The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้ทางวิชาการ
งานวันกุ้งจันท์ ครั้งที่ 27
ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคม 2566
ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี
จังหวัดจันทบุรี
จัดโดย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panupong Petchkaew, 2023-03-18 05:40:09

หนังสืองานวันกุ้งจันท์ ครั้งที่ 27

ความรู้ทางวิชาการ
งานวันกุ้งจันท์ ครั้งที่ 27
ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคม 2566
ณ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี
จังหวัดจันทบุรี
จัดโดย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี

Keywords: งานวันกุ้ง

101 สูตรเพิ่มปริมาณเอนไซม์ เพิ่มประสิทธิภาพใน การย่อย และดูดซึมอาหารของกุ้ง กรณีน�้ำที่น�ำมาใช้ขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์มีค่าอัล คาไลน์ต�่ำกว่า 120 ppm ให้เติม โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) 1 – 5 กิโลกรัม เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ในการสร้างเอนไซม์ EHP (Enterocytozoon hepatopanaei) ดัชนีบ่งชี้ระดับภูมิคุ้มกันของกุ้ง EHP จัดเป็นเชื้อฉวยโอกาสที่พบในกุ้งที่อ่อนแอ หรือระบบภูมิคุ้มกันต�่ำ เป็นเชื้อที่พบกระจายอยู่ทั่วไปใน แหล่งน�้ำธรรมชาติโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการสะสมของสาร อินทรีย์การก�ำจัดเชื้อEHPโดยการใช้ยาและสารเคมีจะ สร้างผลกระทบต่อสมดุลจุลินทรีย์ที่อยู่ในบ่อเพาะเลี้ยงกุ้ง ทะเลส่งผลต่อระดับภูมิคุ้มกันของกุ้งเพิ่มความเสี่ยงของ การเกิดอาการขี้ขาว และการติดเชื้อก่อโรคอื่นๆ EHP กับกุ้งขาว 1. เมื่อกุ้งแข็งแรง EHP เป็นเพียงจุลินทรีย์ท้อง ถิ่น ที่พบทั่วไปในแหล่งน�้ำธรรมชาติ 2. เมื่อกุ้งอ่อนแอEHPจะเป็นดัชนีบ่งบอกระดับ ภูมิคุ้มกันที่ลดลง เมื่อพบจึงควรแก้ไข โดยมุ่งเน้นการ จัดการคุณภาพน�้ำ และพื้นบ่อ พร้อมทั้งเสริมภูมิคุ้มกัน 3. เมื่อกุ้งติดเชื้อ Vibrio หรือ เกิดความเครียด เชื้อEHPจะกลายเป็นเหมือนเชื้อปรสิตเพิ่มจ�ำนวน และ แย่งชิงอาหาร ท�ำให้กุ้งยิ่งอ่อนแอ 4.EHPคือเชื้อในสกุลEnterocytozoon ที่พบ ในสัตว์และคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง 5. ในกุ้งที่มีอาการขี้ขาวอาจพบหรือไม่พบ EHP 6.กุ้งป่วยมีโอกาสพบ EHPเพราะขณะที่กุ้งป่วย ภูมิคุ้มกันกุ้งลดลง ไม่ใช้เพราะ EHP ท�ำให่ป่วย 7. กุ้งแต่ละสายพันธุ์มีความแข็งแรง และระดับ ภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน การเลือกสายพันธุ์กุ้งต้องสอดคล้อง กับศักยภาพและความสามารถในการจัดการเลี้ยง 8.กุ้งขาวต้องการอาหารโปรตีนไม่สูงแต่ต้องการ โปรตีนคุณภาพ โดยเฉพาะในช่วง60วันแรกของการเลี้ยง 9. กุ้งต้องการเอนไซม์จากจุลินทรีย์ ในการย่อย อาหาร จึงจ�ำเป็นต้องใช้จุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติโพรไบโอ ติก และสร้างเอนไซม์ย่อยอาหาร 10. การใช้ยาและสารเคมีโดยมุ่งหวังท�ำลายเชื้อ ยิ่งสร้างปัญหา และท�ำลายภูมิคุ้มกันกุ้ง สิ่งที่ส�ำคัญ เมื่อตรวจพบการติดเชื้อหรือการปน เปื้อน EHP ในกุ้ง ให้เร่งการเสริม เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของ กุ้ง เช่น การเสริมโพรไบโอติก ปม.2 แลคโตบาซิลลัส แร่ ธาตุ วิตามินซี น�้ำหมักชีวภาพ เป็นต้น


102 การป้องกัน EHP และอาการขี้ขาวในกุ้งทะเล 1. ก�ำจัดและบ�ำบัดสารอินทรีย์ที่สะสมในบ่อใน ช่วงการเตรียมบ่อ และเติมจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพใน การย่อยสลายสารอินทรีย์และมีคุณสมบัติเป็นโพรไบโอ ติก เช่น ปม.2 จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงกลุ่มที่ไม่สะสม ซัลเฟอร์ 2. เลือกใช้สายพันธุ์กุ้งที่เหมาะสมกับศักยภาพ ของการจัดการสารอินทรีย์ในบ่อเลี้ยง 3. เลี้ยงกุ้งระบบปิด ที่มีการรวมตะกอนและดูด ออกสู่บ่อบ�ำบัดก่อนหมุนเวียนน�้ำที่ผ่านการบ�ำบัดกลับมา ใช้เพื่อลดความเครียดของกุ้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง คุณภาพน�้ำ และสารอินทรีย์ที่เป็นอาหารของเชื้อก่อโรค 4. ใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิต เอนไซม์ในการย่อยอาหารและเป็นโพรไบโอติกเช่น ปม.2 จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงกลุ่มที่ไม่สะสมซัลเฟอร์แลคโต บาซิลลัสและยีสต์เป็นต้น เพื่อให้กุ้งดูดซึมสารอาหารได้ ดีท�ำให้กุ้งแข็งแรง โตไว โดยการเติมในน�้ำบ่อเลี้ยง และ ผสมอาหารให้กุ้งกินทุกวัน 5.การจัดการให้อาหารให้เหมาะสมกับสายพันธุ์ กุ้งให้อาหาร0.5–1.0กิโลกรัมต่อลูกกุ้ง1แสนตัว(PL9 – PL 12) การปรับเพิ่มปริมาณอาหารในช่วง 30 วันแรก ของการเลี้ยง ไม่ควรเร่งรีบ โดยเฉพาะกุ้งสายพันธุ์โตเร็ว เพราะการกินอาหารของกุ้งจะมีพฤติกรรมการกินตาม ปริมาณอาหารที่ให้ท�ำให้มีสารอาหารที่ตกค้างเหลือจาก การดูดซึมน�ำไปใช้ประโยชน์ของกุ้งตกค้างในขี้กุ้งปริมาณ มาก ส่งผลต่อความเสี่ยงของการเพิ่มจ�ำนวนของเชื้อก่อ โรคในน�้ำที่จะกลับมากระทบต่อสุขภาพกุ้ง โดยเฉพาะ ส่วนระบบทางเดินอาหาร ที่ส�ำคัญคือตับ/ตับอ่อน ซึ่งส่ง ผลต่อความเสี่ยงในการเกิดอาการขี้ขาว


103 ขนาด 400 ตร.ม. อายุ 90 วัน ไซซ์ 73 ตัวโล กินอาหารวันละ 50 โล อาหารสะสม 1,426 โล โดย นายชาลี จิตรประสงค์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา บ่อทดลองเลี้ยงกุ้งชมรมกุ้งจังหวัดฉะเชิงเทรา


104 วิธีการขยายจุลินทรีย์ของสาริกาฟาร์ม วิธีการขยายจุลินทรีย์ของสาริกาฟาร์ม 1. ต้องเลือกหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณภาพและตรงต่อความต้องการลักษณะงาน 2. ต้องเพาะขยายจุลินทรีย์ให้มีขีดความสามารถในการท�ำงานให้สูงสุดก่อนปล่อย ลงบ่อเลี้ยงกุ้ง 2.1 ต้องเลือกภาชนะที่ใช้ในการขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์ให้เหมาะสม 2.3 อาหารที่ใช้เลี้ยงหัวเชื้อจุลินทรีย์ 2.4 การให้ออกซิเจนระหว่างขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์ สูตรขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์ น�้ำในบ่อเลี้ยง 200 ลิตร เดกซ์โทรสโมโนไฮเดรต 500 กรัม ร�ำละเอียด 100 กรัม กากถั่วเหลือง 60 กรัม หัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 ขวด 300 cc LB2 ทึบแสง กากถั่วเหลือง 24 ชม. <<<<<<<< 48 ชม. <<<< ร�ำละเอียด เดกซ์โทรสโมโนไฮเดรต โปร่งแสง โปร่งแสง โซเดียมไบคาร์บอเนต เกลือด�ำ ปร.3 ปร.2 (ปม.2) 2.2 น�้ำที่ใช้ในขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์ ควรมีค่าน�้ำที่เหมาะสม วิธีการขยายจุลินทรีย์ของสาริกาฟาร์ม


105 3. อัตราการใช้จุลินทรีย์อย่างเหมาะสม 2.5 การทดสอบคุณภาพจุลินทรีย์ pH ต้องต�่ำกว่า 5 ข้างถังที่ใช้ขยายจุลินทรีย์ ต้องสะอาดไม่ลื่น สายลมและหัวทรายต้องสะอาด ไม่มีเมือกจับสายลม 100 ลิตรต่อไร่ <<<< ปรับขึ้นไปตามปริมาณ อาหารที่เลี้ยงรายวัน pH = 7.6<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<< 8


106 โดย นายกิตติพัฒน์ ศรีสมวงศ์ รองประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดฉะเชิงเทรา แนวทางการแก้ไขปัญหาผลผลิตตกต�่ำที่เกิดจากกลุ่มอาการขี้ขาวและโรคตายด่วน (EMS) โดยการปรับเปลี่ยน สายพันธุ์กุ้งมาเป็นกุ้งสายพันธุ์ทน โตปานกลางร่วมกับการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพหลากหลายสายพันธุ์เช่น ปม. 2, ปร. 1, ปร. 3, ปร. 4 และ M-40 ท�ำให้ผลผลิตในเขตภาคตะวันออกมีผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 25% ปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจของเกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตคือราคากุ้งซึ่งปัจจุบันปัจจัยการผลิตเช่น ค่าพลังงาน อาหารกุ้ง เวชภัณฑ์แรงงาน มีการปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับราคากุ้ง การลดต้นทุนการผลิตคือทางออกของเกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้ง การเลือกใช้ลูกกุ้งสายพันธ์ทน โตปานกลางน�ำมาเลี้ยงสามารถเลี้ยงได้ไม่ประสบปัญหาเรื่องกลุ่มอาการขี้ ขาวในสภาวะบ่อเลี้ยงเดิมๆ ที่ยังไม่ได้มีการลงทุนปรับปรุงให้ดีขึ้น ร่วมกับการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพหลากหลาย สายพันธุ์เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ่อและในตัวกุ้งเป็นการช่วยลดต้นทุนแฝง ท�ำให้ต้นทุนการผลิตต�่ำมีแรงจูงใจให้แก่ เกษตรกรสามารถเพิ่มพื้นที่การเลี้ยงเพื่อให้ได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศและส่งขาย ห้องเย็นเพื่อแปรรูปส่งออกต่อไป ความสำ�เร็จของการเลี้ยงกุ้ง สายพันธุ์ทน โตปานกลาง ร่วมกับการใช้จุลินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพหลากหลายสายพันธุ์ เพื่อลดความเสี่ยงกลุ่มอาการขี้ขาวและโรคตายด่วน (EMS) ความสำ�เร็จของการเลี้ยงกุ้ง สายพันธุ์ทน โตปานกลาง ร่วมกับการใช้จุลินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพหลากหลายสายพันธุ์ โดย นายกิตติพัฒน์ ศรีสมวงศ์ รองประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดฉะเชิงเทรา


107 โดย น.สพ.สุวรรณ ยิ้มเจริญ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง จ.จันทบุรี ในมุมมองการเลี้ยงกุ้งที่ดีควรเป็นแบบไหน เรียบง่ายเกษตรกรเลี้ยงกุ้งทั่วไปสามารถท�ำได้ มีผลผลิตออกทุกฤดูกาลอย่างสม�่ำเสมอ ควบคุมต้นทุน ได้คงที่สามารถคงต้นทุนได้ต�่ำกว่าราคาขาย เทคโนยีการ เลี้ยงที่สามารถท�ำได้ง่ายไม่ใช้ต้นทุนที่สูงจนเกินไป สร้าง ระบบป้องกันโรคที่ดีเช่น โรคไวรัสWSVYHVใช้แรงงาน ไม่มาก แรงงานที่ไม่ใช่นักวิชาการก็สามารถท�ำได้ เลี้ยงขาวก็ได้ ดำก็ดี สไตล์หมอเจี๊ยบ Carrying Capacity ในบ่อกุ้งส�ำคัญมาก คือ จ�ำนวนการปล่อยกุ้งสูงที่สุดที่สิ่งแวดล้อมใน บ่อกุ้งสามารถรองรับได้โดยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง เหมาะสมที่สุด ต้องรู้จักสายพันธ์กุ้งที่เหมาะสมกับการ เลี้ยงของฟาร์ม และระบบของฟาร์มที่มีอยู่ ความหนา แน่นในการปล่อยกุ้งแต่ละฤดูกาลต้องมีความแตกต่างกัน เพื่อความเหมาะสมในการควบคุมเชื้อก่อโรค โดย น.สพ.สุวรรณ ยิ้มเจริญ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง จ.จันทบุรี เลี้ยงขาวก็ได้ ดำก็ดี สไตล์หมอเจี๊ยบ


108 น�้ำล้ม แพลงก์ตอนดรอป คือ ต้นเหตุของ ไบโอฟิลม์ (biofilm) เลี้ยงกุ้งขาวก็ดี กุ้งด�ำก็ได้ สไตล์หมอเจี๊ยบ เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงน�้ำ เลี้ยงน�้ำ ให้น�้ำเลี้ยง กุ้งบ�ำบัดดินก่อนเลี้ยงทุกรอบ น�้ำวนกลับมาใช้ได้ใหม่ ประหยัดพลังงานรักษาแร่ธาตุเทคนิคประหยัดแร่ธาตุใช้ แต่พอดีเทคนิคท�ำกุ้งสีเข้ม กุ้งขาว กุ้งด�ำ สายพันธุ์ไหนสี ก็เข้มได้ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว ในรอบวันอากาศเปลี่ยนแปลงกลับไปมา ฝนตก อากาศร้อนเย็นสลับกัน ท�ำให้การควบคุมคุณภาพน�้ำ ของเกษตรกรมีความยากล�ำบาก โครงสร้างของสภาพ น�้ำในบ่อเลี้ยงกุ้งมีความเปราะบาง เมื่ออากาศเปลี่ยนน�้ำ ก็เปลี่ยนตามขาดความยืดหยุ่น


109 เตรียมบ่อด้วยระบบจุลินทรีย์ จะท�ำให้ Alkaline สูงขึ้นอย ่างต ่อเนื่องจาก ปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่จุลินทรีย์แบ่งตัวและเจริญเติบโต ท�ำให้สร้างกรดคาร์บอนนิคในน�้ำจะไปละลายปูน คาร์บอนเนตที่สะสมที่พื้นบ่อเปลี่ยนรูปเป็นไบคาร์บอน เนตเมื่อ Alkalineสูงขึ้นเรื่อยๆจะท�ำให้คุณภาพน�้ำนิ่งขึ้น ไม่ดรอปง่าย และสีน�้ำนิ่ง pH ในรอบวันจะนิ่งห่างกันไม่ เกิน 0.3 ตลอดการเลี้ยงมีการเติมจุลินทรีย์อย่างต่อเนื่อง จะท�ำให้น�้ำเกิดความสมดุลย์จะเกิด floc ในช่วงที่กุ้งอายุ 40-50 วัน และเกิดขึ้นตลอดการเลี้ยง เรามาสร้างบัฟเฟอร์ด้วยวิธีการเตรียมบ่อ ด้วยระบบจุลินทรีย์ จะท�ำให้Alkaline สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก ปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่จุลินทรีย์แบ่งตัวเจริญดเติบโต ท�ำให้ เกิดการสร้างกรด คาร์บอนนิค ในน�้ำ ท�ำให้pH ลดลง เมื่อ pH ลดลงจะไปละลายปูนแคลเซียมที่พื้นบ่อเปลี่ยน รูปเป็นไบคาร์บอนเนตตลอดการเลี้ยงมีการเติมจุลินทรีย์ เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จะท�ำให้ระบบเกิดความสมดุลย์ ระหว่าง Autotrophic และ Heterotrophic bacteria เตรียมพื้นบ่อ และเตรียมบ่อ ด้วยระบบจุลินทรีย์ เลี้ยงโดยไม่มีการถ่ายน�้ำ ดูดเลน ตลอดการเลี้ยง บ่อ 3 ไร่ กุ้งขาว 2.3 ตัน/ไร่ ไม่เปลี่ยนถ่ายน�้ำ และ ดูดเลนตลอดการเลี้ยง ใช้จุลินทรีย์บ�ำบัดพื้นและบ�ำบัดน�้ำ ท�ำไมเราจึงต้องบ�ำบัดพื้น ดินก่อนการเลี้ยงและระหว่างการ เลี้ยง เพราะ แบคทีเรียที่พบในระบบ ทางเดินอาหารกุ้ง จะเป็นแบคทีเรีย ที่พบที่พื้นบ่อกุ้งเป็นส่วนใหญ่ ส่วน แบคทีเรียที่พบที่ผิวเปลือกกุ้ง จะเป็น แบคทีเรียที่พบได้ในน�้ำเป็นส่วนใหญ่


110 การใช้ปูนซีเมนต์ช่วยในการสร้าง แพลงก์ตอน และสมดุลย์แร่ธาตุในน�้ำ และ สร้างสีกุ้ง เติมปูนซีเมนต์วันละ 1 kg/ไร่ตลอดการเลี้ยงจะ ช่วยให้แพลงก์ตอนที่ดีเจริญเติบโตส�ำหรับกุ้งขาวช่วงเวลา 9-10 โมงเช้าในทุกๆ วัน ตั้งแต่วันแรกของการเตรียมบ่อ จนถึงวันจับ เติมปูนซีเมนต์วันละ 2 Kg/ไร่ ตลอดการเลี้ยง ส�ำหรับกุ้งกุลาด�ำ ขึ้นกับ Alkalineถ้า Alkalineเกิน 130 ให้ใช้วันละ 2 kg ต่อไร่ ***ก่อนจับกุ้ง 14 วัน ใช้ปูนซีเมนต์ 2-4 kg/ ไร่ แบ่งลง 2 ช่วงเวลา ตอน 9 โมงเช้า และ 3 ทุ่ม ช่วย ท�ำให้สีกุ้งเข้มขึ้นได้ + กับ การเติมสีน�้ำเทียมในน�้ำ ให้ น�้ำสีเข้มขึ้น กุ้งจะปรับตัวตามสีของน�้ำ ท�ำให้กุ้งสีเข้ม ขึ้นตามธรรมชาติ ฟื้นฟูดินที่เสียจากการใช้สารเคมีเป็นระยะ เวลายาวนาน ช ่วยย ่อยสลายสารอินทรีย์ที่ตกค้างที่พื้นบ ่อ ควบคุมจุลินทรีย์ตัวร้ายที่ก่อโรคในดิน ลดกลิ่นเหม็นใน ดิน แก๊สไข่เน่า และของเสียที่สะสมจากอาหารกุ้งที่อาจ หลงเหลือจากการเลี้ยงรอบที่แล้ว การใช้ปูนร้อนลงพื้นบ่อเพื่อช่วยลดเชื้อ EHP ปนเปื้อนอยู่ ที่พื้นดิน ใช้ปูนร้อนหว่านให้ทั่วฟื้นบ่อถ้าบ่อที่ครอปที่แล้ว มีอาการขี้ขาวให้ใช้ที่500kg/ไร่ถ้าบ่อครอปที่แล้วกุ้งเริ่ม โตช้าให้ใช้ที่300 kg/ไร่ ในบ่อปกติให้ใช้250 kg/ไร่ ลงปูนร้อน 250 kg ต่อ ไร่


111 เตรียมน�้ำ ด้วยระบบ จุลินทรีย์เข้มข้นหลีก เลี่ยงการใช้ คลอรีนในการเตรียมบ่อ วันที่1ลงยาฆ่าพาหะ ไดคลอวอส2 ppm หรือ 4 kg/ไร่ วันที่ 3 ลงคอปเปอร์ซัลเฟต 5 kg/ไร่ น�้ำลึก 1 เมตร ถ้าน�้ำลึก 1.5 เมตร ลง 8 kg/ไร่ วันที่6 ลงกากชา 20 kg/ไร่ วันที่8ลงโพแทสเซียมโมโนเปอร์ซัลเฟต100% 4 kg/ไร่ น�้ำลึก 1.5 เมตร เพื่อก�ำจัด free living virus วันที่9ลงจุลินทรีย์ที่เตรียมไว้และลงกากน�้ำตาล ละลายน�้ำ 20kg/ไร่ หรือ น�้ำตาลทรายละลายน�้ำ 10kg/ ไร่ ให้สาดกากน�้ำตาลที่ละลายน�้ำ หรือ น�้ำตาลทรายที่ ละลายน�้ำก่อนแล้ว ตามด้วยหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ขยายไว้ แล้วทันทีสาดลงบ่อตอน 11 โมงเช้า วันที่ 12 ตรวจสอบคุณภาพน�้ำ ปรับแร่ธาตุให้ ได้ตามเกณท์ เน้น Alkaline ให้สูงเกิน 120 ขึ้นไป ลง ปูนซีเมนต์1กิโลต่อไร่ทุกๆวัน ตลอดการเลี้ยงจะช่วยให้ ประหยัดแร่ธาตุได้ในกุ้งขาวในกุ้งกุลาด�ำให้ลงปูนซีเมนต์ 2 กิโลต่อไร่ตั้งแต่เริ่มเตรียมบ่อไปจนถึงวันจับ วันที่13 ให้ตรวจสอบ pH ให้เหมาะ pH ไม่ควร เกิน 8.0 และ ไม่ควรต�่ำกว่า 7.7 ถ้า pH เกิน ให้หมัก ไมโครเคลียร์และ น�้ำตาลทรายลงอีกครั้งนึง วันที่14ตรวจสอบคุณภาพน�้ำ และ น�ำลูกกุ้งมา ลองน�้ำ


112 การเลี้ยงกุ้งด�ำเลือกสายพันธุ์ในเหมาะสม กับตลาดที่มีอยู่ ตลาดกุ้งอ๊อกไปจีน ปี2566 นี้มีกุ้งเที่ยวบินทั้งปี ที่จะไปจีน เน้นกุ้งสุขภาพดีอัตรารอดเมื่ออ๊อกแล้วรอด ตายสูง ตลาดกุ้งต้มไปจีน ปี2566 นี้ห้องเย็นมีความ ต้องการกุ้งต้ม เน้นสีกุ้งด�ำเบอร์29-32 จ�ำนวนมาก กุ้งกุลาด�ำสีฟ้า ปัญหาจากไนไตรท์ จากการเก็บตัวอย่างหลายๆ สิบบ่อ บ่อที่พบ กุ้งตัวสีฟ้ามักจะเจอปัญหาของไนไตรท์ค้างในระบบเกิน 2 ppm แนวทางการแก้ไขปัญหา กุ้งด�ำตัวสีฟ้า เปลี่ยนถ่ายน�้ำเพื่อลดความเข้มข้นของไนไตรท์ หลังจากเปลี่ยนถ่ายน�้ำแล้ว ไนไตรท์ในน�้ำอาจไม่ลดแต่ ไนไตรท์ที่สะสมในตัวกุ้งจะลดลง ดูดตะกอนเลนออกให้ มากที่สุด ควบคุมอาหารเพดาน feed ไม่ให้อาหารเกิน เสริม แร่ธาตุรวมในอาหาร และวิตามิน C ใช้อาหารที่มี ส่วนผสมของแอสต้าแซนทิน กุ้งเป็นแผล ต้องหาสาเหตุให้เจอว่าแผลจากอะไร เช่น แผล ขีดข่วนจากกรีกุ้ง สาเหตุจากกุ้งที่หนาแน่นเกินไป แผล จากโรคทอร่า แผลจากความเค็มต�่ำไนไตร์ทสูง แผลจาก สภาพอากาศเช่น ฝนตกฟ้าร้อง กุ้งจะกระโดดในตอนที่ ฟ้าร้องและฟ้าแลปสาเหตุทั้งหมดที่คร่าวๆ ตามนี้ กุ้งที่มีลักษณะของเสี้ยนด�ำบริเวณใต้เปลือก ที่มา : ชลอ (2543)


113 การรักษาแผลขีดข่วน จากการเลี้ยงที่มีความหนาแน่นให้พาเซียนกุ้ง ออกแผลก็จะค่อยๆ หายไป ก่อนพาเชียน ให้ใช้เกลือแกง ผสมในอาหาร10กรัมต่ออาหาร1กิโลกรัม กินติดต่อกัน 3วัน พอกุ้งลอกคราบแล้วให้ใส่แร่ธาตุแมกนีเซียมซัลเฟต และโพตัสเซียมคลอไรท์และVit.c10กรัม/อาหาร1kg เปลือกกุ้งจะแข็งเร็วขึ้น แล้วพาเชียลกุ้งออกเพื่อลดความ หนาแน่น แผลจากความเค็มต�่ำไนไตร์ทสูง มักเกิดขึ้นหลังไนไตร์ทสูงเกิน 3 ppmเป็นเวลา นานหลายวัน เปลือกกุ้งจะบาง เบื่ออาหาร ถ้าปล่อยไป นานๆ กุ้งจะตัวหลวม กรอบแกรบ วิธีบรรเทาเบื้องต้น ให้ใช้วิตามิน C ผสมอาหาร 10 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ผสมเกลือแกงในอาหาร 20 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ใช้กลุ่มจุลินทรีย์ที่จ�ำเพาะ เจาะจงใช้ไนไตร์ทเป็นอาหารจะดีมาก เปลี่ยนถ่ายน�้ำให้ บ่อยขึ้น ท�ำเบื้องต้นประมาณ 5วัน แผลก็จะน้อยลงและ หายไป สีน�้ำเข้ม สาเหตุส่วนใหญ่จากอาหารที่เหลือแสงแดดและ การตีน�้ำที่มากเกินไปในช่วงเวลาที่แดดจัด แก้ไขโดยการจ�ำกัดอาหารให้น้อยลงในระยะแรก วิธีที่ดีที่สุด คือ เปลี่ยนถ่ายน�้ำ การควบคุมสีน�้ำ ถ้าสีน�้ำ เริ่มที่จะเข้มให้ใช้สีน�้ำเทียมใส่ลงเพื่อพรางแสง ลดการตี น�้ำในช่วงที่แดดจัดควบคุมอาหารให้จ�ำกัดเพดานฟีดลง กากน�้ำตาล หรือ น�้ำตาลทราย เพื่อปรับสมดุลย์ระหว่าง จุลินทรีย์และแพลงก์ตอนในบ่อ ปกติจะใช้ประมาณ 5% ของอาหาร เช่น อาหาร 100 กิโลกรัมต่อวันให้ลงกาก น�้ำตาลหรือน�้ำตาลทราย ที่ 5 กิโลต่อวัน ลงจุลินทรีย์ เฉพาะกลุ่มที่สามารถก�ำจัดหรือกินแอมมอเนียเป็นอาหาร แผลจุด แผลขีด จากกุ้งแน่น และกระโดด หลังจากรักษา 7 วัน น�้ำเข้ม ใกล้ดรอป


114 น�้ำดรอป มักเกิดจากน�้ำเข้มมาก่อนแล้วเพราะเกิดจากการ เจริญเติบโตของกลุ่มแพลงก์ตอนที่มากเกินไป ท�ำให้ระบบ ขาดสมดุล ขาดคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ หรือสภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลง เช่น ฝนตก pH แกว่งในรอบวันท�ำให้ แพลงก์ตอนตายน�้ำก็จะดรอป วิธีแก้ไขง่ายที่สุดถ้าน�้ำเกิดดรอปแล้ว คือ การ เปลี่ยนถ่ายน�้ำ หลังจากเปลี่ยนถ่ายน�้ำแล้วให้ใส่สีน�้ำเทียม พยายามท�ำ Alkalineให้สูงเกิน 130ขึ้นไป ระบบสมดุล จะกลับมาเองตามธรรมชาติหรือถ้าน�้ำในบ่อติดกันมีสีน�้ำ ที่สวย กลุ่มแพลงก์ตอนที่ดีก็สามารถดูดมาค่อยๆ เติมใน บ่อที่น�้ำดรอปได้จะท�ำให้สีน�้ำเกิดได้เร็วขึ้น กุ้งเป็นตะคิว และกล้ามเนื้อขาวขุ่นเวลา ยกยอเนื่องจากความเค็มต�่ำและขาดแร่ธาตุ สูตรเสริมแร่ธาตุผสมในอาหารเพื่อช่วยแก้ปัญหา ขาดแคลนแร๋ธาตุMgcl2 แมกนีเซียม คลอไรด์10 กรัม และ Kcl โพตัสเซียม คลอไรด์10 กรัม ต่อ อาหาร 1 kg เหตุผลที่ไม่ควรผสมมากกว่านี้เพราะจะไปรบกวนกลิ่น ของอาหารกุ้ง อาจท�ำให้อาหารกุ้งมีความน่ากินน้อยลง กุ้งลอกคราบไม่หยุด หรือ ลอกคราบติดหัว ตาย เกิดจากการขาดสมดุลย์ของแร่ธาตุมีได้หลาย กรณีเช่น แคลเซียมมากกว่าโพตัสเซียมมากเกินไป หรือ ขาดโพตัสเซียมที่เหมาะสม ต้องอยู่ในอัตราส่วน 1.1:1 ส่วนใหญ่เกษตรกรเข้าใจผิดคิดว่ากุ้งเปลือกบางลอกคราบ ติดหัวเพราะขาดแคลเซี่ยม ยิ่งใส่ปูนแคลเซี่ยมมากขึ้นจน ท�ำให้ความสมดุลย์ระหว่างแคลเซียมและโพตัสเซี่ยมเสีย ไป กุ้งจึงลอกคราบไม่หยุด กุ้งไทย เป้าหมาย 400,000 ตันหัวใจส�ำคัญ อยู่ที่...... ตลาดต้องมีเกษตรกรต้องรู้ว่าจะขายที่ไหนก่อน ปล่อยกุ้ง ก�ำหนดเป้าหมายท�ำไซส์และคุณภาพให้ตรง กับลูกค้าที่คุยราคากันไว้ควบคุมต้นทุนให้คงที่เสียหาย ให้น้อยที่สุด หรือ ไม่เสียหายเลย หาสายพันธุ์ให้เหมาะ สมกับการเลี้ยง ให้ตรงตลาดและศักยภาพของฟาร์มของ ตนเอง กุ้งลอกคราบไม่หยุด ลอกคราบติดหัวติดหางตาย


115 โดย นายกิตติคุณ ขาลไธสงษ์ เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เลี้ยงกุ้งดำง่ายๆ สไตล์ป๋าเหลิม สามร้อยยอด


116 สายพันธุ์กุ้ง (Genetic Improvement) - รู้จักพฤติกรรมและนิสัยกุ้งกุลาด�ำของในแต่ละ สายพันธ์ุ (Habitat) กุ้งเหมือนคน, เล่น กิน พักผ่อน ท�ำความสะอาด ชอบของใหม่ - ปลอดโรค (SPF) สายอึดทนทานต ่อการ เปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนสุดขั้ว (Climate Crisis) หรือที่เรียกว่า วิกฤตินิเวศน์ - ลดความเสี่ยงช่วยลดต้นทุนในการผลิตกุ้ง - ลดการด�ำเนินธุรกิจโดยพึ่งพาธรรมชาติลง การบริหารจัดการ (Management) - การเลือกชัยภูมิที่ตั้ง (Site Selection) - คน (Man) แรงจูงใจ (Incentive) เครื่องมือ (Automation) - การเลือกฤดูกาล (Seasonal) -ระบบการเลี้ยงและการป้องกันโรค(Prevention System) -การเตรียมบ่อ & การเตรียมน�้ำ (Pond &Water Preparation) - อาหารและการให้อาหาร (Feed & Feeding Management) - การติดตามควบคุมคุณภาพน�้ำ (Water Mornitoring) ปัจจัยสู่ความส�ำเร็จ (Key Success Factor) สายพันธุ์ที่ผ่านปรับปรุงพันธ์ (Genetic Improvement) การสร้างสุขภาพกุ้ง (Healthy Environment) การบริหารจัดการ (Management)


117 การสร้างสุขภาพกุ้ง (Healthy Environment) การสร้างสุขภาพกุ้ง (Healthy Environment) - สร้างสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการอนุบาล (Nursing) แบ่งบาง 1 ไป 3 -สร้างสภาพแวดล้อมที่สมดุลย์ในบ่อเน้นการให้ อ้อกซิเจนสูง - ควบคุมปริมาณอินทรีย์สาร จุลลินทรีย์บ�ำบัด การเปลี่ยนถ่ายน�้ำ -การควบคุมเชื้อในน�้ำ การให้วิตามินอาหารเสริม


118 โดย อัษฎา บุญศรีรัตน์ ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจใหม่ โซลาร์ฟาร์มลอยน�้ำ เพื่อการเกษตร โซลาร์ฟาร์มลอยน�้ำ เพื่อการเกษตร ท�ำไมต้องโซลาร์ฟาร์มลอยน�้ำ 70% Water 30% Land 1% ที่อยู่อาศัย 12% เกษตรกรรม 17% หิมะ พื้นที่ภูเขา พื้นที่แห้งแล้ง ทะเลทราย Urbanization Health, Well being Climate change Energy security Digitalization Go green พลังงานทางเลือก พลังงานของอนาคต พลังงานแสงอาทิตย์เป็น พลังงานสะอาด การใช้ประโยชน์จากที่ดิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


119 โซลาร์ฟาร์มลอยน�้ำ VS โซลาร์บนดินหรือหลังคา การออกแบบโซลาร์ฟาร์มลอยน�้ำ ประสิทธิภาพการผลิต ไฟฟ้า การอนุรักษ์น�้ำ ไม่ใช้ที่ดิน อุณหภูมิใต้แผงโซลาร์ลดลง ระบายความร้อนได้ดี 10-15% ผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ปัญหาฝุ่นเกาะติดแผง การล้างแผง • กระแสลม และคลื่นน�้ำ • น�้ำขึ้น-น�้ำลง • น�้ำแห้ง-น�้ำท่วม • ทนทานต่อแสง UV • ทนทานต่อสารเคมีความเค็ม ความกระด้าง • ใช้งานง่าย สะดวก • บ�ำรุงรักษาง่าย • ประยุกต์ใช้งานได้ตามพื้นที่ • ไม่กระทบต่อคุณภาพน�้ำ • คงรักษาระบบนิเวศ การ ให้แสงแดดส่องผ่าน ลดอัตราการระเหยของน�้ำ เพิ่มมูลค่าให้กับที่ดิน Outside-in สภาพแวดล้อมกลางแจ้ง Insight ใช้งานจริง ปลอดภัย ยั่งยืน Inside-out ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม


120 Full-range services of Floating Solar Model 3 : Less components, Max functions, High flexibility, Easy installation and O&M • พัฒนานวัตกรรมพลาสติก HDPE และ PP ส�ำหรับการใช้งานกลางแจ้ง และเป็นมิตรต่อสิ่งงแวดล้อม • สิทธิบัตร การออกแบบทุ่นลอยน�้ำ ทั้งในและต่างประเทศ ประสบการณ์ตั้งแต่ปี2560 • ส่งมอลและติดตั้งมากกว่า 100 MWp Floating Pontoon • แรงลอยตัวสูง • Best in class ในการใช้พื้นที่ผิวน�้ำ Mooring and anchoring solutions • รับออกแบบ ติดตั้งระบบยึดโยง • มีวิศวกร และสิทธิบัตร เรื่องระบบ ยึดโยงเฉพาะด้าน Plug-in with other solutions • สามารถใช้งานร่วมได้กับระบบ ผลิตพลังงานอื่น • ประยุกต์ใช้กับงานบริหารจัดการน�้ำ และการเกษตร O&M Solution • ให้บริการส�ำรวจพื่นที่ • ให้บริการบ�ำรุงรักษาระบบ • มีระบบ iOT ให้บริการ • International : 3 patents + 4 design patents • Thailand 3 patents + 3 petty patents + 11 design patents Solar Stand – “Big H-Shape” Balancing and Good buoyancy Enhancing cooling/ventilation Pathway – “Head and Tail” for load distribution Firm walkway with SKELITON pattern Pathway : walkway purpose Long Pathway Series : Flexible configuration XL Pathway : Universal design purpose Maximum PV panel 2,700 mm x 1,600 mm Bolt and Nut – “Patent Joint Connection” Tightening “Click and Snap” easy installation whether on floating Mounting Support – “Aluminium A6005” Customized mounting support at its Green Zone (to avoid micro-crack) and tile angle (standard 8 degree) Spreader bar - “Forces distribution” Absorbing reaction loads from mooring line


121 Mooring and anchoring solutions • รับออกแบบ ติดตั้งระบบยึดโยง • มีวิศวกร และสิทธิบัตร เรื่องระบบ ยึดโยงเฉพาะด้าน Welcome to visit the demo plant @SCG headquarter, Bangkok, Thailand ตัวอย่างโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน�้ำ เพื่อบริหารจัดการน�้ำเพื่อการเกษตร บริหารจัดการน�้ำ แก่เกษตรกรรมบนพื้นที่สูง ชุมชนพื้นที่สูง เมืองจัง อ�ำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน


122 บ่อดินขาว ต�ำบลพรหมนิมิตร อ�ำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาวในระบบปิด CP บางสระเก้า โครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ ผันน�้ำจากที่สูงเข้าสู่ บ่อดินขาว เพื่อเก็บเป็นแหล่งน�้ำส�ำรอง และจัดการน�้ำเพื่อ การเกษตรกรรม ในพื้นที่วิสาหกิจชุมชน โดยจัดวางชุดสูบ น�้ำพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมถังกักเก็บ จ�ำนวน 4 ชุด รอบ บ่อดินขาว Floating Solar ขนาด 249 กิโลวัตต์ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้า ได้ประมาณ 167,300 บาทต่อเดือน


123 ตัวอย่างโครงการติดตั้ง Floating Solar ที่ก�ำลังจะเกิดขึ้นในฟาร์มกุ้ง ตัวอย่างแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้ในงาน ส�ำหรับฟาร์มกุ้ง Floating Solar ขนาด 3 0 2 . 4 0 กิ โ ล วั ต ต ์ สามารถประหยัดค่า ไ ฟ ฟ ้ า ไ ด ้ ป ร ะ ม า ณ 198,000 บาทต่อเดือน Floating Solar ขนาด 50.40 กิโล วัตต์ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ ประมาณ 33,000 บาทต่อเดือน


124 Kubota Farm อ�ำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี โครงการเหมืองแม่ทาน จังหวัดล�ำปาง ขนาดก�ำลังติดตั้ง 51.66 kWp เพื่อ ใช้จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่อง สูบน�้ำขนาด 40 แรงม้า โครงการ นี้ได้ ใช้ทุ่นลอยน�้ำ SCG Floating Solar Solutions ส�ำหรับวางแผง ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ข นาด 410 Wp x 126 แผ่น และได้ ประยุกต์ใช้ทุ่นพลาสติกทางเดินมาเป็น โครงสร้างลอยน�้ำส�ำหรับพยุงชุดกรอง ของระบบน�้ำ ช่วยลดการอุดตันของชุด กรองของระบบน�้ำจากตะกอนดิน ท�ำให้ ระบบน�้ำท�ำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ และจ่ายน�้ำเพื่อการเกษตรของชุมชนรอบพื้นที่เหมือง Pump : 2 x 55kW, Head 180m FPV : 200kWp • เป็นต้นแบบของการน�ำพลังงานสะอาดมาใช้บริหารจัดการน�้ำกับ การเกษตรขนาดกลางและขนาดใหญ่ • สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า คิดเป็น 200,000 บาทต่อปี • ใช้ประโยขน์จากพื้นที่ผิวน�้ำจ�ำนวน 612 ตารางเมตร อีกทั้ง Solar Floating สามารถช่วยลดปริมาณการระเหยของน�้ำได้ • เป็นตัวอย่างให้ชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกร ในการน�ำน�้ำจากแหล่งน�้ำชุมชน ที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกพืชได้


125 โครงการของกรมชลประทาน ขนาดตั้งแต่ 150 kWp Floating Solar Solutions Our References : Industrial Park Our References : PPA Developer 8 MWp, COD in May 2021 Thai Solar Energy, Prachinburi, Thailand Scope: • Layout design & Pontoon supply • On-floated string inverters • EPC Mooring and Anchoring 0.4 MWp, COD Aug 2021 Eastern Seaboard, Rayong, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 0.1 MWp, COD Feb 2020 AMATA, Chonburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 0.5 MWp , COD Dec 2020 Continental Tyre (WHAUP), Rayong, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply EPC Mooring and Anchoring 0.4 MWp, COD Aug 2021 Eastern Seaboard, Rayong, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 0.1 MWp, COD Feb 2020 AMATA, Chonburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 0.5 MWp , COD Dec 2020 Continental Tyre (WHAUP), Rayong, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply EPC Mooring and Anchoring


126 Our References : Food Industry Our References : Food Industry Our References : Industry 2.5 MWp, COD Dec 2020 Mitrphol, Supanburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 5 MWp, COD 2021 Mitrphol, Chaiyaphom, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply EPC Mooring and Anchoring 1 MWp, COD Dec 2021 Cristalla (Supanburi Sugar), Supanburi, Thailand • Layout design • Pontoon supply • Supervision 2.0 MWp, COD Nov 2021 CP Meji, Saraburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply and EPC Mooring & Anchoring 5 MWp, COD in Apr 2020 STL, Saraburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 5 MWp, COD in May 2020 STS, Nakornsrithamarat, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 0.7 MWp, COD Nov 2021 CP Korat Sausage, Nakornratchasrima, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply and EPC Mooring & Anchoring 2.5 MWp, COD Dec 2020 Mitrphol, Supanburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply 1 MWp, COD Dec 2021 Cristalla (Supanburi Sugar), Supanburi, Thailand • Layout design • Pontoon supply • Supervision 5 MWp, COD 2021 Mitrphol, Chaiyaphom, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply EPC Mooring and Anchoring 2.0 MWp, COD Nov 2021 CP Meji, Saraburi, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply and EPC Mooring & Anchoring 0.7 MWp, COD Nov 2021 CP Korat Sausage, Nakornratchasrima, Thailand Scope: Layout design & Pontoon supply and EPC Mooring & Anchoring


127 ศาสตร์และศิลป์ดินตะกอน โดย รองศาสตรจารย์ ดร. จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศาสตร์และศิลป์ดินตะกอน เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นบ่ออย่างยั่งยืน สืบสาวราวเรื่อง ดินตะกอนในพื้นบ่อ ดินตะกอน ที่สะสมตัวอยู่ในพื้นบ่อ เป็นสิ่งที่ยากที่จะมองเห็น เพราะสายตาของคนเรา จะมองเห็นเพียงสีของ น�้ำที่อยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมด... น�้ำ ที่เราเห็นอยู่ในบ่อ ไม่ว่าจะเดินไปดูที่บ่อไหนๆ จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ ไตร่ตรอง และคิดค�ำนึงถึงปัญหา(ภาพที่ 1) ซึ่งก่อให้เกิดการตั้งค�ำถาม และเกิดความพยายามที่จะหาค�ำตอบอย่างต่อ เนื่องกันมามากมาย ศาสตร์และศิลป์ดินตะกอน ภาพที่ 1 ลักษณะของสีน�้ำที่พบซึ่งสะท้อนนลักษณะทางนิเวศวิทยาของบ่อเลี้ยงกุ้งต่างๆ


128 การสังเกตเห็นลักษณะของดินตะกอน อาจจะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเราได้ปล่อยน�้ำออกจากบ่อเพื่อการจับสัตว์น�้ำ ซึ่งเราจะพบ“ขี้เลน” มากมาย สะสมตัวในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป (ภาพที่ 2) ซึ่งหากได้สังเกตให้มากขึ้น จะพบ ว่า ตะกอนเลนใหม่ ที่เกิดขึ้น ในแต่ละบ่อนั้น มีความหนาของชั้นตะกอนเลนใหม่ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังมีสีที่ แตกต่างกัน มีการกระจายตัวในพื้นบ่อต่างๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งแม้กระทั่งบ่อเดิมที่เคยผ่านการเลี้ยงมาแล้ว เมื่อท�ำการ เลี้ยงครั้งต่อไป ก็สามารถเกิดดินตะกอนสะสมในลักษณะที่แตกต่างออกไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดในมวลน�้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการดูแลบ่อ ปริมาณอาหารที่เติมลงไป ระยะเวลาที่ใช้เลี้ยง ฯลฯ รวมทั้งเกิดจากอิทธิพล ของสภาวะลมฟ้าอากาศ และปัจจัยเหตุอื่นๆ ได้อีกมาก ภาพที่ 2 ลักษณะของบ่อเลี้ยงกุ้งที่มีการรวมเลนหรือดินตะกอนที่มีสารอินทรีย์สูง อยู่ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่บ่อ ดินตะกอนในพื้นบ่อ แท้ที่จริงแล้ว สามารถเกิดขึ้นได้ในตลอดระยะเวลาของการเลี้ยงสัตว์น�้ำรอบหนึ่งๆ ซึ่ง เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่เราน�ำน�้ำเข้าสู่บ่อ ซึ่งเมื่อระยะเวลาผ่านไป ตะกอนแขวนลอยที่อยู่ในมวลน�้ำ ก็จะค่อยๆ ตก สะสม ลงไปที่พื้นบ่อ ดินตะกอนเหล่านั้น อาจประกอบด้วยเศษดิน ผง ฝุ่น หรือหินกรวดละเอียด ซึ่งถูกกัดเซาะลงมา หรือ ปะปนในมวลน�้ำที่ดึงเข้าสู่พื้นที่บ่อ นอกจากนี้ ยังรวมถึงซากพืช ซากสัตว์ ที่ถูกพัดพาเข้ามา หรือมาจากบริเวณแนว ขอบบ่อ ที่มีซากอินทรีย์สารจากพรรณไม้ที่ขึ้นปกคลุมในพื้นที่ใกล้เคียง ในช่วงระหว่างที่ท�ำการเลี้ยงสัตว์น�้ำ ดินตะกอนใหม่ยังเกิดได้เรื่อยๆ จากการกัดเซาะของแนวขอบบ่อ หรือ จากพื้นบ่อเดิม ซึ่งถูกกระตุ้นให้หมุนเวียนด้วยแรงของการตีน�้ำหรือแรงลม นอกจากนี้ ยังเกิดจากเศษอาหารที่เหลือ รวมทั้งจากขี้กุ้ง คราบกุ้ง ตลอดจนการตายลงของแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ต่างๆ ที่ได้เติบโตขึ้นมาในมวล น�้ำช่วงระหว่างการเลี้ยง ทั้งนี้ เราพบว่าในบ่อที่มีน�้ำสีเขียวจัด ซึ่งมีปริมาณแพลงก์ตอนพืชที่หนาแน่น แพลงก์ตอนพืช ที่ตายลง และทับถมลงสู่พื้นบ่อด้านล่างนั้น จัดเป็นแหล่งของดินตะกอนพื้นบ่อที่มีบทบาทส�ำคัญ ซึ่งสามารถส่งผลกระ ทบกลับไปสู่คุณภาพน�้ำได้เช่นกัน พื้นบ่อที่มีดินตะกอนทับถมอยู่อย่างมากมายนั้น เปรียบเสมือนเป็นพื้นบ้าน ที่สัตว์น�้ำและสิ่งมีชีวิตต่างๆ จะ อาศัยอยู่ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เพียงพื้นบ้าน เหมือนบ้านของคนเรา ที่มีความมั่นคง แข็งแรง หากแต่เป็นพื้นบ้านที่ มีชีวิต เป็น พื้นบ้านที่มีกิจกรรมของ สิ่งมีชีวิต อยู่นับแสนนับล้านชีวิต ภายในดินตะกอนนั้น พบสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มากมายอาศัยรวม กันอยู่ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กัน พึ่งพากัน และเป็นกลไกส�ำคัญที่ท�ำให้พื้นบ่อของเรา ได้เกิดการหมุนเวียน


129 เปลี่ยนแปร ไม่มีความนิ่ง และที่ส�ำคัญที่สุด ก็คือ การที่สามารถส่งผลกระทบ และมีอิทธิพลต่อคุณภาพของมวลน�้ำด้าน บน ที่มีสัตว์น�้ำที่เราเลี้ยงอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นที่น่าเสียดายว่าในช่วงที่ผ่านมา งานศึกษาวิจัยทางด้านดินตะกอนและบทบาทของระบบนิเวศในดินพื้น ท้องน�้ำ ที่มีต่อการพัฒนาความยั่งยืนของระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ ได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย ทั้งนี้ อาจเนื่องมา จากทรัพยากรดินภายใต้ผิวน�้ำ เป็นทรัพยากรที่ไม่ปรากฏแก่สายตา ท�ำให้คนส่วนใหญ่จึงมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง และบทบาทที่ส�ำคัญที่มี ทั้งๆ ที่แท้ที่จริงแล้ว ภายในกลุ่มก้อนของดินตะกอน หรือที่ผู้ประกอบการมักเรียกกันว่า “ขี้เลน” นั้น เป็นทั้งพื้นบ้าน และเป็นแหล่งหาอาหารของสัตว์น�้ำที่เราเลี้ยง รวมทั้งยังเป็นศูนย์รวมของเศษอาหารที่ เหลือ ซากอินทรีย์สาร สิ่งเน่าเสียต่างๆ (ภาพที่ 3) ตลอดจนเป็นพื้นที่สะสมของมลพิษ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ ย่อยสลายภายใต้ชั้นดิน นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งที่มาของแร่ธาตุ ที่สะสมอยู่ในระดับความเข้มข้นที่สูงมาก ซึ่งแร่ธาตุ ดังกล่าว มีบทบาทโดยตรงต่อคุณภาพน�้ำ และสุขอนามัยของสัตว์น�้ำที่เราก�ำลังดูแลอยู่ด้วย ภาพที่ 3 ลักษณะของดินตะกอนที่มีสารอินทรีย์ค่อนข้างสูงที่พบในบริเวณพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งต่างๆ ในทางวิชาการ เราทราบกันดีว่า ดินตะกอน เป็นแหล่งที่สามารถแลกเปลี่ยนแร่ธาตุกับมวลน�้ำ โดยการปลด ปล่อย หรือดูดซับแร่ธาตุ ณ บริเวณผิวสัมผัสของน�้ำและหน้าดิน ดินตะกอนยังมีบทบาทส�ำคัญต่อระบบนิเวศของแหล่ง น�้ำ ซึ่งพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับในแหล่งน�้ำธรรมชาติ การสะสมของดินตะกอนที่มีสารอินทรีย์สูง เกิดขึ้นได้มากใน บริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งแบบหนาแน่น ทั้งนี้ เนื่องจากความจ�ำเป็นในการที่เราต้องให้อาหาร ซึ่งท�ำให้เกิดทั้งสิ่งขับถ่ายของ สัตว์น�้ำ และการสะสมของอาหารบางส่วนที่คงค้างอยู่ในบ่อ ซึ่งดินตะกอนที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบของการเลี้ยง จะไม่ ถูกถ่ายเทหรือจัดการออกไป จนกว่าจะมีการจับกุ้ง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การจัดการสิ่งแวดล้อมทางน�้ำ ยังมุ่งเน้นทางด้านคุณภาพน�้ำในระบบการเลี้ยง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นประเด็นที่มีความส�ำคัญ ที่มีส่วนในการส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงของผลผลิตกุ้งในแต่ละ พื้นที่ อย่างไรก็ตาม การจัดการปัญหาทางด้านขี้เลน ดินพื้นบ่อ รวมทั้งการควบคุมคุณภาพดินพื้นบ่อในระหว่างการ เลี้ยงให้เกิดอย่างมีเหมาะสมนั้น ยังเป็นประเด็นที่พบได้น้อยกว่า ซึ่งจ�ำเป็นต้องศึกษาพัฒนาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะ การจัดการดินนับเป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อน และจ�ำเป็นต้องใช้เทคนิควิธีการที่เหมาะสม ซึ่งเราอาจจะยังขาดทิศทางที่ ชัดเจนในการตัดสินใน ขาดความรู้ที่จ�ำเป็นต้องใช้ในการแก้ปัญหา และ แนวทางการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละ พื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดการดินเป็นการยังประโยชน์ในการรักษาสมดุลนิเวศของพื้นที่ และช่วยส่งเสริมให้เกิดการเลี้ยง กุ้งในรอบต่อๆ ไปอย่างได้ผล และเกิดเสถียรภาพที่สุด จากการพบปะหารือกับผู้ประกอบการเลี้ยงกุ้งที่ประสบความส�ำเร็จในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้ประกอบการ แทบทุกท่าน ให้ความส�ำคัญ และ ให้เวลา ในการจัดเตรียมพื้นบ่ออย่างดีก่อนการเลี้ยง โดยมุ่งเน้นให้เกิดการฟื้นฟู


130 สภาพทางกายภาพ และทางเคมีของดินอย่างเหมาะสมก่อนการเลี้ยง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาพื้นบ่อให้มีความอุดม สมบูรณ์ทางชีวภาพ (โดยสร้างระบบนิเวศหน้าดินให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย) และให้มีความพร้อมมากที่สุด ก่อนจะ ท�ำการปล่อยลูกกุ้งลงไปเจริญเติบโตในบ่อนั้น ผู้ประกอบการหลายท่านยังได้ทุ่มเทให้ความสนใจ โดยเน้นการเอาใจใส่ด้านปริมาณอาหาร และการรักษา คุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน�้ำ ในตลอดระยะเวลาของการเลี้ยงอย่างจริงจัง รวมทั้ง มีทัศนคติที่ดีต่อการเลี้ยงอย่างเป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยลดการฉีดเลนทิ้ง หรือไม่มีการฉีดเลนออกจากระบบเลย ทั้งนี้ เพื่อดูแลให้สภาพแวดล้อม ทั้ง ดิน และน�้ำ ในพื้นที่โดยรอบ ได้คงคุณภาพที่ดี เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำ ได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านการฟื้นฟูสภาพทางกายภาพและเคมีของดินตะกอน และการพัฒนาพื้นบ่อให้มี ความสมบูรณ์ทางชีวภาพนั้น นับเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่อการด�ำเนินการ และมีความจ�ำเพาะที่อาจต่างกันไปตาม สภาวการณ์ในแต่ละพื้นที่ ด้วยเหตุดังกล่าว ความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนในเรื่องดินตะกอนพื้นท้องน�้ำ จึงมีความจ�ำเป็น ต่อการน�ำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการตัดสินใจ วางแผน และจัดการระบบการเลี้ยงในระยะยาว เพื่อให้เกิดประสิทธิผลตาม เป้าประสงค์ได้ ความส�ำคัญของ “ทรัพยากรดิน” ที่นับเป็นรากฐาน และเป็นส่วนส�ำคัญต่อกระบวนการผลิตสัตว์น�้ำ รวมทั้ง ยังมีอิทธิพลต่อกระบวนการในมวลน�้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความส�ำเร็จในการเลี้ยงได้นั้น ท�ำให้เราทุกคนควรหันมาให้ความ สนใจอย่างจริงจัง โดยเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องดินตะกอน เพื่อหาทางจัดการ “คุณภาพดิน” อย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการจัดการ “คุณภาพน�้ำ” ให้ดี ได้อย่างต่อเนื่องกันไป ข้อมูลความรู้ที่ร้อยเรียง ใน “ศาสตร์และศิลป์ดินตะกอนเพื่อการใช้ประโยชน์พื้นบ่ออย่างยั่งยืน” ฉบับ นี้ นับเป็นการให้มุมมองพื้นฐาน รวมทั้งเป็นการน�ำเข้าสู่แนวทางการสร้างสรรค์ และพัฒนาความคิด ในการบริหาร จัดการการเลี้ยงกุ้งของผู้ประกอบการ ที่มีความสนใจในศาสตร์ของดิน โดยทั้งนี้ เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบการเลี้ยงกุ้งที่ มีประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่ง ในการอนุรักษ์ “ทรัพยากรดิน” ให้รุ่นลูกหลานเรา ได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า และ ยั่งยืนสืบต่อไป การสังเกตดินตะกอน พื้นฐานที่ส�ำคัญ การประยุกต์ใช้ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับดินตะกอน เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การบริการจัดการเพื่อ การเลี้ยงสัตว์น�้ำบ่อ ดินอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นั้น เมื่อมาพิจารณาอย่างถ่องแท้ จะพบว่าเป็นประเด็นที่มีความส�ำคัญ ที่ผู้ประกอบ การ รวมทั้งองค์กรต่างๆ ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น�้ำอย่างยั่งยืน ควรร่วมมือกันหาทางพินิจ พิเคราะห์ และก�ำหนดให้เกิดเป็น เป้าหมาย ที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะเริ่มการสร้างสรรค์ความคิดเพื่อการประยุกต์ใช้ ในล�ำดับแรก เราคงต้องท�ำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ว่า สิ่งที่จะกล่าวถึงกันต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วย “ดินตะกอน” ที่ได้เกิดขึ้น และเกิดการสะสมในบริเวณพื้นบ่อ ซึ่ง ไม่ใช่เป็น ดินบก เดิม ที่จมอยู่ใต้น�้ำ ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะและคุณสมบัติของดินตะกอน มีความแตกต่างไปจากดิน บกที่อยู่ใต้น�้ำเป็นอย่างมาก เมื่อเราพิจารณาดินในบริเวณด้านข้างของบ่อ ด้วยการ สังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ จะเห็นว่าลักษณะของดิน ที่ปรากฏ สามารถสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ของสภาวะแวดล้อมได้หลากหลายอย่าง อาทิ จะพบว่าดินกรวดปนทราย


131 ในแนวขอบบนของน�้ำ ที่แต่เดิมมีสีน�้ำตาลส้มปนเหลือง จะเกิดการผันแปรของสีและลักษณะที่ปรากฏ เปลี่ยนแปลง ไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลาของการเลี้ยงที่ยาวนานขึ้น (ภาพที่ 4) เมื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จะพบว่าดิน บริเวณขอบน�้ำดังกล่าว อาจถูกทับถมด้วยตะกอนใหม่ ที่มีลักษณะเบา เปื่อยยุ่ย และมักมีสีน�้ำตาลเหลืองปนเทา ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นซากของแพลงก์ตอนพืชต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากภายในมวลน�้ำ นอกจากนี้ ยังพบว่า บริเวณหน้าดิน ที่ได้รับแสงส่องลงไปถึงอย่างเพียงพอ จะมีแพลงก์ตอนพืช และสาหร่าย ต่างๆ ที่สามารถเจริญเติบโตเพิ่มจ�ำนวนขึ้นได้ ซึ่งเมื่อแพลงก์ตอนพืชและสาหร่ายดังกล่าวเพิ่มความหนาแน่นจนสูงเกิน ไป จะเกิดการบดบังแสงกันเอง และท�ำให้สาหร่ายในดินชั้นด้านล่างกว่าตายลงไป แล้วหลุดลอกขึ้นจากพื้นดิน ลอยตัว ขึ้นไปสู่ผิวน�้ำ(ภาพที่ 5) เกิดเป็นลักษณะของ “ขี้แดด” ที่เราสามารถพบเห็นกันได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในบ่อที่ตื้น และ มีพื้นบ่อซึ่งมีโคลนเลนสะสมอยู่มาก ซึ่งเมื่อระยะเวลาผ่านไป ขี้แดดที่เกิดขึ้นก็จะเริ่มเน่าเสีย เกิดการย่อยสลายต่อไป ได้เรื่อยๆ ซึ่งอนุภาคขนาดเล็กที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะตกทับถมกลับคืนลงสู่พื้นก้นบ่อ เกิดเป็นเนื้อของดินตะกอนใหม่ๆ ซึ่ง มีปริมาณอินทรีย์สารที่สูง อย่างต่อเนื่องไป เป็นวัฏจักรของระบบนิเวศพื้นท้องน�้ำนั้น ภาพที่ 4 ลักษณะดินตะกอนก้นบ่อที่มักมีเนื้อละเอียดและสีด�ำคล�้ำกว่าฐานดินเดิมของบ่อ ภาพที่ 5 ลักษณะขี้แดดที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่บ่อตื้นที่มีสารอินทรีย์สะสมในพื้นท้องน�้ำ


132 หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะพบว่า ไม่ว่า สีน�้ำ ในบ่อ ที่จะเกิดขึ้นได้เร็ว หรือช้า หรือ ขี้แดด ที่จะเกิดขึ้นได้ มาก หรือน้อย หรือแม้แต่ชนิดของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือผันแปรในมวลน�้ำ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากอิทธิพล ของดินตะกอนพื้นบ่อ ซึ่งท�ำให้เราพบว่า ดินตะกอนเป็นพื้นฐานของชีวิต และส่งผลต่อการผันแปรของสรรพสิ่งที่เกิด ขึ้นภายในบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำของเรา ไม่ว่าบ่อนั้นจะเป็นบ่อใหม่ หรือเป็นบ่อเดิม ที่มีการสะสมของอินทรีย์สารจากการเลี้ยงรุ่นก่อนมาอย่างมากมาย อินทรีย์สารที่สะสมภายในพื้นบ่อแต่ละแห่งนั้น จะแสดงถึงคุณสมบัติของดินตะกอนในบ่อ ที่มีความแตกต่างกันออกไป และยังสะท้อนไปถึงสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน�้ำ ตลอดจนสุขภาวะของสัตว์น�้ำที่อาศัยอยู่ได้อีกด้วย ประเด็นส�ำคัญหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า ดินตะกอนมีบทบาทต่อคุณสมบัติของน�้ำ ก็คือ การที่ดินตะกอน เป็นแหล่งสะสมของ แร่ธาตุในปริมาณมหาศาล ซึ่งเกิดมาจากการย่อยสลายของอินทรีย์สารต่างๆ ที่ทับถมลงมาสู่พื้น บ่อนั่นเอง ในระบบนิเวศของบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ เมื่อแพลงก์ตอนพืชและสาหร่ายเกิดการเจริญเติบโตหรือเพิ่มจ�ำนวนขึ้น อย่างหนาแน่น จนเกินระดับสมดุลของแร่ธาตุอาหารในมวลน�้ำที่มี ก็มักจะพบปัญหาจากการตายของแพลงก์ตอนพืช และสาหร่ายเหล่านั้น และตกทับถมลงสู่พื้นก้นบ่อ เกิดการย่อยสลายต่อเนื่องไป ซึ่งเกิดเป็นวัฏจักร ที่หมุนเวียนสลับ เปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ ในตลอดระยะเวลาของการเลี้ยง หลังจากที่เติมน�้ำเข้าบ่อไปแล้วประมาณสองเดือน วัฏจักรที่ประกอบด้วย การเพิ่มจ�ำนวนของแพลงก์ตอนพืช และสาหร่ายต่างๆ และการที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ตายลงสู่พื้นบ่อ อาจเกิดได้ถึง 3 – 6 ครั้ง โดยทุกครั้ง ที่มีซากพืชซาก สัตว์ตกลงไปที่พื้นผิวดิน ผู้ที่ท�ำหน้าที่ย่อยสลายที่ส�ำคัญ คือ แบคทีเรียในดิน ก็จะท�ำหน้าที่การย่อยสลายให้เกิดอย่าง ต่อเนื่อง พร้อมทั้งเกิดการเพิ่มประชากรแบคทีเรียขึ้นอย่างเรื่อยๆ โดยมีปริมาณจากระดับที่น้อยมาก ในช่วงการตาก บ่อที่เกือบแห้งสนิท มาเป็นปริมาณที่มากมายนับไม่ถ้วน ตามระยะเวลาของการเพิ่มอินทรีย์สารในพื้นที่บ่อเลี้ยง ระบบนิเวศของดินตะกอนพื้นบ่อ จัดเป็นระบบนิเวศที่มีออกซิเจนในชั้นดินบางๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับน�้ำหน้า ดิน หรือในชั้นดินตอนบนสุดเท่านั้น เนื้อดินส่วนใหญ่ภายใต้ผืนน�้ำ จัดเป็นระบบที่ ไร้ออกซิเจน แทบทั้งหมด ซึ่งเรา อาจสังเกตได้ จากการที่ดินชั้นล่างมีสีเทาปนด�ำ จนถึงสีด�ำสนิท (ภาพที่ 6) ลักษณะของดินชั้นลึกลงไปที่เห็นเป็นสีด�ำ คล�้ำนั้น เกิดจากการสะสมของสารประกอบเหล็กซัลไฟด์ภายในเนื้อดิน ซึ่งสารประกอบซัลไฟด์เหล่านั้น เป็นผลมาจาก การย่อยสลายของสารอินทรีย์ในดิน โดยกลุ่มของแบคทีเรียที่ ไม่ใช้ออกซิเจนในรูปของ O2แต่สามารถดึงออกซิเจน มาจากสารประกอบซัลเฟท (Sulfate; SO4 2-) ในดินไปใช้ และส่งผลให้เกิดสารประกอบของซัลไฟด์สะสมอยู่ในดินแทน ภาพที่ 6 ลักษณะดินที่มีระดับของอินทรีย์สารและซัลไฟด์ในดิน จากน้อยไปมาก (ซ้ายไปขวา) ตามล�ำดับ


133 เพียงแค่เราสังเกตพื้นบ่อ ในบริเวณริมขอบน�้ำอย่างละเอียดละออ จะเห็นได้ว่า ณ บริเวณใด มุมใด ที่มักจะเกิด การพัดพาของตะกอน รวมทั้งซากพืช ซากสัตว์ต่างๆ มาสะสมอยู่ได้มากที่สุด ยิ่งเมื่อมองเพ่งเล็ง ลงไปที่ผิวหน้าดินให้ ชัดๆ แล้วสังเกต เปรียบเทียบไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าหน้าดินบริเวณใด น่าจะมีสถานการณ์ที่เริ่มเกิดปัญหา จนท้ายที่สุด เราอาจมีความช�ำนาญจนทราบได้เองว่า ลักษณะดินเช่นใด จะเหมาะกับการเลี้ยงสัตว์น�้ำได้ดี และลักษณะดินเช่นใด เราจ�ำเป็นต้องหาทางจัดการ หรือท�ำการฟื้นฟูโดยเร่งด่วน หน้าดินที่มีลักษณะเกลี้ยงเกลา แทบไม่มีการทับถมของซากแพลงก์ตอนพืชเน่าเปื่อย และมีสีตามธรรมชาติ (ภาพที่ 6 ซ้ายสุด) ก็ไม่น่ากังวลในเรื่องปัญหาจากอินทรีย์สารที่มากเกินควร ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเป็นลักษณะ ของดินตะกอน ที่มีเนื้อดินตะกอนค่อนข้างนิ่มเหลว สีด�ำ และอาจมีกลิ่นเหม็น (ภาพที่ 6 ขวาสุด) ก็เชื่อได้เลยว่า ใน พื้นบ่อบริเวณดังกล่าว จะมีการสะสมของสารอินทรีย์ที่ตกทับถมใหม่อยู่มากมาย และดินนั้นสามารถพบก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) และสารประกอบแอมโมเนียมอย่างมากในดิน ซึ่งจะเป็นลักษณะที่ควรเฝ้าระวังปัญหา ที่จะเกิด จากการลดลงของออกซิเจนละลายน�้ำในบริเวณใกล้พื้นบ่อ นอกจากนี้ ควรระมัดระวังเรื่องการให้อาหาร ให้มีความ เข้มงวด รัดกุม และยังควรสังเกตพฤติกรรมของกุ้งที่เลี้ยง ว่ามีสุขภาวะที่ปกติอยู่หรือไม่ เพื่อการหาทางแก้ไขปัญหา ได้อย่างทันท่วงทีต่อไป ภาพที่ 7 ลักษณะของดินตามความลึก ที่มีระดับของอินทรีย์สารและปริมาณการสะสมตามความลึกของดิน จากน้อยไปมาก (ซ้ายไปขวา) ตามล�ำดับ หากใช้ท่อพลาสติกใส เจาะลงไปในพื้นดินบริเวณที่ต้องการตรวจสอบ แล้วดึงท่อดินนั้นขึ้นมาพิจารณาดู ก่อน อื่นเราจะเห็นได้เลยว่า ลักษณะของดินจากบริเวณต่างๆ ไม่เหมือนกัน (ภาพที่ 7) ลักษณะของสีดิน แม้กระทั่งองค์ ประกอบของเนื้อดิน ว่าเป็นกรวด เป็นทรายหยาบ เป็นดินเหนียว หรือลูกรัง ก็จะแสดงออกมาให้เห็นอย่างน่าสนใจ หากเนื้อดินมีลักษณะที่หยาบ หรือมีรูพรุน มีช่องว่างอยู่ในเนื้อดินมาก (อาทิ ดินร่วนปนทราย) มักจะพบว่าการ สะสมของของสารอินทรีย์ต่างๆ ก็จะเกิดลงไปได้ลึก เนื่องจากซากแพลงก์ตอนพืชที่ตายไป จะสามารถแทรกลงไปตาม ช่องว่างระหว่างเม็ดดินได้ ซึ่งบางทีเราจะพบสารอินทรีย์ปริมาณสูงๆ ในดินที่ลึกถึง 5 – 10 เซนติเมตร และสีของเนื้อ ดินก็มักจะมีสีด�ำขึ้น ไปตามความลึกของดินที่เพิ่มมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากพื้นบ่อมีเนื้อดินที่ละเอียดเหนียว และยึดเกาะกันแน่น ตะกอนสารอินทรีย์ใหม่ๆ ก็จะ สะสมอยู่เพียงผิวหน้าชั้นบนของหน้าดิน การแทรกซึมลงไปในดินระดับลึกจะเกิดขึ้นได้น้อย ซึ่งหากสัมผัสด้วยมือ ก็จะ พบว่าดินพื้นบ่อเดิม กับดินตะกอนใหม่ จะมีการแยกชั้นกันอย่างชัดเจน เนื่องจากการที่มีความแข็งของดินข้างล่างที่มา กกว่าชั้นบน ซึ่งดินชั้นบนจะมีความนิ่มเหลวอย่างเห็นได้ชัด


134 การเพิ่มเติมความละเอียดในการสังเกตดินพื้นบ่อด้วยตนเองเช่นนี้ หากเราได้ท�ำบ่อยครั้งขึ้น จะท�ำให้ทราบรูป แบบการสะสมตัวของตะกอนสารอินทรีย์ในบริเวณต่างๆ ในบ่อของเราเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งนี้ ปริมาณ และต�ำแหน่ง ของการสะสมสารอินทรีย์ดังกล่าว สามารถสะท้อนให้เห็นว่า เราได้ด�ำเนินการบริหารจัดการบ่อ ทั้งในด้านการให้อาหาร การหมุนเวียนของน�้ำ หรือการควบคุมปริมาณออกซิเจนในน�้ำ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้เพียงใด ทั้งนี้ พื้นบ่อที่มีการ สะสมของสารอินทรีย์ได้สูง ถึงมากกว่า 10 เซนติเมตรในชั้นความลึกของดิน เพียงภายในระยะเวลาการเลี้ยง แค่ช่วง 2 เดือน (ภาพที่ 7 ขวาสุด) จัดว่าเป็นพื้นบ่อที่ค่อนข้างอันตราย เนื่องจากการสะสมสารอินทรีย์ใหม่สูงที่มากดังกล่าว จะท�ำให้ภายในดินเกิดการย่อยสลายด้วยอัตราที่สูง ซึ่งจะก่อให้เกิดการสะสมของก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) และ แอมโมเนียมในดิน ซึ่งจะท�ำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของกุ้งที่เราเลี้ยงได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การประเมินระดับอันตราย ยังขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดการสะสมของดินตะกอนใหม่ๆ ว่ากระจาย กินบริเวณกว้างแค่ไหน หากเกิดในเพียงมุมใดมุมหนึ่ง หรือเฉพาะแนวกลางของบ่อ ซึ่งมีสัดส่วนไม่เกิน 10 – 20% ของ พื้นที่บ่อในภาพรวม การจัดการโดยให้ความระวังในการดูแลคุณภาพน�้ำ โดยส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนน�้ำในบ่ออย่าง ทั่วถึง ไม่เกิดการแบ่งชั้นของน�้ำ และให้น�้ำมีระดับออกซิเจนอย่างเพียงพอ (ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน) ก็จะเป็น แนวทางที่สามารถบรรเทาปัญหาความเป็นพิษของซัลไฟด์ที่เกิดขึ้นได้ สิ่งที่ได้เล่าสู่กันฟังนี้ เพียงอยากให้ท่านผู้อ่านและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ท�ำการเพาะเลี้ยงสัตว์ น�้ำบ่อดินอยู่ ได้ตระหนักว่า กิจกรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในน�้ำนั้น มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น กับคุณลักษณะของดิน ตะกอนในพื้นบ่อ ดินตะกอนในพื้นบ่อ จัดเป็นทั้ง ผู้สร้างและเป็น ผู้รับ ของเสียต่างๆ นอกจากนี้ ยังเป็นเสมือนพื้นบ้านที่อุดม สมบูรณ์ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัย และแหล่งหากินของสัตว์น�้ำในบ่อนั้นๆ ด้วยเหตุดังกล่าว เราจึงควรให้ความสนใจอย่าง จริงจัง ด้วยความสังเกต ด้วยการคิดพิจารณา ไตร่ตรอง และรอบคอบ ในการวางแผนจัดการด้วยตนเอง ภาพที่ 8 ลักษณะของเนื้อดินที่มีการสะสมของสารอินทรีย์ในปริมาณที่แตกต่างกัน และมีโครงสร้างของอนุภาครวม ทั้งองค์ประกอบภายในดินที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะของโครงสร้างทางกายภาพของดินที่แตกต่างไปตามระดับความลึกดังกล่าวนี้ ท�ำให้สามารถทราบว่า ดินตะกอนที่เกิดขึ้นใหม่ มีความหนาเท่าใด และหากเราใช้ท่อเก็บดิน แล้วใช้ไม้ดันดินภายในท่อขึ้นมาศึกษา โดยน�ำ ดินนั้นมาตัดออกเป็นชั้น จากชั้นบนลงไปเรื่อยๆ (ภาพที่ 8) ก็จะพบว่าเนื้อดินแต่ละชั้นแตกต่างกัน และจะมีการอัด แน่นกว่าในดินชั้นล่าง นอกจากนี้ จะพบว่าแต่ละบริเวณที่ส�ำรวจ มี ความลึกของการสะสม ที่แตกต่างกันไป ซึ่งทั้งนี้ จะแปรผันไปตามลักษณะของกิจกรรมในแต่ละบริเวณ รูปแบบในการติดตั้งเครื่องตีน�้ำ และยังขึ้นอยู่กับตามลักษณะ พื้นฐานในโครงสร้างความลาดอียงของพื้นที่ และทิศทางลมอีกด้วย


135 เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความเอาใจใส่และความตั้งใจ จะเป็นพื้นฐานที่ส�ำคัญที่สุด ในการประกอบกิจกรรม ทุกๆ อย่างให้ส�ำเร็จลุล่วง.. ซึ่งจากนี้ไป เพียงแค่เราเอาความรู้ที่จ�ำเป็น ใส่เพิ่มเติมลงไปในการพิจารณาตัดสินใจ การ ประกอบกิจการทุกอย่าง ก็จะมีความส�ำเร็จได้อย่างที่มุ่งหวัง รู้จักกับสารอินทรีย์ในดินตะกอน เพื่อการดูแลบ่อให้มีสุขภาพดี ศาสตร์ ของดินตะกอน ในเรื่องราวของ “สารอินทรีย์ในดินตะกอน” นับว่ามีความส�ำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อ สถานการณ์ด้านสุขภาวะของกุ้ง และเชื่อมโยงไปถึงผลส�ำเร็จในการเลี้ยง และการใช้ประโยชน์จากพื้นบ่อได้อย่างยั่งยืน ความรู้ในเรื่องสารอินทรีย์ในดินตะกอน ยังเชื่อมโยงไปสู่ เหตุ และ ผล ของการจัดการบ่อในรูปแบบต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็น ศิลป์ ในการจัดการการเลี้ยง ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะตัว ที่จ�ำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของความตระหนักรู้ ความคิด ผนวก กับประสบการณ์ส�ำคัญที่เกี่ยวข้อง สารอินทรีย์ในดินตะกอนจัดเป็นปัจจัยส�ำคัญหนึ่ง ในระบบนิเวศการเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำบ่อดิน เพราะสารอินทรีย์ เป็นองค์ประกอบส�ำคัญมากของดินภายใต้แหล่งน�้ำ (ภาพที่ 9) ซึ่งในเบื้องต้น เราควรอธิบายได้ว่า สารอินทรีย์ในดิน ตะกอนคืออะไรบ้าง และมีความส�ำคัญอย่างไร นอกจากนี้ เราควรพินิจพิเคราะห์ว่า ในพื้นที่ของเรามีปัญหาด้านสาร อินทรีย์ในดินตะกอนหรือไม่ อะไรคือสาเหตุของปัญหา ควรแก้ปัญหาให้ถูกจุดได้อย่างไร หรือจะวางแผนปรับปรุง แก้ไข ท�ำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ได้อย่างไร… (ภาพที่ 10) ซึ่งทั้งนี้ เราอาจจ�ำเป็นต้องท�ำความเข้าใจด้วยว่า เท่าไร คือ “ความ สมดุล” และ แค่ไหน คือ “ความสมบูรณ์”ของสารอินทรีย์ ในระบบนิเวศการเลี้ยงสัตว์น�้ำบ่อดิน เพื่อเป็นพื้นฐานใน การตัดสินใจที่เหมาะสม ภาพที่ 9 ลักษณะของดินตะกอนพื้นบ่อที่พบการสะสมของสารอินทรีย์ใหม่ๆ ในดินชั้นบน


136 สารอินทรีย์ในดินตะกอน คืออะไร หากมองอย่างนักเคมี สารอินทรีย์ ก็คือ สารที่ประกอบด้วยธาตุ คาร์บอน มาอยู่รวมๆ กัน โดยมีธาตุอื่น อาทิ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน และซัลเฟอร์ มาอยู่ร่วมด้วย (ซึ่งมีข้อยกเว้นว่า คาร์บอนไดออกไซด์ และสารประกอบ คาร์บอเนต ไม่จัดเป็นสารอินทรีย์) สำคัญอย‹างไร คืออะไร อะไรคือสาเหตุ ของป˜ญหา จะปรับปรุง ใหŒดีกว‹าเดิม ไดŒอย‹างไร เท‹าไรคือ“สมดุล” และ“สมบูรณ” ในระบบนิเวศ จะแกŒป˜ญหา ไดŒอย‹างไร สารอินทรียในดินตะกอน ภาพที่ 10 ค�ำถามที่เป็นประเด็นส�ำคัญเพื่อการศึกษาหาค�ำตอบ หากมองอย่างนักชีววิทยา ก็จะกล่าวว่า สารอินทรีย์ในดิน คือ สิ่งมีชีวิต และซากของสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดที่มี เพราะเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง เป็นสารอินทรีย์ทั้งสิ้น ซึ่งหากพิจารณาในเชิงกายภาพของดิน เราจะพบว่า สาร อินทรีย์เป็นส่วนที่ท�ำให้พื้นดินเกิดความโปร่งขึ้น เกิดเป็นรูหรือโพรงของเนื้อเยื่อที่อ่อนนุ่ม แทรกระหว่างเม็ดหินดิน ทราย (ที่เป็นสารอนินทรีย์) ซึ่งมีส่วนท�ำให้มีพื้นท้องน�้ำเกิดช่องว่างภายใน และยังท�ำให้เนื้อดิน สามารถเกิดสภาวะของ การอุ้มน�้ำ หรือการแลกเปลี่ยนมวลสารได้ดีขึ้น หากเราลองเอามือ ขยุ้มหน้าดินในบ่อขึ้นมาก�ำหนึ่ง แล้วน�ำดินที่ได้มาแผ่ให้กระจาย ลงบนพื้นหรือบนถาดสี อ่อน เพื่อให้เนื้อดินกระจายตัว แล้วลองสังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ จะพบว่ามีสิ่งที่ดูเป็นตะกอนยุ่ย สีออกน�้ำตาล ปนเป ไปกับเม็ดกรวดหลากหลายสี มีเม็ดทราย ที่มีลักษณะเป็นหินใสๆ และแข็ง และอาจมีเศษรากไม้ ใบไม้เน่าเปื่อย ที่ยัง พอมองเห็นรูปร่างอยู่บ้าง ผสมผสานกันไป สารอินทรีย์ ในเนื้อดินที่ได้มานั้น ก็คือ ส่วนของตะกอนยุ่ยเหล่านั้น รวม ทั้งเศษซากของรากไม้ ใบไม้ ซากของสัตว์ที่ตายลงไป และตะกอนบางๆ ที่เคลือบอยู่บริเวณผิวของเม็ดกรวด ทราย ซึ่ง รวมถึงเมือก ที่ขึ้นเคลือบอยู่ตามผิวทราย ตลอดจนโคลนเลนสีด�ำคล�้ำ ที่มีลักษณะนิ่ม เหลว และไม่มีรูปร่างที่แน่นอน


137 แหล่งที่มาของสารอินทรีย์ในดินตะกอน สารอินทรีย์ในดินพื้นบ่อ เกิดจากการสะสมตัวของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ในบริเวณระบบนิเวศพื้นบ่อ หากพื้นที่ บ่อเดิมเคยเป็นป่าชายเลน ก็จะพบว่าสารอินทรีย์มักเป็นรากไม้ เปลือกไม้ หรือเศษใบไม้โกงกางเน่าเปื่อย ซึ่งอาจจะ มีการทับถมของสิ่งมีชีวิตและสัตว์หน้าดินอื่นๆ ที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอย่างหลากหลาย แต่ถ้าหากดินพื้นบ่อเกิด จากการน�ำเอาลูกรังมาอัดเป็นพื้น ก็จะมีปริมาณ “สารอินทรีย์ต้นทุน” ที่ต�่ำกว่ามาก เนื่องจากดินลูกรัง มักประกอบ ด้วยหิน และดินจากภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นองค์ประกอบของอนินทรียสาร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จ�ำเป็นต้องตระหนักถึงให้มากกว่า สารอินทรีย์ต้นทุน ก็คือ บทบาทและความส�ำคัญของ “สารอินทรีย์ใหม่” ที่จะเกิดจากการตกตะกอนทับถมลงมาใหม่ ในระหว่างช่วงของการเลี้ยงสัตว์น�้ำ สารอินทรีย์ใหม่ เหล่านั้น ส่วนใหญ่เกิดได้จากซากของแพลงก์ตอนพืช นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยเศษอาหารสัตว์น�้ำที่เหลือ และมูล ของสัตว์น�้ำที่มีในพื้นที่บ่อนั่นเอง รูปแบบการกระจายและการสะสมของสารอินทรีย์ในดินตะกอน เป็นเรื่องส�ำคัญอย่างหนึ่ง ที่ผู้ประกอบการควรจะสามารถสังเกตและระบุ ทิศทาง ตลอดจน พื้นที่ ในบ่อเลี้ยง ที่จะเกิดการสะสมตัวของตะกอนอินทรีย์ใหม่ในบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำของเราได้ ทั้งนี้ เนื่องจาก ความหนา ของตะกอนอินทรีย์ ใหม่ มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อ ความเน่า ของตะกอนอินทรีย์นั้นอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นได้อย่างเด่นชัด เมื่อความหนาของเลนใหม่ๆ นั้น หนามากกว่า 3 เซนติเมตร ขึ้นไป ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น การเกิดสภาพ “ความเน่าเสียของดิน” (ซึ่งก็คือ การที่ดินใต้น�้ำขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง) ก็จะสามารถเกิดได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามเพิ่มการตีน�้ำจนครบทุกแขน หรือจนสุดก�ำลังของเครื่องมือที่มีก็ตาม ดังนั้น การทราบว่าการสะสมตัวของตะกอนอินทรีย์ใหม่ในบ่อ ในระดับเท่าใดเป็นระดับที่ “มากเกินไป” จึงมีความส�ำคัญ และ จะท�ำให้เราเร่งหาแนวทางในการควบคุม หรือฟื้นฟูพื้นที่ให้ดีขึ้นได้อย่างทันการณ์ ส่วนทิศทางการแพร่กระจายของตะกอนอินทรีย์ใหม่ โดยเฉพาะพวกซากของแพลงก์ตอนพืช ถ้าเราสังเกต ดี ๆ จะพบว่ามีการแพร่กระจายต่างจากการกระจายของ “ขี้แดด” ซึ่งทั้งนี้ ทิศทางมักจะขึ้นอยู่กับลักษณะทางด้าย ความแรง ความลึก ช่วงกว้าง และ ช่องว่าง ของเครื่องตีน�้ำ ตลอดจนทิศทางและความเร็ว ของลมที่พัดผ่านผิวหน้าน�้ำ ในแต่ละแห่งอีกด้วย คุณภาพและปริมาณส�ำคัญอย่างไร อย่างไรจึงจะดีพอเพียง เมื่อพิจารณาในระบบนิเวศของบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ ตะกอนอินทรีย์ที่เกิดการสะสมตัวภายในหรือบนผิวหน้าของ ดินพื้นบ่อ จะเป็น “สารตั้งต้น” ที่ส�ำคัญ ที่ถูกน�ำเข้าสู่กระบวนการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ และจะก่อให้เกิดแร่ธาตุ อาหารพืช หมุนเวียนกลับขึ้นสู่ผิวหน้าน�้ำได้อีกครั้ง ดังนั้น หากเรามองในเชิงการผลิตธาตุอาหาร จะพบว่า “คุณภาพ” ของตะกอนอินทรีย์ ก็น่าจะตัดสินได้ด้วย ศักยภาพ ของตะกอนอินทรีย์นั้น ที่จะถูกย่อยสลายได้ง่าย และส่งผลให้เกิด แร่ธาตุอาหารพืชได้ง่ายหรือยาก นั่นเอง หลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ส�ำคัญ และควรน�ำมาช่วยในการตัดสินใจ เมื่อจะท�ำการพัฒนาคุณภาพดิน พื้นบ่อของเรา ก็คือ ความจริงที่ว่า “สารอินทรีย์ต่างประเภท จะถูกย่อยสลายได้แตกต่างกัน” ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า องค์ ประกอบของสารอินทรีย์ หากมีขนาดเล็ก ไม่ซับซ้อน หรือยิ่งบอบบางเท่าใด (อาทิ เซลล์ของแพลงก์ตอนพืชและแพ ลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็ก) ก็ยิ่งถูกย่อยสลายได้ง่ายเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามสารอินทรีย์ที่เป็นพวกเศษไม้ หรือพืชที่มี กาก หรือมีเปลือกเข็ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลลูโลสที่ค่อนข้างคงทน ก็จะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายได้ยาก และมีผล ต่อการเกิดแร่ธาตุอาหารพืชในน�้ำได้น้อย หรือต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน (ภาพที่ 11)


138 ด้วยความรู้ดังกล่าว การพัฒนาคุณภาพดินพื้นบ่อโดยการเติมแหล่งของสารอินทรีย์ที่ผิดประเภท หรือมีคุณภาพ ต�่ำ ก็จะท�ำให้เราสิ้นเปลือง ทั้งเวลา แรงงาน และงบประมาณ โดยไม่คุ้มค่า เพราะเป็นการเติมที่ “ปริมาณ” นั่นเอง อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงเชิง“ปริมาณ” แล้ว อยากให้ผู้ประกอบการทุกท่านได้ตระหนักว่า ข้อมูลทางวิชาการ ใน เอกสารวิชาการทั่วไป ที่มีการเสนอระดับของสารอินทรีย์รวมนั้น บ่งบอกเป็นค่า ทางปริมาณ ได้อย่างเดียว ซึ่งอาจพบ ว่า สารอินทรีย์รวม ในดินพื้นบ่อต่างๆ อาจมีค่าที่น้อยกว่า 2% ไปจนถึง มากกว่า 15 – 20% ซึ่งแสดงช่วงกว้างอย่าง มากมาย อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรลืมว่า ค่าดังกล่าว ไม่ได้แสดงถึงคุณภาพ หรือประเภทของสารอินทรีย์ที่สะสมอยู่ ดังนั้น หากจะใช้ระดับดังกล่าวมาประเมินสถานการณ์ของบ่อ ก็ควรน�ำข้อมูลแวดล้อมเท่าที่มี (อาทิ สีของน�้ำ ลักษณะ ด้านความหนาแน่นของแพลงก์ตอนพืช และความเน่าเสียของดิน) รวมทั้งลักษณะปรากฏที่โดดเด่นอื่นที่สังเกตได้ มา ใช้ประกอบการประเมินสถานการณ์ร่วมด้วย บทบาทของสารอินทรีย์ต่อสภาพของ ดิน-น�้ำ-ลม-ไฟ ภายในบ่อ เป็นที่แน่นอนว่าสารอินทรีย์ที่สะสมในดิน ย่อมมีบทบาทต่อดิน และส่งผลต่อมวลน�้ำที่อยู่เหนือดินนั้น เรื่องนี้ เป็นเรื่องทางธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน แต่ท�ำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงคิดง่ายๆ ว่า สารอินทรีย์ ก็คือ “อาหาร” ของ สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่มีความเกี่ยวโยงกัน ตั้งแต่ จุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย มาจนถึงพวกโปรโตซัว สัตว์หน้าดินขนาดเล็ก และสัตว์หน้าดินที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีการกินต่อกันเป็นทอดๆ ไปจนถึงการกินขั้นสุดท้าย ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่โดย สัตว์น�้ำที่เราเลี้ยงอยู่ ด้วยลักษณะความเชื่อมโยงดังกล่าว การที่ในดินมีสารอินทรีย์ที่มีคุณภาพดี ก็เสมือนเรามีบ้านที่ มีอาหารที่ดี ซึ่งจะท�ำให้ภายในบ่อเกิดความอุดมสมบูรณ์ของอาหารธรรมชาติ อย่างต่อเนื่องไปได้ด้วย อนึ่ง หากไม่นับการกินโดยตรง การมี “อาหารทางอ้อม” จากดิน ซึ่งก็คือ แร่ธาตุอาหารพืช (ไม่ว่าจะเป็นไน เตรท แอมโมเนียม หรือฟอสเฟท) ก็นับเป็นผลพลอยได้ ที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในดินทั้งสิ้น แร่ธาตุ อาหารพืชที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จะเกิดการแพร่ผ่านออกจากพื้นดิน ขึ้นไปสู่มวลน�้ำด้านบน ซึ่งส่งผลให้กลุ่มของแพลงก์ตอน พืช ได้น�ำไปใช้ในการเจริญเติบโตและการเพิ่มจ�ำนวน แล้วส่งผลต่อไปยังกลุ่มของแพลงก์ตอนสัตว์ในน�้ำ ได้เกิดการเพิ่ม จ�ำนวนตามไปด้วย การเกิดวัฏจักรเช่นนี้ ท�ำให้มวลน�้ำมีความอุดมสมบูรณ์ และพรั่งพร้อมไปด้วยอาหารธรรมชาติ ที่มี คุณค่าต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น�้ำ (โดยเฉพาะในระยะวัยอ่อน) ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากเราพิจารณาให้ดีก็จะพบว่า ในท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของอาหารและกลุ่มสิ่งมีชีวิต ชนิดต่างๆ ภายในระบบนิเวศนั้นย่อมมีการหมุนเวียนของพลังงานและก๊าซต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายได้เช่นกัน โดย ในบริเวณพื้นดินใต้น�้ำ ก๊าซออกซิเจนที่ละลายน�้ำบริเวณผิวหน้าดิน อาจถูกใช้ไปได้อย่างรวดเร็ว โดยกระบวนการย่อย สลายของสารอินทรีย์ และการหายใจของสัตว์พื้นท้องน�้ำ ดังนั้น ระดับของออกซิเจนละลายน�้ำ โดยเฉพาะในบริเวณ ภาพที่ 11 ลักษณะของสารอินทรีย์บริเวณพื้นท้องน�้ำที่มีคุณภาพแตกต่างกัน


139 ใกล้พื้นบ่อที่มีการสะสมของสารอินทรีย์อยู่สูง จะมีค่าแปรผัน ซึ่งอาจลดลงได้อย่างมาก และท�ำให้สัตว์น�้ำเกิดสภาวะ ความเครียดได้ การจัดการที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ ก็อาจเป็นการเพิ่ม “ไฟ” หรือ “พลังงาน” ในการหมุนเวียน น�้ำให้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มปริมาณ “ลม” (ออกซิเจน) ให้เพียงพอต่อการใช้ภายในระบบนิเวศ นอกจากนี้ ในบาง กรณี อาจจ�ำเป็นจะต้องลด หรือควบคุมปริมาณการให้อาหาร ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ประกอบการในพื้นที่จริงคงจ�ำเป็นต้อง พิจารณาหลายด้าน ที่จะส่งเสริมการรักษาสภาวะ “สมดุลของบ่อ” ให้อยู่ในระดับที่มีความพอดี ไม่เกินเลยไป ขณะ เดียวกัน ก็ควรพยายามรักษา “สมดุลของต้นทุน” ที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปให้เหมาะสมด้วย ปัญหาของสารอินทรีย์น้อยเท่าไร หรือ มากแค่ไหน จึงจะพอดี เป็นความจริงที่ว่า ไม่มีนักวิชาการที่ซื่อสัตย์กับข้อเท็จจริงทางวิชาการผู้ใด กล้าระบุตัวเลขที่แสดงระดับของ สารอินทรีย์ในดิน ที่สะท้อนภาพบ่อซึ่งให้ผลผลิตสูง ในท�ำนองเดียวกัน เราก็ไม่พบผู้ประกอบการ ที่ประสบความ ส�ำเร็จ ในการเลี้ยง และผ่านประสบการณ์ในการแก้ปัญหาการเลี้ยงมาหลายรุ่น จะท�ำการระบุค่าของสารอินทรีย์ หรือ ปัจจัยแวดล้อม ที่ท�ำให้การเลี้ยงประสบความส�ำเร็จออกมาได้ตายตัว ว่าต้องเท่านั้น เท่านี้ จึงท�ำให้การเลี้ยงประสบ ผลส�ำเร็จได้ เมื่อไม่มีสูตรส�ำเร็จ… ก็เป็นหน้าที่ของตัวเราเอง ว่าจะท�ำอย่างไร จึงจะเรียนรู้จากทั้ง วิชาการ และจาก ประสบการณ์ที่ดีดังกล่าวได้ …และจะท�ำอย่างไร จึงจะเลี้ยงสัตว์น�้ำได้ดี โดยไม่เริ่มจากความรู้เท่ากับ ศูนย์ ในส่วนตัวของผู้เขียนเอง เชื่อมั่นว่า การขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ ย่อมเป็นหนทางส�ำหรับผู้ที่ต้องการประสบ ความส�ำเร็จเลือกกระท�ำอยู่แล้ว จึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้ล�ำบาก หรือยากเกินความสามารถอะไรเลย ส่วนการที่เรา จะเรียนรู้ ในความรู้นั้นๆ ได้เร็วแค่ไหน ก็คงขึ้นอยู่กับ “การเห็นความส�ำคัญ” และ “ความตั้งใจ” ภายในตัวของเราเอง แต่อย่าง น้อย… ขอให้เราได้ตระหนักว่า สารอินทรีย์เป็นสิ่งที่ดี ถ้ามีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม การเพิ่มของสารอินทรีย์ เปรียบดังการเพิ่มของ อาหาร ในระบบนิเวศ เมื่อมีอาหารเพิ่มขึ้น จะท�ำให้ผู้ผลิตขั้น ต้น (ซึ่งก็คือ แพลงก์ตอนพืช) ก็จะเพิ่มตาม (ภาพที่ 12) และจะส่งผลให้ผู้บริโภค ได้แก่ สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ รวมทั้งสัตว์ น�้ำที่เลี้ยง ได้รับอาหารที่อุดมสมบูรณ์ตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากการเพิ่มสารอินทรีย์ดังกล่าวไม่มีขีดจ�ำกัด จะท�ำให้ เกิดผลกระทบในทางลบต่อความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต ที่เป็นเป้าหมายในการผลิต ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบ การเลี้ยงสัตว์น�้ำก็ควรหาทางควบคุมระดับของสารอินทรีย์ ไม่ให้เกิดการเพิ่มต่อไปอีก หรือหาทางท�ำให้มีปริมาณเจือ จางลง ไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดผลในทางลบ ต่อทั้ง คุณภาพ และ ปริมาณ ของผลผลิตสัตว์น�้ำของเราได้อย่างแน่นอน การเพิ่มปริมาณของสารอินทรีย ในดินตะกอนพื้นบ‹อ แพลงกตอนพืช ช‹วงที่เหมาะสม สัตวน้ำ อัตราการเจริญ ของสิ่งมีชีวิต ในบ‹อดิน ภาพที่ 12 อิทธิพลของการเพิ่มปริมาณของสารอินทรีย์ในดินตะกอนพื้นบ่อต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการเจริญเติบโต ของแพลงก์ตอนพืช (ผู้ผลิต) และสัตว์น�้ำ (ผู้บริโภค) ที่มีในบ่อเลี้ยง


140 อนึ่ง ในประเด็นของสารอินทรีย์ ว่า “น้อยเท่าไร” (ไม่ต�่ำกว่าเท่าใด) หรือ “มากแค่ไหน” (ไม่เกินเท่าใด) นั้น เป็นระดับที่เราควรค้นหา อย่างไรก็ตาม ควรเป็นระดับของ สารอินทรีย์ใหม่ ที่สะสมบนผิวหน้าดิน ไม่ใช่ สารอินทรีย์ ต้นทุน ในดินพื้นบ่อเดิม ในการนี้ การพินิจพิจารณา เปรียบเทียบข้อมูลกับผลผลิตที่ได้ ในรุ่นที่ผ่านมา มากกว่าการใช้ “ระดับทางวิชาการ” ที่จ�ำเพาะที่ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการได้มากกว่า เนื่องจากข้อมูลทาง วิชาการ มัก จะไม่ตรงกับแต่ละพื้นที่ หรืออาจไม่ทันต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ในพื้นที่ของเรา การดูแลบ่อให้มีสุขภาวะที่ดีควรจะท�ำอย่างไร เมื่อไรถึงจะดี สิ่งแวดล้อมในบ่อ ก็เสมือนเป็นบ้านของสัตว์น�้ำที่เลี้ยง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว บ้านที่มีอาหารการกินบริบูรณ์ มี บรรยากาศที่สบาย คนที่อยู่อาศัยก็มีความสุข มีการเจริญตามวัย และมีความสมบูรณ์ตามอัตภาพ ฉันใด ก็ฉันนั้น.. บ่อ เลี้ยงสัตว์น�้ำที่ดี จึงควรเป็นบ่อที่มีสารอินทรีย์ที่มีคุณภาพอยู่ในดินตะกอนพื้นบ่อ ตั้งแต่เมื่อเริ่มการเลี้ยง เป็นบ่อที่ มี ชีวิต คือ การที่เรายอมให้มีสิ่งมีชิวิตอยู่ตามธรรมชาติ บ่อในลักษณะนั้นๆ ก็จะเกิดการพัฒนา เข้าสู่สมดุลของแร่ธาตุ อาหารที่เหมาะสม และเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้มากมาย อย่างไรก็ตาม “สมดุลตามธรรมชาติมีอยู่หลายระดับ” สมดุลที่มีสารอินทรีย์ต�่ำ หรือสมดุลที่มีสารอินทรีย์ สูง ก็เป็นสมดุลแต่ละขณะได้ทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่ควรทราบ ก็คือ เมื่อบ่อเข้าสู่สมดุลหนึ่งๆ แล้ว ปัจจัยแวดล้อมทุกอย่าง ไม่ ว่าจะเป็นในดิน ในน�้ำ อากาศ และ พลังงาน ก็จะมีการหมุนเวียนด้วยอัตราที่ค่อนข้างคงที่ (อาทิ ระดับของออกซิเจน ในรอบวันจะไม่ลดลงฮวบฮาบ หรือพุ่งปรูดปราด เป็นต้น) ในทางตรงกันตรงกันข้าม เมื่อใดก็ตามระบบนิเวศเกิดการเสียสมดุล การย่อยสลายเกิดมาก ธาตุอาหารพืช ในน�้ำเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และท�ำให้แพลงก์ตอนพืชบางกลุ่มเพิ่มจ�ำนวนได้อย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมา ก็คือ ปัจจัย ต่างๆ โดยเฉพาะในน�้ำ จะมีความผันแปรได้อย่างมากในรอบวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าออกซิเจนละลายน�้ำ หรือค่าความเป็นก รด-เบส ฯลฯ นอกจากนี้ ภายในบ่อยังเกิดความแตกต่างของสาร หรือปัจจัยต่างๆ ไปตามความลึกของน�้ำได้ชัดเจน ขึ้น โดยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า การผันแปร หรือความแตกต่างที่เกิด หากมีการต่างกันภายในตัวเอง เกิน กว่า 25 – 30% ของค่าเดิมไปแล้ว สภาพแวดล้อมในบ่อนั้น จะเริ่มเข้าสู่สภาพที่ “อยู่ไม่สบาย” ซึ่งจะท�ำให้สัตว์น�้ำ เกิดความเครียดได้ง่าย ซึ่งในกรณีดังกล่าว เราสมควรหาทางจัดการสภาพแวดล้อม ให้กลับมาดีขึ้น โดยให้เหมาะสม กับเหตุปัจจัยที่เกิดต่อไป จากตั้งแต่ต้น ที่ได้เล่าสู่กันฟัง…มาจนถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านซึ่งหากเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ หรือมีส่วนได้ส่วนเสีย ในการเลี้ยง ในผลผลิตที่จะเกิดขึ้น ย่อมเริ่มตระหนักแล้วว่า ภาระที่ส�ำคัญในการดูแลบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำของเรา.. อยู่ภายใน การพิจารณาบริหารจัดการ ด้วยมือของเราเอง ซึ่งเราจะดูแลบ่อให้ดีอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความละเอียด ในการสังเกต การเปลี่ยนแปลง ในดิน.. ในน�้ำ.. ในสภาพแวดล้อม.. ตลอดจนสุขภาพ และความเป็นอยู่ของสัตว์น�้ำที่เลี้ยงอย่างเอาใจ ใส่ แล้วต้องน�ำผลการสังเกตนั้น มาใช้วางแผนเพื่อพัฒนาการเลี้ยงของตนในทุกระยะ โดยต้องเชื่อมั่นว่า…เราต้องท�ำให้ ดีกว่านี้ได้ เสมอ ที่ส�ำคัญ…ใคร่ขอฝากให้ท่านผู้ที่เป็นเจ้าของบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ ลองพิจารณาหา ธรรมชาติของบ่อตัวเองให้เจอ เพราะบ่อแต่ละบ่อ ก็เหมือนกับคนเรา ซึ่งแต่ละคน มีความแตกต่างกันออกไป และย่อมจะมี ความสามารถในการ รองรับ สิ่งต่างๆ ทั้งในเชิง ระดับ และในด้านของ ระยะเวลา ที่แตกต่างกันไป ศักยภาพในการรองรับดังกล่าว (โดยเฉพาะการรองรับปริมาณของสารอินทรีย์ ที่ท�ำให้บ่อ ยังอยู่ ในระดับที่ สมดุล) จะเป็นดัชนีชี้วัดที่ส�ำคัญ ที่จะช่วยเราในการตัดสินใจ เพื่อวางแผนการเลี้ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ก็เพราะ การเลี้ยงที่ เกินก�ำลังของบ่อ นอกจากจะท�ำให้เราต้องเผชิญหน้า กับสภาวะความเสี่ยงต่อการตายของสัตว์น�้ำแล้ว ยัง


141 เป็นการท�ำลายทรัพยากรดิน และน�้ำในบ่อ ตลอดจนระบบนิเวศในแหล่งน�้ำใกล้เคียง ซึ่งสุดท้าย..จะส่งผลย้อนกลับมา และอาจท�ำให้เรา ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่มีได้อย่างยั่งยืน สารอาหารพืชในดินตะกอน บทบาทต่อการผลิตทรัพยากรในบ่อ ความรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ได้เกิดขึ้นกับเราในทุกๆ ครั้ง ที่มีโอกาสกลับไปแวะเวียนบ่อเลี้ยงกุ้ง ซึ่ง ไม่ว่าจะโดยการไปท�ำงานวิจัย หรือเพียงผ่านไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นดังกล่าว อาจเป็น เพราะเราได้เห็น “น�้ำ” ที่เปี่ยมไปด้วย พลังสีเขียวของสิ่งมีชีวิต ขนาดจิ๋ว ที่ก�ำลังขยันขันแข็ง ท�ำงานตามหน้าที่ที่มี (ภาพที่ 13) ซึ่งจากหน้าที่ดังกล่าว ยังผลให้เกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และมีบทบาทมากมาย ต่อความเป็นอยู่ของสัตว์น�้ำ ที่ผู้ ประกอบการซึ่งเป็นเจ้าของบ่อแต่ละแห่งได้อุตส่าห์เฝ้าดูแล เพื่อให้เกิดเป็นผลผลิตที่แข็งแรงสมบูรณ์ ตามเป้าหมายที่ ได้หวังไว้ ภาพที่ 13 ลักษณะของสีน�้ำที่แสดงถึงการมีแพลงก์ตอนพืชอย่างอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ ความรู้สึกที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง อาจเป็นเพราะเราเอง ไม่ได้เป็นผู้ที่รับผิดชอบในการเลี้ยง หรือต้องแบกรับ ปัญหาใดๆ ซึ่งอาจก�ำลังเกิดขึ้น ซึ่งท�ำให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของพื้นที่เกิดความกังวลใจอย่างใหญ่หลวง แต่หาก มองในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็นับเป็นการดีที่จะท�ำให้เราได้ มองเห็นความเป็นไปในธรรมชาติ ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง และ สามารถประมวลเอาเหตุ และผล.. มาประกอบการอธิบายความเป็นไปนั้นๆ อย่างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกกังวลใจที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในระยะหลังของการออกพื้นที่ ก็คือ การที่ได้รับรู้ว่า ผู้ ประกอบการพยายามแก้ไขในสิ่งที่ตระหนักว่าเป็น ปัญหาเฉพาะหน้า โดยการใช้ สารเคมีเพื่อการท�ำลายล้างสิ่งมีชีวิต ที่อยู่ในมวลน�้ำโดยเฉียบพลัน ประเด็นที่กังวลใจนั้น ไม่เป็นเพียงการคิดการณ์ไปถึง ความสิ้นเปลืองและลักษณะของ การเป็น วัฎจักร ของปัญหา ที่จะกลับมาใหม่ รอบแล้ว รอบเล่า ของสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ต้องการและจัดการไปด้วย ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ยังรวมไปถึงความกังวลในกระบวนการคิด การวางแผน และการตัดสินใจ ที่จ�ำเป็นต้องอาศัย ประสบการณ์และ ต้นทุนทางปัญญา ที่มีความชัดเจน มั่นคง และเอื้อประโยชน์ให้เกิดขึ้นในระยะยาว


142 ประเด็นดังกล่าว หากทางทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความส�ำคัญอย่างจริงจัง และร่วมกันพัฒนาและส่งต่อ ความรู้ที่จ�ำเป็นต่างๆ ก็จะสามารถจรรโลงให้สังคมการผลิตสัตว์น�้ำ ได้มีแนวทางการติดตามสถานการณ์ (ภาพที่ 14) ตลอดจนวางแผนเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ภายใต้ ความพอเหมาะ พอเพียง โดยสอดคล้องกับวิถีทางการอนุรักษ์ดูแล ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เรามี เพื่อให้ยังประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน ภาพที่ 14 การใช้เรือส�ำรวจเพื่อติดตามสถานการณ์ และเก็บตัวอย่างน�้ำ ดิน สัตว์พื้นท้องน�้ำในพื้นที่บ่อ นับจากการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดินตะกอน ตั้งแต่แรกที่ผ่านมา ในส่วนนี้มีเป้าหมายที่จะให้ความรู้และมุม มองที่ต่อเนื่องไปยังทุกท่านที่สนใจ โดยเฉพาะประเด็นในด้าน “สารอาหารพืชในดินตะกอน และบทบาทต่อการผลิต ทรัพยากรในบ่อ” ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาสาระส�ำคัญ ดังต่อไปนี้ สารอาหารพืชในดินตะกอนคืออะไร อยู่ที่ไหน เมื่อกล่าวถึง “ความรู้พื้นฐาน” ในเรื่องเกี่ยวกับสารอาหารพืช (Nutrients) ในดินตะกอน คงหนีไม่พ้นประเด็น ส�ำคัญ ที่เราควรทราบว่า ภายใน เนื้อดินก้นบ่อ ของเรานั้น จัดเป็นแหล่งสะสมตัวของแร่ธาตุมากมายหลายชนิด ซึ่ง นับเป็นปริมาณที่มี ความเข้มข้นมากกว่าในน�้ำ ถึงประมาณ 100 เท่า โดยแร่ธาตุในรูปของสารละลายหลักๆ ที่แพ ลงก์ตอนพืช หรือสาหร่าย และพรรณไม้ใต้น�้ำต่างๆ น�ำมาใช้ในการเจริญเติบโต และเพิ่มจ�ำนวนได้นั้น เรามักเรียกว่า “สารอาหารพืช” สารอาหารพืชที่ส�ำคัญ และมีปริมาณมากที่สุดภายในเนื้อดิน (ซึ่งเนื้อดินส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน ละลายน�้ำ) คือ สารละลายในรูป แอมโมเนียม-ไนโตรเจน นอกจากนี้ ภายในดินยังพบสารอาหารพืชในรูป ฟอสเฟทฟอสฟอรัส ในปริมาณที่สูงกว่าในน�้ำ ระดับของสารละลายเหล่านี้ที่พบในดิน มีค่าสูงในชั้นดินตะกอนใหม่ๆ ที่อยู่ชั้นบน (5 – 10 เซนติเมตรแรก) ซึ่งเกิดจากการทับถมของซากอินทรีย์สารและของเสียจากมวลน�้ำด้านบน สารอาหารพืชเหล่า นี้ อาจมีแหล่งที่มาบางส่วนจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ที่อยู่ใน เนื้อดินเดิม ด้านลึก อย่างไรก็ตาม สารอาหาร พืชส่วนใหญ่ที่พบนั้น เกิดจากการย่อยสลายของ สารอินทรีย์ใหม่ ที่ตกลงมาทับถมลงมา ในช่วงที่เราท�ำการเลี้ยงสัตว์ น�้ำนั่นเอง ด้วยระดับของสารอาหารพืชที่มีในดินตะกอนพื้นบ่ออย่างมหาศาล เมื่อเทียบกับปริมาณที่มีอยู่ในมวลน�้ำ สาร อาหารพืชต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น แอมโมเนียม หรือฟอสเฟท ฯลฯ จึงค่อยๆ แพร่ออกจากดิน ขึ้นไปสู่มวลน�้ำเบื้อง


143 บนได้ตลอดเวลา ส�ำหรับในบ่อเลี้ยงที่มีการตีน�้ำให้หมุนเวียนอย่างทั่วถึง ก็จะท�ำให้เกิดการกระจายตัว และเป็นการ กระตุ้นปฏิกริยาทางชีวเคมีให้เกิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดการแปรสภาพ หรือถูกแพลงก์ตอนพืชน�ำไปใช้ได้ ส�ำหรับในกรณีที่บ่อมีการหมุนเวียนของน�้ำไม่ดี สารอาหารพืชที่แพร่ผ่านจากผิวหน้าดินดังกล่าว ก็มักจะสะสม ตัวอยู่บริเวณพื้นท้องน�้ำชั้นล่างได้อย่างเข้มข้น และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน�้ำบริเวณพื้นท้องน�้ำ รวมทั้งยัง ท�ำให้สาหร่ายที่อยู่หน้าดินเจริญเติบโต เพิ่มจ�ำนวนขึ้นอย่างหนาแน่นและปกคลุมหน้าดินในบางบริเวณของพื้นที่บ่อ เลี้ยงสัตว์น�้ำ (ภาพที่ 15) ภาพที่ 15 การพบสาหร่ายและแพลงก์ตอนพืชเจริญเติบโตขึ้นอย่างหนาแน่นบริเวณผิวหน้าดินพื้นบ่อ สารอาหารพืชในดิน เชื่อมโยงสู่ผลผลิตของสิ่งมีชีวิตในบ่อ เป็นที่น่าเสียดายว่า ในการศึกษาช่วงประมาณ 15-20 ปีที่ผ่านมา เราได้ให้ความส�ำคัญกับบทบาทจากสาร อาหารพืชในดิน หรือแม้กระทั่งสารอาหารพืชในน�้ำ ยังไม่มากนัก ในการทบทวนบทความต่างๆ ที่มีการเขียนลงใน วารสาร อาทิ วารสาร สัตว์น�้ำ ในช่วงปี พ.ศ. 2543–2553 พบว่ามีผู้เขียนเรื่องราวหรือกล่าวถึง สารอาหารพืช อย่าง จริงจังเพียง 1-2 ราย โดยเป็นการน�ำเสนอเฉพาะในแง่มุมทางวิชาการ ซึ่งแสดงหลักการและกระบวนการเปลี่ยนแปลง ปฏิกิริยาทางเคมี โดยในช่วงเวลานั้น พบผู้ประกอบการที่ประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงเพียง 2-3 ท่าน ให้มุมมองด้าน การพิจารณา ผลรวมของสถานการณ์น�้ำ เพื่อการตัดสินใจ ลงมือ จัดการระบบการเลี้ยงของตนเองอย่างจริงจัง ส่วน ในด้านของมุมมองของนักวิชาการหรือหน่วยงานทางภาครัฐนั้น มีการกล่าวถึงเกณฑ์ก�ำหนด ค่าสูงสุด ของสารอาหาร พืช (อาทิ ในรูปของแอมโมเนียม และไนไตรท์) ที่ไม่ควรจะมีค่าเกินขอบเขตที่อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อการเลี้ยงสัตว์น�้ำ ซึ่งในภาพรวม อาจเป็นไปได้ว่า เราได้มองสารอาหารพืชว่าเป็น ตัวอันตราย แทนที่จะเป็นการมองให้ครบถ้วน ทั้งใน แง่บวก ที่สามารถยังผลให้เกิดการผลิตทรัพยากรสิ่งมีชีวิต และเกิดเป็นวัฏจักรอย่างสมดุลขึ้นมาในระบบการเลี้ยงสัตว์น�้ำ ย้อนกลับมามองในมุมของผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์น�้ำ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจวัดปริมาณของสารอาหารพืช ที่ส�ำคัญทุกๆ ชนิด ทั้งในมวลน�้ำ หรือในดินตะกอนได้ง่ายๆ ทั้งนี้ เนื่องจากข้อจ�ำกัดของ ต้นทุน ในการศึกษาวิเคราะห์ และข้อจ�ำกัดของ ความเชื่อมั่น ที่เพียงพอ ในด้านบทบาทความสัมพันธ์กับผลผลิตสัตว์น�้ำ ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ได้มีความพยายามในการค้นคว้าวิจัย เพื่อศึกษาอิทธิพลจากปัจจัยด้านระดับ ของแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม แมกนีเซีม โปแตสเซียม หรืออื่นๆ ที่มีต่อการรักษาเสถียรภาพในการผลิต รวมทั้ง การเพิ่มผลผลิตในบ่อกุ้ง นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการวิจัยเพื่อหาระดับและอัตราส่วนของสารอาหารพืชส�ำคัญ (ได้แก่ แอมโมเนียม ไนไตรท์ ไนเตรท ซิลิเกท และฟอสเฟท) ที่มีบทบาทต่อปริมาณและชนิดของแพลงก์ตอนพืช ที่เกิด


144 ขึ้นในบ่อเลี้ยงกุ้ง อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปได้ อยากให้ผู้ประกอบการทุกท่านค่อยๆ พิจารณาข้อมูล โดยอย่ายึดติดกับ ค่าตัวเลข หรือข้อมูลเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อการตัดสินใจจัดการบ่อ ทั้งนี้ เนื่องจาก ธรรมชาติของพื้นที่ ไม่ว่าจะ เป็นพื้นดิน สภาพภูมิอากาศ น�้ำ และสิ่งมีชีวิตที่จะน�ำพามาโดยน�้ำ ในแต่ละแห่งนั้น มีความแตกต่างกันไป การพิจารณาวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ ควรประกอบด้วยการพิจารณาถึง ปัจจัยเหตุ และผลที่เกิด ขึ้น.. ผนวกกับการพิจารณาจากธรรมชาติที่เคยเป็นมา ของพื้นที่บ่อนั้นๆ โดยไม่ควรให้อาหารมากไป จนเกิน การกิน และ ก�ำลังบ�ำบัดทางธรรมชาติของบ่อ ซึ่งเป็นวัฏจักรตามธรรมชาติที่แต่ละพื้นที่จะมีได้ ซึ่งหากเราสามารถพิจารณา และตัดสินบริหารจัดการปัจจัยเหตุอย่างรอบคอบ ก็เชื่อได้เลยว่าปัญหาต่างๆ อาทิ จากการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน�้ำที่ ฉับพลันทันด่วน คงจะไม่เกิดขึ้น การพิจารณาสถานการณ์ในบ่อด้วยวิถีธรรมชาติ คงจะเหมือนเช่นทุกครั้งที่เป็นมา ที่จะพยายามย�้ำให้ทุกท่านพยายามสังเกตดูลักษณะของน�้ำ สังเกตุดูดิน การ เกิดฟองอากาศ และพฤติกรรมของสัตว์น�้ำที่เราเลี้ยงอยู่ ซึ่งในเบื้องต้น การศึกษาพิจารณาถึง สีน�้ำ ที่เหมาะสม จะ สะท้อนปริมาณแพลงก์ตอนพืชที่มีในบ่อได้ โดยทั่วไป บ่อที่ประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงนั้น มักจะ มี “คลอโรฟิลล์เอ” (ซึ่งเป็นรงควัตถุหลักที่มีใน แพลงก์ตอนพืช) อยู่ในระดับปานกลาง โดยอาจมีค่าไม่เกิน 80-100 ไมโครกรัมต่อลิตร ซึ่งการประเมินระดับดังกล่าว หากเราไม่มีเครื่องมือใดๆ เลย ก็เพียงใช้ฝ่ามือจุ่มลงไปในน�้ำที่มีสีเขียวเข้ม และหงายฝ่ามือขึ้น หากไม่สามารถเห็นมือ ของท่าน ที่ระดับลึกประมาณครึ่งศอก ก็แสดงว่าในน�้ำนั้นน่าจะมีแพลงก์ตอนพืชอย่างหนาแน่นมากเกินไป ความหนา แน่นของแพลงก์ตอนพืชที่มากเกินควร จะส่งผลให้คุณภาพน�้ำส�ำคัญหลายอย่าง (อาทิ ค่าออกซิเจนละลายน�้ำ ค่าความ เป็นกรด-เบส และค่าอัลคาไลนิตี้) มีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันได้อย่างมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สูง ย่อมท�ำให้สัตว์น�้ำ จ�ำเป็นต้องปรับตัวสูง อาจเกิดสภาวะความเครียด และเกิดผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น�้ำที่เลี้ยงอย่างต่อเนื่องไปได้ ดูแลดินตะกอน เพื่อให้เกิดสารอาหารที่ดีท�ำได้อย่างไร แม้หลายๆ คนจะกล่าวว่า ในทางทฤษฎี กับ ในการปฏิบัติ มักไปด้วยกันได้ยาก อย่างไรก็ตาม คงต้องย�้ำกัน ว่า การดูแลสีน�้ำ คุณภาพน�้ำ หรือการควบคุมปริมาณแพลงก์ตอนพืช ที่จะพัฒนาขึ้นมาในบ่อหนึ่งๆ นั้น เป็นเรื่องที่ จ�ำเป็น ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเราต้องควบคุมเรื่องการให้ อาหาร อย่างถ้วนถี่ ละเอียดลออ แต่จ�ำเป็นต้องท�ำการควบคุม ดิน ต้นทุน ในพื้นบ่อ ให้มีสารอินทรีย์ หรือมีอาหารสะสมแรกเริ่มในระดับที่ต�่ำ หรือมีค่าใกล้เคียงกับ ระดับในฐานดินเดิม เท่าที่จะท�ำได้ ในการนี้ ควรด�ำเนินการจัดการตั้งแต่ช่วงการเตรียมบ่อ โดยท�ำการปรับปรุงดินก่อนที่จะท�ำการเตรียม น�้ำ และเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปของการเลี้ยง นอกจากนี้ ขอให้เราตระหนักว่า การย่อยสลาย การเปลี่ยนรูป หรือการหายไปของสารอินทรีย์ที่สะสมในพื้น ก้นบ่อแทบทั้งหมด เกิดจากกระบวนการทางชีวภาพและชีวเคมี โดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากมายที่อาศัยอยู่ในดิน ไม่ว่า จะเป็นกลุ่มของจุลินทรีย์ต่างๆ สัตว์หน้าดิน หรือสาหร่ายหน้าดิน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ต่างท�ำหน้าที่ส�ำคัญในระบบนิเวศพื้น บ่อ และเป็นสิ่งที่สมควรอนุรักษ์ไว้อย่างที่สุด กระบวนการ ตากบ่อให้แห้ง ตามวิธีที่นิยมท�ำกันมาโดยทั่วไปนั้น (ภาพที่ 16) เป็นเพียง ขั้นตอนหนึ่ง ที่เปิด โอกาสให้สารพิษในดินตะกอนบางชนิด อาทิ ก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) ได้สัมผัสกับออกซิเจนในอากาศโดยตรง และเกิดการเปลี่ยนรูปหายไป หรือกลายเป็นฟอร์มที่ไม่มีความเป็นพิษ แต่อย่างไรก็ตาม สารพิษในกลุ่มของซัลไฟด์ดัง กล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก และจะสะสมในดินได้ใหม่อีก เมื่อเราเติมน�้ำลงไปในพื้นที่บ่อ (ที่ยังมีสารอินทรีย์สูง) ไประยะ หนึ่ง ซึ่งดินพื้นบ่อก็จะค่อย ๆ เกิดการย่อยสลาย และเกิดเป็นสภาพที่ไร้ออกซิเจนในดินได้อีกไปตามล�ำดับ


145 ผลจากการวิจัยที่ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของดิน เปรียบเทียบในช่วง ก่อน และ หลัง จากการตากบ่อ (ภาพ ที่ 17) สะท้อนให้เห็นว่า ผลจากการตากบ่อท�ำให้ก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) ในดินลดลงได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณ สารอินทรีย์รวม ที่สะสมอยู่เนื้อดิน เกิดการลดลงไปได้น้อย ทั้งนี้ เนื่องจากสารอินทรีย์บางส่วนเท่านั้นที่ระเหยออกไป ได้ แต่สารอินทรีย์ส่วนใหญ่ที่มี ยังคงจับตัวกันแน่นในเนื้อดิน นอกจากนี้ ในช่วงที่ดินถูกตากแห้งนั้น จุลินทรีย์ต่างๆ ใน ดิน ที่มีบทบาทในการช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ ได้เกิดการตายลง และลดจ�ำนวนลงไปอย่างมากนั่นเอง อนึ่ง ในภาพรวมของการจัดการที่เหมาะสม เมื่อมีสิ่งที่ มากเกินไป เราก็ควรจะ น�ำออกไปนอกระบบบ่อเลี้ยง ดังนั้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของการเพิ่มปริมาณแพลงก์ตอนอย่างหนาแน่น ก็คือ การน�ำออก หรือการช่วย เจือจาง โดยมวลน�้ำใหม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า นอกจากที่เราจ�ำเป็นที่จะต้องหาทาง “บ�ำบัดเลน” ที่เกินพอ (เพื่อควบคุมปัจจัยเหตุ) เรายังควรมีการ “ส�ำรองน�้ำดี”เพื่อเตรียมความพร้อมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้อย่างทันการณ์ โดยควรหาทาง ประยุกต์แนวคิดนี้ ไปในการปฏิบัติจริงที่เป็นไปได้ และสอดคล้องเหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่ ตลอดจนศักยภาพ ของเราเอง การศึกษาในพื้นที่บ่อต่างๆ ที่ผ่านมา ยังท�ำให้ตระหนักอย่างถ่องแท้ว่า “บ่อทุกบ่อ เสมือนเป็นครู ผู้สอน ให้รู้ ความจริง” ซึ่งความจริงที่ได้เรียนรู้ ได้ให้แง่คิดส�ำคัญ คือ ความจ�ำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่ เรียนรู้ และเข้าใจ ในธรรมชาติ พื้นฐานที่เรามี ทั้งด้านสภาวะของพื้นที่ และศักยภาพของผู้คนที่ร่วมด�ำเนินการด้วยกัน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับ การเลี้ยง แทนที่จะด่วนเชื่อง่ายๆ แต่ควรสงสัยไว้ก่อน ทั้งนี้และทั้งนั้น เป็นเพราะว่าจะท�ำให้เรามั่นคงกับความคิด บน รากฐานของ เหตุ และ ผล และท�ำให้เกิดความรู้สึกท้าทาย ที่จะน�ำไปปฏิบัติ แก้ไขปัญหา หรือพิสูจน์ในความจริงที่ได้ พิจารณาไตร่ตรองมา และที่ส�ำคัญคือ การที่เราจะต้อง ไม่หนีปัญหา หรือ เร่งต้องการค�ำตอบ โดยไม่ได้คิดเอง หาก แต่ควรท�ำการทบทวน ไตร่ตรอง และพยายามค้นหาสาเหตุของปัญหา ให้เจอด้วยตนเอง แนวคิดในการจัดการบ่อ ให้สอดคล้องตามหลักการ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นแนวพระราชด�ำริขององค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการด�ำเนินงาน เพื่อ ความพออยู่ พอกิน และเพื่อปูพื้นฐาน ไว้ ส�ำหรับการ อยู่ดีกินดี ในอนาคต ก็นับว่าเป็นแนวคิดที่ดีงาม ซึ่งจะก่อให้เกิดการประกอบกิจการได้อย่างยาวนาน เกิดเป็นอาชีพมั่นคง มีเสถียรภาพ มิใช่เพียงเป็นการส่งเสริมความมั่งคั่งในอาชีพ แต่ขาดความยั่งยืนที่แท้จริง ภาพที่ 17 การเก็บตัวอย่างดินพื้นบ่อด้วยท่อเก็บดินแบบใส (Hand corer) เพื่อน�ำไปศึกษาคุณภาพดิน หลังจากกระบวนการปรับปรุงพื้นที่โดยการตากบ่อ ภาพที่ 16 ลักษณะของหน้าดินในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งหลังจาก การตากบ่อจนแห้งสนิท


146 ในส่วนนี้ จะขอน�ำท่านเข้าสู่เรื่องราวของสารประกอบส�ำคัญที่มีบทบาทสูง ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ด้วยตา สามารถดมกลิ่นได้ และจับต้องได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่จ�ำเป็นต้องใช้เครื่องมือศึกษาที่ซับซ้อนใดๆ สารประกอบดังกล่าว นั้น คือ “สารประกอบซัลไฟด์” ที่พบในดินตะกอนพื้นท้องน�้ำ โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นเลนนิ่มเหลว หรือในพื้นที่ที่ มีการหมักหมมของอินทรีย์สารอยู่ในปริมาณที่สูง สารประกอบซัลไฟด์ในดิน ได้รับการเพ่งเล็ง ในฐานะที่เป็น สารพิษที่อันตราย โดยมีผลกระทบต่อความเป็น อยู่ของสัตว์น�้ำ ซึ่งหากมีค่าเข้มข้นในดิน ประมาณ 0.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะท�ำให้กุ้งเริ่มเสียการทรงตัว เนื่องจาก เซลล์ในร่างกายจะขาดออกซิเจน และหากมีความเข้มข้นสูงเกิน 4 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะท�ำให้กุ้งตายลงได้ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) จัดเป็นรูปฟอร์มหนึ่ง ของสารประกอบซัลไฟด์ส�ำคัญที่พบมากในดินตะกอน ไฮโดรเจนซัลไฟด์จัดเป็นก๊าซ ที่เกิดขึ้นจากการย่อยสลายของอินทรีย์สาร ภายใต้ชั้นดินที่ไม่มีออกซิเจน และโดยทั่วไป เรามักเรียกกันว่า ก๊าซไข่เน่า โดยเราจะสามารถได้กลิ่นของก๊าซไข่เน่าได้อย่างชัดเจน ในดินที่มีสีด�ำ หรือสีเทาปนด�ำ (ภาพที่ 18) ซึ่งมักจะมีเนื้อละเอียดเหลว หากจับดินนั้นด้วยมือเปล่า จะรู้สึกว่ามีความนิ่มลื่น และเมื่อลองบีบดินนั้น ให้กระจายออก จะเห็นว่าสีด�ำๆ นั้น ยังคงติดอยู่ที่นิ้วมือ นอกจากนั้น กลิ่นของมันจะคงอยู่ที่มือได้ค่อนข้างนาน ซัลไฟด์ในดิน น�ำความรู้ สู่การจัดการ ภาพที่ 18 ลักษณะของดินที่มีการสะสมของสารอินทรีย์จนท�ำให้เกิดซัลไฟด์ในดินได้มาก ในบริเวณพื้นท้องน�้ำที่เป็นกรดอ่อนๆ มักจะเกิดก๊าซไข่เน่าได้ง่ายกว่า และจะมีความเป็นพิษได้สูง โดยในภาพ รวมแล้ว สาเหตุหลักของการเกิดก๊าซไข่เน่า ก็คือ เกิดจากกระบวนการย่อยสลายของสารอินทรีย์ต่างๆ ในดิน โดย จุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน (เกิดในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนละลายน�้ำนั่นเอง) อย่างไรก็ตาม การที่ภายใต้ชั้นดินไม่มีออกซิเจนนั้น นับเป็นเรื่องตามธรรมชาติ ซึ่งในพื้นบ่อทุกๆ แห่ง การเกิด สภาพที่ ดินตะกอนขาดออกซิเจน เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม การขาดออกซิเจนอย่างรวดเร็วในดินชั้นบนๆ เป็นเรื่อง ที่ควรสังเกตให้ดีๆ เพราะจะสะท้อนถึงปัญหาในดิน ซึ่งจะมีผลกระทบที่ตามมาได้


147 ดินพื้นบ่อที่ขาดออกซิเจนอย่างชัดเจน มีลักษณะที่เมื่อพิจารณาจากชั้นผิวบนสุดของหน้าดินลงไป หากพบสี ของดิน เปลี่ยนจากสีนวลๆ หรือสีน�้ำตาล เป็นดินสีด�ำขึ้นได้ เพียงแค่ระดับความลึกของดินไม่เกินครึ่งเซนติเมตร เรา ก็จะถือว่าดินนั้นเกิดการเน่าเสียได้อย่างชัดเจน เพราะชั้นของสีน�้ำตาลที่มีออกซิเจน พบได้เพียงบริเวณผิวหน้าบางๆ เท่านั้น ในขณะเดียวกัน ระดับของการเน่าเสียที่สูง ยังพิจารณาได้จากการที่ดินสีด�ำนั้น มีลักษณะนิ่มเหลวและ มีกลิ่น ก๊าซไข่เน่าที่รุนแรง (ภาพที่ 19) ซึ่งได้กลบเอากลิ่นของดินธรรมชาติที่เคยมี ให้หมดไปจากเดิม เราอาจไม่จ�ำเป็นต้องรู้ค่าตัวเลข ที่จะวัดออกมาทางเคมี อย่างไรก็ตาม เราควรรู้จักสังเกตว่า ดินธรรมชาติ เดิม ในแต่ละบ่อของเรานั้น มีกลิ่น สี และลักษณะดั้งเดิมเป็นอย่างไร ซึ่งหากเมื่อได้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง จนถึงใน ระยะกลาง หรือระยะท้ายของการเลี้ยง ก็จะพบว่าการสะสม เลนใหม่ที่อาจเกิดได้มากในบริเวณกลางบ่อ หรือมุมบ่อ ด้านใดด้านหนึ่งที่มากเกินไป จะเป็นสาเหตุส�ำคัญของการเกิดก๊าซ และซัลไฟด์ในรูปแบบต่างๆ (ซึ่งบางครั้งจะสามารถ สังเกตเห็นเป็นฟองก๊าซผุดขึ้นมาจากบริเวณที่หมักหมมนั้นได้อย่างต่อเนื่อง) นอกจากก๊าซไข่เน่าจะมีความเป็นพิษด้วยตัวเองแล้ว การเกิดก๊าซไข่เน่า รวมทั้งซัลไฟด์รูปแบบต่างๆ ในดิน ตะกอนพื้นบ่อ ยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพพื้นบ่อที่มีการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนจนได้มาก ซึ่งสิ่งที่ตามมา ก็คือ ในบ่อของเราจะได้รับสารอาหารพืช (โดยเฉพาะในกลุ่มของแอมโมเนียม) แพร่ออกมาจากพื้นดินที่มีสีด�ำนั้น ได้สูงมาก อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ดินที่เน่าเสียมาก มักพบปริมาณ แอมโมเนียม ที่ละลายอยู่ในดิน ได้สูงมากกว่าปริมาณที่พบในมวลน�้ำ ถึง 100-1,000 เท่า ซึ่งปริมาณที่แพร่ผ่านออกจากดินไปสู่มวลน�้ำ ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มจ�ำนวนของแพลงก์ ตอนพืชในน�้ำได้อย่างมากมาย ส่งผลให้น�้ำที่เลี้ยงสัตว์น�้ำนั้นจะเกิดมีสีเขียวหรือสีน�้ำตาลเข้มของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งก่อ ให้เกิดปัญหาความผันแปรของออกซิเจนในรอบวันได้สูง รวมทั้งปัญหาการขาดออกซิเจนในน�้ำ ในเวลากลางคืนได้ง่าย โดยเฉพาะในบริเวณที่ใกล้กับผิวหน้าดินบริเวณที่เป็นปัญหาดังกล่าว หากเราเป็นเจ้าของพื้นที่ ที่ท�ำให้เกิดการสะสมของ ขี้เลน ที่ก้นบ่อมากเกินไป เราก็ควรหาทางแก้ปัญหา หรือ การป้องกันสภาวการณ์ ที่มวลน�้ำชั้นล่างอาจขาดออกซิเจน ทั้งนี้ เนื่องจากก๊าซไข่เน่า (ไฮรเจนซัลไฟด์) ที่เกิดขึ้นมาก นั้น จะถูกผลักดันจากพื้นดิน ออกไปสัมผัสกับออกซิเจนในมวลน�้ำ ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี และท�ำให้ออกซิเจนใน มวลน�้ำลดลงไปอย่างรวดเร็ว ซัลไฟด์ในดินจะหายไป ด้วยการตากบ่อไหม เมื่อเราท�ำการเตรียมบ่อในขั้นแรก ด้วยวิธีการ ตากบ่อ นั่นหมายถึง การที่เราส่งเสริมโอกาส ให้ก๊าซไข่เน่า ส่วนหนึ่งได้แพร่ผ่านออกจากดิน ระเหยขึ้นสู่บรรยากาศ ดังนั้น หากก๊าซไข่เน่าได้เกิดการระเหยได้มาก และหน้าดิน ภาพที่ 19 ลักษณะดินเปียกจากใต้น�้ำ ที่มีลักษณะซึ่งสะท้อนภาพถึงการสะสมของซัลไฟด์ในดินที่สูงมาก


148 เกิดการแยกตัว เกิดเป็นร่อง เกิดการแตกระแหงลงไปลึกได้ นั่นก็หมายถึง เราได้เพิ่มโอกาสให้เกิดการลดปริมาณของ ก๊าซไข่เน่าในดินได้มากขึ้น เมื่อท�ำการตากบ่อ จะสังเกตได้ว่าสีของดินที่เคยด�ำ ก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นซีดลง กลายเป็นสีครีมนวลๆ สีน�้ำตาล อ่อน หรือสีเหลือง ทั้งนี้ เนื่องจากดินเกิดการออกซิเดชั่น ซึ่งก็คือ การที่ก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) และสารประ กอบเหล็กซัลไฟด์ ได้ท�ำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศโดยตรงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ยังมีสารประกอบซัลไฟด์ในรูปอื่นที่คงทน ซึ่งสามารถที่สะสมอยู่ในดินที่ลึกลงไป และบางครั้ง จ�ำเป็นต้องมีน�้ำร่วมในการท�ำปฏิกิริยาเคมี .. ดังนั้น การเติมน�้ำเข้ามาบางช่วง และสร้างให้เกิดสภาวะที่ เปียก สลับ แห้ง จึงเป็นวิธีที่ควรน�ำไปทดลองประยุกต์ใช้ หากต้องการปรับปรุงดินอย่างมีประสิทธิผลจริงๆ อนึ่ง การสลับขั้นตอน การจัดการ เพื่อให้บ่อเกิดสภาวะ เปียก สลับ แห้ง ยังส่งผลที่ดีมากต่อการกระตุ้นการย่อยสลายของสารอินทรีย์ที่สะสม อยู่ในดินเลน ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูให้เกิดจุลินทรีย์ ที่จะมาท�ำหน้าที่ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ส่วนเกินนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี สิ่งที่น่าสนใจที่ได้รับจากประสบการณ์การวิจัย ที่อยากเรียนให้ท่านผู้ประกอบการได้ทราบ ก็คือ การที่เราพบ ว่า ระดับของก๊าซไข่เน่า ที่เกิดในดินตะกอนในช่วงของการเลี้ยงจะ มีมาก หรือ มีน้อย เป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่ง ที่มี ความเกี่ยวโยงไปถึง การประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยง โดยพบว่า ในบ่อที่ดี มักมี ก๊าซไข่เน่า ในระดับปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างมาก และที่สังเกตเห็นได้เสมอ คือ การที่ดินเริ่มมีสีด�ำ มีลักษณะเหลว และมีกลิ่นของซัลไฟด์เล็ก น้อย กลับช่วยกระตุ้นการรวมกลุ่ม และการเจริญเติบโตของสัตว์หน้าดินบางชนิด ที่สามารถเกิดเป็นอาหารชั้นดีของ กุ้งที่เลี้ยงได้ ในภาพรวมยังพบว่า ระดับของก๊าซไข่เน่า ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่ส�ำคัญ เทียบเท่ากับความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติ ภาพรวมๆ ของบ่อ ตลอดจนพฤติกรรมของสัตว์น�้ำที่เราเลี้ยงอยู่ และอาจไม่ได้ส�ำคัญ เท่าระดับของความ เอาใจใส่และ ความทุ่มเท ของท่านผู้ประกอบการเอง ที่ตั้งใจให้การเลี้ยงเกิดผลส�ำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ สัตว์หน้าดิน สัตว์ในดิน ทางเลือกส�ำหรับอนุรักษ์ พัฒนา หรือท�ำลาย ต่อเนื่องจากประเด็นในด้านซัลไฟด์ในดินตะกอน ในส่วนของเนื้อหาจากนี้ ขอน�ำเสนอเรื่องราวสืบเนื่องของสิ่ง มีชีวิตใหญ่น้อย ที่มีความเกี่ยวข้องกับระดับของซัลไฟด์ และมีบทบาทที่ส�ำคัญต่อกระบวนการย่อยสลายของดินตะกอน นั่นก็คือ เรื่องราวของ สิ่งมีชีวิตพื้นท้องน�้ำ นั่นเอง ภาพที่ 20 ลักษณะของพื้นที่ หน้าดินซึ่งพบสิ่งมีชีวิตอาศัย อยู่ได้อย่างหลากหลาย


149 สัตว์หน้าดิน สัตว์ในดิน รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนี้ สัตว์พื้นท้องน�้ำ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ตามหน้าดิน หรือสัตว์ที่อยู่ในดินประเภท ต่างๆ ก็มีสังคม มีความเป็นอยู่ มีความแตกต่าง ความเหมือน และมีคุณลักษณะที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเชื่อมโยง และ จรรโลงซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งผืนดิน ที่เราพิจารณาด้วยตาเปล่าอาจไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ (ภาพที่ 20) แต่ภายในดินนั้น ก็ยังมีสิ่ง มีชีวิตขนาดเล็กๆ อาศัยรวมกันอยู่อย่างมากมาย สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านั้น ก�ำลังท�ำหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็ง มัน ก�ำลังเจริญเติบโต ก�ำลังขยายพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีขนาดของตัวที่เล็กที่สุด ซึ่งก็คือ กลุ่มของ จุลินทรีย์ หรือ แบคทีเรียในดิน หรือกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อาทิ กลุ่มของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในพวก โปรโตซัว ที่กินจุลินทรีย์เป็น อาหาร พวก ไส้เดือนทะเล ที่พบตั้งแต่ขนาดเล็กมาก ซึ่งดูเหมือนเป็นเส้นด้ายสีแดงๆ ซึ่งสร้างท่ออาศัยอยู่ในดิน ไป จนถึงพวกที่มีขนาดใหญ่ มีเท้าเดินด้านข้างของล�ำตัว ซึ่งท�ำให้สามารถเคลื่อนที่และว่ายน�้ำได้ดี เช่น กลุ่มของเพรียง ทราย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มของสัตว์ที่มีเปลือกแข็ง ซึ่งมักอยู่บนผิวดิน เช่น ในกลุ่มของ หอยเจดีย์ประเภทต่างๆ (ภาพ ที่ 21) ภาพที่ 21 ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นท้องน�้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ สัตว์พื้นท้องน�้ำ หรือ ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษ ว่า เบนโทส (Benthos) นั้น มิได้จ�ำเพาะเจาะจงแต่เฉพาะ สัตว์ที่อาศัยอยู่บนผิวหน้าดิน หรืออาศัยอยู่ข้างในชั้นของดินที่ลึกลงไปเท่านั้น ลูกสัตว์น�้ำขนาดเล็ก ปลาวัยอ่อน ปลา หน้าดิน หมึกสาย หรือสัตว์กลุ่มกุ้งเคยต่างๆ ที่ว่ายน�้ำ และอาศัยหากินอยู่ใกล้พื้นดิน ก็ยังจัดรวมว่าเป็นสัตว์พื้นท้องน�้ำ ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามสัตว์พื้นท้องน�้ำบางกลุ่ม จะมีวงชีวิตอยู่ในบริเวณหน้าดินได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ยก ตัวอย่าง เช่น กลุ่มของ หนอนแดง ซึ่งจัดเป็นระยะตัวอ่อนช่วงหนึ่งของแมลง ซึ่งสามารถพบเห็นกันได้ในเขตชายน�้ำ บางบริเวณ ทั้งนี้ เกิดเนื่องจากการที่มีแมลงมาวางไข่ริมชายน�้ำ แล้วไข่ได้พัฒนาเป็นระยะตัวอ่อนที่ลงฝังตัวลงในหน้า ดิน สร้างดินเป็นท่อเล็กๆ ขึ้นมา ซึ่งโดยส่วนใหญ่ หนอนแดง จะอยู่ในพื้นที่แหล่งน�้ำได้แค่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จาก นั้นจะพัฒนารูปร่างให้สมบูรณ์ขึ้น เกิดตาและปีกที่แข็งแรง และบินออกไปจากแหล่งน�้ำ ไปสู่วัฏจักรแมลงซึ่งเป็นระยะ ตัวเต็มวัยต่อไป ชื่อนั้น ส�ำคัญไฉน ที่ส�ำคัญมากไปกว่า การที่จะรู้ว่าสัตว์พื้นท้องน�้ำที่เรามองเห็นได้มากเพิ่มขึ้นบริเวณพื้นบ่อในบางช่วงของการ เลี้ยง มีชื่อวิทยาศาสตร์อะไร หรือจัดอยู่ในกลุ่มทางอนุกรมวิธานอย่างไร ก็คือ การที่เราควรจะรู้ว่า สัตว์พื้นท้องน�้ำที่


150 สังเกตเห็นนั้น มีความเป็นอยู่อย่างไร (อาทิ อยู่ใต้ชั้นดินตลอดเวลา หรือสามารถเคลื่อนที่ไปมา ทั้งในเนื้อดินและบน ผิวดิน หรือสามารถว่ายน�้ำออกมาจากดินได้) นอกจากนี้ ควรพิจารณาว่าสัตว์เหล่านั้นมักพบในดินบริเวณใด และบริเวณดังกล่าวมีลักษณะองค์ประกอบใน เนื้อดินเป็นอย่างไร หรือมักพบในช่วงใดของระยะการเลี้ยงของเรา ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นเพราะว่า ลักษณะนิสัย พฤติกรรม และความเป็นอยู่ของสัตว์พื้นท้องน�้ำเหล่านั้น สามารถสะท้อนให้เห็นบทบาทที่มีต่อระบบทางธรรมชาติ ต่อระบบ นิเวศทั้งในดิน และมีผลต่อมวลน�้ำด้านบน ซึ่งในภาพรวม จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเลี้ยงสัตว์น�้ำ หากผู้ประกอบ การสามารถพินิจพิเคราะห์ และเข้าใจถึงความเป็นอยู่ ลักษณะในการขยายพันธุ์ และหาทางประยุกต์ความรู้ เพื่อการ อนุรักษ์หรือน�ำสัตว์พื้นท้องน�้ำเหล่านั้น มาส่งเสริมให้เกิดประโยชน์ต่อการเลี้ยงต่อไปได้ “ชื่อทั่วไป” ของสัตว์พื้นท้องน�้ำ อาจเรียกแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ตามแหล่งน�้ำ ยิ่งหากจ�ำแนกลงไปถึงชื่อวิ ทยาศาสต์ทางวิชาการที่เป็นภาษาอังกฤษ อาจส่งผลให้เรางุนงง และกลับรู้สึกยากขึ้นต่อการเข้าใจ การเรียนรู้จักสัตว์ พื้นท้องน�้ำในเบื้องต้นที่ควรท�ำ ก็คือ การพยายามสังเกตและ ท�ำความเข้าใจด้วยตนเองว่าสัตว์พื้นท้องน�้ำ ที่เราสนใจ อยู่นั้น มีลักษณะนิสัยอย่างไร เพิ่มจ�ำนวนได้มากขึ้น หรือลดจ�ำนวนหายไปเมื่อใด อยู่ในดินพื้นที่แบบใด หรือน่าจะก่อ ประโยชน์อย่างไรในพื้นที่บ่อของเรา ในขณะเดียวกัน เราเองคงเคยเกิดค�ำถาม ส�ำหรับการศึกษาเชิงลึกทางวิชาการ ที่เฝ้าค้นหาชนิด และตั้งชื่อสัตว์ พื้นท้องน�้ำขึ้นมาใหม่ๆ แต่ไม่พยายามวิเคราะห์พฤติกรรมของสัตว์พื้นท้องน�้ำนั้น ไม่รู้ว่าท�ำไมถึงอาศัยอยู่ได้ และเมื่อไร ถึงจะลดจ�ำนวนลงไป..เช่นเดียวกัน กับการรู้จักชื่อของคนทั่วๆ ไป การทราบเพียงชื่อ ของคนคนหนึ่ง คงไม่ส�ำคัญเท่า การทราบ“นิสัยใจคอ” เป็นแน่ ซึ่งในภาพรวม หากเราทราบลงไปถึงลักษณะพฤติกรรมของสัตว์พื้นท้องน�้ำ จากการ สังเกตอย่างพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่แรก จะท�ำให้สามารถประเมินทิศทางการเปลี่ยนแปลง และเข้าใจความเป็นไปของพื้น บ่อเราได้ในที่สุด สมดุล ในสมดุล เหมือนดังเช่นภายในระบบนิเวศของมวลน�้ำ ระบบนิเวศในดินพื้นบ่อ ซึ่งมีแร่ธาตุ มีสารเคมีต่างๆ ซึ่งประกอบ ด้วยสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ และยังมีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย (อาทิ แพลงก์ตอนพืช และสัตว์พื้นท้องน�้ำ) อยู่ภายใน ระบบนิเวศของบ่อเลี้ยงสัตว์น�้ำ ภายในพื้นท้องน�้ำ ย่อมเกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนรูปของสารต่างๆ และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็น ค่อย ไป ซึ่งเป็นการพยายามรักษาสมดุลของปริมาณองค์ประกอบต่างๆ ที่มีภายในอยู่ตลอดเวลา ..ดินพื้นท้องน�้ำ เปรียบ เสมือนเป็น บ้าน ที่อบอุ่นของสัตว์พื้นท้องน�้ำ ที่สามารถพบสัตว์ได้อย่างหลากชนิด อาศัยอยู่กันเป็นระบบนิเวศสังคม ซึ่งมีการจัดระเบียบ มีการแบ่งกลุ่มของการกินอาหาร และย่อมมีการแก่งแย่ง แข่งขันกันเจริญเติบโต รวมทั้งมีการ พึ่งพาอาศัยกันและกันไปด้วย หากพิจารณาถึงสัตว์พื้นท้องน�้ำ ในกลุ่มของ ไส้เดือนทะเล (หรือที่บางแห่งเรียกกันว่า ไส้เดือนแดง) (ภาพที่ 22) ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถบ�ำบัดขี้เลนได้นั้น คงเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ผิด ทั้งนี้ เนื่องจากไส้เดือนทะเล จัดเป็นสัตว์ที่ประสิทธิภาพของร่างกายสูง เนื่องจากการที่มีระบบย่อยอาหารที่ท�ำงานตลอดเวลา โดยมีส่วนของปาก ที่คอยดูดกลืนเนื้อเลนในพื้นท้องน�้ำ เข้าไปสู่ล�ำไส้ตรง ที่ยาวตลอดล�ำตัว ซึ่งไส้เดือนทะเลสามารถดึงเอาสารอินทรีย์ ที่ เป็นองค์ประกอบในเนื้อดิน เข้าไปใช้ประโยชน์ในเจริญเติบโต และขับถ่ายเอากากของเสียที่ย่อยยากออกจากล�ำตัวไป ซึ่งการศึกษาที่ผ่านมาเราพบว่า ไส้เดือนทะเลมีบทบาทในการลดปริมาณสารอินทรีย์ในดิน จากตั้งต้นลงไปจากเดิม ได้ มากกว่า 80%


Click to View FlipBook Version