๘๐
ไมมภี าระของผูใดท่ีจะหนักหนายง่ิ กวา “พุทธกิจ-พุทธภาระ” ของพระพุทธเจาแตล ะ
พระองค พระพุทธเจาเปน “พุทธวสิ ัย” ของศาสดา นาํ พุทธภาระไปไดตลอดทวั่ ถึง
สาํ หรับพวกเราไมมีความสามารถอยา งทาน แมแ ตจะสง่ั สอนตนเพยี งคนเดยี วก็
ยงั ลม ลกุ คลกุ คลาน ใหก เิ ลสตัณหาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย ข้รี ดเย่ียวรดวนั ยังค่ําคนื ยังรงุ บาง
ทเี ดินจงกรมมนั กข็ รี้ ดบนหัวอยทู ่ีหัวทางจงกรม นอนภาวนามันกข็ ีร้ ดเยยี่ วรดอยทู ี่นอน
นน่ั คนท้ังคนกลายเปน “สว ม” ! เปน “ถาน” ของกเิ ลสตัณหาทุกอริ ิยาบถดว ยความ
ไมม ีสติ พจิ ารณาซี ดูมันตางกนั ไหม? พระพทุ ธเจากับพวกเราชาวสว มชาวถานของ
กเิ ลสนะ!
ถาหากจะพจิ ารณาแลว นําคตทิ า นมาเปน ประโยชน เปน คตเิ ครอ่ื งพราํ่ สอนตวั
เองใหเกดิ ประโยชนจ ากธรรมทกี่ ลา วมานไ้ี ด มบี ทสําคัญอยวู า พระพทุ ธเจาทาํ ไม
สามารถสั่งสอนพระองคไ ด แลวเปนครูของสัตวโลกทงั้ สามโลกธาตโุ ดยตลอดทั่วถึง แต
เราจะสามารถสอนตัวเรา และแกก ิเลสตณั หาอาสวะซงึ่ มอี ยภู ายในใจเราเพยี งดวงเดียว
เทา นน้ั ทาํ ไมจะทาํ ไมไ ด ทาํ ไมจะปลอยตัวใหกเิ ลสตณั หาอาสวะทงั้ หลายข้รี ดเยี่ยวรด
อยูทงั้ วันท้ังคืนยืนเดนิ นั่งนอน ตง้ั แตเลก็ จนถึงเฒาแกชรา ตายไปกบั ข้ีกับเยย่ี วของ
กิเลสคละเคลาเต็มตัวมอี ยางเหรอ! มนั สกปรกขนาดไหนกิเลสอาสวะนะ แลวทําไมให
มนั ขีร้ ดเย่ยี วรดเราอยตู ลอดเวลา เราไมม คี วามขยะแขยงตอ มนั บางเหรอ?
เพยี งเราคนเดยี วกย็ ังเอาตวั แทบไมร อด ก็ยงั นอนยงั น่งั ใหก เิ ลสตณั หาอาสวะมนั
ขี้รดเย่ียวรดตลอดมาในอริ ิยาบถท้งั ส่ี ยังจะเปนสวมเปนถานมันอยูอกี หรอื ? ควร
พิจารณาตัวเอง นีเ่ ปน คตอิ ันสาํ คญั ท่ีเราจะนํามาใชส ําหรบั ตวั เอง กิเลสมนั มีอาํ นาจ
วาสนาขนาดไหน พระพุทธเจา พระสาวกอรหตั อรหนั ต หรอื พุทธบรษิ ัททั้งหลายตั้งแต
คร้งั พทุ ธกาล ทา นกเ็ ปน คนๆ หน่งึ แตทําไมทานปราบมันได เอามนั มาเปนสวมเปน
ถานได ขีเ้ ย่ยี วรดมันได ทําไมเราจะทําไมได? คดิ คน จบั มนั ฟดมันเหว่ยี งดวยสติปญ ญา
ศรัทธาความเพียร จนมนั กลายเปน สว มเปน ถานของเราเสียทไี มดีหรือ?
เอา พยายามมองดู มองไปทางไหนกม็ ีแตห องนํ้าหอ งสวมของกเิ ลส มันกน็ า
สลดสังเวชเหมอื นกนั เอา ฟต ตวั ใหดี แกใหไ ดกับมอื วนั นม้ี นั อยูท่ไี หนกเิ ลสนะ ?มนั อยู
ท่หี ัวใจเรานี่! ไมไ ดอยตู รงไหน แตว าเรามกั จะเขา ใจวา กเิ ลสมนั เปน เพอ่ื นสนทิ ของ
เรา และเปน เราเสียทง้ั หมด นีแ่ หละ! ทีม่ นั แกไ มต ก เพราะเห็นวากเิ ลสมนั เปนเรา จงึ
ไมก ลาแตะตองทําลายมนั กลวั จะเปนการทาํ ลายตนทีร่ ักสงวนมากไปดวย
ถา ถือวา กเิ ลสเปนกเิ ลสและกเิ ลสเปนภยั แลว ก็มที างแกไขได หาอบุ ายพจิ ารณา
แกไขตวั เองใหได พูดถึงการแกกไ็ มม อี ะไรท่ีจะแกย ากย่งิ กวา แกกิเลส กเิ ลสคอื อะไร?
กค็ ือความโลภ ความโกรธ ความหลง เปน ตนนั่นแล
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๘า๗ก๘ับ๐ กเิ ลส’’
๘๑
มนษุ ยเรามีหวั ใจ สตั วม หี วั ใจ ทําไมจะไมอ ยากไดอ ยากมี ทาํ ไมจะไมอยากโลภ
“เมืองพอ” ของความโลภมันมที ่ไี หน “เมืองพอ” ของความโกรธมนั มที ไ่ี หน? “เมือง
พอ”ของความหลงมนั มที ่ีไหน? มันไมมีขอบเขต มันกวางขวางยิ่งกวาแมนํา้ ทอ งฟา
มหาสมุทร เพราะฉะนน้ั มันจึงแกยาก เพราะมันกวางแสนกวางจึงเปนของแกไดยาก แต
ถงึ กวา งขนาดไหนกต็ าม รากฐานของสิง่ เหลา น้ีมนั กอ็ ยูทใี่ จดวงเดยี วนเี้ ทานนั้ ประมวล
ลงมาฆาที่ตรงน้ี! ตดั รากแกว ของมันออกที่ตรงนแ้ี ลวมันก็ตายไปหมด เชน เดยี วกับตน
ไมท ถี่ ูกถอนรากแกวแลว ตองตายถายเดียวฉะนนั้ !
ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิ่งกานสาขาของมนั แตกกง่ิ แตกกา น แตกใบ
แตกดอก แตกผลออกไปมากมายเพยี งใดกต็ าม มนั ขน้ึ อยูก บั ตนของมนั มันมีตน มี
อาหารท่หี ลอ เล้ยี งมันจงึ เจรญิ เตบิ โต แตกก่งิ แตกกานออกไปได แตถา พยายามตดั สง่ิ
สาํ คญั ๆ ของมนั ซ่ึงมีอยภู ายในจติ ใจออกแลว มันจะไมม ที างแผกระจายไปไดมากมาย
ดังที่เคยเปนมา จะคอ ยอับเฉาหรือคอ ยยบุ ยอบตายลงไปโดยลําดับ จนกระท่งั ตายหมด
โดยส้ินเชิงหลงั จากถอนรากแกว คอื “อวชิ ชา” ออกหมดแลว ดว ยอํานาจของ “มหา
สติ มหาปญ ญา ศรัทธาความเพยี ร” ไมม อี ยา งอ่นื ทจ่ี ะยงิ่ ไปกวา ธรรมดังกลา วน้ี ซง่ึ
เหมาะสมอยางย่ิงกบั การฆากเิ ลสท้ังสามประเภทอนั ใหญโตนี้ใหหมดไปจากใจ
คาํ วา “สมณะท่ี ๑, ท่ี ๒, ท่ี ๓ ที่ ๔” จะปรากฏข้ึนมาเปนลําดับๆ และปรากฏ
ขนึ้ มาอยา งแจงชัดประจกั ษใจเปน “สนทฺ ฏิ ฐโิ ก” รูเองเหน็ เอง ในวงผปู ฏิบัตโิ ดยเฉพาะ
“ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ” ทานผรู ูทัง้ หลายจะไมรทู ี่อน่ื จะรูขน้ึ กบั ตวั เองนีด้ วยกัน
ทงั้ สนิ้ เพราะธรรมะทานวางไวเ ปนสมบัตกิ ลาง น่เี ปน จดุ ทจ่ี ะตดั กิเลสอาสวะทงั้ หลาย
ตองสูมัน! เวลานีเ้ ราไดสติสตังมาพอสมควรแลว ไดร ับการอบรมจากอรรถจากธรรม
ไดศ กึ ษาเลาเรียนมาพอสมควร ไดฟ งโอวาทจากครอู าจารยมาพอสมควร ปญ หาอัน
ใหญก ค็ ือเร่ืองของเราท่ีจะฟต ตวั ใหมีสตปิ ญญาทันกับกลมายาของกิเลส ซง่ึ มรี อ ยเลห
พันเหลี่ยมรอยสนั พันคมภายในใจ ใหขาดลงไปโดยลาํ ดบั ๆ
กิเลสขาดลงไปมากนอ ย ความสุขความสบายก็คอยปรากฏขึน้ มาภายในใจ
ความเยน็ ใจน้เี ย็นยิ่งกวาส่งิ ทงั้ หลายเยน็ สุขใจสกุ ไมม งี อม สกุ ไมม ีเปอ ยมเี นา สขุ อยา ง
สมาํ่ เสมอ สุขสดุ ยอด จึงเปน “สุข อกาลโิ ก”ไมม ีสลายเปลยี่ นแปลงไปไหน เปน ความ
สขุ ทย่ี อดเยี่ยมคงเสนคงวา ไมมสี มมตุ ใิ ดมาทําลายไดอกี น่แี หละท่ที า นเรยี กวา “ความ
สขุ ของนักปราชญ”
พระพุทธเจา ทา นทรงคนพบความสขุ ประเภทน้ี สาวกอรหตั อรหนั ตท ง้ั หลาย
ทานก็คน พบความสขุ ประเภทน้ี ทา นจึงปลอ ยวางความสุขสมมุติโดยประการทงั้ ปวง ที่
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๘เ๘ต๘ร๑ยี มพร้อม
๘๒
เคยเกี่ยวขอ งกนั มา ไมเ พียงแตสุข ทุกขก ็ปลอ ยโดยส้ินเชิงเชนเดยี วกัน เปนผูหมดหว ง
ใยหมดปา ชา ไมต องมาวนเวยี นตาย-เกดิ กันไมหยดุ ไมถ อยในกําเนดิ ตา งๆ ภพนอ ย
ภพใหญท่เี รียกวา “วฏั วน”วนไปวนมา ตดั กงจักร “วฏั วน” นอี้ อกจากใจเสยี ได เปน
ความสขุ เปน ความสบายอนั ลน พน
นคี่ อื ความสขุ ของมนุษยแท สมกบั ภมู ขิ องมนุษยทมี่ ีความเฉลียวฉลาด เจอ
ความสขุ น้ีแลว สง่ิ ใดๆ ก็ปลอยไปหมด น่ีในธรรมบทท่ีวา “สมณานจฺ ทสฺสนํ” ก็เขา
ในจติ ดวงน้ี แม “นพิ พฺ านสจฺฉิกิริยาจ เอตมฺมงฺคลมตุ ตฺ ม”ํ กเ็ ชนเดียวกัน การทําพระ
นพิ พานใหแจง คอื เวลานี้พระนิพพานถูกปด บงั ดว ยกเิ ลสประเภทตางๆ จนมืดมดิ ทั้ง
กลางวนั กลางคืน ไมมคี วามสงาผา เผยขึน้ ภายในจิตใจแมน ดิ หนึ่งเลย
พระอาทติ ยแ มจะถูกเมฆปดบัง แสงสวา งสองมาไมเ ต็มทเ่ี ต็มฐานไดกต็ าม แต
เปน บางกาลบางเวลา ยอ มมีการเปด เผยตวั ออกไดอยา งชัดเจน ทเี่ รียกวา “ทองฟา
อากาศปลอดโปรง” จติ ใจของเราที่ถูกกิเลสหมุ หอปดบังอยนู ี้ ไมม ีวนั ปลอดโปรงได
เลย มดื มิดปดตาอยูอยางน้นั น่นั แหละทานวา “ใหท ําพระนิพพานใหแจง” พระ
นพิ พานก็หมายถึงจิตนั้นเองไมไดห มายถงึ อะไรอืน่ ทพ่ี ระนพิ พานยงั แจงไมไดกเ็ พราะ
ส่ิงปดบงั ท้งั หลายคือกเิ ลสนี้ ซง่ึ เปรียบเหมือนกอนเมฆปด บังพระอาทิตย เม่ือชําระดวย
ความเพยี รมีสติปญ ญาเปน ผบู กุ เบิกแลว พระนพิ พานซง่ึ เปน ตวั จิตลวนๆ นัน้ กค็ อ ย
แสดงตัวออกมาโดยลาํ ดับ จนกระทั่งทําพระนิพพานแจงอยางประจักษ
นก่ี ็ “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ เปนมงคลอนั สูงสดุ ไมมมี งคลอันใดในโลกนจ้ี ะสูง
ย่งิ กวา การพบสมณะสดุ ทายคอื พระอรหัต และการทําพระนิพพานใหแ จง คอื ถงึ ความ
บรสิ ุทธขิ์ องใจ นี่เปนมงคลอันสูงสดุ ทําใหประจักษกับใจเราเอง ทงั้ จะไดร ชู ดั เจนวา
ศาสนาของพระพุทธเจา นนั้ นะ สอนโลกอยา งปาวๆ เลนๆ หรือวา สอนจริงๆ หรอื
ใครเปน คนเลน ใครเปนคนจรงิ โอวาทเปนของเลน หรอื ผูฟงผถู ือเปนคนเลน หรือ
อะไรจริงอะไรไมจริง พิสจู นกันทหี่ ัวใจเรา นาํ โอวาทนน้ั แหละเขา มาพสิ จู น เปนเครื่อง
มอื เทยี บเคียงวา อะไรจรงิ อะไรปลอมกันแน
เมือ่ ธรรมชาติน้จี ริงขน้ึ มาลวนๆ ทใ่ี จแลว ตําราธรรมของพระพุทธเจา แมท ่ี
เขยี นเปนเศษกระดาษซ่ึงตกอยูต ามถนนหนทางยงั ไมกลา เหยยี บยาํ่ เพราะนน่ั เปนคาํ
สอนของพระพุทธเจา เหยียบไมลง เพราะลงไดเคารพหลกั ใหญแลว ปลีกยอยกเ็ คารพ
ไปหมด พระพทุ ธรูปก็ตาม จะเปน อะไรกต็ ามทเ่ี กยี่ วกบั “พทุ ธ ธรรม สงฆ” แลว
กราบอยา งถึงใจเพราะเชอ่ื หลักใหญแ ลว
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๘า๙๘ก๒ับ กเิ ลส’’
๘๓
หลกั ใหญคืออะไร? คือหวั ใจเราถึงความบรสิ ทุ ธิ์ เพราะอํานาจแหง ธรรมคาํ สั่ง
สอนของพระพุทธเจาเปน เครอ่ื งช้แี จงแสดงบอกแนวทางใหรูท้ังเหตแุ ละผล จึงเคารพ
ไปหมด ดงั ทานอาจารยมน่ั เปนตวั อยางในสมัยปจ จุบัน
ในหองนอนใดทีถ่ กู นมิ นตไ ปพกั ถามหี นังสอื ธรรมะอยูตํ่ากวา ทาน ทานจะไม
ยอมนอนในหอ งนน้ั เลย ทา นจะยกหนงั สือนนั้ ไวใ หสงู กวาศรี ษะทานเสมอ ทา นจึงยอม
นอน
“นี่ธรรมของพระพทุ ธเจา เราอยูดวยธรรม กนิ ดว ยธรรม เปนตายเรามอบกับ
ธรรม ปฏิบัติไดร ูไดเ ห็นมากนอ ยเพราะธรรมของพระพุทธเจาท้ังนั้น เราจะเหยยี บยํา่
ทาํ ลายไดอยางไร! ทานวา “เอาธรรมมาอยตู ่าํ กวาเราไดอยา งไร!” ทา นไมย อมนอน
ยกตัวอยา งท่ีทานมาพกั วัดสาลวันเปนตน ในหอ งนั้นมหี นงั สอื ธรรมอยู ทา นไมยอม
นอน ใหขนหนังสือขน้ึ ไวท ส่ี งู หมด นแ่ี หละ! ลงเคารพละตองถงึ ใจทุกอยาง” เพราะ
ธรรมถึงใจ
ความเคารพ ไมว า จะฝา ยสมมุตไิ มว า อะไรทานเคารพอยางถึงใจ ถงึ เรียกวา
“สุดยอด” กราบพระพุทธรูปกส็ นิท ไมม ีใครที่จะกราบสวยงามแนบสนิทย่งิ กวาทาน
อาจารยม ัน่ ในสมัยปจจุบันน้ี เห็นประจักษดวยตากับใจเราเอง ความเคารพในอรรถใน
ธรรมก็เชนเดยี วกัน แมแตรูปพระกจั จายนะ ทอ่ี ยูในซองยาพระกัจจายนะ พอทานไดมา
“โอโห ! พระกจั จายนะเปนสาวกของพระพุทธเจา น่ี! ทา นรีบเทยาออก เอารูปเหนบ็ ไว
เหนอื ทนี่ อนทา น ทา นกราบ “นอ่ี งคพ ระสาวก นร่ี ปู ของทาน” นน่ั ! “มีความหมายแค
ไหนพระกัจจายนะ จะมาทําเปนเลนอยา งนไ้ี ดเหรอ?” แนะ ! ฟงดูซิ
นแ่ี หละเมือ่ ถงึ ใจแลว ถึงทุกอยา ง เคารพทกุ อยา ง บรรดาส่ิงทีค่ วรเปนของ
เคารพทานเคารพจริง นัน่ ทานไมไดเลน เหมือนปุถชุ นคนหนาหรอก เหยียบโนน
เหยยี บน่เี หมือนอยางพวกเราทงั้ หลาย เพราะไมรนู ี่ คอยลบู ๆ คลาํ ๆ งูๆ ปลาๆ ไปใน
ลักษณะของคนตาบอดนน้ั แล ถา คนตาดแี ลวไมเหยยี บ อันไหนจะเปนขวากเปนหนาม
ไมยอมเหยียบ สิง่ ใดที่จะเปน โทษเปนภัยขาดความเคารพ ทานไมย อมทาํ นกั ปราชญ
ทานเปนอยา งนนั้ ไมเ หมอื นคนตาบอดเหยยี บดะไปเลย โดยไมค าํ นึงวา ควรหรือไมควร
(เสยี งเครอื่ งบินดงั ไมห ยุด ทา นเลยหยดุ เทศน)
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชดุ ๙เต๐๘ร๓ยี มพรอ้ ม
กเิ ลส กดถว่ งจติเเทมอื่ศวนันโ์ ปทร่ี ด๗คณุธันเพวาาคพมงาพวทุเทรธรศศธักนนระโเามปกชลุ่ือรดว๒ณันค๕ท๑ณุ ว๘่ีัดเ๗กพปา่าิเธบพลนั า้ งสวนาาตกควารดมดรธถพนุทว ะธงกศจลุ ักิตณราชวดั ๒ป๕า ๑บ๘า นตาด ๘๔
โดยปกตอิ ากาศภายนอกไมรบกวนประสาท เสียงตา งๆ ไมม ปี ระสาทก็สงบไม
มีการกระทบกระเทอื นกนั การกระทบกระเทือนเปน สาเหตุใหเกดิ ทกุ ขด านจิตใจและ
สว นรา งกาย ความสงบสงัดภายในกไ็ มกวนใจ นอกจากเปน “คณุ ” แกใจโดยถายเดียว
ใจที่ไมส งบก็เพราะมสี งิ่ รบกวนอยูเสมอ ความถกู รบกวนอยเู สมอ ถาเปนน้ําก็ตองขนุ
นาํ้ ถา ถกู กวนมากๆ ก็ขนุ เปนโคลนเปน ตมไปเลย จะอาบดม่ื ใชสอยอะไรกไ็ มส ะดวกทั้ง
น้ัน เพราะนํ้าเปนตมเปน โคลน
จติ ใจที่เปนเชน นน้ั ก็แสดงวา ใหประโยชนแ กต นไมได ขณะท่ีถกู รบกวนจนถึง
เปนตมเปน โคลนอยภู ายในจติ ใจ ตองแสดงความรมุ รอนใหเ จา ของไดรบั ความทุกข
มากเอาการ ผลของมนั ทําใหเปนความทุกขค วามลาํ บาก เราจะเอาความทกุ ขค วาม
ลาํ บากน้ไี ปใชป ระโยชนอ ะไรเลา? เพราะความทกุ ขค วามลําบากภายในจติ ใจนี้ โลกกลัว
กันทง้ั นน้ั แลว เราจะเอาทุกขนไ้ี ปทําประโยชนท ี่ไหนได ! ไมกลวั กบั โลกผูดแี ละปราชญ
ผูแ หลมคมทานบางหรือ?
การแกไ ขเพ่ือไมใหม อี ะไรกวนใจกค็ อื การระวงั ดว ยสติ ถา จิตสงบกส็ บาย เชน
เดียวกับน้าํ ทีไ่ มมอี ะไรรบกวน ตะกอนแมจะมีอยูก็นอนกนไปหมดเพราะนาํ้ น่ิงไมถ กู รบ
กวนบอ ยๆ ยอมใสสะอาด
พระพทุ ธเจาผูป ระทานธรรมไว ทรงถอื เปน สาํ คญั อยา งย่ิงสาํ หรบั ใจในอันดับ
แรก ทรงเลง็ ญาณดสู ตั วโลกในขณะทีต่ รัสรใู หมๆ ก็เลง็ ญาณดจู ิตใจ ไมใ ชเล็งญาณดู
ความรวู ชิ า ฐานะสูงต่ํา ความมงั่ มดี ีจนของสัตวโลกท่ัวๆ ไปเลย แตทรงเลง็ ญาณดูจติ ใจ
เปนสําคญั เชน ผูควรจะไดบรรลุมรรคผลนิพพานในระยะรวดเร็ว และจะมีอนั ตรายมา
ทาํ ลายชวี ิตในเวลาอนั ส้นั กม็ ี หรอื ผมู อี ปุ นสิ ัยที่ควรจะบรรลุมรรคผลนพิ พานไดแ ละไม
มอี ันตรายก็มี เหลา นล้ี ว นแตท รงถอื เร่อื งจติ เปน สําคัญ เล็งญาณกเ็ ล็งดูจิตของสตั วโ ลก
วา ควรจะไดบรรลหุ รือไม หรอื ไมควรรบั ธรรมเลย เปนจาํ พวก “ปทปรมะ” คือมืดบอด
ท้ังกลางวันกลางคนื ยนื เดินนั่งนอน เรยี กวา “มืดแปดทิศแปดดาน” ไมม กี าลสถานที่
เขามาเปด เขา มาเบิกความมืดนั้นออกไดเ ลย มืดมิดปดตาอยูภายในจิตใจ ประเภทที่
เปนเชนนี้พระองคทรงทราบ และ “ชักสะพาน” คือไมทรงสัง่ สอนอะไรทงั้ สน้ิ ถาเปน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๙เ๘ต๒ร๔ียมพร้อม
๘๕
โรค ก็คอื โรคหมดหวัง แตหมอกย็ งั ตองรกั ษาโดยมารยาทดว ยมนษุ ยธรรม จงึ ยังตอ ง
ใหอ อกซเิ จนหรือยาอะไรๆ ไปบางตามสมควรจนกวาจะถึงกาล
สวนพระพุทธเจา ไมท รงสั่งสอน เพราะเปนประเภทหมดหวงั โดยสน้ิ เชิงแลว ที่
เรียกวา “ปทปรมะ” คือประเภทท่ไี มม ที างแกไ ขเยียวยา รอเวลาความตายอยเู พยี ง
เทา นน้ั ประเภทน้ีเปนประเภทท่มี ืดบอดทส่ี ุด พระองคก็ทรงทราบ ทราบทจี่ ติ ใจนัน้
เองไมทราบทอี่ ื่น เพราะทรงมุงตอ จิตใจเปน สาํ คัญ
ศาสนาวางลงที่จติ ใจของมนษุ ยเ ปนสําคญั ยิ่งกวา ส่งิ ใดในโลกนี้
“ประเภท อคุ ฆฏติ ัญู” ท่จี ะรูธ รรมไดอยา งรวดเรว็ เม่อื พระองคป ระทาน
ธรรมะเพยี งยอ ๆ เทา นั้น พระองคก็ทรงทราบ และรองลงมาประเภท “วิปจิตัญ”ู ก็
ทรงทราบ และทรงส่ังสอนธรรมะทีค่ วรแกอ ปุ นสิ ยั ของรายนั้นๆ “เนยยะ” คอื ผูทตี่ อ ง
สัง่ สอนหลายคร้งั หลายหน คือผูท่พี อแนะนาํ สั่งสอนได พอจะนาํ ไปได ฉุดลากไปได
พดู งายๆ “เนยยะ” กแ็ ปลวา พวกท่จี ะถูไถไปไดนนั่ เอง พระองคกท็ รงสงั่ สอน ผนู น้ั ก็
พยายามปฏิบตั ติ นในทางความดไี มลดละปลอยวาง ก็ยอมเปนผลสาํ เรจ็ ได
สว น “ปทปรมะ” น่นั หมดหวัง ถงึ จะลากไปไหนกเ็ หมอื นลากคนตาย ไมมี
ความรูส ึกอะไรเลย ทั้งใสร ถหรือเหาะไปในเรอื บิน กค็ อื คนตายนน่ั แล ไมเกดิ ผล
ประโยชนอ ะไรในทางความดี ตลอดมรรคผลนพิ พาน คนประเภทนีเ้ ปน คนทีห่ มดหวัง
ทั้งๆ ทยี่ งั มีชวี ติ อยู ไมสนใจคิดและบาํ เพ็ญในเรอ่ื งบญุ บาป นรก สวรรค นิพพาน ไม
สนใจกบั อะไรเลยขน้ึ ชือ่ วา “อรรถ” วา “ธรรม” นอกจากตั้งหนาตั้งตาสง่ั สมบาปนรก
ใสห ัวใจใหเ ตม็ จนจะหายใจไมอ อก เพราะอดั แนน ดว ยเช้ือไฟนรกเทา นัน้ เพราะน่นั เปน
งานของคนประเภทนั้นจะตองทํา เนือ่ งจากใจอยเู ฉยๆ ไมได ตองคิดปรุงและทํางาน
พระองคทรงทราบหมดในบุคคลส่จี าํ พวกน้ี ทรงเล็งญาณดสู ตั วโลกเปนประจาํ
ตาม “พุทธกจิ หา ” ซง่ึ เปน กิจของพระพทุ ธเจา โดยเฉพาะ ในพทุ ธกิจหาประเภทนั้น
มกี ารเล็งญาณตรวจดูอุปนสิ ัยของสตั วโ ลกเปน ขอหนึง่ ทีพ่ ระองคทรงถอื เปนกิจสําคัญ
วา ใครทข่ี อ งตาขายคือพระญาณของพระองค และควรเสด็จไปโปรดกอน กอ นที่
ภยันตรายจะมาถงึ รายนัน้ ๆ ในไมชา ทงั้ น้หี มายถงึ จิตนน่ั เอง เพราะฉะนั้น “จติ ” จึง
เปน ภาชนะสําคัญอยางยิง่ ของธรรมทั้งหลาย และจติ เปน ผูบงการ “จติ เปน นาย กาย
เปนบาว” จิตไดบ งการอะไรแลว กายวาจาจะตอ งหมนุ ไปตามเร่ืองของใจผูบงการ
เพราะฉะนั้นทางโลกเขาจึงสอน “นาย” หวั หนา งานเสยี กอ น สอนหวั หนา งานใหเ ขา อก
เขาใจในงานแลว ก็นําไปอบรมลกู นองใหดําเนินตาม
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๙า๓๘กบั ๕กเิ ลส’’
๘๖
ฝา ย “ธรรม” เมอ่ื ส่ังสอน “ใจ” ผเู ปนหวั หนา ใหเ ปนทเ่ี ขาใจแลว ใจกย็ ดึ มา
รักษากายวาจาของตน ใหด ําเนนิ ไปตามรอ งรอยแหง ธรรมท่ใี จไดร บั การอบรมสงั่ สอน
มาแลว การปฏบิ ัติตัวก็เปนไปเพ่ือความราบรื่นชื่นใจ ดังน้ันใจผูเปนใหญเปนประธาน
ของกายวาจา จงึ เปน สง่ิ สําคัญมากในตวั เรา พูดฟงงายก็วา แกนของคนของสตั วท่ีเปน
อยูก ็คอื ใจตวั รๆู อยใู นรา งกายนน้ั แล เปน ตัวแรงงานและหัวหนางานทกุ ประเภท ใจจงึ
ควรรบั การอบรมดว ยดี
ศาสนธรรมจงึ ส่งั สอนลงทใ่ี จ ซง่ึ เปน ภาชนะอันเหมาะสมแกธรรมทกุ ขนั้ ทกุ ภมู ิ
นบั แตขั้นตา่ํ จนถึงข้นั สงู สดุ คือ “วิมุตตพิ ระนิพพาน” ไหลลงรวมท่ใี จแหงเดียว เราทุก
คนมีจติ ใจ มีความรอู ยูทกุ ขณะไมว า หลบั ตนื่ ความรูนั้นมอี ยเู ปนประจาํ ไมเ คย
อนั ตรธานหายไปไหนเลย เวลาหลับสนิทกไ็ มใ ชค นตาย ความหลบั สนิทผดิ กบั คนตาย
ผูร ูกร็ ูวา หลบั สนิท ตน่ื ขนึ้ มาเราพดู ไดวา “หลบั ไมยงุ กบั สิง่ นอกๆ ใจจงึ ราวกบั กบั ไมรู
อะไรในเวลาหลับสนทิ แตค วามจริงนั้นรู เวลาหลบั สนทิ กว็ า หลบั สนทิ ตนื่ ข้นึ มาเราพูด
ไดว า “แหม คืนนห้ี ลบั สนิทดเี หลือเกิน” บางคนถึงกบั พดู วา “แหม เมอ่ื คนื นน้ี อน
หลับสนิทเหมือนตายเลย” มนั เหมอื นเฉย ๆ แตไมตาย “ผูร”ู อนั นเ้ี ปน อยา งนนั้
ละเอียดถึงขนาดน้ันเทียว จะฝนหรอื ไมฝ น พอต่นื ข้ึนมากพ็ ดู ไดถ าสญั ญาทําหนา ที่ให
คือความจาํ นน้ั นะ ทาํ หนาทใ่ี ห เรากจ็ ําไดและพูดได ถา “สัญญา” คอื ความจาํ ไมอ าจทาํ
หนาทีไ่ ด หลงลืมไปเสียแลว เรากน็ ําเรอื่ งราวในฝน มาพดู ไมไ ด สิ่งทีเ่ ปน ไปแลว นัน้ ก็
เปน ไปแลว รไู ปแลว จาํ ไดแ ลว แตม นั หลงลมื ไปแลว เทานน้ั ก็เกี่ยวกบั เรอ่ื งของความรู
คือใจน่ันเอง ใจเปนเชนนน้ั แล ละเอียดมาก
การนอนอยเู ฉยๆ ไมม ีผรู ับรูเชนกบั คนตายแลว มนั จะไปทํางานทาํ การ ประสบ
พบเห็นส่ิงนนั้ ส่ิงน้ี เปนเรื่องเปน ราวใหฝ นไปไดอยา งไร มันเปน เรอื่ งของใจทัง้ นัน้ ท่ี
แสดงตัวออกไปรเู รื่องตางๆ ใหเ ราจําไดในขณะทีฝ่ นและตืน่ ขึน้ มา “วนั น้ฝี น เรอ่ื งน้ัน
เรอ่ื งนี้ แตจติ ทล่ี งสภู วงั คแ หงความหลับสนิทอยา งเต็มท่ีแลวกไ็ มม ีฝน ชอ่ื วา “เขาสู
ภวงั คแ หง ความหลบั สนทิ ” คือภวังคแ หงความหลับสนทิ ทางจิตเปน อยา งนี้ ถา คน
หลับสนิทก็ช่ือวาใจเขาสภู วังคความหลับสนทิ อยางเตม็ ที่ ก็ไมม ีฝนอะไร ต่นื ข้ึนมาราง
กายกม็ กี าํ ลงั จติ ใจกส็ ดใส ไมม คี วามทุกขความรอ นอะไร กาํ ลังใจก็ดี ผดิ กบั การหลบั
ไมสนทิ ปรากฏเปน นมิ ิตในฝนโนน นี่อยา งเหน็ ไดชัด
เวลาหลบั ไปแลวฝนไปตางๆ นน่ั คอื จติ ไมไดเขาสูภวังคแหงความหลับสนิท จิต
ออกเทย่ี ว เรๆ รอ นๆ ไป ปกตขิ องใจแลวหลบั ก็รู คาํ วา “หลบั กร็ ู” เปนความรใู น
หลับโดยเฉพาะ สตปิ ญ ญาไมเ ขา เกย่ี วขอ งในเวลานัน้ รูอ ยูโ ดยธรรมชาติ ไมเหมือน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๙เต๔๘รีย๖มพรอ้ ม
๘๗
เวลาตืน่ แตเ วลาต่นื แลว สตปิ ญ ญามโี อกาสเขา ไปเกย่ี วขอ งไดท กุ ระยะ ถา มสี ติ
คอยตามทราบความรูอันน้ันโดยลาํ ดับ ใจจะแย็บไปรูสง่ิ ใดก็ทราบ คนมีสตดิ ียอม
ทราบทุกขณะจิตที่เคลอื่ นไหว ไปรูเร่ืองอะไรบาง หากไมมสี ติ มแี ตค วามรูก็ไมท ราบ
ความหมายวามันรูเ ร่อื งอะไรบา ง ความไมมสี ตเิ ปน เครือ่ งกํากับรกั ษาใจ จึงไมคอยได
เรื่องอะไร ดังคนบา นน่ั เขาไมม สี ติ มแี ตค วามรูคือใจ กบั ความมดื บอดแหง โมหะ
อวชิ ชาหมุ หอ โดยถา ยเดยี ว คิดจะไปไหนทาํ อะไร ก็ทําไปตามประสีประสาของคนไมมี
สติปญ ญารบั ผดิ ชอบวา ถกู หรอื ผดิ ประการใด ไมใ ชค นทเี่ ปนบา น้นั เปน คนตาย เขาเปน
คนมใี จครองราง เขารเู หมอื นกัน เปนแตเ พยี งเขาไมรูดีรูช วั่ ไมรูผดิ รถู ูกอะไรเทา นนั้
เปนเพยี งรูเ ฉยๆ คดิ อยากไปอยากมาอยากอยู อยากทาํ อะไรกท็ าํ ไปตามความอยาก
ประสาคนบา ทไ่ี มม สี ติปญ ญารับผดิ ชอบตวั เอง
นแ่ี หละความรมู ันเปน อยา งนั้น จติ มนั เปนอยา งนั้น ถาไมม ีสตริ กั ษาแลว จะไมรู
เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องผิดเรือ่ งถกู อะไรเลย ไมม กี ารใครครวญเหตุผลตน ปลายลกึ ตน้ื
หยาบละเอียดอะไรไดเลย ถา ไมม ีสติปญญาแฝงอยูในนนั้ เพยี งความรูโดยลาํ พงั กเ็ ปน
อยางท่วี า นน้ั แหละ ยอมกลายเปน คนบาคนบอไปไดอยา งงา ยดาย
พอมสี ตขิ นึ้ มาคนบา ก็คอ ยหายบา เพราะมสี ตริ บั ทราบวาผิดหรือถกู ตาง ๆ
ความรทู ว่ี า น้ีไมใ ชค วามรทู บ่ี รสิ ทุ ธ์ิ เปน ความรขู องสามัญชนธรรมดา และยงั ลดลงไป
จากความรขู องสามญั ชนตรงทไ่ี มม สี ตคิ อยกาํ กบั รกั ษา จึงไดเปนความรูประเภท
บา ๆ บอๆ คือไมมีสติปญ ญาปกครองตน ไมม อี ะไรรบั ผิดชอบเลย มแี ตค วามรูโดย
ลําพัง จึงเปน เชนนั้น
ถา มีสติสตงั เปนเครื่องกํากับรกั ษาอยูแลว ความรนู ้นั จะเปนอยางนน้ั ไมได
เพราะมผี คู อยกระซบิ และชกั จงู มผี ูคอยเรง คอยรั้งอยเู สมอ เหมอื นกับรถทีม่ ีทัง้ คันเรง
มที ้งั เบรกมีท้ังพวงมาลัย จะหมุนไปทางไหนก็ไดด วยสติดว ยปญญาของคนขับ ทค่ี วบ
คุมจิตและรถอยตู ลอดเวลา
สวนจติ ของทา นผูถ งึ ความหลดุ พน แลว นั้นไมใ ชจ ติ ประเภทน!ี้ ความรูเฉยๆ
ทว่ี า มกี เิ ลสแฝงนน้ั ทา นกไ็ มม ี เปนความรูท่บี รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ จะวาทา นมีสตหิ รอื ไมมีสติ
ทานกไ็ มเ สกสรร ทา นไมม คี วามสาํ คญั มน่ั หมายตามสมมตุ ใิ ดๆ หลกั ใหญก ค็ อื
ความบริสทุ ธ์ิลว นๆ เทา น้ัน ซง่ึ ไมม ปี ญ หาใดๆ เขาไปแทรกซึมเลย ทา นเปนคนพน
สมมุติหรือนอกสมมตุ ิแลว คาํ วา “ไมมีสติหรอื ขาดสติ” จึงไมเกย่ี วขอ งกับจติ ดวงนั้น
ใชเ พยี งในวงสมมุติพอถึงกาลเทานน้ั
จิตของสามญั ชนตองอาศยั สติปญ ญาเปน เครอ่ื งรักษา จงึ จะเปน ไปในทางทถี่ กู ท่ี
ควรในกริ ยิ าอาการทแ่ี สดงออก กิริยาทาทางน้ันๆ ถา มสี ติปญ ญาคอยควบคุมอยูก็นาดู
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เร๙า๕๘ก๗ับ กเิ ลส’’
๘๘
สวยงาม การพูดการกระทําก็รจู ักผิดรูจักถกู รูจักควรหรือไมควร รูจ ักสงู รจู ักตํ่า การพดู
จาก็มเี หตมุ ีผล ทาํ อะไรก็มีเหตมุ ีผล หลกั ใหญจ งึ ขน้ึ อยกู บั สตแิ ละปญ ญาเปน สาํ คญั
ในตัวคน
เรานับถือพระพุทธศาสนา เราเปนชาวพุทธ คาํ วา “พทุ ธะ” หมายความวา อะไร
ทว่ี า “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เปนพทุ ธอันเลิศโลก คอื พทุ ธะท่บี ริสทุ ธิ์ พุทธะที่ประเสริฐ
เราถือทา นเปนผปู ระเสรฐิ นอมทานผูป ระเสริฐเขา มาไวเปน หลักใจ มาเปน เคร่ืองยึด
เคร่ืองพ่งึ พงิ อาศยั เราจึงควรระลกึ ถึงความรขู องเราอยูเสมอวา ขณะใดสตสิ ตงั ไม
บกพรอ งไปไมม ี เวลานน้ั เราขาดสรณะ ขณะทเ่ี ราขาดสติประจําผรู คู อื ใจ แมค วามโกรธ
กโ็ กรธมาก เวลาฉนุ เฉยี วกฉ็ นุ เฉยี วมาก เวลารกั กร็ กั มาก เวลาชังชงั มากเกลียดมาก
เพราะความไมม ีสตริ ้งั ถา มสี ติรงั้ ไวบ า ง กพ็ อใหท ราบโทษของมนั และพอยับยั้งตวั ได
ไมร นุ แรง
วนั หนง่ึ ๆ ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ จะประกอบหนา ท่ีการงานอะไร กร็ าบรนื่ ดี
งามและเตม็ เมด็ เต็มหนายไมค อยผิดพลาด เมือ่ เร่อื งราวเกิดขน้ึ ภายในใจ ก็มสี ตปิ ญ ญา
รบั ทราบและกลั่นกรองพินิจพจิ ารณา พอใหทราบทางถกู และผดิ ได และพยายามแกไข
ดัดแปลงพอเอาตวั รอดไปได
พูดตามความจริงแลว ธรรมะของพระพทุ ธเจา ไมใ ชเปน สงิ่ ทจี่ ะทําคนใหเ สียหาย
ลม จม แตเ ปนส่งิ ท่ฉี ุดลากคนใหข้นึ จากหลม ลกึ ไดโ ดยไมสงสยั เม่อื มอี ปุ สรรคหรอื เกดิ
ความทกุ ขความลาํ บากประการใด ธรรมะยอมชว ยโดยทางสตปิ ญญาเปน สําคญั เพราะ
พระพุทธเจามไิ ดท รงสอนใหค นจนตรอกจนมมุ แตสอนใหมคี วามฉลาดเอาตวั รอดได
โดยลําดับของกําลังสติปญญา ศรัทธา ความเพียร
จิตเปน รากฐานสําคญั ในชีวติ กรณุ าพากนั ทราบอยา งถงึ ใจ ความรทู ม่ี ปี ระจาํ ตวั
เรานีแ้ ล แมจะจบั ตอ งความรูไมไดเ หมอื นวตั ถตุ างๆ กต็ าม กค็ อื ความรอู นั นีแ้ ลท่ีเปน
รากฐานแหง ชวี ติ และเปน “นกั ทอ งเท่ยี ว” ในวฏั สงสาร จะเคยเปน มานานขนาด
ไหนกค็ อื ผนู ้ี จะสน้ิ สดุ วิมุตติตดั เรอ่ื งความสมมุตคิ อื เกดิ ตายทงั้ หมดออกได ก็
เพราะจติ ดวงนีไ้ ดรับการอบรมและซกั ฟอกส่งิ ทเี่ ปน ภยั อนั เปน เหตุใหเกิดใหต ายอยู
ภายในออกไดโ ดยไมเ หลอื จงึ หมดเหตุหมดปจ จัยสืบตอ กอ แขนงโดยส้นิ เชงิ ทนี ีค้ าํ
วา “ใจ เปนนกั ทองเท่ยี ว”ก็ยตุ ิลงทันที
เวลาทม่ี กี เิ ลสอยภู ายในใจ ไมว า ใครตองเตรียมพรอมอยเู สมอท่จี ะไปเกิดใน
ภพนอ ยภพใหญไ มม ปี ระมาณ เมอ่ื ตางทราบอยูแกใจเชนนี้ จึงควรทําความระมัดระวงั
และศกึ ษาปฏิบตั ติ อ เรือ่ งของจติ ใหเ พยี งพอ ในการดาํ เนนิ ใหถ กู ตอ งตามหลกั ของ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชุด๙เ๘ต๖ร๘ยี มพร้อม
๘๙
พระพทุ ธศาสนาอยา งแทจ ริง นอกจากนั้นยังจะนาํ อรรถธรรมน้ไี ปใชเปนประโยชนแก
สังคมอยา งกวางขวาง ตามกําลังความสามารถของตนอีกดวย
ศาสนธรรมเปน เคร่อื งสงเสริม เปนเครื่องพยุงโลกใหมคี วามสงบรมเยน็ ไมใช
เปนเครอื่ งกดถวง ดังที่คนจาํ นวนมากเขา ใจกนั วา “ศาสนาเปนเครือ่ งกดถว งความ
เจริญของโลก” ความจริงกค็ อื ผทู ่ีวา นน้ั เองเปน ผกู ดถวงตัวเอง และกดถวงกดี ขวาง
ความเจริญของโลก ไมใ ชผถู ือศาสนาและปฏบิ ตั ิศาสนา เพราะพระพุทธเจาไมใชผูกด
ถว งโลก! ธรรมไมใชธ รรมกดถว งโลก พระสงฆสาวกอรหันตไมไ ดเปน ผูกดถว งโลก
ทา นไมเ ปนภยั ตอ โลกเหมือนคนไมมีศาสนา ซึ่งกาํ ลังเปน ภัยตอ โลกอยูเวลาน้ี ศาสน
ธรรมจะสิ้นสูญไปจากโลก กเ็ พราะคนประเภทไมม ีศาสนาเปนผทู ําลาย
เมื่อพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไมเ ปน ภยั ตอโลกแลว จะวา เปน สิง่ ทโ่ี ลก
นากลัวไดอยางไร และจะกดถว งโลกจะทาํ ความทุกขรอ นใหแ กโลกไดอยา งไร? ขอ
สาํ คัญกค็ วามคิดเชน น้นั ของบุคคลผูนน้ั แลคอื ความเปน ภยั แท ผทู ห่ี ลงผิดคดิ เชน
นัน้ คนนนั้ คอื ผูเ ปน ภัยแกตนและสว นรวมแทไ มอ าจสงสยั
การเชื่อถอื ในคาํ ของบคุ คลทเ่ี ปน ภยั นัน้ ยอ มจะมคี วามเสยี หายแกผูอ ่นื ไมมี
ประมาณ เพราะระบาดไปเรอ่ื ยๆ น้นั แลคือภัยแทที่เหน็ ไดอ ยางชดั เจน
สว นศาสนธรรมมไิ ดเ ปนภัย ถา ธรรมเปนภยั แลว พระพทุ ธเจา วเิ ศษไดอยางไร
ถา ธรรมเปน ภัยพระพุทธเจา ก็ตองเปนภยั ตอ พระองคแ ละตอโลก แมพระสงฆก็ตอง
เปน ภยั อยางแยกไมอ อก เพราะสามรตั นะน้เี กี่ยวโยงกนั อยา งสนทิ แตน ไ่ี มปรากฏ
ปรากฏแตว า พระพทุ ธเจา พระสาวก เสด็จไปที่ใด ประทานธรรม ณ ท่ีใด สัตวโลกมี
ความรม เยน็ เปน สุขโดยทวั่ กัน ไมม ีใครเบื่อหนา ยเกลยี ดชงั ทาน หากจะมกี ็คือผูเปน
ขา ศึกแกพระศาสนาและแกประชาชนเทาน้นั
สว นมากทป่ี ระจักษใ นเรอื่ งความเปน ภัยนั้นเห็นๆ กนั แตคนไมม ธี รรมในใจน้ัน
แล เปนภัยทัง้ แกตนและแกส วนรวม เพราะสตปิ ญ ญาเครื่องระลึกรูบญุ บาปไมม ี คณุ คา
ของใจไมมี ถูกความเสกสรรทางวตั ถุทับถมจนมองไมเห็น การแสดงออกจงึ รักกเ็ ปน ภัย
เกลียดก็เปนภัย โกรธก็เปนภัย ชงั ก็เปนภัย อะไรๆ เปน ภยั หมดเพราะจติ เปนตวั ภยั
ดว ย.“ราคคฺคินา โทสคคฺ ินา โมหคฺคินา” ผูน ้ีแลคอื ผเู ปนภยั เพราะกเิ ลสตวั ทบั ถม
เหลา นพ้ี าใหเ ปนภยั
ศาสนธรรมซ่ึงเปนเคร่อื งแกส่งิ ทเี่ ปนภยั ท้ังหลายโดยตรงอยแู ลว เม่ือเปน เชน
นนั้ จะเปน ภยั ไดอ ยางไร หากเปนภัยแลว จะแกสิ่งไมด ีเหลา นน้ั ไดอยา งไร
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เร๙า๗ก๘ับ๙ กเิ ลส’’
๙๐
พระพทุ ธเจาทรงแกส่งิ เหลานีไ้ ดแ ลว โดยสนิ้ เชิง ไมม เี หลืออยูเลยในพระทัยข้นึ
ชือ่ วาภัยดงั ที่กลา วมา จนเปน ผูบรสิ ทุ ธิว์ ิมตุ ตพิ ทุ โธทงั้ ดวง จงึ เรียกวาเปน “ผูเลิศ” “ผู
ประเสริฐ”
พระธรรมของพระองคกเ็ หมอื นกนั “ธมโฺ ม ปทีโป” เปนธรรม “กระจา งแจง
ภายในจติ ”
สังโฆเปนผทู รงไวซ ่งึ ความสวางกระจางแจงแหง ธรรมท้ังดวง ดว ยความ
บริสุทธ์ิวิมุตติหลุดพน นาํ ศาสนธรรมที่ปราศจากภยั มาสอนโลก
ทําไมศาสนธรรมจะเปน เครอ่ื งกดถว งโลกและเปนภัยตอ โลก นอกจากผสู าํ คญั
วาศาสนาเปน ภยั นั้นแลเปน ตัวภัยแกต วั และสังคม เพราะความสําคัญเชน นเ้ี ปน ความ
สาํ คญั ผดิ !
อะไรท่พี าใหผ ิด? ก็คอื หัวใจท่ีเปนบอเกดิ แหง ความคดิ นั้นแล เปนตน เหตุแหง
ความผดิ หรอื เปนผผู ดิ การแสดงออกมาน้นั จึงเปน ความผิด หากไมเปนความผิดเรา
ลองนาํ ความคดิ เชนน้ไี ปใชในโลกดูซิ โลกไหนจะไมรอ นเปน ฟนเปนไฟไมม ี แมตัวเองก็
ยงั รอ น
หากนาํ ศาสนาไปสอนโลกตามหลกั ท่พี ระพุทธเจาทรงสัง่ สอนและไดท รงบาํ เพญ็
มาแลวจนไดตรสั รู โลกจะเปนภยั โลกจะเดอื ดรอนไดอยางไร? โลกวนุ วายมนั ถงึ เกดิ
ความทกุ ขค วามรอ น พระพทุ ธเจา ไมไดท รงสอนใหวนุ วาย แตส อนใหม ีความสงบรม
เย็น ใหเ หน็ อกเห็นใจกนั ใหร ูจักรกั กัน สามคั คีกลมกลืนเปนนาํ้ หนึง่ ใจเดยี วกนั เสมอ
ใหรูจักเหตจุ ักผล รจู กั เขารูจ ักเรา เพราะโลกอยดู ว ยกนั ไมใชอยูคนหน่งึ คนเดยี ว อยู
ดวยกันเปนหมูเปน คณะ ตัง้ เปน บานเปนครอบครวั เปน ตําบลหมูบา น เปนอาํ เภอเปน
จังหวดั เปน มณฑลหรอื เปนภาค เปนเขตเปนประเทศ ทั้งประเทศนั้นประเทศนี้ ลว น
แตห มชู นทรี่ วมกนั อยูทง้ั นั้น ซ่ึงควรจะเห็นคณุ คา ของกนั และกนั และของการอยรู ว มกนั
ดวยธรรม มีเมตตากรุณาธรรม เปนมาตรฐานของการอยูรวมกนั ของคนหมูม าก
คนทอ่ี ยดู ว ยกันไมเ หน็ อกเหน็ ใจกัน มแี ตค วามเบียดเบียนทาํ ลายกนั มีแตความ
คับแคบเหน็ แกตัวจดั ยอ มเปน การทาํ ลายคนอ่นื เพราะความเหน็ แกตัว แมไมทําลาย
อยางเปดเผยก็คอื การทาํ ลายอยนู นั่ แล จงึ ทาํ ใหเ กดิ ความกระทบกระเทอื นกนั อยเู สมอ
ในสังคมมนษุ ย ขึ้นชื่อวา “คนคบั แคบ เห็นแกต วั จัด” จะไมท าํ ใหค นอืน่ เดือดรอนฉิบ
หายนั้นไมมี! ไมว า ทใ่ี ดถา มคี นประเภทนีแ้ ฝงอยดู ว ย สงั คมยอมเดือดรอ นทกุ สถานท่ี
ไป เพราะคนประเภทนีเ้ คยเปนภัยแกสงั คมมามาก และนานจนประมาณไมได สังคมจงึ
รังเกยี จกนั เร่ือยมาจนปจ จบุ ันนี้
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ธรรมะชดุ ๙เต๘ร๙ยี ๐มพร้อม
๙๑
ทธ่ี รรมทานสอนไมใหเบียดเบียนกัน ก็เพราะหวั ใจมนษุ ยม ีคณุ คาดว ยกัน
ตลอดสมบตั แิ ตละสงิ่ ละอยางซ่ึงอยูในครอบครอง ดว ยเปนของมคี ุณคา ทางจติ ใจอยู
มาก จงึ ไมควรทาํ จติ ใจกันใหกาํ เรบิ เพราะใจของใครๆ กต็ องการอสิ รภาพเชน เดยี วกนั
ไมป ระสงคค วามถูกกดข่บี งั คบั ดวยอาการใดๆ ซ่งึ ลวนเปนการทาํ ลายจิตใจกนั ใหก าํ เริบ
อนั เปนสาเหตุใหก อกรรมกอเวรไมม ที ่สี น้ิ สดุ ยตุ ลิ งได เพียงสัตวเขายังกลัวตาย เขายงั
กลวั ความเบียดเบียนการทําลาย
มนุษยอ ยดู ว ยกันไมกลวั การเบียดเบียน ไมก ลวั การทาํ ลาย ไมก ลวั การเอารัดเอา
เปรยี บกัน ไมก ลัวการดถู กู เหยียดหยามกัน จะมีไดหรือ! ส่งิ เหลานี้ใครก็ไมป รารถนา
กันทง้ั โลก
การทท่ี าํ ใหเ กดิ ความกระทบกระเทอื นซึ่งกันและกนั จนโลกหาความสงบไมได
เปน ฟนเปนไฟอยูตลอดเวลามาจนกระทัง่ ปจจบุ นั นี้ และจะเปนไปโดยลาํ ดับไมมีท่สี ้นิ
สุด เพราะอะไรเปนเหตุ ถา ไมใ ชเ พราะความเห็นแกตวั อันเปนเรือ่ งของกิเลสตัว
สกปรกตวั หยาบๆ นีจ้ ะเปน เพราะอะไร
ความผดิ ถกู ดีชวั่ ตา งๆ พระพทุ ธเจาทา นทรงสอนไวห มด ทานมีพระเมตตา
กรณุ าสดุ สวนแกมวลสัตวท กุ ประเภทแมป รมาณู ก็ไมใ หเบยี ดเบียนทาํ ลายกัน เพราะมี
กรรม มีวิบากแหงกรรม อยา งเตม็ ตัวดว ยกัน อยูดว ยกรรมไปดว ยกรรม สขุ ทุกขด วย
กรรมเหมอื นกนั ควรนบั ถอื กนั เปน ความเสมอภาค ดังในธรรมวา
“สัตวท ง้ั หลายท่เี ปนเพ่ือนทุกขเกดิ แกเ จบ็ ตายดวยกนั ไมใหเ บยี ดเบียนทาํ ลาย
กนั ” เปนตน
เม่ือตางคนตา งเห็นความสําคัญของชีวิตจติ ใจ และสมบตั ิของกันและกนั เชน นี้
ยอ มไมเบยี ดเบียนกัน เพราะทํากนั ไมลง เมือ่ ตางคนตางมคี วามรสู กึ อยางน้แี ลว โลกก็
เย็น อยดู ว ยกนั อยา งผาสกุ มีการยอมรับผิดรับถกู มีหลกั ธรรมเปน กฎเกณฑ ตางคน
ตางระมัดระวัง ไมห าเรอื่ งหลบหลีกปลกี กฎหมายและศีลธรรมกนั เปนหลักปกครองให
เกดิ ความรม เย็นผาสุก
เชน ไมยอมรับความจริงดงั ที่เปน อยเู วลาน้ี และทเี่ คยเปนเรื่อยมาจนกระทง่ั
ปจ จุบัน ไมม ีใครกลาเปนกลา ตายตัดหวั ธรรม ดวยการยอมรบั ความจริง แมไปฉกไป
ลกั เขามาหยกๆ เวลาถกู จบั ตวั ไดก แ็ กต วั วา “เขาหาวา ” คนเราถารับความจรงิ แลวจะ
วา “เขาหาวา....” ไปทาํ ไม! ขายตัวเปลา ๆ ! แมค นตดิ คุกติดตะรางลองไปถามดูซิวา
“นเ่ี ปนอะไรถงึ ตอ งมาตดิ คุกตดิ ตะรางละ ?” ตองไดร บั คําตอบวา “เขาหาวา ผมลกั
ควาย” เปน ตน เม่ือถามกลบั วา “เราไมไดลักควายของเขาจริงๆ หรือ?” “ลักจริงๆ”
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เร๙า๙๙ก๑บั กเิ ลส’’
๙๒
แนะ ! ลักจรงิ ๆ ทําไมบอก “เขาหาวา ....” ทัง้ นี้เพราะไมย อมรบั ความจรงิ เนือ่ งจาก
ความเห็นแกต วั กลวั เสียเกียรติ ขายข้หี นา วาเปน คนเลวทรามหยามเหยยี ด อายเพอ่ื น
มนษุ ยน ่ันแล แตการพูดโกหกไมย อมรับความจรงิ ซึ่งเปนความผิดสองซาํ้ นัน้ ไมพึง
เฉลียวใจและอายบา ง ความเปน มนษุ ยผ ดู จี ะไดม ีทางกระเตือ้ งขึน้ มาบา ง
เหลา นีเ้ ปน เร่ืองของกเิ ลสความเห็นแกต ัว เห็นแกไ ด จงึ ทําใหหมดยางอายโดย
สิ้นเชงิ ส่ิงเหลา น้เี ปนของสกปรกเลวทรามในวงผดู ีมศี ลี ธรรมในใจ สง่ิ เหลาน้เี ปนส่ิง
กดถว ง เปน สิง่ ทาํ ลายจิตใจและทําลายสมบตั ิของเพอ่ื นมนษุ ยดว ยกนั ส่งิ สกปรกรก
รุงรังเหลา นี้ ผมู ีจติ ใจใฝต ่าํ ชอบมันอยางย่งิ ท้ังทม่ี นั ใหโ ทษมากไมม ปี ระมาณ มีมากมี
นอ ยก็ทาํ ความกระทบกระเทอื น และทําความฉบิ หายแกผ ูอ่ืนไมสงสยั
จึงขอตง้ั ปญหาถามตวั เองเพือ่ เปน ขอ คิดวา “เหลา น้หี รอื ท่วี าโลกเจริญ?”
เจรญิ ดว ยสิ่งเหลา นหี้ รือ? อันนีห้ รือทเ่ี รียกวา “เชดิ ชกู นั และกนั และเชิดชูโลกให
เจริญ?”
คาํ ตอบ “จะเชดิ ชโู ลกอยางไร เวลานโี้ ลกกําลงั รอ นเปนฟนเปนไฟ ยังไมท ราบ
วา มันกดถว งอยหู รอื ? นน่ั ! สว นศาสนามบี ทใดบาทใดทส่ี อนใหโ ลกเบยี ดเบยี นกัน ให
เกดิ ความเดือดรอนวนุ วายแกกัน เพียงสังเกตตามความรูส ึกธรรมดากไ็ มป รากฏเลย”
ทนี ท้ี าํ “โอปนยโิ ก” นอมขางนอกเขามาขา งในเพ่ือใหเ กิดประโยชน ไมเ สยี หาย
ไปเปลา” การแสดงธรรมมีท้ังขา งนอกขา งใน ขอสาํ คัญก็ใหน อ มเขา มาเปนสาระสําหรับ
เรา
การแสดงนั้นกเ็ พ่ือแยกขา งนอกใหดเู สยี กอน แลวยอ นเขา มาขางใน เวลาน้ขี า ง
ในของเราเปนอยางไรบาง? “สวัสดีมชี ัยอยูหรอื เปน ประการใดบา ง?” “เวลานก้ี เิ ลส
ประเภทตา งๆ ทเ่ี ปน เจาอํานาจกดถวงจติ ใจเรามบี างไหม? โลกแหง ขนั ธ และระหวาง
ขนั ธก บั จติ สวัสดีมชี ัยอยูหรอื ? ไมก ดถว งใจของผเู ปน เจาของขนั ธหรอื ?
จงดใู หด ีดว ยสติ พิจารณาดวยปญ ญาอยา งรอบคอบ ขณะใดที่สติปญญา
ประลาตไปจากใจ ขณะนั้นแลเราไดร บั ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น เพราะถูกกดถว งยํา่ ยี
โดยอาการตางๆ ของกิเลสทั้งหลาย ขณะใดมีสตปิ ญ ญารักษาใจไมเ ผลอตวั แมสติ
ปญ ญาจะยังไมเ พียงพอกับความตานทาน หรอื ปราบปรามส่ิงเหลา น้ันใหหมดไป เราก็
ยังพอยบั ยง้ั ได ไมทกุ ขถงึ ขนาด หรอื ไมท ุกขเ สียจนเต็มเปา ยังพอลดหยอ นผอ นเบากัน
บา ง ย่งิ มีสติปญญาพอตวั แลว ไมมกี เิ ลสตัวใดท่จี ะมาเปนขาศึกตอใจไดเลย! พอขยบั
ตัวออกมากถ็ กู ปราบเรียบในขณะน้ัน
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๐๙ต๐ร๒ยี มพร้อม
๙๓
น้ีแลผูมธี รรมครองใจเปน อยา งนี้ ใจเปน อิสระเพราะธรรมครองใจ ใจมคี วาม
สงบสุขไดเ พราะการรกั ษาใจดว ยธรรม ตลอดถงึ ความหลดุ พนจากความกดถวงทงั้
หลายโดยประการทงั้ ปวง กเ็ พราะการปฏิบตั ิธรรม เพราะรูธรรม เพราะเห็นธรรม
ประจกั ษใ จไมสงสัย ลบู ๆ คลาํ ๆ ดงั ท่เี คยเปน มาในขั้นเร่ิมแรก
ธรรมอยใู นสถานทีใ่ ด ตอ งเยน็ ในสถานทน่ี ้นั ธรรมอยทู ี่ใจ ใจยอ มชมุ เย็นผาสุก
ทกุ อิริยาบถไมมสี ่งิ รบกวน เม่อื จติ กาวเขาถงึ ขนั้ ธรรมเปน ใจ ใจเปน ธรรม ยิ่งเย็น ไม
มกี าลสถานทเี่ ขามาเก่ียวขอ งเลย เยน็ เต็มทเ่ี ต็มฐาน ก็คอื ใจเปนธรรม ธรรมเปนใจ น่นั
แล
เราคิดดูซิ ธรรมบทใดแงใ ดทท่ี าํ ความกดถวง ทาํ โลกใหมคี วามทกุ ขความเดอื ด
รอ น ไมป รากฏแมแ ตนดิ หนง่ึ ! การทําใหเราและโลกเดือดรอ นวนุ วายระสาํ่ ระสายจน
แทบไมม ที ป่ี ลงวาง ก็เพราะมนั มแี ตเ รื่องของกิเลสทงั้ นน้ั เปน เจา การ!
ผปู ฏบิ ตั ทิ ง้ั หลายทมี่ ีสติปญ ญาประคองตัว กเิ ลสแสดงออกมามากนอ ยยอ ม
ทราบทันที และเร่มิ แกไ ขถอดถอนไมน อนใจ จนไมมีอะไรแสดงแลว ก็อยเู ปน สุข ดงั
ปราชญว า “ฆา กเิ ลสไดแลวอยูเปน สขุ ” ถา พลกิ กลบั กว็ า “ฆากิเลสไมไ ดยอมเปนทกุ ข
ทั้งอยทู งั้ ไป ทง้ั เปนทงั้ ตาย!” ฉะนัน้ พวกเราตอ งสรางสติปญ ญาใหดี เพอื่ ตอ สูกิเลสทม่ี ี
อยูภ ายในตัว จงระวังอยา ใหม นั กลอมเสียหลบั ทง้ั คนื ทั้งวัน ทัง้ ยนื เดินนงั่ นอน ใหม เี วลา
ตน่ื บา ง ใหม ีเวลาตอ สูกับเขาบา ง ถามกี ารตอสกู นั คาํ วา “แพ ชนะ” ก็จะปรากฏขนึ้ มา
ไมห มอบราบเสียทีเดยี ว เพราะไมม กี ารตอ สู มีแตหมอบราบ และเช่ือมันไปหมด กเิ ลส
วายังไงเช่อื ไปหมด หากมกี ารตอ สูบ าง ก็มแี พม ชี นะสบั ปนกนั ไป ตอไปกช็ นะเร่ือยๆ
ชนะไปเร่อื ยๆ และชนะไปเลย ใจเปนอิสระเต็มภูม!ิ
น่อี ํานาจแหง ศาสนธรรมทีผ่ ูนํามาปฏิบัติเปน อยางน!้ี เปน ทเ่ี ชอ่ื ใจ เปนท่ีแนใ จ
ได ไมม ีอะไรท่จี ะแนใ จไดย ่ิงกวา ศาสนธรรม ถาเราปฏบิ ัตเิ ต็มกําลังความสามารถเราก็
เชื่อใจเราได เมื่อบรรลุถงึ ข้นั “จิตบริสทุ ธ์ิ” แลว ก็แนน อนตลอดเวลาไมสงสยั ไมอ ยาก
ไมหวิ โหยกบั อะไรทง้ั น้นั ไมอ ยากรไู มอ ยากเห็น ไมอยากศึกษากบั ใครๆ วา นาจะเปน
อยา งนน้ั นาจะเปน อยางน้ี อยากรูน ั้นอยากรนู ้ี เพือ่ น้นั เพื่อนี้อกี ตอ ไป!
รูทกุ สง่ิ ทุกอยา งอยภู ายในใจ เมอื่ เต็มภูมิความรคู วามเหน็ แลว ก็ไมอยากไมหิว
โหย ไมม ีอะไรรบกวนใจก็แสนสบาย ขอใหพากันนําธรรมนีไ้ ปปฏบิ ัติรกั ษาตน อยสู ถาน
ท่ใี ดไปสถานทใ่ี ดจงทราบเสมอวา ความผิดถกู ช่ัวดนี น้ั อยูก บั เรา การละวางในสิง่ ท่คี วร
ละวาง และการสงเสริมสง่ิ ทค่ี วรสง เสรมิ ก็อยทู ีต่ วั ของเรา ไปไหนใหม วี ดั อยา ให
ปราศจากวดั อยา งทา นอาจารยฝ น ทา นเคยวา “วดั ท่ีนน่ั วดั ที่นี่ วดั อยภู ายในใจ”
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เ๑รา๐๑๙ก๓ับ กเิ ลส’’
๙๔
ทา นพูดถกู ใหมีวัดอยูภายในจิตใจเสมอ คอื “วัตรปฏบิ ตั ”ิ มีสติ ปญญา
ศรทั ธา ความเพยี ร ใครค วรดูเหตุดผู ลอยเู สมอ เวลานง่ั รถไปก็ภาวนาไปเร่อื ยๆ ใครจะ
วา บา วา บอกต็ าม ขอสําคญั ผูรับผดิ ชอบเราน้คี อื เราเอง อยา เปน บา ไปกบั เขากแ็ ลว กนั
ถาเราไมเ ปนบา เสียอยางเดยี ว คนเปน รอ ยๆ คนจะมาตเิ ตียนหรือกลาวตวู าเราเปน บา
เปนบอ คนรอยๆ คนนน้ั นะ มันเปนบากันทั้งนน้ั แหละ! เราไมเ ปน บาเสยี คนเดียวเราก็
สบาย
นแี่ หละเปน คตหิ รืออดุ มการณอ นั สําคญั ฟงแลวจงพากันนําไปประพฤติปฏิบัติ
เวลาถูกใครวา อะไรกใ็ หค ํานงึ ถึงพระพทุ ธเจา อยาไปโกรธไปเกรี้ยวใหเ ขา ความโกรธให
เขากค็ ือไฟเผาตวั ความไมพอใจใหเ ขาก็คอื ไฟเผาตวั ไมใชเผาทไ่ี หน มันเผาท่นี ก่ี อ นมนั
ถงึ ไปเผาท่อี นื่ ใหร ะมดั ระวงั ไฟกองนีอ้ ยาใหเกิด!
เราจะไป “สุคโต” นัง่ รถนง่ั ราไปก็สคุ โตเรอ่ื ยไป นง่ั ในบา นกส็ คุ โต อยกู ส็ บาย
อยทู ไ่ี หนกส็ บาย เวลาตายก็เปนสขุ ไมวนุ หนา วนุ หลงั ดิ้นพลานอยูราวกับลิงถกู ลกู ศร
ซง่ึ ดูไมไดเ ลยในวงปฏิบัติ
ฉะนน้ั จงระวังไวแ ตบดั นี้ ปฏิบัตใิ หเ ต็มภมู แิ ตบัดนี้! คําวา “อาชาไนย” หรือ
“ราชสีห” จะเปน ใจของเราผูปฏิบตั เิ สียเอง!
เอาละ การแสดงธรรมกพ็ อสมควร!
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๐ต๙๒ร๔ยี มพร้อม
กำาจัดกิเลส พน้ ทุกข์เทศนโปรดคณุ เพาพงา วรรธนะกุล ณ วดั ปา บา นตาด ๙๕
เทศนโ์ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะเกมุลอื่ ณวนั วทัดี่ ป๔า่ บธนัา้ นวตาาคดม พุทธศักราช ๒๕๑๘
เม่ือวนั ท่ี ๔ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘กําจดั กิเลสพน ทุกข
ท่ที านพูดวา “โลก” กค็ ือหมูส ัตว “สตฺต” แปลวาผูขอ ง ผูยงั ติดยงั ขอ ง อะไร
ทาํ ใหของ? เพียงเทา นน้ั กท็ ราบแลว ทา นพรรณนาไวห ลายสงิ่ หลายอยา งหลายภพ
หลายภมู ิ ลว นแตภูมสิ ถานที่ที่ใหจ ิตตดิ จิตขอ งและจะตองไปท้ังนน้ั ทา นจงึ วา จิตนเี้ ปน
นกั ทองเทีย่ ว เพราะเทยี่ วไปไมห ยุดไมถ อย กลัวหรือกลา กต็ อ งไป เพราะกาํ ลังตกอยูใน
ความเปน นกั ตอ สู ขึ้นชอื่ วา “นัก” แลวมันตอ งตอ สูอยา งไมล ดละทอถอย ถาไมเ ปน
อยา งนน้ั ก็ไมเรยี กวา “นกั ” คือสูไมถอย
ภพภูมิตางๆ ไปเกิดไดท ั้งน้นั แมแตนรกอเวจซี งึ่ เปน สถานทมี่ ที กุ ขเดือดรอ น
มากผิดทกุ ขท ั้งหลาย จติ ยงั ตอ งไปเกดิ ! อะไรทําใหจ ติ เปน นกั ตอ สู?
เชอ้ื แหง ภพชาตคิ ือกิเลสทงั้ มวลนั่นเอง ท่ีทาํ ใหส ัตวท าํ กรรม กรรมเกิดวบิ าก
เปน ผลดีผลชว่ั วนไปเวียนมาในภพตางๆ ภพนอ ยภพใหญไมมปี ระมาณ วา จะหลดุ พน
จากความเกิดในภพนนั้ ๆ ไดเ ม่ือใด เกิดเปน ภพอะไรตวั ประธานก็อยูท ี่ “ใจ” เปนผูจะ
ไปเกดิ เพราะอํานาจกิเลส กรรม วบิ าก พาใหเปน ไป
ในโลกเราน้ีมสี ัตวเกิดมากนอยเพียงไรใครจะไปนับได! เพยี งในบรเิ วณวัดนี้
สัตวต า งๆ ท่ีสุดวิสัย “ตาเน้อื ” จะมองเหน็ ไดม จี ํานวนมากเทา ใด สตั วทีเ่ กิดท่ีอยใู นที่
มองเหน็ ไดดว ยตาเนอื้ นกี้ ็มี ที่ไมส ามารถมองเหน็ ไดด ว ยตาเนอื้ เพราะละเอยี ดก็มี แม
แตสัตวเ ล็กๆ ซึง่ เปน ดานวตั ถุ แตไ มส ามารถมองเห็นไดดวยตาเนอื้ ก็มี สตั วที่เกดิ เปน
“ภพ” เปน ทั้งล้ลี ับทงั้ เปด เผยในโลกท้งั สามจงึ มมี ากมาย ถาเปนสิ่งท่ีมองเหน็ ดวยตา
เน้อื ไดแ ลว จะหาที่เหยยี บยา่ํ ลงไปไมไดเลย เต็มไปดวยจติ วญิ ญาณของสัตว เต็มไป
ดวยภพดวยชาติของสัตวประเภทตางๆ ทง้ั หยาบทั้งละเอยี ด เต็มไปทั้งสามภพสามภูมิ
แมแ ตชอ งลมหายใจเรายังไมวาง
ในตวั ของเราน้ีก็มสี ัตวชนดิ ตา งๆ อยมู ากจนนา ตกใจ ถา มองเหน็ ดว ยตาเนอ้ื
เชน เชื้อโรค เปน ตน ไมเ พยี งแตว ิญญาณ คือจิตเราดวงเดียวทีอ่ าศัยอยูในรางน้ีเทาน้นั
ยังมอี ีกกีพ่ ันก่ีหมืน่ วิญญาณอาศยั อยใู นรางนีด้ ว ย ฉะน้ันในรางกายเราแตละคน จึงเต็ม
ไปดว ยวญิ ญาณปรมาณขู องสัตวห ลายชนดิ จนไมอาจคณนา มีอยูทกุ แหง ได เพราะมี
มากตอ มาก และละเอียดมากจนไมสามารถเห็นไดดวยตา ฟงไดดวยหู
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ธรรมะช๑ดุ๐เ๔ตรยี มพร้อม
๙๕
๙๖
ในอากาศกลางหาว ในนาํ้ บนบก ท่ัวทศิ ตา งๆ มีสัตวเต็มไปหมด แลวยังมัว
สงสยั อยหู รือวา “ตายแลวสญู ไมไ ดเ กิดอีก” กอ็ ะไรๆ มันเกดิ อยเู วลาน้ีเกลื่อนแผนดนิ
ภพหยาบกม็ ีมนษุ ย ซ่ึงกาํ ลังหาโลกจะอยูไมได ยังจะมาสงสัยอะไรอีก
ความเกิดก็แสดงใหเหน็ อยทู ุกแหงหน ท้งั หยาบท้งั ละเอียด ทง้ั ในนาํ้ บนบกมไี ป
หมด ตลอดบนอากาศ ยังจะสงสัยอยหู รือวาตายแลวไมเกดิ แลวอะไรมนั มาเกดิ ดูเอาซี
เครอื่ งยืนยนั “ไมสูญ” มอี ยกู ับทกุ คน ถาสตั วต ายแลว สญู ดงั ที่เขาใจกัน สัตวเ อาอะไร
มาเกดิ เลา ? ลงตายแลวสญู ไปจรงิ ๆ จะเอาอะไรมาเกิดได สง่ิ ทีไ่ มส ูญน้นั เองพาใหม า
เกดิ อยเู วลาน้ี ไปลบลางส่งิ ท่ีมอี ยูใหส ญู ไปไดอยา งไร ความจริงมนั มีอยอู ยางนนั้ ที่ลบ
ไมสูญก็คอื ความจรงิ น่ันแล
จะมีใครเปน ผฉู ลาดแหลมคม รไู ดละเอยี ดลออทุกส่งิ ทกุ อยางตามสิ่งทม่ี ีอยู
เหมือนพระพทุ ธเจา เลา?
พวกเราตาบอดมองไมเ หน็ ตัวเอง ไดแ ตล บู คลําไปลูบคลาํ มา คลําไมเจอกว็ า ไม
มี แตไปโดนอยไู มห ยุดหยอนในสิง่ ท่เี ขาใจวา ไมม ีน้นั ตางคนตา งโดน “ความเกดิ ”
อยางไรละ โดนกนั ทุกคนไมมีเวน เหมือนเราไมเหน็ เดนิ ไปเหยียบขวากเหยียบหนาม
น่นั นะ เราเขาใจวา หนามไมมีขณะทเ่ี หยยี บ แตก ็เหยียบหนามที่ตนเขาใจวาไมมนี ัน่
แหละ มันปก คนผูไ มเ ห็นแตไ ปเหยยี บเขา เพียงเทา นี้ก็พอทราบไดว า ควรเชอ่ื แลวหรอื
ความรูความเห็นอนั มดื บอดของตัวเองนะ เพยี งหนามอันเปน ของหยาบๆ ยงั ไมเห็น
และไปเหยียบจนได ถา รวู า ทีน่ ั่นมีหนามจะกลา ไปเหยียบไดอ ยางไร เชน หัวตอไปโดน
มันทําไม ไมไปโดนมันทําไม ถา แนใ จวามีใครจะกลา ไปโดน ใครจะกลา ไปเหยียบหนาม
ซึ่งไมใ ชเ รอื่ งเล็กนอย มนั เปน เรือ่ งเจบ็ ปวดขนาดไหน แลว ทําไมถึงโดนกนั เรอ่ื ยๆ เลา?
ก็เพราะความเขาใจวาหนามไมม ีน่ันเอง
ฉะน้นั สงิ่ ตา งๆ จงึ ไมอ ยูในความสาํ คญั วามีหรอื ไมมี มนั อยูท่คี วามจริงอยาง
ตายตวั ไมม ใี ครอาจแกไ ขใหเ ปน อน่ื ไปได
นี่ก็เหมือนกันเรือ่ งภพเรอ่ื งชาติของคนและสตั ว มเี กดิ ใหเ ห็นมตี ายใหเ หน็ อยู
เกล่ือนแผน ดิน เฉพาะในโลกเราน้กี เ็ หน็ เกลื่อนแผน ดนิ อยูแลว เมอื่ เปนเชน นี้จะปฏเิ สธ
จะไปลบลา งไดอ ยา งไรวา มันไมเกดิ วา มันตายแลว สญู สิน้ ไป
เราไมเชอ่ื พระพทุ ธเจา แตเราเชื่อเราเปนอยางไรบาง? ผลของมันท่ีแสดงตอบ!
ความรูค วามเหน็ ของเรามีสงู ต่ําหรอื แหลมคมขนาดไหนถึงจะเชือ่ ตนเอง จนสามารถลบ
ลางความจรงิ ท้งั หลายทม่ี อี ยูใหสญู ไปตามความรคู วามเหน็ ของตน ทั้งๆ ที่ตนไม
สามารถรูค วามจรงิ นั้นๆ ทาํ ไมจึงสามารถอาจเออ้ื มไปลบลางสิ่งทีเ่ คยมอี ยูใหสูญไปเมือ่
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๑ “๑เ๐ร๕า ๙ก๖ับ กเิ ลส’’
๙๗
เราไมรู ลบเพอ่ื เหตผุ ลอนั ใด? ความรูน่ีมนั โงสองชน้ั สามช้นั แลวยังจะวาตนฉลาดอยู
หรือ?
ถามุงตอ งการความจรงิ ดว ยใจเปนนกั กีฬา กค็ วรยอมรับตามความจริงที่ปรากฏ
อยู ลองคดิ ดู มีนักปราชญท่ไี หนบางสอนอยา งถูกตองแมนยาํ ตามหลักความจริงเหมอื น
พระพุทธเจา จะแหกนั ไปหาท่ีไหน ลองไปหาดูซี หมดแผนดนิ ทัง้ โลกน้ีจะไมม ีใคร
เหมือนเลย ใครจะมาสอนใหตรงตามหลักความมีความเปนและความจริงดังพระพุทธ
เจา แนใ จวาไมม ี!
ประการสาํ คัญกค็ อื การคดิ วา “ตายแลวสูญ” นัน้ เปน ภยั อนั ตรายแกผคู ิดและผู
เกยี่ วของไมมีประมาณ เพราะคนเราเมื่อคิดวาตายแลวสูญยอมเปนคนสิน้ หวงั อยากทาํ
อะไรกท็ ําตามใจชอบในเวลามชี ีวติ อยู สวนมากก็มกั ทําแตส่ิงทเี่ ปนโทษเปนภยั แกต วั
เองและผอู ืน่ เพราะชาติหนาไมมี ทําอะไรลงไปผลจะสนองตอบไมม ี ฉะนัน้ ความคิด
ประเภทนีจ้ ึงทําคนสนิ้ ใหหวงั หลังจากน้ันก็ทําอะไรแบบไมค ํานึงดชี ่วั บญุ บาป นรก
สวรรค พอตายแลวกไ็ ปเกดิ ในกาํ เนดิ สตั วผสู ้นิ ทา เชน สัตวนรก เปน ตน อยา งชว ย
อะไรไมได ท้งั น้พี วกเรายงั ไมเหน็ เปนของสาํ คญั อกี หรือ? ถา ยังไมเหน็ ศาสนธรรมซ่งึ
เปน ของแทข องจรงิ วาเปน ของสําคญั ตัวเราเองกห็ าสาระอะไรไมไดน น่ั เอง ในขณะ
เดียวกนั การปฏเิ สธความจริงก็เทา กบั มาลบลางสารคณุ ของเราเอง กลายเปน คนไม
สาํ คญั คนไมม ีสารคณุ คนหมดความหมาย คนทําลายตัวเอง ชนิดบอกบุญไมร ับ
เพราะความคดิ ทีล่ บลา งความจริงท่มี ีอยนู ้นั เปนความคดิ ทาํ ลายตนเอง สง่ิ ทีม่ คี วาม
หมายแตไปลบลา งส่ิงทีจ่ รงิ แตไ ปขดั ความจรงิ สุดทา ยก็สะทอ นกลับสิ่งที่จรงิ มาหาตวั
เอง เปนผรู ับเคราะหกรรมเสยี เองโดยไมม ใี ครอาจชว ยได กลายเปน คนขาดทุนทง้ั ขึ้น
ทง้ั ลองซี!
พวกเรานบั วาดมี าก วาสนาเรามีความดคี ุมครองถึงไดม าพบพระพทุ ธศาสนาอัน
เปนศาสนาทถ่ี ูกตอ งตายตัว บอกขวากหนามใหส ตั วโ ลกรแู ละหลบหลกี กนั และบอก
สวรรค นิพพาน ใหสตั วโลกไดไ ป ไดนอ มใจเขา มาประพฤติปฏิบตั ิ ถวายกาย วาจา ใจ
ตลอดชวี ิตทุกสิ่งทกุ อยา งกับพระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ ดํารงตนอยดู วยศลี ดว ย
ธรรม ประพฤติคณุ งามความดตี ลอดมา เพื่อเปนการเพิม่ พูนบญุ วาสนาบารมีของตนๆ
ใหสูงสง ย่งิ ขนึ้ ไป
ผไู มม ีโอกาสทาํ ไดอยา งน้ีมีจํานวนมากมาย อยากจะพูดวา ราว ๙๙ % ประเภท
เปน อยดู ว ยความเชือ่ บุญเช่อื บาป ยงั เหลอื เปอรเซน็ ตเดียวหรือไมถ ึงเปอรเซน็ ตกอ็ าจ
เปนได เม่ือเทยี บกบั โลกทง้ั โลก
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๐ต๖๙ร๗ยี มพรอ้ ม
๙๘
ความเกดิ ความตายมันเห็นอยชู ดั ๆ ภายในจติ เพราะฉะนน้ั ขอใหเรียนความ
จรงิ ซ่งึ มีอยทู ีจ่ ติ มนั เกิดอยทู ่นี ่นั มันตายอยูท่ีนั่น เช้ือใหเกิดใหตายมีอยูทจ่ี ติ เมอ่ื เรียน
และประพฤติปฏิบตั ิทางดานจิตตภาวนา ทดสอบเขาไปหาความจรงิ ทม่ี ีอยภู ายในจติ
ทง้ั เรอื่ งเกดิ เรือ่ งตาย เร่อื งความเก่ยี วของพวั พันตางๆ เรอ่ื งดีเรือ่ งชวั่ เรื่องบุญเรอ่ื งบาป
เรียนเขา ไปตรงนั้น จะเจอเขากับความจริงในแงตา งๆ ทีน่ นั่ โดยไมมีทางสงสยั
เมือ่ เจอดวยใจตนเองอยางประจกั ษแ ลว ก็เหมือนเราไปเหน็ ดว ยตาเนือ้ เรา
จรงิ ๆ เราจะลบลา งไดอ ยา งไร ปฏิเสธไดอ ยางไรวา ส่งิ น้นั ไมม ี แตก อ นเขาใจวาไมมี แต
ไปเห็นดวยตาแลว จะปฏิเสธไดอยางไร เพราะตนเปนผูเหน็ เอง ถา ลบกต็ อ งลบดว ยการ
ควกั ลกู ตาตนออกเพราะลกู ตาโกหก
ทล่ี บลางไมลงลบลางไมไดเพราะตนเห็นดวยตาวา สงิ่ น้นั มันมีอยจู ริง ถาเปน
ดานวัตถทุ จ่ี บั ตองดไู ดก็จับตอ งดูได เมื่อเปน เชน นัน้ ตนจะลบลา งไดเหรอ? วาสงิ่ นนั้ ไม
มี คือสงิ่ ทีต่ นถอื และดอู ยนู ้ัน ลบลา งไมได ดังน้นั ความจริงท่มี ีอยู ทานผใู ดรูเหน็ ทานผู
น้นั ตอ งยอมรับความจรงิ น้ัน นอกจากผูไ มสนใจอยากรูอยากเหน็ ยง่ิ กวาการเช่อื ตัวเอง
เทา นัน้ ก็สุดวิสยั ที่ธรรมจะชวยได
เร่ืองของความจริงเปนอยา งน้ี และพวกทร่ี คู วามจริงก็รูอ ยางนี้ ทานจงึ ไมลบลา ง
และสอนตามความมีความจรงิ พวกเราเปน คนมืดบอด จงึ ควรเชือ่ และดําเนนิ ตามทา น
จะเปนทางท่ถี กู ตองดีงาม เปนความสวสั ดีมงคลแกต ัวเอง ผมู ุงหวังความหลุดพน ทัง้
ปวงนับแตข ้ันตา่ํ จนถึงขน้ั สงู สุด เปนความจริงไปตามขัน้ ของธรรมและขนั้ ของผูเรยี น
“จติ ตภาวนา” น่ันแหละ เปนผูจะทราบไดชัดเจน
ในวงขนั ธม ีความกระเพอ่ื ม กระเทอื นดว ยภพชาติ โดยอาศยั อารมณเ ปน ผูชกั
ใยอยูตลอดเวลา ดว ยความเกิดความดับ ๆ อนั มีเช้อื อยูภายในใหเปน ผผู ลกั ดันให
อาการของจติ ออกแสดงตัว จติ ยังไปไมไ ดเพราะยงั มอี ตั ภาพเปนความรับผดิ ชอบอยู
จติ จึงกระเพ่อื มอยู อารมณเปนความเกดิ ดบั ๆ อยูเพยี งเทา น้ัน ถา ใจสามารถออกจาก
รางได ใจจะเขา ปฏสิ นธิสักก่ีอัตภาพกไ็ ดในวันหนงึ่ ๆ จะไดเปน ลานอัตภาพในคนๆ
หนึ่ง เพราะมคี วามตดิ ความของความรกั ความชอบใจเปนสายใย รักก็ตดิ ชงั กต็ ดิ โกรธ
กต็ ิด เกลียดก็ติด ตดิ ไดท้งั นัน้ ไมมอี ้นั อะไรๆ มันตดิ ท้งั นน้ั ถาใจติดอะไรทาํ ใหเ ปน ภพ
เปน ชาติข้นึ มาอยา งเปดเผยในขณะท่ตี ิดแลว วนั หน่งึ ๆ จะมีกล่ี า นอัตภาพในตวั เราเอง
แตน ่มี ันไดอ ัตภาพอยา งเปดเผยเพียงอนั เดยี วเทานัน้ ใจจึงเปนเพียงไปตดิ ไปยึดอยูก ับ
อารมณน ั้นๆ เทาน้นั ไมอาจถอนตัวออกจากอตั ภาพนีไ้ ปเขาสูอยกู บั อารมณท่ใี จตดิ ได
คนเราจงึ มไี ดเ พียงอัตภาพเดยี ว ความเปนจรงิ อยา งนี้ การเรยี นกเ็ รยี นอยา งน้ี เรียนให
ทราบวิถขี องจิตซง่ึ พรอ มทีจ่ ะตดิ อยเู สมอ
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๐า๗๙ก๘ับ กิเลส’’
๙๙
คดิ เร่ืองอะไรคอยแตจ ะตดิ ตาํ หนติ ิชมสิง่ ใดก็ไปตดิ กบั ส่ิงน้นั ตาํ หนิก็ติด ชมก็
ติด ถา จิตอยใู นขน้ั ทีค่ วรจะติดเปน ตดิ ทง้ั นนั้ ไมถ อยในเร่ืองตดิ เพราะฉะนนั้ เรอ่ื งเกิด
เร่อื งตายของจิตจงึ ไมม ถี อย เรอื่ งสขุ เรือ่ งทุกขของจิตจงึ มีประจาํ ตน เพราะความคดิ
ปรงุ พาใหเ ปน ไป จติ เปนผไู มถอยในการทํากรรมดชี ่วั ผลสขุ ทุกขจ ึงเปนเงาตามตวั แลว
ปฏเิ สธไดอ ยา งไร เรอื่ งความเปน ของจิตกเ็ ปนอยอู ยางน้ี เห็นชัดๆ ภายในตวั เอง การ
เรยี นจงึ เรียนลงท่นี ่ี เมอื่ เรียนลงไปทีน่ ซี่ ่งึ เปนเปาหมายแหงความจรงิ ท้งั หลาย ก็รชู ดั
เจนโดยลาํ ดับๆ
อนั ใดทค่ี วรปลอ ย เม่ือมีความสามารถรูไ ดด ว ยสติปญ ญาแลวมันปลอ ยของมัน
เอง เม่ือปลอ ยแลว ส่ิงนั้นไมมีมาของใจอกี คอ ยๆ หมดไป ๆ ใจหดตวั เขามาเลอื่ นเขามา
จากที่เคยอยวู งกวา ง ปลอ ยแลว ปลอยเขามา ๆ วงก็แคบเขา จนกระทงั่ เหลือนิดเดยี วคือ
ทีใ่ จนี้ กร็ วู า “นี่เชอ้ื แหงภพยังมีอยูภ ายในใจ” นี่เช้อื แหง ภพนเ้ี ปน ส่ิงหลอกตาไดเปน
อยางดี ถา ไมใ ชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาอยางละเอียดสขุ ุม จะตดิ เชอ้ื แหงภพอยางไม
สงสยั ไดเ คยบอกแลว วา จติ มนั รูตวั เองอยา งชดั ๆ จากการปฏบิ ัติ จะลบลางไดอยางไร
วา “จติ นเ้ี มอื่ ตายไปแลวจะไมพาเกิดอกี ” เพราะตวั เกดิ ก็อยูก บั จติ จติ กร็ วู าการจะ
เกดิ อกี นัน้ เพราะเชือ้ นเี้ ปน เหตุ รๆู เหน็ ๆ กนั อยางเปดเผยจากการปฏิบัติทางจิตต
ภาวนา ซงึ่ เปนทางดาํ เนินทที่ รงดาํ เนนิ แลว ทรงรูประจักษพระทัยมาแลว เชอื้ แหง ภพ
ชาตมิ ีอยูใ นจิตมากนอ ย จิตจะตองเกิดในภพอีก
เมื่อปฏิบตั ิจติ ตภาวนาเขาสูขนั้ ละเอียด กเิ ลสยงั มมี ากนอ ยยอ มรูไดชัดดว ย
ปญญา เพราะสตปิ ญ ญาอนั ละเอียดนี้คมมาก ไมมีอะไรจะหนีรอดไปได เพราะปญญา
ความรูเ หน็ ส่งิ ตางๆ ท่ีมาเกีย่ วขอ งกบั จติ ไดอ ยา งรวดเร็ว จติ จะมีสาเหตใุ หไ ปเกดิ ท่นี ่นั
ไปเกดิ ที่โนน สตปิ ญ ญาตามแกไ ขทนั กบั เหตกุ ารณไ มเน่ินชา และสามารถตัดขาดได
ในโอกาสท่เี หมาะสม
ประการหนง่ึ จิตขน้ั ละเอียดนีพ้ รอ มที่จะหลดุ พนอยแู ลว เมอ่ื สติปญญาถึง
พรอมกับสิง่ ทคี่ วรตัดในโอกาสท่ีควร จนสามารถตดั ขาดเสยี ได ไมม เี งอ่ื นสบื ตอ ภายใน
จิต จนเปนจิตทบี่ รสิ ุทธิล์ ว นๆ ข้นึ มา
เมอ่ื จติ บริสุทธแ์ิ ลวจะสูญไปไหน? ถา มกี ารสญู ไปอยจู ะเอาอะไรมาบรสิ ทุ ธ?์ิ
และเอาอะไรมาศักดิส์ ทิ ธ์วิ ิเศษ? แมพ ิจารณาเทา ไรๆ กไ็ มม เี งอ่ื นสบื ตอ เพราะ
กเิ ลสหมดไปแลว จิตถึงความบริสทุ ธิแ์ ทแลว จึงเปนอนั หมดปญ หากับจติ ดวงนี้
ความที่จิตนี้จะเกิดจะตายตอไปอกี ไมมี! ความสญู กไ็ มป รากฏวา มี เพราะฉะนนั้ พระ
พทุ ธเจาผูบริสุทธ์ิ จงึ ไมท รงแสดงความสญู ไวก บั จิตพระอรหนั ต และจิตของสัตว
โลก จงึ ขอย้ําอกี วา จิตท่ีจะหมดปญ หาแลว มันสูญไหม? จิตยิ่งเดน แลวจะเอาอะไรมา
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๐ต๘๙ร๙ียมพรอ้ ม
๑๐๐
สญู เลา ? เมอ่ื ความจรงิ เปนอยา งนี้จะเอาอะไรมาสญู ? ขุดคน เรื่องสญู เทา ไร จิตยิง่ เดน
ย่ิงชัดไมมีอะไรสงสยั เดนจนพูดไมถูก บอกไมถกู ตามโลกนยิ มสมมุติซ่ึงหาท่สี ิ้นสดุ ยตุ ิ
ไมได ถา ใครยงั อวดเกง ตอความคิดวา “ตายแลว สญู ” เวลาไปโดยผลที่ไมคาดฝนใน
ภพหนา ก็จงเรียก “ความตายแลว สญู ” มาชว ยถาจะสมหวัง
จติ ทเ่ี ดน นอกวงสมมตุ ิน้ี แมเ ดนเพยี งไรก็พูดใหถกู ตองความจริงไมไ ด!
เมือ่ ปญ หาเกีย่ วกับการตายเกิดตายสูญสิ้นไปจากใจแลว กเ็ ปน ผู “ส้ินเรื่อง”
โดยประการท้ังปวง ถึงความบรสิ ุทธ์ิเต็มภูมิ จิตที่บรสิ ทุ ธ์เิ ต็มภมู ินส้ี ูญไหม? เมื่อรูชัด
เหน็ ชัดอยา งนแ้ี ลวธรรมชาตนิ จี้ ะสูญไปไหน? ลงความจรงิ ที่รูอยนู ่ีจะลบไดไหม? จะให
สูญไดไหม? ใครจะไปลบเลา? นอกจากคนตาฝา ฟางมองไมเ หน็ หนทาง เหยียบแต
ขวากแตหนามแลว กบ็ อกวาหนทางไมดี สิง่ ทม่ี ีก็คือขวากหนามเต็มฝา เทาเทานนั้ เมื่อ
เปนเชนน้ันเราจะเช่ือคนตาดหี รอื คนตาบอด จงตดั สนิ ใจดวน! อยาใหเสยี ดายเดย๋ี ว
ตายเปลา จะวา ไมบอกไมเ ตอื น ท่ีอธบิ ายมาทัง้ น้ีเปน คาํ บอกคาํ เตอื นอยแู ลว
ความบริสุทธทิ์ ่ีไมตอ งฝน อะไรๆ กค็ อื อนั นแ้ี ล แลว อนั นี้จะสูญไปไดอยางไร แต
จะมาตัง้ อยูเหมอื นหมอ ไหโอง นํา้ ไมได เพราะคนไมใ ชหมอ และน่ีเปนจติ จิตธรรมดา
กบั จติ บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั ผดิ กนั มากมาย จะมาต้ังกฎเกณฑใ หเปน อยา งนี้ ใหอ ยแู บบนๆ้ี ไม
ได ไมว าแบบใดๆ เพราะไมใ ช “ฐานะ” ของจติ ประเภทนที้ จี่ ะมาตง้ั แบบนห้ี รอื แบบ
ใดๆ ดงั ทานวา “นิพพฺ านํ ปรมํ สุ ฺญ”ํ นิพพานสญู แบบนเ้ี อง คือสญู แบบนพิ พาน
มใิ ชส ญู แบบโลกๆ ท่ีเขา ใจกนั
“สญู แบบนพิ พาน” คอื ไมมอี ะไรบรรดาสมมตุ ิเหลืออยภู ายในจติ ผทู ่ีรูว า สง่ิ
ทง้ั หลายสญู สิ้นแลว จากใจนนั่ เลย น่นั แหละคอื ตัวจรงิ นน่ั แหละคือผบู รสิ ทุ ธ์ิ ผูน ี้จะ
สูญไปไมได ย่งิ เดนยงิ่ ชัดย่งิ เขาใจแจม แจงทุกส่งิ ทกุ อยา ง ผูน้ีไมสญู ผูน ้แี ลเปน ผทู รง
คณุ สมบตั ิอนั ยอดเยย่ี ม ในบทที่สองวา “นิพพฺ านํ ปรมํ สุขํ” ผูนแี้ ลเปนสุขอยา งยิ่ง
นอกสมมตุ ทิ ้งั ปวง
ถา จิตบรสิ ทุ ธิ์ไดสูญไปจรงิ ๆ ธรรมบทนจี้ ะขนึ้ มารับไมไ ด เพราะก็สูญไปหมด
แลว ไมม อี ะไรจะมาเปน สขุ อยางยง่ิ ไดเ ลย การปฏิบัตใิ หเ ขาใจความจริงความแทข อง
ธรรม ตองปฏิบตั ิใหถ ูกธรรม อยาฝนธรรม จะไมรคู วามจรงิ แมม อี ยูใ นตน
คาํ วา “โลก” คอื “หมูสตั ว” กห็ มูสัตวต รงน้ีเอง คือตรงทีม่ ีเช้อื ไดแกอวชิ ชา
ตณั หาอุปาทานพาใหเกดิ อยูไ มหยดุ กอ นจะไปเกดิ ใหมต อ งเกิดอยภู ายในจิตนเ้ี อง
ทา นเรียกวา “หมสู ตั วพ ากันเกิดอยูท วั่ โลกดินแดน” “ตายทว่ั โลกดนิ แดน” ก็คอื ธรรม
ชาติทีว่ า น่ันเอง ไมมีอันใดเปนผพู าใหเกดิ พาใหต าย
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๐า๙๑ก๐ับ๐กเิ ลส’’
๑๐๑
สว น ความทุกขค วามลําบากท่ีมาจากธรรมชาติทกี่ อ ภพ ไดแก “ชาตปิ ทกุ ขฺ า
ชราป ทกุ ขฺ า มรณมปฺ ทกุ ขฺ ํ” ธรรมชาตอิ นั นเ้ี อง เม่อื ละหมดโดยตลอดท่วั ถึงไมม เี ช้อื
“วฏั ฏะ” ทจี่ ะพาใหเกดิ อีกแลว ธรรมชาตนิ ก้ี เ็ ปน “ววิ ฏั ฏะ”
คาํ วา “โลกคอื หมูสตั ว” กพ็ ดู ไมไดอกี แลว หมดปญ หาท่ีจะพูดวา โลกคือหมู
สัตวข องผูบริสทุ ธน์ิ น้ั ฉะนัน้ พวกเราจงพยายามปฏิบตั ิตามหลักความจริงท่พี ระพุทธ
เจา ทรงส่ังสอนไวแ ลว นี้ ในธรรมทานวา “สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม” พระธรรมอัน
พระพทุ ธเจาตรสั ไวช อบแลว ชอบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ไมวา เบื้องตน คอื “อาทกิ ลยฺ าณํ”
ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปดวยเหตุดว ยผลในเบ้อื งตน แหง ธรรม “มชเฺ ฌกลยฺ าณํ”
ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปดว ยเหตุดวยผล เตม็ ไปดว ยความถูกตอ งดีงามในทา มกลาง
แหง ธรรม “ปริโยสานกลฺยาณ”ํ ไพเราะในทสี่ ุด ทําใหผ ูฟง ซาบซึ้ง เตม็ ไปดวยเหตดุ วย
ผล ดว ยความถกู ตอ งดงี ามสุดสวนแหง ธรรม ทกุ ช้ันทุกวรรคทุกตอน
ส่ิงทน่ี า ติเตียนและควรแกไ ขอยางย่ิงก็คอื จิตใจของสัตวโ ลกผูฝนหลักธรรมอยู
ตลอดเวลา เพราะกิเลสมอี ํานาจมากกวาจึงทาํ ใหฝนธรรม เมื่อฝนธรรมก็ตองไดรบั
ความทกุ ข เกิดก็เปนเรา แกก็เปนเรา เจ็บก็เปนเรา ตายกเ็ ปนเรา ทกุ ขย ากลาํ บากชนดิ
ไหนๆ ตนก็เปน คนรบั เสียเอง กเิ ลสมนั ไมม ารบั แทนพอจะใหม ันกลวั ทุกข แลว แสวงหา
ธรรมเปนที่พึ่งดังพวกเรา
พระพุทธเจา ทา นไมร บั ทกุ ข สาวกทานไมร ับทกุ ข ดังท่มี วลสัตวร ับกัน!
เพราะฉะนน้ั จึงควรเห็นโทษแหงการฝนธรรมวา เปน ของไมดี จะทําใหเกิดไป
เรอ่ื ยๆ ตามความฝา ฝน จงพยายามแกไ ขดดั แปลงหรอื ฝกทรมาน ชาํ ระสะสางสิ่งที่พา
ใหฝ น นน้ั ออกจากใจ เราจะคลอ ยตามธรรมซาบซึ้งในธรรมไปเรื่อยๆ ความซาบซง้ึ ใน
ธรรมนั้น เพราะธรรมเริ่มเขาถึงใจเรา และกเิ ลสกเ็ ริ่มถอยทัพ กิเลสเบาบางลงไปแลวจงึ
ทาํ ใหมคี วามซาบซ้งึ ด่ืมดํ่า มคี วามพอใจบาํ เพ็ญศลี บําเพ็ญธรรม
ถา มแี ตก เิ ลสลว นๆ เต็มหัวใจ ไมมีธรรมเขาขดั ขวางตา นทานไวบ างเลย ยอ มไม
มีใครจะสนใจในอรรถในธรรมกนั ชาตินน้ี บั วามีเราวาสนา เพราะมีธรรมคอยสะกิดใจ
ใหเ รามีความชอบความพอใจอยากไปวดั ไปวา บาํ เพญ็ ศลี บําเพญ็ ทาน บําเพ็ญภาวนา
ใหม ีชองทางปฏบิ ตั ิบําเพญ็ ธรรม มีความดูดด่มื มคี วามพออกพอใจ มีความเชือ่ ความ
เลือ่ มใสในธรรม อนั เปนธรรมรสภายในใจ มธี รรมคมุ ครองจิตใจ กเิ ลสแมยังมีอยูในใจ
กจ็ ริง แตธ รรมทไี่ ดส ่ังสมมาจงึ พอตอ สูตานทานกัน หากมีแตเ รื่องกิเลสลว นๆ แลว การ
ทําความดยี อมเปนการทํายากยงิ่ ทั้งไมสนใจจะทํา สนใจแต “บาปกรรม” นาํ ตนเขา สู
ความลามกตกนรกทงั้ เปน ทัง้ ตาย ไมมีวันผลบุ โผลไ ดเลย
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๑ต๑๐ร๐ีย๑มพร้อม
๑๐๒
ผูไมมีธรรมในใจ ก็คือผมู บี าปเตม็ ไปท้งั ดวงใจนนั้ แล ผลของบาปจงึ ไดร บั แต
ความทกุ ขความลาํ บากเรื่อยๆ ไป ไมวา อยใู นภพใดกําเนดิ ใด แดนใดภาษาใด เพราะ
ใจนน้ั มันไมมีชาติชั้นวรรณะ ไมม ภี าษา แตเ ปน แหลง ผลิตกรรมดชี ัว่ ทั้งปวง และเปน
คลงั แหง วบิ ากคอื ผรู บั ผล จงึ ตอ งรบั ทงั้ ความสขุ ความทกุ ขทีต่ นสรา งข้นึ ทาํ ขึน้ มากนอย
จะหลบหลีกปลีกตวั ไปทไี่ หนไมไ ด ถา ไมส รา งปอ มปราการคอื บุญกศุ ลไวเสียแตบัดน้ี
ซึง่ ยังไมสายเกินไป เพ่ือบรรเทาหรือลบลา งบาปใหล ดนอ ยลงจนไมม ีบาปตดิ ตัวติดใจ
ผนู แ้ี ลคือผมู ีความสขุ แท ไมเ พียงแตความสุขที่เกดิ จากการเสกสรรปนยอซงึ่ หาความ
จริงมิได
การกลาวท้ังหมดนี้ ใหตางคนตา งนอ มเขาสใู จของตนเอง ซง่ึ เปนตวั การกอ
กรรมทาํ เข็ญดวยกนั เปนตวั การทัง้ เรอ่ื งทีเ่ ปน มาน้ี เปน ตวั การทั้งเรอ่ื งชําระคือแกไข
ตองฝน ตอสูก ับกิเลส ตองฝน อยาถอยมันจะไดใ จ เพราะกิเลสเคยฝน เราและเคยบังคบั
เรามานานแลว คราวนเ้ี ราพอมที างสู เพราะไดอรรถไดธรรมมาจากพระพุทธเจา จากครู
บาอาจารยเ ปนเคร่ืองมือตอ สูกบั กเิ ลส สไู มถอย ขน้ึ ช่อื วา สูแลว จะตองมีชัยชนะจนไดใน
วนั เวลาหนง่ึ ทีแรกเรายอมมนั แบบหมอบราบเลย ถา ไมสมู ันกไ็ มเรียกวา “ลกู ศิษยพ ระ
ตถาคต” ผเู กง กลา ในการรบกบั กเิ ลส การตอ สูยังดีกวายอมแพเ สยี ทีเดยี ว คราวนี้แพ
เพราะกําลงั ยงั ไมพอ กต็ องยอมแพไปกอ น คิดอุบายขึน้ มาใหม สเู ร่ือยๆ สกู นั ไปสูกนั
มา ยอมมีทางชนะกันไปเร่อื ยๆ เม่อื สบู อ ยเขาความชาํ นาญยอ มตามมา และความชาํ นะ
มมี ากข้ึน ๆ ตอไปความแพไ มคอยบอ ยไมคอยมี น่ัน! ฟงซิ
ทาํ ไมจึงเปน เชนน้นั ? เพราะจิตถงึ ธรรมขนั้ ไมย อมถอยทพั กลบั แพแลว ถาจะ
แพกเิ ลสนอยใหญต อไปอกี กข็ อใหต ายเสยี ดีกวา ทจี่ ะมาเจอความแพน้ี ซงึ่ เปนความต่าํ
ตอ ยดอยสตปิ ญญา ศรัทธา ความเพียร จงึ ขอใหต ายเสยี ดกี วา ขอใหชนะกิเลสทุก
ประเภทโดยถายเดยี วเทานนั้ ไมขออยางอ่ืนท่ีโลกขอกัน ถาไมชนะ ก็ใหตาย น่นั ! ฟงซิ
เด็ดไหม? จิตดวงเดียวนแ่ี หละ ดวงทีเ่ คยแพ เคยลม ลุกคลุกคลาน นแ่ี หละ
เมอื่ เวลาพลกิ ตัวข้ึนสธู รรม ดวยไดร บั การฝกฝนอบรมจากครอู าจารยมาแลว
ดว ยดี จติ มกี าํ ลงั วงั ชาพอมคี วามรูความฉลาด ตลอดถึงผลที่ไดร บั ประจกั ษใจ เปน
เครื่องสนับสนนุ จติ ใจใหถงึ ขัน้ ทวี่ า “ใหต ายเสียดีกวา ทีจ่ ะเจอความแพกบั กเิ ลสนอย
ใหญอกี ” ไมป ระสงคอกี แลว เรอ่ื งความแพน้ี ไมเปนของดีพอจะสงเสริมเลย
เขาแขง กีฬากันแพก นั ผูแพกย็ อ มเสยี ใจ แมจะเปนการเลน สนกุ กันก็ตาม ยงั ทาํ
ใหผูแพเ สยี ใจได
เร่อื ง “วฏั สงสาร” คอื เรอื่ งความเกดิ ความตาย เรือ่ งกิเลสซง่ึ เปนภัยตอ เราโดย
ตรง ไมใชเ ร่อื งเลนๆ ดงั เขาเลนกฬี ากนั เปน เร่อื งของความทุกขกองทุกขในตวั เราแทๆ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๑๑ก๐ับ๒กิเลส’’
๑๐๓
การแพส่งิ นี้ถือเปนของเลนของดีแลวหรือ เราคิดดูใหดี ความจรงิ แลวไมใ ชข องดีเลย
ความแพก ิเลสเปนความเสยี หายแกต ัวเราไมมที ส่ี ิ้นสุด ฉะนัน้ การแพกเิ ลสจึงเปน เรอื่ ง
ใหญโตมาก ทําไมถงึ ยอมแพมนั เรอื่ ยๆ เอา ! สูมันไมถ อย จนไดชยั ชนะไปเปน ลําดบั ๆ
จนถึงขั้นไมใ หมีคาํ วา “แพ” กระทั่งชนะไปเลย!
ผูน ี้แลเปนผูประเสรฐิ เม่อื ชนะไปเลยแลว ทีนค้ี าํ วา “ตายแลวเกิด ตายแลว
สูญ” น้ันหมด! ไมมีอะไรเหลืออยูใ นใจเลย เพราะความสาํ คญั ม่นั หมายเปน กเิ ลสทงั้
นั้น คําวา “ตายแลว เกดิ ตายแลว สญู นรกมีหรือไมมี สวรรคมีหรอื ไมม ี นีเ้ ปน เรอ่ื งของ
กิเลสพาไปใหค ิดดน เดาทั้งสิ้น
พอมาถงึ ขัน้ “ชนะไปเลย” เรอื่ งเหลานกี้ ็หมดไปในทนั ทที ันใด ไมมีการเกิดได
อีกเพราะไมม ีส่งิ ผลกั ดันใหเ กดิ ความลังเลสงสยั ปลงใจลงกับธรรมไมได ทา นเรยี กวา
“นิวรณ” เคร่ืองก้ันกางทางดี แตเปดทางช่วั ใหทํา ผูมนี วิ รณเขา เปนใหญใ นใจ จึง
ตอ งตัดสนิ ใจเพือ่ ความดงี ามอะไรไมได นอกจากงานที่จะลงทางต่ําไปเรื่อยๆ น้นั เปน
งานท่ีสนใจจดจอ โดยไมค ดิ วาจะผดิ พลาดประการใดและใหผ ลเชน ไรบาง ดว ยเหตุน้ี
ความช่ัวสตั วโลกจงึ ทําไดงาย แตค วามดีน้นั ทาํ ไดยาก ผโู ดนทุกขจ ึงมมี ากแทบทุกตวั คน
และมอี ยูทกุ หนทกุ แหง แมจ ะพดู วา หลงกองทุกขก ันกไ็ มผ ิด แตผ เู ปน สุขกายสขุ ใจน้นั มี
นอ ยมาก แทบไมนา เช่ือวา จะมีได
การท่ีเราเห็นเขาแสดงความรื่นเรงิ ออกมาในทาตางๆ และ สถานท่ีตา งๆ เชนใน
หนา หนงั สอื พิมพเปนตน น่ันเปนเพียงเครื่องหลอกกนั เลนไปอยา งน้นั เอง ความจริง
ตางอมความทุกขไวภ ายในใจแทบระเบดิ โดยไมเ ลอื กชาตชิ นั้ วรรณะใดๆ เลย ทงั้ น้ี
เพราะสงิ่ ทีท่ าํ ใหซอ นความจรงิ ไวนน้ั ไดแ กค วามอาย กลวั เสียเกยี รติ และเปน คนใหญ
คนโตท่ีโลกนยิ ม น่ี จงึ นาํ ออกใหโลกและสงั คมเหน็ แตอ าการทเ่ี หน็ วา เปน ความสุขรืน่
เริงเทาน้นั
ตัวผลติ ทุกขแ กม วลสตั วมนั ผลติ อยภู ายในใครไมอ าจรเู หน็ ได นอกจากปราชญ
ทีเ่ รยี นรูและปลอ ยวางมนั และกลมารยาของมนั แลว เทา นนั้ จึงทราบไดอยางชดั เจนวา
ภายในหัวใจของสตั วโลกคุกรนุ อยดู ว ยไฟราคะตณั หา ไฟความโลภ หาความอิ่มเพียง
พอไมเจอ แมจะแสดงออกในทา รา เริง ทา ฉลาดแหลมคม ทา ผดู ีมีความสุขฐานะดเี พยี ง
ไร ก็ไมส ามารถปดความจรงิ ท่ีมีอยูใ นหวั ใจใหมดิ ไดเ ลย ปราชญท ั้งหลายรเู หน็ จับได
เพราะกลมายาของกเิ ลสกับธรรมละเอียดตางกันอยูมาก ทา นผูเปน ปราชญโ ดยธรรม
จึงทราบไดไมยากเย็นอะไรเลย
ดวยเหตุนจี้ งึ ควรพยายามสรา งความดใี หพอแกความตองการ จิตใจเปนของแก
ไขได ใจชวั่ แกใ หด กี ็ได ทําไมจะแกไมได ถา แกไมไ ดพ ระพุทธเจา จะฝก พระองคใ หดไี ด
ธรรมชุดเตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๑๑ต๒๐รยี๓มพรอ้ ม
๑๐๔
อยางไร บาปนน้ั มีดว ยกัน เพราะเราทกุ คนเกิดมาทามกลางแหงบาป เกดิ มากบั กเิ ลส
และอยใู นวงลอมของกเิ ลสดว ยกนั เกดิ มากบั บญุ กบั บาป และอยูในทา มกลางสิง่ ทดี่ ชี ่วั
เหลาน้แี ล เน่ืองจากยงั ไมม ีความดพี อจะใหอยูเ หนอื สิ่งเหลา นไ้ี ด แดนมนษุ ยเ ปน สถาน
ที่และกําเนิดอันเหมาะสมดอี ยแู ลว จะสรางอะไรก็ไดเ ตม็ ภมู ิ แตก ารสรา งความดนี ั้น
เหมาะสมกบั ภูมมิ นุษยอยา งยิง่ ดังพวกเราสรางหรือบําเพญ็ อยเู วลานี้ อันใดควรแกไข
ดัดแปลง ก็แกไ ขและดัดแปลง สงิ่ ที่ควรสง เสริมก็สง เสริมไปเรื่อยๆ ดว ยความไม
ประมาทนอนใจ
การไมประมาท สรา งประโยชนเพื่อโลกและตัวเองอยเู สมอ แมไ ปเกดิ ภพใดกไ็ ม
เสียทา คนท่ีมคี วามดีแลวไมเสยี ที มแี ตค วามสขุ ความเจรญิ ไปเรื่อยๆ ในภพนน้ั ๆ มี
ความสุขสบายตลอดไป จนอุปนสิ ัยวาสนาสามารถเตม็ ท่แี ลว กผ็ านไปยงั แดนเกษม
สาํ ราญ การผา นไปก็ผา นไปดว ยดี อยูดว ยความดี ความดีเปน เคร่อื งสนบั สนุนใหผ าน
กองทุกขต างๆ ไปไดโ ดยไมมอี ปุ สรรค ถา ไมม ีความดีก็ไปไมได การไปสคู วามสขุ ความ
เจริญนั้น โลกอยากไปดว ยกนั ทุกคนนน่ั แล แตทําไมจึงไปไมได? ก็เพราะกําลังไมพอที่
จะไปนน่ั เอง
ถา ไปไดดว ยความอยากไปเทา นัน้ โลกทั้งโลกใครจะไมทนรบั ความทุกขค วาม
ลําบากท่เี ปนอยนู เี้ ลย แมแตสัตวเขายังกลัวทุกข ทําไมมนุษยฉลาดกวาเขาจงึ จะไมก ลวั
ทุกข จะทนแบกหามทุกขอยูทําไม? ทั้งๆ ทร่ี ูอยูวา ทกุ ขนะ สตั วอยากพนจากทกุ ขอยา ง
เต็มใจดว ยกนั ทาํ ไมไมพ น ไปเสยี ? ท้ังน้ีกเ็ พราะกรรมยังมี วาสนาบารมียงั ไมส มบูรณ
สุดวิสัยที่จะไปได จงึ ยอมอยกู ันและเสวยทกุ ขตามทปี่ ระสบ
ยิง่ หลวงตาบัวซึ่งเปนคลงั แหง กองทุกขอยางเต็มตวั เต็มใจอยแู ลว มีใครมา
กระซบิ วา “โนน! ความเกษมสําราญอยูโ นนนะ มานอนกอดทุกขอ ยทู ําไม ไปซ!ี ” จะ
โดดผางเดียวกถ็ งึ แดนเกษมนะ เอา! โดด ๆ ๆ เดีย๋ วนี้ จะถงึ เด๋ียวน”ี้ ถาเปนไปไดด ัง
ทวี่ าน้ี ขาขาดแขนขาดไปขณะที่โดดก็ขาดไปเถอะ ขรัวตาบวั ตอ งโดดผึงเลยอยา งไมเสีย
ดาย เพ่ือไปเสวยความสขุ ใหบานใจหนอยก็ยังดี ดีกวา นอนกอดทุกขอยตู ลอดภพชาติที่
เต็มไปดว ยทกุ ข ไมมีความสุขมาเยย่ี มเยียนบา งเลย แตน่ีมนั สุดวิสยั จงึ ยอมนั่งหาเหา
เกาหมดั แบบคนสน้ิ ทา อยูอยางน้ี
ฉะนนั้ ขอทุกทา นจงเห็นคุณคาแหง ความเพียรเพ่ือไปสูแดนเกษม อยาเอาเพยี ง
ความอยากไปมาหลอกลอ ใหจ มอยใู นทกุ ขเ ปลา ธรรมทา นกลา วไวว า “คนจะลวงพน
จากทุกขไปไดโ ดยลาํ ดบั ๆ เพราะความเพยี รพยายามเปนหลักใหญ” น่เี ปน ธรรม
ของพระพุทธเจา ผูพ นจากความทกุ ขเพราะความเพยี ร ไมใชเพราะความอยากพนเฉยๆ
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๑๓ก๐ับ๔กิเลส’’
๑๐๕
และความทอ ถอยออ นแอแยล งทกุ วนั กระท่ังรบั ประทานอาหารกน็ อนรบั เพราะข้ีเกยี จ
ลุก น่ขี าํ ดี
เราเปน ลูกศิษยพ ระตถาคต เปนพทุ ธบริษัท ทานหมายถงึ อะไร หมายถงึ ลูกเตา
เหลา กอของพระพทุ ธเจา พระองคทรงพาเราดาํ เนินไปอยางใด พระองคท รงดําเนินกา ว
หนา เราเดนิ ถอยหลังมนั จะเขากันไดไ หม? เราก็ตอ งเดนิ กา วหนาไปดว ยความ
พากเพยี รไมล ดละทอ ถอย จะชา หรอื เร็วก็ตาม ขอใหค วามพยายามนั้นเปน ไปตามกําลงั
สตปิ ญ ญาความสามารถ อยาละเวนความเพยี รเทา น้นั ก็เชื่อวา “เปน ลูกศษิ ยท ่มี คี รู
สอน ดําเนินตามครู” วาสนาเราสรา งทกุ วนั ทาํ ไมจึงจะไมเ จรญิ กา วหนา พระพุทธเจาก็
ทรงสอนใหส รา งคุณงามความดีเพื่อเปนอํานาจวาสนา ทําไมวาสนาจะไมสนับสนนุ เรา
ความจริงตามธรรมแลว ธรรมเหลา นั้นตองสนับสนุนอยโู ดยดี จงทาํ ใหย ่งิ ๆ ขึ้นไปโดย
ลําดบั ผลสุดทายกเ็ ปนไปไดเ ชนเดียวกบั พระพทุ ธเจาน้นั แล
ดังที่กลา วเมอื่ สักครูน ีว้ า ทแี รกก็ยอมแพไ ปกอน สไู ปแพไป ๆ ตอไปสูไปแพ
บางชนะบางสลับกันไป ทั้งแพท ้งั ชนะมสี ลบั ขั้นกนั ไป ทีเขาทีเรา ตอ ไปทีเราชนะมาก
กวา ทีเขาชนะ ตอ ไปทีเราชนะมากเขา ๆ สดุ ทายมแี ตท เี ราชนะ!
กเิ ลสหมอบลงเรอ่ื ยๆ นอกจากหมอบแลว เราฆา มันจนฉบิ หายไปหมดไมมี
อะไรเหลอื เมือ่ ฆา กเิ ลสใหต ายแลว ไมตอ งบอกเรือ่ งความพน ทกุ ข ใจหากพนไปเอง
เทา ทีห่ าความสุขอนั พึงหวงั ไมเจอ ก็เพราะกเิ ลสเปน กําแพงขวางก้ันไวนั่นเอง พอ
ทาํ ลายมันใหวอดวายไปแลว ความพนทุกขกเ็ จอเองไมตอ งถามใคร!
การทสี่ ตั วมาเกิดและทนทกุ ขทรมาน กเ็ พราะมาอยใู ตอ าํ นาจของกองกเิ ลสเทา
นนั้ ไมม ีเรอ่ื งอนื่ ใดเลยเปนสําคญั กวาเรื่องกิเลสชนิดตางๆ ซง่ึ เปน นายเหนอื หวั สตั วโ ลก
เราจงึ ไมค วรมองขามกเิ ลสวา เปน ของเล็กนอ ย เรือ่ งของกิเลสก็คอื เรือ่ งกองทกุ ขน ่ันเอง
มองใหซ ้ึงๆ กเิ ลสอยใู นใจของเรานแ่ี ล มองใหเ หน็ กนั ทนี่ ี่ ฝกกันน่ีที่ แกกันท่นี ่ี ฆา กนั ท่ี
น่ี ตายกนั ท่ีนี่ ไมต อ งเกดิ กันก็ทีน่ แี่ หละ! ที่สน้ิ ทกุ ขกอ็ ยทู นี่ ่ไี มอยทู ีอ่ ื่น
ขอใหพ ากันนําไปพนิ จิ พิจารณา และบาํ เพ็ญคุณงามความดใี หม ากเทาที่จะมาก
ได ไมตองกลวั จะพน ทกุ ขเพราะความดีมมี าก นั่นคิดผิด กิเลสหลอกลวงอยา เชอ่ื มัน
เด๋ยี วจมจะวาไมบอก กจิ การใดกต็ ามทีจ่ ะใหเ กดิ ความดี จะเกดิ จากการใหท านกต็ าม
ศลี กต็ าม ภาวนากต็ าม เปนความดีดว ยกนั ทั้งนนั้ รวมกันเขา กเ็ ปนมหาสมบตั ิ เปน
เคร่ืองสนับสนนุ จติ ใจเราใหเ ปนสุข เปน สุขเรียกวา “สคุ โตๆ” อยกู ็สุคโต ไปกส็ ุคโต
ถา คนมบี ญุ เพราะการสรา งบุญ ไมมอี ยา งอื่น มอี นั นเ้ี ปนสาํ คญั ของคนใจบุญ
จงึ ขอยุตกิ ารแสดงแตเพยี งเทาน้ี
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ๑๐๕
ธรรมะชุด๑เ๑ต๔รียมพร้อม
๑๐๖
สญุ ญกัป ภทั รกปัเทศนโปรดคณุ เพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เทศน์โปรดคณุ เพาพงา วรรธนเะมกอ่ืุลวณนั ทวี่ ัด๒ป๑่าบมา้ กนรตาคดม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
เมื่อวันท่ี ๒๑ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๕๑ส๙ญุ ญกปั -ภัทรกัป
ตามหลกั ธรรมทา นกลา วไวว า “สุญญกัป” คือระยะทว่ี างเปลา จากศาสนา ไมมี
อรรถไมมธี รรม คาํ วา “ศลี ” วา “ธรรม” วา “บาป” วา “บญุ ” นี้ไมปรากฏในความรู
สกึ ของประชาชนทง้ั หลาย คงไมมคี วามสนใจกนั และไมทราบวา “ศีลธรรม” หรือ
“บาป-บญุ -คุณ-โทษ” เปนประการใดบาง ทา นวาเปน ระยะท่รี อ นมาก แตไ มไ ดหมาย
ถงึ ดินฟา อากาศรอนผดิ ปกติธรรมดาทเ่ี คยเปน แตม นั รอนภายในจติ ใจของสัตวโลกที่
เตม็ ไปดวยกิเลสซ่ึงเปน ธรรมชาติท่เี ผาลนใจสัตว เพราะเปน ธรรมชาตทิ ร่ี อนอยแู ลว
เมอ่ื เขา ไปสิงในสถานท่ใี ดจดุ ใด จดุ นน้ั ตองรอ น ในหวั ใจใดหัวใจน้นั ตอ งรอ น เพราะไม
มีนํา้ ดบั คอื ศาสนธรรม
คาํ วา “นํา้ ” กไ็ ดแก “ศีลธรรม” เปน เครอ่ื งดับความรุมรอ นภายใน คอื กิเลสท่ี
สมุ ใจ แมศาสนามีอยูเชนทกุ วนั น้ี ถา ไมส นใจนาํ “นาํ้ ศีลธรรม” เขามาชะลางเขา มาดับ
ความรมุ รอนนีก้ ไ็ มวายที่จะรอน เชนเดียวกบั “สญุ ญกปั ” คาํ วา “สญุ ญกปั ” ในครั้ง
โนน กบั ”สญุ ญกปั ” ของเราในบางเวลา หรอื ของบุคคลบางคนนน้ั มีอยูเ ปนประจาํ ผูท ่ี
ไมเ คยสนใจกับศลี กับธรรม หรือกบั คุณงามความดีอะไรเลยน้ันนะ เปน “สญุ ญกปั ”
ผไู มส นใจอยา งนน้ั เราอยาเขา ใจวาเขามเี กียรตมิ ีคณุ งามความดี เขาเปน คนเฉลยี ว
ฉลาด เขาเปน คนมฐี านะดี เขาเปนมนุษยทม่ี ีสงาราศี ตรงกนั ขา มหมด! คือภายในจิต
ใจทีไ่ มม ีศีลธรรมเปนเคร่ืองหลอ เลีย้ งและเปนนาํ้ ดบั ไฟแลว จะใหความรม เย็นเกดิ ขึ้น
ไดอยา งไร
เพราะกเิ ลสมนั ฝงลึกอยูภายในจติ ใจนนั้ เปน ประจํา แมม สี ่ิงที่จะดบั แตไ มสนใจที่
จะนํามาดบั แลว จะหาความสุขความสบายมาจากท่ไี หน โลกเรามองกันสว นมาก มอง
อยา งเผนิ ๆ คอื มองตามความคาดความหมาย ตามความรูสึกของโลกและของตวั เอง
โดยไมไ ดน าํ เหตนุ าํ ผลนาํ อรรถนําธรรมเขา มาเทยี บเคียง หรอื วัดตวงกับคนและส่ิงเหลา
น้นั เนอื่ งจากเราไมมคี วามรแู ละมปี ญญาลกึ ซึ้งทางดานธรรมซง่ึ เปนความจริง และเปน
หลักเกณฑอ นั ตายตวั มาทดสอบกับเรอื่ งทง้ั หลาย จึงไมทราบความจริงซ่งึ มีอยูในหัวใจ
ดว ยกันทกุ คน
ท่ลี วนแลวแตความจรงิ คอื ธรรม ทา นสอนอรรถสอนธรรมแกสัตวโ ลกนนั้ ทาน
สอนความจรงิ ไมไ ดส อนความปลอม แตจ ิตใจของเรามันชอบปลอมกับธรรมอยเู สมอ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๑ต๑๖ร๐ยี ๖มพรอ้ ม
๑๐๗
เปนขาศกึ ตอตัวเองอยเู รื่อยๆ เวลาจะประกอบศลี ธรรมคุณงามความดเี ขา สจู ิตใจ มัก
จะหาเรอื่ งหาราวกอ อุปสรรคใหขัดของตอการประกอบความดนี ้นั ๆ กลายเปนมาร
สงั หารตนเองโดยไมร สู ึก โดยทเ่ี ราก็คิดวา เปน ทางออกของเราอยา งดี นกี่ เ็ ปนเรื่องไฟท่ี
จะทาํ ความรุม รอ นใหแกเ ราแงหนึ่ง
เพราะฉะนัน้ คําวา “สุญญกัป” อันเปนเร่อื งใหญน ้นั จึงมาเปน ไดก ับเรือ่ งยอยๆ
ในบรรดาเราท้ังหลาย แมจ ะนบั ถือพระพทุ ธศาสนาอยูกต็ าม ระยะใดที่หางเหินจากศลี
ธรรม จากการประกอบคุณงามความดี เฉพาะอยางยงิ่ คอื การอบรมจติ ใจใหมีความรม
เยน็ ระยะนัน้ มันก็เปน “สญุ ญกัป” ได ระยะใดท่ีเปน สุญญกปั ภายในใจ ระยะนัน้ ใจก็
รอ น ความรอ นน้ันมนั เปน “สุญญกัป” ในหัวใจคน มันจะรอนของมนั ไปเรอื่ ยๆ
คาํ วา “สญุ ญกปั ” คือวางเปลาจากเหตุจากผล จากคําวา “อรรถ” วา “ธรรม”
คาํ วา “บาป” วา “บญุ ” ไมไดระลึกพอท่ีจะหาทางแกไ ขและสงเสรมิ เลย ทา นเรียกวา
“สญุ ญกัปภายในจติ ใจของสตั วโ ลก” และ เม่อื “สญุ ญกปั ” เขาสจู ติ ใจได แมจะมี
ศาสนาอยโู ดยท่ีตนก็ปฏญิ าณตนวานบั ถือศาสนากต็ าม แตข ณะทไ่ี มม ศี าสนา ไมมีเหตุมี
ผลเปนเครอื่ งยบั ย้งั ชัง่ ตวงทดสอบตนเองวา ผดิ หรือถูกประการใดบาง ระยะนน้ั เปน
ความวุน วายรุม รอ นของจติ ไมน อ ย ทเี่ รยี กวา “สญุ ญกปั ” ฉะนัน้ สุญญกปั คอื ความวา ง
เปลา จากศีลธรรมเคร่ืองใหความรม เย็น จึงมกั เดนอยูท่จี ติ ใจคนไมเลือกกาลวาเขาถึง
สุญญกัปหรือไม น่เี ราเทยี บเขา มาใหท ราบเร่ือง “สญุ ญกปั ” ตามหลกั ธรรมทที่ าน
กลา วไว พอเลยจากนน้ั ก็มีพระพทุ ธเจา มาตรสั รู และทรงสั่งสอนธรรมแกโ ลก โลกก็
เริ่มรูศลี รธู รรมแลว ปรับตวั เปน คนดี มคี วามรม เย็นไปโดยลําดับ เพราะอาํ นาจแหงศลี
ธรรมเปน “นํา้ ” สําหรับดบั “ไฟกเิ ลสตณั หาอาสวะ” ซงึ่ เปน ความรมุ รอนโดยหลกั
ธรรมชาตขิ องมนั
ทา นกลา วไวอ ยา งนน้ั นเ่ี รายนเขามาดวย “โอปนยิโก นอ มเขามาสูต ัวของ
เรา” ในวนั หน่งึ คนื หนึ่ง เดือนหนึ่งปห น่ึง ตง้ั แตว ันเกดิ มาน้ี กว่ี นั กค่ี นื กีเ่ ดอื นกี่ป กี่ชว่ั
โมงนาที ระยะใดบา งในชวงทเ่ี กิดมาจนกระทัง่ บดั นี้ซ่งึ เปน “สุญญกปั ” ภายในตวั เรา?
ในระยะใดบางทมี่ ีศาสนาประจําใจ เฉพาะอยางยง่ิ แมใ นขณะทนี่ ั่งภาวนามนั กเ็ ปน
“สุญญกัป” ไดอ กี นัง่ ภาวนา “พุทโธ ๆ” สกั ประเดย๋ี วเผลอไปลงนรกแลว คอื ยงุ กบั
เร่ืองนัน้ ยุง กบั เรอ่ื งน้ี วุนวายกบั อารมณน ้นั วนุ วายกบั อารมณน ้ี นัน่ แหละมันเปน
“สุญญกปั ” แลว โดยทีเ่ ราไมร ตู ัว ทั้งๆ ทเ่ี รากว็ า เรานง่ั ภาวนาน่ี แตม ันน่งั วนุ นน่ั นง่ั วนุ
น่ี จึงกลายเปนนั่ง นั่งสุญญกปั ไป! ในหวั ใจของนักภาวนาทีช่ อบนั่งสปั หงกงกงัน และ
จติ ใจฟงุ ซานไปตามอารมณ โดยไมมสี ตปิ ญญาตามรกั ษาและแกไ ข
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๗๑ก๐บั ๗กเิ ลส’’
๑๐๘
เพ่อื ใหเขาใจในเรอ่ื งเหลา น้ี และเพอ่ื ใหท นั กบั กลมารยาของกเิ ลส คอื ความลมุ
หลงอนั เปน กิเลสประเภทหนึ่ง จําตอ งต้ังสติต้ังทา ต้ังทางระมดั ระวังและพินิจพิจารณา
มีเจตนามงุ หนาตอการงานของตนในขณะทีท่ าํ อยาใหค วามพลัง้ เผลอเหลา นั้นเขามา
แบงสันปน สวนเอาไปกิน และเอาไปกนิ เสยี หมดกระทั่งไมมอี ะไรเหลอื ตดิ ตวั
พอออกมาจากทภ่ี าวนา “เฮอ! ทาํ ไมนง่ั ภาวนาจึงไมไ ดเ รอ่ื งไดร าวอะไรเลยวัน
น!้ี ” สิ่งทไ่ี ดเร่อื งไมพ ูดไดเรอื่ งอะไร? กเ็ รอ่ื งยงุ เรอ่ื งวนุ วายนะซี เรอ่ื งไปตกนรกทั้ง
เปนทไ่ี หนบา งนนั้ ไมพ ูด แลว จะมาทวงเอาหนเี้ อาสินจากอรรถจากธรรม เหมือนศาสนา
เปน หนสี้ ินของตน ทาํ เหมือนเราเปน เจา หน้ีศาสนา ทวงอรรถทวงธรรมเอากบั ทา น มนั
ก็ไมไ ดนะซี เพราะเราทําเหตไุ มด ใี หแกตัวตา งหากนี่
“น่งั ภาวนาต้ังนมตง้ั นานไมเหน็ เกดิ ผลเกิดประโยชนอ ะไร! วาสนานอ ย เรานี่
อยเู ฉยๆ ไมทําเสยี ดีกวา น่ัน! เอาอกี แลว นน่ั หลอกไปเรอ่ื ยๆ
แตน่งั ภาวนาอยูมันยงั ไมไ ดเ รอื่ ง ส่ิงทตี่ อ งการมันไมไ ดเ พราะเหตุไร? เพราะ
เปน เพยี งเจตนาขณะหนึง่ เทาน้นั ทวี่ า ตองการจะทาํ ภาวนา แตเ จตนาท่ีแฝงขนึ้ มาและ
เพ่มิ พนู ข้ึนโดยลาํ ดับๆ จนถงึ ฉดุ ลากจติ ไปสูท ี่ไหนๆ ไมร ู ไมมศี ลี มีธรรมประจําจิตใจ
ในขณะนน้ั เลย ใจไปตกนรกทั้งเปน อยทู ่ไี หนกไ็ มร ู นั่นเราไมคิดไมเอามาบวกมาลบ ไม
เอามาเทยี บเคียงดูทดลองดพู อใหทราบขอเท็จจรงิ กัน แลวกไ็ ปทวง “เอาหนเ้ี อาสนิ ”
จากอรรถจากธรรมวา “ทาํ แลว ไมเกิดประโยชน ไมเ กิดความสขุ ความสบาย ไมเกิด
ความสงบเย็นใจ” แนะ !
กเ็ ราไมหาความสงบ หาแตความวุน ผลมันกไ็ ดแ ตความทกุ ขความวุน นั่นนะ ซี
ความจริงตามหลักธรรมที่ทานแสดง ท่ที านสอนไวโ ดยถกู ตองนนั้ ทานไมได
สอน “ของปลอม” ใหพวกเราเลย ส่ิงใดทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจเราทัง้ ดที ้ังช่วั ทา นสอนให
เขาใจดงั ท่ีกลา วมา ซึ่งมอี ยูก บั จิตใจของทกุ คนทเ่ี รียกวา “สุญญกัป”ๆ นะ ความวา ง
เปลาจากอรรถจากธรรม ทั้งๆ ที่น่งั ภาวนาอยแู ตใ จเผลอไปไหนกไ็ มรู ปลอยไปเรือ่ ย ๆ
แลว วา ตนนง่ั ภาวนา ผลก็ไมป รากฏอยโู ดยดี เพราะใจเปน “สุญญกปั ”!
ถา หากมสี ติสตงั กาํ หนดดูอยนู ัน่ สมมตุ วิ า จะกาํ หนดลมหายใจ ก็ต้ังหนา ต้ังตา
ใหร เู ฉพาะลมหายใจไมยุงกับอะไร กย็ อมจะปรากฏผลเทา ท่ีควรเปน ไดต ามกําลงั อนั
ความอยากมนั เปนเคร่ืองผลักดนั ออกมาใหค ดิ ใหป รงุ มนั อยากอยูตลอดเวลาไมม ี
ความอมิ่ พอในการคิดปรงุ เพ่ืออารมณ ใหท ราบวา ความอยากนเี้ ปน ภัยตอความสงบ
เพราะมันผลักดันจิตใจใหคิดปรุงในเรื่องตางๆ ตามนิสยั ที่เคยเปน มา พยายามใหเ หน็
ภยั ในจุดนี้ แลวบงั คับไวไมใ หใจคิดในแงทเี่ ราไมตอ งการจะคิด เราตอ งการรใู นส่ิง
ธรรมชุดเตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๑๑ต๐๘ร๘ียมพร้อม
๑๐๙
ใดใหก ําหนดจติ ใจไวดว ยดเี พอื่ รสู ิ่งนน้ั เชน รูอานาปานสตหิ รือลมหายใจเขาออก ลม
เขาออกกใ็ หรูอยดู วยสติ ใจยอ มจะสงบเย็นได
พระพทุ ธเจาจะหลอกคนโกหกคนจริงๆ หรอื ? หากพระองคเปน นักโกหกคน
ทําไมพระพุทธเจาไดตรสั รูดวยธรรมของจริงละ ถา ไมท าํ จรงิ จะรู “ธรรม” ของจรงิ ได
อยา งไร? เมือ่ รตู ามความจรงิ แลวจะมาโกหกโลกไดอ ยา งไร มันเขา กนั ไมไ ด เหตผุ ลไม
ม!ี ทานทําจริง รูจริงเหน็ จรงิ สอนจริง!ทม่ี ันขัดกนั กต็ รงท่เี ราเรียกเอาผลกอนทํา
เหตนุ เ่ี อง! หากการดําเนินของตนขดั กับธรรมท่ตี รงไหน ควรรบี แกไ ขดดั แปลงจนเขา
กบั ธรรมไดใ จกส็ งบ
สว นมากผทู ่ี “ปลอม” ก็คือเราผูรบั โอวาทจากทานมา เอามาขยี้ขยําแหลกเหลว
หมด ทั้งๆ ท่ีเราวาเรานับถือทาน นับถอื ศาสนาเทิดทนู ศาสนา แตเราทาํ ลายศาสนาซงึ่ มี
อยูภายในตวั ของเรา และทาํ ลาย “ตัวเอง” โดยไมรูสึก เพราะความเผลอความไม
รอบคอบในตวั เราน้นั แลเปน ขา ศกึ ตอเรา
ฉะนน้ั เพื่อใหไดผ ลเทาทีค่ วรหรือใหไดผ ลยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป จึงควรคาํ นึงถงึ เหตุท่ีตน
ทํา คอยจดจอ งมองดจู ดุ ทที่ ําอยา ใหเ ผลอ เชน กาํ หนด “พุทโธ” กใ็ หเ ปน “พุทโธ”
จรงิ ๆ ใหร อู ยกู บั “พุทโธ” เทา นน้ั ไมต องการสวรรคว ิมานท่ไี หนละ นอกจากคาํ วา
“พุทโธ” ใหก ลมกลนื กนั กบั ความรู มสี ตกิ าํ กบั งานอยเู ทา นน้ั เราจะเหน็ ความสงบ
ทเ่ี คยไดย ินแตชือ่ ก็จะมาปรากฏทต่ี ัวของเรา ความเย็นความสบายความเปน สขุ ท่ีเกดิ ขึ้น
เพราะจิตใจสงบ กจ็ ะเห็นภายในตัวเรา เราจะเปนผูรู จะเปนผเู หน็ เราจะเปนผูร ับผล
อนั นีเ้ พราะเปน ผูท ําเอง ดว ยเจตนาทถ่ี กู ตองตามหลักธรรม จะไมเ ปน อยา งอ่นื
ศาสนาเคยสอนโลกมาอยา งน้ี ถาผปู ฏิบัติทําตามหลกั ธรรมท่ีทานสอนน้แี ลวจะ
ไมเ ปน อน่ื ใจตอ งหยง่ั เขา ถึงความสงบเปนอยางนอ ย และจะสงบขึ้นไปเรื่อยๆ โทษที่
เคยกลุมรุมภายในจิตใจกจ็ ะเห็นกนั รกู ัน เพราะอยูก ับใจ คุณคาท่เี กดิ ขน้ึ จากใจเพราะ
การชาํ ระการฝก ทรมานปราบปรามกิเลสออกไปไดม ากนอ ย กจ็ ะปรากฏข้นึ ภายในใจ
เราเอง เราจะเปนผเู ห็นเองรูเ องโดยไมตองฟง ขา วของใครๆ ทง้ั นนั้ เราเปนตัวจริง เรา
เปนตัวรู ผูรับทราบ เราเปนผเู สวยผลเกดิ ขน้ึ จากการกระทาํ ของเรา เราจะทราบ
เร่ืองตางๆ เอง
เร่ืองภาวนาไมใชเ รือ่ งเลก็ นอย เปนงานที่อัศจรรยม ากมายในผลท่ีเกิดข้นึ
พระพทุ ธเจา เปนผูรูโลกดกี ็เพราะการทําภาวนา ทรงกาํ หนด “อานาปานสต”ิ ตาม
หลกั ทา นกลา วไวอ ยา งนน้ั แตก อนทรงอดพระกระยาหาร โดยมงุ หวังความตรัสรจู าก
การอดพระกระยาหารเทา นัน้ ไมเ สวย แตไมไดท รงพิจารณาทางใจซึ่งเปน ความถกู
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๙๑ก๐ับ๙กเิ ลส’’
๑๑๐
ตอ งประกอบกนั เลย จึงไมไดส ําเร็จ เม่ือยอ นพระทยั หวนกลับไประลกึ ถึงเรอ่ื งเมอื่
คราวยงั ทรงพระเยาว ท่พี ระราชบดิ าทรงพาเสด็จไปแรกนาขวญั ไดท รงเจรญิ อานา
ปานสติ จิตใจมีความสงบ จงึ ทรงนําเร่อื งนนั้ เขา มาพิจารณาดว ยอานาปานสติ และ
ทรงปรากฏผลข้ึนมาแตเรมิ่ แรกพจิ ารณา เพราะพระจิตมีความสงบ และสงบละเอียด
ไปโดยลําดับ ก็ทรงมที างทจ่ี ะทรงพจิ ารณาไตรต รองโดยทางพระสตปิ ญ ญา
ทรงยก “ปฏิจจสมุปบาท” ขึน้ มา “อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา” เปนตน เพราะมี
อยูใ นพระกาย มอี ยูใ นพระจิตนัน้ ดว ยกนั ทรงไตรตรองตามเหตุตามผล ตามความสัตย
ความจรงิ ทมี่ ีอยูดวยพระปญญาปรชี าสามารถ และไดตรสั รู “เญยยธรรม” โดยตลอด
ท่ัวถงึ ในปจ ฉมิ ยามแหง ราตรีของเดือนหกเพญ็
เมื่อ “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา” ท่จี ูงมนษุ ยจงู สตั วท ัง้ หลายใหทองเทย่ี วอยใู น “วฏั วน”
เหมอื นกบั คนหหู นวกสตั วต าบอด มาตัง้ กปั ตง้ั กัลป พระองคไดทรงสลัดปดทิ้งบรรดา
ความบอดหนวกทั้งปวงในราตรีวันนนั้ ปรากฏในพระทัยวา “อาสวกั ขยญาณ” ไดส ิน้
ไปแลว จากอาสวะความมดื มนอนธการทงั้ หลาย นอกจากนนั้ ยงั ทรงรู “ปพุ เพนวิ าสา
นสุ สตญิ าณ” ทรงระลึกชาติยอ นหลังของพระองคไดจ นไมมปี ระมาณ และทรงรู
“จุตูปปาตญาณ” รคู วามเกิดความดบั ของสตั วทัง้ หลายไมมีประมาณ ญาณไหนๆ ก็
ทรงทราบโดยทั่วถงึ แลวกท็ รงนําสง่ิ ทีท่ รงทําแลว ทรงรูเหน็ แลวทัง้ เหตุท้งั ผลนั่นอันเปน
ความถกู ตอ งแมน ยํา มาสง่ั สอนโลกใหพ อลมื ตาอา ปาก พูดเปนเสยี งผูเสยี งคนขนึ้ มา
เปนลําดบั ไมหลบั หหู ลับตาอาปากพูดแบบปา เถื่อนเลื่อนลอย เหมอื นแตกอ นทย่ี งั ไมมี
ศาสนธรรมมาโสรจสรง ซึ่งไมม โี อวาทคําส่งั สอนของผใู ดทจ่ี ะถูกตอ งแมน ยํา และ
สะอาดยิ่งกวา พระโอวาทของพระพทุ ธเจา “เอกนามก”ึ คอื พระโอวาทคาํ สงั่ สอนของ
พระพุทธเจา ทเี่ ปน หน่ึงไมม ีสองน่ันแล และ “พระญาณ” ความหยั่งทราบในเหตุ
การณต า งๆ กเ็ ปน หนงึ่ ไมมสี อง ทรงรูท รงเห็นตรสั มาอยา งใด ตอ งเปน ไปตามความ
จรงิ นัน้ โดยไมเปนอ่ืนไปไดเ ลย นแ่ี หละ “เอกนามกึ” แปลวา หนึ่งไมมีสอง
พระพุทธเจาที่ตรัสรูขึ้นมาแตละพระองคน ้ัน ไมไดตรสั รูซํา้ กัน มีพระองคเดียว
เทา นน้ั ที่ตรัสรูแตล ะครั้ง ๆ น่ีอันหนงึ่ ท่เี รยี กวา “เอกนามกึ” มีพระพุทธเจาครั้งละพระ
องคเ ดยี วเทา นนั้
เอา!ทนี ยี้ นเขามาหาพวกเรา ทกี่ ลาวมาทั้งนเ้ี ปนไดทง้ั เราทั้งพระพทุ ธเจา เปน
แตเ พยี งวา กวางแคบตา งกัน สาํ หรบั หลักฐานแหง ความจริงนั้นเหมอื นกัน
“จตุ ปู ปาตญาณ” ความรคู วามเกิดความดับ รูท ีไ่ หนถา ไมรสู งั ขารท่ีเกิดขน้ึ
และดบั ไปท้งั ดีท้งั ช่วั อยภู ายในจิตใจ เอาตรงนี้ ปรงุ แตง เรอ่ื งภพเรอื่ งชาติ เร่ืองกิเลส
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๒๑ต๐๑รยี๐มพรอ้ ม
๑๑๑
ตณั หาอาสวะ ก็คือตวั น้ีแหละ ปญญาพิจารณาใหเห็นอยางน้ี “อาสวะ”กห็ มายถึง
กเิ ลส รูก ันท่ีตรงไหนกด็ บั ไป ๆ ที่ตรงนนั้ จนกลายเปน “อาสวกั ขยญาณ” ความรู
แจงในความสน้ิ อาสวกเิ ลสทัง้ หลายโดยสน้ิ เชงิ เราอยใู นกปั ไหนเวลาน?้ี
เราตอ งทดสอบเราวา อยูในภทั รกปั หรอื ในสญุ ญกปั ?
“ภัทรกัป” แปลวา กปั ทเ่ี จริญ เจรญิ ในการประกอบความพากเพยี ร ในความมี
สารคณุ ภายในใจ ในวนั หน่ึงๆ ถาไดส รา งสารธรรมขึน้ มาภายในจติ ใจ กเ็ ปน
“ภทั รกัป”เปน ขณะเปน เวลา เปน กาลทีเ่ จริญรุงเรอื ง นัง่ สมาธภิ าวนากเ็ ปนสมาธิ
ภาวนา ไมเปน “หวั ตอ” ไมมีสตสิ ตัง ทั้งๆ ท่ไี มหลับแตกห็ ลบั อยูเรือ่ ยๆ ดวยความไม
มีสติ คดิ ฟงุ ซานวุนวาย ฝนดิบฝน สกุ ไปเรอื่ ยๆ เรอ่ื งน้นั เรื่องนตี้ อ กนั ไป ถงึ ลกู ถงึ หลาน
ถงึ บานถึงเรอื น ถงึ กิจการตางๆ ตลอดเมอื งนอกเมืองนาทไี่ หนไปหมด อดีตอนาคตยงุ
ไปไมหยดุ หยอ น นเี่ ปน “กปั ” อะไร? ดูซี
ถา ไมมสี ติสตงั ก็เปนอยา งน้ัน ถามสี ตแิ ลว จะไมไ ป เราบงั คบั นี่ เวลาน้เี รา
ตองการจะทาํ หนาทน่ี ีอ่ ยา งเดยี ว “ใหเปนภัทรกัป อยาเปน สญุ ญกัป” นน่ั มันเปน
“สุญญกัป”ทีก่ ลา วไปแลวน้ันมันนาํ “ไฟ” มาเผาเจา ของผูเปน “สญุ ญกปั ”ท่ไี มมี
ศาสนาแฝงเลยขณะนน้ั นะ คือไมมีสติสตงั ไมม ีปญญาตามรักษาเลย ปลอยแตกิเลส
ใหก ิเลสฉดุ ลากจิตใจถา ยเดยี วโดยเจา ของไมรสู กึ กวาจะรสู กึ นะเขากนิ ของดีหมดแลว
เขาปลอ ยแลว ถึงรตู วั เวลาถกู เขาฉดุ เขาลากไปนน้ั ฝน สดไปกับเขา เวลาเขาปลอยแลว
จึงมารูตัว!
“โอย ตาย! มันคิดไปอะไร? เรื่องราวอะไร!” ก็ยังดอี ยทู ่รี ูวาคดิ ไป ไอทไ่ี มรูเ ลย
นน่ั ซิ พอรตู วั ลากกลับมา “เอ!มนั ยงั ไง? มานงั่ ภาวนาเปน เวลาตัง้ หลายนาที หรอื เปน
ช่วั โมงๆ ไมเห็นไดเ ร่ืองอะไร นั่งอะไรไมไ ดเรือ่ งอยา งนี้นะ นอนเสยี ดกี วา !” ลมไปเลย
ส่งิ ทไ่ี ดเ ร่ืองไดราวก็คือ “หมอน” แมห มอนเองถา มีวญิ ญาณ กจ็ ะเบอ่ื คนประเภท
ธรรมไมไ ดเรื่องน้เี ตม็ ประดา เพราะ “สุญญกัป” บนหมอนไมย อมปลอ ย เมอ่ื เปน เชน
น้ันมนั จะดกี วายังไง? นอกจากมัน “ดีหมอน” เทานั้น
ถาดกี วา ดว ยหมอนดงั ความเขา ใจน้ัน ใครๆ ก็พน ทุกขไ ปไดด ว ยกนั ท้งั น้ัน
แหละ! แตนี่มันไมดีกวา มันเปน เรอ่ื งกิเลสหลอกเรา กลอมเราใหห ลับวาเปน ของดกี วา
คอื ดกี วา ภาวนา!
กเิ ลสมันตองแทรกธรรมอยเู สมอ พวกนพ้ี วกกอ กวน พวกยแุ หย พวกทาํ ลาย
หาทําลายทุกแงทุกมุม ทกุ กาลทุกเวลาทกุ อริ ิยาบถ ลว นเปนเร่อื งของกิเลส พระพุทธ
เจาจึงทรงสอนใหปราบกิเลสพวกท่ีแทรกซมึ อยภู ายในใจ ดวยสติปญญา มีความเพียร
ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๑๑๑ก๑บั กเิ ลส’’
๑๑๒
เปน เคร่อื งหนนุ หลัง ความอดความทน ความพยายาม เราทําหนาท่ีการงานอันเปนสาร
ประโยชนส าํ คัญเพื่อเรา ใหเ ปน “ภทั รกปั บคุ คล” ขึน้ ภายในใจ จึงตอ งอาศยั ความขยนั
หม่ันเพยี ร
งานทกุ ดา นทเี่ ปนผลเปนประโยชน เราอยา สรา งอปุ สรรคมากีดขวางไมใ หง าน
นน้ั ๆ เปนผลสําเรจ็
จติ ถา สงบกส็ บาย ถาไมส งบไมว า แตกาลไหนๆ จนกระทงั่ วนั ตายก็หาความ
สบายไมไ ด เพราะจิตวนุ นจ่ี ะหาความสบายทไ่ี หน จงทาํ ความเขา ใจไววา “สญุ ญกัป” ก็
อยกู บั ความไมเอาไหนน่นั แล สว น “ภทั รกัป” กอ็ ยูในผูม ีความเพยี ร มีสตปิ ญ ญาเปน
เคร่ืองรักษาตวั “สุญญกัป” ก็คอื การปลอยตามเรอื่ งตามราว ตามอารมณ ตามบุญตาม
กรรม ไมทราบบุญที่ไหนกรรมที่ไหน ปลอ ยเรอ่ื ยไป ความปลอ ยเรอื่ ยไปนน้ั คือความ
ผกู มดั ตนเองโดยไมร ูส กึ ตวั แลวกจ็ นตรอกจนมุม เจอแตสิ่งทไี่ มพ งึ ปรารถนา ความ
ทกุ ขใ ครปรารถนาเลา ในโลกน?้ี แตทาํ ไมเจอกนั ทั่วโลกดินแดน น่กี เ็ พราะความปลอ ย
ตามบุญตามกรรมนั่นเอง มันไมมีเหตผุ ลนี่การปลอ ยอยา งนั้น
ถาปลอ ยกิเลสวางกิเลสดว ยสติปญญา นนั่ มเี หตมุ ผี ล! พระพุทธเจาทานทรง
ปลอ ยอยางนน้ั รเู หตุรผู ลทกุ สิง่ ทกุ อยางแลว ปลอยไปโดยลาํ ดับ จนกระท่งั ปลอยไดโ ดย
สิ้นเชงิ สดุ ทา ยกป็ ลอ ยกเิ ลสหมด เหลือแตพระทยั ท่บี ริสุทธิ์ พระพุทธเจาทานสอนให
ปลอ ยอยา งน้ี
พวกเรามีแตเ ท่ียวยดึ เท่ยี วถือ เทย่ี วแบกเท่ียวหาม หนักเทาไรอยางมากกบ็ น เอา
แลว กไ็ มว ายทจ่ี ะแบกจะหาม หามาเพิม่ เตมิ เร่ือยๆ ไมว า หนมุ สาวเฒาแกชราเปนตัว
ขยนั ทส่ี ุด กค็ อื การแบกการหามอารมณความคดิ ความปรุงตางๆ นน่ั เอง ไมไดค ดิ คาํ นึง
ถงึ วยั ถงึ ปถ ึงเดอื น อายสุ งั ขารเจาของบา งเลย
ขยนั ท่ีสดุ กค็ ือเร่ืองแบกเรอื่ งหามกองทกุ ข แบกสญั ญาอารมณ การพดู เชน นี้
ก็เพ่ือใหเราระลึกถงึ ตวั เรา ใหรวู า เราเคยเปนอยางน้มี านานเทา ไร แลวยงั จะฝนใหเปน
อยางนอ้ี ยูหรอื ผลท่ีเปน มาเพราะการกระทําอยางนีเ้ ปนอยางไร? เรากท็ ราบในตวั เรา
เองเวลานี้ เราจะแกไขตวั เราอยางไรบา ง? พอไดม ีความผอนคลายภายในใจ ไดร บั
ความสะดวกกายสบายใจ
ดังที่ทานทั้งหลายไดอุตสา หมาน้ี กน็ ับวา เปนบญุ เปนกศุ ล เปนเจตนาดีที่สุดที่มา
บําเพ็ญ นชี่ ่อื วา “มาหาสารประโยชน” เพราะฉะนน้ั จึงกรณุ าบําเพ็ญจิตตภาวนาให
เหมาะสมกบั กาลเวลาทีม่ า นั่งสมาธภิ าวนาดูตัวของเรา ตวั ของเราเปน อยา งไรถึงตอ ง
ดู ถาเปน คนไขก ต็ องหมอเปน ผูตรวจผรู ักษา เวลานจ้ี ติ เรามนั เปน “โรค” เปนโรค
อะไร ใครจะเปนผูตรวจผูรักษา น่ีแหละสําคญั
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชุด๑เ๑๒ต๑๒ร๒ยี มพร้อม
๑๑๓
โรคของจิตคอื เรื่องของกเิ ลส “ยา” กค็ ือธรรม “หมอ” ก็ไดแกครูแกอ าจารย
หรอื ตํารบั ตําราทีท่ า นสอนไว เรานํามาประพฤติปฏบิ ตั กิ ําจดั เช้ือโรคอันสําคัญทฝ่ี ง อยู
ภายในอยา งจมมิดน้ี ใหถอนดวยความพากเพียรอยา ลดละทอ ถอย ความหวังท่ี
ปรารถนาดว ยกันน้ันจะพงึ สําเรจ็ ไปโดยลาํ ดับๆ
เฉพาะอยางยง่ิ คือการพจิ ารณาเรื่องธาตเุ ร่อื งขันธ เร่ืองความเปน ความตายใน
สกลกายน้ี เปน ส่งิ สําคญั มากยิ่งกวา ไปคดิ ถงึ เร่อื งอ่นื ๆ เร่อื งความตายตดิ แนบกบั ตัว
เราทุกคน ความเจ็บ ความทุกข ความลาํ บาก ในรางกายและจติ ใจ กต็ ดิ แนบอยกู บั รา ง
กายและจิตใจเราไมไดป ลอ ยไมไ ดว าง นอนอยมู นั กท็ บั นั่งอยมู นั กท็ บั อริ ยิ าบถทัง้ ส่ีมี
แตเร่อื งความแก ความเจบ็ ความตาย นี่ทับเราอยูท้งั นน้ั ความทุกขค วามลําบากทับเรา
อยูตลอดเวลา เราจะหาอบุ ายวธิ ไี หนเพอ่ื จะใหร เู ทา ทนั กบั สง่ิ เหลา น้ี เพอ่ื จะถอดถอนสง่ิ
ทค่ี วรถอดถอนดว ยอบุ ายวธิ ใี ดบา ง?
นเ่ี รียกวา “เรียนรูตัวเราเอง” ส่งิ ทเ่ี ก่ียวกับตัวเรามีอะไรบา งใหรูใหเ ขา ใจ สม
กบั ศาสนาทอ่ี อกมาจากทา นผฉู ลาดแหลมคม มาสอนเราซ่งึ เปน พุทธบริษัท เพอ่ื ความ
ฉลาดแหลมคมใหท นั กับกลมารยาแหง ความโงของตนท่มี อี ยูภายใน ความโงก็คือกิเลส
พาใหโง ธรรมพาใหฉลาด เราวา กเิ ลสมันโงน ะ แตความจริงกิเลสมนั ฉลาดทสี่ ดุ แตทํา
คนใหโ งแ ละโงท่สี ดุ ไดอ ยางสบายมาก เชน เราถูกกลอมไวเร่ือยอยางนี้ ดว ยความ
แหลมคมของกิเลสทงั้ นนั้ แลว จะวากเิ ลสมันโงไดอยางไร ผทู ี่เช่อื กิเลสนน้ั แลคือผโู ง
วา อยางนีถ้ ูกตอ งดี แลว ใครละ เช่อื กเิ ลสโดยลาํ ดบั ลาํ ดา มีใครบา ง? ก็สตั วโ ลกนเ้ี องเปน
พวกโงเพราะเชื่อ กิเลส มนั กลอ มเม่ือไรกห็ ลับเมื่อนนั้ เคล้มิ เมอ่ื นน้ั ราบไปเมอ่ื นั้น ย่ิง
กวาเด็กถกู กลอมดว ยบทเพลง ไมเคยตน่ื เนื้อตนื่ ตวั ไมเ คยเหน็ ภยั แหงการกลอมของ
มนั กค็ อื พวกเราน่แี ล
พระพทุ ธเจา และพระสาวกทา น เปน ผรู สู กึ พระองคและรสู ึกตวั ไดนาํ ธรรมเขา
ไปร้อื ถอนตนออกจากไฟทง้ั หลายเหลาน้เี สยี ได แลว นาํ ธรรมเหลานั้นมาส่ังสอนพวกเรา
ประกาศทั้งคุณทั้งโทษ “โทษ” ไดแ กความลมุ หลงไปตามกิเลสตัณหาอาสวะ คุณก็ได
แกส ติปญ ญาศรทั ธาความเพียร ทจ่ี ะรอ้ื ถอนสง่ิ เหลา นอ้ี อกจากใจ ใหก ลายเปนผูฉลาด
แหลมคมข้ึนมา และหลดุ พน ออกจาก “แอก”ท่ีมันกดถว งอยูบ นคอ ไดแ กหวั ใจของ
เราน่ี จนกลายเปนอสิ ระขึน้ มาได ดังพระพุทธเจาและพระสาวกทาน พระพุทธเจา ทา น
หมด หมดสิง่ กดถว งใจ ยดึ อะไรหลงอะไร อนั นน้ั แหละกดถว ง ความยึดความถอื ของ
ตัวเองนนั้ แลมันกดถว งตวั เอง ไปยดึ ภเู ขาทัง้ ลกู ภเู ขาน้นั ไมไ ดม ากดถว งเรา แตค วาม
ยึดภูเขาทง้ั ลกู น้ันแลมันมากดถวงเรา ยดึ อะไรหลงอะไร ความยดึ ความหลงอันนัน้
แหละมนั มากดถว ง มาบบี บังคับจติ ใจเรา สง่ิ ที่เราไปยดึ ไปถอื นั่นมนั ไมไ ดมาทําเรา
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๑๓ก๑บั ๓กิเลส’’
๑๑๔
เชน เงินทอง ขา วของ ตึกราม บา นชอ ง ท่ีไรทนี่ าอะไรกต็ าม มันกอ็ ยูตามเร่ืองของมัน
มนั ไมถอื วา มันเปน ขาศึก หรือเปน คุณเปน โทษแกผใู ด แตผ ทู ไ่ี ปหลงไปยดึ ไปถอื สงิ่
เหลา นน้ั นน่ั แหละมนั กลบั มาทบั ตวั เอง จงึ ตอ งแกตัวนดี้ วยสติปญญา
การภาวนากเ็ พ่อื ใหรูเ รอ่ื งความคะนองของใจ ทค่ี ิดไมเขา เร่อื งเขา ราวอยางนี้
แหละ สัง่ สมทุกขใ หแกตวั มากเทา ไรยังไมเคยเห็นโทษของมัน เมือ่ ไดเรยี นทางดา น
ภาวนาแลว เริม่ จะทราบข้ึนโดยลําดบั ๆ จนมาถึงเรอ่ื งธาตุเร่ืองขันธอ ันเปนสมบัตสิ าํ คัญ
ของเรา ไดแ กร า งกาย เล่ือนเขา มาตรงน้ี รางกายทุกสว นน้ีมนั ก็จะตองสลายไปในวนั
หนง่ึ ทกุ วันน้ีมันก็เริ่มของมันแลวตลอดเวลา เปล่ยี นแปลงอยเู รื่อยๆ ความเปลี่ยน
แปลงของธาตขุ นั ธแ ตล ะชิ้นละอันน้ี มนั ทําความทุกขใ หแกเรามากนอ ยเพียงไร ถา มนั
แสดงออกอยางเปด เผยกท็ ราบชดั วา นม่ี ันเจบ็ ตรงน้นั ปวดตรงนี้ เชน เจ็บทอ ง ปวดหวั
เปนตน ถามนั ไมแสดงอยา งเปดเผย เปน ไปอยอู ยางลบั ๆ เราไมทราบได เรอ่ื งธาตุเร่อื ง
ขนั ธเ ปนอยา งนี้ “เวทนา” กค็ วามทุกข คือทุกขเวทนาบบี อยอู ยา งนั้นแหละ ยืน เดิน
น่งั นอน มันกบ็ บี บงั คบั อยอู ยางน้นั พิจารณาใหรนู ้แี ลว แมธาตุขนั ธจ ะยงั อยูกบั เราก็
ตามก็ไมกดถว งเราได เพราะความยึดถือของเราไมมี เนอ่ื งจากเรารูเ ทาทันกับสงิ่ เหลา นี้
ปลอยวางไดต ามความเปนจรงิ เชน เดียวกับสภาวธรรมท้ังหลาย ใจกส็ บาย อยูใน
ทามกลางแหงธาตขุ ันธก็ไมหลงธาตขุ นั ธ ธาตุขันธก็ไมมาทับถมเราได เราก็เปนอสิ ระอยู
ภายในจติ ใจ
น่เี รยี กวา “ผูฉลาดครองขันธ ผูฉลาดรกั ษาขันธ ขนั ธไ มสามารถมาเปนภัยตอ
เราได เพราะมีปญ ญาความเฉลยี วฉลาดทันกับมนั นกั ปราชญท านวา “นค้ี อื ความฉลาด
ฉลาดแกต วั ใหร อดพน ไปได” นั้นแลเปนความฉลาดของนกั ปราชญท ัง้ หลาย มีพระ
พุทธเจาเปนตน
ความฉลาดนอกนน้ั พาใหเ จาของเสียมาก พระพทุ ธเจา จงึ ไมท รงชมเชยวา น้นั
เปนความฉลาดอยางแทจ ริง ความฉลาดใดที่เปนไปเพอื่ ความสขุ ความเจริญแกตนและ
สวนรวมน้นั แล เปน ความฉลาดแท เฉพาะอยา งยิง่ ความฉลาดเอาตัวรอดน่ีเปนสาํ คัญ!
เอาตวั รอดไดก อน แลวกน็ ําผอู ื่นใหร อดพนไปไดโดยลําดับๆ นช่ี อ่ื วา ความฉลาดแท!
จึงขอยตุ กิ ารแสดง ฯ
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ธรรมะชดุ๑เ๒ต๑๔ร๑ยี ๔มพรอ้ ม
๑๑๕
ปรยิ ตั ิ ปฏบิ ัติ ปฏเิ วธเทศนโ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่อื วนั ท่ี ๑๒ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
เทศนโ์ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณป๒๕รว๑ดัยิ๙ปตัา่ บิ,า้ นปตาฏดบิ ตั ิ, ปฏเิ วธ
เม่ือวันท่ี ๑๒ มกราคม พุทธศกั ราช
วันนีเ้ ทศนเ รื่องมนุษยส ูงกวาบรรดาสัตว โลกสูงกวา มนษุ ย ธรรมสงู กวา โลก
เพราะฉะนนั้ ธรรมกบั มนุษยจ งึ เปนคูควรกนั มนษุ ยก ็เหมาะสมกบั ธรรมทจ่ี ะรบั ธรรมไว
บนดวงใจเพ่อื ประพฤตปิ ฏบิ ัติ ธรรมก็สมควรแกมนุษยท จี่ ะเทิดทูนสักการบชู า นอก
เหนือจากธรรมแลวก็ยังมองไมเหน็ อะไรท่เี ปน ความเลิศประเสรฐิ ในสกลโลกน้ี ไมมี
อะไรที่ยอดเย่ียมยง่ิ กวาธรรม
ความฉลาดของโลกก็ไมมใี ครจะเย่ียมยิ่งไปกวามนษุ ย ในโลกมนษุ ยทีม่ ีพุทธ
ศาสนาประจาํ จึงเหมาะสมกับมนษุ ยผ ใู ครธ รรมและมีธรรมในใจ แตศาสนธรรมไม
เหมาะสมกับผูเปนมนษุ ยเพยี งแตร างไมมีธรรมภายในใจบางเลย ทัง้ นา เสียดายภูมิแหง
มนษุ ยชาติ สูสัตวบ างประเภทบางตัวท่มี จี ติ ใจสูงสง กไ็ มไ ด นับวาขาดทุนสญู ดอก ไมมี
ความดีงามงอกเงยไดบ างเลย เกดิ มาเปนมนษุ ยทงั้ ที!
เราทง้ั หลายไดป ระพฤตปิ ฏิบัติ ไดน ับถือพระพุทธศาสนาซ่งึ เปน สง่ิ ท่ีเลิศ
ประเสริฐอยูแ ลว โดยหลักธรรมชาตขิ องธรรม ช่ือวา เราเปน ผเู หมาะสม ท้ังไดเ กดิ มาเปน
มนุษย ทัง้ ไดนับถอื พระพทุ ธศาสนา ไดต ้งั ใจประพฤตปิ ฏิบตั ธิ รรมตามกําลงั ความ
สามารถของตนๆ
เฉพาะอยา งยง่ิ ทางจติ ตภาวนาเปน ส่ิงสําคัญมาก ท่จี ะทาํ ใหมองเหน็ เหตุผล
ตางๆ ซึ่งมีอยูภ ายในตวั เราใกลไ กลรอบดา น จะรูเห็นไดดวยภาคปฏบิ ัตคิ อื “จิตต
ภาวนา” การภาวนาทานถือเปนสําคัญในภาคปฏบิ ัติศาสนา ครั้งพุทธกาลจงึ ถอื ภาค
ปฏบิ ตั เิ ปนเย่ยี ม เชน ทานกลาวไวว า “ปรยิ ตั ,ิ ปฏิบตั ,ิ ปฏเิ วธ” แนะ !
“ปรยิ ตั ”ิ ไดแกก ารศึกษาเลา เรยี น
“ปฏิบตั ”ิ ไดแ กศ กึ ษาเลาเรยี นมาเปนทเี่ ขาใจแลว ออกไปประพฤติปฏิบตั ติ าม
เข็มทิศทางเดินของธรรมทไ่ี ดเ รียนมาแลวนน้ั
“ปฏิเวธ” คือความรูแจง แทงตลอดไปเปน ลาํ ดบั ๆ กระทั่งรูแจงแทงตลอดโดย
ท่ัวถึง ธรรมท้งั สามนเี้ ก่ียวเนื่องกนั เหมือนเชือกสามเกลียวทฟ่ี นตดิ กนั ไว
คาํ วา “ปริยัต”ิ น้นั เม่ือคร้งั พทุ ธกาล สวนมากทานเรียนเฉพาะเรียนจากพระ
โอษฐข องพระพทุ ธเจา มากกวาอยา งอน่ื ผจู ะมาเปนสาวกอรหตั อรหนั ต สว นมากเรียน
จากพระโอษฐของพระพุทธเจา เรยี นอะไร? ขณะที่จะบวชทา นทรงส่งั สอน “ตจปญจก
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๒๑ต๖๑รยี๕มพร้อม
๑๑๖
กรรมฐาน” ให คอื “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ, ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา” โดย
อนโุ ลมปฏิโลม ยอ นกันไปกนั มาเพื่อความชํานิชาํ นาญ น่ีคอื ทา นสอนธรรมเปน เครื่อง
ดําเนินของนักบวช การสอนธรรมเปน เครือ่ งดาํ เนนิ นั้นแลเปน การใหโอวาท ผูท่สี ดับฟง
ในขณะที่พระพุทธเจาประทานพระโอวาทก็ไดชอื่ วา การเรียนดวยและการปฏิบัตไิ ปใน
ตัวดว ย
การสอนวา “สิ่งนน้ั เปน นัน้ ๆ” เชนทานสอนวา “เกสา โลมา นขา ทนั ตา
ตโจ” อยางน้เี ปน ตน น่ีคือทา นสอนธรรมซงึ่ เปนปริยัตจิ ากพระโอษฐ เราก็เรียนให
ทราบวา “เกสาคอื อะไร โลมา นขา ทันตา ตโจ แตล ะอยาง ๆ คืออะไร
ผูเรียนก็เรียน และปฏบิ ตั ิดว ยความสนใจใครรูใ ครเหน็ จรงิ ๆ ไมสกั วา เรียนวา
ปฏิบัตเิ พ่อื เกียรตยิ ศชอื่ เสียงใดๆ พระพุทธเจาทรงสอนสภาพความเปนจรงิ ความเปน
อยูแ ละเปนไปของสง่ิ เหลา นี้ท่ีมีอยกู บั ตัวเอง ตลอดถงึ อาการ ๓๒ ทุกแงท กุ มุมโดย
ลําดบั ใหท ราบวาสงิ่ นั้นเปน น้นั สิ่งน้ันเปนจริงๆ ตลอดความเปน อยูของส่งิ นนั้ ความ
แปรสภาพของสิ่งน้นั วาเปนอยางไร และธรรมชาติน้ันคืออะไรตามหลกั ความจรงิ ของ
มัน ใหพจิ ารณาทราบอยางถึงใจ เพือ่ จะแก “สมมตุ ิ” ทีเ่ ปนเครือ่ งผกู พนั จติ ใจมานาน
ความสมมตุ ขิ องโลกวา สิ่งนั้นเปน นนั้ สิง่ นี้เปนน้ี ไมมีส้ินสุด แมจ ะสมมุตวิ าสง่ิ
ใดเปนอะไรกย็ ึดถือในส่งิ นัน้ รกั ก็ยึด ชังกย็ ึด เกลยี ดกย็ ึด โกรธกย็ ดึ อะไรๆ กย็ ดึ ทัง้ นนั้
เพราะเรือ่ งของโลกกค็ ือกเิ ลสเปนสาํ คัญ มีแตเร่อื งยดึ และผูกพัน ไมมีคาํ วา “ปลอ ย
วาง” กนั บา งเลย ความยึดถือเปนสาเหตใุ หเกดิ ทกุ ขกงั วล โลกจึงมีแตความทกุ ขค วาม
กังวลเพราะความยึดถอื ถา ความยดึ ถอื เปนเหมือนวตั ถมุ องเห็นไดดวยตาเนอ้ื แลว
มนุษยเ ราแบกหามกันท้ังโลกคงดกู นั ไมไ ด เพราะบนหัวบนบา เตม็ ไปดวยภาระความ
แบกหามพะรุงพะรัง ท่ตี างคนตางไมม ีทปี่ ลงวาง ราวกับเปน บา กันทัง้ โลกนัน่ แล ยังจะ
วา “ดี มีเกียรติยศช่ือเสียง” อยูหรือ? จนปราชญท า นไมอาจทนดูไดเ พราะทานสงสาร
สังเวชความพะรงุ พะรงั ของสัตวโลกผหู า “เมอื งพอดี” ไมมี ภาระเตม็ ตัวเต็มหัวเต็มบา
ธรรมทานสอนใหร ูและปลอยวางเปนลาํ ดับ คอื ปลอ ยวางภาระความยดึ มน่ั ถอื
มนั่ ซ่ึงเปน ภาระอันหนกั เพราะความลุม หลงพาใหย ึด พาใหแ บกหาม ตนจงึ หนกั และ
หนกั ตลอดเวลา ทา นจงึ สอนใหร ทู ่ัวถงึ ตามหลักธรรมชาติของมัน แลว ปลอยวางโดยส้นิ
เชิง ทง้ั นี้สืบเนือ่ งมาจากการไดย ินไดฟง มาจากพระพุทธเจาแลวนําไปปฏบิ ัติ จนกลาย
เปน “ปฏเิ วธ” คือความรูแจง เห็นจริงขนึ้ โดยลําดบั
ครง้ั พทุ ธกาลทานสอนกันอยางนเ้ี ปน สว นมาก สอนใหม คี วามหนกั แนน มนั่ คง
ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิยง่ิ กวา ส่งิ อ่ืนใด พระในครัง้ พทุ ธกาลทอี่ อกบวชจากตระกูลตางๆ
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๗๑ก๑ับ๖กิเลส’’
๑๑๗
มีตระกลู พระราชา เปนตน ทานตง้ั หนาบวชเพอ่ื หนที ุกขจ รงิ ๆ จงึ สนใจอยากรอู ยากเหน็
ธรรมดว ยการปฏิบัตเิ ปนอยางยงิ่ ทัง้ ตัง้ ใจฟง ท้งั ตงั้ ใจปฏบิ ัติดวยความจดจอตอ เนื่อง
ในทางความเพียร พยายามสอนตนใหร เู หน็ ธรรมกอ น แลวจงึ นาํ ธรรมนน้ั มาสัง่ สอน
โลก ทา นเปน “พระธรรมกถึก” เพอ่ื องคท า นเองกอนแลว จงึ เพ่อื ผูอ่นื ธรรมทานจงึ
สมบรู ณด ว ยความจริงมากกวา จะสมบรู ณด วยความจดจํา
พระธรรมกถกึ ในครงั้ พุทธกาลเชน “พระปุณณมันตานีบุตร” ทานเปน พระ
ธรรมกถกึ เอก ซง่ึ ไดรับคาํ ยกยอ งชมเชยจากพระศาสดา ทา นมกั ยก “สัลเลขธรรม”
ขึน้ แสดง กลาวถงึ เรือ่ งควรขดั เกลากิเลสท้ังนัน้ นับแต “อปั ปจ ฉตา” ความมกั นอ ยขึ้น
ไปจนถึง “วิมุตติ วมิ ุตติญาณทสั สนะ” คือความรูแจงแหง การหลดุ พน
พระพทุ ธเจา ทา นทรงยกยอ งใหเ ปน “เอตทัคคะ” ในทางธรรมกถกึ เรียกวา
เปนธรรมกถึกเอก พระปณุ ณมนั ตานีบุตรนั้นทานเปน พระอรหันตด วย รแู จงสัจธรรม
ท้ังสโ่ี ดยตลอดท่วั ถงึ ดว ย เพราะฉะนั้นทานจึงสอนดวยเหตุดว ยผล ดวยความสัตยค วาม
จรงิ ซ่งึ ออกมาจากจติ ใจของทา นทีร่ แู ลว จริงๆ ไมไดส อนแบบ “ลบู ๆ คลาํ ๆ” ตามที่
เรียนมา ซึง่ ตนเองก็ไมแนใจวา เปนอะไรกนั แน เพราะจิตใจยังไมสัมผัสธรรม เปนแต
เรยี นจําชอ่ื ของธรรมไดเทา นนั้ เพราะฉะนัน้ ทานจงึ อธบิ าย “สลั เลขธรรม ทั้ง ๑๐
ประการนีไ้ ดโดยถกู ตอ งถอ งแท ไมมอี ะไรคลาดเคล่ือนจากหลักความจริง เน่อื งจากจิต
ทา นทรงหลกั ความจริงไวเ ต็มสว น นีธ่ รรมกถกึ ท่ีเปน อรรถเปนธรรม เปน ความถกู
ตอ งดงี ามแทเปนอยา งนน้ั
สวนธรรมกถกึ อยา งเราๆ ทา นๆ ท่ีมกี ิเลสนัน้ ผดิ กนั แตไมตองกลา วไปมากก็
เขาใจกัน เพราะตา งคนตางมี ตา งคนตางรูด ว ยกัน ครัง้ พทุ ธกาลก็ยงั มีอยูบางทท่ี าน
เรียนจนจบพระไตรปฎก และมลี กู ศิษยล กู หาเปนจาํ นวนมากนับรอ ยๆ ที่ไปเรียนธรรม
กบั ทา น ทานสอนทางดานปริยัตถิ า ยเดียว พระพทุ ธเจาทรงตาํ หนิ
ทท่ี รงตาํ หนินน้ั ดวยทรงเหน็ อปุ นสิ ยั ของทา นสมควรแกมรรคผลนิพพาน ทาน
ชอ่ื “โปฐิละ” ซึง่ แปลวา “ใบลานเปลา ” ทานเปนผูทรงธรรมไวไ ดมากมายจนเปน
“พหสู ูต” แตไมใ ช “พหูสตู ”อยา งพระอานนท ทา นเปน ผเู รียนมาก มลี ูกศิษยบ ริวาร
ต้งั ๕๐๐ ทานมอี ปุ นสิ ัยอยู แตก็ลืมตัวในเวลานั้น เมื่อไปเฝาพระพุทธเจา พระองคจงึ
ทรงแสดงเปน เชงิ ตาํ หนิ เพราะพระพุทธเจาทรงตําหนิใครก็ตาม ทรงสรรเสริญใครก็
ตาม ตองมีเหตมุ ีผลโดยสมบรู ณในความติชมน้นั ๆ
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชุด๑เ๒๑ต๘๑รยี๗มพรอ้ ม
๑๑๘
เมือ่ ทานทรงตําหนิ “พระโปฐิละ” พระโปฐิละจึงเกิดสงั เวชสลดใจ ขณะที่เขาไป
เฝา พระองคท รงยาํ้ แลว ยาํ้ เลา อยนู ั่นแหละวา “โปฐิละ” กแ็ ปลวา “ใบลานเปลา ”
เรียนเปลา ๆ ไดแตค วามจําเต็มหวั ใจ สวนความจริงไมส นใจ
อยา งทานอาจารยม น่ั ทานเคยเทศนอยา งนั้นน!่ี “เรยี นเปลา ๆ”, “หัวโลน
เปลา ๆ” “กนิ เปลาๆ นอนเปลาๆ” ย้าํ ไปยํา้ มาจนผฟู ง ตวั ชาไปโนนแนะ ทา นวาไป
ทานแปลศพั ทข องทาน “โปฐิละ” องคเ ดียวนแี่ หละ คือทานสอนพระลูกศิษยข องทาน
ทานยกเอาเรื่องพระโปฐิละมาแสดง ใหเ ปน ประโยชนสําหรบั พระผทู ฟี่ ง อยใู นขณะน้นั
ซ่งึ มุง ถอื เอาประโยชนอ ยูแลวอยางเต็มใจ
เมื่อพระพุทธองคทรงเรียก “พระโปฐิละ” วา “โปฐิละ เขามา,โปฐิละ จงไป,
อะไรๆ กโ็ ปฐลิ ะๆ โปฐิละ...ใบลานเปลา ๆ เรยี นเปลา ๆ แกกเิ ลสสักตวั เดยี วก็ไมไ ด
เรียนเปลาๆ กิเลสมากและพอกพนู ข้นึ โดยลาํ ดบั ทานประทานอุบายใหพ ระโปฐิละรูสึก
ตัว และเหน็ โทษแหงความลืมตวั ม่วั สุมเกล่ือนกลนดว ยพระเณรทั้งหลาย ไมหาอบุ ายสัง่
สอนตนเองบา งเพอ่ื ทางออกจากทกุ ขต าม “สวากขาตธรรม”
เวลาทลู ลากลบั ไปแลว ดว ยความสลดสงั เวชเปนเหตุใหฝ ง ใจลกึ พอไปถึงวดั เทา
นน้ั ก็ขโมยหนจี ากพระท้ังหลายซง่ึ มีจํานวนตัง้ ๕๐๐ องคดวยกนั บรรดาทเ่ี ปนลกู ศษิ ย
ออกปฏิบตั กิ รรมฐานโดยลาํ พงั องคเ ดียวเทา นั้น ทานมงุ หนา ไปสูสาํ นักหน่งึ ซงึ่ มีแตเปน
พระอรหนั ตทง้ั น้นั นบั แตพระมหาเถระลงไปจนกระท่ังถึงสามเณรนอย เปนพระ
อรหันตดวยกนั ทงั้ หมด เหตุท่ีทา นออกไปทา นเกิดความสลดสังเวชวา “เราก็เรียนมาถึง
ขนาดนี้ แทนที่พระพุทธเจาจะทรงชมเชยในการที่ไดศึกษาเลาเรียนมาของเรา ไมม ีเลย
มีแตอะไรๆ ก็ “โปฐลิ ะ ๆ” ไปเสียหมด ทุกอาการเคลือ่ นไหวไมมีแงใ ดท่ีจะทรงชมเชย
เลย แสดงวาเราน้ไี มม ีสารประโยชนอะไรจากการศึกษาเลา เรียนมา หากจะเปน
ประโยชนอ ยบู างพระองคย อ มทรงชมเชยในแงใ ดแงห นงึ่ แนน อน” ทา นนาํ ธรรมเหลา นี้
มาพจิ ารณาแลวก็ออกประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรม ดว นความเอาจรงิ เอาจงั
พอกา วเขา ไปสสู ํานักพระมหาเถระดังทีก่ ลาวแลว น้นั กไ็ ปถวายตวั เปน ลูกศษิ ย
ทาน แตบ รรดาพระอรหันตทา นฉลาดแหลมคมอยา งลกึ ซึ้ง ฉลาดออกมาจากหลกั ธรรม
หลกั ใจที่บรสิ ุทธ์ิ เวลาพระโปฐลิ ะเขาไปมอบกายถวายตวั ตอทา น ทา นกลบั พูดถอ มตัว
ไปเสยี ทกุ องค เพอื่ จะหลกี เล่ียงภาระหนักน้นั เพราะราวกบั สอนพระสงั ฆราช หรือจะ
เปนอบุ ายอะไรก็ยากทจ่ี ะคาดคะเนทานไดถ กู
ทานกลับพูดวา “อา ว! ทา นกเ็ ปนผูท ี่ไดศ กึ ษาเลา เรยี นมาจนถึงขนาดนแ้ี ลว
เปน คณาจารยมาเปนเวลานาน จะใหพ วกผมสอนทา นอยา งไรได ผมไมม ีความสามารถ
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๑๙ก๑ับ๘กิเลส’’
๑๑๙
จะสงั่ สอนทานได” ทั้งๆ ที่ทานเปน พระอรหนั ตท ง้ั องค เตม็ ไปดวยความสามารถฉลาด
รูทกุ แงท ุกมมุ
“ทานกลับไปถามทา นองคนนั้ ลองดู บางทที า นอาจมอี บุ ายแนะนาํ สง่ั สอนทา น
ได”
ทา นกไ็ ปจากองคน แี้ ลว ไปถวายตวั ตอ องคนนั้ องคน้ันกห็ าอบุ ายพูดแบบเดียว
กนั ใหไปหาองคน้นั ๆๆ องคไ หนกพ็ ดู อยางเดยี วกันหมด จนกระท่ังถงึ สามเณรองค
สดุ ทา ย แนะ ! ยังพดู แบบเดียวกนั คือทา นขอถวายตวั เปน ลกู ศิษยเณร เณรกพ็ ดู
ทาํ นองเดยี วกนั
ทนี พี้ ระมหาเถระทา นเห็นทา จะไมไดก าร หรอื วา ทา นจะหากลอบุ ายใหเ ณรรบั
พระองคนี้ หรอื ใหอ งคน้เี ขา ไปเปนลกู ศษิ ยเณรเพอื่ ดดั เสียบาง เพราะทา นเปน พระที่
เรียนมาก อาจมีทฐิ ิมามากกค็ าดไมถ ึง คาดยาก พระมหาเถระทานวา “กท็ ดลองดซู ิ
เณร จะพอมีอบุ ายสง่ั สอนทานไดบ า งไหม?”
พอทราบอบุ ายเชน นน้ั แลว พระโปฐลิ ะกม็ อบกายถวายตัวตอสามเณรนน้ั ทนั ที
แลว เณรก็สง่ั สอนดวยอุบายตางๆ อยางเต็มภูมิ
เราลองฟงซิเณรสอนพระที่เปนมหาเถระ หาอบุ ายสอนดว ยวธิ ตี า งๆ เชน ใหพระ
มหาเถระไปเอาอนั นัน้ มาให ไปเอาอนั นม้ี าใหบ า ง แลวใหครองจีวร เชน ตอ งการส่งิ ของ
อะไรท่ีอยูในน้ํา กใ็ หม หาเถระครองผา ไป ถาจะเปยกจวี รจรงิ ๆ ก็ใหข ึน้ มาเสีย “พอ
แลว ไมเอา” ความจริงเปน การทดลองท้งั น้นั
ทานมหาเถระทเ่ี ปนธรรมกถึกเอกนั้นไมมขี ดั ขนื ไมม ที ฐิ มิ านะ สมกบั คาํ วา
“มอบกายถวายตวั ” จรงิ ๆ เณรใชใหไปไหนไปหมด บางทใี หไ ปเอาอะไรอยูในกอไผ
หนามๆ รกๆ ทานก็ไป แลว ใหค รองผา ไปดว ยทา นกท็ ํา เวลาถงึ หนามเขา จรงิ ๆ เณรก็
ใหถอยมาเสยี “หยุดเสยี อาจารย ผมไมเ อาละมันลําบาก หนามเกาะผา ” เณรหาอุบาย
หลายแงห ลายมุมจนกระท่งั ทราบชดั วาพระองคนน้ั ไมม ที ิฐิมานะ เปน ผูมุงหนา ตออรรถ
ตอธรรมจริงๆ แลว เณรจงึ ไดเ ร่มิ สอนพระมหาเถระดว ยอบุ ายตา งๆ
เณรสอนพระมหาเถระโดยอบุ ายวา “มจี อมปลวกแหง หนงึ่ มีรูอยู ๖ รู เหี้ยใหญ
มันอยใู นจอมปลวกน้ี และเที่ยวออกหากินทางชอ งตางๆ เพอื่ จะจบั ตัวเหีย้ ใหได ทาน
จงปด ๕ ชองเสีย เหลอื เอาไวเพียงชองเดียว แลวนั่งเฝา อยทู ี่ชอ งนั้น เหยี้ ไมมีทางออก
จะออกมาทางชอ งเดียวนี้ แลว กจ็ ับตัวเห้ียได”
นีเ่ ปน ขอ เปรียบเทียบ แมภายในตวั ของเรานี้กเ็ ปน เหมอื นจอมปลวกน่นั แล
ธรรมชุดเตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๑๓ต๑๐ร๙ียมพรอ้ ม
๑๒๐
ทา นแยกสอนอยา งน้ี ทา นอุปมาอุปมัยเขามาใน “ทวาร ๖” คอื ตาเปนชองหนง่ึ
หเู ปน ชอ งหนึง่ จมูกเปนชอ งหนงึ่ ล้ินชอ งหนง่ึ กายชอ งหนง่ึ ใจชอ งหนึ่ง ใหท านปดเสีย
๕ ทวารนั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไวแ ตใจเพยี งชอ งเดียว แลว ใหม สี ติรักษาอยู
ท่ีใจแหง เดียว ขณะรักษาใจดวยสติ จงทาํ เหมอื นไมรูไมเ หน็ ไมรูไมช ีอ้ ะไรทงั้ หมดที่มา
สมั ผสั ทําเหมือนวา โลกอันนไี้ มมีเลย มเี ฉพาะความรูค ือใจอนั เดยี วท่มี ีสตคิ วบคมุ รักษา
อยเู ทานนั้ ไมเ ปน กงั วลกบั สง่ิ ใดๆ ในโลกภายนอกมรี ปู เสียง เปน ตน จงตั้งขอสังเกต
ดูใหด ีวา อารมณต า งๆ มันจะเกิดข้นึ ทจี่ ติ แหงเดยี ว ไมวา อารมณดอี ารมณช ่วั มันจะ
ปรากฏขนึ้ ท่จี ิตซ่งึ มีชอ งเดียวเทานั้น เมือ่ เรามสี ติจองมองดอู ยูตลอดเวลาไมประมาท
แลว กจ็ ะจบั เหย้ี คอื จติ และความคิดปรุงตางๆ ของจิตได
จิตจะปรงุ ออกในทางดที างชัว่ อดตี อนาคต ปรุงไปรัก ปรุงไปชัง เกลยี ดโกรธกับ
อะไร กจ็ ะทราบไดทกุ ระยะๆ เพราะความมีสตกิ ํากับรักษาอยูกบั ความรคู ือใจ ใหท าํ
อยา งนีอ้ ยตู ลอดไป จนกวาจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยทางอารมณ และวธิ ดี ัดแปลงแกไข
พระเถระพยายามทําตามอบุ ายท่ีเณรสอนทกุ ประการ ไมม มี านะความถอื ตัว
พระเถระองคนนั้ เมอื่ ไดฟงและปฏิบัติตามสามเณร กไ็ ดสตแิ ละไดอุบายข้ึนมาโดยลําดับ
จนมหี ลักใจ เณรเหน็ วา สมควรท่ีจะพาไปเฝาพระพทุ ธเจา ไดแ ลว ก็พาพระเถระนไ่ี ป
เณรเปน อาจารย พระมหาเถระเปน ลกู ศษิ ย
เมอื่ ไปถึงสาํ นกั พระศาสดา พระองคตรสั ถามวา “เปนอยา งไรเณร, ลูกศษิ ยเธอ
นะ ?” เณรกราบทูล “ดีมากพระเจาคะ ทา นไมม ที ิฐิมานะใดๆ ทัง้ สนิ้ และตัง้ ใจปฏิบัติ
ดนี า เคารพเลื่อมใสมาก แมจะเปน ผเู รียนมากและเปนขนาดมหาเถระกต็ าม แตก ริ ิยา
อาการทที่ า นแสดงเปนความสนใจ เปนความออนนอมถอ มตน เปนความสนใจทีจ่ ะรู
เห็นความจรงิ ทั้งหลายตลอดมา” น่ัน! ฟงซิเปนยังไง นกั ปราชญส นทนากนั และปฏิบัติ
ตอ กนั ระหวางพระมหาเถระกับสามเณรผเู ปน อาจารย ซึ่งหาฟง ไดยาก
หลังจากน้นั พระพทุ ธเจาก็ทรงสอนพระมหาเถระวา “ปญฺ า เว ชายเต ภูร”ิ
ปญญาซงึ่ มีความหนกั แนน ม่ันคงเหมือนแผน ดนิ ยอ มเกิดข้นึ แกผ ูใครครวญเสมอ!
ฉะนนั้ จงพยายามทาํ ปญ ญาใหม ั่นคงเหมอื นแผน ดิน และสามารถจะแทงทะลอุ ะไรๆ ได
ใหเกดิ ขนึ้ ดวยการพจิ ารณาอยูเ สมอ ไมมอี ะไรจะแหลมคมยงิ่ กวา ปญญา ปญญาน้แี ล
เปน เครือ่ งตดั กเิ ลสทัง้ มวล ไมมีอะไรจะเหนอื ปญญาไปได พระองคทรงสอน
“วปิ ส สนา”ในขณะนน้ั โดยสอนใหแยกธาตุแยกขนั ธ อายตนะ สว นตา งๆ ออกเปน
ชิ้นเปน อนั อันน้ีเปนอยา งนี้ อนั น้นั เปนอยางน้ัน ใหพระมหาเถระเขา ใจเปน ลําดับๆ
โดยทาง “วปิ ส สนา” จากนัน้ กแ็ สดงเร่อื งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แตละ
ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๓า๑๑ก๒บั ๐กิเลส’’
๑๒๑
อยาง ๆ อันเปนอาการของจติ สรปุ ธรรมทท่ี รงแสดงแก พระโปฐลิ ะ กค็ อื อริยะสัจส่ี
ปรากฏวา ทา นไดบ รรลุอรหัตผลในวาระสุดทา ยแหงการประทานธรรม
จะอธบิ ายขนั ธห า ตอ สว นมากจติ ไปหลงอาการเหลา น้ี จึงไมท ราบวา ตวั ของ
ตัวอยทู ไ่ี หน ไปองิ อยกู บั อาการคอื รูป วา รูปเปน ตนบา ง วา เวทนาเปน ตนบา ง สัญญา
เปน ตนบา ง สงั ขาร วญิ ญาณ เปนตนบาง เลยหาตนไมได อะไรๆ ก็วา “ตน” เสยี สน้ิ
เวลาจะจับ “ตน” เพื่อเอาตวั จรงิ เลยหาตวั จรงิ ไมได! ทั้งนีก้ เ็ พราะจิตหลงไปควาไป
ยึดเอาสิง่ ไมใชตนมาเปนตนเปนตัวนน่ั แล ซ่ึงเปนเพยี งอาการหนงึ่ ๆ ท่ีอาศัยกนั อยูชัว่
ระยะกาลเทา นั้น จึงทําใหจ ิตเสียเวลาเพราะความเกดิ ตาย ๆ อยเู ปลาๆ แตล ะภพ
ละชาติ!
นอกจากเสยี เวลาเพราะความหลงกบั สง่ิ เหลา นแ้ี ลว ยังไดรบั ความทุกขค วาม
บอบชาํ้ ท้ังทางกายและทางจิตใจอกี ดวย เพราะฉะนน้ั จงใชป ญญาพิจารณาใหเ ห็นตาม
ความจริงของมนั เสียแตบดั น้ซี ่งึ เปน กาลอันควรอยู ตายแลวหมดวสิ ัยจะรคู วามจรงิ ได
พระพุทธเจาประทานพระโอวาทไวอยางชัดเจนแลว ไมน าสงสัยวา จะมีอะไรดี
กวา ความพน จากทกุ ข อันมีการเกดิ ตายเปน ตนเหตุ เอา ! พิจารณาลงไป!
“รูป” มอี ะไรบางทเ่ี รยี กวา “รูป?” มันผสมกับอะไรบา ง? คาํ วา “รูป” น้ีมกี ี่
อาการ? อาการหนง่ึ ๆ คอื อะไร? ทีร่ วมกันอยู สภาพความเปน อยขู องมันเปนอยา ง
ไร? เปนอยูดว ยความบาํ บดั รักษา เปน อยูด ว ยความปฏิกูลโสโครก เหมือนกบั ปา ชา ผี
ดบิ ซ่งึ เต็มอยูภายในรางกายน้ี แตใ จเรากย็ งั ดอื้ ดา นอาจหาญถอื วา รปู นีเ้ ปนเราเปน ของ
เรา ไมทราบวาสงิ่ น้ีเปน ของสกปรกโสมม เปน กอง อนจิ ฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า เปนปาชา ผีดบิ
บางเลย ตา งคนตา งมปี า ชาเตม็ ตัว ทําไมมัวเพลิดเพลิน มวั เสกสรรปนยอ ชนดิ ไมรูเ น้ือ
รูตัววา เปน ปา ชา ผดี บิ กันบา งเลย เวลา “เขา” แตกดับไป “เรา” จะเอาสาระอะไรเปน
เครื่องอบอุน ใจ ถา ปญ ญาไมถ ากถางใหเหน็ ความจริงไวก อ นแตบ ัดน้ี
ในหลกั ธรรมชาติของมันกค็ อื ธาตุ สมมตุ ิเพิม่ เขา มาก็คือสกลกาย เต็มไปดว ย
“ปุพโพ โลหติ ” นา้ํ เหลือง นา้ํ เลือด แสดงความปฏิกูลโสโครก และความทุกขใหร ูใ ห
เหน็ อยตู ลอดเวลานับแตวันเกิดมา ไมเคยขาดวรรคขาดตอนเลย มีอนั ใดสิง่ ใดทีจ่ ะควร
ยึดวา เปน “เรา” เปน “ของเรา” ดว ยความสนิทใจ? ไมมีเลย!
จงึ ควรพจิ ารณาดูตามหลักความจรงิ น้ี ทัง้ ความเปน อยู ทง้ั ความสลายทาํ ลายลง
ไป มนั ลงไปเปน อยางนัน้ คอื ลงไปเปนธาตดุ ิน ธาตุนํ้า ธาตลุ ม ธาตุไฟ
สว น “เวทนา” ก็พิจารณาแยกแยะใหเห็น ความสุขกด็ ี ความทุกขก ด็ ี ความ
เฉยๆ ก็ดี มนั เกิดขน้ึ ไดท้งั ทางกายและทางใจ สกั แตว า อาการอนั หนง่ึ ๆ เกดิ ข้ึนและ
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๓๑ต๒๒รยี ๑มพรอ้ ม
๑๒๒
ดบั ไปเทา นน้ั รูอยเู ห็นอยปู ระจักษตาประจักษใ จ ทุกขป รากฏขน้ึ มากเ็ ปนเพยี งความ
จริงอันหนงึ่ ของมัน ตวั มนั เองก็ไมทราบความหมายของมนั การทีเ่ ราไปใหค วามหมาย
มันนน้ั ก็เทา กับผูกมดั ตนเอง เทา กบั เอาไฟมาเผาลนตนเอง เพราะความลมุ หลงนี้เองจึง
ไปหมาย “เขา” ในทางทีผ่ ิด โดยท่ถี อื เอาวา เปน “เรา” ทุกขก็เปนเรา เปนไฟทั้งกอง
ยงั ถอื วาเปน เรา อะไรๆ ก็เปนเรา ๆ หมดท้งั ทีห่ าตัวเราไมเ จอ ไปเจอแตความทกุ ข
ตลอดเวลาท่ีสาํ คัญม่ันหมาย
สญั ญา ก็คือความจาํ จาํ แลว หายไป ๆ เมื่อตอ งการก็จําข้นึ มาใหม มคี วามเกิด
ความดบั ๆ ประจาํ ตวั ของเขา ทง้ั เวทนา ทง้ั สัญญา ทง้ั สังขาร ทงั้ วญิ ญาณ มีลกั ษณะเชน
เดยี วกัน ถาพจิ ารณาสง่ิ หน่ึงใหเ ขาใจแจมแจงหรอื ประจกั ษดวยปญ ญาแลว อาการทง้ั
หานี้กเ็ หมอื นกนั หมด ความเขาใจหากกระจายท่ัวถงึ กนั ไปเอง
เม่ือสรปุ ความแลว กองธาตุกองขนั ธเหลา นี้ไมใ ชเ ราไมใ ชของเราทงั้ น้นั เปน
ความจริงของเขาแตละอยาง ๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็เปนสาเหตุมาจากจิต แต
เพราะ “ใจ” เปน ใหญ ใจเปน ประธาน จึงสดุ ทายก็ใจเปน “บอยเขา” เพราะรบั ใชด วย
ความลมุ หลง ตัวเองยังยืนยันวา “เขา” เปน “เรา” “เปนของเรา” กเ็ ทากับถือ
“เขา” เปนนายเราน่ันเอง ฟงซฟิ ง ใหถ ึงใจ จะไดถงึ ตัวกเิ ลสเสียบา งและทําลายมันลงได
ดวยสติปญญา
ธรรมของนักปราชญทานสอนพวกเรา ยังจะพากนั มามวั เมาไปหาความวิเศษวิโส
จากธาตขุ นั ธ ซ่ึงเหมอื นปาชาอะไรกนั อกี ! นอกเหนอื จากความรูย่งิ เห็นจริงในส่ิงเหลาน้ี
เทา นัน้ พวกเราพากันหลงตามความเสกสรรธาตุขันธ วาเปนเราเปนของเรา มากกี่ ปั กี่
กัลปแ ลว สว นผลเปนอยา งไร? เราภาคภูมิใจกับคาํ วา “เรา” “ของเรา” เหมือนเรามี
อาํ นาจวาสนาเหนอื ส่งิ เหลานี้ และเปนผูปกครองสิ่งเหลานี้
ความจรงิ เราเปน “คนรับใช” ส่ิงเหลานี้ ลุมหลงก็คือเรา ไดรบั ความทุกขความ
ลาํ บาก ไดร บั ความกระทบกระเทือนและแบกหามสิง่ เหลานีด้ ว ยความลุม หลง ก็คือเรา
ผลสดุ ทา ยเราเปนคนแยแ ละแยกวา อะไรบรรดามใี นโลกเดยี วกัน ส่งิ ทง้ั หลายไมใชผู
หลงผยู ึดถอื ไมใ ชผ ูแ บกหาม ไมใ ชผูรับความทกุ ขท รมาน ผรู ับภาระท้ังปวงจากสิ่งเหลา
น้ี คอื เราคนเดยี วตางหากน่ี
เพราะฉะนนั้ จึงควรแยกส่ิงเหลา น้ีออกใหเ ห็นตามความจริงของมนั จิตจะได
ถอนตนออกมาอยตู ามหลกั ธรรมชาติไมม เี ครอื่ งจองจาํ การพจิ ารณาน้ันเมื่อถึงความ
จริงแลวก็ตางอันตางจรงิ ไมกระทบกระเทือนกนั และปลดเปลื้องภาระทงั้ หลายจาก
ความยึดถือ คอื อุปาทานเสียได ใจเปน อสิ รเสรีและเรืองฤทธิ์เรอื งเดชตลอดกาล
ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๓า๓๑ก๒ับ๒กเิ ลส’’
๑๒๓
ระหวา งใจกบั ขันธก ท็ ราบกันตามความจริงและไมยดึ ไมถ ือกัน การพะวกั พะวน
กันเร่ืองขันธเ พราะอํานาจแหง อปุ าทานนี้ไมมี เวลายังครองขนั ธอยูก็อยดู วยกันราวกับ
มติ รสหาย ไมห าเรือ่ งรายปา ยสกี ันดงั ทีเ่ คยเปนมา ฉะนน้ั จงึ อยากใหเราชาวปฏิบตั ิธรรม
พจิ ารณาเขา ไปถงึ ตวั จติ นน้ั แล “เหย้ี จรงิ ๆ คือตัวจิต”เหยี้ นัน้ มันออกชอ งนี้ถึงได
พิจารณาชอ งน้ี จนกระทงั่ เขา ไปหาตัวมัน คอื จิต
“จิต” คืออะไร? คอื รังแหง “วฏั จกั ร” เพราะกิเลสอาสวะสว นละเอยี ดสุดฝง
จมอยูภายในจิต ตอ งใชปญญาพิจารณาแยกแยะ กาํ หนดเอาจติ นน้ั เปน เปา หมายแหง
การพิจารณา เชน เดยี วกับอาการตา งๆ ทเ่ี ราไดพจิ ารณาลงไปเปน ลําดบั ๆ ดว ยปญ ญา
มาแลว
เมอ่ื ถอื จติ เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา ดวยความไมส งวนสงิ่ ใดไวทั้งสิ้น
ตอ งการทราบความจรงิ จากจติ ท่ีเปน แหลงสรางปญ หาท้งั มวลนีโ้ ดยตลอดทัว่ ถึง การ
พจิ ารณาไมหยดุ ยงั้ ก็จะทราบดวยปญญาวา ในจติ น้ันมอี ะไรฝงจมอยูอยา งลึกลับ
สลบั ซบั ซอ น อยูดว ยกลมารยาของกิเลสทงั้ ปวง
จงกาํ หนดเขาไป พิจารณาเขา ไป จิตถาพดู ตามหลักการพจิ ารณาแลว จิตกเ็ ปน
ตวั อนจิ ฺจํ เปนตัวทกุ ขฺ ํ เปนตัวอนตตฺ า เพราะยงั มีสมมุติแทรกอยูจ ึงตอ งเปนลกั ษณะ
สาม คอื “ไตรลกั ษณ” ได จงฟาดฟนหั่นแหลกลงไปท่ีตรงน้ัน โดยไมตองยดึ มน่ั ถือมัน่
วา จติ น้เี ปนเรา จิตนี้เปนของเรา ไมเ พียงแตไ มย ึดมั่นถอื ม่นั ในรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วญิ ญาณ วาเปนเราเปนของเราเทานั้น ยงั กําหนดใหเห็นชดั เจนในตวั จติ อกี วา ควรจะ
ถือเปนเราเปนของเราหรือไม เพราะเหตุไร! เอา กําหนดลงไปพจิ ารณาลงไป แยกแยะ
ใหเ หน็ ชัดตามความเปน จรงิ
สิ่งท่ีเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ภายในจิตนีจ้ ะกระจายออกหมดไมมอี ะไรเหลอื
เลย เมื่อธรรมชาติน้ีไดก ระจายหายไปไมมอี ะไรเหลอื แลว อนิจจฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า ทีม่ อี ยู
ภายในจิตก็หายไปพรอ มกัน เปน จิตทสี่ ิ้นสมมตุ ิโดยประการทั้งปวงแลว!
การใชค ําวา “จิต” เราจะเรียก “จิต” กไ็ ดไมเรยี กก็ได เพราะนอกโลกนอก
สมมุตไิ ปแลว เมื่อจติ แยกตัวออกจากสมมุติแลว คําวา “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” จึง
ไมม ใี นจติ อกี ตอ ไปตลอดอนนั ตกาล
เมื่อทุกสงิ่ ทกุ อยางสลายตวั ไปแลว แตความรนู ้นั กลบั บรสิ ุทธ์ิขนึ้ มา ไมส ลาย
หรือไมฉ บิ หายไปกับสิ่งท้งั หลาย นี่เรยี กวา “จับตัวเห้ยี ไดแ ลว!” เห้ียใหญคือจิตนเ้ี อง!
ที่เณรสงั่ สอนพระโปฐลิ ะนะ ! จงจับตวั นี้ใหไ ดจ ะเปนผูส ้นิ จากทุกข พระโปฐลิ ะกไ็ ดห ลดุ
พนจากกเิ ลสอาสวะในขณะท่พี ระพทุ ธเจา ประทานพระโอวาทจบลง เพราะเขาถึงจุดนี้
ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๓๑ต๔๒รีย๓มพรอ้ ม
๑๒๔
คือเห้ยี ใหญตวั นี้ และทาํ ลายเหี้ยใหญต วั นี้ไดด วยปญญา ท่ีทานวา “ปญฺ า เว ชายเต
ภูร”ิ ทาํ ปญญาใหเ ปน เหมือนแผน ดิน มัน่ คงตอ ความจริงทัง้ หลาย พิจารณาใหเ ขาถงึ
ความจริงใหรคู วามจรงิ สมกับปญญาคือความจริงอนั ฉลาดแหลมคมมากในองค
“มรรคแปด”
ทที่ านสอนใหหยงั่ เขา ถงึ จดุ สุดยอดแหงกเิ ลสทั้งหลายคอื อะไร? กค็ ือจิตที่เต็ม
ไปดว ย “อวชิ ชา” นนั่ แล เม่ือพจิ ารณาธรรมชาตินีใ้ หแ ตกกระจายออกไปแลว จิตก็
บริสทุ ธิ์ เมื่อจิตบริสทุ ธขิ์ น้ึ แลว คําวา “เหี้ย” จะเรียกวา “ถูกจบั ไดและทําลายได” ก็
ถกู “ถึงตัวจริงของธรรม” กถ็ กู และหมดปญหา!
นแ่ี หละการพิจารณาธรรม พระพทุ ธเจาของพวกเราชาวพทุ ธทา นสอนอยา งนี้
สว นพวกเราชาวพทุ ธพากันงวั เงยี ต่ืนหรือยัง? หรอื ยงั หลบั สนทิ พากนั ฝนเพลนิ
วาดวมิ านเพ่อื ราคะตัณหาอยูร ่าํ ไป?
วนั นีพ้ ูดเรือ่ ง “ปริยัต,ิ ปฏบิ ตั ,ิ ปฏิเวธ” ในครั้งพุทธกาลกม็ มี าอยางนน้ั เหมือน
กนั แตท านมคี วามหนักแนน ในการประพฤตปิ ฏิบัตมิ ากกวา อยางอ่นื ไมเหมือนสมัย
ปจจุบนั น้ซี ง่ึ มแี ตก ารเรียนมากๆ ไมส นใจในการประพฤติปฏบิ ัติกันบา งเลย ความจาํ
อรรถจําธรรมไดม ันกไ็ มผ ดิ อะไรกบั นกขุนทองทีว่ า “แกวเจาขา ๆ”แตเ วลาเอาแกว มา
ใหนกขนุ ทองดูจรงิ ๆ แลว มนั ก็ไมทราบเลยวาน่นั คอื อะไร นอกจากเปน ผลไมนก
ขนุ ทองจะทราบและทราบดกี วา คน แตแกว นกขนุ ทองไมส นใจทราบ!
ธรรมเปรียบเหมอื นแกวดวงประเสรฐิ อยา พากนั จาํ แตชือ่ จะเปน นกขุนทองไป
จงคนดแู กว คอื ธรรมภายในใจใหรู เมื่อรูแลว ชอ่ื ของธรรมกเ็ จอกนั ทีน่ ่นั เอง
คาํ วาธรรมคอื อะไร? ถา ไมสนใจกบั การประพฤติปฏิบตั ติ ามหลักธรรมที่ไดร า่ํ
เรียนมา ก็เทากับวา “แกว คืออะไร” นน้ั เอง “ธรรมคืออะไรกไ็ มท ราบ “สมาธิ” คือ
อะไรใจไมเ คยสมั ผสั เพราะไมเ คยน่งั สมาธิ “ปญญา” คืออะไร?ก็ไมไ ดสมั ผสั อกี
เพราะไมไดเจริญปญญาทางดา นการปฏิบตั ิ “วิมุตติ” คืออะไร? ไมทราบ เพราะจิตไม
เคยหลุดพน นอกจากจะสงั่ สมกเิ ลสใหเ ต็มหวั ใจจนแบกไมไหว นัง่ อยกู ็คราง นอนอยกู ็
คราง ไปไหนก็บน เปนทกุ ขยงุ ไปตลอดกาลสถานท่ี ทั้งๆ ที่เขา ใจวาตนฉลาดเรยี นรมู าก
แตก บ็ น วา “ทุกขๆ” ไมไดวายแตละวัน
เพราะฉะนัน้ เพอื่ ทราบธรรมชาติความจรงิ น้แี ละหายบน จึงตองเรียนและปฏิบัติ
ใหเขา ถงึ ความจรงิ ใหสมั ผสั สมาธิถงึ ความสงบเย็นใจ ดวยการปฏบิ ตั ิ ใหสัมผัสปญ ญา
คอื ความฉลาดแหลมคม ดว ยการปฏบิ ัตภิ าวนา ใหส ัมผสั “วิมุตติ” ความหลุดพน จาก
กิเลสทัง้ มวล ดวยการปฏบิ ัตภิ าวนา
ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๓า๑๕ก๒ับ๔กิเลส’’
๑๒๕
การสมั ผสั สมาธิ ปญญา วมิ ุตติ ดวยการปฏิบตั ขิ องตวั และธรรมเหลานเ้ี ปน
สมบตั ิของตวั แทแ ลว ยอ มหายสงสยั ไมถามใคร แมพ ระพทุ ธเจา ประทบั อยูตรงหนา เรา
นก้ี ต็ าม จะไมท ลู ถามพระพุทธเจาใหท รงราํ คาญและเสียเวล่ําเวลาเลย เพราะเปนการ
แสดงความโงออกมาท้งั ๆ ที่ตนรูแลว ใครจะแสดงออกมาละก็รแู ลว ถามทาํ ไม นนั่ !
เพราะความจริงเหมอื นกันและเสมอกัน กี่หมืน่ กแ่ี สนองค กีพ่ นั กหี่ ม่นื คน ที่ไดส ัมผสั
วมิ ตุ ตธิ รรมดวยใจตัวเองแลว ไมม แี มรายหน่ึงจะทูลถามพระพุทธเจา ใหท รงลําบาก
รําคาญเลย
เพราะคําวา “สนฺทฏิ ฐโิ ก” ผูป ฏบิ ตั จิ ะพึงรูเองเห็นเองน้นั พระพุทธเจาไมทรง
ผกู ขาด แตมีไวสําหรับผปู ฏิบัติโดยทว่ั กนั ตัง้ แตค รง้ั นน้ั มาจนกระทง่ั บัดนี้ ตามหลกั
ธรรมท่ีทานทรงสอนไวไมมเี ปล่ยี นแปลงแตอยา งใด ตงั้ แตคร้ังพทุ ธกาลมาจนถงึ บัดน้ี
ธรรมเปน ธรรมชาติทคี่ งเสน คงวาเสมอมา ถา ผูป ฏิบัตใิ หเ ปน ไปตามหลักธรรมนัน้ เรื่อง
มรรคผลนิพพานไมต องไปถามใคร ผปู ฏิบัตจิ ะพงึ ขดุ คนขึ้นมาชมอยางเต็มใจไดดวย
การปฏิบตั ิโดยทางศลี สมาธิ ปญญา ท่ีเปน “สวากขาตธรรม” ไมต องสงสยั และไมมี
ส่ิงอื่นใดทจี่ ะมีอาํ นาจมาปดกน้ั มรรคผลนพิ พานใหส น้ิ เขตสิน้ สมัยได และไมมสี ิง่ ใดทีจ่ ะ
ขดุ คน มรรคผลนพิ พานขน้ึ มาใหรเู หน็ ได นอกจากการประพฤตปิ ฏบิ ัตดิ ว ยศีล สมาธิ
ปญญา นี้เทา นนั้
เพราะฉะนนั้ หลกั มรรคแปด มสี ัมมาทฏิ ฐิ เปนตน มสี ัมมาสมาธเิ ปน ทส่ี ุด ทที่ าน
เรียกวา “มัชฌิมา” จึงเปนธรรมคงเสนคงวาตอ ทางมรรคทางผลอยา งสมบรู ณ และ
เปนธรรมสม่าํ เสมอ เปนธรรมศูนยก ลางในการแกก เิ ลสอาสวะทกุ ประเภทตลอดมา ตง้ั
แตโ นนจนบดั นแี้ ละตลอดไปไมม ที างสนิ้ สุด ตองเปน “มัชฌิมาปฏิปทา” แกผูปฏบิ ัติ
ถกู ตอ งตามนน้ั ตลอดกาลสถานท่ี
ผลทพ่ี งึ ไดรบั จากการปฏิบัตจิ ะไมต องไปถามใคร ขอใหด ําเนินไปตามหลกั
ธรรมนีใ้ หถกู ตอ งเทา นนั้ จะเหมาะสมอยางยิง่ ตอมรรคผลนิพพาน อันเปนสมบตั ิลน คา
ของตน ๆ แตผเู ดยี วไมมใี ครเขา ยงุ ได
ท่วี า “มรรคผลนพิ พานสิน้ เขตส้นิ สมยั ไปแลว ” น้ัน ก็คือคนท่ีไมเ คยปฏิบัติ คน
ไมเคยสนใจกบั ธรรมเลย แตอตุ รติ ้งั ตนเปนศาสดาเหนอื พระพุทธเจา พระธรรม พระ
สงฆ คอยใหคะแนนตัดคะแนนพระรตั นตรัยและชาวพุทธทัง้ หลาย เขาคนนนั้ คอื “ตัว
แทนเทวทัต” จะไปรเู รื่องมรรคผลนพิ พานสิ้นเขตส้ินสมัยไดอยา งไร ไมม ีอะไรมาคุย
อวด มอี ยา งไรกพ็ ดู ไปอยา งนัน้ ตามประสาของคนทีม่ ีนิสัยตางกัน เพอ่ื คนอ่ืนแมไมเ ชอื่
แตสนใจฟงบา งช่ัวขณะกย็ งั ดี
ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๓๑ต๖๒รีย๕มพรอ้ ม