The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้ทางวิชาการ
งานวันกุ้งจันท์ ครั้งที่ 27
ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคม 2566
ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี
จังหวัดจันทบุรี
จัดโดย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panupong Petchkaew, 2023-03-18 05:40:09

หนังสืองานวันกุ้งจันท์ ครั้งที่ 27

ความรู้ทางวิชาการ
งานวันกุ้งจันท์ ครั้งที่ 27
ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคม 2566
ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี
จังหวัดจันทบุรี
จัดโดย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี

Keywords: งานวันกุ้ง

151 มีไส้เดือนทะเลหลากหลายชนิด ที่พบว่ามีประสิทธิภาพสูงในการบ�ำบัดเลน นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ของสัตว์ ในกลุ่มไส้เดือนทะเล โดยการขุดรู หรือเจาะท่อลงไปในเนื้อดิน จะท�ำให้เนื้อดินมีได้รับออกซิเจนเข้าไปเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง จะส่งผลให้จุลินทรีย์กลุ่มที่จ�ำเป็นต้องใช้ออกซิเจนในการเจริญเติบโต สามารถเพิ่มจ�ำนวนขึ้นได้ การเพิ่มจ�ำนวนของ จุลินทรีย์ในดินดังกล่าว นับเป็นการส่งเสริมอัตราการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในดิน ให้สูงขึ้นตามไปด้วย ผลที่ได้ใน ภาพรวม ก็จะท�ำให้เนื้อดินบริเวณนั้น มีการสะสมของสารอินทรีย์ลดน้อยลง ดินจะดูสะอาด มีสีน�้ำตาลเหลืองหรือดู ขาวนวลขึ้นลงไปถึงดินชั้นที่ลึกๆ ลักษณะดังกล่าว นับเป็นการสร้างเสริม สารอินทรีย์ที่มีชีวิต ซึ่งประกอบด้วยตัวของไส้เดือนทะเล และจุลินทรีย์ ที่เป็นประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งยังท�ำให้สัตว์พื้นท้องน�้ำขนาดเล็กอื่นๆ สามารถอาศัยอยู่ และเจริญเติบโตร่วมกันต่อไปได้ เรื่อยๆ ซึ่งนับเป็นเรื่องราวการเชื่อมโยงในโลกใต้ดินที่น่าทึ่ง ซึ่งแท้จริง เป็นเพียงการส่งเสริมให้ลักษณะทางธรรมชาติ ของพื้นท้องน�้ำ ได้คงด�ำเนินไปด้วยดีนั่นเอง ท่านผู้ประกอบการอาจแปลกใจว่า ขณะที่กล่าวถึงเรื่องราวของ ไส้เดือนทะเล แต่ในช่วงตอนท้าย กลับมีการ พาดพิงไปถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เข้ามา.. ในความเป็นจริงแล้ว หากเราพิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะพบว่ามันเป็น ลักษณะ ทางธรรมชาติ เช่นนั้นจริงๆ ทั้งนี้ เนื่องจากในประชาคมของสิ่งมีชีวิตนั้น ลักษณะของการ กินต่อกันเป็นทอดๆ นับ เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งเมื่อเราพิจารณาให้ดี จะพบว่าข้อจ�ำกัดในการเพิ่มจ�ำนวนของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งๆ นอกจากจะ เกิดจากการจ�ำกัดของ อาหาร ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มแล้ว การถูกจ�ำกัดโดย ผู้ล่า รวมทั้ง พื้นที่ ยัง มีบทบาทที่ส�ำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยควบคุม และท�ำให้เกิดการรักษาสมดุลในประชากรภายในระบบนิเวศในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งหากเป็นระบบนิเวศของพื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ โดยเฉพาะการเลี้ยงกุ้ง ผู้ล่า ที่ส�ำคัญ และเป็นหัวใจในระบบ ก็คือ กุ้งเราที่เลี้ยง นั่นเอง โดยหากเราจินตนาการถึงระบบนิเวศของการเลี้ยง ที่มี ความสมบูรณ์ ของสัตว์พื้นท้องน�้ำ ตามธรรมชาติ และมีความสมดุล ในตัวเองแล้ว เราจะพบว่าสารอินทรีย์ที่เหลือหรือเกินพอ ก็จะเป็นอาหารของสัตว์ พื้นท้องน�้ำ รวมทั้งจุลินทรีย์ต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการค่อยๆ เพิ่มปริมาณของสัตว์พื้นท้องน�้ำและจุลินทรีย์เหล่านั้น ในอัตราที่ค่อยเป็นค่อยไป และจะมีการเกิดทดแทนที่ขึ้นภายในประชาคมพื้นท้องน�้ำ มีการถูกกินต่อ กันเป็นทอดๆ ภาพที่ 22 ลักษณะของไส้เดือนทะเลที่สามารถพบได้ในพื้นที่บ่อเลี้ยงเขตใกล้ชายฝั่ง


152 นอกจากนี้ ยังจะพบว่าสัตว์พื้นท้องน�้ำที่เพิ่มปริมาณขึ้นมาได้นั้น จะกลายเป็นอาหารทางชีวภาพที่มีคุณค่า กลับคืนให้ แก่กุ้งที่เราที่เลี้ยงได้ด้วย จะเลือกอนุรักษ์พัฒนา หรือท�ำลาย อย่างไหนคุ้มทุนกว่ากัน การตัดสินใจลงมือจัดการบ่อ ในทิศทางใด ในช่วงใด นับเป็นหัวใจส�ำคัญของการเลี้ยงสัตง์น�้ำ ที่เชื่อมโยงไปสู่ โอกาสในการประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงได้ ในปัจจุบันพบว่า กระแสการอนุรักษ์ทรัพยากร และระบบการเลี้ยงแนวชีวภาพก�ำลังมาแรง สาเหตุที่เป็นเช่นดัง กล่าว เกิดทั้งจากกระแสของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่ทุกประเทศได้ตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมักถูกใช้โดยไม่ค�ำนึงถึงประโยชน์ในระยะยาว รวมทั้งการท�ำลายทรัพยากรโดยการใช้ประโยชน์ที่ผิดวิธี นอกจากนี้ ยังเกิดจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ และภูมิปัญญาของผู้ประกอบการด้วยตนเอง ที่ได้ตระหนัก เห็นแล้วว่า การลองผิด ลองถูก การใช้สารเคมีต่า ๆ หรือการใช้ยาหลากหลายชนิด เพื่อการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ พบ อาจเห็นผลเพียงการหยุดยั้ง หรือลดระดับของปัญหาในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับไม่ได้ส่งเสริมให้สัตว์น�้ำที่เราเลี้ยงเกิด การเจริญเติบโตได้อย่างดี ตามที่มุ่งหวังแต่แรกเลย.. หลากหลายข้อคิดจากผู้ประกอบการ ที่สามารถยืนหยัดการเลี้ยงอย่างเป็นอาชีพมามากกว่าสิบปี ช่วยยืนยัน ความส�ำคัญของการสนับสนุนระบบการเลี้ยงสัตว์น�้ำ ที่จะสามารถ ถนอม สร้าง และพัฒนา ระบบนิเวศทางธรรมชาติ ในดินพื้นบ่อและในน�้ำที่ใช้เลี้ยงสัตว์น�้ำ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ในระยะยาว หรือให้มีความพร้อมที่สุด ก่อนที่จะน�ำลูก พันธุ์ไปปล่อยให้เจริญเติบโต ในพื้นที่บ่อนั้น ซึ่งในภาพรวมพบว่า เราจ�ำเป็นที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสภาวการณ์ของ ระบบนิเวศพื้นท้องน�้ำ ซึ่งเป็นเสมือน บ้าน ที่มีระบบสังคมของสิ่งมีชีวิตต่างๆ อาศัยอยู่ร่วมกันมากมาย นอกจากนี้ ยัง ควรค�ำนึงถึงมวลน�้ำในเบื้องบน ที่ปกคลุมพื้นบ้านอยู่ ในกรณีที่มีการน�ำสารฆ่าพาหะ ต่างๆ ที่มีการจ�ำหน่าย มาใช้ในพื้นที่บ่อ นอกจากจะสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิต หรือ หยุดยั้งการเจริญเติบโตของสัตว์ที่ไม่ต้องการได้แล้ว ย่อมส่งผลกระทบไปท�ำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก โดยเฉพาะในกลุ่ม ของสัตว์พื้นท้องน�้ำที่มีผิวบอบบาง (อาทิ ไส้เดือนทะเล) ตลอดจนจุลินทรีย์ต่างๆ (ซึ่งเป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาท ส�ำคัญยิ่งในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน) ซึ่งจะถูกท�ำลาย และลดจ�ำนวนลงไปอย่างน่าใจหายในช่วงเวลาเดียวกัน หากลองสังเกตด้วยตนเอง จะพบว่าพื้นที่บ่อใด ที่ตั้งต้นด้วยการจัดการ ด้วยการใช้ สารเคมี ในปริมาณที่มาก ก็มักจะเป็นพื้นที่บ่อ ที่ต้องใช้อะไรๆ มาเติม มาเพิ่ม มาบ�ำบัด มาช่วยดูแล.. อยู่อย่างมิได้หยุดหย่อน ซึ่งสิ่งที่น�ำมาจัดการ หรือมาเสริมเติมแต่งในพื้นที่บ่อ ยังอาจเป็นการใช้ สารชีวภาพ ทั้งมี และ ไม่มีชีวิต เพิ่มเติมเข้าไป ซึ่งสุดท้ายอาจพบ ว่า ระบบการเลี้ยงเกิดเสมือนเป็นโปรแกรมของเส้นทางที่ต้องใช้เงิน เพราะจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องทุ่มเทเงินทองใส่ลงไป เพื่อการรักษาเสถียรภาพของการผลิตให้เกิดได้ ในตลอดระยะเวลาของการเลี้ยง ผู้ประกอบการหลายท่าน คงเคยอยู่ในภาวะความเสี่ยงในการเลี้ยง ความเสี่ยงในการตัดสินใจ เพื่อการรักษา การเลี้ยงต่อไปให้ดี ซึ่งอาจพบว่า สารเคมี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทุ่มเทจัดหาและใส่เติมใลงไปในพื้นที่บ่อ สามารถช่วยประกัน ความเสี่ยง ได้เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม การที่เราเป็นผู้ จ่ายค่าประกันความเสี่ยง นั้นๆ อย่างต่อเนื่อง คงเป็นภาระที่ หนักหน่วง ซึ่งต้องการทั้งก�ำลังเงิน และแรงใจที่มั่นคง ปัญหาจากการตัดวงจรของระบบนิเวศ สาเหตุพื้นฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งพบว่าเป็นส่วนที่ท�ำให้คุณภาพน�้ำในบ่อเลี้ยงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเร็ว และมัก เกิดเหตุการณ์ที่ชวนปวดหัวได้ง่าย ก็คือ การใช้สารเคมี ที่มีฤทธิ์ท�ำลายล้างที่รุนแรงใส่ลงไปในบ่อ สารเคมีดังกล่าว สามารถไปท�ำลาย ประชาคมของสิ่งมีชีวิต ในน�้ำและในบริเวณพื้นบ่อ ที่เคยมีอยู่และพึ่งพาอาศัยกัน


153 การที่สิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มหายไป ย่อมหมายถึง การตัดวงจรของระบบนิเวศ ซึ่งท�ำให้ขาดพลัง ในการจัดการ หรือการฟื้นฟูได้ตามธรรมชาติ ขาดสิ่งมีชีวิตที่จะมาช่วยกินต่อกันเป็นทอดๆ เหมือนดังที่ได้กล่าวมา บริเวณพื้นท้องน�้ำ นั้น จะขาดระบบธรรมชาติบ�ำบัด ที่เคยได้มี ได้เกิด จากสัตว์หน้าดินใหญ่น้อย ซึ่งท�ำงานกันอย่างเชื่อมโยงกัน นอกจาก นี้ ยังท�ำให้ขาดการถ่ายทอดของพลังงานตามธรรมชาติ และการหมุนเวียน การเจือจางของสาร ที่มีศักยภาพในการ รักษาสมดุลภายในพื้นที่ และท�ำให้เกิดเป็นระบบบนิเวศที่อ่อนแอไปได้ในที่สุด จากสายตาเรา อาจมองอะไรบนพื้นบ่อ ไม่เห็นได้ง่ายๆ เราคงเห็นเพียงสีของน�้ำ ที่บางครั้งอาจเกิดข้อสงสัยว่า ท�ำไมมันจึงเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน เดี๋ยวเข้มขึ้น เดี๋ยวจางลง โดยเฉพาะในระยะกลางถึงท้ายของการเลี้ยง… ซึ่งที่จริง แล้ว หากพิจารณาดีๆ จะไม่แปลกใจเลย เพราะพื้นที่บ่อเลี้ยง ที่ผ่านการใช้สารเคมีฆ่าสัตว์หน้าดิน หรือก�ำจัดพาหะใน น�้ำออกไปอย่างหมดจด ก็จะเกิดระบบนิเวศที่เหลือแต่สัตว์น�้ำที่เลี้ยง กับจุลินทรีย์เพียงน้อยชนิดบริเวณพื้นท้องน�้ำ ผสม ผสานกับแพลงก์ตอนพืช ที่สามารถเจริญขึ้นมาในระหว่างขั้นตอนการเลี้ยง ซึ่งโดยธรรมชาติ แพลงก์ตอนพืชที่มี ไม่ได้กินจุลินทรีย์ ส่วน กุ้งที่เราเลี้ยง (ซึ่งเป็นผู้ล่า) ก็คงไม่ได้ว่ายน�้ำ กิน แพลงก์ตอนพืชเป็นอาหารหลักในการเจริญเติบโต ดังนั้น ระบบนิเวศในบ่อที่ใช้สารเคมีในการจัดการในช่วงตั้งต้นอย่าง มาก จึงกลายเป็นโลกของ กุ้ง อาหาร และ ของเสีย เป็นหลัก ซึ่งจะวนเวียนเปลี่ยนแปลงปริมาณไป ด้วยบทบาทความ สัมพันธ์กับ จุลินทรีย์ และ แพลงก์ตอนพืช ที่มีในบ่อ ซึ่งสิ่งมีชีวิตสองกลุ่มหลังนี้ จะเป็นผู้รับภาระที่หนัก วนไป วน มา และมักจะเพิ่มจ�ำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณอาหารและของเสียที่เหลือ เมื่อระยะเวลาผ่านไป กลุ่มของจุลินทรีย์ที่จะเพิ่มจ�ำนวนขึ้นมาก มักจะเป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งผลจาก การย่อยสลายสารอินทรีย์ ก็จะท�ำให้เกิดสารกลุ่มไฮโดรเจนซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) ซึ่งมีความเป็นพิษ สะสมอยู่เป็นปริมาณ มากในเนื้อดิน ส่วนกลุ่มของแพลงก์ตอนพืช ก็มักเปลี่ยนชนิดไป ตามสัดส่วนของธาตุอาหาร (โดยเฉพาะแอมโมเนียม ที่มักเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของการเลี้ยง) ซึ่งอาจมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ หรือลดลงในบางช่วง โดยสอดคล้อง กับระดับของสารอาหารพืชที่เกิดขึ้นในมวลน�้ำ หากลองจินตนาการตามไป.. ท่านจะตระหนักถึงความเป็นธรรมชาติ ซึ่งมันเช่นนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะมาก หรือน้อย จะเกิดขึ้นได้เร็ว หรือช้า ย่อมเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยต่างๆ ซึ่งผลกระทบที่ส�ำคัญ มาจากการจัดการ ควบคุมด้านปริมาณอาหาร ระบบการให้อากาศ การหมุนเวียนน�้ำ และอิทธิพลจากสมบัติของ ดิน และ น�้ำ ณ บริเวณ แหล่งที่ประกอบกิจการการเลี้ยงนั้น พื้นดินตะกอน ซึ่งเป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เหลือเพียง จุลินทรีย์ แต่ไม่มีสังคมของสัตว์ หน้าดิน จะขาดการช่วยกินต่อกัน เป็นทอดๆ ซึ่งนับเป็นการขาดสมาชิกที่จะมาช่วยกันบ�ำบัดเลน ซึ่งหากเป็นในกรณี ดังกล่าว การจัดการส่วนใหญ่ที่จะเกิดตามมา ก็คงมุ่งไปสู่ การใช้ เคมีบ�ำบัด ซึ่งคงไม่มีใครสามารถประเมินได้ถึงความ คุ้มทุน ความคุ้มค่า ได้ดีเท่ากับวิจารณญาณของเราเอง ดินดีสัตว์หน้าดินมีสุข เป็นอย่างไร โดยธรรมชาติแล้ว หากเพียงเราไม่ได้ใช้สารเคมีที่รุนแรง ใส่ลงในบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ สัตว์หน้าดินก็จะเกิดขึ้นได้ แต่ จะเป็นชนิดใด มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของบริเวณนั้น ๆ ว่าตัวอ่อนของสัตว์ใด สามารถถูกพัดพาเข้ามา กับน�้ำได้ โดยในพื้นที่บ่อมีขี้แดดตกตะกอนทับถมที่ผิวดิน มีสารอินทรีย์เน่าเปื่อย อาทิ ซากแพลงก์ตอนต่างๆ หรือมี พรรณไม้และสาหร่ายเจริญขึ้นแนวชายบ่อ ฯลฯ ลักษณะดังกล่าว นับเป็นพื้นที่ส�ำหรับอยู่อาศัยที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยอาหาร เป็นพื้นที่เหมาะต่อการขยายพันธุ์ ซึ่งจะท�ำให้สัตว์หน้าดินมีโอกาสเพิ่มจ�ำนวนได้อย่างต่อเนื่อง


154 ในทางตรงกันข้าม พื้นบ่อที่ ค่อนข้างยาก ต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์หน้าดิน มักจะเป็นพื้นที่มีองค์ประกอบ เป็นลูกรังปนหินกรวด หรือเป็นดินที่แน่น แข็ง มีสารอินทรีย์ต�่ำ หรือมีสารอาหารพืชในดินต�่ำ ซึ่งอาจเป็นดินที่มีการอัด แน่นโดยธรรมชาติ หรือเป็นพื้นดินที่เกิดเปลี่ยนสภาพ และแข็งตัวขึ้นจากการใช้ปูนที่มากเกินไป ลักษณะดินที่แข็งดัง กล่าว ท�ำให้ตัวอ่อนของสัตว์หน้าดินหลายชนิดลงฝังตัวไม่ได้ และท�ำให้การแพร่กระจายของประชากรถูกจ�ำกัดเฉพาะที่ ซึ่งในภาพรวม คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เรียนรู้ และพัฒนาความรู้ด้านสัตว์หน้าดินในบ่อเลี้ยง ได้ดีกว่าตัวของ ผู้ประกอบการเลี้ยงเอง ซึ่งมีโอกาสที่จะคลุกคลีอยู่ที่บ่อ อยู่ในพื้นที่ ได้ในทุกๆ วัน…ในการนี้ ขอให้เราได้ใช้โอกาสที่มี ให้คุ้มค่า หันมาพิจารณาพื้นที่บ่อ และไตร่ตรองถึงข้อมูลต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ และน�ำไปประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์ ในการบริหารจัดการพื้นที่บ่อเลี้ยงของเราได้อย่างเหมาะสม และน�ำไปสู่ความส�ำเร็จในการเลี้ยงตามที่มุ่งหวังได้ต่อไป สายใยและความเชื่อมโยง สู่แนวทางการจัดการโดยพึ่งตนเอง สืบเนื่องจากการที่ผู้เขียน ได้มีโอกาสออกพื้นที่และด�ำเนินการศึกษาวิจัยในพื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ ตั้งแต่ช่วง ปีพ.ศ. 2538 โดยท�ำโครงการวิจัยด้าน “ดินตะกอนและการบ�ำบัดมลพิษในดินโดยการใช้ไส้เดือนทะเล” (พ.ศ. 2538 – 2546) และโครงการต่อยอดทางด้าน “การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการบ�ำบัดครบวงจรในทางปรับปรุงทรัพยากร ดินตะกอนและระบบนิเวศหน้าดินเพื่อการเลี้ยงกุ้งกุลาด�ำอย่างยั่งยืน” (พ.ศ. 2547 – 2548) รวมทั้งอีกหลายโครงการ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ระยะเวลาที่ผ่านมาท�ำให้ได้มีโอกาสที่ไปเรียนรู้ สัมผัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ และลักษณะของ กิจกรรมและปัญหาในการเลี้ยงของผู้ประกอบการอย่างมากมาย ซึ่งส่วนหนึ่งท�ำให้เราตระหนักถึงรากฐานความคิด ที่ กล่าวถึงผู้คนในแวดวงนักวิชาการ ไว้ว่า “เราไม่เชื่อนักวิชาการหรอก เพราะพวกคุณเป็นนักวิชาเกิน” อาจด้วยเพราะรากฐานของความคิดดังกล่าว ที่อาจเกิดจากประสบการณ์หลากหลายที่ประสบมา จึงท�ำให้ช่อง ว่างระหว่างนักวิชาการ และผู้ประกอบการ ได้ขยายวงกว้างขึ้นออกไป จนท�ำให้บางครั้ง การยอมรับหรือแลกเปลี่ยนมุม มอง และความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งนับเป็นข้อก�ำจัด ในความพยายามที่จะสื่อสารซึ่งกันและกัน ตลอดจนเกิดเป็น ข้อจ�ำกัดในการพัฒนาการวิจัย เพื่อการตอบโจทย์ที่จ�ำเป็น หรือเป็นปัญหาที่ส�ำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ ในการเลี้ยงสัตว์น�้ำต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านระยะเวลาช่วงหนึ่งของการท�ำงานมา ที่ได้เห็นทั้งงานวิชาการ ที่ก�ำลังก้าวกระโดดและ เร่งรัดไปสู่ยุคเทคโนโลยีนวัตกรรมขั้นสูง ขณะที่อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งก็ได้เกิดความผันผวนอย่างมหาศาล ก็ได้เริ่ม เข้าใจถึงความเป็นจริงในธรรมชาติของงานในแต่ละภาคส่วน แต่ละบริบท ว่าก�ำลังเดินทางไปอย่างเป็นปัจเจก โดยมัก จะขาดการวิเคราะห์ปัญหา ยอมรับกัน เกื้อกูลกัน หรือพยายามพัฒนาและก้าวเดินไปพร้อมๆ กันอย่างจริงใจ อาจถึงเวลาแล้ว ที่ควรยอมกันรับว่า งานวิชาการเชิงลึก ส่วนมาก สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความสนใจ เฉพาะทางของนักวิจัย และอีกส่วนหนึ่งได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการหาค�ำตอบของภาคเอกชน ที่ มักเป็นการมองการแก้ปัญหาเร่งด่วน หรือการเร่งรัดพัฒนาเฉพาะด้าน โดยขาดความเอาใจใส่ต่อผลกระทบที่จะมีต่อ สมดุลนิเวศ และเสถียรภาพของการเลี้ยงสัตว์น�้ำระยะยาว


155 การสัมผัสกับผู้คนในวงการอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งที่หลากหลายประเภท ได้ท�ำให้เราตระหนักว่า แท้ที่จริง นั้น ผู้ที่ก�ำลังรับหน้ากับความเสี่ยงในทุกๆ วัน ไม่ใช่นักวิชาการ หรือนักวิจัยที่จะแวะเวียนเข้าไปในพื้นที่ในบางครั้ง และ ไม่ใช่ตัวแทนจากบริษัทเอกชนต่างๆ หากแต่เป็นพี่น้องเกษตรกร ผู้ประกอบกิจการการเลี้ยงในพื้นที่แต่ละแห่ง ส�ำหรับในภาคส่วนของนักวิชาการ ก็คงต้องยอมรับว่าขณะที่เราได้มีโอกาสไปศึกษาวิจัย เรื่องหนึ่ง เรื่องใด (โดยเฉพาะงานวิจัยพื้นฐานต่างๆ) เราเองก็จะได้องค์ความรู้ ซึ่งสามารถน�ำมาเขียนเป็นรายงานได้อยู่เรื่อยๆ แต่หาก ความรู้นั้น ทางผู้ประกอบการอาจไม่มีประเด็นที่จะสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาการเลี้ยง หรือแก้ปัญหาที่จะ แปรเปลี่ยนไปในพื้นที่ตนได้ ค�ำถามที่ว่า นอกจาก รายงานการวิจัยย้อนหลังแล้ว “ทางเกษตรกรจะได้อะไร เมื่อให้นักวิชาการมาท�ำวิจัย ในฟาร์ม” ค�ำถามเช่นนี้ นับเป็นประเด็นที่สะดุดใจ ซึ่งท�ำให้เรานักวิชาการควรพิจารณา และหาทางพัฒนางานของ ตนเองให้รอบคอบขึ้น ซึ่งหมายถึง การหาทางตอบโจทย์ทางด้านกระบวนการที่เกิดขึ้น หรือตอบโจทย์ผลกระทบที่จะ เปลี่ยนแปลงจากปัจจัยเหตุต่างๆ เพราะจะท�ำให้เกิดลักษณะของ การท�ำนายผล ต่อไปได้ โดยไม่ใช่เป็นการท�ำวิจัย แค่ เพียงเพื่อการ วัดระดับ ของสิ่งที่สนใจ ณ เวลานั้นๆ เท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะของงานวิจัยอย่างหลัง จะบอกได้ แค่สถานการณ์ ณ เวลานั้น แต่อาจไม่สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ ไปสู่การหาทางควบคุมปัจจัยเหตุส�ำคัญ ที่สมควร จะดูแล หรือเร่งรัดในการแก้ปัญหาต่อไป ในช่วงต่อๆ มา อาทิ ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมานี้ บทบาทของการศึกษาวิจัยได้เริ่มปรับเปลี่ยน โดยทางฝ่ายนโยบาย ได้เห็นความส�ำคัญของการผสานมุมมองร่วม จากภาคส่วนเอกชน และผู้ประกอบการในพื้นที่มากขึ้น จึงหันมาส่งเสริม การท�ำวิจัย ที่เกิดจากโจทย์ปัญหาในพื้นที่จริง นอกจากนี้ ยังพยายามส่งเสริมงานวิจัยร่วม ซึ่งส่วนหนึ่งให้ผู้ประกอบ การมาร่วมท�ำวิจัย หรือเก็บข้อมูลด้วยตนเองมากขึ้น แต่ถึงกระนั้น ผลที่ได้จากงานวิจัยในส่วนใหญ่ ยังคงเป็นผลงาน ด้าน ความรู้ ที่เป็นผลผลิตเป้าหมายแรกๆ ของการวิจัย มากกว่าผลงานด้าน ผลลัพธ์ ซึ่งจะเกิดจากผลการประยุกต์ ใช้ความรู้ จากการที่น�ำงานวิจัยนั้นๆ ไปใช้ประโยชน์ หรือการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ประเด็นที่น่าสนใจ ที่พบจากการทบทวนข้อมูลด้านผลผลิต และการประมวลความรู้ในพื้นที่ร่วมกับผู้ประกอบ การผู้ประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงในพื้นที่ต่างๆ คือ การพบว่า กุญแจส�ำคัญ ในการเชื่อมโยงสู่การประสบความ ส�ำเร็จในการเลี้ยงอย่างยั่งยืน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “การได้ค�ำตอบในสิ่งที่เป็นปัญหา” แต่กลับเป็น วิธีการเพื่อหาค�ำตอบ ซึ่งเกิดมาจากความสนใจใฝ่รู้ รวมทั้งการสร้างสรรค์วิธีการคิด ทักษะการไตร่ตรอง และการตัดสินใจ ซึ่งเกิดจากตัวของ ผู้ประกอบการเลี้ยงเอง “กระบวนการคิดและการวางแผน เพื่อพัฒนาความรู้ เพื่อการเรียนรู้ และการสร้างความเข้าใจในระบบ ทางธรรมชาติของพื้นที่ ซึ่งน�ำไปสู่การบริหารจัดการแก้ปัญหาที่เหมาะสม” นับว่าเป็นสิ่งที่ส�ำคัญยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีนิตยสารใด ไปขอสัมภาษณ์ผู้ที่ล้มเหลวตลอดกาลในการเลี้ยงสัตว์น�้ำ แต่จะมีบทสัมภาษณ์ ของผู้ที่ปัจจุบันได้ประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงขึ้นมา และสิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ผู้ที่ประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงเหล่า นั้น ทุกคนได้ฝ่าฟันปัญหาด้วยตนเอง ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน ผ่านประสบการณ์ การลองผิด ลองถูก โดยมีความ อยากรู้ อยากหาค�ำตอบ ซึ่งท�ำให้เกิดกระบวนการคิด กลั่นกรอง หาวิธีการ และน�ำมาลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เราจะเห็นได้อีกว่า ผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่ไม่จ�ำเป็นต้องรอผลการวิเคราะห์น�้ำทางเคมี ที่ต้อง ส่งตัวอย่างไปตรวจสอบ ไม่จ�ำเป็นต้องรอผลการตรวจวัดปริมาณเชื้อที่ปนเปื้อนในสัตว์น�้ำ รวมทั้งการตรวจโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับกุ้งที่เลี้ยง ทั้งนี้ เนื่องจาก การรอ อาจท�ำให้ไม่ทันการณ์ในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ผู้ประกอบการเหล่านั้นได้มาซึ่งค�ำตอบ โดยพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้ความรู้ ภูมิปัญญา


156 ที่เกิดจากธรรมชาติพื้นฐานของตน ที่ประกอบด้วยความสนใจใฝ่รู้ และความมุ่งมั่น ที่จะเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ตนเอง กล่าวโดยสรุปแล้ว สิ่งที่โดดเด่นกว่า “ศาสตร์” ทางวิชาการ หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่มี ก็คือ “ศิลป์” ในการจัดการ ซึ่งเกิดมาจาก กระบวนการคิด ที่จะน�ำเอาปัจจัยทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของ พื้นที่ ลักษณะของน�้ำ คุณภาพดิน รวมทั้งปัจจัยด้านแรงงาน และต้นทุนเท่าที่เรามีอยู่ มาผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อวางแผน การจัดการ โดยพยายามให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดเสถียรภาพของการเลี้ยงได้ยาวนาน ส�ำหรับนักวิชาการ หากเราไม่ออกนอกกรอบวิชาการเดิมที่มี ก็มักจะน�ำเสนอประเด็นองค์ความรู้ให้สู่ชุมชน ใน แง่มุมของ วิธีการ ขั้นตอน หรือ ผล ของการตรวจวัดค่าปัจจัยต่างๆ ในพื้นที่บ่อ หรือ ผลจากการศึกษาในห้องปฏิบัติ การ ที่ต้องการน�ำไปส่งเสริม ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้ อาจเป็นความรู้ที่ไม่รัดกุมเพียงพอ ที่จะไปอธิบายความเป็นไปที่จะ เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังอาจเป็นข้อมูลที่จ�ำเพาะแค่กับสถานการณ์ที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะด้าน โดยยังขาดการวิเคราะห์ ถึงเหตุปัจจัย ที่เชื่อมโยงภายในระบบนิเวศนั้นอย่างเพียงพอ ซึ่งโดยธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว ในแต่ละพื้นที่ แต่ละบ่อ แต่ละบริเวณ มักจะมีความแตกต่างกันไปมาก และมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดได้จากเหตุปัจจัยภายนอกอย่างตลอดเวลา ด้วยเหตุดังกล่าว การให้ ความรู้ พื้นฐานทางระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง หรือความรู้ทางด้านพันธุ์ ด้านอาหาร ด้านยา สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยง อาจไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการ เรายังจ�ำเป็นต้องสร้างสรรค์ มุมมองและกระบวนการคิด ให้เกิดในผู้ประกอบการในการเลี้ยง ที่จะท�ำให้เกิดการประยุกต์ความรู้ ไปสู่การบริหาร จัดการที่มีประสิทธิภาพได้ ข้อมูลความรู้ใน “ศาสตร์และศิลป์ดินตะกอนเพื่อการใช้ประโยชน์จากพื้นบ่ออย่างยั่งยืน” ในแต่ละตอนที่ได้ กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคนิควิธีการพิจารณาดินพื้นท้องน�้ำ ด้านสารอินทรีย์ในดินและมุมมองในการจัดการ ด้านซัล ไฟด์และผลกระทบต่อมวลน�้ำ หรือด้านที่เกี่ยวกับสัตว์หน้าดินฯลฯ หากท่านมีโอกาสได้อ่านศึกษา และค่อยๆ พิจารณา ตามไป ก็จะพบว่าแต่ละตอนไม่เคยเสนอสูตรส�ำเร็จในการเลี้ยง โดยเฉพาะด้านการบ่งบอกถึง ระดับ ของปัจจัย ที่จะ ท�ำให้การเลี้ยงประสบผลส�ำเร็จ แต่กลับจะเน้นให้มองพื้นที่อย่างเข้าใจ ยอมรับความเป็นธรรมชาติ และพยายามค้นคว้า ด้วยตนเองให้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อที่เราจะเกิดความตระหนักรู้ถึงกระบวนการ ความเชื่อมโยง ทราบถึงระดับสูงสุดหรือ ต�่ำสุด ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในพื้นที่บ่อของเราเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ในการวางแผนการจัดการได้ อย่างรอบคอบ และเกิดประสิทธิผลตามที่ตั้งใจ หากพวกเรายังต้องการเลี้ยงกุ้งให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืน และประสบความส�ำเร็จ เราจึงควรพัฒนา กระบวนทัศน์ ของตนเองอย่างสม�่ำเสมอ ด้วยใจเป็นกลาง และด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ซึ่งวิธีการง่ายๆ แต่จ�ำเป็น อย่างแรกสุด ก็คือ การก�ำหนด เป้าหมาย ในการเลี้ยงที่ชัดเจน และเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยในการนี้ เราควรมีความมุ่งมั่นที่ จะพัฒนาการเลี้ยง ในแบบ รู้ให้จริง ให้เกิดขึ้นให้ได้ นอกจากนี้ ยังควร วิเคราะห์ว่า สิ่งใด คือ สิ่งที่ จ�ำเป็นต้องรู้ แล้ว หาทางพัฒนาตนเอง หาความรู้ที่ ต้องรู้ ก่อน ..เมื่อรู้แล้ว ลองน�ำไปลงมือปฏิบัติ และจะต้องประเมินผลงาน ประเมิน ตนเอง เพื่อให้เชื่อมโยงกลับไปสู่การพัฒนาทุกระยะ และเดินไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจได้ในที่สุด การวิ่งตามกระแสเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ๆ โดยขาดจุดยืน ขาดอุดมการณ์ในการประกอบอาชีพที่ ชัดเจน และขาดความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ตนเองอย่างเพียงพอ ย่อมจะท�ำให้เกิดการเผชิญหน้ากับการแก้ปัญหาใหม่ ไปเรื่อยๆ ซึ่งท้ายที่สุด อาจก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของสภาพบ่อ และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องโดยรอบ โดยยากที่จะ แก้ไขกลับคืนมาได้


157 หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราทุกคนจะมาช่วยกันใช้สติ ปัญญา ในการคิดไตร่ตรอง ในการตัดสินใจ เพื่อการพัฒนา งานของเราเอง ขออย่าให้เกิดความโลภ หรือการเอาเปรียบต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รอบตัวของเรา และขอให้ความมุ่งมั่น ที่จะพัฒนาตนดังที่กล่าวมา ช่วยสร้างสรรค์ให้เราได้สามารถประกอบอาชีพที่ เรารัก ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และเกิดความสุขเพียงพอในชีวิตสืบต่อไป เอกสารอ้างอิง จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2545. เลี้ยงไส้เดือนทะเลสลายสารอินทรีย์ในดิน. คัมภีร์เพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ ปีที่ 1 ฉบับที่ 10 ประจ�ำเดือนเมษายน 2545. จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2548-2549. ศาสตร์และศิลป์ดินตะกอนเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากพื้นบ่ออย่างยั่งยืน (ตอนที่ 1-7). สัตว์น�้ำ ฉบับที่ 187, 188, 191, 192, 193, 194, และ 198. จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2548. ดินตะกอน. คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 146 หน้า. จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2549. เล่าสู่กันฟัง (ได้อะไรเรียนรู้อะไรจากการวิจัยดินตะกอน). ธุรกิจสัตว์น�้ำ ปีที่ 1 ฉบับที่ 4. จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2550. สมดุลนิเวศ เรียนรู้และเข้าใจ เพื่อจัดการระบบการเลี้ยงอย่างมีประสิทธิภาพ. ธุรกิจสัตว์น�้ำ ปีที่ 2 ฉบับที่ 16. จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ และเชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์. 2553. การพัฒนาเกณฑ์คุณภาพน�้ำและดินตะกอนพื้นท้องน�้ำเพื่อประเมินสถานการณ์ ยูโทรฟิเคชันและมลภาวะทางน�้ำ: กรณีศึกษาระบบนิเวศแม่น�้ำและปากแม่น�้ำในพื้นที่แม่น�้ำท่าจีน แม่น�้ำแม่กลอง แม่น�้ำบางปะกง และแม่น�้ำเวฬุ. วารสารวิชาการวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมไทย 24(1): 129-138. นิตยา ฤทธิ์นิ่ม และจารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2554. การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลชีววิทยาสัตว์พื้นท้องน�้ำส�ำหรับประเมินศักย์การผลิตของระบบบ่อ เลี้ยงกุ้งวิธีเลียนแบบธรรมชาติ: กรณีศึกษาในบ่อเขตทะเลถึงเขตน�้ำกร่อยแนวปากแม่น�้ำท่าจีน ต�ำบลพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร. วารสารวิจัยเทคโนโลยีการประมง 5(1): 109-120. กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุณพี่น้องผู้ประกอบการเลี้ยงกุ้ง ทั้งในภาคตะวันออก ภาคใต้ รวมทั้งในพื้นที่เขตสามสมุทร ที่ กรุณาให้ความรู้ ให้มุมมอง แนวคิด และถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีคุณค่านานับประการ และขอขอบคุณทีมงานจาก ห้องปฏิบัติการวิจัยดินตะกอนและสิ่งแวดล้อมทางน�้ำ ภาควิชาชีววิทยาประมง และห้องปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมทาง ทะเล ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง ที่เป็นก�ำลังส�ำคัญในการออกพื้นที่ภาคสนาม และเป็นก�ำลังใจใน การท�ำงานต่างๆ ด้วยดีเสมอมา


Click to View FlipBook Version