The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมชุดเตรียมพร้อม (๑)
(เรากับกิเลส)
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด(วัดเกษรศีลคุณ) จ.อุดรธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebook.luangta, 2021-10-01 09:26:07

ธรรมชุดเตรียมพร้อม (๑)

ธรรมชุดเตรียมพร้อม (๑)
(เรากับกิเลส)
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด(วัดเกษรศีลคุณ) จ.อุดรธานี

Keywords: หลวงตามหาบัว ,ธรรมะ

คำ�อนโุ มทน�

หนังสอื ธรรมะแต่ละเลม่ จะส�ำ เร็จข้ึนม�เพอื่ แจกท�นให้ท่�นผใู้ คร่ธรรมไดอ้ �่ น ย่อม
ส�ำ เร็จดว้ ยอ�ำ น�จแห่งศรัทธ�ของท่�นผูใ้ จบุญท้งั หล�ยชว่ ยกนั บริจ�คและจดั ทำ� แม้เล่มน้ีก็
ส�ำ เร็จขึน้ ม�เพร�ะแรงศรทั ธ�ของท�่ นผู้ใจบุญหนุนโลกเชน่ เดยี วกนั ล�ำ พงั ผู้แสดงก็มีเพยี ง
ลมป�กอย�่ งเดียวเท่�นน้ั พอแสดงจบลงลมป�กก็ห�ยสูญไปในขณะน้นั ไม่อ�จเหนีย่ วรัง้
ธรรมท่แี สดงออกน้ันๆ ใหจ้ รี ังยง่ั ยืนสบื ไปไดเ้ ลย เพร�ะไม่มปี ญั ญ�สร�้ งธรรมให้จีรังยง่ั ยืน
ไดด้ ้วยวิธกี �รใดๆ ท่เี หน็ ว�่ เหม�ะสม จ�ำ ต้องอ�ศยั บุญบ�รมขี องท�่ นคณะศรทั ธ�ผ้ใู จบุญ
ท้ังหล�ย ชว่ ยเสรมิ สร้�งคว�มจีรังถ�วรแห่งธรรม ดว้ ยก�รรว่ มกนั บรจิ �คและจดั พิมพเ์ ป็น
เลม่ ขึ้นม� เพ่ือท่�นผูอ้ ่�นไดอ้ �ศยั พ่ึงร่มเง�แห่งใบบญุ หนนุ โลกอนั ไมม่ ปี ระม�ณน้นั ผู้แสดง
จึงขออนโุ มทน�กับท่�นทัง้ หล�ยเปน็ อย่�งยงิ่ ม�พรอ้ มนี้ บญุ กศุ ลทั้งมวลที่เกิดขึน้ เพร�ะก�ร
บ�ำ เพ็ญน้ี จงส�ำ เรจ็ ผลอันพงึ หวงั ดงั ใจหม�ยโดยทวั่ กนั เทอญ

ค�ำ อนโุ มทน�ในก�รพมิ พ์เมอื่ ๙ มถิ นุ �ยน ๒๕๒๗

ค�ำ น�ำ

ก่อนอ่ืนต้องขออภยั ต่อท่�นผู้อ�่ นโดยทัว่ กนั ท่ไี ม่อ�จดัดแปลงแก้ไขเนอื้ ธรรมและสำ�นวน
ต�่ งๆ ให้เหม�ะสมกบั หนงั สอื เล่มนี้ ที่จะออกส่สู �ยต�ส�ธ�รณชนซึ่งมคี ว�มรสู้ ึกในแงแ่ หง่ ธรรม
หนกั เบ�ต�่ งกัน เนอ่ื งจ�กก�รแสดงธรรมแต่ละกัณฑ์แกท่ ่�นผฟู้ งั ซึง่ ลว้ นเปน็ นักปฏบิ ัติธรรมดว้ ยกนั
ประสงคอ์ ย�กฟงั ธรรมป�่ ที่เกีย่ วกบั ภ�คปฏบิ ัตจิ ิตภ�วน�ม�กกว่�ภ�คอืน่ ๆ ผู้แสดงซ่ึงเปน็ พระป่�ๆ
อยู่แลว้ จงึ เรม่ิ แสดงธรรมป่�โดยล�ำ ดบั ต�มนิสยั ป�่ แตก่ ณั ฑ์เริม่ แรกจนถึงกัณฑ์สดุ ท้�ย ซงึ่ รวมก�ร
เทศนต์ ิดตอ่ กันม�โดยล�ำ ดบั ในชว่ งนนั้ คงไม่ตำ่�กว�่ ๘๐ กณั ฑ์ ซง่ึ ส่วนม�กมักเปน็ ธรรมเผ็ดร้อน
ม�กกว�่ จะสมนำ�้ สมเนอื้ เท�่ ท่คี วร

หลงั จ�กก�รแสดงธรรมผ�่ นไปแล้วเปน็ ปๆี จึงมีท่�นผศู้ รทั ธ� คอื ม.ร.ว.เสรมิ ศรี เกษมศรี
ม�แสดงคว�มประสงค์ขออนญุ �ตพมิ พก์ ณั ฑเ์ ทศนเ์ หล่�น้ีขึน้ เป็นเลม่ เพ่อื แจกท�น และประสงค์ให้
กณั ฑ์เทศนเ์ หล่�น้ที พ่ี ิมพ์เปน็ เลม่ แลว้ จรี งั ย่ังยืนไปน�น จึงได้อนุญ�ตต�มอัธย�ศยั โดยไม่มหี นท�ง
แกไ้ ขกัณฑเ์ ทศนเ์ หล�่ นใี้ หเ้ หม�ะสมแก่ท่�นผู้อ่�นท่วั ๆ ไปไดแ้ ต่อย�่ งใด ถ้�เรอ่ื งใดประโยคใดไม่
เหม�ะสมกับจรติ นสิ ัยก็กรุณ�ผ�่ นไป ยดึ ไว้เฉพ�ะทีเ่ หน็ ว�่ ควรแก่นิสัยของตนๆ เพ่ือประโยชน์ในก�ล
ต่อไป

หนงั สอื ทผี่ ู้เขียนเรยี บเรียงข้ึน หวังใหท้ ุกท�่ นท่มี ีจติ ศรัทธ�ได้เป็นเจ้�ของพมิ พแ์ จกเปน็ ธรรม
ท�นด้วยกันได้ทกุ โอก�ส โดยไมต่ อ้ งขออนุญ�ตแต่อย�่ งใด สว่ นก�รพมิ พ์เพ่ือจ�ำ หน่�ย จึงขอสงวนสิทธิ์
ทุกๆ เล่มไป ดงั ทเ่ี คยปฏบิ ตั มิ �

คำ�นำ�ในก�รพมิ พเ์ มือ่ ๙ มิถุน�ยน ๒๕๒๗



ปฐมเหตุ ธรรมชุดเตรยี มพรอ้ ม

ผู้จัดทำ�ขอนำ�บทคว�มที่หลวงต�พระมห�บัวได้กล่�วถึงคุณเพ�พง�

วรรธนะกลุ ซึง่ คัดลอกบทคว�มบ�งตอนจ�ก “ญ�ณสัมปนั นธมั ม�นุสรณ์”
หน้� ๔๕๗-๔๕๘ จ�กหนงั สืออนสุ รณเ์ นอ่ื งในง�นพระร�ชท�นเพลงิ ถว�ย
แด่พระสรรี ะสงั ข�รพระธรรมวิสุทธมิ งคล (หลวงต�พระมห�บัว ญ�ณสัมปัน
โน)

ผแู้ ต่ง : วัดป่าบ้านตาด
ISBN : 978-974-350-988-9; Year/Edition : สงิ หาคม ๒๕๕๔/๙๒๘

บทคว�มบ�งตอนจ�กหน้� ๔๕๗ “เร่มิ เทศนเ์ พอื่ คนป่วย”
ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ สตรซี ง่ึ เป็นศิษยอ์ งคห์ ลวงต�ท�่ นหนึง่ ชื่อคณุ เพ�พง� วรรธนะกลุ ได้ป่วยไขไ้ ม่
สบ�ยจงึ ไมค่ ดิ ท�ำ ง�นท�งโลกอกี ต่อไป คุณเพ�พง�ได้เขยี นจดหม�ยขอม�ปฏบิ ตั จิ ิตตภ�วน�เตรยี มรบั กับ
มรณภัยที่วดั ป�่ บ้�นต�ด ซึง่ องคห์ ลวงต�ท่�นกไ็ ด้ใหค้ ว�มอนเุ คร�ะหต์ �มท่ขี อและตง้ั ใจไปแสดงธรรมเปน็
กรณีพิเศษ ดังนี้

“...คุณเพ�เร�เสยี (ชีวิต)ไปกปี่ แี ลว้ ปี ๒๕๑๙-๒๕๒๐ ไม่รู้นะ เหตทุ ี่ว�่ อย่�งน้ันกค็ อื ว่� คุณเพ�นี้เป็น
โรคมะเรง็ กระดกู ข�้ งๆ น้ี หมอเข�บอกว่�อยูอ่ ย�่ งน�นได้ ๖ เดอื น แกก็หมดหวงั ละ เลยเขยี นจดหม�ย
‘อย�กม�ภ�วน�ก่อนต�ย’

เร�ก็พูดเป็นสองพักเอ�ไว้ (ตอบจดหม�ย) ‘ถ�้ ไปภ�วน�ธรรมด�ๆ น้ี อย�กอยู่ทไ่ี หน ไปทใี่ ดไปกไ็ ม่
ได้ ไม่ไปก็ไม่ว่�’ เร�ว่�ง้ันนะ ข้อสอง ‘ถ้�ตัง้ ใจจะภ�วน�จรงิ ๆ เพ่อื เห็นโทษแห่งคว�มต�ยของตวั เองแล้ว
ก็ เอ�! ไปได้’

เร�ว่�สองพัก พอแกได้รับจดหม�ยเย็นวันนี้แกก็ออกเดินท�งเลย ตอนเช้�ไปถึงแล้ว ไปรถยนต์
‘อ�้ ว จดหม�ยได้รบั หรือยงั ’

‘ไดร้ ับเมือ่ เยน็ ว�นน้ี พอไดร้ ับแล้วกม็ �เลย’
‘เอ�้ ถ้�อย�่ งน้ันให้เลือกเอ� กฏุ ิทีอ่ ุไร ห้วยธ�ร อยู่ กับกฏุ ิคุณหญงิ กอ้ ย สองหลงั นใ้ี หเ้ ลือกเอ�
เป็นทสี่ งดั จะพักหลงั ไหนกไ็ ด้’
กต็ อบว�่ ‘พกั หลังคณุ หญงิ ก้อย’ แต่กอ่ นมันเตยี้ ๆ พงึ่ ยกขน้ึ เมอื่ เรว็ ๆ น.้ี ..
ตงั้ แต่วันนน้ั ม�เร�เข�้ ไปเทศน์ใหฟ้ งั ทกุ วนั นะ ดเู หมือนเป็นปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ เทศนใ์ ห้ฟังทุกเย็น
พอตกเย็นม�จวนมดื แลว้ ไปกบั ท�่ นปญั ญ� ท่�นปญั ญ�เปน็ ผอู้ ัดเทป เร�ไปเทศนใ์ หฟ้ งั ทุกๆ เย็นเลย
เว้นแต่วันไหนประชุมพระ หรือเร�มีธุระจำ�เป็นเร�ก็บอกล่วงหน้�เอ�ไว้ว่�วันพรุ่งนี้จะไม่เข้�ม�
นอกจ�กนน้ั เทศน์ทกุ วนั ๆ ดเู หมอื น ๙๐ กว่�กณั ฑ์ ไปอยู่น้นั ตง้ั ๓ เดือนนน้ั ละจึงได้หนังสอื เล่มท่ีว่�
“ศ�สน�อยทู่ ไี่ หน” หน่ึง “ธรรมชุดเตรยี มพรอ้ ม” หนึง่ สองเล่มน่ีท่เี ทศน์ตดิ กันไปเร่อื ยๆ เปน็ หนังสือสอง
เลม่ นี้ กอ็ ยู่ย�่ นปี ๒๕๑๙ ม้ัง แกเสียปนี ัน้ เร�ลมื ๆ เสยี ...”

บทคว�มบ�งตอนจ�กหน้� ๔๕๘
“โยมแมไ่ ด้หลักใจฟังเทศนล์ ูก”

ในช่วงท่ีท่�นเมตต�สงเคร�ะห์คนป่วยในคร�วนี้เองทำ�ให้โยมแม่ขององค์หลวงต�ท่�นมีโอก�สฟัง
ธรรมอย่�งตอ่ เน่อื ง เกิดผลด�้ นจิตใจดงั นี้

“...โยมแม่ก็ไดม้ �ฟังเทศน์ ไม่ม�กละเทศน์กด็ เู หมือนประม�ณสกั ๓๐ น�ทีละมง้ั แตล่ ะกัณฑ์ๆ
ละ ๓๐ หรืออย่�งม�กก็ ๔๐ น�ที ห�กเทศน์ทกุ วนั เลย... นล่ี ะก็เทศน์สอนคุณเพ�พง� เทศน์ตดิ เทศน์
ต่อ เทศนไ์ ม่หยดุ ไมถ่ อย ตงั้ แตน่ ้นั ม�แล้วก็ไม่เคยเทศน์อย�่ งน้นั อกี นะ มหี นเดียวเท�่ น้นั ในชวี ติ ของเร�ที่
เทศนต์ ดิ กันไปเลยใน ๓ เดอื นเทศน์ทุกๆ คนื เวน้ วนั ประชุมพระ ถ�้ วนั ไหนประชุมอบรมพระไมเ่ ข้�หรือ
มีธรุ ะจ�ำ เป็นท่ีจะไปไหนก็ไป”

โยมแม่จงึ ได้กำ�ลงั ใจท่ีไปเทศน์สอนคุณเพ� โยมแมไ่ ด้ก�ำ ลงั ใจตอนน้นั ถึงขน�ดท่ีว่�พอคณุ เพ�
กลบั ไปแลว้ กพ็ ดู เปิดอกกับเร� นมิ นตเ์ ร�ใหไ้ ปเทศน์ “วนั ไหนไมม่ แี ขกคนม� ถ�้ อ�จ�รย์ว่�งกข็ อนมิ นต์ม�
เทศนส์ อนอบรมแม่บ้�งนะ เวล�ฟังเทศน์นีไ้ มไ่ ดบ้ ังคบั จิตใจ พอเริม่ เทศนจ์ ิตจอ่ ปบั๊ เท�่ น้ี เทศนน์ ้จี ะกล่อม
ลง แล้วแน่วเลยไม่ตอ้ งบงั คบั จิตสงบทุกครัง้ เลยไม่มีพล�ด ฟงั กณั ฑ์ไหนไดเ้ หตผุ ลเลย ไม่ตอ้ งบงั คบั พอ
เสยี งธรรมเริม่ สติก็เริม่ จับจิตเกย่ี วโยงกันโดยลำ�ดับ คว�มรกู้ ล่อมลงๆ ธรรมเทศน�กล่อมใจแน่วลง สงบ
แน่วๆๆ ถ้�แม่ทำ�โดยลำ�พงั ตนเอง นั่งจนหลงั จะหกั มันก็ไม่ลง อย�กนิมนต์อ�จ�รย์ม�เทศน์เปน็ ก�รช่วย
ท�งด�้ นจติ ตภ�วน�ไดด้ ี”

องคห์ ลวงต�ไดป้ ร�รภถงึ โยมม�รด�ของท่�นว่�

“...พดู ถงึ โยมแม่เร�พอใจในก�รปฏิบตั ิธรรม โยมแม่ได้หลักไม่สงสยั เลย ดีไม่
ดจี ะไม่กลบั ม�เกดิ อกี กไ็ ด้... หยดุ พักน่แี ล้วออกจ�กน่ีก�้ วผึงเลย ถึงไมถ่ ึงท่ีสดุ ในขณะ

นน้ั กก็ �้ วเตรียมพร้อมแลว้ ท่จี ะพุ่ง...
โยมแมเ่ ร�ไม่กลับม�เกดิ แลว้ ล่ะ ไปนพิ พ�นข�้ งหน้�เลย...”

จดหม�ยล�ยมือหลวงต�

จดหม�ยของท�่ นพระอ�จ�รยม์ ห�บัว ญ�ณสมปฺ นฺโน มถี ึงน�งเพ�พง� วรรธนะกุล
เมื่อวันที่ ๒๖ กมุ ภ�พนั ธ์ ๒๕๑๙

ก�รปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม ท่ีประท�นไว้ดว้ ยพระเมตต�สุดสว่ นไมม่ ีใคร
เสมอในโลก นน้ั คอื ก�รบูช�พระองค์ท�่ นแท้ ก�รเหน็ คว�มจรงิ ท่มี อี ยกู่ บั ตัวตลอด
เวล�ดว้ ยปัญญ�โดยล�ำ ดับ น้นั ก็คอื ก�รเห็นพระตถ�คตโดยลำ�ดับ

ก�รเห็นคว�มจรงิ อย่�งเต็มใจด้วยปญั ญ�นั้นแล คือก�รเห็นพระพทุ ธเจ้�เต็ม
พระองค์ พระพทุ ธเจ�้ แท้ ธรรมแทอ้ ยู่ทใ่ี จ ก�รอปุ ัฏฐ�กใจตวั เอง คือก�รอปุ ฏั ฐ�ก
พระพทุ ธเจ�้ ก�รเฝ้�ดใู จตัวเองด้วยสตปิ ญั ญ� คือก�รเข้�เฝ้�พระพุทธเจ�้ พระธรรม
พระสงฆ์ อย�่ งแทจ้ ริง

พญ�มจั จุร�ชเตอื น และบุกธ�ตุขันธข์ องสัตวโ์ ลกต�มหลักคว�มจรงิ ของเข�
เร�ตอ้ งตอ้ นรบั ก�รเตือน และก�รบกุ ของเข�ดว้ ยสติ ปัญญ� ศรทั ธ� คว�มเพียร
ไม่ถอยหลัง และขนสมบัติ คอื มรรค ผล นิพพ�น ออกม�อวดเข�ซง่ึ ๆ หน�้ ดว้ ย
คว�มกล้�ต�ย โดยท�งคว�มเพียร เข�กับเร�ท่ถี อื ว�่ เป็นอรศิ ตั รูกนั ม�น�น จะเป็น
มติ รกนั โดยคว�มจริงดว้ ยกนั ไมม่ ีใครไดใ้ ครเสียเปรียบกนั อีกตอ่ ไปตลอดอนนั ตก�ล

ธ�ตขุ ันธ์เป็นส่งิ ทโ่ี ลกจะพงึ สละทั้งทเ่ี สยี ด�ย เร�พงึ สละดว้ ยสตปิ ัญญ�ก่อน
หน�้ ทจ่ี ะสละขนั ธแ์ บบโลกสละกัน นน่ั คือคว�มสละอย่�งเอก ไม่มีสองกบั อนั ใด
กรุณ�ฟงั ใหถ้ งึ ใจ เพร�ะเขยี นด้วยคว�มถึงใจ เอวำฯ

ที่มา รปู แสกนจดหมายจาก ญาณสัมปันนธัมมานสุ รณ์ 458, ข้อความอกั ษรจากเว็บไซต์ www.luangta.com

สารบัญ ๑
๑๒
โลกในเรือนจำ�กบั โลกนอก ๒๕
วฏั จักร ๓๖
อุบ�ยวธิ ดี ับกิเลสและเรือ่ งกรรม ๔๘
เล่หเ์ หลีย่ มของกเิ ลส ๖๑
ม�ย�กเิ ลส ๗๓
กเิ ลสฝังในจติ ๘๓
ปลุกใจสกู้ เิ ลส ๙๒
ปร�บ-ขู่ ๑๐๔
กเิ ลส กดถ่วงจิต ๑๑๖
กำ�จัดกเิ ลส พน้ ทกุ ข์ ๑๒๖
สุญญกปั ภทั รกัป
ปรยิ ัติ ปฏบิ ัติ ปฏเิ วธ



๑ภาค

“เรา กับ กเิ ลส’’

โลกในเรอื นจำากบั โลกน๑อก
เทศนโเมป่อืรดวนัคทุณี่ เ๒พาธพนั งวาาควมรรเพธทนศุทนะธก์โศปุลักรดรณาคชณุวเมดั ๒เือ่พป๕วาานั๑พบทง๘า ่ีาน๒ตวรธารดนั ธวนาะคกมลุ ณ วดั ปา่ บ้านตาด
พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘

โลกในเรือนจํากับโลกนอก

จติ ถาเราจะเทียบทางโลกแลว กเ็ ปนผตู อ งขงั มาตลอดเวลา เหมอื นคนท่ีเกดิ อยใู น
เรือนจํา โดยอยูใ นเรือนจํา ในหองขงั ไมม ีวนั ออกมาดูโลกภายนอก อยแู ตในหอ งขังตงั้ แต
เลก็ จนโต จึงไมท ราบวาภายนอกเขามีอะไรกันบาง ความสขุ ความทกุ ขกเ็ หน็ กนั อยูแตภ าย
ในเรือนจํา ไมไ ดอ อกมาดโู ลกภายนอกเขา วา มีความสุข ความสบาย และมอี ิสระกันอยา ง
ไรบา ง ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ การไปมาหาสู เขาไปแบบไหน มาอยา งไร อยูอยา งไรกัน โลก
ภายนอกเขามคี วามเปน อยูก นั อยา งไร ไมม ที างทราบได เพราะเราถูกคุมขงั อยูใ นเรอื นจํา
มาต้งั แตวันเกิดจนถึงวันตาย นี่เปน ขอเปรยี บเทยี บ เทยี บเคียง

ความสุข ความทุกข กเ็ ทา ทม่ี อี ยใู นน้นั ๆ ไมม อี ะไรเปน พเิ ศษ ไมม ีอะไรทีไ่ ดไ ปจาก
โลกภายนอก เมือ่ กลับเขาไปสภู ายในเรอื นจําพอไดเ หน็ วา นเ่ี ปน สิง่ ทแ่ี ปลกจากโลกใน
เรือนจาํ สิ่งน้มี าจากโลกนอก คือนอกเรือนจํา เอามาเทียบเคียงกันพอใหทราบวา อนั นเ้ี ปน
อยา งน้ี อันนนั้ เปนอยา งน้ัน อันน้ดี กี วา อันนน้ั อนั น้ันดีกวา อันนี้ อยา งนไี้ มม ี เพราะไมม สี ิ่ง
ใดเขาไปเกย่ี วของ มีแตเร่อื งของเรอื นจํา สขุ หรอื ทุกขม ากนอ ยเพยี งใด ขาดแคลนลาํ บาก
ลาํ บน ถูกกดขบ่ี ังคบั ขนาดไหน กเ็ คยเปนมาอยา งน้ันตงั้ แตด งั้ เดิม เลยไมท ราบจะหาทาง
ออกไปไหน จะปลดเปล้ืองตนไปไดอยางไร ดว ยวธิ ใี ด แมจะออกไปโลกนอก โลกนอกก็ไม
ทราบอยทู ไ่ี หน เพราะเห็นแตโลกในคอื เรือนจาํ ทถ่ี กู ควบคุมอยูตลอดเวลา และถูกกดขี่
บงั คับ เฆี่ยนตกี นั ทรมานกนั อยอู ยา งนั้น อด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ ตลอดถึงที่นอน
หมอนมุง อาหารปจจยั ท่ีอยอู าศัยทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง อยใู นลกั ษณะของนักโทษในเรอื นจาํ ทั้ง
หมด เขาก็อยูก ันไปได เพราะไมเ คยเห็นโลกนอกวาเปน อยางไร พอทจ่ี ะเอาไปเทียบเคยี ง
วา อันใดดกี วา อันใดมสี ขุ กวากันอยา งไรบา ง พอทีจ่ ะมีแกใ จอยากเสาะแสวงหาทางออกไป
สโู ลกภายนอก

จิตที่ถกู ควบคมุ จากอํานาจแหง กิเลสอาสวะทั้งหลายก็เปน เชน นนั้ คือถูกคุมขังอยู
ดวยกิเลสประเภทตา ง ๆ ตง้ั แตกปั ไหนกัลปไหน เชน เกิดมาในปจจบุ ันนี้ กเิ ลสทเี่ ปนเจา
อาํ นาจบนหวั ใจสัตวน ั้นมมี าต้งั แตว นั เกดิ ถูกคุมมาเร่อื ย ๆ ไมเคยไดเ ปน อิสระภายในตวั
บา งเลย จึงยากทีเ่ ราจะคาดไดวา ความสุขทน่ี อกเหนอื ไปจากสงิ่ ที่เปนอยใู นเวลาน้ีนนั้ คอื
ความสขุ อยางไรกนั เชนเดียวกบั คนที่เกดิ ในเรือนจาํ และอยมู าตลอดเวลา

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๑า๑ กับ กิเลส’’



โลกนอกเปนโลกยงั ไง ? นา ไปและนา อยไู หม ? ธรรมทา นประกาศสอนอยปู งๆก็
ไมคอยสนใจกนั แตย ังดีทีผ่ ูสนใจยังมอี ยูบา งบางแหงบางสถานที่ ทไ่ี หนไมม ีใครประกาศ
ไมม ใี ครพูดถึงเลยวา โลกนอก คอื จติ ทมี่ ธี รรมครองใจนน้ั เปน อยา งไร ไมม ใี ครพูดใหฟ ง จึง
ไมท ราบวา ศาสนธรรมเปนอยางไร ความสุขท่เี กดิ ขน้ึ จากอรรถจากธรรมเปน อยางไร มืด
แปดทิศ ตดิ แบบจมดิ่งไมมีวนั ฟู พอมองเห็นอวัยวะสวนใดสว นหนง่ึ บางเลย เพราะไมม ี
ศาสนาชว ยฉุดลาก เหมอื นวา “โลกนอก” ไมป รากฏเลย มแี ตเ รอื นจําคอื กิเลสควบคมุ ใจ
เทานัน้ เกดิ มาในโลกนม้ี ีแตเรอื นจําเปน ทอี่ ยูอ าศัย ทีเ่ ปนท่ีตาย อยนู ตี่ ลอดไป

จิตใจไมเ คยทราบวา อะไรทพี่ อจะใหค วามสขุ ความสบาย ความเปนอิสระยง่ิ กวา ท่ี
เปน อยูเวลานี้ ถาจะเทยี บเขาไปอกี แงห น่ึงกเ็ หมอื น “เปด” เลนนํา้ อยูใตถุนบานใตถ ุน
เรอื น แชะๆๆๆๆ อยูอยางนั้น สกปรกโสมมขนาดไหนมนั กพ็ อใจเลน เพราะมันไมเ คย
เหน็ นา้ํ มหาสมุทรทะเล ไมเคยเห็นนา้ํ บึงน้ําบอทก่ี วางขวางพอทีจ่ ะแหวกวาย หวั หางกลาง
ตัวไดอยา งสะดวกสบาย มนั เห็นแตน้ําใตถ ุนบา นใตถ นุ เรอื น ทเ่ี ขาลา งสงิ่ ของลงไปขังอยเู ทา
นนั้ มนั ก็ไปเทย่ี วเลนและถือวาสนกุ สนาน แหวกวายของมนั อยางสะดวกสบายรืน่ เริง
เพราะเหตุไร ? เพราะมนั ไมเคยเห็นนาํ้ ทก่ี วา งขวางหรอื ลกึ ยงิ่ กวา นั้น พอที่จะใหเ กดิ ความ
รน่ื เรงิ บนั เทงิ เกิดความสุขความสบายแกการไปมา หรอื การแหวกวา ย หวั หางกลางตวั
สะดวกสบายกวานํ้าใตถ นุ บา นใตถ ุนเรอื น

สว นเปดท่ีอยูตามลาํ คลองอนั กวางลึกน้นั ผดิ กันกับเปดใตถ ุนบาน มนั สนกุ สนาน
รน่ื เรงิ เที่ยวไปตามหวยหนองคลองบึง เจาของไลไปเที่ยวทไี่ หนมนั กไ็ ป ตามถนนหนทาง
ขามไปมา โอโห ! แผก ระจายกนั เปน ฝงู ๆ เปน รอ ย ๆ เปนพนั ๆ เปด พวกนีย้ งั พอมี
ความสุขบาง นไ่ี ดแ กอะไร ?

ถา เทียบเขามาก็ไดแ ก “จติ ” ท่ีไมเคยเหน็ ความสุขความสบาย ความรน่ื เรงิ บนั เทงิ
ที่เกดิ ข้ึนจากอรรถจากธรรม ซึ่งเปน เชน เดยี วกับเปดท่เี ลน น้าํ ใตถนุ บานใตถ ุนเรอื น และ
จาํ พวกทเ่ี พลนิ เลน นํา้ ในลําคลอง หรอื ในบงึ บางตาง ๆ นน้ั แล

พวกเรามคี วามสุขความร่ืนเริง ดว ยอํานาจของกเิ ลสบังคับบัญชาอยเู วลาน้ี ซึง่
เหมือนกบั ความสขุ ของนกั โทษในเรือนจํานนั้ แล เม่อื “จิต” ไดร บั การอบรมจากโลกนอก
หมายถึงธรรม ซ่ึงออกมาจากโลกุตรธรรม มาจากดนิ แดนนพิ พาน ลงมาโดยลาํ ดับ ๆ จน
กระทั่งถงึ มนษุ ยโ ลก ทานชี้แจงไวห มดชั้นหมดภูมิทเี ดยี ว

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๒
ธรรมะชุดเ๒ตรียมพรอ้ ม



ผูมอี ุปนสิ ัยมคี วามสนใจตอโลกนอก ตอความสขุ ทยี่ ิ่งไปกวา ความเปน อยเู วลาน้ีมี
อยู เมอื่ ไดยินเสียงอรรถเสียงธรรมและอา นตามตํารับตาํ ราเกย่ี วกบั โลกนอก คือเรือ่ งอรรถ
เรอื่ งธรรม เรอ่ื งความปลดเปล้อื งความทุกขความทรมาน ทีถ่ กู บงั คบั ขับไสอยูภ ายในใจโดย
ลําดับ จิตใจก็มคี วามรนื่ เรงิ บันเทงิ มีความพออกพอใจสนใจอยากฟง สนใจอยากประพฤติ
ปฏิบตั ิ จนปรากฏผลข้ึนมาโดยลําดบั ลําดา นัน่ แหละเริ่มเหน็ กระแสแหง โลกนอกพาดพิง
เขา มาแลว จติ ใจกม็ คี วามดนิ้ รนท่ีจะพยายามแหวกวายออกใหพนจากความกดข่บี ังคบั ซง่ึ มี
อยูภายในใจ อันเปรยี บเหมือนนกั โทษในเรือนจาํ

ยง่ิ ไดปฏบิ ัติทางดา นจิตใจมีความสงบขึน้ เพยี งไร ความตะเกียกตะกาย ความ
อตุ สา หพยายามก็ยิง่ มากขึน้ ๆ สติปญญากค็ อ ยปรากฏขึ้นมา เหน็ โทษแหง การกดขีบ่ งั คบั
ของกเิ ลสภายในใจ เหน็ คุณคา แหง ธรรมอันเปน เคร่ืองปลดเปลื้องไดมากนอ ยเพียงไร ก็
เปน ความสบายภายในใจ เบาอกเบาใจ ซ่งึ เปน เครอ่ื งเพม่ิ ศรัทธาขึน้ โดยลําดับ ความ
อุตสา หพยายามความอดทนเกดิ ขนึ้ ตาม ๆ กัน สติปญญาที่เคยนอนจมปลกั อยอู ยางแต
กอน ก็คอ ยฟน ตวั ต่นื ขึ้นมา และคนคิดพจิ ารณา

แมส ง่ิ เหลา นี้จะเคยเปนขา ศึกมานมนาน และกระทบกระเทอื นกันอยทู ้งั วนั ทงั้ คนื
แตไ มเคยสนใจ กเ็ กดิ ความสนใจขึน้ มา อะไรมากระทบกระเทือนทางตา หู จมูก ลิน้ กาย
ใจ ซึ่งแตกอนก็เหมือนคนตาย ถอื เปน ธรรมดา ๆ ไมส ะดงุ สะเทอื นสตปิ ญ ญาพอใหไดคดิ
คน หาเหตุผลตน ปลายบา งเลย แตเ ม่อื ใจเริม่ เขากระแสแหงธรรมทไี่ ดร ับการอบรม จน
เปน พนื้ เพแหงสติปญญาไปโดยลาํ ดับ ยอมจะเหน็ ทง้ั โทษทงั้ คณุ ประจกั ษใจ เพราะเปนของ
มอี ยูดว ยกนั ท้ังโทษทงั้ คณุ ภายในใจดวงนี้ จิตใจก็มคี วามคลองแคลวในการคิด การ
พจิ ารณา ใจจะเกดิ ความอาจหาญ ขดุ คนเหน็ ท้ังโทษ พยายามแก เหน็ ทั้งคุณ พยายาม
แหวกวา ย พยายามสงเสริมไปโดยลาํ ดบั

นเี่ รยี กวา จิตคอยปลดเปลือ้ งจากส่ิงกดข่ีบงั คับ คือเรือนจาํ ภายในออกไดโดยลาํ ดบั
ท้ังมองเหน็ โลกนอกอกี ดวยวา โลกนอกเปนโลกอยา งไร เหมอื นเรือนจําทีม่ ีอยูเวลานไ้ี หม ?
ตาก็พอมองเหน็ โลกนอกบางวา ทา นซึ่งอยูโลกนอกทา นเปนอยูอยางไร ไปมาหากนั อยางไร
เราเปน อยูอยางไรภายในเรอื นจาํ ความเปนอยภู ายใตกิเลสครอบงํานี้เปน อยา งไร ความที่
เบาบางจากกเิ ลสลงเปนลาํ ดบั ๆ จติ ใจมีความรูส ึกอยางไรบา ง ซึ่งพอเทยี บกนั ได

ทีนพ้ี อมโี ลกนอก โลกใน เขา เทยี บกันแลว คือความสุขความสบายทีเ่ กิดข้นึ จากการ
แกก เิ ลสออกไดมากนอ ยก็ปรากฏ ความทกุ ขท กี่ ิเลสยังมคี างอยพู าใหแสดงผลก็ทราบชดั

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓
ภาค ๑ “เร๓า กับ กเิ ลส’’



และเห็นโทษดวยปญ ญาเปนข้นั ๆ และพยายามแกไ ขอยตู ลอดเวลา ไมล ดละความ
พากเพยี ร

น่แี หละตอนทีส่ ติปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร เร่มิ หมุนตัวออกแนวรบ ก็ตอนทเ่ี หน็
ทงั้ โลกนอก คอื ความปลดเปลอ้ื งกิเลสออกจากใจไดม ากนอย และเหน็ ทั้งโลกในท่ีกเิ ลสกด
ขบ่ี งั คับมาเรื่อย ๆ แตก อนไมท ราบจะเอาอะไรมาเทยี บ เพราะไมรูไ มเ ห็น เกิดขึน้ มาก็จม
อยูในความทกุ ขท รมานอยางนี้ ขึ้นชื่อวา ความสขุ น้ัน ไมป รากฏจากโลกนอกเลย คือ ไม
ปรากฏจากอรรถจากธรรม

การปรากฏก็ปรากฏแตความสขุ แบบท่ีความทุกขอ ยหู ลังฉาก ซึง่ คอยจะมาเหยยี บ
ยาํ่ ทาํ ลาย เพอ่ื ลบลา งความสขุ นน้ั ใหหายไปโดยไมม ีเวลานาฬกิ าเตือนบอกเลย ทีนีไ้ ดร ูไ ด
เหน็ บา ง ความสุขภายนอก คอื จากโลกนอกของผูท ี่ธรรมครองใจนน้ั กเ็ หน็ ความสขุ ภายใน
เรอื นจาํ คือความสุขท่อี ยูใ ตอ ํานาจของกเิ ลสก็เห็น ความทกุ ขท ี่อยใู ตอํานาจของกเิ ลสกเ็ หน็
คอื รูไดด วยสตปิ ญ ญาของตวั เองประจกั ษใ จ

ความสุขทีเ่ กิดข้ึนจากโลกนอก ไดแ กก ระแสแหง ธรรมทซี่ าบซง้ึ เขาไปในจิตใจ ก็
เหน็ พอเปนเครอ่ื งเทยี บเคียงกันไปโดยลําดับ ๆ เหน็ โลกภายนอก โลกภายใน ท้ังคณุ และ
โทษนาํ มาประกอบเทียบเคียงกัน กย็ ่ิงทาํ ใหเ กดิ ความเขา ใจ และความพากเพยี รความอด
ทนมากข้นึ กระท่งั อะไรผานเขามาขึ้นชื่อวาเรื่องของกเิ ลส ซ่งึ เคยกดข่บี งั คับจติ ใจแลว ตอง
ตอ สกู ันทนั ที และแกไขปลดเปลื้อง หรือรอื้ ถอนกันโดยลาํ ดบั ๆ ดวยอาํ นาจแหง สติปญ ญา
มคี วามเพยี รเปนเคร่อื งหนุนหลัง

จติ ใจจะหมุนไปเอง เมอื่ ความเหน็ โทษมีมาก ความเห็นคุณกม็ ีมาก เมอื่ ความอยาก
รอู ยากเห็นธรรมมีมาก และความอยากหลดุ พนมมี ากเพียงไร ความพากเพียรก็ตอ งมาก
ข้นึ ไปตาม ๆ กัน แมค วามอดความทนก็ตาม ๆ กนั มา เพราะมีอยใู นใจดวงเดยี วกัน เหน็
โทษกเ็ หน็ ทใ่ี จท้ังดวงน้นั แล ใจทง้ั ดวงเปนผเู หน็ โทษ แมเ ห็นคุณก็ใจท้งั ดวงน้ันเปนผูเ หน็

การท่พี ยายามแหวกวายดว ยวิธตี าง ๆ ตามความสามารถของตน กเ็ ปน เร่อื งของใจ
ทงั้ ดวงจะเปนผูทาํ ความพยายามปลดเปลื้องตนเอง เพราะฉะนัน้ สิ่งเหลา น้มี ีความเพยี ร
เปน ตน ทีเ่ ปน เคร่ืองมอื ของจติ เปน เครื่องสนับสนนุ จิต จึงมาพรอ ม ๆ กัน เชน ศรัทธา
ความเช่อื ตอมรรคตอ ผล ความเช่ือตอ แดนพนทกุ ข วริ ิยะ ความพากเพยี รที่จะทาํ ตวั ให
หลุดพนไปโดยลําดับ ขันติ ความอดความทน เพ่ือบึกบึนใหผ า นพน ไปได กม็ าพรอ ม ๆ
กัน สตปิ ญ ญา ท่ีจะใครค รวญไปตามแนวทาง อนั ใดถูกอนั ใดผดิ ก็มาตาม ๆ กัน

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๔
ธรรมะชุดเ๔ตรียมพรอ้ ม



ถา จะพูดตามหลกั ธรรมทที่ า นกลาวไว ก็เรยี กวา “มรรคสมังคี” คอยรวมตวั กันเขา
มาอยใู นใจดวงเดยี วนี้ อะไรก็รวมเขามา สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั โป สมั มาวาจา สมั มา
กัมมนั โต ตลอดถงึ สัมมาสมาธิ กร็ วมเขา มาอยใู นจติ ดวงเดียวนท้ี ั้งมวล ไมไปที่อ่นื

สัมมากัมมนั ตะ ก็มีแตเดนิ จงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเปนงานชอบ สัมมากมั มันตะ คอื
งานชอบ เพราะเขาถึงงานอันละเอยี ดท่ีใจรวมเขา มา จติ เปน มรรคสมังคี คือมรรครวมตวั
เขา มาสูใ จดวงเดียว สัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกปั โป ไดแ กเรือ่ งของปญญา คนควา อยตู ลอด
เวลา เกี่ยวกบั เร่ืองธาตุเรอ่ื งขนั ธ เรอ่ื งตาง ๆ ท่ปี รากฏหรือสมั ผสั เกิดขน้ึ แลวดับไปทง้ั ดที งั้
ช่วั ทง้ั อดีตและอนาคต ที่ข้ึนมาปรากฏภายในใจ สตปิ ญญาเปน ผฟู าดฟน ห่นั แหลกไปโดย
ลําดบั ไมร อใหเ สยี เวลาํ่ เวลา สมั มากมั มนั ตะ การงานชอบท่เี กยี่ วกับกาย ก็คอื การนง่ั
ภาวนาหรอื เดนิ จงกรม อันเปนความเพยี รละกเิ ลสในทา ตาง ๆ ที่เกยี่ วกบั ทางใจก็คือวริ ิยะ
ความพากเพียรทางใจ

สมั มาวาจา พดู กนั แตเรื่องอรรถเร่อื งธรรม การสนทนากนั กม็ ีแตเ ร่ือง “สลั เลข
ธรรม” ธรรมเปน เครอ่ื งขดั เกลา หรอื ชําระลางกเิ ลสอาสวะออกจากจิตใจ วา เราจะทาํ ดว ย
วธิ ใี ดกเิ ลสจงึ จะหมดไปโดยสน้ิ เชงิ นีค่ อื สัมมาวาจา สัมมาอาชวี ะ อารมณอนั ใดท่ีเปน ขา ศึก
ตอจติ เมื่อนําเขามาเปน อารมณของใจเรียกวา “เล้ยี งชีพผิด” เพราะเปนขาศึกตอจติ จติ
ตอ งมคี วามมวั หมองไมใชของดี ตองเปน ทกุ ขข ้ึนมาภายในใจมากนอยตามสวนแหงจิตที่มี
ความหยาบละเอยี ดข้นึ ไปโดยลําดับ นกี่ ช็ ่ือวา “เปนยาพิษ” เล้ียงชพี ไมชอบ ตองแกไขทัน
ที ๆ

อารมณข องจติ ที่เปน ธรรม อนั เปน ไปเพือ่ ความร่ืนเรงิ เปน ไปเพือ่ ความสุขความ
สบายนน่ั แล คืออารมณท ี่เหมาะสมกบั จติ และเปน อาหารที่เหมาะกับใจ ทาํ ใหใจเกดิ ความ
สงบสขุ การเลย้ี งชีพชอบจงึ เล้ียงอยา งนี้ โดยทางธรรมขั้นปฏบิ ตั ิตอ จิตเปนขน้ั ๆ ขน้ึ ไป
สวนการเล้ียงชีพชอบทางรา งกายดว ยอาหารหรอื บณิ ฑบาตนนั้ เปน สาธารณะสาํ หรบั ชาว
พุทธทั่ว ๆ ไปจะพึงปฏบิ ตั ใิ หเหมาะสมกบั หนาที่ของตน ๆ

สมั มาวายามะ เพียรชอบ เพยี รอะไร ? นเ่ี รากท็ ราบ ทานบอกเพียรใน ๔ สถาน คอื
พยายามระวงั ไมใ หบาปเกดิ ขน้ึ ในตนหนง่ึ พยายามละบาปทเ่ี กดิ ขน้ึ แลวใหหมดไป การ
ระวงั บาปตอ งระวังดว ยความมีสติ พยายามสาํ รวมระวังอยา ใหบาปเกิดขึ้นดว ยสติ คอื ระวัง
จิตท่จี ะคดิ เที่ยวกวานเอาความทุกขค วามทรมานเขามาสจู ติ ใจน่นั เอง เพราะความคิด
ความปรุงในทางไมด นี น้ั เปนเรอ่ื งของ “สมุทัย” จงึ พยายามระวงั รกั ษาดวยดี อยา ประมาท

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕
ภาค ๑ “เร๕า กบั กเิ ลส’’



หน่ึง พยายามเจรญิ ส่ิงทเี่ ปนกุศล เปน ความเฉลยี วฉลาด ใหมมี ากข้นึ โดยลําดับ ๆ หนงึ่
และเพยี รระวังรักษากุศลท่ีเกิดข้นึ แลว ใหเ จริญยง่ิ ข้นึ อยา ใหเ สอื่ มไปหน่ึง

“สมั มัปปธาน สี”่ ท่ที านวา กอ็ ยทู ต่ี ัวเราน้ีแล “สมั มาสต”ิ กด็ อู ยูในใจของเรานี่
การเคลอ่ื นไหวไปมา ความระลึก ความรูตัวนี้ รอู ยูตลอดเวลา อะไรมาสมั ผัสทางตาทางหู
ทางจมกู ทางลิ้นทางกาย ไมเ ขา ไปสูใจจะไปทีไ่ หน ใจเปนสถานท่ใี หญโ ตคอยรบั ทราบเรอ่ื ง
ราวตา ง ๆ ทัง้ ดีท้ังชัว่ อยตู ลอดเวลา ปญญาเปน ผูวินิจฉยั ใครครวญ สตเิ ปน ผูคอยดตู รวจ
ตราพาชอี ยเู สมอ ในเมือ่ อะไรเขามาเกีย่ วของกับใจ เปนดหี รือเปนชัว่ อารมณช นิดใด สติ
ปญญาใครค รวญเลอื กเฟนในอารมณต า ง ๆ ท่เี ขามาเกี่ยวของกบั ใจ อนั ใดทเ่ี หน็ วาไมชอบ
ธรรม จิตจะสลัดปด ทิง้ ทนั ที ๆ คอื ปญ ญานัน่ แหละเปนผทู าํ การสลัดปดทง้ิ แนะ

“สัมมาสมาธิ” การงานเพื่อสงบกเิ ลสโดยสมาธิกม็ ัน่ คงอยตู ลอดเวลา จนปรากฏ
ผลเปนความสงบเยน็ แกใจที่พักงานอยา งแทจรงิ ไมม คี วามฟุงซา นเขา มากวนใจในขณะนั้น
ประการหนง่ึ

ในขณะที่จะเขา สมาธิเปนการพกั ผอนจิต เพ่ือเปนกาํ ลงั ของปญ ญาในการคน ควาตอ
ไปก็พักเสยี พักในสมาธิ คือเขา สคู วามสงบ ไดแ กห ยดุ การปรุงการแตงการคิดคนควา ทาง
ดานปญญาโดยประการทั้งปวง ใหจิตสงบตวั เขามาอยอู ยา งสบาย ไมตองคิดตองปรุงอะไร
ซงึ่ เปนเร่อื งของงาน พกั จิตใหส บายโดยความมอี ารมณเ ดียว หากวา จติ มคี วามเพลดิ เพลนิ
ตอ การพจิ ารณาไปมากจะยับยั้งไวไ มได เราก็เอา “พุทโธ” เปน เครอื่ งฉุดลากเขา มา ใหจติ
อยกู บั “พทุ โธ ๆๆ”

คาํ บรกิ รรมกบั “พุทโธ” น้ี แมจ ะเปนความคดิ ปรงุ กต็ าม แตเปน ความคิดปรงุ อยู
ในธรรมจดุ เดียว ความปรงุ อยใู นธรรมจดุ เดียวนัน้ เปนเหตุใหจติ มคี วามสงบตวั ได เชน คาํ
วา “พุทโธ ๆๆ” หากจติ จะแย็บออกไปทํางานเพราะความเพลิดเพลินในงาน งานยังไม
เสรจ็ เรากก็ ําหนดคาํ บริกรรมนั้นใหถ ย่ี ิบเขาไป ไมย อมใหจ ิตน้อี อกไปทํางาน คือจิตขน้ั ที่
เพลนิ กบั งานนั้นมอี ยู ถาพดู แบบโลกกว็ า “เผลอไมได” แตจ ะวา จติ เผลอกพ็ ูดยาก การ
พดู ทีพ่ อใกลเ คยี งก็ควรวา “รามือไมได” พดู งา ย ๆ วายงั ง้ัน เรารามือไมได จติ จะตอง
โดดออกไปหางาน ตอนนีต้ องหนกั แนน ในการบรกิ รรม บงั คับจติ ใหอ ยกู ับอารมณอันเดียว
คือ พุทโธ เปนเครื่องยับย้ังจิต กาํ หนด พุทโธ ๆๆๆ ใหถ ย่ี บิ อยนู ั้น แลว พุทโธ กบั จติ ก็
เปนอันเดยี วกัน ใจก็แนว สงบลง สงบลงไป กส็ บาย ปลอ ยวางงานอะไรทั้งหมด ใจก็เยอื ก
เย็นข้นึ มา นีค่ ือสมาธิทช่ี อบ

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๖
ธรรมะชดุ เ๖ตรียมพรอ้ ม



ในขณะที่จะพกั ตองพกั อยางน้ี ทา นเรยี กวา “สัมมาสมาธิ” เปน สมาธิชอบ พอสม
ควรเห็นวา ใจไดกําลงั แลว เพียงปลอยเทาน้ันแหละจติ จะดดี ตัวออกทาํ งานทนั ทีเลย ดดี
ออกจากความเปน หนึง่ ความเปน อารมณอนั เดียวนั้น แลวก็เปน สองกับงานละทนี ี้ ใจ
ทาํ งานตอ ไปอีก ไมห ว งกับเรอ่ื งของสมาธใิ นขณะที่ทํางาน ในขณะทท่ี ําสมาธิเพ่ือความสงบ
กไ็ มตอ งหว งกบั งานเลยเชน เดยี วกัน

ขณะที่พักตองพัก เชนในขณะทรี่ บั ประทานตอ งรับประทาน ไมต องทาํ งานอะไรทง้ั
นัน้ นอกจากทํางานในการรับประทาน จะพกั นอนหลบั ก็นอนหลับใหส บาย ๆ ในขณะท่ี
นอนไมต องไปยุงกับงานอะไรท้ังสนิ้ แตเวลาที่เรมิ่ ทาํ งานแลว ไมต อ งไปยุงในเรอื่ งการกิน
การนอน ตั้งหนาทาํ งานจริง ๆ นไี่ ดชอ่ื วา ทาํ งานเปนชิน้ เปนอนั ทํางานเปนวรรคเปน ตอน
ทํางานถกู ตอ งโดยกาลโดยเวลาเหมาะสมกบั เหตกุ ารณ เรยี กวา สัมมากัมมนั ตะ
“สัมมากมั มนั ตะ” คอื การงานชอบ ไมกาวกายกนั เปนงานทเ่ี หมาะสม

เร่อื งสมาธปิ ลอยไมไ ด การปฏบิ ตั ิเพ่ือความรื่นเริงของใจ การเหน็ วา “สมาธ”ิ อยู
เฉย ๆ ไมเ กิดประโยชนน ั้นไมถ กู ถา ผูติดสมาธิไมอยากออกทาํ งานเลยอยา งนน้ั เหน็ วาไม
ถูกตอ งควรตําหนิ เพ่ือใหผนู ัน้ ไดถอนตวั ออกมาทาํ งาน แตถ า จติ มีความเพลดิ เพลินในงาน
แลว เรือ่ งของสมาธิกม็ ีความจาํ เปน ในดา นหนึง่ ในเวลาหน่ึงจนได คนเราทาํ งานไมพักผอน
นอนหลบั บา งเลยน้ที าํ งานตอไปไมได แมจะรบั ประทานอาหาร สมบัติเสยี ไปดวยการรับ
ประทานก็ใหม นั เสยี ไป ผลที่ไดคือธาตขุ นั ธม ีกําลงั จากการรบั ประทาน ประกอบการงาน
ตามหนาทต่ี อไปไดอกี เงนิ จะเสยี ไป ขา วของอะไรท่นี าํ มารับประทานจะเสยี ไป ก็เสียไป
เพื่อเกิดประโยชน เพอื่ เปนพลังในรางกายเราจะเปนอะไรไป ใหม นั เสียไปเสียอยา งน้ี ไม
เสียผลเสยี ประโยชนอ ะไร ถาไมรบั ประทานจะเอากําลังมาจากไหน ตอ งรบั ประทาน เสียไป
ก็เสยี ไปเพ่อื กําลัง เพ่อื ใหเ กดิ กําลังขน้ึ มา

นี่การพกั ในสมาธิ ในขณะทีพ่ ักใหม ีความสงบ ความสงบนนั้ แลเปนพลงั ของจติ ท่ี
จะหนุนทางดา นปญญาไดอ ยางคลอ งแคลว เราตองพกั ใหม ีความสงบ ถา ไมส งบเลยมีแต
ปญญาเดนิ ทาเดยี ว ก็เหมอื นกับมดี ไมไดล ับหิน ฟน ตุบ ๆ ต๊ับ ๆ ไมท ราบวา เอาสันลงเอา
คมลง มีแตค วามอยากรูอยากเห็น อยากเขาใจ อยากถอนกิเลสโดยถายเดียว โดยทีป่ ญ ญา
ไมไ ดล ับจากการพักสงบ อนั เปนสง่ิ ท่ีหนนุ หลังใหเ ปนความสงบเยน็ ใจ ใหเ ปน กาํ ลังของใจ
แลวมันกเ็ หมือนกับมีดทีไ่ มไ ดลบั หนิ นะซี ฟนอะไรก็ไมค อ ยขาดงาย ๆ เสยี กําลงั วงั ชาไป
เปลา ๆ

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๗
ภาค ๑ “เร๗า กบั กเิ ลส’’



เพราะฉะนน้ั เพื่อความเหมาะสม ในขณะทพี่ ักสงบจติ ในเรือนสมาธิตอ งใหพัก การ
พกั ผอนจึงเหมอื นเอาหนิ ลบั ปญ ญาน่ันเอง การพกั ธาตขุ ันธ คือสกลกายกม็ กี ําลงั การพัก
จิต จิตก็มีกําลังดว ย

พอมกี าํ ลังแลว จติ ออกคราวน้ีกเ็ หมอื น “มดี ไดลับหนิ แลว” อารมณอนั เกานัน้ แล
ปญ ญาอนั เกาน้ันแล ผพู จิ ารณาคนเกานัน้ แล แตพ อกาํ หนดพจิ ารณาลงไป มนั ขาดทะลไุ ป
เลย คราวน้ีเหมือนกับคนทีพ่ ักผอ นนอนหลับ รบั อาหารใหส บาย ลับมีดพรา ใหเ รยี บรอย
แลว ไปฟน ไมท อ นนั้นแล คน ๆ นัน้ มดี ก็เลมนน้ั แตมันขาดไดอ ยา งงายดาย เพราะมีดก็
คม คนกม็ กี าํ ลัง

นอ่ี ารมณกอ็ ารมณอ ันนัน้ แล ปญญากป็ ญญาอนั นน้ั แล ผปู ฏิบัติคนนัน้ แล แตได
“ลบั หนิ ” แลว กําลังของจติ ก็มแี ลว เปน เครื่องหนุนปญ ญา จงึ แทงทะลุไปไดอยา งรวดเรว็
ผิดกับตอนไมไดพักในสมาธิเปนไหน ๆ

เพราะฉะนน้ั เร่อื งของสมาธิกับเรือ่ งของปญ ญา จึงเปน ธรรมเกย่ี วเนอ่ื งกัน เปนแต
เพยี งทํางานในวาระตาง ๆ กนั เทานัน้ วาระทีจ่ ะทาํ สมาธิก็ทําเสีย วาระนีจ้ ะพิจารณาทาง
ดานปญ ญาใหเ ตม็ อรรถเต็มธรรม เตม็ เมด็ เต็มหนวย เต็มสตกิ าํ ลงั พจิ ารณาลงไปใหเ ตม็
เหตเุ ต็มผล เวลาจะพกั ก็พกั ใหเต็มทีเ่ ตม็ ฐานเหมอื นกนั ใหเ ปน คนละเวลาไมใ หก าวกา ยกนั
แบบทั้งจะพจิ ารณาทางดา นปญญา ทัง้ เปน หว งสมาธิ เวลาเขาสมาธแิ ลวก็เปน อารมณก ับ
เรือ่ งปญญา อยา งนี้ไมถกู จะปลอยทางไหน จะทาํ งานอะไรใหทาํ งานนัน้ จรงิ ๆ ใหเปน ชน้ิ
เปนอัน น่ีถูกตอ งเหมาะสม สมั มาสมาธิ กเ็ ปน อยา งนี้จรงิ ๆ

เรือ่ งของกิเลสเปนเร่อื งกดถว งจติ ใจ จิตเราน่ีเหมอื นเปน นกั โทษ ถูกกิเลสอาสวะทั้ง
หลายครอบงาํ อยตู ลอดเวลา และบังคบั ทรมานจติ ใจมาตลอดนบั แตเกิดมา

เมอื่ ปญญาไดถอดถอนกิเลสออกโดยลาํ ดับ ๆ แลว ใจก็มีความสวางไสวขนึ้ มา
ความเบาบางของจิตกเ็ ปน คณุ อนั หน่งึ ที่เกิดข้นึ จากการทีถ่ อดถอนส่ิงท่เี ปนภยั ส่งิ ท่สี กปรก
ออกได เรากเ็ หน็ คณุ คาอนั น้ี แลวพจิ ารณาไปเร่ือย ๆ

รวมแลว กิเลสอยทู ่ไี หน ภพชาติอยูท่ไี หน ก็มอี ยูทใี่ จดวงเดยี วนีแ้ หละ นอกนนั้ เปน
กิ่งกานสาขา เชน ออกไปทางตา ทางจมกู ทางหู ทางล้นิ ทางกาย แตตนของมนั จรงิ ๆ อยู
ทใ่ี จ เวลาพจิ ารณาสง่ิ เหลา นน้ั รวมเขา มา รวมเขามาแลว จะเขามาสูจ ิตดวงเดยี วนี้ “วฏั วน”
ไมไดแกอะไร ไดแกจิตดวงเดียวนี้เปนผหู มนุ ผเู วยี น เปนผูพาใหเกดิ ใหตายอยูเทา น้ี เพราะ
อะไร ? เพราะเชอื้ ของมันมอี ยภู ายในใจ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘
ธรรมะชุดเ๘ตรยี มพรอ้ ม



เมอื่ ใชส ตปิ ญ ญาพิจารณาคนควา เห็นชัดและตัดเขามา ๆ เปน ลาํ ดบั ๆ จนเขา ถงึ จิต
ซ่ึงเปน ตัวการ มี “อวิชชา” ซ่ึงเปน สง่ิ สําคัญมากทีเ่ ปนเชอ้ื “วฏั ฏะ” อยูภายในใจ แยกลง
ไปพิจารณาลงไป ๆ ไมใ หมอี ะไรเหลอื อยู วา น้ีคอื นัน้ นนั้ คอื น้ัน กําหนดพิจารณาลงไปที่
จติ เชนเดียวกับสภาวธรรมท่ัว ๆ ไป

แมใจจะมคี วามสวางไสวขนาดไหนกต็ าม ก็พงึ ทราบวา น้เี ปน เรอื นใจทพ่ี อพกั อาศยั
ไปชวั่ กาลช่วั เวลาเทา นัน้ หากยังไมสามารถพิจารณาใหแตกกระจายลงไปได แตเ ราอยาลมื
วา จติ ทมี่ คี วามเดน ดวงนแ้ี ลคืออวิชชาแท ใหพจิ ารณาเอาอันนน้ั แหละเปนเปา หมายแหง
การพิจารณา

เอา ! อนั น้ีจะสลายลงไปจนหมดความรไู มม ีอะไรเหลอื กระท่ัง “ผูร”ู จะฉบิ หาย
จมไปดวยกนั ก็ใหรูเสียที เราพจิ ารณาเพอ่ื หาความจรงิ เพื่อรคู วามจริง ตอ งใหลงถึงเหตถุ ึง
ผลถึงความจริงทกุ สงิ่ ทกุ อยาง อะไรจะฉิบหายลงไปกใ็ หฉบิ หาย แมที่สุด “ผูรู” ที่กําลัง
พิจารณาอยนู จ้ี ะฉิบหายไปตามเขา ก็ใหร ดู ว ยสติปญ ญา ไมตอ งเหลอื ไววาอะไรเปน เกาะ
เปน ดอนหลอกเรา อะไรเปนเรา อะไรเปนของเรา ไมม เี หลอื ไวเลย พจิ ารณาลงไปใหถงึ
ความจริงไปดวยกนั หมด

สิง่ ทีเ่ หลือหลงั จากกิเลส “อวชิ ชา” ที่ถูกทาํ ลายลงโดยสิ้นเชิงแลว นน้ั แล คอื สิ่งท่ี
หมดวสิ ัยของสมมุตทิ ่จี ะเอือ้ มเขาถงึ และไปทาํ ลายได นั้นแลทานเรียกวา “จิตบรสิ ุทธิ์”
หรอื “ความบริสุทธ”์ิ ธรรมชาติแหง ความบริสทุ ธ์ินไี้ มม ีอะไรทําลายได

กิเลสเปน สง่ิ สมมุตทิ ี่เกิดข้นึ ไดด บั ได เพราะฉะนัน้ จงึ ชาํ ระได มีมากข้นึ ได ทําใหลด
ลงได ทําใหห มดสิ้นไปก็ได เพราะเปน เรอ่ื งของสมมุติ

แตจ ิตลว น ๆ ซง่ึ เปน ธรรมชาตทิ เี่ รียกวา “จติ ตวิมตุ ติ” แลว ยอ มพนวิสัยแหง กเิ ลส
ทั้งมวลอันเปน สมมุติจะเอ้อื มเขาถึงและทําลายได ถา ยังไมบ รสิ ุทธ์มิ นั กเ็ ปน สมมตุ เิ ชนเดียว
กับสง่ิ ท้ังหลาย เพราะสง่ิ สมมตุ นิ ัน้ แทรกตวั อยูในจิต เมื่อแกนี้ออกจนหมดแลว ธรรมชาติที่
เปน วิมุตตินแ่ี ล เปนธรรมชาตทิ กี่ เิ ลสใด ๆ จะทําอะไรตอ ไปไมไดอกี เพราะพน วสิ ยั แลว
แลวอะไรฉบิ หาย ?

ทกุ ขก็ดบั ไปเพราะสมุทัยดับ นิโรธความดบั ทกุ ขกด็ บั ไป มรรคเครื่องประหารสมทุ ยั
ก็ดบั ไป สัจธรรมทงั้ สด่ี บั ไปดวยกันทั้งนน้ั คือ ทุกขกด็ ับ สมทุ ัยกด็ ับ มรรคก็ดบั นิโรธก็ดับ
แนะ ! ฟงซิ

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ๙
ภาค ๑ “เร๙า กบั กเิ ลส’’

๑๐

อะไรที่รูวา “ส่งิ นัน้ ๆ ดบั ไป” นั่นแลคอื ผไู มใ ชสัจธรรม ผูนีผ้ เู หนือสัจธรรม การ
พจิ ารณาสจั ธรรม คอื การพจิ ารณาเพือ่ ผนู เ้ี ทา น้นั เมอ่ื ถึงตัวจริงน้แี ลว สัจธรรมทงั้ สกี่ ็หมด
หนา ทไี่ ปเอง โดยไมตองไปชาํ ระ ไมตองไปแกไข ไมต อ งไปปลดเปลื้อง เชน ปญ ญาเรา
ทํางานเต็มทแี่ ลวปญญาเราปลอ ยได ไมต องมีกําหนดกฎเกณฑ สตกิ ด็ ี ปญ ญาก็ดี ท่เี ปน
เคร่อื งรบ พอสงครามเลกิ ขา ศกึ หมดไปแลว ธรรมเหลานกี้ ็หมดปญ หาไปเอง น่นั

อะไรเหลืออยู ? ก็คือความบรสิ ุทธนิ์ ้นั แหละ พระพุทธเจา ท่ีทรงประกาศธรรมสอน
โลก กเ็ อาจากธรรมชาติทบี่ รสิ ทุ ธน์ิ แ้ี ลไปสอน ศาสนธรรมออกจากธรรมชาติอนั น้ี และ
อุบายแหงการสอน ตองสอนทั้งเรื่องของทุกข เรอ่ื งของสมทุ ยั ของนิโรธ ของมรรค เพราะ
อาการเหลาน้นั เปนอาการเกี่ยวขอ งกบั จติ ดวงนี้ ใหรวู ธิ ีแกไข รวู ธิ ดี ับ รวู ิธบี ําเพ็ญทุกสิ่งทุก
อยา ง จนถงึ จุดหมายปลายทาง อันไมตอ งพูดอะไรตอไปอีกแลว ไดแ กความบริสุทธิ์ จิต
ออกสูโลกนอกแลวทีนี้ ออกจากเรอื นจําแลวไปสโู ลกนอกคือความอสิ รเสรี ที่ไมตอ งถูกคุม
ขังอกี แลว

แตโลกนี้ไมมใี ครอยากไปกันเพราะไมเ คยเหน็ โลกนีเ้ ปนโลกสาํ คัญ “โลกตุ ระ”
เปน แดนสูงกวา โลกทั่วไป แตเ ราเพียงวา “โลกนอก” นอกจากสมมุติทั้งหมด เรยี ก
“โลก” ไปยังง้นั แหละ เพราะโลกมีสมมุติก็วากนั ไปอยา งนั้น ใหพจิ ารณาออกจากท่ีคุมขังน้ี
ซิ เกดิ ก็เกิดในที่คมุ ขัง อยกู อ็ ยใู นท่คี ุมขัง ตายก็ตายในทค่ี ุมขงั ไมไ ดต ายนอกเรอื นจําสักที
เอาใหใจไดอ อกนอกเรอื นจาํ สกั ทเี ถดิ จะไดแสนสบาย ๆ ดงั พระพทุ ธเจา และสาวกท้ัง
หลายทา น ทา นก็เกดิ ในเรอื นจําเหมือนกนั แตทา นออกไปตายนอกเรอื นจํา ออกไปตาย
นอกโลก ไมไดตายอยูในโลกอนั คบั แคบนี้

ขอยตุ กิ ารแสดง

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๐
ธรรมะชุด๑เต๐รยี มพร้อม



วฏั จกั ร ๑๑

เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรเรทธศนนะกโปลุ รณดควุณดั เปพ่าาบพ้างนาตาวดรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศกั รเมาชอื่ ว๒นั ๕ท๑่ี ๘๑๔ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘

วฏั จกั ร

ปญหาของโลกในปจ จบุ นั นี้ทมี่ ีมากกค็ ือปญ หาท่ี “ตายแลว เกดิ ” ดจู ะมีนอย “ตาย

แลว สญู ” รสู กึ วาจะมมี ากข้นึ ทุกที ซึง่ เปนปญหาใหญต อจิตใจของนักเกดิ นัน่ แหละ
การเขา ใจวาตายแลว สญู น้ันก็คอื เรอื่ งของกเิ ลสพาใหเขา ใจ ไมใชค วามจรงิ พาใหเ ขา

ใจ ผูเชอ่ื ความสาํ คัญของกิเลสจงึ ทาํ ผิดเร่อื ย ๆ แลว ก็ “เกดิ ” ไมห ยดุ ทุกขไมถอย ไมมี
เวลาลดนอย เพราะความคิดเชน นนั้ เปน การสงเสริมกเิ ลสและกองทกุ ขท ง้ั สิ้น

คนที่เขาใจวา ตายแลวสญู นัน้ ยอ มไมคิดเตรียมเนือ้ เตรียมตัวเพอื่ อนาคต
เพราะหมดหวังแลว ท้ัง ๆ ที่สงิ่ ทเ่ี ปน ไป ที่ไดป ระสบพบเหน็ ตา ง ๆ ทั้ง ๆ ทเ่ี ราไมห วงั ก็
ตามมอี ยู และสง่ิ สําคัญทมี่ อี ยขู ณะน้คี ือมอี ยูทุกขณะกค็ ือใจ ปญ หานี้จึงเปน ปญหา

“เพชฌฆาต” เกดิ ขึน้ มาเพื่อทําลายตัวเองโดยแท การทาํ ลายตัวเองไปในตวั ไมม ชี ิ้นดีแฝง
อยูบ า งเลยนน้ั จดั วาเปน คนหมดหวัง ราวกับโลกทห่ี มดหวัง ไมมใี ครชวยไดน้นั เอง

ผูที่มคี วามเขา ใจวาตายแลวเกดิ ยอ มมกี ารระมดั ระวงั ตวั และกลัวบาป โดยคิด
วา ถาเกิดแลวจะเปน อยางไร หากวาเราทาํ ไมดเี สียอยา งน้ี เวลาไปโดนความทกุ ขเ ขาในเวลา
ไปเกิดใหม กจ็ ะไดร บั สิ่งท่ีไมพ งึ ใจทัง้ หลายเปนเครื่องตอบแทน ซ่ึงเปนส่งิ ท่ีไมปรารถนา
อยางยงิ่ แลว ก็ไมก ลา กระทาํ เพราะอยา งไรเสียจิตกต็ อ งไปเกิดอกี ดว ยผลแหงกรรมนั้น ๆ
ผนู ้จี ึงมกั มีความระมดั ระวงั และขยะแขยงตอสง่ิ ท่ไี มด ไี มพึงปรารถนา และกไ็ มก ลา ทําลงไป

แตพ วกท่ีเชอ่ื วา ตายแลว สญู นน้ั รูสกึ จะเห็นวาสูญไปโดยประการทั้งปวง ในเร่ือง
บาปเรื่องบุญคุณโทษอะไรทัง้ หมด พอยังมลี มหายใจอยเู ทานนั้ เม่ือส้นิ ลมหายใจแลวก็
หมดหวงั ไมมีความดี ความสุขสนองตอบ นอกจากความทกุ ขค วามไมด ีทตี่ นเขาใจวาไมม ี
เทานั้น จะใหผลแกผ นู ั้น การทาํ บุญทําบาปจงึ ไมม ีความหมายอะไรทง้ั สิน้ กบั เขา นอกจาก
เปน ความตองการในปจ จุบนั จะทาํ อะไรก็ทาํ ตามใจชอบ ผิดหรือถูกไมค ํานงึ ผูมีความคดิ
เชนนไ้ี ดช ื่อวาทําลายตนเองไปในตัวทุกระยะทคี่ ดิ และทําลงไป

ในหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา ก็มีไว คอื เจา ทิฐิตาง ๆ ซึง่ มาสนทนาธรรมกับพระ
พทุ ธเจา สัตวตายแลวสญู บา ง ตายแลวเกดิ บา ง ทุกสง่ิ ทุกอยางเท่ยี งบาง สัตวทเ่ี คยเกิดเปน
ชนิดใดก็ตอ งเกิดเปน ชนดิ นัน้ บาง เชน ใครเคยเกดิ เปน คนกต็ องเปน คนเรือ่ ยไป เท่ยี งตอ

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑๑เต๑๒รยี มพร้อม

๑๒

กําเนดิ ของตนท่ีเคยเกิดเปน อะไร กลายเปน ความเที่ยงไปหมด น่กี เ็ ปน เรอื่ งของความ
สําคญั ไมใชค วามจรงิ ซ่ึงมีอยใู นสนั ดานของสตั วเ ตม็ โลก

เรอ่ื งของกิเลสเปนสิง่ ทนี่ า กลัวมาก เมอื่ พจิ ารณาและเรยี นเรอ่ื งของกเิ ลสซ่งึ มีอยู
ภายในใจของเรา ดวยหลกั ธรรมเปน เคร่อื งพสิ จู นโ ดยลาํ ดบั แลว เราจะย่งิ เหน็ กิเลสเปน สิ่ง
ท่ีนา กลวั มาก เพราะแทบทกุ สงิ่ ซ่ึงเปน เคร่ืองหลอกลวงจากกเิ ลส อันทําใหส ัตวเปนภัยเสมอ
ไป แทบจะพดู ไดว า ทุกระยะท่ีเปนความกระซิบกระซาบ เปน ความบงั คบั บญั ชา อาํ นาจมาก
อาํ นาจนอ ย มกั มีอยกู ับกิเลสทง้ั ส้นิ จติ ใจเรากค็ ลอยตามมัน คลอ ยตามมนั จนลืมตัว วา คดิ
เชน นัน้ เปน ส่ิงถูกตอ งไปหมด แมท ไี่ มนาเชอ่ื ก็เช่อื ไปเลย ทเ่ี รยี กวา “ลมื ตวั อยางมดื มิด”
ไมทราบไดว าสง่ิ ท่ีคิดน้ันเปนทางถกู หรือทางผิด เพราะเคยเช่อื ธรรมชาติท่พี าใหง มงายนม้ี า
นานแลว

กิเลสเปน ธรรมชาตทิ ่ีไมมีคาสาํ หรบั ผูท มี่ คี า และความเปนผูม คี ณุ คาคอื ตวั เรา จึง
ตองระวังเสมอ

การท่จี ะพสิ จู นเ รือ่ งเกิดเร่ืองตายน้ี เราจะพสิ ูจนอ ยา งไร ? ไปเรียนทีไ่ หนไมส ิน้ ไม
สุด และก็ไมสามารถทีจ่ ะระงับดบั ความสําคัญอันดนเดาเหลา นั้นได นอกจากการปฏิบัตติ อ
จิตใจโดยเฉพาะ คอื “จติ ตภาวนา” งานนี้เปน ทางตรงแนว ตอ ความจริงที่จิตจะพึงทราบ
จิตจะตอ งทราบดวยวิธีน้แี นนอน เพราะปราชญท งั้ หลายมพี ระพุทธเจาเปน ตน ทรงทราบ
จากวิธนี ้เี ปนหลกั ใหญ

การคดิ ตรองตองมี “จติ ตภาวนา” เปน หลกั ยืนตัว จงึ จะสามารถเขา ถงึ ความ
จรงิ อยา งอ่ืนไมมที างทราบได จะเรียนมากเรยี นนอยกต็ าม แตไ มไดป ระมาทเพราะการ
เรียนไมใ ชการชาํ ระกเิ ลส เปนการจดจาํ เอาตามการเรยี นมาเฉย ๆ แตก ิเลสกเ็ ปน กเิ ลสอยู
โดยดี ถาเราไมแกกิเลส กิเลสก็มีอยเู ตม็ หวั ใจตามเดมิ ราวกับคนไมเ รยี นไมละกเิ ลสนน่ั
แล เหมือนอยา งเขาสราง “แปลนบานแปลนเมือง” จะทาํ แปลนไดก ่ีมากนอยมนั กเ็ ปน
แปลนอยเู ปลาดี ๆ นน่ั แหละ ถาเราไมล งมือทํามนั กไ็ มเปนตวั บา นตัวเรือนขน้ึ มาได

การเรยี นธรรม การจดจําช่ือเสยี งของกเิ ลส จะเรยี นกันไปขนาดไหนกเ็ รียนไปจํากนั
ไปแตชือ่ ความจรงิ มนั กเ็ ปน “กเิ ลส” ของมันอยูอ ยางนนั้ ไมบกพรอ งลงบางเลยจนนิด
เดยี วดว ยการทองจํา จึงไมมปี ระโยชนอ ะไรทีจ่ ะจดจําเปลา ๆ ไมสามารถจะแกก เิ ลสตาง ๆ
ภายในจติ ใจได นอกจากจะปฏิบตั เิ พอื่ ละเพ่ือถอนมนั ไปโดยลาํ ดบั ดังทป่ี ราชญทงั้ หลายพา
ดําเนินมาจนถึง “ความบรสิ ทุ ธิพ์ ุทโธ” เตม็ ดวงใจเทา น้นั

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๑๒
ภาค ๑ “เร๑า๓กับ กิเลส’’

๑๓

ปรยิ ัติ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ ทงั้ สามนเ้ี ปน ธรรมสามคั คีกนั ขาดไปไมไ ด ถาอยากเหน็ กเิ ลส
หลุดลอยออกจากใจ ถาอยากเปนผูร ับเหมากเิ ลสทัง้ มวลกองเตม็ หัวใจ กเ็ พียงเรียนเอา จด
จําเอาแตช ่อื ของมันก็พอตัวแลว แทบเดนิ ไมไ หว เพราะหนกั คัมภีรใบลานทเี่ รียนจดจํามา
เปลา ๆ โดยเขา ใจวา ตนเปน ปราชญฉลาดพอตัว ทงั้ ทก่ี ิเลสเต็มหัวใจ

การปฏบิ ตั ิ เชน จิตตภาวนา คือการปฏบิ ตั ิตอ จิตใจตัวเอง เปน การเรยี นเร่อื งจิตใจ
ของตนโดยตรง วิถใี จชอบคดิ ไปในทางใดบาง มมี ากนอ ยหนกั เบาไปในทางใด ? ทางดี
หรอื ช่ัว มีธรรมคือสติปญญาเปน ตน เปนเครอ่ื งพสิ จู นอารมณอยเู สมอ ธรรมทา นสอนไว
อยา งไร อะไรทคี่ วรเอาชนะ ท่ีควรจะระวัง ทคี่ วรจะดับ ทค่ี วรจะสงเสรมิ ทา นบอกไวห มด

เชน จติ มีความฟงุ ซานซ่ึงเปนการกอกวนตวั เอง เวลาฟุงซานมากกก็ อกวนมาก
ทาํ ลายตนมาก ใหพยายามระงับดับความคดิ เหลา น้นั ดว ยอุบายตาง ๆ มีสตปิ ญญาเปน
สําคัญ ตามแตจ ะเหน็ ควร เชน การกาํ หนดภาวนา มธี รรมบทใดเปน หลักยึดแทนอารมณท ่ี
เคยทาํ ใหฟงุ ซา นนั้นเสยี จิตก็ยอมมที างสงบลงได พอจติ สงบลงไดก ท็ ราบวา จิตพักงานที่
แสนวุนวายลงไดเปน พกั ๆ เพยี งเทา น้ีก็พอทราบเบือ้ งตน แหงการภาวนาวา มผี ลเปน
ความสงบสุขทางใจ ถาเปนโรคก็ถูกกับยา หรอื ระงับลงแลว ดวยยา พอมที างพยาบาลรกั ษา
ใหห ายไดโดยลาํ ดบั จนหายขาดไดดวยยาขนานตา ง ๆ จติ ใจตอ งสงบเยน็ เห็นผลโดย
ลําดับดวยธรรมแขนงตาง ๆ จนถงึ ขนั้ บรสิ ุทธไิ์ ดดว ยธรรม

เมอ่ื จิตมพี ลังทง้ั หมดมน่ั คงเขา ไปเปน ลําดับ ๆ กย็ อมทราบชดั และทราบเรอ่ื งของ
ธาตขุ องขนั ธไ ปโดยลําดบั โดยทางปญ ญาเปนอยา งน้นั ๆ จนทราบวา ธาตุขันธเหลานี้มนั
ไมใ ชอ ยางเดียวกนั แมจะอาศยั กันอยูราวกบั เปนอนั หน่ึงอันเดยี วกนั กต็ าม เปรยี บเทยี บ
เหมอื นกบั เรามาอาศยั อยูในบา น บา นนน้ั เปน บา น เราเปน เรา จะอยใู นบา นเรากเ็ ปน เราคน
หนง่ึ ตางคนตางอยู เปน แตอ าศัยกันอยูช ว่ั กาล ฉะน้นั บา นจงึ ไมใชเรา เราจึงไมใชบาน บา น
เปน สมบตั ขิ องเรา ธาตุขันธเปนสมบตั ิของเราคอื ใจ แตเรานไ้ี มใ ชบ านและเราไมใ ชธาตุ
ขนั ธ ธาตุขนั ธไมใ ชเรา แตเ พียงอาศยั และเปนความรับผดิ ชอบกันอยู ฉะนน้ั เราจะเรียกวา
ธาตขุ นั ธเ ปนของเราตามสมมตุ ิกไ็ มผ ดิ แตอยางไร ๆ มันกเ็ ปนคนละอยา งอยดู ี

การเรยี นจิตตภาวนายอ มทราบความจริงไปโดยลําดบั ๆ ดงั ทอ่ี ธบิ ายมา และการ
เรียนเชน น้ีเปน ภาคปฏิบัตเิ พือ่ กําจัดกเิ ลสโดยตรง

ครั้งพทุ ธกาลทา นเรียนเพอ่ื ปฏบิ ตั กิ าํ จัดกเิ ลสตา ง ๆ ออกจากใจจริง ๆ ไมไดเรยี น
เพ่ือเอาชอ่ื เอานามของกเิ ลสบาปธรรม และชนั้ ภมู ิ ตรี โท เอก มหาเปรยี ญ อยา งเดยี ว โดย
มใี บประกาศนียบตั รรบั รอง อันเปนราวกําแพงรักษาความปลอดภัยใหกิเลสผาสุกสนกุ

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๓
ธรรมะชุด๑เต๔รยี มพร้อม

๑๔

แพรพ ันธอุ อกลูกออกหลาน สรา งบา นสรางเรอื นท่ขี ับถายบาํ รงุ บาํ เรอบนหัวใจสตั วโลก ดง่ั
ทเี่ ปน อยเู หน็ อยนู ี้เลย

ช้ันภูมขิ องทานท่ไี ดรับสว นผลจากการปฏิบตั ิ ก็เปน กัลยาณชน อริยชน เปน ขั้น ๆ
โดยสนทฺ ิฏฐ ิโก เปน เครอื่ งรบั รองตวั เองตามหลักความจรงิ ของภูมธิ รรมนั้น ๆ สมกบั ธรรม
เปนสวากขาตธรรม ทต่ี รสั ไวช อบ ไดผ ลเปนที่พงึ ใจตามพระประสงคท ่ีทรงสง่ั สอนสตั วโลก
ดวยธรรมของจรงิ อนั ประกอบดวยพระเมตตาเตม็ พระทัยไมเคยบกพรอ งแตตน จนถึง
เวลาจะเสด็จดับขนั ธปรนิ พิ พาน องคพ ยานวาระสดุ ทา ย คือพระสภุ ทั ทะปจ ฉมิ สาวก ผบู วช
ในราตรีจะปรินพิ พาน ซงึ่ ตง้ั หนาทําความเพยี ร ยังกเิ ลสท้งั มวลใหส ้นิ ซากในคนื วนั นน้ั จาก
พระโอวาททป่ี ระทานโดยเฉพาะ หลังจากนน้ั กป็ ระทานปจฉิมโอวาทแกพ ระสงฆท ่ปี ระชมุ
พรอ ม เพอ่ื การเสด็จปรนิ ิพพานของพระองค โดยใจความสาํ คญั วา

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บัดนเี้ ราเตอื นทา นท้ังหลายใหท ราบวา (สัจธรรมที่มีตดิ แนบอยูก บั
ตัว) คอื สังขารท้งั หลายที่เกดิ ขน้ึ เฉพาะอยา งย่งิ คอื (สงั ขารภายในไดแ ก ความคิดปรุง
แตงตา ง ๆ ทกุ ขณะ ทั้งดี ช่ัว กลาง) ลวนดบั ไปโดยสตปิ ญญา ดว ยความไมประมาทเถดิ

เหลา นี้คอื พระเมตตาลนฝงแหง โลกธาตุ ท่ปี ระกาศแกมวลสตั วเ รื่อยมาจนวาระสดุ
ทา ย สรุปความแลว กล็ งไปรวมท่ีใจ

ใจจงึ ควรไดร ับการอบรม อยางนอ ยกพ็ อรูวถิ ที างเดนิ ของตน และรูว ิถขี องจิตไป
โดยลําดบั ดวยวิธีจติ ตภาวนาวา ปกติจิตของสามญั ชนชอบคดิ ไปในทางใด หนกั ไปทางใด
จิตจะมีความบึกบึนหรอื มคี วามเสาะแสวงในทางนั้นเสมอ ถามีสติมปี ญญาคอยสอดสอ ง
คอยสังเกตอยแู ลว เราจะพบเห็นวา จิตน่ีชอบไปในทางน้นั มาก เมื่อจิตคิดในทางนัน้ มาก ก็
ทาํ ใหเกดิ ความสนใจวา ทางน้นั มนั เปนอะไร? เปนทางดีหรอื ทางชั่ว เปน ทางผกู มดั หรอื ทาง
แกทางถอดถอน? ถาเปน ทางผกู มัด เปน ทางสัง่ สมความช่วั หรือความทกุ ขเ กิดขึ้นมาแกเรา
เรากพ็ ยายามแกไ ข พยายามหกั พยายามหักหาม นม่ี นั มีทางแกก นั ไดอ ยา งนี้

การพยายามอยูโดยสม่าํ เสมอไมม ีการลดละ ยอ มจะมที างหกั หา มสิง่ ไมควรน้นั ได
จนกระทัง่ หกั หา มไวได และตัดขาดจากกนั ไปได เหมอื นคนตดั ไม ตดั ฟนครั้งหนึง่ ไมข าด
ฟน สองครัง้ เขา ไป สามครั้ง ส่คี รัง้ เขาไป จนกระทั่งไมน ้ันขาดจรงิ ๆ เพราะความพยายาม
ตดั อยเู สมอ

การตัดกระแสของจติ ทชี่ อบคดิ ในเร่อื งไมดี ดวยความพยายามในทางดีอยเู สมอ
อยางนี้ ยอมเปน ไปไดท าํ นองเดยี วกัน เมือ่ ตัดส่ิงใดขาดไปจากจติ แลว กท็ ราบวา สง่ิ นน้ั ได

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๔
ภาค ๑ “เร๑า๕กบั กเิ ลส’’

๑๕

ขาดไปแลวจากใจ เง่อื นทีจ่ ะตอ ใหจติ เกดิ ความทกุ ขความลาํ บาก เพราะความคดิ เชน นัน้ ไม
มีอีกตอไป

กเิ ลสประเภทใดทีจ่ ติ ชอบคิด ชอบยดึ เหนย่ี ว ชอบยึดม่นั ถือมน่ั กค็ ิดแกไ ขในแงน ัน้
มาก ๆ พึงกําหนดพจิ ารณาแกไ ขกนั โดยทางสติปญญาอยางสม่าํ เสมอ ตอไปกิเลสประเภท
นน้ั หรือความคิดประเภทนั้นก็คอยออนกําลังลงไป สติปญญาคอ ยแกกลาขน้ึ มาจนกระท่ัง
สามารถตัดขาดไดไ มม ีเหลอื

การพยายามดวยความเพยี รตดั ขาดไปทลี ะกง่ิ สองกงิ่ ของกเิ ลส ก็นบั วาเปน มงคลแก
ตัวเราโดยลําดับ ถาเปน ตนไมก ็ตอ งตัดขาดทลี ะกง่ิ สองกิ่ง ถา เปนรากไมต น หนึ่งๆ มันมี
รากมากนอ ยเพยี งไรกพ็ ยายามตดั มัน จนกระทงั่ โคน ลม ลงไปจนกระท่ังรากแกวไมใหเหลือ
หลอ ดวยความพยายาม คอื พยายามตัดทีละรากสองรากเขาไป จนกระทง่ั มันทนไมไ หว
เพราะการตดั โดยสมํา่ เสมอ ตัดโดยไมหยดุ หยอ น ไมล ดละ มันก็ขาดลม ลงโดยไมส งสัย

เรือ่ งกระแสของกิเลสทอี่ อกมาจากจิตมันมมี ากมายเชนเดยี วกับรากไม รากฝอยน่ัน
แหละสาํ คัญ รากแกว มนั มรี ากเดยี ว ไอตวั กิเลสก็มีตวั “อวิชชา”อนั เดียวเทานน้ั แหละเปน
หลักใหญ น่ันแหละเรียกวา รากแกวของกิเลส ใหพยายามตัด มนั แตกแขนงออกไปมาก
มายกายกอง คอื มันแตกออกมาทางตาไปสูร ูป แลว มรี ูปอะไรบาง นัน่ แหละมนั แตกแขนง
ไป เปนเร่อื งของกิเลสทัง้ นั้น ยัว่ จิตใหคดิ ไปทางกเิ ลส

ทีนี้ในทางเสียง เสยี งอะไรบาง มันก็แตกแขนงออกไปเปน รากฝอยไปเรอ่ื ย ๆ แต
อยา งไรก็ตามเรากท็ ราบวา รากฝอยก็คอื รากฝอยของกเิ ลสตัวน้เี อง จะรากฝอยอะไรกัน
เสียงเปน ลกั ษณะใด ถาเปน เสียงท่ีจะทาํ ใหเกิดกิเลสขึน้ มา กท็ ราบวาเปน เรอ่ื งของกิเลส
ดว ยกัน เราก็พยายามตดั พยายามแก คลี่คลายเสยี งน้ัน

รปู มันเปนอะไร ถึงรักถึงชอบ ถึงเกลียดถงึ โกรธ แยกออกไป ใครเปนผโู กรธ โกรธ
เพราะเร่อื งอะไร จิตเปนผูโกรธ โกรธเรอื่ งอะไร โกรธแลว มนั ไดประโยชนอะไร ความโกรธ
เปน ความรมุ รอน เปนความทุกข ทําไมขยนั โกรธ? โกรธแลวมันไดประโยชนอ ะไร โกรธให
ตัวเองคอ ยยงั ชว่ั ไอโ กรธใหค นอ่นื ซ่ึงตัวเองก็เปน ทกุ ข แลว เขากเ็ ปนทุกข ยิง่ เพ่มิ ความทกุ ข
ทรมานใจทงั้ สองคน คือทั้งตนและเขาข้ึนอกี มากมาย

การโกรธใหตวั เองยงั มีทางท่จี ะแกไ ขไดดกี วา โกรธใหคนอืน่ แมจะเปนกิเลสกย็ งั พอ
จะถอดถอนความโกรธนไ้ี ด แตสวนมากไมย อมโกรธตัวเอง ท่ีจะใหบังเกิดอบุ ายปญ ญาพอ
แกค วามโกรธตวั เองได

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๑๕
ธรรมะชุด๑เต๖รยี มพร้อม

๑๖

การไปโกรธคนอนื่ เหลานี้เปนเรอ่ื งของกิเลสลวน ๆ จงแยกแยะดู พิจารณาดวยดี
รปู เสยี ง กลิน่ รส เคร่ืองสัมผัส มันมีเปน แขนง ๆ ไป ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทาง

ลนิ้ และทางกายนแี้ หละ แลวจงึ มาสใู จ คอื “ธรรมารมณ”โดยอาศยั รปู เสยี ง ฯลฯ ทีเ่ คย
สมั ผสั มาแลว น้ันมาเปน อารมณข องใจ ใหนํามาครนุ คิดอยตู ลอดเวลา นีเ่ ปนการสง่ั สมกเิ ลส
ประเภทหนึง่ ๆ ขนึ้ มาเร่อื ย ๆ มันแตกแขนงออกมา คือแตกออกมาจากใจ สตปิ ญญาหยัง่
ทราบอยูภายในใจและแกไ ขกนั ไปเรือ่ ย ๆ ไมลดละทอถอย หนไี มพ นถาลงสติปญ ญาจดจอ
ตรงนนั้ ไมท ราบในวาระนตี้ องทราบในวาระตอ ไปจนได ไมท ราบมากกต็ องทราบนอย
ทราบไปโดยลาํ ดับ ๆ กค็ อยทราบมากไปเอง คอยตดั ขาดไปเอง ทราบตรงไหนแลวก็คอย
ละไป ละกนั ไปเร่อื ย ๆ จนกระท่ังละไดข าดจากกันไปจรงิ ๆ นี่การตดั กเิ ลสทานตดั อยางนี้
เชนเดียวกบั ทเี่ ราตัดรากฝอยของตนไม ตัดไปตดั มากไ็ มม ีรากอะไรเหลอื อยู สุดทายกเ็ หลือ
แตร ากแกว ก็ถอนขึ้นมาหมดไมม ีเหลือ

เราตดั และถอนตน ไมใ หต ายดว ยวิธนี ี้ เราจงึ ถอดถอนกเิ ลสดวยวธิ เี ดยี วกนั ดว ยสติ
ปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร จนกิเลสตายเกล้ียง เรากแ็ สนสบายบรมสขุ

เรื่องของจติ ภพชาติมนั อยทู ่จี ิต ความสญู ไมทราบมันอยูท่ไี หน เราไมเ หน็ ใน
คัมภรี กไ็ มมีวา สตั วต ายแลวสูญ มแี ตตายแลวเกิดถา กิเลสยงั มีอยูในใจ ทําไมจึงไปเหมามัน
ไดวาตายแลว สญู นัน่ นะ จึงเอามาพดู แตภ พชาตมิ ันไมสญู นน่ี ะ มนั อยูท่จี ิต ทําไมเราจึงไมดู
ที่ตรงน้ี ? ไปหาดนเดาเกาทไี่ มคันใหมนั ถลอกปอกเปกเปนทกุ ขไ ปทาํ ไม เราเปนมนุษยซ ่ึง
เปนชาตทิ ่ฉี ลาด ทําไมจึงมาโงต อ เรอ่ื งของตวั หากมีผมู าวาพวกเราบัดซบจะไมอายเขา
หรอื ? หรือวา ไมอาย ตอ งโกรธเขาซิ ดังนี้กย็ ่งิ ไปใหญ ขายตวั สองตอสามตอจนไมมีส้ินสุด
เพราะความโงตวั เดยี วพาใหเปนเหตุใหญ

ใครแสดงภพชาตขิ ้ึนมาใหเ ราเหน็ ในระยะนี้ เรานง่ั อยใู นเวลาน้ี ?
ถา ไมมเี กดิ มนั จะมีรูปมกี ายมาอยางไร? ตอนเกิดนัน้ มันเอาอะไรมาเกิด ถา ไมเอา
ของมอี ยมู าเกดิ จะเอาอะไรมาเกิด? ธาตุขันธอันนม้ี าจากอะไร? ธาตุส่ี ดนิ นา้ํ ลม ไฟ ที่
เปน รางกาย ก็เอาสิ่งทมี่ ีอยมู าประสมกนั ธาตดุ ิน ธาตนุ า้ํ ธาตุลม ธาตุไฟ มาผสมกันเรยี ก

วา “สว นผสม” อาศัยจิต จิตก็มอี ยูจึงเขามาอยดู วยกนั ได ของไมมอี ยูจ ะเอามาไดอยา งไร
นม่ี ันลวนแลว แตอาศยั ส่ิงทีม่ อี ยูมาประกอบกนั เขา เปนรูปเปนกาย เปนหญิงเปนชาย
เปน ตน ไมภูเขาอยา งนเ้ี ปน ตน มนั มีอยทู งั้ นน้ั ถา ไมม ีจะประกอบกนั ขนึ้ มาไมไ ด ปรากฏตัว

ข้ึนมาไมได แลว เราวา “สูญ” ขณะน้ีมนั สญู หรือไมส ูญ? เรามาจากไหนถึงไดมาเกดิ อยู
เดี๋ยวนี้ ถาสญู จรงิ แลวมนั มาเกิดไดอยา งไร น่ัน

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๑๖
ภาค ๑ “เร๑า๗กบั กเิ ลส’’

๑๗

ถาอะไร ๆ ก็สญู แลว จะมาปรากฏตวั ไดอ ยางไร ก็เพราะมนั ไมสญู น่ันเองจึงมา
ปรากฏตวั เปน เราเปนทา น เปนสตั วเ ปนบุคคล เรอ่ื ยมาดังที่รู ๆ เหน็ ๆ อยนู ้ี ทเ่ี ราวา
“สญู ”น้นั ไมค ดิ อายส่งิ ทมี่ ีอยูเตม็ โลกบางหรือ? หลวงตาบัวนี่อายจงึ ไมก ลาคดิ วา ตายแลว
สูญ

นี่คอื ปญ ญาแกตัวเอง พิจารณาแยกแยะมนั ลงไป รางกายมันเอามาจากสิ่งท่มี อี ยู สิ่ง
ทมี่ อี ยูจึงปรากฏตัวขึน้ มาได ถา ไมม กี ็ปรากฏขึ้นมาไมได นีแ่ หละภพชาตคิ ือกเิ ลสอวชิ ชา
ตณั หา อปุ าทาน กรรม เปนเช้ือความสบื ตอ ของภพของชาติ เปน กําเนิดเกดิ มีที่โนนท่นี ี่ มนั
มีเชอ้ื ของมัน มสี บื ตอ กันอยทู ่ใี นจิตใจดวงนี้ ตัวนี้จงึ เปน “ตวั ภพ”ตัวน้จี ึงเปน “ตัวชาต”ิ
ตัวนีเ้ ปนตวั ไมสญู เปนตัวเกดิ ตัวแก ตวั เจบ็ ตวั ตาย มนั อยูท่ตี รงนแี้ ละรวมอยูทน่ี ท่ี ้ังหมด

ความสญู นั้นมองไมเหน็ มนั สญู ไดอ ยางไร ? ตัวสญู อยทู ไี่ หน? เห็นแตค วามมอี ยู
ภายในจิตใจ ความสูญภายในจิตใจน้นั มนั ไมม ี ไมเ หน็ ไมปรากฏ แลว ใจน้นั จะสูญไดอ ยา ง
ไรเมอ่ื มันไมม สี ิง่ ทจี่ ะใหสญู มนั เปน สิง่ ทม่ี ีอยทู ง้ั นั้น แลวเราจะเอาอะไรมาใหม ันสูญ ขอ
สําคัญคอื ความสาํ คญั มันหลอกคนตา งหาก ความจรงิ แลว เปน อยางน้ี มันมีอยทู กุ สิ่งทกุ
อยางภายในจิตใจ คอื พรอมทจี่ ะเกิด เพราะสิ่งท่ีจะทาํ ใหเกิดมีอยูมากภายในจติ รากเหงา
เคามูลของความเกิดก็คือ “อวิชชา” นี่คือตัวใหเกิด ไมเ ปน อยางอนื่ เลย ถาตวั นยี้ ังไมหมด
ไปจากจิตใจเมือ่ ใด ตองเกิดวันยงั คํา่ ตลอดกัปตลอดกัลป ไมมีกําหนดกฎเกณฑ ไมม ีตน มี
ปลายเลย ตองเกิดแลว ตาย ๆ อยอู ยางนี้ เพราะเชื้อความเกิดมนั มอี ยูภายในใจ น่ีเปน ของ
จรงิ ทีป่ ระจกั ษอยภู ายในใจเราเอง

จงปฏบิ ัตจิ ติ ตรงจิตน้ี ดูตรงน้ดี ว ยสติปญ ญา แลวตดั เช้อื ความเกิดกนั ท่ตี รงน้ี จะสนิ้
สงสยั เร่ืองตายเกิดหรอื ตายสญู ทั้งมวล เพราะสุดทายก็ผทู ส่ี าํ คัญวา ตายแลว สูญนัน้ แลไป
เกิดอีก ไดรบั ความทุกขค วามลาํ บากจากทตี่ นเขาใจวา เมอ่ื ตายแลว มันกห็ มดเรือ่ ง ไมมี
อะไรทจ่ี ะสืบตอขา งหนา แลว คดิ อยากทําอะไรก็ทาํ อยากทําบาปอยากทาํ อะไรก็แลว แต
ตามใจทุกอยา งในขณะทย่ี งั มีชวี ิตอยนู ้ี เม่อื ตายแลวหมดความหมาย

ทนี ้ีเมื่อมนั ไมห มดความหมายตามความสาํ คญั ตนเลา ใครจะเปน คนรบั ความช่วั ชา
ลามกทงั้ หลายเหลานั้น? กค็ อื เราเองเปนผูร บั เมือ่ เปน เชน น้ันเรากลาเส่ยี งแลวเหรอ? ท้งั
ๆ ท่ีเปน มนษุ ยท ก่ี าํ ลังมคี ณุ คาอยทู ั้งคน และเปน คนรบั ผิดชอบเราอยูต ลอดมา เหตไุ รเรา
จะตอ งยอมเสียทา เสียทไี ปลมจมขนาดนั้นดวยอาํ นาจของกเิ ลสมนั ครอบงํา ดว ยความ
สําคญั ทผี่ ิดอยา งมหันต ใหบุญไมย อมรับ มาหลอกลวงตนเองถงึ ขนาดนนั้ จงรบี คดิ เพื่อหา
ความจรงิ จากธรรมของจริงเครอื่ งพิสจู น และปราบปรามกเิ ลสตวั น้ันใหสนิ้ ไป ไมค วรนอน

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๗
ธรรมะชดุ ๑เต๘รียมพรอ้ ม

๑๘

ใจนอนจมอยกู ับมนั แบบไมรสู กึ ตวั ดังทเ่ี คยเปน มากกี่ ัปนับไมถ วนอยแู ลว ไมงัน้ จะสายเกนิ
กาลนานเกนิ จะแกไ ด เวลาตายจะไมม กี สุ ลาติดตัว (กุสลาคือความฉลาด)

ความจรงิ มอี ยูทําไมเราจึงไมดู? ความจรงิ กค็ อื ใจและสัจธรรม ใจน้มี ันไมส ญู นะ
เช้อื กเิ ลสเชือ้ แหงภพแหง ชาตกิ ็อยกู ับใจนเี่ อง ตวั ประกันตัวตีตราท่ีจะใหเ กิดมนั อยูกับจิตใจ
น้ี แลวจะสญู ไปไหน? จะสูญไดอ ยา งไร นคี่ อื ความจรงิ ความจรงิ ลบไมสญู มนั สญู ไมไ ด แต
ความสําคัญน้ันมนั สญู ได สูญไดต ามความสาํ คัญซงึ่ เปน เรือ่ งของกเิ ลส แตความจรงิ มันไม
สูญ แลวบาปบุญคุณโทษท่ที าํ ลงไปกเ็ ขาไปอยใู นจิต ไมไ ดไปอยูทีอ่ ่ืน เพราะจติ เปน โรงงาน
ผลติ ออกมาจากทน่ี น่ั เอง ผลดชี ั่วก็เขา ไปรวมตวั อยทู จ่ี ิตนนั่

นา นนะความจริงจะไปไหน มันเกดิ กันทีน่ นั่ ผสมกนั ท่นี น่ั ดีชัว่ มันอยทู ่จี ิต จิตจะไป
เกิดในสถานทใี่ ดภพใดแดนใดก็ตาม มันไปดว ยกําลังแหง กรรม กรรมและวบิ ากแหง กรรม
มันผลักไสใหไป แนะ มันจะสูญไปไหน ตายแลวมนั พรอ มเสมอท่จี ะเกดิ จะเกิดสงู ต่าํ ขนาด
ไหนนน้ั มนั แลว แตอ ํานาจแหง กรรมทม่ี ีอยภู ายในจิตใจซึง่ ตนสง่ั สมไวน ่ันแหละ น่เี ปนหลกั
ความจรงิ

การเรยี นเรอื่ งความจรงิ เหลาน้ี จงึ ตองเรียนลงทใ่ี จ พิจารณาลงทใ่ี จน้ี ดงั ทกี่ ลาวมา
เมอ่ื สักครูนวี้ า ใหต ดั ตรงนน้ั ลงมาหาตรงน้ี ลงมาดวยจิตตภาวนา คอื เราทราบไดดวย
ปญญา ใจมคี วามสัมผัสสมั พนั ธกับสิง่ ใด มีความสุขสมใจกบั สงิ่ ใด สง่ิ นน้ั เปนทางดหี รอื ช่ัว
เปนส่งิ ทีด่ หี รือสง่ิ ชัว่ เราตามรเู สมอดว ยจติ ตภาวนา เราตองทราบ เม่อื ทราบแลวพยายาม
แกไข พยายามตดั ฟน ดวยอุบายของสตปิ ญ ญา จนกระทงั่ ตดั ขาด ตัดขาดไป ๆ โดยลําดับ


ทา นพจิ ารณาทาง “จติ ตภาวนา” หรือทา นวา “น่งั กรรมฐาน” ทา นนัง่ อยางนี้
แหละ จะไปนัง่ อยูในปาในเขา จะนั่งอยู “รุกขมูล” รม ไมท ไี่ หนก็เถอะ ก็ฝก นัง่ เรียนความ
เปนไปของจติ เรยี นเรื่องความเกดิ ความแก ความเจบ็ ความตาย เรยี นเร่อื งกิเลส การสั่ง
สมกิเลส และวิถีทางเดนิ ของกิเลส ความดอ้ื ความโลภความหลงมนั อยทู ีจ่ ติ มนั เกิดทจ่ี ิต
มันหลัง่ ไหลจากจติ นไี้ ปเปนภพตา ง ๆ ใหเ ราลมุ หลง บันเทงิ โศกเศราเสยี ใจ มีแตเ ร่ืองที่
ออกไปจากจติ นที้ ้ังนนั้ การเรยี นจึงตอ งเรยี นลงท่นี ี่ จะตอ งรสู ง่ิ เหลาน้ีประจกั ษใ จดว ยสติ
ปญญาแนนอน คือตองทราบท้ังดีท้ังชวั่ โดยลาํ ดบั ๆ แลวตดั ขาดออกจากกนั เรือ่ ย ๆ แลว
จติ ก็หดตวั เขามา ๆ เพราะขาดส่งิ ทเ่ี คยสืบตอ หดตัวเขา มา ยน เขา มา ๆ สูว งแคบ และตดั
ภาระเขา มาโดยลําดับ นี่แหละคือการตดั ภพตดั ชาติ ตัดสว นหยาบเขามาเรื่อย ๆ ตัดเขา มา
สคู วามละเอยี ด ตดั เขามา

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ๑๘
ภาค ๑ “เร๑า๙ กับ กเิ ลส’’

๑๙

ในทีส่ ุดรา งกายของเรานี้ก็เหน็ ชดั ตามเปน จริงวา “มนั เปนแตเ พียงธาตขุ นั ธเ ทา
นนั้ ” นัน่ คอื ธาตดุ นิ น้ํา ลม ไฟ มาผสมกันเขา มีตัวคอื จิตเปนเจา ของมายดึ ครอง แลวก็วา
เปน รูปเปน กายเปน หญงิ เปนชาย เปนสตั วเ ปนบคุ คล เมือ่ ทราบชัดแลว ก็สลัดภายในจติ อีก
รูปก็สักแตว ารูป เวทนากส็ ักแตวา เวทนา ไมใ ชเรา ไมใ ชของเรา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ
แตล ะอยา ง ๆ กส็ ักแตวา เทา นนั้ ไมใชเ รา ไมใชของเราโดยประจกั ษใ จ น่ีปญ ญาพจิ ารณา
ทราบลงไปอยางนี้ เมอ่ื ทราบชัดแจงแลว ใครจะไปกลาถือวาเปนเรา ใครจะไปกลาแบก
หามสง่ิ เหลา นว้ี า เปน เราเปน ของเรา ไมกลา ยดึ ไมก ลาแบกหาม เพราะหนักเหลอื ทนอยแู ลว
เพราะปญญาหย่ังทราบหมดแลวจะไปกลา อยางไร

ทีก่ ลา ไมเขาเรือ่ งกค็ อื พวกเราทเ่ี ปนนักดน เดาเกาหาท่ีไมคนั ใหเกิดทุกขเปลา ๆ
เทา นั้น สว นทา นท่รี จู ริงเห็นจรงิ ทานสลัดปด ทิง้ ดว ยสติปญ ญา ไมมีอปุ าทานเหลือเลย

สติปญ ญาเปน ธรรมสาํ คญั มากตามหลกั ความจรงิ คือท่ีรูจ ริงเห็นจริง คอื ปญ ญาเปน
ผูร ผู ูฉ ลาด ตามรูต ามเห็นความจรงิ เปน อยางน้ันแลว เราจะไปกลา ฝนความจรงิ ไดอยางไร
วา ไมใ ชเรา โดยทางปญญาแลว เราจะยงั ไปถอื ถือก็ถือแตก็ไมใชปญญา มันเปน เรื่องของ
กเิ ลสอยูโดยดี การแกนีต้ องแกด วยปญญา รดู วยปญญา ละดวยปญ ญา ทุกประเภทของ
กเิ ลสไมนอกเหนอื สติปญ ญาไปไดแ ตไหนแตไ รมา

น่แี หละการเรียนเรอ่ื งการตดั ภพตดั ชาติ การเรียนเรอื่ งวิถีของกเิ ลส การตัดกเิ ลส
ทา นทาํ กันอยา งนี้ จนกระท่ังรธู าตุขนั ธ ก็สักแตวา ธาตุวา ขันธ คอื รูตามเปน จรงิ แลวก็ปลอ ย
วางลงไปเอง

การบอกใหป ลอ ยเฉย ๆ ไมเกดิ ผล ตองปญ ญาเปนผพู าใหปลอ ย เมือ่ เขา ใจแลว ก็
ปลอย ปลอย ๆ ส่ิงไหนยังไมเ ขาใจกพ็ จิ ารณาคน ควาเขา ไปจนกระท่ังถึงความจรงิ เขาใจ
เตม็ ภูมิแลว ก็ปลอย สดุ ทา ยมันมอี ะไรอยอู กี การตัดรากฝอยไปเปนลาํ ดับมันกถ็ งึ รากแกว
เทานน้ั เอง เมือ่ ตดั รากแกวจนไมม อี ะไรสบื ตอ กนั แลว ภพชาติก็ขาด อยา งอนื่ มนั ก็ขาดไป
ดวยตามลําดบั ท่ียังเหลือช้ินสุดทายน้นั คอื อะไร? ยอนสตปิ ญ ญาเขามาจนถึงตัว น่ันคือ
“อวชิ ชา” ทเ่ี รียกวา “รากแกว ” นีแ่ หละคอื ตัวกเิ ลสแท กิ่งกา นสาขาของกิเลสไดถูกตดั
ขาดหมดแลว ยงั เหลอื แตต ัวกเิ ลสแท ๆ ไดแ กต วั “อวิชชา”

ทนี ้ี “อวชิ ชา” อยูทีไ่ หน? มันอยทู ่ีจิตเทานน้ั อวชิ ชาไมอยูทอี่ ืน่ มนั ครอบอยกู ับจิต
จนกระท่ังจติ เองก็เขา ใจวา อวชิ ชาน้นั เปน ตน ตนเปน ธรรมชาติอันนัน้ นีแ่ หละเมื่อปญญายงั
ไมท ราบชัด แตก ท็ นไมได เพราะฟง คําวา “ปญญา ๆ” เถิด มคี วามฉลาดแหลมคมมาก

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๑๙
ธรรมะชุด๒เต๐รียมพร้อม

๒๐

เม่อื นาํ มาใชใ นส่งิ ใดก็ตอ งเหน็ ความจรงิ ในส่ิงนนั้ ดังน้ันเม่ือนํามาใชในจิตท่มี กี ิเลส คอื
อวชิ ชาอยูท่นี ่นั ทําไมจะไมทราบ ทาํ ไมจะทาํ ลายกนั ไมได จะตัดขาดจากกนั ไมไ ด เมือ่ กิเลส
ชนิดอน่ื ๆ ปญญาสามารถตดั ขาดได แลว สงิ่ นี้ทาํ ไมปญ ญาจะไมสามารถตัดขาดไดเลา
ปญญาตองสามารถตดั ขาดได

เมอื่ ตัดขาดกเิ ลสตวั สําคัญนีแ้ ลว ตองทราบชัดประจักษใ จ ถา จะพูดกพ็ ูดไดเ ต็มปาก
ไมกระดากอายหรือสะทกสะทา นกบั สง่ิ ใดหรอื ผใู ด ถาจะพดู แบบโลก ๆ ก็ตองเรียกวา รูชัด
ๆ รอ ยเปอรเซน็ ต หมดปญหากนั เสยี ทีเรอื่ งความเกิดความตาย เรื่องความทุกขทรมานใน
วฏั สงสาร ภพนอ ยภพใหญทเี่ คยเปน มากก่ี ัปกก่ี ลั ปจ นนบั ไมถวน เพราะตวั น้พี าใหเปน ไป
ตัวนี้พาใหเกดิ ตัวนพ้ี าใหตาย ตายแลว เกดิ ซ้าํ เกดิ ซากไมห ยดุ ไมถอย ทุกขซ้ํา ๆ ซาก ๆ มา
ยุติกนั เสียแลวคราวนี้

ยตุ ดิ วยอะไร? อะไรถึงตองยุต?ิ นา น ยุตลิ งทฆี่ าเชอ้ื อันใหญขาดกระเดน็ ออกจาก
ใจแลว เหลอื แตค วามรูล วน ๆ ทเี่ รียกวา “ความบรสิ ทุ ธ”ิ์ นน้ั เปน จิตแท เปนธรรมแท ไม
มสี ง่ิ ใดเขา ไปเคลือบแฝงเลยแมน ดิ เดียว ผูนแ้ี ลเปน ผูไมเ กดิ ทีน้สี นิ้ สุดแลว แตไมใ ชส ูญ
แบบทม่ี องไมเ ห็น คนควาไมเ จอกห็ าวาไมมี แลวกเ็ ดากันอยางนัน้ ตามวิสยั ของโลกดนเดา

เรื่องกิเลสทพี่ าใหดน เดาเอาดว ยความสําคญั เหมาเอาดว ยความสาํ คัญ จึงไดร บั
ความทุกขเพราะกิเลส แตก็ยังไมเ หน็ โทษของกิเลสที่พาใหดน เดา พาใหส ําคัญม่นั หมายทงั้
ท่ไี มจ ริงตลอดมา จงึ มแี ตข องปลอมเตม็ ตัวเต็มหัวใจ ทกุ ขจ งึ เตม็ หัวใจดวย

เมอ่ื เรยี นรถู ึงความจรงิ ทกุ ส่ิงทกุ อยา งดว ยวธิ ีการปฏบิ ัตแิ ลว ความปลอมมันกส็ ลาย
ตวั ไป จึงไดเหน็ โทษชดั เจนวา เหลานี้มแี ตความจอมปลอมท้งั หมด ท่เี ราไดรับความทุกข
ความทรมานมาจนถึงปจ จบุ ันชาติที่เราจําไดเพยี งเทา นี้ มนั กเ็ ปน ความทุกขเพราะกิเลสตวั น้ี
เทานน้ั ถาเปนธรรมกไ็ มท าํ ใหเ ราเกิดทกุ ข เมอื่ มธี รรมลวน ๆ ภายในจติ แลว อะไรจะมาทํา
ใจใหมีทกุ ขอกี ตอไปเลา ตองไมมี นน่ั แน อยางน้ีแหละเรียนธรรมปฏบิ ตั ิธรรมภายในจิตใจ
คอื เรียนธรรมภาคปฏิบัตภิ าคภาวนา เห็นจรงิ อยางน้ี ชัดเจนอยา งน้ี กเิ ลสแตกกระจายชนดิ
ไมเปน ขบวน

ในเรือ่ งวิธปี ฏบิ ัตนิ ไ้ี มใ ชว ิธจี าํ แตเ ปน วิธีแกกเิ ลส ทํางานกบั กิเลสทําอยางนี้ เมอื่
กิเลสสิ้นสุดไปแลว ภายในใจ ใจทเ่ี ปนเจาของปญ หามาแตก อ นเพราะกิเลสพาใหเปน กส็ ิน้
สุดกนั ไปเองไมมสี ิ่งใดเหลอื เลย น่ีแหละความสิน้ สุดของวัฏฏะ แตไมใชค วามสญู ซง่ึ เปน
ความแสลงตอ ความจรงิ คือความมอี ยูอยา งยงิ่

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๐
ภาค ๑ “เร๒า๑กับ กเิ ลส’’

๒๑

ถาวา “ความสญู ของวัฏฏะ” น้ันถกู ตอ ง เพราะวฏั ฏะภายในใจไมม ีตอไปอีกแลว
สูญส้ินแหง ความสืบตอของภพชาติ เกิด แก เจ็บ ตายแท ภพชาติตอ จากนนั้ ไมมอี กี นเ่ี ปน
ความสญู สิ้นโดยธรรมโดยความจรงิ ถา วา “ความสญู ” อยางนี้ถูกตอง แตคนและสตั วต าย
แลว สูญส้นิ โดยประการท้ังปวง อะไรไมม ีเลยอยา งน้ี ขัดตอความจรงิ

ใจเมื่อถงึ ความจริงเตม็ ทแ่ี ลวกถ็ งึ ความบรสิ ุทธ์ิ ความบริสุทธ์แิ สดงขึ้นชัดในจติ ใจ
จิตเปนธรรม ธรรมเปน จิต จงึ ไมใ ชความสูญ

อยา งพระพุทธเจาตรสั รูแลว กิเลสสญู ไปหมด ไมมีอะไรเหลอื อยูภายในพระทัยแลว
ตองอาศัยความบริสุทธิน์ ้ันแลประกาศธรรมสอนโลกมาเปนเวลา ๔๕ พระพรรษา ถึงได
เสด็จปรนิ ิพพาน ถา ความบรสิ ทุ ธ์นิ ไี้ ดสญู ส้นิ ไปแลว พระพุทธเจาจะเอาอะไรมาประกาศ
ศาสนาเลา ? ขณะทส่ี ิ้นกิเลสแลว ถาจิตกไ็ ดสญู ไปดว ย แลวทรงเอาอะไรมาสอนโลกเลา ?
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธน้นั ไมอ อกมาจากจติ ที่บริสทุ ธซิ์ ่ึงไมไดสญู นั้นแลว จะออกมาจาก
ไหน?

นแี่ หละเรียนธรรมใหถงึ นีแ้ ลว หายสงสัย ปญ หาท้ังปวงกห็ มดสิน้ ไปไมม ีเหลือเมือ่
เรยี นจบ ทราบปญหาภายในใจโดยตลอดทั่วถึงแลว อยูไหนกอ็ ยเู ถอะ เพราะความสมบูรณ
พูนผลอยทู ใ่ี จนี้ ความสุขอนั สมบรู ณมอี ยูที่ใจน้ี ถาปฏบิ ตั ใิ หถ ูกตองตามหลกั ธรรมของพระ
พุทธเจาแลว คนเราจะไมไดบ น เรอ่ื งความทกุ ขความลําบาก จะยอมดําเนินตนไปตามเหตุ
ผลคอื หลักธรรม ทุกขก ็ยอมรับวา ทุกข จนกย็ อมรบั วา จน มีไดม าเสียไปเปนธรรมดา

เรยี นธรรมรตู ามความจริงชองธรรมแลวไมบน ทกุ ขก็ยอมทนรบั ตามเหตุตามผล มี
ก็รับตามเหตตุ ามผลไมป นเกลยี วกบั ธรรม ใจกส็ บาย แมจะมกี ิเลสทย่ี งั ละไมได ก็ไมถึงกับ
ตอ งเดอื ดรอนแบบไมม ีขอบเขตเหตผุ ล ยังพอปลงพอวางได

แตถ าไมส นใจเกยี่ วของกับธรรมเลย ไมน าํ ธรรมมาวนิ จิ ฉัยใครค รวญ ก็มกั ไมม เี หตุ
ผลเครอ่ื งทดสอบ มแี ตความตอ งการของใจที่กเิ ลสบงการอยางเดยี ว ความตองการนั้นแล
จะพาคนลมจมฉบิ หาย ความตอ งการน้ันแลจะทาํ ลายจิตใจคนใหเสียอยา งไมมปี ระมาณ
ใหไดร ับความเดือดรอนอยเู สมอ ๆ ตลอดกาลสถานที่ไมมอี ะไรอน่ื คอื ความตอ งการชนิด
น้นั ไมม ีเหตผุ ล มีแตอยากตะพัดตะพือ อยากจนไมส นใจทราบวาอะไรเปน พิษอะไรเปนภยั
อยากไดอะไรควาไปกิน มนั ไมห ยดุ หยอนผอนคลาย ยิง่ อยากย่ิงตองการกย็ ่ิงเพิม่ ความคิด
ความปรุงแตง ไมถอย ยุง ไมห ยดุ ความทกุ ขทรมานภายในใจกย็ ิ่งมากขน้ึ ๆ ไดร บั การสง
เสรมิ เทาใดกย็ ิ่งคิดมากขึน้ แบบไฟไดเ ช้ือ ดไี มด ีสตลิ อย เลยเปน บา ไปเลย นา น พอเห็น

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ๒๑
ธรรมะชดุ ๒เต๒รียมพรอ้ ม

๒๒

โทษของความอยากความทะเยอทะยานชนิดไมมีธรรมเปน “เบรก” ไหมละ? ถา พอเห็น
โทษของมันบา งก็ควรพยายามแกไข อยาอยูเปลา แบบคนสน้ิ ทา

วนั นี้พูดเรอ่ื ง “วัฏจกั ร” พูดเรื่องความสูญความไมส ูญ ตามหลักความจรงิ เปน
อยา งนี้ ศาสนาจงึ เปน ธรรมท่เี หมาะสมท่สี ุดทีจ่ ะพิสูจนความจริง สมควรแกเวลาเพียงเทาน้ี

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ๒๒
ภาค ๑ “เร๒า๓กับ กิเลส’’



๒๓

อุบายวิธดี บั กเิ ลสและเร่ืองกรรมเทศนโปรดคุณเพาพงา วรรเทธศนนะ์โกปลุ รดณคุณวดัเพปาาพบงาานวตรารดธนะกุล ณ วัดปา่ บา้ นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๓ ธันวาคม พทุ ธศักรเามชื่อว๒ัน๕ท๑ี่ ๑๘๓ ธนั วาคม พุทธศกั ราช ๒๕๑๘
อุบายวธิ ีดบั กิเลสและเรอื่ งกรรม

โลกนีแ้ มจ ะรมุ รอ นเพยี งไรกต็ าม ยงั มีศาสนาเปนเครอื่ งเยยี วยา อยา งนอ ยมศี าสนา
เปนเครอื่ งเยียวยา กย็ ังมที างบรรเทาทกุ ขไ ปไดพ อสมควร เชนเดยี วกบั โรคแมจ ะมคี วามรุน
แรงเพยี งไร แตถ า มียาเครอ่ื งเยยี วยารกั ษาอยบู างแลว กย็ ังพอทําเนาได ไมเ หมอื นปลอ ยให
เปน ไปตามอตั ราของโรคที่มีมากนอยโดยไมม ยี าไปเก่ยี วขอ งเลย

จิตใจของโลก ถามีแตเรอ่ื งของกเิ ลสกองทุกขลว น ๆ เปนเจา อาํ นาจบงการอยูภาย
ในใจน้นั โลกไมวา ชาตชิ น้ั วรรณะใด จะหาความสงบสุขไมไ ดเลย เพราะไมมีเครือ่ งบรรเทา
คือศาสนา

คาํ วา “ศาสนา” กค็ ือคาํ สง่ั สอนทก่ี ลมกลืนดวยเหตผุ ลนัน่ เอง รวมแลว เรยี กวา
“ศาสนธรรม” เมื่อแยกออกพูดเฉพาะคาํ วา “ศาสนา” ก็เหมือนกบั วา เปน อกี อันหนงึ่
และเปน อกี อนั หน่งึ แตกแขนงออกไป ความจริงคําวา “ศาสนา” ถาพดู ตามหลักความจรงิ
แลว ก็คือเหตกุ ับผลบวกกันเขา นัน่ แลเรียกวา “ศาสนา” การเชอื่ ตอ เหตุตอผลนน้ั คือไม
ฝน ไมปน เกลยี วตอ เหตุตอผลทถี่ กู ตองแลว และปฏบิ ัติดําเนนิ ไปตามน้นั โลกจะพอมีทาง
เบาบางจากความทุกขค วามลําบากทงั้ ภายนอกภายใน

จําพวกไมม ศี าสนาเขาเคลือบแฝงเลยนนั้ ใครจะอยใู นสถานทใ่ี ดกต็ าม ไมวา จะมี
ความรสู งู ตํ่าฐานะเพยี งไร จะหาความสุขความสบาย พอปลงจติ ปลงใจลงช่ัวระยะกาลไมไ ด
เลย เพราะไมมีท่ีปลง เราจะปลงลงท่ไี หน? ที่ไหนกม็ แี ตเ รอื่ งของกเิ ลสอนั เปนไฟท้ังกอง
คือมีแตเรือ่ งความอยาก มีแตเ ร่ืองความตองการไมมีประมาณ อยากใหเ ปน ไปตามใจหวัง
ความอยากนั้น ๆ กผ็ ลิตทุกขข น้ึ มาเผาตัวเอง สงิ่ ทีต่ องการกลับไมเ จอ แตกลบั ไปเจอแตส ิ่ง
ทไี่ มต อ งการโดยมาก เพราะอํานาจของกิเลสพาสัตวโ ลกใหเปนเชน นน้ั

ถา อาํ นาจของเหตุผลหรอื ธรรมพาใหเ ปนไป แมจ ะทุกขจะลาํ บากบางในการฝน
กิเลส โดยทําลงไปตามเหตตุ ามผล แตเ วลาปรากฏผลขน้ึ มากเ็ ปนความสุขความสบาย พอ
มที างผอ นคลายความทุกขล งไดบาง เพราะฉะน้ันศาสนาจึงเปน ธรรมจาํ เปน อยางยงิ่ ตอ จติ
ใจของโลก เฉพาะอยา งยิ่งคือมนษุ ยเ รา ซึง่ เปนผูมคี วามฉลาดเหนอื สตั วท้งั หลาย ควรจะมี

ธรรมชุดเตรียมพรอม ภาค ๑ “เร๒๒า๕๓กับ กิเลส’’

๒๔

“ศาสนธรรม” เปน สมบตั ิประดบั และคุมครองใจกายวาจา และความประพฤติในแงตา ง
ๆ จะเปน ทงี่ ามตาเย็นใจทงั้ สว นยอ ยสวนใหญไมมปี ระมาณ

คําวา “ศาสนา” นน้ั เปน แขนงหน่ึงทอี่ อกมาจากธรรมลวน ๆ คือออกจากธรรม
“ทีป่ ระเสริฐ” เปน ของอศั จรรย แยกออกมาเปนคาํ สอนโดยทาง “สมมุต”ิ เปนแขนง ๆ
วา “ใหทําอยางนน้ั อยาทําอยางน้ี” เปน ตน ใหเ ราดาํ เนนิ ตาม ไมฝาฝนปน เกลยี วกับธรรม
อนั เปน แนวทางถูกตองดงี ามอยแู ลว แมจ ะยากลาํ บากในการดาํ เนนิ ตามเพียงไร เมอื่ เชื่อ
ตอ เหตตุ อ ผลแลว อตุ สา หพ ยายามฝนทําลงไป การฝน ทําลงไปนนั้ คือการฝน กิเลสทีเ่ ปน
“ขาศกึ ” ตอ ธรรม อันเปนการฝนทําในสิ่งทตี่ นตอ งการ อนั เปนเร่อื งของ “ธรรม” มใี จ
เปน ผูบ งการ ผลทีพ่ ึงไดร บั กย็ อ มเปนความรมเย็นเปน สุข

ยกตัวอยา งเชน เราคิดอะไรวันนจี้ นเกิดความวาวุนขนุ มัวไปหมด ใจท้งั ดวงกลาย
เปนไฟท้ังกอง เฉพาะอยางย่งิ ส่งิ ท่ีไมชอบใจ ส่งิ ท่ขี ัดใจมาก จิตจะไปยงุ อยกู ับสง่ิ ท่ขี ัดใจ
มากไมพอใจมากน้ันแหละ ท้งั วนั ท้งั คืนยนื เดินน่ังนอนไมยอมปลอ ยวาง ถอื เปน อารมณ
แทนคาํ บรกิ รรมภาวนา แลว ผลจะมคี วามสุขข้ึนมาไดอยา งไร มันกต็ อ งเปนไฟขน้ึ มาเปน
ลําดบั ๆ เพราะเรื่องน้นั พาใหเปน “ไฟ” และความคดิ ในเร่ืองน้ันพาใหเปน ไฟ ผลจะ
ปรากฏขึน้ มาเปน “นาํ้ ” ไดอ ยา งไร มันก็ตอ งเปน ไฟอยโู ดยดี ขนื คิดมากเพียงไรก็ยง่ิ จะ
ทาํ ลายจิตใจของเรามากเพียงนั้น สุดทายจนกนิ ไมไดน อนไมห ลับ แทบไมม ีสติหรือไมมสี ติ
ยบั ยัง้ จนเปน บา ไปเลยกม็ ไี มนอย เพราะเรอ่ื งและความคดิ ทาํ ลาย

ส่ิงทที่ ําลายเหลา น้ีคืออะไร? ก็คอื เร่ืองของกิเลส ไมใ ชเร่ืองของธรรม ฉะนั้นการฝน
ไมค ิดในอารมณไมด ีน้นั ๆ ดวยการหักหามความคิดปรงุ ของใจดว ยสติ สกดั ก้นั ดวย
ปญญา แมจ ะลาํ บาก ผลทปี่ รากฏก็คือความสงบยอ มเปนทห่ี วังได หรือพอมสี ตขิ ึน้ มา
พิจารณาใครครวญถึงทางทถ่ี ูกทค่ี วร ส่งิ ดีชว่ั ในสิง่ ท่คี ิดน้ัน ในเรอ่ื งทค่ี ิดน้นั วา ทําไมจึงตอง
คดิ ก็ทราบแลว วาไมด คี ดิ ไปทําไม แลว หาทางแกไ ขเพือ่ ความดไี มไดห รอื ? นนั่ เรื่องของ
เหตผุ ลเปน อยา งนน้ั การคดิ มาท้งั มวลนีก้ พ็ อเหน็ โทษของมันแลว เพราะทกุ ขเ ปน ประจกั ษ
พยานอยูภายในใจ มีความรุมรอ นเปน กาํ ลัง นี่คอื ผลของความคดิ ในส่งิ น้ัน ๆ ท่ีเปนของไม
ดี ถาจะฝน คดิ มากยิง่ กวานแ้ี ลว จะเปน อยา งไร ขนาดท่ีคิดน้ีความทุกขก ็แสดงใหเ ห็นชัดเจน
อยางนี้แลว ถา จะคดิ เพิม่ ย่งิ กวา นี้ ความทุกขจ ะไมม ากกวา น้ีจนทว มหัวใจไปละหรอื แลว จะ
ทนแบกหาม “มหันตทกุ ข” ไดอ ยางไร?

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๔
ธรรมะชุด๒เต๖รยี มพร้อม

๒๕

ถา ฝน คดิ มาก ทกุ ขต อ งเพิ่มมากกวานีเ้ ปน ลําดับ เม่อื มากกวา นีแ้ ลว เราจะมกี ําลัง
วังชามาจากไหน พอตา นทานแบกหามความทกุ ขท ่ีผลิตขนึ้ ทุกระยะ จากความคดิ ในสิ่งทไ่ี ม
พอใจน้ัน ๆ เราจะฝน คดิ ยังจะฝนกอบโกยทกุ ขเ หลา น้นั เพ่ิมข้ึนเปน ลําดบั ย่งิ ขึ้นกวานี้อยู
หรอื ? เพยี งเทานจ้ี ิตกไ็ ดสติ พอไดสตจิ ิตก็เริม่ สงบและยงั ยัง้ ตัวได และพยายามปลอ ยวาง
ความคดิ เชนนน้ั โดยทางเหตุผลอยา งใดอยางหนง่ึ ทจี่ ะใหจติ ผละออกจากส่งิ น้นั และระงับ
ความคดิ น้ัน ๆ ได ผลท่ีจะปรากฏดังท่เี คยเปน มาแลวก็ระงับ เพราะความคดิ อนั รอนอนั
เปนสาเหตนุ ั้นมนั ระงับตวั ลง การระงบั ตัวลงไดแหง ความคิดนนั้ เพราะความมสี ตยิ ับยง้ั น่ี
ก็พอเปน สกั ขพี ยานอนั หนึง่ แลววา เทา ทเ่ี ราฝน คดิ ในส่ิงน้ันมาดวยสติ และใครครวญดวย
ปญญา มผี ลปรากฏขน้ึ มาอยางนี้ คือปรากฏเปนความสงบรมเย็นขึ้นมา ทนี ้ีทกุ ขก็ระงบั ดบั
ไป

แมจ ะลาํ บากในการฝน ในการบงั คบั จิตใจ กจ็ งคดิ หาอบุ ายปลดเปลื้องตนเชนนนั้
อนั ความลาํ บากนน้ั เรากย็ อมรบั วา ลาํ บาก แตล ําบากในทางที่ถกู ทนี ้ผี ลท่ปี รากฏข้ึนมาก็
เปนความสุขและเปน ความดี เรื่องก็ไมยงุ เหยิงวนุ วายตอไป ทุกขกไ็ มเ พิ่มข้ึนมาอกี เราก็
พอผอนคลายตวั ได หรือมีเวลาปลงวาง “ถานเพลิง” คอื ความทกุ ขรอ นบนหวั ใจลงได น่ี
เปนหลักเกณฑห นึ่งที่เราจะนาํ มาพจิ ารณา เกีย่ วกับเรือ่ งทไี่ มถกู ตอ งดงี ามทัง้ หลาย

เชน เขาดเุ ขาดา เขาตฉิ นิ นนิ ทาวา อยา งน้ัน ๆ คําตฉิ นิ นินทาเขาก็ผา นปากเขาไป
แลว ผานความรสู กึ ของเขาไปแลว ตง้ั แตวันไหนเดือนไหนไมทราบ เราเพ่งิ ทราบในขณะ
น้ันเวลาน้ันก็เปน ความไมพ อใจข้ึนมา ไอล มปากเขากห็ ายไปแลวตั้งกป่ี กี่เดือนไมทราบ
เพยี งแตล มปากใหมข ึ้นมาวา “เขาวาใหคณุ อยางน้ัน ๆ” เชน “นาย ก นาง ข.วา ใหค ณุ
อยางนั้น ๆ ไมด ีอยา งน้ัน ๆ” นีเ่ ปน ลมปากคร้งั ท่ี ๒ เรากย็ ึดเอาอนั นั้นมาเปน “ไฟ” เผา
ตวั ขึ้นมาอยางลม ๆ แลง ๆ โดยไมม เี หตุผลอะไรเลย นีเ่ ปน ความสําคัญผิดของเรา ถาเขา
ไมเลา ใหฟง เราก็ธรรมดาธรรมดา ทั้ง ๆ ที่เร่ืองน้นั เขาไดพ ดู ไปแลว ถาเขาไดเ คยตาํ หนิติ
ฉนิ นนิ ทาเรา เขาก็ตาํ หนิไปแลว ผานไปแลว เราก็ไมเหน็ มีความรสู ึกอยา งไร เพราะจิตใจ
ไมก ระเพ่ือมออกมารับส่ิงเหลานน้ั จิตเปน ปกติ ผลก็ไมแสดงขึ้นมาในทางความทกุ ขค วาม
รอนใด ๆ ท้ังส้ิน

เม่ือเปนผูม สี ติอยูภายในตวั พอเขาพดู ข้นึ มาเชน นน้ั ก็ทราบทันทวี าสิง่ น้ันไมดี เรา
จะไปควา เอามายึดถือใหส กปรกและหนกั หนวงถว งใจเราทาํ ไม ของสกปรกเรากท็ ราบแลว
แมแ ตเดินไปตามถนนหนทางไปเจอสิง่ สกปรก เรายังหลกี ใหห างไกล ไมกลา สัมผัสถกู ตอ ง
แมแตฝ าเทา ก็ไมแ ตะตองเลยเพราะทราบแลว วาของไมดี ถาขืนแตะตอ งก็จะตองเปอน

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ๒๕
ภาค ๑ “เร๒า๗กับ กเิ ลส’’

๒๖

เปรอะไปหมด เราทราบแลว วา สง่ิ เหลา นส้ี กปรก แลวทําไมเราชอบไปคลุกคลี ชอบไปยงุ
ชอบไปนํามาคดิ มาวนุ วายตัวเอง จนใหเกิดผลขึน้ มาเปนความสกปรกไปทั้งจติ กลายเปน
ไฟทั้งดวง ไมส มควรเลย

เราคิดอยางนี้ เราระงบั ความคดิ และอารมณนนั้ ได พอจะคดิ ขึน้ ในขณะใดสตเิ ราก็
ทันและรูท นั ที แลวปลอ ยไปได ไมย ึดมาเปนอารมณเ ผาลนใจอยนู าน ท่ีกลา วมาแลวนี้ทงั้
หมด เปนหลกั ธรรมวธิ ปี อ งกนั ตวั ในวิธรี กั ษาตัว

เมื่อเราใชวธิ นี ้เี ปน “ยาประจาํ บา น” ประจาํ ตวั ทกุ อริ ยิ าบถ ใจกป็ กตไิ มค อยจะเปน
ภยั แกตวั เองจากสิ่งทม่ี าสมั ผัสทัง้ หลาย จะมาทางตา ทางหู ทางจมกู ทางลิ้น ทางกาย แม
ในทางอารมณท ี่เกิดข้นึ กบั ใจโดยเฉพาะ ทไี่ ปคดิ ในเรอื่ งอดีตทีไ่ มดีไมง ามตาง ๆ มารบกวน
เจา ของก็ตาม หรืออะไร ๆ มาสัมผัสกส็ ลัดไดท นั ที เพราะสตปิ ญ ญามอี ยกู บั ใจ นํามาใช
เม่ือไรก็เกดิ ประโยชนเม่อื นั้น นอกจากจะปลอยใหส ่งิ เหลา นน้ั เขา มาเหยียบย่าํ ทําลายเสยี
โดยไมค ํานงึ ถงึ เคร่อื งปอ งกันคอื สตปิ ญ ญาเลย เราถงึ ยอมรับทกุ ข

แตถายอมรบั ทกุ ขตามหลกั ความจรงิ ทตี่ นโง ตนประมาทแลว ก็ไมตอ งบนกัน แตน ี่
ก็บน กนั ท่ัวโลกดินแดน เพราะอะไรเลา ถึงบน ? เพราะไมอ ยากทกุ ข เมือ่ ไมอยากทุกขก ็คิด
ทําไมเลา ในสิ่งท่จี ะเปน ทุกขฝ น คิดทาํ ไม กเ็ พราะความไมรู รูเทา ไมถงึ การณ เมือ่ เปนเชน
นัน้ จะเอาอะไรมาใหรเู ทาถึงการณ? กต็ องเอาสติปญญามาใชก ็ทนั กบั เหตุการณ ไมเสีย
ไปหมดทั้งตัว ยงั พอย้อื แยงไวไ ดบา งในขนั้ เรม่ิ แรกแหงการฝก หัด ตอไปกท็ ันเหตกุ ารณทกุ
กรณี ตีชนะไดท กุ วิถที าง

วิธปี ฏบิ ัติตอ ตัวเองดว ยหลักศาสนาตอ งปฏบิ ตั ิอยา งน้ี โลกถา ตา งคนตางมเี หตผุ ล
เปน เครือ่ งดําเนนิ ไมวา กิจการภายนอก ไมว ากิจการภายใน อันใดท่ีจะเปน ภัยตอ ตนและ
สว นรวม ตา งคนตา งคดิ ตา งคนตา งเขาใจ ตางคนตางละเวน ไมฝ า ฝน ด้ือดา นหาญทํากัน
ซึง่ เปน การชวยกันทําลายตนและสว นรวมใหเสยี ไป

อันใดท่ีเปน คณุ ประโยชนแกตนและสว นรวมแลว พยายามคิดทําในสง่ิ นนั้ ๆ โลกก็มี
ความเจรญิ รงุ เรอื ง อยูด วยกันมากนอยก็มคี วามผาสกุ เย็นใจไปทั่วหนากัน เพราะมหี ลกั
ศาสนาเปน เครอ่ื งพาดําเนิน ยอมยงั บุคคลใหเ ปนไปเพอ่ื ความสงบสุข ดว ยการปฏิบัติ
ถูกตอ งตามหลักเหตผุ ล อนั เปน หลกั สากลท่พี าโลกใหเ จรญิ

ดังน้นั เร่ืองศาสนาจึงเปนเรอ่ื งสําคญั สาํ หรับการอยูดวยกนั นหี่ มายถึงปจ จบุ ันทอ่ี ยู
ดว ยกัน แมปจจบุ ันจติ และตวั เราเองกม็ ีความรมเยน็ เปน สขุ ไมเดือดรอ นวนุ วายแผ
กระจายออกไปสูสว นรวม ตางคนตา งกม็ ีความรูสกึ เชนนั้น โลกกม็ ีความผาสกุ เมอื่ หมาย

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ๒๖
ธรรมะชุด๒เต๘รยี มพรอ้ ม

๒๗

ถงึ อนาคตขา งหนาของจติ จติ ที่มีเหตุมีผลเปนหลกั ยึด มีธรรมอยภู ายในใจแลว จะหาความ
เดอื ดรอนจากทไี่ หน มาจากโลกใด เพราะจิตเปน ผูผลิตขึน้ เอง เม่ือจติ ไมผ ลติ จติ มีอรรถมี
ธรรมเปน เครอ่ื งปอ งกนั รักษาตนเองอยูแ ลว ไปโลกไหนกไ็ ปเถอะ ไมม ีความทุกขรอ นที่
จะไปทาํ ลายจิตใจของผูน ้ันไดเลย

พดู ตามหลกั ธรรมแลว จิตที่มคี ณุ งามความดีประจาํ ใจ ยอมจะไมไปเกิดในสถานท่ี
จะไดรบั ความทกุ ขค วามทรมาน เพราะ “กรรมประเภทน้ัน” ไมมีจะผลกั ไสไปได มีแต
ความดีคอื กุศลกรรม เปนเครอื่ งพยุงจงู ไปสสู ถานท่ดี ี คติท่ีงามโดยลาํ ดับ ๆ เทา น้ัน
อนาคตกเ็ ปนอยา งน้ีแล

ผูปฏิบตั ธิ รรม ผูมีธรรมในใจ ผิดกับบุคคลท่ไี มม ีธรรมเปน ไหน ๆ แมแตอ ยใู นโลก
เดยี วกนั เปน รูปรา งเหมอื นกนั กต็ าม แตค วามรูความเห็น ความคิด การกระทําตาง ๆ นนั้
มคี วามผิดกนั อยูโดยลําดับ ผลท่จี ะพงึ ไดร บั จะไดเหมือนกันยอ มเปน ไปไมได ตอ งมีความ
แตกตา งกันอยเู ชนนเ้ี ปน ธรรมดาตงั้ แตไ หนแตไรมา

ฉะนัน้ พระพุทธเจา จงึ ทรงสอนวา “กมมฺ ํ สตเฺ ต วภิ ชติ ยทิทํ หนี ปฺปณตี ํ กรรม
เปน เคร่อื งจาํ แนกสัตวทง้ั หลาย ใหม ีความประณตี เลวทรามตา งกนั ” ไมนอกเหนอื ไปจาก
กรรม กรรมจงึ เปน เร่ืองใหญโตท่ีสุดของสตั วโลก ทําไมจงึ ใหญโ ต? เพราะเราตา งคนตา ง
เปนผผู ลิตกรรมข้ึนมาโดยลําดบั ดวยกัน แมจ ะไมค ิดวาตนสรา งกรรมก็ตาม ผลดีชั่วกเ็ กิด
จากกรรมคือการกระทาํ ทกุ ราย จะหักหา มไมไดเมอ่ื ยังทํากรรมอยู

คําวา “กรรม” คืออะไร? แปลวาการกระทํา เปน กลาง ๆ คดิ ดว ยใจเรียกวา
“มโนกรรม” พูดดว ยวาจา เรียกวา “วจกี รรม” ทําดว ยกาย เรยี กวา “กายกรรม” ใน
กรรม ๓ ประเภทนี้ เราเปน ผผู ลิตผูสรางอยตู ลอดเวลา แลว จะปด ก้ันผลไมใ หปรากฏดชี ่วั
ขนึ้ มาไดอยา งไร เม่อื การผลติ มีดมี ีชวั่ ประจาํ ตนอยู ธรรมชาตทิ เี่ ราผลิตข้นึ มานแี้ ล เปน เจา
อาํ นาจสําหรบั ปกครองจติ ใจ สนับสนุนหรอื จะบงั คบั จิตใจใหไ ปเกิดและอยใู นสถานทใี่ ด
คติใดก็ได จะนอกเหนอื ไปจากผลแหง กรรมท่ีเรียกวา“วบิ าก” ซึง่ ตนกระทาํ แลวน้ีไปไมไ ด
ไมมีส่งิ ใดมีอาํ นาจย่งิ ไปกวา ผลแหงกรรมท่ีตนทําน้ี จะเปน เครื่องประคับประคอง หรอื เปน
เครอื่ งกดข่บี ังคบั ตนในวาระตอ ไป

หลกั ศาสนาทา นสอนอยา งนี้ ทานไมใหเ ชือ่ ทีอ่ ่นื ย่ิงไปกวาความเคลือ่ นไหวดีชั่วทาง
กายวาจาใจที่เรียกวา “กรรม” นเี้ ปน หลักประกันตวั อยูที่นี่ เพราะฉะนัน้ สิ่งทท่ี าํ ลายตวั และ
สง เสรมิ ตัวกค็ ืออนั น้ีเทานน้ั ไมมอี ะไรมาทาํ ลายและสงเสรมิ ได

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ๒๗
ภาค ๑ “เร๒า๙กับ กิเลส’’

๒๘

การคิด การพดู การกระทาํ ในทางท่ีไมดี คอื การทาํ ลายตวั เอง การคดิ การพูด การ
กระทําในทางท่ดี ี คือการสง เสริม บํารุงตนเอง การประกนั ตนเอง ไมใหตกไปในทางไมพึง
ปรารถนาก็มอี ยใู น “หลกั กรรม” นเี้ ทานั้น ไมม อี ะไรยิง่ ไปกวาน้ี เพราะฉะน้นั เราจึงไมควร
กลัวส่งิ โนนกลัวส่งิ นี้โดยหาเหตุผลไมไ ด จะกลายเปนกระตา ยตน่ื ตูมทั้งทถ่ี ือพุทธ อนั เปน
องคพยานแหง ความฉลาดแหลมคม

สิ่งทีน่ ากลัวทส่ี ดุ ก็คือ ความคิด การพดู การกระทาํ ทเ่ี ปน ภัยแกตนเอง ไมวาจะใน
แงใดพงึ ทราบวา “น้แี ลคือตัวพิษตัวภัยซ่งึ กาํ ลังแสดงออกกับกาย วาจา ใจของเรา ของ
ทานอยเู วลานี้” ถา ไมย อมรูสึกตวั แกไขใหมเ สีย อันนี้แหละจะเปนตัวพษิ ภยั ทร่ี า ยกาจท่ีสุด
ใหโทษแกเ ราไมเพียงแตป จจุบันนี้ ยังจะเปนไปในอนาคต จนหมดฤทธห์ิ มดอํานาจของ
“กรรม” ที่ทําไวน้แี ลว ทกุ ขภ ยั ตาง ๆ จึงจะหมดไปได

ผูเช่อื ศาสนาจึงตองเช่อื “หลักกรรมกับวบิ ากแหงกรรม” คอื ผลพงึ ติดตามมาโดย
ลาํ ดบั เราทกุ คนมใี ครนอกเหนือไปจากการทํากรรมได? ไมมี ตอ งทาํ ดว ยกันทุกคน คนมี
ศาสนาหรอื ไมม ีศาสนาก็ทาํ “กรรม” กนั ทง้ั สิน้ เพราะเปนหลักธรรมชาติแหงการกระทํา
ซง่ึ มปี ระจําตนอยูแลว และถกู ตอ งตามหลักของศาสนาทที่ า นสอนไวแ ลว กรรมมอี ยกู บั ทุก
คน นอกจากจะเชอื่ หรือไมเ ชอ่ื เทา นนั้ ซ่งึ กไ็ มมกี ารลบลา งกรรมนนั้ ได ทง้ั กรรมทงั้ ผลแหง
กรรมไมม ที างลบลางได ตอ งเปนกรรมและเปนผลดชี ว่ั ไปทุกภพทกุ ชาติ ไมมอี นั ใดนอก
เหนอื ไปจาก “กรรม” และ “วบิ ากแหง กรรม” ซึง่ เกิดจากการทาํ ดีทาํ ชัว่ ของตัวเอง จึงไม
ควรกลวั เร่ืองสุมส่ีสุมหาอันหาเหตุผลไมได ถากลัวนรกก็กลวั บอ นรกทีก่ ําลังสรางอยเู วลาน้ี
ซึง่ อยูภายในจิตใจเปนตน เหตุสาํ คญั นแ่ี หละ“บอ นรก”

สาเหตทุ ี่จะทําใหไ ฟนรกเผากอ็ ยทู ่ใี จน้ี ใหรสู กึ ตัวและมสี ตจิ ดจอ มปี ญ ญาพินิจ
พจิ ารณาแกไขเครื่องมือของตนทกี่ าํ ลงั คิดผดิ และผลิตยาพษิ หรือผลติ คณุ ธรรมข้ึนมา
ภายในใจ ใหเลอื กเฟน ตรงน้ี และทําตามความเลือกเฟน ดวยดีแลว จะไมม อี ะไรเปน
พิษเปน ภยั แกสัตวโลกมเี ราเปนตน เลย

น่แี หละศาสนาจําเปนหรือไมจ ําเปน? ใหคิดทตี่ รงน้ี ผทู ส่ี อนกค็ อื ผทู ี่รูเ รือ่ งของ
กรรม รเู รอ่ื งผลของกรรมดว ยดแี ลวไมมที แี่ ยง คือพระพุทธเจา ทรงทราบทุกสิ่งทุกอยาง
ทงั้ กรรมของพระองคแ ละกรรมของสตั วโลก ท้งั ผลแหง กรรมของพระองคแ ละผลแหง
กรรมของสตั วโลกทว่ั ไตรโลกธาตุ ไมม ีใครสามารถอาจเอื้อมทจ่ี ะรไู ดเ ห็นไดอยางพระพุทธ

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ๒๘
ธรรมะชุด๓เต๐รยี มพร้อม

๒๙

เจา จึงทรงประกาศความจรงิ น้อี อกมาเปน “ศาสนธรรม” ใหเ ราทง้ั หลายไดย นิ ไดฟง ได
ประพฤตปิ ฏิบัติตามโดยไมม อี ะไรผดิ

ถาไมฝ นศาสนธรรมท่ที า นสอนไวเ สยี อยางเดียว โดยการกระทําในสง่ิ ทไ่ี มดที ัง้
หลาย ผลจงึ ปน เกลียวกันกับความตอ งการ กลายเปนความไมสมหวงั หรือเปนความทกุ ข
ขึ้นมา หลักใหญอ ยทู ่ีตรงน้ี

โลกมีเราเปน ตน ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ แมจ ะมที กุ ขมากนอ ยก็พอมที ีป่ ลงทว่ี าง
ได เหมือนกบั โรคท่ีมียาระงบั ไมป ลอ ยใหเปนไปตามกําลงั หรืออํานาจของโรคโดย
ถา ยเดยี ว ยอ มพอมีทางหายได

การสรางความดีไมเปนส่งิ ที่นาเบ่ือ ไมเ ปนส่งิ ทน่ี า เอือมระอา ไมเปน ส่ิงทีน่ า เกลียด
ไมเปนสิ่งทนี่ าอดิ หนาระอาใจ เพราะส่ิงทั้งหลายท่เี ปน ความสขุ ความสมหวังท้งั มวล เกดิ ข้ึน
จากการสรางความดเี ทา น้ันไมไดเ กิดขึน้ จากอะไร สรางเทาไรมเี ทา ไรขนึ้ ชือ่ วาความดี
แลว ไมเ ฟอ ไมเ หมอื นสิง่ ภายนอกซง่ึ มีทางเฟอ ได ถา มีมากเขาจรงิ ๆ แตคนดมี ีมากเทา
ไรไมเ ฟอ ความดมี มี ากเทาไรไมมเี ฟอ ดีเทาไรยิง่ มีความอบอุน แนนหนามั่นคงภายในใจ
ยิ่งมคี วามดีงามตอ กันจํานวนมากเทาไรยง่ิ อบอนุ ไปหมด ไมมคี ําวา “เฟอ ”

ผดิ กบั ส่ิงตา ง ๆ ท่ีมีการเฟอได เชน “เงนิ เฟอ ” “คนเฟอ ” เราเคยไดเ หน็ ไหม?
เราเคยไดย นิ แต “เงนิ เฟอ” สงิ่ ของมมี ากจนลนตลาดก็เฟอ ขายไมไดราคา ตอ งขายลด
ราคาลงไปตามลําดบั ๆ ทนี ้ี “มนุษยเฟอ” เราเคยไดย ินไหม?

เวลานีม้ นษุ ยกําลังเฟอ จะหาราคํ่าราคาไมไ ดแลว เพราะมมี ากตอมาก ใครกจ็ ะเอา
แตต วั รอดวาเปน ยอดดี แลวสรางความทกุ ขใ หผูอนื่ มากมายเพือ่ ความสุขของตวั เอง มีเทา
ไรเวลาน้ี มีมากมายทีเดียวท่มี คี วามเหน็ แกต ัวมาก เห็นแกไดม าก โลภมาก เพราะกิเลส
ตณั หามันเจริญขนึ้ โดยลําดบั สง่ิ ที่ใหม ันเจริญขน้ึ โดยลําดับกเ็ พราะไดร ับการสงเสรมิ เลีย้ งดู
อยา งเหลือเฟอ จน “เฟอ” ซงึ่ เวลานีก้ ําลังมมี าก นิยมกันมาก มีเตม็ อยทู ุกแหงทุกหน ซงึ่
แตกอ นเราก็ไมเคยเห็น ไอสิ่งสงเสรมิ ใหก ิเลสตณั หาราคะมนั แสดงตัวขึน้ เปนเปลวเหมือน
ฟนเหมือนไฟ ทุกวันนไี้ ดเ หน็ กนั แลว

แตโลกก็ยินดีจะวายงั ไง ? ทกุ ขเ ทา ไรก็ไมเ หน็ โทษของมนั ยงั ถอื วาสิ่งนั้นดสี ่ิงนีด้ ี
ถือวาดอี ยเู รือ่ ย ๆ จนกระท่งั จะไมม ีสติสตังเลยแทบจะเปนบา ก็ยังวา ดอี ยเู รอื่ ยไป แลวจะมี
ทางแกกันท่ีตรงไหน? เมอื่ ยงั มคี วามยนิ ดใี นความเปน บา อยเู ชน นัน้ แลว มันจะมสี ติสตงั
เปนคนดไี ดอยางไร? นแ่ี หละ “มนษุ ยเ ฟอ ” ดูเอา เฟอ จนจะเปน บา กันทั่วดนิ แดนทง้ั เขา

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ๒๙
ภาค ๑ “เร๓า๑กับ กิเลส’’

๓๐

ทัง้ เรา เม่อื จิตใจทีเ่ ฟอ อยา งน้แี ลว มันกท็ ําใหมนษุ ยเฟอดวย กอนท่ีมนษุ ยจ ะเฟอ จติ ใจตอง
เฟอ เสยี กอ น คือจิตใจไมมีคณุ คา จติ ใจไมมรี าคา ถูกส่งิ สกปรกโสมมซ่งึ รกรงุ รังเขาไปทับ
ถมคลุกเคลา เสยี หมด หุมหอ หมด จนมองหา “ตวั จรงิ ” คือจติ ไมเ จอ แลว คณุ คาของจติ
ดวงนีจ้ ะมีมาจากท่ีไหน

เมือ่ มแี ตข องเฟอ ๆ เตม็ หัวใจอยา งน้ี เวลาแสดงออกทางกายวาจากิรยิ ามารยาทก็
เปน “มนษุ ยเ ฟอ ” เฟอ ไปตาม ๆ กันหมด แลวคุณคาของมนุษยน น้ั จะมไี ดท ีไ่ หน? เม่อื
เปน เชน นีแ้ ลว โลกนมี้ นั นาดนู า ชมและนาอยทู ี่ตรงไหน ? ถาไมอยูกับมนุษยท ีท่ ําตัวใหด มี ี
คณุ คาสาํ หรับตวั มันกม็ ีเทานน้ั ถา มนษุ ยเราทําใหเฟอ แลวจะไมม ีโลกอยูแ นนอน แลว จะ
ไปตาํ หนิใคร ก็มนษุ ยเปนผูท าํ ใหเฟอ เสยี เอง ใครไมเห็นกด็ เู อา พูดยอ ๆ แตเพียงเทา นี้ก็
พอจะทราบไดว ามนษุ ยเฟอเปน อยางไร

เราไมไ ปตําหนคิ นอ่ืน เราก็เฟอ ถา ทไ่ี หนไมด สี าํ หรับเรา เรากเ็ ฟอ เหมือนกัน นเ่ี รา
เอาหลักธรรมของพระพทุ ธเจามาทดสอบ ทดสอบพวกเราทีก่ ําลงั เฟอ ๆ อยเู วลานแ้ี หละ
ใหพ ยายามแกส ิง่ ทีเ่ ฟอ ออก ส่งิ ท่ีเฟอนนั่ แหละคือสงิ่ ที่ทําลายคุณสมบตั ิของเรา คณุ คาของ
มนุษยเ รา พยายามแกตรงน้ที ีก่ ําลังเฟอน้ี ใหก ลบั เปน ความดขี ึ้นมา

เอา รนเขา มาหานักปฏบิ ตั เิ รา ความขี้เกยี จนน้ั แหละคอื ความเฟอ แกมันออก
ความขีเ้ กียจ ความออ นแอ มนั พาใหเราเฟอ จงชะลา งมันออกไป ใหมคี วามเขม แข็ง มี
ความอุตสา หพ ยายามเขา มาแทนท่ี ดวยความเชือ่ บญุ เชอ่ื กรรม เชอื่ พระพทุ ธเจา

เอา เปน ก็เปน ตายกต็ าย เรือ่ งความเกิดกบั ความตายนน้ั มนั เปน ของคูกันอยเู สมอ
จะแยกมนั ออกจากกนั ไปไหน เพราะเราเกิดมากบั ความตาย เราไมไ ดตายมากับความเกิด
เมอื่ เกดิ แลวมันตอ งมีตาย ถาแกไขไดแลว ตายแลว ไมตอ งเกดิ อีก เพราะฉะน้นั จงึ วา
เกดิ มากับความตาย ไมใ ชตายมากบั ความเกดิ นะ

ดงั พระพทุ ธเจาท้ังหลายและสาวกทงั้ หลายทา นตายแลวทา นไมเ กดิ อกี ผูบรสิ ุทธ์ิ
แลว ตายแลว ไมต องกลับมาเกิดอีก แตเ กดิ แลว กบั ความตายจะตองตายเปน คกู ัน พระพุทธ
เจา ก็ตองตายทเี่ รยี กวา “ปรนิ ิพพาน” ความจรงิ คือธาตุขันธสลายเชน เดียวกบั โลกทัว่ ๆ
ไปนั่นเอง เพราะตนเหตมุ ันมอี ยูแ ลว จะไปลบผลมนั ไมไ ด ผลคอื เกดิ ข้ึนมาแลว ความตาย
จะตองมีเปน ธรรมดา น่ตี นเหตคุ อื ความเกิดขนึ้ มา ผลคือความตาย จะแยกกนั ไมได มนั
ตอ งมเี ปน คูกนั เสมอ นี่แหละคแู หงความเกิดตายของโลกท่ีมีกิเลสฝง เชือ้ อยภู ายในใจ เปน
อยา งน้ี

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐
ธรรมะชุด๓เต๒รียมพร้อม

๓๑

เราสูเ พอื่ ชัยชนะ จติ ไมต าย แตจ ิตถกู จองจาํ ทาํ เข็ญ ยงุ กนั ไปวนกนั มาจนเปน “นกั
โทษ” ทั้งดวง หาหลักหาเกณฑไมไ ด เพียงแตฝก ซอ มดัดแปลงตวั เองออกจากส่งิ ทีส่ กปรก
รกรงุ รัง ก็ยังแยกไมได เพราะความออ นแอ แมส ตปิ ญญามอี ยูก็ไมผ ลติ ข้นึ มาเพอื่ แกตน
การแกตนแกด วยสติ แกดว ยปญญา แกด วยศรทั ธาความเพยี ร พระพทุ ธเจาเคยแกอ ยางน้ี
มาแลว กอนจะไดผ ลและนําธรรมมาสง่ั สอนโลก พอไดลืมตามองเห็นบุญเหน็ บาปบางตาม
กาํ ลงั

สวนเราเอาอะไรมาแก เอาความข้ีเกียจมาแกก็เพิม่ เขาไปอีก เพมิ่ โทษเขา ไปเรอื่ ย ๆ
ตดิ โทษประมาณเทา นน้ั ปเ ทา นีป้  แทนที่จะไดออก กลบั เพิม่ โทษขึ้นมาเรือ่ ย ๆ มันกไ็ มได
ออกจากคกุ จากตะรางสักที เลยตายอยใู นเรอื นจาํ นด่ี แี ลว เหรอ?

“เรือนจาํ ” ในที่นหี้ มายถึง “วฏั จักร” คอื ความหมุนเวียนเปลยี่ นแปลงของโลก
เกดิ ตาย อันฉาบทาไปดว ยความทกุ ขทรมาน ซ่งึ ไดแ กพวกเราเอง แลว เราจะเอาอะไรมา
แก? เอาความออ นแอมาแกม ันก็จม เพิ่มโทษเขาอีก ตอ งเอาความเขม แข็งความขยนั หม่ัน
เพียร ความอตุ สา หพยายาม สติปญ ญา ศรทั ธา ความเพียร เรงลงไป เอา ตายกต็ าย โลกนี้
มีความเกดิ ความตายเทา น้นั ไมม ใี ครจะนอกเหนอื กวา กัน สง่ิ ท่ีจะนอกเหนือ คอื สตปิ ญ ญา
ศรัทธา ความเพยี รของเรา ทจ่ี ะนาํ ตัวเราใหห ลดุ พน ไปไดใ นระยะใดกต็ าม ไดช อื่ วาเราได
ชยั ชนะเปน พกั ๆ ไป นแี่ หละทีจ่ ะทาํ ใหเรามีคุณคา เอาตรงน้ี ชนะกนั ตรงน้ี ซง่ึ เปนความ
ชนะเลศิ เหนอื กิเลสสมมุตทิ ั้งปวง

ชนะอะไรก็เคยชนะมาแลว แตช นะตวั เองคอื ชนะกเิ ลสของตัวเอง ยังไมเคยเลย เอา
เอาใหชนะใหไ ดเ ปน พัก ๆ ไป จนกระทง่ั ชนะไปโดยสน้ิ เชงิ ไมมีส่ิงใดเหลอื นัน่ แหละ การ
ชนะอะไรหรอื ผูอ่นื ใดคูณดว ยลา น ยังไมจ ัดวา ชนะเลศิ ประเสริฐเหมอื นชนะกเิ ลสของ
ตนคนเดียว การชนะกิเลสภายในใจของตนเพยี งคนเดียวเทา น้นั ผนู ั้นแลเปนผู
ประเสริฐสุดในโลก

นน่ั ฟง ซิ ชนะสง่ิ อื่นไมม อี ะไรประเสริฐเลย นอกจากจะเพ่มิ โทษเพ่ิมกรรมเพมิ่ เวร
ใหยุงเหยิงตดิ ตอกอแขนง เก่ยี วโยงกนั เปน ลกู โซไปไมมที างสน้ิ สดุ ลงไดเ ทานน้ั แตการชนะ
กิเลสของตนดวยสตปิ ญ ญาศรัทธาความเพียรน้ี เปน ผปู ระเสรฐิ ไมตองกลับมาแพอกี แลว
มหี นทางเดียวเทานน้ั ตาย ตายเฉพาะหนเดียว เฉพาะอัตภาพทีม่ ีอยูน ี้ อันเปน ตน เหตทุ ี่จะ
ใหต ายอยูเ ทา นัน้ นอกน้นั ไมตอ งมากอกาํ เนดิ เกดิ เท่ยี วหาจบั จองปา ชา ทีไ่ หนอีก เราเคยจบั
จองปาชามานานแลว เร่ืองปาชาน้มี ันควรจะเบอื่ กันเสียที เกดิ ท่ีไหนกจ็ องท่ีนัน่ แหละ

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ๓๑
ภาค ๑ “เร๓า๓กับ กิเลส’’

๓๒

สัตวโ ลกทุกตัวสัตวมีแต “นักจองปาชา ” กันท้งั น้ัน เกิดแลว ตอ งตาย ตายแลวเอา
ปา ชา ทีไ่ หน? กเ็ อาตวั ของเราเองเปนปา ชา มันมดี วยกันทุกคน เราทําไมจะขยันจองนกั
จองปาชา มันดีหรอื ? คนและสัตวทนทกุ ขจ นถงึ ตายไป ไมเข็ดไมหลาบทีต่ รงนจ้ี ะไปเข็ด
หลาบท่ีตรงไหน? อะไรมาใหท กุ ขใ หภ ัยแกเ รา ถา ไมใชเรอื่ งของความเกิดความตาย
เทา นนั้ เปน ทกุ ขเ ปน ภยั ในระหวา งทางก็เปนทกุ ขใ นธาตุในขนั ธ ความหวิ โหยโรยแรง
ความทกุ ขร อนตา ง ๆ มันเปนอยใู นธาตใุ นขนั ธน้ี ไมใชเปน อยูท ี่ภูเขานน่ี า ไมไ ดอยูใ น
อากาศ ไมไ ดอยูที่ตน ไม มันอยใู นบคุ คลคนหนึง่ ๆ สตั วต วั หน่งึ ๆ นี้เทานั้น กองทุกขร วม
แลวมันอยูท ่เี รา เราจะไปคดิ วา “อยทู ี่นนั่ จะดี อยูท ่ีนจ่ี ะด”ี ถาธาตขุ นั ธม นั เปน ภัยอยู
แลว หาอะไรดไี มไ ด ถา จติ ยงั เปน ภยั อยูแ ลวหาอะไรสขุ เจริญไมไ ด ตองแกไ ขทีน่ ี่(จติ )
ดับกนั ที่นี่ เอานาํ้ ดับ ดับกนั ที่นี่ นาํ้ คือน้ําธรรม ดับลงท่นี ีแ่ ลว กเ็ ยน็ เย็นแลวก็สบาย
หายโศกเศรา เลกิ กนั เสยี ทกี ารจับจองปา ชา

น่ีแหละพระพุทธเจาทา นสอนศาสนา สอนจนถงึ ท่นี ี่ การดาํ เนินทจี่ ะใหมีความสุข
ความสบาย ก็ใหดําเนนิ ไปตาม “สัมมาอาชวี ะ” โดยสมาํ่ เสมอ ภายนอกภายใน

สมั มาอาชวี ะภายใน กบ็ ํารุงเลีย้ งจิตของตนดว ยศีลดวยธรรม อยาเอายาพษิ เขา มา
แผดเผาจิตใจ มีอารมณท ไี่ มพอใจเปนตน เขามารบกวนจติ ใจ เผาลนจิตใจใหเ ดอื ดรอ นขนุ
มวั กเ็ ปน ความชอบ ชอบ ชอบไปตามลาํ ดบั จนกระท่งั จติ ไปถึงความชอบธรรมโดย
สมบรู ณแ ลว ก็ผานไปได น่ี

การแสดง “สัมมาอาชีวะภายนอก” ไมคอยมีเวลาเพยี งพอ
เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นวา สมควรแกเวลา ขอยุติเพยี งเทา นี้

ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๒
ธรรมะชดุ ๓เต๔รียมพร้อม



เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสเทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด ๓๓

เทศนโ์ ปรดคุณเพาพงา วรรธนเมะกอ่ื ลุ วนั ณที่ว๑ัด๕ปา่ มบ้ากนรตาาคดม พุทธศักราช ๒๕๑๙

เมือ่ วันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศกั ราช ๒เ๕ล๑๙ห เ หลย่ี มของกเิ ลส

ที่พระพุทธเจาทรงบัญญตั ิผรู ักษาต้ังแตศ ลี อโุ บสถข้ึนไปจนถงึ เณรถงึ พระ ไมให

นง่ั ใหน อนบนทนี่ อนอนั สงู และใหญภายในยัดดว ยนนุ และสาํ ลี นัน่ ทา นทรงกลา ววา ผู

ปฏบิ ัตธิ รรมจะมคี วามประมาท เพลินในการหลบั นอนจนเกินไปย่ิงกวา ทาํ ความ

พากเพียร พระองคทรงมีอุบายหามทกุ แงทกุ มมุ ซ่ึงจะเปนทางเพ่ิมพนู กเิ ลสท้ังหลาย

ทรงพยายามชว ยเหลอื ตัดหนทางที่จะเพมิ่ พูนกเิ ลสของผปู ฏิบตั ิธรรมทง้ั หลาย ใน

บรรดาทร่ี กั ษาศลี ตั้งแตศ ีล ๕ ศลี ๘ ขน้ึ ไปถงึ ศลี ๒๒๗ ตามขนั้ ตอนของผูรักษาศีลนั้น



แมธ รรมกไ็ มมีธรรมขอ ใดทีจ่ ะสอนใหผูปฏิบัตมิ คี วามประมาทนอนใจ มีแตสอน

ใหม ีสตใิ หม ีปญ ญา ความระมดั ระวัง ใหม คี วามพากเพียรความอตุ สาหพยายาม ใหเ ปน

นกั ตอสูอยูตลอดเวลา ไมเ คยปรากฏในบทใดบาทใดวาพระองคท รงสอนใหล ดละความ

พากเพียรและออ นแอในการงานท่ชี อบทง้ั หลาย

สอนฝา ยฆราวาสกส็ อนใหม ีแตความขยนั หม่ันเพยี รทงั้ นน้ั เราจะเหน็ ไดใ นบท

ธรรมวา อฏุ ฐานสมั ปทา ใหถงึ พรอมดวยความขยนั หมนั่ เพียรในกจิ การงานทีช่ อบ

อารักขสัมปทา เม่ือแสวงหาทรพั ยสมบตั มิ าไดดว ยความชอบธรรมแลว ใหพ ยายาม
เกบ็ หอมรอมริบ อยาใชส ุรยุ สุราย กลั ยาณมติ ตตา ใหระมดั ระวังอยาคบคนพาล

สันดานชวั่ ใหค บเพอื่ นท่ดี งี าม ระวังพวกปาปมิตรจะเปน เหตุใหเ สยี ได เพราะคนเรา

เมือ่ คบกนั ไปนาน ๆ ยอ มมนี ิสัยกลมกลืนไปในรอยเดียวกันได ท้ังคนดหี รือคนชว่ั มี

ทางเปนไปไดทงั้ สอง คบคนชว่ั กเ็ ปน คนชัว่ ไปได คบคนดีก็เปนคนดีไปได สมชีวิตา ให
เล้ยี งชีพพอประมาณ อยาสรุ ยุ สรุ ายหรอื ฟงุ เฟอ เหอเหิมลมื เน้ือลมื ตวั

การเก็บทรัพยเปนสิง่ สําคญั ใหร ูเหตุผลทค่ี วรเก็บ เหตผุ ลท่คี วรจาย นนั่ นา ฟง

ไหม ทา นสอนพวกเราที่เปนนักสรุ ยุ สรุ า ยนะ มีจุดไหนท่ีพระพุทธเจา ทรงสอนใหค นมี

ความลืมตวั ไมมี เพราะฉะนัน้ คาํ วาประหยัด มัธยัสถ จึงเปนหลักประกนั การครองชพี

ของบุคคลทว่ั ไปตลอดถึงผปู ฏิบัติ ความไมล มื ตวั คอื ความมสี ติปญญาเปนเครื่องรกั ษา

ตัวนัน่ เอง สมบตั ิมีมากมีนอ ยใหมคี วามประหยัดความมธั ยสั ถ ใหร ูจ ักใชสอยใหเ กิด

ความสขุ บรรดาสมบัติเงนิ ทองมมี ากนอยอยา ใหเ ปนขาศึกแกต น เพราะความลมื ตัวนนั้

เลย

ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชุด๓เ๓ต๖ร๓ียมพร้อม


Click to View FlipBook Version