The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมชุดเตรียมพร้อม (๑)
(เรากับกิเลส)
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด(วัดเกษรศีลคุณ) จ.อุดรธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebook.luangta, 2021-10-01 09:26:07

ธรรมชุดเตรียมพร้อม (๑)

ธรรมชุดเตรียมพร้อม (๑)
(เรากับกิเลส)
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด(วัดเกษรศีลคุณ) จ.อุดรธานี

Keywords: หลวงตามหาบัว ,ธรรมะ

๘๐

ไมมภี าระของผูใดท่ีจะหนักหนายง่ิ กวา “พุทธกิจ-พุทธภาระ” ของพระพุทธเจาแตล ะ

พระองค พระพุทธเจาเปน “พุทธวสิ ัย” ของศาสดา นาํ พุทธภาระไปไดตลอดทวั่ ถึง
สาํ หรับพวกเราไมมีความสามารถอยา งทาน แมแ ตจะสง่ั สอนตนเพยี งคนเดยี วก็

ยงั ลม ลกุ คลกุ คลาน ใหก เิ ลสตัณหาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย ข้รี ดเย่ียวรดวนั ยังค่ําคนื ยังรงุ บาง
ทเี ดินจงกรมมนั กข็ รี้ ดบนหัวอยทู ่ีหัวทางจงกรม นอนภาวนามันกข็ ีร้ ดเยยี่ วรดอยทู ี่นอน

นน่ั คนท้ังคนกลายเปน “สว ม” ! เปน “ถาน” ของกเิ ลสตัณหาทุกอริ ิยาบถดว ยความ
ไมม ีสติ พจิ ารณาซี ดูมันตางกนั ไหม? พระพทุ ธเจากับพวกเราชาวสว มชาวถานของ

กเิ ลสนะ!
ถาหากจะพจิ ารณาแลว นําคตทิ า นมาเปน ประโยชน เปน คตเิ ครอ่ื งพราํ่ สอนตวั

เองใหเกดิ ประโยชนจ ากธรรมทกี่ ลา วมานไ้ี ด มบี ทสําคัญอยวู า พระพทุ ธเจาทาํ ไม
สามารถสั่งสอนพระองคไ ด แลวเปนครูของสัตวโลกทงั้ สามโลกธาตโุ ดยตลอดทั่วถึง แต
เราจะสามารถสอนตัวเรา และแกก ิเลสตณั หาอาสวะซงึ่ มอี ยภู ายในใจเราเพยี งดวงเดียว
เทา นน้ั ทาํ ไมจะทาํ ไมไ ด ทาํ ไมจะปลอยตัวใหกเิ ลสตณั หาอาสวะทงั้ หลายข้รี ดเยี่ยวรด
อยูทงั้ วันท้ังคืนยืนเดนิ นั่งนอน ตง้ั แตเลก็ จนถึงเฒาแกชรา ตายไปกบั ข้ีกับเยย่ี วของ

กิเลสคละเคลาเต็มตัวมอี ยางเหรอ! มนั สกปรกขนาดไหนกิเลสอาสวะนะ แลวทําไมให
มนั ขีร้ ดเย่ยี วรดเราอยตู ลอดเวลา เราไมม คี วามขยะแขยงตอ มนั บางเหรอ?

เพยี งเราคนเดยี วกย็ ังเอาตวั แทบไมร อด ก็ยงั นอนยงั น่งั ใหก เิ ลสตณั หาอาสวะมนั
ขี้รดเย่ียวรดตลอดมาในอริ ิยาบถท้งั ส่ี ยังจะเปนสวมเปนถานมันอยูอกี หรอื ? ควร
พิจารณาตัวเอง นีเ่ ปน คตอิ ันสาํ คญั ท่ีเราจะนํามาใชส ําหรบั ตวั เอง กิเลสมนั มีอาํ นาจ
วาสนาขนาดไหน พระพุทธเจา พระสาวกอรหตั อรหนั ต หรอื พุทธบรษิ ัททั้งหลายตั้งแต
คร้งั พทุ ธกาล ทา นกเ็ ปน คนๆ หน่งึ แตทําไมทานปราบมันได เอามนั มาเปนสวมเปน
ถานได ขีเ้ ย่ยี วรดมันได ทําไมเราจะทําไมได? คดิ คน จบั มนั ฟดมันเหว่ยี งดวยสติปญ ญา
ศรัทธาความเพียร จนมนั กลายเปน สว มเปน ถานของเราเสียทไี มดีหรือ?

เอา พยายามมองดู มองไปทางไหนกม็ ีแตห องนํ้าหอ งสวมของกเิ ลส มันกน็ า
สลดสังเวชเหมอื นกนั เอา ฟต ตวั ใหดี แกใหไ ดกับมอื วนั นม้ี นั อยูท่ไี หนกเิ ลสนะ ?มนั อยู

ท่หี ัวใจเรานี่! ไมไ ดอยตู รงไหน แตว าเรามกั จะเขา ใจวา กเิ ลสมนั เปน เพอ่ื นสนทิ ของ

เรา และเปน เราเสียทง้ั หมด นีแ่ หละ! ทีม่ นั แกไ มต ก เพราะเห็นวากเิ ลสมนั เปนเรา จงึ
ไมก ลาแตะตองทําลายมนั กลวั จะเปนการทาํ ลายตนทีร่ ักสงวนมากไปดวย

ถา ถือวา กเิ ลสเปนกเิ ลสและกเิ ลสเปนภยั แลว ก็มที างแกไขได หาอบุ ายพจิ ารณา
แกไขตวั เองใหได พูดถึงการแกกไ็ มม อี ะไรท่ีจะแกย ากย่งิ กวา แกกิเลส กเิ ลสคอื อะไร?
กค็ ือความโลภ ความโกรธ ความหลง เปน ตนนั่นแล

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๘า๗ก๘ับ๐ กเิ ลส’’

๘๑

มนษุ ยเรามีหวั ใจ สตั วม หี วั ใจ ทําไมจะไมอ ยากไดอ ยากมี ทาํ ไมจะไมอยากโลภ
“เมืองพอ” ของความโลภมันมที ่ไี หน “เมืองพอ” ของความโกรธมนั มที ไ่ี หน? “เมือง
พอ”ของความหลงมนั มที ่ีไหน? มันไมมีขอบเขต มันกวางขวางยิ่งกวาแมนํา้ ทอ งฟา
มหาสมุทร เพราะฉะนน้ั มันจึงแกยาก เพราะมันกวางแสนกวางจึงเปนของแกไดยาก แต
ถงึ กวา งขนาดไหนกต็ าม รากฐานของสิง่ เหลา น้ีมนั กอ็ ยูทใี่ จดวงเดยี วนเี้ ทานนั้ ประมวล
ลงมาฆาที่ตรงน้ี! ตดั รากแกว ของมันออกที่ตรงนแ้ี ลวมันก็ตายไปหมด เชน เดยี วกับตน
ไมท ถี่ ูกถอนรากแกวแลว ตองตายถายเดียวฉะนนั้ !

ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิ่งกานสาขาของมนั แตกกง่ิ แตกกา น แตกใบ
แตกดอก แตกผลออกไปมากมายเพยี งใดกต็ าม มนั ขน้ึ อยูก บั ตนของมนั มันมีตน มี
อาหารท่หี ลอ เล้ยี งมันจงึ เจรญิ เตบิ โต แตกก่งิ แตกกานออกไปได แตถา พยายามตดั สง่ิ
สาํ คญั ๆ ของมนั ซ่ึงมีอยภู ายในจติ ใจออกแลว มันจะไมม ที างแผกระจายไปไดมากมาย
ดังที่เคยเปนมา จะคอ ยอับเฉาหรือคอ ยยบุ ยอบตายลงไปโดยลําดับ จนกระท่งั ตายหมด
โดยส้ินเชิงหลงั จากถอนรากแกว คอื “อวชิ ชา” ออกหมดแลว ดว ยอํานาจของ “มหา
สติ มหาปญ ญา ศรัทธาความเพยี ร” ไมม อี ยา งอ่นื ทจ่ี ะยงิ่ ไปกวา ธรรมดังกลา วน้ี ซง่ึ
เหมาะสมอยางย่ิงกบั การฆากเิ ลสท้ังสามประเภทอนั ใหญโตนี้ใหหมดไปจากใจ

คาํ วา “สมณะท่ี ๑, ท่ี ๒, ท่ี ๓ ที่ ๔” จะปรากฏข้ึนมาเปนลําดับๆ และปรากฏ
ขนึ้ มาอยา งแจงชัดประจกั ษใจเปน “สนทฺ ฏิ ฐโิ ก” รูเองเหน็ เอง ในวงผปู ฏิบัตโิ ดยเฉพาะ
“ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ” ทานผรู ูทัง้ หลายจะไมรทู ี่อน่ื จะรูขน้ึ กบั ตวั เองนีด้ วยกัน
ทงั้ สนิ้ เพราะธรรมะทานวางไวเ ปนสมบัตกิ ลาง น่เี ปน จดุ ทจ่ี ะตดั กิเลสอาสวะทงั้ หลาย
ตองสูมัน! เวลานีเ้ ราไดสติสตังมาพอสมควรแลว ไดร ับการอบรมจากอรรถจากธรรม
ไดศ กึ ษาเลาเรียนมาพอสมควร ไดฟ งโอวาทจากครอู าจารยมาพอสมควร ปญ หาอัน
ใหญก ค็ ือเร่ืองของเราท่ีจะฟต ตวั ใหมีสตปิ ญญาทันกับกลมายาของกิเลส ซง่ึ มรี อ ยเลห 
พันเหลี่ยมรอยสนั พันคมภายในใจ ใหขาดลงไปโดยลาํ ดบั ๆ

กิเลสขาดลงไปมากนอ ย ความสุขความสบายก็คอยปรากฏขึน้ มาภายในใจ
ความเยน็ ใจน้เี ย็นยิ่งกวาส่งิ ทงั้ หลายเยน็ สุขใจสกุ ไมม งี อม สกุ ไมม ีเปอ ยมเี นา สขุ อยา ง
สมาํ่ เสมอ สุขสดุ ยอด จึงเปน “สุข อกาลโิ ก”ไมม ีสลายเปลยี่ นแปลงไปไหน เปน ความ
สขุ ทย่ี อดเยี่ยมคงเสนคงวา ไมมสี มมตุ ใิ ดมาทําลายไดอกี น่แี หละท่ที า นเรยี กวา “ความ
สขุ ของนักปราชญ”

พระพุทธเจา ทา นทรงคนพบความสขุ ประเภทน้ี สาวกอรหตั อรหนั ตท ง้ั หลาย
ทานก็คน พบความสขุ ประเภทน้ี ทา นจึงปลอ ยวางความสุขสมมุติโดยประการทงั้ ปวง ที่

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๘เ๘ต๘ร๑ยี มพร้อม

๘๒

เคยเกี่ยวขอ งกนั มา ไมเ พียงแตสุข ทุกขก ็ปลอ ยโดยส้ินเชิงเชนเดยี วกัน เปนผูหมดหว ง
ใยหมดปา ชา ไมต องมาวนเวยี นตาย-เกดิ กันไมหยดุ ไมถ อยในกําเนดิ ตา งๆ ภพนอ ย
ภพใหญท่เี รียกวา “วฏั วน”วนไปวนมา ตดั กงจักร “วฏั วน” นอี้ อกจากใจเสยี ได เปน
ความสขุ เปน ความสบายอนั ลน พน

นคี่ อื ความสขุ ของมนุษยแท สมกบั ภมู ขิ องมนุษยทมี่ ีความเฉลียวฉลาด เจอ
ความสขุ น้ีแลว สง่ิ ใดๆ ก็ปลอยไปหมด น่ีในธรรมบทท่ีวา “สมณานจฺ ทสฺสนํ” ก็เขา
ในจติ ดวงน้ี แม “นพิ พฺ านสจฺฉิกิริยาจ เอตมฺมงฺคลมตุ ตฺ ม”ํ กเ็ ชนเดียวกัน การทําพระ
นพิ พานใหแจง คอื เวลานี้พระนิพพานถูกปด บงั ดว ยกเิ ลสประเภทตางๆ จนมืดมดิ ทั้ง
กลางวนั กลางคืน ไมมคี วามสงาผา เผยขึน้ ภายในจิตใจแมน ดิ หนึ่งเลย

พระอาทติ ยแ มจะถูกเมฆปดบัง แสงสวา งสองมาไมเ ต็มทเ่ี ต็มฐานไดกต็ าม แต
เปน บางกาลบางเวลา ยอ มมีการเปด เผยตวั ออกไดอยา งชัดเจน ทเี่ รียกวา “ทองฟา
อากาศปลอดโปรง” จติ ใจของเราที่ถูกกิเลสหมุ หอปดบังอยนู ี้ ไมม ีวนั ปลอดโปรงได
เลย มดื มิดปดตาอยูอยางน้นั น่นั แหละทานวา “ใหท ําพระนิพพานใหแจง” พระ
นพิ พานก็หมายถึงจิตนั้นเองไมไดห มายถงึ อะไรอืน่ ทพ่ี ระนพิ พานยงั แจงไมไดกเ็ พราะ
ส่ิงปดบงั ท้งั หลายคือกเิ ลสนี้ ซง่ึ เปรียบเหมือนกอนเมฆปด บังพระอาทิตย เม่ือชําระดวย
ความเพยี รมีสติปญ ญาเปน ผบู กุ เบิกแลว พระนพิ พานซง่ึ เปน ตวั จิตลวนๆ นัน้ กค็ อ ย
แสดงตัวออกมาโดยลาํ ดับ จนกระทั่งทําพระนิพพานแจงอยางประจักษ

นก่ี ็ “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ เปนมงคลอนั สูงสดุ ไมมมี งคลอันใดในโลกนจ้ี ะสูง
ย่งิ กวา การพบสมณะสดุ ทายคอื พระอรหัต และการทําพระนิพพานใหแ จง คอื ถงึ ความ
บรสิ ุทธขิ์ องใจ นี่เปนมงคลอันสูงสดุ ทําใหประจักษกับใจเราเอง ทงั้ จะไดร ชู ดั เจนวา
ศาสนาของพระพุทธเจา นนั้ นะ สอนโลกอยา งปาวๆ เลนๆ หรือวา สอนจริงๆ หรอื
ใครเปน คนเลน ใครเปนคนจรงิ โอวาทเปนของเลน หรอื ผูฟงผถู ือเปนคนเลน หรือ
อะไรจริงอะไรไมจริง พิสจู นกันทหี่ ัวใจเรา นาํ โอวาทนน้ั แหละเขา มาพสิ จู น เปนเครื่อง
มอื เทยี บเคียงวา อะไรจรงิ อะไรปลอมกันแน

เมือ่ ธรรมชาติน้จี ริงขน้ึ มาลวนๆ ทใ่ี จแลว ตําราธรรมของพระพุทธเจา แมท ่ี
เขยี นเปนเศษกระดาษซ่ึงตกอยูต ามถนนหนทางยงั ไมกลา เหยยี บยาํ่ เพราะนน่ั เปนคาํ
สอนของพระพุทธเจา เหยียบไมลง เพราะลงไดเคารพหลกั ใหญแลว ปลีกยอยกเ็ คารพ
ไปหมด พระพทุ ธรูปก็ตาม จะเปน อะไรกต็ ามทเ่ี กยี่ วกบั “พทุ ธ ธรรม สงฆ” แลว
กราบอยา งถึงใจเพราะเชอ่ื หลักใหญแ ลว

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๘า๙๘ก๒ับ กเิ ลส’’

๘๓

หลกั ใหญคืออะไร? คือหวั ใจเราถึงความบรสิ ทุ ธิ์ เพราะอํานาจแหง ธรรมคาํ สั่ง
สอนของพระพุทธเจาเปน เครอ่ื งช้แี จงแสดงบอกแนวทางใหรูท้ังเหตแุ ละผล จึงเคารพ
ไปหมด ดงั ทานอาจารยมน่ั เปนตวั อยางในสมัยปจ จุบัน

ในหองนอนใดทีถ่ กู นมิ นตไ ปพกั ถามหี นังสอื ธรรมะอยูตํ่ากวา ทาน ทานจะไม
ยอมนอนในหอ งนน้ั เลย ทา นจะยกหนงั สือนนั้ ไวใ หสงู กวาศรี ษะทานเสมอ ทา นจึงยอม
นอน

“นี่ธรรมของพระพทุ ธเจา เราอยูดวยธรรม กนิ ดว ยธรรม เปนตายเรามอบกับ
ธรรม ปฏิบัติไดร ูไดเ ห็นมากนอ ยเพราะธรรมของพระพุทธเจาท้ังนั้น เราจะเหยยี บยํา่
ทาํ ลายไดอยางไร! ทานวา “เอาธรรมมาอยตู ่าํ กวาเราไดอยา งไร!” ทา นไมย อมนอน
ยกตัวอยา งท่ีทานมาพกั วัดสาลวันเปนตน ในหอ งนั้นมหี นงั สอื ธรรมอยู ทา นไมยอม
นอน ใหขนหนังสือขน้ึ ไวท ส่ี งู หมด นแ่ี หละ! ลงเคารพละตองถงึ ใจทุกอยาง” เพราะ
ธรรมถึงใจ

ความเคารพ ไมว า จะฝา ยสมมุตไิ มว า อะไรทานเคารพอยางถึงใจ ถงึ เรียกวา
“สุดยอด” กราบพระพุทธรูปกส็ นิท ไมม ีใครที่จะกราบสวยงามแนบสนิทย่งิ กวาทาน
อาจารยม ัน่ ในสมัยปจจุบันน้ี เห็นประจักษดวยตากับใจเราเอง ความเคารพในอรรถใน
ธรรมก็เชนเดยี วกัน แมแตรูปพระกจั จายนะ ทอ่ี ยูในซองยาพระกัจจายนะ พอทานไดมา
“โอโห ! พระกจั จายนะเปนสาวกของพระพุทธเจา น่ี! ทา นรีบเทยาออก เอารูปเหนบ็ ไว
เหนอื ทนี่ อนทา น ทา นกราบ “นอ่ี งคพ ระสาวก นร่ี ปู ของทาน” นน่ั ! “มีความหมายแค
ไหนพระกัจจายนะ จะมาทําเปนเลนอยา งนไ้ี ดเหรอ?” แนะ ! ฟงดูซิ

นแ่ี หละเมือ่ ถงึ ใจแลว ถึงทุกอยา ง เคารพทกุ อยา ง บรรดาส่ิงทีค่ วรเปนของ
เคารพทานเคารพจริง นัน่ ทานไมไดเลน เหมือนปุถชุ นคนหนาหรอก เหยียบโนน
เหยยี บน่เี หมือนอยางพวกเราทงั้ หลาย เพราะไมรนู ี่ คอยลบู ๆ คลาํ ๆ งูๆ ปลาๆ ไปใน
ลักษณะของคนตาบอดนน้ั แล ถา คนตาดแี ลวไมเหยยี บ อันไหนจะเปนขวากเปนหนาม
ไมยอมเหยียบ สิง่ ใดที่จะเปน โทษเปนภัยขาดความเคารพ ทานไมย อมทาํ นกั ปราชญ
ทานเปนอยา งนนั้ ไมเ หมอื นคนตาบอดเหยยี บดะไปเลย โดยไมค าํ นึงวา ควรหรือไมควร
(เสยี งเครอื่ งบินดงั ไมห ยุด ทา นเลยหยดุ เทศน)

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชดุ ๙เต๐๘ร๓ยี มพรอ้ ม



กเิ ลส กดถว่ งจติเเทมอื่ศวนันโ์ ปทร่ี ด๗คณุธันเพวาาคพมงาพวทุเทรธรศศธักนนระโเามปกชลุ่ือรดว๒ณันค๕ท๑ณุ ว๘่ีัดเ๗กพปา่าิเธบพลนั า้ งสวนาาตกควารดมดรธถพนุทว ะธงกศจลุ ักิตณราชวดั ๒ป๕า ๑บ๘า นตาด ๘๔

โดยปกตอิ ากาศภายนอกไมรบกวนประสาท เสียงตา งๆ ไมม ปี ระสาทก็สงบไม
มีการกระทบกระเทอื นกนั การกระทบกระเทือนเปน สาเหตุใหเกดิ ทกุ ขด านจิตใจและ

สว นรา งกาย ความสงบสงัดภายในกไ็ มกวนใจ นอกจากเปน “คณุ ” แกใจโดยถายเดียว
ใจที่ไมส งบก็เพราะมสี งิ่ รบกวนอยูเสมอ ความถกู รบกวนอยเู สมอ ถาเปนน้ําก็ตองขนุ
นาํ้ ถา ถกู กวนมากๆ ก็ขนุ เปนโคลนเปน ตมไปเลย จะอาบดม่ื ใชสอยอะไรกไ็ มส ะดวกทั้ง
น้ัน เพราะนํ้าเปนตมเปน โคลน

จติ ใจที่เปนเชน นน้ั ก็แสดงวา ใหประโยชนแ กต นไมได ขณะท่ีถกู รบกวนจนถึง
เปนตมเปน โคลนอยภู ายในจติ ใจ ตองแสดงความรมุ รอนใหเ จา ของไดรบั ความทุกข
มากเอาการ ผลของมนั ทําใหเปนความทุกขค วามลาํ บาก เราจะเอาความทกุ ขค วาม
ลาํ บากน้ไี ปใชป ระโยชนอ ะไรเลา? เพราะความทกุ ขค วามลําบากภายในจติ ใจนี้ โลกกลัว

กันทง้ั นน้ั แลว เราจะเอาทุกขนไ้ี ปทําประโยชนท ี่ไหนได ! ไมกลวั กบั โลกผูดแี ละปราชญ
ผูแ หลมคมทานบางหรือ?

การแกไ ขเพ่ือไมใหม อี ะไรกวนใจกค็ อื การระวงั ดว ยสติ ถา จิตสงบกส็ บาย เชน
เดียวกับน้าํ ทีไ่ มมอี ะไรรบกวน ตะกอนแมจะมีอยูก็นอนกนไปหมดเพราะนาํ้ น่ิงไมถ กู รบ
กวนบอ ยๆ ยอมใสสะอาด

พระพทุ ธเจาผูป ระทานธรรมไว ทรงถอื เปน สาํ คญั อยา งย่ิงสาํ หรบั ใจในอันดับ
แรก ทรงเลง็ ญาณดสู ตั วโลกในขณะทีต่ รัสรใู หมๆ ก็เลง็ ญาณดจู ิตใจ ไมใ ชเล็งญาณดู
ความรวู ชิ า ฐานะสูงต่ํา ความมงั่ มดี ีจนของสัตวโลกท่ัวๆ ไปเลย แตทรงเลง็ ญาณดูจติ ใจ
เปนสําคญั เชน ผูควรจะไดบรรลุมรรคผลนิพพานในระยะรวดเร็ว และจะมีอนั ตรายมา
ทาํ ลายชวี ิตในเวลาอนั ส้นั กม็ ี หรอื ผมู อี ปุ นสิ ัยที่ควรจะบรรลุมรรคผลนพิ พานไดแ ละไม
มอี ันตรายก็มี เหลา นล้ี ว นแตท รงถอื เร่อื งจติ เปน สําคัญ เล็งญาณกเ็ ล็งดูจิตของสตั วโ ลก

วา ควรจะไดบรรลหุ รือไม หรอื ไมควรรบั ธรรมเลย เปนจาํ พวก “ปทปรมะ” คือมืดบอด

ท้ังกลางวันกลางคนื ยนื เดินนั่งนอน เรยี กวา “มืดแปดทิศแปดดาน” ไมม กี าลสถานที่
เขามาเปด เขา มาเบิกความมืดนั้นออกไดเ ลย มืดมิดปดตาอยูภายในจิตใจ ประเภทที่

เปนเชนนี้พระองคทรงทราบ และ “ชักสะพาน” คือไมทรงสัง่ สอนอะไรทงั้ สน้ิ ถาเปน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๙เ๘ต๒ร๔ียมพร้อม

๘๕

โรค ก็คอื โรคหมดหวัง แตหมอกย็ งั ตองรกั ษาโดยมารยาทดว ยมนษุ ยธรรม จงึ ยังตอ ง
ใหอ อกซเิ จนหรือยาอะไรๆ ไปบางตามสมควรจนกวาจะถึงกาล

สวนพระพุทธเจา ไมท รงสั่งสอน เพราะเปนประเภทหมดหวงั โดยสน้ิ เชิงแลว ที่
เรียกวา “ปทปรมะ” คือประเภทท่ไี มม ที างแกไ ขเยียวยา รอเวลาความตายอยเู พยี ง
เทา นน้ั ประเภทน้ีเปนประเภทท่มี ืดบอดทส่ี ุด พระองคก็ทรงทราบ ทราบทจี่ ติ ใจนัน้
เองไมทราบทอี่ ื่น เพราะทรงมุงตอ จิตใจเปน สาํ คัญ

ศาสนาวางลงที่จติ ใจของมนษุ ยเ ปนสําคญั ยิ่งกวา ส่งิ ใดในโลกนี้
“ประเภท อคุ ฆฏติ ัญู” ท่จี ะรูธ รรมไดอยา งรวดเรว็ เม่อื พระองคป ระทาน
ธรรมะเพยี งยอ ๆ เทา นั้น พระองคก็ทรงทราบ และรองลงมาประเภท “วิปจิตัญ”ู ก็
ทรงทราบ และทรงส่ังสอนธรรมะทีค่ วรแกอ ปุ นสิ ยั ของรายนั้นๆ “เนยยะ” คอื ผูทตี่ อ ง
สัง่ สอนหลายคร้งั หลายหน คือผูท่พี อแนะนาํ สั่งสอนได พอจะนาํ ไปได ฉุดลากไปได
พดู งายๆ “เนยยะ” กแ็ ปลวา พวกท่จี ะถูไถไปไดนนั่ เอง พระองคกท็ รงสงั่ สอน ผนู น้ั ก็
พยายามปฏิบตั ติ นในทางความดไี มลดละปลอยวาง ก็ยอมเปนผลสาํ เรจ็ ได
สว น “ปทปรมะ” น่นั หมดหวัง ถงึ จะลากไปไหนกเ็ หมอื นลากคนตาย ไมมี
ความรูส ึกอะไรเลย ทั้งใสร ถหรือเหาะไปในเรอื บิน กค็ อื คนตายนน่ั แล ไมเกดิ ผล
ประโยชนอ ะไรในทางความดี ตลอดมรรคผลนพิ พาน คนประเภทนีเ้ ปน คนทีห่ มดหวัง
ทั้งๆ ทยี่ งั มีชวี ติ อยู ไมสนใจคิดและบาํ เพ็ญในเรอ่ื งบญุ บาป นรก สวรรค นิพพาน ไม
สนใจกบั อะไรเลยขน้ึ ชือ่ วา “อรรถ” วา “ธรรม” นอกจากตั้งหนาตั้งตาสง่ั สมบาปนรก
ใสห ัวใจใหเ ตม็ จนจะหายใจไมอ อก เพราะอดั แนน ดว ยเช้ือไฟนรกเทา นัน้ เพราะน่นั เปน
งานของคนประเภทนั้นจะตองทํา เนือ่ งจากใจอยเู ฉยๆ ไมได ตองคิดปรุงและทํางาน
พระองคทรงทราบหมดในบุคคลส่จี าํ พวกน้ี ทรงเล็งญาณดสู ตั วโลกเปนประจาํ
ตาม “พุทธกจิ หา ” ซง่ึ เปน กิจของพระพทุ ธเจา โดยเฉพาะ ในพทุ ธกิจหาประเภทนั้น
มกี ารเล็งญาณตรวจดูอุปนสิ ัยของสตั วโ ลกเปน ขอหนึง่ ทีพ่ ระองคทรงถอื เปนกิจสําคัญ
วา ใครทข่ี อ งตาขายคือพระญาณของพระองค และควรเสด็จไปโปรดกอน กอ นที่
ภยันตรายจะมาถงึ รายนัน้ ๆ ในไมชา ทงั้ น้หี มายถงึ จิตนน่ั เอง เพราะฉะนั้น “จติ ” จึง
เปน ภาชนะสําคัญอยางยิง่ ของธรรมทั้งหลาย และจติ เปน ผูบงการ “จติ เปน นาย กาย
เปนบาว” จิตไดบ งการอะไรแลว กายวาจาจะตอ งหมนุ ไปตามเร่ืองของใจผูบงการ
เพราะฉะนั้นทางโลกเขาจึงสอน “นาย” หวั หนา งานเสยี กอ น สอนหวั หนา งานใหเ ขา อก
เขาใจในงานแลว ก็นําไปอบรมลกู นองใหดําเนินตาม

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เร๙า๓๘กบั ๕กเิ ลส’’

๘๖

ฝา ย “ธรรม” เมอ่ื ส่ังสอน “ใจ” ผเู ปนหวั หนา ใหเ ปนทเ่ี ขาใจแลว ใจกย็ ดึ มา
รักษากายวาจาของตน ใหด ําเนนิ ไปตามรอ งรอยแหง ธรรมท่ใี จไดร บั การอบรมสงั่ สอน
มาแลว การปฏบิ ัติตัวก็เปนไปเพ่ือความราบรื่นชื่นใจ ดังน้ันใจผูเปนใหญเปนประธาน
ของกายวาจา จงึ เปน สง่ิ สําคัญมากในตวั เรา พูดฟงงายก็วา แกนของคนของสตั วท่ีเปน
อยูก ็คอื ใจตวั รๆู อยใู นรา งกายนน้ั แล เปน ตัวแรงงานและหัวหนางานทกุ ประเภท ใจจงึ
ควรรบั การอบรมดว ยดี

ศาสนธรรมจงึ ส่งั สอนลงทใ่ี จ ซง่ึ เปน ภาชนะอันเหมาะสมแกธรรมทกุ ขนั้ ทกุ ภมู ิ
นบั แตขั้นตา่ํ จนถึงข้นั สงู สดุ คือ “วิมุตตพิ ระนิพพาน” ไหลลงรวมท่ใี จแหงเดียว เราทุก
คนมีจติ ใจ มีความรอู ยูทกุ ขณะไมว า หลบั ตนื่ ความรูนั้นมอี ยเู ปนประจาํ ไมเ คย
อนั ตรธานหายไปไหนเลย เวลาหลับสนิทกไ็ มใ ชค นตาย ความหลบั สนิทผดิ กบั คนตาย
ผูร ูกร็ ูวา หลบั สนิท ตน่ื ขนึ้ มาเราพดู ไดวา “หลบั ไมยงุ กบั สิง่ นอกๆ ใจจงึ ราวกบั กบั ไมรู
อะไรในเวลาหลับสนทิ แตค วามจริงนั้นรู เวลาหลบั สนทิ กว็ า หลบั สนทิ ตนื่ ข้นึ มาเราพูด
ไดว า “แหม คืนนห้ี ลบั สนิทดเี หลือเกิน” บางคนถึงกบั พดู วา “แหม เมอ่ื คนื นน้ี อน
หลับสนิทเหมือนตายเลย” มนั เหมอื นเฉย ๆ แตไมตาย “ผูร”ู อนั นเ้ี ปน อยา งนนั้
ละเอียดถึงขนาดน้ันเทียว จะฝนหรอื ไมฝ น พอต่นื ข้ึนมากพ็ ดู ไดถ าสญั ญาทําหนา ที่ให
คือความจาํ นน้ั นะ ทาํ หนาทใ่ี ห เรากจ็ ําไดและพูดได ถา “สัญญา” คอื ความจาํ ไมอ าจทาํ
หนาทีไ่ ด หลงลืมไปเสียแลว เรากน็ ําเรอื่ งราวในฝน มาพดู ไมไ ด สิ่งทีเ่ ปน ไปแลว นัน้ ก็
เปน ไปแลว รไู ปแลว จาํ ไดแ ลว แตม นั หลงลมื ไปแลว เทานน้ั ก็เกี่ยวกบั เรอ่ื งของความรู
คือใจน่ันเอง ใจเปนเชนนน้ั แล ละเอียดมาก

การนอนอยเู ฉยๆ ไมม ีผรู ับรูเชนกบั คนตายแลว มนั จะไปทํางานทาํ การ ประสบ
พบเห็นส่ิงนนั้ ส่ิงน้ี เปนเรื่องเปน ราวใหฝ นไปไดอยา งไร มันเปน เรอื่ งของใจทัง้ นัน้ ท่ี
แสดงตัวออกไปรเู รื่องตางๆ ใหเ ราจําไดในขณะทีฝ่ นและตืน่ ขึน้ มา “วนั น้ฝี น เรอ่ื งน้ัน
เรอ่ื งนี้ แตจติ ทล่ี งสภู วงั คแ หงความหลับสนิทอยา งเต็มท่ีแลวกไ็ มม ีฝน ชอ่ื วา “เขาสู
ภวงั คแ หง ความหลบั สนทิ ” คือภวังคแ หงความหลับสนทิ ทางจิตเปน อยา งนี้ ถา คน
หลับสนิทก็ช่ือวาใจเขาสภู วังคความหลับสนทิ อยางเตม็ ที่ ก็ไมม ีฝนอะไร ต่นื ข้ึนมาราง
กายกม็ กี าํ ลงั จติ ใจกส็ ดใส ไมม คี วามทุกขความรอ นอะไร กาํ ลังใจก็ดี ผดิ กบั การหลบั
ไมสนทิ ปรากฏเปน นมิ ิตในฝนโนน นี่อยา งเหน็ ไดชัด

เวลาหลบั ไปแลวฝนไปตางๆ นน่ั คอื จติ ไมไดเขาสูภวังคแหงความหลับสนิท จิต
ออกเทย่ี ว เรๆ รอ นๆ ไป ปกตขิ องใจแลวหลบั ก็รู คาํ วา “หลบั กร็ ู” เปนความรใู น
หลับโดยเฉพาะ สตปิ ญ ญาไมเ ขา เกย่ี วขอ งในเวลานัน้ รูอ ยูโ ดยธรรมชาติ ไมเหมือน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๙เต๔๘รีย๖มพรอ้ ม

๘๗

เวลาตืน่ แตเ วลาต่นื แลว สตปิ ญ ญามโี อกาสเขา ไปเกย่ี วขอ งไดท กุ ระยะ ถา มสี ติ
คอยตามทราบความรูอันน้ันโดยลาํ ดับ ใจจะแย็บไปรูสง่ิ ใดก็ทราบ คนมีสตดิ ียอม
ทราบทุกขณะจิตที่เคลอื่ นไหว ไปรูเร่ืองอะไรบาง หากไมมสี ติ มแี ตค วามรูก็ไมท ราบ
ความหมายวามันรูเ ร่อื งอะไรบา ง ความไมมสี ตเิ ปน เครือ่ งกํากับรกั ษาใจ จึงไมคอยได
เรื่องอะไร ดังคนบา นน่ั เขาไมม สี ติ มแี ตค วามรูคือใจ กบั ความมดื บอดแหง โมหะ
อวชิ ชาหมุ หอ โดยถา ยเดยี ว คิดจะไปไหนทาํ อะไร ก็ทําไปตามประสีประสาของคนไมมี
สติปญ ญารบั ผดิ ชอบวา ถกู หรอื ผดิ ประการใด ไมใ ชค นทเี่ ปนบา น้นั เปน คนตาย เขาเปน
คนมใี จครองราง เขารเู หมอื นกัน เปนแตเ พยี งเขาไมรูดีรูช วั่ ไมรูผดิ รถู ูกอะไรเทา นนั้
เปนเพยี งรูเ ฉยๆ คดิ อยากไปอยากมาอยากอยู อยากทาํ อะไรกท็ าํ ไปตามความอยาก
ประสาคนบา ทไ่ี มม สี ติปญ ญารับผดิ ชอบตวั เอง

นแ่ี หละความรมู ันเปน อยา งนั้น จติ มนั เปนอยา งนั้น ถาไมม ีสตริ กั ษาแลว จะไมรู
เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องผิดเรือ่ งถกู อะไรเลย ไมม กี ารใครครวญเหตุผลตน ปลายลกึ ตน้ื
หยาบละเอียดอะไรไดเลย ถา ไมม ีสติปญญาแฝงอยูในนนั้ เพยี งความรูโดยลาํ พงั กเ็ ปน
อยางท่วี า นน้ั แหละ ยอมกลายเปน คนบาคนบอไปไดอยา งงา ยดาย

พอมสี ตขิ นึ้ มาคนบา ก็คอ ยหายบา เพราะมสี ตริ บั ทราบวาผิดหรือถกู ตาง ๆ
ความรทู ว่ี า น้ีไมใ ชค วามรทู บ่ี รสิ ทุ ธ์ิ เปน ความรขู องสามัญชนธรรมดา และยงั ลดลงไป
จากความรขู องสามญั ชนตรงทไ่ี มม สี ตคิ อยกาํ กบั รกั ษา จึงไดเปนความรูประเภท
บา ๆ บอๆ คือไมมีสติปญ ญาปกครองตน ไมม อี ะไรรบั ผิดชอบเลย มแี ตค วามรูโดย
ลําพัง จึงเปน เชนนั้น

ถา มีสติสตงั เปนเครื่องกํากับรกั ษาอยูแลว ความรนู ้นั จะเปนอยางนน้ั ไมได
เพราะมผี คู อยกระซบิ และชกั จงู มผี ูคอยเรง คอยรั้งอยเู สมอ เหมอื นกับรถทีม่ ีทัง้ คันเรง
มที ้งั เบรกมีท้ังพวงมาลัย จะหมุนไปทางไหนก็ไดด วยสติดว ยปญญาของคนขับ ทค่ี วบ
คุมจิตและรถอยตู ลอดเวลา

สวนจติ ของทา นผูถ งึ ความหลดุ พน แลว นั้นไมใ ชจ ติ ประเภทน!ี้ ความรูเฉยๆ
ทว่ี า มกี เิ ลสแฝงนน้ั ทา นกไ็ มม ี เปนความรูท่บี รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ จะวาทา นมีสตหิ รอื ไมมีสติ
ทานกไ็ มเ สกสรร ทา นไมม คี วามสาํ คญั มน่ั หมายตามสมมตุ ใิ ดๆ หลกั ใหญก ค็ อื
ความบริสทุ ธ์ิลว นๆ เทา น้ัน ซง่ึ ไมม ปี ญ หาใดๆ เขาไปแทรกซึมเลย ทา นเปนคนพน
สมมุติหรือนอกสมมตุ ิแลว คาํ วา “ไมมีสติหรอื ขาดสติ” จึงไมเกย่ี วขอ งกับจติ ดวงนั้น
ใชเ พยี งในวงสมมุติพอถึงกาลเทานน้ั

จิตของสามญั ชนตองอาศยั สติปญ ญาเปน เครอ่ื งรักษา จงึ จะเปน ไปในทางทถี่ กู ท่ี
ควรในกริ ยิ าอาการทแ่ี สดงออก กิริยาทาทางน้ันๆ ถา มสี ติปญ ญาคอยควบคุมอยูก็นาดู

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เร๙า๕๘ก๗ับ กเิ ลส’’

๘๘

สวยงาม การพูดการกระทําก็รจู ักผิดรูจักถกู รูจักควรหรือไมควร รูจ ักสงู รจู ักตํ่า การพดู
จาก็มเี หตมุ ีผล ทาํ อะไรก็มีเหตมุ ีผล หลกั ใหญจ งึ ขน้ึ อยกู บั สตแิ ละปญ ญาเปน สาํ คญั
ในตัวคน

เรานับถือพระพุทธศาสนา เราเปนชาวพุทธ คาํ วา “พทุ ธะ” หมายความวา อะไร

ทว่ี า “พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เปนพทุ ธอันเลิศโลก คอื พทุ ธะท่บี ริสทุ ธิ์ พุทธะที่ประเสริฐ
เราถือทา นเปนผปู ระเสรฐิ นอมทานผูป ระเสริฐเขา มาไวเปน หลักใจ มาเปน เคร่ืองยึด
เคร่ืองพ่งึ พงิ อาศยั เราจึงควรระลกึ ถึงความรขู องเราอยูเสมอวา ขณะใดสตสิ ตงั ไม
บกพรอ งไปไมม ี เวลานน้ั เราขาดสรณะ ขณะทเ่ี ราขาดสติประจําผรู คู อื ใจ แมค วามโกรธ
กโ็ กรธมาก เวลาฉนุ เฉยี วกฉ็ นุ เฉยี วมาก เวลารกั กร็ กั มาก เวลาชังชงั มากเกลียดมาก
เพราะความไมม ีสตริ ้งั ถา มสี ติรงั้ ไวบ า ง กพ็ อใหท ราบโทษของมนั และพอยับยั้งตวั ได
ไมร นุ แรง

วนั หนง่ึ ๆ ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ จะประกอบหนา ท่ีการงานอะไร กร็ าบรนื่ ดี
งามและเตม็ เมด็ เต็มหนายไมค อยผิดพลาด เมือ่ เร่อื งราวเกิดขน้ึ ภายในใจ ก็มสี ตปิ ญ ญา
รบั ทราบและกลั่นกรองพินิจพจิ ารณา พอใหทราบทางถกู และผดิ ได และพยายามแกไข
ดัดแปลงพอเอาตวั รอดไปได

พูดตามความจริงแลว ธรรมะของพระพทุ ธเจา ไมใ ชเปน สงิ่ ทจี่ ะทําคนใหเ สียหาย
ลม จม แตเ ปนส่งิ ท่ฉี ุดลากคนใหข้นึ จากหลม ลกึ ไดโ ดยไมสงสยั เม่อื มอี ปุ สรรคหรอื เกดิ
ความทกุ ขความลาํ บากประการใด ธรรมะยอมชว ยโดยทางสตปิ ญญาเปน สําคญั เพราะ
พระพุทธเจามไิ ดท รงสอนใหค นจนตรอกจนมมุ แตสอนใหมคี วามฉลาดเอาตวั รอดได
โดยลําดับของกําลังสติปญญา ศรัทธา ความเพียร

จิตเปน รากฐานสําคญั ในชีวติ กรณุ าพากนั ทราบอยา งถงึ ใจ ความรทู ม่ี ปี ระจาํ ตวั
เรานีแ้ ล แมจะจบั ตอ งความรูไมไดเ หมอื นวตั ถตุ างๆ กต็ าม กค็ อื ความรอู นั นีแ้ ลท่ีเปน
รากฐานแหง ชวี ติ และเปน “นกั ทอ งเท่ยี ว” ในวฏั สงสาร จะเคยเปน มานานขนาด
ไหนกค็ อื ผนู ้ี จะสน้ิ สดุ วิมุตติตดั เรอ่ื งความสมมุตคิ อื เกดิ ตายทงั้ หมดออกได ก็
เพราะจติ ดวงนีไ้ ดรับการอบรมและซกั ฟอกส่งิ ทเี่ ปน ภยั อนั เปน เหตุใหเกิดใหต ายอยู
ภายในออกไดโ ดยไมเ หลอื จงึ หมดเหตุหมดปจ จัยสืบตอ กอ แขนงโดยส้นิ เชงิ ทนี ีค้ าํ
วา “ใจ เปนนกั ทองเท่ยี ว”ก็ยตุ ิลงทันที

เวลาทม่ี กี เิ ลสอยภู ายในใจ ไมว า ใครตองเตรียมพรอมอยเู สมอท่จี ะไปเกิดใน
ภพนอ ยภพใหญไ มม ปี ระมาณ เมอ่ื ตางทราบอยูแกใจเชนนี้ จึงควรทําความระมัดระวงั
และศกึ ษาปฏิบตั ติ อ เรือ่ งของจติ ใหเ พยี งพอ ในการดาํ เนนิ ใหถ กู ตอ งตามหลกั ของ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชุด๙เ๘ต๖ร๘ยี มพร้อม

๘๙

พระพทุ ธศาสนาอยา งแทจ ริง นอกจากนั้นยังจะนาํ อรรถธรรมน้ไี ปใชเปนประโยชนแก
สังคมอยา งกวางขวาง ตามกําลังความสามารถของตนอีกดวย

ศาสนธรรมเปน เคร่อื งสงเสริม เปนเครื่องพยุงโลกใหมคี วามสงบรมเยน็ ไมใช
เปนเครอื่ งกดถวง ดังที่คนจาํ นวนมากเขา ใจกนั วา “ศาสนาเปนเครือ่ งกดถว งความ
เจริญของโลก” ความจริงกค็ อื ผทู ่ีวา นน้ั เองเปน ผกู ดถวงตัวเอง และกดถวงกดี ขวาง
ความเจริญของโลก ไมใ ชผถู ือศาสนาและปฏบิ ตั ิศาสนา เพราะพระพุทธเจาไมใชผูกด
ถว งโลก! ธรรมไมใชธ รรมกดถว งโลก พระสงฆสาวกอรหันตไมไ ดเปน ผูกดถว งโลก
ทา นไมเ ปนภยั ตอ โลกเหมือนคนไมมีศาสนา ซึ่งกาํ ลังเปน ภัยตอ โลกอยูเวลาน้ี ศาสน
ธรรมจะสิ้นสูญไปจากโลก กเ็ พราะคนประเภทไมม ีศาสนาเปนผทู ําลาย

เมื่อพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไมเ ปน ภยั ตอโลกแลว จะวา เปน สิง่ ทโ่ี ลก
นากลัวไดอยางไร และจะกดถว งโลกจะทาํ ความทุกขรอ นใหแ กโลกไดอยา งไร? ขอ
สาํ คัญกค็ วามคิดเชน น้นั ของบุคคลผูนน้ั แลคอื ความเปน ภยั แท ผทู ห่ี ลงผิดคดิ เชน
นัน้ คนนนั้ คอื ผูเ ปน ภัยแกตนและสว นรวมแทไ มอ าจสงสยั

การเชื่อถอื ในคาํ ของบคุ คลทเ่ี ปน ภยั นัน้ ยอ มจะมคี วามเสยี หายแกผูอ ่นื ไมมี
ประมาณ เพราะระบาดไปเรอ่ื ยๆ น้นั แลคือภัยแทที่เหน็ ไดอ ยางชดั เจน

สว นศาสนธรรมมไิ ดเ ปนภัย ถา ธรรมเปนภยั แลว พระพทุ ธเจา วเิ ศษไดอยางไร
ถา ธรรมเปน ภัยพระพุทธเจา ก็ตองเปนภยั ตอ พระองคแ ละตอโลก แมพระสงฆก็ตอง
เปน ภยั อยางแยกไมอ อก เพราะสามรตั นะน้เี กี่ยวโยงกนั อยา งสนทิ แตน ไ่ี มปรากฏ
ปรากฏแตว า พระพทุ ธเจา พระสาวก เสด็จไปที่ใด ประทานธรรม ณ ท่ีใด สัตวโลกมี
ความรม เยน็ เปน สุขโดยทวั่ กัน ไมม ีใครเบื่อหนา ยเกลยี ดชงั ทาน หากจะมกี ็คือผูเปน
ขา ศึกแกพระศาสนาและแกประชาชนเทาน้นั

สว นมากทป่ี ระจักษใ นเรอื่ งความเปน ภัยนั้นเห็นๆ กนั แตคนไมม ธี รรมในใจน้ัน
แล เปนภัยทัง้ แกตนและแกส วนรวม เพราะสตปิ ญ ญาเครื่องระลึกรูบญุ บาปไมม ี คณุ คา
ของใจไมมี ถูกความเสกสรรทางวตั ถุทับถมจนมองไมเห็น การแสดงออกจงึ รักกเ็ ปน ภัย
เกลียดก็เปนภัย โกรธก็เปนภัย ชงั ก็เปนภัย อะไรๆ เปน ภยั หมดเพราะจติ เปนตวั ภยั
ดว ย.“ราคคฺคินา โทสคคฺ ินา โมหคฺคินา” ผูน ้ีแลคอื ผเู ปนภยั เพราะกเิ ลสตวั ทบั ถม
เหลา นพ้ี าใหเ ปนภยั

ศาสนธรรมซ่ึงเปนเคร่อื งแกส่งิ ทเี่ ปนภยั ท้ังหลายโดยตรงอยแู ลว เม่ือเปน เชน
นนั้ จะเปน ภยั ไดอ ยางไร หากเปนภัยแลว จะแกสิ่งไมด ีเหลา นน้ั ไดอยา งไร

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เร๙า๗ก๘ับ๙ กเิ ลส’’

๙๐

พระพทุ ธเจาทรงแกส่งิ เหลานีไ้ ดแ ลว โดยสนิ้ เชิง ไมม เี หลืออยูเลยในพระทัยข้นึ
ชือ่ วาภัยดงั ที่กลา วมา จนเปน ผูบรสิ ทุ ธิว์ ิมตุ ตพิ ทุ โธทงั้ ดวง จงึ เรียกวาเปน “ผูเลิศ” “ผู
ประเสริฐ”

พระธรรมของพระองคกเ็ หมอื นกนั “ธมโฺ ม ปทีโป” เปนธรรม “กระจา งแจง
ภายในจติ ”

สังโฆเปนผทู รงไวซ ่งึ ความสวางกระจางแจงแหง ธรรมท้ังดวง ดว ยความ
บริสุทธ์ิวิมุตติหลุดพน นาํ ศาสนธรรมที่ปราศจากภยั มาสอนโลก

ทําไมศาสนธรรมจะเปน เครอ่ื งกดถว งโลกและเปนภัยตอ โลก นอกจากผสู าํ คญั
วาศาสนาเปน ภยั นั้นแลเปน ตัวภัยแกต วั และสังคม เพราะความสําคัญเชน นเ้ี ปน ความ
สาํ คญั ผดิ !

อะไรท่พี าใหผ ิด? ก็คอื หัวใจท่ีเปนบอเกดิ แหง ความคดิ นั้นแล เปนตน เหตุแหง
ความผดิ หรอื เปนผผู ดิ การแสดงออกมาน้นั จึงเปน ความผิด หากไมเปนความผิดเรา
ลองนาํ ความคดิ เชนน้ไี ปใชในโลกดูซิ โลกไหนจะไมรอ นเปน ฟนเปนไฟไมม ี แมตัวเองก็
ยงั รอ น

หากนาํ ศาสนาไปสอนโลกตามหลกั ท่พี ระพุทธเจาทรงสัง่ สอนและไดท รงบาํ เพญ็
มาแลวจนไดตรสั รู โลกจะเปนภยั โลกจะเดอื ดรอนไดอยางไร? โลกวนุ วายมนั ถงึ เกดิ
ความทกุ ขค วามรอ น พระพทุ ธเจา ไมไดท รงสอนใหวนุ วาย แตส อนใหม ีความสงบรม
เย็น ใหเ หน็ อกเห็นใจกนั ใหร ูจักรกั กัน สามคั คีกลมกลืนเปนนาํ้ หนึง่ ใจเดยี วกนั เสมอ
ใหรูจักเหตจุ ักผล รจู กั เขารูจ ักเรา เพราะโลกอยดู ว ยกนั ไมใชอยูคนหน่งึ คนเดยี ว อยู
ดวยกันเปนหมูเปน คณะ ตัง้ เปน บานเปนครอบครวั เปน ตําบลหมูบา น เปนอาํ เภอเปน
จังหวดั เปน มณฑลหรอื เปนภาค เปนเขตเปนประเทศ ทั้งประเทศนั้นประเทศนี้ ลว น
แตห มชู นทรี่ วมกนั อยูทง้ั นั้น ซ่ึงควรจะเห็นคณุ คา ของกนั และกนั และของการอยรู ว มกนั
ดวยธรรม มีเมตตากรุณาธรรม เปนมาตรฐานของการอยูรวมกนั ของคนหมูม าก

คนทอ่ี ยดู ว ยกันไมเ หน็ อกเหน็ ใจกัน มแี ตค วามเบียดเบียนทาํ ลายกนั มีแตความ
คับแคบเหน็ แกตัวจดั ยอ มเปน การทาํ ลายคนอ่นื เพราะความเหน็ แกตัว แมไมทําลาย
อยางเปดเผยก็คอื การทาํ ลายอยนู นั่ แล จงึ ทาํ ใหเ กดิ ความกระทบกระเทอื นกนั อยเู สมอ
ในสังคมมนษุ ย ขึ้นชื่อวา “คนคบั แคบ เห็นแกต วั จัด” จะไมท าํ ใหค นอืน่ เดือดรอนฉิบ
หายนั้นไมมี! ไมว า ทใ่ี ดถา มคี นประเภทนีแ้ ฝงอยดู ว ย สงั คมยอมเดือดรอ นทกุ สถานท่ี
ไป เพราะคนประเภทนีเ้ คยเปนภัยแกสงั คมมามาก และนานจนประมาณไมได สังคมจงึ
รังเกยี จกนั เร่ือยมาจนปจ จบุ ันนี้

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ธรรมะชดุ ๙เต๘ร๙ยี ๐มพร้อม

๙๑

ทธ่ี รรมทานสอนไมใหเบียดเบียนกัน ก็เพราะหวั ใจมนษุ ยม ีคณุ คาดว ยกัน
ตลอดสมบตั แิ ตละสงิ่ ละอยางซ่ึงอยูในครอบครอง ดว ยเปนของมคี ุณคา ทางจติ ใจอยู
มาก จงึ ไมควรทาํ จติ ใจกันใหกาํ เรบิ เพราะใจของใครๆ กต็ องการอสิ รภาพเชน เดยี วกนั
ไมป ระสงคค วามถูกกดข่บี งั คบั ดวยอาการใดๆ ซ่งึ ลวนเปนการทาํ ลายจิตใจกนั ใหก าํ เริบ
อนั เปนสาเหตุใหก อกรรมกอเวรไมม ที ่สี น้ิ สดุ ยตุ ลิ งได เพียงสัตวเขายังกลัวตาย เขายงั
กลวั ความเบียดเบียนการทําลาย

มนุษยอ ยดู ว ยกันไมกลวั การเบียดเบียน ไมก ลวั การทาํ ลาย ไมก ลวั การเอารัดเอา
เปรยี บกัน ไมก ลัวการดถู กู เหยียดหยามกัน จะมีไดหรือ! ส่งิ เหลานี้ใครก็ไมป รารถนา
กันทง้ั โลก

การทท่ี าํ ใหเ กดิ ความกระทบกระเทอื นซึ่งกันและกนั จนโลกหาความสงบไมได
เปน ฟนเปนไฟอยูตลอดเวลามาจนกระทัง่ ปจจบุ นั นี้ และจะเปนไปโดยลาํ ดับไมมีท่สี ้นิ
สุด เพราะอะไรเปนเหตุ ถา ไมใ ชเ พราะความเห็นแกตวั อันเปนเรือ่ งของกิเลสตัว
สกปรกตวั หยาบๆ นีจ้ ะเปน เพราะอะไร

ความผดิ ถกู ดีชวั่ ตา งๆ พระพทุ ธเจาทา นทรงสอนไวห มด ทานมีพระเมตตา
กรณุ าสดุ สวนแกมวลสัตวท กุ ประเภทแมป รมาณู ก็ไมใ หเบยี ดเบียนทาํ ลายกัน เพราะมี
กรรม มีวิบากแหงกรรม อยา งเตม็ ตัวดว ยกัน อยูดว ยกรรมไปดว ยกรรม สขุ ทุกขด วย
กรรมเหมอื นกนั ควรนบั ถอื กนั เปน ความเสมอภาค ดังในธรรมวา

“สัตวท ง้ั หลายท่เี ปนเพ่ือนทุกขเกดิ แกเ จบ็ ตายดวยกนั ไมใหเ บยี ดเบียนทาํ ลาย
กนั ” เปนตน

เม่ือตางคนตา งเห็นความสําคัญของชีวิตจติ ใจ และสมบตั ิของกันและกนั เชน นี้
ยอ มไมเบยี ดเบียนกัน เพราะทํากนั ไมลง เมือ่ ตางคนตางมคี วามรสู กึ อยางน้แี ลว โลกก็
เย็น อยดู ว ยกนั อยา งผาสกุ มีการยอมรับผิดรับถกู มีหลกั ธรรมเปน กฎเกณฑ ตางคน
ตางระมัดระวัง ไมห าเรอื่ งหลบหลีกปลกี กฎหมายและศีลธรรมกนั เปนหลักปกครองให
เกดิ ความรม เย็นผาสุก

เชน ไมยอมรับความจริงดงั ที่เปน อยเู วลาน้ี และทเี่ คยเปนเรื่อยมาจนกระทง่ั
ปจ จุบัน ไมม ีใครกลาเปนกลา ตายตัดหวั ธรรม ดวยการยอมรบั ความจริง แมไปฉกไป
ลกั เขามาหยกๆ เวลาถกู จบั ตวั ไดก แ็ กต วั วา “เขาหาวา ” คนเราถารับความจรงิ แลวจะ
วา “เขาหาวา....” ไปทาํ ไม! ขายตัวเปลา ๆ ! แมค นตดิ คุกติดตะรางลองไปถามดูซิวา
“นเ่ี ปนอะไรถงึ ตอ งมาตดิ คุกตดิ ตะรางละ ?” ตองไดร บั คําตอบวา “เขาหาวา ผมลกั
ควาย” เปน ตน เม่ือถามกลบั วา “เราไมไดลักควายของเขาจริงๆ หรือ?” “ลักจริงๆ”

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เร๙า๙๙ก๑บั กเิ ลส’’

๙๒

แนะ ! ลักจรงิ ๆ ทําไมบอก “เขาหาวา ....” ทัง้ นี้เพราะไมย อมรบั ความจรงิ เนือ่ งจาก
ความเห็นแกต วั กลวั เสียเกียรติ ขายข้หี นา วาเปน คนเลวทรามหยามเหยยี ด อายเพอ่ื น
มนษุ ยน ่ันแล แตการพูดโกหกไมย อมรับความจรงิ ซึ่งเปนความผิดสองซาํ้ นัน้ ไมพึง
เฉลียวใจและอายบา ง ความเปน มนษุ ยผ ดู จี ะไดม ีทางกระเตือ้ งขึน้ มาบา ง

เหลา นีเ้ ปน เร่ืองของกเิ ลสความเห็นแกต ัว เห็นแกไ ด จงึ ทําใหหมดยางอายโดย
สิ้นเชงิ ส่ิงเหลา น้เี ปนของสกปรกเลวทรามในวงผดู ีมศี ลี ธรรมในใจ สง่ิ เหลาน้เี ปนส่ิง
กดถว ง เปน สิง่ ทาํ ลายจิตใจและทําลายสมบตั ิของเพอ่ื นมนษุ ยดว ยกนั ส่งิ สกปรกรก
รุงรังเหลา นี้ ผมู ีจติ ใจใฝต ่าํ ชอบมันอยางย่งิ ท้ังทม่ี นั ใหโ ทษมากไมม ปี ระมาณ มีมากมี
นอ ยก็ทาํ ความกระทบกระเทอื น และทําความฉบิ หายแกผ ูอ่ืนไมสงสยั

จึงขอตง้ั ปญหาถามตวั เองเพือ่ เปน ขอ คิดวา “เหลา น้หี รอื ท่วี าโลกเจริญ?”
เจรญิ ดว ยสิ่งเหลา นหี้ รือ? อันนีห้ รือทเ่ี รียกวา “เชดิ ชกู นั และกนั และเชิดชูโลกให
เจริญ?”

คาํ ตอบ “จะเชดิ ชโู ลกอยางไร เวลานโี้ ลกกําลงั รอ นเปนฟนเปนไฟ ยังไมท ราบ
วา มันกดถว งอยหู รอื ? นน่ั ! สว นศาสนามบี ทใดบาทใดทส่ี อนใหโ ลกเบยี ดเบยี นกัน ให
เกดิ ความเดือดรอนวนุ วายแกกัน เพียงสังเกตตามความรูส ึกธรรมดากไ็ มป รากฏเลย”

ทนี ท้ี าํ “โอปนยโิ ก” นอมขางนอกเขามาขา งในเพ่ือใหเ กิดประโยชน ไมเ สยี หาย
ไปเปลา” การแสดงธรรมมีท้ังขา งนอกขา งใน ขอสาํ คัญก็ใหน อ มเขา มาเปนสาระสําหรับ
เรา

การแสดงนั้นกเ็ พ่ือแยกขา งนอกใหดเู สยี กอน แลวยอ นเขา มาขางใน เวลาน้ขี า ง
ในของเราเปนอยางไรบาง? “สวัสดีมชี ัยอยูหรอื เปน ประการใดบา ง?” “เวลานก้ี เิ ลส
ประเภทตา งๆ ทเ่ี ปน เจาอํานาจกดถวงจติ ใจเรามบี างไหม? โลกแหง ขนั ธ และระหวาง
ขนั ธก บั จติ สวัสดีมชี ัยอยูหรอื ? ไมก ดถว งใจของผเู ปน เจาของขนั ธหรอื ?

จงดใู หด ีดว ยสติ พิจารณาดวยปญ ญาอยา งรอบคอบ ขณะใดที่สติปญญา
ประลาตไปจากใจ ขณะนั้นแลเราไดร บั ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น เพราะถูกกดถว งยํา่ ยี
โดยอาการตางๆ ของกิเลสทั้งหลาย ขณะใดมีสตปิ ญ ญารักษาใจไมเ ผลอตวั แมสติ
ปญ ญาจะยังไมเ พียงพอกับความตานทาน หรอื ปราบปรามส่ิงเหลา น้ันใหหมดไป เราก็
ยังพอยบั ยง้ั ได ไมทกุ ขถงึ ขนาด หรอื ไมท ุกขเ สียจนเต็มเปา ยังพอลดหยอ นผอ นเบากัน
บา ง ย่งิ มีสติปญญาพอตวั แลว ไมมกี เิ ลสตัวใดท่จี ะมาเปนขาศึกตอใจไดเลย! พอขยบั
ตัวออกมากถ็ กู ปราบเรียบในขณะน้ัน

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๐๙ต๐ร๒ยี มพร้อม

๙๓

น้ีแลผูมธี รรมครองใจเปน อยา งนี้ ใจเปน อิสระเพราะธรรมครองใจ ใจมคี วาม
สงบสุขไดเ พราะการรกั ษาใจดว ยธรรม ตลอดถงึ ความหลดุ พนจากความกดถวงทงั้
หลายโดยประการทงั้ ปวง กเ็ พราะการปฏิบตั ิธรรม เพราะรูธรรม เพราะเห็นธรรม
ประจกั ษใ จไมสงสัย ลบู ๆ คลาํ ๆ ดงั ท่เี คยเปน มาในขั้นเร่ิมแรก

ธรรมอยใู นสถานทีใ่ ด ตอ งเยน็ ในสถานทน่ี ้นั ธรรมอยทู ี่ใจ ใจยอ มชมุ เย็นผาสุก
ทกุ อิริยาบถไมมสี ่งิ รบกวน เม่อื จติ กาวเขาถงึ ขนั้ ธรรมเปน ใจ ใจเปน ธรรม ยิ่งเย็น ไม
มกี าลสถานทเี่ ขามาเก่ียวขอ งเลย เยน็ เต็มทเ่ี ต็มฐาน ก็คอื ใจเปนธรรม ธรรมเปนใจ น่นั
แล

เราคิดดูซิ ธรรมบทใดแงใ ดทท่ี าํ ความกดถวง ทาํ โลกใหมคี วามทกุ ขความเดอื ด
รอ น ไมป รากฏแมแ ตนดิ หนง่ึ ! การทําใหเราและโลกเดือดรอ นวนุ วายระสาํ่ ระสายจน
แทบไมม ที ป่ี ลงวาง ก็เพราะมนั มแี ตเ รื่องของกิเลสทงั้ นน้ั เปน เจา การ!

ผปู ฏบิ ตั ทิ ง้ั หลายทมี่ ีสติปญ ญาประคองตัว กเิ ลสแสดงออกมามากนอ ยยอ ม
ทราบทันที และเร่มิ แกไ ขถอดถอนไมน อนใจ จนไมมีอะไรแสดงแลว ก็อยเู ปน สุข ดงั
ปราชญว า “ฆา กเิ ลสไดแลวอยูเปน สขุ ” ถา พลกิ กลบั กว็ า “ฆากิเลสไมไ ดยอมเปนทกุ ข
ทั้งอยทู งั้ ไป ทง้ั เปนทงั้ ตาย!” ฉะนัน้ พวกเราตอ งสรางสติปญ ญาใหดี เพอื่ ตอ สูกิเลสทม่ี ี
อยูภ ายในตัว จงระวังอยา ใหม นั กลอมเสียหลบั ทง้ั คนื ทั้งวัน ทัง้ ยนื เดินนงั่ นอน ใหม เี วลา
ตน่ื บา ง ใหม ีเวลาตอ สูกับเขาบา ง ถามกี ารตอสกู นั คาํ วา “แพ ชนะ” ก็จะปรากฏขนึ้ มา
ไมห มอบราบเสียทีเดยี ว เพราะไมม กี ารตอ สู มีแตหมอบราบ และเช่ือมันไปหมด กเิ ลส
วายังไงเช่อื ไปหมด หากมกี ารตอ สูบ าง ก็มแี พม ชี นะสบั ปนกนั ไป ตอไปกช็ นะเร่ือยๆ
ชนะไปเร่อื ยๆ และชนะไปเลย ใจเปนอิสระเต็มภูม!ิ

น่อี ํานาจแหง ศาสนธรรมทีผ่ ูนํามาปฏิบัติเปน อยางน!้ี เปน ทเ่ี ชอ่ื ใจ เปนท่ีแนใ จ
ได ไมม ีอะไรท่จี ะแนใ จไดย ่ิงกวา ศาสนธรรม ถาเราปฏบิ ัตเิ ต็มกําลังความสามารถเราก็
เชื่อใจเราได เมื่อบรรลุถงึ ข้นั “จิตบริสทุ ธ์ิ” แลว ก็แนน อนตลอดเวลาไมสงสยั ไมอ ยาก
ไมหวิ โหยกบั อะไรทง้ั น้นั ไมอ ยากรไู มอ ยากเห็น ไมอยากศึกษากบั ใครๆ วา นาจะเปน
อยา งนน้ั นาจะเปน อยางน้ี อยากรูน ั้นอยากรนู ้ี เพือ่ น้นั เพื่อนี้อกี ตอ ไป!

รูทกุ สง่ิ ทุกอยา งอยภู ายในใจ เมอื่ เต็มภูมิความรคู วามเหน็ แลว ก็ไมอยากไมหิว
โหย ไมม ีอะไรรบกวนใจก็แสนสบาย ขอใหพากันนําธรรมนีไ้ ปปฏบิ ัติรกั ษาตน อยสู ถาน
ท่ใี ดไปสถานทใ่ี ดจงทราบเสมอวา ความผิดถกู ช่ัวดนี น้ั อยูก บั เรา การละวางในสิง่ ท่คี วร
ละวาง และการสงเสริมสง่ิ ทค่ี วรสง เสรมิ ก็อยทู ีต่ วั ของเรา ไปไหนใหม วี ดั อยา ให
ปราศจากวดั อยา งทา นอาจารยฝ น ทา นเคยวา “วดั ท่ีนน่ั วดั ที่นี่ วดั อยภู ายในใจ”

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เ๑รา๐๑๙ก๓ับ กเิ ลส’’

๙๔

ทา นพูดถกู ใหมีวัดอยูภายในจิตใจเสมอ คอื “วัตรปฏบิ ตั ”ิ มีสติ ปญญา
ศรทั ธา ความเพยี ร ใครค วรดูเหตุดผู ลอยเู สมอ เวลานง่ั รถไปก็ภาวนาไปเร่อื ยๆ ใครจะ
วา บา วา บอกต็ าม ขอสําคญั ผูรับผดิ ชอบเราน้คี อื เราเอง อยา เปน บา ไปกบั เขากแ็ ลว กนั
ถาเราไมเ ปนบา เสียอยางเดยี ว คนเปน รอ ยๆ คนจะมาตเิ ตียนหรือกลาวตวู าเราเปน บา
เปนบอ คนรอยๆ คนนน้ั นะ มันเปนบากันทั้งนน้ั แหละ! เราไมเ ปน บาเสยี คนเดียวเราก็
สบาย

นแี่ หละเปน คตหิ รืออดุ มการณอ นั สําคญั ฟงแลวจงพากันนําไปประพฤติปฏิบัติ
เวลาถูกใครวา อะไรกใ็ หค ํานงึ ถึงพระพทุ ธเจา อยาไปโกรธไปเกรี้ยวใหเ ขา ความโกรธให
เขากค็ ือไฟเผาตวั ความไมพอใจใหเ ขาก็คอื ไฟเผาตวั ไมใชเผาทไ่ี หน มันเผาท่นี ก่ี อ นมนั
ถงึ ไปเผาท่อี นื่ ใหร ะมดั ระวงั ไฟกองนีอ้ ยาใหเกิด!

เราจะไป “สุคโต” นัง่ รถนง่ั ราไปก็สคุ โตเรอ่ื ยไป นง่ั ในบา นกส็ คุ โต อยกู ส็ บาย
อยทู ไ่ี หนกส็ บาย เวลาตายก็เปนสขุ ไมวนุ หนา วนุ หลงั ดิ้นพลานอยูราวกับลิงถกู ลกู ศร
ซง่ึ ดูไมไดเ ลยในวงปฏิบัติ

ฉะนน้ั จงระวังไวแ ตบดั นี้ ปฏิบัตใิ หเ ต็มภมู แิ ตบัดนี้! คําวา “อาชาไนย” หรือ
“ราชสีห” จะเปน ใจของเราผูปฏิบตั เิ สียเอง!

เอาละ การแสดงธรรมกพ็ อสมควร!

ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๐ต๙๒ร๔ยี มพร้อม



กำาจัดกิเลส พน้ ทุกข์เทศนโปรดคณุ เพาพงา วรรธนะกุล ณ วดั ปา บา นตาด ๙๕

เทศนโ์ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะเกมุลอื่ ณวนั วทัดี่ ป๔า่ บธนัา้ นวตาาคดม พุทธศักราช ๒๕๑๘

เม่ือวนั ท่ี ๔ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘กําจดั กิเลสพน ทุกข

ท่ที านพูดวา “โลก” กค็ ือหมูส ัตว “สตฺต” แปลวาผูขอ ง ผูยงั ติดยงั ขอ ง อะไร
ทาํ ใหของ? เพียงเทา นน้ั กท็ ราบแลว ทา นพรรณนาไวห ลายสงิ่ หลายอยา งหลายภพ
หลายภมู ิ ลว นแตภูมสิ ถานที่ที่ใหจ ิตตดิ จิตขอ งและจะตองไปท้ังนน้ั ทา นจงึ วา จิตนเี้ ปน
นกั ทองเทีย่ ว เพราะเทยี่ วไปไมห ยุดไมถ อย กลัวหรือกลา กต็ อ งไป เพราะกาํ ลังตกอยูใน

ความเปน นกั ตอ สู ขึ้นชอื่ วา “นัก” แลวมันตอ งตอ สูอยา งไมล ดละทอถอย ถาไมเ ปน

อยา งนน้ั ก็ไมเรยี กวา “นกั ” คือสูไมถอย
ภพภูมิตางๆ ไปเกิดไดท ั้งน้นั แมแตนรกอเวจซี งึ่ เปน สถานทมี่ ที กุ ขเดือดรอ น

มากผิดทกุ ขท ั้งหลาย จติ ยงั ตอ งไปเกดิ ! อะไรทําใหจ ติ เปน นกั ตอ สู?
เชอ้ื แหง ภพชาตคิ ือกิเลสทงั้ มวลนั่นเอง ท่ีทาํ ใหส ัตวท าํ กรรม กรรมเกิดวบิ าก

เปน ผลดีผลชว่ั วนไปเวียนมาในภพตางๆ ภพนอ ยภพใหญไมมปี ระมาณ วา จะหลดุ พน

จากความเกิดในภพนนั้ ๆ ไดเ ม่ือใด เกิดเปน ภพอะไรตวั ประธานก็อยูท ี่ “ใจ” เปนผูจะ
ไปเกดิ เพราะอํานาจกิเลส กรรม วบิ าก พาใหเปน ไป

ในโลกเราน้ีมสี ัตวเกิดมากนอยเพียงไรใครจะไปนับได! เพยี งในบรเิ วณวัดนี้

สัตวต า งๆ ท่ีสุดวิสัย “ตาเน้อื ” จะมองเหน็ ไดม จี ํานวนมากเทา ใด สตั วทีเ่ กิดท่ีอยใู นที่
มองเหน็ ไดดว ยตาเนอื้ นกี้ ็มี ที่ไมส ามารถมองเหน็ ไดด ว ยตาเนอื้ เพราะละเอยี ดก็มี แม
แตสัตวเ ล็กๆ ซึง่ เปน ดานวตั ถุ แตไ มส ามารถมองเห็นไดดวยตาเนอื้ ก็มี สตั วที่เกดิ เปน

“ภพ” เปน ทั้งล้ลี ับทงั้ เปด เผยในโลกท้งั สามจงึ มมี ากมาย ถาเปนสิ่งท่ีมองเหน็ ดวยตา
เน้อื ไดแ ลว จะหาที่เหยยี บยา่ํ ลงไปไมไดเลย เต็มไปดวยจติ วญิ ญาณของสัตว เต็มไป
ดวยภพดวยชาติของสัตวประเภทตางๆ ทง้ั หยาบทั้งละเอยี ด เต็มไปทั้งสามภพสามภูมิ
แมแ ตชอ งลมหายใจเรายังไมวาง

ในตวั ของเราน้ีก็มสี ัตวชนดิ ตา งๆ อยมู ากจนนา ตกใจ ถา มองเหน็ ดว ยตาเนอ้ื
เชน เชื้อโรค เปน ตน ไมเ พยี งแตว ิญญาณ คือจิตเราดวงเดียวทีอ่ าศัยอยูในรางน้ีเทาน้นั
ยังมอี ีกกีพ่ ันก่ีหมืน่ วิญญาณอาศยั อยใู นรางนีด้ ว ย ฉะน้ันในรางกายเราแตละคน จึงเต็ม
ไปดว ยวญิ ญาณปรมาณขู องสัตวห ลายชนดิ จนไมอาจคณนา มีอยูทกุ แหง ได เพราะมี
มากตอ มาก และละเอียดมากจนไมสามารถเห็นไดดวยตา ฟงไดดวยหู

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ธรรมะช๑ดุ๐เ๔ตรยี มพร้อม
๙๕

๙๖

ในอากาศกลางหาว ในนาํ้ บนบก ท่ัวทศิ ตา งๆ มีสัตวเต็มไปหมด แลวยังมัว
สงสยั อยหู รือวา “ตายแลวสญู ไมไ ดเ กิดอีก” กอ็ ะไรๆ มันเกดิ อยเู วลาน้ีเกลื่อนแผนดนิ
ภพหยาบกม็ ีมนษุ ย ซ่ึงกาํ ลังหาโลกจะอยูไมได ยังจะมาสงสัยอะไรอีก

ความเกิดก็แสดงใหเหน็ อยทู ุกแหงหน ท้งั หยาบท้งั ละเอียด ทง้ั ในนาํ้ บนบกมไี ป
หมด ตลอดบนอากาศ ยังจะสงสัยอยหู รือวาตายแลวไมเกดิ แลวอะไรมนั มาเกดิ ดูเอาซี
เครอื่ งยืนยนั “ไมสูญ” มอี ยกู ับทกุ คน ถาสตั วต ายแลว สญู ดงั ที่เขาใจกัน สัตวเ อาอะไร
มาเกดิ เลา ? ลงตายแลวสญู ไปจรงิ ๆ จะเอาอะไรมาเกิดได สง่ิ ทีไ่ มส ูญน้นั เองพาใหม า
เกดิ อยเู วลาน้ี ไปลบลางส่งิ ท่ีมอี ยูใหส ญู ไปไดอยา งไร ความจริงมนั มีอยอู ยางนนั้ ที่ลบ
ไมสูญก็คอื ความจรงิ น่ันแล

จะมีใครเปน ผฉู ลาดแหลมคม รไู ดละเอยี ดลออทุกส่งิ ทกุ อยางตามสิ่งทม่ี ีอยู
เหมือนพระพทุ ธเจา เลา?

พวกเราตาบอดมองไมเ หน็ ตัวเอง ไดแ ตล บู คลําไปลูบคลาํ มา คลําไมเจอกว็ า ไม
มี แตไปโดนอยไู มห ยุดหยอนในสิง่ ท่เี ขาใจวา ไมม ีน้นั ตางคนตา งโดน “ความเกดิ ”
อยางไรละ โดนกนั ทุกคนไมมีเวน เหมือนเราไมเหน็ เดนิ ไปเหยียบขวากเหยียบหนาม
น่นั นะ เราเขาใจวา หนามไมมีขณะทเ่ี หยยี บ แตก ็เหยียบหนามที่ตนเขาใจวาไมมนี ัน่
แหละ มันปก คนผูไ มเ ห็นแตไ ปเหยยี บเขา เพียงเทา นี้ก็พอทราบไดว า ควรเชอ่ื แลวหรอื
ความรูความเห็นอนั มดื บอดของตัวเองนะ เพยี งหนามอันเปน ของหยาบๆ ยงั ไมเห็น
และไปเหยียบจนได ถา รวู า ทีน่ ั่นมีหนามจะกลา ไปเหยียบไดอ ยางไร เชน หัวตอไปโดน
มันทําไม ไมไปโดนมันทําไม ถา แนใ จวามีใครจะกลา ไปโดน ใครจะกลา ไปเหยียบหนาม
ซึ่งไมใ ชเ รอื่ งเล็กนอย มนั เปน เรือ่ งเจบ็ ปวดขนาดไหน แลว ทําไมถึงโดนกนั เรอ่ื ยๆ เลา?
ก็เพราะความเขาใจวาหนามไมม ีน่ันเอง

ฉะน้นั สงิ่ ตา งๆ จงึ ไมอ ยูในความสาํ คญั วามีหรอื ไมมี มนั อยูท่คี วามจริงอยาง
ตายตวั ไมม ใี ครอาจแกไ ขใหเ ปน อน่ื ไปได

นี่ก็เหมือนกันเรือ่ งภพเรอ่ื งชาติของคนและสตั ว มเี กดิ ใหเ ห็นมตี ายใหเ หน็ อยู
เกล่ือนแผน ดิน เฉพาะในโลกเราน้กี เ็ หน็ เกลื่อนแผน ดนิ อยูแลว เมอื่ เปนเชน นี้จะปฏเิ สธ
จะไปลบลา งไดอ ยา งไรวา มันไมเกดิ วา มันตายแลว สญู สิน้ ไป

เราไมเชอ่ื พระพทุ ธเจา แตเราเชื่อเราเปนอยางไรบาง? ผลของมันท่ีแสดงตอบ!
ความรูค วามเหน็ ของเรามีสงู ต่ําหรอื แหลมคมขนาดไหนถึงจะเชือ่ ตนเอง จนสามารถลบ
ลางความจรงิ ท้งั หลายทม่ี อี ยูใหสญู ไปตามความรคู วามเหน็ ของตน ทั้งๆ ที่ตนไม
สามารถรูค วามจรงิ นั้นๆ ทาํ ไมจึงสามารถอาจเออ้ื มไปลบลางสิ่งทีเ่ คยมอี ยูใหสูญไปเมือ่

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๑ “๑เ๐ร๕า ๙ก๖ับ กเิ ลส’’

๙๗

เราไมรู ลบเพอ่ื เหตผุ ลอนั ใด? ความรูน่ีมนั โงสองชน้ั สามช้นั แลวยังจะวาตนฉลาดอยู
หรือ?

ถามุงตอ งการความจรงิ ดว ยใจเปนนกั กีฬา กค็ วรยอมรับตามความจริงที่ปรากฏ
อยู ลองคดิ ดู มีนักปราชญท่ไี หนบางสอนอยา งถูกตองแมนยาํ ตามหลักความจริงเหมอื น
พระพุทธเจา จะแหกนั ไปหาท่ีไหน ลองไปหาดูซี หมดแผนดนิ ทัง้ โลกน้ีจะไมม ีใคร
เหมือนเลย ใครจะมาสอนใหตรงตามหลักความมีความเปนและความจริงดังพระพุทธ

เจา แนใ จวาไมม ี!

ประการสาํ คัญกค็ อื การคดิ วา “ตายแลวสูญ” นัน้ เปน ภยั อนั ตรายแกผคู ิดและผู
เกยี่ วของไมมีประมาณ เพราะคนเราเมื่อคิดวาตายแลวสูญยอมเปนคนสิน้ หวงั อยากทาํ
อะไรกท็ ําตามใจชอบในเวลามชี ีวติ อยู สวนมากก็มกั ทําแตส่ิงทเี่ ปนโทษเปนภยั แกต วั
เองและผอู ืน่ เพราะชาติหนาไมมี ทําอะไรลงไปผลจะสนองตอบไมม ี ฉะนัน้ ความคิด
ประเภทนีจ้ ึงทําคนสนิ้ ใหหวงั หลังจากน้ันก็ทําอะไรแบบไมค ํานึงดชี ่วั บญุ บาป นรก
สวรรค พอตายแลวกไ็ ปเกดิ ในกาํ เนดิ สตั วผสู ้นิ ทา เชน สัตวนรก เปน ตน อยา งชว ย
อะไรไมได ท้งั น้พี วกเรายงั ไมเหน็ เปนของสาํ คญั อกี หรือ? ถา ยังไมเหน็ ศาสนธรรมซ่งึ
เปน ของแทข องจรงิ วาเปน ของสําคญั ตัวเราเองกห็ าสาระอะไรไมไดน น่ั เอง ในขณะ
เดียวกนั การปฏเิ สธความจริงก็เทา กบั มาลบลางสารคณุ ของเราเอง กลายเปน คนไม
สาํ คญั คนไมม ีสารคณุ คนหมดความหมาย คนทําลายตัวเอง ชนิดบอกบุญไมร ับ
เพราะความคดิ ทีล่ บลา งความจริงท่มี ีอยนู ้นั เปนความคดิ ทาํ ลายตนเอง สง่ิ ทีม่ คี วาม
หมายแตไปลบลา งส่ิงทีจ่ รงิ แตไ ปขดั ความจรงิ สุดทา ยก็สะทอ นกลับสิ่งที่จรงิ มาหาตวั
เอง เปนผรู ับเคราะหกรรมเสยี เองโดยไมม ใี ครอาจชว ยได กลายเปน คนขาดทุนทง้ั ขึ้น
ทง้ั ลองซี!

พวกเรานบั วาดมี าก วาสนาเรามีความดคี ุมครองถึงไดม าพบพระพทุ ธศาสนาอัน
เปนศาสนาทถ่ี ูกตอ งตายตัว บอกขวากหนามใหส ตั วโ ลกรแู ละหลบหลกี กนั และบอก
สวรรค นิพพาน ใหสตั วโลกไดไ ป ไดนอ มใจเขา มาประพฤติปฏิบตั ิ ถวายกาย วาจา ใจ
ตลอดชวี ิตทุกสิ่งทกุ อยา งกับพระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ ดํารงตนอยดู วยศลี ดว ย
ธรรม ประพฤติคณุ งามความดตี ลอดมา เพื่อเปนการเพิม่ พูนบญุ วาสนาบารมีของตนๆ
ใหสูงสง ย่งิ ขนึ้ ไป

ผไู มม ีโอกาสทาํ ไดอยา งน้ีมีจํานวนมากมาย อยากจะพูดวา ราว ๙๙ % ประเภท
เปน อยดู ว ยความเชือ่ บุญเช่อื บาป ยงั เหลอื เปอรเซน็ ตเดียวหรือไมถ ึงเปอรเซน็ ตกอ็ าจ
เปนได เม่ือเทยี บกบั โลกทง้ั โลก

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๐ต๖๙ร๗ยี มพรอ้ ม

๙๘

ความเกดิ ความตายมันเห็นอยชู ดั ๆ ภายในจติ เพราะฉะนน้ั ขอใหเรียนความ
จรงิ ซ่งึ มีอยทู ีจ่ ติ มนั เกิดอยทู ่นี ่นั มันตายอยูท่ีนั่น เช้ือใหเกิดใหตายมีอยูทจ่ี ติ เมอ่ื เรียน
และประพฤติปฏิบตั ิทางดานจิตตภาวนา ทดสอบเขาไปหาความจรงิ ทม่ี ีอยภู ายในจติ
ทง้ั เรอื่ งเกดิ เรือ่ งตาย เร่อื งความเก่ยี วของพวั พันตางๆ เรอ่ื งดีเรือ่ งชวั่ เรื่องบุญเรอ่ื งบาป
เรียนเขา ไปตรงนั้น จะเจอเขากับความจริงในแงตา งๆ ทีน่ นั่ โดยไมมีทางสงสยั

เมือ่ เจอดวยใจตนเองอยางประจกั ษแ ลว ก็เหมือนเราไปเหน็ ดว ยตาเนือ้ เรา
จรงิ ๆ เราจะลบลา งไดอ ยา งไร ปฏิเสธไดอ ยางไรวา ส่งิ น้นั ไมม ี แตก อ นเขาใจวาไมมี แต
ไปเห็นดวยตาแลว จะปฏิเสธไดอยางไร เพราะตนเปนผูเหน็ เอง ถา ลบกต็ อ งลบดว ยการ
ควกั ลกู ตาตนออกเพราะลกู ตาโกหก

ทล่ี บลางไมลงลบลางไมไดเพราะตนเห็นดวยตาวา สงิ่ น้นั มันมีอยจู ริง ถาเปน
ดานวัตถทุ จ่ี บั ตองดไู ดก็จับตอ งดูได เมื่อเปน เชน นัน้ ตนจะลบลา งไดเหรอ? วาสงิ่ นนั้ ไม
มี คือสงิ่ ทีต่ นถอื และดอู ยนู ้ัน ลบลา งไมได ดังน้นั ความจริงท่มี ีอยู ทานผใู ดรูเหน็ ทานผู
น้นั ตอ งยอมรับความจรงิ น้ัน นอกจากผูไ มสนใจอยากรูอยากเหน็ ยง่ิ กวาการเช่อื ตัวเอง
เทา นัน้ ก็สุดวิสยั ที่ธรรมจะชวยได

เร่ืองของความจริงเปนอยา งน้ี และพวกทร่ี คู วามจริงก็รูอ ยางนี้ ทานจงึ ไมลบลา ง
และสอนตามความมีความจรงิ พวกเราเปน คนมืดบอด จงึ ควรเชือ่ และดําเนนิ ตามทา น
จะเปนทางท่ถี กู ตองดีงาม เปนความสวสั ดีมงคลแกต ัวเอง ผมู ุงหวังความหลุดพน ทัง้
ปวงนับแตข ้ันตา่ํ จนถึงขน้ั สงู สุด เปนความจริงไปตามขัน้ ของธรรมและขนั้ ของผูเรยี น

“จติ ตภาวนา” น่ันแหละ เปนผูจะทราบไดชัดเจน
ในวงขนั ธม ีความกระเพอ่ื ม กระเทอื นดว ยภพชาติ โดยอาศยั อารมณเ ปน ผูชกั

ใยอยูตลอดเวลา ดว ยความเกิดความดับ ๆ อนั มีเช้อื อยูภายในใหเปน ผผู ลกั ดันให
อาการของจติ ออกแสดงตัว จติ ยังไปไมไ ดเพราะยงั มอี ตั ภาพเปนความรับผดิ ชอบอยู
จติ จึงกระเพ่อื มอยู อารมณเปนความเกดิ ดบั ๆ อยูเพยี งเทา น้ัน ถา ใจสามารถออกจาก
รางได ใจจะเขา ปฏสิ นธิสักก่ีอัตภาพกไ็ ดในวันหนงึ่ ๆ จะไดเปน ลานอัตภาพในคนๆ
หนึ่ง เพราะมคี วามตดิ ความของความรกั ความชอบใจเปนสายใย รักก็ตดิ ชงั กต็ ดิ โกรธ
กต็ ิด เกลียดก็ติด ตดิ ไดท้งั นัน้ ไมมอี ้นั อะไรๆ มันตดิ ท้งั นน้ั ถาใจติดอะไรทาํ ใหเ ปน ภพ
เปน ชาติข้นึ มาอยา งเปดเผยในขณะท่ตี ิดแลว วนั หน่งึ ๆ จะมีกล่ี า นอัตภาพในตวั เราเอง
แตน ่มี ันไดอ ัตภาพอยา งเปดเผยเพียงอนั เดยี วเทานัน้ ใจจึงเปนเพียงไปตดิ ไปยึดอยูก ับ
อารมณน ั้นๆ เทาน้นั ไมอาจถอนตัวออกจากอตั ภาพนีไ้ ปเขาสูอยกู บั อารมณท่ใี จตดิ ได
คนเราจงึ มไี ดเ พียงอัตภาพเดยี ว ความเปนจรงิ อยา งนี้ การเรยี นกเ็ รยี นอยา งน้ี เรียนให
ทราบวิถขี องจิตซง่ึ พรอ มทีจ่ ะตดิ อยเู สมอ

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๐า๗๙ก๘ับ กิเลส’’

๙๙

คดิ เร่ืองอะไรคอยแตจ ะตดิ ตาํ หนติ ิชมสิง่ ใดก็ไปตดิ กบั ส่ิงน้นั ตาํ หนิก็ติด ชมก็
ติด ถา จิตอยใู นขน้ั ทีค่ วรจะติดเปน ตดิ ทง้ั นนั้ ไมถ อยในเร่ืองตดิ เพราะฉะนนั้ เรอ่ื งเกิด
เร่อื งตายของจิตจงึ ไมม ถี อย เรอื่ งสขุ เรือ่ งทุกขของจิตจงึ มีประจาํ ตน เพราะความคดิ
ปรงุ พาใหเ ปน ไป จติ เปนผไู มถอยในการทํากรรมดชี ่วั ผลสขุ ทุกขจ ึงเปนเงาตามตวั แลว
ปฏเิ สธไดอ ยา งไร เรอื่ งความเปน ของจิตกเ็ ปนอยอู ยางน้ี เห็นชัดๆ ภายในตวั เอง การ
เรยี นจงึ เรียนลงท่นี ่ี เมอื่ เรียนลงไปทีน่ ซี่ ่งึ เปนเปาหมายแหงความจรงิ ท้งั หลาย ก็รชู ดั
เจนโดยลาํ ดับๆ

อนั ใดทค่ี วรปลอ ย เม่ือมีความสามารถรูไ ดด ว ยสติปญ ญาแลวมันปลอ ยของมัน
เอง เม่ือปลอ ยแลว ส่ิงนั้นไมมีมาของใจอกี คอ ยๆ หมดไป ๆ ใจหดตวั เขามาเลอื่ นเขามา
จากที่เคยอยวู งกวา ง ปลอ ยแลว ปลอยเขามา ๆ วงก็แคบเขา จนกระทงั่ เหลือนิดเดยี วคือ

ทีใ่ จนี้ กร็ วู า “นี่เชอ้ื แหงภพยังมีอยูภ ายในใจ” นี่เช้อื แหง ภพนเ้ี ปน ส่ิงหลอกตาไดเปน
อยางดี ถา ไมใ ชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาอยางละเอียดสขุ ุม จะตดิ เชอ้ื แหงภพอยางไม
สงสยั ไดเ คยบอกแลว วา จติ มนั รูตวั เองอยา งชดั ๆ จากการปฏบิ ัติ จะลบลางไดอยางไร

วา “จติ นเ้ี มอื่ ตายไปแลวจะไมพาเกิดอกี ” เพราะตวั เกดิ ก็อยูก บั จติ จติ กร็ วู าการจะ
เกดิ อกี นัน้ เพราะเชือ้ นเี้ ปน เหตุ รๆู เหน็ ๆ กนั อยางเปดเผยจากการปฏิบัติทางจิตต
ภาวนา ซงึ่ เปนทางดาํ เนินทที่ รงดาํ เนนิ แลว ทรงรูประจักษพระทัยมาแลว เชอื้ แหง ภพ
ชาตมิ ีอยูใ นจิตมากนอ ย จิตจะตองเกิดในภพอีก

เมื่อปฏิบตั ิจติ ตภาวนาเขาสูขนั้ ละเอียด กเิ ลสยงั มมี ากนอ ยยอ มรูไดชัดดว ย
ปญญา เพราะสตปิ ญ ญาอนั ละเอียดนี้คมมาก ไมมีอะไรจะหนีรอดไปได เพราะปญญา
ความรูเ หน็ ส่งิ ตางๆ ท่ีมาเกีย่ วขอ งกบั จติ ไดอ ยา งรวดเร็ว จติ จะมีสาเหตใุ หไ ปเกดิ ท่นี ่นั
ไปเกดิ ที่โนน สตปิ ญ ญาตามแกไ ขทนั กบั เหตกุ ารณไ มเน่ินชา และสามารถตัดขาดได
ในโอกาสท่เี หมาะสม

ประการหนง่ึ จิตขน้ั ละเอียดนีพ้ รอ มที่จะหลดุ พนอยแู ลว เมอ่ื สติปญญาถึง
พรอมกับสิง่ ทคี่ วรตัดในโอกาสท่ีควร จนสามารถตดั ขาดเสยี ได ไมม เี งอ่ื นสบื ตอ ภายใน
จิต จนเปนจิตทบี่ รสิ ุทธิล์ ว นๆ ข้นึ มา

เมอ่ื จติ บริสุทธแ์ิ ลวจะสูญไปไหน? ถา มกี ารสญู ไปอยจู ะเอาอะไรมาบรสิ ทุ ธ?์ิ
และเอาอะไรมาศักดิส์ ทิ ธ์วิ ิเศษ? แมพ ิจารณาเทา ไรๆ กไ็ มม เี งอ่ื นสบื ตอ เพราะ
กเิ ลสหมดไปแลว จิตถึงความบริสทุ ธิแ์ ทแลว จึงเปนอนั หมดปญ หากับจติ ดวงนี้

ความที่จิตนี้จะเกิดจะตายตอไปอกี ไมมี! ความสญู กไ็ มป รากฏวา มี เพราะฉะนนั้ พระ
พทุ ธเจาผูบริสุทธ์ิ จงึ ไมท รงแสดงความสญู ไวก บั จิตพระอรหนั ต และจิตของสัตว
โลก จงึ ขอย้ําอกี วา จิตท่ีจะหมดปญ หาแลว มันสูญไหม? จิตยิ่งเดน แลวจะเอาอะไรมา

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๐ต๘๙ร๙ียมพรอ้ ม

๑๐๐

สญู เลา ? เมอ่ื ความจรงิ เปนอยา งนี้จะเอาอะไรมาสญู ? ขุดคน เรื่องสญู เทา ไร จิตยิง่ เดน
ย่ิงชัดไมมีอะไรสงสยั เดนจนพูดไมถูก บอกไมถกู ตามโลกนยิ มสมมุติซ่ึงหาท่สี ิ้นสดุ ยตุ ิ
ไมได ถา ใครยงั อวดเกง ตอความคิดวา “ตายแลว สญู ” เวลาไปโดยผลที่ไมคาดฝนใน
ภพหนา ก็จงเรียก “ความตายแลว สญู ” มาชว ยถาจะสมหวัง

จติ ทเ่ี ดน นอกวงสมมตุ ิน้ี แมเ ดนเพยี งไรก็พูดใหถกู ตองความจริงไมไ ด!
เมือ่ ปญ หาเกีย่ วกับการตายเกิดตายสูญสิ้นไปจากใจแลว กเ็ ปน ผู “ส้ินเรื่อง”
โดยประการท้ังปวง ถึงความบรสิ ุทธ์ิเต็มภูมิ จิตที่บรสิ ทุ ธ์เิ ต็มภมู ินส้ี ูญไหม? เมื่อรูชัด
เหน็ ชัดอยา งนแ้ี ลวธรรมชาตนิ จี้ ะสูญไปไหน? ลงความจรงิ ที่รูอยนู ่ีจะลบไดไหม? จะให
สูญไดไหม? ใครจะไปลบเลา? นอกจากคนตาฝา ฟางมองไมเ หน็ หนทาง เหยียบแต
ขวากแตหนามแลว กบ็ อกวาหนทางไมดี สิง่ ทม่ี ีก็คือขวากหนามเต็มฝา เทาเทานนั้ เมื่อ
เปนเชนน้ันเราจะเช่ือคนตาดหี รอื คนตาบอด จงตดั สนิ ใจดวน! อยาใหเสยี ดายเดย๋ี ว
ตายเปลา จะวา ไมบอกไมเ ตอื น ท่ีอธบิ ายมาทัง้ น้ีเปน คาํ บอกคาํ เตอื นอยแู ลว
ความบริสุทธทิ์ ่ีไมตอ งฝน อะไรๆ กค็ อื อนั นแ้ี ล แลว อนั นี้จะสูญไปไดอยางไร แต
จะมาตัง้ อยูเหมอื นหมอ ไหโอง นํา้ ไมได เพราะคนไมใ ชหมอ และน่ีเปนจติ จิตธรรมดา
กบั จติ บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั ผดิ กนั มากมาย จะมาต้ังกฎเกณฑใ หเปน อยา งนี้ ใหอ ยแู บบนๆ้ี ไม
ได ไมว าแบบใดๆ เพราะไมใ ช “ฐานะ” ของจติ ประเภทนที้ จี่ ะมาตง้ั แบบนห้ี รอื แบบ
ใดๆ ดงั ทานวา “นิพพฺ านํ ปรมํ สุ ฺญ”ํ นิพพานสญู แบบนเ้ี อง คือสญู แบบนพิ พาน
มใิ ชส ญู แบบโลกๆ ท่ีเขา ใจกนั
“สญู แบบนพิ พาน” คอื ไมมอี ะไรบรรดาสมมตุ ิเหลืออยภู ายในจติ ผทู ่ีรูว า สง่ิ
ทง้ั หลายสญู สิ้นแลว จากใจนนั่ เลย น่นั แหละคอื ตัวจรงิ นน่ั แหละคือผบู รสิ ทุ ธ์ิ ผูน ี้จะ
สูญไปไมได ย่งิ เดนยงิ่ ชัดย่งิ เขาใจแจม แจงทุกส่งิ ทกุ อยา ง ผูน้ีไมสญู ผูน ้แี ลเปน ผทู รง
คณุ สมบตั ิอนั ยอดเยย่ี ม ในบทที่สองวา “นิพพฺ านํ ปรมํ สุขํ” ผูนแี้ ลเปนสุขอยา งยิ่ง
นอกสมมตุ ทิ ้งั ปวง
ถา จิตบรสิ ทุ ธิ์ไดสูญไปจรงิ ๆ ธรรมบทนจี้ ะขนึ้ มารับไมไ ด เพราะก็สูญไปหมด
แลว ไมม อี ะไรจะมาเปน สขุ อยางยง่ิ ไดเ ลย การปฏิบัตใิ หเ ขาใจความจริงความแทข อง
ธรรม ตองปฏิบตั ิใหถ ูกธรรม อยาฝนธรรม จะไมรคู วามจรงิ แมม อี ยูใ นตน
คาํ วา “โลก” คอื “หมูสตั ว” กห็ มูสัตวต รงน้ีเอง คือตรงทีม่ ีเช้อื ไดแกอวชิ ชา
ตณั หาอุปาทานพาใหเกดิ อยูไ มหยดุ กอ นจะไปเกดิ ใหมต อ งเกิดอยภู ายในจิตนเ้ี อง
ทา นเรียกวา “หมสู ตั วพ ากันเกิดอยูท วั่ โลกดินแดน” “ตายทว่ั โลกดนิ แดน” ก็คอื ธรรม
ชาติทีว่ า น่ันเอง ไมมีอันใดเปนผพู าใหเกดิ พาใหต าย

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๐า๙๑ก๐ับ๐กเิ ลส’’

๑๐๑

สว น ความทุกขค วามลําบากท่ีมาจากธรรมชาติทกี่ อ ภพ ไดแก “ชาตปิ  ทกุ ขฺ า
ชราป ทกุ ขฺ า มรณมปฺ  ทกุ ขฺ ํ” ธรรมชาตอิ นั นเ้ี อง เม่อื ละหมดโดยตลอดท่วั ถึงไมม เี ช้อื
“วฏั ฏะ” ทจี่ ะพาใหเกดิ อีกแลว ธรรมชาตนิ ก้ี เ็ ปน “ววิ ฏั ฏะ”

คาํ วา “โลกคอื หมูสตั ว” กพ็ ดู ไมไดอกี แลว หมดปญ หาท่ีจะพูดวา โลกคือหมู
สัตวข องผูบริสทุ ธน์ิ น้ั ฉะนัน้ พวกเราจงพยายามปฏิบตั ิตามหลักความจริงท่พี ระพุทธ
เจา ทรงส่ังสอนไวแ ลว นี้ ในธรรมทานวา “สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม” พระธรรมอัน
พระพทุ ธเจาตรสั ไวช อบแลว ชอบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ไมวา เบื้องตน คอื “อาทกิ ลยฺ าณํ”
ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปดวยเหตุดว ยผลในเบ้อื งตน แหง ธรรม “มชเฺ ฌกลยฺ าณํ”
ไพเราะเพราะพริ้ง เต็มไปดว ยเหตุดวยผล เตม็ ไปดว ยความถูกตอ งดีงามในทา มกลาง
แหง ธรรม “ปริโยสานกลฺยาณ”ํ ไพเราะในทสี่ ุด ทําใหผ ูฟง ซาบซึ้ง เตม็ ไปดวยเหตดุ วย
ผล ดว ยความถกู ตอ งดงี ามสุดสวนแหง ธรรม ทกุ ช้ันทุกวรรคทุกตอน

ส่ิงทน่ี า ติเตียนและควรแกไ ขอยางย่ิงก็คอื จิตใจของสัตวโ ลกผูฝนหลักธรรมอยู
ตลอดเวลา เพราะกิเลสมอี ํานาจมากกวาจึงทาํ ใหฝนธรรม เมื่อฝนธรรมก็ตองไดรบั
ความทกุ ข เกิดก็เปนเรา แกก็เปนเรา เจ็บก็เปนเรา ตายกเ็ ปนเรา ทกุ ขย ากลาํ บากชนดิ
ไหนๆ ตนก็เปน คนรบั เสียเอง กเิ ลสมนั ไมม ารบั แทนพอจะใหม ันกลวั ทุกข แลว แสวงหา
ธรรมเปนที่พึ่งดังพวกเรา

พระพุทธเจา ทา นไมร บั ทกุ ข สาวกทานไมร ับทกุ ข ดังท่มี วลสัตวร ับกัน!
เพราะฉะนน้ั จึงควรเห็นโทษแหงการฝนธรรมวา เปน ของไมดี จะทําใหเกิดไป
เรอ่ื ยๆ ตามความฝา ฝน จงพยายามแกไ ขดดั แปลงหรอื ฝกทรมาน ชาํ ระสะสางสิ่งที่พา
ใหฝ น นน้ั ออกจากใจ เราจะคลอ ยตามธรรมซาบซึ้งในธรรมไปเรื่อยๆ ความซาบซง้ึ ใน
ธรรมนั้น เพราะธรรมเริ่มเขาถึงใจเรา และกเิ ลสกเ็ ริ่มถอยทัพ กิเลสเบาบางลงไปแลวจงึ
ทาํ ใหมคี วามซาบซ้งึ ด่ืมดํ่า มคี วามพอใจบาํ เพ็ญศลี บําเพ็ญธรรม
ถา มแี ตก เิ ลสลว นๆ เต็มหัวใจ ไมมีธรรมเขาขดั ขวางตา นทานไวบ างเลย ยอ มไม
มีใครจะสนใจในอรรถในธรรมกนั ชาตินน้ี บั วามีเราวาสนา เพราะมีธรรมคอยสะกิดใจ
ใหเ รามีความชอบความพอใจอยากไปวดั ไปวา บาํ เพญ็ ศลี บําเพญ็ ทาน บําเพ็ญภาวนา
ใหม ีชองทางปฏบิ ตั ิบําเพญ็ ธรรม มีความดูดด่มื มคี วามพออกพอใจ มีความเชือ่ ความ
เลือ่ มใสในธรรม อนั เปนธรรมรสภายในใจ มธี รรมคมุ ครองจิตใจ กเิ ลสแมยังมีอยูในใจ
กจ็ ริง แตธ รรมทไี่ ดส ่ังสมมาจงึ พอตอ สูตานทานกัน หากมีแตเ รื่องกิเลสลว นๆ แลว การ
ทําความดยี อมเปนการทํายากยงิ่ ทั้งไมสนใจจะทํา สนใจแต “บาปกรรม” นาํ ตนเขา สู
ความลามกตกนรกทงั้ เปน ทัง้ ตาย ไมมีวันผลบุ โผลไ ดเลย

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๑ต๑๐ร๐ีย๑มพร้อม

๑๐๒

ผูไมมีธรรมในใจ ก็คือผมู บี าปเตม็ ไปท้งั ดวงใจนนั้ แล ผลของบาปจงึ ไดร บั แต
ความทกุ ขความลาํ บากเรื่อยๆ ไป ไมวา อยใู นภพใดกําเนดิ ใด แดนใดภาษาใด เพราะ
ใจนน้ั มันไมมีชาติชั้นวรรณะ ไมม ภี าษา แตเ ปน แหลง ผลิตกรรมดชี ัว่ ทั้งปวง และเปน
คลงั แหง วบิ ากคอื ผรู บั ผล จงึ ตอ งรบั ทงั้ ความสขุ ความทกุ ขทีต่ นสรา งข้นึ ทาํ ขึน้ มากนอย
จะหลบหลีกปลีกตวั ไปทไี่ หนไมไ ด ถา ไมส รา งปอ มปราการคอื บุญกศุ ลไวเสียแตบัดน้ี
ซึง่ ยังไมสายเกินไป เพ่ือบรรเทาหรือลบลา งบาปใหล ดนอ ยลงจนไมม ีบาปตดิ ตัวติดใจ
ผนู แ้ี ลคือผมู ีความสขุ แท ไมเ พียงแตความสุขที่เกดิ จากการเสกสรรปนยอซงึ่ หาความ
จริงมิได

การกลาวท้ังหมดนี้ ใหตางคนตา งนอ มเขาสใู จของตนเอง ซง่ึ เปนตวั การกอ
กรรมทาํ เข็ญดวยกนั เปนตวั การทัง้ เรอ่ื งทีเ่ ปน มาน้ี เปน ตวั การทั้งเรอ่ื งชําระคือแกไข
ตองฝน ตอสูก ับกิเลส ตองฝน อยาถอยมันจะไดใ จ เพราะกิเลสเคยฝน เราและเคยบังคบั
เรามานานแลว คราวนเ้ี ราพอมที างสู เพราะไดอรรถไดธรรมมาจากพระพุทธเจา จากครู
บาอาจารยเ ปนเคร่ืองมือตอ สูกบั กเิ ลส สไู มถอย ขน้ึ ช่อื วา สูแลว จะตองมีชัยชนะจนไดใน
วนั เวลาหนง่ึ ทีแรกเรายอมมนั แบบหมอบราบเลย ถา ไมสมู ันกไ็ มเรียกวา “ลกู ศิษยพ ระ
ตถาคต” ผเู กง กลา ในการรบกบั กเิ ลส การตอ สูยังดีกวายอมแพเ สยี ทีเดยี ว คราวนี้แพ
เพราะกําลงั ยงั ไมพอ กต็ องยอมแพไปกอ น คิดอุบายขึน้ มาใหม สเู ร่ือยๆ สกู นั ไปสูกนั
มา ยอมมีทางชนะกันไปเร่อื ยๆ เม่อื สบู อ ยเขาความชาํ นาญยอ มตามมา และความชาํ นะ
มมี ากข้ึน ๆ ตอไปความแพไ มคอยบอ ยไมคอยมี น่ัน! ฟงซิ

ทาํ ไมจึงเปน เชนน้นั ? เพราะจิตถงึ ธรรมขนั้ ไมย อมถอยทพั กลบั แพแลว ถาจะ
แพกเิ ลสนอยใหญต อไปอกี กข็ อใหต ายเสยี ดีกวา ทจี่ ะมาเจอความแพน้ี ซงึ่ เปนความต่าํ
ตอ ยดอยสตปิ ญญา ศรัทธา ความเพียร จงึ ขอใหต ายเสยี ดกี วา ขอใหชนะกิเลสทุก
ประเภทโดยถายเดยี วเทานนั้ ไมขออยางอ่ืนท่ีโลกขอกัน ถาไมชนะ ก็ใหตาย น่นั ! ฟงซิ
เด็ดไหม? จิตดวงเดียวนแ่ี หละ ดวงทีเ่ คยแพ เคยลม ลุกคลุกคลาน นแ่ี หละ

เมอื่ เวลาพลกิ ตัวข้ึนสธู รรม ดวยไดร บั การฝกฝนอบรมจากครอู าจารยมาแลว
ดว ยดี จติ มกี าํ ลงั วงั ชาพอมคี วามรูความฉลาด ตลอดถึงผลที่ไดร บั ประจกั ษใจ เปน
เครื่องสนับสนนุ จติ ใจใหถงึ ขัน้ ทวี่ า “ใหต ายเสียดีกวา ทีจ่ ะเจอความแพกบั กเิ ลสนอย
ใหญอกี ” ไมป ระสงคอกี แลว เรอ่ื งความแพน้ี ไมเปนของดีพอจะสงเสริมเลย

เขาแขง กีฬากันแพก นั ผูแพกย็ อ มเสยี ใจ แมจะเปนการเลน สนกุ กันก็ตาม ยงั ทาํ
ใหผูแพเ สยี ใจได

เร่อื ง “วฏั สงสาร” คอื เรอื่ งความเกดิ ความตาย เรือ่ งกิเลสซง่ึ เปนภัยตอ เราโดย
ตรง ไมใชเ ร่อื งเลนๆ ดงั เขาเลนกฬี ากนั เปน เร่อื งของความทุกขกองทุกขในตวั เราแทๆ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๑๑ก๐ับ๒กิเลส’’

๑๐๓

การแพส่งิ นี้ถือเปนของเลนของดีแลวหรือ เราคิดดูใหดี ความจรงิ แลวไมใ ชข องดีเลย
ความแพก ิเลสเปนความเสยี หายแกต ัวเราไมมที ส่ี ิ้นสุด ฉะนัน้ การแพกเิ ลสจึงเปน เรอื่ ง
ใหญโตมาก ทําไมถงึ ยอมแพมนั เรอื่ ยๆ เอา ! สูมันไมถ อย จนไดชยั ชนะไปเปน ลําดบั ๆ
จนถึงขั้นไมใ หมีคาํ วา “แพ” กระทั่งชนะไปเลย!

ผูน ี้แลเปนผูประเสรฐิ เม่อื ชนะไปเลยแลว ทีนค้ี าํ วา “ตายแลวเกิด ตายแลว
สูญ” น้ันหมด! ไมมีอะไรเหลืออยูใ นใจเลย เพราะความสาํ คญั ม่นั หมายเปน กเิ ลสทงั้
นั้น คําวา “ตายแลว เกดิ ตายแลว สญู นรกมีหรือไมมี สวรรคมีหรอื ไมม ี นีเ้ ปน เรอ่ื งของ
กิเลสพาไปใหค ิดดน เดาทั้งสิ้น

พอมาถงึ ขัน้ “ชนะไปเลย” เรอื่ งเหลานกี้ ็หมดไปในทนั ทที ันใด ไมมีการเกิดได
อีกเพราะไมม ีส่งิ ผลกั ดันใหเ กดิ ความลังเลสงสยั ปลงใจลงกับธรรมไมได ทา นเรยี กวา
“นิวรณ” เคร่ืองก้ันกางทางดี แตเปดทางช่วั ใหทํา ผูมนี วิ รณเขา เปนใหญใ นใจ จึง
ตอ งตัดสนิ ใจเพือ่ ความดงี ามอะไรไมได นอกจากงานที่จะลงทางต่ําไปเรื่อยๆ น้นั เปน
งานท่ีสนใจจดจอ โดยไมค ดิ วาจะผดิ พลาดประการใดและใหผ ลเชน ไรบาง ดว ยเหตุน้ี
ความช่ัวสตั วโลกจงึ ทําไดงาย แตค วามดีน้นั ทาํ ไดยาก ผโู ดนทุกขจ ึงมมี ากแทบทุกตวั คน
และมอี ยูทกุ หนทกุ แหง แมจ ะพดู วา หลงกองทุกขก ันกไ็ มผ ิด แตผ เู ปน สุขกายสขุ ใจน้นั มี
นอ ยมาก แทบไมนา เช่ือวา จะมีได

การท่ีเราเห็นเขาแสดงความรื่นเรงิ ออกมาในทาตางๆ และ สถานท่ีตา งๆ เชนใน
หนา หนงั สอื พิมพเปนตน น่ันเปนเพียงเครื่องหลอกกนั เลนไปอยา งน้นั เอง ความจริง
ตางอมความทุกขไวภ ายในใจแทบระเบดิ โดยไมเ ลอื กชาตชิ นั้ วรรณะใดๆ เลย ทงั้ น้ี
เพราะสงิ่ ทีท่ าํ ใหซอ นความจรงิ ไวนน้ั ไดแ กค วามอาย กลวั เสียเกยี รติ และเปน คนใหญ
คนโตท่ีโลกนยิ ม น่ี จงึ นาํ ออกใหโลกและสงั คมเหน็ แตอ าการทเ่ี หน็ วา เปน ความสุขรืน่
เริงเทาน้นั

ตัวผลติ ทุกขแ กม วลสตั วมนั ผลติ อยภู ายในใครไมอ าจรเู หน็ ได นอกจากปราชญ
ทีเ่ รยี นรูและปลอ ยวางมนั และกลมารยาของมนั แลว เทา นนั้ จึงทราบไดอยางชดั เจนวา
ภายในหัวใจของสตั วโลกคุกรนุ อยดู ว ยไฟราคะตณั หา ไฟความโลภ หาความอิ่มเพียง
พอไมเจอ แมจะแสดงออกในทา รา เริง ทา ฉลาดแหลมคม ทา ผดู ีมีความสุขฐานะดเี พยี ง
ไร ก็ไมส ามารถปดความจรงิ ท่ีมีอยูใ นหวั ใจใหมดิ ไดเ ลย ปราชญท ั้งหลายรเู หน็ จับได
เพราะกลมายาของกเิ ลสกับธรรมละเอียดตางกันอยูมาก ทา นผูเปน ปราชญโ ดยธรรม
จึงทราบไดไมยากเย็นอะไรเลย

ดวยเหตุนจี้ งึ ควรพยายามสรา งความดใี หพอแกความตองการ จิตใจเปนของแก
ไขได ใจชวั่ แกใ หด กี ็ได ทําไมจะแกไมได ถา แกไมไ ดพ ระพุทธเจา จะฝก พระองคใ หดไี ด

ธรรมชุดเตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๑๑ต๒๐รยี๓มพรอ้ ม

๑๐๔

อยางไร บาปนน้ั มีดว ยกัน เพราะเราทกุ คนเกิดมาทามกลางแหงบาป เกดิ มากบั กเิ ลส
และอยใู นวงลอมของกเิ ลสดว ยกนั เกดิ มากบั บญุ กบั บาป และอยูในทา มกลางสิง่ ทดี่ ชี ่วั
เหลาน้แี ล เน่ืองจากยงั ไมม ีความดพี อจะใหอยูเ หนอื สิ่งเหลา นไ้ี ด แดนมนษุ ยเ ปน สถาน
ที่และกําเนิดอันเหมาะสมดอี ยแู ลว จะสรางอะไรก็ไดเ ตม็ ภมู ิ แตก ารสรา งความดนี ั้น
เหมาะสมกบั ภูมมิ นุษยอยา งยิง่ ดังพวกเราสรางหรือบําเพญ็ อยเู วลานี้ อันใดควรแกไข
ดัดแปลง ก็แกไ ขและดัดแปลง สงิ่ ที่ควรสง เสริมก็สง เสริมไปเรื่อยๆ ดว ยความไม
ประมาทนอนใจ

การไมประมาท สรา งประโยชนเพื่อโลกและตัวเองอยเู สมอ แมไ ปเกดิ ภพใดกไ็ ม
เสียทา คนท่ีมคี วามดีแลวไมเสยี ที มแี ตค วามสขุ ความเจรญิ ไปเรื่อยๆ ในภพนน้ั ๆ มี
ความสุขสบายตลอดไป จนอุปนสิ ัยวาสนาสามารถเตม็ ท่แี ลว กผ็ านไปยงั แดนเกษม
สาํ ราญ การผา นไปก็ผา นไปดว ยดี อยูดว ยความดี ความดีเปน เคร่อื งสนบั สนุนใหผ าน
กองทุกขต างๆ ไปไดโ ดยไมมอี ปุ สรรค ถา ไมม ีความดีก็ไปไมได การไปสคู วามสขุ ความ
เจริญนั้น โลกอยากไปดว ยกนั ทุกคนนน่ั แล แตทําไมจึงไปไมได? ก็เพราะกําลังไมพอที่
จะไปนน่ั เอง

ถา ไปไดดว ยความอยากไปเทา นัน้ โลกทั้งโลกใครจะไมทนรบั ความทุกขค วาม
ลําบากท่เี ปนอยนู เี้ ลย แมแตสัตวเขายังกลัวทุกข ทําไมมนุษยฉลาดกวาเขาจงึ จะไมก ลวั
ทุกข จะทนแบกหามทุกขอยูทําไม? ทั้งๆ ทร่ี ูอยูวา ทกุ ขนะ สตั วอยากพนจากทกุ ขอยา ง
เต็มใจดว ยกนั ทาํ ไมไมพ น ไปเสยี ? ท้ังน้ีกเ็ พราะกรรมยังมี วาสนาบารมียงั ไมส มบูรณ
สุดวิสัยที่จะไปได จงึ ยอมอยกู ันและเสวยทกุ ขตามทปี่ ระสบ

ยิง่ หลวงตาบัวซึ่งเปนคลงั แหง กองทุกขอยางเต็มตวั เต็มใจอยแู ลว มีใครมา

กระซบิ วา “โนน! ความเกษมสําราญอยูโ นนนะ มานอนกอดทุกขอ ยทู ําไม ไปซ!ี ” จะ
โดดผางเดียวกถ็ งึ แดนเกษมนะ เอา! โดด ๆ ๆ เดีย๋ วนี้ จะถงึ เด๋ียวน”ี้ ถาเปนไปไดด ัง
ทวี่ าน้ี ขาขาดแขนขาดไปขณะที่โดดก็ขาดไปเถอะ ขรัวตาบวั ตอ งโดดผึงเลยอยา งไมเสีย
ดาย เพ่ือไปเสวยความสขุ ใหบานใจหนอยก็ยังดี ดีกวา นอนกอดทุกขอยตู ลอดภพชาติที่
เต็มไปดว ยทกุ ข ไมมีความสุขมาเยย่ี มเยียนบา งเลย แตน่ีมนั สุดวิสยั จงึ ยอมนั่งหาเหา
เกาหมดั แบบคนสน้ิ ทา อยูอยางน้ี

ฉะนนั้ ขอทุกทา นจงเห็นคุณคาแหง ความเพียรเพ่ือไปสูแดนเกษม อยาเอาเพยี ง
ความอยากไปมาหลอกลอ ใหจ มอยใู นทกุ ขเ ปลา ธรรมทา นกลา วไวว า “คนจะลวงพน
จากทุกขไปไดโ ดยลาํ ดบั ๆ เพราะความเพยี รพยายามเปนหลักใหญ” น่เี ปน ธรรม
ของพระพุทธเจา ผูพ นจากความทกุ ขเพราะความเพยี ร ไมใชเพราะความอยากพนเฉยๆ

ธรรมชดุ เตรียมพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๑๓ก๐ับ๔กิเลส’’

๑๐๕

และความทอ ถอยออ นแอแยล งทกุ วนั กระท่ังรบั ประทานอาหารกน็ อนรบั เพราะข้ีเกยี จ
ลุก น่ขี าํ ดี

เราเปน ลูกศิษยพ ระตถาคต เปนพทุ ธบริษัท ทานหมายถงึ อะไร หมายถงึ ลูกเตา
เหลา กอของพระพทุ ธเจา พระองคทรงพาเราดาํ เนินไปอยางใด พระองคท รงดําเนินกา ว
หนา เราเดนิ ถอยหลังมนั จะเขากันไดไ หม? เราก็ตอ งเดนิ กา วหนาไปดว ยความ
พากเพยี รไมล ดละทอ ถอย จะชา หรอื เร็วก็ตาม ขอใหค วามพยายามนั้นเปน ไปตามกําลงั
สตปิ ญ ญาความสามารถ อยาละเวนความเพยี รเทา น้นั ก็เชื่อวา “เปน ลูกศษิ ยท ่มี คี รู
สอน ดําเนินตามครู” วาสนาเราสรา งทกุ วนั ทาํ ไมจึงจะไมเ จรญิ กา วหนา พระพุทธเจาก็
ทรงสอนใหส รา งคุณงามความดีเพื่อเปนอํานาจวาสนา ทําไมวาสนาจะไมสนับสนนุ เรา
ความจริงตามธรรมแลว ธรรมเหลา นั้นตองสนับสนุนอยโู ดยดี จงทาํ ใหย ่งิ ๆ ขึ้นไปโดย
ลําดบั ผลสุดทายกเ็ ปนไปไดเ ชนเดียวกบั พระพทุ ธเจาน้นั แล

ดังที่กลา วเมอื่ สักครูน ีว้ า ทแี รกก็ยอมแพไ ปกอน สไู ปแพไป ๆ ตอไปสูไปแพ
บางชนะบางสลับกันไป ทั้งแพท ้งั ชนะมสี ลบั ขั้นกนั ไป ทีเขาทีเรา ตอ ไปทีเราชนะมาก
กวา ทีเขาชนะ ตอ ไปทีเราชนะมากเขา ๆ สดุ ทายมแี ตท เี ราชนะ!

กเิ ลสหมอบลงเรอ่ื ยๆ นอกจากหมอบแลว เราฆา มันจนฉบิ หายไปหมดไมมี
อะไรเหลอื เมือ่ ฆา กเิ ลสใหต ายแลว ไมตอ งบอกเรือ่ งความพน ทกุ ข ใจหากพนไปเอง
เทา ทีห่ าความสุขอนั พึงหวงั ไมเจอ ก็เพราะกเิ ลสเปน กําแพงขวางก้ันไวนั่นเอง พอ
ทาํ ลายมันใหวอดวายไปแลว ความพนทุกขกเ็ จอเองไมตอ งถามใคร!

การทสี่ ตั วมาเกิดและทนทกุ ขทรมาน กเ็ พราะมาอยใู ตอ าํ นาจของกองกเิ ลสเทา
นนั้ ไมม ีเรอ่ื งอนื่ ใดเลยเปนสําคญั กวาเรื่องกิเลสชนิดตางๆ ซง่ึ เปน นายเหนอื หวั สตั วโ ลก
เราจงึ ไมค วรมองขามกเิ ลสวา เปน ของเล็กนอ ย เรือ่ งของกิเลสก็คอื เรือ่ งกองทกุ ขน ่ันเอง
มองใหซ ้ึงๆ กเิ ลสอยใู นใจของเรานแ่ี ล มองใหเ หน็ กนั ทนี่ ี่ ฝกกันน่ีที่ แกกันท่นี ่ี ฆา กนั ท่ี

น่ี ตายกนั ท่ีนี่ ไมต อ งเกดิ กันก็ทีน่ แี่ หละ! ที่สน้ิ ทกุ ขกอ็ ยทู นี่ ่ไี มอยทู ีอ่ ื่น
ขอใหพ ากันนําไปพนิ จิ พิจารณา และบาํ เพ็ญคุณงามความดใี หม ากเทาที่จะมาก

ได ไมตองกลวั จะพน ทกุ ขเพราะความดีมมี าก นั่นคิดผิด กิเลสหลอกลวงอยา เชอ่ื มัน
เด๋ยี วจมจะวาไมบอก กจิ การใดกต็ ามทีจ่ ะใหเ กดิ ความดี จะเกดิ จากการใหท านกต็ าม
ศลี กต็ าม ภาวนากต็ าม เปนความดีดว ยกนั ทั้งนนั้ รวมกันเขา กเ็ ปนมหาสมบตั ิ เปน
เคร่ืองสนับสนนุ จติ ใจเราใหเ ปนสุข เปน สุขเรียกวา “สคุ โตๆ” อยกู ็สุคโต ไปกส็ ุคโต
ถา คนมบี ญุ เพราะการสรา งบุญ ไมมอี ยา งอื่น มอี นั นเ้ี ปนสาํ คญั ของคนใจบุญ

จงึ ขอยุตกิ ารแสดงแตเพยี งเทาน้ี

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ๑๐๕
ธรรมะชุด๑เ๑ต๔รียมพร้อม



๑๐๖

สญุ ญกัป ภทั รกปัเทศนโปรดคณุ เพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด

เทศน์โปรดคณุ เพาพงา วรรธนเะมกอ่ืุลวณนั ทวี่ ัด๒ป๑่าบมา้ กนรตาคดม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

เมื่อวันท่ี ๒๑ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๕๑ส๙ญุ ญกปั -ภัทรกัป

ตามหลกั ธรรมทา นกลา วไวว า “สุญญกัป” คือระยะทว่ี างเปลา จากศาสนา ไมมี

อรรถไมมธี รรม คาํ วา “ศลี ” วา “ธรรม” วา “บาป” วา “บญุ ” นี้ไมปรากฏในความรู

สกึ ของประชาชนทง้ั หลาย คงไมมคี วามสนใจกนั และไมทราบวา “ศีลธรรม” หรือ

“บาป-บญุ -คุณ-โทษ” เปนประการใดบาง ทา นวาเปน ระยะท่รี อ นมาก แตไ มไ ดหมาย
ถงึ ดินฟา อากาศรอนผดิ ปกติธรรมดาทเ่ี คยเปน แตม นั รอนภายในจติ ใจของสัตวโลกที่
เตม็ ไปดวยกิเลสซ่ึงเปน ธรรมชาติท่เี ผาลนใจสัตว เพราะเปน ธรรมชาตทิ ร่ี อนอยแู ลว
เมอ่ื เขา ไปสิงในสถานท่ใี ดจดุ ใด จดุ นน้ั ตองรอ น ในหวั ใจใดหัวใจน้นั ตอ งรอ น เพราะไม
มีนํา้ ดบั คอื ศาสนธรรม

คาํ วา “นํา้ ” กไ็ ดแก “ศีลธรรม” เปน เครอ่ื งดับความรุมรอ นภายใน คอื กิเลสท่ี

สมุ ใจ แมศาสนามีอยูเชนทกุ วนั น้ี ถา ไมส นใจนาํ “นาํ้ ศีลธรรม” เขามาชะลางเขา มาดับ

ความรมุ รอนนีก้ ไ็ มวายที่จะรอน เชนเดียวกบั “สญุ ญกปั ” คาํ วา “สญุ ญกปั ” ในครั้ง

โนน กบั ”สญุ ญกปั ” ของเราในบางเวลา หรอื ของบุคคลบางคนนน้ั มีอยูเ ปนประจาํ ผูท ่ี

ไมเ คยสนใจกับศลี กับธรรม หรือกบั คุณงามความดีอะไรเลยน้ันนะ เปน “สญุ ญกปั ”
ผไู มส นใจอยา งนน้ั เราอยาเขา ใจวาเขามเี กียรตมิ ีคณุ งามความดี เขาเปน คนเฉลยี ว

ฉลาด เขาเปน คนมฐี านะดี เขาเปนมนุษยทม่ี ีสงาราศี ตรงกนั ขา มหมด! คือภายในจิต
ใจทีไ่ มม ีศีลธรรมเปนเคร่ืองหลอ เลีย้ งและเปนนาํ้ ดบั ไฟแลว จะใหความรม เย็นเกดิ ขึ้น
ไดอยา งไร

เพราะกเิ ลสมนั ฝงลึกอยูภายในจติ ใจนนั้ เปน ประจํา แมม สี ่ิงที่จะดบั แตไ มสนใจที่
จะนํามาดบั แลว จะหาความสุขความสบายมาจากท่ไี หน โลกเรามองกันสว นมาก มอง
อยา งเผนิ ๆ คอื มองตามความคาดความหมาย ตามความรูสึกของโลกและของตวั เอง
โดยไมไ ดน าํ เหตนุ าํ ผลนาํ อรรถนําธรรมเขา มาเทยี บเคียง หรอื วัดตวงกับคนและส่ิงเหลา
น้นั เนอื่ งจากเราไมมคี วามรแู ละมปี ญญาลกึ ซึ้งทางดานธรรมซง่ึ เปนความจริง และเปน
หลักเกณฑอ นั ตายตวั มาทดสอบกับเรอื่ งทง้ั หลาย จึงไมทราบความจริงซ่งึ มีอยูในหัวใจ
ดว ยกันทกุ คน

ท่ลี วนแลวแตความจรงิ คอื ธรรม ทา นสอนอรรถสอนธรรมแกสัตวโ ลกนนั้ ทาน
สอนความจรงิ ไมไ ดส อนความปลอม แตจ ิตใจของเรามันชอบปลอมกับธรรมอยเู สมอ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๑ต๑๖ร๐ยี ๖มพรอ้ ม

๑๐๗

เปนขาศกึ ตอตัวเองอยเู รื่อยๆ เวลาจะประกอบศลี ธรรมคุณงามความดเี ขา สจู ิตใจ มัก
จะหาเรอื่ งหาราวกอ อุปสรรคใหขัดของตอการประกอบความดนี ้นั ๆ กลายเปนมาร
สงั หารตนเองโดยไมร สู ึก โดยทเ่ี ราก็คิดวา เปน ทางออกของเราอยา งดี นกี่ เ็ ปนเรื่องไฟท่ี
จะทาํ ความรุม รอ นใหแกเ ราแงหนึ่ง

เพราะฉะนัน้ คําวา “สุญญกัป” อันเปนเร่อื งใหญน ้นั จึงมาเปน ไดก ับเรือ่ งยอยๆ
ในบรรดาเราท้ังหลาย แมจ ะนบั ถือพระพทุ ธศาสนาอยูกต็ าม ระยะใดที่หางเหินจากศลี
ธรรม จากการประกอบคุณงามความดี เฉพาะอยางยงิ่ คอื การอบรมจติ ใจใหมีความรม
เยน็ ระยะนัน้ มันก็เปน “สญุ ญกัป” ได ระยะใดท่ีเปน สุญญกปั ภายในใจ ระยะนัน้ ใจก็
รอ น ความรอ นน้ันมนั เปน “สุญญกัป” ในหัวใจคน มันจะรอนของมนั ไปเรอื่ ยๆ

คาํ วา “สญุ ญกปั ” คือวางเปลาจากเหตุจากผล จากคําวา “อรรถ” วา “ธรรม”
คาํ วา “บาป” วา “บญุ ” ไมไดระลึกพอท่ีจะหาทางแกไ ขและสงเสรมิ เลย ทา นเรียกวา
“สญุ ญกัปภายในจติ ใจของสตั วโ ลก” และ เม่อื “สญุ ญกปั ” เขาสจู ติ ใจได แมจะมี
ศาสนาอยโู ดยท่ีตนก็ปฏญิ าณตนวานบั ถือศาสนากต็ าม แตข ณะทไ่ี มม ศี าสนา ไมมีเหตุมี
ผลเปนเครอื่ งยบั ย้งั ชัง่ ตวงทดสอบตนเองวา ผดิ หรือถูกประการใดบาง ระยะนน้ั เปน
ความวุน วายรุม รอ นของจติ ไมน อ ย ทเี่ รยี กวา “สญุ ญกปั ” ฉะนัน้ สุญญกปั คอื ความวา ง
เปลา จากศีลธรรมเคร่ืองใหความรม เย็น จึงมกั เดนอยูท่จี ติ ใจคนไมเลือกกาลวาเขาถึง
สุญญกัปหรือไม น่เี ราเทยี บเขา มาใหท ราบเร่ือง “สญุ ญกปั ” ตามหลกั ธรรมทที่ าน
กลา วไว พอเลยจากนน้ั ก็มีพระพทุ ธเจา มาตรสั รู และทรงสั่งสอนธรรมแกโ ลก โลกก็
เริ่มรูศลี รธู รรมแลว ปรับตวั เปน คนดี มคี วามรม เย็นไปโดยลําดับ เพราะอาํ นาจแหงศลี
ธรรมเปน “นํา้ ” สําหรับดบั “ไฟกเิ ลสตณั หาอาสวะ” ซงึ่ เปน ความรมุ รอนโดยหลกั
ธรรมชาตขิ องมนั

ทา นกลา วไวอ ยา งนน้ั นเ่ี รายนเขามาดวย “โอปนยิโก นอ มเขามาสูต ัวของ
เรา” ในวนั หน่งึ คนื หนึ่ง เดือนหนึ่งปห น่ึง ตง้ั แตว ันเกดิ มาน้ี กว่ี นั กค่ี นื กีเ่ ดอื นกี่ป กี่ชว่ั
โมงนาที ระยะใดบา งในชวงทเ่ี กิดมาจนกระทัง่ บดั นี้ซ่งึ เปน “สุญญกปั ” ภายในตวั เรา?
ในระยะใดบางทมี่ ีศาสนาประจําใจ เฉพาะอยางยง่ิ แมใ นขณะทนี่ ั่งภาวนามนั กเ็ ปน
“สุญญกัป” ไดอ กี นัง่ ภาวนา “พุทโธ ๆ” สกั ประเดย๋ี วเผลอไปลงนรกแลว คอื ยงุ กบั
เร่ืองนัน้ ยุง กบั เรอ่ื งน้ี วุนวายกบั อารมณน ้นั วนุ วายกบั อารมณน ้ี นัน่ แหละมันเปน
“สุญญกปั ” แลว โดยทีเ่ ราไมร ตู ัว ทั้งๆ ทเ่ี รากว็ า เรานง่ั ภาวนาน่ี แตม ันน่งั วนุ นน่ั นง่ั วนุ
น่ี จึงกลายเปนนั่ง นั่งสุญญกปั ไป! ในหวั ใจของนักภาวนาทีช่ อบนั่งสปั หงกงกงัน และ
จติ ใจฟงุ ซานไปตามอารมณ โดยไมมสี ตปิ ญญาตามรกั ษาและแกไ ข

ธรรมชดุ เตรียมพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๗๑ก๐บั ๗กเิ ลส’’

๑๐๘

เพ่อื ใหเขาใจในเรอ่ื งเหลา น้ี และเพอ่ื ใหท นั กบั กลมารยาของกเิ ลส คอื ความลมุ
หลงอนั เปน กิเลสประเภทหนึ่ง จําตอ งต้ังสติต้ังทา ต้ังทางระมดั ระวังและพินิจพิจารณา
มีเจตนามงุ หนาตอการงานของตนในขณะทีท่ าํ อยาใหค วามพลัง้ เผลอเหลา นั้นเขามา
แบงสันปน สวนเอาไปกิน และเอาไปกนิ เสยี หมดกระทั่งไมมอี ะไรเหลอื ตดิ ตวั

พอออกมาจากทภ่ี าวนา “เฮอ! ทาํ ไมนง่ั ภาวนาจึงไมไ ดเ รอ่ื งไดร าวอะไรเลยวัน
น!้ี ” สิ่งทไ่ี ดเร่อื งไมพ ูดไดเรอื่ งอะไร? กเ็ รอ่ื งยงุ เรอ่ื งวนุ วายนะซี เรอ่ื งไปตกนรกทั้ง
เปนทไ่ี หนบา งนนั้ ไมพ ูด แลว จะมาทวงเอาหนเี้ อาสินจากอรรถจากธรรม เหมือนศาสนา
เปน หนสี้ ินของตน ทาํ เหมือนเราเปน เจา หน้ีศาสนา ทวงอรรถทวงธรรมเอากบั ทา น มนั
ก็ไมไ ดนะซี เพราะเราทําเหตไุ มด ใี หแกตัวตา งหากนี่

“น่งั ภาวนาต้ังนมตง้ั นานไมเหน็ เกดิ ผลเกิดประโยชนอ ะไร! วาสนานอ ย เรานี่
อยเู ฉยๆ ไมทําเสยี ดีกวา น่ัน! เอาอกี แลว นน่ั หลอกไปเรอ่ื ยๆ

แตน่งั ภาวนาอยูมันยงั ไมไ ดเ รอื่ ง ส่ิงทตี่ อ งการมันไมไ ดเ พราะเหตุไร? เพราะ
เปน เพยี งเจตนาขณะหนึง่ เทาน้นั ทวี่ า ตองการจะทาํ ภาวนา แตเ จตนาท่ีแฝงขนึ้ มาและ
เพ่มิ พนู ข้ึนโดยลาํ ดับๆ จนถงึ ฉดุ ลากจติ ไปสูท ี่ไหนๆ ไมร ู ไมมศี ลี มีธรรมประจําจิตใจ
ในขณะนน้ั เลย ใจไปตกนรกทั้งเปน อยทู ่ไี หนกไ็ มร ู นั่นเราไมคิดไมเอามาบวกมาลบ ไม
เอามาเทยี บเคียงดูทดลองดพู อใหทราบขอเท็จจรงิ กัน แลวกไ็ ปทวง “เอาหนเ้ี อาสนิ ”
จากอรรถจากธรรมวา “ทาํ แลว ไมเกิดประโยชน ไมเ กิดความสขุ ความสบาย ไมเกิด
ความสงบเย็นใจ” แนะ !

กเ็ ราไมหาความสงบ หาแตความวุน ผลมันกไ็ ดแ ตความทกุ ขความวุน นั่นนะ ซี
ความจริงตามหลักธรรมที่ทานแสดง ท่ที านสอนไวโ ดยถกู ตองนนั้ ทานไมได
สอน “ของปลอม” ใหพวกเราเลย ส่ิงใดทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจเราทัง้ ดที ้ังช่วั ทา นสอนให
เขาใจดงั ท่ีกลา วมา ซึ่งมอี ยูก บั จิตใจของทกุ คนทเ่ี รียกวา “สุญญกัป”ๆ นะ ความวา ง
เปลาจากอรรถจากธรรม ทั้งๆ ที่น่งั ภาวนาอยแู ตใ จเผลอไปไหนกไ็ มรู ปลอยไปเรือ่ ย ๆ
แลว วา ตนนง่ั ภาวนา ผลก็ไมป รากฏอยโู ดยดี เพราะใจเปน “สุญญกปั ”!
ถา หากมสี ติสตงั กาํ หนดดูอยนู ัน่ สมมตุ วิ า จะกาํ หนดลมหายใจ ก็ต้ังหนา ต้ังตา
ใหร เู ฉพาะลมหายใจไมยุงกับอะไร กย็ อมจะปรากฏผลเทา ท่ีควรเปน ไดต ามกําลงั อนั
ความอยากมนั เปนเคร่ืองผลักดนั ออกมาใหค ดิ ใหป รงุ มนั อยากอยูตลอดเวลาไมม ี
ความอมิ่ พอในการคิดปรงุ เพ่ืออารมณ ใหท ราบวา ความอยากนเี้ ปน ภัยตอความสงบ
เพราะมันผลักดันจิตใจใหคิดปรุงในเรื่องตางๆ ตามนิสยั ที่เคยเปน มา พยายามใหเ หน็
ภยั ในจุดนี้ แลวบงั คับไวไมใ หใจคิดในแงทเี่ ราไมตอ งการจะคิด เราตอ งการรใู นส่ิง

ธรรมชุดเตรยี มพรอม ธรรมะชดุ ๑เ๑๑ต๐๘ร๘ียมพร้อม

๑๐๙

ใดใหก ําหนดจติ ใจไวดว ยดเี พอื่ รสู ิ่งนน้ั เชน รูอานาปานสตหิ รือลมหายใจเขาออก ลม
เขาออกกใ็ หรูอยดู วยสติ ใจยอ มจะสงบเย็นได

พระพทุ ธเจาจะหลอกคนโกหกคนจริงๆ หรอื ? หากพระองคเปน นักโกหกคน
ทําไมพระพุทธเจาไดตรสั รูดวยธรรมของจริงละ ถา ไมท าํ จรงิ จะรู “ธรรม” ของจรงิ ได
อยา งไร? เมือ่ รตู ามความจรงิ แลวจะมาโกหกโลกไดอ ยา งไร มันเขา กนั ไมไ ด เหตผุ ลไม
ม!ี ทานทําจริง รูจริงเหน็ จรงิ สอนจริง!ทม่ี ันขัดกนั กต็ รงท่เี ราเรียกเอาผลกอนทํา
เหตนุ เ่ี อง! หากการดําเนินของตนขดั กับธรรมท่ตี รงไหน ควรรบี แกไ ขดดั แปลงจนเขา
กบั ธรรมไดใ จกส็ งบ

สว นมากผทู ่ี “ปลอม” ก็คือเราผูรบั โอวาทจากทานมา เอามาขยี้ขยําแหลกเหลว
หมด ทั้งๆ ท่ีเราวาเรานับถือทาน นับถอื ศาสนาเทิดทนู ศาสนา แตเราทาํ ลายศาสนาซงึ่ มี
อยูภายในตวั ของเรา และทาํ ลาย “ตัวเอง” โดยไมรูสึก เพราะความเผลอความไม
รอบคอบในตวั เราน้นั แลเปน ขา ศกึ ตอเรา

ฉะนน้ั เพื่อใหไดผ ลเทาทีค่ วรหรือใหไดผ ลยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป จึงควรคาํ นึงถงึ เหตุท่ีตน
ทํา คอยจดจอ งมองดจู ดุ ทที่ ําอยา ใหเ ผลอ เชน กาํ หนด “พุทโธ” กใ็ หเ ปน “พุทโธ”
จรงิ ๆ ใหร อู ยกู บั “พุทโธ” เทา นน้ั ไมต องการสวรรคว ิมานท่ไี หนละ นอกจากคาํ วา
“พุทโธ” ใหก ลมกลนื กนั กบั ความรู มสี ตกิ าํ กบั งานอยเู ทา นน้ั เราจะเหน็ ความสงบ
ทเ่ี คยไดย ินแตชือ่ ก็จะมาปรากฏทต่ี ัวของเรา ความเย็นความสบายความเปน สขุ ท่ีเกดิ ขึ้น
เพราะจิตใจสงบ กจ็ ะเห็นภายในตัวเรา เราจะเปนผูรู จะเปนผเู หน็ เราจะเปนผูร ับผล
อนั นีเ้ พราะเปน ผูท ําเอง ดว ยเจตนาทถ่ี กู ตองตามหลักธรรม จะไมเ ปน อยา งอ่นื

ศาสนาเคยสอนโลกมาอยา งน้ี ถาผปู ฏิบัติทําตามหลกั ธรรมท่ีทานสอนน้แี ลวจะ
ไมเ ปน อน่ื ใจตอ งหยง่ั เขา ถึงความสงบเปนอยางนอ ย และจะสงบขึ้นไปเรื่อยๆ โทษที่
เคยกลุมรุมภายในจิตใจกจ็ ะเห็นกนั รกู ัน เพราะอยูก ับใจ คุณคาท่เี กดิ ขน้ึ จากใจเพราะ
การชาํ ระการฝก ทรมานปราบปรามกิเลสออกไปไดม ากนอ ย กจ็ ะปรากฏข้นึ ภายในใจ
เราเอง เราจะเปนผเู ห็นเองรูเ องโดยไมตองฟง ขา วของใครๆ ทง้ั นนั้ เราเปนตัวจริง เรา
เปนตัวรู ผูรับทราบ เราเปนผเู สวยผลเกดิ ขน้ึ จากการกระทาํ ของเรา เราจะทราบ
เร่ืองตางๆ เอง

เร่ืองภาวนาไมใชเ รือ่ งเลก็ นอย เปนงานที่อัศจรรยม ากมายในผลท่ีเกิดข้นึ
พระพทุ ธเจา เปนผูรูโลกดกี ็เพราะการทําภาวนา ทรงกาํ หนด “อานาปานสต”ิ ตาม
หลกั ทา นกลา วไวอ ยา งนน้ั แตก อนทรงอดพระกระยาหาร โดยมงุ หวังความตรัสรจู าก
การอดพระกระยาหารเทา นัน้ ไมเ สวย แตไมไดท รงพิจารณาทางใจซึ่งเปน ความถกู

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๑า๙๑ก๐ับ๙กเิ ลส’’

๑๑๐

ตอ งประกอบกนั เลย จึงไมไดส ําเร็จ เม่ือยอ นพระทยั หวนกลับไประลกึ ถึงเรอ่ื งเมอื่
คราวยงั ทรงพระเยาว ท่พี ระราชบดิ าทรงพาเสด็จไปแรกนาขวญั ไดท รงเจรญิ อานา
ปานสติ จิตใจมีความสงบ จงึ ทรงนําเร่อื งนนั้ เขา มาพิจารณาดว ยอานาปานสติ และ
ทรงปรากฏผลข้ึนมาแตเรมิ่ แรกพจิ ารณา เพราะพระจิตมีความสงบ และสงบละเอียด
ไปโดยลําดับ ก็ทรงมที างทจ่ี ะทรงพจิ ารณาไตรต รองโดยทางพระสตปิ ญ ญา

ทรงยก “ปฏิจจสมุปบาท” ขึน้ มา “อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา” เปนตน เพราะมี
อยูใ นพระกาย มอี ยูใ นพระจิตนัน้ ดว ยกนั ทรงไตรตรองตามเหตุตามผล ตามความสัตย
ความจรงิ ทมี่ ีอยูดวยพระปญญาปรชี าสามารถ และไดตรสั รู “เญยยธรรม” โดยตลอด
ท่ัวถงึ ในปจ ฉมิ ยามแหง ราตรีของเดือนหกเพญ็

เมื่อ “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา” ท่จี ูงมนษุ ยจงู สตั วท ัง้ หลายใหทองเทย่ี วอยใู น “วฏั วน”
เหมอื นกบั คนหหู นวกสตั วต าบอด มาตัง้ กปั ตง้ั กัลป พระองคไดทรงสลัดปดทิ้งบรรดา
ความบอดหนวกทั้งปวงในราตรีวันนนั้ ปรากฏในพระทัยวา “อาสวกั ขยญาณ” ไดส ิน้
ไปแลว จากอาสวะความมดื มนอนธการทงั้ หลาย นอกจากนนั้ ยงั ทรงรู “ปพุ เพนวิ าสา
นสุ สตญิ าณ” ทรงระลึกชาติยอ นหลังของพระองคไดจ นไมมปี ระมาณ และทรงรู
“จุตูปปาตญาณ” รคู วามเกิดความดบั ของสตั วทัง้ หลายไมมีประมาณ ญาณไหนๆ ก็
ทรงทราบโดยทั่วถงึ แลวกท็ รงนําสง่ิ ทีท่ รงทําแลว ทรงรูเหน็ แลวทัง้ เหตุท้งั ผลนั่นอันเปน
ความถกู ตอ งแมน ยํา มาสง่ั สอนโลกใหพ อลมื ตาอา ปาก พูดเปนเสยี งผูเสยี งคนขนึ้ มา
เปนลําดบั ไมหลบั หหู ลับตาอาปากพูดแบบปา เถื่อนเลื่อนลอย เหมอื นแตกอ นทย่ี งั ไมมี
ศาสนธรรมมาโสรจสรง ซึ่งไมม โี อวาทคําส่งั สอนของผใู ดทจ่ี ะถูกตอ งแมน ยํา และ
สะอาดยิ่งกวา พระโอวาทของพระพทุ ธเจา “เอกนามก”ึ คอื พระโอวาทคาํ สงั่ สอนของ
พระพุทธเจา ทเี่ ปน หน่ึงไมม ีสองน่ันแล และ “พระญาณ” ความหยั่งทราบในเหตุ
การณต า งๆ กเ็ ปน หนงึ่ ไมมสี อง ทรงรูท รงเห็นตรสั มาอยา งใด ตอ งเปน ไปตามความ
จรงิ นัน้ โดยไมเปนอ่ืนไปไดเ ลย นแ่ี หละ “เอกนามกึ” แปลวา หนึ่งไมมีสอง

พระพุทธเจาที่ตรัสรูขึ้นมาแตละพระองคน ้ัน ไมไดตรสั รูซํา้ กัน มีพระองคเดียว
เทา นน้ั ที่ตรัสรูแตล ะครั้ง ๆ น่ีอันหนงึ่ ท่เี รยี กวา “เอกนามกึ” มีพระพุทธเจาครั้งละพระ
องคเ ดยี วเทา นนั้

เอา!ทนี ยี้ นเขามาหาพวกเรา ทกี่ ลาวมาทั้งนเ้ี ปนไดทง้ั เราทั้งพระพทุ ธเจา เปน
แตเ พยี งวา กวางแคบตา งกัน สาํ หรบั หลักฐานแหง ความจริงนั้นเหมอื นกัน

“จตุ ปู ปาตญาณ” ความรคู วามเกิดความดับ รูท ีไ่ หนถา ไมรสู งั ขารท่ีเกิดขน้ึ
และดบั ไปท้งั ดีท้งั ช่วั อยภู ายในจิตใจ เอาตรงนี้ ปรงุ แตง เรอ่ื งภพเรอื่ งชาติ เร่ืองกิเลส

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๒๑ต๐๑รยี๐มพรอ้ ม

๑๑๑

ตณั หาอาสวะ ก็คือตวั น้ีแหละ ปญญาพิจารณาใหเห็นอยางน้ี “อาสวะ”กห็ มายถึง

กเิ ลส รูก ันท่ีตรงไหนกด็ บั ไป ๆ ที่ตรงนนั้ จนกลายเปน “อาสวกั ขยญาณ” ความรู
แจงในความสน้ิ อาสวกเิ ลสทัง้ หลายโดยสน้ิ เชงิ เราอยใู นกปั ไหนเวลาน?้ี

เราตอ งทดสอบเราวา อยูในภทั รกปั หรอื ในสญุ ญกปั ?

“ภัทรกัป” แปลวา กปั ทเ่ี จริญ เจรญิ ในการประกอบความพากเพยี ร ในความมี
สารคณุ ภายในใจ ในวนั หน่ึงๆ ถาไดส รา งสารธรรมขึน้ มาภายในจติ ใจ กเ็ ปน

“ภทั รกัป”เปน ขณะเปน เวลา เปน กาลทีเ่ จริญรุงเรอื ง นัง่ สมาธภิ าวนากเ็ ปนสมาธิ

ภาวนา ไมเปน “หวั ตอ” ไมมีสตสิ ตัง ทั้งๆ ท่ไี มหลับแตกห็ ลบั อยูเรือ่ ยๆ ดวยความไม
มีสติ คดิ ฟงุ ซานวุนวาย ฝนดิบฝน สกุ ไปเรอื่ ยๆ เรอ่ื งน้นั เรื่องนตี้ อ กนั ไป ถงึ ลกู ถงึ หลาน
ถงึ บานถึงเรอื น ถงึ กิจการตางๆ ตลอดเมอื งนอกเมืองนาทไี่ หนไปหมด อดีตอนาคตยงุ

ไปไมหยดุ หยอ น นเี่ ปน “กปั ” อะไร? ดูซี
ถา ไมมสี ติสตงั ก็เปนอยา งน้ัน ถามสี ตแิ ลว จะไมไ ป เราบงั คบั นี่ เวลาน้เี รา

ตองการจะทาํ หนาทน่ี ีอ่ ยา งเดยี ว “ใหเปนภัทรกัป อยาเปน สญุ ญกัป” นน่ั มันเปน

“สุญญกัป”ทีก่ ลา วไปแลวน้ันมันนาํ “ไฟ” มาเผาเจา ของผูเปน “สญุ ญกปั ”ท่ไี มมี
ศาสนาแฝงเลยขณะนน้ั นะ คือไมมีสติสตงั ไมม ีปญญาตามรักษาเลย ปลอยแตกิเลส
ใหก ิเลสฉดุ ลากจิตใจถา ยเดยี วโดยเจา ของไมรสู กึ กวาจะรสู กึ นะเขากนิ ของดีหมดแลว
เขาปลอ ยแลว ถึงรตู วั เวลาถกู เขาฉดุ เขาลากไปนน้ั ฝน สดไปกับเขา เวลาเขาปลอยแลว

จึงมารูตัว!

“โอย ตาย! มันคิดไปอะไร? เรื่องราวอะไร!” ก็ยังดอี ยทู ่รี ูวาคดิ ไป ไอทไ่ี มรูเ ลย

นน่ั ซิ พอรตู วั ลากกลับมา “เอ!มนั ยงั ไง? มานงั่ ภาวนาเปน เวลาตัง้ หลายนาที หรอื เปน

ช่วั โมงๆ ไมเห็นไดเ ร่ืองอะไร นั่งอะไรไมไ ดเรือ่ งอยา งนี้นะ นอนเสยี ดกี วา !” ลมไปเลย

ส่งิ ทไ่ี ดเ ร่ืองไดราวก็คือ “หมอน” แมห มอนเองถา มีวญิ ญาณ กจ็ ะเบอ่ื คนประเภท

ธรรมไมไ ดเรื่องน้เี ตม็ ประดา เพราะ “สุญญกัป” บนหมอนไมย อมปลอ ย เมอ่ื เปน เชน

น้ันมนั จะดกี วายังไง? นอกจากมัน “ดีหมอน” เทานั้น
ถาดกี วา ดว ยหมอนดงั ความเขา ใจน้ัน ใครๆ ก็พน ทุกขไ ปไดด ว ยกนั ท้งั น้ัน

แหละ! แตนี่มันไมดีกวา มันเปน เรอ่ื งกิเลสหลอกเรา กลอมเราใหห ลับวาเปน ของดกี วา

คอื ดกี วา ภาวนา!
กเิ ลสมันตองแทรกธรรมอยเู สมอ พวกนพ้ี วกกอ กวน พวกยแุ หย พวกทาํ ลาย

หาทําลายทุกแงทุกมุม ทกุ กาลทุกเวลาทกุ อริ ิยาบถ ลว นเปนเร่อื งของกิเลส พระพุทธ
เจาจึงทรงสอนใหปราบกิเลสพวกท่ีแทรกซมึ อยภู ายในใจ ดวยสติปญญา มีความเพียร

ธรรมชุดเตรยี มพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๑๑๑ก๑บั กเิ ลส’’

๑๑๒

เปน เคร่อื งหนนุ หลัง ความอดความทน ความพยายาม เราทําหนาท่ีการงานอันเปนสาร

ประโยชนส าํ คัญเพื่อเรา ใหเ ปน “ภทั รกปั บคุ คล” ขึน้ ภายในใจ จึงตอ งอาศยั ความขยนั
หม่ันเพยี ร

งานทกุ ดา นทเี่ ปนผลเปนประโยชน เราอยา สรา งอปุ สรรคมากีดขวางไมใ หง าน
นน้ั ๆ เปนผลสําเรจ็

จติ ถา สงบกส็ บาย ถาไมส งบไมว า แตกาลไหนๆ จนกระทงั่ วนั ตายก็หาความ

สบายไมไ ด เพราะจิตวนุ นจ่ี ะหาความสบายทไ่ี หน จงทาํ ความเขา ใจไววา “สญุ ญกัป” ก็

อยกู บั ความไมเอาไหนน่นั แล สว น “ภทั รกัป” กอ็ ยูในผูม ีความเพยี ร มีสตปิ ญ ญาเปน

เคร่ืองรักษาตวั “สุญญกัป” ก็คอื การปลอยตามเรอื่ งตามราว ตามอารมณ ตามบุญตาม
กรรม ไมทราบบุญที่ไหนกรรมที่ไหน ปลอ ยเรอ่ื ยไป ความปลอ ยเรอื่ ยไปนน้ั คือความ
ผกู มดั ตนเองโดยไมร ูส กึ ตวั แลวกจ็ นตรอกจนมุม เจอแตสิ่งทไี่ มพ งึ ปรารถนา ความ
ทกุ ขใ ครปรารถนาเลา ในโลกน?้ี แตทาํ ไมเจอกนั ทั่วโลกดินแดน น่กี เ็ พราะความปลอ ย
ตามบุญตามกรรมนั่นเอง มันไมมีเหตผุ ลนี่การปลอ ยอยา งนั้น

ถาปลอ ยกิเลสวางกิเลสดว ยสติปญญา นนั่ มเี หตมุ ผี ล! พระพุทธเจาทานทรง
ปลอ ยอยางนน้ั รเู หตุรผู ลทกุ สิง่ ทกุ อยางแลว ปลอยไปโดยลาํ ดับ จนกระท่งั ปลอยไดโ ดย
สิ้นเชงิ สดุ ทา ยกป็ ลอ ยกเิ ลสหมด เหลือแตพระทยั ท่บี ริสุทธิ์ พระพุทธเจาทานสอนให
ปลอ ยอยา งน้ี

พวกเรามีแตเ ท่ียวยดึ เท่ยี วถือ เทย่ี วแบกเท่ียวหาม หนักเทาไรอยางมากกบ็ น เอา
แลว กไ็ มว ายทจ่ี ะแบกจะหาม หามาเพิม่ เตมิ เร่ือยๆ ไมว า หนมุ สาวเฒาแกชราเปนตัว
ขยนั ทส่ี ุด กค็ อื การแบกการหามอารมณความคดิ ความปรุงตางๆ นน่ั เอง ไมไดค ดิ คาํ นึง
ถงึ วยั ถงึ ปถ ึงเดอื น อายสุ งั ขารเจาของบา งเลย

ขยนั ท่ีสดุ กค็ ือเร่ืองแบกเรอื่ งหามกองทกุ ข แบกสญั ญาอารมณ การพดู เชน นี้
ก็เพ่ือใหเราระลึกถงึ ตวั เรา ใหรวู า เราเคยเปนอยางน้มี านานเทา ไร แลวยงั จะฝนใหเปน
อยางนอ้ี ยูหรอื ผลท่ีเปน มาเพราะการกระทําอยางนีเ้ ปนอยางไร? เรากท็ ราบในตวั เรา
เองเวลานี้ เราจะแกไขตวั เราอยางไรบา ง? พอไดม ีความผอนคลายภายในใจ ไดร บั
ความสะดวกกายสบายใจ

ดังที่ทานทั้งหลายไดอุตสา หมาน้ี กน็ ับวา เปนบญุ เปนกศุ ล เปนเจตนาดีที่สุดที่มา

บําเพ็ญ นชี่ ่อื วา “มาหาสารประโยชน” เพราะฉะนน้ั จึงกรณุ าบําเพ็ญจิตตภาวนาให
เหมาะสมกบั กาลเวลาทีม่ า นั่งสมาธภิ าวนาดูตัวของเรา ตวั ของเราเปน อยา งไรถึงตอ ง

ดู ถาเปน คนไขก ต็ องหมอเปน ผูตรวจผรู ักษา เวลานจ้ี ติ เรามนั เปน “โรค” เปนโรค
อะไร ใครจะเปนผูตรวจผูรักษา น่ีแหละสําคญั

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ธรรมะชุด๑เ๑๒ต๑๒ร๒ยี มพร้อม

๑๑๓

โรคของจิตคอื เรื่องของกเิ ลส “ยา” กค็ ือธรรม “หมอ” ก็ไดแกครูแกอ าจารย
หรอื ตํารบั ตําราทีท่ า นสอนไว เรานํามาประพฤติปฏบิ ตั กิ ําจดั เช้ือโรคอันสําคัญทฝ่ี ง อยู
ภายในอยา งจมมิดน้ี ใหถอนดวยความพากเพียรอยา ลดละทอ ถอย ความหวังท่ี
ปรารถนาดว ยกันน้ันจะพงึ สําเรจ็ ไปโดยลาํ ดับๆ

เฉพาะอยางยง่ิ คือการพจิ ารณาเรื่องธาตเุ ร่อื งขันธ เร่ืองความเปน ความตายใน
สกลกายน้ี เปน ส่งิ สําคญั มากยิ่งกวา ไปคดิ ถงึ เร่อื งอ่นื ๆ เร่อื งความตายตดิ แนบกบั ตัว
เราทุกคน ความเจ็บ ความทุกข ความลาํ บาก ในรางกายและจติ ใจ กต็ ดิ แนบอยกู บั รา ง
กายและจิตใจเราไมไดป ลอ ยไมไ ดว าง นอนอยมู นั กท็ บั นั่งอยมู นั กท็ บั อริ ยิ าบถทัง้ ส่ีมี
แตเร่อื งความแก ความเจบ็ ความตาย นี่ทับเราอยูท้งั นน้ั ความทุกขค วามลําบากทับเรา
อยูตลอดเวลา เราจะหาอบุ ายวธิ ไี หนเพอ่ื จะใหร เู ทา ทนั กบั สง่ิ เหลา น้ี เพอ่ื จะถอดถอนสง่ิ
ทค่ี วรถอดถอนดว ยอบุ ายวธิ ใี ดบา ง?

นเ่ี รียกวา “เรียนรูตัวเราเอง” ส่งิ ทเ่ี ก่ียวกับตัวเรามีอะไรบา งใหรูใหเ ขา ใจ สม
กบั ศาสนาทอ่ี อกมาจากทา นผฉู ลาดแหลมคม มาสอนเราซ่งึ เปน พุทธบริษัท เพอ่ื ความ
ฉลาดแหลมคมใหท นั กับกลมารยาแหง ความโงของตนท่มี อี ยูภายใน ความโงก็คือกิเลส
พาใหโง ธรรมพาใหฉลาด เราวา กเิ ลสมันโงน ะ แตความจริงกิเลสมนั ฉลาดทสี่ ดุ แตทํา
คนใหโ งแ ละโงท่สี ดุ ไดอ ยางสบายมาก เชน เราถูกกลอมไวเร่ือยอยางนี้ ดว ยความ
แหลมคมของกิเลสทงั้ นนั้ แลว จะวากเิ ลสมันโงไดอยางไร ผทู ี่เช่อื กิเลสนน้ั แลคือผโู ง
วา อยางนีถ้ ูกตอ งดี แลว ใครละ เช่อื กเิ ลสโดยลาํ ดบั ลาํ ดา มีใครบา ง? ก็สตั วโ ลกนเ้ี องเปน
พวกโงเพราะเชื่อ กิเลส มนั กลอ มเม่ือไรกห็ ลับเมื่อนนั้ เคล้มิ เมอ่ื นน้ั ราบไปเมอ่ื นั้น ย่ิง
กวาเด็กถกู กลอมดว ยบทเพลง ไมเคยตน่ื เนื้อตนื่ ตวั ไมเ คยเหน็ ภยั แหงการกลอมของ
มนั กค็ อื พวกเราน่แี ล

พระพทุ ธเจา และพระสาวกทา น เปน ผรู สู กึ พระองคและรสู ึกตวั ไดนาํ ธรรมเขา
ไปร้อื ถอนตนออกจากไฟทง้ั หลายเหลาน้เี สยี ได แลว นาํ ธรรมเหลานั้นมาส่ังสอนพวกเรา

ประกาศทั้งคุณทั้งโทษ “โทษ” ไดแ กความลมุ หลงไปตามกิเลสตัณหาอาสวะ คุณก็ได
แกส ติปญ ญาศรทั ธาความเพียร ทจ่ี ะรอ้ื ถอนสง่ิ เหลา นอ้ี อกจากใจ ใหก ลายเปนผูฉลาด

แหลมคมข้ึนมา และหลดุ พน ออกจาก “แอก”ท่ีมันกดถว งอยูบ นคอ ไดแ กหวั ใจของ
เราน่ี จนกลายเปนอสิ ระขึน้ มาได ดังพระพุทธเจาและพระสาวกทาน พระพุทธเจา ทา น
หมด หมดสิง่ กดถว งใจ ยดึ อะไรหลงอะไร อนั นน้ั แหละกดถว ง ความยึดความถอื ของ
ตัวเองนนั้ แลมันกดถว งตวั เอง ไปยดึ ภเู ขาทัง้ ลกู ภเู ขาน้นั ไมไ ดม ากดถว งเรา แตค วาม
ยึดภูเขาทง้ั ลกู น้ันแลมันมากดถวงเรา ยดึ อะไรหลงอะไร ความยดึ ความหลงอันนัน้
แหละมนั มากดถว ง มาบบี บังคับจติ ใจเรา สง่ิ ที่เราไปยดึ ไปถอื นั่นมนั ไมไ ดมาทําเรา

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๑๓ก๑บั ๓กิเลส’’

๑๑๔

เชน เงินทอง ขา วของ ตึกราม บา นชอ ง ท่ีไรทนี่ าอะไรกต็ าม มันกอ็ ยูตามเร่ืองของมัน
มนั ไมถอื วา มันเปน ขาศึก หรือเปน คุณเปน โทษแกผใู ด แตผ ทู ไ่ี ปหลงไปยดึ ไปถอื สงิ่
เหลา นน้ั นน่ั แหละมนั กลบั มาทบั ตวั เอง จงึ ตอ งแกตัวนดี้ วยสติปญญา

การภาวนากเ็ พ่อื ใหรูเ รอ่ื งความคะนองของใจ ทค่ี ิดไมเขา เร่อื งเขา ราวอยางนี้
แหละ สัง่ สมทุกขใ หแกตวั มากเทา ไรยังไมเคยเห็นโทษของมัน เมือ่ ไดเรยี นทางดา น
ภาวนาแลว เริม่ จะทราบข้ึนโดยลําดบั ๆ จนมาถึงเรอ่ื งธาตุเร่ืองขันธอ ันเปนสมบัตสิ าํ คัญ
ของเรา ไดแ กร า งกาย เล่ือนเขา มาตรงน้ี รางกายทุกสว นน้ีมนั ก็จะตองสลายไปในวนั
หนง่ึ ทกุ วันน้ีมันก็เริ่มของมันแลวตลอดเวลา เปล่ยี นแปลงอยเู รื่อยๆ ความเปลี่ยน
แปลงของธาตขุ นั ธแ ตล ะชิ้นละอันน้ี มนั ทําความทุกขใ หแกเรามากนอ ยเพียงไร ถา มนั
แสดงออกอยางเปด เผยกท็ ราบชดั วา นม่ี ันเจบ็ ตรงน้นั ปวดตรงนี้ เชน เจ็บทอ ง ปวดหวั
เปนตน ถามนั ไมแสดงอยา งเปดเผย เปน ไปอยอู ยางลบั ๆ เราไมทราบได เรอ่ื งธาตุเร่อื ง
ขนั ธเ ปนอยา งนี้ “เวทนา” กค็ วามทุกข คือทุกขเวทนาบบี อยอู ยา งนั้นแหละ ยืน เดิน
น่งั นอน มันกบ็ บี บงั คบั อยอู ยางน้นั พิจารณาใหรนู ้แี ลว แมธาตุขนั ธจ ะยงั อยูกบั เราก็
ตามก็ไมกดถว งเราได เพราะความยึดถือของเราไมมี เนอ่ื งจากเรารูเ ทาทันกับสงิ่ เหลา นี้
ปลอยวางไดต ามความเปนจรงิ เชน เดียวกับสภาวธรรมท้ังหลาย ใจกส็ บาย อยูใน
ทามกลางแหงธาตขุ ันธก็ไมหลงธาตขุ นั ธ ธาตุขันธก็ไมมาทับถมเราได เราก็เปนอสิ ระอยู
ภายในจติ ใจ

น่เี รยี กวา “ผูฉลาดครองขันธ ผูฉลาดรกั ษาขันธ ขนั ธไ มสามารถมาเปนภัยตอ
เราได เพราะมีปญ ญาความเฉลยี วฉลาดทันกับมนั นกั ปราชญท านวา “นค้ี อื ความฉลาด
ฉลาดแกต วั ใหร อดพน ไปได” นั้นแลเปนความฉลาดของนกั ปราชญท ัง้ หลาย มีพระ
พุทธเจาเปนตน

ความฉลาดนอกนน้ั พาใหเ จาของเสียมาก พระพทุ ธเจา จงึ ไมท รงชมเชยวา น้นั
เปนความฉลาดอยางแทจ ริง ความฉลาดใดที่เปนไปเพอื่ ความสขุ ความเจริญแกตนและ
สวนรวมน้นั แล เปน ความฉลาดแท เฉพาะอยา งยิง่ ความฉลาดเอาตัวรอดน่ีเปนสาํ คัญ!
เอาตวั รอดไดก อน แลวกน็ ําผอู ื่นใหร อดพนไปไดโดยลําดับๆ นช่ี อ่ื วา ความฉลาดแท!

จึงขอยตุ กิ ารแสดง ฯ

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ธรรมะชดุ๑เ๒ต๑๔ร๑ยี ๔มพรอ้ ม



๑๑๕

ปรยิ ตั ิ ปฏบิ ัติ ปฏเิ วธเทศนโ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด
เม่อื วนั ท่ี ๑๒ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙
เทศนโ์ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณป๒๕รว๑ดัยิ๙ปตัา่ บิ,า้ นปตาฏดบิ ตั ิ, ปฏเิ วธ
เม่ือวันท่ี ๑๒ มกราคม พุทธศกั ราช

วันนีเ้ ทศนเ รื่องมนุษยส ูงกวาบรรดาสัตว โลกสูงกวา มนษุ ย ธรรมสงู กวา โลก
เพราะฉะนนั้ ธรรมกบั มนุษยจ งึ เปนคูควรกนั มนษุ ยก ็เหมาะสมกบั ธรรมทจ่ี ะรบั ธรรมไว
บนดวงใจเพ่อื ประพฤตปิ ฏบิ ัติ ธรรมก็สมควรแกมนุษยท จี่ ะเทิดทูนสักการบชู า นอก
เหนือจากธรรมแลวก็ยังมองไมเหน็ อะไรท่เี ปน ความเลิศประเสรฐิ ในสกลโลกน้ี ไมมี
อะไรที่ยอดเย่ียมยง่ิ กวาธรรม

ความฉลาดของโลกก็ไมมใี ครจะเย่ียมยิ่งไปกวามนษุ ย ในโลกมนษุ ยทีม่ ีพุทธ
ศาสนาประจาํ จึงเหมาะสมกับมนษุ ยผ ใู ครธ รรมและมีธรรมในใจ แตศาสนธรรมไม
เหมาะสมกับผูเปนมนษุ ยเพยี งแตร างไมมีธรรมภายในใจบางเลย ทัง้ นา เสียดายภูมิแหง
มนษุ ยชาติ สูสัตวบ างประเภทบางตัวท่มี จี ติ ใจสูงสง กไ็ มไ ด นับวาขาดทุนสญู ดอก ไมมี

ความดีงามงอกเงยไดบ างเลย เกดิ มาเปนมนษุ ยทงั้ ที!
เราทง้ั หลายไดป ระพฤตปิ ฏิบัติ ไดน ับถือพระพุทธศาสนาซ่งึ เปน สง่ิ ท่ีเลิศ

ประเสริฐอยูแ ลว โดยหลักธรรมชาตขิ องธรรม ช่ือวา เราเปน ผเู หมาะสม ท้ังไดเ กดิ มาเปน
มนุษย ทัง้ ไดนับถอื พระพทุ ธศาสนา ไดต ้งั ใจประพฤตปิ ฏิบตั ธิ รรมตามกําลงั ความ
สามารถของตนๆ

เฉพาะอยา งยง่ิ ทางจติ ตภาวนาเปน ส่ิงสําคัญมาก ท่จี ะทาํ ใหมองเหน็ เหตุผล

ตางๆ ซึ่งมีอยูภ ายในตวั เราใกลไ กลรอบดา น จะรูเห็นไดดวยภาคปฏบิ ัตคิ อื “จิตต

ภาวนา” การภาวนาทานถือเปนสําคัญในภาคปฏบิ ัติศาสนา ครั้งพุทธกาลจงึ ถอื ภาค

ปฏบิ ตั เิ ปนเย่ยี ม เชน ทานกลาวไวว า “ปรยิ ตั ,ิ ปฏิบตั ,ิ ปฏเิ วธ” แนะ !

“ปรยิ ตั ”ิ ไดแกก ารศึกษาเลา เรยี น

“ปฏิบตั ”ิ ไดแ กศ กึ ษาเลาเรยี นมาเปนทเี่ ขาใจแลว ออกไปประพฤติปฏิบตั ติ าม
เข็มทิศทางเดินของธรรมทไ่ี ดเ รียนมาแลวนน้ั

“ปฏิเวธ” คือความรูแจง แทงตลอดไปเปน ลาํ ดบั ๆ กระทั่งรูแจงแทงตลอดโดย
ท่ัวถึง ธรรมท้งั สามนเี้ ก่ียวเนื่องกนั เหมือนเชือกสามเกลียวทฟ่ี นตดิ กนั ไว

คาํ วา “ปริยัต”ิ น้นั เม่ือคร้งั พทุ ธกาล สวนมากทานเรียนเฉพาะเรียนจากพระ
โอษฐข องพระพทุ ธเจา มากกวาอยา งอน่ื ผจู ะมาเปนสาวกอรหตั อรหนั ต สว นมากเรียน

จากพระโอษฐของพระพุทธเจา เรยี นอะไร? ขณะที่จะบวชทา นทรงส่งั สอน “ตจปญจก

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๒๑ต๖๑รยี๕มพร้อม

๑๑๖

กรรมฐาน” ให คอื “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ, ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา” โดย
อนโุ ลมปฏิโลม ยอ นกันไปกนั มาเพื่อความชํานิชาํ นาญ น่ีคอื ทา นสอนธรรมเปน เครื่อง
ดําเนินของนักบวช การสอนธรรมเปน เครือ่ งดาํ เนนิ นั้นแลเปน การใหโอวาท ผูท่สี ดับฟง
ในขณะที่พระพุทธเจาประทานพระโอวาทก็ไดชอื่ วา การเรียนดวยและการปฏิบัตไิ ปใน
ตัวดว ย

การสอนวา “สิ่งนน้ั เปน นัน้ ๆ” เชนทานสอนวา “เกสา โลมา นขา ทนั ตา
ตโจ” อยางน้เี ปน ตน น่ีคือทา นสอนธรรมซงึ่ เปนปริยัตจิ ากพระโอษฐ เราก็เรียนให
ทราบวา “เกสาคอื อะไร โลมา นขา ทันตา ตโจ แตล ะอยาง ๆ คืออะไร

ผูเรียนก็เรียน และปฏบิ ตั ิดว ยความสนใจใครรูใ ครเหน็ จรงิ ๆ ไมสกั วา เรียนวา
ปฏิบัตเิ พ่อื เกียรตยิ ศชอื่ เสียงใดๆ พระพุทธเจาทรงสอนสภาพความเปนจรงิ ความเปน
อยูแ ละเปนไปของสง่ิ เหลา นี้ท่ีมีอยกู บั ตัวเอง ตลอดถงึ อาการ ๓๒ ทุกแงท กุ มุมโดย
ลําดบั ใหท ราบวาสงิ่ นั้นเปน น้นั สิ่งน้ันเปนจริงๆ ตลอดความเปน อยูของส่งิ นนั้ ความ
แปรสภาพของสิ่งน้นั วาเปนอยางไร และธรรมชาติน้ันคืออะไรตามหลกั ความจรงิ ของ
มัน ใหพจิ ารณาทราบอยางถึงใจ เพือ่ จะแก “สมมตุ ิ” ทีเ่ ปนเครือ่ งผกู พนั จติ ใจมานาน

ความสมมตุ ขิ องโลกวา สิ่งนั้นเปน นนั้ สิง่ นี้เปนน้ี ไมมีส้ินสุด แมจ ะสมมุตวิ าสง่ิ
ใดเปนอะไรกย็ ึดถือในส่งิ นัน้ รกั ก็ยึด ชังกย็ ึด เกลยี ดกย็ ึด โกรธกย็ ดึ อะไรๆ กย็ ดึ ทัง้ นนั้
เพราะเรือ่ งของโลกกค็ ือกเิ ลสเปนสาํ คัญ มีแตเร่อื งยดึ และผูกพัน ไมมีคาํ วา “ปลอ ย
วาง” กนั บา งเลย ความยึดถือเปนสาเหตใุ หเกดิ ทกุ ขกงั วล โลกจึงมีแตความทกุ ขค วาม
กังวลเพราะความยึดถอื ถา ความยดึ ถอื เปนเหมือนวตั ถมุ องเห็นไดดวยตาเนอ้ื แลว
มนุษยเ ราแบกหามกันท้ังโลกคงดกู นั ไมไ ด เพราะบนหัวบนบา เตม็ ไปดวยภาระความ
แบกหามพะรุงพะรัง ท่ตี างคนตางไมม ีทปี่ ลงวาง ราวกับเปน บา กันทัง้ โลกนัน่ แล ยังจะ
วา “ดี มีเกียรติยศช่ือเสียง” อยูหรือ? จนปราชญท า นไมอาจทนดูไดเ พราะทานสงสาร
สังเวชความพะรงุ พะรงั ของสัตวโลกผหู า “เมอื งพอดี” ไมมี ภาระเตม็ ตัวเต็มหัวเต็มบา

ธรรมทานสอนใหร ูและปลอยวางเปนลาํ ดับ คอื ปลอ ยวางภาระความยดึ มน่ั ถอื
มนั่ ซ่ึงเปน ภาระอันหนกั เพราะความลุม หลงพาใหย ึด พาใหแ บกหาม ตนจงึ หนกั และ
หนกั ตลอดเวลา ทา นจงึ สอนใหร ทู ่ัวถงึ ตามหลักธรรมชาติของมัน แลว ปลอยวางโดยส้นิ
เชิง ทง้ั นี้สืบเนือ่ งมาจากการไดย ินไดฟง มาจากพระพุทธเจาแลวนําไปปฏบิ ัติ จนกลาย
เปน “ปฏเิ วธ” คือความรูแจง เห็นจริงขนึ้ โดยลําดบั

ครง้ั พทุ ธกาลทานสอนกันอยางนเ้ี ปน สว นมาก สอนใหม คี วามหนกั แนน มนั่ คง
ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิยง่ิ กวา ส่งิ อ่ืนใด พระในครัง้ พทุ ธกาลทอี่ อกบวชจากตระกูลตางๆ

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๗๑ก๑ับ๖กิเลส’’

๑๑๗

มีตระกลู พระราชา เปนตน ทานตง้ั หนาบวชเพอ่ื หนที ุกขจ รงิ ๆ จงึ สนใจอยากรอู ยากเหน็
ธรรมดว ยการปฏิบัตเิ ปนอยางยงิ่ ทัง้ ตัง้ ใจฟง ท้งั ตงั้ ใจปฏบิ ัติดวยความจดจอตอ เนื่อง
ในทางความเพียร พยายามสอนตนใหร เู หน็ ธรรมกอ น แลวจงึ นาํ ธรรมนน้ั มาสัง่ สอน
โลก ทา นเปน “พระธรรมกถึก” เพอ่ื องคท า นเองกอนแลว จงึ เพ่อื ผูอ่นื ธรรมทานจงึ
สมบรู ณด ว ยความจริงมากกวา จะสมบรู ณด วยความจดจํา

พระธรรมกถกึ ในครงั้ พุทธกาลเชน “พระปุณณมันตานีบุตร” ทานเปน พระ
ธรรมกถกึ เอก ซง่ึ ไดรับคาํ ยกยอ งชมเชยจากพระศาสดา ทา นมกั ยก “สัลเลขธรรม”
ขึน้ แสดง กลาวถงึ เรือ่ งควรขดั เกลากิเลสท้ังนัน้ นับแต “อปั ปจ ฉตา” ความมกั นอ ยขึ้น
ไปจนถึง “วิมุตติ วมิ ุตติญาณทสั สนะ” คือความรูแจงแหง การหลดุ พน

พระพทุ ธเจา ทา นทรงยกยอ งใหเ ปน “เอตทัคคะ” ในทางธรรมกถกึ เรียกวา
เปนธรรมกถึกเอก พระปณุ ณมนั ตานีบุตรนั้นทานเปน พระอรหันตด วย รแู จงสัจธรรม
ท้ังสโ่ี ดยตลอดท่วั ถงึ ดว ย เพราะฉะนั้นทานจึงสอนดวยเหตุดว ยผล ดวยความสัตยค วาม
จรงิ ซ่งึ ออกมาจากจติ ใจของทา นทีร่ แู ลว จริงๆ ไมไดส อนแบบ “ลบู ๆ คลาํ ๆ” ตามที่
เรียนมา ซึง่ ตนเองก็ไมแนใจวา เปนอะไรกนั แน เพราะจิตใจยังไมสัมผัสธรรม เปนแต
เรยี นจําชอ่ื ของธรรมไดเทา นนั้ เพราะฉะนัน้ ทานจงึ อธบิ าย “สลั เลขธรรม ทั้ง ๑๐
ประการนีไ้ ดโดยถกู ตอ งถอ งแท ไมมอี ะไรคลาดเคล่ือนจากหลักความจริง เน่อื งจากจิต
ทา นทรงหลกั ความจริงไวเ ต็มสว น นีธ่ รรมกถกึ ท่ีเปน อรรถเปนธรรม เปน ความถกู
ตอ งดงี ามแทเปนอยา งนน้ั

สวนธรรมกถกึ อยา งเราๆ ทา นๆ ท่ีมกี ิเลสนัน้ ผดิ กนั แตไมตองกลา วไปมากก็
เขาใจกัน เพราะตา งคนตางมี ตา งคนตางรูด ว ยกัน ครัง้ พทุ ธกาลก็ยงั มีอยูบางทท่ี าน
เรียนจนจบพระไตรปฎก และมลี กู ศิษยล กู หาเปนจาํ นวนมากนับรอ ยๆ ที่ไปเรียนธรรม
กบั ทา น ทานสอนทางดานปริยัตถิ า ยเดียว พระพทุ ธเจาทรงตาํ หนิ

ทท่ี รงตาํ หนินน้ั ดวยทรงเหน็ อปุ นสิ ยั ของทา นสมควรแกมรรคผลนิพพาน ทาน
ชอ่ื “โปฐิละ” ซึง่ แปลวา “ใบลานเปลา ” ทานเปนผูทรงธรรมไวไ ดมากมายจนเปน
“พหสู ูต” แตไมใ ช “พหูสตู ”อยา งพระอานนท ทา นเปน ผเู รียนมาก มลี ูกศิษยบ ริวาร
ต้งั ๕๐๐ ทานมอี ปุ นสิ ัยอยู แตก็ลืมตัวในเวลานั้น เมื่อไปเฝาพระพุทธเจา พระองคจงึ
ทรงแสดงเปน เชงิ ตาํ หนิ เพราะพระพุทธเจาทรงตําหนิใครก็ตาม ทรงสรรเสริญใครก็
ตาม ตองมีเหตมุ ีผลโดยสมบรู ณในความติชมน้นั ๆ

ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชุด๑เ๒๑ต๘๑รยี๗มพรอ้ ม

๑๑๘

เมือ่ ทานทรงตําหนิ “พระโปฐิละ” พระโปฐิละจึงเกิดสงั เวชสลดใจ ขณะที่เขาไป
เฝา พระองคท รงยาํ้ แลว ยาํ้ เลา อยนู ั่นแหละวา “โปฐิละ” กแ็ ปลวา “ใบลานเปลา ”
เรียนเปลา ๆ ไดแตค วามจําเต็มหวั ใจ สวนความจริงไมส นใจ

อยา งทานอาจารยม น่ั ทานเคยเทศนอยา งนั้นน!่ี “เรยี นเปลา ๆ”, “หัวโลน
เปลา ๆ” “กนิ เปลาๆ นอนเปลาๆ” ย้าํ ไปยํา้ มาจนผฟู ง ตวั ชาไปโนนแนะ ทา นวาไป
ทานแปลศพั ทข องทาน “โปฐิละ” องคเ ดียวนแี่ หละ คือทานสอนพระลูกศิษยข องทาน
ทานยกเอาเรื่องพระโปฐิละมาแสดง ใหเ ปน ประโยชนสําหรบั พระผทู ฟี่ ง อยใู นขณะน้นั
ซ่งึ มุง ถอื เอาประโยชนอ ยูแลวอยางเต็มใจ

เมื่อพระพุทธองคทรงเรียก “พระโปฐิละ” วา “โปฐิละ เขามา,โปฐิละ จงไป,
อะไรๆ กโ็ ปฐลิ ะๆ โปฐิละ...ใบลานเปลา ๆ เรยี นเปลา ๆ แกกเิ ลสสักตวั เดยี วก็ไมไ ด
เรียนเปลาๆ กิเลสมากและพอกพนู ข้นึ โดยลาํ ดบั ทานประทานอุบายใหพ ระโปฐิละรูสึก
ตัว และเหน็ โทษแหงความลืมตวั ม่วั สุมเกล่ือนกลนดว ยพระเณรทั้งหลาย ไมหาอบุ ายสัง่
สอนตนเองบา งเพอ่ื ทางออกจากทกุ ขต าม “สวากขาตธรรม”

เวลาทลู ลากลบั ไปแลว ดว ยความสลดสงั เวชเปนเหตุใหฝ ง ใจลกึ พอไปถึงวดั เทา
นน้ั ก็ขโมยหนจี ากพระท้ังหลายซง่ึ มีจํานวนตัง้ ๕๐๐ องคดวยกนั บรรดาทเ่ี ปนลกู ศษิ ย
ออกปฏิบตั กิ รรมฐานโดยลาํ พงั องคเ ดียวเทา นั้น ทานมงุ หนา ไปสูสาํ นักหน่งึ ซงึ่ มีแตเปน
พระอรหนั ตทง้ั น้นั นบั แตพระมหาเถระลงไปจนกระท่ังถึงสามเณรนอย เปนพระ
อรหันตดวยกนั ทงั้ หมด เหตุท่ีทา นออกไปทา นเกิดความสลดสังเวชวา “เราก็เรียนมาถึง
ขนาดนี้ แทนที่พระพุทธเจาจะทรงชมเชยในการที่ไดศึกษาเลาเรียนมาของเรา ไมม ีเลย
มีแตอะไรๆ ก็ “โปฐลิ ะ ๆ” ไปเสียหมด ทุกอาการเคลือ่ นไหวไมมีแงใ ดท่ีจะทรงชมเชย
เลย แสดงวาเราน้ไี มม ีสารประโยชนอะไรจากการศึกษาเลา เรียนมา หากจะเปน
ประโยชนอ ยบู างพระองคย อ มทรงชมเชยในแงใ ดแงห นงึ่ แนน อน” ทา นนาํ ธรรมเหลา นี้
มาพจิ ารณาแลวก็ออกประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรม ดว นความเอาจรงิ เอาจงั

พอกา วเขา ไปสสู ํานักพระมหาเถระดังทีก่ ลาวแลว น้นั กไ็ ปถวายตวั เปน ลูกศษิ ย
ทาน แตบ รรดาพระอรหันตทา นฉลาดแหลมคมอยา งลกึ ซึ้ง ฉลาดออกมาจากหลกั ธรรม
หลกั ใจที่บรสิ ุทธ์ิ เวลาพระโปฐลิ ะเขาไปมอบกายถวายตวั ตอทา น ทา นกลบั พูดถอ มตัว
ไปเสยี ทกุ องค เพอื่ จะหลกี เล่ียงภาระหนักน้นั เพราะราวกบั สอนพระสงั ฆราช หรือจะ
เปนอบุ ายอะไรก็ยากทจ่ี ะคาดคะเนทานไดถ กู

ทานกลับพูดวา “อา ว! ทา นกเ็ ปนผูท ี่ไดศ กึ ษาเลา เรยี นมาจนถึงขนาดนแ้ี ลว
เปน คณาจารยมาเปนเวลานาน จะใหพ วกผมสอนทา นอยา งไรได ผมไมม ีความสามารถ

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๒า๑๙ก๑ับ๘กิเลส’’

๑๑๙

จะสงั่ สอนทานได” ทั้งๆ ที่ทานเปน พระอรหนั ตท ง้ั องค เตม็ ไปดวยความสามารถฉลาด
รูทกุ แงท ุกมมุ

“ทานกลับไปถามทา นองคนนั้ ลองดู บางทที า นอาจมอี บุ ายแนะนาํ สง่ั สอนทา น
ได”

ทา นกไ็ ปจากองคน แี้ ลว ไปถวายตวั ตอ องคนนั้ องคน้ันกห็ าอบุ ายพูดแบบเดียว
กนั ใหไปหาองคน้นั ๆๆ องคไ หนกพ็ ดู อยางเดยี วกันหมด จนกระท่ังถงึ สามเณรองค
สดุ ทา ย แนะ ! ยังพดู แบบเดียวกนั คือทา นขอถวายตวั เปน ลกู ศิษยเณร เณรกพ็ ดู
ทาํ นองเดยี วกนั

ทนี พี้ ระมหาเถระทา นเห็นทา จะไมไดก าร หรอื วา ทา นจะหากลอบุ ายใหเ ณรรบั
พระองคนี้ หรอื ใหอ งคน้เี ขา ไปเปนลกู ศษิ ยเณรเพอื่ ดดั เสียบาง เพราะทา นเปน พระที่
เรียนมาก อาจมีทฐิ ิมามากกค็ าดไมถ ึง คาดยาก พระมหาเถระทานวา “กท็ ดลองดซู ิ
เณร จะพอมีอบุ ายสง่ั สอนทานไดบ า งไหม?”

พอทราบอบุ ายเชน นน้ั แลว พระโปฐลิ ะกม็ อบกายถวายตัวตอสามเณรนน้ั ทนั ที
แลว เณรก็สง่ั สอนดวยอุบายตางๆ อยางเต็มภูมิ

เราลองฟงซิเณรสอนพระที่เปนมหาเถระ หาอบุ ายสอนดว ยวธิ ตี า งๆ เชน ใหพระ
มหาเถระไปเอาอนั นัน้ มาให ไปเอาอนั นม้ี าใหบ า ง แลวใหครองจีวร เชน ตอ งการส่งิ ของ
อะไรท่ีอยูในน้ํา กใ็ หม หาเถระครองผา ไป ถาจะเปยกจวี รจรงิ ๆ ก็ใหข ึน้ มาเสีย “พอ
แลว ไมเอา” ความจริงเปน การทดลองท้งั น้นั

ทานมหาเถระทเ่ี ปนธรรมกถึกเอกนั้นไมมขี ดั ขนื ไมม ที ฐิ มิ านะ สมกบั คาํ วา
“มอบกายถวายตวั ” จรงิ ๆ เณรใชใหไปไหนไปหมด บางทใี หไ ปเอาอะไรอยูในกอไผ
หนามๆ รกๆ ทานก็ไป แลว ใหค รองผา ไปดว ยทา นกท็ ํา เวลาถงึ หนามเขา จรงิ ๆ เณรก็
ใหถอยมาเสยี “หยุดเสยี อาจารย ผมไมเ อาละมันลําบาก หนามเกาะผา ” เณรหาอุบาย
หลายแงห ลายมุมจนกระท่งั ทราบชดั วาพระองคนน้ั ไมม ที ิฐิมานะ เปน ผูมุงหนา ตออรรถ
ตอธรรมจริงๆ แลว เณรจงึ ไดเ ร่มิ สอนพระมหาเถระดว ยอบุ ายตา งๆ

เณรสอนพระมหาเถระโดยอบุ ายวา “มจี อมปลวกแหง หนงึ่ มีรูอยู ๖ รู เหี้ยใหญ
มันอยใู นจอมปลวกน้ี และเที่ยวออกหากินทางชอ งตางๆ เพอื่ จะจบั ตัวเหีย้ ใหได ทาน
จงปด ๕ ชองเสีย เหลอื เอาไวเพียงชองเดียว แลวนั่งเฝา อยทู ี่ชอ งนั้น เหยี้ ไมมีทางออก
จะออกมาทางชอ งเดียวนี้ แลว กจ็ ับตัวเห้ียได”

นีเ่ ปน ขอ เปรียบเทียบ แมภายในตวั ของเรานี้กเ็ ปน เหมอื นจอมปลวกน่นั แล

ธรรมชุดเตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๑๓ต๑๐ร๙ียมพรอ้ ม

๑๒๐

ทา นแยกสอนอยา งน้ี ทา นอุปมาอุปมัยเขามาใน “ทวาร ๖” คอื ตาเปนชองหนง่ึ
หเู ปน ชอ งหนึง่ จมูกเปนชอ งหนงึ่ ล้ินชอ งหนง่ึ กายชอ งหนง่ึ ใจชอ งหนึ่ง ใหท านปดเสีย
๕ ทวารนั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไวแ ตใจเพยี งชอ งเดียว แลว ใหม สี ติรักษาอยู
ท่ีใจแหง เดียว ขณะรักษาใจดวยสติ จงทาํ เหมอื นไมรูไมเ หน็ ไมรูไมช ีอ้ ะไรทงั้ หมดที่มา
สมั ผสั ทําเหมือนวา โลกอันนไี้ มมีเลย มเี ฉพาะความรูค ือใจอนั เดยี วท่มี ีสตคิ วบคมุ รักษา
อยเู ทานนั้ ไมเ ปน กงั วลกบั สง่ิ ใดๆ ในโลกภายนอกมรี ปู เสียง เปน ตน จงตั้งขอสังเกต
ดูใหด ีวา อารมณต า งๆ มันจะเกิดข้นึ ทจี่ ติ แหงเดยี ว ไมวา อารมณดอี ารมณช ่วั มันจะ
ปรากฏขนึ้ ท่จี ิตซ่งึ มีชอ งเดียวเทานั้น เมือ่ เรามสี ติจองมองดอู ยูตลอดเวลาไมประมาท
แลว กจ็ ะจบั เหย้ี คอื จติ และความคิดปรุงตางๆ ของจิตได

จิตจะปรงุ ออกในทางดที างชัว่ อดตี อนาคต ปรุงไปรัก ปรุงไปชัง เกลยี ดโกรธกับ
อะไร กจ็ ะทราบไดทกุ ระยะๆ เพราะความมีสตกิ ํากับรักษาอยูกบั ความรคู ือใจ ใหท าํ
อยา งนีอ้ ยตู ลอดไป จนกวาจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยทางอารมณ และวธิ ดี ัดแปลงแกไข

พระเถระพยายามทําตามอบุ ายท่ีเณรสอนทกุ ประการ ไมม มี านะความถอื ตัว
พระเถระองคนนั้ เมอื่ ไดฟงและปฏิบัติตามสามเณร กไ็ ดสตแิ ละไดอุบายข้ึนมาโดยลําดับ
จนมหี ลักใจ เณรเหน็ วา สมควรท่ีจะพาไปเฝาพระพทุ ธเจา ไดแ ลว ก็พาพระเถระนไ่ี ป
เณรเปน อาจารย พระมหาเถระเปน ลกู ศษิ ย

เมอื่ ไปถึงสาํ นกั พระศาสดา พระองคตรสั ถามวา “เปนอยา งไรเณร, ลูกศษิ ยเธอ
นะ ?” เณรกราบทูล “ดีมากพระเจาคะ ทา นไมม ที ิฐิมานะใดๆ ทัง้ สนิ้ และตัง้ ใจปฏิบัติ
ดนี า เคารพเลื่อมใสมาก แมจะเปน ผเู รียนมากและเปนขนาดมหาเถระกต็ าม แตก ริ ิยา
อาการทที่ า นแสดงเปนความสนใจ เปนความออนนอมถอ มตน เปนความสนใจทีจ่ ะรู
เห็นความจรงิ ทั้งหลายตลอดมา” น่ัน! ฟงซิเปนยังไง นกั ปราชญส นทนากนั และปฏิบัติ
ตอ กนั ระหวางพระมหาเถระกับสามเณรผเู ปน อาจารย ซึ่งหาฟง ไดยาก

หลังจากน้นั พระพทุ ธเจาก็ทรงสอนพระมหาเถระวา “ปญฺ า เว ชายเต ภูร”ิ
ปญญาซงึ่ มีความหนกั แนน ม่ันคงเหมือนแผน ดนิ ยอ มเกิดข้นึ แกผ ูใครครวญเสมอ!
ฉะนนั้ จงพยายามทาํ ปญ ญาใหม ั่นคงเหมอื นแผน ดิน และสามารถจะแทงทะลอุ ะไรๆ ได
ใหเกดิ ขนึ้ ดวยการพจิ ารณาอยูเ สมอ ไมมอี ะไรจะแหลมคมยงิ่ กวา ปญญา ปญญาน้แี ล
เปน เครือ่ งตดั กเิ ลสทัง้ มวล ไมมีอะไรจะเหนอื ปญญาไปได พระองคทรงสอน
“วปิ ส สนา”ในขณะนน้ั โดยสอนใหแยกธาตุแยกขนั ธ อายตนะ สว นตา งๆ ออกเปน
ชิ้นเปน อนั อันน้ีเปนอยา งนี้ อนั น้นั เปนอยางน้ัน ใหพระมหาเถระเขา ใจเปน ลําดับๆ
โดยทาง “วปิ ส สนา” จากนัน้ กแ็ สดงเร่อื งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แตละ

ธรรมชดุ เตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๓า๑๑ก๒บั ๐กิเลส’’

๑๒๑

อยาง ๆ อันเปนอาการของจติ สรปุ ธรรมทท่ี รงแสดงแก พระโปฐลิ ะ กค็ อื อริยะสัจส่ี
ปรากฏวา ทา นไดบ รรลุอรหัตผลในวาระสุดทา ยแหงการประทานธรรม

จะอธบิ ายขนั ธห า ตอ สว นมากจติ ไปหลงอาการเหลา น้ี จึงไมท ราบวา ตวั ของ
ตัวอยทู ไ่ี หน ไปองิ อยกู บั อาการคอื รูป วา รูปเปน ตนบา ง วา เวทนาเปน ตนบา ง สัญญา
เปน ตนบา ง สงั ขาร วญิ ญาณ เปนตนบาง เลยหาตนไมได อะไรๆ ก็วา “ตน” เสยี สน้ิ
เวลาจะจับ “ตน” เพื่อเอาตวั จรงิ เลยหาตวั จรงิ ไมได! ทั้งนีก้ เ็ พราะจิตหลงไปควาไป
ยึดเอาสิง่ ไมใชตนมาเปนตนเปนตัวนน่ั แล ซ่ึงเปนเพยี งอาการหนงึ่ ๆ ท่ีอาศัยกนั อยูชัว่
ระยะกาลเทา นั้น จึงทําใหจ ิตเสียเวลาเพราะความเกดิ ตาย ๆ อยเู ปลาๆ แตล ะภพ
ละชาติ!

นอกจากเสยี เวลาเพราะความหลงกบั สง่ิ เหลา นแ้ี ลว ยังไดรบั ความทุกขค วาม
บอบชาํ้ ท้ังทางกายและทางจิตใจอกี ดวย เพราะฉะนน้ั จงใชป ญญาพิจารณาใหเ ห็นตาม
ความจริงของมนั เสียแตบดั น้ซี ่งึ เปน กาลอันควรอยู ตายแลวหมดวสิ ัยจะรคู วามจรงิ ได

พระพุทธเจาประทานพระโอวาทไวอยางชัดเจนแลว ไมน าสงสัยวา จะมีอะไรดี
กวา ความพน จากทกุ ข อันมีการเกดิ ตายเปน ตนเหตุ เอา ! พิจารณาลงไป!

“รูป” มอี ะไรบางทเ่ี รยี กวา “รูป?” มันผสมกับอะไรบา ง? คาํ วา “รูป” น้ีมกี ี่
อาการ? อาการหนง่ึ ๆ คอื อะไร? ทีร่ วมกันอยู สภาพความเปน อยขู องมันเปนอยา ง
ไร? เปนอยูดว ยความบาํ บดั รักษา เปน อยูด ว ยความปฏิกูลโสโครก เหมือนกบั ปา ชา ผี
ดบิ ซ่งึ เต็มอยูภายในรางกายน้ี แตใ จเรากย็ งั ดอื้ ดา นอาจหาญถอื วา รปู นีเ้ ปนเราเปน ของ
เรา ไมทราบวาสงิ่ น้ีเปน ของสกปรกโสมม เปน กอง อนจิ ฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า เปนปาชา ผีดบิ
บางเลย ตา งคนตา งมปี า ชาเตม็ ตัว ทําไมมัวเพลิดเพลิน มวั เสกสรรปนยอ ชนดิ ไมรูเ น้ือ
รูตัววา เปน ปา ชา ผดี บิ กันบา งเลย เวลา “เขา” แตกดับไป “เรา” จะเอาสาระอะไรเปน
เครื่องอบอุน ใจ ถา ปญ ญาไมถ ากถางใหเหน็ ความจริงไวก อ นแตบ ัดน้ี

ในหลกั ธรรมชาติของมันกค็ อื ธาตุ สมมตุ ิเพิม่ เขา มาก็คือสกลกาย เต็มไปดว ย
“ปุพโพ โลหติ ” นา้ํ เหลือง นา้ํ เลือด แสดงความปฏิกูลโสโครก และความทุกขใหร ูใ ห
เหน็ อยตู ลอดเวลานับแตวันเกิดมา ไมเคยขาดวรรคขาดตอนเลย มีอนั ใดสิง่ ใดทีจ่ ะควร
ยึดวา เปน “เรา” เปน “ของเรา” ดว ยความสนิทใจ? ไมมีเลย!

จงึ ควรพจิ ารณาดูตามหลักความจรงิ น้ี ทัง้ ความเปน อยู ทง้ั ความสลายทาํ ลายลง
ไป มนั ลงไปเปน อยางนัน้ คอื ลงไปเปนธาตดุ ิน ธาตุนํ้า ธาตลุ ม ธาตุไฟ

สว น “เวทนา” ก็พิจารณาแยกแยะใหเห็น ความสุขกด็ ี ความทุกขก ด็ ี ความ
เฉยๆ ก็ดี มนั เกิดขน้ึ ไดท้งั ทางกายและทางใจ สกั แตว า อาการอนั หนง่ึ ๆ เกดิ ข้ึนและ

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๓๑ต๒๒รยี ๑มพรอ้ ม

๑๒๒

ดบั ไปเทา นน้ั รูอยเู ห็นอยปู ระจักษตาประจักษใ จ ทุกขป รากฏขน้ึ มากเ็ ปนเพยี งความ
จริงอันหนงึ่ ของมัน ตวั มนั เองก็ไมทราบความหมายของมนั การทีเ่ ราไปใหค วามหมาย
มันนน้ั ก็เทา กับผูกมดั ตนเอง เทา กบั เอาไฟมาเผาลนตนเอง เพราะความลมุ หลงนี้เองจึง
ไปหมาย “เขา” ในทางทีผ่ ิด โดยท่ถี อื เอาวา เปน “เรา” ทุกขก็เปนเรา เปนไฟทั้งกอง
ยงั ถอื วาเปน เรา อะไรๆ ก็เปนเรา ๆ หมดท้งั ทีห่ าตัวเราไมเ จอ ไปเจอแตความทกุ ข
ตลอดเวลาท่ีสาํ คัญม่ันหมาย

สญั ญา ก็คือความจาํ จาํ แลว หายไป ๆ เมื่อตอ งการก็จําข้นึ มาใหม มคี วามเกิด
ความดบั ๆ ประจาํ ตวั ของเขา ทง้ั เวทนา ทง้ั สัญญา ทง้ั สังขาร ทงั้ วญิ ญาณ มีลกั ษณะเชน
เดยี วกัน ถาพจิ ารณาสง่ิ หน่ึงใหเ ขาใจแจมแจงหรอื ประจกั ษดวยปญ ญาแลว อาการทง้ั
หานี้กเ็ หมอื นกนั หมด ความเขาใจหากกระจายท่ัวถงึ กนั ไปเอง

เม่ือสรปุ ความแลว กองธาตุกองขนั ธเหลา นี้ไมใ ชเ ราไมใ ชของเราทงั้ น้นั เปน
ความจริงของเขาแตละอยาง ๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็เปนสาเหตุมาจากจิต แต
เพราะ “ใจ” เปน ใหญ ใจเปน ประธาน จึงสดุ ทายก็ใจเปน “บอยเขา” เพราะรบั ใชด วย
ความลมุ หลง ตัวเองยังยืนยันวา “เขา” เปน “เรา” “เปนของเรา” กเ็ ทากับถือ
“เขา” เปนนายเราน่ันเอง ฟงซฟิ ง ใหถ ึงใจ จะไดถงึ ตัวกเิ ลสเสียบา งและทําลายมันลงได
ดวยสติปญญา

ธรรมของนักปราชญทานสอนพวกเรา ยังจะพากนั มามวั เมาไปหาความวิเศษวิโส
จากธาตขุ นั ธ ซ่ึงเหมอื นปาชาอะไรกนั อกี ! นอกเหนอื จากความรูย่งิ เห็นจริงในส่ิงเหลาน้ี
เทา นัน้ พวกเราพากันหลงตามความเสกสรรธาตุขันธ วาเปนเราเปนของเรา มากกี่ ปั กี่
กัลปแ ลว สว นผลเปนอยา งไร? เราภาคภูมิใจกับคาํ วา “เรา” “ของเรา” เหมือนเรามี
อาํ นาจวาสนาเหนอื ส่งิ เหลานี้ และเปนผูปกครองสิ่งเหลานี้

ความจรงิ เราเปน “คนรับใช” ส่ิงเหลานี้ ลุมหลงก็คือเรา ไดรบั ความทุกขความ
ลาํ บาก ไดร บั ความกระทบกระเทือนและแบกหามสิง่ เหลานีด้ ว ยความลุม หลง ก็คือเรา
ผลสดุ ทา ยเราเปนคนแยแ ละแยกวา อะไรบรรดามใี นโลกเดยี วกัน ส่งิ ทง้ั หลายไมใชผู
หลงผยู ึดถอื ไมใ ชผ ูแ บกหาม ไมใ ชผูรับความทกุ ขท รมาน ผรู ับภาระท้ังปวงจากสิ่งเหลา
น้ี คอื เราคนเดยี วตางหากน่ี

เพราะฉะนนั้ จึงควรแยกส่ิงเหลา น้ีออกใหเ ห็นตามความจริงของมนั จิตจะได
ถอนตนออกมาอยตู ามหลกั ธรรมชาติไมม เี ครอื่ งจองจาํ การพจิ ารณาน้ันเมื่อถึงความ
จริงแลวก็ตางอันตางจรงิ ไมกระทบกระเทือนกนั และปลดเปลื้องภาระทงั้ หลายจาก
ความยึดถือ คอื อุปาทานเสียได ใจเปน อสิ รเสรีและเรืองฤทธิ์เรอื งเดชตลอดกาล

ธรรมชดุ เตรยี มพรอม ภาค ๑ “เ๑ร๓า๓๑ก๒ับ๒กเิ ลส’’

๑๒๓

ระหวา งใจกบั ขันธก ท็ ราบกันตามความจริงและไมยดึ ไมถ ือกัน การพะวกั พะวน
กันเร่ืองขันธเ พราะอํานาจแหง อปุ าทานนี้ไมมี เวลายังครองขนั ธอยูก็อยดู วยกันราวกับ
มติ รสหาย ไมห าเรือ่ งรายปา ยสกี ันดงั ทีเ่ คยเปนมา ฉะนน้ั จงึ อยากใหเราชาวปฏิบตั ิธรรม
พจิ ารณาเขา ไปถงึ ตวั จติ นน้ั แล “เหย้ี จรงิ ๆ คือตัวจิต”เหยี้ นัน้ มันออกชอ งนี้ถึงได
พิจารณาชอ งน้ี จนกระทงั่ เขา ไปหาตัวมัน คอื จิต

“จิต” คืออะไร? คอื รังแหง “วฏั จกั ร” เพราะกิเลสอาสวะสว นละเอยี ดสุดฝง
จมอยูภายในจิต ตอ งใชปญญาพิจารณาแยกแยะ กาํ หนดเอาจติ นน้ั เปน เปา หมายแหง
การพิจารณา เชน เดยี วกับอาการตา งๆ ทเ่ี ราไดพจิ ารณาลงไปเปน ลําดบั ๆ ดว ยปญ ญา
มาแลว

เมอ่ื ถอื จติ เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา ดวยความไมส งวนสงิ่ ใดไวทั้งสิ้น
ตอ งการทราบความจรงิ จากจติ ท่ีเปน แหลงสรางปญ หาท้งั มวลนีโ้ ดยตลอดทัว่ ถึง การ
พจิ ารณาไมหยดุ ยงั้ ก็จะทราบดวยปญญาวา ในจติ น้ันมอี ะไรฝงจมอยูอยา งลึกลับ
สลบั ซบั ซอ น อยูดว ยกลมารยาของกิเลสทงั้ ปวง

จงกาํ หนดเขาไป พิจารณาเขา ไป จิตถาพดู ตามหลักการพจิ ารณาแลว จิตกเ็ ปน
ตวั อนจิ ฺจํ เปนตัวทกุ ขฺ ํ เปนตัวอนตตฺ า เพราะยงั มีสมมุติแทรกอยูจ ึงตอ งเปนลกั ษณะ
สาม คอื “ไตรลกั ษณ” ได จงฟาดฟนหั่นแหลกลงไปท่ีตรงน้ัน โดยไมตองยดึ มน่ั ถือมัน่
วา จติ น้เี ปนเรา จิตนี้เปนของเรา ไมเ พียงแตไ มย ึดมั่นถอื ม่นั ในรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วญิ ญาณ วาเปนเราเปนของเราเทานั้น ยงั กําหนดใหเห็นชดั เจนในตวั จติ อกี วา ควรจะ
ถือเปนเราเปนของเราหรือไม เพราะเหตุไร! เอา กําหนดลงไปพจิ ารณาลงไป แยกแยะ
ใหเ หน็ ชัดตามความเปน จรงิ

สิ่งท่ีเปน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ภายในจิตนีจ้ ะกระจายออกหมดไมมอี ะไรเหลอื
เลย เมื่อธรรมชาติน้ีไดก ระจายหายไปไมมอี ะไรเหลอื แลว อนิจจฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า ทีม่ อี ยู
ภายในจิตก็หายไปพรอ มกัน เปน จิตทสี่ ิ้นสมมตุ ิโดยประการทั้งปวงแลว!

การใชค ําวา “จิต” เราจะเรียก “จิต” กไ็ ดไมเรยี กก็ได เพราะนอกโลกนอก
สมมุตไิ ปแลว เมื่อจติ แยกตัวออกจากสมมุติแลว คําวา “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” จึง
ไมม ใี นจติ อกี ตอ ไปตลอดอนนั ตกาล

เมื่อทุกสงิ่ ทกุ อยางสลายตวั ไปแลว แตความรนู ้นั กลบั บรสิ ุทธ์ิขนึ้ มา ไมส ลาย
หรือไมฉ บิ หายไปกับสิ่งท้งั หลาย นี่เรยี กวา “จับตัวเห้ยี ไดแ ลว!” เห้ียใหญคือจิตนเ้ี อง!

ที่เณรสงั่ สอนพระโปฐลิ ะนะ ! จงจับตวั นี้ใหไ ดจ ะเปนผูส ้นิ จากทุกข พระโปฐลิ ะกไ็ ดห ลดุ
พนจากกเิ ลสอาสวะในขณะท่พี ระพทุ ธเจา ประทานพระโอวาทจบลง เพราะเขาถึงจุดนี้

ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ธรรมะชุด๑เ๓๑ต๔๒รีย๓มพรอ้ ม

๑๒๔

คือเห้ยี ใหญตวั นี้ และทาํ ลายเหี้ยใหญต วั นี้ไดด วยปญญา ท่ีทานวา “ปญฺ า เว ชายเต
ภูร”ิ ทาํ ปญญาใหเ ปน เหมือนแผน ดิน มัน่ คงตอ ความจริงทัง้ หลาย พิจารณาใหเ ขาถงึ
ความจริงใหรคู วามจรงิ สมกับปญญาคือความจริงอนั ฉลาดแหลมคมมากในองค
“มรรคแปด”

ทที่ านสอนใหหยงั่ เขา ถงึ จดุ สุดยอดแหงกเิ ลสทั้งหลายคอื อะไร? กค็ ือจิตที่เต็ม
ไปดว ย “อวชิ ชา” นนั่ แล เม่ือพจิ ารณาธรรมชาตินีใ้ หแ ตกกระจายออกไปแลว จิตก็
บริสทุ ธิ์ เมื่อจิตบริสทุ ธขิ์ น้ึ แลว คําวา “เหี้ย” จะเรียกวา “ถูกจบั ไดและทําลายได” ก็
ถกู “ถึงตัวจริงของธรรม” กถ็ กู และหมดปญหา!

นแ่ี หละการพิจารณาธรรม พระพทุ ธเจาของพวกเราชาวพทุ ธทา นสอนอยา งนี้
สว นพวกเราชาวพทุ ธพากันงวั เงยี ต่ืนหรือยัง? หรอื ยงั หลบั สนทิ พากนั ฝนเพลนิ
วาดวมิ านเพ่อื ราคะตัณหาอยูร ่าํ ไป?
วนั นีพ้ ูดเรือ่ ง “ปริยัต,ิ ปฏบิ ตั ,ิ ปฏิเวธ” ในครั้งพุทธกาลกม็ มี าอยางนน้ั เหมือน
กนั แตท านมคี วามหนักแนน ในการประพฤตปิ ฏิบัตมิ ากกวา อยางอ่นื ไมเหมือนสมัย
ปจจุบนั น้ซี ง่ึ มแี ตก ารเรียนมากๆ ไมส นใจในการประพฤติปฏบิ ัติกันบา งเลย ความจาํ
อรรถจําธรรมไดม ันกไ็ มผ ดิ อะไรกบั นกขุนทองทีว่ า “แกวเจาขา ๆ”แตเ วลาเอาแกว มา
ใหนกขนุ ทองดูจรงิ ๆ แลว มนั ก็ไมทราบเลยวาน่นั คอื อะไร นอกจากเปน ผลไมนก
ขนุ ทองจะทราบและทราบดกี วา คน แตแกว นกขนุ ทองไมส นใจทราบ!
ธรรมเปรียบเหมอื นแกวดวงประเสรฐิ อยา พากนั จาํ แตชือ่ จะเปน นกขุนทองไป
จงคนดแู กว คอื ธรรมภายในใจใหรู เมื่อรูแลว ชอ่ื ของธรรมกเ็ จอกนั ทีน่ ่นั เอง
คาํ วาธรรมคอื อะไร? ถา ไมสนใจกบั การประพฤติปฏิบตั ติ ามหลักธรรมที่ไดร า่ํ
เรียนมา ก็เทากับวา “แกว คืออะไร” นน้ั เอง “ธรรมคืออะไรกไ็ มท ราบ “สมาธิ” คือ
อะไรใจไมเ คยสมั ผสั เพราะไมเ คยน่งั สมาธิ “ปญญา” คืออะไร?ก็ไมไ ดสมั ผสั อกี
เพราะไมไดเจริญปญญาทางดา นการปฏิบตั ิ “วิมุตติ” คืออะไร? ไมทราบ เพราะจิตไม
เคยหลุดพน นอกจากจะสงั่ สมกเิ ลสใหเ ต็มหวั ใจจนแบกไมไหว นัง่ อยกู ็คราง นอนอยกู ็
คราง ไปไหนก็บน เปนทกุ ขยงุ ไปตลอดกาลสถานท่ี ทั้งๆ ที่เขา ใจวาตนฉลาดเรยี นรมู าก
แตก บ็ น วา “ทุกขๆ” ไมไดวายแตละวัน
เพราะฉะนัน้ เพอื่ ทราบธรรมชาติความจรงิ น้แี ละหายบน จึงตองเรียนและปฏิบัติ
ใหเขา ถงึ ความจรงิ ใหสมั ผสั สมาธิถงึ ความสงบเย็นใจ ดวยการปฏบิ ตั ิ ใหสัมผัสปญ ญา
คอื ความฉลาดแหลมคม ดว ยการปฏบิ ัตภิ าวนา ใหส ัมผสั “วิมุตติ” ความหลุดพน จาก
กิเลสทัง้ มวล ดวยการปฏบิ ัตภิ าวนา

ธรรมชุดเตรียมพรอ ม ภาค ๑ “เ๑ร๓า๑๕ก๒ับ๔กิเลส’’

๑๒๕

การสมั ผสั สมาธิ ปญญา วมิ ุตติ ดวยการปฏิบตั ขิ องตวั และธรรมเหลานเ้ี ปน
สมบตั ิของตวั แทแ ลว ยอ มหายสงสยั ไมถามใคร แมพ ระพทุ ธเจา ประทบั อยูตรงหนา เรา
นก้ี ต็ าม จะไมท ลู ถามพระพุทธเจาใหท รงราํ คาญและเสียเวล่ําเวลาเลย เพราะเปนการ
แสดงความโงออกมาท้งั ๆ ที่ตนรูแลว ใครจะแสดงออกมาละก็รแู ลว ถามทาํ ไม นนั่ !
เพราะความจริงเหมอื นกันและเสมอกัน กี่หมืน่ กแ่ี สนองค กีพ่ นั กหี่ ม่นื คน ที่ไดส ัมผสั
วมิ ตุ ตธิ รรมดวยใจตัวเองแลว ไมม แี มรายหน่ึงจะทูลถามพระพุทธเจา ใหท รงลําบาก
รําคาญเลย

เพราะคําวา “สนฺทฏิ ฐโิ ก” ผูป ฏบิ ตั จิ ะพึงรูเองเห็นเองน้นั พระพุทธเจาไมทรง
ผกู ขาด แตมีไวสําหรับผปู ฏิบัติโดยทว่ั กนั ตัง้ แตค รง้ั นน้ั มาจนกระทง่ั บัดนี้ ตามหลกั
ธรรมท่ีทานทรงสอนไวไมมเี ปล่ยี นแปลงแตอยา งใด ตงั้ แตคร้ังพทุ ธกาลมาจนถงึ บัดน้ี
ธรรมเปน ธรรมชาติทคี่ งเสน คงวาเสมอมา ถา ผูป ฏิบัตใิ หเ ปน ไปตามหลักธรรมนัน้ เรื่อง
มรรคผลนิพพานไมต องไปถามใคร ผปู ฏิบัตจิ ะพงึ ขดุ คนขึ้นมาชมอยางเต็มใจไดดวย
การปฏิบตั ิโดยทางศลี สมาธิ ปญญา ท่ีเปน “สวากขาตธรรม” ไมต องสงสยั และไมมี
ส่ิงอื่นใดทจี่ ะมีอาํ นาจมาปดกน้ั มรรคผลนพิ พานใหส น้ิ เขตสิน้ สมัยได และไมมสี ิง่ ใดทีจ่ ะ
ขดุ คน มรรคผลนพิ พานขน้ึ มาใหรเู หน็ ได นอกจากการประพฤตปิ ฏบิ ัตดิ ว ยศีล สมาธิ
ปญญา นี้เทา นนั้

เพราะฉะนนั้ หลกั มรรคแปด มสี ัมมาทฏิ ฐิ เปนตน มสี ัมมาสมาธเิ ปน ทส่ี ุด ทที่ าน
เรียกวา “มัชฌิมา” จึงเปนธรรมคงเสนคงวาตอ ทางมรรคทางผลอยา งสมบรู ณ และ
เปนธรรมสม่าํ เสมอ เปนธรรมศูนยก ลางในการแกก เิ ลสอาสวะทกุ ประเภทตลอดมา ตง้ั
แตโ นนจนบดั นแี้ ละตลอดไปไมม ที างสนิ้ สุด ตองเปน “มัชฌิมาปฏิปทา” แกผูปฏบิ ัติ
ถกู ตอ งตามนน้ั ตลอดกาลสถานท่ี

ผลทพ่ี งึ ไดรบั จากการปฏิบัตจิ ะไมต องไปถามใคร ขอใหด ําเนินไปตามหลกั
ธรรมนีใ้ หถกู ตอ งเทา นนั้ จะเหมาะสมอยางยิง่ ตอมรรคผลนิพพาน อันเปนสมบตั ิลน คา
ของตน ๆ แตผเู ดยี วไมมใี ครเขา ยงุ ได

ท่วี า “มรรคผลนพิ พานสิน้ เขตส้นิ สมยั ไปแลว ” น้ัน ก็คือคนท่ีไมเ คยปฏิบัติ คน
ไมเคยสนใจกบั ธรรมเลย แตอตุ รติ ้งั ตนเปนศาสดาเหนอื พระพุทธเจา พระธรรม พระ
สงฆ คอยใหคะแนนตัดคะแนนพระรตั นตรัยและชาวพุทธทัง้ หลาย เขาคนนนั้ คอื “ตัว
แทนเทวทัต” จะไปรเู รื่องมรรคผลนพิ พานสิ้นเขตส้ินสมัยไดอยา งไร ไมม ีอะไรมาคุย
อวด มอี ยา งไรกพ็ ดู ไปอยา งนัน้ ตามประสาของคนทีม่ ีนิสัยตางกัน เพอ่ื คนอ่ืนแมไมเ ชอื่
แตสนใจฟงบา งช่ัวขณะกย็ งั ดี

ธรรมชดุ เตรียมพรอม ธรรมะชดุ๑เ๓๑ต๖๒รีย๕มพรอ้ ม


Click to View FlipBook Version