
ของอนสุ ัญญาฯ
ไทยจึงมีสิทธิเสรีภาพข้างต้นในทะเลหลวง นอกจากนี้ ไทยมีพันธกรณีที่จะต้องคุ้มครองและรักษา
สิ่งแวดลอ้ มทางทะเล รวมทง้ั อนุรักษท์ รัพยากรมชี ีวติ ในทะเลหลวงด้วยตามทกี่ ้าหนดในอนุสญั ญาฯ
อน่ึง เพ่ือประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมีชีวิตอย่างย่ังยืน ในเขต
ทะเลหลวง ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฯ รฐั ชายฝั่งต่าง ๆ ได้ร่วมกนั จัดต้ังองค์กรขึ้นมาเพือ่ ท้าหน้าท่ีบริหารจัดการ
การประมงในเขตพื้นที่ ทะเลหลวงท่ีอยู่ใกล้กับรัฐตน อาทิ SIOFA (Southern Indian Ocean Fisheries
Agreement) IOTC (Indian Ocean Tuna Commission) WCPFC (The Western and Central Pacific
Fisheries Commission) และ IATTC (Inter-American Tropical Tuna Commission) ดังน้ัน สิทธิในการใช้
ประโยชนอ์ ยา่ งเสรีทม่ี อี ยูเ่ ดมิ ตามอนุสัญญาฯ จงึ ไดถ้ ูกจ้ากัดลง
บรเิ วณพ้นื ที่ ( The Area )
บริเวณพ้ืนที่ คือ พ้ืนดินท้องทะเล พื้นมหาสมุทร และใต้ดินนั้น (seabed and ocean floor and
subsoil thereof) สว่ นท่ีอย่พู น้ จากเขตอ้านาจของรฐั (National Jurisdiction)
ดังน้ัน รัฐใด ๆ จึงมิอาจอ้างหรือใช้อ้านาจอธิปไตยหรือสิทธิอธิปไตย เหนือส่วนใดส่วนหนึ่งของ
บริเวณพ้ืนท่ีและทรัพยากรในบริเวณพ้ืนท่ี เพราะถือเป็นมรดกร่วมของมนุษยชาติ โดยมีองค์กรที่เรียกว่า
International Seabed Authority (ISA) ท้าหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากรในบริเวณพื้นที่ เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ของรัฐต่าง ๆ ส่วนห้วงน้าและห้วงอากาศที่อยู่เหนือบริเวณ พ้ืนที่ รัฐทุกรัฐยังคงมีสิทธิ เสรีภาพในระบอบทะเลหลวง
ดงั ระบแุ ลว้ ข้างต้น

กฎหมายและความตกลงระหวา่ งประเทศ เกีย่ วกบั แรงงานทางทะเล (Maritime Labour)
1. อนุสัญ ญ าแรงงานทางทะเล ค.ศ. 2006 แก้ไขปี ค.ศ. 2014 (2006 Maritime Labour

Convention) เพื่อรวบรวมอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานทางทะเล ทั้งน้ี ประเทศไทยได้ให้สัตยาบัน
เมอื่ วนั ท่ี 7 มถิ ุนายน ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559)

2. อนุสัญญาฉบับท่ี 188 ว่าด้วยงานในภาคการประมง (Work in Fishing) ค.ศ. 2007 (2007
International Labour Organization, Work in Fishing Convention (No. 188) เพ่ื อ ป ร ะ กั น สิ ท ธิ แ ล ะ
ผลประโยชนท์ ผ่ี ้ใู ช้แรงงานควรจะได้รบั ทงั น้ี ประเทศไทยยังไม่ได้ใหส้ ตั ยาบัน

74

กฎหมายไทยทเี่ กีย่ วกบั ทะเล
เพ่ือให้การควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้ทะเล และสนับสนุนให้มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์

จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนและเป็นพันธกรณีที่รัฐต้องออกกฎหมาย ภายในของตนรองรับ
(อนุวัติการ) กฎหมายระหว่างประเทศตามท่ีได้กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีสภาพบังคับแก่ประชาชนภายในรัฐน้ัน ๆ
และท้ังบุคคลท่ีตกอยู่ในเขตอ้านาจประเทศไทย จึงมีการตรากฎหมายที่เก่ียวข้องท้ังที่เก่ียวข้องโดยตรงและเกี่ยวข้อง
เพยี งบางส่วน จา้ นวน ประมาณ 73 ฉบบั โดยมกี ฎหมายทส่ี า้ คัญ คอื

1. ด้านประมงและทรัพยากร
• พระราชบัญญัติสง่ เสรมิ การบริหารจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558
• พระราชกา้ หนดการประมง พ.ศ. 2558 และพระราชกา้ หนดการประมง (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญัติสิทธกิ ารประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ. 2482
• พระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541
• พระราชบัญญัติจัดระเบยี บกจิ การแพปลา พ.ศ. 2496
• พระราชบญั ญัตโิ รคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2499
• พระราชบัญญตั กิ ักพืช พ.ศ. 2507

2. ด้านการขนสง่ และพาณิชยนาวี
• พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้าไทย พ.ศ. 2456 และพระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านน้าไทย

(ฉบับท่ี 17) พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหาย จากมลพิษน้ามัน

อันเกดิ จากเรือ พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญัติความรับผดิ ทางแพ่งตอ่ ความเสียหายจากมลพษิ นา้ มันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญตั กิ กั เรือ พ.ศ. 2534
• พระราชบัญญตั ปิ อ้ งกันเรอื โดนกัน พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญัติป้องกนั การกระทา้ บางอย่างในการขนสง่ สนิ คา้ ออกทางเรือ พ.ศ. 2511
• พระราชบญั ญตั เิ พม่ิ อ้านาจตา้ รวจในการป้องกันและปราบปรามการกระท้าผดิ ทางนา้ พ.ศ. 2496
• พระราชบญั ญตั ิให้อา้ นาจทหารเรือปราบปรามการกระท้าผิดบางอยา่ งทางทะเล พ.ศ. 2490
• พระราชบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยการส่งออกและนา้ เข้ามาในราชอาณาจกั รซึ่งสนิ ค้า พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญตั ศิ ุลกากร พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญตั ภิ าษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
• พระราชก้าหนดควบคมุ สินคา้ ตามชายแดน พ.ศ. 2534
• พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเน่อื งหลายรูปแบบ พ.ศ. 2548
• พระราชบัญญัตเิ รือไทย พ.ศ. 2481 และพระราชก้าหนดแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชบญั ญัติเรอื ไทย พ.ศ. 2481

พ.ศ. 2561
3. ดา้ นการท่องเทย่ี วและนันทนาการทางทะเล
• พระราชบญั ญัตสิ ่งเสริมและรกั ษาคุณภาพสงิ่ แวดล้อม พ.ศ. 2535

75

• พระราชบัญญตั ิรักษาความสะอาดและความเป็นระเบยี บเรยี บร้อย ของบา้ นเมือง พ.ศ. 2535
• พระราชบัญญตั ิการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
4. ด้านพลังงาน
• พระราชบญั ญตั ิการปโิ ตรเลียม พ.ศ. 2514
• พระราชบญั ญตั ิความผิดเก่ียวกับสถานทผี่ ลติ ปโิ ตรเลยี ม พ.ศ. 2530
5. ด้านอ่นื ๆ
• พระราชบัญญัติวตั ถอุ นั ตราย พ.ศ. 2535
• พระราชบัญญัตโิ รงงาน พ.ศ. 2512
• พระราชบัญญตั กิ ารนคิ มอุตสาหกรรม พ.ศ. 2522
• พระราชบัญญัตคิ วบคมุ โภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495
• พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ ยทุ ธภณั ฑ์ พ.ศ. 2530
• พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซ่ึงอาวุธ ยุทธภัณฑ์และส่ิงท่ีใช้ในการสงคราม
พ.ศ. 2495
• พระราชบญั ญัติกักพชื พ.ศ. 2507
• พระราชบัญญตั เิ ขตปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. 2478
• พระราชบญั ญัตปิ ระกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544
• พระราชบัญญตั ิความมนั่ คงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
• พระราชบัญญตั ิป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551
• พระราชบัญญัติมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิง และเดก็ พ.ศ. 2540
• พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
• พระราชบัญญตั โิ รคติดต่อ พ.ศ. 2523
• พระราชบัญญตั คิ วบคุมน้ามนั เช้อื เพลิง พ.ศ. 2542
• พระราชบญั ญตั นิ ้ามันเชอ้ื เพลิง พ.ศ. 2521
• พระราชบัญญตั คิ วบคมุ แร่ดีบุก พ.ศ. 2514
• พระราชบัญญตั ิคุ้มครองพันธ์ุพชื พ.ศ. 2542
• พระราชบัญญัตปิ ้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539
• พระราชบัญญัติว่าด้วยธรุ กรรมทางอเิ ล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
• พระราชบญั ญัตวิ า่ ด้วยการกระทา้ ผดิ เก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
• พระราชบัญญัติว่าดว้ ยการกระท้าผดิ เก่ยี วกบั คอมพวิ เตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยวทิ ยุคมนาคม พ.ศ. 2498
• พระราชบญั ญตั อิ ากรรังนกอีแอน่ พ.ศ. 2540
• พระราชบญั ญัตอิ าวุธปืน เครื่องกระสนุ ปืน วัตถรุ ะเบดิ ดอกไมไ้ ฟ สิ่งเทียมอาวธุ ปนื พ.ศ. 2490
• พระราชบญั ญัตแิ ร่ พ.ศ. 2510
• พระราชบัญญตั คิ นเขา้ เมือง พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญตั ปิ ้องกนั และปราบปรามยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2545
• พระราชบญั ญัตยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2545

76

• พระราชกา้ หนดปอ้ งกนั การใช้สารระเหย พ.ศ. 2533
• พระราชบัญญตั วิ ัตถทุ อ่ี อกฤทธิ์ตอ่ จติ ประสาท พ.ศ. 2518
• พระราชบญั ญตั ิมาตรการในการปอ้ งกันและปราบปรามผ้กู ระทา้ ผิดเก่ยี วกับยาเสพติด พ.ศ. 2535
• พระราชบัญญัติปอ้ งกนั และปราบปรามการกระท้าอันเป็นโจรสลัด พ.ศ. 2534
• พระราชบญั ญตั ิโบราณสถาน โบราณวตั ถุ และพพิ ธิ ภัณฑส์ ถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
• พระราชบญั ญตั ิป่าไม้ พ.ศ. 2484
• พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
• พระราชบัญญตั อิ ุทยานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2504
• พระราชบญั ญตั สิ งวนและคุม้ ครองพันธ์สุ ตั วป์ า่ พ.ศ. 2534
• พระราชบัญญัติเล่ือยโซย่ นต์ พ.ศ. 2545
• พระราชก้าหนดการบริหารจัดการการทา้ งานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญตั ิเงนิ ทดแทน พ.ศ. 2537
• พระราชบญั ญตั กิ ารชว่ ยเหลอื ก้ภู ัยทางทะเล พ.ศ. 2550
• พระราชบัญญัติให้บ้าเหนจ็ ในการปราบปรามผ้กู ระท้าความผิด พ.ศ. 2489
• พระราชบญั ญตั ิการค้าข้าว พ.ศ. 2489
• พระราชบญั ญัตกิ ้าหนดเขตจงั หวดั ในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502
• พระราชบญั ญตั ิป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550
• พระราชบญั ญตั ิองคก์ รร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ. 2533
• พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพ่ือชดใช้ความเสียหาย จากมลพิษน้ามัน
อนั เกิดจากเรือ พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญัตคิ วามรับผิดทางแพง่ ตอ่ ความเสียหายจากมลพษิ น้ามนั อนั เกิดจากเรือ พ.ศ. 2560

77

องค์กรและหน่วยงานรบั ผดิ ชอบในการรกั ษาผลประโยชนข์ องชาติทางทะเล

1. หน่วยงานหลัก
หน่วยงานท่ีมีการปฏบิ ตั ิการหลกั ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทางทะเล ไดแ้ ก่
กองทัพเรือ (ทร.)
กองบังคบั การต้ารวจนา้ (บก.รน.)
กรมศลุ กากร (ศก.)
กรมเจ้าท่า (จท.)
กรมประมง (กปม.)
กรมทรัพยากร ทางทะเลและชายฝ่ัง (ทช.)
รวม 6 หนว่ ยงาน นอกจากนี้ ยังมีศนู ย์อา้ นวยการรกั ษาผลประโยชนข์ องชาติ ทางทะเล (ศรชล.) ซึ่งตัง้ ขน้ึ
ตามพระราชบญั ญตั ิการรักษาผลประโยชน์ ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562
2. หนว่ ยงานร่วม
ประกอบดว้ ยหน่วยงาน ท่เี กีย่ วข้องด้านทะเล ในการ ร่วมกันก้าหนดนโยบายและ ยุทธศาสตร์ทางทะเล เพื่อ
น้า ไปสู่การบริหารจัดการผลประโยชน์ ของชาติทางทะเล ทั้งหน่วยงาน ราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน
ประมาณ 36 หน่วยงาน อาทิ
2.1 ส้านักนายกรัฐมนตรี มีหน่วยงานย่อยท้าหน้าที่ก้าหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ การจัดการ
ผลประโยชน์ของชาติ ทางทะเล ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เก่ียวข้อง เพ่ือบริหารจัดการผลประโยชน์จากการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอยา่ งคุ้มค่าและเหมาะสม อาทิ ส้านักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ ส้านักข่าวกรอง
แห่งชาติ
2.2 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม มีหน่วยงานที่เก่ียวข้องโดยตรงในการจัดการทรัพยากร
มีชีวิตและทรัพยากรไม่มีชีวิตทางทะเล มีหน้าที่ก้ากับดูแลการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู ศึกษาวิจัย และบริหารจัดการการใช้
ประโยชน์ จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง อาทิ กรมควบคุมมลพิษกรมทรัพยากรธรณี
2.3 กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ มีหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง กับการจัดการทรัพยากรทางทะเล ได้แก่ กรม
ประมง ท้าหน้าที่ จัดการทรัพยากรประมง ควบคุม ป้องกัน และปราบปรามการท้า ประมงท่ีผิดกฎหมาย และผลิต
สัตว์น้าให้มีมาตรฐานทท่ี ่ัวโลก ยอมรับ
2.4 กระทรวงคมนาคม มีหน่วยงานย่อยที่เก่ียวข้อง กับการขนส่งทางน้า การจัดการท่าเรือ มีหน้าที่
ดา้ เนินการตามกฎหมาย วา่ ดว้ ยการเดนิ เรอื ในน่านนา้ ไทย บรหิ ารและพฒั นาทา่ เรือให้เป็น โครงสร้างพนื้ ฐานเพอ่ื สร้าง
ความสามารถ ในการแข่งขนั ของประเทศได้อยา่ ง ยังยืน อาทิ กรมเจา้ ท่า
2.5 กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับ การบริหารจัดการและดูแลธุรกิจ อุตสาหกรรม
ด้านวัตถุอันตราย การผลิต และความปลอดภัย เพ่ือให้เป็นไปตามกฎหมายและ ข้อตกลงระหว่างประเทศ อาทิ
กรมส่งเสรมิ อุตสาหกรรม
2.6 กระทรวงพลังงาน มีหน่วยงานท่ีท้าหน้าที่วิจัย และพัฒนาด้านพลังงาน การจัดหา พลังงาน การอนุรักษ์
พลังงาน และ บริหารจัดการการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน อาทิ กรมเช้ือเพลงิ ธรรมชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ
ไทย

78

2.7 กระทรวงกลาโหม ซง่ึ ประกอบดว้ ยหน่วยเฉพาะกจิ และหน่วยขนึ้ ตรงกับกองทัพเรอื ทา้ หนา้ ท่ี รกั ษาและ
คุ้มครองผลประโยชน์จากการ ใช้ทรัพยากรในทะเล ติดตามและตรวจวัด ปัจจัยทางสมุทรศาสตร์ อุทกศาสตร์ และ
อตุ ุนิยมวิทยาทางทะเล

2.8 กระทรวงมหาดไทย มีหน่วยงานย่อยท่ีท้าหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกัน และ
ปราบปรามอาชญากรรม ตามประมวลกฎหมายอันเก่ียวกับความผิดทางอาญา ทังหลายในน่านน้าไทย อาทิ
กรมปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธกิ าร และผงั เมอื ง

2.9 กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีหน่วยงานย่อยที่ด้าเนินการ เก่ียวกับการ
บูรณาการองคค์ วามรู้ ทางทะเล ศึกษาวิจัยและพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยที รัพยากร ธรรมชาตทิ างทะเล เพื่อ
นา้ มาประยุกต์ สู่การจัดการทรัพยากรไดอ้ ยา่ งถูกต้อง และเหมาะสม อาทิ ส้านักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิ
สารสนเทศ (องคก์ ารมหาชน)

2.10 กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา ท้าหน้าที่ควบคุมดูแล ส้ารวจ วางแผน ด้าเนินการส่งเสริมการ
ท่องเที่ยว ทางทะเล ตลอดจนส่งเสริมการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู และ พัฒนาสถานท่ีท่องเท่ียวทางทะเล ทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดลอ้ มที่ เกยี่ วขอ้ ง อาทิ การทอ่ งเท่ียวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมการท่องเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย

2.11 กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจด้าน การต่างประเทศ ส่งเสริมความสัมพันธ์
ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่าง ประเทศ และอ้านวยความสะดวก ในการติดต่อประสานกับต่างประเทศ และ
คุ้มครองผลประโยชน์ของไทย ในต่างประเทศ รวมไปถึงการด้าเนินการ เพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาหรือความ ตกลง
ระหว่างประเทศต่าง ๆ ซ่ึงมี หน่วยงานระดับกรมท่ีด้าเนินภารกิจ ดังกล่าว อาทิ กรมภูมิภาคท่ีเก่ียวข้อง กรมองค์การ
ระหวา่ งประเทศ กรมอาเซยี น กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย

กฎหมายและหน่วยงานทางทะเล ดังกล่าวข้างต้น จะเป็นเคร่ืองมือ ในการควบคุมความประพฤติของบุคคล
ให้ต้องปฏิบัติตาม รวมท้ัง ส่งเสริม ให้สภาพความเป็นอยู่ในสังคมมีความ ผาสุก และประเทศชาติ มีความเจริญ
รุ่งเรือง ม่ันคง ม่ังคั่ง และย่ังยืน ท้ังในระดับชาติและภูมิภาค ทั้งนี้ เพ่ือให้ผู้ใช้ทะเลได้มีความรู้ ความเข้าใจ เคารพ
และปฏิบัติตามกฎหมายทางทะเล ท้ังที่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมาย ภายในประเทศ ได้ทราบและ
นา้ ไปใช้ ในการปฏบิ ตั แิ ละเผยแพร่ความร้ใู หก้ ับ ผทู้ ่เี กยี่ วขอ้ งตอ่ ไป

79

หน่วยท่ี 3
เขตกำรปกครองของจงั หวัดทำงทะเล

ผลกำรเรียนรู้
1.อธบิ ายความเป็นมาของการกาหนดเขตจังหวัดทางทะเล
2.อธิบายแนวทางในการกาหนดเขตจงั หวัดทางทะเล
3.อธบิ ายแผนทแ่ี ละบญั ชีค่าพิกัดรายจงั หวัดชายทะเล (ในพน้ื ทีจ่ งั หวดั ของตนเอง)
4.อ่านแผนที่จงั หวดั ชายทะเลได้ (ในพน้ื ทจ่ี งั หวดั ของตนเองและพนื้ ท่รี อบๆ)
5.มีความรู้ความเขา้ ใจในมิติทางพื้นที่ของน่านน้าไทยและจังหวดั ชายทะเล (ตามบรบิ ทในพื้นที่ของผเู้ รียน)

สำระกำรเรียนรู้
1.ความเปน็ มาของการกาหนดเขตจังหวดั ทางทะเล
2.แนวทางในการกาหนดเขตจังหวดั ทางทะเล
3.แผนที่และบัญชีคา่ พิกัดรายจงั หวัดชายทะเล
4. มิติทางพ้นื ทีข่ องน่านนา้ ไทยและจังหวัดชายทะเลที่ควรทราบ

80

เรอื่ งท่ี 1 ความเปน็ มาของการกาหนดเขตจังหวัดทางทะเล

ความเปน็ มาของการกาหนดเขตจงั หวดั ทางทะเล
ปจั จุบันยงั ไม่มีบทบัญญัตใิ นกฎหมายของประเทศไทยทีร่ ะบุถงึ วิธกี ารทจ่ี ะนามาใชใ้ นการแบง่ เขต
รบั ผดิ ชอบของแต่ละจงั หวัดซึ่งเขตดังกลา่ วอาจจะพิจารณาให้เป็นเขตการปกครอง และเขตในการบริหารจัดการพ้ืนที่
ทางทะเลของจังหวัดชายทะเล อย่างไรก็ตามเม่ือพิจารณา ถึงบรรดากฎหมายที่กระทรวงมหาดไทยมีอยู่เช่น พรบ.
ลกั ษณะการปกครองทอ้ งท่ี พ.ศ ๒๔๕๖ และ พรบ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๐ มไิ ด้มีการกาหนดไวใ้ ห้จังหวัด
มีเขตการปกครองที่ขยายออกไปจนถึงขอบนอกสุดของทะเลอาณาเขต ทั้ง ๆ ที่พื้นท่ีทะเลดังกล่าวอยู่ในเขต
อา้ นาจอธิปไตยของไทย จะมอี ย่บู ้างก็เป็นการแบง่ เขตทางทะเลในเขตน่านน้าภายในของอา่ วไทยตอนใน ตามพรบ.
กาหนดเขตจังหวัดในพ้ืนที่อ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 เท่านั้น ซ่ึงการไม่มีเขตจังหวัดในทะเลในพ้ืนที่ของทะเล
อาณาเขตตลอดแนวชายฝ่ังทะเลท่ีชัดเจน เป็นปัญหาในทางการด้าเนินการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงาน
ในระดับท้องถ่ินและยังเป็นปัญหาในด้านความมั่นคงของชาติในภาพรวม ซึ่งหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องได้ตระหนัก
ถึงความส้าคัญในเร่ืองดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากการจัดท้ายุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘-
๒๕๖๔ ข้อ ๓.๗ ก้าหนดให้กระทรวงมหาดไทย ด้าเนินการก้าหนดเขตจังหวัดทางทะเล เนื่องจากในปัจจุบัน
ได้มีกฎหมายภาคทะเลที่ยกร่างและประกาศใช้ หลังปี พ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีพัฒนาการไปในแนวทางเดียวกันคือ
มีลักษณะกระจายอ้านาจ และให้บทบาทกับจังหวัดชายทะเล มีหน้าท่ีบริหารจัดการพื้นที่ทางทะเลให้เกิด
ความม่ันคง ม่ังค่ัง ยั่งยืน ในรูปของคณะกรรมการจังหวัดโดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน กฎหมาย
หลายฉบับได้ระบุให้มี การแตง่ ตั้งคณะกรรมการจังหวัด อาทิ
- พ.ร.บ.ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ.2550
- พ.ร.บ.สง่ เสริมการบริหารจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั พ.ศ.2558
- พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558
- พ.ร.บ.การรกั ษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562
พ.ร.บ.ดังกลา่ วข้างต้นก้าหนดใหแ้ ต่ละจงั หวดั มกี ารจัดตั้งคณะกรรมการระดับจงั หวดั เชน่
คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด คณะกรรมการประมงจังหวัด คณะกรรมการส่งเสริม
การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัด คณะกรรมการผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัด
(ศรชล.จังหวัด) แต่ปัญหาและอุปสรรคท่ีส้าคัญในการด้าเนินการตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นคือ คณะกรรมการ
ตา่ งๆ ของจงั หวดั ชายทะเลไม่สามารถระบุได้ว่า ขอบเขตความรับผิดชอบที่ชัดเจนของพ้ืนที่ทางทะเลของจงั หวัดของ
ตนมีขอบเขตอยู่ที่ใดในทะเล แนวทางท่ีส้านักงานกฤษฎีกาเคยให้ค้าแนะน้า ในการก้าหนดเขตบริหารจัดการ/
เขตรับผิดชอบพ้ืนท่ีทางทะเลของแต่ละจังหวัดชายทะเล สามารถใช้มาตรการทางการบริหารได้ เช่น ออกเป็น
มติ ครม. ให้จังหวัดชายทะเลมีเขตรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการพ้ืนท่ี ทางทะเลท่ีอยู่ต่อเน่ืองกับชายฝั่งของแต่ละ
จงั หวดั แต่ปัญหาคือ มติ ครม.ไม่มีฐานะเปน็ กฎหมาย
การแบง่ เขตรับผิดชอบทางทะเลออกไปจนถงึ ทะเลอาณาเขตนอกจากจะเป็นการบรหิ ารจดั การเขต
อ้านาจอธิปไตยภายในของไทยตามกฎหมายภายในแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย
กฎหมายทะเล ค.ศ.1982 ที่ไทยได้ให้สัตยาบันแล้ว โดยท่ีรัฐชายฝ่ังมีอ้านาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขต
อีกส่วนหนึ่งด้วยโดยท่ีพื้นท่ีดังกล่าวอยู่ในเขตอ้านาจอธิปไตย ที่ประเทศไทยควรมีความชัดเจนในเขตอ้านาจ
การปกครอง เขตอ้านาจศาล และเขตอ้านาจในการบริหารจัดการพ้ืนที่ทะเลที่สอดคล้องกับหลักการของกฎหมาย
ทะเล ใหเ้ กดิ ความมั่นคง ม่ังค่ัง และยัง่ ยนื ตามท่รี ฐั บาลกา้ หนดไว้ในยทุ ธศาสตร์ชาติ

81

การด้าเนินการของกระทรวงมหาดไทยในการแบง่ เขตการปกครองของจังหวดั ทางทะเลนนั้
กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาถึงกฎหมายทเ่ี กี่ยวข้องในด้านการปกครองท่มี อี ยู่เดมิ เชน่ พ.ร.บ.ลักษณะการปกครอง
ทอ้ งที่ พ.ศ.๒๔๕๖ พรบ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๐ พรบ.ก้าหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ.๒๕๐๒
และกฎหมายอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และได้มีการลงค้าสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการก้าหนดและปรับปรุงพ้ืนท่ีเขตการปกครอง
ของจังหวัดทางทะเล โดยมี ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน เม่ือเดื อน มิ.ย.๒๕๖๑ และประธาน
คณะกรรมการฯ ไดล้ งนามแต่งต้งั คณะอนกุ รรมการ และคณะท้างาน เพือ่ ก้าหนดเขตจังหวัดทางทะเล ดงั น้ี

- คณะอนกุ รรมการก้าหนดแนวทางการปรบั ปรุงพื้นทีเ่ ขตการปกครองของจงั หวัดทางทะเล (มีหนา้ ท่ี
ดา้ เนนิ การแบง่ เขต กา้ หนดเส้นแนวเขต และจัดท้าแผนที่)

- คณะอนุกรรมการกา้ หนดและปรับปรงุ พน้ื ทเี่ ขตการปกครองระดบั จังหวดั และกรุงเทพมหานคร
(มีหนา้ ท่ตี รวจสอบแนวเสน้ เขตของแตล่ ะค่จู งั หวดั เพ่ือให้ได้ข้อยุติรว่ มกัน)

- คณะทา้ งานร่างกฎหมายกา้ หนดและปรับปรุงพ้นื ท่ีเขตการปกครองของจงั หวัดทางทะเล
(มีหน้าทีย่ กรา่ ง พรบ.กาหนดและปรับปรุงพื้นท่เี ขตการปกครองของจงั หวัดทางทะเล พ.ศ.....)

ปัจจุบนั ไดม้ ีการก้าหนดเขตจงั หวดั ทางทะเลครบทุกจังหวดั มีการจัดทาแผนที่แนวเขตจังหวัดทาง
ทะเลและค่จู ังหวดั ทางทะเลท่ีอย่ตู ดิ กันได้ร่วมกันพจิ ารณาจนไดข้ ้อยตุ ิรว่ มกันแล้ว ทง้ั 23 จังหวัดชายทะเล ปัจจบุ นั
อยู่ในข้ันตอนของการยกรา่ งกฎหมาย เพ่อื ใชบ้ ังคับ เพ่ือให้จังหวัดชายทะเลมเี ขตการปกครองของจังหวัดออกไป
ในทะเลตามขอบเขตทีไ่ ด้ก้าหนดไว้

82

ขนาดของพื้นทแี่ ละความยาวชายฝ่ังทะเลรายจงั หวัด (ที่มา : กรมอทุ กศาสตร์ )

ลาดบั ท่ี จงั หวัด ความยาว (กิโลเมตร) ขนาดพน้ื ท่ีทางทะเล (ตารางกิโลเมตร)
187.95 5,847.99
1 ตราด 101.50 2,064.70
117.99 2,440.16
2 จันทบุรี 188.34 5,423.81
15.77 187.73
3 ระยอง 49.54 1,204.4
6.51 76.33
4 ชลบรุ ี 45.26 964.25
26.20 226.38
5 ฉะเชงิ เทรา 96.55 3,050.77
254.57 5,759.93
6 สมทุ รปราการ 252.60 7,441.42
179.38 9,058.02
7 กรุงเทพมหานคร 246.66 12,375.31
158.78 9,690.30
8 สมุทรสาคร 144.04 12,866.7
57.20 2,362.51
9 สมทุ รสงคราม 106.85 2,381.87
254.18 12,264.61
10 เพชรบุรี 203.55 4,657.22
219.07 3,660.04
11 ประจวบคีรขี นั ธ์ 140.74 3,008.52
140.21 5,328.82
12 ชุมพร 3,193.44 112,341.84

13 สรุ าษฎร์ธานี

14 นครศรีธรรมราช

15 สงขลา

16 ปตั ตานี

17 นราธิวาส

18 ระนอง

19 พงั งา

20 กระบ่ี

21 ภูเกต็

22 ตรงั

23 สตูล

รวม

หมายเหตุ – ขนาดพืน้ ที่ในเขตอ้านาจอธปิ ไตยของแต่ละรายจังหวัดชายทะเลตามที่แสดงในตารางข้างต้น
คดิ เป็นพ้นื ทร่ี วมทัง้ ส้ิน 112,341.84 ตร.กม. ซง่ึ ไม่รวมพืน้ ท่เี กาะต่าง ๆ ในน่านนา้ ไทยอกี ประมาณ
2,680.43 ตร.กม.

- ขนาดของน่านน้าในเขตอ้านาจอธิปไตยเมือ่ วัดพน้ื ทีใ่ นแผนทีม่ าตราส่วนเลก็ ทร่ี วมเกาะในทะเลด้วยแลว้
จะมีเนอ้ื ที่ 115,022.27 ตร.กม.

83

รายชื่ออาเภอของจงั หวัดชายทะเลในสว่ นที่มีอาณาเขตตดิ กบั ทะเล

จงั หวดั ชำยทะเล จำนวนอำเภอ รำยชอ่ื อำเภอทีต่ ดิ ชำยทะเล

ทีต่ ิดทะเล

ฝัง่ ตะวันออกของอำ่ วไทย

สมุทรปราการ 3 อ.พระสมุทรเจดีย์ อ.เมือง อ.บางบอ่
ฉะเชิงเทรา 1 อ.บางปะกง
ชลบรุ ี 4 อ.เมือง อ.ศรรี าชา อ.บางละมุง อ.สตั หบี
ระยอง 3 อ.บา้ นฉาง อ.เมือง อ.แกลง
จันทบรุ ี 4 อ.นายายอาม อ.ทา่ ใหม่ อ.แหลมสิงห์ อ.ขลุ
ตราด 5 อ.แหลมงอบ อ.เมอื ง อ.คลองใหญ่ อ.เกาะช้าง อ.เกาะกูด
ฝ่งั ตะวนั ตกของอ่าวไทย
1 เขตบางขนุ เทยี น
กรงุ เทพมหานคร 1 อ.เมือง
สมทุ รสาคร 1 อ.เมอื ง
สมุทรสงคราม 3 อ.พระสมุทรเจดีย์ อ.เมอื ง อ.บางบอ่
สมทุ รปราการ 4 อ.บา้ นแหลม อ.เมือง อ.ท่ายาง อ.ชะอา
เพชรบุรี 8 อ.หัวหนิ อ.ปราณบรุ ี อ.สามรอ้ ยยอด อ.กยุ บรุ ี อ.เมอื ง
ประจวบครี ขี ันธ์ อ.ทับสะแก อ.บางสะพาน อ.บางสะพานน้อย
6 อ.ปะทวิ อ.เมอื ง อ.สวี อ.ทุ่งตะโก อ.หลงั สวน อ.ละแม
ชมุ พร 9 อ.ทา่ ชนะ อ.ไชยา อ.ทา่ ฉาง อ.เมอื ง อ.กาญจนดษิ ฐ์ อ.ดอนสัก
สรุ าษฎร์ธานี อ.พุนพิน อ.เกาะสมยั อ.เกาะพงัน
6 อ.ขนอม อ.สิชล อ.ทา่ ศาลา อ.เมอื ง อ.ปากพนงั อ.หัวไทร
นครศรีธรรมราช

สงขลา 6 อ.ระโนด อ.สทงิ พระ อ.สิงหนคร อ.เมอื ง อ.จะนะ อ.เทพา
อ.หนองจกิ อ.เมอื ง อ.ยะหรงิ่ อ.ปานาเระ อ.สายบรุ ี อ.ไมแ้ ก่น
ปัตตานี 6 อ.เมือง อ.ตากใบ

นราธิวาส 2 อ.เมอื ง อ.กระเปอร์ อ.สขุ สาราญ
อ.คุระบรุ ี อ.ตะก่วั ปา่ อ.ท้ายเหมือง อ.ตะกัว่ ท่งุ อ.เกาะยาว
ฝง่ั ตะวนั ตกของประเทศไทย อ.ถลาง อ.กระทู้ อ.เมอื ง
อ.อา่ วลกึ อ.เมอื ง อ.เหนือคลอง อ.คลองทอ่ ม อ.เกาะลันตา
ระนอง 3 อ.สเิ กา อ.กนั ตัง อ.หาดสาราญ อ.ปะเหลยี น
อ.ทุ่งหวา้ อ.ละงู อ.ท่าแพ อ.เมอื งสตูล
พงั งา 5

ภเู กต็ 3

กระบี่ 5

ตรัง 4

สตลู 4

84

เร่อื งที่ 2 แนวทำงในกำรกำหนดเขตจังหวัดทำงทะเล

เนอื่ งจากประเทศไทยไมม่ หี ลักกฎหมายภายในทีร่ ะบุหลักการแนวทางการปฏิบตั ิในการแบ่งเขต
จังหวัดทางทะเลไว้เป็นการเฉพาะ คณะอนุกรรมการกาหนดแนวทางการปรับปรุงพ้ืนท่ีเขตการปกครองของจังหวัด
ทางทะเล จึงได้พิจารณาแนวทางในการกาหนดการแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลให้เป็นไปตามหลักการที่เป็นสากลและ
เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ เช่น หลักการท่ีกาหนดไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.
1958 และฉบับ ค.ศ.1982 รวมทั้งในคู่มือท่ีองค์การระหว่างประเทศท่ีเก่ียวข้องกาหนดโดยสามารถสรุปแนวทาง
การกาหนดเขตทางทะเลที่เป็นหลักสากล นามาประยุกต์ใช้ในการแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลของแต่ละคู่จังหวัดที่มี
เขตอยู่ประชดิ กันหรืออยู่ตรงขา้ มกนั ได้ ดังน้ี

1) ตามพันธะกรณีอนั สืบเน่ืองมาจากข้อตกลงที่ทาไวเ้ ดิม
2) กาหนดตามหลักกฎหมายทะเลปี ค.ศ.1958 เช่น
- หลักการของเสน้ มัธยะ (หลกั ระยะหา่ งเทา่ กัน Principle of Equidistance เปน็ หลกั การพน้ื ฐาน
ท่ีสามารถนามาใช้กบั ทะเลอาณาเขต)
- สภาวะแวดล้อมพิเศษ Special Circumstance
3) กาหนดตามหลกั กฎหมายทะเลปี ค.ศ.1982 เชน่ หลักของความเท่ยี งธรรม(Principle of
Equitable) และหลักการ แนวคิด ทฤษฎีของนักกฎหมายทะเลท่ีสนับสนุนหลักการของความเที่ยงธรรม รวมทั้ง
การศึกษาแนวทางการตดั สินของศาลโลกในคดีที่เกี่ยวข้องกับเขตทางทะเล
จากหลักการที่กลา่ วแล้วขา้ งตน้ สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการแบง่ เขตจังหวัดทางทะเลของ
ประเทศไทยไดโ้ ดยมรี ายละเอียดของแตล่ ะแนวทางพอสรุปได้ดงั น้ี
1.การแบ่งเขตจังหวดั ทางทะเล โดยพจิ ารณาถงึ บรรดากฎหมายทเ่ี กี่ยวข้องท่มี ผี ลใชบ้ ังคับ
มากระท่งั ถึงปัจจุบัน เชน่ ข้อตกลงระหว่างไทยกับประเทศเพ่ือนบ้านโดยรอบท่ีมมี าแต่เดิมในรูปแบบของ สนธิสัญญา
ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านในอดีต ที่มีผลกาหนดแบ่งเขตในทะเลใกล้ชายฝั่งไว้แล้วบางส่วนในแนวเส้นเขตแดน
นอกจากนั้นก็มีกฎหมายภายในของไทยท่ีมีการกาหนดเขตทางทะเลไว้บางพ้ืนท่ีแล้วเช่น พ.ร.บ.การกาหนดเขตของ
จังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ.2502 ประกาศของกระทรวงมหาดไทยในส่วนที่เก่ยี วข้องกับการกาหนดจุดพกิ ัดเริม่ ต้น
ท่ีจรดริมทะเล และการกาหนดเส้นแบ่งแนวเกาะในทะเลบางพื้นท่ีของจังหวัดชายทะเล ประกาศของกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ในสว่ นท่เี คยแบ่งเขตพื้นท่ีประมงพน้ื บ้านในแต่ละรายจงั หวัดชายทะเล สามารถนามาใช้ประกอบ
ในการกาหนดเส้นแบง่ เขตของเขตจังหวดั ทางทะเลได้
2. ส้าหรบั การแบง่ เขตจังหวดั ทางทะเลในพ้ืนท่อี ื่นๆท่ีมิไดเ้ คยมีกฎหมายก้าหนดไวต้ ามข้อ 7.1
การก้าหนดเส้นแบ่งเขตจังหวัดคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาใช้หลกั การของเส้นมัธยะซึ่งเป็นหลักการท่ีเป็นสากล
ท่ีก้าหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ อนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ.1958 (ข้อ 12 ของ UNCLOS 1958)
อนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ.1982 (ขอ้ 15 ของ UNCLOS 1982) ในกรณีที่เขตจังหวัดอยู่ประชิดกันหรืออยู่ตรงข้าม
กนั จะแบง่ เขตระหว่างกันโดยหลกั ของเส้นมธั ยะดังภาพท่ีแสดง

85

ภาพ แสดงการลากเส้นมธั ยะกรณรี ฐั ตรงข้าม และ เสน้ มัธยะกรณรี ัฐประชิด (ท่ีมา :TALOS)

ภาพ แสดงการสรา้ งเสน้ มัธยะลงในภาพถา่ ย หรือลงในแผนทีเ่ ดนิ เรอื
อยา่ งไรก็ตาม มักปรากฏเสมอว่าในการเจรจาเกีย่ วกบั เส้นเขตแดนทางทะเล เสน้ ท่ีตกลงกนั จะมี
การปรับแต่งไปจากเส้นมัธยะแบบเคร่งครัด (Strict Equidistance Line) เรียกว่า เส้นมัธยะปรับแต่ง (Modified
Equidistance Line) ซง่ึ เกิดขึน้ โดยมคี วามม่งุ หมาย 2 ประการ คือ
- เพือ่ ลดความคดเคยี้ วทีก่ อ่ ให้เกดิ ความสลบั ซบั ซอ้ นของเสน้ เขตแดน จงึ ตอ้ งมี การปรบั แตง่ เสน้
มธั ยะใหใ้ กล้เคียงกบั เสน้ ตรง ทงั้ นสี้ องฝา่ ยหรือฝา่ ยใดฝา่ ยหน่งึ ต้องยอมลดพื้นท่ีลง
- เพอ่ื ความมงุ่ ประสงค์ให้เกดิ ความเที่ยงธรรม โดยคานึงถึงสภาพแวดลอ้ มอนื่ ๆ

86

3. การประยุกต์ใช้หลักการของความเท่ยี งธรรมเมื่อคานึงถึงสภาพแวดลอ้ มอน่ื ๆ ทเ่ี มือ่ ใชห้ ลกั การ
ของเส้นมัธยะหรือเส้นระยะห่างเท่ากันแล้วไม่เหมาะสมหรือไม่ได้ผลลัพท์ท่ีเท่าเทียมกัน ก็สามารถนาหลักท่ีเกี่ยวข้อง
กับความเที่ยงธรรมมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น หลักความได้สัดส่วน(Proportionality) การใช้เส้นแบ่งเขตครึ่งมุม
(Bi- Sector) การกาหนดเส้นต้ังฉากกับเส้นทิศทางทั่วไปของชายฝั่ง (General Direction of the Coast) หรือ
การให้ผลบางส่วนกับเกาะ (Partial Effect) โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ พิจารณาเลอื กใช้วธิ ีท่ีกล่าวมาในข้อ 1) – 3)
ผสมผสานกันในแต่ละพื้นท่ีและบางจังหวัดท่ีแนวเขตมีความซับซ้อน รวมท้ังมีการชี้แจงและรับฟัง ความเห็นในร่าง
แผนที่จากภาคสว่ นต่าง ๆ ทมี่ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสียในแต่ละค่จู งั หวัดเพอื่ ใหไ้ ด้ข้อยตุ ทิ ี่เหมาะสมร่วมกัน

87

แผนท่ีและบัญชีค่าพิกดั รายจังหวัดชายทะเล

เพือ่ ความสะดวกในการกา้ หนดเส้นเขตทางทะเลระหว่างจังหวัด การลงพน้ื ท่รี ับฟังความเห็นจากผู้มี
ส่วนได้เสยี ในพื้นท่ี จงึ ได้กา้ หนดแบ่งกลุ่มจังหวัดชายทะเลทัง้ 23 จงั หวัด ออกเปน็ 6 กลุ่มจังหวดั ตามสภาพ
ภมู ศิ าสตร์ และพืน้ ฐานของกิจกรรมทางทะเลท่ีส่งผลกระทบระหวา่ งกันได้ ดังน้ี

(1) กลุ่มจังหวัดอ่าวไทยตะวันออก ประกอบดว้ ยจังหวัดชายทะเล 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ตราด
จ.จันทบรุ ี และ จ.ระยอง

(2) กลมุ่ จังหวัดอ่าวไทยตอนใน ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 7 จังหวดั ไดแ้ ก่ จ.ชลบุรี
จ.ฉะเชงิ เทรา จ.สมทุ รปราการ จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงคราม จ.เพชรบุรี และ กรงุ เทพมหานคร

(3) กลุม่ จงั หวัดอ่าวไทยตอนบน ประกอบดว้ ยจงั หวดั ชายทะเล 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ประจวบครี ขี นั ธ์
จ.ชมุ พร และ จ.สุราษฏร์ธานี

(4) กลุ่มจงั หวดั อา่ วไทยตอนล่าง ประกอบดว้ ยจังหวัดชายทะเล 4 จงั หวัด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช
จ.สงขลา จ.ปตั ตานี และ จ.นราธิวาส

(5) กลมุ่ จังหวดั ฝง่ั ตะวนั ตกตอนบน ประกอบด้วยจังหวดั ชายทะเล 3 จงั หวดั ไดแ้ ก่ จ.ระนอง
จ.พงั งา และ จ.ภเู กต็

(6) กลุ่มจังหวดั ฝั่งตะวนั ตกตอนล่าง ประกอบดว้ ยจังหวัดชายทะเล 3 จังหวดั ไดแ้ ก่ จ.กระบ่ี จ.ตรัง
และ จ.สตูล

88

เร่อื งท่ี 3 ลักษณะกายภาพทางทะเลท่ีปรากฏในแผนผัง แผนทีท่ างทะเลในท้องถิน่ ตนเอง

แผนทแ่ี สดงภาพรวมการแบ่งเขตจังหวดั ทางทะเลทงั้ 23 จังหวดั ชายทะเล

แผนทแ่ี สดงเขตจังหวัดในกลุ่มจังหวัดอ่าวไทยฝงั่ ตะวันออก
ประกอบด้วย จงั หวัดตราด จังหวัดจนั ทบุรี จังหวัดระยองและจังหวดั ชลบุรี

89
แผนทีแ่ สดง เขตจังหวัดทางทะเลของจังหวดั ตราด
แผนทีแ่ สดง เขตจังหวัดทางทะเลของจังหวดั จนั ทบุรี

90
แผนทแ่ี สดง เขตจังหวดั ทางทะเลของจังหวัดระยอง
แผนทแ่ี สดง เขตจังหวดั ทางทะเลของจังหวดั ชลบรุ ี

91
แผนที่แสดงเขตจังหวัดในกลุ่มจงั หวัดอา่ วไทยตอนใน ประกอบด้วยจังหวดั ตา่ ง ๆ รวม 7 จังหวัด
ไดแ้ ก่ จ.ชลบรุ ี จ.ฉะเชงิ เทรา จ.สมุทรปราการ จ.กรุงเทพมหานคร จ.สมทุ รสาคร จ.สมทุ รสงคราม

และ จ.เพชรบรุ ี

แผนทแ่ี สดง เขตจงั หวดั ทางทะเลของจังหวดั ชลบรุ ี

92
แผนทแี่ สดง เขตจังหวัดทางทะเลของจังหวดั ฉะเชิงเทรา
แผนที่แสดง เขตจงั หวดั ทางทะเลของจังหวดั สมุทรปราการ

93
แผนทแี่ สดง เขตจงั หวัดทางทะเลของจังหวัดกรุงเทพมหานคร

แผนทีแ่ สดง เขตจังหวัดทางทะเลของจังหวัดสมุทรสาคร

94
แผนทแ่ี สดง เขตจังหวัดทางทะเลของจังหวัดสมุทรสงคราม

แผนทแ่ี สดง เขตจังหวัดทางทะเลของจังหวัดเพชรบรุ ี


Click to View FlipBook Version