The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยฉบับสมบูรณ์-พร้อมปริ้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kunyawee Buthinkong, 2024-03-23 17:29:20

วิจัยฉบับสมบูรณ์-พร้อมปริ้น

วิจัยฉบับสมบูรณ์-พร้อมปริ้น

เค้าโครงการวิจัย ผู้วิจัย นางสาวพนาทิพย์ บุปผาสิงห์ ผู้สอน 1.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจมาภรณ์ เสนารัตน์ 2.อาจารย์ สุรางค์รัตน์ ราช่อง ระดับการศึกษา ปริญญาตรี สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย ปี 3 รหัสนักศึกษา 64418602003 มหาวิทยาลัย ราชภัฏร้อยเอ็ด การพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 Developing a set of educational games about geometric shapes to develop basic mathematics skills for preschool children in Year 3 of Kindergarten.


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาวพนาทิพย์ บุปผาสิงห์ ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจมาภรณ์ เสนารัตน์ ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก อาจารย์ สุรางค์รัตน์ ราช่อง ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม ปริญญา ปริญญาตรี สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย สถานศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ปีที่พิมพ์ 2567 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อ พัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 2) เพื่อหาประสิทธิภาพ ชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 3) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของนวัตกรรมชุดกิจกรรมเกมการศึกษา การศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้น อนุบาลปีที่ 3 4) เพื่อศึกษาหาความพึงพอใจของชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต สำหรับ เด็กปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 กลุ่มประชากร คือ เด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนบ้านสำโรง (คุรุประชาสามัคคี) จำนวน 27 คน ได้มาโดย วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดเกมการศึกษา 2) แผนการจัดประสบการณ์ใช้เกมการศึกษา 3) แบบทดสอบชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 4) แบบสังเกตพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test หาความเที่ยงตรง (IOC) และค่าประสิทธิภาพ (1/2) ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเกม การศึกษา มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 9.30 คะแนน และ 18.95 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างคะแนนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา พบว่า คะแนนการทดสอบทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เรื่อง รูปเรขาคณิต หลังการสอนโดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาสูงกว่าก่อน การสอนโดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ข TITLE Developing a set of educational games about geometric shapes to develop basic mathematics skills for preschool children in Year 3 of Kindergarten. AUTHOR Phanathip Bupphasing ADVISORS Assistant Professor Dr.Benjamaporn Senarat Advisor Ajarn Surangrat Rachong Co-Advisor DEGREE Bachelor’s degree MAJOR Early childhood Education UNIVERSITY Roi Et Rajabhat University YEAR 2024 ABSTRACT This research aims to 1) develop a series of educational game activities on geometry to improve basic mathematical skills for preschoolers, 2) to efficiently develop a series of educational game activities on geometry to develop basic mathematical skills for preschoolers in the 33rd year. To find out the performance index of innovative game activities, study geometry, and develop basic mathematical skills for kindergarten children in the 34th year of kindergarten to find satisfaction in the set of geometric game activities for children in the 3rd year of kindergarten. The population group is primary school boys and girls aged 5 to 6. 27 students studying in Kindergarten Year 3, 1st semester of the 2017 academic year of Ban Samrong School (Kuru Pracha Samakkhi) were obtained through a specific selection method because it is a classroom that researchers are assigned as instructors. The tools used in the research are 1) educational game set 2) educational game experience plan 3) testing of educational game activity set geometry To develop basic mathematical skills for preschoolers in the 34th year of kindergarten, behavioral observation models. Statistics used in data analysis include average, standard deviation, t-test statistic for accuracy (IOC) and performance (1/2). The research found that developing a series of geometric study game activities to improve basic mathematical skills. For primary school children in the third year of kindergarten before and after the educational game event, the average score was 9.30 points and 18.95 points, respectively, and when comparing the scores before and after educational game activities, it was found that the test scores of elementary school children's basic mathematical skills on geometry after teaching using educational game activities were statistically significantly higher than before using educational game activities at the level.05


ค สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย.................................................................................................... ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ............................................................................................... ข สารบัญ...................................................................................................................... ค 1 บทนำ......................................................................................................................... 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา............................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย...................................................................................... 3 ความสำคัญของของการวิจัย................................................................................. 3 สมมติฐานของการวิจัย.......................................................................................... 4 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................. 4 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย........................................................................................... 4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย...................................................................................... 5 นิยามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................. 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………. 6 1.หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560................................................... 6 1.1 หลักการ................................................................................................... 6 1.2 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560............................................ 7 1.3 วิสัยทัศน์การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560.......................................... 7 1.4 หลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560....................... 8 1.5 จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย......... 8 1.6 การจัดประสบการณ์................................................................................. 9 1.7 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์........................................................... 11 1.8 สาระการเรียนรู้........................................................................................ 12 1.9 การประเมินพัฒนาการ............................................................................. 15 2.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 17 2.1 ความหมายของคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย.............................................. 17 2.2 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย............................................. 17 2.3 จุดมุ่งหมายในการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์........................... 18 2.4 หลักการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย..................................... 19


ง สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 2.5 การวัดและการประเมินผลความพร้อมของเด็กปฐมวัย.............................. 22 2.6 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย............. 23 3.การพัฒนาชุดเกมการศึกษาและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเกมการศึกษา.................. .... 27 3.1หลักในการพัฒนาเกมการศึกษา................................................................. 27 3.2หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการพัฒนาเกมการศึกษา........................................ 28 3.3 ความหมายของเกมการศึกษา................................................................... 29 3.4 จุดมุ่งหมายของเกมการศึกษา................................................................... 29 3.5 ประเภทของเกมการศึกษา........................................................................ 30 3.6หลักในการใช้เกมการศึกษา....................................................................... 33 3.7ประโยชน์และคุณค่าของเกมการศึกษา...................................................... 33 3.8บทบาทของผู้สอลและผู้เรียนในการใช้เกมการศึกษา.................................. 34 3.9 การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา.................................................. 35 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเกมการศึกษา......................................................................... 37 งานวิจัยในประเทศ.......................................................................................... 37 งานวิจัยต่างประเทศ........................................................................................ 39 3 วิธีดำเนินงานการวิจัย................................................................................................. 41 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง................................................................................... 41 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย....................................................................................... 41 การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................................... 47 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................... 49 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................. 49


จ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................ 52 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคาระห์ข้อมูล ................................................................... 52 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................... 53 5 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ........................................................................ 56 สรุปผลการวิจัย..................................................................................................... 56 อภิปรายผล........................................................................................................... 56 ข้อเสนอแนะ......................................................................................................... 58 บรรณานุกรม ............................................................................................................. 59 ภาคผนวก.................................................................................................................. 62 ภาคผนวก ก แผนการจัดประสบการณ์ กิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต 63 ภาคผนวก ข ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..................................................... 79 ภาคผนวก ค ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการวิเก็บรวบรวมข้อมูล............................. 102 ประวัติย่อของผู้วิจัย................................................................................................... 132


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย เด็กเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าได้ต้องอาศัย ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและมีการศึกษา เด็กจึงควรได้รับการพัฒนาอย่างครบถ้วนทั้งในด้านของการ เลี้ยงดู การเอาใจใส่ โดยเฉพาะในวัยของเด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์นับว่าเป็นวัยที่สำคัญ ที่สุดเพราะพัฒนาการทุกด้านเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องกันและเป็นพื้นฐานในการวางรากฐาน ของพัฒนาการทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสติปัญญา (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี.2560:12) หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี มุ่งให้เด็กมีการพัฒนาการตามวัยเต็มตาม ศักยภาพและมีความพร้อมในการเรียนรู้ต่อไป จึงกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อจบการศึกษา ระดับปฐมวัยในด้าน ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี สุขภาพจิตดีมีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการ แสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย (กระทรวงศึกษาธิการ.2560:26) ซึ่งพัฒนาการด้านสติปัญญา มาตรฐานที่ 9 ตัวบ่งชี้ที่ 9.2 กำหนดให้เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 อายุ 5-6 ปี จะต้องอ่าน เขียนภาพและ สัญลักษณ์ได้ ประกอบด้วย อ่านภาพ สัญลักษณ์ คำด้วยการชี้หรือกวาดตามองจุดเริ่มต้นและจุดจบของ ข้อความ(กระทรวงศึกษาธิการ. 2560: 32) ดังนั้นการพัฒนาความสามารถด้านการรูปเรขาคณิตจึงเป็น ทักษะหนึ่งที่ควรให้เด็กได้รับการพัฒนาให้เป็นไปอย่างมีลำดับขั้นตอนที่ถูกวิธี เนื่องจากทักษะ คณิตศาสตร์มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของเด็กวิธีการสอนที่เน้นทักษะทางคณิตศาสตร์และ เด็กสามารถเข้าใจทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ซึ่งทักษะพื้นฐาน ได้แก่ การสังเกตเปรียบเทียบ การ เรียงลำดับ การจำแนกรูปร่าง ขนาด ความยาว ความสูง การนับและการวัด นอกจากนี้คณิตศาสตร์เป็น วิชาที่สร้างสรรค์มนุษย์ให้เป็นผู้มีความคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุผลปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความละเอียดถี่ ถ้วน รอบคอบ ช่างสังเกต มีความคิดสร้างสรรค์ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นความรู้พื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ (บุญทัน อยู่ชมบุญ 2560 : 1) คณิตศาสตร์มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้มนุษย์มีความคิดมีเหตุผลเป็นระบบ มี แบบแผน ตลอดจนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่าง รอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์วางแผน แก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม และ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ เด็กปฐมวัยเป็น


2 วัยเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสังเกตชอบเล่นสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว คณิตศาสตร์สามารถพัฒนาเสริมสร้างให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติรอบตัว และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว คณิตศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในการเรียนรู้และมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต การเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย มุ่งหวังให้เด็กทุกคนได้เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ อันเป็นพื้นฐาน การเรียนรู้คณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษาโดยกำหนดสารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็ก ได้แก่ รูปเรขาคณิต เรื่องจำนวนตัวเลข การเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2557 : 2-3) ซึ่ง สอดคล้องกับแนวคิดของ (เชวง ซ้อนบุญ 2558: 21)ที่กล่าวว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญยิ่งสำหรับเด็ก ปฐมวัยเพราะคณิตศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็กแทบทั้งสิ้น เช่น รูปเรขาคณิต จำนวน ตัวเลข เวลา การวัด ตำแหน่ง เป็นต้น การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับพัฒนาการและควาสนใจของ เด็กจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้รับความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์เพราะประสบการณ์ที่ได้รับ สามารถนำไปใช้ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป การพัฒนาชุดเกมการศึกษาเรื่องรูปเรขาคณิตเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ส่งเสริมกระบวนการการเล่น การทำงานเป็นบุคคลและเป็นกลุ่มส่งเสริมการคิดการตัดสินใจ การค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ฝึกทักษะการสังเกตความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรวมกัน ตรวจสอบ ความถูกต้องในการเล่น สรุปความรู้ที่ได้รับร่วมกับทุกคนในการร่วมกิจกรรมอย่างมีความสุขและ สนุกสนาน (นิธิกานต์ ขวัญบุญ. 2560 : 6-7) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ (วรรณีวัจนสวัสดิ์. 2562 :27) ที่กล่าวว่า เกมการศึกษาเป็นสื่อที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้เป็นอย่างดี และตอบสนองความ ต้องการของเด็กในหลาย ๆ ด้าน เป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมรวมทั้งเป็นพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์และภาษา เด็กได้รู้จักการสังเกต การจำแนก การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การ แก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความพร้อมทางการเรียนในระดับชั้นต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับ แนวคิดของ (สุณี บุญพิทักษ์ . 2557 :276-277) ที่กล่าวว่า เกมการศึกษาเป็นสื่ออุปกรณ์ช่วยสอน ทำให้ เด็กได้พัฒนาการคิดหาเหตุผล การสังเกต การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาการทบทวนเนื้อหาที่ได้ เรียนรู้จากหน่วยการเรียน และทักษะพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่ฝึกเตรียมความพร้อม สนองตอบต่อพัฒนาการตามวัย จากปัญหาที่พบดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่าเด็กปฐมวัยควรได้รับการพัฒนาด้านสติปัญญาให้ สูงขึ้น ผู้วิจัยจึงมีความต้องการที่จะจัดเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเรื่องรูปเรขาคณิตเพื่อให้สอดคล้องกับวัยและความสนใจของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาชุดเกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เรื่องรูปเรขาคณิต สำหรับเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษาเพื่อพัฒนาด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านสำโรง(คุรุประชาสามัคคี)ให้สูงขึ้นการเลือกใช้เกมการศึกษา เนื่องจากเกมการศึกษาเป็นสื่อ


3 ที่นักเรียนชอบและครูสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนได้ดีจะช่วยให้เด็กเกิดความ สนุกเพลิดเพลินทำให้เข้าใจบทเรียนได้ดีและเร็วขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการเรียนคณิตศาสตร์ต่อไป ผู้วิจัยจึงขอศึกษางานวิจัยของ (นิธิตกานต์ บุญขวัญ 2559:ง) จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการ พัฒนาเกมการศึกษาดังกล่าว การพัฒนาเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจะเป็นนวัตกรรมที่ช่วย ปรับปรุงแก้ไขปัญหาการเตรียมความพร้อมคณิตศาสตร์ เพื่อให้การจัดประสบการณ์การสอนเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และอีกทั้งยังเป็นการพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อให้นักศึกษา สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยได้ศึกษาเรียนรู้และนำไปใช้ ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับแก้ปัญหา พัฒนาการด้านสติปัญญาต่ำและเจตคติที่ไม่ดีต่อคณิตศาสตร์ ซึ่งจะเป็นการเตรียมพื้นฐานด้าน คณิตศาสตร์ ให้เด็กมีความพร้อมที่เหมาะสมกับวัยและส่งผลให้มีพัฒนาการที่ดีต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 2.เพื่อหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 3. เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของนวัตกกรรมชุดกิจกรรมเกมการศึกษา การศึกษา เรื่องรูป เรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 4.เพื่อศึกษาหาความพึงพอใจของชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต สำหรับเด็ก ปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ/ความสำคัญของการวิจัย 1.ได้ชุดเกมการศึกษาทางคณิตศาสตร์ที่มีคุณภาพสามารถนำไปให้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ ส่งเสริมส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์เรื่องรูปเรขาคณิต สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 2.ได้ทราบพัฒนาการของเด็กที่ได้รับการจัดการเรียนรู้จากชุดเกมการศึกษาทางคณิตศาสตร์ 3.ได้ทราบความพึงพอใจของเด็กที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยการพัฒนาชุดเกมการศึกษาทาง คณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์เรื่องรูปเรขาคณิต สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล ปีที่ 3 4.เป็นแนวทางให้นักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคคลอื่นๆทั่วไปได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์เรื่องรูปเรขาคณิต ในเด็กปฐมวัย


4 สมมติฐานของการวิจัย 1.ชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยของความเหมาะสม มากกว่า 3.75 2.ชุดกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีประสิทธิภาพมากกว่าเกณฑ์ 75/75 3. ชุดกิจกรรมเกมการศึกษา การศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีประสิทธิผล มากกว่า0.50 4.ศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการเรียนด้วยชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ยมากกว่า 3.75 ขอบเขตของการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีขอบเขตของการวิจัย ดังนี้ 1 กลุ่มประชากร กลุ่มประชากร คือ เด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนบ้านสำโรง(คุรุประชาสามัคคี) จำนวน 27 คน 2 ตัวแปรของการวิจัย ตัวแปรที่ศึกษา 1.ประสิทธิภาพการพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต 2.ดัชนีการพัฒนาเกมการศึกษาทางคณิตศาสตร์ด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัย เรื่อง รูปเรขาคณิต 3.ความพึงพอใจในการร่วมเกมการศึกษาทางคณิตศาสตร์ด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัย เรื่อง รูปเรขาคณิต เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ศึกษา (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560)จัดทำแผนการจัดประสบการณ์ให้ สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 โดยใช้กิจกรรม เกมการศึกษาทางคณิตศาสตร์ด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เรื่อง รูปเรขาคณิต ซึ่ง แยกออกเป็น 20 กิจกรรมและ 5 เกมการศึกษา ประกอบด้วย 1. ชุดที่ 1 กิจกรรมฝึกทักษะการลากเส้นประ 5 กิจกรรม ประกอบการสอน สัปดาห์ที่ 1


5 2. ชุดที่ 2 กิจกรรมแบบฝึกหัดฝึกเขียนรูปเรขาคณิต 5 กิจกรรม ประกอบการสอน สัปดาห์ที่ 2 3. ชุดที่ 3 กิจกรรมแบบฝึกหัดจับคู่รูปเรขาคณิต 5 กิจกรรม ประกอบการสอนสัปดาห์ที่ 3 4. ชุดที่ 4 ระบายสีรูปเรขาคณิตตามจินตนาการ 5 กิจกรรม ประกอบการสอน สัปดาห์ที่ 4 5. ชุดที่ 5 เกมการศึกษาเรื่องรูปเรขาคณิต มี 5 เกมการศึกษา ประกอบด้วย 5.1 เกมไม้หนีบรูปเรขาคณิต ประกอบการสอน วันจันทร์ 5.2 เกมจับคู่รูปเรขาคณิต ประกอบการสอน วันอังคาร 5.3 เกมร้อยเชือกรูปเรขาคณิต ประกอบการสอน วันพุธ 5.4 เกมบิงโกรูปเรขาคณิต ประกอบการสอน วันพฤหัสบดี 5.5 เกมจับคู่กระดานไม้รูปเรขาคณิตปริศนา ประกอบการสอน วันศุกร์ ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยจะทำการศึกษาใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ระยะเวลาในการ จัดการเรียนการสอน 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน จำนวนวันละ 8 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 20 วัน นิยามศัพท์เฉพาะ คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ กิจกรรมที่ครูจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้และทักษะที่เหมาะสม กับวัยทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้โอกาสเด็กได้ สร้างความรู้และทักษะ ปลูกฝังให้เด็กรู้จักการค้นคว้าและ แก้ปัญหา ให้เด็กมีประสบการณ์เกี่ยวกับ เรื่องการเปรียบเทียบ การเรียงล˚าดับ การวัด การจับคู่หนึ่งต่อ หนึ่ง ก่อนที่เด็กจะเรียนเรื่องตัวเลข และวิธีคิดคำนวณ และสามารถนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้ต่อไป เกมการศึกษา คือกิจกรรมการเล่นที่ช่วยพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กแต่เน้น พัฒนาการ ทางด้านสติปัญญา มีกฎกติกาง่ายๆ ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กปฐมวัยและท˚าให้เด็กได้รับ ความสนุกสนาน จากการเล่น ทั้งยังช่วยส่งเสริมสติปัญญาในการคิดและการสังเกตการณ์คิดหาเหตุ ผลต่าง ๆ จากเกม การศึกษา มุ่งพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ตอบสนอง ความต้องการตามวัยของเด็ก การประเมินพัฒนาการหรือความพร้อมของเด็กปฐมวัย คือ การเก็บรวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ เกี่ยวกับเด็กโดยมีการรายงานผลและสื่อสารให้พ่อแม่ผู้ปกครองทราบ การบันทึกข้อมูลอย่าง เป็นระบบ มีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และเพื่อนำมาปรับปรุงกิจกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการ ทุก ๆ ด้าน


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทบทวนวรรณกรรม ทฤษฎี และศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้ เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุดเกมการศึกษาและความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัยในครั้งนี้ มีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 3. การพัฒนาชุดเกมการศึกษาและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเกมการศึกษา 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเกมการศึกษา 1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 ได้กำหนดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับ เด็กอายุ 3-6 ปีไว้ว่า เป็นการจัดการศึกษาที่ต้องพัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ และความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็นการเตรียม ความพร้อมที่จะเรียนรู้และสร้างรากฐานชีวิตให้พัฒนาเด็กปฐมวัยไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นคน ดีมีวินัย ภูมิใจในชาติและมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับ การอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กตลอดจนการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อ - แม่ เด็กกับผู้สอน เด็กกับผู้เลี้ยงดู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรม เลี้ยงดู การพัฒนา และให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเอง ตามลำดับขั้นของ พัฒนาการทุกด้านอย่าเป็นองค์รวม มีคุณภาพและเต็มตามศักยภาพ โดยกำหนดหลักการดังนี้ 1.1 หลักการ 1.1 ส่งเสริมส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน 1.2 ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย


7 1.3 ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมีกิจกรรมที่หลากหลายได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัยและมี การพักผ่อนเพียงพอ 1.4 จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นคนดี มีวินัยและมีความสุข 1.5 สร้างความรู้ ความเข้าใจและประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็กระหว่าง สถานศึกษากับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย 1.2 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กำหนดปรัชญาการศึกษาปฐมวัยที่สะท้อน ให้เห็นความเชื่อพื้นฐานในการพัฒนาเด็กปฐมวัยตั้งแต่อายุแรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ โดยเห็นความสำคัญ ของการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม การคำนึงถึงความสมดุลและครอบคลุมพัฒนาการของเด็กครบทุกด้าน ในการอบรมเลี้ยงดู พัฒนาและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ที่ผู้สอนต้องยอมรับความแตกต่าง ของเด็ก ปฏิบัติต่อเด็กแต่ละคนอย่างเหมาะสม โดยผู้สอนให้ความรัก ความเอื้ออาทร มีความเข้าใจ ใน การพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนี้ การศึกษาปฐมวัย เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปีบริบูรณ์อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตาม วัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ 1.3 วิสัยทัศน์การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กำหนดวิสัยทัศน์ที่สะท้อนให้เห็นความ คาดหวังที่เป็นจริงได้ในอนาคตในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพ ผ่านประสบการณ์ที่เด็กปฐมวัย เรียนรู้อย่างมีความสุข มีทักษะชีวิต ปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และสำนึกความเป็นไทยและทุกฝ่ายทั้งครอบครัว สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และชุมชน ร่วมมือกันพัฒนาเด็ก ดังนี้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมี ความสุขและเหมาะสมตามวัย มีทักษะชีวิต และปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็น


8 คนดีมีวินัย และสำนึกความเป็นไทย โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก 1.4 หลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กำหนดหลักการสำคัญในการจัดการศึกษา ปฐมวัย เพราะในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กปฐมวัย จะต้องยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูควบคู่กับ การให้การศึกษา โดยต้องคำนึงถึงความสนใจและความต้องการของเด็กทุกคน ทั้งเด็กปกติ เด็กที่มี ความสามารถพิเศษ และเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา รวมทั้งการ สื่อสารและการเรียนรู้ หรือเด็กที่มีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กพัฒนาทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญาอย่างสมดุล โดยจัดกิจกรรมที่หลากหลาย บูรณาการผ่านการเล่น และกิจกรรมที่เป็น ประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เหมาะสมกับวัยและความแตกต่างระหว่างบุคคล ด้วย ปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี้ยงดู หรือบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการอบรม เลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กแต่ละคน ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับชั้นของ พัฒนาการสูงสุดตามศักยภาพ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข เป็นคนดีของสังคม และ สอดคล้องกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา สภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิทธิเด็ก โดยความร่วมมือจากครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ดังนี้ 1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน 2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย 3. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมี กิจกรรมหลากหลาย ได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัย และมีการ พักผ่อนเพียงพอ 4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข 5. สร้างความรู้ ความเข้าใจและประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก ระหว่าง สถานศึกษา กับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย 1.5 จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กำหนดจุดหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อจบ


9 การศึกษาระดับปฐมวัยแล้ว โดยจุดหมายอยู่บนพื้นฐานพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม และสติปัญญา ที่นำไปสู่การกำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ และสภาพที่ พึงประสงค์ดังนี้ 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี 2. สุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม 3. มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4. มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย 1.6 การจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3-6 ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะบูรณา การผ่านการเล่น การลงมือกระทำ จากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชา โดยมีหลักการ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังนี้ 1. หลักการจัดประสบการณ์ 1.1 จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้หลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวม อย่างสมดุลและต่อเนื่อง 1.2 เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และบริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่ 1.3 จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้และ พัฒนาการของเด็ก 1.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอยางต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่ง ของการจัดประสบการณ์ พร้อมทั้งนำผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง 1.5 ให้พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก 2. แนวทางการจัดประสบการณ์ 2.1 โรงเรียนจัดแนวทางการจัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการกิจกรรม 6 หลัก เป็นแนวทางหนึ่งในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวของการจัด ประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการจัด ประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง และมีความสอดคล้อง กับหลักการเรียนรู้ ของสมอง คือ


10 กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นกับสื่อและเครื่องเล่นหรือมุม ประสบการณ์ อย่างอิสระโดยให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของ เด็กทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ในมุมบ้าน มุมเสริมสวย มุมหนังลือ มุมบล็อก เครื่องเล่นสัมผัส มุม วิทยาศาสตร์ มุมเกมการศึกษา กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการโดยใช้ศิลปะ เช่น การเขียนภาพ การปั้น การฉีกปะ ตัดปะ การ พิมพ์ภาพ การร้อย การประดิษฐ์หรือวิธีการอื่น ๆ ที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย อย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คำคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะหรือ อุปกรณ์อื่น ๆ มา ประกอบการเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การทำกิจกรรม เคลื่อนไหวและจังหวะช่วยให้เด็กเรียนรู้จังหวะและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาการทักษะการ เรียนรู้ ฝึกการทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่โดยจัดกิจกรรมด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น สนทนา อภิปราย เล่านิทาน สาธิตทดลอง ศึกษานอกสถานที่ เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง เล่นเกม ท่อง คำ คล้องจองประกอบท่าทาง กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อออก กำลัง เคลื่อนไหวร่างกาย และแสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กแต่ละ คนเป็นหลัก สิ่งที่เด็กเล่น เช่น การควบคุมท่าทางการเดิน การวิ่งแข่ง การเล่นกระบะทราย การเดินทรง ตัวบนแผ่นไม้ เพื่อสร้างสมองให้พร้อมสำหรับการใช้งานในวัยถัดไป กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญามีกฎเกณฑ์กติกาง่าย ๆ เด็ก สามารถเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มก็ได้ ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผล และเกิดความคิด รวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่หรือระยะเช่น เกมจับคู่ เกม แยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงสำดับ โดมิโน ภาพตัดต่อ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นขึ้นอยู่บนพื้นฐานของ ประสบการณ์เดิม ที่เด็กมีอยู่ และประสบการณ์ใหม่ที่เด็กจะได้รับ เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม พัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งการยอมรับใน วัฒนธรรมและภาษา ของเด็กมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กให้มีความสุข และเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อ ต่อการเรียนรู้ของเด็ก ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยอากาศสดชื่น ผ่อนคลายไม่เครียด มีโอกาส ได้ออกกำลังกาย และพักผ่อน มีสื่อวัสดุอุปกรณ์ มีของเล่นที่หลากหลายเหมาะสมกับวัยให้เด็กมีโอกาส ได้เลือกเล่น เรียนรู้เกี่ยวกับตนเองและโลกที่เด็กอยู่ รวมทั้งพัฒนาการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมอีกด้วย สิ่งสำคัญในการจัดประสบการณ์ คือ การยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้อง


11 เหมาะสมกับวัย ความสนใจ ความต้องการความแตกต่างระหว่างบุคคลในบรรยากาศที่อบอุ่นต่อการ เรียนรู้โดยใช้การบูรณาการผ่านการเล่นอย่างหลากหลายเป็นประสบการณ์ตรงที่เด็กมีโอกาสให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนา 1.7 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จำนวน 12 มาตรฐาน ประกอบด้วย พัฒนาการด้านร่างกาย 2 มาตรฐาน พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ 3 มาตรฐาน พัฒนาการด้านสังคม 3 มาตรฐาน และพัฒนาการด้านสติปัญญา 4 มาตรฐาน กำหนดตัว บ่งชี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และมีการกำหนดสภาพที่พึงประสงค์ซึ่งเป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่จำเป็นสำหรับเด็กทุก คนบนพื้นฐานพัฒนาการหรือความสามารถในแต่ละระดับอายุ อีกทั้งนำไปใช้ในการวิเคราะห์สาระการ เรียนรู้ เพื่อกำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ในการจัดประสบการณ์และการประเมินพัฒนาการเด็ก นอกจากสภาพที่พึงประสงค์ที่กำหนดในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าใจ พัฒนาการของเด็กอายุ 3 - 6 ปี เพื่อนำไปพิจารณาจัดประสบการณ์ให้เด็ก แต่ละวัยได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ขณะเดียวกันจะต้องสังเกตเด็กแต่ละคนซึ่งมีดวามแตกต่างระหว่างบุคคลเพื่อนำข้อมูลไปช่วย พัฒนาเด็กให้เต็มตามความสามารถและศักยภาพหรือช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู และประสบการณ์ที่เด็กได้รับ ประกอบด้วย 1. พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและ ประสานสัมพันธ์กัน 2. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม 3. พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ สังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4. พัฒนาการด้านสติปัญญา ประกอบด้วย 4 มาตรฐานคือ


12 มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ เหมาะสมกับวัย 1.8 สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก เพื่อส่งเสริม พัฒนาการเด็กทุกด้าน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรที่กำหนด ประกอบด้วยประสบการณ์ สำคัญ และสาระที่ควรเรียนรู้ ดังนี้ 1. ประสบการณ์สำคัญ ประสบการณ์สำคัญเป็นแนวทางสำหรับผู้สอนนำไปใช้ในการ ออกแบบการจัดประสบการณ์ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ และได้รับการส่งเสริมพัฒนาการ ครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้ 1.1 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้ มีโอกาสพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อและระบบ ประสาท ในการทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เด็กมีโอกาสดูแล สุขภาพ และสุขอนามัย สุขนิสัย และการรักษาความปลอดภัย 1.2 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการสนับสนุนให้ เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่เหมาะสมกับวัย ตระหนักถึงลักษณะพิเศษเฉพาะ ที่เป็นอัตลักษณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้พัฒนา คุณธรรมจริยธรรม สุนทรียภาพ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง และความเชื่อมั่นในตนเองขณะปฏิบัติกิจกรรม ต่าง ๆ ดังนี้ 1.3 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มี โอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเรียนรู้ ทางสังคม เช่น การเล่น การทำงานกับผู้อื่น การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ 1.4 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให้เด็ก ได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคลและสื่อต่าง ๆ ด้วย กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษา จินตนาการความคิด สร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การคิดเชิงเหตุผล และการคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและมี ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป 2. สาระที่ควรเรียนรู้


13 สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้ เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนำสาระที่ควรรู้นั้น ๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุจุดหมายที่กำหนด ไว้ ทั้งนี้ไม่เน้นการท่องจำเนื้อหา ผู้สอนสามารถกำหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับ วัย ความ ต้องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สำคัญ ทั้งนี้อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้ โดยคำนึงถึงประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ดังนี้ 2.1 เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะต่าง ๆ วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การ ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและ โรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น การรู้จักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่น การกำกับตนเอง การเล่นและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองตามลำพังหรือกับผู้อื่น การ ตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของ ตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดงมารยาทที่ดี การมี คุณธรรมจริยธรรม 2.2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับ ครอบครัวสถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่าง ๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ใน ชีวิตประจำวัน สถานที่สำคัญ วันสำคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สำคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย หรือแหล่งเรียนรู้ จากภูมิปัญญาท้องถิ่นอื่น ๆ 2.3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การ เปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ำ ท้องฟ้า สภาพ อากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชีวิตประจำวันที่แวดล้อมเด็ก รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการรักษาสาธารณสมบัติ 2.4 สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายใน ชีวิตประจำวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการลื่อลารต่าง ๆ ที่ใช้อยูในชีวิตประจำวันอย่างประหยัด ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม 3. การจัดกิจกรรมประจำวัน กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ 3 ปี - 6 ปีบริบูรณ์ สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวัน ได้หลายรูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร


14 เมื่อใด และอย่างไร ทั้งนี้การจัดกิจกรรมประจำวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจำวันมีหลักการจัดและขอบข่ายของกิจกรรม ประจำวัน ดังนี้ 3.1 หลักการจัดกิจกรรมประจำวัน 1. กำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย ของเด็ก ในแต่ละวันแต่ยืดหยุ่นได้ตามความต้องการและความสนใจของเด็ก เช่น วัย 3-4 ปี มีความสนใจ ประมาณ 8-12 นาที วัย 4-5 ปี มีความสนใจประมาณ 12-15 นาที วัย 5-6 ปี มีความสนใจ ประมาณ 15-20 นาที 2. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่อง นานเกินกว่า 20 นาที 3. กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลือกตัดสินใจ คิด แก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ เช่น การเล่นตามมุม การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที 4. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้ ริเริ่มและผู้สอน หรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้กำลังและไม่ใช้กำลัง จัดให้ครบทุก ประเภท ทั้งนี้กิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมที่ไม่ต้องออกกำลังมากนัก เพื่อเด็กจะ ได้ไม่เหนื่อยเกินไป 3.2 ขอบข่ายของกิจกรรมประจำวัน การเลือกกิจกรรมที่จะนำมาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึง การจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน ดังต่อไปนี้ 3.2.1 การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การ ยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่าง ๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ โดย จัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคลื่อนไหว ร่างกายตาม จังหวะดนตรี 3.2.2 การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อมือ-นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามือได้อย่าง คล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึก ช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม และใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พู่กัน ดินเหนียว ฯลฯ


15 3.2.3 การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝัง ให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอื้อเฟ้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นับถือ โดยจัดกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนองความต้องการ ได้ ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนื่อง 3.2.4 การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออก อย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตร ประจำวัน มีนิสัย รักการทำงาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคน แปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทำความสะอาดร่างกาย เล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกา ข้อตกลงของส่วนรวม เก็บของเข้าที่เมื่อเล่นหรือทำงานเสร็จ 3.2.5 การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิด แก้ปัญหาความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็ก ได้สนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่น เกม การศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกออกแบบและสร้างชิ้นงาน และทำกิจกรรมทั้งเป็นกลุ่ม ย่อย กลุ่มใหญ่ และรายบุคคล 3.2.6 การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอด ความรู้สึก นึกคิด ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัด กิจกรรมทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้า แสดงออกในการฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้อง เป็นแบบอย่างที่ดีในการ ใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับเด็กเป็นสำคัญ 3.2.7 การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมร์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่าง ๆ โดยจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ อย่าง อิสระ เล่นบทบาทสมมติ เล่นน้ำ เล่นทราย เล่นบล็อก และเล่นก่อสร้าง 1.9 การประเมินพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3-6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ปกติที่จัดให้เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนำมาจัดทำสารนิทัศน์หรือจัดทำ ข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการรวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถ


16 บอกเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ให้นำ ข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณาปรับปรุงวางแผนการจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี้ 1. วางแผนการประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ 2. ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน 3. ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดปี 4. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจำวันด้วยเครื่องมือและวิธีการที่ หลากหลาย ไม่ควรใช้แบบทดสอบ 5. สรุปผลการประเมิน จัดทำข้อมูลและนำผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก สำหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3-6 ปี ได้แก่ การสังเกต การ บันทึกพฤติกรรมการสนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ กระทรวงศึกษาธิการ ( 2560 : 25- 48) สรุปได้ว่า การจัดการหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี เป็น การพัฒนาภายใต้ปรัชญา ที่ว่า “การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่าง เป็นองค์รวมบนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและ พัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทรและความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐาน คุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนา ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ” โดยมีการ กำหนดจุดมุ่งหมาย มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์การจัดเวลาเรียน สาระการเรียนรู้และการจัด ประสบการณ์อย่างเป็นระบบ


17 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย 2.1 ความหมายของคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์นับว่ามีความสำคัญและมีความจำเป็นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ปฐมวัย แนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับพื้นฐานทางคณิตศาสตร์จะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ที่ดี ต่อไปใน อนาคต มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายและความสำคัญของคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัยดังนี้ ลัมพร ชารินทร์ (2556 : 15) กล่าวว่า คณิตศาสตร์คือแนวทางของประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ เกี่ยวกับโลกรวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องจำนวน หน้าที่ และ ความสัมพันธ์ ของสิ่งของตลอดจนการใช้สัญลักษณ์และยังเป็นเครื่องมือในชีวิตประจ˚าวันของทุ กคน สำหรับ คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นคือกิจกรรมหรือแนวการจัดประสบการณ์ด้านจำนวนและ ตัวเลข ความสัมพันธ์ของสิ่งของและสัญลักษณ์ตลอดจนเป็นเครื่องมือที่ใช้ในชีวิตประจ˚าวันของเด็ก เชวง ซ้อนบุญ (2556 : 20) คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง ประสบการณ์ทาง คณิตศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยได้รับการส่งเสริมจากครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายซึ่งมี การ วางแผนและเตรียมการอย่างดี โดยอาศัยสถานการณ์และกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเด็กเป็น พื้นฐาน ในการพัฒนาความรู้และทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือ ปฏิบัติจริง ด้วยตนเอง ประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย เช่น การเรียนรู้ เกี่ยวกับจำนวน การดำเนินการเกี่ยวกับจำนวน ความสัมพันธ์และฟังก์ชั่น ความน่าจะเป็น การวัดที่เน้นเรื่องการ เปรียบเทียบและการจำแนกสิ่งต่าง ๆ และการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น จากความหมายของคณิตศาสตร์ดังกล่าวมาสรุปได้ว่า คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ กิจกรรมที่ครูจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับวัยทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้โอกาสเด็กได้ สร้างความรู้และทักษะ ปลูกฝังให้เด็กรู้จักการค้นคว้าและแก้ปัญหา ให้เด็กมีประสบการณ์เกี่ยวกับ เรื่อง การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การวัด การจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง ก่อนที่เด็กจะเรียนเรื่องตัวเลข และวิธีคิด คำนวณ และสามารถนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้ต่อไป 2.2 ความสำคัญของคณิตศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ.(2557 : 2) ได้ กล่าวถึง ความสำคัญของคณิตศาสตร์ไว้ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้ มนุษย์มีความคิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน ตลอดจนการพัฒนาความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และ สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการได้อย่างรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วาง แผนการแก้ปัญหาและ


18 นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม และคณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือ ในการศึกษาทางด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ มีความอยากรู้ อยากเห็น ช่างสังเกต ชอบสำรวจ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว คณิตศาสตร์สามารถพัฒนาและเสริมสร้างให้เด็กรู้ เข้าใจธรรมชาติและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การที่เด็กมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์มีเจตคติที่ดีต่อ คณิตศาสตร์ ไม่เพียงส่งผลให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ทาง คณิตศาสตร์เท่านั้น แต่จะ ส่งผลต่อการเรียนรู้ในศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในการ เรียนรู้ และมีประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิต สุมารีย์ ไชยประสพ (2558 : 16) กล่าวถึง ความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยว่า คณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมนุษย์ เป็นเครื่องมือใน การ เรียนรู้ศาสตร์อื่น ๆ การได้รับประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องตั้งแต่ระดับปฐมวัยท˚าให้ ผู้เรียนมี ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลและใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดีเพราะใน การดำเนิน ชีวิตตลอดจนการศึกษาการเรียนรู้ต้องอาศัยทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การจัด หมวดหมู่ การ เรียงลำดับ การแก้ปัญหา การคิดคำนวณ อย่างมีเหตุผล การกระทำจึงมีความจำเป็นในการส่งเสริมให้มี การจัดประสบการณ์เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อให้ เด็กได้เรียนรู้ฝึกฝน เป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และเป็น พื้นฐานในการเรียนรู้ที่ ดีในอนาคตต่อไปเมื่อเติบโตขึ้น 2.3 จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย (นิตยา ประพฤติกิจ 2541: 3. อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2561 . 41-42) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์ คือ การให้เด็กได้รับประสบการณ์ทางด้านคณิตศาสตร์จะช่วย ให้ เด็กได้รู้จักใช้เหตุผลเพิ่มพูนค˚าศัพท์ที่ควรรู้จักและควรเข้าใจโดยเฉพาะได้เข้าใจความหมายจาก การ สืบค้นและการถกเถียงที่หาคำตอบที่ถูกต้องและมีความเข้าใจที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจ เรื่อง อื่นๆ ด้วยตนเองได้ จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัย จึงควรมีดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ (Mathematicsconcept) เช่น การบวกหรือการ เพิ่ม การลบหรือการลด 2) เพื่อให้เด็กรู้จักและใช้กระบวนการ (Process) ในการหาคำตอบ เช่นเมื่อเด็กบอกว่า “กิ่ง” หนักกว่า “ดาว” แต่บางคนบอกว่า “ดาว” หนักกว่า “กิ่ง” เพื่อให้ได้ค˚าตอบที่ถูกต้อง จะต้องมีการชั่งน้ำหนัก และบันทึกน้ำหนัก


19 3) เพื่อให้เด็กมีความเข้าใจ (Understand) พื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์เช่น รู้จัก และ เข้าใจศัพท์และ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ขั้นต้น 4) เพื่อให้เด็กฝึกฝนทักษะ (Skill) คณิตศาสตร์พื้นฐาน เช่น การนับ การวัด การจับคู่ การจัดประเภท การเปรียบเทียบ การจัดลำดับ 5) เพื่อส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าหาคำตอบ (Explore) ด้วยตนเอง ปณิชา มโนสิทธยากร (2562 : 14) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์ เป็น การ เตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับสูงขึ้น เป็นการฝึกฝนให้รู้จักการใช้เหตุผลใน การ เปรียบเทียบมีทักษะในการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์และมีเจตคติที่ ดีต่อ การเรียนคณิตศาสตร์ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปได้ สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์เด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิด ความคิด รวบยอดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ รู้จักและใช้กระบวนการในการหาคำตอบ และสร้างเสริม ประสบการณ์ให้ เด็กเกิดมโนทัศน์คณิตศาสตร์ว่าเป็นเรื่องของตัวเลขและเหตุผล สร้างความคุ้นเคยกับ ตัวเลข การนับ อีก ทั้งยังส่งเสริมการหาค˚าตอบด้วยตนเองและการแก้ปัญหาเพื่อให้ได้ประสบการณ์ ตรงได้ลงมือปฏิบัติ 2.4 หลักการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย นิตยา ประพฤติกิจ (2541 :19-24. อ้างถึงใน เชวง ซ้อนบุญ 2557: 24-26) ได้เสนอ หลักการ จัดกิจกรรมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ไว้ดังนี้ 1) สอนให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กมองเห็น ความ จำเป็นและ ประโยชน์ของสิ่งที่ครูกำลังสอนดังนั้น การสอนคณิตศาสตร์แก่เด็กจะต้องสอดคล้องกับ กิจกรรมในชีวิต เพื่อให้เด็กตระหนักถึงเรื่องคณิตศาสตร์ทีละน้อย และช่วยให้เด็กเข้าใจเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ในขั้นต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน กับครูและลงมือ ปฏิบัติด้วยตนเอง 2) เปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ ที่ทำให้พบคำตอบด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้เด็ก ได้รับ ประสบการณ์ที่หลากหลายและเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีโอกาสได้ลงมือปฏิบัติ จริงซึ่ง เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเองพัฒนาความคิดและความคิดรวบยอดได้เอง ในที่สุด 3) มีเป้าหมายและมีการวางแผนที่ดี ครูจะต้องมีการเตรียมการ เพื่อให้เด็กได้ค่อย ๆ พัฒนาการเรียนรู้ ขึ้นเองและเป็นไปตามแนวทางที่ครูวางไว้ 4) เอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้ และลำดับขั้นการพัฒนาความคิดรวบยอดของเด็ก ครูต้องมี การเอาใจใส่เรื่อง การเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะลำดับขั้นการพัฒนาความคิดรวบยอด ทักษะทางคณิตศาสตร์ โดยคำนึงถึงหลักทฤษฎี


20 5) ใช้วิธีการจดบันทึกพฤติกรรม เพื่อใช้ในการวางแผนและจัดกิจกรรม การจดบันทึกด้าน ทัศนคติ ทักษะและความรู้ความเข้าใจของเด็กในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นวิธีการที่ทำให้ครูวางแผน และจัด กิจกรรมได้เหมาะสมกับเด็ก 6) ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเด็ก เพื่อสอนประสบการณ์ใหม่ในสถานการณ์ใหม่ ประสบการณ์ ทางคณิตศาสตร์ของเด็ก อาจเกิดจากกิจกรรมเดิมที่เคยทำมาแล้วหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ แม้ว่าจะเป็น เรื่องเดิมแต่อาจอยู่ในสถานการณ์ใหม่ 7) รู้จักการใช้สถานการณ์ขณะนั้นให้เป็นประโยชน์ ครูสามารถใช้สถานการณ์ที่กำลัง เป็นอยู่ และเห็นได้ ในขณะนั้นมาทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ 8) ใช้วิธีการสอนแทรกกับชีวิตจริง เพื่อสอนความคิดรวบยอดที่ยาก การสอนความคิดรวบ ยอดเรื่อง ปริมาณ ขนาด และรูปร่างต่าง ๆ ต้องสอนแบบค่อย ๆ สอดแทรกไปตามธรรมชาติ ใช้ สถานการณ์ที่มี ความหมายต่อเด็กอย่างแท้จริง ให้เด็กได้ทั้งดูและจับต้อง ทดสอบความคิดของ ตนเองในบรรยากาศที่ เป็นกันเอง 9) ใช้วิธีให้เด็กมีส่วนร่วมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับตัวเลข สถานการณ์และสภาพแวดล้อม ล้วนมีการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ครูสามารถนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับตัวเลขได้ เพราะตาม ธรรมชาติ ของเด็กนั้นล้วนสนใจในเรื่องการวัดสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่แล้ว รวมทั้งการจัดกิจกรรมการเล่น เกมที่เปิด โอกาสให้เด็กได้เข้าใจในเรื่องตัวเลขด้วย 10) วางแผนส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียน และที่บ้านอย่างต่อเนื่อง การวางแผน การสอนนั้นครูควร วิเคราะห์และจดบันทึกด้วยว่ากิจกรรมใดที่ควรส่งเสริมให้มีที่บ้านและที่โรงเรียน โดยยึดหลักความพร้อม ของเด็กเป็นรายบุคคลเป็นหลัก และมีการวางแผนร่วมกับผู้ปกครอง 11) บันทึกปัญหาการเรียนรู้ของเด็กอย่างสม่ำเสมอเพื่อแก้ไขและปรับปรุงการจดบันทึก อย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ทราบว่ามีเด็กคนใดยังไม่เข้าใจและต้องจัดกิจกรรมเพิ่มเติมอีก 12) ในแต่ละครั้งควรสอนเพียงความคิดรวบยอดเดียว ครูควรสอนเพียงความคิดรวบยอด เดียว และใช้ กิจกรรมที่จัดให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงจึงเกิดการเรียนรู้ได้ 13) เน้นกระบวนการเล่นจากง่ายไปหายาก การสร้างความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการสร้าง ตัวเลขของเด็ก จะต้องผ่านกระบวนการเล่นมีทั้งแบบจัดประเภท เปรียบเทียบ และจัดลำดับ ซึ่งต้อง อาศัยการนับ เศษส่วนรูปทรงและเนื้อที่การวัดการจัดและเสนอข้อมูล ซึ่งเป็นพื้นฐานไปสู่ความเข้าใจ เรื่องคณิตศาสตร์ ต่อไปจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นที่ง่ายและค่อยยากขึ้นตามลำดับ


21 14) ควรสอนสัญลักษณ์ตัวเลขหรือเครื่องหมายเมื่อเด็กเข้าใจสิ่งเหล่านั้นแล้วใช้สัญลักษณ์ ตัวเลขหรือ เครื่องหมายกับเด็กนั้นทำได้เมื่อเด็กเข้าใจความหมายแล้ว 15) ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์ การเตรียมความพร้อมนั้นจะต้อง เริ่มที่การฝึก สายตาเป็นอันดับแรก เพราะหากเด็กไม่สามารถใช้สายตาในการจำแนกประเภทแล้วเด็ก จะมีปัญหาใน การเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2549:39-40. อ้างถึงใน เชวง ซ้อนบุญ 2559:26) ได้กล่าวว่า การสอนให้ เด็กปฐมวัยเรียนรู้คณิตศาสตร์นั้น ครูต้องกำหนดจุดประสงค์และวางแผนการสอนที่จะทำ ให้เด็กได้ใช้ วิธีการสังเกตซึมซับสัมผัสโดยเฉพาะจากการแก้ปัญญาจริง ซึ่งสภาครูแห่งชาติของ ประเทศ สหรัฐอเมริกาให้ข้อเสนอแนะหลักการสอนคณิตศาสตร์เด็กอายุ 3-6 ขวบ ไว้ดังนี้ 1. ส่งเสริมความสนใจคณิตศาสตร์ของเด็กด้วยการนำคณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจนั้นเชื่อมสาน ไปกับโลกทาง กายภาพและสังคมของเด็ก 2. จัดประสบการณ์ที่หลากหลาย ให้กับเด็กโดยสอดคล้องกับครอบครัว ภาษาพื้นฐาน วัฒนธรรม วิธีการเรียนของเด็กแต่ละคน และความรู้ของเด็กที่มี 3. ฐานหลักสูตรคณิตศาสตร์และการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการ ด้านปัญญา ภาษา ร่างกาย อารมณ์ สังคมของเด็ก 4. หลักสูตรและการสอนต้องเพิ่มความเข้มแข็งด้านการแก้ปัญหา กระบวนการใช้เหตุผล การน˚าเสนอ การสื่อสารและการเชื่อมแนวคิดคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 5. หลักสูตรต้องสอดคล้องและบ่งชี้ข้อความรู้และแนวคิดสำคัญทางคณิตศาสตร์ 6. สนับสนุนให้เด็กมีแนวคิดสำคัญทางคณิตศาสตร์อย่างลุ่มลึกและยั่งยืน 7. บูรณาการคณิตศาสตร์เข้ากับกิจกรรมต่าง ๆ และนำกิจกรรมต่าง ๆ มาบูรณาการ คณิตศาสตร์ด้วย 8. จัดเวลา อุปกรณ์ และครูที่พร้อมสนับสนุนให้เด็กเล่นในบรรยากาศที่สร้างให้เด็กเรียนรู้ แนวคิด คณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจอย่างกระจ่าง 9. นำมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ วิธีการภาษา มาจัดประสบการณ์โดยกำหนดกลยุทธ์ การ เรียนการ สอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก สรุปได้ว่า หลักการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย จะคำนึงถึงความต้องการและ ความสามารถของเด็กแต่ละคน การพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ด้านต่าง ๆ ของเด็กต้องเน้น เด็กเป็นสำคัญ และควรคำนึงถึงจุดประสงค์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสามารถ บูรณาการ เข้ากับกิจกรรมอื่น ๆ ได้ จากประสบการณ์ตรงที่เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ใน


22 ชีวิตประจำวันและควรคำนึงถึงความเหมาะสมและพัฒนาการให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมและมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การจัดกิจกรรมจากง่ายไปยาก จากสื่อที่เป็นรูปธรรมสามารถค้นพบและสร้างองค์ ความรู้ได้ด้วยตนเองจากสื่อการเรียนที่หลากหลาย 2.5 การวัดและประเมินผลความพร้อมของเด็กปฐมวัย การวัดและประเมินผลความพร้อมของเด็กปฐมวัยหรือการประเมินพัฒนาการเป็นการวัด ความสามารถในการเรียนรู้และประสบการณ์สำเร็จทางด้านคณิตศาสตร์ของเด็ก ซึ่งสามารถวัดได้ หลาย ทางด้วยกัน เช่น การสังเกต การตรวจผลงานและการเล่นเกมการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (2536 :10-45 อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ.2560 :44) เสนอแนะว่าการวัดและประเมินพัฒนาการในเด็กปฐมวัยนั้น เป็นการวัดพัฒนาการด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา เพื่อสนองจุดมุ่งหมายที่วางไว้ มิใช่เป็นการวัดเพื่อตัดสิน ได้หรือตก การวัดและประเมินพัฒนาการมีหลายวิธี เช่น 1. การสังเกต ครูสังเกตในขณะที่เด็กร่วมกิจกรรมหรือเล่นทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคลในเวลา และ สถานการณ์ต่าง ๆ หลาย ๆ ครั้ง โดยสม่˚าเสมอเพื่อให้ทราบพฤติกรรมที่แท้จริงของเด็กและควร บันทึก สิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์ที่เป็นจริง อันจะเป็นข้อมูลในการเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับ พัฒนาการเด็ก ต่อไป 2. การสนทนา การสนทนากับเด็กเป็นรายบุคคล จะช่วยให้ครูทราบถึงพัฒนาการด้าน การพูด การฟัง การสื่อสารและความคิดของเด็ก ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางบ้านซึ่งจะช่วยให้ครู เข้าใจเด็ก เป็นข้อมูล ในการหาทางแก้ปัญหาและพัฒนาเด็ก 3. การสัมภาษณ์หรือการทดสอบปากเปล่า ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้ครูทราบถึงพัฒนาการทาง ภาษา การ พูดที่บกพร่อง เช่น คำควบกล้ำ การพูดชัดไม่ชัด นอกจากนี้ยังช่วยให้ทราบถึงพัฒนาการ ทางด้าน สติปัญญาความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การคิดของเด็กแต่ละคน 4. การสะสมผลงาน ผลงานถือเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถของเด็ก การสะสม ผลงาน ควรเก็บ เป็นระยะ ๆ และเรียงล˚าดับตามวันที่ท˚า จะช่วยให้ครูทราบถึงพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคน อย่างต่อเนื่องจากคู่มือกรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ตามหลักสูตรพุทธศักราช 2546 (2561 : 23) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดและประเมินผลการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย อายุ 3 ถึง 5 ปี เป็นไปเพื่อรับรู้ พัฒนา และส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคลตามศักยภาพ ที่มี ความแตกต่างกัน การวัดและประเมินผลเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติ ที่จัดขึ้นให้เด็กในแต่ ละวันผลการประเมินจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ครูผู้สอนหรือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ อบรมเลี้ยงดูและพัฒนา


23 เด็กนำไปวางแผน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กแต่ละคนให้ได้รับ การส่งเสริม และพัฒนา ตามมาตรฐานการเรียนรู้มากกว่าการตัดสินว่าผ่านหรือพร้อมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ควรยึด หลักดังนี้ 1. การวัดและประเมินผลต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง และควบคู่ไปกับกระบวนการเรียนการสอน 2. การวัดและประเมินผลต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์และตัวชี้วัด ที่กำหนดในแต่ละระดับอายุ ตาม กรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย 3. การวัดและประเมินผลทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ มีความสำคัญเท่าเทียม กับการวัด ความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระ 4. การวัดและประเมินผลต้องนำไปสู่ข้อมูลสาระสนเทศเกี่ยวกับตัวเด็กรอบด้าน โดยใช้ เครื่องมือและ วิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสนทนา การบันทึกพฤติกรรม เป็นต้น เพื่อ ตรวจสอบตาม จุดประสงค์และตัวชี้วัด 5. การวัดและประเมินผลต้องเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้เด็กมีความกระตือรือร้นใน การปรับปรุงและ พัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ของตน สรุปได้ว่า การประเมินพัฒนาการหรือความพร้อมของเด็กปฐมวัย เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ เกี่ยวกับเด็กโดยมีการรายงานผลและสื่อสารให้พ่อแม่ผู้ปกครองทราบ การบันทึกข้อมูลอย่าง เป็น ระบบมีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และเพื่อนำมาปรับปรุงกิจกรรมในการส่งเสริมพัฒนาการ ทุก ๆ ด้าน 2.6 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กมีหลายทฤษฎีด้วยกัน ที่ถูกนำมาปรับ ใช้ เป็นทฤษฎีการสอนคณิตศาสตร์แก่เด็กปฐมวัย ซึ่งมีทฤษฎีเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อการจัด การเรียนรู้ คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยซึ่งสรุปและรวบรวมที่น่าสนใจดังนี้ 1. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2563 :158-161) กล่าวถึง เพียเจท์ เชื่อว่าสติปัญญาของมนุษย์เป็นสิ่ง ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและเป็นสิ่งที่ต่อ เนื่องมาจากประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้องค์ประกอบที่ ก่อให้เกิดพัฒนาการทางสติปัญญา ประกอบด้วย 1.1 วุฒิภาวะ (Maturation) เป็นสภาพของการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเนื่องมาจาก พัฒนาการ โดย มียีนส์เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลให้มีสภาวะที่เอื้อต่อ การตอบสนองต่อ สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นศักยภาพในการซึมซับและปรับโครงสร้างให้สมดุล


24 1.2 ประสบการณ์ (Experience) ทั้งประสบการณ์ทางกายภาพ และประสบการณ์ โดยอาศัยการสังเกต เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เด็กแต่ละคนมีประสบการณ์แตกต่างกัน และจากประสบการณ์ ทำให้เด็กสร้างความรู้ ซึ่งเป็นความรู้ทางกายภาพ(Physical Knowledge) และความรู้ทางตรรกะคณิตศาสตร์ (Logical Mathematical Knowledge) การถ่ายทอดทางสังคม (Social Transmission) การที่เด็กแต่ละคนมีประสบการณ์ต่างกัน ทำให้ประสบการณ์ทางสังคม แตกต่างกันไปด้วย การถ่ายทอด ทางสังคมจึงเป็นความรู้ที่เด็กเรียนรู้จากคนที่อยู่รอบตัวเด็ก เช่น พ่อ แม่ ครู และค นอื่น ๆ กระบวนการพัฒนาสมดุล (Equilibration Process) การปรับความสมดุลของ โครงสร้างทางสติปัญญา ไปสู่ขั้นที่สูงกว่า เป็นกระบวนการสำคัญที่นำไปสู่พัฒนาการทางสติปัญญา เพียเจท์เชื่อว่ามนุษย์มี แนวโน้มพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด 2 ชนิด ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการ พัฒนาโครงสร้างทาง สติปัญญา คือ การจัดและรวบรวม (Organization) โครงสร้างภายในทั้งทางกาย และทางจิตให้เป็น ระบบ และการปรับตัว (Adaptation) ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อยู่ในสภาพ สมดุล (Equilibrium) การปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการต่อไปนี้ 1.2.1 การซึมซับประสบการณ์ (Assimilation) เป็นกระบวนการที่เกิดจาก การที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม แล้วรับหรือซึมซับภาพและเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าไว้ในโครงสร้าง ทางสติปัญญาของตน 1.2.2 การปรับโครงสร้างทางสติปัญญา (Accommodation) เป็นกระบวนการ ปรับความรู้เดิมให้เข้า กับสิ่งแวดล้อมใหม่ หรือความสามารถในการปรับความคิดเดิมให้สอดคล้องกับ สิ่งใหม่ ทำให้อยู่ใน สภาวะสมดุล (Equilibrium) และเกิดโครงสร้างทางสติปัญญาที่เรียกว่า “Schema” ซึ่งทำให้คน สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้โครงสร้างทางสติปัญญานี้ประกอบด้วยความหมาย หรือความเข้าใจ เกี่ยวกับ ประสบการณ์ เด็กสามารถสร้างความหมายของตนเอง ความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่สามารถ ถ่ายทอดจากครูไปสู่เด็กได้ แต่จะถูกสร้างขึ้นในสมองของเด็กเองโครงสร้างทางสติปัญญาเป็นผลของ ความพยายามทางความคิด หากการใช้ความรู้เดิมท˚านายเหตุการณ์ได้ถูกต้อง โครงสร้างทาง สติปัญญา ของบุคคลจะคงเดิมมั่นคงยิ่งขึ้น แต่ถ้าการคาดคะเนไม่ถูกต้อง จะทำให้เด็กเกิดความสงสัย หรือที่เรียกว่า เกิดภาวะไม่สมดุล (Disequilibrium) จะมีทางเลือก 3 ทาง คือ ยึดติดกับความคิด เดิมในโครงสร้าง ทางสติปัญญาของตนปฏิเสธข้อมูลจากประสาทสัมผัส หรือหาเหตุผลที่จะหักล้าง ข้อมูลจากประสาท สัมผัสออกไปไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจ โครงสร้างทางสติปัญญามีความจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสติปัญญาเกี่ยวข้อง กับระบบประสาทและ อวัยวะรับความรู้สึก เป็นการจัดหน้าที่ของสติปัญญาในแต่ละช่วงอายุ ขณะที่ โครงสร้างเหล่านี้พัฒนา มากขึ้น จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาเพิ่มขึ้น


25 พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยตามลำดับขั้น ดังนี้ 1) ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) พัฒนาการ ขั้นนี้อยู่ในช่วงเด็กแรกเกิด ถึงอายุ 2 ปี เด็กเรียนรู้จากการลองผิดลองถูก โดยเริ่มจากการตอบรับผล (Reply) สะท้อน (ReFlex) และปรับเปลี่ยนเด็กให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมจะเป็นไปตาม สิ่งที่ต้องการและเปูาหมาย จากนั้นจะพัฒนาไปถึงชั้นรูปธรรมและนามธรรม เด็กรับรู้วัตถุหรือ เหตุการณ์ในความคิดของเด็ก 2) ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) พัฒนาการขั้นนี้อยู่ในช่วงอายุ 2-7 ปี โดยที่เมื่อเด็ก อายุ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลางมีขีดจำกัดในการรับรู้ สามารถเข้าใจ ได้ในมิติเดียว และเมื่อ เด็กอายุ 5-6 ปี เด็กจะย่างเข้าสู่ขั้น Intuitive Thought ระยะนี้เป็นช่วง หัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด ขึ้นอยู่กับการรับรู้กับการคิดอย่างมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก้าวจาก การรับรู้มิติเดียวไปสู่การรับรู้ ได้หลาย ๆ มิติในเวลาเดียวกันมากขึ้น และจะก้าวไปสู่การคิดอย่างมี เหตุผล โดยไม่ยึดอยู่กับการรับรู้ เท่านั้น เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้น แต่ยังคิดและตัดสินผลของการ กระทำต่าง ๆ จากสิ่งที่เห็นภายนอก นอกจากนี้เพียเจท์ยังกล่าวถึง “ความสัมพันธ์” (Relationships) ว่าเป็นลักษณะที่สำคัญ ที่สุดในวิชา คณิตศาสตร์ เพราะถ้าหากเด็กรู้จัก “ความสัมพันธ์” แล้วจะช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่อง การจัด ประเภท การ เรียงลำดับ มิติสัมพันธ์ การรู้จักเวลา การคงที่ของปริมาณของวัตถุ และความสัมพันธ์ เกี่ยวกับขนาด เช่น เล็ก เล็กกว่า เล็กที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุดที่เด็กจะเข้าใจได้ครูอาจทดลองได้ โดยจัดหาวัสดุที่มีขนาด แตกต่างกัน 5 ระดับ แล้วสลับปนกัน เมื่อเด็กจัดเรียงลำดับแล้วจะเห็นว่ามีเด็ก น้อยคนที่สามารถ เรียงลำดับได้ถูกต้อง สรุปทฤษฎีการสอนคณิตศาสตร์ของเพียเจท์ คือทฤษฎีการใช้ประสาทสัมผัส เด็กปฐมวัย เรียนรู้การนับ โดยผ่านระบบสัมผัส เช่น การหยิบ การจับ การถือ การสัมผัสปริมาณหรือขนาดของ จำนวนใดจำนวน หนึ่งเด็กซึมซับจำนวนโดยการนับได้เห็นปริมาณหรือขนาดของจำนวนแต่ละจ˚านวนมี ความแตกต่างกัน คือหนึ่งไม่เท่ากับสอง และสองไม่เท่ากับสาม เป็นการเรียนรู้จากรูปธรรมไป นามธรรมซึ่งช่วยให้เด็ก ปฐมวัยเกิดความเข้าใจความคิดรวบยอดในเรื่องระบบจำนวนได้ง่าย 2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาบรูเนอร์ (Bruner) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2563 :161-162) กล่าวถึง บรูเนอร์ แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของ เด็กไว้ 3 ขั้น คือ ขั้นแสดงออกด้วย การกระทำ (Enactive Stage) ขั้นสร้างภาพในใจ (Iconic Stage) และขั้นใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Stage) ตามล˚าดับ ซึ่งมีความมายแตกต่างกับทฤษฎีของเพียเจท์ บรู เนอร์เชื่อว่าพัฒนาการแต่ละขั้น จะไม่ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ แต่จะอยู่ในรูปการตอบสนองทางการเคลื่อนไหว


26 ของร่างกาย ภาพลักษณ์ และการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการภายใน อินทรีย์ (Organism) และ การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก ซึ่งจะพัฒนา ได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่แวดล้อมรอบตัวเด็ก บรูเนอร์ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาว่าเด็กรู้ อย่างไร ควรศึกษาตัวเด็ก ในชั้นเรียนไม่ควรใช้หนูและนกพิราบ ทฤษฎีของบรูเนอร์เน้นหลัก กระบวนการคิดซึ่งประกอบด้วย 4 ลักษณะ คือ แรงจูงใจ (Motivation) โครงสร้าง (Structure) ลำดับ ความต่อเนื่อง (Sequence) และ การเสริมแรง (Reinforcement) หลักการที่เป็นโครงสร้างของความรู้ของมนุษย์ บรูเนอร์แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญา ของเด็กไว้ 3 ขั้น ซึ่งคล้ายคลึงกับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ ได้แก่ 1. ขั้นแสดงออกด้วยการกระทำ (Enactive Stage) ขั้นนี้เด็กจะเรียนรู้ทางประสาท สัมผัส การ เคลื่อนไหว และการกระทำ 2. ขั้นสร้างภาพในใจ (Iconic Stage) ขั้นนี้เด็กจะนึกในใจเอาเองโดยไม่ต้องใช้เหตุผล เด็กเกี่ยวข้องกับ ความเป็นจริงมากขึ้น ความคิดของเด็กเกิดจากการรับรู้และเกิดจากจินตนาการด้วย แต่ยังไม่ลึกซึ้ง 3. ขั้นใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Stage) ขั้นนี้เด็กเริ่มเข้าใจและ เรียนรู้ความสัมพันธ์ ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กจัดระเบียบโครงสร้างด้วยตนเอง และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่ง ที่พบเห็นในรูป สัญลักษณ์ สรุปว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ เน้นความสำคัญของการเรียนรู้ จาก ประสบการณ์ การรับรู้ทางประสาทสัมผัส ทำความเข้าใจกับสิ่งนั้น และจัดระเบียบโครงสร้าง ของสิ่งที่ รับรู้จนเกิดเป็นความคิดรวบยอด


27 3.การพัฒนาชุดเกมการศึกษาและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเกมการศึกษา 3.1หลักในการพัฒนาเกมการศึกษา อัจฉรา ชีวพันธ์ (2531 : 92, อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 68) ได้ให้ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับหลักการพัฒนาเกมการศึกษา ไว้ดังนี้ 1. พัฒนาเกมการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาและพัฒนาการของนักเรียนตามลำดับ ขั้นของการ เรียน เกมการศึกษาจะต้องอาศัยรูปแบบ (ภาพ) จูงใจนักเรียนและควรจัดเรียงเกมที่ง่าย ไปหายาก 2. มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าจะพัฒนาทักษะเด็กในด้านใด จัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย 3. ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน ควรแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยตาม ความสามารถแล้วจึงเล่นเกม 4. เกมการศึกษาที่ดีต้องมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ ที่นักเรียนเข้าใจและสามารถเล่นเกมได้ด้วยตนเอง 5. เกมการศึกษาต้องมีความถูกต้อง ครูต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทดลองเล่นด้วยตนเองก่อนแล้วแก้ไข ปรับปรุง 6. ให้นักเรียนเล่นเกมการศึกษา แต่ละครั้งตามความเหมาะสมกับเวลาและความสนใจ 7. ควรมีเกมการศึกษาหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดความรู้อย่างกว้างขวางและส่งเสริมทักษะ การคิด สร้างสรรค์ นิธิกานต์ ขวัญบุญ (2559 . 67-68) ได้แสดงความคิดเห็นว่าในการพัฒนาเกมการศึกษาให้ มี ประสิทธิภาพ ผู้สร้างจะต้องคำนึงถึงลักษณะของเกมการศึกษาที่ดี และปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลาย ประการ ซึ่งการพัฒนาเกมการศึกษาที่เดิมมีอยู่แล้ว ให้มีคุณภาพในการเรียนการสอน ครูจะต้อง คำนึงถึงตัว นักเรียนเป็นสำคัญโดยดูความพร้อมทางด้านสติปัญญาความเหมาะสมในวุฒิภาวะ วิธี การตลอดจน เนื้อหาและระยะเวลาในการเล่นเกมด้วย และได้สรุปหลักการพัฒนาเกมการศึกษาไว้ว่า การพัฒนาเกม การศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขั้นนั้นจะต้องอาศัยหลักการหรือปัจจัยหลายประการ คือ หลักจิตวิทยา การเรียนรู้ จุดมุ่งหมายของเกม การคัดเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อหาการเรียน ระยะเวลา ในการเล่น ทั้ง รูปแบบของเกมการศึกษาที่น่าสนใจและส่งเสริมทักษะการคิด ความคิดสร้างสรรค์ สรุปจากที่กล่าวมาได้ว่า หลักในการพัฒนาเกมการศึกษานั้นต้องมีจุดมุ่งหมายและ คำนึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน เกมการศึกษาต้องมีความถูกต้อง ครูควรพิจารณา ก่อนนำไป ให้นักเรียนได้เล่น รูปแบบเกมการศึกษาควรสร้างที่หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนเกิด ความรู้อย่าง กว้างขวางและส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนด้วย


28 3.2 หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการพัฒนาเกมการศึกษา กมลรัตน์ หล้าสุวงศ์ (2524 :48. อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 69-70) ได้กล่าวถึง ปัจจัยทางจิตวิทยาที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้นั้น ประกอบไปด้วย สิ่งต่าง ๆ ไว้ดังต่อไปนี้ 1. แรงขับ เช่น แรงหิวกระหาย 2. ความพร้อมทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา 3. ประสบการณ์ 4. ความต้องการทั้งทางกายและทางใจ 5. การปรับตัวเข้ากับสังคม 6. แรงจูงใจซึ่งมาจากทั้งภายในและภายนอก 7. การเสริมแรง 8. เจตคติความสนใจ 9. ความคิดรวบยอดและการจำการลืม 10. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ เพียเจท์ 1. อายุเป็นปัจจัยสำคัญของพัฒนาการทางสติปัญญา โดยเด็กในอายุต่าง ๆ จะมีพัฒนาการ ดังนี้ 0-2 วัย ช่างสัมผัส อายุ 2-6 วัยช่างพูด อายุ 7-11 วัยช่วงจำ อายุ 12-14 วัยช่างคิด 2. การพัฒนาแต่ละชั้น ต่อเนื่องเป็นล˚าดับ ไม่ต่อเนื่องข้ามขั้น 3. การกระทำเป็นพื้นฐานในการคิด 4. กิจกรรมกลุ่มช่วยทำให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษา สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกัน 5. การสอนควรทำในลักษณะขั้นบันไดเวียน คือการทบทวนเรื่องเดิม ก่อนเริ่มเรื่องใหม่ เช่น เริ่มเรื่อง การหาร ทบทวนการนับลด เริ่มเรื่องการคูณ ทบทวนการนับเพิ่ม ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์กับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ 1. การกระทำ (Enactive) เด็กเรียนรู้จากการกระทำมากที่สุด เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ตลอดชีวิต ใน ลักษณะของการถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยการกระทำการสอนต้องเริ่มด้วยการใช้ของ 3 มิติ ได้แก่ วัสดุ และของจริงต่างๆ 2. ภาพและจินตนาการ (Lconic) พัฒนาการทางสติปัญญาอาศัยการใช้ประสาทสัมผัสมา สร้างภาพใน ใจ การสอนสามารถใช้ 2 มิติ เช่น ภาพ กราฟ แผนที่


29 3. สัญลักษณ์ (Abstract) เป็นขั้นสูงสุดของการพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์ เป็นขั้น ใช้ จินตนาการล้วน ๆ ใช้สัญลักษณ์ ตัวเลข เครื่องหมายต่าง ๆ มาอธิบายหาสาเหตุ ให้เข้าใจสิ่งที่เป็น นามธรรม กล่าวโดยสรุป การสร้างเกมการศึกษานั้นควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ที่จะเกิด ประโยชน์แก่ผู้เรียน เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา ในการเสริมกำลังใจและการฝึกให้ผู้เรียนได้รู้ผลของเกม ถือเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ได้เกมที่ดี และมี ประสิทธิภาพ 3.3 ความหมายของเกมการศึกษา เกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยเป็นกิจกรรมการเล่นตามแนวทฤษฎีการเล่นเชิงรู้คิด (The Cognition Theory of Play) ตามหลักของเพียเจท์ (Piaget) การเล่นเป็นส่วนสำคัญของพัฒนาการ ทางสติปัญญา เพราะการเล่นเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการแสดงของผลรวมในพฤติกรรมทั้งหมดที่ เด็ก กระทำและแสดงออกมา ซึ่งตัวเด็กได้คิดแล้วกระทำด้วยความพึงพอใจ นิดาพร อาจประจญ (2560 : 24) ได้สรุปความหมายของเกมการศึกษาว่า คือเกมที่จัดทำ เป็น สื่อการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทางสติปัญญาในด้านการคิด การสังเกต การคิดหา เหตุผล การแก้ปัญหาเกมการศึกษาแต่ละชุดสามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่ม ผู้เล่นตรวจสอบ ความ ถูกต้องได้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เล่นเกิดความพึงพอใจและสนุกสนานเพื่อให้เด็กมีความพร้อมใน ทุก ๆ ด้าน สรุปเกมการศึกษา คือกิจกรรมการเล่นที่ช่วยพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กแต่เน้น พัฒนาการ ทางด้านสติปัญญา มีกฎกติกาง่ายๆ ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กปฐมวัยและท˚าให้เด็กได้รับ ความสนุกสนาน จากการเล่น ทั้งยังช่วยส่งเสริมสติปัญญาในการคิดและการสังเกตการณ์คิดหาเหตุ ผลต่าง ๆ จากเกม การศึกษา มุ่งพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ตอบสนอง ความต้องการตามวัยของเด็ก 3.4 จุดมุ่งหมายของเกมการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541 : 146 อ้างถึงใน นิดาพร อาจ ประจญ , 2563 : 30) ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการเล่นเกมการศึกษา ดังนี้ 1. ฝึกฝนและพัฒนาความสามารถในการใช้ประสาทสัมพันธ์ เพื่อไห้เกิดการรับรู้เพื่อจะ นำไปสู่การเรียนรู้ 2. พัฒนาการคิดหาเหตุผล 3. ฝึกการสังเกตและการตัดสินใจ 4. ฝึกการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ


30 5. ช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ 6. ฝึกการจำแนกเกี่ยวกับสี รูปร่าง ขนาด ปริมาณ จำนวน เสียง 7. ฝึกทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และภาษา 8. ฝึกการคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ วรรณี วัจนสวัสดิ์ (2562 : 27) กล่าวว่า เกมการศึกษาเป็นสื่อที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการ เรียนรู้เป็นอย่างดี และตอบสนองความต้องการของเด็กในหลาย ๆ ด้าน เป็นพื้นฐานในการเตรียม ความ พร้อมรวมทั้งเป็นพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และภาษา เด็กได้รู้จักการสังเกต การจำแนก การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความพร้อมทางการเรียนในระดับชั้น ต่อไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ปณิชา มโนสิทธยากร (2563 : 39) สรุปจุดมุ่งหมายของเกมการศึกษา ว่าเป็นสื่อที่ช่วยให้ ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนเรียนรู้จากการปฏิบัติได้ดีเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้มีทักษะการเรียนรู้ได้เต็ม ศักยภาพ ทั้งสี่ด้าน เพราะเกมการศึกษาเป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเมื่อ เด็กได้เล่นเกม เด็กได้รู้จักการสังเกต การจำแนก การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การเชื่อมโยง ฝึกการ รับรู้ ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานในการคิดขณะที่เด็กเล่นได้มากและจะเป็น พื้นฐานในการท˚างาน ของเด็กในอนาคต เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของเกมการศึกษานั้นเป็นการฝึกการสังเกต จำแนก ฝึกการคิดหา เหตุผล ฝึกการตัดสินใจในการแก้ปัญหา ฝึกให้รู้จักกับสัญลักษณ์ ฝึกประสาทสัมพันธ์ระหว่างตากับ มือ เป็น กิจกรรมที่จะพัฒนาทางด้านร่างกาย เสริมสร้างให้มีการตื่นตัว เป็นการสร้างบรรยากาศที่ สนุกสนาน ช่วยให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียน และถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการอ่านและเขียนให้ ได้ตามพื้นฐาน ทำให้เข้าใจเนื้อหาในวิชาต่าง ๆ ในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป 3.5 ประเภทของเกมการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541 : 145-153. อ้างถึงใน วรรณีวัจน สวัสดิ์ 2562 : 22-24) ได้จำแนกประเภทของเกมเป็นชนิดต่างๆ ดังนี้ 1. เกมจับคู่ เกมชนิดนี้เป็นเกมฝึกการสังเกต การเปรียบเทียบ การคิดหาเหตุผล เกมจับคู่ เป็นการจัด ของเป็นคู่ ๆ ชุดละตั้งแต่ 5 คู่ขึ้นไป อาจจะเป็นการจับคู่ภาพหรือวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ได้ เกมประเภทนี้ สามารถจัดได้หลายชนิด ได้แก่ 1.1 การจับคู่สิ่งที่เหมือนกัน 1.1.1 จับคู่ภาพหรือสิ่งของที่เหมือนกันทุกประการ


31 1.1.2 จับคู่ภาพกับเงาของสิ่งเดียวกัน 1.1.3 จับคู่ภาพกับโครงร่างของสิ่งเดียวกัน 1.1.4 จับคู่ภาพที่ซ่อนอยู่ในบัตรหลัก 1.2 การจับคู่สิ่งที่เป็นประเภทเดียวกัน เช่น ไม้ขีด-ไฟแช็ค, เทียน-ไฟฟูา 1.3 การจับคู่สิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น สิ่งที่ใช้คู่กัน สัตว์แม่-ลูก สัตว์กับอาหาร 1.4 การจับคู่สิ่งที่มีความสำคัญแบบตรงกันข้าม คนอ้วน-คนผอม 1.5 การจับคู่ภาพส่วนเต็มกับส่วนย่อย 1.6 การจับคู่ภาพเต็มกับภาพชิ้นส่วนที่หายไป 1.7 การจับคู่ภาพที่ซ้อนกัน 1.8 การจับคู่ภาพที่เป็นส่วนตัดกับภาพใหญ่ 1.9 การจับคู่สิ่งที่เหมือนกันแต่สีต่างกัน 1.10 การจับคู่ภาพที่มีเสียงสระเหมือนกัน เช่น กา-นา, งู-ปู 1.11 การจับคู่ภาพที่มีเสียงพยัญชนะต้นเหมือนกัน เช่น นก-หนู, กุ้ง-ไก่ 1.12 การจับคู่แบบอุปมาอุปไมย 1.13 การจับคู่แบบอนุกรม 2. เกมภาพตัดต่อ เป็นเกมฝึกการสังเกตรายละเอียดของภาพ รอยตัดต่อของภาพที่ เหมือนกันหรือ ต่างกันในเรื่องของสี รูปร่าง ขนาด ลวดลาย เกมประเภทนี้มีจำนวนชิ้นของภาพตัดต่อ ตั้งแต่ 5 ชิ้นขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความยากง่ายของภาพชุดนั้น เช่น หากสีของภาพไม่มีความแตกต่างกัน จะท˚าให้ยากแก่เด็ก ยิ่งขึ้น 3. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมิโน) เพื่อฝึกการสังเกต การคิดคำนวณ คิดเป็นเหตุเป็นผล เกมประเภทนี้มี หลายชนิดประกอบด้วยชิ้นส่วนเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือรูปสามเหลี่ยม ตั้งแต่ 9 ชิ้นขึ้นไป ในแต่ละด้านจะมี ภาพจำนวนตัวเลขจุดให้เด็กเลือกต่อกันในรูปที่เหมือนกัน แต่ละด้านไปเรื่อย ๆ 4. เกมเรียงลำดับ เป็นเกมฝึกทักษะการจำแนก การคาดคะเน เกมประเภทนี้มีลักษณะเป็น ภาพสิ่งของ เรื่องราว เหตุการณ์ ตั้งแต่ 3 ภาพขึ้นไป แบ่งเป็น 4.1 การเรียงลำดับภาพและเหตุการณ์ต่อเนื่อง 4.2 การเรียงลำดับขนาดความยาวปริมาณปริมาตรจำนวน เช่น ใหญ่-เล็ก สั้น-ยาว หนัก-เบา มากน้อย


32 5. เกมจัดหมวดหมู่เพื่อฝึกทักษะการสังเกตการจัดแยกประเภทเกมประเภทนี้มีลักษณะเป็น แผ่นภาพ หรือของจริงประเภทสิ่งของต่าง ๆ เป็นเกมที่ให้เด็กนำมาจัดเป็นพวก ๆ ตามความคิดของ เด็ก 6. เกมหาความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับสัญลักษณ์ เกมนี้จะช่วยเด็กก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสือ เด็กจะ คุ้นเคยกับสัญลักษณ์ที่เป็นภาพ ที่มีภาพกับคำหรือตัวเลขแสดงจำนวนกำหนดให้ตั้งแต่ 3 คู่ ขึ้นไป 7. เกมหาภาพที่มีความสัมพันธ์ลำดับที่กำหนด ฝึกการสังเกตลำดับที่ ถ้าเก็บต้นแบบจะฝึก เรื่องความจำ เกมประเภทนี้ ภาพต่าง ๆ 5 ภาพเป็นแบบให้เด็กสังเกต ลำดับภาพ ส่วนที่เป็นค˚าถาม จะมีภาพก˚ าหนดให้ 2 ภาพให้เด็กหาภาพที่ 3 ที่เป็นคำตอบที่จะท˚าให้ภาพทั้ง 3 เรียงลำดับถูกต้อง ตามต้นแบบ 8. เกมสังเกตรายละเอียดของภาพ (ลอตโต) ฝึกการสังเกตรายละเอียดของภาพ เกมจะ ประกอบด้วย ภาพแผ่นหลัก 1 ภาพ และชิ้นส่วนที่มีภาพส่วนย่อยสำหรับเทียบกับภาพแผ่นหลักอีก จำนวนหนึ่งตั้งแต่ 4 ชิ้นขึ้นไปให้เด็กเลือกภาพชิ้นส่วนเฉพาะที่มีอยู่ในภาพหลักหรือภายใต้เงื่อนไขที่ กำหนดให้เกี่ยวกับ ภาพหลัก 9. เกมหาความสัมพันธ์แบบอุปมาอุปไมย เกมนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนแผ่นยาวจำนวน 2 ชิ้น ต่อกันด้วย ผ้าหรือวัสดุอื่น ชิ้นส่วนตอนแรกมีภาพ 2 ภาพที่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องอย่างใดอย่าง หนึ่ง ชิ้นส่วนที่สองมีภาพ 1 ภาพ เป็นภาพที่สามที่มีขนาด ½ ของชิ้นส่วนให้เด็กหาภาพที่เหลือซึ่งเมื่อ จับคู่กับ ภาพที่สามแล้วจะมีความสัมพันธ์ทำนองเดียวกับภาพคู่แรกตัวเลือกเป็นแผนภาพขนาดเท่ากับ ภาพที่ สามสาระของเกมอาจเป็นในเรื่องของรูปร่าง จำนวน 10. เกมพื้นฐานการบวกเป็นการฝึกให้มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับรวมกันหรือการบวกโดย เกมแต่ละเกม จะประกอบด้วยภาพหลัก 1 ภาพ ที่แสดงจำนวนต่าง ๆ และจะมีภาพชิ้นส่วนตั้งแต่ 2 ภาพขึ้นไป ภาพ ชิ้นส่วนมีขนาด ½ ของภาพหลักให้เด็กหาภาพชิ้นส่วน 2 ภาพ ที่รวมกันแล้วมีจำนวน เท่ากับภาพหลัก แล้วน˚ามาวางเทียบเคียงกับภาพหลัก 11. เกมจับคู่ตารางสัญลักษณ์ เป็นภาพการฝึกคิดการสังเกตและฝึกการคิดเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ ประกอบด้วยช่องขนาดเท่ากัน และมีบัตรเล็ก ๆ ขนาดเท่ากับช่องตาราง เพื่อเล่นเข้าชุด กันโดยมีบัตรที่ กำหนดไว้เป็นตัวนำไว้ข้างบนของแต่ละช่องโดยการเล่นอาจจับคู่ภาพที่มีส่วนประกอบ ของภาพที่อยู่ ข้างบนกับภาพที่อยู่ด้านข้างก็ได้ ลักคะณา เสโนฤทธิ์ (2563 : 33) กล่าวสรุปได้ว่า เกมการศึกษาจะมีหลายประเภทซึ่งแต่ละ ประเภท ส่วนใหญ่ จะเน้นฝึกทางด้านสติปัญญา และเป็นเกมที่ช่วยพัฒนาเด็กและสนอง ความต้องการ ตาม ธรรมชาติของเด็ก


33 สรุปได้ว่า เกมการศึกษามีหลายประเภท แต่ละประเภทนั้นจะพัฒนาเด็กฝึกให้เด็กสังเกต และ ฝึกการคิดอย่างมีเหตุผล เป็นการพัฒนาเด็กในด้านสติปัญญาช่วยพัฒนาเด็กและสนอง ความต้องการ ตามธรรมชาติของเด็กปฐมวัย 3.6 หลักในการใช้เกมการศึกษา สุมารีย์ ไชยประสพ (2563 : 44) ได้กล่าวสรุปการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษาว่าครู ควรเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและเพียงพอสำหรับการเล่นต้องเล่นเกมที่มีรายละเอียดไม่มากนักไปหา เกม ที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมากขึ้นตามความสนใจของเด็ก เวลาไม่ควรใช้เวลานานเกินไปและครูต้อง ชี้แจง ให้นักเรียนเข้าใจถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อ ความร่วมมือซึ่งกันและกันให้นักเรียนได้เล่นตาม กฎ กติกา การเลือกเกมต้องให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน ไม่ควรเป็นเกมที่มีความปะทะและใช้ เวลานาน ๆ พยายามให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการเล่นเกมนั้น ๆ แต่ละเกมควรคำนึงถึง ความปลอดภัยของ นักเรียนเป็นหลักและผู้สอนควรมีการประเมินพฤติกรรมของนักเรียนทุกครั้งใน ขณะที่เล่นเกม จากที่กล่าวมา การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา สรุปได้ว่ามีขั้นตอนการสอน ดังนี้ 1) ขั้นนำ เป็นการแนะนำเกมที่จะเล่น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหา 2) ขั้นสอน เป็นขั้นการตกลงกติกาการเล่นเกม และให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ 3) ขั้นสรุป เป็นขั้นที่สรุปเนื้อหาที่ได้จากขั้นนำและขั้นสอนกิจกรรม เพื่อให้การใช้เกมนั้นมีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนต้องเลือกเกมการศึกษาให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ และความต้องการ และ ความสามารถของผู้เรียน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุดทางการเรียนของผู้เรียน 3.7 ประโยชน์และคุณค่าของเกมการศึกษา ลักคะณา เสโนฤทธิ์ (2564 : 37) ได้สรุปว่าประโยชน์ของเกมการศึกษาเป็นกิจกรรมที่ช่วย ส่งเสริมและฝึกทักษะให้เด็กได้เกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียนนอกจากนี้วิธีการเล่นยังช่วยส่งเสริม ให้ เด็กเกิดพฤติกรรมทางสังคมในด้านการช่วยเหลือแบ่งปัน การยอมรับผู้อื่น เพื่อให้อยู่ร่วมกันใน สังคมมี ความสุข สรุปได้ว่า เกมการศึกษาช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียน มีความพร้อมที่จะเรียนด้วย ความสนุกสนาน ผ่อนคลายความตึงเครียด ช่วยให้เด็กแสวงหาความรู้ความเข้าใจด้วยตนเองและ ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ วิธีการทำงานและเล่นร่วมกับคนอื่น


34 3.8 บทบาทของผู้สอนและบทบาทของผู้เรียนในการใช้เกมการศึกษา บทบาทของผู้สอน วิลเลียม (William 1982 : 10-11 . อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 70) ได้กล่าวว่า ครูผู้สอนต้องช่วยเหลือและแนะนำการเล่นเกมแก่ผู้เรียน ครูควรรู้ว่าคำ วลี หรือประโยคที่ สามารถใน การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารความหมายกับผู้เรียนได้ ครูต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของ เกมนั้น ๆ ว่า ควรเล่นทั้งห้องเรียน เป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือรายบุคคล และต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ เล่นเกมทุกคน ให้ โอกาสแก่นักเรียนที่เรียนช้า นอกจากครูสามารถให้นักเรียนเป็นผู้นำเกมแทนครูได้ แต่ในตอนแรกครูต้อง ร่วมเล่นเกมโดยเป็นผู้นำเกมก่อนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจวิธีการเล่นเกม แฮดฟฟิลด์ (Hadfield 1984 : 5. อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559: 71) กล่าวว่า บทบาท ของครูผู้สอนในการเล่นเกม คือเป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำ โดยให้คำปรึกษาทีละกลุ่ม ฟังการพูด และช่วยให้ แนะนำการใช้ภาษาของนักเรียนที่จำเป็น แต่ห้ามขัดขวางและแก้ไขการใช้ภาษาของ นักเรียนที่จำเป็น แต่ห้ามขัดขวางและแก้ไขการใช้ภาษาในทันที เพราะจะเป็นการขัดจังหวะการพูด และเป็นการทำลาย บรรยากาศการเล่นเกมด้วย ครูต้องจดบันทึกข้อผิดพลาดไว้เพื่อแก้ไขภายหลัง แมลแคลลัม (Mc Callum 1980 : 11. อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559:71) กล่าวว่า บทบาทส่วนใหญ่ของครูในการเล่นเกมมีหน้าที่อำนวยความสะดวกเป็นผู้ดูแลและควบคุมสถานการณ์ และครูเตรียมเอกสาร หรืออุปกรณ์ให้เพียงพอ ครูควรเข้าใจวิธีการเล่นเกม เพื่ออธิบายวิธีการเล่น เกมให้ ชัดเจนและถูกต้องแล้วให้นักเรียน 2-3 คน สาธิตการเล่นเกมก่อนเล่นจริง นอกจากนี้ครูต้อง ควบคุมดูแล ให้นักเรียนเล่นเกมอยู่ในกฎ กติกา ที่กำหนด บทบาทของผู้เรียน แมลแคลลัม (Mc Callum 1980 : 11. อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 72) ได้กล่าวถึง บทบาทของนักเรียนว่า นักเรียนทุกคนในชั้นจะต้องมีส่วนร่วมกับเกมครูจะต้องจัดภาระหรือ กิจกรรมให้ ครบทุกคนโดยการแบ่งกลุ่มการเล่นเกมให้เหมาะสม ถ้านักเรียนมีมากผู้เล่นที่เหลือก็เป็น ผู้ชม ผู้บันทึก คะแนน และเป็นกรรมการตัดสินใจในตอนท้ายว่ากลุ่มใดเล่นได้ดีที่สุด วิลเลียม (William 1982 : 10-11, อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 73) กล่าวว่า บทบาทของผู้เรียน นั้น สามารถจะเป็นผู้นำการเล่นเกม ผู้เล่นเกมและได้กล่าวถึงการที่จะให้นักเรียนมี ส่วนร่วมในกิจกรรม ไว้หลายประการ ดังต่อไปนี้


35 1. นักเรียนเตรียมพร้อมในการเล่นเกม เวลาสำหรับคิด จดบันทึก การฝึกพูดเพื่อที่จะเล่น เกมได้อย่าง รวดเร็วยิ่งขึ้น 2. การเตือนความทรงจำของนักเรียน โดยเขียนคำ หรือวลี ไว้บนกระดาน เช่น คำขึ้นต้น คำถาม และ คำศัพท์ที่รู้จัก ซึ่งเหมาะสมกับระดับของนักเรียน และสามารถใช้ภาษาเพื่อ การสื่อสาร ได้ สำหรับ นักเรียนที่เรียนอ่อน ครูควรเขียนทั้งประโยคหรือเป็นตาราง 3. ครูให้นักเรียนเป็นผู้นำกิจกรรมเกม โดยครูเป็นผู้นั่งดูและคอยให้คำปรึกษา 4. ครูควรให้นักเรียนมีส่วนร่วมทุกคน โดยไม่เรียกนักเรียนคนเดิมเล่นหรือตอบคำถามอีก ต้องกระจายให้ นักเรียนทั้งห้องได้เล่นเกม ครูต้องชี้แนะสำหรับเด็กที่เรียนอ่อนให้กล้าพูด 5. ในกรณีที่เล่นเป็นกลุ่มหรือเป็นคู่ ครูต้องแบ่งจำนวนผู้เล่นให้เหมาะสม แบ่งกลุ่มหรือคู่ให้ มากพอที่ทุก คนได้เล่นเกม 6. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ช่วยเหลือกันในห้องเรียน เป็นทีมหรือกลุ่ม โดยการเตรียมให้เพื่อน ได้กล้า แสดงออก และทุกคนคอยสนับสนุน กล่าวโดยสรุป บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนในการใช้เกมการศึกษานั้นผู้สอนจะต้องจัด กิจกรรมเกมให้ ผู้เรียนได้เล่นครบทุกคน และในบทบาทของผู้เรียนทุกคนนั้นจะต้องมีส่วนร่วมกับเกม การศึกษาที่ครูจัด ไม่ว่าจะเล่นเป็นกลุ่มหรือเล่นเป็นคู่ ควรได้เล่นครบทุกคน 3.9 การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา สุมารีย์ ไชยประสพ (2558: 44) ได้สรุปว่าการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษาว่าครู ควรเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและเพียงพอสำหรับการเล่นต้องเล่นเกมที่มีรายละเอียดไม่มากนักไปหาเกม ที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมากขึ้นตามความสนใจของเด็ก เวลาไม่ควรใช้เวลานานเกินไปและครูต้องชี้แจงให้ นักเรียนเข้าใจถึงความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อ ความร่วมมือซึ่งกันและกันให้นักเรียนได้เล่นตามกฎกติกา การเลือกเกมให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน ไม่ควรเป็นเกมที่มีความปะทะและใช้เวลานาน ๆ พยายาม ให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการเล่นเกมนั้น ๆ แต่ละเกมควรคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนเป็น หลักและผู้สอนควรมีการประเมินพฤติกรรมของนักเรียนทุกครั้งในขณะที่เล่นเกม จากที่กล่าวมา การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา สรุปได้ว่ามีขั้นตอนการสอนดังนี้ 1) ขั้นนำ เป็นการแนะนำเกมที่จะเล่น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหา 2) ขั้นสอน เป็นขั้นการตกลงกติกาการเล่นเกม และให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ 3) ขั้นสรุป เป็นขั้นที่สรุปเนื้อหาที่ได้จากขั้นนำและขั้นสอนกิจกรรม เพื่อให้การใช้เกมนั้น มีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนต้องเลือกเกมการศึกษาให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ และความ ต้องการ และความสามารถของผู้เรียน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางการเรียนของผู้เรียน


36 สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2558: 212) ได้กล่าวถึงขั้นตอนสำคัญของวิธีการสอน โดยใช้เกมการศึกษามี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นนำ ผู้สอนแจ้งจุดประสงค์ ทบทวนการเรียนหรือเร้าความสนใจ โดยให้ฟังเพลง ซักถาม ให้ตัวอย่างทายปัญหา ฯลฯ 2) ขั้นสอน (1) นำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น ก. ผู้สอนเสนอเกมให้ผู้เรียน เล่นโดยการแบ่งกลุ่มให้แข่งขันกัน ข. ผู้สอนชี้แจงกติกา และบรรยากาศในการเล่นเกมให้ชัดเจน (เกมบางชนิด มีวิธี เล่นที่ซับซ้อน อาจต้องมีการสาธิตก่อน) (2) ผู้เรียนเล่นตามกติกา ผู้สอนควบคุมการเล่นให้เป็นไปตามขั้นตอน ติดตาม สังเกต พฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และให้ผู้เรียนสังเกตเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ เพื่อสรุปให้ ได้ข้อเท็จจริง นิยาม หลักการ จากข้อมูลที่ได้จากการเล่น (3) ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่น วิธีการเล่น หรือพฤติกรรมการเล่น ของผู้เรียน 3) ขั้นสรุป ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปราย สรุปผลการเรียนรู้ เป็นข้อคิดนำไปสู่ หลักการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของเกมกับเนื้อหาที่เรียน 4) ขั้นประเมินผล ผู้สอนประเมินผลการเล่นเกมด้วยการสังเกตพฤติกรรมการเล่นของ ผู้เรียน ให้เป็นไปตามจุดประสงค์และกติกาของการเล่น อาจจะให้ผู้เรียนประเมินตนเอง หรือให้เพื่อน ประเมินตามความเหมาะสม จากขั้นตอนสำคัญของวิธีการสอนโดยใช้เกมการศึกษาที่กล่าวมา สรุปได้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นนำ ผู้สอนทบทวนบทเรียนด้วยเพลงหรือคำถาม กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน 2) ขั้นสอน นำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่นและกติกาวิธีการเล่น ควบคุมดูแลให้ผู้เรียน เล่น ให้เป็นไปตามขั้นตอนและกติกา 3) ขั้นสรุป ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปและอภิปรายผลเกี่ยวกับผลการเล่น หรือ พฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา ครูควรเตรียมเกมที่จะใช้ในการจัด ประสบการณ์ โดยมีขั้นตอนการสอน ดังนี้ 1) ขั้นนำ เป็นการแนะนำเกมที่จะเล่นเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความ สนใจในเนื้อหา 2) ขั้นสอน เป็นขั้นการตกลงกติกาการเล่นเกม และให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ3) ขั้นสรุป เป็นขั้นที่สรุปเนื้อหาที่ได้จากขั้นนาและขั้นสอนกิจกรรม


37 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเกมการศึกษา งานวิจัยในประเทศ สุมารีย์ ไชยประสพ ( 2557 : 54 ) ได้ทำการศึกษาการวิจัยการพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาโรงเรียนโปงน้ำร้อนวิทยาโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา และศึกษาผล การจัดกิจกรรมเกมการเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โรงเรียนโปงน้ำร้อน วิทยา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยนักเรียน โรงเรียนโปงน้ำร้อนวิทยา ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ เป็นเด็กที่มีอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลบีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2557 ซึ่งพัฒนาเด็กปฐมวัย ในด้านทักษะการเปรียบเทียบ และทักษะการเรียงลำดับของเด็ก ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรม เกมการศึกษา โรงเรียนโป้งน้ำร้อนวิทยา มีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยรวมผ่านเกณฑ์การประเมิน โดยมีร้อยละของคะแนนเต็มเท่ากับ 86.37ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ร้อยละ 75'ทั้งนี้ เด็กปฐมวัยมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรม เกมการศึกษา ร้อยละ 5.73 และคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา ร้อยละ 9.00 และ มีคะแนนความเฉลี่ยความก้าวหน้าสูงขึ้น 3.27 คิดเป็นร้อยละของความก้าวหน้าเท่ากับ 32.75 สุพิฌาย์ ทนทาน ( 2558 : 108 ) ได้ทำการศึกษาการวิจัยผลการจัดประสบการณ์โดยใช้เกม การศึกษาที่มีต่อความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกพา ความสามารถทางคนิดศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเพื่อศึกพาจำนวนเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ โดยใช้เกมการศึกมาที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็มเพื่อ เปรียบเทียบความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์โดยใช้เกม การศึกษากลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่เด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 45 ปี ที่กำลังศึกษาในระดับชั้นอนุบาล ปีที่ 1 ภาดเรียนที่ เปีการศึกษา 2558 โรงเรียนบ้านคงเย็น สังกัดสำนักงานเขดพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 จำนวน 11 คน ซึ่งได้มาจากการสู่มตัวอย่างแบบกลุ่มเครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษาจำนวน20 แผน แบบทดสอบ ภาคปฏิบัติวัดความสามารถทางคณิตศาสตร์ด้านการวัดมีค่าความเที่ยงเท่ากับ0.74 ด้านการเปรียบเทียบ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ0.77 ด้านการเรียงลำดับ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ0.76สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ ใช้ในการทคสอบสมมติฐาน ได้แก่ ไคสแควร์ (Chisquare) และการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับขอ Wilcoxon ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัย จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 100,00 มีความสามารถทางคนิด ศาสตร์ อยู่ในระดับดี เด็กปฐมวัยร้อยละ ที่ได้รับการจัดประสบการณ์ได้ใช้เกมการศึกษา มีความสามารถ


38 ทางคณิตศาสตร์ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 05 และเด็ก ปฐมวัยที่ไห้รับการจัดประสบการณ์ โดยใช้เกมการศึกษา มีความสามารถทางคณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ย หลังจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนจัดประสบการณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดีที่ .05 สุภาวิณี ลายบัว (2559 : 47) ได้ทำการศึกษาการวิจัยการพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อเตรียมความ พร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสาธิตอนุบาลราชมงคล สาขาวิชาค หกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีการพัฒนาเกม การศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล2 โรงเรียนสาธิต อนุบาลราชมงคล เพื่อศึกษาและพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ และเพื่อ พัฒนาและหาประสิทธิภาพของเกมการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้น อนุบาล 2 โรงเรียนสาธิตอนุบาลราชมงคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กนักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี กำลังศึกษาอยู่ในชั้น อนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนสาธิตอนุบาลราชมงคล คณะเทคโนโลยีคหกรรม ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนนักเรียน 23 คน ซึ่ง ได้มาจากการสุ่มห้องเรียนด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Bandom Sampling) ผู้วิจัยเป็น ผู้ดำเนินการทดลองตัวยตนเอง ใช้เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 30นาที รวม ทั้งสิ้น 16 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เกมการศึกษาจำนวน 5 เกม แผนการจัดเกมการศึกษา จำนวน 5 แผน และแบบประเมินความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย การศึกษาครั้งนี้เป็น การศึกษาแบบทดลอง (Experimental Design) ผู้ศึกษาได้ตำเนินการทดลองโดยอาศัยการทดลองกลุ่ม เดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The One Group and Pretest - Posttest Design)ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสาธิตอนุบาลราชมงคล หลังการจัดเกมการศึกษาสูงกว่าก่อนการจัดเกมการศึกษาอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นุจิรา เหล็กกล้า (2561:86) ได้ทำการศึกษาการวิจัยการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์โดยใช้เกมการศึกษาของเด็กปฐมชั้นปีที่ 2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะฟื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 ก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา และศึกษาความพึงพอใจของ เด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 ที่มีต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์โดยใช้เกมการศึกษา กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่เด็กปฐมวัยที่ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนบ้าบบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 18 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้น ที่ การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม จำนาบ 1 ห้องเรียน รวม ระยะเวลาในการทูดลอง 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วันๆ ละ 30 นาที เครื่องมือและขวัตกรรมที่ใช้ในการ วิจัย ได้แก่ แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ แบบประเมินความพึงพอใจ และแผนการ


39 จัดประสบการณ์ วิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเปี้ยงเบน มาตรฐาน (S D.) และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test www. dependent ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย หลังการจัด ประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษาสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ความพึงพอใจของเด็ก ปฐมวัยที่มีต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์โดยใช้เกมการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมมี ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีจะแนนเฉสียรวมทุกด้านเท่ากับ 2.97 ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน เท่ากับ 0.19 งานวิจัยต่างประเทศ ออร์คัดท์ (Orcutt 1972 : 148-A. อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 76) ได้ทดลองใช้ เกม ประกอบการสอนว่าจะส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้วุฒิภาวะ พฤติกรรมเกี่ยวกับตนเอง หรือไม่ โดยทดลองกับเด็กชั้นอนุบาลที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนในเมืองจำนวน 162 คน ใช้เวลาทดลอง 6 สัปดาห์ สอนเกี่ยวกับภาษาวันละประมาณ 30 นาที ทุกวัน แบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งโดย ใช้เด็กเลือกเกมเอง กลุ่มที่สองสอนโดยครูเป็นผู้เลือกเกม และกลุ่มที่สามสอนตามปกติ ผลการศึกษา พบว่า 1) กลุ่มที่เด็กเลือกเกมเองมีความสามารถการใช้ภาษาได้ดีกว่ากลุ่มที่ครูเลือกเกมให้ 2) กลุ่มที่ใช้ เกมประกอบการสอนทั้ง 2 กลุ่ม มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงกว่ากลุ่มที่สอนตามปกติ3) กลุ่มที่ใช้เกม ประกอบการสอนมีความแตกต่างกับกลุ่มที่ไม่ใช้เกมประกอบการสอนในทุก แบบทดสอบ คิดเคด (Kincaid 1977 : 419-A) ได้ทำการศึกษา ผลของการนำเกมคณิตศาสตร์ไปใช้ที่บ้าน โดยการฝึกบิดาหรือมารดาของนักเรียนเป็นพิเศษ เพื่อศึกษาทัศนคติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท˚า การทดลองกับนักเรียนระดับ 2 ซึ่งบิดามารดาของนักเรียนสมัครใจที่จะร่วมศึกษา 35 คน เข้าประชุม ร่วมกันเพื่อศึกษาและสร้างอุปกรณ์ในการเล่นเกมไปไว้ใช้ที่บ้านของตน ก่อนที่จะนำกลับไปบ้าน จะต้อง ทดลองเล่นเกม มีการแนะนำบิดามารดาของนักเรียนให้กระตุ้นนักเรียนมีบทบาทใน การเล่น เกมอย่าง เต็มใจ ใช้อุปกรณ์อย่างมีประโยชน์ทำการทดลองเป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้เล่นเกมสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ไม่ได้เล่นเกมอย่าง มีนัยสำคัญทาง สถิตที่ระดับ .05 ในด้านทัศนคตินักเรียนได้เล่นเกมมีทัศนคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ที่ดีสูง กว่านักเรียนที่ ไม่ได้เล่นเกม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 พินเตอร์ (Pinter 1977 : 710–A, อ้างถึงใน นิธิกานต์ ขวัญบุญ 2559 : 75) ศึกษา เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสะกดคำที่สอนโดยใช้เกมการศึกษาและสอนโดยใช้ตำราใช้กับ นักเรียนจำนวน 94 คน เพื่อศึกษาความรู้สึกเกี่ยวกับมโนภาพและความสามารถในการสะกดคำ โดย


40 การทดสอบก่อนและหลังการทดสอบภายหลังการทดลอง3 สัปดาห์จึงทำการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบ พบว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ในการทดลองของกลุ่มที่ใช้เกมการศึกษามีคะแนนสูงกว่ากลุ่มที่สอนตามตำรา จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่าเกมการศึกษาเป็นกิจกรรมที่ สามารถส่งเสริม พัฒนาการให้เด็กทั้งพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็ก นั้นเกิดการเรียนรู้ เป็นการฝึกทักษะการสังเกต การจำแนก และเปรียบเทียบ ทักษะพื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์ เกมการศึกษามีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นในการจัดเกมการศึกษาให้นักเรียนได้เล่น จึงต้อง คำนึงถึงความสามารถและความเหมาะสมกับวัยของเด็กด้วย การพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อเตรียมความ พร้อมคณิตศาสตร์ เรื่องการแทนค่าจำนวนนับ1-10 สำหรับเด็กปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 เป็น กิจกรรมที่ตอบสนองต่อการจัดการเรียนการสอน ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 โดย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถด้านความรู้ ความจำ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้เรื่องการแทนค่าจำนวน โดยยึดทฤษฎีและหลักที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนการสอนเพื่อเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ หลักการ สร้างเกม หลักทางจิตวิทยาที่ เกี่ยวกับการสร้างเกมการศึกษา เกมการศึกษาถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตลอดจนมีความสามารถในการปฏิบัติและเจตคติที่ดีต่อการเรียนคณิตศาสตร์ ในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเป็น การตอบสนองและสอดคล้องกับหลักการจัดการเรียนรู้กับการพัฒนาเกม การศึกษาเพื่อเป็นแนวทางใน การพัฒนาเกมการศึกษาต่อไป


41 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. การกำหนดประชากร 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1.การกำหนดกลุ่มประชากร กลุ่มประชากร กลุ่มประชากร คือ เด็กปฐมวัย ชาย - หญิง อายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนบ้านสำโรง (คุรุประชาสามัคคี) จำนวน 27 คน 2.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต 2. แผนการจัดประสบการณ์ใช้เกมการศึกษา 3. แบบทดสอบการพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 4. แบบสังเกตพฤติกรรม 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. ชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต 2. แผนการจัดประสบการณ์ใช้เกมการศึกษา 3. แบบทดสอบการพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3


42 4. แบบสังเกตพฤติกรรม 1. วิธีการสร้างชุดเกมการศึกษา 1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยเกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุดเกมการศึกษาเรื่องรูปเรขาคณิต 1.2 ศึกษาและกำหนดเนื้อหาประเภทของเกมการศึกษาและการเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย องค์ประกอบของ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยและหลักสูตรระดับปฐมวัย 1.3 สร้างนวัตกรรมชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต 1.4 การทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (1:1) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียน 1-3 คน โดยใช้เด็กที่มีผลสัมฤทธิ์อ่อน ปานกลาง และเด็กเก่งระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของ ผู้เรียนว่าหงุดหงิด ทำหน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือภารกิจและงานที่มอบให้ทำและทดสอบหลังเรียน นำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระกิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น โดย ปกติคะแนนที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยวนี้จะได้คะแนนต่ำว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้องวิตก เมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมาก ก่อนนำไปทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม ทั้งนี้ E1/E2 ที่ได้จะมี ค่าประมาณ 65/65 1.5 การทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียน 6–10 คน (คละผู้เรียนที่เก่ง ปานกลางกับอ่อน) ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทำหน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพให้ประเมินการ เรียนจากกระบวนการคือ กิจกรรมหรือภารกิจ และงานที่มอบให้ทำ และประเมินผลลัพธ์คือการทดสอบ หลังเรียน และงานสุดท้ายที่มอบให้นักเรียนทำส่งก่อนสอบประจำหน่วย ให้นำคะแนนมาคำนวณหา ประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลัง เรียนให้ดีขึ้นคำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนี้คะแนนของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่า เกณฑ์โดยเฉลี่ยจะห่างจากเกณฑ์ประมาณร้อยละ 10 นั่นคือ E1/E2 ที่ได้จะมีค่าประมาณ 75/75 1.6 การทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คนทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียนทั้งชั้น ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาใน การประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทำหน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจ หรือไม่หลังจากทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามแล้วให้ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรม หรือภารกิจและงานที่มอบให้ทำและทดสอบหลังเรียนนำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึง เกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น แล้วนำไป ทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามซ้ำกับนักเรียนต่างกลุ่ม อาจทดสอบประสิทธิภาพ 2-3 ครั้ง จนได้ค่า


43 ประสิทธิภาพถึงเกณฑ์ขั้นต่ำปกติไม่น่าจะทดสอบประสิทธิภาพเกินสามครั้ง ด้วยเหตุนี้ ขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพภาคสนามจึงแทนด้วย 1:100 ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามควร ใกล้เคียงกัน เกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากต่ำจากเกณฑ์ไม่เกินร้อยละ 2.5 ก็ให้ยอมรับว่า สื่อหรือชุดการสอนมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หากค่าที่ได้ต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่า -2.5 ให้ปรับปรุงและทดสอบ ประสิทธิภาพภาคสนามซ้ำจนกว่าจะถึงเกณฑ์ จะหยุดปรับปรุงแล้วสรุปว่าชุดการสอนไม่มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือจะลดเกณฑ์ลงเพราะ “ถอดใจ” หรือยอมแพ้ไม่ได้ หากสูงกว่าเกณฑ์ไม่เกิน +2.5 ก็ยอมรับว่า สื่อหรือชุดการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากค่าที่ได้สูงกว่าเกณฑ์เกิน +2.5 ให้ ปรับเกณฑ์ขึ้นไปอีกหน 2. การสร้างแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้เกมการศึกษา ดำเนินการตามลำดับขั้น ดังต่อไปนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 2.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เรื่อง รูปเรขาคณิต 2.3 นำกิจกรรมเกมการศึกษามาสร้างแผนการจัดประสบการณ์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1) ชื่อกิจกรรม 2) สาระสำคัญ 3) จุดประสงค์การเรียนรู้ 4) สาระการเรียนรู้ 5) กิจกรรมการเรียนรู้ 6) สื่อการสอน 7) การวัดและประเมินผล 2.4 นำแผนการจัดประสบการณ์ไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และนำมาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะ 2.5 นำแผนการจัดประสบการณ์ ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้ กับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีอายุ 5-6 ปี จำนวน 5 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มประชากร ณ โรงเรียนบ้าน สำโรง (คุรุประชาสามัคคี) แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง 2.6 นำแผนการจัดกิจกรรมโดยใช้เกมการศึกษาของเด็กปฐมวัยที่ปรับปรุงเหมาะสมแล้ว ไป ใช้กับกลุ่มประชากรในการทดลอง ซึ่งมีความรู้ความสามารถและมีความชำนาญด้านการจัดการศึกษา ระดับปฐมวัย ตรวจสอบคุณลักษณะของแบบสังเกตในด้านความสอดคล้องของเนื้อหาความสอดคล้อง ของพฤติกรรมที่ต้องการวัด ซึ่งใช้วิธีการตรวจสอบดัชนีควา มสอดคล้อง IOC (Index of Item Congruence) โดยให้ตรวจพิจารณาให้คะแนนแต่ละข้อ


44 3. แบบทดสอบการพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ดำเนินการตามลำดับขั้น ดังต่อไปนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 3.2 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการสร้างการพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนา ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 3.3 สร้างแบบทดสอบการพัฒนาชุดเกมการศึกษา เรื่องรูปเรขาคณิต เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 เรื่อง รูปเรขาคณิตจำนวน 10 ข้อ แต่สร้าง 15 ข้อ 3.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง 3.5 นำแบบทดสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ทักษะการพูดที่ผ่านการ ตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ มาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 3.6 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียน บ้านสำโรง (คุรุประชาสามัคคี) ห้องที่ไม่ใช่ประชากรที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มประชากร จำนวน 5 คน เพื่อหาค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนก 3.7 นำแบบทดสอบที่ผ่านการปรับปรุงในข้อ 3.6 ไปทดลองอีกครั้งกับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 3 ห้องเดิมแต่ไม่ใช่กลุ่มทดลองแล้วนำคะแนนมาหาค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.45- 0.70 และ ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.40-0. 3.8 นำแบบทดสอบที่ได้ไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน โดยใช้วิธีของคูเดอร์ - ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) ใช้สูตร KR – 20 (บุญชม ศรี สะอาด. 2551: 96) 4. แบบสังเกตพฤติกรรมเด็กอิงเกณฑ์ 4.1 ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมเกี่ยวกับพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ 4.2 สร้างแบบสังเกตแบบสังเกตพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยใช้สำรวจพฤติกรรมการปฏิบัติ ของเด็กตามความเป็นจริง โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนประเมินพฤติกรรมออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับคะแนน 3 เด็กสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ระดับคะแนน 2 เด็กสามารถปฏิบัติได้ โดยครูแนะนำ


Click to View FlipBook Version