The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการประชุม ครั้งที่ 8-67

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารประกอบการประชุม ครั้งที่ 8-67

เอกสารประกอบการประชุม ครั้งที่ 8-67

๓.๕ (ราง) รายงานสรุปผลการติดตามความคืบหนาการขับเคลื่อน จังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง การดําเนินการการใหบริการประชาชน ในประเด็นการพัฒนาศูนยบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว และการบังคับใชพระราชกฤษฎีกาวาดวยการบริหารงานเชิงพื้นที่ แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕


๓.๕.๑ ระหวางวันพุธที่ ๑๐ ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ณ จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ


รายงาน สรุปผลการติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) การดำ เนินการการให้บริการประชาชน ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) และการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ระหว่างวันพุธที่ ๑๐ ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ณ จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ์


รานงานสรุปผลการเดินทาง ติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) การด าเนินการการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) และการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ของคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ระหว่างวันพุธที่ ๑๐ ถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ณ จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดมหาสารคาม ๑. ความเป็นมา ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๐ ได้วางหลักการเกี่ยวกับหน้าที่ และอ านาจของวุฒิสภาไว้ว่า นอกจากการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอ านาจอันเป็นภารกิจประจ าแล้ว วุฒิสภายังมีหน้าที่และอ านาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ ดังนั้น ภารกิจของคณะกรรมาธิการจึงแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน โดยส่วนแรก จะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอ านาจอันเป็นภารกิจประจ า ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ๑๙ กระทรวง โดยให้ความส าคัญ กับกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก และส่วนที่สองจะเป็นการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้การปฏิรูปประเทศจะสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ แต่จะเห็นได้ว่า งานปฏิรูปดังกล่าวยังด าเนินการไม่แล้วเสร็จและยังคงต้องด าเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มี ลักษณะเป็นงานประจ าของหน่วยงานราชการ ซึ่งได้ถูกก าหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ ทั้งนี้ หมุดหมายที่สอดคล้องกับหน้าที่และอ านาจของคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ หมุดหมายที่ ๑๓ ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน ประกอบด้วยเป้าหมายที่ ๑ การบริการภาครัฐ มีคุณภาพ เข้าถึงได้ และเป้าหมายที่ ๒ ภาครัฐที่มีขีดสมรรถนะสูงคล่องตัว หนึ่งในงานปฏิรูปประเทศที่ยังด าเนินการไม่แล้วเสร็จและยังคงต้องด าเนินการอย่างต่อเนื่อง คือ แผนงานจังหวัดที่มีความคล่องตัวในการบริหารระบบงาน ระบบเงิน และระบบก าลังคน (จังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง : HighPerformanceProvinces) โดยในแผนงานดังกล่าวนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ท าการศึกษา โดยผลจาก ศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับรูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัดให้ เป็นจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์จ านวน ๑๑ ประเด็น และข้อจ ากัดการบริหารราชการในจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง


๒ จากข้อเสนอของจังหวัด (ประเด็นปลดล็อก) น าไปสู่การออกพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่ แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในจังหวัด นอกจากนี้ การให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์(e-Service) ในประเด็น การพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด และศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไปสู่รัฐบาลดิจิทัล ยังสอดคล้องกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๖/๒๕๕๗ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ด ารงธรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัด และให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการในจังหวัดสามารถ ให้บริการประชาชนได้อย่างเสมอภาคมีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานและประชาชนได้รับความพึง พอใจ ซึ่งอยู่ในภารกิจมิติที่ ๒ เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ โดยหน่วยงานราชการที่เป็นกลไกหลักในการ ขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว มีจ านวน ๓ แห่ง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การ มหาชน) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบกับปัจจุบันได้ประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติ การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕ คณะกรรมาธิการได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU)“การให้บริการอ านวยความสะดวกประชาชนระดับพื้นที่”ระหว่างหน่วยงาน ของรัฐจ านวน ๗ แห่ง เพื่อสนับสนุนการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางต่าง ๆ และเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยน บริการของหน่วยงานรัฐให้มีการเชื่อมต่อกัน และเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ และวันที่ ๘ ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีการจัดอบรมบุคลากรของศูนย์ด ารงธรรมออนไลน์ทั่วประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการใช้งาน ระบบดังกล่าว รวมถึงระบบศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (Info.go.th) จากข้อมูลงานบริการภาครัฐทั้งหมด ตามคู่มือมาตรฐานกลาง ๓,๘๓๐ งานบริการ พบว่าเป็นงานบริการที่สามารถพัฒนาให้เป็นรูปแบบออนไลน์ได้ ๒,๔๒๐ งานบริการส่วนงานบริการที่เป็น e-Service ที่พร้อมใช้งานแล้วจ านวน ๑,๓๙๕ งานบริการ แต่ได้มีการ ตรวจสอบและพร้อมใช้งาน จ านวน ๗๒๕ งานบริการ โดยส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ได้พัฒนาระบบพอร์ทัลกลางส าหรับภาคธุรกิจ (BizPortal) ที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลให้ธุรกิจติดต่อราชการแบบ เบ็ดเสร็จ ครบวงจร ณ จุดเดียว ซึ่งท าให้ผู้ประกอบการไม่จ าต้องยื่นเอกสารที่หน่วยงานด้วยตนเอง ปัจจุบันระบบ ดังกล่าวให้บริการอยู่ ๒๕ ประเภทธุรกิจ ๙๑ ใบอนุญาต รวมทั้งได้มีการพัฒนาพอร์ทัลกลางส าหรับประชาชน (CitizenPortal) ที่รวบรวมข้อมูลและงานบริการต่าง ๆ เพื่ออ านวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในรูปแอปพลิเค ชัน “ทางรัฐ”ซึ่งยังไม่มีการประชาสัมพันธ์การใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวอย่างทั่วถึง ดังนั้น ศูนย์ด ารงธรรม จังหวัดและศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอนอกจากจะมีหน้าที่และอ านาจรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์แล้ว ยังจะต้องพัฒนา ให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS)


๓ อย่างไรก็ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการ แผ่นดิน วุฒิสภา ได้มีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนการให้บริการแก่ประชาชน ในระดับพื้นที่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดและศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอ ตลอดจนการหารือให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) เพื่อเป็น อีกช่องทางหนึ่งในการอ านวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วย โดยมีผู้แทนจากส านักนายกรัฐมนตรี ส านักงาน ปลัดส านักนายกรัฐมนตรี ส านักงานคณะกรรมการการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมประชาสัมพันธ์ ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การ มหาชน) ส านักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมีความเหมาะสมร่วมด าเนินการ เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ แต่อาจมีข้อจ ากัดด้านหน้าที่ และอ านาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ซึ่งจะมีการหารือในระดับนโยบายต่อไป วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ประชุม หารือในประเด็นการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OneStop Service: OSS) โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และรองอธิบดี กรมการปกครอง เข้าร่วมหารือให้ข้อมูล ณ กระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นมีความพร้อมที่จะร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะมีหนังสือ แจ้งแนวทางปฏิบัติในการให้บริการประชาชน และจะมีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียม ความพร้อมและเปิดให้บริการประชาชนต่อไป * องค์การบริหารส่วนจังหวัดน าร่องการพัฒนาเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (oss) จ านวน ๕ แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ ชลบุรี พัทลุง สกลนคร และสุพรรณบุรี ก่อนขยายผลการด าเนินการ ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งอื่นต่อไป (เปิดให้บริการในเดือนตุลาคม ๒๕๖๖ และติดตามผล การด าเนินการในเดือนมกราคม ๒๕๖๗) วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ก าหนดการประชุมหารือประเด็นการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการ แบบเบ็ดเสร็จ (OSS) โดยมีผู้แทนส านักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ส านักนายกรัฐมนตรี ส านักงาน ก.พ.ร. ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ส านักงานคณะกรรมการการกระจายอ านาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และส านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เข้าร่วมหารือ


๔ ให้ข้อมูล ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมีความเหมาะสม และมีความพร้อม ที่จะร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ โดยกระทรวงมหาดไทยจะมีหนังสือแจ้งแนวทางปฏิบัติในการให้บริการประชาชน และประชุมหารือร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมและเปิดให้บริการประชาชน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนดังกล่าวสอดคล้อง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม1 และพระราชบัญญัติก าหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๖ (๓๑)2 และมาตรา ๑๙3 ในส่วนของส านักงานการตรวจเงินแผ่นดินจึงไม่มีเหตุขัดข้อง เมื่อเป็นกรณีการอ านวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ทั้งเป็นการประหยัดต้นทุนภาครัฐตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและสอดคล้องตามกลไกของกฎหมายดังกล่าว วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ประชุมหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นเรื่องการด าเนินการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในประเด็น การพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) การขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๐ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอ านาจดูแลและจัดท าบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ ประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ... ฯลฯ ... การจัดท าบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะใดที่สมควรให้เป็นหน้าที่และอ านาจโดยเฉพาะขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการด าเนินการใด ให้เป็นไปตามที่กฎหมาย บัญญัติซึ่งต้องสอดคล้องกับรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามวรรคสี่ และกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติ เกี่ยวกับกลไกและขั้นตอนในการกระจายหน้าที่และอ านาจ ตลอดจนงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวกับหน้าที่และอ านาจดังกล่าว ของส่วนราชการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย” 2 พระราชบัญญัติก าหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๖ “ให้เทศบาล เมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนต าบลมีอ านาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการ สาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองดังนี้(๓๑) กิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามที่คณะกรรมการประกาศก าหนด” 3 พระราชบัญญัติก าหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ “ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายก าหนดให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษไม่ เต็มพื้นที่จังหวัด มีอ านาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา ๑๖ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายก าหนดให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเต็มพื้นที่จังหวัด มีอ านาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๗”


๕ (HighPerformanceProvinces: HPP)และนโยบายการมีผู้ว่า CEO การด าเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.)ตลอดจนการด าเนินงานด้านผังเมือง ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า การหารือมีเป้าหมายเพื่อรับข้อเสนอแนะ ค าแนะน า และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน เกี่ยวกับการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) และนโยบายผู้ว่าฯ CEO ซึ่งเป็นนโยบายส าคัญของรัฐบาล พร้อมด้วยประเด็นการให้บริการ ประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐ นโยบายส าคัญของกระทรวงมหาดไทยที่ได้มอบนโยบาย และเน้นย้ ากับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ตลอดจน การด าเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) การด าเนินงานด้านการผังเมือง รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการบริหารจัดการภาครัฐที่มีความเชื่อมโยงกับพันธกิจหลักและภารกิจ ของกระทรวงมหาดไทยตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ กระทรวงมหาดไทยมีเป้าหมายในการท างานที่ส าคัญ โดยมุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชนผ่าน การบริหารภาครัฐ โดยใช้แนวคิดการบริการให้ประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานส าคัญ ส าหรับการบริหารจัดการภาครัฐ ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างความสะดวกกับพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกส าคัญในการช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น เรียกได้ว่าเกิดประโยชน์ทั้งใน ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการอ านวยความสะดวกกับประชาชน และสร้าง “ธรรมาภิบาล” ให้กับส่วนราชการ ส าหรับในเรื่องการด าเนินงานด้านการผังเมือง กระทรวงมหาดไทยเชื่อว่าเมืองที่ดีจะสามารถ ส่งเสริมคนให้มีชีวิตที่มีทั้งคุณภาพและศักยภาพได้ กระทรวงมหาดไทยจึงต้องเท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลง ของโลกด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนอย่างทันท่วงทีเสมอ พร้อมทั้ง มีคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ซึ่งเป็นกลไกระดับท้องที่ที่เปรียบเสมือนเป็น “คณะรัฐมนตรีประจ าหมู่บ้าน” ช่วยเสนอแนะให้ค าแนะน าแก่ผู้ใหญ่บ้าน จัดท าแผนพัฒนาหมู่บ้าน และบูรณาการการด าเนินงานอื่น ๆ ร่วมกับ ภาคส่วนในท้องที่ด้วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวง แรกซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่โดยตรงในการบริหารงานภาครัฐให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งการร่วม หารือจะท าให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าจะท าอย่างไรให้การบริหารงานภาครัฐมีความต่อเนื่อง สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน โดยการใช้อิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกกันว่ารัฐบาลดิจิทัล เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนผ่านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ ผ่านกลไกส าคัญ อาทิ ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด ศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอ เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)


๖ วันจันทร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ประชุม หารือร่วมกับนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจ าส านัก นายกรัฐมนตรีที่ปรึกษารัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรีเลขานุการรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี ผู้อ านวยการส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นเกี่ยวกับการด าเนินการ ให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในด้านการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (OneStop Service: OSS)การขับเคลื่อนหนึ่งประเทศหนึ่งแพลตฟอร์ม (One Country OnePlatform) และ กรณีทบทวนบทบาทและภารกิจของส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นหน่วยงานที่อยู่ ภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั่วประเทศ คณะกรรมาธิการ พบปัญหาและอุปสรรคในการขับเคลื่อนการบริหารระบบราชการของไทยให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยปัญหาที่พบ มากที่สุด คือ การที่ระบบข้อมูลของภาครัฐไม่มีการเชื่อมโยงและบูรณาการงานร่วมกันต่างคนต่างด าเนินการ ท าให้เกิดความซับซ้อนและเกิดความยุ่งยากแก่ประชาชนในการใช้บริการ นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการ พิจารณาศึกษาเรื่อง ไทยแลนด์ดิจิทัลแพลตฟอร์ม “One Country OnePlatform”ซึ่งปรากฏผลการศึกษาว่า ประเทศไทยยังขาดแพลตฟอร์มกลางในการให้บริการภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถบูรณาการข้อมูลร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะด าเนินการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางขึ้นมา โดยต้องเตรียมการด้านกฎหมาย ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารและด้านบุคลากรให้พร้อมด้วย วันจันทร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ โดยหารือในประเด็นดังต่อไปนี้๑) แนวทาง การขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล ๒) แนวทางการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐด้วยระบบดิจิทัล และ ๓) แพลตฟอร์มกลางภาครัฐ “One Country One Platform” จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน คณะกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะในประเด็นดังกล่าว ข้างต้น ส าหรับการด าเนินการขับเคลื่อนรัฐบาลเพื่อให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล รัฐบาลควรให้ความส าคัญ ในการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) การพัฒนาแอปพลิชัน ทางรัฐ Citizen Portal Biz Portal การน าแอปพลิเคชัน ThaID มาใช้ โดยเห็นว่าควรผลักดันให้ประชาชนทุกคนมีID เพื่อรวมระบบการ ท างานต่าง ๆ ทั้งข้อมูลด้านสุขภาพ ศึกษา อาชีพ และอื่น ๆ รวมไว้ด้วยกันในแอปพลิเคชันเดียว เพื่อที่จะได้ลดปัญหาการซ้ าซ้อนของระบบต่าง ๆ รวมทั้งให้สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ


๗ และภาคเอกชน และพัฒนาเป็นศูนย์ราชการเบ็ดเสร็จออนไลน์ตามแนวคิดประเทศเสมือน ตลอดจน การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการในแอปพลิเคชันดังกล่าวได้สะดวก และรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อให้การด าเนินงานตามแผนงานดังกล่าวข้างต้นสามารถบรรลุเป้าหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญก าหนดไว้ คณะกรรมาธิการจึงได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนจังหวัด ที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) การด าเนินการการให้บริการประชาชน ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) และการบังคับใช้ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ รวมทั้งรับฟังข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการด าเนินงานดังกล่าว รายชื่อคณะกรรมาธิการคณะเดินทางเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ๑. พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒. พลเอก ชูศักดิ์ เมฆสุวรรณ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๓. นายขวัญชาติ วงศ์ศุภรานันท์ รองโฆษกประจ าคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๔. ว่าที่ร้อยตรี เชิดศักดิ์ จ าปาเทศ กรรมาธิการ ๕. นายเชิดศักดิ์ สันติวรวุฒิ กรรมาธิการ ๖. นายพรพจน์ เพ็ญพาส ที่ปรึกษาประจ าคณะกรรมาธิการ ๗. นางรัตนจันทร์ ศีลสัมฤทธิ์ ที่ปรึกษาประจ าคณะกรรมาธิการ ๘. นางรัชนีกร ไพศาลทักษิน เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ ๙. นายปฐมพร หนูดี นักวิชาการสนับสนุนงานนิติบัญญัติ ๑๐. นางสาวระวีวรรณ ศรประทุม นิติกรปฏิบัติการ ๑๑. นางสาวสุภิญญา สีนอง เจ้าพนักงานธุรการอาวุโส


๘ ๒. การด าเนินการของจังหวัดกาฬสินธุ์ วันพุธที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา ณ ห้องประชุมโสมพะมิตร ชั้น ๔ ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษรผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ซึ่งได้มีการน าเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน สรุปได้ดังนี้ ๒.๑ การขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Province: HPP) จังหวัดกาฬสินธุ์ได้คัดเลือกประเด็นนโยบายส าคัญของจังหวัด (Agenda) ที่มีความโดดเด่น จ านวน 2 ประเด็น ประกอบด้วย 1) โครงการคนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Kalasin Happiness Model) และ 2) การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 2.1.1 โครงการคนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Kalasin Happiness Model) การขับเคลื่อนของจังหวัด ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของจังหวัดกาฬสินธุ์มุ่งเน้นการประสานความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน โดยมีคนยากจนเป็นศูนย์กลาง ในการท างาน ซึ่งมีการแต่งตั้งค าสั่งเพื่อสร้างกลไกในการท างาน และมีการวางแผนการด าเนินงานในการ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาจังหวัด และเพื่อสร้าง ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วม (Public Participation) ของชุมชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนเพื่อน าไปสู่กระบวนการพัฒนาที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยจังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา โดยมีการขับเคลื่อนใน 3 มิติหลัก คือ มิติที่ 1 ยกระดับชีวิตขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย ครัวเรือนยากจน เพื่อยกระดับ คุณชีวิต ให้สามารถด ารงชีวิตได้อย่างมั่นคง และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มิติที่ 2 ยกระดับรายได้ เป็นการสร้างและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยมุ่งเน้น การเพิ่มผลิตภาพรวมของภาคการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การศึกษาศิลปวัฒนธรรม ในกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้ใช้แรงงานทั้งในและ นอกระบบ และมิติที่ 3 พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้มีการน าระบบดิจิทัลมาใช้ในการ ปรับกระบวนการท างานของรัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการพัฒนาระบบสารสนเทศ KHM v.2 ขึ้นโดยมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เพื่อใช้บันทึกข้อมูล บริหารจัดการครัวเรือนยากจน สนับสนุนการท างานของ หน่วยงานในพื้นที่ทั้งระดับจังหวัด ระดับอ าเภอ ระดับต าบล ในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จ แม่นย า ซึ่งทุกส่วนราชการได้บูรณาการ ประสานความร่วมมือกับภาคการศึกษา ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน จากการด าเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการการด าเนินโครงการ สามารถยกระดับ ให้ผลิตภัณฑ์ของจังหวัดต่อหัวของจังหวัดกาฬสินธุ์ (GPP per capita) ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 62 (73,998 /คน/ปี)


๙ ของประเทศ ตามรายงานการประมวลผลผลิตภัณฑ์ภาคและจังหวัด ปี พ.ศ. 2561 อย่างไรก็ตามระดับ ผลิตภัณฑ์ของจังหวัดต่อหัวของจังหวัดกาฬสินธุ์ (GPP per capita) ในปี 2564 ได้รายงานว่าผลิตภัณฑ์ ของจังหวัดต่อหัวของจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปอยู่ล าดับที่ 68 ของประเทศ (77,397 บาท/คน/ปี) ผลการด าเนินการ จากการส ารวจกลุ่มเป้าหมายได้มีการแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่สามารถพัฒนาต่อได้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถพัฒนาตัวบุคคลได้ โดยจะมีการฝึกอาชีพและหาช่องทาง การหารายได้กลุ่มที่ต้องทบทวน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาด้านยาเสพติด โดยจะมีการให้ความช่วยเหลือ โดยการน าไปบ าบัดรักษายาเสพติดและให้ค าปรึกษาแก่บุคคลดังกล่าว และกลุ่มที่ต้องด าเนินการสงเคราะห์ เป็นกลุ่มที่มีสภาพร่างกายไม่พร้อม พิการ หรือเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งได้ให้การช่วยเหลือโดยการสร้างที่อยู่อาศัย หรือซ่อมแซมที่อยู่ การจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค จากผลการส ารวจการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ตามกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ ด้านการสร้างบ้านให้แก่ครอบครัวที่ไม่มีที่พักอาศัย จ านวน 231 หลัง ด้านการซ่อมแซมบ้าน จ านวน 912 หลัง ด้านการจัดหาน้ าประปา จ านวน 82 ราย ด้านการจัดหาไฟฟ้า จ านวน 95 ราย ด้านการจัดหาอาชีพ และเครื่องมือประกอบอาชีพ จ านวน 6,765 ราย ด้านสุขภาพและยา จ านวน 3,534 ราย ด้านหนี้สิน (การท าสัญญาประนอมหนี้ส าเร็จ) จ านวน ๘๑๘ ราย ด้านสวัสดิการแห่งรัฐ (เข้าไม่ถึงบริการ/ไม่มีบัตรประชาชน) จ านวน ๔,๒๒๐ ราย ทุนการศึกษาแก่เด็กผู้ยากไร้ จ านวน ๑๐๒ ราย กรณีดังกล่าว จังหวัดยังไม่สามารถด าเนินการได้ครบถ้วนตามแผนงาน/โครงการ ที่วางแผนไว้ ทั้งนี้อาจเกิดจากการด าเนินการร่วมกันหลายฝ่าย ท าให้มีแผนงานโครงการจ านวนมาก ยากที่จะด าเนินการให้ครบในเวลาที่จ ากัด ดังนั้น จังหวัดควรมีการบูรณาการแผนงาน/โครงการร่วมกันตั้งแต่ แรกเริ่ม เพื่อลดปริมาณแผนงาน/โครงการ และไม่ให้เกิดความซ้ าซ้อนกันในแต่ละหน่วยงาน ปัจจุบันโครงการ Kalasin Happiness Model : คนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ได้บูรณาการขับเคลื่อนการด าเนินงานภายใต้ศูนย์ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดกาฬสินธุ์ใช้ TPMAP logbook ระบบบริหารจัดการข้อมูล การพัฒนาคนแบบชี้เป้า เป็นระบบกลางที่ใช้ทั่วประเทศในการบริหารจัดการข้อมูลความยากจนของทุกจังหวัด ปัจจัยความส าเร็จ 1. การก าหนดนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการด าเนินโครงการ Kalasin Happiness Model: คนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใคร ไว้ข้างหลัง ๒. การบูรณาการความร่วมมือโครงการวิจัยเข้ากับศูนย์อ านวยการปฏิบัติการขจัด ความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ระบบ ฐานข้อมูล KHM V.2 เป็นตัวเชื่อมโดยหน่วยงานที่เป็นคณะท างานดังกล่าวน าข้อมูลไปใช้ในการวางแผน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนตามบริบทบทบาทหน้าที่และภารกิจของหน่วยงาน


๑๐ ๓. ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบสารสนเทศ ในบูรณาการข้อมูลระหว่างฐานข้อมูล TPMAP และฐานข้อมูล KHM V.2 เพื่อวางแผน วิเคราะห์และติดตามการช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตในการพัฒนาอาชีพและการช่วยเหลือด้วยผลการวิเคราะห์ ข้อมูลทุน 4. ข้อมูลของแต่ละครัวเรือนได้อย่างถูกต้องและแม่นย า ไม่ก่อให้เกิดความซ้ าซ้อนของ การช่วยเหลือครัวเรือนยากจน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบันทึก แก้ไข ออกรายงาน และติดตาม การช่วยเหลือครัวเรือนยากจนของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รวมทั้งนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา เกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ด้วยการน้อมน าศาสตร์พระราชาและหลักการทรงงาน สู่การปฏิบัติโคก หนองนา ป่า หลุมพอเพียง และการขับเคลื่อนชุมชนคุณธรรมน้อมน าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 5. การเชื่อมโยงกับนโยบายด้านอื่น ๆ เช่น การบูรณาการกับนโยบายด้านอาหาร ปลอดภัยร่วมกับสาธารณสุขอ าเภอแต่ละอ าเภอในการตรวจหาสารเคมีปนเปื้อนในผักในการยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นตั้งแต่แปลงผลิตถึงสร้างผู้บริโภค ๖. มีกลไกระดับพื้นที่/ภารกิจ มอบหมายหน่วยงานในพื้นที่ร่วมรับผิดชอบ ตามภารกิจและพื้นที่ที่รับผิดชอบตามที่รับมอบหมาย 2.๑.2 การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกระบวนการ การมีส่วนร่วม การขับเคลื่อนของจังหวัด จังหวัดมีการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (HPP) ในประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมุ่งเน้นท างานเป็นทีมอย่างบูรณาการของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องใช้แนวทางการด าเนินงานตาม แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองและยุทธศาสตร์การผลิตอ้อย ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายเป็นจังหวัดปลอดการเผาอ้อยขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะวาระ "กาฬสินธุ์เมืองสีเขียวอัจฉริยะ KALASIN SMART GREEN CITY" มุ่งเน้นลดการเผาตอซังข้าวในพื้นที่ ท านาปรัง ด้วยการรณรงค์ส่งเสริมอัดก้อนฟางข้าว การไถกลบตอซังข้าว และเร่งย่อยสลายตอซังข้าว ด้วยนวัตกรรมจุลินทรีย์น้ าหมักจาวปลวก ตลอดจนด าเนินมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น ละอองจากแหล่งก าเนิดทุกประเภท ได้แก่ เข้มงวดก ากับควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม การตรวจวัดควันด า รถยนต์ การล้างถนนและควบคุมป้องกันฝุ่นละอองจากโครงการก่อสร้าง รวมทั้งป้องกันและควบคุมไฟป่า และหยุดยั้งการเผาในที่โล่งสองข้างทางถนนทางหลวง ทั้งนี้ได้ด าเนินการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่น ละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ด้วยการติดตั้งสถานี PM 2.5 สามารถแจ้งรายงานสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ผ่านทาง Application Ai: 4Thai และข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่จากส านักงานพัฒนา เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ PM 2.5 ในช่วงพฤศจิกายน – พฤษภาคมของปีถัดไป


๑๑ รูปแบบการพัฒนา ตัวชี้วัดและผลการด าเนินงาน จังหวัดกาฬสินธุ์น ารูปแบบการพัฒนานวัตกรรมของรัฐ (Public innovation) มาใช้โดยการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียมจากส านักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) GISDA ที่แสดงข้อมูลจุดความร้อน (Hot spot) ในปี ๒๕๖๔ มาสนับสนุนการวางแผน ก าหนดเป้าหมายเพื่อป้องกันและลดการเผาในที่โล่งในปี ๒๕๖๕ พร้อมทั้งจัดประชุมหารือนายอ าเภอ ทุกอ าเภอ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เฉพาะท้องที่ต าบลที่มีจุดความร้อน (Hotspot) สูงและจัดท าบันทึกข้อตกลง (MOU) กับผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ประเด็นมุ่งเน้นป้องกันและแก้ไขปัญหา PM 2.5ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์และร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ ด าเนินการติดตั้งเครื่องตรวจวัด PM 2.5 ซึ่งสามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลสถานการณ์ PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ผ่านระบบ Application Ai: 4Thai แบบ Real Time เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง จากการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๖๕ พบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ มีจุดความร้อนสะสม (Hotspot) จ านวน ๑,๖๑๐ จุด และ มีค่า PM 2.5 เกินมาตรฐานเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมง (๕0 มค.ก./ลบ.ม.) จ านวน ๒๔ วัน ส าหรับในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ มีจุดความร้อนสะสม (Hotspot) จ านวน ๑,๐๙๔ จุด ซึ่งลดลงร้อยละ ๒ และมีค่า PM 2.5 เกินมาตรฐานเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมง (๕o มค.ก./ลบ.ม.) จ านวน ๑๕ วัน ซึ่งลดลงร้อยละ ๓๗.๕ การด าเนินการและปัจจัยความส าเร็จ ๑) มีกลไก/เครื่องมือ และนโยบายสาธารณะ ได้แก่ คณะท างานศูนย์ประสานงานและ แก้ไขปัญหา PM2.5ในระดับจังหวัด ยุทธศาสตร์การผลิตอ้อยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประกาศจังหวัดกาฬสินธุ์ เรื่อง ขอความร่วมมืองดเว้นการเผาในที่โล่งและพื้นที่การเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหา PM 2.5 บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างนายอ าเภอ ทุกอ าเภอ และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฉพาะท้องที่ต าบลที่มีจุด ความร้อน (Hotspot) สูง กับผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นโยบายสาธารณะวาระ "กาฬสินธุ์เมือง สีเขียวอัจฉริยะ KALASIN SMART GREEN CITY" ๒) มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความทันสมัยและแม่นย าสูง ในการเฝ้าระวัง คุณภาพอากาศด้วยเครื่องตรวจวัด PM2.5 ที่ได้มาตรฐานตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูล Application Ai: 4Thai พร้อมทั้งข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) และรายงาน ข้อมูลสถานการณ์ดังกล่าว ทุกวัน ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา ๓) มีระบบการท างานเป็นทีมมุ่งเน้นการมีส่วนร่วม ซึ่งมีคณะท างานศูนย์ประสานงาน และแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระดับจังหวัด เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเชิงบูรณาการมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน ๔) มีพื้นที่ต้นแบบหมู่บ้านปลอดการเผา ซึ่งมีศักยภาพขยายไปสู่พื้นที่อื่นให้ครอบคลุม พื้นที่ยิ่งขึ้น ๕) ภาคเอกชน/เกษตรกรให้ความร่วมมือ ในการลงทุนเครื่องจักรกลส าหรับตีสางใบอ้อย และรถตัดอ้อยตลอดจนมีเครือข่ายเกษตรกรคนรุ่นใหม่สนใจในการท าเกษตรอินทรีย์/เกษตรผสมผสาน ที่ปลอดการเผาตอซังข้าว และมีผู้ประกอบการรับอัดก้อนฟางข้าวเพิ่มมากขึ้น


๑๒ ๖) ปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา พบว่าในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์มีฝนตกหนักตั้งแต่ช่วงต้นปี จนเข้าสู่ฤดูฝน จึงท าให้สามารถลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้บางส่วน ในปี 2567 จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ขอความร่วมมืองดเว้นการเผาในที่โล่งและพื้นที่ การเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายซึ่งข้อมูลจากสถานี ตรวจวัดคุณภาพอากาศ สถานการณ์ PM 2.5ของจังหวัดอยู่ในระดับปานกลาง ๒.๒ ก า รด าเนินก า รให้บ ริ ก า รป ร ะช าชนด้ ว ย ร ะบบอิเ ล็ กท ร อนิ กส์ (e-Service) ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ๒.๒.๑ การด าเนินการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์(e-Service) ในประเด็น การพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service: OSS) ของจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ให้บริการประชาชนในลักษณะ ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นบริการเบ็ดเสร็จในบทบาทของศูนย์ด ารงธรรม และบริการ เบ็ดเสร็จในบทบาทของหน่วยงานอื่น โดยมีหน่วยงานที่ตั้งอยู่ ณ ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ จ านวน 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1. ส านักทะเบียน ที่ท าการปกครองจังหวัดกาฬสินธุ์ 2. ส านักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 3. ส านักงานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจ าจังหวัดกาฬสินธุ์ (สคบ.กาฬสินธุ์) สาเหตุที่มีเพียง ๓ หน่วยงาน เนื่องจากหน่วยงานอื่น ๆ มีที่ตั้งส านักงานแล้ว และปัจจุบัน การบริการสามารถติดต่อผ่านระบบออนไลน์ได้ การให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Service) ๑. การรับเรื่องร้องทุกข์ผ่านระบบด ารงธรรม (https://damrongdham.moi.go.th) ๒. แอปพลิเคชันศูนย์ด ารงธรรม 1567 ๓. แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” 4. ระบบจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สปน. (https://opm.1111.go.th) ๔. บริการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SME ๕. บริการตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ ตัวอย่างการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในการให้บริการประชาชนผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์(e - Service) ศูนย์บริการบ าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ศูนย์ด ารงธรรมเป็นหน่วยรับเรื่องส าหรับผู้ที่ต้องการจะเข้ารับการบ าบัดยาเสพติด ผ่านระบบบ าบัดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีต ารวจ หรือโรงพยาบาล โดยไม่ต้องโทรศัพท์หรือท าหนังสือ ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่สามารถติดต่อไปยังระบบได้โดยตรง


๑๓ การลงทะเบียนขอรับบริการหนี้นอกระบบ จ านวนผู้ใช้บริการ เจ้าหนี้ จ านวน ๑๙๐ ราย ลูกหนี้ จ านวน ๗๒ ราย ยอดหนี้ จ านวน ๑๕,๓๔๙,๐๐๐ บาท - ก้าวต่อไป... ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จในรูปแบบออนไลน์ (Online - One Stop Service) การใช้บริการภาครัฐรูปแบบดิจิทัลผ่าน แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการ ต่าง ๆ ของรัฐ ผ่านช่องทางออนไลน์ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว จะเห็นได้ว่าการน าเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ แก่ประชาชน สามารถลดข้อจ ากัดในการให้บริการเชิงพื้นที่และเวลา ท าให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของ รัฐได้ทุกเวลา ปัญหาและอุปสรรค เมื่อพิจารณาศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์อาจจะยังเป็นเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ตามความหมายเมื่อพิจารณาจากหน่วยงานและจุดบริการที่ให้บริการแต่ศูนย์ด ารงธรรม จังหวัดกาฬสินธุ์สามารถให้บริการแก่ประชาชนแบบเบ็ดเสร็จได้โดยการน าเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ โดยเฉพาะการให้บริการแก่ประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์(e-service) แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการน า เทคโนโลยีมาใช้แต่ก็มีประชาชนจ านวนมากที่ยังขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีและประชาชนบางคนเกิดความ ไม่มั่นใจในเทคโนโลยีหรือไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี 1. เมื่อพิจารณาในระดับพื้นที่ (จังหวัดกาฬสินธุ์) หน่วยงานที่มีภารกิจในการให้บริการ ประชาชนมักจะมีวิธีการและขั้นตอนในการให้บริการที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจท าให้ประชาชนเกิดความสับสน/ เข้าใจผิดในการขอรับบริการ ดังนั้น จึงควรมีช่องทางพิเศษระหว่างหน่วยงานในการประสานงานกัน เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการให้บริการ 2. การให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) หรือผ่านระบบออนไลน์ ประชาชนจ านวนมากยังขาดทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต ดังนั้น หน่วยงานจึงควรมุ่งเน้นการให้บริการในลักษณะคู่ขนานทั้งในระบบออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อเป็นการอ านวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกวัย


๑๔ 3. ในปัจจุบันมีบริการของรัฐจ านวนมากที่ให้บริการเบ็ดเสร็จผ่านระบบออนไลน์ แต่ประชาชนยังไม่รับรู้อย่างแพร่หลาย ดังนั้น จึงควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และแนะน าให้ประชาชน มาใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอน และประหยัดเวลาใน การใช้บริการ ๒.๒.๒ การด าเนินการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในประเด็น การพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service: OSS) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่หนังสือจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ กส 0023.1/ ว 7306 ลงวันที่ 27 กันยายน 2566 ได้แจ้งเรื่องแนวทางการด าเนินการส าหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเป็นศูนย์บริการร่วม/ ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ก าหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงาน การให้บริการศูนย์บริการร่วม/ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ขององค์กรปกครอง ส่วนห้องถิ่นให้ส านักงานส่งเสริมการปกครองห้องถิ่นจังหวัดทราบ เป็นรายไตรมาส ผ่านระบบข้อมูลกลาง องค์กรปกครองส่วนห้องถิ่น (ระบบ INFO) ภายในวันที่ ๓0 ของเดือน โดยรายงานครั้งแรก ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๖ นั้น โดยในระบบดังกล่าวฯ ได้มีการส ารวจความคิดเห็นและปัญหาอุปสรรคของ การการเปิดให้บริการศูนย์บริการร่วม/ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น โดยปัจจุบันมีการเร่งรัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้ง ๑๕๑ แห่ง เปิดให้บริการศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ซึ่งปัจจุบันสามารถเปิด ให้บริการครบทุกแห่งแล้ว คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ปัญหาและอุปสรรคของการให้บริการศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service: OSS) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑. ด้านงบประมาณ - ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณในบริการของศูนย์บริการร่วม/ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ที่ไม่เพียงพอต่อภารกิจที่เห็นว่าจ าเป็นต้องท า ได้แก่การจัดท าสื่อประชาสัมพันธ์ จัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ที่จ าเป็นต่อการให้บริการ ๒.ด้านบุคลากร - ไม่ได้รับการอบรม/พัฒนาความรู้ให้มีความเข้าใจในระบบงานและรายละเอียด จึงไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้สถานที่ให้บริการคับแคบ ไม่เอื้อต่อการให้บริการประชาชนจ านวนมาก ยังไม่มีจุดให้บริการที่ชัดเจนและไม่สะดวกต่อการให้บริการ เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จ ากัด และการขยายพื้นที่ท าได้ค่อนข้างยาก ๓. ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ -ข้อจ ากัดในเรื่องคอมพิวเตอร์ยังไม่มีความพร้อม ซึ่งมีจ านวนน้อยไม่เพียงพอ ไม่ทันสมัย และมีปัญหาระบบงานขัดข้องบ่อยครั้งท าให้บริการมีความล่าช้า wifi ไม่เสถียร ความเร็วไม่เพียงพอ ท าให้ยากต่อการเชื่อมต่อทั้งทางโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์


๑๕ ๔. ด้านการประชาสัมพันธ์ -ขาดสื่อประชาสัมพันธ์ที่ทันสมัยที่สามารถสร้างความสนใจและท าให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย งานบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ 1. แบบค าร้องขอรับความช่วยเหลือของประชาชน 2. ระบบขอความอนุเคราะห์น้ าเพื่ออุปโภคบริโภค 3. แบบฟอร์มรับสมัครนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 4. แบบค าร้องขอตัดต้นไม้และจัดเก็บกิ่งไม้ 5. แบบค าร้องขอรับบริการถังขยะ 6. แบบค าร้องขอซ่อมไฟฟ้าโคมไฟฟ้าสาธารณะ 7. จองคิวออนไลน์เพื่อเข้ารับบริการจากหน่วยงาน 8. ร้องเรียนการทุจริตเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ online ๒.๒.๓ ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 96/2557 ได้ก าหนดให้จัดตั้งศูนย์ด ารง ธรรมขึ้นในจังหวัด เพื่อท าหน้าที่การรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร ให้ค าปรึกษา รับ เรื่องปัญหา ความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชน และท าหน้าที่เป็นศูนย์บริการร่วมตาม มาตรา 32 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 โดยให้ทุกส่วนราชการท าหน้าที่สนับสนุนการด าเนินงานของศูนย์ด ารงธรรม ให้สามารถบริการแก่ประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง บทบาทหน้าที่ของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด 1. รับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ 2. เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One stop Service) 3. งานบริการส่งต่อ 4. งานบริการข้อมูลข่าวสาร/ให้ค าปรึกษา 5. งานรับเรื่องความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชน 6. เป็นศูนย์รองรับการปฏิบัติงานเร่งด่วนของรัฐบาล 7. ด าเนินการด้วยชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว (Mobile service) สถิติเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 - ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2567) 1. จ านวนเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ 2,657 เรื่อง ด าเนินการแล้วเสร็จ 2,590 เรื่อง (97.47%) จ านวนเรื่องคงค้าง 67 เรื่อง (2.53%) 2. จ านวนการให้บริการเบ็ดเสร็จ 16,699 เรื่อง(งานบริการให้ค าปรึกษา/ให้ข้อมูล) ด าเนินการแล้วเสร็จ 16,699 เรื่อง (100%) จ านวนเรื่องคงค้าง 0 เรื่อง (0%)


๑๖ จากการลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการด าเนินการในประเด็นดังกล่าวข้างต้นคณะกรรมาธิการ พบปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ ๑. เจ้าหน้าที่ศูนย์ด ารงธรรมยังไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างศูนย์บริการร่วม/ศูนย์ราชการสะดวก (GECC) กับศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ๒. เจ้าหน้าที่ศูนย์ด ารงธรรมที่เข้ารับการอบรมในเรื่องการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) ไม่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องได้ ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ๑. การน าข้อมูลจากระบบ TPMAP logbook มาใช้วิเคราะห์การยกระดับคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน การยกระดับรายได้การชี้เป้ากลุ่มเป้าหมาย หรือค้นหากลุ่มเป้าหมาย จังหวัดควรตรวจสอบข้อมูลด้วยว่า เป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือไม่ และควรน าข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ มาใช้วิเคราะห์ประกอบด้วย ๒. จังหวัดควรศึกษาและท าความเข้าใจร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. .... เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีการประกาศใช้ ๓. ควรผลักศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ(One Stop Service: OSS) ๔. ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดและอ าเภอจังหวัดกาฬสินธุ์จะต้องเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) คือ ต้องเป็นศูนย์ที่ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงบริการ เนื่องจากประชาชน ในพื้นที่อาจเข้าไม่ถึงบริการ หรืออาจจะขาดเครื่องมือในการเข้าถึงบริการ หรืออาจจะขาดความรู้ ความเข้าใจในการใช้อินเทอร์เน็ต เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้สูงอายุ ดังนั้น ทางจังหวัด ควรจะจัดเจ้าหน้าที่ในการให้ค าแนะน า อ านวยความสะดวก เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าสู่ระบบได้ จนสามารถขอรับบริการหรือด าเนินการจนจบกระบวนการ ๕. การประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ผู้ให้บริการควรมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจระบบ เป็นอย่างดี ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนควรจะใช้บริการหรือเข้าใช้ระบบเพื่อให้ตนเองรู้ขั้นตอนวิธีการ เป็นอย่างดี ไม่ใช่แต่เพียงเป็นเจ้าหน้าที่ประจ าศูนย์บริการเท่านั้น เพื่อสามารถให้ค าตอบกับประชาชนผู้ใช้บริการ ได้ ๖. จังหวัดกาฬสินธุ์ควรประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชันทางรัฐ ซึ่งเป็นแอปที่รวบรวมบริการของ ภาครัฐที่ส าคัญอยู่ในแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งในปัจจุบันมีบริการที่พร้อมให้บริการประชาชนมากกว่า ๑๐ บริการ เช่น สิทธิประกันสังคม เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด การตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร สิทธิหลักประกันสุขภาพ และแอปพลิเคชัน ThaID เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปติดต่อที่หน่วยงาน ราชการ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการใช้ทรัพยากรกระดาษที่สิ้นเปลือง มีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ๗. เจ้าหน้าที่ศูนย์ด ารงธรรมขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการบริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) โดยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างศูนย์บริการร่วม/ศูนย์ราชการสะดวก (GECC) กับศูนย์บริการ แบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ซึ่งคณะกรรมาธิการได้ด าเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่แล้ว


๑๗ ๘. เจ้าหน้าที่ศูนย์ด ารงธรรมที่เข้ารับการอบรมในเรื่องการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) ไม่ได้มีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ศูนย์ด ารงธรรมด้วยกัน จึงท าให้ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) จึงเห็นควรให้มีการด าเนินการจัดท า แผนถ่ายทอดความรู้ในเรื่องดังกล่าวให้แก่ผู้บริหารและบุคลากรระดับจังหวัด และระดับอ าเภอ ในส่วนที่มี หน้าที่และอ านาจที่เกี่ยวข้องให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ******************************************


๓. การดําเนินการของจังหวัดมหาสารคาม ๓.๑ ความคืบหนาการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) จังหวัดมหาสารคาม ไดมีการแตตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนการพัฒนารูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารราชการในจังหวัดใหมีการทํางานที่มีผลสัมฤทธิ์สูง ประจําปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จังหวัดมหาสารคามขึ้น ซึ่งไดมีการเสนอประเด็นนโยบายสําคัญ (agenda) ของจังหวัดเพื่อเปนขอเสนอ แนวทางการการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) ในประเด็น การพัฒนาเศรษฐกิจดานเกษตรสมุนไพรและการพัฒนาเมืองสมุนไพร และมีการคัดเลือกหนวยงาน รับผิดชอบ คือ สํานักงานสาธารณสุข จังหวัดมหาสารคาม ๓.๑.๑ วัตถุประสงคการพัฒนาเมืองสมุนไพรจังหวัดมหาสารคาม ๑) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลุมเกษตรกรหรือกลุมวิสาหกิจชุมชนใหสามารถแปรรูป วัตถุดิบสมุนไพรใหไดตรงตามความตองการของโรงงานผลิตยาสมุนไพรและมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถ กระจายวัตถุดิบสมุนไพรสูตลาดสมุนไพรไดทั้งในและตางประเทศ ๒) เพื่อใหกลุมเกษตรกรหรือกลุมวิสาหกิจชุมชนสามารถแปรรูปสมุนไพรเปนผลิตภัณฑ ที่ไดมาตรฐาน GMP ๓) เพื่อใหเกิดการพัฒนาการดําเนินงานของเมืองสมุนไพรในทุกภาคสวน ตั้งแตตนทาง กลางทาง และปลายทาง รวมทั้งเกษตรกรและประชาชนทั่วไปไดรับผลประโยชนจากการพัฒนาเมือง สมุนไพร ๓.๑.๒ รูปแบบ/กลไกการพัฒนา ใชการประสานและบูรณาการความรวมมือกับภาคสวนตาง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงจังหวัดอื่น ที่อยูในกลุมคลัสเตอรเดียวกันหรือที่อยูตางกลุมคลัสเตอรจังหวัดมหาสารคามไดมีการบูรณาการขับเคลื่อน งานเมืองสมุนไพรระหวางหนวยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และบริษัทประชารัฐมหาสารคาม รวมทั้ง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เพื่อใหโครงการและกิจกรรมการพัฒนางาน สอดคลองกันและมีเปาหมายการพัฒนาที่เหมือนกันมีการสงตอขอมูลผลการดําเนินงานของแตละหนวยงาน ที่เกี่ยวของใหสํานักงานสาธารณสุขเปนแหลงขอมูลกลางสําหรับการพัฒนางานเมืองสมุนไพร จังหวัดมหาสารคาม โดยมีการสื่อสารขอมูลความตองการวัตถุดิบสมุนไพรใหผูรับผิดชอบงานเมืองสมุนไพร จังหวัดอื่น ๆ ในเขตสุขภาพที่ ๗ เพื่อขยายกลุมผูปลูกสมุนไพรตามความตองการของตลาด


๓.๑.๓ แผนการดําเนินงานพัฒนาเมืองสมุนไพร ป พ.ศ. ๒๕๖๗ ผูตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข มุงเนนใหพัฒนาการซื้อขายยาสมุนไพรรวม (สถานบริการสาธารณสุขภาครัฐ) เพื่อสนับสนุนการซื้อยาจากโรงงานผลิตยาสมุนไพรในเขตสุขภาพที่ ๗ ๑) การสงเสริมเกษตรกรรายใหมใหเขารวมโครงการปลูกพืชสมุนไพรชนิดที่มีความตองการ ของตลาดสูง เชน ใบบัวบก ไพล กระเจี๊ยบแดง ขมิ้นชัน มะขามปอม ตะไคร ขา ๒) สงเสริมและพัฒนาศักยภาพกลุมวิสาหกิจชุมชนใหแปรรูปวัตถุดิบสมุนไพรไดตามเกณฑ และมีคุณภาพตามความตองการของโรงงานยาสมุนไพร ๓) พัฒนาศักยภาพกลุมวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑสมุนไพรใหไดการรับรองมาตรฐาน อย. ๔) สงเสริมการใชยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปจจุบันทุกระดับสถานบริการ รพช./รพ.สต. ๕) พัฒนาการทองเที่ยวเชิงสุขภาพ (Weliness Center) บูรณาการรวมกับเมืองสมุนไพร ๓.๑.๔ ปญหาและอุปสรรค ๑) ฐานขอมูลกลุมผูปลูก ชนิดพืช พื้นที่การปลูก และขอมูลผลผลิตสมุนไพร ยังไมมี ชองทางการเขาถึงขอมูลที่สะดวกและยังไมเปนที่รูจักของผูประกอบการ ๒) การตลาดวัตถุดิบสมุนไพรมีความผันผวน ทําใหบางครั้งเกิดภาวะหาตลาดสงสินคา วัตถุดิบสมุนไพรไมได ๓) กลุมวิสาหกิจชุมชนมีกําลังการผลิตวัตถุดิบสมุนไพรจํากัด ดวยศักยภาพของสาธารณูปโภค โรงลาง โรงตากและการอบสมุนไพรไมเพียงพอ ๓.๑.๕ แนวทางการพัฒนา/แกไข ๑) ขยายชองทางการตลาดสมุนไพรในภาคเอกชน (โรงงานผลิตยาสมุนไพรและบริษัท เครื่องสําอาง) ไปยังตางประเทศ ๒) สรางแรงจูงใจตอเกษตรกรในพื้นที่มีความสนใจปลูกพืชสมุนไพรเพื่อเพิ่มรายได ๓) การบูรณาการงานรวมกันในการรวมพัฒนางานเมืองสมุนไพรกับหนวยงานอื่น ที่เกี่ยวของ เชน เกษตรจังหวัด ศูนยวิจัยและพัฒนาการเกษตร พาณิชยจังหวัด


๓.๒ การใหบริการประชาชนดวยระบบอิเล็กทรอนิกส (e-Service) ในประเด็นการพัฒนาศูนยบริการ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) การดําเนินการใหบริการประชาชนดวยระบบอิเล็กทรอนิกส (e - Service) ในประเด็นการพัฒนา ศูนยบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ของจังหวัดมหาสารคามมีการดําเนินการอยูในหนวยงาน ที่มีภารกิจในการใหบริการประชาชนเปนหลัก โดยมีการบูรณาการการทํางานของภาครัฐรวมกันดําเนินการ ใหบริการแกประชาชน ดังนี้ ๑) สํานักงานจังหวัดมหาสารคาม (ศูนยดํารงธรรมจังหวัด) จังหวัดมหาสารคาม ไดจัดตั้งศูนยดํารงธรรม จังหวัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ โดยทําหนาที่ในการรับเรื่องรองเรียน รองทุกขใหบริการขอมูล ขาวสาร ใหคําปรึกษา รับเรื่องปญหาความตองการและขอเสนอแนะของประชาชน และทําหนาที่เปน ศูนยบริการรวมตามมาตร ๓๒ แหงพระราชกฤษฎีกาวาดวยหลักเกณฑและวิธีการบริหารกิจการบานเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งมีการรับเรื่องรองทุกขของศูนยดํารงธรรมจังหวัดมหาสารคาม ตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ - ๕ มกราคม ๒๕๖๗ จํานวนทั้งสิ้น ๒,๑๓๔ เรื่อง และดําเนินการแกไขปญหาจนเปนที่ยุติจํานวน ๒,๐๙๓ เรื่อง คิดเปนรอยละ ๙๘.๐๘ และมีเรื่องที่อยูระหวางดําเนินการ จํานวน ๔๑ เรื่อง คิดเปนรอยละ ๑.๙๒ ๒) ที่ทําการปกครองจังหวัดมหาสารคาม มีการดําเนินการศูนยบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ตามแนวทางของกรมการปกครองในจังหวัดมหาสารคาม ๑ แหง คือ จุดเคานเตอรบริการอําเภอ ยิ้ม สํานักทะเบียนอําเภอเมืองมหาสารคาม สาขาหางสรรพสินคาบิ๊กซี ๓) สํานักงานสงเสริมการปกครองทองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม มีหนาที่กํากับดูแลการปฏิบัติงาน ขององคกรปกครองสวนทองถิ่น ซึ่งไดใหองคกรปกครองสวนทองถิ่น ทั้ง ๑๔๓ แหง รายงานการใหบริการ ศูนยบริการรวม/ศูนยบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ผานระบบ INFO ใหกรมสงเสริม การปกครองทองถิ่นทราบในไตรมาสที่ ๑ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๗ เรียบรอยแลว ๔) เทศบาลเมืองมหาสารคาม มีการจัดตั้งและการดําเนินการของศูนยบริการรวม/ศูนยบริการ แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ณ กองทะเบียนราษฎรและบัตรประจําตัวประชาชน มีงานบริการที่ใหบริการเฉพาะรับเรื่อง - สงตอ จํานวน ๒๒ งานบริการ อาทิ การรับเรื่องรองเรียน เปนตน ๕) สํานักงานแรงงานจังหวัดมหาสารคาม หนวยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ประกอบดวย สํานักงานแรงงานจังหวัดมหาสารคาม สํานักงานจัดหางานจังหวัดมหาสารคาม สํานักงานประกันสังคม จังหวัดมหาสารคาม มีการดําเนินการใหบริการประชาชนดวยระบบอิเล็กทรอนิกส(e - Service) อยูภายใน หนวยงานแตละแหง รวมทั้งมีระบบการใหบริการอยูบนเว็บไซตของหนวยงานอีกดวย ๖) สํานักงานขนสงจังหวัดมหาสารคาม ๗) สํานักงานจัดหางานจังหวัดมหาสารคาม ๘) สํานักงานประกันสังคมจังหวัดมหาสารคาม งานบริการเพื่อประชาชน - จองคิวทําใบขับขี่ - ขอเลขทะเบียนรถ - ตรวจสอบชื่อสกุลเบื้องตน - ระบบคนหารูปแปลงที่ดิน - ติดตามสถานะคดี - ตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการสังคม - ระบบตรวจสอบสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล


- ขอรับกลาไมออนไลน - ขอรับสารเรงพด. หญาแฝกและเมล็ดพันธุพืชปุยสด - ขอมีบัตรประจําตัวคนพิการ - ยื่นภาษีรายไดบุคคลธรรมดา - ติดตามการขอคืนภาษี ภ.ง.ด ๙๑/๙๐ - ขอใชน้ําประปา/ติดตั้งประปา - ขอใชไฟฟา ผูประกอบธุรกิจ/SMEs ลงทะเบียนผูคากับภาครัฐ และแจงโรคระบาดสัตว งานบริการดานแรงงานหรือสงเสริมการมีงานทํา - ขึ้นทะเบียนคนวางงาน - ระบบคนหางานทํา และคนหางาน (Smart Job Center) - ขึ้นทะเบียนผูประกันตน มาตรา ๔๐ - ขอรับประโยชนทดแทน กรณีวางงาน ๓.๒.๑ การดําเนินงานของศูนยดํารงธรรมจังหวัดมหาสารคาม ตามประกาศคณะรักษาความสงบแหงชาติฉบับที่ ๙๖/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ใหจัดตั้งศูนยดํารงธรรม เพื่อเปนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัดและใหการปฏิบัติงาน ของสวนราชการในจังหวัดสามารถใหบริการประชาชนไดอยางเสมอภาค มีคุณภาพรวดเร็ว ลดขั้นตอน การปฏิบัติงานและประชาชนไดรับความพึงพอใจ จึงใหจังหวัดจัดตั้งศูนยดํารงธรรม เพื่อทําหนาที่ในการรับ เรื่องรองเรียน รองทุกข ใหบริการขอมูลขาวสาร ใหคําปรึกษา รับเรื่องปญหาความตองการ และขอเสนอแนะของประชาชน และทําหนาที่เปนศูนยบริการรวมตามมาตรา ๓๒ แหงพระราชกฤษฎีกา วาดวยหลักเกณฑและวิธีการบริหารกิจการบานเมืองที่ดีพ.ศ. ๒๕๔๖ โดยใหจัดตั้งขึ้น ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่อื่นตามที่เห็นสมควร และประกาศใหประชาชนทราบ และใหทุกกระทรวง กรม สวนราชการ และหนวยงานของรัฐ สนับสนุนการดําเนินการของศูนยดํารงธรรมทั้งดานวัสดุอุปกรณและบุคลากร ใหสามารถบริการแกประชาชนไดอยางมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความตองการของประชาชน ไดอยางรวดเร็วและทั่วถึง จังหวัดมหาสารคาม ไดจัดตั้งศูนยดํารงธรรมจังหวัดมหาสารคาม และมีพิธีการเปดศูนย อยางเปนทางการเมื่อวันศุกรที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตั้งอยู ณ หอง ๑๐๘ ชั้น ๑ ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม และไดจัดตั้งศูนยดํารงธรรมอําเภอ ครบทั้ง ๑๓ อําเภอ ทั้งนี้ประชาชนสามารถยื่นเรื่องรองเรียนรองทุกข ผานชองทางตาง ๆ ดังนี้ ๑) ทางโทรศัพทสายดวน ๑๕๖๗ (โทรฟรีทุกเครือขาย) หรือหมายเลขโทรศัพท๐๔๓-๗๗๗๒๙๘ ๒) ทางไปรษณีย ๓) ทางอีเมล[email protected] ๔) ทางเพจเฟสบุค ศูนยดํารงธรรมจังหวัดมหาสารคาม ๕) ทางไลน๑๕๖๗ ศูนยดํารงธรรมจังหวัดมหาสารคาม ๖) ทางเว็บไซตwww.damrongthammhk.go.th ประเภทเรื่องรองเรียน จํานวน ๖ กลุม ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ดังนี้ ๑) กลุมการแจงเบาะแสการกระทําความผิด ดานยาเสพติด การพนัน สถานบันเทิง ผูมีอิทธิพล


๒)กลุมปญหาความเดือดรอน ดานการบริการพื้นฐาน มลภาวะขมขู ทํารายรางกายเหตุเดือดรอนรําคาญ ๓) กลุมกลาวโทษเจาหนาที่รัฐหรือหนวยงานรัฐ ดานการทุจริต ไมเปนธรรม พฤติกรรมไมโปรงใส และการใหบริการ ๔) กลุมเรื่องทั่วไป การขอคําปรึกษาขอกฎหมาย ขอคําปรึกษาทั่วไป การแสดงความคิดเห็น การบริการขอมูลขาวสาร ๕) กลุมขอความชวยเหลือสงเคราะหเชน การสงเคราะหผูปวย ผูดอยโอกาส ขอความชวยเหลือ ทุนการศึกษา ขอที่ดินทํากิน ขอความชวยเหลืออื่น ๆ ๖) กลุมปญหาที่ดิน ขอมูลการรับเรื่องรองเรียนรองทุกขศูนยดํารงธรรมจังหวัดมหาสารคาม ตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ - ๕ มกราคม ๒๕๖๗ โดยมีเรื่องรองเรียนจํานวนทั้งสิ้น ๒,๑๓๔ เรื่องซึ่งไดดําเนินการแกไขปญหาจนเปนที่ยุติ จํานวน ๒,๐๙๓ เรื่อง คิดเปนรอยละ ๙๘.๐๘ และมีเรื่องที่อยูระหวางดําเนินการ จํานวน ๔๑ เรื่อง คิดเปนรอยละ ๑.๙๒


๓.๒.๒ ปญหาและอุปสรรค ๑. เจาหนาที่ผูปฏิบัติงานยังขาดความรูความเขาใจ ไมมีความชํานาญในเรื่องการใหบริการ ดวยระบบอิเล็กทรอนิกส เนื่องจากขาดการถายทอดการฝกอบรมจากผูฝกอบรม รวมทั้งมีการโยกยาย ปรับเปลี่ยนตําแหนงของบุคลากรอยูบอยครั้ง ๒. ระบบเทคโนโลยีและอุปกรณคอมพิวเตอรไมพรอมใชงานและไมเพียงพอ เนื่องจาก เปนระบบเกา และไมมีงบประมาณในการจัดซื้อจัดจาง อยางไรก็ตาม จังหวัดมหาสารคามดําเนินการใหบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว เพื่อลดระยะเวลาประชาชนขอรับบริการจากภาครัฐ ประหยัดเวลาในการเดินทาง และใหบริการไมเวน วันหยุดราชการ ๓.๓ การดําเนินงานภายใตพระราชกฤษฎีกาวาดวยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 การดําเนินการบังคับใชพระราชกฤษฎีกาวาดวยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ของจังหวัดมหาสารคามที่สําคัญ ไดแกการจัดทําเปาหมายการพัฒนาของจังหวัดระยะ ๒๐ ป(พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๘๕) และการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัดตามความในมาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๔ แหงพระราชกฤษฎีกาวาดวยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ เรียบรอยแลว ตั้งแตเดือน พฤษภาคม ๒๕๖๖ ที่ผานมา โดยกําหนดทิศทาง ดังนี้ “ตักสิลาเมืองแหงเศรษฐกิจมั่นคง สังคมมีสุข ภายใตสิ่งแวดลอมที่ดี” แผนพัฒนาจังหวัดมหาสารคาม (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ๑) เปาหมายการพัฒนา “เกษตรกรรมยั่งยืน นําภูมิปญญาสรางคุณคา พัฒนาการคาการลงทุน สูสังคมมีสุข ภายใต สิ่งแวดลอมที่ดี” ๒) พันธกิจ ๒.๑) สงเสริมภาคการเกษตรใหมีความเขมแข็งและสามารถพึ่งตนเองได ๒.๒) สงเสริมการนําภูมิปญญามาสรางมูลคาเพิ่มใหกับสินคา บริการ ศิลปะและวัฒนธรรม และการทองเที่ยวเชิงประวัติศาสตรและเชิงสรางสรรค ๒.๓) สงเสริมดานการคาการลงทุน และพัฒนาโครงสรางพื้นฐานในพื้นที่ ๒.๔) เสริมสรางและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดานความมั่นคงการศึกษาการสาธารณสุข และสิ่งแวดลอม ๓) เปาประสงค ๓.๑) ภาคการเกษตรมีความเขมแข็งและสามารถสรางมูลคาเพิ่มใหกับจังหวัด ๓.๒) การพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเติบโตอยางสมดุลและยั่งยืน ๓.๓) ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ๔) ประเด็นการพัฒนา ๔.๑) สงเสริมและพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรเพื่อสรางรายไดกับเกษตรกร ๔.๒) สงเสริมการนําองคความรูทางภูมิปญญาเพื่อสรางมูลคาเพิ่มใหกับสินคา บริการ ศิลปะ และวัฒนธรรม และการทองเที่ยวเชิงประวัติศาสตรและเชิงสรางสรรค ๔.๓) เพิ่มศักยภาพดานการคาการลงทุน เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชน สูสังคมมีสุขภายใตสิ่งแวดลอมที่ดี


๕) ขอเสนอแนะของจังหวัดมหาสารคาม ๕.๑) ควรมีระเบียบ หรือแนวทางปฏิบัติรองรับการดําเนินงานตามพระราชกฤษฎีกาวาดวย การบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อใหหนวยงานที่เกี่ยวของปฏิบัติตามไดอยางถูกตอง และเปนไปในทิศทางเดียวกัน ๕.๒) อบรมใหความรูเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาวาดวยการบริหารงานเชิงพื้นที่ แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ใหกับหนวยงานสวนกลางและหนวยงานที่ตั้งอยูในภูมิภาค ๕.๓) ควรกําหนดหนวยงานที่ใหคําปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาวาดวย การบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ อยางชัดเจน จากการลงพื้นที่ติดตามความคืบหนาการดําเนินการในประเด็นดังกลาวขางตนคณะกรรมาธิการ พบปญหาตาง ๆ ดังนี้ ๑) ปญหาการสื่อสารประชาสัมพันธกับประชาชน เพื่อใหประชาชนรับรูเกี่ยวกับการใหบริการ ประชาชนด วยระบบอิเล็ กทรอนิ กส ของศู นยบริการแบบเบ็ ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ณ ศูนยดํารงธรรมจังหวัดและศูนยดํารงธรรมอําเภอ รวมทั้งศูนยบริการขององคกรปกครองสวนทองถิ่น ๒) การไมรายงานผลการดําเนินการประชาสัมพันธของประชาสัมพันธจังหวัดตอผูวาราชการจังหวัด เพื่อรับทราบ และไมมีการบูรณาการรวมกับหนวยงานในพื้นที่ เชน การใชวิทยุสื่อสารของทางราชการ หอกระจายขาวในหมูบาน เพื่อเผยแพรขอมูลขาวสารใหประชาชนรับทราบเทาที่ควร รวมทั้ง การประชาสัมพันธในพื้นที่ที่ขาดความถี่และตอเนื่อง จึงไมเกิดการรับรูในระดับเจาหนาที่ของรัฐผูปฏิบัติงาน และประชาชนอยางแทจริง ขอสังเกตและขอเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ๑) เจาหนาที่ศูนยดํารงธรรมที่เขารับการอบรมในเรื่องการใหบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) ไมไดมีการถายทอดความรูใหแกเจาหนาที่ศูนยดํารงธรรมดวยกัน จึงทําใหเจาหนาที่ สวนใหญไมมีความรูเรื่องการใหบริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) จึงเห็นควรใหมีการดําเนินการจัดทําแผน ถายทอดความรูในเรื่องดังกลาวใหแกผูบริหารและบุคลากรระดับจังหวัด และระดับอําเภอ ในสวนที่มีหนาที่ และอํานาจที่เกี่ยวของใหมีความชัดเจนและเปนรูปธรรม ๒) เจาหนาที่ศูนยดํารงธรรมขาดความรูความเขาใจในเรื่องการบริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) โดยสวนใหญยังไมเขาใจถึงความแตกตางระหวางศูนยบริการรวม/ศูนยราชการสะดวก(GECC) กับศูนยบริการ แบบเบ็ดเสร็จ(OSS) ซึ่งคณะกรรมาธิการไดดําเนินการสรางความรูความเขาใจใหแกเจาหนาที่แลว ๓) จังหวัดควรใหความสําคัญกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ถือเปน ประเด็นที่เปนปญหาโดยบางจังหวัดเขาใจแตกตางกัน ไมรับรูรับทราบหรือไมมีการถายทอดนโยบายไปสู การปฏิบัติ ซึ่งจะสงผลใหเกิดปญหาอุปสรรคในการดําเนินงานตอไปในอนาคต ๔) หนวยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับพัฒนาระบบการใหบริการของรัฐควรเพิ่มชองทางในการเผยแพร ประชาสัมพันธใหประชาชนไดรับทราบถึงแพลตฟอรมดังกลาวอยางกวางขวาง ทั่วถึง ตอเนื่อง และสราง ความเชื่อมั่น ความไววางใจใหกับประชาชนหรือผูใชบริการเกี่ยวกับงานบริการผานระบบอิเล็กทรอนิกส (e-Service) และแอปพลิเคชันตาง ๆ ที่รัฐบาลพัฒนาขึ้น เชน ระบบพิสูจนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัล Digital ID แอปพลิเคชันทางรัฐ เว็บไซต Biz Portal และอําเภอ.com เพื่อใหประชาชนมีความเชื่อมั่น และเขาถึงงาน


สิทธิสวัสดิการ ประโยชนที่ควรจะไดรับจากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งเปนการอํานวยความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนและคาใชจายในการติดตอราชการกับภาครัฐใหแกประชาชนในพื้นที่ ๕) กระทรวงมหาดไทยรวมกับจังหวัดควรจัดทําแผนโครงสรางที่เปนสวนราชการของจังหวัด โดยยกระดับศูนยดํารงธรรมจังหวัดและศูนยดํารงธรรมอําเภอในลักษณะรูปแบบงานประจํา เพื่อใหสามารถ ดําเนินงานไดอยางมีประสิทธิภาพ ๖) ควรสงเสริม ตอยอด และพัฒนาใหองคกรปกครองสวนทองถิ่นใหบริการประชาชนดวยระบบ อิเล็กทรอนิกส (e-Service) ผานศูนยบริการรวม/ศูนยบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ขององคกรปกครองสวนทองถิ่น เพื่อเปนอีกชองทางหนึ่งในการอํานวยความสะดวกใหแกประชาชนในการเขาถึง การรับบริการของภาครัฐ โดยนํางานบริการตาง ๆ ขององคกรปกครองสวนทองถิ่นและสวนราชการอื่นมาไว ณ สถานที่แหงเดียว โดยใหเจาหนาที่ผูปฏิบัติงานชวยเหลือ ใหคําแนะนํา และบริการประชาชน ที่ไมมีความพรอมในดานอุปกรณอิเล็กทรอนิกส ไมมีสัญญาณอินเทอรเน็ตสามารถเขาถึงงานบริการตาง ๆ ของรัฐ ซึ่งอยูระหวางการขับเคลื่อนและทําความเขาใจกับผูที่เกี่ยวของ ๗) จังหวัดควรเตรียมรองรับระบบตาง ๆ ที่สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องคการมหาชน) พัฒนาขึ้น อันจะนําไปสูการเพิ่มประสิทธิภาพการใหบริการอันถือเปนความภาคภูมิใจและความเปลี่ยนแปลง ของบานเมือง เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น ๘) จังหวัดและอําเภอควรใหความสําคัญในการสงเสริมและสนับสนุนบทบาทและหนาที่ ของคณะกรรมการหมูบาน (กม.) กลาวไววา “หมูบานคือรากแกวของประเทศ หากไมมีรากแกวที่แข็งแรง ตนไมก็ไมอาจอยู หากไมมีหมูบานที่แข็งแกรง ประเทศไทยยอมไมอาจอยูได หมูบานคือเสาเข็มค้ํายัน ความมั่นคงของประเทศ ไมวาประเทศจะเผชิญกับวิกฤติหรือภัยคุกคามที่รุนแรงเพียงใด หากมีหมูบาน เปนเสาเข็มที่แข็งแกรงจะสามารถคลี่คลายวิกฤติตาง ๆ ใหผอนคลายลงและสิ้นสุดไปในที่สุด” ดังนั้น คณะกรรมการหมูบาน (กม.) จึงเปนสภาผูนําประชาธิปไตยหมูบานที่สมบูรณสรางหมูบานใหเปนฐานราก ที่แข็งแกรงเปนสารพันธุกรรมที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาประเทศใหมีความเจริญผาสุกอยางมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เนื่องจากมีความใกลชิดกับประชาชน และเปนอีกชองทางที่สําคัญในการเผยแพรประชาสัมพันธใหประชาชนรับรู ในเรื่องการใหบริการของภาครัฐ ๙) ควรเรงทําความเขาใจกับหนวยงานราชการในจังหวัดใหปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาวาดวย การบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อใหเกิดความคลองตัว มีประสิทธิภาพและเพื่อเปน การปลดล็อกเงื่อนไขตาง ๆ ทั้งดานระบบงาน ระบบแผน ระบบงบประมาณ และระบบบริหารงานบุคคล ******************************************


ข้อมูลประกอบค ำชี้แจงของผู้แทนหน่วยงำนที่เกี่ยวข้อง จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดมหาสารคาม


ภำพกำรประชุมร่วมกันและกำรลงพื้นที่ติดตำมควำมคืบหน้ำของคณะกรรมำธิกำร


คณะกรรมาธิกธิ ารการบริหารราชการแผ่น ผ่ ดิน ดิ วุฒิวุ คณ ฒิ สภา ะกรรมาธิกธิ ารการบริหารราชการแผ่น ผ่ ดิน ดิ วุฒิวุ วันวัพุธที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ฒิ สภา ณ ศาลากลางจังจัหวัดวักาฬสินธุ์


คณะกรรมาธิกธิ ารการบริหารราชการแผ่น ผ่ ดิน ดิ วุฒิวุ คณ ฒิ สภา ะกรรมาธิกธิ ารการบริหารราชการแผ่น ผ่ ดิน ดิ วุฒิวุ วั ฒิ สภา นวัพุธที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ณ ศาลากลางจังจัหวัดวักาฬสินธุ์


จัง จั หวัด วั มหาสารคาม วันวัพฤหัสหับดีที่ดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ณ ศาลากลางจังจัหวัดวัมหาสารคาม


จัง จั หวัด วั มหาสารคาม วันวัพฤหัสหับดีที่ดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ณ ศาลากลางจังจัหวัดวัมหาสารคาม


จัง จั หวัด วั มหาสารคาม วันวัพฤหัสหับดีที่ดีที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ ณ ศาลากลางจังจัหวัดวัมหาสารคาม


ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา สำ นักกรรมาธิการ ๒


๓.๕.๒ ระหวางวันพุธที่ ๓๑ มกราคม ถึงวันศุกรที่ ๒ กุมภาพันธ ๒๕๖๗ ณ จังหวัดสกลนครและจังหวัดมุกดาหาร


ของคณะกรรมาธิกธิารการบริหริารราชการแผ่น ผ่ ดินวุฒิสฒิภา รายงานสรุปรุผลการติดติตามความคืบคืหน้าน้การขับขัเคลื่อลื่นจังจัหวัดวั ที่มี ที่ ผมีลสัมสัฤทธิ์สูธิ์งสู (HIGH PERFORMANCE PROVINCES: HPP) การดำ เนินนิการการให้บห้ริกริารประชาชนในประเด็น ด็ การพัฒพันาศูนศูย์บย์ริกริาร แบบเบ็ด บ็ เสร็จ ร็ ณ จุดจุเดียดีว (ONE STOP SERVICE: OSS) และการบังบัคับคั ใช้พช้ระราชกฤษฎีกฎีาว่าว่ด้วด้ยการบริหริารงานเชิงชิพื้นพื้ที่ แบบบูรบูณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ระหว่าว่งวันวัพุธที่ ๓๑ มกราคม ถึงถึวันวัศุกศุร์ที่ร์ ที่ ๒ กุมกุภาพันพัธ์ ๒๕๖๗ ณ จังจัหวัดวัสกลนครและจังจัหวัดวัมุกดาหาร ของคณะกรรมาธิกธิารการบริหริารราชการแผ่นผ่ดินดิวุฒิสฒิภา


รายงานสรุปผลการเดินทาง ติดตามความคืบหน้าการด าเนินการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) การด าเนินการการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) และการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ระหว่างวันพุธที่ ๓๑ มกราคม ถึงวันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ณ จังหวัดสกลนครและจังหวัดมุกดาหาร ................................................ ๑. ความเป็นมา ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๐ ได้วางหลักการเกี่ยวกับหน้าที่ และอ านาจของวุฒิสภาไว้ว่า นอกจากการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอ านาจอันเป็นภารกิจประจ าแล้ว วุฒิสภายังมีหน้าที่และอ านาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ ดังนั้น ภารกิจของคณะกรรมาธิการจึงแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอ านาจอันเป็นภารกิจประจ า ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ๑๙ กระทรวง โดยให้ความส าคัญกับกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก และส่วนที่สองจะเป็นการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้การปฏิรูปประเทศจะสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ แต่จะเห็นได้ว่า งานปฏิรูปดังกล่าวยังด าเนินการไม่แล้วเสร็จและยังคงต้องด าเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ถูกปรับเปลี่ยน ให้มีลักษณะเป็นงานประจ าของหน่วยงานราชการ ซึ่งได้ถูกก าหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ ทั้งนี้ หมุดหมายที่สอดคล้องกับหน้าที่และอ านาจของคณะกรรมาธิการการบริหาร ราชการแผ่นดิน ได้แก่ หมุดหมายที่ ๑๓ ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ ประชาชน ประกอบด้วยเป้าหมายที่ ๑ การบริการภาครัฐ มีคุณภาพ เข้าถึงได้ และเป้าหมายที่ ๒ ภาครัฐ ที่มีขีดสมรรถนะสูง คล่องตัว หนึ่งในงานปฏิรูปประเทศที่ยังด าเนินการไม่แล้วเสร็จและยังคงต้องด าเนินการอย่างต่อเนื่อง คือ แผนงานจังหวัดที่มีความคล่องตัวในการบริหารระบบงาน ระบบเงิน และระบบก าลังคน (จังหวัดที่มี ผลสัมฤทธิ์สูง : High Performance Provinces) โดยในแผนงานดังกล่าวนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ท าการศึกษา โดยผลจากศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับรูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารราชการจังหวัดให้เป็นจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์ จ านวน ๑๑ ประเด็น และข้อจ ากัดการบริหารราชการ ในจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูงจากข้อเสนอของจังหวัด (ประเด็นปลดล็อก) น าไปสู่การออกพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในจังหวัด นอกจากนี้ การให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในประเด็น การพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด และศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไปสู่รัฐบาลดิจิทัล ยังสอดคล้องกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๖/๒๕๕๗ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ด ารงธรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัด และให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการในจังหวัด สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเสมอภาคมีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานและประชาชน


๒ ได้รับความพึงพอใจ ซึ่งอยู่ในภารกิจมิติที่ ๒ เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ โดยหน่วยงานราชการที่เป็น กลไกหลักในการขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว มีจ านวน ๓ แห่ง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ส านักงาน พัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบกับปัจจุบัน ได้ประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อให้เกิด การขับเคลื่อนไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕ คณะกรรมาธิการได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) “การให้บริการอ านวยความสะดวกประชาชนระดับพื้นที่” ระหว่าง หน่วยงานของรัฐ จ านวน ๗ แห่ง เพื่อสนับสนุนการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางต่าง ๆ และเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนบริการของหน่วยงานรัฐให้มีการเชื่อมต่อกัน และเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ และวันที่ ๘ ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีการจัดอบรมบุคลากรของศูนย์ด ารงธรรมออนไลน์ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจและเรียนรู้วิธีการใช้งานระบบดังกล่าว รวมถึงระบบศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อ ราชการ (Info.go.th) จากข้อมูลงานบริการภาครัฐทั้งหมดตามคู่มือมาตรฐานกลาง ๓,๘๓๐ งานบริการ พบว่าเป็นงานบริการที่สามารถพัฒนาให้เป็นรูปแบบออนไลน์ได้ ๒,๔๒๐ งานบริการ ส่วนงานบริการ ที่เป็น e-Service ที่พร้อมใช้งานแล้ว จ านวน ๑,๓๙๕ งานบริการ แต่ได้มีการตรวจสอบและพร้อมใช้งาน จ านวน ๗๒๕ งานบริการ โดยส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ได้พัฒนาระบบพอร์ทัลกลาง ส าหรับภาคธุรกิจ (Biz Portal) ที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลให้ธุรกิจติดต่อราชการแบบเบ็ดเสร็จ ครบวงจร ณ จุดเดียว ซึ่งท าให้ผู้ประกอบการไม่จ าต้องยื่นเอกสารที่หน่วยงานด้วยตนเอง ปัจจุบันระบบดังกล่าว ให้บริการอยู่ ๒๕ ประเภทธุรกิจ ๙๑ ใบอนุญาต รวมทั้งได้มีการพัฒนาพอร์ทัลกลางส าหรับประชาชน (Citizen Portal) ที่รวบรวมข้อมูลและงานบริการต่าง ๆ เพื่ออ านวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ในรูปแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งยังไม่มีการประชาสัมพันธ์การใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวอย่างทั่วถึง ดังนั้น ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดและศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอนอกจากจะมีหน้าที่และอ านาจรับเรื่องร้องเรียน /ร้องทุกข์แล้ว ยังจะต้องพัฒนาให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) อย่างไรก็ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหาร ราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้มีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนการให้บริการ แก่ประชาชนในระดับพื้นที่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการ แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดและศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอ ตลอดจนการหารือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการอ านวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วย โดยมีผู้แทนจากส านักนายกรัฐมนตรี ส านักงานปลัดส านักนายกรัฐมนตรี ส านักงานคณะกรรมการ การกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมประชาสัมพันธ์ ส านักงานคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการ ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ส านักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกัน ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมีความเหมาะสมร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ แต่อาจมีข้อจ ากัดด้านหน้าที่และอ านาจขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ซึ่งจะมีการหารือในระดับนโยบายต่อไป วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ประชุมหารือในประเด็นการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น


๓ และรองอธิบดีกรมการปกครอง เข้าร่วมหารือให้ข้อมูล ณ กระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ จากการหารือ ร่วมกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความพร้อมที่จะร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะมีหนังสือแจ้งแนวทางปฏิบัติในการให้บริการประชาชน และจะมีการประชุมหารือ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมและเปิดให้บริการประชาชนต่อไป * องค์การบริหารส่วนจังหวัดน าร่องการพัฒนาเป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (oss) จ านวน ๕ แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ ชลบุรี พัทลุง สกลนคร และสุพรรณบุรี ก่อนขยายผลการด าเนินการไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งอื่นต่อไป (เปิดให้บริการในเดือน ตุลาคม ๒๕๖๖ และติดตามผลการด าเนินการในเดือนมกราคม ๒๕๖๗) วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ก าหนดการประชุมหารือประเด็นการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมด าเนินการ เป็นศูนย์บริก ารแบบเบ็ดเส ร็จ (OSS) โดยมีผู้แทนส านัก งานปลัดก ร ะทรว งมห าดไทย ส านักนายกรัฐมนตรี ส านักงาน ก.พ.ร. ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ส านักงาน คณะกรรมการการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และส านักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เข้าร่วมหารือให้ข้อมูล ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมีความเหมาะสม และมีความพร้อมที่จะร่วมด าเนินการเป็นศูนย์บริการ แบบเบ็ดเสร็จ (OSS) เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ โดยกระทรวงมหาดไทยจะมีหนังสือ แจ้งแนวทางปฏิบัติในการให้บริการประชาชน และประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียม ความพร้อมและเปิดให้บริการประชาชน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนดังกล่าวสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๐ วรรคหนึ่งและวรรคสาม1 และพระราชบัญญัติก าหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๖ (๓๑)2 และมาตรา ๑๙3 ในส่วนของส านักงานการตรวจเงินแผ่นดินจึงไม่มีเหตุขัดข้อง เมื่อเป็นกรณีการอ านวยความ สะดวกให้แก่ประชาชน ทั้งเป็นการประหยัดต้นทุนภาครัฐตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน และสอดคล้องตามกลไกของกฎหมายดังกล่าว 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๐ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอ านาจดูแลและจัดท าบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ ประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ... ฯลฯ ... การจัดท าบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะใดที่สมควรให้เป็นหน้าที่และอ านาจโดยเฉพาะขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการด าเนินการใด ให้เป็นไปตามที่กฎหมาย บัญญัติซึ่งต้องสอดคล้องกับรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามวรรคสี่ และกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติ เกี่ยวกับกลไกและขั้นตอนในการกระจายหน้าที่และอ านาจ ตลอดจนงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวกับหน้าที่และอ านาจดังกล่าว ของส่วนราชการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย” 2 พระราชบัญญัติก าหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๖ “ให้เทศบาล เมืองพัทยา และองค์การบริหารส่วนต าบลมีอ านาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการ สาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองดังนี้(๓๑) กิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามที่คณะกรรมการประกาศก าหนด” 3 พระราชบัญญัติก าหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ “ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายก าหนดให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษไม่ เต็มพื้นที่จังหวัด มีอ านาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา ๑๖ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายก าหนดให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเต็มพื้นที่จังหวัดมี อ านาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๗”


๔ วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ประชุมหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นเรื่องการด าเนินการให้บริการประชาชน ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (OneStop Service: OSS) การขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) และนโยบาย การมีผู้ว่า CEO การด าเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ตลอดจนการด าเนินงานด้านผังเมือง ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า การหารือมีเป้าหมายเพื่อรับข้อเสนอแนะ ค าแนะน า และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) และนโยบายผู้ว่าฯ CEO ซึ่งเป็นนโยบายส าคัญของรัฐบาล พร้อมด้วยประเด็นการ ให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐ นโยบายส าคัญของกระทรวงมหาดไทยที่ได้มอบนโยบาย และเน้นย้ ากับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ตลอดจน การด าเนินงานของคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) การด าเนินงานด้านการผังเมือง รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการบริหารจัดการภาครัฐที่มีความเชื่อมโยงกับพันธกิจหลักและภารกิจ ของกระทรวงมหาดไทยตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ กระทรวงมหาดไทยมีเป้าหมายในการท างานที่ส าคัญ โดยมุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ประชาชนผ่านการบริหารภาครัฐ โดยใช้แนวคิดการบริการให้ประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม ซึ่งจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานส าคัญส าหรับการบริหารจัดการภาครัฐ ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างความสะดวกกับพี่น้อง ประชาชนและผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกส าคัญในการช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดปัญหา การทุจริตคอรัปชั่น เรียกได้ว่าเกิดประโยชน์ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการอ านวยความสะดวก กับประชาชน และสร้าง “ธรรมาภิบาล” ให้กับส่วนราชการ ส าหรับในเรื่องการด าเนินงานด้านการผังเมือง กระทรวงมหาดไทยเชื่อว่าเมืองที่ดี จะสามารถส่งเสริมคนให้มีชีวิตที่มีทั้งคุณภาพและศักยภาพได้ กระทรวงมหาดไทยจึงต้องเท่าทัน ต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน อย่างทันท่วงทีเสมอ พร้อมทั้งมีคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ซึ่งเป็นกลไกระดับท้องที่ที่เปรียบเสมือน เป็น “คณะรัฐมนตรีประจ าหมู่บ้าน” ช่วยเสนอแนะให้ค าแนะน าแก่ผู้ใหญ่บ้าน จัดท าแผนพัฒนาหมู่บ้าน และบูรณาการการด าเนินงานอื่น ๆ ร่วมกับภาคส่วนในท้องที่ด้วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกระทรวงแรก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่โดยตรงในการบริหารงานภาครัฐให้เป็นไปตาม ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งการร่วมหารือจะท าให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าจะท าอย่างไรให้การบริหารงานภาครัฐ มีความต่อเนื่อง สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน โดยการใช้อิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกกันว่ารัฐบาลดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนผ่านการบริหารงานจังหวัด แบบบูรณาการ ผ่านกลไกส าคัญ อาทิ ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด ศูนย์ด ารงธรรมอ าเภอ เพื่อพัฒนาไปสู่ การเป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)


๕ วันจันทร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ประชุมหารือร่วมกับนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี เลขานุการ รัฐมนตรีประจ าส านักนายกรัฐมนตรี ผู้อ านวยการส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นเกี่ยวกับการด าเนินการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในด้านการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) การขับเคลื่อน หนึ่งประเทศหนึ่งแพลตฟอร์ม (One Country One Platform) และกรณีทบทวนบทบาทและภารกิจ ของส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวง ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยที่ประชุมคณะกรรมาธิการมีความเห็นและข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระส าคัญได้ดังนี้ ๑. การบริการประชาชนเป็นเรื่องส าคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน ปัจจุบัน แต่ละกระทรวงมีการพัฒนาการด าเนินงานให้เข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล แต่ยังคงมีการด าเนินงาน ที่เกิดความซ้ าซ้อนระหว่างส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ดังนั้น ต้องพิจารณาว่าจะใช้แอปพลิเคชัน ทางรัฐเป็นแพลตฟอร์มกลางของประเทศเพื่อเป็นช่องทางหลักหรือไม่ ๒. การด าเนินงานของภาครัฐต้องมีการก าหนดตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการ ร่วมกัน (Joint KPIs) มุ่งเน้นคุณภาพ ผลสัมฤทธิ์ (Outcome) และผลที่จะได้รับอย่างแท้จริง (Impact) ทุกกรมทุกกระทรวงต้องมีการบูรณาการ โดยน าความต้องการของประชาชนเป็นตัวตั้ง และจัดล าดับ ความส าคัญสิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งรัดด าเนินการ โดยเฉพาะการพัฒนาแอปพลิเคชันทางรัฐให้เชื่อมโยง ทุกกรมทุกกระทรวง การด าเนินการให้ประชาชนคนไทยมีบัตรประจ าตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ (Digital ID) ครบทุกคน และการขยายศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ให้ครอบคลุม ครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ๓. แม้ว่าจะมีการพัฒนาเพื่อก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัลค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่ประชาชน จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ยังเป็นนามธรรม ประกอบกับการลงทุนทรัพยากรเพื่อเป็นรัฐบาลดิจิทัล มีการใช้งบประมาณเป็นจ านวนมาก ดังนั้น ต้องมีการก าหนดตัวชี้วัดที่ท้าทาย ไม่ใช่ตัวชี้วัด แบบระบบราชการรูปแบบเดิม ปัจจุบันแต่ละหน่วยงานต่างมีข้อมูลของตน และด าเนินการในลักษณะ ต่างคนต่างท า ดังนั้น ต้องจัดท าฐานข้อมูล Big Data ให้เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็น ปัจจัยส าคัญที่จะขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล และส่งผลให้สามารถลดก าลังคนภาครัฐได้ ๔. การเข้าใช้งานแอปพลิเคชันทางรัฐยังคงมีข้อจ ากัด คือ จะต้องมีการยืนยันตัวตน ผู้ใช้งาน ซึ่งท าให้ประชาชนกลุ่มที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลประสบปัญหาไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของศูนย์ด ารงธรรมก็ไม่สามารถด าเนินการยืนยันตัวตนแทนได้ ต้องพิจารณาว่าจะแก้ไข ข้อจ ากัดดังกล่าวอย่างไร นอกจากนี้ เห็นว่าควรมีการพัฒนาให้มีระบบบันทึกข้อมูลการท าธุรกรรม ภายในแอปพลิเคชันที่ประชาชนมาใช้บริการด าเนินการผ่านศูนย์ด ารงธรรมด้วย เพื่อเป็นการจัดเก็บ ฐานข้อมูลสถิติการให้บริการแก่ภาคประชาชนของศูนย์ด ารงธรรม ทั้งนี้ ผู้แทนส านักนายกรัฐมนตรีเห็นว่าการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลเป็นนโยบาย ที่ส าคัญของรัฐ ซึ่งส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ได้ด าเนินโครงการต่าง ๆ ไว้จ านวนมาก และพัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่รองรับการให้บริการประชาชนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ใช้งานจ านวนน้อย จึงต้องทบทวนการด าเนินการว่าจะเพิ่มจ านวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชันให้มากขึ้น ได้อย่างไร หรืออาจมีกฎหมายก าหนดกรอบระยะเวลาและการด าเนินการให้ชัดเจน ต้องมีการศึกษา


๖ ทบทวนว่าแอปพลิเคชันเป็นมิตรกับผู้ใช้งานหรือไม่ มีส่วนใดที่ต้องพัฒนา หรือปรับปรุงแก้ไข นอกจากนี้ การให้ความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรภาครัฐเป็นสิ่งส าคัญ โดยเฉพาะบุคลากรที่ต้องรับผิดชอบ ในการปฏิบัติงานด้านดิจิทัลของทุกหน่วยงานซึ่งเป็นต้นทางส าคัญในการปรับเปลี่ยนองค์กรให้ก้าวสู่ รัฐบาลดิจิทัล องค์กรภาครัฐต้องมีการปรับตัวเข้าสู่รัฐบาลดิจิทัลและพัฒนาระบบการท างาน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ดี ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ภาคประชาชนควบคู่กันไปด้วย ภายในกรอบวาระระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดิน ๔ ปีของรัฐบาล จะต้องด าเนินการ ในเรื่องดังกล่าวให้ส าเร็จเป็นรูปธรรม วันจันทร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ โดยหารือในประเด็น ดังต่อไปนี้ ๑) แนวทางการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล ๒) แนวทางการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ ภาครัฐด้วยระบบดิจิทัล และ ๓) แพลตฟอร์มกลางภาครัฐ “One Country One Platform” จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน คณะกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะในประเด็น ดังกล่าวข้างต้น ส าหรับการด าเนินการขับเคลื่อนรัฐบาลเพื่อให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล รัฐบาลควร ให้ความส าคัญในการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) การพัฒนาแอปพลิชัน ทางรัฐ Citizen Portal Biz Portal การน าแอปพลิเคชัน ThaID มาใช้ โดยเห็นว่าควรผลักดันให้ ประชาชนทุกคนมี ID เพื่อรวมระบบการท างานต่าง ๆ ทั้งข้อมูลด้านสุขภาพ ศึกษา อาชีพ และอื่น ๆ รวมไว้ด้วยกันในแอปพลิเคชันเดียว เพื่อที่จะได้ลดปัญหาการซ้ าซ้อนของระบบต่าง ๆ รวมทั้งให้สามารถ เชื่อมโยงกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน และพัฒนาเป็นศูนย์ราชการเบ็ดเสร็จออนไลน์ ตามแนวคิดประเทศเสมือน ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถเข้าไปใช้บริการ ในแอปพลิเคชันดังกล่าวได้สะดวก และรวดเร็ว ส าหรับการเดินทางลงพื้นที่ของคณะกรรมาธิการ ครั้งนี้เพื่อให้การด าเนินงาน ตามแผนงานดังกล่าวข้างต้นสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่รัฐธรรมนูญก าหนดไว้ คณะกรรมาธิการ จึงได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) การด าเนินการการให้บริการประชาชนในประเด็นการพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service: OSS) และการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่ แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ รวมทั้งรับฟังข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการด าเนินงาน ดังกล่าว ระหว่างวันพุธที่ ๓๑ มกราคม ถึงวันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ณ จังหวัดสกลนคร และจังหวัดมุกดาหาร โดยมีคณะกรรมาธิการเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ๑. พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒. พลเอก มารุต ปัชโชตะสิงห์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ๓. นายศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ ๔. พลเอก บุญธรรม โอริส ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๕. ว่าที่ร้อยตรี เชิดศักดิ์ จ าปาเทศ กรรมาธิการ ๖. นายปัญญา งานเลิศ กรรมาธิการ ๗. นางรัตนจันทร์ ศีลสัมฤทธิ์ ที่ปรึกษาประจ าคณะกรรมาธิการ ๘. นางรัชนีกร ไพศาลทักษิน เลขานุการประจ าคณะกรรมาธิการ


๗ ๒. จังหวัดมุกดาหาร วันพฤหัสบดีที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมแก้วกินรี ชั้น ๕ ศาลากลางจังหวัด มุกดาหาร โดยมีนายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยนายบุญเรือง เมฆฉิม รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมประชุม กับคณะกรรมาธิการ สรุปข้อมูลได้ดังนี้ ๒.๑ สรุปข้อมูลการด าเนินการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Provinces: HPP) ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ – 2566 จังหวัดมุกดาหารได้มอบหมายให้ส่วนราชการรับผิดชอบขับเคลื่อนข้อเสนอแนวทางการ ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการในจังหวัดให้มีการท างานที่มีผลสัมฤทธิ์สูง ประจ าปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ - 2566 และได้จัดท ารายงานผลการด าเนินการตามข้อเสนอฯ รายงานส านักงาน ก.พ.ร. ทราบ และคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการส่งเสริม และพัฒนาระบบการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นซึ่งมีผลการด าเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ ประเด็นนโยบายส าคัญ (Agenda) เรื่องที่ ๑ การยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดจังหวัด มุกดาหาร (ระยะที่ ๑) จังหวัดมุกดาหารได้ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัด ที่มีผลสัมฤทธิ์สูงในประเด็นนโยบายเกี่ยวกับการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยง ตลาดจังหวัดมุกดาหาร โดยอาศัยรูปแบบการพัฒนานวัตกรรมภาครัฐ (Public Innovation) ที่มีการบูรณาการ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา มากกว่า ๑0 หน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อน การยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ เช่น ศูนย์ดิจิทัลชุมชนที่เกิดจากการบูรณาการหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องมาให้บริการภาครัฐแบบครบวงจรเพื่ออ านวยความสะดวกแก่กลุ่มเกษตรกร และการจัดหน่วย บริการเคลื่อนที่ (คลินิกเกษตร) ที่มีการบูรณาการนักวิชาการแต่ละสาขาทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง และ พัฒนาที่ดินให้บริการทางวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เกษตรกร เป็นต้น รวมถึงการน าระบบ ดิจิทัลมาใช้ในการท างาน (Digital Government) เพื่อสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์ให้กับ ผู้ประกอบการ เช่น เพจ Shop Moc Muk เพจผูกรักข้าวอินทรีย์มุกดาหาร และกลุ่มตลาดมุกดาหาร ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ – ๒๐ เรื่องที่ ๒ การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบมีส่วนร่วมของจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหารได้ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัดที่มี ผลสัมฤทธิ์สูงในประเด็นนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบมีส่วนร่วม โดยอาศัยรูปแบบ การน าระบบดิจิทัลมาใช้ในการท างานและการบริการประชาชน (Digital Government) และการ พัฒนาไปสู่ราชการระบบเปิด (Open Government) เช่น การจัดท าข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเกิดจาก การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทางเว็บไซต์จังหวัด เว็บไซต์ ส านักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดมุกดาหาร การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ทั้งในรูปแบบ คลิปวีดีโอและเอกสารประชาสัมพันธ์รวมไปถึงการใช้ประโยชน์ของแอพพลิเคชัน Line เป็นช่องทางใน การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว เช่น ชมรมเครือข่ายด้านการท่องเที่ยว สมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ชมรมผู้ประกอบการโรงแรม รวมไปถึงช่องทางออนไลน์อื่น ๆ


๘ นอกจากนี้ มีการจัดท าระบบการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ https://mukdahan.mots.go.th เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการก าหนด นโยบายรัฐ หรือการใช้กลไกกรมการจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือกลไกประชารัฐ การแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐและการบริหารราชการ เรื่องที่ ๓ การบริหารจัดการเชื้อเพลิง "ชิงเก็บ ลดเผา" ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ อุทยาน แห่งชาติ เขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าชุมชน พื้นที่สวนป่า และชุมชน โดยรอบ จ านวน ๒๘ หมู่บ้าน/ชุมชน จังหวัดมุกดาหารได้มีการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัด ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ป่าชุมชน พื้นที่สวนป่า และชุมชน ๒๘ ชุมชน โดยมีการน ารูปแบบการพัฒนานวัตกรรมของรัฐ (Pubic Innovation) มาใช้ ในการขับเคลื่อนด้วยการรับฟังและเข้าถึงความต้องการของภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่เพื่อน าไปสู่ การพัฒนาและปรับปรุงการท างานและการบริการใหม่ ๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาหรือเพิ่มประสิทธิภาพ การท างานของจังหวัดในประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ การขับเคลื่อนประเด็นนโยบายส าคัญดังกล่าว สามารถด าเนินการได้ครบถ้วนตามแผนงานที่ก าหนด ตลอดจนบรรลุเป้าหมายตามตัวชี้วัดที่ก าหนด เรื่องที่ ๔ โครงการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - ๑๙ แบบบูรณาการ จังหวัดมุกดาหารได้ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการจังหวัด ที่ในประเด็นนโยบายการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ได้เป็นอย่างดียิ่ง โดยอาศัยการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชา สังคม และสถาบันการศึกษาผ่านรูปแบบคณะท างานตามโครงสร้าง EOC กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยมีการศูนย์EOC ในอ าเภอทุกอ าเภอ เพื่อให้สามารถตอบโต้สถานการณ์และเผยแพร่ข้อมูล สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาการท างานและการบริการ เพื่อตอบสนองประชาชน ในสถานการณ์แพร่ระบาด เช่น การพัฒนาระบบศูนย์พักคอยที่เชื่อมต่อระบบ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (C) ในการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่การให้ค าปรึกษาด้วยระบบ Hotline ระบบ เฝ้าระวังและคัดกรองผู้ป่วย ระบบส่งต่อ และระบบดูแลรักษา ตลอดจนการน าเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวก ในการให้บริการ เช่น การลงทะเบียนเข้าพื้นที่ผ่านโปรแกรม Data Muk การลงทะเบียนเข้ารับการรักษา ผ่านแอพพลิเคชัน "มุกแท้" เป็นต้น เรื่องที่ ๕ การด าเนินงานของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหารได้มีการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการในจังหวัด ให้มีการท างานที่มีผลสัมฤทธิ์สูง ในประเด็นการด าเนินงานของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ในฐานะ ฝ่ายเลขานุการส านักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจ าจังหวัดมุกดาหาร โดยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ส านักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้จัดงานวันคุ้มครองผู้บริโภคไทย 2566 และได้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่บุคคล หน่วยงาน/องค์กร ที่ท าคุณประโยชน์ด้าน การคุ้มครองผู้บริโภค โดยพิจารณาให้จังหวัดมุกดาหารเป็นหน่วยงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในส่วน ภูมิภาคที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยมีแนวทางการปฏิบัติงานและผลด าเนินงานของศูนย์ด ารงธรรม จังหวัดมุกดาหาร ดังนี้


๙ ๑. ช ่องทางในการรับเรื ่องร้องเรียนร้องทุกข์ เพื ่ออ านวยความสะดวก แก่ประชาชนในการขอรับบริการ 1.1 มารับบริการด้วยตนเอง (Walk in) (ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ณ ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร ชั้น 1 1.2 หมายเลขโทรศัพท์ 042-614777 สายด่วน 1567 1.3 เว็บไซต์จังหวัดมุกดาหาร (https://m.mukdahan.go.th) 1.4 เฟซบุ๊กศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ๒. แนวปฏิบัติในการแจ้งผลด าเนินการให้ผู้ร้องทราบ จังหวัดมุกดาหารวางระบบ การแจ้งผลด าเนินการให้ผู้ร้องทราบ ดังนี้ ๒.1 แจ้งผลด าเนินการในชั้นต้นให้ผู้ร้องได้ทราบว่าจังหวัดได้มีการด าเนินการ ต่อเรื่องที่รับแจ้งเป็นเบื้องต้นแล้ว ๒.2 กรณีเรื่องยังไม่เป็นที่ยุติในระยะเวลาอันสมควร จะแจ้งผลคืบหน้าให้ผู้ร้องทราบ เป็นระยะๆ จนกว่าจะได้ข้อยุติเป็นประการใด ๒.3 แจ้งผลให้ผู้ร้องทราบ เมื่อได้ข้อยุติ/ข้อสิ้นสุดในการด าเนินการ ๓. สถิติผลการด าเนินการต่อเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ที่เข้าสู่สารบบด าเนินการของ ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ๓.1 นับแต่เปิดศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร (18 กรกฎาคม 2557) จนถึงสิ้นปงบประมาณ พ.ศ. 2566 (30 กันยายน 2566) - มีเรื่องเข้าสู่สารบบด าเนินการ รวม 3,073 เรื่อง - ด าเนินการจนได้ข้อยุติตามแนวปฏิบัติที่ส่วนกลาง (นร./มท.) ก าหนดไว จ านวน 3,070 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 99.90 -อยู่ระหว่างด าเนินการ จ านวน 3 เรื่อง (โดยทั้ง 4 เรื่อง เป็นเรื่องที่ได้รับแจง ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566) ๓.2 ในห้วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (1 ตุลาคม 2566 - 19 มกราคม 2567) - มีเรื่องเข้าสู่สาระบบด าเนินการ รวม 35 เรื่อง - ด าเนินการจนได้ข้อยุติตามแนวปฏิบัติที่ส่วนกลาง (นร./มท.) ก าหนดไว จ านวน 15 เรื่องคิดเป็นร้อยละ 42.86 - อยู่ระหว่างด าเนินการ จ านวน 20 เรื่อง ๔. การด าเนินงานของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ในฐานะจุดให้บริการศูนย์ การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพลจังหวัดมุกดาหาร และศูนย์อ านวยการแก้ไขปัญหา หนี้นอกระบบจังหวัดมุกดาหาร ๔.1 ศูนย์การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพลจังหวัดมุกดาหาร - การให้บริการ 0 ราย (ไม่มีประชาชนมาติดต่อขอเข้ารับบริการ) ๔.2 ศูนย์อ านวยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบจังหวัดมุกดาหาร (ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 - วันที่ 19 มกราคม 2567) - ลงทะเบียนหนี้นอกระบบ จ านวน 15 ราย - ให้ค าปรึกษา จ านวน 15 ราย - มูลค่าหนี้รวม จ านวน 1,773,000.- บาท


๑๐ ๕. แนวทางการพัฒนาบุคลากรของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดถือเป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางของจังหวัดที่ท าหน้าที่หลัก ในการให้บริการประชาชนในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการของประชาชน ทั้งในด้านการรับแจ้ง ข้อร้องเรียน - ร้องทุกข์รับแจ้งเบาะแส ขอรับค าปรึกษา/ให้ข้อคิดเห็น/ให้ข้อเสนอแนะกรณีงาน ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม (เว้นในชั้นศาล) รวมถึงเป็นหน่วยงานที่บริหารจัดการต่อนโยบายส าคัญ นโยบายพิเศษ ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะพิจารณามอบหมายให้เป็นหน่วยด าเนินการ เนื่องจากเป็นหนึ่ง ในหน่วยงานกลางของจังหวัดที่ประสานการปฏิบัติงานกับทุกส่วนราชการที่มีที่ตั้งหน่วยงานในพื้นที่ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงส่งผลให้ศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดเป็นหน่วยงานที่มีขอบเขตภารกิจหน้าที่กว้างขวาง ที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการให้การบริการประชาชนเป็นไปด้วยความสัมฤทธิ์ผล และเป็นอีกหนึ่งส่วน ที่ยึดมั่นในการให้บริการประชาชนให้เป็นที่พึงพอใจสูงสุดด้วยพันธกิจต่าง ๆ “ศูนย์ด ารงธรรม” จึงต้องมีการพัฒนา ในด้านต่างที่ส าคัญอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ๕.1 การพัฒนาบุคลากร (1) ด้านมนุษย์สัมพันธ์/การสื่อสารองค์กร (2) ทักษะด้านจิตวิทยาและหลักการการเจรจาโดยสันติ (3) ด้านองค์ความรูทั้งในด้านแนวนโยบายรัฐ ข้อระเบียบ/กฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน (4) การเป็นบุคลากรที่ดีของภาครัฐ (5) การน าข้อคิดเห็นที่คาดหวังของประชาชนต่อศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด มุกดาหารมาเป็นหลักประกอบการพิจารณาด าเนินการในด้านการพัฒนาบุคลากรให้สอดรับต่อ ความมุ่งหวังของประชาชนให้มากที่สุด ๕.2 การวางระบบเพื่อเชื่อมโยงการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด มุกดาหารกับทุกส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน/ประสานงาน โดยยึดถือการ ด าเนินการที่ต้องค านึงถึงมาตรการรักษา ความลับและความปลอดภัยของเรื่องที่เกี่ยวข้อง ๕.3 น าผลที่ได้จากการที่ผู้รับบริการประเมินความพึงพอใจ ด้านการให้บริการผ่าน เครื่องประเมินผลความพึงพอใจ มาเป็นแนวทางในการพัฒนาให้บริการ กรณีที่ประชาชนผู้รับบริการ ประเมินความพึงพอใจต่ า โดยจะท าการสอบถาม สาเหตุที่ไม่พึงพอใจ ส าหรับน ามาแกไขปรับปรุงการ พัฒนาบุคลากร ดานองค์กรความรูและพฤติกรรมการให้บริการ ๕.4 การปรับปรุงสถานที่เพื่อใหพรอมอ านวยความสะดวกและเหมาะสม ต่อการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความลับของผู้รองเมื่อเขาใชบริการ (Walk in) ๖. ปัญหาอุปสรรค ๖.1 ข้อมูลตามค าร้องฯ ที่ได้แจ้งต่อศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร มีข้อมูล /ข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ไม่เพียงพอต่อการวินิจฉัยเพื่อประกอบการด าเนินการ ๖.2 มีการแจ้งค าร้องฯ ที่เป็นการขอความช่วยเหลือต่อศูนย์ด ารงธรรมจังหวัด มุกดาหาร โดยเป็นกรณีที่ไม่สามารถด าเนินการให้ได้ อันเนื่องมาจากขัดต่อระเบียบ/ข้อกฎหมาย ๖.3 กรณีที่เป็นค าร้องที่ต้องการให้ส่วนราชการด าเนินโครงการในด้านโครงสร้าง พื้นฐาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการด้านแผนงาน/งบประมาณ และการรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนในพื้นที่เป็นกรณีที่จ าเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการด าเนินงานแต่ละขั้นตอนพอสมควร


๑๑ ซึ่งอาจท าให้ผู้ร้องเข้าใจว่าการด าเนินการที่สนองตอบต่อความต้องการของผู้ร้องเป็นไปด้วยความล่าช้า แต่โดยภาพรวมผู้ร้องมีความเข้าใจในขั้นตอนการด าเนินการดังกล่าว ๗. แนวทางการแกไขปัญหา ๗.1 ประสานเป็นการภายในกับผู้ร้อง/ผู้แจ้งข้อมูล เพื่อสอบถามรายละเอียดของ เรื่องร้องเรียน – ร้องทุกข์เพิ่มเติมให้เป็นที่แน่ชัดส าหรับน าข้อมูลมาประกอบการพิจารณาด าเนินการ ของสวนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อด าเนินการ/ให้ความช่วยเหลือ เป็นไปด้วยความรวดเร็วและทันท่วงที ๗.2 ชี้แจง/อธิบาย เพื่อสร้างความเข้าใจในกรณีที่ประเด็นค าร้อง ฯ ของผู้ร้อง ที่หน่วยงานราชการไม่สามารถด าเนินการให้ได้อันเนื่องมาจากขัดต่อระเบียบ/ขอกฎหมาย ๘. ข้อเสนอแนะ -จัดโครงการประชุมสัมมนาระหว่างศูนย์ด ารงธรรมจังหวัดมุกดาหาร ศูนย์ด ารงธรรม อ าเภอ และส่วนราชการ/หน่วยงาน ทุกหน่วย เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการประสานงานเพื่อรับทราบบริบท /อ านาจหน้าที่ของแต่ละส่วนงาน /หน่วยงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการด าเนินงานต่อเรื่องร้องเรียน - ร้องทุกข เพื่อให้เกิดประโยชนสูงสุดประชาชน 2. การด าเนินการให้บริการประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์(e - Service) ในประเด็น การพัฒนาศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหารได้มอบหมายภารกิจให้ส่วนราชการ หน่วยงาน อ าเภอ และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น พิจารณาด าเนินจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service: OSS) ให้บริการ ประชาชนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) เพื่อเชื่อมโยงงานบริการประชาชนด้วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ของส่วนราชการต่างๆ มารวบรวมไว้ ณ จุดเดียว อ านวยความสะดวกในการให้บริการ ประชาชนในพื้นที่ โดยมี OSS ที่ส าคัญและโดดเด่น หรืองานบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One Stop Service: OSS) เพื่ออ านวยความ สะดวกการค้าชายแดนและผ่านแดน ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้ความส าคัญกับการค้าชายแดน โดยให้มีการปรับปรุง แก้ไขขั้นตอนการด าเนินงานที่เป็นอุปสรรค เนื่องจากส่วนราชการที่ให้บริการออก หนังสือส าคัญส าหรับการส่งออก - น าเข้าสินค้าผ่านชายแดนของจังหวัดตั้งอยู่แยกกัน จึงยังไม่ได้มี การให้บริการออกหนังสือส าคัญและการตรวจปล่อยสินค้า ในรูปแบบศูนย์ให้บริการเบ็ดเสร็จ (One stop service : OSS) ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ท าให้การด าเนินการด้านเอกสาร การส่งออกและการตรวจปล่อยสินค้าไม่ได้รับความสะดวกและมีความล่าช้า ดังนั้น เพื่ออ านวยความสะดวกการค้าชายแดน/ผ่านแดนและผลักดันการส่งออกของไทย ให้เติบโต เพิ่มประสิทธิภาพในการออกหนังสือส าคัญและการตรวจปล่อยสินค้าของหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้อง จังหวัดมุกดาหารจึงจัดตั้งศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One Stop Service: OSS) เพื่ออ านวยความสะดวกการค้าชายแดนและผ่านแดน โดยมีเป้าหมายเพื่ออ านวยความสะดวกแก่ ผู้ประกอบการน าเข้า - ส่งออกในการให้บริการออกหนังสือส าคัญการส่งออก-น าเข้า ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการด าเนินพิธีการ และเพื่อแก้ไขปัญหาของภาคเอกชนที่เห็นว่าจังหวัดที่มีการค้ากับ ชายแดน/ผ่านแดนหลายจังหวัด เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 - 18 มกราคม 2567 โดยมีการบูรณาการ การท างานของภาคส่วนต่าง ๆ ในส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่ร่วมกันด าเนินการให้บริการ แก่ประชาชน ดังนี้


๑๒ 1) ส านักงานพาณิชย์จังหวัดมุกดาหาร - บริการออกหนังสือรับรองถิ่นก าเนิดสินค้า จ านวน 24 ฉบับ มูลค่า 31.46 ล้านบาท 2) ด่านศุลกากรมุกดหาร -ตรวจปล่อยสินค้าตามใบขนสินค้า ที่ผู้ประกอบการมายื่นปฏิบัติพิธีการศุลกากร รวมถึง ตรวจสินค้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีสินค้าประเภทนั้นต้องขออนุญาตในการน าเข้าหรือส่งออก 3) ด่านตรวจพืชมุกดาหาร - บริการออกใบรับรองสุขอนามัยพืช จ านวน 429 ฉบับ มูลค่า 287.673 ล้านบาท - หนังสืออนุญาตให้น าสิ่งต้องห้าม สิ่งก ากัด และสิ่งไม่ต้องห้ามออกไปจากด่านตรวจพืช (พ.ก.6) จ านวน 194 ฉบับ มูลค่า 209.832 ล้านบาท - แจ้งน าผ่านสินค้าพืช จ านวน 5 ฉบับ มูลค่า 10.945 ล้านบาท - แจ้งน าเข้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร จ านวน 1 ฉบับ มูลค่า 5.486 ล้านบาท - แจ้งส่งออกปัจจัยการผลิตทางการเกษตร จ านวน 32 ฉบับ มูลค่า 50.717 ล้านบาท 4) ด่านตรวจประมงมุกดาหาร - ใบแจ้งด าเนินการส่งออกสัตว์น้ าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ า จ านวน 19 ฉบับ มูลค่า 9.230 ล้านบาท 5) ด่านป่าไม้มุกดาหาร - บริการตรวจปล่อยสินค้าไม้ น าเข้า - ส่งออก บริการออกใบเบิกทางน าไม้ของป่า เคลื่อนที่ (ไม่มีการน าเข้าส่งออก) 6) ด่านกักกันสัตว์มุกดาหาร -ออกใบอนุญาตส่งออกสินค้าปศุสัตว์ จ านวน ๕๗ ฉบับ (เชื่อมโยงระบบ NSW ของศุลกากร) - ตรวจปล่อยรถบรรทุกสินค้าปศุสัตว์ จ านวน ๗๙ คัน - ผู้ประกอบการมารับบริการ จ านวน ๙ ราย 7) ด่านตรวจสัตว์ป่ามุกดาหาร -ตรวจปล่อยการน าเข้า-ส่งออก น าผ่าน สัตว์ป่าที่ได้รับใบอนุญาต/ (ไม่มีการน าเข้า -ส่งออก) 8) ส านักงานสรรพสามิตพื้นที่มุกดาหาร - ให้บริการและให้ค าปรึกษาเกี่ยวกับการน าเข้า และส่งออกสินค้าในพิกัดอัตราภาษี สรรพสามิต เช่น สุรา ยาสูบ แบตเตอรี่ และอื่นๆ จ านวนทั้งสิ้น 338 คัน 9) ด่านอาหารและยามุกดาหาร - ตรวจสอบการน าเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ - ประเภทเครื่องมือแพทย์ จ านวน 6 ฉบับ มูลค่า 21.422ล้านบาท - ประเภทเครื่องส าอาง จ านวน 6 ฉบับ มูลค่า 2.266 ล้านบาท


Click to View FlipBook Version