The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sriparat, 2023-07-25 09:59:30

สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร)

สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร)

Keywords: สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร),พระธรรมวชิรสิทธาจารย์,ละเอียด สุทนฺตมหาเถร

(50) คนขยัน ไม่ชอบการงานที่ค้างคา ชอบความสะอาด ความเป็นระเบียบ เรียบร้อย บวชเทิิดทููนพระคุุณแม่่ เมื่ ่� อหลวงพ่่ออายุุได้้ ๒๐ ปีี เพื่ ่� อไม่่ให้้เส้้นทางชีีวิิตทางโลกมา ขััดขวางเส้้นทางชีีวิิตในทางธรรมของหลวงพ่่อ โยมแม่่จึึงขอร้้องอ้้อนวอน ให้้หลวงพ่่อบวชในปีีนั้้�น ด้้วยเหตุุที่่�หลวงพ่่อรัักและไม่่เคยขััดใจโยมแม่่ จึงยอมบวชตามที่โยมแม่ต้องการ หลวงพ่ออุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๐ วัด คลองวาฬ ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดย มีอดีตเจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ หลวงพ่อหวล สุขิโต เป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะนั้นหลวงพ่อหวลมีสมณศักดิ์เป็นพระครูศรัทธาโศภิต และเป็น เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์และพระ อนุสาวนาจารย์ คือ พระเตี้ยกับพระสมุห์ขจร วัดคลองวาฬ เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็มีกิจวัตรหน้าที่พิเศษ คือปฏิบัติรับใช้ พระอุปัชฌาย์ ทำกิจวัตรหน้าที่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง ไม่เป็น ที่ตำหนิติเตียน หรือถูกดุด่าว่ากล่าวเลย หลวงพ่อหวล สุขิโต ผู้เป็น พระอุปัชฌาย์จึงเพิ่มคำเรียกชื่อหลวงพ่อว่า ละเอียด ต่อมาหลวงพ่อก็ตัดสนิใจไม่สึกตังแต้พรร่ษแรก เพราะมีศรัทธาและ ปฏิปทาแน่วแน่ในรมผ้า ่กาสาวพัตร์ตังแต้ ยังไม ่ ไ่ด้พรรษา ตังใ้จครองตนให้ อยู่ในเพศบรรพชิต จำพรรษาและอุทิศตนให้กับวัดคลองวาฬ ซึ่งหลวงพ่อ เลาเหตุผลว่า ่ขณะทีเรา่อยเู่ปน็พระนี้สามารถที่จะทำประโยชน์ไดก้ว้างขวาง


(51) ช่่วยเหลืือแบ่่งเบาภาระสมภาร ด้วยความมุ่งมั่นในสมณกิจ ศาสนกิจ ดูแลพระภิกษุสามเณร และสงเคราะห์ญาติโยมที่มีศรัทธาต่อวัดคลองวาฬ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงพ่อหวลก็ได้แตงตั ่ งให้ ้ดำรงตำแหน่งฐานานกุ รม(ใน พระสุเมธีวรคุณ) เป็น พระสมุห์ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ (ขณะนั้นวัด คลองวาฬยังไม่ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวง) และเป็นพระ กรรมวาจาจารย์ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็น พระครูสังฆรักษ์ ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็น พระครูปลัด ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ปรากฏว่ามีนักเรียนสามารถสอบไล่ได้ เปรียญธรรม ๙ ประโยคคือพระมหาสมบูรณ์ ปญฺญาสมฺปุณฺโณ (ปัจจุบัน คือ พระศรีวราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา กรุงเทพมหานคร) นบัเปน็รูปแรกของสำนกัเรียนวัดคลองวาฬและของจังหวัดประจวบคีรีขนธั ์ กรมการศาสนาจึงได้ยกย่องให้เป็นสำนักเรียนตัวอย่าง ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ เมื่อวัดคลองวาฬได้รับการยกฐานะเป็นพระอาราม หลวง หลวงพ่อก็ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอาราม หลวง รัับภาระเป็็นสมภารวััดคลองวาฬ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๙ วัดคลองวาฬกำลังเจริญรุ่งเรืองด้วยเกียรติคุณ และฐานะพระอารามหลวงไม่ทันถึงปีเลย หลวงพ่อหวล สุขิโต (พระราช-


(52) ธรรมาภรณ์์) ผู้้เป็น็เจ้้าอาวาสพระอารามหลวงวัดคัลองวาฬรููปแรก หลัังจาก อาพาธอย่่างหนัักก็็มรณภาพจากไป เมื่ ่� อวัันที่่� ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๙ ทางคณะสงฆ์์จึึงแต่่งตั้้�งให้้หลวงพ่่อเป็็นผู้้รัักษาการแทนเจ้้าอาวาส วัดคัลองวาฬ หลวงพ่่อและคณะศิษิยานุศิุษย์ิ ์ได้บำ้ ำเพ็็ญกุุศลหลวงพ่่อหวล ครบ ๑๐๐ วัันแล้้ว ก็็ได้้เก็็บสรีีระสัังขารของหลวงพ่่อหวลตั้้�งประดิิษฐานไว้้ ที่่�กุุฏิิเดิิมที่่ท่่ �านอยู่่� และบำำเพ็็ญกุุศลสวดพระอภิธิรรมทุกุเดืือน (วันั พระขึ้้�น ๑๕ ค่ำำ� ) เป็็นประจำำเรื่ ่� อยไป ในปลายปีีนี้้�เองหลวงพ่่อก็็ได้้รัับพระราชทาน ตั้้�งสมณศักดิ์์ ั �เป็น็พระครููสััญญาบััตร ผู้้ช่่วยเจ้้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้้น� โท (จ.ป.ร.) ในราชทิินนามที่่� พระครููปริิยััติิวรานุุยุุต ปีี พ.ศ. ๒๕๓๐ หลวงพ่่อได้้รัับพระบััญชาแต่่งตั้้�งเป็็นเจ้้าอาวาส วัดคัลองวาฬ พระอารามหลวง และได้รั้บัพระบััญชาแต่่งตั้้�งเป็น็พระอุปัุชัฌาย์์ (วิิสามััญ) ในปลายปีีก็็ได้้รัับการเลื่ ่� อนสมณศัักดิ์์�อีีกครั้้�ง เป็็นพระครููสััญญาบััตร เจ้้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้้�นเอก ในราชทิินนามเดิิม (พระครููปริิยััติิ วรานุุยุุต) ปีี พ.ศ.๒๕๓๑ หลวงพ่่อพร้้อมศิิษยานุุศิิษย์์ ได้้ทำำพิิธีีเททองหล่่อ รููปเหมืือนของหลวงพ่่อพระราชธรรมาภรณ์์ (หวล สุุขิิโต) ขนาดเท่่าองค์จริ์ ิง เพื่ ่�อตั้้�งประดิิษฐานเป็็นคุุณานุุสรณ์์และสัักการบููชาและจััดสร้้างรููปหล่่อ ขนาด นิ้้�ว เพื่ ่� อให้้ประชาชนนำำ ไปสัักการบููชา ซึ่่�งได้้รัับความนิิยมจาก ประชาชนเป็็นอย่่างมาก คำำสอนของหลวงพ่่อพระราชธรรมาภรณ์์ (หวล สุุขิิโต) เป็็นที่่�นิิยมนำำ ไปเป็็นคติิธรรมดำำเนิินชีีวิิตตนและตัักเตืือนผู้้อื่่� น เช่่นที่่ท่่ �านบอกแก่่ลููกศิษย์ิ ว่่ ์า ”ซื่อกิ ่� นิไม่่หมดคดกินิไม่่นาน„ บอกแม้ก้ระทั่่�ง คนที่่�มาขอหวย ว่่า ”อยากจนให้้ซื้้�อหวย อยากรวยให้้ซื้้�อจอบ„


(53) เป็นสมภารไม่ทิ้งวัด-เป็นพระไม่ทิ้งสังคม ตลอดระยะเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้กล่าวได้ว่า เพราะหลวงพ่อ มีศรัทธาที่แน่วแน่ต่อบวรพระพุทธศาสนา ประพฤติวัตรปฏิบัติหน้าที่ ครองตนมั่นคงในร่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นเบื้องต้น ประกอบกับฐานะ ความเหมาะสมและการสนับสนุนจากพระผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์ผู้ปกครอง หลวงพ่อจึงได้เป็นเจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ เมื่อหลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสก็ยิ่งมุ่งมั่นในสมณกิจ ศาสนกิจ บูรณะ ซ่อมแซมเสนาสนะและถาวรวัตถุในวัดคลองวาฬเป็นการใหญ่ ซึ่งมี ความยากลำบากมากโดยเฉพาะเรื่องทุนทรัพย์ แต่ก็อดทนและพากเพียร ทำไปจนทำให้ญาติโยมทั้งใกล้ไกลเลื่อมใสศรัทธา ญาติโยมที่มีทุนทรัพย์ ก็ร่วมกันบริจาคทรัพย์ ที่ร่างกายแข็งแรงเมื่อว่างเว้นการงานของตน ก็มา ร่วมกันช่วยทำงานพัฒนาวัด เรื่องราวการพัฒนาวัดคลองวาฬในช่วงนี้ หลวงพ่อเองเคยเล่าว่า ญาติโยมเขาศรัทธาเลื่อมใสหลวงพ่อ เขาเห็น หลวงพ่อทำจริง หลวงพ่อบอกขออะไร ญาติโยมเขาก็ให้ เพราะทุกบาท ทุกสตางค์ที่ญาติโยมให้มา หลวงพ่อจะเอาไปแปรสภาพเป็นเหล็ก เป็นหิน เป็นปูน เป็นทรายในการก่อสร้างพัฒนาวัด หรือแปรสภาพไปเป็นข้าวสาร เสื้อผ้าชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน-การดนตรี-การกีฬา ทุนการศึกษา ให้กบัเดกน็กัเรียนและเยาวชนทียา่กจนแตตั่ งใ้จใฝด่ ีต้องการเรียนหนังสือ เป็นลูกไม่ทิ้งแม่-เป็นหลวงพ่อไม่ทิ้งลูกศิษย์ นอกจากนั้น คุณธรรมที่เด่นชัดประการหนึ่งของหลวงพ่อในฐานะ เป็นลูก คือความกตัญญูกตเวทีต่อโยมแม่ หลวงพ่อจะดูแลเอาใจใส่อยู่


(54) เสมอถงแม้ว ึา่จะมีภารกจิหน้าทียุ่งมา่กแค่ไหนก็ตาม จนในที่สดุต้องขอร้อง ให้โยมแม่มาอยู่ที่วัด เพื่อหลวงพ่อจะได้ทำหน้าที่ของลูกได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหลวงพ่อก็ให้เหตุผลว่า เป็นพระก็สามารถที่จะเอาโยมแม่มาเลี้ยงได้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุเลี้ยงโยมพ่อโยมแม่ได้ อาบน้ำ อาบท่า บีบนวด เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้โยมแม่ก็ได้ ให้โยมพ่อก็ได้ ทำให้กับ โยมแมโยมพ ่ ่อได้หมด และหลวงพ่อเองกอบอ็ ่นุใจเมื่อมีโยมแมมา่อยใู่ กล้ๆ เมื่อมีความเบาใจในหน้าที่ของความเป็นลูก หลวงพ่อก็ทุ่มเทเต็มที่ ในการบริหารและจดกัารการศึกษาของพระภิกษสุามเณรและนกัเรียนธรรม ศึกษาไดอ้ยางมี ่ ประสิทธิภาพ จนทำให้นกัเรียนในสำนกั ในแตละ่ ปสอบี ได้ เป็นจำนวนมาก กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศยกย่อง เป็นสำนักเรียนตัวอย่างดีเด่นประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๑ หลวงพ่อสนับสนุนและบริหารจัดการการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้ง แผนกธรรมและแผนกบาลีอย่างจริงจัง มีนักเรียนในสำนักทั้งนักธรรม และบาลี รวมทั้งธรรมศึกษาเป็นจำนวนมาก และสอบได้เป็นจำนวนมาก ติดต่อกนัหลายปี เปน็ผลงานด้านการศึกษาที่คณะกรรมการพิจารณาตัดสนิ ให้เป็นบุคคลที่มีผลงานส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมยอดเยี่ยม จึง ได้รับพระราชทานรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประเภท ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ นอกจากพัฒนาวัดและพัฒนาการศึกษาของภิกษุสามเณรแล้ว หลวงพ่อยังช่วยเหลือสังคม บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม อบรม สั่งสอนประชาชน สนับสนุนให้ทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน บริจาค


(55) ข้าวสารอาหารแห้ง สนบสนันุเสื้อผ้า ชดนุกัเรียนอปกุรณ์การเรียนการสอน การกีีฬา การดนตรีี สร้้างอาคาร โรงอาหารให้้แก่่สถานศึึกษาและโรงเรีียน จึึงได้้รัับเกีียรติิบััตรเพื่ ่�อประกาศเกีียรติิคุุณจากหน่่วยงานราชการ สถานศึึกษาและโรงเรีียนต่่างๆ อย่่างมากมาย โดยหลวงพ่่อจะให้้โอวาท ๖ ข้้อ แก่่เด็็กเยาวชนอยู่่�เสมอๆ ว่่า ”(๑) ขยัันไปโรงเรีียน (๒) ขยัันเรีียนหนัังสืือ (๓) นับถืือคุ ัุณครูู (๔) กตััญญููต่่อพ่่อแม่่ (๕) ไม่่แยแสยาเสพติดิ (๖) คบมิิตร ที่่�ดีี„ ต่่อมา ด้้วยผลงานการพััฒนาวััดคลองวาฬให้้มีีความเจริิญทางด้้าน เสนาสนะและถาวรวััตถุุ ก่่อสร้้างพระอุุโบสถหลัังใหม่่ พััฒนาสำำนัักเรีียน วัดคัลองวาฬรุ่่�งเรื่อ ่� งมีีชื่่�อเสีียง จัดกัารศึึกษานักธัรรมและบาลีีให้้แก่่พระภิกษุิุ สามเณรเป็นอย่่ ็างดีี สงเคราะห์ช่่ ์วยเหลืือสัังคม ในปีี พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงพ่่อ ก็็ได้้รัับสมณศัักดิ์์�เป็็นพระราชาคณะ ชั้้�นสามััญยกที่่� พระปริิยััติิวรากร เมื่อหลวงพ่อเป็นพระราชาคณะ ในฐานะความเป็นเจ้าคุณก็เพิ่ม โอกาสงานทางสังคมมากยิ่งขึ้น หลวงพ่อก็ยิ่งประพฤติตนให้สมฐานะ คือ ช่วยเหลือสังคมยิง่ ขึ้นบำเพ็ญตนเปนป็ ระโยชน์ต่อสังคมยิง่ ขึ้นซึ่งสามารถ เปน็แบบอยางให้ผ ่ อื่นป ู้ ระพฤติตามได้ จนกระทังห่น่วยงานราชการ สมาคม ชมรม เป็นจำนวนมากมาย ได้มอบถวายเข็มเชิดชูเกียรติเพื่อยกย่อง หลวงพ่อ ในฐานะเปนบ็คคุลผบำู้ เพ็ญประโยชน์แก่สังคม เปนคนด็ศีรีสังคม


(56) รับภาระเป็นเจ้าคณะจังหวัด ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หลวงพ่อได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นรองเจ้าคณะ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ต่่อมาปีี พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่ ่� อวััดคลองวาฬมีีความสมบููรณ์์พร้้อม ในด้้านวััตถุุยิ่่�งขึ้้�น พระอุุโบสถหลัังใหม่่ก่่อสร้้างสำำเร็็จ สร้้างพระวิิหาร ประดิิษฐานหลวงพ่่อศัักดิ์์�สิิทธิ์์� และหลวงพ่่อได้้ปฏิิบััติิภารกิิจหน้้าที่่�การ ปกครองคณะสงฆ์์ในฐานะเจ้้าคณะจัังหวััดประจวบคีีรีีขัันธ์์เป็็นอย่่างดีี หลวงพ่่อก็็ได้้รัับพระราชทานเลื่ ่� อนสมณศัักดิ์์�เป็็นพระราชาคณะชั้้�นราช ในราชทิินนามที่่� พระราชวิิสุุทธิิคุุณ หลวงพ่่อพััฒนาพื้้�นที่่�และเสนาสนะของวััดให้้สะอาดเป็็นระเบีียบ ร่่มรื่ ่� นด้้วยต้้นไม้้นานาพัันธุ์์ส่่งเสริิมพััฒนาวััดให้้เป็็นอุุทยานการศึึกษา แหล่่งเรีียนรู้้ของชุุมชน ให้้การสนัับสนุุนหน่่วยงานราชการและเอกชน ในการใช้้อาคารสถานที่่�ของวััดเพื่ ่� อทำำกิิจกรรม ประชุุม อบรม สััมมนา ให้้ความรู้้แก่่ประชาชน นอกจากนั้้�นหลวงพ่่อยัังได้้จััดทำำกิิจกรรมหลาย อย่่างในวัันสำำคััญทางพระพุุทธศาสนา เพื่ ่�อส่่งเสริิมความสามััคคีีของ ชุุมชน จััดกิิจกรรมในวัันสำำคััญของชาติิและบ้้านเมืือง เพื่ ่� อให้้ประชาชน ได้้มีีโอกาสแสดงออกถึึงความจงรัักภัักดีี ที่่�มีีต่่อชาติิและสถาบัันพระมหากษััตริิย์์


(57) ไม่ลืมพระคุณอุปัชฌาย์อาจารย์ หากนับวันเวลาตั้งแต่หลวงพ่อพระราชธรรมาภรณ์(หวล สุขิโต) อดีีตเจ้้าอาวาสวััดคลองวาฬรููปที่่� ๙ เกิิด (๑๗ สิิงหาคม ๒๔๖๐) จนถึึงปีี พ.ศ.๒๕๕๐ ก็็เป็น็ระยะเวลา ๙๐ ปีี ดัังนั้้น� ในวันที่่ ั � ๑๗ สิิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ หลวงพ่่อพร้้อมคณะศิิษยานุุศิิษย์์ได้้จััดงาน ๙๐ ปีีชาตกาลพระราชธรรมาภรณ์์ (หวล สุุขิิโต) บำำเพ็็ญกุุศลอุทิุศิถวายเป็นอ็าจริิยบููชาแด่่พระเดช พระคุุณท่่าน เป็นพระสร้างสรรค์สังคม ต่่อมาเมื่ ่� อมีีผู้้เสนอชื่่�อและผลงานของหลวงพ่่อให้้สภามหาวิิทยาลัั ยราชภััฏเพชรบุุรีีได้้พิิจารณา สภาฯ มีีมติิมอบถวายปริิญญาศิิลปศาสตร - มหาบััณฑิิตกิิตติิมศัักดิ์์� สาขาวิิชาการพััฒนาชุุมชน ในปีีการศึึกษา ๒๕๕๐ มหาเถรสมาคม มีมติ มส. ที่ ๒/๒๕๕๑ ตั้งวัดคลองวาฬเป็นสำนัก ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แห่งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๓๐ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลวงพ่อจึงได้จัดและส่งเสริมกิจกรรมการอบรม - การปฏิบัติธรรม - การเข้าค่ายคุณธรรมจริยธรรมทั้งสาธุชนทั่วไปและ นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมด้านศาสนพิธีกร เช่น โครงการ พิธกีรรุ่นเยาว์ ดีเจวิถีพุทธการบรรยายธรรม เช่น โครงการฝกึเทศนาธรรม การฟังธรรม เช่น โครงการบวชชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมฯ การใช้จ่ายในกิจ กรรรมจะเน้นประหยัดตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทำให้มีประชาชน เยาวชนนกัเรียนนกศึกษ ัา ครูข้าราชการอื่นๆ มาเข้าค่ายอบรมและปฏิบัติ


(58) ธรรม เป็นประจำแทบทุกเดือน จึงได้รับการพิจารณายกย่องให้เปนสำน ็ ัก ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดีเด่นประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นพระกตัญญูกตเวที ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ นเี้อง หลวงพ่อพร้อมศษิยานศุษิย์ทัง้บรรพชิตและ คฤหัสถ์ ไดจ้ดังานพระราชทานเพลิงศพพระเดชพระคุณพระราชธรรมาภรณ์ (หวล สุขิโต) เมื่อวันที่ ๑๐ - ๑๑ - ๑๒ เมษายน ๒๕๕๒ อย่างสมเกียรติ และสมเจตนารมณ์ที่หลวงพ่อตั้งใจไว้ว่า จะต้องจัดทำทุกสิ่งทุกอย่างใน การพระราชทานเพลิงศพพระอุปัชฌาย์อย่างดีที่สุด ให้สมกับคุณูปการ คุณงามความดีที่พระอุปัชฌาย์ได้มีต่อวัดคลองวาฬ และให้สมกับอุปการ คุณที่พระอุปัชฌาย์มีต่อท่านอย่างยิ่งใหญ่ไพศาล ดังนั้น ด้วยผลงานพัฒนาวัด สนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี ปฏิบัติศาสนกิจในฐานะเจ้าคณะจังหวัด ช่่วยเหลืือหน่่วยงานทั้้�งภาครััฐและเอกชน สัังคมสงเคราะห์์ช่่วยเหลืือผู้้อื่่� น หลวงพ่่อก็็ได้รั้บกัารเลื่อนส ่� มณศักดิ์์ ั �เป็น็พระราชาคณะ ชั้้น�เทพ ที่่� พระเทพสิิทธิิวิิมล ในปลายปีี พ.ศ. ๒๕๕๒ นอกจากนั้นหน่วยงานทังภา้ครัฐและเอกชนยังได้มอบโลเ่กียรติคุณ ต่างๆ เช่นคนดีศรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้บำเพ็ญคุณประโยชน์แก่กรม อาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งอนุโมทนาบัตร หนังสือชมเชย อกีมากมาย ทีแ่สดงความขอบคุณและประกาศเกียรติคุณ ซึ่งเปน็ที่ปรากฏ แก่บุคคลทั่วไป


(59) ด้้วยมโนธรรมที่่�เต็็มเปี่่�ยมด้้วยกตััญญููกตเวทิิตาธรรมว่่า เพราะมีี อดีีตเจ้้าอาวาสหลายรููปยอมเสีียสละอุุทิิศตนให้้กัับพระศาสนา ทำำหน้้าที่่�ทั้้�ง จรรโลงและสร้้างสรรค์์ความเจริิญรุ่่�งเรืืองให้้แก่่วััดคลองวาฬ วััดคลองวาฬ จึึงได้้ตั้้�งหลัักปัักฐานสืืบทอดกัันมาจนถึึงปััจจุุบััน และถึึงแม้้ว่่าท่่านปููชนีียบุุคคลเหล่่านั้้�นได้้มรณภาพจากไปเป็็นเวลานานแล้้วก็็ตาม แต่่ผลงานและ ชื่่�อเสีียงของท่่านเหล่่านั้้นยั�ังคงอยู่่�ตลอดมา และจักคังอยู่่�เป็น็เกีียรติปิระวัติัิ แก่่วััดคลองวาฬตราบนานเท่่านานดัังนั้้�น เพื่ ่�อประกาศคุุณงามความดีีของ อดีีตเจ้้าอาวาสวัดคัลองวาฬ ที่่�ยอมเสีียสละอุทิุศิตนให้กั้บัพระศาสนาให้กั้บั วััดคลองวาฬ ตั้้�งแต่่ปีี พ.ศ.๒๕๕๓ เป็็นต้้นมา หลวงพ่่อจึึงจััดงานบำำเพ็็ญ กุุศลทำำบุุญอุุทิิศถวายแก่่อดีีตเจ้้าอาวาสวััดคลองวาฬ และผู้้มีีอุุปการคุุณ ต่่อวััดคลองวาฬที่่�ล่่วงลัับไปแล้้วทุุกปีี เป็นพระบำ เพ็ญทานบารมี ต่อมา ด้วยผลงานด้านการส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนาและ พิทักษปกป ์อ้งคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนกังานพระพุทธศาสนาแหง่ชาติ จึงพิจารณาให้เปนบ็คคุลฝ่ายบรรพชิตทีมีผลงา่นดีเด่น เพื่อเข้ารับประทาน รางวัลเสาอโศกผู้นำศีลธรรม จากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดระยะเวลาห้าสบกิวา่ ปีทีผ่า่นมา เปน็ที่ประจกษัช์ดัวา หลวงพ่ ่อ ครองตนอยใู่ นสมณเพศจากฐานะพระลูกวัดสู่ฐานะพระผ้ใหญู่จนกระทัง่ อยู่ในฐานะเป็นทั้งเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นทั้งเจ้าอาวาส วัดคลองวาฬ พระอารามหลวง มีความรู้ ความสามารถ คุณธรรม และ


(60) จริยธรรม เป็นที่เด่นชัด ที่เห็นได้อย่างดียิ่งก็คือ เสนาสนะ ถาวรวัตถุต่างๆ ภายในบริเวณวัดคลองวาฬ ล้วนงดงามตาน่ารื่นรมย์ใจ เพราะได้รับการ กำกับดูแลควบคุมการก่อสร้าง จากหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด แม้พลบค่ำแล้ว ถ้างานทำความสะอาดบริเวณวัดยังไม่เสร็จ หลวงพ่อก็จะควบคุมให้แล้ว เสร็จ บางวันแม้มืดค่ำแล้ว แต่ศิษย์วัดยังกวาดลานวัดอยู่ก็มี เพื่อพัฒนา วัดคลองวาฬให้สะอาดร่มรื่นสมกับเป็นพระอารามหลวง ผู้ผ่านไปมา พบเห็น ต่างก็รู้สึกเย็นตาเย็นใจ ในแต่ละปี หลวงพ่อสงเคราะห์พระภิกษุ สามเณร พุทธศาสนิกชน เด็กเยาวชน และศาสนิกชนของศาสนาอื่นๆ ตลอดจนส่วนราชการต่างๆ ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เช่น มอบข้าวสารอาหารแห้ง ให้กับโรงเรียน ทุกเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อมีผู้ตกทุกข์ได้ยาก เดือดร้อนต่างๆ มาขอความช่วยเหลือ หลวงพ่อก็ให้ความอนุเคราะห์ โดย ไมเล่ ือกทีรั่กผลักที่ชัง และไม่คำนึงถงวึาถู่กหลอกหรือเปลา หลวงพ่ ่อจึงเปน็ ผู้เสียสละ จนยากที่ผู้ใดจะทำได้ เช่นที่หลวงพ่อทำอยู่ทุกวันนี้ เมื่อพิจารณา”ด้านคุณธรรม„จะเห็นได้ว่า หลวงพ่อเสียสละ ความสุขส่วนตัว บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมมาโดยตลอด เป็นพระผู้น้อยที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระผู้ใหญ่ เป็นพระผู้ใหญ่ที่ให้ ความเมตตาปราณีต่อพระผู้น้อยเสมอมา เป็นปูชนียบุคคลของเหล่า ศิษยานุศิษย์ เป็นที่เคารพนับถือของคณะสงฆ์ โดยเฉพาะปฏิปทาที่มี ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีศีลาจารวัตรที่งดงาม อันนำมาซึ่งความ เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป หลวงพ่อจึงเปรียบร่มโพธิ์ร่มไทร ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นแก่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ และไกล


(61) เมื่อพิจารณา”ด้านสังคม„ก็จะเห็นได้อีกว่า หลวงพ่อ ”เป็นพระผู้มี แต่ให้„ มีคติประจำใจว่า”มือหยิบปัจจัย แต่ใจไม่หยิบ„ เป็นพระผู้ไม่สั่งสม เงินทองเพื่อเปนส่ ็วนตัว เปยม่ีด้วยเมตตา เพื่อเดก็และเยาวชนที่ขาดโอกาส ทางการศึกษา หลวงพ่อพร้อมสละทุนทรัพย์ เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รับ การศึกษา จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญา ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ต่อมากแล้ว มหาวิทยาลัยอินเตอร์เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้อ็อฟ มอราริตี้ สหรัฐอเมริกา จึงได้มอบถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ด้าน คุณธรรมและสังคม) ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๐ เพื่อเชิดชูเกียรติคุณ ของหลวงพ่อให้เป็นที่ปรากฏกว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ศิษยานุศิษย์ ปลาบปล ื้มยินดีเป็นยิ่งนัก กับเกียรติคุณที่หลวงพ่อได้รับถวายจากมหาวิทยาลัยอินเตอร์เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้อ็อฟ มอราริตี้สหรัฐอเมริกา ในคราวครั้งนี้ ในต้้นปีี พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้้วยผลงานอุุปถััมภ์์และคุ้้มครองพระพุุทธศาสนา ที่่�เกิิดจากการพััฒนาวััดคลองวาฬ พระอารามหลวง สนัับสนุุนการ ศึึกษาพระปริิยััติิธรรมทั้้�งแผนกธรรมและแผนกบาลีี ปฏิิบััติิศาสนกิิจ ในฐานะเจ้้าคณะจัังหวััด ช่่วยเหลืือหน่่วยงานทั้้�งภาครััฐและเอกชน สัังคมสงเคราะห์์ช่่วยเหลืือผู้้อื่่� น มีีหน่่วยงานทั้้�งภาครััฐและเอกชนมอบ โล่่เกีียรติิคุุณ อนุุโมทนาบััตร หนัังสืือชมเชยมากมาย เพื่ ่� อแสดงความ ขอบคุุณและประกาศเกีียรติิคุุณให้้เป็็นที่่�ปรากฏแก่่บุุคคลทั่่�วไป จึึงได้้รัับ การพิจิารณาให้้เป็นบุ็คคุลฝ่่ายบรรพชิิตมีีผลงานดีีเด่่น เพื่อ ่� เข้้ารับปัระทาน รางวััลพระปฐมเจดีีย์์ทอง จากผู้้แทนพระองค์์ ประจำำปีี พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่่�ง เป็็นปีีแรกแห่่งการประกาศรางวััลพระปฐมเจดีีย์์ทอง


(62) เป็นพระบำ เพ็ญขันติบารมี หลวงพ่อเป็นพระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ที่เสียสละอุทิศตนให้กับ พระศาสนา แบกรับภาระหน้าที่สมภารวัดคลองวาฬทีห่นกัหนาสาหัสตังแต้ ่ เริ่มต้น ปฏิบัติศาสนกิจในภารหน้าที่ผู้ปกครองระดับสูงสุดของจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอย่างไม่ย่อท้อ ณ วันนี้ หลวงพ่อ มีอายุพรรษากาล ๗๔ ปี ๕๔ พรรษา ถึงแม้ว่าสังขารร่างกายจะอ่อนล้า แต่จิตใจยังมุ่งมั่นที่จะจรรโลงและสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะกับการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ศรีมงคล เฉลิมพระเกียรติ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วเกือบ ๖ ปี ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ ไม่ต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท ซึ่งก็มี ญาติโยมทั้งใกล้และไกลที่เลื่อมใสศรัทธา ให้การสนับสนุนร่วมบริจาคเงิน เพื่อเป็นทุนในการสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ศรีมงคลเฉลิมพระเกียรติกัน อยู่เรื่อยๆ เพราะยังมีอีกหลายส่วนที่ยังก่อสร้าง และยังต้องใช้ทุนทรัพย์ อีกจำนวนมาก เป็นพระมีเมตตาเป็นบารมี เนื่องด้วยหลวงพ่อมีกจิวัตรสวดมนต์ทำวัตรไม่ขาด โดยปกติทุกวัน จะต้องสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ เวลา คือ สวดมนต์ทำวัตรเช้า สวดมนต์ ทำวัตรเย็น และสวดมนต์ทำวัตรค่ำ แต่ถ้าในพรรษาก็จะเพิ่มเป็นวันละ ๔ เวลา คือ เพิ่มสวดมนต์ทำวัตรตี่สี่อีกเวลาหนึ่ง ซึ่งก็คือการเจริญกรรมฐาน ทั้งสมถะและวิปัสสนานั่นเอง และหลวงพ่อมีอุปนิสัยความชอบส่วนตัว เช่นคนโบราณในสมัยเก่าก่อนอย่างหนึ่ง คือกิน(ฉัน)หมาก ก่อนจะฉัน


(63) หมากหลวงพ่อจะต้องเสกบริกรรมคาถา เมื่อเคยวี้กจ็ะสวดพุทธมนต์บทใด บทหนึ่งทุกคำหมาก หากไปสวดมนต์ฉันเพลทีใ่ดก็ตาม เมื่อมีพลังจิตเมตตา ในญาติโยมคนใดเป็นพิเศษ ในขณะที่คายหมากก็จะเรียกญาติโยมคนนั้น มารับ แล้วบอกให้เอาไปเก็บไว้เป็นของขลังเมตตามหานิยม โดยเฉพาะ ผู้ที่ทำการค้าขายหลวงพ่อมักจะเรียกให้มารับ เอาไปเก็บไว้ที่เกะลิ้นชัก โต๊ะเก็บเงินของร้าน หรือถ้าไม่มีผู้ใดแสดงความประสงค์ขอรับชานหมาก ที่หลวงพ่อคายจากปากในคราวใด หลวงพ่อก็จะเก็บรวมรวบไว้เสมอ เมื่อ ญาติโยมมาขอ หลวงพ่อกจ็ะให้พร้อมกบัแนะนำหลักธรรมที่ควรประพฤติ ปฏิบัติไปด้วย บางทีก็มีตัวแทนของวัดใดวัดหนึ่งมาขอชานหมากจำนวน หนึ่ง เพื่อเป็นมวลสารในการทำวัตถุมงคลประเภทพระสมเด็จ-พระปิดตา ก็มี หลวงพ่อก็เมตตาจัดมอบให้ไปทุกครั้ง โดยมิได้เรียกร้องสิ่งตอบแทน แต่ใดๆทั้งสิ้น เพราะมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่วัดนั้นๆ จะได้มีทุนทรัพย์ ในการก่อสร้าง บำรุงรักษาปฏิสังขรณ์เสนาสนะของวัดนั้นต่อไปเท่านั้นเอง ทุกวันนี้ชานหมากของหลวงพ่อจึงเป็นของขลังเมตตามหานิยมมหาลาภที่ ญาติโยมทังใ้กล้และไกลอยากได้ เมื่อมีโอกาสมากราบมาพบหลวงพ่อขณะ ที่เคี้ยวหมากคราวใด ก็จะรีบบอกขอชานหมากที่หลวงพ่อเคี้ยวอยู่ไว้ก่อน เมื่อกราบลากลับก็จะเอ่ยปากขอชานหมากด้วย ดังนั้น ญาติโยมที่มาหา หลวงพ่อขณะที่เคี้ยวหมากอยู่ต้องถือว่าโชคดี อาจได้รับชานหมากเมตตา มหานิยมมหาลาภกลับไปด้วยก็เป็นได้ เป็นเจ้าคณะภาค ๑๕ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ เจ้าคณะใหญห่นกลางเสนอให้หลวงพ่อดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะภาค ๑๕ หลังจากได้ดำเนินการเสนอแต่งตั้งตามขั้นตอน และมี


(64) พระราชวิินิิจฉััยโปรดเกล้้าฯ แล้้ว หลวงพ่่อก็็ได้้รัับพระบััญชาแต่่งตั้้�งเป็็น เจ้้าคณะภาค ๑๕ ปฏิิบััติิหน้้าที่่�ปกครองคณะสงฆ์์มหานิิกาย ๔ จัังหวััด คืือ ราชบุุรีี เพชรบุุรีี สมุุทรสงคราม และประจวบคีีรีีขัันธ์์ หลวงพ่่อจึึงเป็็น เจ้้าคณะภาค ๑๕ ลำำดัับรููปที่่�เจ็็ดของคณะสงฆ์์มหานิิกาย และเป็็น เจ้้าคณะภาค ๑๕ รููปที่่�สองที่่�พำำนัักอยู่่�ในเขตปกครอง ซึ่่�งเป็็นที่่�ภาคภููมิิใจ ของคณะสงฆ์์ภาค ๑๕ และเป็็นที่่�อนุุโมทนาสาธุุการแก่่ญาติิโยมและ ศิิษยานุุศิิษย์์เป็็นอย่่างยิ่่�ง ปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๔ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มอบถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การจัดการเชิงพุทธ) ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๔ เพื่อเชิดชูเกียรติคุณของหลวงพ่อให้เป็นที่ ปรากฏกว้างขวางยิ่งขึ้นไปอีก ก็ยิ่งทำให้ศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและ คฤหัสถ์ต่างปลาบปล ื้มยินดีกันถ้วนหน้า เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ปีี พ.ศ. ๒๕๖๖ พระเดชพระคุุณหลวงพ่่อได้้รัับพระราชทาน เลื่ ่� อนสมณศัักดิ์์�เป็็นพระราชาคณะชั้้�นธรรมที่่� พระธรรมวชิิรสิิทธาจารย์์ ไพศาลธรรมกิิจโกศล วิิมลสัังฆกิิจบริิหาร ศาสนภารธุุราทร มหาคณิิสสร บวรสัังฆาราม คามวาสีี จากเกร็็ดประวััติิของหลวงพ่่อพระธรรมวชิิรสิิทธาจารย์์ หรืือ หลวงพ่่อเอีียด ที่่�กล่่าวมานั้้�น ก็็พอสรุุปเป็็นคำำบอกกล่่าวให้้ทราบกัันได้้ว่่า หลวงพ่่อก็็เกิิดมาจากชาติิตระกููลธรรมดาสามััญชนนี่่�แหละ แต่่หลวงพ่่อ มีีโยมแม่่ที่่�รัักและเอาใจใส่่ เลี้้�ยงดููอบรมอย่่างดีีในวััยเด็็ก และตััว


(65) หลวงพ่่อเองในวััยเด็็กก็็มีีอุุปนิิสััยใฝ่่ดีี เป็็นเด็็กขยัันขัันแข็็ง หนัักเอาเบาสู้้ เมื่ ่� อเข้้ามาบวชในพระพุุทธศาสนา ก็็มาด้้วยกุุศลศรััทธาที่่�เปี่่�ยมล้้นไปด้้วย ความกตััญญููต่่อโยมแม่่ เรีียกว่่าบวชเทิิดทููนพระคุุณแม่่ เมื่ ่� อเป็็นพระภิิกษุุ ก็็เคร่่งครััดกิิจวััตรหน้้าที่่� ช่่วยเหลืือแบ่่งเบาภาระสมภารเจ้้าอาวาส ขยััน ทำำงาน ขยัันทำำหน้้าที่่� ต่่อมาก็็ต้้องแบกรัับภาระเป็็นสมภารเจ้้าอาวาส วััดคลองวาฬ ที่่�หนัักหนาสาหััสมาตลอด เป็็นสมภารที่่�ไม่่ทิ้้�งวััด เป็็นพระ ที่่�ไม่่ทิ้้�งสัังคม เป็็นลููกที่่�ไม่่ทิ้้�งแม่่ เป็็นหลวงพ่่อที่่�ไม่่ทิ้้�งลููกศิิษย์์ ไม่่ลืืม พระคุุณครููอุุปััชฌาย์์อาจารย์์ รัับภารธุุระพระศาสนาเป็็นเจ้้าคณะจัังหวััด ประจวบคีีรีีขัันธ์์ ถืือเป็็นโอกาสที่่�จะได้้จรรโลงพระพุุทธศาสนา สร้้างสรรค์์ สัังคม เป็็นพระกตััญญููกตเวทีี บำำเพ็็ญทานและขัันติิบารมีีอย่่างไม่่ย่่อท้้อ เป็็นพระมีีเมตตาเป็็นบารมีี ก่่อเกิิดคุุณประโยชน์์แก่่พระศาสนาทั้้�งที่่�ใกล้้ และที่่�ไกล เป็็นความภาคภููมิิใจและเชิิดชููเกีียรติิของคณะสงฆ์์ภาค ๑๕ ซึ่่�งปรากฏอย่่างประจัักษ์์ชััดแก่่ศิิษยานุุศิิษย์์ ญาติิโยม และประชาชนทั่่�วไป แม้้ทุุกวัันนี้้�หลวงพ่่อก็็ยัังเป็็นเช่่นที่่�กล่่าวมา.


มุทิตาปรารภ ในมหามงคลวโรกาสพระราชพิิธีีเฉลิิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖ พระบาทสมเด็็จพระวชิิรเกล้้าเจ้้าอยู่่�หััว ผู้้ทรงพระคุุณ อัันประเสริิฐ ทรงพระกรุุณาโปรดพระราชทานเลื่ ่� อนสมณศัักดิ์์� ให้้ พระเทพสิิทธิิวิิมล (ละเอีียด สุุทนฺฺตมหาเถร) เจ้้าคณะภาค ๑๕ เจ้้าอาวาส วัดคัลองวาฬ พระอารามหลวง เป็น็พระราชาคณะชั้้นธ� รรม ในราชทินนิามที่่� พระธรรมวชิิรสิิทธาจารย์์ ไพศาลธรรมกิิจโกศล วิิมลสัังฆกิิจบริิหาร ศาสนภารธุุราทร มหาคณิิสสร บวรสัังฆาราม คามวาสีี นัับเป็็นพระมหากรุุณาธิิคุุณอย่่างหาที่่�สุุดมิิได้้ การนี้้� คณะสงฆ์์วััดคลองวาฬ พร้้อมด้้วยอุุบาสก อุุบาสิิกา และ คณะศิิษยานุุศิิษย์์ ได้้กำำหนดจััดงานต้้อนรัับและสมโภชสมณศัักดิ์์� พระธรรมวชิิรสิิทธาจารย์์ ในวัันเสาร์์ที่่� ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ณ หอประชุุมสงฆ์วั์ดคัลองวาฬ พระอารามหลวง อำำเภอเมืืองประจวบคีรีขัีนัธ์์ จัังหวััดประจวบคีีรีีขัันธ์์ พระเดชพระคุุณพระธรรมวชิิรสิิทธาจารย์์ (ละเอีียด สุุทนฺฺตมหาเถร) เป็็นพระมหาเถระผู้้มีีศรััทธามั่่�นคงในบวรพระพุุทธศาสนา มีีปฏิิปทา น่่าเลื่ ่� อมใส มีีอััธยาศััยไมตรีีงดงาม พระเดชพระคุุณมีีผลงานที่่�โดดเด่่น คืือการสนัับสนุุนการศึึกษาพระปริิยััติิธรรมทั้้�งแผนกธรรมและแผนกบาลีี บริิหารและจััดการการศึึกษาของพระภิิกษุุสามเณรและนัักเรีียนธรรมศึึกษา ได้้อย่่างมีีประสิิทธิิภาพ จนทำำ ให้้มีีนัักเรีียนในสำำนัักเรีียนวััดคลองวาฬ


(67) สอบได้้ปีีละหลายร้้อยรููป และยิ่่�งไปกว่่านั้้�น พระเดชพระคุุณเป็็นพระ นัักสัังคมสงเคราะห์์ชั้้�นยอดได้้ช่่วยเหลืือวััด ชุุมชน โรงเรีียน หน่่วยงาน ราชการมาเป็็นเวลายาวนานต่่อเนื่ ่� องจนถึึงปััจจุุบััน อีีกทั้้�ง เป็็นผู้้ให้้ทุุนการ ศึึกษาและส่่งเสริิมให้้เด็็กและเยาวชนได้้มีีโอกาสศึึกษาในระดัับที่่�สููงขึ้้�นไป พระเดชพระคุุณฯ ให้ค้วามสำคัำ ัญกับกัารศึึกษา มีีโอวาทที่่ท่่ �านให้กั้บั เยาวชนเป็นป็ระจำำ คืือ ”ขยัันไปโรงเรีียน ขยัันเรีียนหนัังสืือ นับถืั ือคุุณครูู กตััญญููต่่อพ่่อแม่่ ไม่่แยแสยาเสพติิด คบมิิตรที่่�ดีี„ นัับเป็็นโอวาทธรรม ที่่�สามารถนำำเป็็นหลัักใช้้ในชีีวิิตประจำำวัันของนัักเรีียนที่่�จะไปสู่่�ผลสำำเร็็จได้้ นอกจากนั้้�น ยัังได้้อบรมสั่่�งสอนเด็็ก/เยาวชนให้้เป็็นคนที่่�มีีความกตััญญ ต่่อพ่่อแม่่ให้้เห็็นถึึงความสำำคััญของบิิดามารดา โดยได้้ปรารภถึึงพระคุุณ ของพ่่อแม่่อยู่่�เสมอว่่า ”อุ้้มไม่่หนััก เหนื่่�อยไม่่พััก รัักไม่่ลวง ห่่วงไม่่เลิิก เบิิกไม่่คิิด ผิิดไม่่แค้้น ตายแทนลููกได้„ ้ ในฐานะเป็็นเจ้้าคณะภาค ๑๕ พระเดชพระคุุณฯ ได้้ใช้้หลัักในการ บริิหารจััดการองค์์กรและปกครองคณะสงฆ์์ที่่�อยู่่�ในการปกครองด้้วย ”พรหมวิิหารธรรม„ และ ”ธรรมาภิิบาล„ กล่่าวคืือ ใช้้หลัักเมตตาธรรม เปิิดโอกาสให้้ทุุกฝ่่ายมีีส่่วนร่่วม มอบหมายให้้มีีเจ้้าภาพหรืือผู้้รัับผิิดชอบ มีคีวามโปร่่งใสตรวจสอบได้้ และเป็น็ไปตามระเบีียบกฎเกณฑ์์ และกฎหมาย จึึงทำำ ให้้การบริิหารงานคณะสงฆ์์ในปกครองดำำเนิินไปอย่่างมีีคุุณภาพและ ประสิิทธิิภาพ ก่่อให้้เกิดปิ ระโยชน์์เกื้้อกูู�ลทั้้�งแก่่คณะสงฆ์์ สัังคม ประเทศชาติิ และพระพุุทธศาสนา เป็็นอเนกประการ การที่่�พระเดชพระคุุณฯ ได้้รัับพระราชทานเลื่ ่� อนสมณศัักดิ์์�เป็็น พระราชาคณะชั้้�นธรรมครั้้�งนี้้� นัับเป็็นพระราชาคณะชั้้�นธรรมรููปแรกของ


(68) จัังหวัดปัระจวบคีรีขัีนัธ์์แล้้ว และเป็น็เกีียรติปิระวัติัิ เกีียรติิยศ เกีียรติศัิกดิ์์ ั � และเกีียรติิคุุณ ต่่อคณะสงฆ์์ภาค ๑๕ เป็็นเหตุุนำำความปลาบปลื้้�มใจและ ปีีติิยิินดีีมาสู่่�สหธรรมิิก ญาติิมิิตร ผู้้ใต้้บัังคัับบััญชา และศิิษยานุุศิิษย์์ที่่�มีี ความเคารพนัับถืือเป็็นอย่่างยิ่่�ง โดยปรารภเหตุุอัันเป็็นมงคลนี้้� คณะศิิษยานุุศิิษย์์ ร่่วมเป็็นเจ้้าภาพ จััดพิิมพ์์หนัังสืือ ”คุุณบิิดามารดา สุุดพรรณนามหาศาล„ เพื่ ่� อถวายมุุทิิตา สัักการะและเป็็นธรรมบรรณาการแด่่พระเถรานุุเถระ คณะศิิษยานุุศิิษย์์ และผู้้มีีเกีียรติิทุุกท่่านที่่�มาร่่วมแสดงมุุทิิตาสัักการะแด่่พระเดชพระคุุณฯ ในครั้้�งนี้้� ขออำำนาจแห่่งคุุณพระศรีีรััตนตรััย และผลานิิสงส์์แห่่งธรรมทาน ที่่�ได้้ดำำเนิินการแล้้วนี้้� จงมารวมกัันเป็็นพลวปััจจััย ประทานพรให้้ พระเดชพระคุุณพระธรรมวชิิรสิิทธาจารย์์ (ละเอีียด สุุทนฺฺตมหาเถร) เจริิญงอกงามไพบููลย์์ในร่่มธรรมขององค์์สมเด็็จพระสััมมาสััมพุุทธเจ้้า ยิ่่�งๆ ขึ้้�นไปถึึงพร้้อมด้้วยจตุุรพิิธพรชััย คืืออายุุ วรรณะสุุขะ พละ ปฏิิภาณ ธรรมสารสมบััติิ ตลอดกาลเป็็นนิิตย์์ เทอญ ฯ พระเทพปวรเมธีี, รศ.ดร. รองเจ้้าคณะภาค ๑๕ ผู้้ช่่วยเจ้้าอาวาสวััดประยุุรวงศาวาสวรวิิหาร ในนามคณะสงฆ์์ภาค ๑๕ และศิิษยานุุศิิษย์์


คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจนมหาเถร) พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)


(70) ภาพชีวิตและงานพระธรรมวชิรสิทธาจารย ์ (๑) ประวัติสังเขปพระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (๑๗) ประวัติวัดคลองวาฬ (๒๖) มุทิตาปรารภ (๖๖) คุณบิดามารดาสุดพรรณนามหาศาล ๑ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พ่อแม่สมบูรณ์แบบและบุตรที่ประเสริฐที่สุด ๔๕ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ความสำคัญของพ่อแม่ ๖๘ พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจนมหาเถร) อิตถีคุณกถา ๗๔ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) หลักการและวิธีการเทศน์ ๘๕ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ปัจฉิมปรารภ ๑๒๖ รายชื่อผู้อุปถัมภ์การจัดพิมพ์หนังสือ ๑๒๙ เจ้าภาพไทยธรรมของท ี่ระลึก ๑๓๑ สารบัญ


คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล* สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วันนี้ เป็นวันดีวันงาม สำหรับครอบครัว ที่จะได้เฉลิมฉลองโอกาส มงคลที่คุณแม่ มีอายุครบรอบปีอีกครั้งหนึ่ง ณ วันนี้ ลูกหลานได้พร้อมใจกันจัดงานทำบุญทำกุศลตามประเพณี ทีเรีย่กวาทำ ่บุญอายุ เปนก็ารแสดงออกซึ่งนํ้ำ ใจ ทีมี่กตัญญูกตเวทิตาธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา ดังที่ได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นว่าเป็นวันสำคัญสำหรับครอบครัว ในฐานะที่มารดา เป็นบุพการีที่สูงสุดของลูกๆ ลูกๆ นั้นมีบุพการีสูงสุดคือ พ่อแม่ มีพ่อคนเดียวแม่คนเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงทำบุญกันอย่างจริงจัง ให้สมกับความสำคัญ คุณบิดามารดานั้น สุดพรรณนามหาศาล พ่อแม่นั้นมีอุปการคุณแก่เรามากมาย ในทางพระศาสนาท่าน บรรยายไว้นานัปการ แม้กวีทั้งหลายก็ได้เขียนบรรยายกันไว้อย่างไม่มีที่ สิ้นสดุปรากฏเปนค็กำลอนและคปำ ระพันธ์ตางๆ ที ่ ่บรรยายถงึคุณของบดิา มารดา เพื่อให้ลูกได้ร้ตระหูนกัมองเห็นความสคำ ัญและแสดงความกตัญญู กตเวทีต่อท่าน * ในการพิมพ์ครั้งนี้ ได้ยกชื่อหัวข้อย่อยคือ „คุณบิดามารดา สุดพรรณรามหาศาล„ ขึ้นเป็นชื่อ ธรรมมกถา แทนชื่อเดิมวา „ ่จากสขขอุงครอบครัวในบ้านสู่ความเกษมศาสนติทั์ว่สังคม„ และใช้เปน็ ชื่อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ด้วย (ธรรมกถานี้แสดงเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๓๕)


2  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เมื่อว่าโดยย่อ ตามหลักพระศาสนา พ่อแม่นั้นทำหน้าที่สำคัญ คือ ๑. ท่านห้ามปรามเราไม่ให้ทำความชั่วช้าเสียหาย ป้องกันเราไม่ให้ ตกไปในทางที่ต ํ่ำทรามมีอันตราย ๒. ท่านสั่งสอนแนะนำ เราให้ตั้งอยู่ในความดี ชักนำ เราให้มุ่งไป ในทางที่จะพบความสุขความเจริญ ๓. ทา่นให้เราได้เลาเรีย ่นศิลปวิทยา มีความรู้ที่จะไปประกอบอาชีพ การงานเพื่อตั้งตัวให้เป็นหลักฐานต่อไป ๔. ถึงเวลาถึงวัยที่จะมีครอบครัวท่านก็เป็นธุระเอาใจใส่จัดแจง ช่วยเหลือ โดยรับที่จะทำด้วยความเต็มใจ ๕. ทรัพย์สมบัติของท่าน ก็เป็นของลูกนั่นเอง ซึ่งท่านจะมอบให้ ในเวลาอนสัมควรเปน็ระยะๆ ไปจนครัง้สดุท้ายทีเรีย่กวามร่ดก ทั้งหมดนี้ เป็นที่รู้กันตามหลักการของพระศาสนา แต่ที่จริงนั้น ท่านเพียงวางไว้ให้เป็นหัวข้อหรือรายการปฏิบัติที่สำคัญๆ เท่านั้น การ ปฏิบัติปลีกย่อย ยังมีอีกมากมาย รวมความก็คือ พ่อแม่นั้นทำทุกอย่าง เพื่อลูกด้วยความรัก ว่าโดยคุณธรรมก็คือ การกระทำ ที่ออกมาจาก พรหมวิหาร ๔ ประการนั่นเอง คือ ๑. ใจของพ่อแม่นั้นประกอบด้วยความรักสความปรารถนาดี เอาใจ ใส่เลียง้ดูลูกให้เจริญเติบโตและงอกงามมีความสขุคือ มีเมตตา ๒. ประกอบด้วยกรุณา มีความสงสาร คอยช่วยเหลือให้พ้น จากความยุ่งยากเดือดร้อน ช่วยแก้ไขปัญหา และปลดเปลื้อง ความทุกข์ ๓. มีมุทิตา คอยส่งเสริม ให้กำ ลังใจ และพลอยยินดีเมื่อลูก


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 3 ประสบความสำ เร็จ ประสบความก้าวหน้า หรือทำความดีงาม ถูกต้อง ๔. มีอุเบกขา ในเวลาที่สมควร เช่น เมื่อลูกจะต้องรับผิดชอบ ตัวเอง หรือควรรู้จักฝึกหัดทำอะไรด้วยตนเอง ท่านก็จะให้ โอกาสแก่ลูกที่จะพัฒนาตัวเอง คือไมใ่ ช่จะทำ ให้ไปหมดทุกอยาง่ จนกระทั่งลูกทำอะไรไม่เป็นอันนี้เรียกว่า วางอุเบกขา นี่คือหลัก พรหมวิหาร ๔ เรารู้กันว่าพ่อแม่นั้น เป็นตัวอย่างของ คนที่มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ แต่ในเรื่องนี้มีข้อสังเกตว่า เราเน้น กันมากในพรหมวิหารข้อที่ ๑ เมื่อพูดถึงผู้ใหญ่ ว่าผู้ใหญ่จะต้องมีเมตตา แล้วก็มักจะตามด้วยข้อ ๒ คือกรุณา ว่ามีเมตตากรุณา และบุคคลผู้มี เมตตากรุณา ที่แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือ พ่อแม่ของเรานี่แหละ ข้อสังเกตสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พ่อแม่ในเมืองไทยเรานี้ แสดง เมตตา กรุณา และมุทิตา ได้ง่าย หรือพร้อมที่จะแสดงพรหมวิหาร ๓ ข้อแรกนี้ได้ตลอดเวลา แต่มักวางอุเบกขาไม่เป็น หรือแม้แต่ไม่เข้าใจหรือ เข้าใจผิดต่อข้ออุเบกขา ทำ ให้ลูกเติบโตอย่างไม่สมบูรณ์ เช่น ไม่รู้จักโต ทำอะไรไมเ่ปน็ และไมรู้่จกัรับผิดชอบ พรหมวิหารขอส้ดุท้ายนี้จะปฏิบัติได้ ถูกต้องจะต้องใชป้ัญญา จึงต้องศึกษาให้ดี ตอนแรกจะพูดเปน็แนวไว้ก่อน พ่อแม่มีเมตตา ในยามปกติ เมื่อลูกเจริญเติบโตอยู่ดีตามที่ควร จะเป็น (เขาปกติ) พ่อแม่มีกรุณา ยามลูกมีทุกข์ เช่น เจ็บป่วย หรือมีเรื่องลำบาก เดือดร้อน(เขาตกตํ่า) พ่อแม่มีมุทิตา ยามเมื่อลูกทำอะไรได้ดีมีสุขหรือประสบความสำ เร็จ เช่นสอบได้ที่ดีๆ สอบเข้างานได้ หรือได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง (เขาขึ้นสูง)


4  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล แต่ในบางกรณี พ่อแม่ไม่อาจใช้เมตตา กรุณา หรือมุทิตา เพราะ จะทำ ให้เกิดความเสียหาย เช่น อาจจะเสียหายแก่ชีวิตของลูกเอง หรือ เสียธรรม ในกรณีอย่างนั้น จะต้องรู้จักวางอุเบกขา โดยเฉพาะในกรณี ที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบคือ พ่อแม่มีอุเบกขา เมื่อจะฝึกหัดให้ลูกรู้จักรับผิดชอบตนเอง จะได้ ทำอะไรๆเป็น และพ ึ่ งตนเองได้ เท่ากับเปิดโอกาสให้ลูกพัฒนา เช่น ให้เดนิเอง ทำการบ้านเอง โดยพ่อแมวางทีเฉย ่ดูให้เขาทำ แตพร้ ่อมที่จะช่วย เมื่อถึงเวลา หรือเป็นที่ปรึกษาให้ พ่อแม่มีอุเบกขา เมื่อลูกสมควรต้องรับผิดชอบการกระทำของเขา เช่น ลูกทำความผิด ลูกทะเลาะกัน พ่อแม่วางตัวเป็นกลาง เพื่อให้มีการ พิจารณา วินิจฉัย ตัดสิน และให้เขาปฏิบัติหรือได้รับการปฏิบัติอย่าง เป็นธรรม พ่อแม่มีอุเบกขา เมื่อลูกรับผิดชอบตนเองได้ เช่น เรียนจบแล้ว มีการงานทำ เป็นหลักฐาน ออกเรือนมีครอบครัวของตัวเขาเอง พ่อแม่ รู้จักวางตัววางเฉย ไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในชีวิตส่วนตัวของ ครอบครัวของเขา จากคุณธรรมในใจที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พ่อแม่ ก็แสดงออกมาภายนอก ด้วยการลงมือทำ คือปฏิบัติต่อลูกโดยทำการ เลี้ยงดู และฝึกหัดอบรมสั่งสอน พร้อมทั้งทำหน้าที่ต่างๆ อย่างที่กล่าวมา ข้างต้น ๕ ข้อนั้น การปฏิบัติทั้งหมดนี้เรียกว่าการสงเคราะห์ ซึ่งสรุปได้ ตามหลักสังคหวัตถุ เป็น ๔ อย่าง คือ


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 5 ๑. พ่อแม่มีแต่การให้แก่ลูก ที่เรียกว่า ทาน ๒. พ่อแมพู่ดจาด้วยนํ้ำใจปรารถนาดี และอบรมสงั่สอนให้คำแนะนำ ชี้แจงบอกเล่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ เรียกว่า ปิยวาจา ๓. พ่อแม่ลงมือลงแรง เอาแรงกายของท่านทำ โน่นทำนี่ให้ โดย เฉพาะเมื่อลูกยังเล็กอยู่ทำอะไรเองไม่ได้พ่อแม่ก็ทำ ให้ ตั้งแต่ อุ้มเรา จูงเรา ป้อนข้าว อาบนํ้ำ แต่งตัวให้ ฯลฯ 
การเลี้ยงดูต่างๆ ท่านต้องลงมือปฏิบัติโดยใช้เรี่ยวแรงของท่านช่วยเราทั้งนั้น การเอาแรงกายเข้าช่วยนี้ เรียกว่า อัตถจริยา ๔. พ่อแม่อยู่กับลูก ร่วมสุขร่วมทุกข์กับลูก ทำตัวเข้ากับลูกได้ ปฏิบัติต่อลูกทุกคนอย่างเสมอภาค เสมอต้นเสมอปลาย กับลูก ไม่ถือเนื้อถือตัว อย่างลูกสมัยปัจจุบันนี้บางทีเล่นศีรษะ พ่อแม่ข้ามไปข้ามมา ท่านก็ไม่ถือสา แต่คนอื่น มาทำอย่างนั้น ไม่ได้พ่อแม่จะโกรธเอา ข้อนี้เรียกว่า 
สมานัตตตา อันนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ ประการ ซึ่งพ่อแม่ มีต่อลูกเป็นประจำ แต่ทั้งหมดนั้น โดยสรุปแล้วก็รวมเป็นการสงเคราะห์ ๒ ประเภท คือ ๑. อามสสิงเคราะห์ สงเคราะห์ด้วยอามิสคือวัตถุสงิ่ของ เช่น
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้นข้อนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ๒. ธรรมสงเคราะห์ สงเคราะห์ด้วยธรรมคือการแนะนำสั่งสอน ให้ รู้จักชั่วดี บาปบุญ เหตุผล ให้เจริญด้วยคุณธรรมความดี มีสติ ปัญญา พัฒนายิ่งขึ้นไป รวมทั้ง
 การแสดงเมตตากรุณาที่ท่าน ปฏิบัติต่อลูกอยู่ตลอดเวลา มีความรักความเอาใจใส่ มีความ


6  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล อดทนต่อลูก ลูกจะทำอะไรเปน็ เหตุให้พ่อแมต้ ่องวนุ่วายยุ่งยาก ท่านก็อดทน เป็นต้น จากการสงเคราะห์ของพ่อแม่นี่แหละ ลูกก็จะเอาไปเป็นแบบอย่าง ในการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน สิ่งที่ควรย ํ้าไว้ก็คือการสงเคราะห์นั้น ประการสคำ ัญอยทีู่ ต้่องให้ครบทัง้สองอยาง่ คืออยามีเพียง ่อามิสสงเคราะห์ ซึ่งเป็นการสงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของอย่างเดียว ต้องมีธรรมสงเคราะห์ ด้วย จึงจะมีความเจริญพัฒนาที่สมบูรณ์ รักของพ่อแม่ เป็นรักแท้ที่ยั่งยืน* ได้บอกแล้วว่า ที่พ่อแม่ทำ ทุกอย่างเพื่อลูกนั้น ก็ด้วยความรัก เราจึงควรรู้จักความรักของพ่อแม่ให้ดีสักหน่อย ความรัก ถ้าแยกตามหลักพระพุทธศาสนา ก็แบ่งง่ายๆ ก่อนว่า มี ๒ แบบ ความรักแบบที่ ๑คือความชอบใจในบุคคลหรือสิ่งที่จะเอามาบำรุง บำเรอความสุขของเรา ชอบใจคนนั้นเพราะว่า จะมาสนองความต้องการ ช่วยบำรุงบำเรอ ทำ ให้เรามีความสุขได้ อะไรที่จะทำ ให้เรามีความสุข เราชอบใจ เราต้องการมันนี่คือความรักแบบหนึ่ง ซึ่งมีมากทีเดียว ความรักแบบท ๒ี่คือความต้องการให้คนอื่นมีความสขุหรือความ ปรารถนาให้คนอื่นมีความสขุความรักของพ่อแมเ่ปน็แบบ
ที ๒ ่นี้คืออยาก ให้ลูกมีความสุข * เรื่องความรัก ๒ แบบต่อไปนี้ ตัดตอนจาก จาริกบุญ-จาริกธรรม หน้า ๙๕-๙๙ และ ความรัก: จากวาเลนไทน์ ความเป็นไทย หน้า ๑๐-๑๓


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 7 ความรัก ๒ อย่างนี้ แทบจะตรงข้ามกันเลย แบบที่ ๑ อยากได้เขา มาบำเรอความสุขของเรา (จะหาความสุขจากเขา หรือเอาเขามาทำ ให้เรา เป็นสุข) แต่แบบที่ ๒ อยากให้เขาเป็นสุข (จะให้ความสุขแก่เขา หรือ ทำ ให้เขาเป็นสุข) ความรักมี ๒ แบบอย่างนี้ซึ่งเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ความรักที่เด็กหนุ่มสาวพูดกันมาก ก็คือ ความรักแบบที่ว่า ชอบใจ อยากได้เขามาสนองความต้องการของตน ทำ ให้ตนมีความสุข แต่ใน ครอบครัวจะมีความรักอีกแบบหนึ่งให้เห็น คือ ความรักระหว่างพ่อแม่ กับลูก โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ต่อลูกคือความอยากให้ลูกเป็นสุข ฉะนั้น ตอนแรกจะต้องแยกระหว่างความรัก ๒ แบบนี้เสียก่อน ความรักชอบใจอยากไดคนอื่น ้มาบำเรอความสขขอุงเราน ทางี้พระเรียกวา ่ ราคะ ส่วนความรักที่อยากให้คนอื่นเป็นสุข ท่านเรียกว่า เมตตา อะไร จะตามมาจากความรักทั้ง ๒ แบบนี้ความรัก ๒ แบบนี้ มีลักษณะต่างกัน และมีผลต่างกันด้วย ถ้ามีความรักแบบที่ ๑ ก็ต้องการได้ ต้องการเอาเพื่อตนเอง เมื่อ ทุกคนต่างคนต่างอยากได้ ความรักประเภทนี้ก็จะนำมาซึ่งปัญหา คือ การเบียดเบียนแย่งชิงซึ่งกันและกัน พร้อมด้วยความเห็นแก่ตัว ส่วนความรักแบบที ๒ ่อยากให้ผอื่นู้เปนส็ขุ เมื่ออยากให้ผอื่นู้เปนส็ขุ ก็จะพยายามทำ ให้เขาเป็นสุข เหมือนพ่อแม่รักลูก ก็จะพยายามทำ ให้ ลูกเป็นสุข และเมื่อทำ ให้ลูกเป็นสุขได้ ตัวเองจึงจะเป็นสุข ความรักของพ่อแม่คืออยากทำ ให้ลูกเปนส็ขุ และมีความสข
ุเมื่อเห็น ลูกเป็นสุข เมื่ออยากเห็นลูกมีความสุข พ่อแม่ก็หาทางทำ
ทุกอย่างให้ลูก มีความสุข วิธีสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำ ให้ลูกมีความสุข ก็คือการให้แก่ลูก


8  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็จะมีความสุขในการให้แก่ลูก เพราะการให้นั้นเป็น การทำ ให้ลูกมีความสุข ตามปกติ การให้คือการสละหรือการยอมเสียไป ซึ่งอาจจะทำ ให้ ฝืนใจและเป็นความทุกข์ แต่พอมีความรักแบบที่สอง คือเมตตานี้มาก็ให้ ด้วยความสขุ เพราะฉะนั้นความรักคือเมตตาจึงมาสร้างความเปลีย่นแปลง ใหม่ ทำ ให้การให้กลายเป็นความสุข ความรักแบบที่หนึ่ง เป็นความต้องการที่จะหาความสุขให้ตนเอง พอเขามีความทุกข์ลำบากเดือดร้อน หรืออยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสนอง ความต้องการของเราได้ เราก็เบื่อหน่าย รังเกียจ แต่ความรักแบบที่สอง ต้องการให้เขามีความสุข พอเขามีความทุกข์เดือดร้อน เราก็สงสารอยาก จะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ ให้เขาพ้นจากความลำบากเดือดร้อนนั้น ความรักประเภทที่หนึ่งนั้น ต้องได้จึงจะเป็นสุขซึ่งเป็นกระแสกิเลส ของปุถุชนทัวไ่ป มนษุย์อยใู่ นโลกน เมี้ ื่อยังเปนป็ุถุชน
ก็ต้องการได้ต้องการ เอา เมื่อได้เมื่อเอาแล้ว ก็มีความสุข แต่ถ้าต้องให้ต้องเสีย ก็เป็นทุกข์ วิถี ของปุถุชนนี้จะทำ ให้ไม่สามารถพัฒนาในเรื่องของคุณธรรม เพราะว่าถ้า การให้เป็นทุกข์เสียแล้ว คุณธรรม
ก็มาไม่ได้ มนุษย์จะต้องเบียดเบียนกัน แก้ปัญหาสังคมไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถมีความสุขจากการให้ เมื่อไร การให้กลายเปนค็วามสขุ เมื่อนั้นปัญหาสังคมจะถูกลดนอ้ยลงไป หรือแก้ไข ได้ทันที เพราะมนษุย์จะเกื้อกูลกนัความรักแบบที่สอง ทำ ให้คนมีความสขุ จากการให้ จึงเป็นความรักที่สร้างสรรค์และแก้ปัญหา เมื่อมนุษย์มีความสุขจากการให้ จะเป็นความสุขแบบสองฝ่ายสุข ด้วยกนั คือ เราผู้ให้กส็ขุเมื่อเห็นเขามีความสขุส่วนผู้ได้รับก็มีความสขจุาก


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 9 การได้รับอยู่แล้ว สองฝ่ายสุขด้วยกัน จึงเป็นความสุขแบบประสาน ความ สุขแบบนี้ดีแก่ชีวิตของตนเองด้วย คือ ตนเอง
ก็มีทางได้ความสุขเพิ่มขึ้น แล้วก็ดีต่อสังคม เพราะเป็นการเกื้อกูลกัน ช่วยให้เพื่อนมนุษย์มีความสุข ทำ ให้อยู่ร่วมกันด้วยดี ความรักของพ่อแมต่ ่อลูกเปนค็ วามรักแบบที่อยากเห็นลูกมีความสขุ แล้วก็พยายามทำอะไรต่างๆ ให้ลูกมีความสุข เมื่อเห็นลูกมีความสุขพ่อแม่ ก็มีความสุขด้วย ดังนั้น พ่อแม่จึงมีความสุขในการที่ได้ให้แก่ลูก ในขณะที่ คนทั่วไปต้องได้จึงจะมีความสุข แต่พ่อแม่ให้แก่ลูกก็มีความสุข แม้ตัวเอง จะต้องทุกข์เดือดร้อนพ่อแม่ก็ยอม บางทีตัวเองต้องลำบากเดือดร้อน แต่พอเห็นลูกมีความสุขก็มี ความสุข ในทางตรงข้ามถ้าเห็นลูกไม่สบายหรือตกทุกข์ลำบาก พ่อแม่ก็มี ความสงสาร ไม่มีความรังเกียจ ไม่มีความเบื่อหน่าย แล้วยังทนทุกข์ทน ลำบากเพื่อลูกได้ด้วย รักของพ่อแม่นี้เป็นรักแท้ที่ยั่งยืน ลูกจะขึ้นสูง ลงต ํ่ำดีร้าย พ่อแม่ ก็รัก ตัดลูกไม่ขาด ลูกจะไปไหนห่างไกล ยาวนานเท่าใดจะเกิด เหตุการณ์ ผันแปรอย่างไร แม้แต่จะถูกคนทั่วโลกรังเกียจ ไม่มีใครเอาด้วยแล้ว พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็ยังเป็นอ้อมอกสุดท้ายที่จะโอบกอดลูกไว้ นี้แหละที่ว่า เป็นการแยกความหมายของความรักเป็น ๒ แบบ พ่อ แม่มีความรักแบบที่ ๒ ซึ่งเป็นรักแท้ คนทั่วไปเริ่มต้นก็มีความรักแบบแรก คืออยากได้เขามาทำ ให้ตัวเรามีความสุข แต่คนควรจะพัฒนาจากความรัก แบบที่หนึ่งไปสู่ความรักแบบที่สอง คือ ให้ความรักแบบที่สองเกิดมีขึ้นมา


10  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เพื่อช่วยสร้างดุลยภาพในเรื่องความรัก เช่น ระหว่างหนุ่มสาว ถ้ามีความ รักแบบที่หนึ่งอย่างเดียวจะไม่ยั่งยืน ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องเกิดปัญหา แน่นอน เพราะว่าความรักแบบที่หนึ่งนั้น ต้องการที่จะเอาเขามาเป็น เครื่องบำรุงบำเรอตัวเองเท่านั้น ถ้าเมื่อไรตนไม่สมใจปรารถนา เมื่อนั้น ก็จะเกิดโทสะ มีความชิงชัง หรือไม่ก็เบื่อหน่าย แล้วปัญหาก็จะเกิดขึ้น ฉะนั้น คนเราอาจจะเริ่มต้นด้วยความรักแบบที่หนึ่งได้ ตามเรื่อง ของปุถุชน แต่จะต้องรีบพัฒนาความรักแบบที่สองให้เกิดขึ้น พออยู่เป็น คู่ครองกันแล้ว ถ้ามีความรักแบบที่สองเข้ามาหนุน ก็จะทำ ให้อยู่กัน ได้ยั่งยืน ความรักแบบที่สองจะเป็นเครื่องผูกพันสำคัญที่ช่วยให้ชีวิต ครองเรือนมีความมั่นคง ดังนั้นปุถุชนนี้อย่างน้อยก็ให้มีความรัก ๒ แบบ มามีดุลยภาพกันก็ยังดี ขอให้ได้แค่นี้ก็พอ ในกรณีของสามีภรรยา ถ้ามีความรักแบบแรกที่จะเอาแต่ใจฝ่าย ตัวเอง ก็คือ ตัวเองต้องการเขามาเพื่อบำเรอความสุขของตน ถ้าอย่างนี้ ก็ต้องตามใจตัว ไม่ช้าก็จะต้องเกิดปัญหาการทะเลาะวิวาท หรือเบื่อหน่าย แล้วก็อยู่กันไม่ได้ ไม่ยั่งยืน แต่ถ้ามีความรักแบบที่สอง คือ อยากให้เขา เป็นสุข เราก็จะมีนํ้ำ ใจ พยายามทำ ให้เขาเป็นสุข ถ้ามีความรักแบบที่สองอยู่ ความรักก็จะยั่งยืนแน่นอน เพราะต่าง ฝ่ายต่างก็คิดว่า ทำอย่างไรจะทำ ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความสุข สามีก็คิดว่า ทำอย่างไรจะให้ภรรยามีความสุข ภรรยาก็คิดแต่ว่า จะทำอย่างไรให้สามี มีความสขุคดกินอัยาง่นี้กคือ็ มีนํ้ำ ใจและมีแต่จะเกื้อกูลกนั ทำ ให้ครอบครัว อยู่ยั่งยืนชีวิตก็มีความสุขได้


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 11 ที่พูดมานี้ก็เพื่อให้เห็นว่า เราจะต้องพัฒนาคนในเรื่องความรัก ให้ รู้จักความรักทั้ง ๒ อย่าง อย่างน้อยก็ให้มีดุลยภาพในเรื่องความรัก ๒ ข้อ นี้ แล้วพัฒนายิ่งขึ้นจนกระทั่งให้คนเราอยู่กันด้วยความรักประเภทที่สอง ลักษณะของความรัก มีอยู่อย่างหนึ่ง คือมันนำความสุขมาให้ด้วย ความรักแบบที่หนึ่งก็ทำ ให้เกิดความสุข เมื่อได้สนองความต้องการที่ ตัวจะได้ ส่วนความรักประเภทที่สอง ก็ทำ ให้เกิดความสุข เมื่อได้สนอง ความต้องการที่จะให้เขามีความสุข ฉะนั้นคนทีทำ่จิตให้มีเมตตาต่อเพื่อนมนษุย์ได้หมดกจ็ะมีความสขุ ได้มากเหลือเกิน คือเวลาเห็นเพื่อนมนุษย์มีความสุข หรือเราทำ ให้เขา มีความสุขได้ ตัวเราเองก็มีความสุขด้วย คนประเภทนี้ก็เลยมีโอกาส ที่จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น คนที่พัฒนามาถึงระดับนี้ก็เช่น พระโสดาบัน เป็นต้น พระโสดาบันนั้นไม่มีมัจฉริยะ ไม่มีความตระหนี่ ไม่มีความ หวงแหน มีความพร้อมที่จะให้ เพราะฉะนั้นคุณธรรมคือเมตตาก็เจริญมาก ขึ้นด้วย และท่านก็มีความสุขยิ่งขึ้นมากมาย จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ก็มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เหลืออยู่เลย ความรักของพ่อแม่ถึงแม้จะจำกัดอยู่กับลูกก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ เป็นการหวงแหนอย่างความรักแบบที่หนึ่ง คือพ่อแม่รักลูก ความหวงนั้น จะมีแต่ในแง่ที่อยากให้ลูกมีความสุข ไม่ยอมให้ใครมาทำ ให้ลูกทุกข์ แต่ ไม่ได้หวงแหนที่ว่าต้องการครอบครองเอาไว้เป็นของตัว เพื่อบำเรอความ สุขของตัว ไม่มีความหึง คือไม่ได้หวงผัสสะไว้เพื่อตัว และไม่ได้หวงใจ แต่ตรงกันข้าม ถ้าลูกมีคู่ครองที่ดีมีความสุข พ่อแม่ก็พลอยมีความสุข ไปด้วย


12  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ทุกคนต้องเป็นพรหม เพื่ออภิบาลสังคมให้ยั่งยืน* พระคุณของพ่อแม่มากมายหลายอย่างที่พูดมานี้ รวมแล้ว
ก็มา จากพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง เนื่องจากพรหมวิหาร ๔ นี้ มีความสำคัญมาก ไม่เฉพาะพ่อแม่จะมีต่อลูกเท่านั้น แต่จะต้องขยายออกไปให้ทุกคนมี ต่อเพื่อนมนุษย์ หรือเพื่อนร่วมโลกทั่วทุกตัวคน เพราะฉะนั้นจึงขอถือ โอกาสอธิบายให้ละเอียดกว่าที่พูดไว้ข้างต้นนั้นอีกหน่อย เราทุกคนอยรู่ วม่กบัเพื่อนมนษุย์ เริมตั่งแต้พ่ ่อแมพี ่ ่นอ้งสามีภรรยา ในครอบครัวเป็นต้นไป ในการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์นั้นมีหลักธรรม ประจำ ใจอยู่หมวดหนึ่ง สำ หรับเป็นหลักในการที่จะวางใจหรือมีท่าที แหง่จิตใจต่อผคนู้รอบด้านธรรมชดนุทีี้ ่จริงก็เปน็หลักธรรมงายๆ แต่ ่บางที เราก็ใช้ไม่เป็น นี่ก็คือ พรหมวิหาร ๔ ที่พูดไว้แล้วข้างต้นนั่นเอง ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บางทีที่เราดำเนินชีวิตกันมาจนบัดนี้ เราก็ยัง เข้าใจและใช้ธรรมชุดนี้ได้ไม่สมบูรณ์ พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมประจำ ใจของพรหม พรหมนั้น ศาสนา พราหมณ์เขาถือวา เ่ ปน็ผสู้ร้างโลก เปน็เทพเจ้าผดู้ลบนดัาลสงทั ิ่งหลาย เ้ปน็ ผู้สร้างสรรค์และอภิบาลโลก แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราไม่ต้องไปรอ พระพรหมให้มาสร้างโลก อภิบาลโลก เราทุกคนควรจะเป็นผู้มีส่วนร่วม สร้างสรรคอ์ภิบาลโลกด้วยกนัทุกคน เพราะฉะนั้นจึงมาทำตัวให้เปน็พรหม กันเถิด แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสแสดงพรหมวิหารไว้ให้เราทุกคนปฏิบัติ * คำอธิบายพรหมวิหาร ๔ ต่อไปนี้ ตัดตอนจาก ธรรมะสำหรับผู้สูงอายุ หน้า ๓๘-๔๙ และเพื่อ ชุมชนแห่งการศึกษา และบรรยากาศแห่งวิชาการ หน้า ๘๗-๙๗ (อาจดุเทียบเคียงใน จาริกบุญจาริกธรรม หน้า ๓๖-๔๙, ธรรมกับการทำ งาน หน้า ๘๔-๙๙)


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 13 เพื่อให้เราทุกคนเป็นพระพรหม คือเป็นผู้สร้างสรรค์และอภิบาลสังคม ดังนั้นเราจะเป็นพระพรหมโดยสมบูรณ์ ก็ต้องมีธรรมทั้ง ๔ ข้อคือมี ๑. เมตตา รักปรารถนาดี อยากให้เขามีความสุข ๒. กรุณาสงสาร อยากช่วยเหลือให้เขาพ้นจากทุกข์ ๓. มุทิตา พลอยยินดีด้วย เมื่อเขาสุขสำ เร็จทำ ได้ดี ๔. อุเบกขา วางทีเฉยเป็นกลาง ให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม เมตตา กับ กรุณานี่เมืองไทยใช้มาก พูดกันอยู่เสมอจน
เป็นคำ ไทย สามัญ แต่แยกความหมายกันไม่ค่อยออก เพราะฉะนั้น
ตอนแรกจะต้อง แยกความหมายระหว่าง เมตตา กับ กรุณา ให้ชัดว่าต่างกันอย่างไร วิธีแยกให้ชัดง่ายๆ ก็คือ ธรรมหมวดนี้เป็นท่าทีของจิตใจสำหรับ แสดงต่อผู้อื่น เมื่อเป็นธรรมสำหรับแสดงต่อผู้อื่น ความหมายของมันจะ ชดดั ้วยการพิจารณาดูสถานการณ์ทีผ่ อื่นู้เขาประสบวา เ่ขาอยใู่นสถานการณ์ ใดแล้วเราจะใช้ธรรมข้อไหน สถานการณ์ที่ ๑ คนอื่นเขาอยู่ดีเป็นปกติ ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อ ร้อนใจ แต่ก็ไมไ่ดป้ระสบความสำ เร็จอะไรเปน็ พิเศษ ในกรณีนเราี้จะต้องมี เมตตาคือความรักความปรารถนาดี ความเป็นมิตร เมตตาก็มาจากต้นศัพท์เดียวกับคำว่ามิตร มิตตะ แปลง อิ เป็น เอ ก็เป็น เมตตะ เติมสระอาเข้าไปเป็นเมตตา รากศัพท์เดียวกัน เมตตา จึงแปลว่า นํ้ำ ใจมิตร คุณสมบัติของมิตร หรือความเป็นมิตร ในภาษา สันสกฤตเรียกว่า ไมตรี เป็นอันว่า สำหรับคนที่อยู่เป็นปกติ เราก็มีความ เป็นมิตร มีไมตรี มีเมตตา มีความรักปรารถนาดี อยากให้เขาเป็นสุข


14  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล สถานการณ์ที่ ๒ คนอืนเขา่ตกตํ่ำเดือดร้อน พอเขาทรุดต
 ํ่ำตกลงไป จากสถานะเดิม คือประสบความเดือดร้อน เราก็ย้ายไปสู่คุณธรรมข้อที่ ๒ คือ กรุณา ซึ่งได้แก่ความมีใจพลอยหวั่นไหวเมื่อผู้อื่นประสบความทุกข์ แล้วก็อยากจะช่วยเหลือปลดเปลื้องความทุกข์หรือแก้ไขปัญหาของเขา ทำ ให้เขาขึ้นมาสู่ภาวะปกติ หายทุกข์ หายร้อน พูดสั้นๆ ว่า เขาอยู่ดีเป็นปกติ เราเมตตา แต่ถ้าเขามีทุกข์เดือดร้อน เรากก็รุณา คนไทยพูดถงเมตตา ึกรุณา กนบ่อ ัย แสดงวา่คนไทยคงมีเมตตา กรุณามาก แต่ข้อต่อไปคนไทยไม่ค่อยพูดถึง สถานการณ์ที่ ๓ คนอื่นเขาขึ้นสู่ภาวะที่สูงขึ้นไป คือประสบความ สำ เร็จ ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามน่าชื่นชม มีความก้าวหน้า หรือมีความสุข เรียก ง่ายๆ ว่า เขาได้ดีมีสุข เราก็ย้ายต่อไปสู่คุณธรรมข้อที่ ๓ คือ มุทิตา ซึ่งแปลว่า พลอยยินดีด้วย เอาใจส่งเสริมสนับสนุน คนเรานี้ที่ประสบสถานการณ์กันอยู่โดยทั่วไปก็ ๓ อย่างนี่แหละ คือ เป็นปกติ ตกตํ่ำ ขึ้นสูง เราก็มีเมตตา กรุณา มุทิตา ไว้ปฏิบัติต่อเขา ครบทั้ง ๓ สถานการณ์ แต่แค่นี้ไม่จบ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นสถานการณ์ที่ ๔ ข้อนี้น่าสงสัย เพราะ ๓ สถานการณ์ก็น่าจะครบแล้ว ยังมีอะไรอีก สถานการณ์ที่ ๔ คืออะไร สถานการณ์ที่ ๔ ข้อนี้ยากหน่อย คงต้องอธิบายยาวสักนิด จะต้องเข้าใจว่า สามข้อแรกนั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับมนุษย์ หรือคนกับคน แต่ในโลกมนุษย์เรานี้ เราไม่ได้อยู่กับมนุษย์ ด้วยกันเท่านั้น เราต้องอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตในธรรมชาติด้วย หมายความว่า โลกมนุษย์นั้นต้องตั้งอยู่บนฐานของกฎธรรมชาติ หรือ


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 15 ความเป็นจริงของธรรมชาติอีกชั้นหนึ่ง เราจึงมีความสัมพันธ์ ๒ ด้าน หรือ ๒ ระดับคือ ด้านหนึง่ เราอยู่กบคนดั ้วยกนั คือเพื่อนมนษุย์ทีเรีย่กวา่สงแวิ่ดล้อม ทางสังคม เรามีความสัมพันธ์ที่ดี เรามีเมตตา กรุณา มุทิตา ช่วยเหลือกันดี ก็อยู่กันด้วยดี มีความร่มเย็นเป็นสุข อีกด้านหนึ่ง ลึกลงไป ชีวิตของเราอยู่กับความเป็นจริงของกฎ ธรรมชาติ อยู่กับความเป็นจริงของโลกและชีวิต แม้แต่ร่างกายของเรานี้ก็ เป็นไปตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ซึ่งไม่ฟังใคร ทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของเราเองที่จะต้องรู้เข้าใจมัน และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง สอดคล้องกับมันด้านนี้แหละที่สำคัญ ซึ่งเราจะมองข้ามหรือละเลยไม่ได้ เมตตา กรุณา มุทิตา นั้น มาช่วยในด้านที่หนึ่ง ที่ชีวิตของเราไป เกยวี่ขอ้งกบัเพื่อนมนษุย์ แต่ด้านที่สอง ชีวิตของเราต้องเกยวี่ขอ้งกบคัวาม เป็นจริงของโลกและชีวิตที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ คือเป็นไปตามเหตุ ปัจจัยของมัน ในด้านนี้คนจะต้องมีปัญญา รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ที่จะ ดำเนินชีวิตให้ดีงามถูกต้องด้วยตนเอง จะรอให้คนอื่นมาช่วยไม่ได้ ในข้อ ๑-๒-๓ นั้น คนช่วยกันด้วยความรู้สึกที่ดีงาม แต่ข้อสี่ใน ความสัมพันธ์กับความเป็นจริงของโลกและชีวิตที่ไม่เข้าใครออกใครนั้น เราจะต้องปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง โดยใช้ปัญญา ทุกคนจึงต้องรู้จักรับ ผิดชอบตนเอง ไม่ใช่รอการช่วยเหลือพึ่งพา ยกตัวอย่าง พ่อแม่เลี้ยงลูก ถ้าเอาแต่เมตตา กรุณามุทิตา 
ก็ทำ ให้ ลูกหมดทุกอย่าง แต่ลูกไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรืออยู่กับมนุษย์ด้วยกัน อย่างเดียว อีกด้านหนึ่งชีวิตของลูกต้องอยู่กับความเป็นจริงของโลกและ


16  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ชีวิต เขาจะต้องไปมีชีวิตของเขาเองในโลก ในสังคม ซึ่งเขาจะต้องรับ ผิดชอบตัวเอง ปัญหาก็คือเขารับผิดชอบชีวิตของเขาเองได้หรือไม่ ถ้าเราเอาแต่ช่วยเขาด้วยเมตตากรุณามุทิตา เขาอาจจะ ไม่รู้จักทำ อะไรให้เป็นด้วยตัวเอง และรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ คือไม่สามารถพ ึ่ ง ตนเอง ในระยะยาวพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเขาตลอดไป เขาจะต้องอยู่กับโลก แห่งความเป็นจริง ที่มันไม่เข้าใครออกใคร เขาจะต้องรับผิดชอบชีวิต ของตัวเองให้ได้ ตอนนี้แหละที่ท่านให้ใช้ข้อสี่คือ สามข้อแรกนี่พ่อแม่จะ ทำ ให้ลูก แต่ข้อสี่ พ่อแม่จะดูให้ลูกทำ ข้อสี่นี่แหละคืออุเบกขา อุเบกขา แปลวา ่คอยดู หรือดูอยใู่ กล้ๆ มาจากอปุ แปลวา ่คอย หรือ ใกล้ๆ และอิกข แปลว่ามองดูอุเบกขาจึงแปลว่ามองดูอยู่ใกล้ๆ หรือ คอยมองดู แต่ไม่ใช่ดูเปล่าๆ ดูให้เขาทำ คือพ่อแม่ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ว่า ต่อไปลูกเราจะโต จะต้องหัดดำเนินชีวิตเองให้ได้ จะต้องรับผิดชอบตัว เองได้ จะต้องทำอะไรเป็นบ้าง เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นแล้ว ก็มาฝึกให้ ลูกทำ ให้เขาฝึกตัวเอง แล้วเราดูอยู่ใกล้ๆ เป็นที่ปรึกษา ถ้าเขาทำ ไม่ถูก ทำ ไมไ่ด้ผล ทำผิดจะไดช่ ้วยแก้ไข แนะนำจนเขาทำ เปน็หรือทำไดด้ดี้วยตนเอง ถ้าเราไม่รีบใช้อุเบกขาเสียแต่บัดนี้ ต่อไปเราไม่ได้อยู่กับเขา พอเขา โตขึ้น เขารับผิดชอบตัวเองไม่เป็น ทำ ไม่เป็น เขาทำผิดเราก็ไม่มีโอกาสไป แก้ไข ไม่มีโอกาสจะช่วยแนะนำ เพราะฉะนั้น จึงต้องฝึกเขาตั้งแต่บัดนี้ ตรงนี้แหละอุเบกขาจึงมา เพื่อให้เขามีโอกาสพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ รักแล้วทำให้เขาหมดทุกอย่าง จนกลายเป็นว่าพ่อแม่ปิดกั้นการพัฒนา ของลูก หรือถึงกับทำลายลูกด้วยความรักไม่เป็น อุเบกขานี่มากับปัญญา ต้องมีปัญญาจึงจะมีอุเบกขาได้ นี่แหละข้อสี่ และที่พูดมานี้เป็นแง่ที่หนึ่ง


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 17 “รัก” ต้องมี “รู้” มาเข้าคู่ให้สมดุล ตามที่พูดมานี้จะเห็นว่า สถานการณ์ที่ ๔ ก็คือสถานการณ์ที่มนุษย์ สัมพันธ์กับมนุษย์ในกรณีที่ไปเกี่ยวข้องกับตัวธรรม การรักษาความ สัมพันธ์กับธรรมนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งเป็นแง่ที่สอง ธรรมคือความเป็นจริงของธรรมชาติ พูดอีกสำนวนหนึ่งว่าหลักการ หรือกติกาของธรรมชาติ คือ กฎธรรมชาติ ได้แก่ ความเป็นไปตามเหตุ ปัจจัย ความถูกต้องตามกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผล ความสมเหตุ สมผล หรือความสมควรตามเหตุและผล รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า ความเป็น ธรรม หรือความชอบธรรม จากหลักการหรือกฎของธรรมชาตินี้ มนุษย์เราก็มาบัญญัติระบบ ในสังคมของตน เพื่อให้มนุษย์ดำรงอยู่ในความดีงาม ก็เกิดเป็นหลักการ หรือกฎในสังคมมนุษย์ กลายเป็นกฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกา เมื่อใดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ไปส่งผลกระทบเสียหายต่อ ธรรม คือ ทำ ให้เสียหลักการแห่งความเป็นจริง ความถูกต้องดีงาม ความ สมตามเหตุผล ความชอบธรรม ความเปนธ็รรม เช่นผิดกฎหมาย หรือกติกา สังคม เราต้องหยุดช่วยเหลือ เพื่อให้เขารับผิดชอบต่อธรรม นี่คืออุเบกขา เพราะฉะนั้นอุเบกขาจึงเป็นตัวคุมหมด ทำ ให้สามข้อแรกมีขอบเขต เมตตา กรุณา มุทิตาจะเลยขอบเขตไมไ่ด้ เมื่อช่วยกนัไปถ้าจะละเมิด หลักการ ละเมิดกติกา ละเมิดความเป็นธรรม ต้องหยุด เราเลยแปล ”อุเบกขา„ ว่า เฉย หมายความว่าเฉยต่อคนนั้น ไม่ช่วย(ในทางที่ผิด) ใน ภาษาบาลีทา่นอธบิายวาไม่ ่ขวนขวาย (ที่จะช่วย) เหมือนกบบอกัวาฉั ่นไมเ่อา กะคุณละนะ


18  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เราช่วยเหลือกันตลอดเวลา โดยมีเมตตา กรุณา มุทิตา แต่ถ้า จะทำ ให้เสียหลักการ เสียความเป็นธรรม ฉันต้องหยุด ฉันไม่เอากับคุณ แล้วนะ กฎต้องเป็นกฎ ตรงนี้เรียกว่าอุเบกขา อุเบกขา คือเฉยต่อคนนั้น เพื่ออะไร เพื่อไม่ละเมิด เพื่อไม่ก้าวก่าย แทรกแซงธรรม ธรรมจะออกผลอยางไรต้ ่องวาไ่ ปตามนั้น ในขณะที เมตตา ่ กรุณา มุทิตา รักษาคน แต่อุเบกขา รักษาธรรม ที่จริง อุเบกขาก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั่นแหละ แต่ในกรณีนี้ความสัมพันธ์นั้นไม่อยู่แค่มนุษย์แล้ว แต่มันไปเกี่ยวข้องกับ ธรรมด้วย คือไปเกี่ยวข้องกับหลักการ กฎเกณฑ์ กติกา ทั้งในธรรมชาติ และที่มาบัญญัติกันในสังคมมนุษย์ ฉะนั้น อะไรที่เป็นเรื่องที่เขาสมควรจะช่วยตัวเอง ควรรับผิดชอบ ตามความเป็นจริงของความเป็นเหตุเป็นผล เราไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่ใช่ ช่วยเรื่อยเปื่อย ต้องช่วยในขอบเขตของความสมเหตุสมผล และช่วย เฉพาะในขอบเขตที่ไม่ละเมิดธรรม ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ กติกาต่างๆ ฉะนั้น อุเบกขาจึงเป็นตัวคุม และรักษาดุล ให้การช่วยเหลือกันไม่เลยขอบเขต จนเสียธรรม ถึงตอนนี้คงจะประมวลคำอธิบายพรหมวิหารข้อสุดท้าย มาสรุปลง เป็นความหมายของอุเบกขาได้ว่า สถานการณ์ที่ ๔ เมื่อเขาสมควรจะต้องรับผิดชอบการกระทำ ของตน (รวมทั้งฝึกหัดความรับผิดชอบนั้น) คือในกรณีที่ถ้าเราเข้าไปช่วย เหลือด้วยเมตตาก็ตาม กรุณาก็ตาม มุทิตาก็ตาม จะเป็น การละเมิด ก่อความเสียหายต่อธรรม ต่อความจริงความถูกต้องดีงาม ความสมควร


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 19 ตามเหตุผล หรือทำลายหลักการ กฎ กติกาที่ชอบธรรม ความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ในข้อ ๑-๒-๓ จะต้องถูกหยุดยั้ง เราจะต้องตั้งตัวหรือ วางตนอยู่ในอุเบกขา คือ หยุดการขวนขวายช่วยเหลือ เพื่อให้มีการปฏิบัติ ไปตามธรรม ตามหลักการ หรือตามกติกา โดยไมเ่ข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง ขอยกตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึ่งไปประสบความสำ เร็จลักขโมย เงินเขามาได้ ๕,๐๐๐ บาท ดีใจใหญ่ เราเห็นว่าเด็กนั้นประสบความสำ เร็จ เราจะไปมุทิตาถูกต้องไหม ไม่ถูกต้องใช่ไหม เพราะว่าถ้าเราไปดีใจ ไป ส่งเสริม ก็ไปกระทบกับตัวธรรม กลายเป็นการทำลายหลักการแห่งความ ถูกต้องดีงาม ฉะนั้น ในกรณีนี้เราก็ต้องปฏิบัติไปตามธรรม อีกตัวอย่างหนึ่ง ลองดูในกรณีของผู้พิพากษา เช่น จำ เลยทำความ ผิดจริง ไปฆา่คนมา ผ้พิพาูกษาคดิวาถ้าเรา ่จะตัดสนิให้เขาเข้าคกุ เขากจ็ะมี ความทุกข์ ก็เกิดกรุณา สงสาร เลยตัดสินให้พ้นผิด อย่างนี้ไม่ถูก เพราะ การมีกรุณาในกรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อตัวธรรม ทำ ให้เสียหลักความจริง ความถูกต้องดีงาม ทำลายหลักการกฎเกณฑ์ กติกาที่รองรับสังคมอยู่ ในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ส่งผลกระทบเสียหายต่อ หลักการแห่งความเป็นธรรม ชอบธรรม หรือตัวหลักการ ตลอดจน กฎเกณฑ์กติกาทั้งหลายที่จะยึดเหนี่ยวให้สังคมมนุษย์อยู่ได้ เราจะต้อง หยุดขอ้ที ๑, ๒, ๓ ไว้ แล้วย้ายไ ่ปขอ้ที ๔ ่คืออุเบกขา เพื่อให้เขารับผิดชอบ ต่อความเป็นจริง ต่อตัวธรรม ต่อหลักการและกฎเกณฑ์กติกานั้นๆ อันนี้แหละเรียกว่าอุเบกขา ได้บอกแล้วว่า อุเบกขา แปลว่าคอยมองดู มาจาก อุป (ใกล้ๆ หรือ คอย) + อิกฺข (มอง) หมายความว่า เพื่อไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง


20  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล กระบวนการของธรรม เราจึงเฉยต่อคนนั้นคือปล่อยหรือเปิดโอกาสให้มี การปฏิบัติต่อเขาไปตามธรรม ตามหลักการ หรือตามกฎเกณฑ์กติกา ใคร มีหน้าที่อย่างไรก็ทำ ไปตามนั้น หลักการ หรือกฎเกณฑ์ว่าอย่างไร ก็ทำ ไป ตามนั้น เราก็คอยมองดู ถ้ามีอะไรต้องทำ เมื่อไร ก็ทำ คือคอยมองดูให้ ทุกอยาง่ดำเนนิไปอยางถู่กต้อง ตามทีมั่นควรจะเปน็หรือตามธรรม โดยใช้ ปัญญาพิจารณาปฏิบัติให้เหมาะ อุเบกขานต้ี่องใชป้ัญญา ตาง่จากเมตตา กรุณา มุทิตา ทีใ่ชค้วามรสึกู้ มาก คือรู้สึกเป็นมิตร รู้สึกเห็นใจสงสาร และรู้สึกพลอยดีใจช่วยหนุน ส่วนอุเบกขาต้องมีปัญญา คือต้องรู้ว่าอะไรถูกต้อง อะไรเป็นธรรม อะไร เป็นความจริง แล้วจึงเอาความรู้นั้นมาปรับความรู้สึกให้ลงตัวพอดี การที่ ปัญญาความรู้นั้นมาปรับความรู้สึกให้ลงตัวพอดีได้ วางตัวถูกต้องเป็น กลางอยู่ในธรรม อันนี้เรียกว่า อุเบกขา เป็นอันว่า เราจะต้องมีอุเบกขาด้วย จึงจะรักษาสังคมนี้ไว้ได้ มิฉะนั้นสังคมนี้ก็จะปั่นป่วน ถ้าเราใช้เมตตา กรุณา มุทิตามาก เราจะมีความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลดี แต่ถ้าขาดอุเบกขา คนจะช่วยเหลือกันระหว่างบุคคลจนกระทั่ง เสียหลักการ ไม่เหลียวแล ไม่ดูหลักการว่า จะเสียความเป็นธรรมในสังคม ไหม หลักเกณฑ์ กฎหมาย กติกาไม่เอา จะช่วยเหลือกันระหว่างบุคคล อย่างเดียว สังคมไทยนี้น่าจะหนักไปทาง ๓ ข้อแรก ส่วนข้อ ๔ นี่ขาดมาก อุเบกขาแทบจะไม่มี และไม่รู้จักด้วยซ้ำ ในสังคมไทย เมื่อคนไม่รู้จักอุเบกขาตัวจริง เวลาพูดถึง อุเบกขา ก็เข้าใจผิด นึกว่าเฉยแล้วเป็นอุเบกขา เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็เฉย แต่กลาย


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 21 เป็นเฉยไม่รู้เรื่องรู้ราว เฉยไม่เอาเรื่องเอาราว และเฉยไม่ได้ เรื่องได้ราว อย่างนี้ทางพระท่านมีศัพท์ให้ด้วย เรียกว่า อัญญาณุเบกขา แปลว่า เฉยโง่ ซึ่งเป็นอกุศล เป็นบาป คนไทยเรานี้ถ้าไม่ระวังให้ดีจะเฉยโง่กันมาก เฉย ที่แท้ต้องเป็นเฉยด้วยปัญญา เพราะว่าอุเบกขานี้จะมีได้ต้องอาศัยปัญญา สามขอ้ต้นนั้นหนกดั ้านความ „รสึกู้ „ ในการพัฒนามนษุย์ด้าน
ความ รู้สึก ที่เรียกเพี้ยนกันไปว่าด้านอารมณ์นี้ เรามุ่งให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา ซึ่งเป็นฝ่ายความรู้สึก หรือ emotion ที่ดี แต่ความรู้สึก หรือ emotion นี้ จะต้องถูกคุมด้วยปัญญา มิฉะนั้น emotion คือด้านอารมณ์ หรือด้าน ความรู้สึกอาจจะเลยขอบเขตไม่ถูกต้อง และถ้าเราไม่มีปัญญาคุม เมื่อเรา ช่วยเขาไม่ได้ จิตใจเราจะร้อนรน กระวนกระวาย เป็นทุกข์ แต่พอปัญญา คือด้านความ ”รู้„ มา ก็จะสร้างดุลยภาพ ทำ ให้จิตใจสงบจึงต้องเอาความรู้ มาคุมความรู้สึก ฉะนั้น พุทธศาสนาจึงไปจบที่ปัญญา ด้านรู้ต้องคุมด้านรู้สึก แล้วเมื่อปัญญาด้านรู้พัฒนาไป ก็จะพัฒนา ด้านความรสึกู้ ให้เปนก็ศุลยิง่ ขึ้น เพราะด้านความรสึกนู้ ั้น
มีฝ่ายอกศุล เช่น โกรธ เกลียด ชัง ริษยา ระแวง เห็นแก่ตัว เป็นต้น พอปัญญามาก็พัฒนา ความรู้สึก คือพวก emotion ให้มาเป็น emotion ที่ดี เป็นฝ่ายเมตตา กรุณา หรือความรัก เป็นต้น แต่แม้จะเป็นความรู้สึกที่ดีแล้วก็ต้องอยู่ ในความควบคุมของปัญญา เป็นอันว่า สามข้อต้นหนักในด้านความรู้สึกคือความรัก
ส่วนข้อสี่ หนักในด้านปัญญา คือ ความรู้ ต้องให้ปัญญานำเอาอุเบกขามาคุมความ รู้สึกไว้


22  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล สามขอ้แรกคือ เมตตา กรุณา มุทิตา แทบไมต้ ่องใชป้ัญญา เพียงแต่ มีความรสึกู้ ที่ดกี็พอคือ เขาอยเู่ปนปก ็ ติเราก็รู้สึกรัก เขาทุกข์ร้อนเราก็รสึกู้ สงสาร เขาไดด้ีมีสขุเราก็รสึกู้ ยินดดี้วย แตใ่น
ขอส้ ี่น ถ้าไม ี่มี่ ปัญญากป็ฏิบัติ ไม่ได้ เพราะต้องรู้ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผล อะไรเป็นความจริง อะไรเป็น ความถูกต้อง อะไรเปน็หลักการ จึงจะปฏิบัติได้ ขอส้ ี่จึงต้องเนนป้ ัญญา และ เป็นตัวที่สำคัญที่สุดซึ่งจะสร้างดุลยภาพ หรือความพอดีให้เกิดขึ้น เมื่อมีความรักโดยไม่ขาดความรู้ คือ ใช้เมตตากรุณาโดยมีปัญญา มาโยงเข้ากับอุเบกขา ก็จะเกิดความสมดุลและความถูกต้องพอดี เมตตากรุณาก็มี มุทิตาก็มา พออุเบกขาบรรจบ ก็ครบสี่พักตร์พระพรหม เปนอ็นัวา่ขอ้ที ๔ ่คืออุเบกขา เปน็ตัวคุมท้าย และคุมทังหม้ดสำหรับ รักษาให้โลกนี้อยู่ในธรรม อยู่ในความถูกต้องดีงาม รักษาหลักการของ สังคม ทำ ให้สังคมอยู่ในความเป็นธรรม แต่ถ้าเรามีอุเบกขามากอย่างเดียว ก็เอาแต่ตัวใครตัวมัน ทุกคนรับผิดชอบ
ต่อหลักการ คุณทำถูกต้องตาม หลักการ หรือตามกฎหมาย ฉันไมว่า แต่ ถ้า่คุณทำผิดหลักการและกฎเกณฑ์ กติกาเมื่อไร ฉันจัดการทันที เวลาอื่นนอกจากนั้น ต่างคนต่างอยู่ ไม่ช่วย เหลือกัน ไม่เอาใจใส่ ไม่มีนํ้ำ ใจต่อกัน สังคมนั้นก็ขาดความอบอุ่น แห้งแล้ง คนก็เครียด ใจไม่สบาย เป็นโรคจิตกันมากก็เสียดุลอีก เพราะฉะนั้น สังคมจึงต้องมีพรหมวิหารให้ครบและให้เหมาะพอดี ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้สำหรับ ๔ สถานการณ์ ถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องแล้ว สังคมจะมีดุลยภาพ เริ่มตั้งแต่ในสังคมเล็กคือครอบครัว โดยปฏิบัติให้ ถูกต้องต่อลูกของตนเอง


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 23 หนึ่ง เมื่อเขาอยู่เป็นปกติ เราก็มีเมตตา เลี้ยงดูให้เขามีความสุข สอง ถ้าเขาเกิดเรื่องเดือดร้อนเป็นทุกข์ มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น เราก็กรุณาสงสาร ช่วยเหลือแก้ไขให้หมดปัญหา สาม เมื่อเขาประสบความสำ เร็จ ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เรา
ก็มุทิตา พลอยยินดีด้วย ช่วยส่งเสริมสนับสนุนยิ่งขึ้นไป สี่แตใ่นกรณีทีเ่กยวี่กบคั วามรับผิดชอบจะต้องพิจารณาใชอุ้เบกขา สถานการณ์ที่จะต้องวางอุเบกขาที่สำคัญมี ๓ กรณี คือ ๑. เมื่อลูกสมควรจะต้องหัดรับผิดชอบตัวเอง ฝึกทำอะไรต่ออะไร ให้เปน็ เพราะวา ลู่กของเรานั้นเขาไมไ่ดอ้ยใู่ นโลกทีมีแต่ ่
พ่อแม หร่ ือมนษุย์ ด้วยกนัเทา่นั้นชีวิตอกดี ้านหนึ่ง โดยเฉพาะต่อไปเมื่อเขาโตแล้ว เขาต้องไป อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกนั้นมีกฎเกณฑ์กติกา ทั้งกฎเกณฑ์ใน ธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ในสังคม ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเหตุผลของเรื่อง นั้นๆ ซึ่งเขาจะต้องไปอยู่กับความเป็นจริงเหล่านั้น โลกนไมี้ ไ่ด้ตามใจเราเหมือนอยางพ่ ่อแมตามใ ่จลูก มันไมไ่ด้เปน็ ไป ตามใจปรารถนา เพราะฉะนั้นลูกจะต้องหัดรับผิดชอบตัวเอง อะไรที่ สมควรจะทำ ให้เป็น ต้องฝึกทำ ไว้ ถ้าพ่อแม่มัวแต่เห็นแก่ลูกว่าเรารักเขา ไม่อยากให้เขาลำบาก ไม่อยากให้เขาเหน็ดเหนื่อย แล้วไม่ว่าอะไรก็ไปทำ แทนให้ทั้งหมด ลูกก็เลยไม่รู้จักโต แล้วก็รับผิดชอบ ตัวเองไม่เป็น พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกไม่เป็น โอ๋ลูกเกินไป เพราะขาดอุเบกขา ส่วน พ่อแม่ที่รู้จักอุเบกขา เมื่อมาถึงสถานการณ์ที่ ๔ คือมีเรื่องอะไรที่ลูกจะต้อง สมควรฝึกไว้ ทำ ไว้ หัดให้เป็น เราต้องให้เขาฝึกทำหัดทำ ต้องยอมให้เขา เหนื่อยบ้าง ลำบากบ้าง แม้แต่หัดเดินก็ยังต้องมีความเหน็ดเหนื่อยลำบาก บ้าง ถ้ากลัวลูกลำบาก ไปอุ้มตลอดเวลาแล้วลูกจะเดินเป็นได้อย่างไร


24  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เหมือนอย่างคนสมัยก่อน ตอนที่เริ่มมีการเรียนหนังสือใหม่ๆ เขา ใชก้ระดานชนวน และใช้ดินสอหิน พ่อแม่บางคนกลัวลูกจะ เจ็บมือเพราะ ใช้ดินสอหิน ก็เลยไม่ให้เรียน นี่คือเพราะขาดอุเบกขา ลูกก็เลยไม่ได้รับ การศึกษา เป็นอันว่าจะต้องยอมให้ลูกเหน็ดเหนื่อยยากลำบากบ้าง เพื่อให้เขา หัดทำฝึกทำ รับผิดชอบตัวเอง จะได้ทำอะไรๆ เป็น และปัญญาจะเป็น ตัวบอกว่าควรจะให้เขาหัดทำสิ่งใด ฝึกในเรื่องใด หรือหัดรับผิดชอบ อะไร เพราะฉะนั้น ข้ออุเบกขา จึงต้องมากับปัญญา เมื่อปัญญาพิจารณา แล้วก็ปฏิบัติไปตามปัญญาโดยวางอุเบกขา เราเป็นที่ปรึกษา ก็คอยดู ถ้าเขาเพลี่ยงพล ํ้ าเมื่อไร จะต้องช่วย ก็เข้าไปช่วย นี่คือ อุเบกขาใน สถานการณ์ ที่ ๑ ให้เขาหัดรับผิดชอบตัวเอง ทำอะไรต่ออะไรให้เป็น ๒. เมื่อลูกจะต้องรับผิดชอบการกระทำของเขา ครอบครัวนั้น เป็นตัวแทนของสังคมใหญ่ ในสังคมมนุษย์ต้องมีกฎเกณฑ์ กติกา ซึ่ง ทุกคนในสังคมนั้นจะต้องรับผิดชอบปฏิบัติตาม ครอบครัวก็เช่นเดียวกัน ต้องมีกฎเกณฑ์กติกาเพื่อให้สมาชิกของ ครอบครัวอยู่กันสงบเรียบร้อย มีวินัย และเป็นการฝึกเด็กให้พร้อมที่จะ ไปรับผิดชอบดำเนนชิ ีวิตในสังคมต่อไป เพราะฉะนั้นกฎต้องเปนก็ ฎ ถ้าเขา ทำอะไรผิดก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา ทำถูกก็ว่าไปตามถูก ทะเลาะกันก็ต้องมีความยุติธรรม นี่คือมีอุเบกขาเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามธรรม ๓. เมื่อลูกรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว เขาสำ เร็จการศึกษาแล้ว มีงาน มีการทำ มีครอบครัวของเขาแล้ว ทา่นวาพ่ ่อแมต้ ่องรจู้กัวางอุเบกขา ปล่อย ให้เขารับผิดชอบชีวิตและครอบครัวของเขาเอง ไมเ่ข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 25 ในชีวิตและครอบครัวของเขา โดย วางใจเรียบสงบว่า เขารับผิดชอบ ตัวเองได้แล้ว ไมใ่ ช่เอาแตเมตตา่กรุณา รักเขามากก็เลยเจ้ากเี้จ้าการเข้าไป จัดการในบ้านของเขา ในครอบครัวของเขา เที่ยวจี้เที่ยวชี้อยู่เรื่อยว่า ลูก อยู่อย่างนี้นะ 
จัดของอย่างนี้นะ ฯลฯ ถ้าพ่อแม่เข้าไปจัดแจงวุ่นวายมาก ลูกแทนที่จะเป็นสุข ก็ไม่เป็นสุข และจะรู้สึกไม่สบายใจ อาจจะอึดอัดพูดไม่ออก บางทีถ้าเขาไม่ขัดแย้งกับ พ่อแม่ก็ไปขัดแย้งกับคู่ครองของเขาเอง ท่านจึงว่าถึงเวลาที่จะต้องวาง อุเบกขา ให้เขารับผิดชอบตัวเขา ครอบครัวของเขาเป็นของเขา เราได้แต่ คอยมองดู ให้เขาบริหาร เราเป็นที่ปรึกษา ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ เมื่อไร ก็เข้าไปช่วยเหลือนี่เรียกว่า อุเบกขา ถ้าพ่อแมวาง่อุเบกขาถูกก็เกดคิวามสมดุลในชีวิต และ
ความสมดุล ระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความสัมพันธ์
กับธรรม โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่อายุมากขึ้นกจ็ะต้องวางใจกบัลูกหลาน
ให้ถูก ต้องว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาเอง เราวางใจเป็น อุเบกขาเงียบสงบ พร้อมจะช่วยเหลือเขา แต่เราไม่เข้าไปจุกจิก วุ่นวาย เจ้ากี้เจ้าการ ตอนนี้ถึงเวลาของพระพรหมที่จะวางอุเบกขา ถ้าทำ ใจได้
อย่างนี้ ใจจะสบายขึ้นเยอะ ถ้าเสียหลักนี้ก็จะไม่เป็นพระพรหมที่สมบูรณ์ สังคมทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว มักพัฒนาอย่างเสียดุล เพราะขาดบูรณาการ ในสังคมที่ปฏิบัติธรรมไม่ครบจะเกดคิวามเสียดุล สังคมทีมีเมตตา่ กรุณามาก จะเป็นสังคมที่มีนํ้ำ ใจมาก คนจะมีนํ้ำ ใจช่วยเหลือกันอย่างดี


26  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ซึ่งก็เปนข็อด้ ี ทำ ให้จิตใจคนมีความอบอุ่นชมฉุ่า ํ่ รมเย็ ่น มีความสขุสบาย แต่ผลเสียก็มีได้ คือ ถ้าไม่มีอุเบกขามา
คุม ก็เสียดุล ๑. คนจะชอบหวังพึ่งผู้อื่น คือคนจนำวนไม่นอ้ยในสังคมนทีี้มี่กิเลส ของปุถุชน เมื่อหวังพึ่ งผู้อื่นได้ว่าจะมีคนมาช่วย ก็จะไม่ดิ้นรนขวนขวาย เขาชอบคิดว่า ถ้าเราลำบากขาดแคลนขัดสน
ก็ไปหาผู้ใหญ่คนโน้น ไปหา ญาติผนู้ หาเพี้ ื่อนคนนั้น เขาก็ต้องช่วยเรา ความที่คอยหวังความช่วยเหลือ จากผู้อื่นอยู่เรื่อย ก็เลยไม่ดิ้นรนขวนขวาย ก็อ่อนแอ เพราะฉะนั้นสังคม ที่มีนํ้ำ ใจ มักเสียดุลไปทางอ่อนแอ คนมักหวังพึ่ งผู้อื่น ทำ ให้เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้นขวนขวาย และอาจจะตกอยู่ในความประมาท ๒. ไม่สามารถรักษาหลักการได้ เพราะคนจะช่วยกันจนกระทั่ง ละเมิดกฎหมายก็เอา ลองจะช่วยเสียอย่าง กฎหมายก็ไม่มอง ความเป็น ธรรมก็ไม่เอาทั้งนั้น ช่วยกันอย่างเดียวจนเสียความเป็นธรรม และเสีย หลักการ ส่วนสังคมที่ขาดสาม หรือเพียงสองข้อต้นคือไม่มีเมตตากรุณา จะ เปนส็ ังคมทีไม่มี่ นํ้ำ ใจคนไม่ค่อยช่วยเหลือกนัอุเบกขาจะขึ้นมาเด่น แต่อาจ จะเปนอ็ุเบกขาแบบไมมี่ ปัญญาก็ได้ คือ เฉยไมเ่อาเรื่อง ตัวใครตัวมัน ใคร จะเปนอ็ยางไร ่กช่ ็าง พอมีปัญญาขึ้นมาหน่อย
ก็วางกติกาสังคมไว้วา แ่กจะ ทำอะไรก็เรื่องของแกนะ แกทำ ไปได้ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดกติกาหรือ กฎหมาย ถ้าแกละเมิดกฎเมื่อไร ฉันจัดการทันที แต่ถ้าไม่ละเมิดก็ปล่อย แกทำ ไป แต่ฉันไม่ช่วยนะ ทีนี้คนที่ไม่มีใครช่วยนี่ เมื่อหวังพึ่งใครไม่ได้ ตัวใครตัวมัน
ก็ต้อง ดิ้นสุดฤทธิ์สุดกำลัง เพราะถ้าไม่ดิ้นก็ไม่รอดจึงทำ ให้เข้มแข็งและก้าวหน้า และเพราะเอากติกา เอากฎหมาย หรือหลักการเป็น
ใหญ่ก็รักษาหลักการ


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 27 และกฎกติกาได้ แต่เมื่อไปสุดโต่ง ก็กลายเป็น สังคมที่เอาแต่กฎเข้าว่า ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีนํ้ำใจ สังคมไทย นเี่นนค้วามสัมพันธ์ระหวาง่บคคุลในขอ้เมตตากรุณามาก ก็เสียดุล ทำ ให้อ่อนแอ แล้วก็ไม่สามารถรักษาหลักการและความเปนธ็รรม ส่วนสังคมแบบอเมริกันก็ค่อนข้างขาดในด้านเมตตากรุณา คือขาดนํ้ำ ใจ และหนักในอุเบกขา ทำ ให้คนดิ้นรนแบบตัวใครตัวมัน จึงทำ ให้เข้มแข็ง และทำ ให้รักษาหลักการกติกาได้ แต่เป็นสังคมที่แห้งแล้ง เครียด จิตใจ มีความทุกข์ ขาดความอบอุ่น ได้อย่างเสียอย่าง เพราะฉะนั้น เพื่อให้พอดี จึงต้องมีครบทั้งสี่ข้อ แต่ในระดับสังคมนี่ แสนยากเหลือเกินที่จะพัฒนามนุษย์ให้มีครบทั้งสี่ข้อ มันก็เลยได้เว้าๆ แหวงๆ ไ ่ด้หนึ่งบ้าง ไดสอ้งบ้าง ไดส้ามบ้าง ที่จะครบ ๔ อยางพ่อดีไดดุ้ลนั้น หาได้ยาก พ่อแม่ก็เหมือนกัน ถ้าพ่อแม่มีเมตตา กรุณา มุทิตา มาก แต่ไม่รู้จัก ใช้อุเบกขา ก็จะทำ ให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์ ทำ ให้เด็กรับผิดชอบ ตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้จักโต เพราะฉะนั้น
จึงต้องไปโดนอุเบกขา จากที่อื่นมาช่วย ถงึจะเข้มแข็ง เช่นอยเมู่ ืองไทยนพี้ ่อแมทำ ่ ให้หมด ให้คนใช้ ทำ ให้หมด ก็เลยทำอะไรไม่เป็น แต่พอส่งไปอยู่เมืองฝรั่ง โดนอุเบกขา ของฝรั่งเข้า ตอนนี้เข้มแข็ง ทำ เป็นทุกอย่าง ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น สังคมจะต้องได้ดุล โดยเฉพาะพ่อแม่นี่สำคัญที่สุด พ่อแม่คนไทยนี่จะต้องเน้นด้านอุเบกขาให้มากขึ้น ว่าทำอย่างไร จะ ใช้ปัญญาให้มากขึ้นสลดด้านความรู้สึกลงสและเติมด้านความรู้เข้าไป แต่ ปัญญานยาี้ก มันไมเหม่ ือนความรสึกู้ มันต้องคดิและพิจารณาวา เ่อออะไร


28  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ที่ลูกของเราควรจะทำ ให้เป็น ควรจะฝึกรับผิดชอบ คิดแล้วมองเห็นแล้ว ก็มาดูให้เขาทำ ซึ่งจะเป็นการรักลูกระยะยาว ถ้ารักลูกมากด้วยเมตตา กรุณา มุทิตาเกินไป จะกลายเป็นว่ารักลูกระยะสั้น มองการณ์ใกล้ สายตา สั้น แล้วจะปิดกั้นการพัฒนาของเด็ก เมตตากรุณาสามารถปิดกั้นการพัฒนาของเด็กได้ เพราะเมื่อไม่มี อุเบกขาก็ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนา ฉะนั้นบางทีเด็กที่ถูกปล่อยถูกทิ้ง นี่แหละ ถูกอุเบกขาเข้าเต็มที่ ถ้าไม่เสียก็เก่งไปเลย เขาจะเข้มแข็ง จะช่วย ตัวเองได้ดี แกร่งกล้า สามารถเจริญเติบโตงอกงามในสังคม ควรจะยอมรับกันว่าดุลยภาพระหว่างธรรม ๔ ประการนี้เสียไปแล้ว ในสังคมไทย เพราะฉะนั้นตอนนี้จะต้องเน้นการปฏิบัติคุณธรรมชุดนี้ให้ ครบชุดที่ว่า ต้องมีทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา โดยเฉพาะอุเบกขา เป็นตัวโยงปัญญามารักษาดุลยภาพไว้ให้เกิดความสมบูรณ์ในชีวิตและใน สังคม ตั้งแต่ในครอบครัวเป็นต้นไป พ่อแม่บริหารครอบครัว บางท่านก็บริหารหน่วยงานองค์กร ตลอด จนประเทศชาติ แต่โลกคือสังคมมนุษย์นี้ ทุกคนร่วมกันบริหาร มนุษย์ทุก คนผู้บริหารโลกนี้จึงต้องเป็นพรหมผู้มีพรหมวิหารให้ครบทั้ง ๔ ประการ ถึงแม้ว่ามนุษย์จะสัมพันธ์กันดี คือมีเมตตากรุณาและมุทิตา ต่อกนั แตถ้าม ่นษุย์ไมรั่กษาอุเบกขา พากนัละเลยละเมิดธรรม โลกมนษุย์ นั้นก็จะวิปริตแปรปรวน ตั้งอยู่ดีไม่ได้ ถ้าทุกคนมีเมตตา กรุณา มุทิตา โดยมีอุเบกขากำกับอยู่ก็จะมีนํ้ำ ใจ ช่วยเหลือส่งเสริมกนดั ้วยความสัมพันธอ์นดั ี พร้อมทัง้ดำรงรักษาความเปน็ ธรรมในสังคม และความเข้มแข็งรับผิดชอบในตัวคนไว้ได้ และกจ็ะอภิบาล


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 29 โลก ดำรงรักษาสังคมให้มีสันติสุข ตั้งแต่สังคมเล็กในบ้าน ไปจนถึงสังคม สากลของมวลมนุษย์ เลี้ยงลูกดี เท่ากับทำ หน้าที่ต่อสังคมทั้งหมด ขอย้อนกลับไปพูดถึงคำที่ย ํ้าไว้เมื่อกี้นี้ว่า พ่อแม่เลี้ยงดูลูก
จะต้อง ทำทั้งอามิสสงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์ ให้ครบทั้งสองอย่าง ถ้าพ่อแม่สงเคราะห์ลูกด้วยอามิสสิ่งของอย่างเดียว ไม่สงเคราะห์ ด้วยธรรม ไม่ให้คำแนะนำสั่งสอน ไม่รู้จักอบรม เลี้ยงดูลูกแต่กาย ไม่เลี้ยง ดูจิตใจ ต่อไปอาจจะเกิดโทษได้เพราะอามิสสิ่งของนั้นเป็นที่ตั้งของ ความโลภได้ พอมีความโลภแล้วกจ็ะมีความต้องการขยายออกไปอยากได้ ไม่สิ้นสดุ แล้วก็มีความหวงแหน ทำ ไปทำมากก็ลายเปนก็ารสงเคราะห์ที่นำ มาซึ่งการแก่งแย่งกัน และ เกิดการทะเลาะวิวาทได้ เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่ ให้แต่อามิสสงเคราะห์อย่างเดียว ไม่ให้ธรรมสงเคราะห์ อย่างน้อยลูก ก็ไม่มีความสามัคคีกันจึงเกิดโทษได้ เพราะฉะนั้น พ่อแมต้ ่องให้ธรรมสงเคราะห์ด้วย ต้องสงเคราะห์ ด้วย ธรรม โดยแนะนำอบรมสั่งสอนปลูกฝังจริยธรรม ศีลธรรม ให้คุณธรรม ความดีงามเจริญงอกงามขึ้นในจิตใจของลูก ให้ลูกมีความซาบซึ้งใน ความดีงาม และทราบซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่ดีงาม ให้เป็นการเลี้ยงดูชนิดที่ เลี้ยงทั้งกาย เลี้ยงทั้งใจ หรือ กายก็ให้ ใจก็เลี้ยง ไม่ใช่เลี้ยงแต่กาย ใจ ไม่เลี้ยงด้วย ถ้าเลี้ยงแต่กายไม่เลี้ยงจิตใจด้วย ก็จะเกิดผลเสียมากมาย ต่อชีวิตของเด็กเอง และต่อสังคม ฉะนั้นจึงต้องเลี้ยงใจด้วย ให้ใจเจริญ งอกงาม เป็นใจที่ดีงาม เป็นคนที่เจริญสมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจ จึงจะ เรียกว่าเป็นการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง


Click to View FlipBook Version